รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
ตอนที่ 20
ก้องหยิบไม้กวาดเดินออกมายังรั้วบ้านที่เคยแสนสะอาดด้วยฝีมือตน ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยเลือดสยองจากการต่อยและเตะชนิดฟันหลุดกระเด็นมากองเป็นซี่ๆบนพื้น หนุ่มใหญ่กวาดฟันน้อยใส่ถุงแล้วโยนลงถังขยะหน้าบ้าน พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
ในขณะที่คุณเจ้านายกับไอ้เด็กเวรนั่นกำลังเมามันกับการขึ้นสวรรค์ชั้นย่ำยี ฤทธิ์ต้องมาจัดการพวกโม่งดำที่ริจะดอดเข้ามาในบ้านเกือบทั้งคืน ด้วยเหตุผลที่น่าจับหมกป่าเป็นที่สุด แต่หนุ่มตาตกก็ไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เพราะตอนนี้อาศัยอยู่ในชุมชน ค่อนข้างจะลำบากเวลาขนศพ แถมอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้พกอาวุธหนักอะไรมา เลยทำแค่จัดหนักแต่ยังพอเดินหนีไหว แล้วก็ถามโน่นเค้นนี่พอให้รู้ว่าใครเป็นคนสั่งมาเพียงเท่านั้น
ข่าวมันจะกระจายเร็วไปหรือเปล่า
จะว่าดีมันก็ดี ว่าจะไม่ดีมันก็ใช่ เพราะการที่อีกฝ่ายเดินเกมเร็วก็เท่ากับอันตรายที่ย่างเข้ามาหาสิทธิ์เร็วขึ้นเช่นกัน และที่น่ากลุ้มก็คือ เหล่าคนร้ายที่เข้ามา ดันไม่ใช่สมุนของเป้าหมาย หากแต่เป็นของกลุ่มอื่นที่มุ่งร้ายต่อสิทธิ์อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งจากที่วัฒน์เตือนมา ปกติก็จะมีพวกนี้คอยเข้ามาโจมตีเป็นพักๆอยู่แล้ว และลองว่าหากโดนล่วงรู้ว่าสิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่บ้านซึ่งเป็นปราการสยองขวัญล่ะก็ มีหวังพากันเฮโลมากันเป็นแน่ ซึ่งก็เป็นจริงเสียด้วย ขนาดเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เจอไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว เล่นเอาหนุ่มแว่นต้องมาเหนื่อยเก็บกวาดซากนรกให้เร็วที่สุด ก่อนที่เพื่อนบ้านจะมาเห็น
ฉันหวังว่าแผนของแกจะเวิร์คนะไอ้เดียร์…
เสียงรถที่เข้ามาจอดหน้าบ้านดึงหนุ่มใหญ่ออกจากห้วงคิด ฤทธิ์เดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าหงุดหงิดเต็มที่ ซึ่งก้องเองก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร
“ไปนอนก่อนละ เรื่องเมื่อคืนไว้รอหลังข้าวเย็นละกัน” ว่าจบก็แล่นเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการจะเสียเวลานอนไปมากกว่านี้
หนุ่มแว่นอ้าปากค้าง จะรั้งอีกฝ่ายก็ไม่ทันเสียแล้ว พอหันไปหาเจ้านายก็ต้องแปลกใจกว่า เพราะเขาคาดไว้ว่าสิทธิ์น่าจะสงสัยเรื่องพฤติกรรมประหลาดของเดียร์แท้ๆ แต่กลับยิ้มเหี้ยมเกรียมมาเสียอย่างนั้น
“ผมขึ้นห้องก่อนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะลงมาเอง”
