พิมพ์หน้านี้ - รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: musddmp ที่ 27-05-2013 21:29:33

หัวข้อ: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 27-05-2013 21:29:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
__________________________________________________________

ยังงงๆกับระบบ ถ้าผิดพลาดประการใด ช่วยแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณอย่างแรง

   
มีเพื่อนมาแนะนำให้มาลงที่นี่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะงับ
ช่วงนี้อาจจะลงวันละตอนนะงับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 1 (27/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 27-05-2013 21:32:29
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 1


คุณมีความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ไหม ความลับที่ถ้าบอกไปแล้วอาจทำให้ทุกคนที่รู้เปลี่ยนท่าทีไปจากเดิม...

ผมมีนะ

 

“พี่น้อย”

เสียงเรียกของเด็กหนุ่มวัย ยี่สิบดังขึ้นจากหน้าร้านดอกไม้เล็กๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ตึกสูง เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อร่างผอมบางใช้ไหล่ดันประตูเข้ามาอย่างทุลัก ทุเล มือทั้งสองถือกระถางพลาสติกใบโตที่ใส่ดอกทานตะวันไว้สิบกว่าดอกอย่างระมัด ระวัง

“ตายๆ มาแล้วจ้ามาแล้ว” เจ้าของชื่อรีบปรี่เข้ามาหาเด็กหนุ่มแล้วเปิดประตูให้ “หนักนะเนี่ย ไหวหรือเปล่าจ๊ะเดียร์”

“ไหวสิครับ” เด็กหนุ่มหน้างอ “ถึงยังไงผมก็ผู้ชายนะ แค่นี้ผมยกได้อยู่แล้ว”

“แหม ก็พี่อดไม่ได้นี่นา ก็ดูเราสิ เสียงก็ใช่ว่าจะทุ้มมาก เอวรึก็เล็กซะจนสาวๆยังอาย” ไม่ว่าเปล่า มีการจับหมับเข้าที่ข้างเอวเต็มมือจนสะดุ้ง “แถมยังหน้าตาน่ารักขนาดนี้ ถ้าโดนหนุ่มๆมาจีบวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบคนพี่คงไม่แปลกใจหรอก”

เดียร์ได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ ให้ ก่อนจะขอตัวยกกระถางไปไว้ด้านในอย่างระมัดระวัง ถ้าขืนพูดต่อมีหวังยาวแน่นอน เขารู้ดีว่าเจ้าของร้านดอกไม้คนนี้ล่ะชอบนัก ไอ้เรื่องผู้ชายที่เคยเผลอมาจีบเขาน่ะ ครั้งสุดท้ายที่หลวมตัวเล่าไปเมื่อสามเดือนก่อน เล่นเอาเกือบไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้าแทบไม่ทัน

“ว่าแต่น้า แล้ววันนี้เขาจะมาหรือเปล่าจ๊ะ พ่อพี่ชายแสนดีของเธอน่ะ”

หญิงผมยาวประบ่าเอ่ยถามเสียงใสอยู่ตรงเคาท์เตอร์ไม้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ในมือก็ยังจัดดอกทิวลิปไว้ในแจกันไม่หยุดมือ

ใบหน้าเนียนกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะตอบโดยพยายามเก็บน้ำเสียงเบื่อหน่ายเอาไว้ “คงมาล่ะครับ...ก็วันนี้น่ะ...”

“เดียร์”

ยังไม่ทันขาดคำด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใส่สูทสีกรมท่าเสียเต็มยศ สวมแว่นสายตาทรงรีเดินเข้ามาในร้านดอกไม้ด้วยท่าทางแช่มชื่นสุดชีวิต เขาไม่สนว่าจะดูไม่เข้ากับหน้าตาที่เหมือนชอบหาเรื่องชาวบ้านตลอดเวลาเลยแม้แต่น้อย และยังมีคนสนิทที่ใส่สูทสีเดียวกันห้อยท้ายตามหลังมาด้วยเหมือนเคย

“พี่วิน” เด็กหนุ่มเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงแปลกใจ พร้อมกับเหล่มองเจ้าของร้านอย่างรู้กัน น้อยเพียงแต่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างเหมือนมีเลศนัย ก่อนจะยกแจกันเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อปล่อยให้พี่น้องคุยกันตามลำพัง

“มาได้ไงเนี่ย แล้วงานพี่ล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก พอดีผ่านมาเลยแวะมาหานายหน่อยน่ะ” ผู้เป็นพี่ชายว่าพร้อมกับยื่นถุงในมือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “พอดีฉันซื้อขนมมาฝากนายน่ะ”

เดียร์มองถุงขนมแล้วคิดอยู่ใน ใจ ถ้าจะหาข้ออ้างมาหาโดยการซื้อของฝากทั้งที ช่วยซื้อให้ไกลจากร้านซักสามกิโลหน่อยได้ไหม ไม่ใช่อยู่ข้างๆร้านกันแบบนี้

“ขอบคุณนะ” เด็กหนุ่มยิ้มรับโดยปิดความในเอาไว้ เขาขี้เกียจบอกเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจพี่ชายที่อยากมาหาตนซะจนไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้าง

“ไม่เป็นไรหรอก” วินยิ้ม “ว่าแต่ พักนี้นายสบายดีหรือเปล่า มีเรื่องยุ่งยากหรือมีใครมากวนใจไหม”

ที่ถามนี่ อยากได้คำตอบจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อสามวันก่อนที่มาหาก็ถาม หกวันก่อนก็ประโยคเดียวกันเด๊ะๆ ทำอย่างกับหายหน้ากันเป็นเดือนๆไปได้

“สบายดี ก็ไม่มีอะไรนะ ผมก็ส่งดอกไม้ตามปกตินี่ล่ะ” แต่ก็ตอบไปอย่างว่าง่าย และไม่คิดจะถามกลับเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ

“หรือ งั้นก็ดีแล้ว...ถ้า...”

ยังพูดไม่ทันจบเสียงมือถือของ ชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ทีแรกวินจะไม่รับสายแล้ว แต่พอโทรเข้ามาเสียหลายที จึงจำใจรับอย่างเสียไม่ได้

“เดี๋ยวพี่มาละกันนะ”

หนุ่มผมซอยสั้นรีบออกไปคุยธุระที่ด้านนอก รีบมากเสียจนหางเต่าที่อุตส่าห์ไว้ยาวจนถึงกลางหลังเกือบโดนประตูหนีบเอา

“ไงคุณชา” เด็กหนุ่มเอ่ยทักผู้ติดตามประจำตัวพี่ชายที่ไม่ได้ตามออกไปด้วย

ชาเป็นคนตัวสูง เกือบจะเท่ากับวินเลยทีเดียว เขาอายุมากกว่าเดียร์เกือบสิบปี หน้าตาท่าทางก็ดูสุขุมเยือกเย็นเหมาะกับชุดดี จะผิดก็แค่เรื่องบางเรื่องที่เขากับชารู้กันแค่สองคนเท่านั้น

และเรื่องที่ว่าก็ค่อนข้างอึดอัดใจจะป่าวประกาศเสียด้วย

“ก็นะ ช่วงนี้คุณวินค่อนข้างหงุดหงิดกับงานที่ไม่ยอมเดินหน้าเท่าไหร่ พวกคู่แข่งก็คอยขัดแข้งขัดขาไม่หยุด แถมยังจะคุณนายใหญ่ที่คัดค้านเรื่องพาคุณกลับบ้านใหญ่หัวชนฝา เลยมาระบายอารมณ์ใส่ผมบ่อยๆ” เขาเอ่ยพร้อมกับเลิกแขนเสื้อข้างซ้ายให้เล็กน้อย พอให้เห็นรอยเขียวช้ำแถวข้อมือได้ “นี่ของเมื่อวาน ยังแค่เบาะๆนะ”

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องแย่ แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้น แม้แต่เสี้ยวเดียว

“นั่นเพราะคุณมากกว่ามั้ง” เดียร์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายถามขึ้น

“แล้วเธอล่ะ สามวันมานี้โดนคนลอบทำร้ายมากี่ครั้งแล้ว”

เดียร์ยิ้มค้างให้อยู่สามวินาที “อ๊ะ ผมนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาพวงหรีดไปส่ง”

“เดี๋ยว” ชารีบตะปบร่างบางก่อนที่เหยื่อจะชิ่งทัน “คุณปิดผมไม่ได้หรอกนะ ก็รู้ๆกันอยู่นี่”

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าไม่มีทางสู้แรงอีกฝ่ายได้แน่ จึงยอมแพ้แต่โดยดี “ก็ได้ๆ ห้าครั้ง พอใจหรือยัง”

ชาถึงกับเลิกคิ้วกับจำนวนที่ ได้ยิน แต่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง “เก่งนะ ดูไม่เหมือนคนโดนทำร้ายเลย นี่ถ้าคุณวินรู้มีหวังสั่งให้คุณเลิกทำงานแล้วพากลับบ้านทันทีแน่”

“งั้นคุณก็อย่าบอกพี่ละกัน” ร่างบางว่า เหล่ตามองให้พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก “ยังไงซะ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของคุณแม่มาริสานี่ ส่วนฝั่งของคู่ค้าพี่ก็ไม่ได้เล่นกันถึงตายด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้เรื่องมันใหญ่โดยใช่เหตุดีกว่า”

“ก็ใช่อยู่หรอกนะ...ไม่อย่าง นั้นเธอคงโดนเก็บเมื่อสามอาทิตย์ก่อนแล้วล่ะ” ชาเอ่ยเรื่องน่าหวาดหวั่นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย แต่คนฟังเองก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกอะไรนัก “แต่ยังไงก็ระวังหน่อยละกัน ผมยังอยากมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่นะ”

“คร้าบ คุณเองก็อย่าไปแหย่พี่วินให้มากละกัน ผมกลัวว่าซักวันพี่จะเผลอฆ่าคุณเข้าจริงๆนะ”

“ไม่มีทางแน่นอน” ชาเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่มีใครรองมือรองเท้าให้กับคุณวินได้สนุกมือเท่าผมอีกแล้วล่ะ”

เรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ ตอนนี้ก็เป็นกระสอบทรายประจำตัวไปแล้วล่ะมั้ง

บทสนทนาจบลงทันทีที่ได้ยิน เสียงกระดิ่งดัง วินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึง ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เพราะงานการอะไรที่คุยไปเมื่อครู่แน่ เดียร์รู้ดีว่าเพราะอะไร ยิ่งเหล่มองผู้ติดตามตาเขียวปั๊ดขนาดนั้น ต่อให้ไม่ใช่เขาก็ดูออก

พี่จะรู้ไหมว่าคุณชาน่ะจงใจให้พี่คิด...ท่าทางถ้าไม่บอกคงไม่รู้ตลอดกาลแน่เลยแฮะ...

“ท่าทางพี่คงอยู่นานไม่ได้ แล้วล่ะ” น้ำเสียงแสดงความเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ลูกตาเหล่มองลูกน้องปานจะกินเลือด แน่นอนว่าเป็นข้อหาโคตรไร้สาระอย่างที่คนปกติไม่น่าจะคิดกัน “แล้วถ้าว่างพี่จะแวะมาใหม่นะ”

“อืม” ใบหน้านั้นยิ้มแย้มและดูเอื้ออารีย์จนพี่ชายถึงกับเคลิ้ม หากแต่ใจจริงกับตรงข้ามราวฟ้ากับเหว

ถ้าให้ดี ไม่ต้องมาบ่อยๆก็ได้นะ รำคาญชะมัด

เขาก็ไม่ได้รังเกียจพี่ชาย ต่างแม่คนนี้อะไรหรอก ออกจะชอบด้วยซ้ำ แต่เพราะความบ้าน้องสุดหูรูดชนิดไม่ติดเบรกมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้รู้สึกรำคาญจนแทบจะประสาทกินนั่นล่ะ ไม่รู้ว่าเผลอไปทำอะไรเข้า ถึงได้รักนักหวงหนา ปกติพี่น้องต่างแม่คงไม่รักกันปานจะกลืนกินขนาดนี้หรอก ขนาดมาริสา แม่ของวินยังเกลียดขี้หน้าเขาปานเห็นสิ่งปฏิกูลเลย

“งั้นก็ขอตัวก่อนนะครับ”

ชาชิงเอ่ยลาเดียร์ก่อนเจ้านาย นั่นทำให้วินถึงกับหันมองขวับที่กล้าบังอาจชิงตัดหน้าเขา ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประจำตั้งแต่พี่ชายมาหา ตัวเดียร์เองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะเขารู้ดีว่าชาตั้งใจยั่วโมโหวิน

...ไม่ต้องสงสัยกันหรอก ถ้าพูดให้ชัดๆก็คือ คุณชาเป็นพวกมาโซคิสม์น่ะสิ หรือถ้าพูดให้กระจ่างไปเลยก็คือ เขาเป็นพวกนิยมชมชอบการโดนทำร้ายร่างกายยังไงล่ะ และดูท่าทางจะถูกใจกับการได้โดนคุณพี่ชายทำร้ายตบตีเป็นพิเศษเสียด้วย เพราะเห็นทีกับคนอื่น พี่แกแทบไม่ยอมให้สัมผัสแม้แต่ผิว แต่พอเป็นวิน จะลากเนื้อเถือไส้ก็ท่าทางจะยินยอมพร้อมใจนอนรอแต่ไก่โห่เป็นแน่

“ไป” เสียงทุ้มหนักกระโชกโฮกฮากใส่หน้าชา ก่อนจะเหวี่ยงตัวออกไปจากร้าน “เร็วๆสิวะ”

นี่ล่ะ สันดานปกติของพี่ชายเขา ทีกับเขาล่ะหวานเยิ้มยิ่งกว่าน้ำเชื่อมผสมน้ำผึ้ง แต่กับคนอื่นอย่างกับเอาตะบองฝังหนามทายาพิษดีๆนี่เอง

เดียร์ได้แต่ยิ้มลา ท่าทางพ้นจากประตูแล้ว ไม่แคล้วชาคงโดนวินตบตีและเตะต่อยข้อหามาคุยจิ๊จ๊ะจี๋จ๋ากับเขาแน่นอน คุณพี่ชายแสนดีน่ะ หวงเขาอย่างกับอะไรดี ตัวผู้หน้าไหนเผลอตัวมาจีบ(ด้วยความเข้าใจผิดมหันต์ขั้นไม่น่าให้อภัย) ถ้าเข้าหูวินล่ะก็ โดนอัดยับเข้าห้องไอซียูทุกราย ก็รายนั้นหมัดหนักอย่างกับอะไรดี ทีเดียวน็อคเอาท์ปางตาย

จะมีก็แต่ชานั่นล่ะ ที่ทนทายาดขนาดวินซัดแล้วกระทืบอีกจนหมดแรงก็ยังแค่น่วมๆ...สมกับเป็นหนุ่ม มาโซฯตัวพ่อที่อุทิศกายถวายใจให้วินจริงๆ

หลังจากทั้งสองจากไป เด็กหนุ่มก็จัดการงานของตัวเองต่อ พยายามเมินเรื่องที่เจ้าของร้านแซวเขาอย่างที่มักจะทำทุกๆครั้งจนร้านปิด

“ขอบใจนะจ๊ะเดียร์ เดี๋ยวพี่ปิดประตูเองก็ได้จ้า” น้อยว่า แอบทำหน้างอนใส่ “ชิชะ ทำเป็นงุบงิบไม่ยอมบอกพี่นะ จำไว้เลย”

“ก็มันไม่มีอะไรให้เล่านี่นา” เด็กหนุ่มหัวเราะ “เขาเป็นพี่ผมนะ ถึงจะห่วงผมเกินเหตุไปหน่อยก็เถอะ”

“แหมๆ ก็เจ๊อยากฟัง” หญิงผมประบ่ายังเสียดายไม่เลิก “งั้นพรุ่งนี้เจอกันตีสี่นะจ๊ะ กลับหอระวังๆล่ะ”

เดียร์บ้าจี้โบกมือบ๊ายบายให้ ก่อนจะเดินท่อมๆไปตามทางฟุตบาท แวะซื้อข้าวแกงเจ้าประจำระหว่างทางกลับหอที่อยู่หัวซอย แล้วก็ดิ่งเข้าหอซึ่งอยู่ท้ายซอยตามปกติ

“เดี๋ยวก่อน”

และโดนรั้งดักกลางทางอย่างเป็นปกติ

ร่างบางหันมองเจ้าของเสียง เรียก ซึ่งยืนกันเป็นฝูงราวสี่ห้าคน ใบหน้าบอกยี่ห้อโฉดฉกรรจ์กันมาแต่ไกล และไม่ต้องถามเด็กหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เป็นเซลล์ขายสินค้า หรือมาขอบริจาคเงินการกุศลแน่นอน

“โทษทีว่ะ พอดีว่ามีคนเขาไม่ชอบขี้หน้าแกน่ะ อย่าถือสากันเลยนะ”

ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าไอ้คน ที่จ้างพวกนี้คือใคร ลองให้เหตุผลว่าไม่ชอบหน้าเขาก็มีแต่แม่ของวินคนเดียวนั่นล่ะ เธอคงคิดว่าเขาซึ่งเป็นลูกเมียน้อยจะมาแย่งกิจการหรือทรัพย์สมบัติของพ่อ หรือไม่ก็เป็นปลิงเกาะพี่ชายสบายทั้งชีวิต ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญจิกกัดไม่เลิก ขนาดเขาออกมาอยู่หอคนเดียวแล้วยังไม่วายส่งคนมาทำร้ายกันเป็นระยะๆอีก รอบนี้ที่ส่งมาก็คงเพราะวินแวะมาหาถึงที่ทำงานเขานี่ล่ะ แต่เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดมาริสาเลย กลับชอบเธอด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้พี่ชายเขาไม่รู้หรอก และเขาก็ไม่คิดจะบอกด้วย

“นี่ลูกพี่ แน่ใจนะว่านั่นผู้ชายจริงๆ ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ ไอ้เรื่องเตะหมาต่อยผู้หญิงน่ะ มันเสียชื่อ” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ พร้อมกับมองใบหน้าหวานที่กำลังกะพริบตาปริบๆ

“เฮ้ย ก็คนจ้างเขาบอกว่าผู้ชายนี่หว่า” ปากก็ย้ำ แต่สีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก็เข้าใจความรู้สึกอยู่หรอก ที่ผ่านมาเจอหน้าใคร ร้อยทั้งร้อยก็ต้องถามก่อนทุกทีว่า หญิงหรือชาย

ในขณะที่พวกนั้นกำลังทะเลาะ กัน ไม่ยอมสนใจเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย เดียร์กลับเอาแต่ยืนมองรอให้พวกนั้นทะเลาะเสร็จ แทนที่จะหนีไปอย่างที่คนปกติควรทำ

ใช่ ปกติแล้วถ้าโดนหาเรื่อง ถ้าไม่หนีก็ต้องสู้ คงไม่มีใครยอมโดนกระทืบแต่โดยดีหรอก

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เขา

เดียร์อยากตะโกนใส่เหลือเกิน ว่าช่วยรีบๆมาซ้อมเขาเสียทีจะได้ไหม จะให้ทนรอไปอีกนานเท่าไหร่ นี่เขาอุตส่าห์เอาข้าวไปแอบวางไว้ข้างรั้วรอเลยนะเนี่ย แต่ขืนพูดไปมีหวังถอยหนีกันพอดี

เพราะงั้น ใครจะยอมบอกพี่วินกันเล่า ขืนบอกพี่แกก็จะพาผมไปไว้ที่ๆปลอดภัยที่สุดน่ะสิ มีหวังลงแดงตายเพราะไม่มีใครมาตบตีพอดี คราวที่แล้วพอรู้ว่าคุณแม่มาริสาแอบมอบความรัก(อันแรงรุนแรงและหนัก หน่วง)ลับหลัง ก็รีบพาหนีไปบ้านพี่วินทันที ถ้ารอบนี้ขืนรู้อีกล่ะก็ มีหวังไม่ได้ออกจากบ้านพี่ตลอดชีวิตแหงม

คุณแม่เองก็ช่างใจดีเสียเหลือ เกิน ทั้งๆที่ผมออกมาอยู่ตั้งไกล ยังอุตส่าห์ส่งคนมามอบความสุขสุดแสนอภิรมย์มาให้ผมอีก ถ้าไม่ได้คุณแม่ล่ะก็ ผมคงต้องลงทุนไปหาความรุนแรงด้วยตัวเอง...แถมไม่รู้ว่าจะดีและปลอดภัยอย่าง ที่คุณแม่มอบให้ไหม...เพราะฉะนั้น ผมล่ะชอบคุณแม่สุดๆเลย แต่เสียดายที่ผมไม่สามารถบอกความในใจให้คุณแม่ได้....ไม่อย่างนั้นคุณแม่ก็ คงไม่กล้าส่งคนมาทำร้ายผมแน่เลย

อ่านถึงตรงนี้ก็คงรู้กันแล้วสินะ...

ถ้าคุณชาเป็นมาโซฯตัวพ่อแล้วล่ะก็...

ผมก็ที่สุดของมาโซฯเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 1 (27/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sailordonut ที่ 27-05-2013 23:06:49
รอตอนต่อไป ครับผมมมมมมมมมมมมม :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 1 (27/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 27-05-2013 23:24:53
ชอบๆๆๆๆๆ รอติดตามต่ออป  :katai5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 1 (27/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 28-05-2013 17:34:02
ชาชอบวินงั้นหรือ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 28-05-2013 18:02:03
ขอบคุณทุกคนที่เขามาอ่านงับ ถ้ามีอะไรอยากบอกบอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะงับ ยินดีรับฟังทุกความเห็นงิ

ส่วนเรื่อง ชา จะชอบ วิน ไหม อันนี้เราต้องไปพิสูจน์กันในเรื่องดีกว่า อิอิ



รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 2

ในเมื่อไม่อาจเผยความในได้ สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือกระตุ้นให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการ และนั่นล่ะ งานถนัดเขาเลย

“พวกนายนี่มันตาถั่วจริงๆเลยที่เห็นฉันเป็นผู้หญิงซะได้”

เสียงหวานขัดจังหวะการโต้เถียง เหล่าอันธพาลหน้าโฉดเปลี่ยนโหมดเหี้ยมทันทีที่โดนด่า และยิ่งเห็นท่าทีไม่สะทกสะท้านต่อความกลัวก็ยิ่งทำให้พวกเขายัวะหนัก

“เฮ้ยไอ้หนู ปากดีนักนะ” นั่นล่ะ กระชากคอเสื้อแรงๆเลย อูวว ซาบซ่าน “ฉันจะจัดการให้หน้าสวยๆของแกเละเลย”

จะตบหรือจะชกก็รีบเข้าสิ ให้คนอื่นรอนานมันเสียมารยาทรู้ไหม

เดียร์ปั้นหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากแสดงสีหน้ากระสันอยากโดนทำร้ายให้อีกฝ่ายรู้ อีกส่วนก็ต้องการยั่วโมโหให้อีกฝ่ายลงมือแบบไม่ต้องยั้ง

แน่นอนว่าได้ผลดี...แต่ยังไม่สะใจเท่าไหร่

ใบหน้าเนียนมีรอยแดงจางขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เด็กหนุ่มแอบหงุดหงิดที่อีกฝ่ายตบแทนที่จะชก แถมยังตบไม่สุดแรงอีก...เสียอารมณ์เป็นบ้า

“ไอ้พวกหน้าตัวเมีย ชอบรังแกคนอ่อนแอ!”

ถ้ายังมาออมมือไม่เข้าท่าอีกนะ พ่อจะด่าให้ญาติเสียเลย

“แม่ง ไอ้ห่านี่ ปากดีนักนะ” โอเค ได้ผลดี วี้ดวิ้ว เข้ามากระทืบพร้อมกันเล้ย...อุ...ต้องเก็บอาการหน่อย เดี๋ยวพวกมันรู้ว่าเราชอบ...ก็นะ เรื่องมาโซฯ ขืนใครรู้มีหวังพากันหนีหายไม่ยอมทำร้ายกันพอดีสิ จริงมั้ยล่ะ

“หยุดนะ!”

เสียงทุ้มหนักขัดจังหวะดังพอดิบพอดีก่อนที่เดียร์จะได้รับหมัดสวยๆที่กำลังพุ่งเข้าท้องน้อย เขาหันไปมองด้านหลัง ใครกันที่กล้าบังอาจขัดความสุขกันเสียได้

เจ้าของเสียงเป็นชายร่างใหญ่มาก เดียร์ถึงกับตะลึงว่ายังมีคนที่ร่างใหญ่ยักษ์สูสีกับพี่ชายตนได้อีก ดวงตาเรียวจ้องมายังทางเขาเขม็ง ใบหน้านิ่งเสียจนไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์ได้

และไม่คิดจะพูดจะจา ก็เข้ามาพรากความสุขของเด็กหนุ่มไปจนหมดเกลี้ยง....

“เฮ้ย เสือกเหี้ยอะไรของมึงวะ...”

หัวโจกถามไม่ทันจะจบ ก็ลงไปนอนสลบคารองเท้าเบอร์สี่สิบหกของชายหนุ่ม เพียงไม่ถึงนาที ชายฉกรรจ์ห้าคนก็โดนจัดการเกลี้ยง ไม่เหลือเผื่อให้เดียร์สักคน

ไม่นะ ความรุนแรงของโผม~~~~~~~~ แล้วคืนนี้จะไปหาที่ไหนได้อีกเล่า!

ชายหนุ่มผมซอยสั้นหันมองร่างบางด้วยท่าทางเป็นห่วงเล็กน้อย ใบหน้าที่นิ่งเริ่มแสดงอาการตะขิดตะขวงใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี

“ไม่เป็นไรนะ”

แหงล่ะสิ!

เดียร์อยากจะด่าเสียเหลือเกินที่กล้าบังอาจขัดจังหวะความสุขในชีวิต แต่เขาไม่อยากให้ความแตกกับคนแปลกหน้า เลยต้องทำตามมารยาทที่คนปกติควรจะทำ

“ไม่เป็นไรครับ...ขอบคุณมากครับ” เขาเกือบจะลืมกล่าวขอบคุณแล้ว “คุณ...เอ่อ...”

ชายหนุ่มคนดังกล่าวสะดุ้งขึ้น แล้วแสดงอาการลนลานเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าทำเรื่องไม่ควรลงไป

“ฉันไปล่ะ”

พูดจบ ก็รีบชิ่งหนีไปอีกทางเหมือนกลัวเดียร์จะต่อว่าเขาเสียอย่างนั้น...ซึ่งว่ากันตามจริงก็อยากจะทำอยู่หรอก....

มาแล้วก็ไป ไม่เหลืออะไรไว้ให้นอกจากซากคนโดนชกห้าคน...

ไอ้เวรเอ๊ย!!

เดียร์ยืนนึกสาปส่งอีกฝ่ายอยู่ในใจ ก่อนจะเดินไปหยิบถุงข้าวที่อุตส่าห์วางไว้ห่างๆ แล้วเดินกลับหอไปอย่างเสียอกเสียดาย....ก็โดนตบแค่ทีเดียวเอง....แถมยังไม่สุดแรงด้วย อารมณ์ค้างเป็นบ้า

แต่ก็ยังสงสัยว่าชายหนุ่มปริศนาที่เข้ามาขัดขวางเป็นใครกัน เขาไม่ยักจะเคยเห็นหน้า ถ้าเป็นลูกน้องพี่ชายเขาก็ต้องจำได้อยู่แล้ว หรือจะเป็นคนมาจีบก็ไม่มีทาง ตัวโตอย่างกับหมี แถมหน้านิ่งมาดขรึมแต่ดันทำเรื่องไม่เข้ากับหน้าตาอย่างนั้น ถ้าได้เจอสักครั้งคงจำติดสมองเป็นแน่

หมอนั่นเป็นใครกันนะ...

คิดได้ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เลิก เพราะความเจ็บไม่สุดใจทำเอารู้สึกหงุดหงิด นานแล้วที่ไม่ได้อารมณ์ค้างแบบนี้ แถมยังไปหาที่ระบายต่อไม่ได้อีก ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ ว่าจะลองไปที่ๆชาแนะนำเขาไว้อยู่

ที่สำคัญคือ เขาไม่คิดว่าคงจะได้เจอกันอีกแล้ว

เดียร์เดินต่อด้วยอาการห่อเหี่ยว เลี้ยวเข้าอพาร์ทเมนท์ซึ่งอยู่ลึกจากซอยราวห้าสิบเมตร โดยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เดินจากไปอย่างที่คิด จริงๆแล้วเขาถอยไปตั้งหลักเพื่อตามเดียร์อยู่ห่างๆต่างหาก แล้วที่เขาผ่านมาช่วย(ขัดความสุข)เดียร์ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วย

“คุณสิทธิ์ครับ”

ทันทีที่เขาเดินเข้ามาหาชายสองคนที่ยืนรออยู่หลังรถบรรทุก ทั้งคู่ก็เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดุพร้อมกัน ก่อนที่ชายวัยสี่สิบจะเป็นคนพูดขึ้นมา

“ทำแบบนี้มันอันตรายนะครับ รู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วงคุณนะ”

“นั่นสิครับ ถ้าจะให้ไปช่วยล่ะก็ ผมออกแทนก็ได้” คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มร่างบางหน้าตาน่ารักที่ยืนข้างๆ ท่าทางตกใจมากกับการกระทำของสิทธิ์ “ถึงคุณสิทธิ์จะเก่งยังไง แต่นั่นก็ตั้งห้าคนนะครับ เกิดคุณบาดเจ็บขึ้นมาล่ะครับ โธ่”

“เอาเถอะ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” ใบหน้านิ่งยิ้มให้ทั้งสอง “อาวัฒน์กับเนอย่าห่วงให้มากนักเลย แค่นักเลงกระจอก...อาวุธก็ไม่ได้พกซักชิ้น”

“จะกี่ชิ้นก็ไม่ได้ทั้งนั้นล่ะครับ” คนอาวุโสกว่าติติงอย่างเหนื่อยหน่าย “อย่าลืมสิครับ ว่าคุณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะออกหน้าบุกตะลุยนะครับ นั่นมันหน้าที่ของพวกผม”

“ครับ ขอโทษครับอาวัฒน์” สิทธิ์ตอบรับด้วยท่าทีรู้สึกผิด แต่วัฒน์ก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดแค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ลืมแล้วทำต่อ “เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้เป้าหมายล่ะ วันนี้กลับเลยละกัน”

“เอ่อ...” เนขัดขึ้นด้วยท่าทางกังวลเล็กน้อย “ทำแบบนี้จะดีหรือครับ...ไอ้เรื่องแบบนั้นน่ะ...”

“ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ” ร่างสูงแซว ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายขึ้นมาจนดูสยอง “ดีมาเราก็ดีไป ร้ายมาเราก็ร้ายกลับ ไม่ใช่หรือไง ไอ้หมอนั่นมันเริ่มก่อนนะ หรือนายจะให้ฉันปล่อยให้ไอ้เวรนั่นมาเอาเปรียบฉันตามใจชอบ ไม่มีทางซะหรอก”

ว่าจบก็กระทืบเท้านำออกไปอย่างไม่สงสารพื้นคอนกรีตแต่อย่างใด ไม่วายยังไปจ้องหาเรื่องกับหมาข้างทางจนมันวิ่งหนีหางจุกตูด

“คุณไม่คิดจะห้ามคุณสิทธิ์เลยหรือไงครับ” พอห้ามเองไม่อยู่ เนก็เริ่มหันไปขอความช่วยเหลือผู้อาวุโส “คุณอยู่กับคุณสิทธิ์ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ทำแบบนี้มันไม่ดีนะครับ อาชญากรรมชัดๆ”

คิ้วหนาของคนอายุเยอะกว่าวิ่งเข้าชนกัน ท่าทางไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น

“ก็เพราะฉันอยู่มานานจนรู้ว่าคุณสิทธิ์เป็นคนยังไงน่ะสิ” วัฒน์กระแทกเสียงใส่ สีหน้าเหมือนกำลังโมโหอย่างแรง “ถ้ารุ่นน้องอย่างนายห้ามคุณสิทธิ์ไม่ได้ ฉันที่เป็นแค่คนรับใช้ก็ห้ามอะไรไม่ได้หรอก ลองว่าจะทำแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ได้ นั่นล่ะ คุณสิทธิ์ล่ะ”

เนกำลังจะอ้าปากเถียง แต่หนุ่มใหญ่ไม่ยอม ด้วยท่าทีที่ไม่ยอมมากๆเสียจนเด็กหนุ่มถึงกับผงะ

“ฉันว่าเรื่องที่ควรทำมากกว่าห้ามคุณสิทธิ์ก็คือ จัดการต้นตอของปัญหาทั้งหมด นั่นล่ะดีที่สุด” สายตาดุดันจ้องเขม็ง แต่ก็ดูจะสับสนเอาการ “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้งูสารพัดพิษอย่างไอ้เดช คุณสิทธิ์จะมาตกที่นั่งลำบากแบบนี้หรือไง...ไอ้เนรคุณนั่นน่ะ!”

เด็กหนุ่มร่างสูงพอจะเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายดี...แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาลงกับเขาทุกที

“ครับๆ เข้าใจแล้ว” เนตอบเสียงเจื่อน หมดทางจะเถียงต่อ

“ก็ดี” วัฒน์ว่า ท่าทางเหมือนอยากจะกระโดดกัดเนเสียให้ได้ “รีบๆไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณสิทธิ์รอนานกันพอดี”

 

คนๆนั้น...เป็นใครกันแน่นะ....

ทีแรกก็ไม่คิดสนใจ แต่พอนึกย้อนเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายเข้ามาช่วยแล้ว เดียร์กลับลืมไม่ลงเสียนี่ ยิ่งพยายามสลัดให้หลุดจากความคิดอย่างไรก็ทำไม่ลง เขารู้สึกแปลกใจตัวเองเหลือเกิน ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย

เสียงทุ้มหนักที่ดังกระโชกโฮกฮาก แม้ไม่ได้เอ่ยคำหยาบคายแต่กลับรุนแรงและเสียดหูจนชวนเจ็บปวด...ใบหน้านิ่งที่ดูไร้อารมณ์เย็นชาจนหนาววาบไปถึงสันหลัง...พฤติกรรมป่าเถื่อนเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์ช่างดูโหดร้ายอะไรเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ความปรานี ไม่มีความลังเลที่จะทำร้ายผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย แต่ละหมัดที่ประเคนให้พวกนักเลงนั่น รุนแรงและหนักหน่วง ไม่มีการออมมือใดๆทั้งสิ้น

ยิ่งนึก ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้

ถ้าได้โดนซักเปรี้ยงนี่ คงนอนฝันดีไปได้หลายคืนเลยแฮะเรา...รู้อย่างนี้น่าจะทำเนียนเข้าไปรับซักหมัดเสียก็ดีหรอก...แต่ไม่ได้แฮะ เดี๋ยวหมอนั่นเกิดจะพาเราไปโรงพยาบาลล่ะก็ซวยเลย...ที่นั่นน่ะ นรกชัดๆ!

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรอยู่คนเดียวจ๊ะ เมื่อคืนมีหนุ่มหล่อมาจีบอีกหรือ”

เสียงแหลมสูงดังขัดจังหวะความคิด(โคตร)ฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่ม เดียร์หันไปมองเจ้าของร้านดอกไม้ที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยมาให้ และตัวเขาเองก็ดันหุบยิ้มไม่อยู่เสียด้วย

“ฮั่นแน่ ท่าทางไม่ธรรมดาเสียด้วย ใช่มั้ยล่ะ” พอเห็นคนงานหนุ่มแสนสวยท่าทางอารมณ์ดี น้อยก็แซวไม่หยุด เธอรีบออกมาจากเคาท์เตอร์เพื่อสกัดไม่ให้เดียร์ชิ่งหนีเธอได้ “รอบนี้ไม่ให้หนีหรอก เล่ามาเลยๆ เจ๊อยากฟัง วันนี้เอาดอกไม้ไปส่งเสร็จหมดแล้วนี่ เล่ามาซะดีๆนะ”

“แต่ว่า เราต้องจัดช่อดอกไม้ที่สั่งไว้อีกห้าช่อไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวมันจะไม่ทันเอานะ” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับชี้ไปยังช่อดอกลิลลี่ของตนที่ทำค้างไว้ กับงานของเจ้านายบนโต๊ะ

“ค่อยทำก็ได้น่า”

ห่วงกิจการหน่อยก็ดีนะครับ พี่น้อย...

ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้เปิดปากเล่า เสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน และทันทีที่เห็นผู้มาเยือน เดียร์ก็เผลอตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

นั่นมัน...คนเมื่อคืนนี่นา

ชายร่างสูงผมซอยสั้นเดินหน้านิ่งเข้ามา เขามองไปรอบๆร้านก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่เด็กหนุ่ม

โอ๊ะโอ๋...อย่าบอกนะว่า...

“ผมมาเอาดอกไม้ที่สั่งไว้”

อ้อ ลูกค้านี่เอง...

เดียร์ดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้มาจีบตน แต่ก็แอบเสียดายนิดๆที่เขาจำไม่ได้....นึกไปนึกมาแล้วรู้สึกปวดใจนิดๆแฮะ...อา....ซาบซ่าน...

“อ้อ ค่ะ ชื่ออะไรหรือคะ” ลูกค้ามา งานเดินไว นโยบายของเจ๊จริงๆ

“สิทธิ์ครับ”

ปากตอบ แต่ไหงตาจ้องมาที่เราหว่า....ให้ตายเถอะ ดูไม่ออกเลยแฮะว่าจ้องเพราะอะไร...รู้สึกกังวลจังเลย....ถ้าจ้องแบบกินเลือดกินเนื้อก็ดีสิ...แต่แบบเดาอารมณ์จนน่ากังวลแบบนี้ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบแฮะ...

“สั่งช่อดอกกุหลาบไว้ใช่ไหมคะ” น้อยถามขึ้นพร้อมกับหยิบช่อดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มขึ้นมาวางไว้บนเคาท์เตอร์

“ครับ” ร่างสูงเดินเข้าไปจ่ายเงินและรับช่อดอกไม้ที่ห่อด้วยกระดาษสีชมพูหวานแหวว ดูไม่เข้ากับเจ้าตัวเลยสักนิด

เรื่องมันก็ไม่น่าจะมีอะไรไปมากกว่านี้หรอก

ถ้าอีกฝ่ายไม่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา

“...มีอะไรหรือครับ” เดียร์เอ่ยถาม รู้สึกถึงออร่าดี๊ด๊ามาจากเจ้านาย แน่ล่ะ เจ๊เขาอยากเห็นภาพผู้ชายกินกันนี่

แต่จริงๆถึงไม่ถาม เดียร์ก็เริ่มรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ก็นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่นา

“ถ้าไม่รังเกียจ เลิกงานแล้วเราพอจะมีเวลาคุยกันได้ไหม” ไม่ว่าเปล่า มียื่นช่อกุหลาบให้ด้วย

อุก...หวานจนมดเกาะ แต่ขอโทษเถอะ ไอ้แบบนี้น่ะ ฆ่ากันให้ตายดีกว่า ของหวานเลี่ยนไร้ความรุนแรงแบบนี้มันไม่ใช่รสนิยม แถมมุกนี้ เจอมาสี่หนแล้วด้วย จะบอกว่าเล่นง่ายดีหรือเปล่าก็ไม่รู้...

“เอ่อ...ขอบคุณครับ” สิ่งที่อยู่ในใจเด็กหนุ่มตอนนี้คือ หลังจากอีกฝ่ายไปแล้วก็คงเอาช่อนี้มารีไซเคิลขายใหม่... “แต่...จะดีหรือครับ...ผมเป็นผู้ชายนะ”

เชื่อเถอะว่าที่ผ่านมา จบลงตรงนี้ทุกที ไม่รู้ว่าพวกนั้นมันหน้ามืดตามัวขนาดหนักกันหรือไงนะ ถึงไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายกัน ขนาดลงท้ายว่าครับแล้ว มันยังไม่รู้ตัวกันเลย

แน่นอนว่าตานี่ก็ด้วย

“หา!!”

น้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกอาการชัดเจนมาก ต่อไปก็จะเริ่มส่ายหน้าด้วยความสับสนพร้อมกับมองเราให้แน่ใจอีกที...แล้วก็มีอาการปวดหัวร่วมด้วยตามมา พร้อมกับซบหน้าลงบนโต๊ะ หรือชั้นวางดอกไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดตามสเต็ป ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับ ตะโกนบอกว่า ‘ช่วยลืมเรื่องเมื่อกี้ด้วยนะ’ จากนั้นก็รีบชิ่งหนีให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้...อ้อ พร้อมกับเก็บเศษหน้ายับๆออกไปด้วย แล้วก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเป็นครั้งที่สอง...ก็เจอบ่อยจนรู้เลยล่ะ...ดูสิเริ่มเอาหน้าซบโต๊ะแล้ว...ต่อไปก็คงเงยหน้าแล้วก็พูดว่า...

“ไม่เป็นไร ผมรับได้”

อย่าว่าแต่เดียร์เลย น้อยเกือบหยุดเสียงกรี๊ดเล็กๆของตนเอาไว้ไม่ได้ นี่ถือเป็นคนแรกเลยนะ ที่ยังกล้ารุกต่อเนี่ย

“ถ้าคุณไม่ถือ ผมก็อยากคุยเรื่องของเราให้มากกว่านี้” ชายหนุ่มกลับมามาดเดิม เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฝัน หากแต่คนฟังตอนนี้รู้สึกหน่ายใจเสียเหลือเกิน “คืนนี้สองทุ่ม ผมจะมารอ”

ไม่ทันให้เดียร์ได้ตอบก็มัดมือชก รีบออกจากร้านไปทันที ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งถือช่อดอกกุหลาบของร้านตัวเอง

นี่แค่พี่ชายไม่พอ ยังต้องเจอความรักหวานแหววจากไอ้หมีนั่นอีกหรือ...ไม่เอาง่ะ อยากได้ความรุนแรง อยากได้ความดิบเถื่อน ไม่ใช่ความรักหวานซึ้งตรึงใจแบบเน้!!! ไม่อ๊าววววว

“แหมๆ ขายออกซะแล้วสิเรา” จริงๆมันน่ากลุ้มมากกว่าน่าเชียร์นะพี่น้อย...อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องที่ว่าเป็นตัวผู้เหมือนกันนี่ล่ะ... “วันนี้สองทุ่มก็ไปได้เลยนะ พี่ไม่ว่า”

“แต่ว่า....”

“คำสั่งจ๊ะ แล้วถ้าพรุ่งนี้ไม่มาเล่าให้ฟังนะ น่าดู” ขู่ก็ไม่กลัวหรอก โดนกลั่นแกล้งมันเป็นของชอบผมนี่

เดียร์พยักหน้าตามน้ำ เขาคิดว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก บางทีที่พูดมาอาจเป็นเพราะไม่อยากเสียหน้าก็ได้

และเขาก็ชักอยากรู้เหมือนกันว่าพ่อหมีนั่นจะไหลต่อไปได้ซักอีกกี่น้ำเชียว

 

สิทธิ์เดินนิ่วหน้าออกมาจากร้านขายดอกไม้เสียตัวปลิว ผู้ติดตามทั้งสองที่ยืนรออยู่อีกฟากของฝั่งถนนพากันมองด้วยความแปลกใจกับสีหน้าของเจ้านายที่คล้ายคนใกล้เป็นลมอยู่รอมร่อ แต่ท่าเดินกลับดูรื่นรมย์แบบฝืนสุดชีวิต

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” วัฒน์อดถามไม่ได้ และแอบหยิกเนที่พยายามกลั้นหัวเราะ “หรือว่าเขาไม่เล่นด้วย”

“อะไรกัน เป็นไปไม่ได้หรอก คุณสิทธิ์หล่อจะตาย นี่ไม่นับเรื่องรวยด้วยนะ ขี้คร้านสาวๆจะตามก้นต้อยๆแทบไม่ทันน่ะสิ“ หลังจากหายขำ เนก็เริ่มต้นรายการอวดรุ่นพี่ที่ชื่นชมอย่างออกนอกหน้านอกตาและไม่อายฟ้าดิน แต่วัฒน์เองก็คิดเหมือนกัน เลยไม่ได้แสดงอาการอ้วกแตกใส่แต่อย่างใด

“ก็...เด็กนั่น...มันเป็นผู้ชายน่ะสิ”

“หา!” ทันทีที่ได้ยินคำตอบ เนก็เผลอร้องดังเสียจนคนสูงวัยที่อยู่ใกล้เกือบหูหนวกชั่วคราว “พูดจริงน่ะ สวยอย่างนั้นเนี่ยนะผู้ชาย โอ๊ย บ้าแล้ว”

“...ขนาดนายยังดูไม่ออกเลยสินะ...” สิทธิ์เอ่ยอย่างกลุ้มใจ “ให้ตายเถอะ ฉันก็นึกว่าผู้หญิง ออกจะตรงสเป็คฉัน...”

“แล้วเอาไงดีล่ะครับ” วัฒน์ถามต่อ สีหน้ากลุ้มไม่แพ้อีกฝ่าย

“...ก็เหมือนเดิม แผนเดิมไม่เปลี่ยน”

“หา!!!!!”

คราวนี้ร้องประสานเสียงเป็นลูกคู่เลยทีเดียว

“แต่...อีกฝ่ายเป็นผู้ชายนะครับ” เนร้องก่อนจะหยุดพูดแล้วสะดุ้ง สายตาคมเหล่มองไปยังเพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้าอีหลักอีเหลื่อ แต่วัฒน์กลับจ้องใส่อย่างเคียดแค้น ก่อนจะทำเมินไปทางอื่น

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ของแบบนี้น่ะ” สิทธิ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งกระอักมา “เอาน่า ยังไงฉันก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก็แค่อยากให้แผนสำเร็จก็พอ และดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้คิดมากด้วย เดี๋ยวนี้โลกมันออกจะเปิดกว้าง...อีกอย่างนะ ถ้าสวยแบบนั้น ฉันว่าก็คงไม่เป็นไรหรอก”

ลูกน้องทั้งสองอยากจะพูดเสียเหลือเกิน ว่าไม่เป็นไรได้ไงเล่า ต่อให้สวยยังไงนั่นก็ผู้ชายนะ แต่พอเผลอมองเพื่อนร่วมงานก็พากันพูดประโยคนั้นไม่ออก

“...มัน...จะดีหรือครับ....ต่อให้ไม่คิดอะไรยังไงก็เถอะ....ผมว่าคิดทบทวนดูอีกทีเถอะครับ” วัฒน์ทวนถามอีกรอบ สีหน้าเหมือนคนจะเป็นลม

“ชะ...ใช่ครับ ผมก็ว่างั้น” เนเอ่ยสนับสนุน แต่กลับดูลังเล สับสนและเครียด อาการเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียอย่างนั้น

“ไม่ล่ะ คิดดีแล้ว” คำตอบที่วัฒน์ได้แต่ถอนใจ ส่วนเนก็ถึงกับตะลึง...แต่แอบชื่นชมอยู่ลึกๆ “อาวัฒน์ช่วยจัดการดูการเคลื่อนไหวของฝั่งไอ้วินให้หน่อยนะครับ...ส่วนเน นายซื้อตั๋วเครื่องบินไปกระบี่ให้ป้านางไว้หน่อย...เอาเที่ยวพรุ่งนี้เลยล่ะกัน”

“ครับ” ลูกน้องได้แต่รับบัญชาอย่างมิอาจขัดขืน

สิทธิ์หันกลับไปมองยังร้านดอกไม้เล็กๆที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลับคุโชนไปด้วยเพลิงแค้นที่ยากจะมอดลง ความแค้นที่โดนหยามศักดิ์ศรีนี้ คงลืมกันไม่ลง

มุมปากชายหนุ่มเหยียดยิ้มกว้าง เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะขึ้นไปยังรถเบนซ์สีดำมันวาว

“ฉันอยากจะรู้นัก ว่าแกจะทำหน้ายังไง ตอนที่รู้ว่าน้องชายสุดที่รักตกอยู่ในมือฉัน”


__________________
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 28-05-2013 18:23:16
SM จัดมะ
ว่าแต่น้องชายอยู่ในมือ
จะทรมานจนรักเลยชิมิ
กดบวกและเป็ด :mc4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 28-05-2013 20:54:43
ฮ่าาาา แปลกดี ชอบจัง :)
จัดมาเต็มๆเลยนะคุณสิทธิ์ 5555555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 28-05-2013 23:11:19
โอ้ น่าติดตามมากค่า รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 28-05-2013 23:27:44
โรคจิตสุดๆแล้วตอนนี้
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 28-05-2013 23:34:03
 :o8: :o8: :o8: :o8:เพิ่งเคยอ่านนายเอกชอบความรุนแรงชอบนะสนุกดี :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 28-05-2013 23:55:48
มาแก้แค้นงี้ก็เข้าทางนายเอกเลยอ่ะดิ ถูกจับไปทรมาน อร๊างงง :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 29-05-2013 01:22:27
sm ชัดเจนขนาดนี้ ขอจองที่นั่งแถวหน้ารอติดตามเลยจ่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 29-05-2013 01:56:19
สิทธิ์จะทำอะไรกันนะนั่น
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 29-05-2013 12:23:25
คาดว่า คนจับตัวเดียร์อย่างสิทธิ์ก็อยุ่สายเอส
ส่วนเดียร์คงได้รับความรักรุนแรงสมใจตามสายเอ็มสินะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 2 (28/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 29-05-2013 18:01:50

รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 3

ไม่อยากให้ถึงสองทุ่ม....พอๆกับไม่อยากให้ถึงวันที่พี่มาเยี่ยมเล้ย....

ถึงจะอ้อนวอนให้ตายยังไง เดียร์ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่ไอ้เรื่องโรแมนติกหวานซึ้งน่ะ ไม่ว่าคนประเคนจะเป็นเทพบุตรจากสวรรค์ หรือจะเป็นเทพีสาวสุดเซ็กซี่แค่ไหนยังไงก็ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าเป็นเรื่องทารุณกรรมซ้ำแผลเก่าก็ว่าไปอย่าง ต่อให้เป็นพญามารสุดโหด รับรองจะรีบวิ่งเข้าไปหาแทบไม่ทัน

“เดียร์จ๋า พ่อสุดหล่อของเรามาแล้วแน่ะ”

น้อยทักขึ้นเมื่อเห็นคนงานร่างบางทำเป็นเดินหนีเข้าไปหลังร้านหลังจากเห็นสิทธิ์มายืนรออยู่ด้านหน้า เวลาสองทุ่มพอดีเป๊ะ

“...แต่ผมไม่ได้ชอบเขา...“ เขาไม่ถือเรื่องผู้ชายผู้หญิงก็จริง แต่ไอ้มาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจแบบนี้มันทำให้รู้สึกแย่สุดๆ ถ้าบังคับขู่เข็ญให้เจอกันก็คงไม่เล่นตัวนานนักหรอก

“เอาน่า คบกันไปก่อนเดี๋ยวก็ชอบกันเองนั่นล่ะ” พี่น้อยครับ ที่พูดออกมาน่ะ ก็แค่อยากเห็นผู้ชายจี๋จ๋ากันเท่านั้นใช่ไหมล่ะครับ ถึงจะเอาผมไปบูชายัญก็ไม่เกี่ยงสินะ...

เด็กหนุ่มนิ่วหน้ากลัดกลุ้ม ดวงตากลมเหลือบมองร่างสูงที่ยืนจ้องเข้ามาทางเขา พยายามเก็บความรู้สึกทรมานใจแล้วแสร้งยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

เล่นตัวมากๆ ทำตัวงี่เง่าๆให้หมอนั่นโมโหจนทำร้ายเราก็พอ แบบนี้อาจจะเวิร์คก็ได้ ถ้าให้ดีก็ฉุดรั้งไว้นานๆแล้วใช้ความรุนแรงกับเราเหมือนในละครตบจูบก็ดีสิน้า....แต่ถ้าไม่ใช่ละก็ ก็คงต้องขอเซย์กู๊ดบายละกัน

คิดได้แล้วก็ขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนจะออกไปหาทันที

“รอนานหรือเปล่า” เดียร์ถามเป็นพิธี ในหัวนึกแต่เรื่องการโดนตบตีเอาไว้เพื่อให้ตัวเองยิ้มออกมาได้อย่างจริงใจ

ร่างสูงหันมองด้วยใบหน้าสุขุม เผยยิ้มกว้างดูเป็นมิตรออกมา “ไม่หรอก ฉันก็เพิ่งมา”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว เขารู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของอีกฝ่าย มันไม่ให้ความเสน่ห์หาหวานชื่นอย่างที่เห็น แต่กลับดูเสแสร้งเหมือนต้องการปกปิดความจริงในใจเสียมากกว่า

“งั้นเราจะไปไหนกันต่อล่ะ” เดียร์พยายามไม่สนใจพิรุธที่ตัวเองเจอ แล้วชวนคุยเรื่องอื่น “แต่คงไปไหนมากไม่ได้หรอกนะครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้าทำงาน”

“งั้นก็กินข้าวกันเฉยๆก็ได้ จะได้มีเวลาคุยทำความรู้จักกันมากขึ้นไง” สิทธิ์ยังคงยิ้ม ซึ่งเป็นยิ้มจอมปลอมที่เดียร์เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บ

แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะปกปิดอะไรนั้น เดียร์ก็ไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้เขาแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะอดทนทำเป็นคบผู้ชายไปได้ต่อแค่ไหนมากกว่า

สิทธิ์พาเดียร์นั่งรถไปยังภัตตาคารของโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งจงใจเลือกโรงแรมที่ดีที่สุดในบริเวณนั้นเสียด้วย นับว่าทุ่มทุนสร้างมาก ถ้าเพื่อแค่ไม่อยากเสียหน้า

“ท่าทางคุณจะรวยเอาเรื่องนะเนี่ย” เดียร์ทำเป็นตื่นเต้นกับการเข้าภัตตาคารในโรงแรม จริงๆเขาก็เคยมาแถวนี้อยู่บ่อยๆเนื่องจากต้องมาส่งดอกไม้เวลาทางโรงแรมจัดงาน และปกติพี่ชายก็มักพาเขามากินแถวนี้ทุกทีที่มีโอกาสอยู่แล้ว

แถมที่นี่มันก็โรงแรมพี่ชายเขาด้วย แต่เดียร์มักจะชอบมากกว่าถ้าไม่มีคนรู้จัก เพราะฉะนั้นจึงมีลูกน้องใต้สังกัดวินเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ว่าเดียร์เป็นใคร

“ก็พอตัวอยู่” ร่างสูงเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมมองตา...ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกเขินอายหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่เดียร์รู้สึกจุกอกเหมือนกำลังจะอ้วก “อยากสั่งอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะ ผมเลี้ยงคุณเดียร์เอง”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว...มันรู้ชื่อตูได้ไง

“อ้อ ขอบคุณครับ เรียกเดียร์ก็ได้” แต่ก็ไม่ถาม แค่เรื่องชื่อเขามันไม่ใช่เรื่องปกปิดระดับชาติเสียหน่อย ไปสืบๆเสาะๆเอาแถวนั้นก็ได้มาเป็นประวัติแล้ว ถ้าจะสืบต่อไม่ถึงก็แค่เรื่องความชอบส่วนตัวของเขานั่นล่ะ “ว่าแต่ คุณคิดยังไงถึงได้อยากรู้จักกับผมหรือครับ”

“แค่อยากรู้จัก ไม่ได้หรือครับ”

อืม...มันก็ไม่ได้มีป้ายห้ามไว้หน้าร้านนี่นะ ว่าห้ามรู้จักพนักงานเป็นการส่วนตัว...

“ผมมองคุณมาตั้งนานแล้ว รู้หรือเปล่า“ เริ่มเน่ามาแต่ไกล...อุ ไม่ได้ๆ ต้องยิ้มไว้ เดี๋ยวมันรู้ “แต่เรื่องที่คุณเป็นผู้ชายนี่...ผมคาดไม่ถึงไปหน่อย”

“ปกติผมก็โดนทักว่าเป็นผู้หญิงประจำนั่นล่ะครับ” ร้อยละร้อยเลยทีเดียว ไม่เข้าใจจริงๆ เราเองก็ใช่ว่าจะตัวเล็กมากซะเมื่อไหร่ เกือบร้อยเจ็ดสิบแน่ะ อย่างน้อยๆก็เลยมาตรฐานชายไทยก็แล้วกัน แถมผมเผ้าก็ไม่ได้ไว้ยาวด้วย ซอยสั้นเหมือนผู้ชายปกติๆนั่นล่ะ...โอเค ซอยน้อยกว่าหน่อย แล้วก็ยาวถึงบ่า...ตาก็ดันโตไปนิด ขนตาเยอะไปหน่อย แล้วลูกกระเดือกก็ไม่ค่อยจะโผล่มารับแสงซักเท่าไหร่...แค่นั้นเอง “จะว่าไป ขอบคุณคุณสิทธิ์อีกครั้งนะครับที่ช่วยผมไว้เมื่อคืน”

ช่วยให้ผมเกือบจะลงแดง กระอักเลือดตายเพราะไม่ได้รับความรุนแรง...ให้ตายเหอะ

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ” เสแสร้งยังไงก็ยังงั้นจริงๆ ไอ้รอยยิ้มนั่น... “ผมว่าพักอยู่ในซอยลึกๆเปลี่ยวๆแบบนั้นมันอันตรายนะครับ โดยเฉพาะคนสวยๆแบบคุณ ดีไม่ดีจะถูกมันทำมิดีมิร้ายเอาได้นะ”

พอมันเห็นหางก็พากันอารมณ์หด วิ่งหนีกันหมดแล้วครับท่าน ถ้ามันจะเตะเผื่อสักทีสองทีก่อนจากก็ยังดีนะ...เฮ้อ...ทำอย่างกับเห็นผีไปได้....หรือพวกมันตกใจกับขนาดส่วนล่างของเราก็ไม่รู้...

“ไม่หรอกครับ ปกติไม่ค่อยมีคนมาทำร้ายผมหรอก” เดียร์โกหกไฟแล่บ “แค่ช่วงหลังๆมานี้เองล่ะครับที่มีคนมาทำร้าย ผมเองก็ไม่แน่ใจหรอก แต่รู้สึกจะเกี่ยวกับงานของพี่ชายผมน่ะ”

เด็กหนุ่มเห็นชัดเลยว่าสีหน้าอีกฝ่ายกระตุก แต่ก็ทำเป็นเมินเสีย

ท่าทางคนๆนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับพี่วินแหงมๆ...

“พี่ชายผมน่ะ เขาชอบเป็นห่วงผม ปกติก็มาหาผมเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว แต่พักนี้ถี่มากเลย เห็นว่าเพราะกลัวคู่แข่งทางการค้าเล่นสกปรกล่ะมั้ง ที่ผมโดนเมื่อวานก็น่าจะพวกคู่แข่งพี่น่ะครับ แย่มากเลยนะครับ คนพวกนี้นี่ เล่นงานตรงๆไม่ได้เลยต้องลอบกัดกัน”

เดียร์พูดพร้อมออกท่าฮึดฮัดไม่พอใจหวังจะลองดูอาการของอีกฝ่าย และก็ไม่ผิดหวังเสียด้วย

ใบหน้านิ่งดูเหี้ยมทันควัน สิทธิ์ตั้งท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่พอเห็นเดียร์จ้องไม่วางตาเลยรีบยิ้มให้แทน ซึ่งรอบนี้นอกจากดูเสแสร้งแล้ว ยังดูตลกแถมเข้ามาด้วย....คนอะไร ยิ้มไปขมวดคิ้วไป

“หรือ แย่เลยนะ” คำพูดเห็นใจแต่น้ำเสียงไม่ไปด้วยกันสักนิด...หน้าด้วย เหมือนมีใครไปเหยียบเท้าแต่ต้องยิ้มค้างไว้อย่างนั้นล่ะ “แต่บางทีอาจเป็นเพราะพี่ชายเธอไปทำเรื่องไม่ดีก่อนก็ได้นะ”

พูดงี้ มีประเด็นกันชัวร์ มิน่าล่ะ ทำไมรอบนี้พี่ถึงไม่ยอมเล่ารายละเอียด ที่แท้ก็ไปทำกับเขาก่อนนี่เอง

“เอ...ไม่รู้สิครับ” เด็กหนุ่มบอก แสดงท่าทียุ่งยากเล็กน้อย “พี่ไม่ค่อยเล่าเรื่องงานให้ฟังเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ด้วย เลยพูดอะไรมากไม่ได้”

จริงๆรู้ดีเลยล่ะ โถ ถึงจะบอกว่าลูกคนละแม่ยังไงก็เถอะ แต่ก็เคยอยู่บ้านเดียวกันมานะ แถมพ่อยังคอยกรอกหูเรื่องธุรกิจดำมืดที่อยากให้สานต่อเกือบทุกวันที่เจอหน้ากัน จะไม่ให้รู้ได้ไง ถึงตอนนี้ธุรกิจเกือบทั้งหมดจะเป็นของพี่วิน แล้วคุณพี่ชายแสนดีก็ไม่อยากให้น้องมาแปดเปื้อนเลยไม่ค่อยยอมเล่าเรื่องงานก็เถอะ แต่ก็รู้ได้อยู่ดีนั่นล่ะ ก็เพื่อนร่วมอุดมการณ์เขาไง ว่างเมื่อไหร่ก็มาเล่าให้ฟังทุกที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหนก็เล่าหมด...หรือจริงๆเพราะอยากหาเรื่องคุยกับผมให้พี่วินเห็นก็ไม่รู้

หลังจากที่อาหารมาถึงโต๊ะ สิทธิ์ก็เปลี่ยนมาชวนคุยเรื่องสัพเพเหระแทน ท่าทางเหมือนพยายามเลี่ยงหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องการงานกับเรื่องพี่ชายของเดียร์ เลยรู้อะไรไม่มากนอกจากอายุกับเบอร์โทร แถมยังเผลอไปตกลงเรื่องที่พ่อหมียักษ์จะมาหาเขาถึงที่ร้านขายดอกไม้ในวันพรุ่งนี้อีกด้วย

“เผลอตกลงไปได้ยังไงนะเรา” เดียร์สงสัยตัวเอง เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนอนในห้องเช่าของตน นึกทวนความจำที่ไปทานอาหารเมื่อครู่ แล้วก็เกิดอาการหน้ามืดอยากคายของเก่าขึ้นมา

สงสัยเพราะตอนนั้นรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศสีชมพูสดใสเลยรีบตอบส่งๆไปเพราะอยากออกจากตรงนั้นเต็มแก่เป็นแน่ คิดดูสิ กระอักจนลืมเหวี่ยงใส่เลยนะ

แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปหางั้นหรือ....

เด็กหนุ่มนอนมองเพดาน ขนตางอนเป็นแพกระพริบขึ้นลง

ถ้าเปลี่ยนเป็น ‘พรุ่งนี้ฉันจะไปลากคอแกถึงร้าน ถ้าหนีเจอดีแน่’ คงจะดีไม่น้อยเลยน้า

ถ้าอีกฝ่ายยอมพูดก็ดีสิ...

 

“ท่าทางจะไปได้สวยนะ...ฮัดเช่ย”

สิทธิ์จามลั่นอยู่หลังรถ และไม่ต้องสั่ง เนซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับก็รีบประเคนทิชชู่ให้อย่างรู้ดี

“เป็นหวัดหรือเปล่าครับ ช่วงนี้ตอนกลางคืนอากาศหนาวนะครับ” วัฒน์บอกอย่างเป็นห่วง “คุณเล่นใส่เสื้อยืดบางๆแบบนั้นก็หนาวแย่สิ”

“แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกหนาวตรงไหนนะ” สิทธิ์บอกพร้อมกับคลำคอตัวเอง “ไม่ได้เจ็บหรือคันคอด้วย”

“บางทีอาจจะมีใครนินทาคุณก็ได้มั้ง” เนเอ่ยล้อเล่นตามประสา และรีบเปลี่ยนท่าทีทันทีที่โดนเหล่ด้วยสายตาอาฆาตจากคนขับ “เอ่อ...ถ้ายังไงก็ทำตัวให้อุ่นๆไว้ดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะลดแอร์ให้”

สิทธิ์ไม่ได้ห้ามอะไรนอกจากนึกหัวเราะอยู่ในใจกับความเป็นห่วงเกินเหตุของลูกน้อง เขานั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง สีหน้ากลับมาดูเรียบนิ่งอย่างที่มักเป็น

“อาวัฒน์ วันนี้ไอ้หมอนั่นจะไปที่ไหน”

“...ร้านมีนครับ”

“ดี” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “พอดีเลยสินะ”

สีหน้าของลูกน้องทั้งสองออกอาการหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขารู้ดีว่ากำลังจะเจอเหตุการณ์อะไรต่อจากนี้

รถเบนซ์สีดำเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของผับขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการของสิทธิ์ ที่นี่เป็นร้านประจำที่สิทธิ์มาเวลาต้องการพักผ่อน และยังเป็นที่พบเจอคนบางคนที่ไม่น่าพบด้วย

“อุ๊ยตาย~ คุณสิทธิ์~คุณวัฒน์…น้องเน~~~~”

เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัดให้สูงดังขึ้นเมื่อเห็นสิทธิ์เดินมาดนิ่งเข้ามาที่หน้าประตู เจ้าของเสียงสะบัดชายกระโปรงที่ผ่าข้างจนเกือบถึงสะโพก พร้อมกับเอาพัดติดขนเฟอร์โบกไล่คนเฝ้าประตูที่ตัวยักษ์พอๆกับสิทธิ์ แล้วเข้าไปทักทายแขกทั้งสามด้วยใบหน้าชื่นมื่น แต่กับเนจะพิเศษกว่าตรงที่มีการสวมกอดกันด้วย

“หวัดดีครับพี่มีน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคร้าบ” เนเอ่ยเสียงใส แล้วสะดุ้งเมื่อโดนสายตาทิ่มแทงของเพื่อนร่วมงานจากข้างหลัง รีบผละออกจากพนักงานต้อนรับสุดสวยทันที

ร่างสูงยิ้มกว้าง แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วย “วันนี้ขอแบบพิเศษหน่อยนะครับพี่มีน...หรือเอาแบบเตรียมเผื่อเยอะๆเลยนะ”

ได้ยินคำสั่ง คนฟังถึงกับนิ่วหน้า “อย่ารุนแรงถึงขั้นใช้กำลังก็แล้วกันนะฮะ ช่วงนี้พวกตำรวจตรวจเข้มกันด้วยน่ะฮ่ะ เดี๋ยวจะเกิดปัญหาโดยใช่เหตุ”

“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่คนฟังยังกังวลไม่เปลี่ยน “ผมไม่เคยทำใครก่อนเลยพี่ก็รู้...ไม่ว่าจะอยู่ถิ่นตัวเองหรือถิ่นศัตรู”

นั่นไม่ช่วยให้ลูกน้องสบายใจเลยสักนิด...

“ฮ่ะ คุ...วินอยู่ที่ห้องวีไอพีห้องเอส กำลังรอคุณสิทธิ์อยู่ฮ่ะ”พนักงานสาวผมหยิกเกือบพลั้งปากเรียกศัตรูเจ้านายอย่างสุภาพ ยังดีที่วัฒน์ถลึงตาห้ามไว้ทัน “แล้วเดี๋ยวเจ๊จะให้เด็กๆเอากับแกล้มไปเสิร์ฟให้นะฮะ”

“ดี” คราวนี้สีหน้าเหี้ยมจนลูกน้องทั้งสามเผลอนึกว่าเจ้านายตนกำลังจะไปออกศึกฟาดหมัดแลกลูกตะกั่วแล้ว “อาวัฒน์ เน ไป!”

เท้าหนาย่ำลงบนพื้นกระเบื้องแรงเสียจนคนมองกลัวพื้นจะพัง สิทธิ์เดินขึ้นไปยังบันไดด้านข้างประตู ชั้นสองเป็นทางเดินยาวไปยังห้องอีกฝั่งซึ่งมีเพียงห้องเดียว และเป็นห้องสำหรับแขกระดับพิเศษสุดๆ รวมถึงสิทธิ์ที่เป็นเจ้าของที่นี่ด้วย

ประตูสีดำสนิทเปิดให้เห็นห้องขนาดกลางมีม่านสีครีมกั้นไว้รอบห้อง ชุดโซฟาผ้ากำมะหยี่สีดำจัดวางไว้อยู่กลางห้อง ชายสองคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานก็กำลังรออยู่ด้านใน คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังโซฟาตามหน้าที่ของคนเป็นลูกน้องและหันมายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับผงกหัวให้กับแขกที่มาเยือน ผิดกับคนที่นั่งอยู่ลิบลับ รายนี้ยิ้มก็จริง แต่กลับปล่อยออร่าสีดำทะมึนใส่สิทธิ์ชนิดคนรอบข้างรู้สึกได้

“มาช้าจังนะ รถชนหรือไงวะ” ชายหนุ่มผมซอยสั้นไว้หางเต่าเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนจะถอดแว่นตาทรงรีของตัวเองออกมาเช็ด แล้วใส่กลับเข้าที่เดิม “อะไรกัน วันนี้ใส่เสื้อซะเหมือนกุ๊ยข้างถนน เหมาะชะมัดเลยว่ะ”

“คุณสิทธิ์ครับ” ทั้งๆที่เจ้านายยังไม่ทันทำอะไรแต่วัฒน์ก็ร้องเรียกชื่อเหมือนอีกฝ่ายตั้งท่าจะประเคนหมัดอยู่รอมร่อ

ร่างสูงเหมือนยักษ์ปักหลั่นยังคงสีหน้านิ่ง แต่ลูกน้องทั้งสองต่างรู้ดีว่าข้างในมันตรงข้ามกับที่เห็น

“ถามจริงเหอะครับ มีเรื่องกันขนาดนี้แล้วยังจะมานั่งร่วมโต๊ะแบบนี้กันอีกหรือครับ” เนกระซิบถามผู้อาวุโสเสียงหวั่น กลัวเจ้านายจะระเบิด “คราวที่แล้วคุณสิทธิ์นอนโรงพยาบาลไปสามวันเลยนี่”

“...มาทำงานตรงนี้ตั้งหลายเดือนแล้วยังจะต้องถามอีกหรือ”วัฒน์กระซิบตอบอย่างรำคาญ “เลิกถามเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว”

เนตั้งท่าจะต่อปากต่อคำต่อ แต่เวลาไม่อำนวยให้พูดมากเท่าไหร่เลยได้แต่เก็บหนี้แค้นไว้ชำระรอบหน้าแทน

สิทธิ์ลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามวิน ทำเหมือนกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ แล้วบริกรก็เดินเข้ามาเหมือนรู้เวลา จัดการยกกับแกล้มเข้ามา แล้วเทบรั่นดีผสมโซดาอย่างรู้ดี จากนั้นก็รีบจรลีออกไปเหมือนกลัวว่าจะมีระเบิดแสวงเครื่องอยู่ข้างใน

“เขาว่ากันว่าหมาที่ดีแต่เห่ามันจะไม่กัด แต่หมาบางตัวก็เห่าดังฉิบหาย” สิทธิ์พูดขึ้นลอยๆแต่ก็ทำให้คู่สนทนามีรอยย่นระหว่างคิ้วได้ มือหนายกแก้วเหล้าขึ้นมาซดโฮกอย่างกับน้ำเปล่า จนวัฒน์กับเนสะดุ้ง “เห่าจนน่ารำคาญไม่พอ แถมยังชอบลอบกัดข้างหลังด้วย จริงไหมวะ ไอ้วิน”

“พูดถึงตัวเองหรือไงวะ ปากแกหมาเหมือนที่เห่าอยู่ตอนนี้เลยว่ะ” วินตอกกลับ ใจจริงอยากลุกขึ้นไปซัดไอ้หมีหน้านิ่งที่ไร้สัมมาคารวะกับคนอายุมากกว่าอย่างเขาเสียเหลือเกิน แต่เนื่องจากลงไม้ลงมือไปรังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่าๆ และนั่นก็ไม่ใช่วิธีการที่เขาชอบด้วย หนุ่มแว่นเลยพยายามอดทนไม่ให้มือหรือเท้าตัวเองหลุดไปอยู่บนหน้าอีกฝ่าย โดยการหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่มจนหมดแทน แล้วหันไปตะคอกใส่ชาเป็นการระบายอารมณ์ “ต้องให้สั่งรึไงวะชา รีบๆรินเหล้าสิวะ”

ในขณะที่เจ้านายกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขม่นกันไม่วางตา เหล่าผู้ติดตามของทั้งสองฝั่งต่างพากันมองหน้าด้วยความอ่อนใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

แต่ไหนแต่ไร สิทธิ์กับวินก็ไม่กินเส้นกันมานาน ทั้งๆที่ธุรกิจของทั้งสองดูแล้วออกจะเกื้อหนุนกันดี ถ้าร่วมมือกันได้คงทำธุรกิจไปรุ่งพุ่งแรงแซงทางโค้งชนิดฉุดไม่กลับเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าไปเกลียดกันเมื่อชาติปางไหน เห็นหน้ากันทีไรถึงได้จะกัดกันทุกที

และทั้งๆที่เกลียดกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็จะชอบบุกไปถึงถิ่นของอีกฝ่ายเหมือนคนไม่รักตัวกลัวตายเสมอ และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ บุกไปแต่ไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกันเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็ฟาดปากกันมากกว่า

อย่างเรื่องไร้สาระที่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้เป็นต้น...

“หึ นอกจากปากหมาแล้วอยากจะคลานเหมือนหมาอีกหรือไง” สิทธิ์ถากถางเมื่อเห็นอีกฝ่ายกระดกตาม และไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการเทบรั่นดีเพียวๆแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด เป็นการประกาศศึกอย่างเป็นทางการ

“เอาไว้บอกตัวเองเถอะ” วินค่อนแคะ แล้วรีบดื่มตามติดๆเหมือนกลัวเสียหน้า “แค่ขวดสองขวดเองสบ๊าย แกน่ะ อย่าเพิ่งน็อคไปก่อนก็แล้วกัน”

“อย่างฉันมากกว่าสามก็ยังไหว” สิทธิ์ตอกกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน“ทำอย่างที่โม้ให้ได้เหอะ”

เหล่าลูกน้องพากันเลิกคิ้วมอง...ถือแก้วกันให้อยู่ก่อนเถอะ นี่เพิ่งจะขวดแรกเองนะ

“...รอบนี้เตรียมเช็ดอ้วกได้เลย” วัฒน์พึมพำเสียงเบาบอกเพื่อนร่วมงาน หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว

เนหน้าซีดทันทีที่ได้ยิน “ผมจะบอกให้พนักงานเตรียมตัวเอาไว้ละกัน”

หนุ่มใหญ่ยักไหล่ให้ ไม่พูดอะไรเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรู้หน้าที่ดี

“อย่าคิดว่าเล่นสกปรกเป็นอยู่คนเดียว ฉันจะเล่นงานแกให้หนักกว่าเป็นร้อยเท่าเลยคอยดู”

หลังจากนั่งกระดกส่งสายตาอาฆาตกันไปจนถึงขวดที่สาม สิทธิ์ก็เริ่มพูดขึ้น ท่าทางเอาเรื่องเต็มที่ และเมาเต็มที่ด้วย

“อย่ามาพูดหมาๆนะโว้ย ใครเล่นสกปรกกันแน่วะ” วินเองก็หน้าแดงก่ำพอกัน “ถ้าแกหมายถึงเรื่องคราวก่อนล่ะก็เป็นเพราะแกมันดวงซวยเองนี่หว่า ใครใช้ให้แกโดนดักเล่นงานเองล่ะวะ คนน่าหมั่นไส้อย่างแกจะโดนก็ไม่แปลก คงสร้างศัตรูไว้เยอะล่ะสิ เฮอะ!”

“นั่นมันก็คนของแกทั้งนั้นไม่ใช่เหรอวะ ที่มาเล่นงานฉันน่ะ ไม่ต้องมาโกหก” สิทธิ์ตะคอกลั่น แต่ไม่ยักจะออกท่าออกหมัด

“ของฉันที่ไหน มีหลักฐานหรือไงวะ ถึงมากล่าวหาน่ะ” เมาแต่ยังยอกย้อนเก่งไม่เปลี่ยน

“ก็พวกมันบอกว่าแกสั่งมา แล้วฉันก็จำได้ว่าพวกนั้นมันลูกน้องแก”

“แล้วไง คนหน้าโหลมีตั้งเยอะแล้วแกก็โง่เชื่อที่มันบอกเหรอ โง้โง่ว่ะ กินแปะก๊วยแล้วโดดตึกตายเกิดใหม่เหอะไป๊”

วัฒน์ฟังแล้วก็ได้แต่หวั่นใจกลัวสิทธิ์จะโดดไปตะบันหน้าวิน แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์นั้นก็ตาม แต่คราวนี้เขากลัวเจ้านายหนุ่มของตัวเองจะตบะแตกเสียเหลือเกิน....ตอนนี้ดูๆแล้วก็ไม่เหลือสติอยู่เท่าไหร่แล้วด้วย

“หึ...แล้วจะคอยดูว่าไอ้โคตรฉลาดอย่างแกจะทำหน้ายังไงตอนที่โดนไอ้โง่คนนี้ตลบหลังเอา” สิทธิ์จงใจพูดให้ค้างคาแล้วทำทีเหนือกว่า ก่อนจะกระดกหมดแก้วทั้งๆที่ดูท่าทางจะไม่ค่อยไหวแล้ว

“ทำให้ได้เหอะ หนังหน้าอย่างแกน่ะ ทำได้ฉันกราบแทบเท้าเลยเอ้า” ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเมาหรือเพราะนิสัยปกติ วินถึงได้พูดแบบนั้น “ชาติหน้าตอนบ่ายๆเถอะว่ะ”

จากนั้นทั้งคู่ก็พากันหัวเราะหึๆ แล้วเริ่มแข่งกันกระดกเหล้าเอาเป็นเอาตายกันต่อ เนกับชาก็จัดการรินเหล้าให้อย่างรู้หน้าที่ทันทีอย่างไม่ขาดตอน ส่วนวัฒน์ก็ยืนอยู่นิ่งๆพลางมองนาฬิการอเวลา เขาหันไปส่งสัญญาณให้บริกรชายสองคนที่ยืนรออยู่ข้างประตูกระจกฝ้า คนหนึ่งก็เตรียมผลักประตู ส่วนอีกคนก็ถือผ้าขนหนู พร้อมผ้าเย็นมาอย่างละสองชุดรอไว้แล้ว

สาม...สอง....หนึ่ง....

“อุก....”

และแล้วก็เกิดเหตุการณ์นองอ้วกขึ้นอย่างที่หนุ่มใหญ่ว่าไว้ เนกับชาก็เข้าไปลูบหลังให้เจ้านายของตนทันที วัฒน์เลิกแขนเสื้อเชิ้ตลายทางสีน้ำเงินเข้มขึ้น แล้วรับผ้าขนหนูจากบริกรมารอไว้

จะฝืนดื่มจนอ้วกกันทำไมก็ไม่รู้นะ

“...ใครก่อน” หลังจากปล่อยจนท้องโล่ง สิทธิ์ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก “ใครอ้วกก่อน...”

“....เสียใจที่ต้องบอกว่าคุณสิทธิ์ครับ” ถ้าลำเอียงได้วัฒน์ก็อยากจะทำ แต่รับรองว่าไม่จบเรื่องแน่ ลองมาแล้ว “ยืนไหวหรือเปล่าครับ”

ท่าทางหมียักษ์ดูแย่มาก แต่ดูจะเพราะได้ยินคำตอบมากกว่าเพราะเพิ่งอาเจียนมา และยิ่งแย่หนักเมื่อเห็นสีหน้ามีชัยของวิน ถึงแม้ว่าตอนนี้วินจะอาการร่อแร่ แต่หนุ่มแว่นก็ยิ้มออกมาได้เมื่อรู้ว่าครั้งนี้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะ

“ฮ่าๆสะใจว่ะ! กลับโว้ย”

หนุ่มแว่นร้องอย่างรื่นเริง พอเช็ดอ้วกเสร็จก็เดินโซเซออกจากห้องโดยมีชาตามไปติดๆ และก่อนจากชาก็ยังไม่ลืมที่จะผงกหัวให้วัฒน์กับเนเป็นการบอกลาอีกด้วย

“หนอย ไอ้เวรนั่น...” สิทธิ์เอ่ยอย่างเคียดแค้นเป็นกำลัง แต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียวเพราะหน้ามืด

เนช่วยพยุงสิทธิ์ขึ้นมาให้นอนบนโซฟาดีๆ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นเหมือนอยากให้วัฒน์ช่วยเตือนสิทธิ์ แต่หนุ่มใหญ่กลับทำเมินแทน ดูแล้วน่าโมโหเสียจนเนลืมตัว

“คุณไม่คิดจะพูดอะไรบ้างหน่อยหรือ” พอเห็นสิทธิ์พับไปแล้วก็พูดใส่อย่างไม่เกรงใจ

“ทำไมฉันต้องทำตามที่นายพูดด้วย” วัฒน์ย้อน สีหน้าหาเรื่องเต็มที่ “แล้วคิดหรือว่าอย่างฉันต้องรอให้นายมาบอก ฉันน่ะเตือนคุณสิทธิ์ไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่คุณสิทธิ์ฟังที่ไหน ถ้าอยากห้ามก็ห้ามเองบ้างสิ ไม่ต้องมาบอกฉัน”

เด็กหนุ่มชักสีหน้าใส่ “แล้วทำไมคุณต้องอารมณ์เสียใส่ผมด้วย”

“ฉันไม่ได้อารมณ์เสีย!” ตะเบ็งเสียงพร้อมกับทำหน้ายักษ์ขนาดนั้น ต่อให้เด็กสามขวบเห็นก็รู้ว่าอารมณ์เสียอยู่ชัดๆ “นายพยุงข้างซ้าย ฉันจะพยุงข้างขวาไว้ เร็วๆ อย่ามัวแต่ยืนใบ้”

ถึงจะไม่ชอบใจ แต่พอโดนตัดบท บวกกับเป็นห่วงสิทธิ์ เนจึงได้แต่กล้ำกลืนคำโต้เถียงลงคอ ก่อนจะยอมทำตามผู้อาวุโสกว่าอย่างเสียมิได้

 

“ฮ่าๆ สะใจโว้ย”

วินกู่ร้องดีใจต่อชัยชนะ(ที่ไร้สาระ)ของตัวเองอยู่หลังรถคนเดียว ส่วนชาก็เพียงแต่เงียบฟังเจ้านายเอ่ยประโยคเมื่อครู่ไม่รู้กี่รอบแล้ว

“ฮ่าๆ สะใจโว้ย” วินเอ่ยซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง แต่เริ่มนั่งไม่อยู่เท่าไหร่แล้ว คอก็พับไปพับมาตามแรงเคลื่อนของรถ เสียงพูดเริ่มกลายเป็นเสียงงึมงำแล้วก็เงียบลง ดวงตาปรือที่พยายามฝืนเบิกตาก็เริ่มต้านไม่ไหว จนท้ายที่สุดก็ลงไปนอนฟุบบนเบาะอย่างสิ้นแรง

“...คุณวินครับ...” พอเห็นเงียบเสียงไป ชาก็ลองเรียกอีกฝ่ายพร้อมกับมองผ่านกระจกหลัง “คุณวิน”

เงียบ ม่อยกระรอกเรียบร้อยแล้ว

พอมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางตื่นแน่ ชาก็ต่อมือถือตัวเองเข้ากับสมอลทอร์ค กดโทรเบอร์ที่ไม่ได้รับสาย

“ว่าไง” ชายหนุ่มพูดขึ้นทันทีที่มือถือต่อติด “มีอะไรหรือ”

ชาเงียบฟังอีกฝ่ายพูด คิ้วบางขมวดเข้าหากัน สีหน้าหนักใจและหงุดหงิดไปพร้อมกัน

“...เข้าใจแล้ว”

เขาบอกกับคู่สายก่อนจะวาง ดวงตาเลื่อนมองกระจก ดูคนเมาที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างหลัง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทั้งคุณทั้งอีกฝ่ายนี่ก็หนักพอกันเลยนะ ไอ้เรื่องคนทรยศเนี่ย”
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 3 (29/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-05-2013 21:50:27
 :m20: :m20: :m20: :m20:ชอบสองคนนี้จังเลยอะ :really2: :really2: :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 3 (29/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 29-05-2013 23:03:27
ติงต๊องกันทั้งคู่ อ่านแล้วตลกดี ฮ่าๆๆ นึกว่าจะจริงจัง มันออกแนวเด็กประถมแกล้งกันนี่หว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 3 (29/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: BlackArrow ที่ 30-05-2013 12:42:27
 สองคนนี้ ทะเลาะกันเป็นเด็กอนุบาลไปได้ :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 3 (29/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 30-05-2013 13:29:36
มันน่าจะเครียดนะ

แต่ทำไม..... :jul3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 30-05-2013 17:56:04
เนื้อหาดันยาวเกินเลยต้องแบ่ง -3-

รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 4.1

ยามเช้าของวันใหม่ช่างแสนสดใส...แต่ไม่ใช่สำหรับใครบางคน โดยเฉพาะคนที่เมาค้าง

“อึก.....อูย....”