หลังจากเดินไปจัดการอาหารเช้าที่ทำท่าจะเป็นหมันเสียเกลี้ยง แถมยังมีไปจกส่วนของฤทธิ์อีก สิทธิ์ก็เดินฉิวขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้พ่อบ้านได้แต่มองตามด้วยความสงสัยสุดขีด ซึ่งเขาเดาได้อย่างเดียวว่า ฤทธิ์ต้องไปกล่อมอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพ่อหมีคงไม่โล่งใจขึ้นมาได้หรอก
น้อยพยายามทำหน้านิ่งมองอาหารตาตรงหน้าพลางเช็คสินค้าที่สั่งไว้ของวันนี้ ซึ่งปกติเธอก็มักจะได้เห็นอยู่ทุกวันอยู่หรอก เพียงแต่วันนี้แปลกไปนิดหน่อย ก็ตรงพนักงานของเธอนั่นล่ะ
“ขอบคุณที่มาใช้บริการครับ เดือนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อครบสามพันห้าลดทันทีสองร้อยบาท หวังว่าจะได้เจอกันบ่อยๆนะครับ” นอกจากน้ำเสียงจะหวานรื่นหูชวนหลง ทั้งใบหน้าและท่าทางของเดียร์ดูน่ารักชวนหลงจนลูกค้าหนุ่มถึงกับไม่ได้เอะใจหางเสียงแปลกๆเลยสักนิด
“จ๊ะ…ผมสัญญา” คนตอบเอ่ยแบบเหมือนจะลืมไปแล้วว่าไอ้ช่อดอกคาร์เนชั่นที่สั่งไว้น่ะ จะเอาไปให้แฟนเนื่องในวันครบรอบคบกันเป็นปีที่เจ็ด…สงสัยจะเจออาถรรพ์แล้วกระมัง
“แล้วผมจะรอนะครับ” มีทิ้งท้ายให้ใจละลายเล่นอีก ซึ่งนับว่าแปลก เพราะถึงเดียร์จะพูดแบบนี้จริง แต่น้อยไม่เคยเห็นว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ เล่นเอาเธอเองยังแอบใจเต้น
“เมื่อคืนต้องมีอะไรดีๆแน่เลย ใช่ไหมจ๊ะ” หลังจากลูกค้าผู้โดนออร่าของเดียร์ครอบงำจากไป น้อยก็เริ่มต้นทำการสืบสวนขึ้น ด้วยสายตาประดุจเหยี่ยวจ้องเหยื่อ
“ก็นิดหน่อยน่ะครับ” เดียร์หัวเราะกลบเกลื่อน ลองบอกความจริงไปสิ เจ๊คงวิ่งแจ้นไปหาตำรวจแทบไม่ทัน “คุณสิทธิ์เขาก็แค่ดีกับผมอย่างที่ผมฝันไว้มานานแล้ว เลยเผลอดีใจไปหน่อย"
แหม่ นี่ก็พูดเรื่องจริงอยู่นะ เพียงแค่จินตนาการของพี่กับความสุขของผมมันหน้าตาต่างกันไปหน่อยก็เท่านั้นเอง
“ว้ายๆ ไม่คิดเลยนะ ว่าหน้าตานิ่งๆดูทื่อๆแบบนั้นจะหวานเป็นขนาดนั้น” หญิงสาวกรีดเสียงวี้ดว้ายราวกับเป็นเด็กสาวก็ไม่ปาน “แล้ววันนี้เขาจะมารับเราหรือเปล่า พี่จะได้เตรียมจ้องให้อิ่มใจเลย”
เอางั้นเลยหรือครับ เอาเถอะ ถึงผมจะสงสารที่เขากลายเป็นเหยื่อโดนคุกคามด้วยสายตาหวานฉ่ำของพี่ แต่ถ้าให้ผมโดนเองนี่ก็ไม่เอาเด็ดๆ
“เห็นว่าจะมารับนะครับ” คิดแล้วทำเอาผมตื่นเต้นเพราะความเครียดเลยล่ะ…ผมยอมรับนะว่าพลาดท่าหลุดอาการเมื่อเช้า ผมไม่ได้กลัวการมาสายหรอก แต่เพราะถ้ามาสาย พี่น้อยเขาก็จะลำบาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้หรอก ชีวิตของผมคือการดูดความเจ็บปวดของคนรอบข้างมาไว้ที่ตัวเองครับ ไม่แบ่งใครหรอก
ถ้าคุณมารับ ผมควรจะออกอาการยังไง เพื่อไม่ให้คุณจับได้กันนะ…เครียดจังเลย…ทำเอาผมหุบยิ้มไม่ได้เลย ให้ตายสิ!