เสียงทุ้มครางอย่างทรมานออกมาจากผ้าห่มหนานุ่ม ดวงตาเรียวเลื่อนมองผ้าม่านสีครีมด้วยความรำคาญแสงแดด ทีแรกกะจะนอนต่อแล้ว แต่เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาข้างหัวเตียงบอกเวลาบ่ายสาม สิทธิ์ก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ แล้วก็ฟุบหน้าลงเตียงต่อเพราะปวดหัวจี๊ด เขานอนทำใจอยู่บนเตียงหลายนาที กว่าจะลากสังขารออกจากเตียงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว

“ไอ้สี่ตานั่น...อูย...”

พอนึกถึงความพ่ายแพ้เมื่อคืนก็ยิ่งแค้นหนักทวีคูณ แต่เขากลับยิ้มกริ่มเมื่อคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำวันนี้

“อ้าว คุณสิทธิ์...ไหวไหมครับ”

เนหันไปทักเจ้านายที่เดินกุมหัวโซเซลงบันไดไม้เคลือบเงา เด็กหนุ่มจะขึ้นไปช่วยแล้ว แต่สิทธิ์ยกมือห้ามไว้เสียก่อน

“ฉันไม่เป็นไรหรอก” ปากก็บอกแบบนั้น แต่หัวมันก็ปวดจี๊ดไม่ยอมหยุด กว่าจะเดินไปถึงเก้าอี้ในห้องรับแขกได้ เล่นเอาคนดูลุ้นตัวโก่ง ว่าจะไปนั่งได้โดยสวัสดิภาพหรือไม่

“...ผมว่าคุณสิทธิ์ไม่น่าจะฝืนตัวเองแบบนี้นะครับ” เนอดเตือนไม่ได้ พอเห็นสภาพร่อแร่คล้ายผีดิบของสิทธิ์ “มันจะไม่ดีต่อสุขภาพเอานะ”

นั่นก็รู้อยู่หรอก

“ถ้าจะแพ้ล่ะก็ สู้ให้ถึงที่สุดไปเลยยังจะดีกว่า...หรือนายโดนท้าทายแล้วหยามกันถึงที่ขนาดนั้น นายจะปล่อยไปแล้วให้มันหัวเราะเยาะเย้ยว่าเป็นไอ้ปอดแหกงั้นหรือ” สิทธิ์ย้อนถามตาขวางทั้งๆที่สังขารไม่ให้

เจอแบบนี้เนก็ได้แต่อ้าปากค้างไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร เพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงทำเหมือนกัน

“แล้วเรื่องที่ให้ไปจัดการเป็นไงบ้าง” พอเห็นเด็กหนุ่มไม่ตอบ สิทธิ์ก็เอ่ยถามเรื่องสำคัญ ทรุดลงบนเก้าอี้ไม้เร็วเสียจนเนนึกว่าเจ้านายเป็นลม

“เรียบร้อยครับ เหลือแต่เอกสารประจำสัปดาห์ของบริษัท ส่วนเรื่องรายงานของผับกับอาบอบนวดก็เหลือแค่สาขาของคุณจักรภพกับเอกราชที่ขอเลื่อนส่งเป็นวันนี้ครับ” เด็กหนุ่มรายงานพรืดแบบไม่ต้องดูโพย “ส่วนเรื่องคุ...วิน คุณวัฒน์ฝากบอกผมว่าวันนี้เขาจะไปเยี่ยมน้องชายที่ร้าน ถ้าให้ดีอย่าเพิ่งไปก่อนหกโมงเย็นครับ”

“อืม...งั้นก็พอมีเวลาหน่อยสินะ” สิทธิ์รับเสียงเนิบ แต่สีหน้าเหี้ยม “คอยดูนะ ฉันจะเอาคืนไอ้แว่นสี่ตาชิงหมาเกิดนั่นชนิดทบต้นทบดอกเลย ส่งคนมาทำร้ายพวกเราแล้วยังจะมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้ทำอีก...เล่นแรงซะจนฉันหัวแตกเย็บไปห้าเข็ม ส่วนนายก็ต้องนอนโรงพยาบาลเกือบเดือน”

“ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ ห่วงแต่คุณสิทธิ์มากกว่า” เด็กหนุ่มว่า แล้วก็หน้าเหี่ยวลงทันควันเมื่อนึกย้อนความทรงจำ “...บางทีผมคงสอบตกในการเป็นผู้ติดตามคุณสิทธิ์ก็ได้...ทั้งๆที่ผมต้องเป็นคนปกป้องแท้ๆ...แต่กลับทำให้คุณสิทธิ์มาบาดเจ็บเพราะผมซะได้...ถ้าได้สักครึ่งของคุณวัฒน์ก็ดีสิ...”

“นายอย่าเทียบกับอาวัฒน์เลย รายนั้นเขาช่ำชองเรื่องเป็นคนคุ้มกันน่ะ” สิทธิ์หัวเราะเสียงเจื่อน “เจอฝั่งนั้นยกพวกมาเป็นสิบแถมอาวุธครบมือ ยังแทบไม่เป็นอะไรเลย...มีแต่พวกเราที่ต้องนอนพังพาบกัน บางทีฉันยังสงสัยเลยนะ ว่าอาวัฒน์แกเก่งหรือไม่เก่งกันแน่”

ข้อนั้นเนเห็นด้วยเต็มที่ คนอะไร อายุก็สี่สิบแล้ว แรงก็ไม่ค่อยมี ทักษะการต่อสู้ก็ไม่ได้เรื่อง ดูอย่างไรก็เหมือนคุณลุงพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆแท้ๆ แต่ไอ้เรื่องหลบหลีกกับเรื่องใช้ปืนนี่เก่งมหาเทพจนต้องคารวะ

“งั้นเดี๋ยวผมจะบอกให้แมวเตรียมสำรับไว้ให้นะครับ...เดี๋ยวจะให้เอามาที่นี่เลย กับยาแก้เมาค้างด้วย”

เด็กหนุ่มบอกอย่างรู้ใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเจ้านาย แล้วรีบออกจากห้องรับแขกไปทันที

 

“...สีหน้าพี่แย่มากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า”

เดียร์เอ่ยทักอย่างอดไม่ได้ ดวงตากลมมองพี่ชายตัวเองที่มาเยี่ยมถึงร้าน แอบนึกสนใจว่าพี่ชายไปทำอะไรมาถึงได้ดูสะโหลสะเหลขนาดนี้....ก็ว่าจะไปทำมั่ง...

“เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยน่ะ...” ฟังเหตุผลแล้ว เดียร์เกือบจะเผลอแสดงอาการหน่าย ไม่ใช่เพราะเอือมกับพี่ชายที่ไม่เจียมตัว ชอบดื่มเกินขีดจำกัดของตัวเองหรอก แต่เพราะตัวเดียร์ไม่ชอบดื่มเหล้าเอาเสียเลย ไม่ใช่เพราะมันขมหรือเพราะไม่ดีต่อสุขภาพหรอก แต่เพราะดื่มแล้วสมรรถภาพการรับรู้ความเจ็บปวดมันน้อยลง เขาเลยไม่ชอบต่างหาก...ก็ต้องหาวิธีทรมานตัวเองกันใหม่ต่อ...

“พี่เนี่ยน้า” ร่างบางยิ้มให้พร้อมกับตบไหล่อีกฝ่าย “อย่าดื่มมากนักสิ เดี๋ยวร่างกายก็พังพอดีหรอก”

“อะไรกัน นานๆดื่มทีหรอก” วินยิ้มแป้นเพราะเข้าใจว่าเดียร์เป็นห่วง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อคุย “ว่าแต่เดียร์เหอะ ตกลงจะไม่เลิกทำงานที่ร้านดอกไม้จริงๆหรือ พี่ว่ามันลำบากออกนะ เรื่องเงินถ้าลำบากพี่ส่งให้ก็ได้”

พอมีโอกาสเมื่อไหร่ วินก็มักจะกล่อมเรื่องนี้ทุกที ใจจริงถ้าทำได้ก็คงอยากจะฉุดกระชากเอาตัวน้องชายมาเก็บไว้ข้างๆให้อุ่นใจเสียเหลือเกิน จะติดก็แต่คุณแม่แสนดีที่รักน้องคนนี้เป็นอันมาก...แกล้งได้ทุกทีที่มีโอกาสกันเลยทีเดียว เขาเลยต้องจำใจปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียวเพื่อแลกกับสัญญาที่ว่ามาริสาจะไม่แกล้งเดียร์อีก (ซึ่งก็เป็นสัญญาที่พระคุณแม่เน้นหนักแค่ว่า ‘จะไม่แกล้งต่อหน้าวิน’)

“คนเราก็ต้องทำงานสิ ให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆเป็นง่อยพอดี” และความสุขสบายก็ไม่ใช่สิ่งที่ถวิลหาเสียด้วยสิ “พี่อย่าห่วงไปเลย ผมสนุกกับงานดี แล้วเรื่องเงินก็ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย”

ถ้าให้ไปอยู่กับพี่มีหวังผมต้องอกแตกตายเพราะความสบายเกาะหลังแน่

“ว่าแต่เรื่องงานของพี่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

หนุ่มแว่นถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินคำถาม แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เขาแทบไม่เอามาคุยกับเดียร์เพราะคิดว่าน้องชายของตนไร้เดียงสาเกินกว่าจะมารับรู้งานของเขา...อย่างน้อยๆกว่าครึ่งก็เป็นงานที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้

และด้วยความที่รู้ดี เดียร์เองก็จะไม่ถามถึงให้เสียเวลาเหมือนกัน แต่คราวนี้ที่เอ่ยขึ้นมาเพราะคิดว่าอาจจะได้ยินเรื่องของสิทธิ์จากปากพี่ชายบ้าง อย่างน้อยๆเขาก็อยากรู้ว่าเจ้าหมียักษ์ที่ลงทุนมาจีบตนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

“ที่พักนี้พี่มาหาผมบ่อยๆก็เพราะเกี่ยวกับงานใช่ไหมล่ะ” เดียร์ทำเป็นเดาแม่น ทั้งที่จริงรู้มาก่อนแล้วทั้งนั้น “บอกไม่ได้หรือ”

วินมองหน้าน้องชายอย่างอึดอัดใจ เหมือนจะไม่อยากเล่า แต่ก็ไม่อยากขัดใจน้องแสนรัก เลยได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่อย่างนั้น จะเล่าก็ไม่เล่า จะปฏิเสธก็ไม่กล้า

เดียร์เห็นท่าจะไม่ได้ความ เลยใช้วิชามารที่เจ้าของร้านดอกไม้สอนมา

“นะ น้า พี่วินคนดี~” เสียงหวานออดอ้อนไม่พอ ยังทำตาใสแป๋วโจมตี ปิดท้ายด้วยการเอียงคอพอหอมปากหอมคอ...จริงๆเดียร์เองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าตัวเองทำแล้วมันดูดียังไง แต่อย่างน้อยๆก็ได้ผลทุกทีเวลาเชียร์ให้ลูกค้าชายซื้อดอกไม้

“แหม...มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ” เจอวิชานี้เข้าไป ถึงกับอ่อนปวกเปียกเลยทีเดียว “ก็ศัตรูคู่แค้นพี่มันเจ็บใจที่มาซื้อที่ดินที่เล็งไว้ไม่ทัน แล้วมาใส่ร้ายหาว่าพี่ไปแกล้งมัน แล้วยังจะขู่เอาคืนน่ะสิ คิดดูนะว่าพี่ยังไม่ได้ทำอะไรมันเลย มีแต่มันนั่นล่ะที่มาทำพี่ก่อน...พี่ถึงเป็นห่วงเดียร์ อยากให้เดียร์เลิกทำงานแล้วกลับมาอยู่กับพี่ไง”

เดียร์ฟังแล้วก็เลิกคิ้ว มันดูขัดจากที่สิทธิ์เปรยอยู่นะ

“เอ๋...แค่นั้นเองเหรอ...” เด็กหนุ่มทำเสียงงอน พร้อมกับจ้องตาจับผิดว่าอีกฝ่ายโกหกตนหรือเปล่า ซึ่งดูจากท่าทางการตอบแล้วก็ไม่เห็นพิรุธแต่อย่างใด

“อื้อ พี่จะโกหกเดียร์ไปทำไมล่ะ” ไม่รู้สิ ก็แบบว่าข้อมูลมันไม่ตรงกันนี่ “โกหกเดียร์ไปก็ไม่ได้อะไร แถมพี่เคยโกหกเดียร์ที่ไหนล่ะ”

เขาก็ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แถมดูแล้วก็ไม่ได้โกหกจริงๆด้วย

หรือว่าสิทธิ์เป็นฝ่ายโกหกเขา...เพื่ออะไรกันล่ะ

“ก็พี่ไม่ชอบเล่าให้ฟังนี่นา เลยต้องเค้นหน่อย” คราวนี้กลับมายิ้มให้ “ว่าแต่...พี่ไม่คิดจะให้คุณชาเข้ามาหรือ”

ตั้งแต่มา วินก็ใช้ให้ชายืนตากแดดอยู่หน้าร้าน ไม่ยอมให้เข้ามาด้วย ซึ่งดูแล้วเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะลำบากเท่าไหร่นัก เพียงแต่เดียร์คิดว่าชายืนบังหน้าร้านอย่างแรงนี่ล่ะ ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเข้าถ้ามีชายตัวโตใส่สูทดำมายืนหน้านิ่งเป็นมาสคอตหน้าร้านดอกไม้กัน ไม่ใช่ผู้พันแซนเดอร์สนะ

“ไม่เป็นไรหรอก” ลองน้ำเสียงเน้นหนักแบบนี้ แสดงว่าชาคงไปยั่วโมโหอะไรพี่วินแน่ “อีกอย่าง เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้ว....”

“ลาก่อนนะครับคุณเดียร์”

เหมือนรู้เวลากันเลยทีเดียว ทั้งๆที่อยู่หน้าร้านไม่น่าจะได้ยินวินพูดแท้ๆ แต่สามารถเปิดประตูเข้ามาเพื่อชิงบอกลาทั้งๆที่วินยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าน่านับถือหรืออะไรดี

“แก!!!” หนุ่มแว่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ด้วยความโมโห แต่ไม่อยากแสดงอาการป่าเถื่อนต่อหน้าน้องชายมากนัก วินรีบเปลี่ยนสีหน้า แล้วหันไปเอ่ยลาเดียร์ “งั้นพี่ไปก่อนนะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“อืม” ร่างบางโบกมือให้พร้อมรอยยิ้ม...ดีใจเหลือเกินที่ไปได้เสียที “พี่น้อย ไปแล้วครับ ไม่ต้องแอบ”

เจ้าของร้านซึ่งแอบมองอยู่หลังประตูเดินออกมาใบหน้าแช่มชื่น ท่าทางกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนเพิ่งโด๊ปยามา และเดียร์เองก็ไม่สงสัยเลย เพราะน้อยมีอาการแบบนี้ทุกทีเวลาเขาคุยกับผู้ชาย...แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นพี่ชายเดียร์เองก็ตาม แถมยังไม่ถือสาเรื่องที่วินคิดจะดึงพนักงานคนสวยออกจากร้านด้วย

“แหม เสน่ห์แรงจริงนะเรา พี่เห็นแล้วอิจฉา”

เดียร์ยิ้มที่มุมปาก เขาไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะดีใจทำไมที่เสน่ห์แรงกับผู้ชาย...แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอก เสียตรงคนที่เข้ามามีแต่พวกปากหวานมารยาทงามรสนิยมศิวิไลซ์เกินกว่าตนจะทนได้นี่ละถ้าป่าเถื่อนเลือดพล่านปากจัดก็ว่าไปอย่าง

“ผมกลัวว่าที่พี่วินมาบ่อยๆจะทำให้ร้านพี่น้อยไม่มีคนกล้าเข้าน่ะสิ” เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าพี่ชายก็หน้าตาใช้ได้ เสียอย่างเดียวคือชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับ พร้อมกัดใครก็ตามที่เผลอสบตาเข้านี่ล่ะ

“มันก็จริงอยู่หรอกนะ...” สาววัยสามสิบทำท่ากลุ้ม ก่อนจะยิ้มหยาดเยิ้ม “แหม แต่ได้เห็นอาหารตาบ่อยๆแบบนี้มันก็คุ้มอยู่น้า”

ถ้าอยากได้นัก วันหลังผมจะอัดวิดีโอมาให้เลยเอาไหม รับรองว่าได้ดูกันตาแฉะแน่

แต่ถึงไม่ทำแบบนั้น เดี๋ยววันนี้ก็มีฉายให้ดูอีกรอบนั่นล่ะ แต่เปลี่ยนตัวคนเล่นนะ

 
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 30-05-2013 17:58:02
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 4.2


สิทธิ์แวะมาหาเขาตอนเวลาสองทุ่มเหมือนเดิม และมาอย่างมีมารยาทเสียด้วย ท่าทางหมียักษ์จะเข้าใจว่าสองทุ่มเป็นเวลาเลิกงานของเขาเป็นแน่

“นี่ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่เข้าไปข้างในร้านล่ะ”เสียงหวานเอ่ยถาม ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะไม่อยากได้หุ่นบังหน้าร้าน เมื่อช่วงบ่ายก็ได้มาหนึ่งคนล่ะ

“จะดีหรือ ผมไม่ใช่ลูกค้านะ ให้เข้าไปจะไม่เป็นการรบกวนเดียร์หรือ” สิทธิ์ถามด้วยสีหน้ากังวล พร้อมกับมองไปยังเจ้าของร้านด้านใน ซึ่งเธอเองก็มองกลับมาหาเขาด้วยสายตามีเลศนัย

“ไม่เป็นไรหรอก” มาอยู่ตรงนี้ลูกค้าก็ไม่กล้าเข้ากันพอดีสิ “มานั่งรอก่อนก็ได้ วันนี้ผมเลิกงานช้าหน่อย...หรือคุณสิทธิ์มีธุระจะไปที่อื่นก่อนหรือเปล่า”

“ไม่หรอก หลังจากนี้ฉันว่างแล้ว” ร่างสูงระบายยิ้ม...ซึ่งเดียร์เห็นออร่าเสแสร้งกระจายมาแต่ไกล “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมก็ขอรอด้านในละกัน”

“อืม เข้ามาเถอะ” เด็กหนุ่มเปิดประตูต้อนรับ แล้วเรียกเจ้านายของตนให้หลุดจากการเพ้อแปลกๆ “พี่น้อย ผมให้คุณสิทธิ์เข้ามารอหน่อยนะครับ”

“จ้าๆ เชิญเลย จะพักที่ห้องด้านใน หรือนั่งตรงนี้ก็ได้นะจ๊ะ” เธอชี้ไปตรงเก้าอี้พับสีขาวที่วางอยู่ด้านหน้าเคาท์เตอร์ ยิ้มต้อนรับสิทธิ์ราวกับเขามาเป็นลูกค้าก็ไม่ปาน “ตามสบายเลยจ๊ะ”

“ต้องขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ” สิทธิ์ทักทายน้อย ยังคงยิ้มเสแสร้งเหมือนเคย แต่ดูท่าทางจะได้ผลกับสาวเจ้า หรือไม่เช่นนั้นแล้วก็คงเพราะเดียร์ดันประสาทสัมผัสดีเกินไป

“แหมๆ รบกวนตรงไหนกันล่ะจ๊ะ พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ” หน้าแป้นแล้นขนาดนั้น หวังรอดูฉากซั่มกันของเขากับผมหรือยังไงเนี่ยพี่น้อย...

“ผมนึกว่าเดียร์เลิกงานตอนสองทุ่มเสียอีก” หลังจากทักทายเจ้าของร้านพอเป็นพิธี สิทธิ์ก็เปรยขึ้นมา สีหน้าดูจะรู้สึกผิดและเสียดาย แต่เดียร์เห็นว่าดูจะหนักไปทางเสียดายมากกว่า

“ก็เลิกไม่ค่อยเป็นเวลาหรอก แล้วแต่ว่างานยุ่งหรือเปล่าน่ะ” เดียร์ตอบ ในมือก็ยังจัดดอกคาร์เนชั่นสีชมพูใส่แจกันแก้วทรงขวดโค้กไม่หยุด “แต่อีกเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้วล่ะ”

“ไม่ต้องรีบหรอก ผมรอได้”

อ่าฮะ ช่วยรู้สึกถึงสายตาปิ๊งปั๊งจากด้านเคาท์เตอร์หน่อยเถอะ ไม่อยากโดนสายตาสนุกแบบนั้นเท่าไหร่หรอกนะ...

และไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากให้สิทธิ์รอนาน หรือเพราะโดนเจ้านายมองตาเยิ้ม เดียร์ถึงได้รีบจัดการงานทั้งหมดจนเสร็จภายในครึ่งชั่วโมงทั้งๆที่ความจริงคงใช้เวลาชั่วโมงครึ่งโน่น...แต่คิดว่าเป็นเพราะขนลุกกับออร่าหวานฉ่ำของสิทธิ์มากกว่า เลยรีดเร้นทักษะและพลังทั้งหมดที่มีจัดดอกไม้ใส่แจกันกับกระเช้าด้วยความเร็วแสง

“ทำงานร้านดอกไม้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ” หลังจากนั่งดูเด็กหนุ่มทำงาน สิทธิ์ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “เดียร์นี่จัดดอกไม้เก่งนะ สวยด้วย”

ก็แค่จัดตามที่เรียนมาเท่านั้นล่ะ ไม่ได้มีอะไรยากเย็นสักหน่อย...ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ฟังดูเหมือนคนหัวดีไม่แยแสไปหน่อย “ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมยังทำได้ไม่เท่าพี่น้อยเลย พี่น้อยจัดสวยกว่าเยอะ”

“เปล่า ที่ผมบอกว่าสวยน่ะ หมายถึงเดียร์ต่างหาก”

เดียร์เกือบเบรกอ้วกไม่ทัน

“จู่ๆก็พูดอะไรของคุณน่ะ” เด็กหนุ่มทำตามสเต็ปที่น่าจะเป็นไปตามที่เคยเห็นในนิยายหรือละคร แม้ว่าจริงๆตอนนี้จะรู้สึกจุกอกและขนลุก เดียร์ก้มหน้างุด ซึ่งดูเหมือนว่าเขากำลังอายหน้าแดง แต่หน้าจริงๆคือเขียวคล้ำใกล้จะอ้วก

“ก็สวยจริงๆนี่” อย่าได้ไหม...กะจะให้อ้วกกันตรงนี้เลยรึไง อย่างน้อยๆช่วยใช้เสียงทุ้มๆนั้นให้เข้ากับลักษณะการใช้งานหน่อย กระชากเสียงน่ะ เป็นไหม ตะคอกก็ได้...

“เลิกพูดได้แล้ว” ร่างบางสะบัดเสียงสูงให้ฟังดูเหมือนอายจนทนไม่ไหว...ซึ่งเขาก็ทนไม่ไหวจริงๆ...หมายถึงจุกอกคลื่นไส้จนทนไม่ไหวนะ “แล้วนี่เราจะไปไหนกันดี...ไม่เอาร้านอาหารที่โรงแรมแล้วนะ”

ทำตาโตแบบนั้น แสดงว่ากะจะพาไปที่เดิมอีกล่ะสิ หัดคิดอะไรให้มันหลากหลายหน่อยไม่ได้หรือไงนะ ท่าทางต้องไม่เคยมีแฟนมาก่อนแหงมๆ หรือถึงมีก็ต้องเป็นฝ่ายโดนทิ้งแน่ๆ...ถึงหน้าตาจะดี รู้จักดูแลเทคแคร์ แต่ทื่อมะลื่อเป็นตอไม้ เดาใจอีกฝ่ายไม่เป็น ก็ไม่ค่อยจะไหวอยู่นะ

“...ถ้างั้นเดียร์อยากไปที่ไหนล่ะ” สิทธิ์เอ่ยถามเก้ๆกังๆ ท่าทางไม่คุ้นกับการตามใจคนอื่นเท่าไหร่

เด็กหนุ่มเอียงคอมองเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางให้ ดูน่ารัก หากแต่ใจจริงกำลังวางแผนร้ายอยู่

“ถ้าคุณสิทธิ์ไม่ว่าอะไรน่ะนะ”

พออีกฝ่ายไม่ขัด เดียร์ก็พาสิทธิ์เดินไปตามทางเท้า ข้ามไปสองซอย ซึ่งมีร้านแผงลอยขายอาหารตามสั่งอยู่หน้าซอย แน่นอนว่าสำหรับเดียร์ที่อยู่แถวนี้และเลิกงานดึกมาสองปี การมานั่งกินข้าวกับหนูท่อและกะจั๊วะน้อย อบอวลไปด้วยกลิ่นหืนของน้ำล้างจานกับขยะสดแถวๆนั้น นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

แต่ถ้ากับคนที่พาเขาไปถึงร้านอาหารหรูในโรงแรมก็อาจจะไม่ชวนรื่นเริงสักเท่าไหร่นัก

“...ชอบอาหารร้านนี้หรือ” สีหน้าขยะแขยงออกอาการแบบเก็บไม่มิดบ่งบอกให้รู้ว่าไม่เคยมานั่งเสวนาเฮฮาในที่แบบนี้มาก่อนแน่นอน

“อื้อ” ร่างบางรับเสียงใส “ถึงแถวนี้อาจจะไม่โสภาเท่าไหร่ แต่อาหารร้านนี้อร่อยอย่าบอกใครเลยนะ”

“...ถ้าเดียร์ว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ...” สิทธิ์ยังคงทำใจดีสู้เสือ และพยายามแสดงสีหน้าให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าของร้านเขม่นใส่

จริงๆเดียร์ก็ไม่ได้ตั้งใจแกล้งอีกฝ่ายหรอก แต่แค่อยากรู้ว่าสิทธิ์จะทุ่มทุนทนได้สักแค่ไหนกัน

“จริงสิ จำเรื่องที่คุยกันเมื่อวานได้ไหม เรื่องพี่ผมน่ะ” เด็กหนุ่มชวนเข้าเรื่อง ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้แบบไร้เดียงสา “พอคุยกับคุณผมเลยสงสัยแล้วลองไปถามพี่ดูน่ะ”

คิ้วหนากระตุกขึ้น ดวงตาเรียวมองมาอย่างสนอกสนใจ จนลืมว่ามีแมลงสาบกำลังเดินมาหาที่เท้าเขาในรัศมีห้าสิบเซนติเมตร ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่คนพูดต้องการ...หมายถึงสนใจฟังน่ะนะ

“ผมว่าแล้วล่ะว่าพี่ต้องไม่ใช่คนไม่ดีทำร้ายคนอื่นเขาก่อน” เดียร์พยายามสร้างภาพว่าตัวเองเห็นว่าพี่ชายเป็นคนดี๊ดี และตัวเองเป็นคนใสซื่อไร้พิษภัย...อย่างน้อยคนอื่นก็เห็นเขาเป็นแบบนี้มาตลอด “พี่บอกว่าอีกฝ่ายทำไม่ดีก่อน พี่เขาเลยแค่เอาคืนน่ะครับ...”

“...งั้นหรือ...”

เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นอย่างเบาบาง และแน่นอนว่าเดียร์สังเกตเห็นว่าสิทธิ์พยายามกัดฟันเอ่ยให้ฟังดูปกติ ทั้งๆที่กำลังโมโหมาก ซึ่งชวนให้สงสัย เขาคิดว่าสิทธิ์น่าจะรู้สึกตกใจหรือกลัวมากกว่า...ยิ่งถ้ารู้ว่ามีแมลงสาบยืนอยู่บนรองเท้าหนังดำวาวท่าทางแพงระยับนั่น คงตกใจและกลัวมากเป็นแน่...

ทำไมต้องโกรธทั้งๆที่ทำผิดก่อนด้วยล่ะ

ทีแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นพวกทำผิดไม่รู้จักผิด แต่เดียร์ก็ลองพูดต่อเพื่อดูอาการ “อืม แต่ว่าแค่ไปซื้อที่คืนเอง กลับแค้นถึงขนาดมาลอบทำร้ายผมเลยเนี่ย...”

“บางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่นั้นก็ได้”

อะไร จะบอกว่าพี่วินโกหก ทั้งๆที่มันต้องมีอะไรมากกว่านี้งั้นหรือ

ใจจริงก็อยากจะถามออกไปแบบนั้น แต่ลองพูดไปมีหวังสิทธิ์คงหน้าตื่น แล้วชิ่งหนีแบบไม่มีวันกลับมาให้เห็นหน้าเป็นแน่แท้

และถ้าไม่รู้ความจริง บางทีเรื่องมันอาจจะคาราคาซังต่อไป ชนิดแบบชาตินี้จะจบหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ซึ่งเดียร์ไม่ชอบแน่นอน อย่างน้อยการเห็นหน้าพี่ชายที่เข้ามาเป็นห่วงทุกสามวัน มันจะทำให้เขาประสาทกิน...อุตส่าห์ออกมาอยู่คนเดียวแล้วแท้ๆ

“ไม่เอาน่า พี่ผมไม่ใช่คนชอบโกหกซักหน่อย คุณสิทธิ์พูดเหมือนรู้จักพี่ผมไปได้” สวนกลับพร้อมกับยิ้มร่า ฮุกซ้ายนี้เล่นเอาจุกเลยล่ะสิ หน้าเบี้ยวแบบปั้นยิ้มแทบไม่ทัน

“ผมก็พูดไปเรื่อย อย่าถือสาเลยนะ” มาแล้ว ยิ้มเสแสร้ง...ใจจริงคงอยากจะพูดออกมาล่ะสิว่ามันไม่จริง หน้ามันฟ้อง

เดียร์แอบทึ่งในความมุ่งมั่นของสิทธิ์เหลือเกินหลังจากผ่านอาหารมื้อค่ำ ทั้งๆที่แสดงอาการรังเกียจและทำท่าจะอ้วกกับกลิ่นขยะที่โชยมาตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องระแวดระวังไม่ให้สิ่งมีชีวิตลึกลับมาเที่ยวไต่รองเท้าเล่นเหมือนเมื่อครู่ด้วย แต่พอข้าวมาก็ฟาดเรียบ แล้วก็กลับมาทำอาการเดิมต่อ จนเดียร์ต้องรีบพาออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะตนเริ่มจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว

“คุณสิทธิ์ทำท่าตลกจัง” ร่างบางเอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเซียวก็ยิ่งกลั้นไม่อยู่ “ถ้าไม่ไหว ทำไมไม่บอกล่ะ”

“...ก็ไม่ได้ไม่ไหวอะไรนี่” ยังจะทำเป็นแข็งใจพูดได้อีก ทั้งที่เดินไม่ค่อยจะตรงทางแล้วแท้ๆ “แล้วนี่เดียร์จะกลับหอเลยใช่ไหม”

ที่จริงเขาก็อยากจะหลอกถามเรื่องความแค้นส่วนตัวของสิทธิ์ต่ออีกหน่อย แต่พอดูเวลาแล้วก็จำเป็นต้องฝืนใจลา

แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ย เสียงข้อความเข้ามือถือของเดียร์ก็ดังขึ้นเสียก่อน และเป็นเสียงเรียกเข้าที่เด็กหนุ่มตั้งเฉพาะเวลาได้ข้อความจากชา ลูกน้องคนดีผู้ชอบความเจ็บปวดและเป็นกระสอบทรายส่วนตัวของพี่ชาย พอหยิบขึ้นมาดูก็ต้องเลิกคิ้วกับข้อความ

[อีกห้าวินาที คุณวินจะตะโกนเรียกคุณจากข้างหลังครับ]

“เดียร์!”

ให้ตายเถอะ ยังไม่ทันถึงสองวินาทีด้วยซ้ำ

ทั้งเดียร์และสิทธิ์ต่างตกใจกับการมาเยือนแบบไม่ทันคาดคิดของวิน ใบหน้าของหนุ่มแว่นถมึงทึงและปล่อยออร่าสังหารชนิดไม่คิดเก็บไว้แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นใบหน้าที่มักจะเห็นตอนที่เดียร์คุยกับหนุ่มๆ

แต่ดูท่าทางวินจะไม่รู้ว่าคู่เดทคราวนี้เป็นใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหน้าตกใจเหมือนเจอผีหรอก...สิทธิ์เองก็พอกัน

“แก...” วินยังคงมองตาค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอได้สติก็รีบฉุดน้องคนงามออกมาจากหมียักษ์ทันควัน “แกมายุ่งอะไรกับน้องฉัน”

สิทธิ์กลับมาตั้งสติได้ไวกว่า เขาเลิกคิ้วทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว “หืม ฉันไม่รู้ว่าเป็นน้องนายนี่”

“พี่วินรู้จักกับคุณสิทธิ์หรือ” เสียงหวานเอ่ยถาม พร้อมกับดันร่างพี่ชายออกห่าง

“ใช่ รู้จัก รู้ดีเลยล่ะ” วินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางพร้อมลุยเต็มที่แต่ก็ไม่ยักจะไปตั๊นหน้าสิทธิ์เหมือนอย่างที่ผ่านๆมา “เดียร์อย่าไปยุ่งกับมันนะ ไอ้หมอนั่นมันไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็นหรอก”

อย่ามายุ่งน่า

ก็อยากจะพูดออกไปอยู่หรอก แต่เดี๋ยวเสียภาพลักษณ์หมด แล้วจะผิดแผนที่วางไว้ด้วย ถึงจะรำคาญยังไงก็ต้องอดทน

“ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงยุ่งไม่ได้” เดียร์ทำเป็นโวยวาย “คุณสิทธิ์เขาไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย ทำไมพี่วินต้องห้ามผมด้วยละ…แล้วนี่พี่วินมีอะไรถึงมาหากันป่านนี้ละ”

และไม่ต้องรอฟัง พอเห็นสายตาของชาที่มองมา เดียร์ก็รู้ได้ทันที...แสดงว่ารอบนี้มาแบบกะทันหันด้วยอารมณ์อยากมาล้วนๆ จนชาไม่ทันได้ส่งข้อความมาเตือนก่อนเลยสินะ...ให้ตายเถอะ!

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ” ท่าทางจะโมโหจนไม่ฟังอะไรแล้วแฮะ “แต่ยังไงเดียร์ก็ต้องเลิกติดต่อหมอนั่นอีก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”

“ไม่เอา” ร่างบางดื้อสุดชีวิต “พี่วินไม่มีเหตุผลเลย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”

“นั่นสิ ทำไมต้องมาขวางกันด้วย” คู่กรณีที่เงียบอยู่นานเอ่ยเหมือนคนไม่รู้เรื่อง...แต่จากท่าทีก่อนหน้านั้น เดียร์ก็พอจะรู้ว่าคงเพิ่งคิดแผนออก “ฉันจะรู้จักน้องนายไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้โว้ย ไอ้เวรตะไลอย่างแกน่ะ อยู่ให้ห่างจากน้องฉันสามร้อยเมตรเลย ถ้ากล้าเข้ามาอีกล่ะก็ ฉันจะไม่ไว้หน้าเหมือนที่ผ่านมาแล้วนะโว้ย” วินโวยวายแบบไม่อายชาวบ้าน แต่ก็ดีหน่อยตรงที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านแถวนี้สักเท่าไหร่

“ไม่เอาน่าพี่” พอเห็นท่าไม่ดี เดียร์ก็รีบหยุดพี่ชายเอาไว้ แล้วหันไปพูดกับสิทธิ์ด้วยท่าทางร้อนรน “คุณสิทธิ์กลับไปก่อนเถอะครับ นะครับ”

“ทำไมนายต้องไปขอร้องมันด้วย โธ่ว้อย!!” วินยิ่งสติแตกเมื่อได้ยินเสียงหวานคุยกับไอ้หมีควายนั่นเสียดิบดี

โชคดีที่สิทธิ์ไม่คิดจะต่อความยาวต่อ หรือบางทีอาจเพราะสะใจที่เห็นอาการคลุ้มคลั่งของวินแล้วก็เป็นได้ ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้า ก่อนจะเดินอาดๆจากไปแบบผู้มีชัย

“พี่วิน ไม่เอาน่า อย่าโมโหได้มั้ย” ถ้าจะลงไม้ลงมือล่ะก็โน่นเลย รออยู่ข้างหลังนั่น...ไม่อย่างนั้นจะลงที่ผมก็ได้ “ทำไมต้องชอบมีเรื่องด้วย”

“พี่ไม่ได้ชอบมีเรื่องนะ ก็ไอ้หมอนั่น ไอ้เวรสิทธิ์นั่นน่ะ....” หนุ่มวินอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลุดในสิ่งที่ไม่อยากหลุดออกไป

“คุณสิทธิ์ทำไมหรือครับ”

“....ไอ้หมอนั่นน่ะ...มันเป็นศัตรูของพี่น่ะสิ” กว่าจะยอมหลุดปาก เล่นเอาทั้งชาทั้งเดียร์ลุ้นตั้งนาน แถมนั่นก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งบางแล้วด้วย “ที่มันเข้าใกล้เดียร์มันต้องคิดร้ายกับเดียร์แน่ๆ เพราะงั้นเดียร์อย่าไปยุ่งกับมันอีกเลยนะ”

แบบนั้นก็ของโปรดเลยน่ะสิ

“จริงหรือ” ตกใจ๊ตกใจจริงๆนะเนี่ย พยายามเบิกตาโตอ้าปากค้างให้ดูตกใจด้วย เพราะคนมองจะได้ไม่ทันสังเกตประกายดีใจที่กระจายออกมา “ผมไม่เห็นว่าคุณสิทธิ์เขาจะดูไม่ดีอย่างที่พี่บอกเลยนะ...”

“มันก็แค่แสร้งทำเท่านั้นล่ะ” วินร้อง ท่าทางเหมือนคนจะเสียสติเข้าทุกที “มันคงหาทางแก้แค้นพี่ไม่ได้แล้วเลยคิดจะเข้ามาทางเดียร์แทน สกปรกสิ้นดี”

ประโยคหลังนี้เดียร์เองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเห็นด้วยดีหรือเปล่า เพราะคนที่พูดอยู่ก็ไม่ได้สะอาดใสปิ๊งพอที่จะไปด่าอีกฝ่ายเสียหน่อย

“...ผมเข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มตอบให้อีกฝ่ายสบายใจ ซึ่งก็ได้ผล “ผมจะไม่ยุ่งกับเขาอีก”

หมายถึงจะไม่ยุ่งกับเขาต่อหน้าพี่น่ะนะ

สีหน้าของวินดูดีขึ้นทันตาเมื่อน้องชายคนดีเอ่ยคำที่อยากฟัง

“ดีแล้ว แล้วถ้าไอ้หมอนั่นมากวนนายเมื่อไหร่ บอกพี่ทันทีเลยนะ” มือหนาจับไหล่บางแน่น สีหน้าดูกังวลและเป็นห่วงมาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกดีใจที่ได้รับการดูแลถึงเพียงนี้...แต่ไม่ใช่เดียร์แน่ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกดีในตอนนี้คือความเจ็บปวดจากการโดนบีบไหล่ ที่ช่างรวดร้าวถึงทรวงดีเสียเหลือเกิน เล่นเอาเคลิบเคลิ้มจนเกือบลืมฟังที่พี่ชายพูดเลย “พี่จะมาไล่มันให้ทันทีเลย หรือเดียร์จะมาอยู่ที่บ้านพี่ก่อนก็ได้”

“อืม เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มรับเสียงใสด้วยรอยยิ้มที่(ดูเหมือน)บริสุทธิ์ “งั้นพี่กลับบ้านเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว ผมเองก็จะกลับหอด้วย...ผมกลับคนเดียวได้ หออยู่แค่นี้เอง”

ทีแรกวินยังคงดูลังเล แต่ก็ยอมตัดใจเมื่อโดนคะยั้นคะยอ กว่าจะลาลับก็เล่นเอาเดียร์โบกมือให้ตั้งไม่รู้กี่รอบ

“ไปได้ซักที” ร่างบางเหวี่ยงแขนขึ้นลงแก้เมื่อย เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในตึก และยกมือถือขึ้นมากดเบอร์ในขณะรอลิฟท์ “สวัสดีครับ คุณสิทธิ์หรือเปล่าครับ”

“อ้าวเดียร์” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความแปลกใจ คงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโทรมาหาหลังจากเกิดเรื่อง “มีอะไรงั้นหรือ”

“ผมแค่อยากขอโทษคุณเรื่องพี่ชายผมน่ะ พอดีเขาชอบเป็นห่วงผมเกินเหตุแบบนั้นล่ะครับ อย่าไปถือสาเขาเลยนะ” เด็กหนุ่มบอก พยายามแสดงน้ำเสียงรู้สึกผิดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก...” สิทธิ์ดูจะลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “แล้วพี่เธอพูดอะไรถึงฉันบ้างหรือเปล่า”

“เอ...ไม่นี่ครับ” โกหกหน้าตายเป็นงานอดิเรก...งานประจำก็มาโซฯไง “แค่เอาแต่บอกว่าอย่าให้ผมยุ่งกับคุณท่าเดียวเลย...พี่ก็เป็นแบบนี้ล่ะ ผมคุยกับใครก็ห้ามหมด ผมก็รู้ว่าเป็นห่วง แต่ก็เบื่อเหมือนกันนะ...จะว่าไป บังเอิญจริงๆนะครับเนี่ยที่คุณสิทธิ์รู้จักกับพี่ผมด้วย”

“ฮะๆๆ บังเอิญจริงๆล่ะ” เสียงตะกุกตะกัก แถมหัวเราะเกินเหตุแบบนี้ เดียร์ฟังปุ๊บก็รู้ทันทีว่าโกหก “ฉันกับเขาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันน่ะ ไม่นึกเลยนะว่าเดียร์จะเป็นน้องของวิน ไม่เห็นเหมือนกันเลย”

“ใครๆก็พูดแบบนั้นล่ะครับ” ผมได้หน้าแม่ ส่วนพี่ก็ได้หน้าโฉดๆแต่เร้าใจจากพ่อ...แต่นิสัยนี่คุณแม่มาริสาเต็มๆ “ยังไงผมก็ต้องขอโทษแทนพี่ด้วยจริงๆนะครับ ถ้าพอจะมีอะไรไถ่โทษให้ได้ผมก็ยินดี”

โดดไปเกาะสายเบ็ดเสียขนาดนี้ แถมเอามาพันตัวเองพร้อมกับผูกเงื่อนตายให้อีก ถ้าไม่กระตุกเหยื่อก็ไม่รู้จะพูดยังไงล่ะ

“จริงหรือเปล่า” สิทธิ์ถามอย่างคาดเค้นและตื่นเต้น น้ำเสียงดีใจแบบไม่ปกปิด “งั้นถ้าไม่ติดอะไร วันเสาร์หน้าเราไปเที่ยวด้วยกันมั้ย”

มันต้องอย่างนี้สิ ไม่เสียแรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: BlackArrow ที่ 30-05-2013 18:31:49
มาทีเดียวสองเลยเลย ขอบคุณค่ะ :pig4:  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 30-05-2013 19:27:39
สองคนนั้นมีเบื้องหลังอะไรกันหรือป่าวววนาาาา ดูวินร้อนตัวแปลกๆ  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: bjinkn ที่ 30-05-2013 20:07:19
อร๊าย ในที่สุดเตงก็สมัครได้แล้ว ดีใจจังเลย   แปะไปก่อนนะตัว  ช่วงนี้งานเยอะ  อาจไม่ว่างมาอ่านสัก 1-2 อาทิตย์

แบบว่าของแบบนี้ต้องบิวอารมณ์  ไม่งั้นมันไม่ฟิน

สุดท้ายนี้ เหมือนเดิม  จ้วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ปล.รู้แล้วชิมิว่าเค้าคือครายยยยยย  :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 30-05-2013 20:18:35
นายเอกเรา ร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 4 (30/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 30-05-2013 22:22:06
เริ่มจะสงสารพระเอกแล้วอะดิ :mew5: :mew5: :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 31-05-2013 18:20:58
โอ้วพลอยหาเค้าเจอแล้ว=[]=!! จุม้วบด๊วบๆด๊าบๆๆซ้วบบบบบบบบบบ

รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 5

[ข้อความเข้า]

[โมเม พี่ไปทำไรสิดอะ รุปะ]

[จาก:มีมี่ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:23.35น.]

ชาเลิกคิ้วมองข้อความที่พิมพ์ผิดๆในมือถือด้วยความแปลกใจพร้อมกับมองนาฬิกาในห้องพักของตัวเองที่บอกเวลาเที่ยงคืนสิบสี่ เขาเพิ่งได้กลับเข้าห้องพักของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง เพราะต้องรอให้เจ้านายจอมเผด็จการเสด็จขึ้นห้องไปเสียก่อน

ชายหนุ่มหน้านิ่งกดปุ่มมือถือด้วยความไวแสงอย่างชำนาญตามประสาคนใช้บ่อย จากนั้นก็กดส่งข้อความให้ไปยังน้องมีมี่ ซึ่งก็เป็นข้อความที่พิมพ์ด้วยภาษาที่ใช้เอาไว และเข้าใจกันแค่เฉพาะกลุ่ม แม้จริงๆจะอยากโทรไปคุยเลยเพราะมันง่ายกว่า แต่นั่นเป็นทางที่อันตรายกว่าเยอะ และชาเองก็ไม่อยากเสี่ยง รวมถึงน้องมีมี่ด้วย

[ข้อความเข้า]

[มะได้ทำอะ ทั้งคู่เลย]

[จาก:โมเม ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:00.17น.]

เดียร์นิ่วหน้าอ่านข้อความ ใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะบอก เด็กหนุ่มกดพิมพ์ข้อความถามต่อ

[ข้อความเข้า]

[พี่เข้าใจว่าสิดทำไรอะ]

[จาก:มีมี่ ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:00.19น.]

[ข้อความเข้า]

[วินคิดว่าสิดแจ้งพ่อจับบ่อนลาด วินชิงซื้อที่ๆสิดอยากได้ สิดโดนดักจนเข้าบาล คิดว่าวินสั่งดัก]

[จาก:โมเม ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:00.23น.]

จากข้อความแปลได้ว่า ‘คุณวินเข้าใจว่าคุณสิทธิ์เป็นคนแจ้งตำรวจเรื่องบ่อนพนันที่ลาดพร้าว ซึ่งนั่นเป็นแหล่งพนันที่มีคนรู้แค่ไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็มีคุณสิทธิ์ที่เป็นศัตรูคนเดียวของคุณวิน ดูแล้วคงเป็นคนอื่นไปไม่ได้ จากนั้นด้วยความแค้น คุณวินเลยไปชิงซื้อที่ดินตรงที่คุณสิทธิ์อยากได้ แต่คุณสิทธิ์มาซื้อไม่ได้เพราะโดนคนดักทำร้ายระหว่างทางจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งคุณสิทธิ์เองก็เข้าใจว่าคุณวินเป็นคนสั่งการให้มาทำร้ายตน’

ก็ต้องเข้าใจหน่อยว่าพิมพ์ผ่านมือถือมันจำกัดตัวอักษร แล้วก็ต้องเน้นไวน่ะนะ...

เด็กหนุ่มนึกสงสัย แสดงว่าต้องมีใครบางคนจัดการให้พี่ชายกับสิทธิ์ผิดใจกัน(เข้าไปอีก)งั้นสิ

[ข้อความเข้า]

[ละใคทำรุปะ]

[จาก:มีมี่ ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:00.27น.]

หลังจากส่งไปคราวนี้ชาเว้นช่วงไปนานมากทีเดียว กว่าจะส่งกลับมา เล่นเอาเดียร์เกือบหลับคาเตียง

[ข้อความเข้า]

[นิน มะมีหลักถาน]

[จาก:โมเม ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:00.53น.]

‘นิน’ ที่ชาพิมพ์ก็คือ ธานินทร์ ซึ่งเป็นลูกน้องคนหนึ่งของวิน และเป็นคนสนิทของวินในอันดับต้นๆ เดียร์เคยพบแค่ไม่กี่ครั้งตอนที่ยังอยู่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของพ่อ ดูภายนอกแล้วก็เป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่ง ทำงานว่องไวเลิศเลอ เป็นคนที่น่าไว้วางใจเป็นที่สุด

แต่ถ้าถามเดียร์ เขาเห็นเพียงหมาจิ้งจอกจอมเลียที่รอแทงข้างหลังสิงโตทันทีที่เผลอมากกว่า และส่วนตัวเขาเองก็ไม่ค่อยชอบธานินทร์เท่าไหร่นัก เพราะวันๆหมอนี่เอาแต่ยิ้มแป้นแล้นพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจตลอดที่เจอหน้ากัน แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องน่าชิงชังสำหรับหนุ่มมาโซฯอย่างเขาเป็นยิ่งนัก

เด็กหนุ่มนอนกลิ้งอยู่บนเตียง ใบหน้าเรียวงามเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขารึอุตส่าห์ไม่ไปยุ่งด้วยแท้ๆ ดันมาลากเขาเข้าไปเอี่ยวด้วยเสียอย่างนั้น เลยทำให้พี่ชายแสนดีทำตัวน่ารำคาญกว่าเดิมถึงแปดเท่าเสียได้ มันน่านักเชียว

เดียร์นอนนิ่งไปพักใหญ่ ดวงตากลมเบิกมองแสงไฟนีออน ออกอาการเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างที่เป็นเรื่องดีสุดๆออก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับเผยยิ้มที่มุมปาก แลดูเซ็กซี่มีเสน่ห์ มากกว่าเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจ

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...เราเองก็อยากรู้ความจริงด้วย เดี๋ยวจะเล่นตามเกมให้จนถึงที่สุดละกัน...ดีกว่าอยู่รอให้พี่วินโอ๋ตั้งเยอะ

 

เดียร์ก็คาดไว้อยู่แล้วว่า ทันทีที่เขาเอ่ยขอลางานหลังจากมีหนุ่มมาจีบ คุณเจ้าของร้านแสนดีจะต้องจับเขาลากเข้าห้องมืดไปสอบสวนเรื่องราวเป็นแน่ แต่รอบนี้เรื่องมันซับซ้อนและส่วนตัวเกินกว่าจะเล่าให้ฟังได้นี่สิ เดียร์จึงต้องยอมเลยตามเลย บอกไปว่ากำลังเลิฟๆกับสิทธิ์ เพื่อจะให้น้อยไม่ซักไซ้ต่อไปมากกว่านี้...ซึ่งก็ได้ผลชะงักสุดๆ...แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไปแล้วยังไงก็ไม่รู้...เอาเถอะ ยังไงไอ้สิ่งสำคัญที่ว่ามันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้ใช้ชีวิตที่โรยด้วยหนามตะปูหรอก

หลังจากเตรียมการเผื่อไว้ทุกอย่างเรียบร้อย เดียร์ก็นั่งรออยู่ตรงม้านั่งที่ชั้นล่างสุดในอพาร์ทเมนท์ที่ตนเองอยู่ เพื่อรอเหยื่อ...เอ๊ย สิทธิ์มารับเขา

“รอนานหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยดังจากประตูทางเข้า วันนี้สิทธิ์แลดูแช่มชื่นกว่าวันอื่นๆ ท่าทางสดใสมาก และเดียร์ก็รู้ดีว่าอาการนั่นไม่ได้มาจากการได้ไปเที่ยวกับเขาแน่ “มา เดี๋ยวฉันถือให้”

ว่าจบก็ถือกระเป๋าเป้สีเลือดหมูขึ้นด้วยท่าทีสบายๆเหมือนกับว่ามันเบาหวิว ทั้งที่เดียร์เอาก้อนหินใส่เข้าไปเกือบสิบกิโล

“ขอบคุณนะ” รอยยิ้มประดุจนางฟ้า ทำเอาสิทธิ์ลืมว่ากระเป๋าหนักจนหลังแทบหัก “ตื่นเต้นจังเลย ผมเพิ่งจะเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกเลยล่ะ”

คนตัวโตกว่าเผลอขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน แน่ล่ะ เขาคิดว่าอย่างน้องชายของวินน่าจะไปเที่ยวจนเบื่อมากกว่า แต่ก็ไม่เอ่ยถามเพราะไม่คิดอะไร อีกทั้งเดียร์เองก็ไม่คิดจะบอกเหตุผลด้วย เด็กหนุ่มกลัวว่าตาหมียักษ์อาจจะรู้สึกใจอ่อนก็เป็นได้ ถ้ารู้ว่าประวัติชีวิตเขาเป็นอย่างไร...แหม ก็ออกจะโชกโชนและหดหู่ยิ่งกว่านางเอกดาวพระศุกร์กับซินเดอเรลล่ามารวมกันเสียอีก...ถึงแม้ว่าสำหรับเขาแล้วมันออกจะเป็นชีวิตสุขสันต์ประดุจประทับอยู่บนวิมานชั้นห้าก็ตาม

“ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้มาเที่ยวกับเดียร์” เสียงทุ้มลุ่มลึกเอ่ยคำหวาน ฟังแล้วคงชวนใจเต้น แต่เจ้าของชื่อกลับพยายามดีใจสุดชีวิตทั้งที่อยากจะอ้วกแทบตาย “ทีแรกฉันคิดว่าเดียร์จะไม่กล้ามาด้วยกันซะแล้ว”

ฟังแล้วเหมือนสิทธิ์ถามเพราะกลัวว่าชวนเดียร์ออกเดทแล้วจะแป๊ก แต่เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายถามเพื่อลองเชิงตน มันก็น่าคิดอยู่หรอก รู้จักกันไม่ถึงสองอาทิตย์ชวนกันไปค้างอ้างแรมต่างจังหวัด แล้วตกลงไปกันง่ายๆอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีสุดๆก็คงไม่ยอมตกลงหรอก

“ก็ผมอยากไปมานานแล้วนี่นา น่าสนุกออก แถมยังได้ขึ้นเครื่องบินด้วย” ตอบพร้อมกับปล่อยท่าไม้ตายรอยยิ้มบริสุทธิ์ประดุจนางฟ้า เล่นเอาสิทธิ์เผลอหลง “แล้วมากับคุณสิทธิ์ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย”

การกระตุกบ่งบอกให้รู้ว่ายังมีศีลธรรมหลงเหลืออยู่ในใจ เพราะฉะนั้นผมจะทำให้คุณดีแตกจนอยากประเคนความเจ็บปวดอย่างเหลือแสนให้ผมแทบไม่ทัน

“นั่นสินะ ฮะๆๆ” ยิ่งหัวเราะกลบเกลื่อนยิ่งดูไม่เนียนเข้าไปใหญ่ “งั้นเรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเครื่อง”

ว่าจบก็จูงมือพาขึ้นรถพร้อมกับเปิดประตูให้เสร็จสรรพ บริการดีทุกระดับประทับใจจนไม่น่าให้อภัยดีแท้

 

เดียร์พยายามทำหน้าประหลาดใจและดีใจสุดๆเมื่อได้มาเห็นบ้านพักตากอากาศที่อยู่ห่างจากทะเลเพียงสองร้อยเมตร อันที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก...ต้องบอกว่าดีสุดๆเลยมากกว่า รั้วไม้สีขาวล้อมรอบบ้านสองชั้นที่ทำจากไม้เคลือบแว็กซ์จนเงาวับ ด้านหน้าโรยกรวดหินไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทางเข้าบ้านปูด้วยอิฐสีฟ้ากับสีเหลืองสลับกัน ด้านในโอ่งโถงและกว้างขวางเฉกเช่นที่เห็นจากด้านนอก พื้นไม้วาววับและไร้ฝุ่นผงมากวนใจ

ดีจนเซ็ง!

ถึงจะคาดไว้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็แอบหวังไว้ว่าจะได้เจอบ้านพักหน้าตาทรุดโทรม มีกลิ่นหืนของเชื้อราและซากไม้ผุๆที่ซ้อนทับกัน...อย่างน้อยก็ไม่ขอดูดีขนาดนี้ก็ได้ เห็นแล้วอยากจะชักตาย!

“อ้าว มากันแล้วหรือจ๊ะ” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยทักทายทั้งสองจากทางเดินที่ทะลุถึงหลังบ้าน เธอเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนสีขาวหมายจะช่วยสิทธิ์ถือกระเป๋า แต่ชายหนุ่มยกมือห้ามเสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เองผมยกได้”

คนตัวเล็กกว่าเหลือบมองด้วยความทึ่งใจ ทั้งที่มันหนักมากแท้ๆ แต่สิทธิ์กลับถือมาให้โดยไม่บ่นสักคำ แถมยังไม่แสดงท่าทีเหนื่อยให้เห็นสักนิด แม้แต่เหงื่อสักหยดก็ยังไม่มี

“เดียร์ นี่ป้านาง เป็นแม่บ้านที่จะมาช่วยดูแลระหว่างที่เราอยู่ที่นี่นะ” สิทธิ์เอ่ยแนะนำแล้วหันไปทางหญิงร่างท้วม “คนนี้.......................................................เพื่อนผมครับ”

เว้นช่วงนานมาก ท่าทางยังทำใจไม่ได้ล่ะสิที่จะประกาศว่าเป็นคนที่ไปหลอกลวงมาหวังแก้แค้น

“เอ๋ แค่เพื่อนหรือจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยแซวพร้อมกับหลิ่วตาให้เจ้านายหนุ่ม “เพื่อนกันไม่มากันสองต่อสองแบบนี้หรอกนะจ๊ะ แหม จะปิดป้าไปทำไมกันล่ะ แฟนน่ารักนะจ๊ะ รักกันให้นานๆนะ”

ฟันธงได้เลยว่าคุณป้าแกเห็นเดียร์เป็นผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็น

สิทธิ์ได้แต่หัวเราะหน้าเจื่อน คงรู้สึกเหนื่อยใจที่ตนโกหกเสียเปล่า เขาเดินนำขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับบันได

“ถ้าขาดเหลืออะไรบอกป้านางได้เลยนะ หรือจะบอกผมก็ได้” สิทธิ์บอกหลังจากวางกระเป๋าที่มีน้ำหนักกว่าความเป็นจริงไว้บนพื้น เดียร์รู้สึกนับถือพ่อหมียักษ์นี่สุดๆที่สามารถวางกระเป๋าโดยไม่ให้เสียงหินดังออกมาได้ “เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปเดินเล่นหาอะไรกินกัน”

“ครับ” รอยยิ้มไร้เดียงสาที่ซ่อนความชั่วช้าไว้เผยขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะโบกมือลาแล้วปิดประตูห้อง เด็กหนุ่มจัดการหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมมาไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า เขาหันมองไปทางหน้าต่าง แสงแดดสีแสดทอแสงอ่อนอยู่บนเส้นขอบฟ้าของทะเลสีครามดูสวยงามจนไม่อยากละสายตา แต่ที่เดียร์เผลอจ้องไปเสียนานไม่ใช่เพราะหลงใหลไปกับภาพตรงหน้า แต่เพราะดันเผลอเพ้อคิดถึงแผนที่วางไว้ต่างหาก

แค่นึกว่าจะได้โดนร่างกายใหญ่ยักษ์โถมความเจ็บปวดให้ มือหนาหนักและแกร่งฟาดใส่ผิวกายจนเกิดรอยแดง น้ำเสียงทุ้มลึกที่คอยป้อนคำพูดประดุจหนามเคลือบยาพิษอยู่ข้างหู ดวงตาเรียวคมที่จ้องมองมาราวกับจะทิ่มแทงให้ลึกลงถึงขั้วหัวใจ...แค่คิดก็ใจระส่ำจนกลั้นความรู้สึกอิ่มเอมนี้ไม่อยู่แล้ว

 

สิทธิ์มองตัวเองในกระจกอย่างไม่แน่ใจนัก ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะมาคอยนั่งสนใจเครื่องแต่งกายเท่าไหร่นัก แต่เนื่องจากต้องสร้างความประทับใจให้กับคนที่ตนพามา เลยต้องตั้งใจกันหน่อย แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนที่สันทัดในเรื่องความงามนัก สิ่งที่เขาทำได้คือการแสดงสีหน้าที่ดูดีที่สุด เพื่อเตรียมไว้รับมือแทน

“เอาล่ะ” เขาเอ่ยกับตัวเองที่หน้ากระจก จากนั้นก็ตรวจดูความเรียบร้อยเรื่องกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ และก่อนจะออกจากห้องยังไม่วายปัดเศษฝุ่นออกจากชายเสื้อเผื่อไว้อีก

ชายหนุ่มออกจากห้องไป พอเห็นเวลาที่เพิ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมงจึงตัดสินใจลงไปรอด้านล่าง แต่กลายเป็นว่าเดียร์มารอเขาอยู่แล้ว ในสภาพที่ทำให้เขาเผลออึ้งอ้าปากค้าง

อันที่จริง เด็กหนุ่มก็แค่ใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนคอกว้าง กางเกงผ้าสีครีม ผมก็หวีลวกๆ พอเป็นพิธี หน้าก็ไม่ได้จัดการแต่งอะไรมากมายนัก แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าเนียนละเอียดที่ขาวใสอมชมพูดุจหญิงสาววัยแรกแย้มนั้นชวนให้หลงมิรู้หาย ผมสีน้ำตาลเข้มยาวตัดซอยระต้นคอดูนุ่มละเอียดราวเส้นไหม ไม่ว่าจะนั่งมอง ยืนมอง ตีลังกามอง ก็เหมือนหญิงสาวแสนสวยที่แต่งกายสบายๆ เหมาะกับการมาเที่ยวทะเลเป็นอันมาก

น่ารัก จบข่าว!

“คุณสิทธิ์?”

หมียักษ์สะดุ้งโหยง ก่อนจะเก็บอาการตะลึงจนมิด ทิ้งไว้เพียงแก้มแดงๆ ให้เห็นอยู่บ้าง พอให้คนมองรับรู้ว่าอีกฝ่ายประทับใจในความงามที่ตนไม่ได้ตั้งใจรังสรรค์

“อ้อ อืมๆ ปะ...ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มบอกละล่ำละลัก ยังไม่ลืมผายมือไปทางประตูเชิญเดียร์ ช่างเป็นสุภาพบุรุษอย่างไม่น่าให้อภัยเสียจริงๆ

บริเวณริมทะเลยามเย็นช่างดูสวยงาม ดวงตะวันกำลังจะลาลับลงเส้นขอบฟ้าเข้าไปทุกที เสียงคลื่นทะเลซัดโหมเข้าฝั่งดั่งแว่วเป็นระยะ ผู้คนที่เล่นน้ำลดน้อยลงตามเวลา ส่วนใหญ่จะพากันไปหาร้านอาหาร หรือไม่ก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ

“สวยจังเลยนะครับ” เดียร์เอ่ยพลางหันมองไปทางทะเล ถึงจะชอบความทุกข์ทรมาน แต่ก็ยังเหลืออารมณ์สุนทรีย์ในใจอยู่ “คุณสิทธิ์คงมาที่นี่บ่อยๆสินะ”

“จริงๆก็ไม่ค่อยได้มาหรอก เพราะต้องทำงานน่ะ” สิทธิ์ถอนใจ ท่าทางเขาดูพะว้าพะวงเหมือนไม่ค่อยสนุกกับการมาเที่ยวครั้งนี้เท่าไหร่ ซึ่งเดียร์ไม่ค่อยแปลกใจนัก ก็เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวอยู่แล้วนี่ “นี่ก็เย็นมากแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าไหม”

“ก็ดีครับ” เสียงหวานรับคำ แล้วทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “จริงสิ พอดีผมแพ้อาหารทะเลน่ะครับ แพ้มากด้วย ขนาดที่ว่าแค่ในร้านขายอาหารทะเลผมก็ผื่นขึ้นแล้ว ขอร้านที่ไม่มีอาหารทะเลได้ไหมครับ”

เส้นเลือดปูดขึ้นบนขมับสิทธิ์ทันที แน่ล่ะ อยู่แถวทะเลแบบนี้ หาร้านที่ขายแค่หมูไก่เนื้อนี่ยากเสียยิ่งกว่าโดนใช้ให้ไปหาแหวนในทะเลอีก

อันที่จริงเขาไม่ได้แพ้อย่างที่ปากพูดหรอก หรือถ้าให้พูดก็คือ ตั้งแต่มีชีวิตมายี่สิบสามปี ยังไม่เคยแพ้อาหารหรือยาใดๆเลยนี่สิ ขนาดข้าวบูดขนมปังขึ้นรามาสองอาทิตย์ยังไม่สามารถทำอันตรายต่อกระเพาะของเขาได้แม้แต่น้อย นั่นทำเอาหดหู่มาก ปกติแค่หาคนมาซ้อมก็ยากจะแย่ จะทรมานตัวเองก็ไม่สะใจ แถมยังไม่แพ้อาหารใดๆให้ทรมานร่างกายได้อีก ฟ้าจะประทานร่างกายอันทนทานนี้มาให้ทำไมก็ไม่รู้

ตอนที่วนหาร้านไปสามชั่วโมง เดียร์ก็คิดว่าสิทธิ์คงหมดความอดทนแล้วหันมาตวาดใส่ จากนั้นก็หลับหูหลับตาเข้าร้านที่ใกล้ที่สุด แล้วก็บังคับให้เขากระเดือกอาหารที่เต็มไปด้วยกุ้งหอยปูปลาเสียอีกแต่ตานี่กลับทนทานเกินคาด นอกจากจะไม่บ่นสักแอะ ยังยิ้มรับหน้าระรื่นด้วย แม้ที่ขมับจะมีเส้นเลือดปูดขึ้นหลายเส้นแล้วก็ตาม

“ถ้าไม่มีจริงๆ จะไปซื้อข้าวที่เซเว่นไหม” เสียงทุ้มเอ่ยเสนอทางเลือกอย่างอ่อนหวาน แฝงความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยพอให้คนฟังรู้ตัว แต่มีหรือจะยอมตามง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็อดเห็นเฮียหมีปรอทแตกน่ะสิ

“เอ๋ แต่อุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที ผมก็อยากจะหาร้านอาหารท้องถิ่นกินนะครับ” เดียร์ร้องเสียงหลง ชวนให้รู้สึกรำคาญเล็กๆ “ผมไม่เรื่องมากหรอก”

ไม่เอาร้านที่มีอาหารทะเลในจังหวัดที่ติดทะเล ยังไม่เรียกว่าเรื่องมากอีกเรอะ

สิทธิ์ได้แต่กัดฟันโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น และพยายามกลืนความหงุดหงิดประทังท้องแก้หิว

แม้จะหายากดุจงมเข็มในมหาสมุทร แต่ในที่สุดพ่อหมียักษ์ก็สามารถหาร้านอาหารที่ไม่มีน้ำทะเลอยู่ในเมนู อีกทั้งยังเป็นร้านระดับหรูด้วย ถึงแม้ตอนที่เข้าไป ร้านจะเกือบปิดครัวแล้วก็ตาม

ชิ

เดียร์ได้แต่ยิ้มแป้น ทั้งที่รู้สึกเสียดายเป็นยิ่งนักที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็ใครมันจะไปนึกว่าอีกฝ่ายจะหาเจอกัน “ขอบคุณมากเลยนะที่ยอมเสียเวลาหาร้านนี้เพื่อผม”

ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะเออ ถ้าวันนี้ไม่โดนตวาดซักที ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ

“แค่นี้เพื่อเดียร์สบายมาก” กล้าพูดมาก รู้หรือเปล่าว่าเสียงท้องร้องดังกว่าเสียงพูดของตัวเองอีก “เดียร์สั่งได้เต็มที่เลยนะ”

เด็กหนุ่มยิ้มรับก่อนจะจ้องมองรายการอาหารในมือ ซึ่งยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดหน้าหนึ่ง พี่แกเล่นสั่งอย่างไวจนเรียบร้อยก่อนเขาอีก ท่าทางจะหิวจัดจริงดูๆแล้วก็น่าสงสารอยู่หรอกนะ…

“เอ…เอาอะไรดีนะ…อันนี้…อืม…”

ถึงตัวเดียร์นั้นจะเป็นสายโดนกระทำขั้นโปร แต่ให้เป็นฝ่ายกระทำก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้นึกชมชอบเห็นคนเจ็บปวดกว่าสักเท่าไหร่นัก เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกอิจฉาเสียมากกว่า แต่เพราะไอ้หมีตรงหน้ามันทำตัวเป็นเท็ดดี้แบร์อยู่ได้ เขาเลยต้องใช้ไม้แข็ง เผื่อหมีพูห์จะกลายเป็นหมีเถื่อนได้สักที

“ยังเลือกไม่ได้อีกหรือ…” เสียงทุ้มถามเรียบนิ่ง แต่เริ่มทวีความหงุดหงิดมากขึ้น จนบริกรที่ยืนจนเมื่อยขบเริ่มออกอาการหวาดหวั่นเพราะกลัวสิทธิ์จะลุกขึ้นมางับหัวเขาแก้หิว

“อืม…ไม่รู้สิ มันน่ากินไปหมดเลย เลือกยากจัง” ดีมาก หงุดหงิดเข้าไป โมโหหิวเข้าไป แล้วมาลงที่ฉันนี่

“ถ้างั้นก็สั่งมาให้หมดเลยดีไหม เดี๋ยวครัวเขาจะปิดแล้วนะ” แม้จะอยากลุกขึ้นมาทุบโต๊ะแล้วตวาดใส่อีกฝ่าย แต่กระนั้นสิทธิ์ก็ยังห้ามใจเอาไว้ได้อยู่ แม้ตอนนี้มันจะใกล้ขาดเต็มทีแล้วก็ตาม

“อืม อย่าเลยครับ ผมคงกินไม่หมดหรอก”

“โธ่โว้ย งั้นก็รีบๆสั่งอะไรสักอย่างสิวะ!”

นั่นไง!! ที่อยากได้น่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 31-05-2013 18:48:46
mission complete สินะเดียร์  :laugh: :laugh: :laugh: คุณสิทธิ์โดนเข้าแล้ว  :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ★MaNiMoo★ ที่ 31-05-2013 19:52:47
อร๊ายยยยยย ชอบเรื่องนี้จัง

เอาใจช่วยคนเขียนอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 31-05-2013 21:22:49
เมื่อไหร่น็อตจะหลุดนะ 5555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 31-05-2013 22:08:56
5555555555555
รอมานานกว่าจะได้ยินคำๆนี้  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: BlackArrow ที่ 31-05-2013 22:10:52
หมียักษ์เอ้ย อุตส่าทนมานาน  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 31-05-2013 22:23:43
สะกิดต่อมดมโหได้แล้ว
แต่สิทธิ์จะยั้งอารมณ์ได้มั้ยน้า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: iyng1338 ที่ 31-05-2013 22:56:38
:m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 31-05-2013 23:20:52
หุๆๆ เสร็จหนูเดียร์
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 5 (31/5/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 31-05-2013 23:29:06
 :laugh :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:ในที่สุดสิทธิ์ก็หลุดจนได้ :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 6 (1/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 01-06-2013 17:41:27
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 6

ไม่นะ!

สิทธิ์ ได้แต่นั่งถลึงตามองอีกฝ่าย นึกอยากเอาหัวลงไปโขกโต๊ะสักร้อยรอบ ทั้งที่อุตส่าห์ท่องบทสวดทุกบทที่นึกออกเพื่อไม่ให้ตัวเองสติแตก แต่สุดท้ายกลับหลุดปากต่อว่าอีกฝ่าย แถมยังแรงมากเสียจนเดียร์ค้างไปเลยด้วย

ก่อนที่สิทธิ์จะได้แก้ตัว อีกฝ่ายก็หันหน้าหนีเขาเสียก่อน เป็นเหตุให้สิทธิ์ออกอาการช็อคอย่างแรง เพราะนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะให้เกิด

“ร้องไห้ด้วยครับ” บริกรแสนดีกระซิบแจงรายละเอียดจนคนหน้าซีดอยู่แล้วยิ่งซีดหนัก “ถ้างั้น เดี๋ยวผมจะเอารายการไปทำก่อนนะครับ”

พอเหลือกันสองคน ก็บังเกิดความเงียบและความอึดอัดขึ้นทันใด สิทธิ์ได้แต่เลิกลั่กเพราะไม่รู้จะสรรหาคำใดมาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้…

โดยหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้ว อีกฝ่ายกำลังปลื้มปิติเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

นี่ล่ะ…นี่มันใช่เลย! เสียงทุ้มตะคอกแรงเสียดแก้วหูที่แสน ทรงพลัง ใบหน้าหงุดหงิดน่ากลัวที่เพียงแค่เห็นก็หนาวไปถึงสันหลัง ดวงตาเรียวที่ฉายแววเกรี้ยวกราด พร้อมจะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ตามที่อยู่ใกล้อา…สมกับที่สู้รอจริงๆ…ขออีกทีจะได้ไหมหนอ…

“เอ่อ…เดียร์” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างหวาดหวั่น “เมื่อกี้ฉันหงุดหงิดไปหน่อยน่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าเดียร์นะ…เอ่อ…ฉัน…ฉันขอ…”

“ไม่เป็นไรครับ”

สิทธิ์ ได้แต่อ้าปากค้างเมื่อโดนตัดบท ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาที่ดูนิ่งเงียบนั้นไม่ได้ทำให้คนเห็นรู้สึกดีขึ้นแม้ แต่น้อย แต่อาจเพราะน้ำเสียงสะบัดที่เหมือนไม่แยแส อีกทั้งโดนขัดจังหวะก่อนเขาจะได้พูดจบ เลยทำให้รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา แต่ชายหนุ่มก็พยายามตั้งต้นท่องบทสวดให้ตัวเองใจเย็นอีกครั้ง และทำเป็นเมินสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายจงใจทำ

บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความรื่นเริงและแสนหวาน กลับกลายเป็นความ อึดอัดอึมครึมแทน สิทธิ์พยายามไม่คุยเพราะกลัวตัวเองจะหลุดโกรธออกมาอีกครั้ง เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายดูนิ่งผิดจากก่อนหน้า จึงคิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงจะไม่พอใจจนไม่อยากจะพูดเหมือนกัน

อันที่จริงแล้ว เดียร์พยายามระงับอารมณ์ชื่นมื่นที่ทำท่าจะปะทุออกมา ขืนพูดออกมาตอนนี้ มีหวังเผลอฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง แล้วต้องหลุดปากขอให้อีกฝ่ายตะคอกใส่อีกเป็นแน่ รับรอง เจ๊ง

และแล้ว การเดินทางของวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลง สิทธิ์ขอตัวขึ้นห้องไปก่อน ปล่อยให้เด็กหนุ่มแสนงามอยู่ภายในห้องนั่งเล่นคนเดียว

“…ไม่มีสัญญาณแฮะ”

เดียร์ ชูมือถืออยู่ตรงระเบียงบ้าน ก่อนจะเก็บกลับเข้ากระเป๋า ใบหน้านิ่งออกอาการขยุกขยิก ดวงตากลมกวาดมองไปรอบบริเวณเพื่อดูว่ามีใครอยู่ตรงนั้นหรือไม่ จากนั้นก็เดินขึ้นห้องด้วยความไวแสง ก่อนปล่อยยิ้มร่าออกมาแบบไม่เกรงใจใคร

บ้าเอ๊ย รู้สึกดีเกินไปแล้ว!

พอ ได้แสดงอารมณ์ภายในใจจนโล่งก็หยิบมือถือของตนขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้มีสัญญาณ ขึ้นให้หนึ่งขีดพร้อมกับเสียงเตือนข้อความเข้าที่สั่นดิกอยู่เกือบสิบนาที

คุณได้รับ 150 ข้อความ

เดียร์ เผลอสำลักเมื่อเห็นจำนวนข้อความที่เยอะเป็นกระตั๊กพอเห็นชื่อผู้ส่งก็ถึง บางอ้อ เพื่อนแสนมาโซผู้เป็นลูกน้องแสนดีของพี่ชายตนนี่เอง

เด็ก หนุ่มกดดูข้อความซึ่งมีเนื้อหาใจความใกล้เคียงกันหมดว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนให้ โทรกลับด้วย เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ขืนบอกสิรับรองว่าคุณพี่ได้ตามมาถึงที่แน่และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขา อยากให้เกิด…เพราะฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย จึงต้องกดปิดโทรศัพท์ไว้กันชาใช้จีพีเอสตามมา…

ดูท่าทางจะไม่มีเวลาเอื่อยเฉื่อยแล้วสินะ

ร่าง บางหันไปมองประตู ในหัวนึกสารพัดว่าจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหัวเสียขึ้นไปอีก และด้วยเหตุฉะนี้ จึงต้องดอดออกไปดูสถานการณ์ของอีกฝ่ายก่อน จะได้เตรียมการถูก

ตอน แรกเดียร์กะจะเคาะประตูและทำทีว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่โดนตะคอก แต่เมื่อได้ยินเสียงคุยอยู่ด้านใน เขาจึงเปลี่ยนใจ มาแอบฟังก่อนแทน

“ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆนะครับ เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยกับเรื่องพวกผม…”

โถ พ่อคนดี แค่ตะคอกใส่ฉันทีเดียวก็รู้สึกผิดแล้วเหรอ จะอ่อนไหวไปไหนหา ตัวก็โตอย่างกับยักษ์ปักหลั่น แล้วฉันก็ไม่ใช่คนดีศรีสังคมที่ไม่ควรดึงลงมาแปดเปื้อนกับการแก้แค้นนี่สัก หน่อย…เพราะ ฉะนั้น อย่าบังอาจคิดกลับลำเอาตอนนี้เชียวนะโว้ย ไม่อย่างนั้นฉันได้กลับไปลงนรกขุมเอาอกเอาใจอีกแน่ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ทำๆต่อไปเหอะน่า จะจับฉันกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ไม่ให้ติดต่อกับผู้คนจนเหมือนบุคคลสาบสูญไปเลยก็ได้ ฉันไม่แจ้งตำรวจแน่ สาบานเลยเอ้า

“อาว่าผมควรจะเลิกดีไหม”

ไม่ดีโว้ย!