“แต่พี่กลัวอย่างนะ ถ้าเกิดพี่ชายเธอมาเจอกับคุณสิทธิ์ ไม่แย่หรอกหรือ”
ระเบิดลงมั้งครับ ดูจากความแรงในตอนนี้อาจจะอยู่ในระดับขีปนาวุธก็ได้ ซึ่งถ้าให้ดี ผมอยากเป็นคนโดนความเสียหายจัง~ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็รู้ๆกันอยู่
“ไม่แย่หรอกครับ เรื่องนั้นพี่น้อยสบายใจได้ ต่อให้สองคนนั้นมาเจอหน้ากันจริงๆ ก็ไม่มีทางมาอาละวาดที่ร้านได้หรอก”
ก็ปุ่มกดระเบิด มันอยู่ที่ผมแล้วนี่นา แต่คนเฝ้าระเบิดคงไม่ยอมพาระเบิดมาให้ผมกดใช้ง่ายๆนี่สิ หึๆ อยากจะถ่วงเวลาที่ยังไงก็ต้องมาถึงผมก็ไม่ว่าหรอก เพราะมันก็จะทำให้ความสุขของผมยืดยาวไปด้วยนี่นา
แต่เอาจริงๆ ที่ดูแล้วน่าจะเป็นปัญหา ไม่ใช่พวกพี่หรือคุณสิทธิ์หรอก…เมื่อเช้าก็ดันรีบเสียจนหลุดออกไปตั้งเยอะ แถมยังลืมของสำคัญเอาไว้อีกนี่สิ
“ทำไมฉันถึงไปหาเดียร์ไม่ได้”
มาถึงชาก็ต้องตอบคำถามง่ายๆแต่ทำใจพูดยากสุดๆในยามเช้าขณะจะออกไปที่บริษัท ใจหนึ่งก็รู้สึกสุขใจที่โดนมองด้วยสายตาคาดคั้นและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอยู่หรอก แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไปพบความจริงที่โหดร้ายเข้า และเขามั่นใจว่า ไอ้คุณน้องชายแสนดีคงเตรียมบทด่าพี่มันไว้ชนิดที่ว่าน่าจะทำให้วินจิตตกไปเป็นอาทิตย์แล้วแน่ๆ
ใครจะยอมให้เกิดเรื่องพรรค์นั้นกันเล่า บ้าเอ๊ย!
“คุณลืมคำขู่ของคุณมาริสาแล้วหรือครับ” ที่จริงก็ไม่อยากจะงัดไม้นี้มาใช้ แต่เพราะไม่เหลือทางให้เลือกมากนัก “คุณคงไม่อยากให้มันเกิดหรอก ใช่ไหม”
“นี่แกขู่ฉันเรอะ” เสียงทุ้มแข็งกร้าว ร่างสูงเดินลงจากชั้นสองอย่างไม่ใส่ใจคนตามนัก “แกคิดจะไปฟ้องแม่ฉันงั้นสิ”
คนที่มักนิ่งอยู่เสมอถึงกับเปลี่ยนสีหน้า “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”
“แล้วจะให้หมายความว่าไงล่ะวะ ในเมื่อเรื่องคราวก่อนก็เป็นเพราะนาย! นายอยากจะกวนโมโหฉันแค่ไหน ฉันไม่ว่า แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยอมให้นายมาหยุดฉันได้หรอกโว้ย” วินหันกลับมาตะคอกใส่หน้าอย่างไม่เกรงใจคนใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นแม้แต่น้อย แต่เหล่าคนใช้เองก็ไม่ได้ตกใจนัก เพราะมันเป็นเรื่องที่เห็นได้ประจำ “ฉันจะไป ถ้านายอยากฟ้องแม่ฉันก็เชิญเลย ปากก็บอกว่าภักดีกับฉัน ตอแหลสิ้นดี”
“ไม่ใช่นะครับ!”