สิทธิ์ สะดุ้งจนตัวลอยเมื่อได้ยินเสียงดังปังอยู่ที่ประตู ต้นเหตุได้แต่ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่ไม่ได้เตรียมการไว้ เดียร์รีบลุกขึ้นแล้วทำหน้านิ่ง รออีกฝ่ายเปิดประตูออกมา

“…มีอะไรหรือ”

“คือ…ห้องผมน่ะครับ…” ดวงตากลมช้อนมอง แลดูน่ารักชวนหลงดี หากไม่มีประโยคถัดไปตามมา “มันมีฝุ่นน่ะครับ พอดีผมแพ้ฝุ่นมีสักนิดเดียวก็นอนไม่หลับแล้ว”

มัน เป็นความฝันของผมน่ะครับ ที่จะได้ทรมานด้วยการจามไม่หยุดจนน้ำตาเล็ดเพราะฝุ่น แต่คงเพราะฝ่ามรสุมมาเยอะกระมัง ต่อให้เจอฝุ่นโปะเข้าหน้าก็ไม่เป็นอะไร

“เอ๋งั้นหรือ” ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความยุ่งยากใจ นี่ก็ดึกแล้วแม่บ้านที่อยู่ด้วยน่าจะหลับไปแล้ว อีกทั้งเขาเองก็ไม่อยากไปรบกวนด้วย แต่ปัญหาคือจะให้ทำเองก็ใช่ว่าจะสามารถ แถมยังไม่ชอบสุดๆเลยอีกต่างหาก

ก่อนหน้าก็ดันทำให้กลัวไปแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรให้ประทับใจขึ้น มีหวังอีกฝ่ายคงเมินจนเขาต้องใช้วิธีสุดท้ายที่ไม่อยากจะใช้สุดๆเป็นแน่…ถึงจะเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครันแล้วก็เถอะ

“งั้นมานอนห้องฉันแทนไหม…”

ตาม เรื่องตามราวก็คงดูไม่แปลกหรอก ถ้าชายสองคนจะนอนห้องเดียวกัน ยกเว้นเสียแต่ว่าระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเกินกว่าเพื่อนและไม่ใช่ญาติ อีกทั้งชายคนหนึ่งนั้นก็แลดูงามเกินหน้าเกินหน้าผู้หญิงส่วนใหญ่จนชวนให้ใจ คนมองหวั่นไหวนี่ละ

“เอ่อ ฉันหมายถึงว่า เปลี่ยนห้องกันน่ะๆ” สิทธิ์บอกเลิกลั่กทำอย่างกับว่าอีกฝ่ายเป็นสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาก็ไม่ปาน

เด็กหนุ่มชะเง้อมองห้องด้านใน…ซึ่ง ดูแล้วชวนให้พิศวงยิ่งนัก เขาจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันยังสะอาดพอๆกับห้องเขาอยู่แท้ๆ ไยบัดนี้จึงกลายสภาพเหมือนมีพายุเข้าก็ไม่ปานกันได้ละหนอ แล้วเมื่อกี้เขาก็บอกไปแล้วว่าแพ้ฝุ่น ยังจะกล้าเสนอให้เขาอยู่ห้องนี้อีกนะ…ถึงดูๆแล้วจะน่าอยู่พิลึกดีก็ตาม เพราะปกติก็นอนทั้งที่มีของวางระเกะระกะเต็มที่นอนเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่งั้นนอนไม่หลับกันพอดี

และ ดูท่าทางจะรู้ตัวแล้วว่าเผลอนำเสนอของที่แย่กว่า ถึงได้ยิ้มเฝื่อนและพยายามโบกมือไปมาเพื่อปิดบังห้องที่สวยงามไม่ให้เด็ก หนุ่มเห็น แม้จริงๆแล้วแค่ยืนเฉยๆก็จะแทบมิดแล้วก็ตาม

“งั้นไม่เป็นไรก็ได้ครับ ผมคงขออะไรมากเกินไป” ว่าแล้วก็หนีหายเข้าห้องทันที ปล่อยให้ร่างสูงได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆด้วยความงง

อะไรวะ

สิทธิ์ ยั้งปากทันก่อนจะได้สบถออกมา ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่ใกล้ระเบิด ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอคนเอาแต่ใจแบบนี้ แต่ที่ผ่านมา เขาไม่เคยต้องมาอดทนคอยเอาใจแบบนี้ต่างหาก ลองมางอแงดูสิ พ่อวีนใส่จนหนีกันแทบไม่ทัน

แต่รายนี้ ขืนปล่อยให้หนีแผนก็เจ๊งกันพอดีแม้ที่จริงจะลังเลอยากยกเลิกแผนการบ้าๆนี่อยู่ก็ตาม…แต่พอได้เห็นนิสัยที่ชวนหงุดหงิดนั่นแล้ว ความเห็นใจก่อนหน้าเริ่มระเหยไปจนสิ้น

เนื่องจากไม่ใช่คนที่จะไปง้อใครก่อน เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อสถานการณ์แบบนี้ดี สิทธิ์ได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะกดมือถืออีกครั้ง

“เมื่อครู่นี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างกังวล

“ไม่มีอะไรหรอกครับอาวัฒน์ พอดีผมเผลอกระแทกประตูน่ะ” สิทธิ์บอกพร้อมกับหัวเราะมากเกินไปจนอีกฝ่ายรู้ทันทีว่าสิทธิ์โกหก “คือถ้าเราจะง้อใครซักคนเนี่ย เราควรจะทำยังไงดีหรือครับ”

เงียบนานมาก

“จำเป็นต้องทำขนาดนั้นด้วยหรือครับ”

ชาย หนุ่มยิ้มค้าง อยากจะถามเหลือเกินว่าอารมณ์เสียอะไรถึงได้ตอบด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น ขนาดนี้ แต่เพราะกลัวจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ เลยปล่อยผ่านไปเสีย

“อาก็รู้ว่าผมตั้งใจให้แผนนี้สำเร็จแค่ไหนนี่นา” สิทธิ์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมจนปัญญาจริงๆ อาช่วยผมหน่อยเถอะครับ”

“แล้วไปทำอะไรเข้าละครับ”

สุด ท้ายคนในสายก็อ่อนใจยอมเป็นที่ปรึกษาให้จนได้ สิทธิ์ก็เริ่มพรรณนาตั้งแต่การดินเนอร์ที่แสนจะดึกและหิวโซจนกระทั่งเรื่อง ก่อนหน้า หลังจากเล่าจบ วัฒน์ก็ให้คำตอบทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สิทธิ์ได้แต่อ้าปากค้าง

“ก็ บอกตรงๆไปเลยสิครับว่าไม่ชอบ ถ้าอดทนต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องตบะแตกกันเข้าสักวัน ถึงตอนนั้น มันจะแย่กว่าที่เป็นอยู่นะครับ”

“แต่ ขืนทำแบบนั้นแล้วเขาไม่ยอม ขอเลิกผมเลยล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างกังวลไม่สมกับรูปร่าง

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คนฟังหวังอยู่เหมือนกัน ใครที่ไหนมันจะไปเห็นด้วยกับแผนทำให้ศัตรูพ่ายด้วยการลักพาตัวน้องเขามาทำร้ายกัน…แอบนึกเสียดายเมื่อครู่ที่ไม่มีโอกาสได้เชียร์ให้อีกฝ่ายรีบๆล้มเลิกแผนนี่ไปเสียก่อน

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วละครับ ผมคงช่วยได้เท่านี้ละ” หนุ่มใหญ่พยายามไม่ให้ความช่วยเหลือมากไปกว่านี้

สิทธิ์ มองโทรศัพท์ในมือตนหลังจากวางหูไป ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่อีกฝ่ายกระทำกับตน ก่อนจะบีบมือถือแน่นแบบพอประมาณเพราะกลัวจะพังคามือ

เอาเถอะ ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆละก็…

ร่างสูงเดินออกจากห้องไปยังหน้าประตูห้องของเดียร์ แล้วพยายามเคาะอย่างเบามือ

“มีอะไรหรือครับ”

…เขา ยอมรับอยู่อย่างว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเป็นอาวุธสุดๆ แค่ได้เห็นใบหน้าเนียนใสที่โผล่มาจากช่องว่างของประตู ก็เล่นเอาความโกรธเมื่อครู่ปลิวสะบัด

“ฉันเป็นห่วงกลัวเดียร์นอนไม่ได้” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง…ซึ่งแน่นอนว่ามันดูเสแสร้งเสียจนเด็กสามขวบก็ดูออก “เดี๋ยวฉันจะทำความสะอาดห้องให้เอง”

ก็เข้าแผนน่ะสิ

“จริงเหรอ…แต่คุณสิทธิ์ดูเหนื่อยมากเลยนะ ผมว่าอย่าดีกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันยินดี” ว่าจบก็พรวดพราดออกไปแบกสารพัดเครื่องมือทำความสะอาดเข้ามาในห้อง “เดียร์ไปรออยู่ข้างล่างก่อนนะ เดี๋ยวฝุ่นมันจะกระจายเอา”

เด็กหนุ่มยักไหล่ให้และเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นทันที เขาไม่อยากเห็นอีกฝ่ายทำท่าทรมานนัก เพราะมันจะทำให้ตนรู้สึกริษยาเอาเสียเปล่าๆ…ซึ่งก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดไปอีกแบบ…อา…โหยหา แต่กลับทำได้แค่มอง…โอว…แต่มันไม่พอหรอก…ต้องโดนเองสิถึงจะสะใจสุด

กินเวลากว่าสามชั่วโมงที่คุณชายหมดไปกับการทำความสะอาดห้อง…ซึ่ง ที่จริงมันก็สะอาดอยู่แล้ว เดียร์สะดุ้งลุกออกจากเก้าอี้ยาวเมื่อได้ยินเสียงดังตึงตังลงมา พอเห็นสภาพอีกฝ่ายก็ได้แต่เลิกคิ้ว เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายไปทำความสะอาด หรือไปลงดงโจรป่ามากันแน่ สะบักสะบอมเกินกว่าเหตุชัดๆ

“เรียบร้อยแล้วนะ” สิทธิ์ยิ้มกว้างที่ดูอย่างไรก็กำลังฝืนอยู่ชัดๆแถมสภาพร่างกายก็ไม่ชวนให้คล้อยตามเลยสักนิด

แต่ตอนนี้ผลงานเป็นยังไงก็ช่างมัน ต้องให้กำลังใจเป้าหมายก่อน

“ขอบคุณครับ ได้นอนสักที”

แน่นอนว่าช่วงท้ายที่พูดออกไปลดเสียงให้เบาลง แต่ก็ดังพอจะกระทบใบหูของอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินลิ่วขึ้นไปชั้นสอง และปิดประตูปัง

ร่างสูงมองตามหน้าเหวอ นี่หรือคือผลตอบแทนที่สู้อุตส่าห์ทำเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบสุดๆ

“พี่เป็นยังไง น้องแม่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ” เสียงทุ้มลอดผ่านไรฟันด้วยความคั่งแค้นไม่มีอีกแล้ว ความเห็นใจใดๆ“คอยดูเถอะ รับรองว่าฉันจะต้องเอาคืนให้สาสมแน่”

แน่ นอนว่าสิทธิ์ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายรอเวลานั้นอยู่นานแล้วและก็กำลังครึกครื้น อยู่กับห้องนอนที่กลายสภาพเหมือนมีฝูงช้างคลั่งวิ่งผ่านเข้ามา

 

ชา นิ่วหน้ามองจอมือถือของตน ซึ่งไม่มีข้อความหรือการโทรเข้าใดๆให้เห็นสักแอะ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนใจ ความจริงเขาไม่ได้เป็นห่วงอีกฝ่ายนักหรอก เพราะมั่นใจว่ารายนั้นไม่มีทางเป็นอะไรไปง่ายๆแน่ แต่ที่ทำให้เขาต้องคอยพะวงดูมือถือทุกสามวินาที ก็เพราะเจ้านายจอมวีนนั่นต่างหาก

วิ นไม่ได้โวยวายจะคลั่งตายเพราะไม่ได้ติดต่อกับน้องชายเกินสิบสองชั่วโมงแต่ อย่างใด สิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทำประจำโดยสิ้น เชิง วินนอนห่อเหี่ยวเหมือนคนโดดเดี่ยวที่เพิ่งโดนแฟนทิ้งอยู่บนโต๊ะทำงานใน บริษัท ซึ่งเวลานี้มีเพียงเขากับคนติดตามหน้านิ่งอยู่เพียงสองคนเท่านั้นบนตึก มีเพียงไฟในห้องเจ้านายที่เปิดไว้เท่านั้น ส่วนด้านนอกปิดไฟจนมืดสนิท แถมยังเปิดประตูทิ้งไว้ให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศชวนขนลุก ว่าจะมีบางสิ่งโผล่มาจากความมืดหรือเปล่า…

“จบสิ้นแล้ว…ไม่เหลือแล้ว…” วินพึมพำกับตัวเอง ใบหน้ายังคงซบอยู่บนโต๊ะไม่ยอมขยับเขยื้อน

“คุณวิน ใจเย็นๆสิครับ เรายังไม่รู้สักหน่อยว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับเดียร์ บางที เขาอาจจะไปเที่ยวแล้วลืมโทรศัพท์… หรือไปที่ๆสัญญาณไม่ดี หรือไม่ก็ทำโทรศัพท์หายก็ได้” ชา พยายามปลอบเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ รู้อย่างเดียวคือปลอบแบบนี้มาตั้งแต่วินาทีที่วินรู้จากปากเจ้าของร้านดอก ไม้ว่าเดียร์ไปเที่ยว “ผมว่าคุณรีบจัดการเอกสารบนโต๊ะให้เสร็จเถอะครับ ไม่งั้นวันพรุ่งนี้พวกพนักงานได้วุ่นวายกันแน่”

“ฉัน…ทำ…ไม่…ได้…” หนุ่มแว่นยังคงสลดไม่เลิก “จะให้ฉันนั่งทำงาน…ในขณะที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเดียร์เป็นตายร้ายดียังไงเนี่ย…ฉัน…ทำไม่ลง…”

ได้ข่าวว่าเขาไปเที่ยวเท่านั้นนะครับ ถึงจะไม่รู้ว่าที่ไหนก็เถอะ อย่าทำเป็นว่าเดียร์เขาโดนลักพาตัวไปถ่วงอ่าวจะได้ไหม

คิด แล้วก็นึกหงุดหงิดเจ้าเด็กตัวต้นเรื่อง เขามั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเดียร์จงใจทำเป็นแน่ แต่ที่เขาโกรธไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มทำอะไรไม่รู้จักคิดหรือปรึกษา แต่เพราะดันทำให้วินเหมือนผีตายซากแบบนี้ต่างหาก เขาไม่ชอบใจสุดๆเวลาวินทำตัวเหมือนคนจะตาย และไม่สนใจเขาอย่างสิ้นเชิง

มันน่านัก

“ป่านนี้คงตายไปแล้วมั้ง”

ลุกขึ้นอย่างไวปานโดนไฟเผาก้น

“พูดบ้าอะไรของแก” วินมองตาขวาง ท่าทางห่อเหี่ยวปลิวหายไปกับสายลม เหลือไว้แต่ความโกรธดุจมารพิโรธ

“อ้าว ผมนึกว่าคุณหวังให้เป็นแบบนั้น เห็นเอาแต่พูดเหมือนกับเดียร์ตายไปแล้วนี่…”

ยัง เอ่ยไม่ทันจบก็ต้องเงียบไปเมื่อโดนอีกฝ่ายผลักจนกระแทกกับกำแพง แขนแกร่งขัดเข้าที่ลำคอจนหายใจลำบาก แต่สำหรับคนชอบความเจ็บปวด มันช่างหฤหรรษ์อย่างที่ฝันไว้ไม่มีผิด ชาไม่คิดจะเก็บอาการระรื่นเอาไว้ เพราะยิ่งยิ้ม ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรุนแรงกับเขาจนร้าวไปทั้งตัว

“อย่ามายั่วโมโหฉันนะ!” หนุ่มแว่นตวาดลั่นแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะผลักกลับไปที่กำแพง “เดียร์จะต้องไม่เป็นอะไร ฉันแค่เป็นห่วงว่าไปที่ไหนก็เท่านั้นถ้าขืนยังพูดมากอีกละก็ ฉันเล่นแกอ่วมแน่”

ทำเหมือนคนลาโลก คงไม่ได้ห่วงแค่นั้นหรอกระมังครับ…แต่เอาเถอะ ขอเพียงคุณกลับมาเป็นคนขี้โวยวายชอบทำร้ายร่างกาย ผมก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว

“เอ้า แล้วนั่นจะยืนนิ่งหาพระแสงอะไร ไหนล่ะ เอกสารที่จะใช้พรุ่งนี้ รีบๆเอามาสิ จะได้รีบๆกลับบ้านสักที”

“ก็วางไว้ที่โต๊ะแล้วไงครับ”

วินหันกลับไปมองบนโต๊ะซึ่งมีเอกสารที่ว่าวางไว้อย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเขาก็ปัดมันลงพื้นเอาดื้อๆ “มันตกลงไปแล้ว รีบๆเก็บสิวะ

สามารถโขกสับจิกกัดผมได้ทุกเวลาแม้จะหน้าแตก นี่สิเจ้านายแสนดีของผม

ชา ก้มลงไปเก็บมาให้ โดยที่ยังยิ้มพราย และแน่นอนว่าเขาก็ต้องก้มกลับมาเก็บอีกรอบเพราะโดนสันแฟ้มปาใส่หน้าแต่รอบ ที่สองเขาไม่ยิ้มแล้ว ไม่ใช่เพราะกลัวเจ้านายจะเอาแฟ้มปาใส่จนไม่เป็นอันทำงาน แต่เพราะกำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องเจ้าน้องชายแสนน่ารักของวินที่ไม่รู้กำลัง วางแผนอะไรกันอยู่ต่างหาก

ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็เถอะ แต่ถ้าทำให้คุณวินเอาแต่กังวลเรื่องคุณจนไม่ยอมมาสนใจผม ผมเองก็คงอยู่เฉยไม่ได้หรอกนะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 6 (1/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 01-06-2013 17:53:05
อยากทำร้ายชาบ้างอ่ะะะ  :z13: :z13: :z10:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 6 (1/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 01-06-2013 23:05:23
ชาจะทำยังไงน้า แต่หนูเดียร์เราก็ร้ายสุดอยู่ดี คิๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 6 (1/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: tsunsan ที่ 02-06-2013 01:24:30
รอสิทธิ์ เอาคืนน้องเดียร์  :hao7:

สู้ๆๆนะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 6 (1/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 02-06-2013 15:41:34
แซ่บ!!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 02-06-2013 17:43:10
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 7

บรรยากาศแสนหวานในบ้านหลังเล็กใกล้หาดทรายชวนให้รู้สึกสดใสเมื่อได้ยล…ยกเว้นเสียแต่ว่าจะอดนอนมาหนึ่งคืน

สิทธิ์แทบจะกระโดดหนี ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเปิดม่านรับแสงอาทิตย์เองแท้ๆ ดวงตาที่ผ่านการใช้งานโดยไม่ได้พักผ่อนของเขามันอ่อนแอเกินกว่าจะต้านแสงแดดไหว ทั้งที่เมื่อคืนก็เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ไม่รู้ทำไมกลับข่มตาหลับไม่ลง…โอเคว่าเตียงรกๆนี่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่หรอก

แต่ไอ้ที่ทำท่าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ โกรธ ไม่พอใจ งอน หรือเป็นปกติอยู่แล้ววะ เดาอารมณ์ไม่ถูกโว้ย

หลังจากพยายามทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าด้วยการอาบน้ำ ชายหนุ่มก็เดินไปยังหน้าห้องนอนของเดียร์ นี่ก็แปดโมงกว่าแล้ว มนุษย์ปกติก็สมควรจะตื่นได้แล้ว ถึงเมื่อคืนจะนอนกันราวตีสามก็เถอะ

เงียบสนิท

สิทธิ์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า เขาจึงเว้นช่วงไปทำอย่างอื่นราวสิบนาทีก่อนจะกลับมาเคาะอีกครั้ง ซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนเดิม

หรือว่ายังหลับอยู่

ปกติตัวเองก็ตื่นตอนบ่ายสองบ่ายสามอยู่เป็นประจำเวลาที่ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนอื่นจะใช้ชีวิตเหมือนตนด้วย…

ซึ่งอันที่จริงเดียร์ก็กำลังหลับอยู่นั่นล่ะ ปกติเขาเองก็ไม่ใช่คนตื่นสายอะไรหรอก แต่เพราะได้นอนบนเตียงอันแสนสบายเกิน เลยเพลินไปนิด และยังคงไม่มีท่าทีว่าจะตื่นแต่อย่างใดด้วย

เป็นอะไรหรือเปล่านะ…

คิดแล้วก็รู้สึกกังวล พอบิดลูกประตู ปรากฏว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล็อกห้องไว้ จึงคิดจะเข้าไปดู แต่แล้วก็ชะงักเสียก่อน

ไม่ดีมั้ง เกิดว่ากำลังอยู่ในสภาพที่ใครเห็นไม่ได้ละ…แต่หมอนั่นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนี่หว่า จะไปคิดมากทำไม…แต่…เล่นสวยซะชวนสับสนขนาดนั้น ใครมันจะไปเชื่อว่าเป็นตัวผู้เหมือนกันละวะ…เผลอๆ เจ้าตัวอาจจะเป็นผู้หญิงจริงๆก็ได้ แต่ทำเป็นบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย จะได้ไม่มีคนมาจีบ…แล้วจะทำไปทำไมกันละวะ…แล้วเราจะคิดมากไปทำไมละว้อย!!!

“คุณสิทธิ์คะ ป้าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้วนะคะ” เสียงหญิงวัยห้าสิบเอ่ยเรียกคนที่ยังคงยืนเหมือนหุ่นอยู่หน้าประตูห้อง “อ้าว เป็นอะไรไปหรือคะ ทะเลาะกันหรือ”

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน แล้วส่ายหน้าให้ “เปล่าหรอกครับ ผมแค่มาปลุกเดียร์ แต่ท่าทางจะยังไม่ตื่น”

“สงสัยคงจะยังเพลียมั้งคะ เหมือนเมื่อคืนจะกลับกันมาดึกด้วยนี่นา” นางยิ้มหวานให้ “ป้ารู้ว่าคุณสิทธิ์เองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ ไว้มั่นใจว่าเป็นคนที่ใช่ แล้วค่อยทำก็ไม่สายหรอกค่ะ”

ผมว่า มันไม่ควรจะไปถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำครับ อย่างน้อยที่สุดแล้ว ลืมเรื่องจดทะเบียนไปได้เลย…

เสียงเรียกเข้าดังแว่วออกมาจากห้องนอนขัดจังหวะบทสนทนาเสียก่อน สิทธิ์จึงขอตัวไปรับโทรศัพท์ในห้องและรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ทำให้อาหารเช้าของหญิงวัยกลางคนเป็นหมันด้วยเหตุว่าเขาอาจจะไปนอนต่อ

“มีอะไรหรือครับอาวัฒน์” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะตื่นเต็มตาหลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ “ตอนนี้เลยหรือครับ…ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะออกไปที่สนามบินดูก่อนละกันว่ายังมีตั๋วขายอยู่หรือเปล่า…ครับๆ ไม่เป็นไรครับ”

พอวางหูไป สิทธิ์ก็ออกอาการเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างอยู่สามนาที ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเงิน แล้วเดินลงมาหานางซึ่งกำลังจะเตรียมตัวเข้าไปทำความสะอาดในห้องสิทธิ์

“ฝากบอกเดียร์ทีนะครับ ว่าผมอาจจะกลับมาก่อนหกโมงเย็น อย่างช้าก็เช้าพรุ่งนี้”

ว่าจบก็วิ่งฉิวออกไปจากบ้านทันที พลางนึกขอโทษนางอยู่ในใจที่ให้เธอเตรียมข้าวเช้าให้อย่างเสียเปล่าอีกแล้ว

 

เดียร์สะดุ้งตื่นขึ้นในยามบ่ายที่ร้อนระอุราวกับอยู่ในตู้อบไมโครเวฟที่กำลังเดินเครื่องด้วยแรงไฟแปดร้อยโวลต์ เด็กหนุ่มงัวเงียมองนาฬิกาแล้วก็ต้องตกใจ ที่เผลอนอนเสียเพลินและที่ชวนให้ข้องใจยิ่งกว่าคือการที่อีกฝ่ายไม่มาปลุกเขานี่ละ ทั้งที่เดียร์ก็จำได้ว่าสิทธิ์วางแผนเที่ยวไว้ยาวเป็นหางว่าวเอาไว้แล้ว

“ไงจ๊ะ ตื่นซะบ่ายเชียวนะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักเด็กหนุ่มที่เดินหน้าตื่นลงมา “พอดีคุณสิทธิ์มีธุระด่วน กว่าจะกลับมาก็เย็นๆ ไม่ก็พรุ่งนี้โน่นแน่ะ”

“งั้นหรือครับ…” ซึ่งอันที่จริงเขาก็ไม่แปลกใจนักหรอก “น่าเสียดายจังเลยนะครับ…”

ผมรึอุตส่าห์วางแผนไว้ตั้งมากมายที่จะทำให้เขาปรี๊ดแตกแท้ๆ…

“แหม ก็ใช่ว่าป้าจะไม่เข้าใจหรอกนะ เพราะสามีป้าเองก็งานยุ่งเหมือนกัน นานทีปีหนจะได้เจอกันสักที” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างที่ดูเหงาหงอย “ถึงเขาอาจจะมีเวลาให้ได้ไม่มากเท่าคนอื่นๆ แต่การที่เขาพาหนูมาที่นี่ แสดงว่าเขาจริงจังกับหนูมากเลยนะจ๊ะ เพราะงั้นก็อย่าไปโกรธเขาเลยนะจ๊ะ”

ผมจะโกรธเขาแค่เรื่องเดียวก็คือการที่เขาเอาแต่โอ๋ผมแล้วไม่ยอมลงไม้ลงมือกับผมสักทีนี่ละครับ

“ครับ”

เดียร์ยิ้มรับ ก่อนจะไปที่ครัวตามคำเชิญของอีกฝ่าย หลังจากเติมพลังเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ขอตัวขึ้นห้อง แต่ไม่ใช่ห้องของตัวเองหรอก

ห้องสิทธิ์ตอนนี้สะอาดเรี่ยมเร้ผิดกับเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง เดียร์รู้สึกอิจฉานางเล็กๆที่ได้มาทำความสะอาดในห้องที่รกอย่างกับรังหนู ท่าทางคงจะลำบากและใช้เวลาเอาการ กว่าจะให้ออกมาสวยงามได้ถึงเพียงนี้ เขาลองค้นในห้องอยู่พักหนึ่ง และก็ได้เจอในสิ่งที่เกินคาด ดูท่าทางคงจะรีบมาก ถึงได้เหลือสัมภาระเอาไว้เต็มแต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่เสื้อผ้า แล้วก็โน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่อง ซึ่งดูแล้วท่าทางจะมีไฟล์งานสำคัญอยู่เอาการ เพราะพอเปิดเครื่องมาก็ต้องใส่รหัสก่อนเข้าจอแล้ว

เขานิ่งไปครู่ก่อนจะเดินออกไปหานาง ซึ่งกำลังเตรียมตัวทำอาหารเย็น “ป้านางครับ ผมถามเรื่องส่วนตัวของคุณสิทธิ์ได้ไหม”

หญิงวัยกลางคนละสายตาจากหม้อเพื่อรอฟัง

“คือ…” ร่างบางบิดไปมา แลดูเหมือนกำลังเขินอาย “คุณสิทธิ์เขาเกิดวันไหนหรือครับ”

อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่ามันจะถูกหรอก แต่เฮียหมีแกดันเล่นเอาวันเกิดมาเป็นรหัสเข้าจอโน้ตบุ๊คจริงๆเสียนี่ แถมพอลองต่อเน็ตเปิดเข้าเว็บดู ก็สามารถเข้าถึงอีเมล์ทุกฉบับโดยไม่ต้องเสียเวลาควานหารหัสให้มากความเลย เพราะมันบันทึกและล็อกอินเข้าอัตโนมัติให้เรียบร้อยจนตอนนี้เขารู้ถึงไส้ถึงพุงสิทธิ์จนเกลี้ยง

“หืม…” เด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับอีเมล์ฉบับหนึ่ง จากคนส่งที่ใช้ชื่อว่าธนเดชข้อความช่วงแรกก็เหมือนจะเกี่ยวกับงาน แต่สามข้อความสุดท้ายนี่ กลายเป็นเรื่องของเขาล้วนๆ

 

[หัวเรื่อง] ด่วนและลับ

[ผู้ส่ง] ธนเดช

ผมว่าคงเหลือทางเดียวแล้ว ถ้าคุณต้องการจะหยุดยั้งไม่ให้ฝั่งโน้นมาเล่นงานเราอีก ผมรู้มาว่าวินมีน้องต่างแม่อยู่ และดูท่าทางเขาจะรักน้องคนนี้มาก ถ้าคุณไม่ต้องการจะทำจริงๆ ก็ไม่ต้องตอบกลับผม และลบอีเมล์นี้ทิ้งไป ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิด

 

จากนั้นเดียร์ก็เปิดเข้ากล่องส่งข้อความทันที ซึ่งแน่นอนว่ามีอีเมล์ตอบกลับเรียงตัวกันสวยงามและไม่มีลบทิ้งสักฉบับ พอได้อ่านข้อความจนจบทุกฉบับ เด็กหนุ่มก็ยิ้มพรายเขาจัดการเก็บข้าวของทั้งหมดไว้อย่างเรียบร้อย และเริ่มทำการควานหาของที่จะทำให้แผนการเดินไปได้อย่างสะดวกโยธิน

“เดียร์จ๊ะ”

ก่อนจะรีบผุดลุกและหนีออกจากห้องทันควัน

“มีอะไรหรือครับ” เด็กหนุ่มถาม พยายามแสดงอาการให้นิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้

หญิงวัยกลางคนเลิกคิ้วมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ “เป็นสาวเป็นแส้ ทำไมพูดจาเป็นผู้ชายไปได้ละจ๊ะ

…เปล่าครับไม่ได้เป็น…ก็อยากจะบอกอยู่หรอก แต่ในเมื่อคุณหมีเขาไม่บอกป้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผมจึงคิดว่าควรจะเงียบไว้ด้วยดีกว่าเผื่อบอกแล้วอาจจะทำให้ป้าหัวใจวายก็ได้

“มันติดแล้วน่ะครับ จะให้เลิกเลยก็รู้สึกแปลกๆ” เด็กหนุ่มทำท่าเขิน ซึ่งไม่ว่าจะตะแคงมองท่าไหนก็เห็นเป็นเพียงสาวน้อยขี้อายคนหนึ่งเท่านั้น “ว่าแต่ ป้าเรียกผมมาทำไมหรือครับ”

“อ๋อ เดี๋ยวป้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อยน่ะจ๊ะ เลยจะเอากุญแจไว้ให้ เผื่อเราจะออกไปเที่ยว” ว่าแล้วเธอก็ยื่นกุญแจดอกเล็กให้ “ป้าอาจจะกลับมาเย็นๆนะจ๊ะ ถ้าหิวละก็ มีโจ๊กอยู่ในตู้เย็นนะ”

“ครับ ขอบคุณมากเลย…ครับ”

“จ้าๆ ป้าไม่ว่าแล้วครับ” นางเอ่ยแซวก่อนจะขอตัวออกจากบ้านไป

เดียร์เดินไปส่งหญิงวัยกลางคนถึงหน้าบ้าน พออีกฝ่ายลับตาไป เดียร์ก็หันกลับเข้าบ้านหมายจะชิ่งไปหาของต่อในห้องของสิทธิ์ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปหาประตู ก็โดนกระชากแขนจนตัวลอย

“ให้ตายเถอะ น่ารำคาญชะมัด”

เดียร์หันไปมองต้นเสียง ซึ่งก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน เป็นหนึ่งในลูกน้องที่อยู่ใต้สังกัดชา และเป็นคนที่เด็กหนุ่มชอบเป็นอันดับต้นๆ

จริงอยู่ว่าวินรักเขาแทบตาย ส่วนชาเองก็เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขา แต่ส่วนใหญ่คนที่รู้ถึงตัวตนของเดียร์ ไม่มีใครชอบหน้าเขาซึ่งเป็นลูกเมียน้อยเท่าไหร่นักหรอก ยิ่งโดยเฉพาะลูกน้องในสังกัดของมาริสา ต่อให้เจ้านายไม่สั่ง เหล่าผู้ใต้บังคับต่างก็ปรี่เข้ามารังแกเด็กหนุ่มแบบรู้งานกันถ้วนหน้า

หากไม่ติดคุณพี่ชายแสนดี ที่คอยราวีไม่เลิก ชีวิตนี้คงมีความสุขจนตาย

“พี่ดร”เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองชายที่ตัวสูงกว่าตนไปราวครึ่งหัว เขาไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายที่นี่…แต่ก็พอจะเดาๆได้ว่าชายหนุ่มมาทำไม และรู้ได้อย่างไร

“อย่ามาเรียกว่าพี่นะ ใครอยากจะนับญาติกับคนอย่างแกกัน” เจ้าของชื่อด่าฉอดๆก่อนจะทำท่าขยะแขยงแสลงใจเหมือนกำลังจับก้อนอึ “คุณชาสั่งให้ฉันมาพาตัวเด็กงี่เง่าอย่างแกกลับบ้าน ชอบเรียกร้องความสนใจนักหรือไง ถึงได้ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่วน่ะ กลับได้แล้ว”

“ไม่” และกรุณาดึงฉันแรงๆ…โอ้ว แรงบีบแห่งความชังนั้นน่าหลงใหล “ผมแค่มาเที่ยว ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรสักหน่อย”

“เที่ยว? กับคนที่เป็นศัตรูกับคุณวินน่ะนะ จะโง่ก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ แล้วนี่ไม่รู้เลยหรือไงว่าคุณวินกับคุณชาเขาพยายามติดต่อหาแกตั้งไม่รู้กี่รอบ กลับบ้านได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องลาก”

ก็อยากให้ลากกลับอยู่หรอก แต่ความรื่นเริงแค่วูบเดียว มันไม่น่าสนใจนี่นา

“ถึงพี่กับคุณสิทธิ์เป็นศัตรูกัน แต่ฉันไม่เกี่ยวนี่นา คุณสิทธิ์เขาไม่ใช่คนที่จะพาลไปทั่วสักหน่อย” มือบางสะบัดกลับ…ด้วยแรงที่มากจนชายหนุ่มถึงกับตกใจ “พี่ดรกลับไปเถอะ”

“บอกว่าอย่าเรียกฉันว่าพี่!” ผมสีน้ำตาลสะบัดไปตามแรงหัน นัยน์ตาวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธ “อยากให้ใช้กำลังนักใช่ไหม ได้!ยังไงซะ คุณชาก็สั่งไว้แล้วว่าถ้าแกไม่ยอมกลับดีๆให้ใช้กำลังได้เลย”

ด้วยความที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหนุ่มที่แลดูอ่อนแอ ไม่กล้าสู้คนมาตลอด ดรจึงเพียงแต่รุกเข้าหมายจะกระชากแขนบางเพื่อลากกลับ แต่สิ่งที่ได้รับทำเอาเขาหน้าเหวอ

“ช่วยด้วย คนโรคจิต จะปล้ำผู้ชายคร้าบบ”

แถวนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคน แถมในจังหวะที่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พ่อคุณผู้น่ารักก็ชิ่งเข้าบ้านไปเสียแล้ว

“เฮ้ย…ปละ…เปล่านะครับ พอดีเพื่อนผมเขาชอบเล่นอะไรแผลงๆ” ดรหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะเดินหน้าถมึงทึงไปที่ประตู ทีแรกจะตะโกนเรียก แต่พอรู้สึกได้ว่ายังโดนจ้องไม่เลิก เขาเลยพยายามเปลี่ยนอิริยาบถสุดชีวิต แต่อยู่ๆจะต้องมายิ้มให้คนที่รังเกียจมานานมันเป็นเรื่องหนักหนาเอาการอยู่ แต่ถ้าไม่ทำ หรือทำไม่เนียน มีหวังโดนเข้าใจผิดแบบไม่กล้ามาเดินแถวนี้ไปอีกนานเป็นแน่ “เฮ้เดียร์ อย่าเล่นแบบนี้น่า ฉันอายน้า”

คนอายเขาไม่ตะโกนพูดแบบนั้นหรอกครับพี่ดร จะแสร้งทำก็อย่าให้มันเวอร์นักสิ

เดียร์ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายมายืนร้องเย้วๆจนเสียแผนอยู่แบบนี้แน่ เพราะงั้น เขาจึงเปิดเว็บในโทรศัพท์เพื่อหาเบอร์สน.ที่ใกล้ที่นี่ที่สุด แล้วโทรออก

 

ชาเลิกคิ้วมองมือถือที่สั่นกึกๆ ทีแรกนึกว่าเป็นข้อความจากน้องมีมี่ แต่กลับเป็นของลูกน้องที่เขาใช้ให้ไปเอาตัวเดียร์กลับมา และทันทีที่อ่านข้อความจบเขาก็รีบลบทันควัน เพราะกลัววินจะมาเห็นผลลัพธ์ที่แย่เกินรับไหวนี่

“อะไร เดียร์หรือเปล่า”

ชายหนุ่มหน้านิ่งกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเจ้านายที่ออกอาการร้อนรนปนกังวล เขาเก็บมือถือกลับก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “เปล่าครับ แค่เมล์ขยะน่ะครับ”

วินถึงกลับเหี่ยวลงทันตาจนชาผงะ เขารีบเข้าไปหมายจะช่วย แต่กลับโดนปฏิเสธเสีย

“ฉันแค่เหนื่อย ไม่ได้เป็นอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนิ่ม…แต่คนฟังกลับทำเหมือนวินเพิ่งด่าพ่อล่อแม่ก็ไม่ปาน “งั้นฉันไปจัดการงานที่เหลือก่อน นายช่วยเตรียมเอกสารที่จะใช้ประชุมตอนเย็นนี้ด้วยก็แล้วกัน”

ประธานบริษัทเดินสะโหลสะเหลกลับเข้าห้องทำงานของตน เหล่าพนักงานคนอื่นต่างพากันมองด้วยความแปลกใจปนเป็นห่วง เพราะภาพลักษณ์ของหัวหน้าตนที่มักเห็นเป็นประจำ คือการทำตาขวางอยู่เป็นนิจ และคอยโวยวายใส่ชาไปเสียทุกเรื่องจนชวนให้สงสารเลขาฯหนุ่มอยู่ร่ำไป

ชาเพียงแต่ถอนใจ เพราะนึกไม่ออกว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี อย่างน้อยเขาก็อยากได้ตัวเดียร์กลับมาก่อนคืนนี้ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

 

สิทธิ์เดินเซเลี้ยวไปเลี้ยวมาเหมือนคนเมาทั้งที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปสักหยด การนั่งเครื่องบินเทียวไปเทียวมา เพื่อไปจัดการงานด่วนมากจนชวนหัวยุ่งแถมยังไม่ได้นอนซักงีบ ทำเอาเขาแทบจะหมดแรงเดิน กว่าจะกลับมาถึงบ้านพักโดยสวัสดิภาพก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า

“บ้าเอ๊ย”

หนุ่มร่างยักษ์มองเวลาก่อนจะย่องเข้าไปในบ้านราวกับสามีที่แอบหนีเที่ยวมา แต่ยังดอดไปไม่ถึงห้อง อีกฝ่ายก็เปิดประตูออกราวกับรู้อยู่แล้ว

ใบหน้าเนียนเรียบนิ่งจนดูอารมณ์ไม่ออก แต่ดวงตากลมที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความดูถูกและผิดหวังอย่างโต้งๆ…ซึ่งปกติแล้วเขาก็คงจะรู้สึกผิดอยู่หรอก แต่ไม่ใช่ตอนที่กำลังง่วงและหงุดหงิดตอนนี้

“ฉันขอโทษนะ พอดีมีงานด่วนจริงๆ ฉันเองก็ไม่อยากจะให้เป็นแบบนี้หรอก” เสียงทุ้มดังห้วนออกมา พร้อมกับเบี่ยงร่างไป แต่อีกฝ่ายกลับมายืนขวางเสียนี่ “มีอะไรหรือไง”

“ผมจะกลับบ้าน”

“หา” จากที่เปลือกตาทำท่าจะปิดแหล่มิปิดแหล่ก็เบิกโพลงทันควัน ใบหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ “กลับบ้าน ตอนนี้เนี่ยนะ จะรีบกลับไปทำไมละ”

“เพราะผมทนที่จะอยู่กับคนเลวที่คิดจะใช้ผมเพื่อทำร้ายพี่ผมไม่ได้น่ะสิ”

คราวนี้ละ ตื่นอย่างแท้จริง

สิทธิ์ได้แต่กะพริบตามองปริบๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายไปเอาข้อมูลจากไหนมาพูดกัน แต่สงสัยอยู่ไม่นาน พอเห็นสมุดในมือก็กระจ่าง นั่นเป็นสมุดที่เขาบันทึกแผนการทั้งหมดเอาไว้ เริ่มกันตั้งแต่คำนำยันบรรณานุกรมเลยทีเดียวชายหนุ่มได้แต่มองแล้วโทษตัวเองที่สะเพร่าทิ้งของสำคัญเอาไว้จนอีกฝ่ายหาเจอ…แม้จะรู้สึกตงิดๆนิดหน่อย เพราะไอ้สมุดนั่นน่ะ เขาซ่อนเอาไว้อยู่ในช่องซิบของกระเป๋าเสื้อผ้าของตน อีกทั้งยังยัดกางเกงในเอาไว้ป้องกันอีกต่อหนึ่ง ซึ่งหากไม่สังเกตหรือตั้งใจค้นหา คงจะไม่เจอหรอกแต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถามถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด เพราะมันมีเรื่องอื่นที่ชวนเครียดกว่า

“คุณหลอกผม” เสียงหวานสั่นระริกดวงตากลมรื้นไปด้วยน้ำตา“ผมน่าจะเชื่อพี่ตั้งแต่แรก ทั้งที่ผมอุตส่าห์คิดว่าคุณเป็นคนดีแท้ๆ สุดท้าย คุณแค่เข้าหาผมเพราะต้องการจะใช้ผมเป็นเครื่องมือทำร้ายพี่”

สติที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วขาดผึงทันทีที่โดนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

“ทำร้าย?พูดผิดแล้วมั้ง”

มือหนาผลักร่างบางกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างไม่มีการเห็นใจพอเห็นอีกฝ่ายอ้าปาก มือหนาก็เข้าไปปิดเสีย ก่อนจะยกร่างเบาหวิวหอบหิ้วไปยังห้องนอนตน แล้วโยนลงเตียงอย่างไม่มีการถนอมแต่อย่างใดชายหนุ่มตามขึ้นไปคร่อมเดียร์ แล้วกดร่างอีกฝ่ายเต็มแรงจนเด็กหนุ่มหน้าเบี้ยว

“คนที่เลวน่ะ มันพี่เธอต่างหาก” เสียงทุ้มกดต่ำดังลอดไรฟันนั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้น “อย่างเธอ คงเห็นแค่ว่าหมอนั่นเป็นพี่ชายแสนดีงั้นสิ ฉันจะบอกอะไรให้นะ หมอนั่นน่ะ มันชั่วยิ่งกว่าฉันอีก”

“พูดบ้าอะไรของคุณอย่ามาพูดให้ร้ายพี่นะ…” ดวงตากลมจ้องมองด้วยความสงสัยเด็กหนุ่มพยายามขืนตัวหนี แต่ยิ่งออกแรงเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ใช้แรงที่เยอะกว่าต้านกลับ รังแต่จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเสียเปล่าๆ แต่กระนั้นเดียร์ก็ยังดิ้นต่อไปเรื่อยๆ ส่งผลให้สิทธิ์ได้แต่สมเพชอยู่ในใจ “…ปล่อยผมนะ!ผมจะกลับ”

“แล้วคิดว่าฉันจะยอมหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ หากแต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว จนเดียร์สั่นระริก “จะโทษใครไม่ได้หรอกนะ นอกจากพี่ชายของเธอแล้วก็ตัวเธอเองที่ดันโง่หลงเชื่อฉัน”

“ไม่นะ…ไม่!!”