ตามปกติชาก็มันจะปฏิเสธแบบนี้ประจำนั่นแหละ แต่ที่ทำให้ทั้งวินและเหล่าคนใช้พากันอึ้งสนิท ก็เพราะน้ำเสียงนี่แหละ มันไม่ใช่น้ำเสียงร้อนรนเหมือนคนแก้ตัว แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจเหมือนคนจะเป็นจะตายยังไงยังงั้น
และที่ทำให้วินถึงกับอ้าปากหวอก็ตรงที่อีกฝ่ายดันน้ำตาร่วงออกมานี่แหละ ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นชาร้องไห้ให้เห็นแม้แต่หนเดียวเลย…ไม่ว่าเขาจะตบ ตี เตะ ต่อย ด่าพ่อล่อแม่สารพัดสารเพขนาดไหน ก็ไม่มีแม้แต่จะออกอาการโกรธหรือเสียใจออกมา…จนกระทั่งตอนนี้นี่แหละ
“มัน…ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด…นะครับ” ชายังคงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตาสีดำเลื่อนหลบต่ำ และเขื่อนยังคงแตกออกมาเป็นสาย “คุณจะทำร้ายผมแค่ไหน…ผมก็ยอม…ขออย่างเดียว…อย่าเพิ่งไปหาเดียร์…เลยนะครับ…”
ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณจะใจร้ายแค่ไหนกับผมยังไงก็ได้ จะไม่สนใจเห็นผมอยู่ในสายตาก็ได้ หรือจะเห็นผมเป็นแค่ลูกน้องที่ดีแต่กวนประสาทคุณ ผมก็ยอม แต่ผมไม่ยอมให้คุณต้องเสียใจหรอก…ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอม…
วินยังคงอ้าปากค้าง เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกที่ชาเอ่ยขอร้องพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้มแบบนี้ เล่นเอาจากที่ตั้งใจว่าจะต่อยสักสองสามป้าบ มือไม้มันดันแข็งจนขยับแทบไม่ได้แทนเสียนี่ พอหันไปหาคนใช้เพราะอยากได้ความช่วยเหลือ เหล่าผู้อยู่ใต้อาณัติก็ดันพากันชิ่งออกจากห้องเพราะเข้าใจว่าต้องการอยู่เพียงลำพังแทนเสียอย่างนั้น
“ขอร้องล่ะครับ…อย่าไปเลยนะ…” ชายังคงเอ่ยขอทั้งที่ยังก้มหน้าน้ำตาไหลพราก “คุณ…จะชกผมก็ได้…ถ้ามันทำให้คุณตกลง”
มามุกนี้แล้วจะให้ฉันใช้ความรุนแรงได้ไงล่ะวะ!
“โธ่เว้ย!!”
ดวงตาเรียวเบิกกว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชาเตรียมใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะทำร้ายเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือเดินหนี
ไม่ใช่ดึงเขาเข้ามากอดแบบนี้!
ชายังคงนิ่งเงียบเพราะตกใจต่อสถานการณ์ในตอนนี้ และไอ้ความรู้สึกที่สู้เมินไว้อยู่นานก็ผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุ
“…คุ…คุณวิน…” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อพยายามจะขืนตัวหนี แต่อีกฝ่ายกลับกอดแน่นกว่าเดิม เล่นเอาหัวใจเต้นแรงเสียจนชารู้สึกอึดอัด “คุณวิน…”
“หยุดร้องไห้หรือยัง”
มันแห้งตั้งแต่วินาทีแรกที่โดนกอดแล้วครับ
“…ครับ” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “เลิกกอดผมได้แล้วครับ เดี๋ยวก็โดนเข้าใจผิดหรอก”
แต่กลับไม่ยอมปล่อยอย่างที่คาด
“ไม่ต้องมาแซวฉันกลบเกลื่อนไปหน่อยดีกว่า” หนุ่มแว่นกระซิบบอกอยู่ข้างหู ยิ่งทำเอาคนฟังตื่นเต้นหนัก จนชักอยากจะหนีขึ้นมาจริงๆ แต่พอนึกว่าคงไม่ได้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นง่ายๆนักก็อดเสียดายไม่ได้ เลยได้แต่ยอมอยู่แบบนี้ “หายร้องแล้วแน่นะ ถ้ายังฉันไม่ปล่อยนะโว้ย”
นี่เป็นวิธีทรมานผมแบบใหม่หรือเปล่าครับ คุณจะทำให้ผมเลือดไหลเวียนเร็วกว่าปกติใช่ไหมครับ
“ผม…หยุดแล้วจริงๆ” ก็ใช่ว่าไม่ชอบ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้ความในใจเลยต้องรีบพูดออกไป แม้จะนึกเสียดายนิดๆก็ตาม
วินจับไหล่ชาแล้วจ้องหน้าที่ยังคงเปื้อนคราบน้ำตา ก่อนจะทำตามที่ว่าไว้ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้
“เช็ดซะ”
“ผมมีของผม…”
“เช็ด”
ยื่นมือไปรับออกมาอย่างเสียมิได้
ชาช้อนมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก วินยังคงจ้องเขา ด้วยใบหน้าบูดอย่างที่มักจะเป็น ซึ่งมันทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“นึกยังไงกอดผมล่ะครับ” สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ ถึงจะไม่อยากรู้อย่างไร เขาก็เตรียมใจรับกับคำตอบที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ดีกว่าปล่อยให้มันคาใจอยู่แบบนี้
“ก็นายร้องไห้” แต่เหตุผลกลับยิ่งทำให้คนฟังข้องใจกว่าเดิม
“แล้วคุณจะกอดผมทุกครั้งที่ผมร้องไห้หรือไง”
“ก็คงงั้น”
…ช่วยลังเลก่อนตอบสักนิดได้ไหมครับ! ถึงผมจะรู้ว่าที่คุณทำแบบนี้ก็แค่ไม่อยากให้ผมร้องไห้ก็เถอะ
“แล้วเรื่องไปหาเดียร์ละครับ”
ทีอย่างนี้ล่ะคิดนาน โธ่เอ๊ย!
“…เออ ไม่ไปก็ได้” วินตอบด้วยน้ำเสียงส่งๆ ดวงตาคมจ้องมองลูกน้องที่เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกลอกตา “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมนายถึงไม่อยากให้ไปหาขนาดนั้น แต่ถึงขนาดร้องไห้ยอมให้ฉันชกเนี่ย มันคงเป็นเหตุผลที่พูดยากเอาการล่ะสิ”
มันไม่ใช่แค่ยาก แต่มันจะจบตรงที่คุณจะหาว่าผมพูดเรื่องบ้าบอน่ะสิครับ