ตุบ

เดียร์เบิกตากว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ อีกฝ่ายไม่ได้จับเขาขึงพืดไว้กับเตียง และทำร้ายร่างกายด้วยแรงแค้นทั้งหมดที่มีจนสาแก่ใจอย่างที่วาดหวังจากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการข่มขู่ให้ตนยอมทำตามคำสั่ง หากแต่ร่างสูงกลับฟุบลงทับตนเหมือนกับหมดสติไปดื้อๆ

“คุณสิทธิ์?” เด็กหนุ่มลองเรียกชื่ออย่างไม่แน่ใจนัก แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมาแม้แต่น้อย ร่างกายอุ่นและยังคงหายใจบอกให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ “อะไรวะ หลับเรอะ”

เขาอดสบถไม่ได้ จะมาหลับอะไรตอนเข้าด้ายเข้าเข็มกันละเนี่ย คิดแล้วยิ่งแค้นเป็นยิ่งนัก เพราะตอนที่นายหมียักษ์ดีแตก เขารึ อุตส่าห์กลั้นยิ้มจนตัวสั่นน้ำตาไหลพราก ดีใจที่จะได้เจอความหรรษาอย่างที่รอสักที

แล้วนี่มันอะไร! หลับคาเตียงก่อนซะงั้น ฉันไม่ได้รอให้นายแค่มาค่อนแคะฉันไม่กี่ประโยค บีบแขนฉันแค่ไม่กี่นาที แล้วหลับไปดื้อๆนะว้อย ตื่นขึ้นมาจัดการให้เสร็จๆก่อนซี่ ไหนจะทรมานฉันให้เจียนตายไม่ใช่รึ ไอ้โซ่แส้กุญแจมือที่อยู่ในลิ้นชักน่ะ เอามาใช้ซะสิ ไหนเห็นเขียนไว้ซะดิบดีว่าหลังจากทรมานฉันแล้วจะถ่ายคลิปส่งไปเย้ยพี่วินไม่ใช่เรอะ อย่างน้อยก็ทำให้มันเสร็จซักครึ่งก็ยังดีว้อย ถ้าเป็นคนปกติ ป่านนี้ชิ่งหนีไปนานแล้วนะ!

เดียร์ได้แต่ด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ดวงตากลมมองไปรอบห้องก่อนจะกลับมาที่ชายหนุ่ม ซึ่งยังคงหลับเป็นตาย สภาพแบบนี้ใช่ว่าเดียร์จะไม่พอใจ แต่ลองอยู่นิ่งๆแบบนี้จนเช้าโดยไม่ทำอะไรเลยดูสิ อีกฝ่ายคงสงสัยแน่ๆ เพราะแค่ผลักร่างคนสักคนให้ออกไป โดยมีเวลาทั้งคืน มันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอก

เด็กหนุ่มใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อหนีจากน้ำหนักแปดสิบกิโลกรัมด้วยความเสียดาย…ซึ่งกว่ายี่สิบนาทีเป็นเพราะมัวแต่เคลิบเคลิ้มกับแรงกดที่ทำให้อึดอัด หลังจากลุกขึ้น ก็ผลักให้อีกฝ่ายไปนอนด้านข้าง แล้วเปิดลิ้นชัก หยิบอุปกรณ์กักขังทรมานที่ครบครันออกมา

ช่วยไม่ได้ละนะ…
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 02-06-2013 18:41:51
ลุ้นๆ เอาไงต่อ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 02-06-2013 21:10:10
เดียร์จะพลิกมาทรมานสิทธิ์แทนรึเปล่า  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 02-06-2013 21:25:32
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:เริ่มสงสารสิทธิ์แล้วอะ o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-06-2013 22:19:24
แหวกแนวดีจริงๆ เรื่องนี้
ชอบตรงที่นายเอกจะโดนทรมาณแค่ไหนก็ไม่ดราม่า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 02-06-2013 22:58:18
ฮาจริงๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 02-06-2013 23:26:24
แหวกดีจังง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 02-06-2013 23:50:05
เดียร์จะทำอะไรล่ะนี่ ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Zitraphat ที่ 02-06-2013 23:53:14
ได้อย่างที่ต้องการ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 03-06-2013 00:04:41
555555 นายเอกขำมากอ่ะ เธอว้อนท์มาตั้งแต่ตอนแรกเลยนะ ยังไม่มีใครจัดเเลย ขำที่เธอพยายามยั่วนี่แหละ  :jul3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 7 (2/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 03-06-2013 00:26:47
ขำอ่ะ ทั้งสิทธิ์ ทั้งเดียร์
 มีแต่คนอัดอั้นตันใจ เอิ๊กๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 03-06-2013 18:36:21
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 8

อันที่จริง…ก็ไม่ได้อยากจะทำหรอกนะ…แต่พอคิดว่าฝั่งเราเองมีคนเดือดร้อนเพราะมันไปไม่รู้ตั้งกี่คน แล้วจะให้อยู่เฉยๆทนดูพวกลูกน้องพากันบาดเจ็บงั้นน่ะหรือ…คงทำไม่ได้หรอก…เพราะงั้น…เราก็แค่อยากจะให้มันรับรู้…ถึงสิ่งที่มันทำซะบ้าง ให้มันสำนึก แล้วเราก็จะหยุด…และพยายามไม่ให้มันเกินเลยกว่าที่เราหวัง…ใช่...ก็แค่ทำให้มันกับน้องผิดใจกันจนมองหน้ากันไม่ติด…เอาให้สาแก่ใจจนมันเจียนตาย แล้วเราก็ค่อยเลิก…ค่อยบอกความจริงกับเดียร์…นั่นคือสิ่งที่ต้องการ…

สายไปแล้วคร้าบ

“อ๊ะ”

สิทธิ์สะดุ้งพรวดเหมือนโดนเข็มแทงหลัง ดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขารู้สึกเหมือนตนฝันร้ายมาก…แต่จำไม่ได้ว่าฝันอะไรแล้ว รู้แค่ว่ารู้สึกดีที่จำไม่ได้

“อือ”

แต่พอหันไปมองต้นเสียง และเรียบเรียงความทรงจำเบลอๆของเมื่อคืน เขาก็รู้แล้วว่ามีสิ่งที่แย่กว่าฝันร้าย ซึ่งอยู่ข้างๆตนนี่เอง ชายหนุ่มเกือบจะตกเตียง ตอนที่เห็นร่างบางที่โดนพันธนาการไว้ด้วยกุญแจมืออยู่กับเตียง อีกทั้งเสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยรอยฉีกขาด ผิวหนังขาวเนียนมีรอยแดงเป็นทางยาวจากเข็มขัดหนังของตนอยู่ทั่วกายคราบน้ำตาเป็นทางติดอยู่บนพวงแก้มแดงอมชมพูนั่น บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้พบกับเหตุการณ์รุนแรงน่าสะเทือนขวัญแค่ไหน

“บ้าเอ๊ย ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ” ชายหนุ่มนึกด่าตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จนเรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงตรงนี้…ตรงที่เขาไม่อยากจะให้มาถึงเลยสักนิด “หืม…”

สิทธิ์รู้สึกตงิดๆกับสิ่งที่เห็น เขาจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองหลุดโมโหออกไป แล้วก็บอกความจริงกับอีกฝ่ายก็จริง…แต่ไม่เห็นจะจำได้ว่าเอากุญแจมือมาขึงเดียร์อยู่กับเตียง…แล้วก็ไม่เห็นจะจำได้ว่าเอาเข็มขัดฟาดใส่ด้วย…

“…สงสัยจะโมโหแล้วก็ง่วงจัดเลยจำไม่ได้”

ใครมันจะกล้าคิดว่าอีกฝ่ายทำตัวเองกันบ้างล่ะ และชายหนุ่มก็มัวแต่ดีใจที่อีกฝ่ายไม่หนีไป เกินกว่าจะสงสัยเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น เขาลุกขึ้นจากเตียง สำรวจพื้นที่โดยรอบ เนื่องจากเขาจำได้แค่ถึงตรงที่เอาเดียร์ขึ้นเตียง จึงต้องหาหลักฐานว่าเมื่อคืนได้ทำอะไรลงไปบ้าง

ผ้าปูเตียงยับยู่และหลุดลุ่ยออกมาบ่งบอกถึงความรุนแรงขณะอยู่บนเตียง…หมอนและผ้าห่มเทลงมานอนอยู่บนพื้นไม้…เก๊ะที่เก็บอุปกรณ์ที่ไว้ใช้ยามเดือดร้อนเปิดอ้า…กุญแจมือที่เก็บสำรองไว้สามอันอยู่ที่แขนเดียร์หนึ่งอัน อีกสองอันห้อยอยู่บนเก๊ะ…เสื้อยืดสีเขียวอ่อนของเดียร์ขาดวิ่นคล้ายโดนฉีกโดยเฉพาะตรงกลางที่ผ่าจากคอเสื้อลงมาจนสุดเผยให้เห็นช่วงท้องที่มีรอยแดงเป็นทาง ส่วนช่วงบนยังคลุมอกทั้งสองพอให้คนมองข้องใจว่าอีกฝ่ายไม่มีอย่างที่ควรเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว หรือแค่จอแบนแบบไม่ตั้งใจกันแน่…แต่โชคดีที่กางเกงยีนส์ยังอยู่ดีทุกประการ…นั่นทำเอาชายหนุ่มโล่งใจไปมาก ที่ยังไม่เผลอไปถึงขั้นนั้น…

ผู้ชาย…จริงเรอะ…

ยิ่งมองก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อนัก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอผู้ชายหน้าสวย ลูกน้องของตนหลายคนก็หน้าตาออกไปทางน่ารักเยอะ แต่ไม่มีคนไหนร่างน้อยเอวบางผิวขาวเนียนนิ่มตาโตใสปิ๊งแบบนี้สักคน…

“อึก…”

สิทธิ์รีบชักมืออันแสนซุกซนของตนกลับมา หัวใจเต้นระรัวราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น(ทั้งที่มีเรื่องอื่นให้กลัวกว่านี้เยอะ)เมื่อครู่มือเขาเกือบจะเลิกเสื้อที่จะเปิดแหล่มิเปิดแหล่นั่นแล้ว

แต่…หมอนี่เป็นผู้ชาย กะไอ้แค่เห็นหน้าอกมันจะเป็นอะไรไปเล่า…แล้วเราจะไปอยากดูหน้าอกของผู้ชายด้วยกันทำไมวะเนี่ย!!!

หัวก็คิดแบบนั้น แต่ใจมันไปเสียแล้วนี่สิมือหนาตบเข้าหน้าตัวเองอย่างจังเป็นการเรียกสติ นี่ไม่ใช่เวลามาลักหลับอีกฝ่ายสักหน่อยเขาเดินไปที่ประตูก่อนจะชะงัก แล้วกลับมาที่เก๊ะ ล้วงเอาเทปกาวขึ้นมาปิดปากเดียร์ เผื่อเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาในระหว่างที่เขาลงไปด้านล่าง

ซึ่งความจริงแล้ว เขาก็ตื่นตั้งกะไก่โห่แล้วละ นี่ขนาดเขาหลับทีหลังตั้งเยอะนะ ยังตื่นก่อนตั้งเกือบชั่วโมง

“…” เดียร์หรี่ตามองจนแน่ใจว่าสิทธิ์ออกจากห้องไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนล้า เมื่อครู่เขาทนกลั้นใจอยู่นาน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทำท่าจะลวนลามตน แต่เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ถึงความผิดปกติที่ไม่น่าจะเกิดนี่

ดีนะที่ไม่รู้ตัว

เขานึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ พลางคิดว่าจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไรดีเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในห้องดูจากความเป็นคนดีของพ่อหมีแล้ว ขืนทำหน้าหวาดกลัวเต็มไปด้วยน้ำตาละก็ พ่อคุณคงใจอ่อนแล้วเลิกแผนการในทันทีทันใดแน่

สิทธิ์วิ่งหน้าตั้งลงมาด้วยความเร็วสูง จนนางซึ่งกำลังวางสำรับอาหารถึงกับสะดุ้งจนเกือบทำขนมปังปิ้งตกพื้น

“วันนี้ป้าจะกลับแล้วนี่นา งั้นรีบไปเตรียมตัวเถอะครับ เดี๋ยวป้ากลับไปก่อนได้เลยนะครับ ผมจองตั๋วให้เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกครับ เดี๋ยวพอจัดการอะไรเสร็จพวกผมก็จะกลับเหมือนกัน”

แต่คนฟังกลับแสดงสีหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าไม่เชื่ออย่างแรง

“คราวก่อนตอนที่มาเที่ยวกับพวกเพื่อนๆ คุณสิทธิ์ก็พูดแบบนี้เหมือนกันนะคะ แล้วสุดท้ายป้าก็ต้องกลับมาทำความสะอาดซะยกใหญ่ รอบนี้ป้าคงกลับก่อนไม่ได้หรอกค่ะ รู้หรือเปล่าคะว่าพวกราพวกคราบสกปรกน่ะ พอทิ้งไว้นานๆมันเอาไม่ออกนะคะ”

ผมยอมให้ราขึ้นเต็มบ้านดีกว่าให้ป้ามาเห็นสภาพเดียร์นะ…แต่ลองมาถึงขั้นนี้แล้ว จะปิดไปก็เหนื่อยเปล่า

“ที่จริง เดียร์ไม่ใช่เพื่อนผม…หรือแฟนผมหรอก” พอเห็นเจ้านายหนุ่มตีหน้าเครียด หญิงวัยกลางคนก็เริ่มหวาดหวั่นยิ่งสิทธิ์ยืนนิ่งทำท่าอึกอักอยู่เสียนานสองนานยิ่งทำให้หญิงวัยกลางคนลุ้นจนอยากเป็นลม“เขาเป็นน้องชายไอ้วิน”

“อะไรนะ น้องชาย?ผู้ชาย?” นางตกใจส่วนนั้นมากกว่าที่อีกฝ่ายเป็นน้องของคนที่สิทธิ์ชังน้ำหน้า “หนูเดียร์เป็นผู้ชายเหรอ หลอกป้าเล่นหรือเปล่าน่ารักกว่าลูกป้าอีกนะ”

ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่หรอก…แต่ไปคุ้ยประวัติมา มันก็เขียนไว้ทนโท่ว่าชายทั้งแท่งน่ะสิครับ

“ลูกคนไหนละครับ…เอ๊ย เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ” ชายหนุ่มกลับเข้าประเด็นอย่างเหนื่อยใจ “ที่สำคัญคือ ผมตั้งใจจะหลอกน้องมันมาแก้แค้น ถึงได้พามาที่นี่”

สีหน้าของหญิงท้วมดูแย่ลงเมื่อได้รู้ความจริง และดูจะผิดหวังเอามากๆด้วย “ป้าก็คิดว่าคุณสิทธิ์จริงจัง ถึงได้พามา…”

เจ็บครับ…เจ็บโคตรเลยอะ เพราะงี้แหละ ผมถึงไม่อยากบอกป้าไง

“ป้าว่าเลิกเถอะนะ หยุดตอนนี้ก็ยังทัน แก้แค้นไปมามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก” นางอ้อนวอน

“ไม่ได้หรอกครับ” สิทธิ์ยื่นคำขาด “ถึงผมจะเฉย แต่หมอนั่นไม่ได้เฉยด้วยสักหน่อย ถ้าไม่ถึงที่สุดผมไม่ทำแบบนี้หรอก ป้าก็รู้นี่ ว่า ทั้งเน ทั้งอารุต แถมยังคนอื่นๆตั้งหลายคน โดนไอ้วินมันลอบกัดจนต้องเข้าโรงพยาบาล ผมทนดูลูกน้องตัวเองโดนทำร้ายอยู่เฉยๆไม่ได้หรอกนะครับ”

เนื่องจากไม่ได้รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางมากนอกจากเรื่องที่สิทธิ์ไม่ถูกชะตากับวิน เธอจึงยอมแพ้ เพราะไม่รู้จะกล่อมอย่างไรดี และเธอก็มั่นใจว่า คนที่รู้ดีกว่าเธอคงกล่อมจนปากเปียกปากแฉะไปแล้วแน่ๆ

“ถ้าคุณสิทธิ์พูดแบบนั้น ป้าก็จะไม่ห้าม” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยการตำหนิ จนสิทธิ์รู้สึกเหมือนกำลังโดนเทศนาและด่าทอยังไงชอบกล “แต่ป้าก็จะไม่กลับหรอกนะ คุณสิทธิ์ทำตามใจชอบเถอะ ป้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำหน้าที่ของตัวเองพอ”

ไม่ได้ว่าเล้ย แต่ทำไมเจ็บชะมัด…

พอคุณแม่จำเป็นหายเข้าไปในครัว สิทธิ์ก็หลับหูหลับตาฟาดขนมปังปิ้งทาเนยที่แสนหอมฉุยจนเรียบทั้งแปดชิ้นพร้อมกับเบคอนทอดเกรียมทั้งที่ปกติเป็นของชอบของเขาแท้ๆ แต่วันนี้กลับรู้สึกว่ารสมันเฝื่อนชอบกล

จะว่าไป…หมอนั่นจะหิวไหมนะ…

คิดเสร็จก็หันไปเห็นอาหารอีกชุดซึ่งมีจำนวนเท่ากับคนทานปกติ แล้วเป็นห่วงอีกฝ่าย ยิ่งนึกถึงสภาพขาดๆวิ่นๆของเดียร์ที่ตัวเองจำไม่ได้ว่าไปทำได้อย่างไรนั่น ความรู้สึกผิดก็พุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำพุก็ไม่ปาน

โดนหนักขนาดนั้นแล้วนี่ ขืนไม่ยอมให้กินข้าวอีก มีหวังได้เข้าโรงพยาบาลแหงมๆ

พออิ่มท้องก็ยกจานอาหารแล้วเดินขึ้นไปด้านบน โดยพยายามลบความรู้สึกผิดออกจากใบหน้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเมื่อเรื่องมันเดินมาทางนี้แล้ว ชายหนุ่มก็คิดว่าเขาควรจะไปให้สุดๆ เพราะไม่งั้น ตัวเองนี่ละที่จะใจอ่อนเสียเอง

สิทธิ์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นอยู่แล้ว เขาทำเป็นหน้าบึ้ง กระแทกจานบนโต๊ะข้างเตียง แล้วดึงเทปที่ปิดปากออกอย่างเบามือเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ…อยู่ๆจะให้ใจดำเลยมันทำใจลำบากอยู่นะ…

“คุณมันเลวที่สุด ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง”

ก็เตรียมใจไว้แล้วละว่าต้องโดนด่าเพราะงั้นถึงได้เตรียมคำพูดมาเรียบร้อย

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเธอรู้ความจริงแล้ว ก็ช่วยไม่ได้” สิทธิเอ่ยอย่างไม่หยี่ระต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย “ที่นี่ไม่ใช่บ้านเธอ และพี่ชายแสนดีของเธอก็ไม่อยู่คอยคุ้มกะลาหัวเธอแล้วด้วย เพราะฉะนั้นก็ทำตัวให้ดีๆถ้าไม่อยากโดนเหมือนเมื่อคืน”

ถึงฉันจะจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้างก็เถอะ

“ทำไมผมต้องฟังคนที่ทำร้ายผมด้วย ปล่อยผมนะ ถ้าพี่วินรู้เรื่องนี้…คุณเดือดร้อนแน่!” ถ้าจะเสนอเรื่องดีๆกันขนาดนี้ แล้วไยผมต้องทำตัวเป็นเด็กดีกันละครับ “คุณมันเลวที่สุด ทำตัวเหมือนหมาลอบกัดอย่างที่พี่วินว่าไว้ไม่มีผิด”

พอเห็นอีกฝ่ายเถียงกลับอย่างไม่กลัวเกรงแถมยังด่าเขาฉอดๆไอ้ความรู้สึกที่ยังหวาดหวั่นต่อเรื่องที่เผลอและพยายามจะทำต่อไปนี้ มันก็หายไปเกลี้ยง

“ฉันเนี่ยนะหมาลอบกัดเธอน่าจะหันกลับไปดูตัวพี่ชายเธอมากกว่า หมอนั่นต่างหากที่มาทำร้ายพวกฉันจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปตั้งหลายคน”

อืม เสียงทุ้มที่ตะคอกใส่หน้าก็ได้อารมณ์อยู่หรอก เสียแต่ว่าไม่ได้ด่าตัวเองนี่ละ ถึงได้ไม่รู้สึกอะไรสักนิด…ก็ไม่ได้เกลียดเรานี่นา เลยไม่รู้จะด่าอะไรสินะ…แย่จัง…งั้นเดี๋ยวจะช่วยให้นึกคำด่าออกมาให้เอง

“หึ คิดว่าผมจะเชื่อคำพูดพล่อยๆจากปากคนเลวๆอย่างคุณหรือ” ดวงตากลมจ้องมองอย่างไม่สะทกสะท้านจนคนมองสะอึก และหงุดหงิดหนักขึ้น “ปากก็เอาแต่ว่าพี่วินแล้วสิ่งที่คุณทำมันต่างจากที่คุณว่าเมื่อกี้ตรงไหน บอกผมทีสิ”

สิทธิ์ชะงัก เขาได้แต่ขบกรามแน่นเพราะเถียงไม่ออกและเดียร์ก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาสแต่อย่างใด

“คนดีๆเขาไม่ใช้วิธีสกปรกอย่างการดึงคนอื่นเข้ามาเดือดร้อนกับเรื่องของตัวเองหรอก ถามหน่อยสิว่าผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมไม่ได้ไปทำร้ายลูกน้องคุณสักหน่อยแล้วมาลงกับผมเนี่ยนะ ยังมีศีลธรรมหรือความเป็นคนอยู่หรือเปล่า…”

เดียร์หยุดปากไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดเป็นกระดาษ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดเลยสักนิด เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนโฉดโหดทมิฬหินชาติ ที่ฟังความจริงแล้วจะยิ่งโกรธ แล้วอาละวาดเหมือนคนบ้า แต่ดันเป็นคนดีที่โดนด่าแทงใจดำแล้วดันสลด รู้สึกผิดจนอยากเอาหัวไปโหม่งหมอนแทน

“…ไอ้คนไร้น้ำยา ไอ้อ่อน ไอ้ดีแต่ปาก ไอ้ใจเสาะ…ใหญ่แต่ตัวแต่สมองเท่าเม็ดถั่ว” เด็กหนุ่มเริ่มทำการด่าเสียดสีและล้อเลียนแทน ซึ่งก็ได้ผล จากที่กำลังสลดจนทำท่าจะปลดกุญแจมือออก คิ้วก็เริ่มชนกัน และหันมามองตาขวางทันควันเดียร์จึงด่าต่ออย่างไม่ลดละโดยพยายามกลั้นขำสุดชีวิตเพราะไอ้ที่ด่าช่วงหลังนี่ ระดับเท่ากับเด็กประถมด่ากันนี่ “พ่อแม่ไม่รู้จักสั่งสอน หรือสอนแล้วแต่ไม่จำก็ไม่รู้”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ” สิทธิ์ตวาดลั่น ใบหน้าแดงจัดเพราะความโกรธ ที่โดนเล่นถึงบุพการี

“แล้วไง ผมไม่หยุด คุณมันงี่เง่า เอาแต่ใจ บ้าอำนาจ เห็นแก่ตัว!”

เพียะ!!!

เสียงตบดังขึ้นอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มหันไปตามแรงที่ปะทะเข้าข้างแก้ม ผิวขาวอมชมพูเห่อแดงขึ้นเป็นรอยมือ ความเจ็บแสบค่อยๆแทรกซึมเข้าแทนที่ความชาอย่างรวดเร็วจนทำเอาห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่

มันต้องแบบนี้สิ! แรงตบหนักหน่วงไม่มีการยั้งมือและไร้ซึ่งความปรานีใดๆ นี่มันแรงกว่าที่เคยเจอเป็นไหนๆ…สุดยอด!!...อุ๊บ ไม่ได้สิ อย่าเผลอๆ ต้องนิ่งเข้าไว้ๆ

สิทธิ์ผงะนิดหน่อย เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าออกแรงไปเสียเต็มที่ แต่ความคิดเป็นห่วงก็ระเหิดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเดียร์ไม่มีอาการเจ็บปวดอย่างที่กลัวชายหนุ่มจึงกลับมาตีหน้าเหี้ยมอีกครั้ง มือหนาบีบคางแน่น หวังจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตอนนี้เดียร์อยู่ในฐานะอะไร

“ปากดีนักนะ” สิทธิ์กดเสียงต่ำ หวังดูให้น่ากลัว…โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายกำลังซาบซ่านไปกับความรุนแรงที่เขาประเคนให้ชนิดถึงพริกถึงขิง และไม่รู้เลยว่าที่เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น เพราะพยายามหุบยิ้มอยู่ “ลองพูดอีกสิ แล้วฉันจะตบให้แรงกว่านี้อีก”

“ไอ้หน้าตัวเมีย ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ไอ้ดีแต่ใช้กำลังไอ้ปอดแหก ไอ้นรกส่งมาเกิด ไอ้วันๆคิดแต่เรื่องชั่วๆ ไอ้สมองวัว ปัญญาอ่อน ไอ้@145)-**&^9”

สิทธิ์ชักคิดอย่างจริงจังว่าเมื่อครู่ตนคงเผลอยั้งมือไปแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่เจอเป็นชุดแบบนี้หรอก

“บอกให้หุบปากไงวะ!” ชายหนุ่มตวาด แล้วคว้าเข็มขัดที่อยู่ไม่ห่าง “ได้ พูดดีๆไม่ชอบใช่ไหม หา!”

เสียงลมดังหวีดหวิววูบ แล้วตามด้วยเสียงเข็มขัดหนังฟาดเข้ากับผิวกายอย่างจัง ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับ…

…โอ้ว…มันต้องแบบนี้สิ…อา…เจ็บจี๊ดถึงใจเลย…ฝืนหุบยิ้มนี่มันทรมานชะมัดเลยแฮะ…

“เป็นไงล่ะ รู้แล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่ฟังที่ฉันพูดจะโดนยังไง” สิทธิ์แค่นเสียงใส่ โดยไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้ร้องสักแอะ ทั้งที่ชายหนุ่มฟาดเต็มแรงไปไม่รู้ตั้งกี่ที

สิทธิ์หวังว่านี่จะทำให้อีกฝ่ายกลัวสักที แต่แน่นอนว่าเขาคิดผิด(อยู่แล้วล่ะ)

“หึ มีปัญญาทำแค่นี้เองน่ะหรือ”ไม่มีแม้แต่เค้าความกลัวอยู่บนใบหน้าหวาน แถมเด็กหนุ่มยังยิ้มยกที่มุมปากทั้งยังจ้องกลับด้วยสายตาเหยียดหยามอีกต่างหาก

ฉุนสิ ใครมันจะทนฟังได้ เมื่อกี้ก็โดนเป็นชุดด้วย

“เธอท้าเองนะ”

“อ๊ะ…จะทำอะไรน่ะ” เสียงหวานสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายปลดกระดุมกางเกง “อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

อย่าช้า เร็วๆ!

“อะไร จะมากลัวอะไรตอนนี้ เห็นเมื่อกี้ยังใจกล้าปากดีอยู่ไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยเยาะ เมื่อเห็นร่างบางสั่นระริก “ไม่ด่าฉันอีกละ ด่าเลย เพราะสิ่งที่ฉันจะทำต่อจากนี้ มันก็คุ้มกับให้เธอด่าละนะ”

“ไม่นะ!” …อา…ตรงนี้เราต้องดิ้นสินะ…ต้องขัดขืนไม่ให้คุณถกกางเกงผมออกง่ายๆสินะ…ไอ้การต้องฝืนกิเลศในใจนี่มันยากเอาเรื่องเลยนะครับ ผมอยากนอนนิ่งให้ถอดเร็วๆอยู่หรอก เสียแต่ถ้าทำงั้นคุณคงจะประหลาดใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นอารมณ์ดีใจสุดขีดที่มันเผยอยู่บนใบหน้าผมในตอนนี้น่ะสิ “อย่า จะทำบ้าอะไรของคุณ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!”

“อะไรกัน ตอนนี้เธอคบกับฉัน ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าคนคบกันเขาจะทำอะไรกัน” ยิ่งอีกฝ่ายดิ้น สิทธิ์ก็ยิ่งมีอารมณ์ และรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยตื่นเต้นและสุขใจที่ได้รังแกคนอ่อนแอกว่าก็คราวนี้ละ “ไหนขอดูหน่อย ว่าน้องที่ไอ้วินรักนักรักหนาจะลีลาดีสักแค่ไหนกัน”

ผมก็รอดูลีลาการใช้ความรุนแรงของคุณอยู่เหมือนกัน อย่าให้ผมต้องผิดหวังเหมือนที่ผ่านๆมานะครับ ไอ้แบบเพลินกับเรื่องบนเตียงจนลืมตบตีน่ะ ผมจะขัดใจสุดๆแล้วเผลอหน้ามืดทำรุนแรงกลับโดยไม่รู้ตัวมาหลายทีแล้วนะ…อย่างน้อยถ้าทำให้มันไปด้วยกันไม่ได้ ก็ทำสลับกันก็ยังดี

ก๊อกๆ

หมดอารมณ์ทันควัน…ทำไมถึงมาได้จังหวะแบบนี้นะ!

“ครับ!” สิทธิ์โดดออกจากเตียง แล้ววกกลับมาหยิบเทปกาวปิดปากเดียร์ ก่อนจะเดินไปแง้มประตู เหมือนลูกชายที่ไม่อยากให้คุณแม่เห็นของไม่สมควรในห้อง “มีอะไรหรือครับป้านาง

หญิงวัยกลางคนเลื่อนสายตาลงมองต่ำและเลิกคิ้ว เป็นการเตือนให้อีกฝ่ายรู้ว่า ชายหนุ่มเปิดซิบอ้าซ่าเอาไว้พอเจ้านายจัดการแต่งตัวเรียบร้อยก็เอ่ยขึ้นเสียงเนือย “เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ คือว่า…”

“เฮ้ย!!ไอ้เกรียนหัวขวด เอาน้องฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะเฮ้ย!!”

เดียร์กลอกตา ถ้าเป็นไปได้ เขาละอยากลุกขึ้นไปหยิบรองเท้ามาปาใส่หน้าพี่ชายแสนรักที่มาช่วยได้ทันเวลาจนน่าแค้นใจจริงๆ

อีกแค่นิดเดียวแท้ๆ!!โธ่ว้อย ความสุขของฉัน!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Zitraphat ที่ 03-06-2013 20:12:28
มารความสุข เยอะจริงๆ น้อง M   :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: eyerabbit ที่ 03-06-2013 20:32:21
5555 โอ้ยทรมาน การต้องนั่งปิดปากกลั้นหัวเราะในหอสมุดมันทรมานจริง

ตอนนี้อ่านแล้วตลกสุดๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 03-06-2013 21:01:52
เหมือนมีความสุขไปพร้อมๆกับเดียร์เลยอ่ะ   o22   อ่าาาาา มันคือความสุขสินะ หุหุหุหุ   :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 03-06-2013 21:16:14
มาตามอะไรตอนนี้
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 03-06-2013 21:50:00
ปัดโธ่!!!! อีกนิดเดียวแท้ๆ  :z10:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-06-2013 22:06:44
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:ขัดใจที่สุดอะ :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 03-06-2013 22:18:44
55555555 เดียร์โคตรตลกอ่ะ มาแปลกตลอดๆ และโดนขัดตลอดๆ 55555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 8 (3/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 04-06-2013 00:31:14
น่าสงสารนะเดียร์แผนการไม่สำเร็จซักที  :ling3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 04-06-2013 20:06:42
ลงทันกับที่ลงในเด็กดีแล้ว ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนล่าสุดนี้ :sad4: หลังจากนี้จะลงช้าลงนะงับ ขอบคุณงับ  :o8:

รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 9

“เอาน้องฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้สมองหมาปัญญาควาย ไปตายซะ!!” เสียงทุ้มดังลั่นแบบไม่เกรงใจหรือเกรงสายตาใครๆที่มองมา แต่แน่นอนว่าคนผ่านไปผ่านมาก็ไม่ค่อยจะกล้ามองสักเท่าไหร่ เพราะกลัวจะกลายเป็นเป้าหมายแรงโกรธนั่นแทนใครมันจะไปกล้าจ้องคนร่างหนาสูงตั้งร้อยแปดสิบหกที่กำลังอารมณ์แรงกันบ้างล่ะ“ถ้ายังไม่ออกมา ฉันจะพังประตูเข้าไปนะโว้ย!”

“ใจเย็นๆก่อนสิครับ” เนื่องจากไม่อยากไปประกันตัวเจ้านายให้เสียเวลามากไปกว่านี้ ชาจึงพยายามปราบด้วยน้ำเสียงและท่าทางเรียบนิ่งเท่าที่จะทำได้...แค่กับดรก็เสียเวลาเกินพอแล้ว “เรายังไม่รู้สักหน่อยว่าคุณเดียร์อยู่ที่นี่จริงๆหรือเปล่า ถ้าผลีผลามทำอะไรละก็…”

“ต้องอยู่สิครับ”

นั่นไม่ใช่เสียงของวิน แต่เป็นเสียงของชายรุ่นเดียวกับชาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของวินความจริงเขาค่อนข้างตัวสูง เพียงแต่พอยืนอยู่กับวินและชา จึงดูตัวเล็กไปถนัดตา

“ผมไปสืบจนมั่นใจว่าคุณเดียร์เขาอยู่ที่นี่แน่นอน ไม่อย่างนั้น ผมไม่บอกคุณวินหรอกครับ”

ชามองธานินทร์…หรือนินผู้มีใบหน้าที่แลดูเจ้าเล่ห์มีเลศนัยเหมือนกับสันดานข้างในไม่ผิดเพี้ยน เขาก็ลอบถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทีประจบประแจงที่เห็นแล้วชวนให้อยากนำบาทาไปลูบไล้ใบหน้าเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหงุดหงิดเรื่องนี้ เขาก็อาจจะทำไปแล้ว

“โฮ่ ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไรหรือครับ ช่วยบอกที่มาของแหล่งข่าวคุณให้ผมทราบหน่อยสิ เผื่อวันหน้าถ้าคุณยุ่งหรือไม่ว่าง ผมจะได้ทำแทนให้”

และชาก็ได้รับรอยยิ้มหน้าเป็นของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่เห็นทีไร ขันติในใจมันลดลงทุกครา

“ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นความลับ ถ้าบอก เดี๋ยวมีปัญหา แต่แหล่งข่าวผมเชื่อได้แน่นอนอยู่แล้ววางใจเถอะครับ”

แหล่งข่าวที่บอกที่มาไม่ได้ มันน่าเชื่อถือตรงไหนวะแบบนี้ฉันก็บอกได้เหมือนกัน ว่าฉันรู้ข้อมูลจากแหล่งข่าวอันน่าเชื่อถือที่ไม่สามารถบอกแกได้ ว่าแกมันชั่วช้าคิดจะหาทางยึดอำนาจและกิจการทั้งหมดของคุณวิน ได้เหมือนกัน และเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็น ถึงจะบอกที่มาไม่ได้เหมือนกันก็เถอะ

แต่ถึงไม่บอกเขาก็พอจะรู้ ก็คงแหล่งเดียวกับของเขานั่นละแต่ต่อให้รู้ ชาก็ไม่คิดจะบอกวินนักหรอก เพราะขืนวินรู้ว่าสิทธิ์อยู่กับเดียร์จริง…บวกกับข้อมูลที่ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อหูนั่น รับรองว่าได้ก่อสงครามเป็นแน่แท้ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากให้เกิด เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อันใดแล้ว ยังจะมีไฮยีน่าที่รอโอกาสตะปบอยู่ด้านหลังด้วย

“เฮ้ย หมาขี้เรื้อนที่ไหนมาเห่าหน้าบ้านวะ เดี๋ยวเรียกเทศบาลมาจับเลย”

จากที่กำลังมองลูกน้องด้วยความสนใจใคร่รู้กับแหล่งข่าว ก็หันขวับกลับไปยังหน้าบ้านด้วยสีหน้าเหมือนร็อตไวเลอร์พร้อมขย้ำเหยื่อทันที

“มาแล้วเรอะ ไอ้โรคจิตวิปริตชอบลักพาตัวน้องชาวบ้าน เอาเดียร์คืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ” มาถึงก็ทวงของที่ไม่รู้แน่ว่าอีกฝ่ายมีอยู่หรือไม่ทันที

“ใครเขาลักพาตัวน้องแกมาวะ เมายาหรือไงไอ้แว่นติดน้อง” สิทธิ์สวนกลับเสียงเนิบ แต่อาการเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ จนนางที่ตามหลังมารู้สึกหวาดหวั่นว่าเจ้านายจะลงไม้ลงมือกับอีกฝ่าย “ไปๆได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องเรียกตำรวจมาจับแกข้อหาพยายามบุกรุก”

“เฮอะ เอาเลยสิวะ ฉันจะได้แจ้งข้อหาลักพาตัวเดียร์ด้วยเลย” วินว้ากลั่นจนธานินทร์เขยิบหนีเพราะกลัวแก้วหูแตก ในขณะที่ชากลับยืนนิ่งเหมือนเสียงแปดหลอดนั่นไม่มีผลกับตน

ในขณะที่ด้านนอกทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบไม่อายฟ้าดิน ต้นเหตุที่นอนรออยู่บนเตียงก็ทำแค่เพียงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาเหนื่อยหน่ายและท้อแท้กับเจ้าพี่ชายแสนรักนี่ ที่คอยตามช่วยตามเอาใจเสียจนแผนที่วางไว้กำลังจะล่มไม่เป็นท่า

“ให้ตายสิ”

เดียร์ลุกขึ้นแล้วปลดกุญแจมือออก…ซึ่งอันที่จริงเขาก็ไม่ได้กดล็อกไว้อยู่แล้ว…แต่ถึงจะกดไปจริงๆ เขาก็ยังกำกุญแจไว้ที่มืออยู่…เด็กหนุ่มลอบมองจากหน้าต่าง ท่าทางของพี่ชายเดือดดาลอย่างเป็นปรกติ ส่วนพ่อหมียักษ์เองก็เริ่มออกอาการคันไม้คันมือเข้าทุกที นั่นทำให้เดียร์รู้สึกใจเต้นรัว

อ๊า อยากเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางนั่นจังเลย คงจะได้รับแรงกดดันจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออกเป็นแน่แถมยังได้ลุ้นระทึกว่าใครจะเป็นฝ่ายออกหมัดมาหาก่อนด้วย…อ๊า…

เดียร์รีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านแสนหวาน(สำหรับตัวเองเพียงผู้เดียว)เอาไว้ แล้วเริ่มคิดหาทางทำอย่างไร ไม่ให้เรื่องจบโดยวินพาตัวเขากลับบ้าน

โผล่หน้าไปตอนนี้…คงโดนลากกลับแบบไม่ต้องพูดอะไรกันพอดี…แต่ถ้ารออยู่ในห้องนี้ แล้วตาพี่บ้าพลังนั่นบุกมาเห็น ก็จบกันพอดี…เจอสามรุมหนึ่ง ต่อให้คุณสิทธิ์เก่งยังไงก็คงไม่ไหวหรอกมั้ง…

“ผมว่า เราบุกเข้าไปเลยดีกว่าครับ อย่าให้คุณเดียร์ต้องรอนานเลย” ธานินทร์ออกความเห็นกระตุ้น เมื่อหัวหน้าไม่ยอมขยับสักที เขาจึงออกหน้าก่อนหวังเก็บโกยคะแนนแล้วเดินเข้าไปทางหญิงวัยกลางคน “ถ้าขวาง อย่าหาว่าผมใจร้ายละกัน”

พลั่ก

เดียร์เบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ก็ภาพชายวัยฉกรรจ์โดนคุณป้าจับทุ่มจนหงายหลังมันไม่ได้เห็นกันง่ายๆนี่…ท่าทางจะไม่ใช่สามต่อหนึ่ง แต่เป็นสามต่อสองสินะ…แต่ป้านางทุ่มได้แรงดีจริงๆ เห็นแล้วอยากโดนทุ่มมั่งจัง…ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่เวลามานั่งดูสักหน่อย โทรศัพท์ๆ…ว้าเว้ย วางไว้อยู่บนโต๊ะชั้นล่างนี่หว่า

“ขอโทษนะคะ แต่ป้าคงให้พวกเธอบุกเข้ามาในบ้านไม่ได้หรอก เห็นใจป้าที่ต้องทำความสะอาดหลังจากพวกเธอมีเรื่องกันหน่อยเถอะ” คุณป้าร่างท้วมผู้มีใบหน้าโอบอ้อมพูดด้วยน้ำเสียงหวานราวกับต้องการความเห็นใจ…แต่ไม่รู้ทำไมเหล่าหนุ่มๆถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนขู่มากกว่า

ชาเกือบกลั้นยิ้มไม่ทันตอนเห็นธานินทร์ลงไปนอนหงายเงิบทำหน้าเอ๋ออยู่บนพื้น ไม่ติดว่าตอนนี้วินกับสิทธิ์กำลังเครียด เขาคงหัวเราะให้ดังลั่นโลกไปแล้ว

ธานินทร์รีบยันกายและกระเสือกกระสนกลับมาหาวินอย่างไม่เป็นท่า ความมั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อครู่ปลิวหายวับ แต่กระนั้นก็ยังสามารถเรียกคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว…แม้จะไม่ทันหมดก็ตาม

“ผมไม่ได้จะมามีเรื่อง แค่จะเอาตัวน้องผมกลับ” วินบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่นิ่งและดูมีมารยาทมากกว่าตอนที่คุยกับสิทธิ์โข “เดียร์อยู่ในบ้านใช่ไหมครับ ป้านาง”

นับว่าเล่นได้ถูกคนมาก แทนที่จะไปถามไอ้คนที่ไม่มีวันตอบดีๆ สู้ถามคนที่คุยกันรู้เรื่องดีกว่าเยอะ

“เฮ้ย นี่บ้านฉัน ก็คุยกับฉันสิวะ” สิทธิ์รีบสไลด์บังป้านางเหมือนกลัวเธอจะหลุดพิรุธออกมา “ไม่อยู่ ไม่มี และไม่ให้เข้าโว้ย”

นางอยากจะสอดปากเหลือเกิน ว่าตอบแบบนั้นน่ะ ใครที่ไหนเขาจะพยักหน้าแล้วเดินกลับกันเล่า

“ไอ้หอยดอง คิดว่าฉันโง่หรือไง ถ้าไม่อยากให้ฉันเข้าไป ก็เอาตัวเดียร์ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่ให้เข้าว้อย ถ้าขืนก้าวเข้ามา ป้านางจับนายทุ่มแน่!”