“ที่จริง…มันไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้หรอกครับ ผมก็แค่กลัวคุณจะไม่ยอมรับฟังเหมือนที่ผ่านๆมาก็เท่านั้น” ชาบอกความจริงออกไปครึ่งหนึ่ง “ผมรู้ว่าคุณไม่แคร์ ถ้าโดนคุณนายจับได้ แต่ลองคิดถึงคนที่จะเดือดร้อนที่สุดสิครับ”
วินทำหน้าปั้นยากใส่
“ที่ผมขอร้อง ก็เพื่อคุณนะครับ” หนุ่มหน้านิ่งเอ่ยเสียงอ่อย
“เออ ฉันรู้แล้วน่า ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไปก็ไม่ไปไง” หนุ่มแว่นบอกอย่างรำคาญ “แต่ถ้าโทรไปหาคงไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”
มันต้องได้สักทางสินะ…เอาเถอะก็ยังดีกว่าไปแล้วเจอกับคุณสิทธิ์เยอะ “คิดว่าคุณนายคงไม่ถึงขนาดดักฟังโทรศัพท์คุณด้วยหรอกครับ”
บอกจบก็ต้องหันหลังมองอย่างระแวดระวังทันที
“ไม่ต้องห่วงครับ คนของคุณนายเขาอยู่เฝ้าอยู่แถวร้านเดียร์ ไม่อยู่แถวนี้หรอก”
วินถลึงตามองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มตอบก็ได้แต่ถอนใจใส่
“ให้คุณนายเข้าใจว่าผมเป็นพวกเธอ ผมจะได้รู้ไงครับว่าเธอเคลื่อนไหวอะไรไปบ้าง…หรือคุณไม่เชื่อผมเพราะเรื่องก่อนหน้านั้น ผมก็บอกคุณไปแล้วนี่ครับว่าผมไม่ได้โทรไปบอกคุณนายจริงๆ จะเอาโทรศัพท์ผมเช็คดูก็ได้นะครับ”
ที่จริงก็เชื่ออยู่หรอก แต่พอเห็นชายิ้มหน้าเป็นแบบนี้แล้วอดนึกหงุดหงิดใส่ไม่ได้ทุกที เพราะงั้นก็ขอสักทีเถอะ
ชาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หน้าผากตนเสียเต็มแรง สีหน้าของวินคล้ายจะเอาเรื่องเต็มที่ ซึ่งชายหนุ่มก็เตรียมใจรอรับอยู่แล้ว
“แล้วฉันจะคอยดู” แต่หนุ่มแว่นเพียงแค่แค่นเสียงใส่ ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากบ้าน “แล้วนั่นจะยืนค้างหาพระแสงอะไรล่ะ รีบๆตามมาสิ เดี๋ยวไปประชุมสายนายก็หาเรื่องบ่นใส่ฉันอีก”
ชาเบิกตามองอีกฝ่ายที่จ้องมาด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินตามคุณเจ้านายจอมเผด็จการไปอย่างทุกที
ก้องมองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสามกว่าก่อนจะพลิกแพนเค้กช็อกโกแลตลงใส่จาน กลิ่นหอมอ่อนๆลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว หนุ่มใหญ่ทำเพิ่มอีกสองสามชิ้น เพราะรู้ว่าคนที่กำลังจะลงมากินคงไม่พอใจแค่ชิ้นสองชิ้นแน่ แต่ครั้นจะทำมื้อหนัก พ่อคุณก็คงไม่เอาอีก ปากก็บ่นว่าเดี๋ยวอ้วนๆ แต่เอาเข้าจริง ถึงจะไม่บางเท่าเดียร์ แต่ก็ทำให้พวกเด็กๆวัยรุ่นมันอายกันได้หลายคนล่ะ แถมปริมาณการกินก็เกือบจะเทียบเท่าสิทธิ์ด้วยซ้ำ ทั้งอย่างนั้นก้องกลับไม่เคยเห็นฤทธิ์น้ำหนักขึ้นเกินสองกิโลฯให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ง่วง…” เจ้าของเสียงทุ้มวางคางไว้บนบ่าพ่อครัว ฤทธิ์สูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเลื่อนมองจานแพนเค้กตรงหน้า “นั่นกินเลยได้หรือเปล่า”
“ตามสบายครับ” ก้องหยิบจานขึ้นมาให้ “น้ำผึ้งอยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวฉันเอาไปให้”
“คร้าบ” ฤทธิ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนจะเดินหาวไปยังโต๊ะทานข้าว
“ตกลงเมื่อคืนนายจัดการไปกี่คนเนี่ย” หลังจากวางขวดน้ำผึ้งพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นให้เรียบร้อย หนุ่มแว่นก็เอ่ยถามพลางนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ไม่รู้สิ หลังจากคนที่สิบฉันก็ขี้เกียจนับแล้ว” ฤทธิ์เปิดฝาแล้วเทน้ำผึ้งลงบนแพนเค้กจนหมดขวด ทำเอาก้องล่ะสงสัยจริงๆ ว่าตกลงพ่อคุณกลัวอ้วนจริงหรือเปล่า “ไอ้พวกจะเข้ามาอุ้มคุณสิทธิ์น่ะ ฉันเฉยๆ แต่อันนี้น่าจะเด็ด”
หนุ่มแว่นมองสิ่งที่อีกฝ่ายวางไว้บนโต๊ะ เป็นวัตถุที่ทำจากพลาสติกสีดำรูปทรงเหมือนเหรียญแต่ขนาดกว้างเท่าฝ่ามือ
“ฝากล้อง?” ก้องเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก
“เสียดาย ตรงที่มันหนีไปได้นี่แหละ” หนุ่มตาตกว่า ก่อนจะหยิบแพนเค้กฉ่ำน้ำผึ้งใส่ปาก
หนุ่มใหญ่ขยับแว่นมองอย่างเงียบๆอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “หรือจะเป็นพวกของธานินทร์”
“คงงั้นมั้ง” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็เห็นเงยๆขึ้นไปมองฝั่งห้องคุณสิทธิ์ก็คงอยากได้รูปคู่เอาไปให้คุณวินละมั้ง ฉันไม่คิดว่ามันถ่ายเพราะอยากให้แน่ใจว่าคุณสิทธิ์อยู่ที่นี่จริงหรือเปล่าหรอก คุณวินยังไม่รู้เรื่องนี้นี่ ไม่งั้นได้รบกันขึ้นมาจริงๆแน่ ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วง เพราะกล้องมันฉันเตะใส่กำแพงกระจายไปแล้ว ยกเว้นเสียแต่ว่ามันจะใช้กล้องหลายตัวถ่ายน่ะนะ”
ฟังแล้วเครียดเลยทีเดียว
“ว่าแต่คุณสิทธิ์ยังอยู่บนห้องเหรอ” หลังจากฟาดของชวนเลี่ยนเสียเกลี้ยง ก็เอ่ยถามขึ้นพลางมองไปยังบันได
“ฉันก็อยากจะถามนายเหมือนกัน ไปพูดอะไรให้เขาฟัง คุณสิทธิ์ถึงได้มีอาการแบบนั้นน่ะ”
ฤทธิ์เลิกคิ้วทำหน้านิ่งใส่ “ก็แค่บอกให้เลิกกลุ้ม แล้วก็ทำๆอย่างที่อยากทำไป ก็แค่นั้น”
ชี้โพรงให้กระรอก…หรือจะพูดว่าเอาอ้อยเข้าปากช้างดีล่ะ…
“นี่ตกลงนายอยากหรือไม่อยากให้คุณวินกับคุณสิทธิ์มีเรื่องกันเนี่ย”
“ไม่อยากอยู่แล้ว…” น้ำเสียงช่วงท้ายเนิบนาบจนชวนให้รู้สึกแปลกใจ พอสบเข้ากับดวงตาที่เหมือนกับจะมองทะลุได้ ทำเอาก้องรู้สึกเหมือนว่างานกำลังจะเข้า “เออ ฉันนึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้ ว่าจะถามนายหน่อย”
ก้องนิ่วหน้ามองอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มเย็นชวนขนลุกมาให้ ฤทธิ์หยิบโทรศัพท์มือถือขนาดกะทัดรัดขึ้นมา ซึ่งก้องจำได้ว่านั่นไม่ใช่ของฤทธิ์แน่ และก็ไม่ใช่ของสิทธิ์ด้วย…แต่หน้าตามันคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…ซึ่งเขาไม่ต้องคิดนาน อีกฝ่ายก็รอเฉลยให้อยู่แล้ว
“ทำไมถึงมีเบอร์นายอยู่ในเครื่องไอ้เด็กนั่น”
งานเข้าจริงๆแล้วไงล่ะตู!