ขู่แบบนี้ได้ผลกว่าเรื่องจะโทรหาตำรวจเป็นกอง

“ป้าไม่ทุ่มหรอกค่ะแต่ป้าจะโกรธมาก”

เมื่อกี้ตอนที่ทุ่มคือไม่ได้โกรธ แล้วถ้าโกรธ ป้ามิฆ่าเลยเหรอครับ

หนุ่มทั้งสามต่างพากันเห็นพ้องต้องกันแม้จะอยู่คนละฝ่ายก็ตาม

ทั้งคู่เถียงกันราวสิบนาทีกว่า ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของวินจะขัดจังหวะสงครามน้ำลายแตกฟองแบบไม่อายสายตาชาวบ้านนี่ ทั้งคู่หยุดปากกันทันควันอย่างมีมารยาทแบบผิดที่ผิดทาง ก่อนที่วินจะหน้าซีดเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรมา

“…หวัดดีครับแม่…” เอ่ยทักไม่ทันจบประโยคก็ต้องยกโทรศัพท์ออกจากหูอย่างรวดเร็วเพราะเจอคลื่นเสียงความถี่สูงโจมตีจนหูเกือบหนวก

“ยังจะมาหวัดดงหวัดดีอีกเรอะ ไอ้ลูกบ้า!!” ขนาดสิทธิ์ซึ่งยืนห่างกว่าสองเมตรยังได้ยินเสียงมาริสาอย่างชัดแจ๋วแบบไม่ต้องเปิดเป็นลำโพง “นี่แกว่างมากนักหรือไง งานการไม่รู้จักทำ ถึงได้ไปตามไอ้เด็กนั่นถึงกระบี่น่ะ!หา!!!”

“เดี๋ยวสิ แม่รู้ได้ไงว่าผม…”

“นี่แกเปลี่ยนเรื่องเหรอ นี่แกหาเรื่องเมินที่ฉันเรียกตัวแกกลับใช่มั้ย!!กลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะบินไปจิกหัวแกเดี๋ยวนี้เลย เข้าใจมั้ย ตอบฉันเดี๋ยวนี้!! ตอบสิ ตอบ!!!”

ถ้าพระคุณแม่จะรัวเร็วขนาดนี้ แล้วจะให้กระผมแทรกตรงไหนดีละครับ…

“ครับๆๆๆ เข้าใจแล้วครับ ผมจะกลับเดี๋ยวนี้” วินรีบตอบก่อนจะวางหูอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าตื่นตระหนกราวกับเพิ่งรับโทรศัพท์จากฆาตกรโรคจิตมาหมาดๆหนุ่มแว่นเหลือกตาจ้องคู่แค้น และยังไม่ทันจะเปิดปากพูด เสียงโทรศัพท์จากมารดาอันเป็นที่รักยิ่งก็ดังขึ้นอีก นั่นเป็นคำเตือนว่า ‘ไม่รับมีเรื่อง และถ้ารับแล้วรู้ว่ายังไม่ทำตามที่สั่ง มีเรื่องหนักกว่าเดิม’วินจึงได้แต่เดินออกจากบ้านของสิทธิ์อย่างจำยอม แต่แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะเดินลิ่วออกไปเฉยๆหรอก “ไอ้หมาสิทธิ์ ไอ้พารามีเซียม มันไม่จบแค่นี้แน่”

“หนอย ว่าไงนะ ไอ้แว่นตาเหล่ อยากมาก็มาเลยสิวะ ฉันไม่กลัวไอ้ตาเขอย่างแกหรอก ไอ้@3@#i1!$”

ต่างคนต่างด่ากันอย่างไม่ลดละเสียจนคนฟังพากันหน่ายกว่าจะหยุดก็ตอนที่วินขึ้นรถและขับออกไปจนลับโน่น

“เฮอะๆเฮอะๆๆๆ” สิทธิ์หัวเราะเสียงสูงจนน่าเกลียด พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างคนมีชัย ก่อนจะเดินอาดๆกลับบ้านไปด้วยความโล่งใจ

“เฮ้อ…”

แต่ก็แค่แว้บเดียวเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของหญิงวัยกลางคน ซึ่งเพียงแค่นั้นก็ทำเอาความรู้สึกผิดยิ่งกว่าโดนเทศนาร่ายยาวไปสามบท

“ป้าไม่ได้เดือดร้อนเลยนะคะ กับเรื่องที่คุณสิทธิ์ทำ” ว่าจบก็เดินดุ่ยหายไปในห้องครัวทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มได้แต่มองตาปริบๆเพราะไม่รู้จะหาคำโต้ใดๆออกมา

สิทธิ์ยืนไว้อาลัยกับความผิดชอบชั่วดีอยู่สามสิบวินาที ก่อนจะเดินหน้านิ่งไปยังบันไดแต่ยังไม่ทันได้เหยียบขั้นบันไดก็เหลือบไปเห็นเรื่องน่าแปลกที่โต๊ะข้างบันได

มันเอียง

โอเคว่ามันดูธรรมดา แต่ถ้าเอียงจนเกือบจะตั้งฉากกับกำแพงแล้ว ดูอย่างไรก็แปลก…แถมเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าบนโต๊ะมีของวางอยู่ ถึงจะจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่มั่นใจว่ามีของอยู่บนโต๊ะแน่ๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงโต๊ะว่างๆเท่านั้น

“…สงสัยคงไม่ทันสังเกตเองละมั้ง”

คิดได้ดังนั้นก็รีบขึ้นไปหาลูกแมวตัวน้อยบนห้องทันทีสิทธิ์เกือบจะเผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพเดิม…

ยกเว้นตำแหน่งของกุญแจมือที่คล้องอยู่กับโครงลวดบนหัวเตียง ทีแรกเขาจำได้ว่ามันอยู่ฝั่งซ้าย แต่ไหงตอนนี้มันย้ายไปทางฝั่งขวาได้ก็ไม่รู้…แล้วที่สำคัญคือ ไอ้จานขนมปังกับเบคอนนี่ละ เขาว่าเขายังไม่ได้ให้เดียร์กินเลย แล้วอาหารมันอันตรธานหายไปได้อย่างไรกันละเนี่ย…ถึงจะเห็นว่ามีเศษเบคอนติดอยู่บนแก้มเดียร์ก็เถอะ…

แต่เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไร เลยเลิกคิดและหันมาสนใจคนบนเตียงดีกว่า

“อึก”

รอบนี้กระชากเทปออกแบบไม่มีการเห็นใจใดๆทั้งสิ้น ดวงหน้าเรียวที่ชื้นเหงื่อและแดงระเรื่อหันมองชายร่างสูงด้วยใบหน้าที่เหมือนจะคั่งแค้นปนเจ็บใจ จนทำให้คนมองเผลอแสยะยิ้มออกมา

“ไง ไม่ร้องให้พี่ชายมาช่วยเหรอ ร้องตอนนี้ไอ้วินมันอาจจะได้ยินก็ได้นะ” เสียงทุ้มดังนุ่มนวลแต่แฝงความเหี้ยมออกมาแบบไม่ปิดบัง

“คุณมันเลวที่สุด” เด็กหนุ่มพยายามกรีดเสียงออกมาให้ดูคับแค้นเท่าที่จะทำได้ “คุณคิดเหรอว่าถ้าทำแบบนี้แล้วเรื่องมันจะจบง่ายๆ”

ผมรู้ ว่าถ้ายิ่งพยายามเอาเรื่องจนถึงที่สุด มันจะถูกใจคุณมากกว่าให้ผมมาเว้าวอนอ้อนขอความเห็นใจใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นมาเล้ย เอาความรุนแรงอาบน้ำผึ้งนั่นมาละเลงให้ทั่วทั้งร่างกายและจิตใจผมได้เลย

“ฉันก็ไม่คิดจะให้เรื่องของเราจบง่ายๆหรอก” สิทธิ์พยายามสะกดจิตตัวเอง ว่าคนตรงหน้านั้นหาได้มีสิ่งแปลกปลอมตรงหว่างขาเหมือนกับตน อย่างน้อยการที่อีกฝ่ายมีหน้าตาหวานสวยมันก็ช่วยให้เขาสะกดจิตตัวเองได้ง่ายขึ้น

“อย่าทำบ้าๆนะไอ้คนโรคจิตวิปริต วิตถาร” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มนุ่มนวล เดียร์เลยต้องจุดชนวนระเบิดใหม่ให้

“ปากดีไม่เลิกเลยนะ” ของขึ้นไวแบบไม่ต้องเสียเวลาด่าให้มากความ สิทธิ์บีบแขนเล็กเต็มแรง ทำเอาเด็กหนุ่มเสียวซ่าน…หากแต่ต้องพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ใบหน้าแสดงความรื่นเริงออกมาจนหน้าบิดเบี้ยว “ท่าทางก่อนหน้านั้นคงยังโดนไม่สะใจล่ะสิ ได้ ฉันจะจัดหนักให้จนพูดไม่ออกเลย”

“ไม่นะ!” อย่าออมมือนะขอจัดหนัก เอาให้แรงกว่านี้อีกยิ่งดีเล้ย…โอ๊ะ ไม่ได้ๆ ต้องดิ้นเข้าไว้เดี๋ยวมันจะดูน่าสงสัย…อ๊า…แรงบีบที่ต้นแขนมันเจ็บจนร้าวรานเบิกบานใจจังเลย…โอวตอนนี้เราต้องทำหน้าให้ดูเจ็บปวดมากๆสินะ…อูว…มือหนาที่ขย้ำสายเข็มขัดด้วยแรงมหาศาลจนสายหนังบิดผิดรูป แล้วง้างขึ้นไว้หนือหัวนั้น มันช่างชวนให้ตื่นเต้นอะไรอย่างนี้…แรงฟาดที่กระทบลงมาคงจะหนักหน่วงเหมือนค้อนปอนด์เป็นแน่ อ๊า…เอาเลย ตรงนั้นละ…ตรงนั้นเลย

ตี๊ด…..

ทั้งเดียร์และสิทธิ์อยากจะสบถออกมาซักสามนาทีให้หายคับแค้น ทำไมพอเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วมันต้องมีเรื่องขัดจังหวะเสียทุกทีสิ

“ครับ มีอะไรหรืออาวัฒณ์” สิทธิ์เลือกที่จะไปรับโทรศัพท์แทนที่จะลงไม้ลงมือไปสักทีสองที ทำให้เดียร์เผลอถลึงตามองหลังชายหนุ่มด้วยความขุ่นเคือง “หา แต่ว่าเมื่อวาน…โอเคครับๆ เดี๋ยวผมจะกลับเดี๋ยวนี้ละ”

หา จะกลับอีกแล้วเรอะ! อย่างน้อยก็ฟาดผมอีกหน่อยทีเถอะ เมื่อกี้มันแค่เรียกน้ำย่อยเองนะ!นี่ไม่ติดว่ากลัวคุณรู้ความจริง ผมจะกระโดดออกจากเตียง แล้วเอาเข็มขัดนี่รัดคอคุณแน่ ให้ตายสิ!

สิทธิ์ได้แต่ยืนนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่ไม่ยอมเป็นใจให้เขาเอาเสียเลยชายหนุ่มไม่อยากจะหันไปมองอีกฝ่ายเพราะคิด(เอาเอง)ว่า เดียร์คงรู้สึกดีใจเป็นแน่ ที่รอดเงื้อมมือเขาไปได้ถึงจะแค่ชั่วคราวก็ตาม

ช่วยไม่ได้ละนะ…
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 04-06-2013 20:44:40
อยากซ้อมเดียร์บ้างอ่ะะะะ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 04-06-2013 21:10:23
เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน แต่เล่นเอาขำหยุดไม่อยู่เลยค่ะ
นายเอกเรื่องนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ คิดมาแต่ละอย่าง SM ตบจูบ กระชากลากถูก แลดูสาแก่ใจ  :hao7:
แต่จนบัดนี้ต้องบอกว่า "เห็นสวรรค์อยู่รำไร แต่ไปไม่ถึงสักที"
เตรียมตัวเตรียมใจจะโดน(?)ให้เปรมซะหน่อย วืดทุกที แอบเห็นใจน้องเดียร์เล็ก ๆ นะคะ  :m26:
 
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 04-06-2013 21:28:16
โดยขัดทุกทีเลยให้ตายสิ! ขัดใจแทนเดียร์จริงๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 04-06-2013 21:32:16
ฮามากกก 5555555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 04-06-2013 21:34:52
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:เดีรย์จ๋าเดีรย์ทำให้พี่เริ่มสงสารอิตาสิทธิ์แล้วนะ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 04-06-2013 22:31:25
 :m20: 5555++ โดนขัดจังหวะทุกทีสินะ คึ คึ คึ คึ  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 05-06-2013 00:37:08
อิตาสิทธิ์ซื่อบื้อมากกกกกก :laugh: :laugh:
น้องเดียร์ก็โดนขัดตลอดๆ น่าสงสารเนอะ :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 05-06-2013 15:14:59
....ทำไมตอนเราไปทำแผลรถล้ม อารมณ์ตอนโดนคุณหมอเวรล้างแผลให้ ถึงเป็นแบบเดียวกับกับน้องเดียร์เลย  โอ้ว!คุณหมอ เอาสำลีถูแรงอีกหน่อย ลาดยาฆ่าเชื้อซับอีก ซี๊ด  นั่นแหล่ะ ... (เสียงในใจล้วนๆ)    เราไม่ได้M ซักหน่อย แค่อารมณ์เจ็บปวดมันเบนไปทางอื่นแค่ันั้นเอ๊งงงงงงง!!!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 05-06-2013 17:41:03
ฮามากอ่ะ สงสารวินกับสิทธิ์ชอบกล
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 06-06-2013 19:11:58
ตอนแรกนึกว่าเครียด ที่ไหนได้ฮาซะงั้น
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 07-06-2013 02:39:12
 :laugh: ตอนแรกกำลังเครียดได้ที่เลย
แต่ไหงเป็นฮาตอนท้ายเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 07-06-2013 17:15:02
ขำจนกลั้นไว้ไม่อยู่ นี่แหละหนา เสียฤกษ์ไปแล้วรอบนึง อะไรก็เลยติดขัดไปหมด ฮ่าๆๆๆ
อุปสรรคเยอะจริงๆ ทั้งยั่วโมโหก็แล้ว ยั่วสวาทก็แล้ว..ขอให้ตอนหน้าสมหวังนะน้องเดียร์ พี่เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 08-06-2013 14:07:33
ฮาสุดๆ ลุ้นให้เดียร์สมหวังเร็วๆก็แล้วกันนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 08-06-2013 15:37:11
ฮาแตกค่ะ!!55555555555555

อีนุ้งเดียร์มันบ้าาาาา!
พี่สิทธิ์เค่อะ ถ้าความผิดชอบชั่วดีจะเยอะขนาดนี้555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 9 (4/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 08-06-2013 17:07:49
สงสารเดียร์อ่ะ มาๆเดี๋ยวเค้าตบตีเจ้าเอง ^^
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 09-06-2013 19:02:43
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 10

“มันจะดีหรือคะ ทิ้งเดียร์ไว้แบบนี้น่ะ”

นางหันมองไปยังบ้านพักด้วยความกังวลและเป็นห่วงเด็กหนุ่มแสนสวยที่โดนพันธนาการไว้กับเตียง ใจจริงเธอไม่อยากจะทิ้งเขาไว้ตามลำพังในสภาพเช่นนั้นเลยสักนิด

“ผมไม่ได้ทิ้ง ก็โทรตามคนมาแล้วไงครับ…แค่ให้อยู่แบบนั้นสองสามชั่วโมงไม่เป็นอะไรหรอก” สิทธิ์บอกอุบอิบเหมือนเด็กทำผิดแต่ไม่อยากยอมรับ “อีกอย่าง ป้าไม่ต้องห่วงเรื่องบ้านจะสกปรกหรอกครับ เพราะคนที่จะมา เขาเชี่ยวชาญเรื่องพวกนั้นเป็นพิเศษอยู่แล้ว”

หญิงวัยกลางคนได้แต่ยอมรับอย่างจำยอมเพราะถึงห้ามยังไงเธอก็รู้ว่าสิทธิ์คงไม่ยอมอยู่แล้ว ยิ่งถลำลึกจนมาถึงขั้นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ไอ้เรื่องกิตติศัพท์ความรั้นของเจ้านาย เธอก็เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้น พูดไปก็เสียเปล่า

และแน่นอนว่านางเองก็เป็นห่วงเดียร์เสียเปล่าเช่นกัน

เดียร์ลุกออกจากเตียงทันทีที่ทั้งสองลาลับ และเริ่มปฏิบัติการสำรวจทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรอย่างที่คิด ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนมาเปิดมือถือของตน เพื่อกดดูอีเมล์ที่ตนส่งต่อมาจากอีเมล์ของสิทธิ์แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แต่ข้อความส่วนมากมักจะเป็นข้อความทางธุรกิจซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูน่าสงสัยนัก จะมีก็แค่อีเมล์สองสามฉบับที่คุยกับนายธนเดชที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง เริ่มตั้งแต่ยุยงให้สิทธิ์มายุ่งกับเขา แล้วก็โพนทะนาข้อดีมากมายในการใช้ประโยชน์จากเดียร์ แถมเชียร์เสียยิ่งกว่าเซลล์ขายสินค้าก็ไม่ปาน

เด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับข้อความช่วงหลังๆ ซึ่งเขียนเหมือนกับว่า ต้องการให้สิทธิ์แก้แค้นต่อสิ่งที่วินทำ…ซึ่งจากสายข่าวที่สุดน่าเชื่อถือของเขากลับบอกว่า ไม่มีใครทำใครทั้งนั้น

เดียร์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขารู้สึกว่าคุณธนเดชนี่ดูจะเล่นไม่ซื่อต่อสิทธิ์ยังไงชอบกล เพราะจะให้บอกว่าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางยังไง ก็ไม่มีคนดีๆที่ไหนเขาแนะนำแผนเฉียดคุกแบบนี้ให้หรอก

แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำแบบนี้แล้วจะได้อะไรกัน อย่างมากก็แค่ทำให้วินมาเสียเวลากับน้องชายแทนที่จะไปทำการทำงาน และในส่วนของสิทธิ์เองก็เช่นกัน…หรือถึงต่อให้มีเรื่องกันจนคอขาดบาดตาย ก็ใช่ว่าทรัพย์สินกิจการจะกลายเป็นของเจ้าคนวางแผนสักหน่อย…

หรือมันจะเป็นไปได้กัน…

แกรก

เดียร์สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงไขกุญแจประตู เขารีบปรี่ไปที่หน้าต่าง เห็นผู้ชายกำลังยืนอยู่ที่ประตูเพียงคนเดียว ซึ่งคงจะเป็นคนที่มาเฝ้าตนอย่างที่สิทธิ์บอกเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน เดียร์ก็รีบจัดแจงพันธนาการตัวเองเอาไว้กับเตียงทันทีด้วยใจระทึก…อา ถ้าอีกฝ่ายอยู่ในโหมดโหดเหี้ยมอยากรังแกเราก็คงจะดีสิ…

เมื่อประตูเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าเหมือนคนสะลึมสะลือเพิ่งตื่นนอนของชายวัยเกือบสี่สิบ ดวงตากลมก็เบิกโตจนเกือบเท่าไข่ห่าน และเผลอลุกขึ้นออกมาจากเตียงอย่างลืมตัว เขาไม่ได้ประหลาดใจเรื่องที่อีกฝ่ายหัวยุ่งจนชี้โด่ชี้เด่ ใบหน้าครึ้มหนวดเหมือนขี้เกียจโกน หรือเพราะแว่นหนาเตอะที่ดูเชยระเบิดจนไม่คิดว่าจะยังมีมนุษย์หน้าไหนกล้าใส่…และชายคนดังกล่าวเองก็อ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเดียร์…ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเดียร์ลุกขึ้นมาทั้งที่น่าจะโดนขึงไว้บนเตียง

“พี่ก้อง!/เดียร์!”

ทั้งสองตะโกนประสานเสียงพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ก่อนที่ก้องจะเดินเข้ามาแล้วขยับแว่นเหมือนต้องการดูให้ชัดๆว่าอีกฝ่ายใช่คนที่ตนคิดหรือไม่…แม้ว่าเดียร์จะเอ่ยชื่อตนแล้วก็ตาม

“เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย…ไม่สิๆ นี่เธอเป็นน้องคุณวินหรอกเหรอ” เสียงทุ้มร้องราวกับยังไม่อยากจะเชื่อ “โลกมันจะกลมเกินไปแล้วมั้ง”

ฟังแล้วเดียร์ก็อดเห็นด้วยไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้เจอหน้าหนุ่มใหญ่มาเกือบสองปีได้แล้วกระมัง

“นั่นสิครับ ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ที่นี่เหมือนกัน พี่เล่นหายหน้าหายตาไปเลย ไอ้ผมก็นึกว่าพี่คงกลับไปสู่เส้นทางสายปกติไปซะแล้ว…” เด็กหนุ่มเว้นช่วงเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปากเหมือนอยากจะแย้ง “ไม่ใช่เหรอครับ”

“…พอดี…ฉันเจอคนที่…เข้ากันได้แล้วน่ะ” เสียงทุ้มเจือเสียงหัวเราะ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัว จนผมที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งยุ่งเข้าไปอีก “ก็เลยไม่ต้องไปที่สมาคมแล้ว”

‘สมาคม’ ที่ว่า คือสมาคมผู้นิยมความเจ็บปวด ที่นั้นเต็มไปด้วยเหล่าบุคคลที่มีจุดประสงค์ร่วมกันคอยแลกเปลี่ยนความเจ็บปวดอย่างถึงลูกถึงคนแก่กัน อีกทั้งยังเป็นสถานที่หาคู่ที่มีรสนิยมต้องกันอีกด้วย ซึ่งปกติเดียร์จะไปที่นั่นราวอาทิตย์ละครั้งถึงสามครั้ง ซึ่งก็ได้รู้จักกับก้องที่นั่น

“งั้นหรือ ถ้าถึงขนาดพี่ไม่ไปที่สมาคมเลยแสดงว่า คนนี้คงรุนแรงกับพี่ได้ถึงใจเลยล่ะสิ” ถึงจะยั้งไว้แล้ว แต่เดียร์ก็เผลอทำเสียงกระหายใคร่รู้ออกมาจนได้ “แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าพี่เป็น…”

หน้าเหี่ยวปุ๊บเป็นหลักฐานที่แจ่มแจ้งมาก

“ขืนบอก คงทำหน้าแหยงแล้วหนีฉันไปแหงมๆ” ก้องถอนใจ “รายนั้นนิสัยรุนแรงชอบใช้อารมณ์เป็นปกติอยู่แล้ว ฉันเลยทำเป็นว่ากลัวเขาพอกล้อมแกล้มเอาน่ะ”

“สองปีเลยเนี่ยนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “แล้วเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“…ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้เดียร์” หนุ่มใหญ่ปราม ก่อนจะนึกได้ “ไม่สิ เรื่องความหลังพวกนั้นช่างมันก่อน ไหนๆก็เป็นเธอพอดี ถือว่าโชคดีละนะ”

คิ้วบางเลิกขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

ดวงตาเรียวสำรวจสภาพร่างบางที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการโดนกระทำชำเราอย่างโหดร้ายทารุณมา แล้วถอนใจเฮือก “…คุณสิทธิ์เขาทำอะไรเธอบ้างละเนี่ย”

ทำหน้าหน่ายใส่แบบไม่มีกั๊กแต่อย่างใด “ก็แค่ผลักแล้วก็ใช้แส้ฟาด”

ถ้าเป็นคนปกติก็ชวนให้รู้สึกตกใจอยู่หรอก

“แค่นั้นเองหรือ ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย” ก้องโล่งใจสุดๆเมื่อได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ที่จริง ฉันตั้งใจจะมาปล่อยเธอให้หนีไปน่ะ”

“หา” เด็กหนุ่มร้องหน้าเบี้ยวแบบไม่ปิดบัง “ไหงงั้นละครับ”

ก้องมองสภาพของเดียร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลูบคาง “นี่ท่าทาง เธอจงใจโดนจับมาละสิ”

“แน่ละครับ อุตส่าห์มีคนมาทรมานให้ฟรีๆ ใครจะไม่เอาบ้าง” เสียงหวานเต็มไปด้วยความจริงจังจนน่ากลัว “แล้วพี่น่ะ เป็นลูกน้องคุณสิทธิ์ ทำแบบนี้จะดีหรือ”

หนุ่มใหญ่ถอนใจยาว “มันก็ไม่ดีหรอก แต่ไอ้ที่คุณสิทธิ์ทำแบบนี้ก็ไม่ดีเหมือนกันนั่นละ เพราะงั้น ฉันถึงได้จะปล่อยตัวเธอไง ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ มีหวังเกิดเรื่องกันจริงๆแน่”

เดียร์ทำท่านึกก่อนจะยิ้มหวาน…แต่กลับทำให้คนมองรู้สึกขวัญผวา เพราะถึงจะไม่เจอกันนาน แต่ก้องก็รู้จักอีกฝ่ายดีพอว่า ตนไม่ควรโดนใบหน้าแสนหวานนั้นหลอกเอา

“แล้วเรื่องที่ว่าเนี่ย มันคืออะไรหรือครับ เผื่อผมรู้แล้ว จะได้ช่วยร่วมมือหาทางแก้ไง”

ใจจริง ก้องก็เห็นด้วยอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไม ไอ้รอยยิ้มนั้นเห็นแล้วทำใจอยากให้เด็กหนุ่มร่วมมือไม่ลง…แต่ใช่ว่าเขาจะมีทางเลือกมากเสียเมื่อไหร่ ไม่บอก อีกฝ่ายก็ไม่ทำตามแน่นอน แต่ถ้าบอก เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมทำตามง่ายๆแต่โดยดี

ก็ได้แต่หวังให้มันเป็นทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายละนะ

“เธอรู้จักธานินทร์ที่เป็นลูกน้องคุณวินใช่ไหม หมอนั่นน่ะร่วมมือกับลูกน้องที่คิดไม่ดีกับคุณสิทธิ์ ให้คุณวินกับคุณสิทธิ์มัวแต่ทะเลาะกัน แล้วพวกมันก็หาทางแทรกแซงกิจการภายใน…พอทั้งสองมัวแต่ยุ่งอยู่กับเธอ ก็ต้องหาคนมาช่วยดูแลแทนใช่ไหมล่ะ พวกมันเล็งจังหวะนั้นล่ะ”

พอฟังเด็กหนุ่มก็ถึงบางอ้อ ปกติวินก็ให้ธานินทร์ดูแลงานแทนอยู่แล้วก็จริง เพียงแต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่งานใหญ่อะไรนัก อีกทั้งไม่ได้ให้ดูแลนาน แถมยังมีชาคอยเป็นก้างขวางด้วย ก็คงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นักหรอก

แต่ลองว่าเป็นเรื่องของเขาสิ รับรองว่า ให้ทิ้งงานเป็นปีก็ยอม อย่างน้อย เด็กหนุ่มก็เคยเจอมาแล้ว

“แสดงว่า คนที่ชื่อธนเดชอะไรนี่ก็เป็นที่ไว้วางใจของคุณสิทธิ์น่าดูล่ะสิ” เดียร์เปรย เมื่อเห็นก้องพยักหน้า จึงเอ่ยต่อ “และเพื่อไม่ให้เป็นไปตามแผนพวกนั้น พี่เลยคิดจะปล่อยผมสินะ”

ก้องเผยยิ้มจางเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามแต่โดยดี

“ไม่ได้หรอกครับ”

เขาก็รู้…รู้อยู่แล้วนั่นล่ะ…แต่พอเจอจริงๆมันอดเศร้าไม่ได้อยู่ดี

“ต่อให้ผมหนีจากที่นี่ได้ แล้วไงล่ะครับ มันจะกลายเป็นว่า เข้าทางฝั่งธานินทร์น่ะสิ” ดวงตากลมมองหน้าเอ๋อของคนวัยอา “พอพี่วินรู้ว่าผมหนีไปได้ เขาคงต้องวุ่นวายอยู่กับการหาที่อยู่ที่ปลอดภัยให้ผมจ้าละหวั่น ตัดที่บ้านได้เลย เพราะพี่วินสัญญากับคุณแม่มาริสาว่าจะไม่พาผมไปที่บ้าน แล้วถ้าไปหาที่พักอื่น พี่ก็คงไม่ไว้ใจใครแน่ เพราะลูกน้องพี่วิน ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบหน้าผม หรือถึงไม่ได้เกลียดผม ก็ไม่ได้เก่งพอจะคอยคุ้มครองผม ซึ่งแน่นอนว่าเหลืออยู่ทางเดียวคือ พี่วินนั่นละ ต้องมาอยู่กับผมแทน พอถึงตอนนั้น คงไม่ต้องให้ผมเล่าแล้ว ใช่ไหม แบบนี้ฝั่งพี่วินก็แย่สิครับ เพราะฉะนั้น ผมคงยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก”

เปล่าหรอก อันที่จริง ถ้าพี่วินจะโดนฮุบทรัพย์จนหมดตูดผมก็หาได้แคร์หรอก แต่ถ้าถึงชีวิตผมคงยอมไม่ได้ล่ะนะ ถึงจะรำคาญแล้วมีสายเลือดร่วมกันแค่ครึ่งเดียว แต่เขาก็เป็นพี่ผมล่ะนะ แล้วผมก็ไม่อยากเห็นคุณชาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องโศกสลดเพราะเสียคนที่คอยมาทรมานเขาด้วย

ก้องได้แต่อ้าปากค้างเพราะไม่รู้จะแย้งตรงไหนและอย่างไรดี

“ตะ…แต่ถ้าเธอยังอยู่ มันจะแย่ทั้งสองฝ่ายนะ…” หนุ่มใหญ่เอ่ยค้านตะกุกตะกัก “แต่ทางฉันก็ไม่คิดจะปล่อยให้ฝั่งคุณวินเขาแย่หรอกน่า ยังไงซะมันก็ต้องมีหนทางอยู่…”

“แต่คิดดูสิครับ ระหว่างที่พี่วินจัดการเรื่องผม ธานินทร์ก็คงหาเรื่องไปก่อกวน ไม่ก็ทำร้ายฝั่งคุณสิทธิ์…หรืออาจจะมีนายเดชอะไรนั่นร่วมด้วย แล้วทีนี้คุณสิทธิ์ก็จะเข้าใจผิดไปใหญ่ว่าเรื่องทั้งหมดพี่วินเป็นคนทำ ในช่วงนั้นเองพี่วินก็จะอยู่กับผมตลอด ก็จะแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วสองคนนั่นก็เกลียดกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้พูดเรื่องจริง ก็คงเชื่อกันยาก ทีนี้คงได้มัวแต่ทะเลาะกันจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งก็เข้าทางพวกนั้นพอดี ผมพูดอะไรผิดไหมละครับ”

เจอไล่ต้อนเสียจนไม่ให้พักหายใจหายคอกันแบบนี้ แล้วคนที่แค่ได้รับคำสั่งจะสู้อย่างไรไหว

“ละ…แล้วเธอจะทำยังไงละ” ถามเสร็จ ก้องก็ได้แต่ร้องโหยหวนอยู่ในใจ ที่พลาดท่าให้อีกฝ่ายเสียแล้ว ยิ่งเห็นรอยยิ้มหวานแต่แฝงไปด้วยออร่าชั่วร้ายเต็มที่ ยิ่งทำให้ก้องมั่นใจ

“ก็ทำให้พวกนั้นยอมโผล่หางออกมาไงละครับ”

 

“โธ่เว้ย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ”

วินสะบัดหัวมองรั้วบ้านที่ไม่ค่อยอยากจะมาเหยียบสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนที่พระมารดารู้เรื่องที่ตนไปหาน้องชาย ท่าทีป่าเถื่อนปลิวหายกลายเป็นลูกหมาที่กำลังจะโดนเจ้านายทำโทษ ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน และวินไม่ต้องทำใจนานก็เจอแจ๊คพ็อตที่ห้องนั่งเล่นเลย

“ช้าไปสามสิบนาที นี่แกแอบแว้บไปที่ไหนใช่มั้ย นี่แกไม่อยากให้ฉันรักษาสัญญาแล้วใช่มั้ย ไอ้เด็กนั่นจะเป็นยังไงก็ได้แล้วงั้นสิ ดี ฉันจะได้ไม่ต้องรักษาสัญญาบ้าๆนั่นแล้วสินะ ฉันจะได้ทำตามใจชอบสักที!” มาถึงสาวใหญ่ก็สาดเสียเทเสียแบบไม่ไว้หน้าอินหน้าพรหมใดๆ จนเหล่าลูกน้องผู้โชคร้ายพากันหูชากันเป็นแถบๆ จะมีเพียงแต่ชาเท่านั้นที่ดูจะเฉยๆต่อเสียงทำลายประสาทพวกนั้น

“เปล่าครับๆๆ” วินตอบแข่งกับเสียงสูงปรี๊ดของมาริสา ถ้าทำได้เขาก็อยากจะเอามือขึ้นมาอุดหูอยู่หรอก แต่ลองทำดูสิ รับรองว่าอีกฝ่ายปรี๊ดแตกหนักกว่าเดิมแน่ “เครื่องบินมันดีเลย์ครับ ไม่เชื่อก็ถามนินเอาก็ได้”

“ใช่ครับๆๆ คุณวินเขาไม่ได้แว้บไปไหนเลยครับ พอได้รับโทรศัพท์คุณนาย คุณวินก็รีบกลับมาหาทันทีเลยครับ” หนุ่มตาโศกรายงานด้วยความไวแสงไม่แพ้กันเหมือนกลัวหูจะได้รับความกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้ “ผมกับชารับประกันเลยครับ”

ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านเงียบเสียงลง เป็นผลให้หนุ่มๆทั้งหลายพากันใจชื้นที่รอดจากคลื่นเสียงทำลายโสตประสาท มาริสาเพียงแต่นิ่วหน้ามองชา ก่อนจะหันกลับมาหาลูกชายร่างยักษ์ซึ่งกำลังมีท่าทางหวาดกลัวไม่สมกับตัว

“ไหนลองว่าสัญญาที่แกกับฉันทำด้วยกันให้ฟังหน่อยสิ”

วินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ถ้าแม่เลิกแกล้งเดียร์…ผมจะยอมทำตามที่แม่สั่งทุกอย่าง…”

“แล้วที่แกทำอยู่มันคืออะไร!อ้อ สัญญานั่นเป็นอันโมฆะแล้วใช่ไหม ดี! ฉันจะได้จัดการเด็กนั่นให้มันไม่กล้าเจอหน้าแกอีกเลย”

ชาได้แต่กลั้นขำ อยากจะรู้จริงๆว่าถ้าวินรู้ความจริงที่ว่าไอ้สัญญานั่นมันเป็นโมฆะตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำสัญญาแทบจะทันที แล้ววินจะโต้ตอบมาริสาอย่างไร

“ไม่ใช่นะครับ อย่าทำแบบนั้นนะแม่” วินร้องเสียงหลง “ก็เดียร์โดนไอ้เวรสิทธิ์ลักพาตัวไปนี่ แล้วจะให้ผมอยู่เฉยๆดูน้องตัวเองโดนทำร้ายได้ไงละ…”

“น้อง!? ฉันจำได้ว่าฉันเบ่งแกออกมาแค่คนเดียวนะ อย่างไอ้เด็กนั่นฉันไม่นับเป็นญาติอะไรทั้งนั้น และแกเองก็ห้ามนับมันเป็นญาติด้วย!”

หนุ่มแว่นอ้าปากค้าง แต่การชะงักก็เท่ากับเสียโอกาสไปแล้ว

“ถ้าอยากจะช่วยมันนัก แกก็ให้ใครไปช่วยก็ได้ แต่แกห้ามไปเอง” มาริสายื่นคำขาดทันที และไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ลูกชายเถียงแม้แต่น้อย “ถ้าแกทำไม่ได้ก็ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิก ว่าไง บอกมาว่าได้หรือไม่ได้ นอกเหนือจากสองคำนี่ฉันไม่รับฟัง!”

แล้วจะให้เขาตอบอะไรได้ละ

“ได้ครับ” วินฝืนใจตอบอย่างไร้ทางเลือก

“ดี” มาริสายิ้มกว้างอย่างพอใจ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้แล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ชา “ขอบใจที่โทรศัพท์มารายงานเรื่องลูกฉันด้วยนะ ถ้าไม่ได้เธอฉันก็คงไม่รู้ว่าตาวินเที่ยวตามก้นไอ้เด็กนั่นอยู่”

เสร็จธุระก็สะบัดชายกระโปรงยาวสีแดงฉลุด้วยลูกไม้สวยงามออกไปจากบ้านด้วยท่าทีของผู้มีชัย โดยทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ให้ชาไปแก้ตัวกับเจ้านายเอาเอง

อย่าว่าแต่วินเลย แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่เข้าใจเลยว่าคุณหญิงของบ้านพูดเรื่องอะไรกัน วันนี้ทั้งวันเขายังไม่ได้โทรไปหามาริสาสักครั้ง

แต่แน่นอนว่าคุณชายของบ้านเชื่อสนิทใจไปเสียแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพราะชา

“ออกไปให้หมด ยกเว้นแก” เสียงทุ้มกร้าวดังขึ้นอย่างเบาบางหากแต่ทรงพลังจนเหล่าลูกน้องที่เหลือพากันหลีกลี้หนีหายไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวโดนลูกหลง แน่นอนว่ารวมถึงธานินทร์ด้วย

“โชคดีนะครับ” ธานินทร์เดินเฉียดเข้าไปกระซิบบอกชาด้วยน้ำเสียงสะใจเสียเต็มประดา “หวังว่าจะยังอยู่ครบส่วนนะ”

ชายหนุ่มหน้านิ่งได้แต่เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เขารู้แค่ว่าคนแจ้งข่าวให้มาริสาต้องไม่ใช้ธานินทร์แน่ และไม่ใช่ตัวเขาด้วย

แล้วใครกัน

“อึ่ก” แต่ก่อนจะได้นึกสงสัยร่างของเขาก็โดนเหวี่ยงเข้ากับกำแพงเสียก่อน ความเจ็บรวดร้าวทำเอาหัวตื้อไปหมด

จะใครก็ช่างเถอะ อยากขอบคุณมันชะมัด

“ยิ้มหาอะไรวะ” วินกระชากคอเสื้อจนกระดุมสองเม็ดบนหลุดออกมา “ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วยวะ ก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือไง ว่าฉันเป็นห่วงเดียร์แค่ไหนจะกวนโมโหฉันก็ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะ”

“ผมจะไปทำแบบนั้นได้ไงละครับ วันนี้ทั้งวันคุณก็เห็น…” พูดไม่ทันจบความก็ต้องหยุดไปเสียก่อนเพราะโดนชกเข้าไปเต็มแรง แต่ด้วยความทนทานเกินมนุษย์ทั่วไป อีกทั้งยังชินชากับการใช้ความรุนแรงของอีกฝ่าย ชาจึงมีเพียงรอยช้ำที่แก้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ถ้าไม่ใช่แก แล้วแม่จะพูดแบบนั้นทำไมวะ” เสียงทุ้มตวาดลั่น พร้อมกับผลักร่างจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงอีกครา แล้วดึงคอเสื้อขึ้นจนชาหายใจลำบาก “ต่อให้เป็นแก ถ้าขืนขัดขวางฉันไม่ให้ช่วยเดียร์อีกละก็ ฉันไม่เอาแกไว้แน่! ฉันจะไล่ให้แกกลับไปเป็นหมาข้างถนนเหมือนเมื่อก่อนเลย คอยดู!”

ผมอยากจะบอกจังเลยครับ ว่าตอนนี้ความสุขกับความทุกข์มันตีกันมั่วไปหมดแล้ว ผมไม่อยากโดนคุณเขี่ยทิ้งหรอกนะ แต่พอโดนคุณขู่แบบนี้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้เลยแฮะ

“ผมบอกแล้วไงละครับว่าผมไม่ได้ทำ” ชายังยืนยันคำเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยากให้วินเชื่อความจริง แต่เพราะหวังให้อีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้าจนต้องระบายออกมา ซึ่งก็ได้ผลดีชะงักนักแล

“นึกว่าฉันจะเชื่อคำโกหกพรรค์นั้นหรือไงวะ!” หลังจากซ้อมจนอีกฝ่ายทรุดลงกับพื้น วินก็ลงไปจิกหัวชาขึ้นมาอย่างไม่คิดสงสารแต่อย่างใด แน่นอนว่ายิ่งเห็นอีกฝ่ายยังเหลือรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและห้อเลือด เขาก็ยิ่งไม่รู้สึกเห็นใจเข้าไปอีก มือหนาสะบัดหัวของชาออกจนเกือบกระแทกพื้น “วันนี้ฉันจะเข้าบริษัทเอง นายอยู่นี่ไม่ต้องตามฉันไป”

“แต่ว่า…”

“เดี๋ยวฉันให้คนอื่นไปด้วยเอง ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ถ้าตามมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ชาเพียงแต่นิ่ง ปล่อยให้หนุ่มแว่นกระทืบเท้าออกไปจากห้อง กะว่าเดี๋ยวสักครึ่งชั่วโมงแล้วจะค่อยตามไปเสนอหน้าให้วินของขึ้นอีก

“อื๋อ” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้า ทันทีที่เห็นชื่อคนส่งข้อความ เขาก็รีบกดเข้าไปอ่านแทบไม่ทัน

 

[ข้อความเข้า]

[เค้าบอกมี้เอง หวังว่าจะชอบนะ คิๆ:3ส่วนนินเด๋วจัดเอง]

[จาก มีมี่ ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา: 14.23น.]

 

ไอ้คุณเดียร์!

ชาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะดีใจ หรือควรจะโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงดี โชคดีที่ยั้งมือไว้ทันก่อนจะบีบมือถือจนแหลกคามือ พอลองโทรไปหาปรากฏว่าอีกฝ่ายปิดมือถืออย่างรู้ทันไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่นั่งถอนใจอยู่กับพื้น ชักหมดแรงเสียดื้อๆยังไงชอบกล

“จัดการเองหรือ…” ชาทวนข้อความที่ได้รับ ก่อนจะถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

เขาไม่ไว้ใจเจ้าเด็กนี่เลย กลัวจะมัวแต่หาเรื่องโดนทำร้ายจนเสียแผนนี่ล่ะ ซึ่งเขามั่นใจมากทีเดียวว่าต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆด้วย เพราะฉะนั้น จะให้ยอมทำตามใจ คงจะไม่ไหวหรอก



____________________________________________________________

เอาฉากทรมานเฮียชาไปแก้ขัดก่อน =w= ส่วนนายเอกเราก็วางแผนร้ายกันต่อไป
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 09-06-2013 19:42:21
ชาโดนซ้อม ชอบเลยสิน่ะะะ  :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 09-06-2013 20:16:18
 :hao6:  ชาชอบสินะ สินะ สินะ สินะๆๆๆ   :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 09-06-2013 20:22:37
สนุกเลยละครับงานนี้5555555555555555 :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sbeam14 ที่ 09-06-2013 21:54:36
 :m20: :laugh:เป็นSMที่ลุ้นให้Mทรมาตที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยอ่ะ :impress2:  :oo1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 10-06-2013 16:37:43
สงสารชาตะหงิดๆนะ เอ้าเดียร์สู้ๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 11-06-2013 10:08:35
เดียร์จะทำให้ยิ่งตีกันเข้าไปใหญ่ป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 11-06-2013 17:02:05
ชอบที่เดียร์ SMSคุยกับชา เหมือนเด็กน้อยคุยกัน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 12-06-2013 10:21:22
เป็นนิยาย SM เรื่อแรกที่อ่านแล้วไม่ได้สงสารนางเอกเล้ย...>__< (แถมเอาใจช่วย(ให้โดนซ้อม)อีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-06-2013 11:49:38
 :katai3: จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย

มาไวๆค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 10 (9/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: himenana ที่ 13-06-2013 23:12:40
รอฉากแซ่บ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 20-06-2013 18:35:26
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 11

วัฒน์กับเนเหลือบมองเจ้านายเป็นระยะๆ พวกเขาไม่แน่ใจว่าเพราะเพลีย หรือเพราะทำแผนไม่สำเร็จสักที สิทธิ์ถึงได้ออกอาการตายซากแบบนี้

“…วันนี้ผมคงนอนที่บ้านนะ”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วทั้งหนุ่มใหญ่และหนุ่มน้อยอยากจะกระโดดกู่ร้องด้วยความดีใจเลยทีเดียว

“คุณสิทธิ์ไม่ต้องเป็นห่วงทางโน้นหรอกครับ ก้องน่ะเก่งจะตาย ไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นหนีไปได้หรอก” หนุ่มใหญ่เอ่ยให้อีกฝ่ายสบายใจ โดยเก็บความจริงที่ว่าเขานี่ละ ที่เป็นคนสั่งให้ก้องไปปล่อยตัวเดียร์แบบเนียนๆ

“นั่นสินะครับ…” ชายหนุ่มฝืนยิ้ม ขอบตาดำคล้ำเสียยิ่งกว่าหมีแพนด้าเพราะนอนไม่พอมาหลายวันแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นจะกลับเลยไหมครับ งานที่เหลือก็ไม่ใช่งานด่วนหรืองานสำคัญอะไรแล้วเดี๋ยวพากลับไปทำต่อที่บ้านก็ได้นะครับ”วัฒน์เหลือบมองไปทางเนที่กำลังช่วยนั่งเรียงเอกสารที่วางกองอยู่ฝั่งขวาของโต๊ะ “เดี๋ยวผมกับเนจะเอาเอกสารไปเอง คุณสิทธิ์ไปรอที่รถก่อนก็ได้ครับ”

ดวงตาเรียวปรือมองเอกสารตรงหน้าด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วหันไปมองเนที่พยักหน้าให้ชายหนุ่มจึงผงกหัวรับแล้วเดินสะโหลสะเหลออกไปจากห้อง

“…เอานี่ไป แล้วไปดูว่าคุณสิทธิ์อยู่ในรถหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะตามไป”วัฒน์ยื่นเอกสารที่เหลือบนโต๊ะให้อีกฝ่ายโดยไม่มองหน้า

เนเงยหน้ามองหนุ่มใหญ่ที่ยังคงยืนหันหลังให้ เขาอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เก็บคำพูดลงคอ แล้วทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

พอเด็กหนุ่มออกจากห้องไปแล้ว วัฒน์ก็หยิบมือถือของตนขึ้นมาโทรออก

“ครับผม” ก้องรับเสียงค่อยเหมือนกลัวใครได้ยิน

“ปล่อยไปหรือยัง” วัฒน์เข้าเรื่องทันทีแบบไม่มีอารัมภบท

คนฟังได้แต่อึกอัก ก่อนจะกลั้นใจบอก “ยังครับ”

เงียบนิ่งไร้การตอบกลับใดๆ

“…เอ่อ ที่บอกว่ายังเพราะมันยังไม่มีจังหวะน่ะครับ…คือว่า…คือ…” ก้องบอกตะกุกตะกักจนวัฒน์นิ่วหน้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะพูดแทรกแต่อย่างใด โดยหารู้ไม่ว่านั่นยิ่งทำให้ก้องรู้สึกกดดันจนอยากระเบิดมือถือทิ้ง “ถ้าอยู่ๆปล่อยเลยเดี๋ยวคุณสิทธิ์จะสงสัยเอาน่ะครับ”

วัฒน์ยังคงเงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดันไปเองอยู่ร่วมสามนาที ก่อนจะเอ่ยปาก

“ถ้างั้นก็หาทางทำให้มันดูไม่น่าสงสัยละกัน ภายในสามวันนะเท่านี้ล่ะ”

แน่นอนว่าที่หนุ่มใหญ่บอกเวลาไปก็แค่เตือนให้อีกฝ่ายอย่ามัวแต่ชักช้าจนไม่ทันการ ไม่ได้คิดขู่อะไรเลยสักนิด

“เป็นไงบ้างละครับ” เมื่อเห็นหนุ่มใหญ่วางมือถือลง เดียร์เอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย แต่คนมองกลับรู้สึกเหมือนโดนข่มขู่เสียมากกว่า

“ก็สามวัน” ก้องเกาคางพลางถอนใจราวกับคนหมดอาลัยตายอยากแล้วเหล่มองเด็กหนุ่มอย่างหวาดๆ “นี่ ทำแบบนี้มันจะช่วยให้เจ้าพวกนั้นโผล่หางให้เราจับได้คาหนังคาเขาจริงเหรอ”

“อ้าว พี่ก้องไม่เคยดูละครหรือนิยายหรือครับ พอตัวเอกเผลอหรือเปิดโอกาสให้ ตัวร้ายก็จะแสดงตัวออกมา จากนั้นตัวร้ายก็จะพลาดท่าเพราะความลำพองในชัยชนะของตัวเอง แล้วชัยชนะก็จะกลับกลายมาเป็นของตัวเอกไงล่ะครับ”

“ก็นั่นมันละคร มันจะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ แล้วถ้าให้ไปถึงตอนนั้น มันคงเสียหายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้วล่ะ พวกฉันเองก็ไม่มีทางจะโชคดีเหมือนในละครแน่” หนุ่มแว่นค้านเสียงแข็ง

“ก็นั่นมันในกรณีที่ตัวเอกไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่ครับแต่พวกเราไม่เหมือนกันใช่ไหมละ” เดียร์ยังคงยิ้มหวาน…แต่ก้องเห็นแล้วกลับขนลุกเกรียวรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่อีกฝ่ายไม่ใช่สเปคตน ไม่อย่างนั้นคงตกหลุมพรางด้วยใบหน้าหวานสวยแบบนั้นไปนานแล้ว “เรื่องคุณสิทธิ์ ผมจัดการเอง ส่วนเรื่องจับพวกนั้น ก็เป็นหน้าที่พวกคุณ เราก็ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า ดีไหมละครับ”

ดี…แต่ไม่อยากตกลงยังไงก็ไม่รู้

“แผนเก่าๆที่ทำกันมามันก็ไม่เคยสำเร็จสักทีใช่ไหมละครับ ถ้างั้นจะลองแผนผมหน่อยจะเป็นไรไป”

เขากลัวมันจะแย่จนกู่ไม่กลับเสียมากกว่านี่สิ

“แต่ถึงพี่จะไม่ร่วมมือ ผมก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”

ทำไมก้องจะไม่รู้ ถึงเขาจะไม่ร่วมมือ ไอ้เด็กมาโซนี่มันก็คงจะเดินแผนต่ออยู่ดี และปัญหาคือ เขาหยุดแผนบ้านี่ไม่ได้แน่นอน ต่อให้พูดความจริง ใครมันจะเชื่อ ยิ่งโดยเฉพาะสิทธิ์นี่ละตัวดี เพราะถ้ายอมเชื่อแต่แรก เดชคงไม่อยู่เป็นเหลือบไรของชีวิตมาถึงทุกวันนี้หรอก

“ไม่ต้องห่วงเพราะผมก็ไม่ได้มีความสุขจนเพลินอย่างเดียวหรอกครับ ถ้ามีอะไรที่พอเป็นหลักฐานมัดพวกนั้น ผมไม่ปล่อยให้รอดสายตาแน่ เชื่อมือผมเถอะ”

ก้องอยากจะตะโกนเหลือเกิน…ถ้าอยากให้เชื่อมือ ก็เลิกฉีกยิ้มชั่วร้ายนั่นสักทีเถอะ

 

เนเร่งรีบหอบเอกสารเดินลงมายังอาคารจอดรถ เขาพุ่งตรงหารถแวนสีดำที่จอดอยู่ด้านในสุด และก็ต้องโดดจนตัวลอย เมื่อเห็นชายร่างยักษ์นอนพับอยู่บนฝากระโปรงรถด้านหน้า

“คุณสิทธิ์!” เด็กหนุ่มเผลอทิ้งเอกสารทั้งหมดในมือ แล้วปรี่ไปช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา “คุณสิทธิ์ครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“อือ….กินม่ายหวายแล้ว…” เสียงทุ้มเครือที่ดังอยู่ในคอทำเอาเนเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก “อ้าว…เน…”

“ครับ ยืนไหวหรือเปล่าครับเนี่ย” เด็กหนุ่มหิ้วปีกอีกฝ่ายก่อนจะพยายามใช้อีกมือเอื้อมไปบิดกุญแจรถที่เสียบคารูแล้วประคองร่างเข้าที่นั่งด้านหลังอย่างระมัดระวัง “ไม่เป็นอะไรนะครับ”

“อืม…ไม่เป็นไรหรอก” สิทธิ์บอกโดยไม่ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ทำเอาลูกน้องหนุ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา “เน”

“ครับ?”

“ฉันจะโดนตำรวจจับข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวไหม”

เด็กหนุ่มฟังแล้วข้องใจเสียเหลือเกิน เขาคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของผับ บาร์ อาบอบนวด แถมยังชอบมีเรื่องตีรันฟันแทงกับกลุ่มอื่นๆ น่าจะเลิกกลัวตำรวจไปตั้งนานแล้ว

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยแม่นเรื่องกฎหมาย ถ้าอีกฝ่ายไม่บาดเจ็บปางตาย แล้วก็ไม่แจ้งความ คงจะไม่โดนมั้ง” เนตอบตามตรงก่อนจะกลับไปเก็บเอกสารไปวางไว้ตรงฝั่งตรงข้ามของสิทธิ์ จากนั้นก็ลงไปนั่งฝั่งข้างคนขับ “แล้วคุณสิทธิ์ทำอะไรรุนแรงไปหรือยังล่ะครับ”

เงียบไปห้านาที จนเนนึกว่าสิทธิ์สลบไปแล้ว

“…เอาเข็มขัดฟาดไปไม่กี่ที เรียกว่าปางตายได้ไหม”

แล้วคำตอบที่ได้ ก็ทำเอาคนรอสะดุ้งจนตัวลอย

“ตะ…แต่ว่าฉันยังเห็นเขาแข็งแรงดี ยังพยายามดิ้นให้หลุดจากกุญแจมือด้วยนะ” ยิ่งฟังคำแก้ตัวของเจ้านาย เนก็เริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่เพราะไม่ได้หันไปหา สิทธิ์จึงไม่รู้ตัว “เพราะงั้นไม่เป็นไรใช่ไหม…ก็นะ คนอื่นที่ฉันเล่นงานยังหนักกว่านี้เลย ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ใช่ไหมๆ”

“ก็นั่นมันมาหาเรื่องก่อน แถมคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว แล้วพวกมันจะกล้าแจ้งได้ไงล่ะครับ” เนปิดปากตัวเองแทบไม่ทันแต่แน่นอนว่าสายไปเสียแล้ว เพราะตอนนี้สิทธิ์ใจแป้วไปเรียบร้อย และด้วยความลนลาน จึงหลุดปากออกไปต่ออย่างไม่ลืมตัว“ตะ…แต่ว่า ถ้าคุณสิทธิ์ลองขู่แรงๆ หรือกุมความลับอะไรไว้ เขาอาจจะไม่แจ้งตำรวจก็ได้นะครับ”

กว่าจะคิดได้ว่าเพิ่งปล่อยโอกาสให้หัวหน้ากลับใจหลุดลอยไป อีกทั้งยังไปแนะนำเรื่องที่ไม่ควรแนะนำที่สุด ก็สายไปหลายโยชน์แล้ว

“นั่นสินะ…เรื่องแค่นี้ทำไมฉันลืมไปได้นะ” สิทธิ์เริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง “ขอบใจนายมากเลยนะ ไม่งั้นฉันคงได้แต่กลุ้มจนทำอะไรไม่ถูกแน่”

เนยิ้มฝืน เขาก็ดีใจอยู่หรอกที่สิทธิ์กลับมาร่าเริงขึ้น แต่ไม่อยากให้มาดีใจกับเรื่องนั้นเลยสักนิด

 

ทันทีที่จัดการงานเสร็จเรียบร้อย อีกทั้งรองประธานยังให้คำมั่นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่น่าจะมีงานด่วนไปราวสองสามวัน สิทธิ์ก็รีบขึ้นเครื่องบินกลับไปหาลูกกวางน้อย ในใจก็คิดสารพัดถึงแผนที่วางไว้พลางยิ้มพราย

“…คุณสิทธิ์ครับ ออกที่หน้าหมดแล้ว” เนเอ่ยทักอย่างหมดความอดทนเขาเห็นอีกฝ่ายยิ้มเหี้ยมส่งเสียงหัวเราะในคอมาตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องยันออกจากสนามบินแล้ว“ผมว่า…เผื่อใจไว้หน่อยก็ดีนะครับ บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นไปตามแผนก็ได้”

“นายหมายความว่าไง” จากที่กำลังยิ้มหวาน กลับมาหน้าเคร่งเครียดจนชวนสะดุ้งทันควัน

เนกลืนน้ำลายลงคอ พยายามหาคำโกหกสุดชีวิต ขืนสิทธิ์รู้ความจริง มีหวังไม่จบแค่โดนสิทธิ์ด่าคนเดียวแน่

“คือ…ผมก็แค่กลัวมันจะไม่เป็นไปตามที่คิด…ก็มันไม่ใช่นิยายใช่ไหมล่ะครับ มันจะง่ายๆขนาดนั้นหรือ ฝั่งคุ…วินคงไม่อยู่เฉยๆแน่ ระหว่างนั้นอาจจะแอบส่งคนมาเอาตัวเด็กคนนั้นกลับไปก็ได้”

สิทธิ์เปลี่ยนสีหน้าทันควัน และยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

“แย่แล้วครับ เดียร์หนีไปแล้ว”

แล้วก็ได้รับข่าวที่ตนกลัวทันที ช่างประจวบเหมาะเหมือนเตรียมการไว้เด๊ะๆ

“ละ…แล้วหนีไปนานหรือยัง เอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างร้อนรน “พี่รีบออกไปหาเดี๋ยวนี้เลยนะ ตอนนี้คงยังไปได้ไม่ไกลหรอก ถ้าหนีไปได้ ผมจะหักเงินเดือนพี่แล้วจะบอกพี่ฤทธิ์ด้วยว่าพี่ใจอ่อนให้เด็กผู้ชายจนเสียงาน!!”

“เขาเพิ่งหนีไปได้ไม่นาน แล้วก็ไม่ได้เอาเงินไปซักแดง เพราะงั้นคงหนีไปได้ไม่ไกลหรอกครับ” เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงเรื่องราวก็จะกลับเข้าสู่แบบเดิม เพราะงั้น ต่อให้โดนขู่กว่านี้ หนุ่มใหญ่ก็ไม่รู้สึกอะไรนักหรอก แถมไอ้อย่างหลังนี่ สำหรับเขาไม่เรียกว่าการลงโทษแม้แต่นิดเดียว “บางที เขาอาจจะไปแถวสนามบินก็ได้นะครับ คุณสิทธิ์ลองหาดูแถวๆนั้นสิครับ เผื่อจะเจอก็ได้”

เพราะไอ้เด็กนั่นมันตรงไปรอรับคุณตั้งแต่คุณขึ้นเครื่องบินแล้วล่ะ ถ้าจะเจอไอ้เด็กนั่นแถวนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรหรอก…

“เน นายยืนเฝ้าอยู่แถวนี้นะ ถ้าเกิดเห็นเดียร์เมื่อไหร่ จับเอาไว้เลยนะ เดี๋ยวฉันจะลองไปดูตามทาง”

“เอ๋ เดี๋ยวสิครับ ผมปล่อยให้คุณไปไหนคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” เนค้านเสียงตื่นและรีบคว้าแขนเจ้านายรั้งไว้สุดแรง “ถ้าจุดหมายเขาคือที่นี่ เราก็รอด้วยกันเลยสิครับ จะไปวิ่งให้เหนื่อยทำไม”

ถึงบางอ้อแล้วหายร้อนรนทันที

“เออ นั่นสินะ ฉันมัวแต่กลัวเลยไม่ทันคิด” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยังหน้าซีดไม่หาย “งั้นรออยู่ที่แถวนี้ละกันเดี๋ยวหมอนั่นก็คงมา…”

เนเลิกคิ้วมองสิทธิ์ที่พูดค้างไป ก่อนจะหันไปมองตามที่อีกฝ่ายมอง และก็เผลออ้าปากค้างไปด้วย

ถึงจะภาวนาไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้

“อ๊ะ”

ทันทีที่เดียร์หันมาสบตากับหนุ่มทั้งสอง ร่างบางก็ปลิวหายออกไปจากตรงนั้นทันทีและสิทธิ์เองก็รีบใส่เกียร์มาไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิตทันที

“หยุดนะ คิดว่าจะหนีฉันพ้นหรือไง” เสียงทุ้มตะโกนไล่อย่างเดือดดาล แต่อีกฝ่ายก็วิ่งเร็วจนเขาไล่ตามไม่ได้ง่ายๆ

เนซึ่งวิ่งตามมาติดๆได้แต่มุ่นคิ้ว เพราะปกติ เวลาวิ่งไล่กันแบบนี้ เด็กหนุ่มคิดว่าฝั่งที่วิ่งไล่อย่างพวกเขาน่าจะดูเป็นผู้ร้าย ที่วิ่งไล่หนุ่มน้อยน่าสงสาร แต่ตอนนี้เขามองยังไงเหมือนกับ ไอ้คนวิ่งนำเพิ่งไปกระชากสร้อยสิทธิ์มามากกว่า…เพราะถ้าเดียร์เป็นฝ่ายเดือดร้อนจริงๆ อย่างน้อยก็น่าจะร้องขอความเชื่อเหลือบ้างสิ คนมากมายตามทางก็มีตั้งเยอะ แต่นี่อะไร วิ่งอย่างเดียวเนี่ยนะ แล้วถ้าวิ่งด้วยความเร็วแค่นั้น ไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก นอกเสียจากว่าสิทธิ์จะหมดแรงนั่นละซึ่งนั่นเป็นไม่ได้แน่ เพราะสิทธิ์ในตอนนี้ได้สะสมพลังมาเต็มที่ให้วิ่งสักสิบกิโลเมตรก็ยังไหว

สิทธิ์เผยยิ้มเมื่อเห็นความเร็วของอีกฝ่ายลดลง เขารวบรวมพลังทั้งหมด แล้วกระโจนเข้าไปหาร่างตรงหน้า ในที่สุดมือหนาก็คว้าแขนเล็กเอาไว้ได้ เขากระชากจนเดียร์หงายหลัง มาซบลงตรงอกหนาของสิทธิ์พอดี

“ปล่อยนะ!” เสียงหวานกรีดร้องปานจะขาดใจพลางดิ้นหนีสุดชีวิต แต่แขนแกร่งพันธนาการไว้ด้วยแรงมหาศาลจนเด็กหนุ่มไม่อาจสู้ไหว ทำเพียงแค่ดิ้นขลุกอย่างไร้ประโยชน์

“ฮึ คิดว่าจะหนีฉันพ้นหรือ” อันที่จริงก็กลัวแทบตาย เพราะวิ่งไล่อยู่ตั้งนาน ตอนที่จับได้นี่แทบอยากจะกระโดดกู่ร้องให้ลั่นโลก“กลับไปเจอดีแน่!”

เมื่อเห็นคนในวงแขนตัวสั่นระริก สิทธิ์ก็นึกสมเพชอีกฝ่ายอยู่ในใจ ก่อนจะหันไปหาลูกน้องหนุ่มที่เพิ่งไล่ตามมาทัน

“เน โทรบอกก้องให้มารับที ดูท่าวันนี้คงต้องเปิดคอร์สสั่งสอนเด็กดื้อนานหน่อย”

แต่เจ้าของชื่อไม่ได้ทำตามในทันที เนเลิกคิ้วมองสิทธิ์ค้างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านที่มีรั้วสีขาวล้อมรอบหน้าตาคุ้นเคยซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่พวกเขายืนอยู่เพียงไม่กี่สิบเมตร

“ผมว่าไม่จำเป็นแล้วมั้งครับ”เนขืนตอบ เห็นแล้วขำไม่ออกตงิดๆ นี่มันจะบังเอิญเกินเหตุไปแล้ว วิ่งมาตั้งแต่สนามบินจนมาเกือบถึงบ้านเนี่ยนะ ถึงระยะทางจากสนามบินมายังบ้านมันจะไม่ไกลมากก็เถอะ

“อ้าว พอดีเลยนี่” แต่ดูเหมือนเจ้านายแสนดีจะไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติ เขารีบลากร่างบางในอ้อมแขนตรงไปยังบ้านพักของตนทันที

“ตายห่า” เนสบถกับตัวเองเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่สิทธิ์วางไว้ แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขสิ่งใดได้ นอกจากภาวนาให้ก้องไม่ก็วัฒน์มีทางออกกับเรื่องนี้ได้

“ไม่ ปล่อยผมนะ ปล่อยผม” เดียร์ดิ้นสุดชีวิตและพยายามตะโกนสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ ดวงตากลมเหลียวซ้ายแลขวาบนถนนที่ไม่มีผู้คนอื่นเดินเลยสักชีวิต “ช่วยด้วย!”

“ฮึ ร้องไปก็ไม่มีใครช่วยหรอก” สิทธิ์หัวเราะร่า หลังจากมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ฟังเสียงร้องของเดียร์“อยากแหกปากร้องก็เอาเลย เพราะหลังจากนี้เธอได้ร้องเยอะกว่านี้แน่!”

“ฮึก…” ดวงตากลมรื้นไปด้วยน้ำตาที่แลดูสิ้นหวังนั่น ยิ่งทำให้สิทธิ์รู้สึกสะใจเล็กๆ “ไม่นะ…อย่าทำอะไรผมเลย”

ไอ้ตอนใจดีทำไมไม่ว่าง่ายแบบนี้ล่ะ มาทำตอนนี้ก็สายไปแล้วโว้ย!

สิทธิ์ลากเด็กหนุ่มอย่างไม่มีการเห็นใจจนเนที่ตามหลังมาออกอาการผวาและสงสารเดียร์ เพราะสิทธิ์เล่นไม่ยั้งมือเลยสักนิด

ก้องซึ่งรออยู่ที่หน้าบ้านอยู่นานแล้ว รีบเปิดประตูให้เจ้านายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงสิทธิ์ดูจะไม่สนใจเขาเท่าไหร่นัก เพราะชายหนุ่มไม่เอ่ยต่อว่าเรื่องที่ผิดพลาดนี่สักคำ สิทธิ์เพียงแต่ตรงลิ่วขึ้นไปยังชั้นสอง โดยมีเดียร์ที่ยังคงขัดขืนไม่เลิก

“…พี่ก้อง แล้วทีนี้จะทำยังไงละครับ” พอเจ้านายหายขึ้นไป เนก็ลนลานกระซิบถามก้องทันที “นี่มันไม่ใช่อย่างที่วางไว้เลยนะครับ ทำไมพี่ไม่ปล่อยเด็กนั่นก่อนที่คุณสิทธิ์จะมาละครับ”

“…ขืนทำแบบนั้น ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ ถ้าใครรู้ว่าฉันปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆนั่นหนีรอดไปได้ เสียชื่อหมด” ก้องตอบอย่างเหนื่อยใจในหลายๆเรื่อง “…เดี๋ยวฉันบอกกับคุณวัฒน์เอง นายสบายใจได้ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันเข้าใจ”

เด็กหนุ่มชักสีหน้าใส่ทันที “ใครกลัวตาลุงนั่นกันครับผมแค่กังวลเรื่องคุณสิทธิ์ต่างหาก ดูสิครับ นี่มันเข้าทางไอ้เดชชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ”

ก้องเลิกคิ้วให้ ก่อนจะกลับเข้าเรื่อง “นั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ จะให้ทำไงได้ล่ะ”

เนบึ้งหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองที่ชั้นสองอย่างร้อนรน พยายามหาทุกวิถีทางที่จะหยุดการกระทำของเจ้านาย โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่ยืนข้างๆมีสีหน้าแย่กว่าตนเยอะเพราะก้องรู้ดีว่า คนที่แย่ในตอนนี้ ไม่ใช่เดียร์หรอก

แต่เป็นคุณสิทธิ์ตังหาก!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 20-06-2013 18:56:55
สิทธ์ดูจะไม่ค่อยทันเดียร์เนอะะะ  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 20-06-2013 21:45:38
แผนซ้อนแผน ไม่ธรรมดาแหะ!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 20-06-2013 22:07:54
sm เรื่องนี้  เป็นเรื่องแรกเลยนะที่เราอ่านแล้วไม่สงสารนายเอกเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 21-06-2013 09:37:29
งานนี้จะได้สมใจเดียร์ใหมเนี่ย จะMซักหน่อยมีคนขัดตลอด
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 21-06-2013 16:43:26
 :hao6: คุณสิทธิ์ ซึน อะ 555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 21-06-2013 19:07:46
อ้ายยยยยยยยยยยยย
คุณสิทธิ์ระวังหนูเดียร์ไว้555555555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 11 (20/6/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 22-06-2013 00:46:05
ทำไม.....มันถึงได้ฮาขนาดเน้!!! 5555555555+
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 02-07-2013 21:03:45
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 12

อ๊า~ มีความสุขจังเลย

เนื่องจากสิทธิ์ลากเดียร์โดยจับเด็กหนุ่มหันหน้าออกจากตัว พอพ้นขึ้นมาชั้นสอง เดียร์ก็เผยรอยยิ้มกว้างหลังจากต้องทนอัดอั้นมานาน ขาทั้งสองที่ลากอยู่ระพื้นก็พยายามขืนหนีเพื่อให้อีกฝ่ายออกแรงให้หนักขึ้น มือก็พยายามดิ้นสุดแรงเพื่อให้อีกฝ่ายรัดร่างจนหายใจลำบาก และปากก็ไม่ลืมที่จะส่งเสียงกรีดร้องโวยวาย ให้อีกฝ่ายตายใจด้วย

“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ…ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!” เดียร์ไม่แน่ใจว่าร้องแบบนี้ใช้ได้หรือเปล่า เพราะความสุขมันทะลักล้นจนทำเอาหัวมึนตึบ แต่เขาก็พยายามแหกปากให้ดังเข้าไว้ก่อน อย่างน้อยมันก็น่าจะกลบเกลื่อนได้ “ไอ้คนใจยักษ์ใจมารถ้าคุณทำเรื่องบ้าๆ ผมไม่ให้อภัยคุณแน่”

“งั้นเหรอ กลัวจังเลยนะ” เสียงทุ้มเยาะกลับ ก่อนจะเปิดประตูห้องนอน ซึ่งสะอาดเรียบร้อยผิดกับครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น ซึ่งจริงๆมันสะอาดเกินเหตุด้วยซ้ำ เพราะถ้าเดียร์นอนอยู่บนเตียงตลอด อย่างน้อย ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนได้หรอก แต่เพราะอารมณ์มันบังสติ เลยคิดออกแต่เรื่องข่มขู่เดียร์อย่างเดียว“ฉันอยากจะรู้นัก ถ้าลองโดนดีสักทีแล้วจะยังปากเก่งอยู่แบบนี้อีกไหม”

อืม…นั่นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณว่ามันจะเร้าใจผมแค่ไหนน่ะนะ ยิ่งถ้าเป็นแบบระยะยาวล่ะก็ ผมก็คงแช่มชื่นจนพูดไม่ออกเลยล่ะ

“ค…คุณจะทำอะไรผม” เสียงสั่นระริกชวนให้คนฟังเข้าใจว่าเด็กหนุ่มกำลังกลัวสุดขีด โดยไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังตื่นเต้นจนตัวสั่นอยู่ก็ได้ เพราะเดียร์เลิกดิ้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

สิทธิ์ไม่ตอบคำถามนั้น เขาโยนร่างบางลงเตียง แล้วขึ้นคร่อมอีกฝ่าย พลางจ้องคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ

ด้วยความที่โดนจ้องนานเกินโดยที่ไม่โดนกระทำรุนแรงสักอย่าง เดียร์จึงเริ่มตื่นตระหนกเพราะคิดว่าชายหนุ่มอาจรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงแสดงสีหน้าให้ดูว่ากำลังกลัวเท่าที่จะทำได้ และพยายามนอนบีบน้ำตาที่ไม่ค่อยจะออกง่ายๆ อย่างน้อยเรื่องที่กลัวว่าสิทธิ์จะรู้ความจริงก็ช่วยให้ต่อมน้ำตาแตกได้ง่ายขึ้น

แต่อันที่จริง ที่สิทธิ์จ้องเดียร์หาใช่เพราะรู้สึกถึงเรื่องนั้นไม่ แต่เพราะเขากำลังชั่งใจว่าจะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ดีหรือเปล่า

ทำแบบนี้มันจะดีจริงหรือ

ถึงจะทำใจไว้หลายตลบ คิดอยู่หลายร้อยรอบแล้วก็เถอะ แต่พอคิดได้ว่า ไอ้ที่ทำอยู่นี่ ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ปกติควรจะทำเลยด้วยซ้ำ แถมคนที่จะทำด้วยยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก

“อั่ก!”

เพราะรอจนเงก เดียร์เลยกะเรียกสติ แต่ดูท่าทางจะเรียกแรงไปหน่อย หน้าเขียวเลยทีเดียว

“…ฤทธิ์เยอะนักนะ” สิทธิ์น้ำตาเล็ดก่อนจะกระชากมือบางที่เพิ่งบีบน้องชายตนมาหมาดๆ ดวงตาเรียวเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดจ้องมองหน้าเรียวขาวอมแดง มือหนาบีบแขนเล็กแน่นอย่างไม่ปรานีจนดวงตากลมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส สติและสำนึกทั้งหมดโดนโยนลงถังขยะเป็นที่เรียบร้อย

“อื้อ” เสียงหวานครางดังเมื่อโดนบีบเข้าที่คางจนระบม และยังไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าของอีกฝ่ายก็โหมเข้ามาหาหวังจะล่วงล้ำเข้ามาชิมรสริมฝีปากบางของตน

“โอ๊ย!”

แต่เข้ามาแรงและเร็วไปนิด เลยกระทบเข้ากับฟันแทน

“…” สิทธิ์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง อยากจะร้องไห้เสียเหลือเกิน แต่ไม่ใช่เพราะเจ็บปากหรอก ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยจูบพลาดได้น่าอับอายแบบนี้นี่ละ

เดียร์ก็ไม่แน่ใจว่าจะถามด้วยความสมเพชดี หรือจะเงียบต่อไปดี แต่ใจจริงก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าจะต้องทำอย่างไร

“ฮึ สมน้ำหน้า”เสียงหวานเอ่ยเบาหวิว ก่อนจะเลียเลือดบนริมฝีปากของตน ดวงตากลมฉายแววเยาะเย้ยแบบไม่ปิดบัง จนคนที่กำลังเจ็บปากเริ่มหัวเสียอย่างหนัก

“ไว้หลังจากนี้เถอะ แล้วจะยังยิ้มออกอยู่อีกไหม” สิทธิ์ขู่พลางกระชากกระดุมเสื้อจนหลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนใสภายในที่ชวนมองไม่รู้เบื่อ…

…แผลที่โดนเข็มขัดฟาดหายเร็วจังแฮะ…สงสัยเราคงเผลอออมมือไปมั้ง…ช่างเหอะ!

“อ๊ะ” ร่างบางสะดุ้งเมื่อไออุ่นจากริมฝีปากกระทบเข้าลำคอลิ้นร้อนแล่นลากไล้จนขนลุกไปทั่วร่างก่อนจะกัดเข้าเต็มแรงแบบไม่มีการเห็นใจ

ดีนะที่กัดเข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงเผลอบีบน้องชายคุณอีกรอบ คราวนี้อาจจะแรงจนเผลอใช้การไม่ได้ตลอดชีพเลยทีเดียว

สิทธิ์มองรอยฟันบนลำคอที่มีเลือดซิบออกมา แล้วเผยยิ้มกว้าง พวงแก้มขาวที่แดงระเรื่อชื้นเหงื่อ และน้ำตา ดูแล้วชวนน่าสงสาร หากแต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเห็นใจแต่อย่างใด

“ฉันจะเอาคืนกับที่เธอทำให้อย่างสาสม!” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูนั้นเบาบาง แต่เต็มไปด้วยแรงแค้นจนเดียร์ถึงกับสั่น…สั่นด้วยความตื่นเต้น…“ชอบความรุนแรงนักใช่มั้ย เดี๋ยวฉันจะจัดให้ถึงใจเลย”

แค่เรื่องที่สิทธิ์จะรู้ว่าเขาชอบความเจ็บปวดเท่านั้นล่ะ ที่ทำให้รู้สึกกลัวจริงๆจังๆ

“ไม่นะ!อย่านะ! ได้โปรดเถอะ…” โปรดรุนแรงอย่างถึงใจตามที่พูดเลยครับ เดี๋ยวผมจะดิ้นขัดขืนสุดตัว เพื่อที่คุณจะได้ทุ่มมาสุดแรงได้ง่ายๆเลย อา…จับแขนผมให้แน่นๆ แรงๆแบบนั้นละครับ มันช่างรวดร้าวถึงใจจริงๆ…ดีครับๆ…แบบนั้นล่ะ ไม่ออมแรง บีบให้กะเอาหักเลยนั่นล่ะ โอว…ช่างเป็นเรี่ยวแรงที่ไร้ความปรานีอะไรอย่างนี้ ไม่มีการแอ๊บแม้แต่น้อย มาจากใจจริงล้วนๆ ทำไมเราถึงได้มาเจอกันช้าขนาดนี้นะ แต่มันก็ช่างคุ้มค่าแก่การรอคอยเสียจริงๆ “อ๊ะ อื๊อ~~”

ก่อนหน้านั้นสิทธิ์ก็ชอนไชไล้เลียเก็บเกี่ยวไปเสียเยอะ แต่เดียร์ก็เพิ่งจะรู้สึกเสียวซ่านสุดใจจนเผลอร้องก็ตอนที่โดนร่างสูงขบกัดยอดอกเต็มแรงนั่นละ

“เสียงเพราะจังเลยนะ ชอบล่ะสิ”

ที่จริง เขาก็แค่พูดประชดหวังให้อีกฝ่ายได้แต่เจ็บใจโดยที่ต่อต้านไม่ได้ แต่ไม่ได้รู้จริงๆหรอกว่าตัวเองกำลังพูดแทงใจเด็กหนุ่ม เพราะฉะนั้น ตอนที่เห็นเดียร์หน้าซีดขมวดคิ้วใส่เขาจึงเข้าใจไปว่า อีกฝ่ายคิดค้านสิ่งที่ตนพูด แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะโต้แย้งได้ เพราะเจ็บปวดจากแรงบีบแขน อีกทั้งยังคงอับอายที่โดนย่ำยีถึงเพียงนี้ แค่นั้นไม่พอ ยังโดนมือที่ยังว่างของตนเล้าโลม คงไม่อยู่ในอารมณ์จะเถียงเท่าไหร่นักหรอก

“ใคร…ใครชอบกัน…พูด…อะไรของคุณ…” ส่วนหนึ่งก็กลัวเหลือเกิน ว่าจะเก็บเสียงกระสันเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ตื่นเต้นเหลือเกิน หากสิทธิ์รู้ความจริงแล้วทำหน้าขยะแขยงแสลงใจแล้วด่าทอเสียๆหาย มันคงจะดีน่าดู...อ๊า…แต่ถ้าเป็นงั้นจริง เดี๋ยวหลังจากนี้คุณสิทธิ์คงหนีหายไปเลยน่ะสิ ไม่เอาหรอก…แต่ก็อยากเห็นจังเลย...ว่าคุณสิทธิ์จะทำหน้ารังเกียจใส่แบบไหนกันหนอ… “ไอ้คน…โรคจิต…”

“เฮอะพูดไม่ดูตัวเองเลยนะ ดูสิ โดนขนาดนี้ยังมีอารมณ์กับคนโรคจิตอย่างฉันอีก แบบนี้เธอเองก็โรคจิตไม่ต่างจากฉันน่ะสิ”

เอาจริงๆ ผมอยากเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่านะ เพราะผมน่ะเป็นอยู่แล้ว นี่ถ้าไม่รู้จักมาก่อน ผมนึกว่าคุณเป็นพวกซาดิสม์ตัวพ่อไปแล้วล่ะ เล่นซะมาโซฯอย่างผมใจระส่ำหมดแล้ว

“ฮึก” เสียงหวานสะอื้นไห้ด้วยความเปี่ยมสุข แต่คนมองเข้าใจเป็นอย่างที่น่าจะเป็น

สิทธิ์เหยียดยิ้มกว้าง การได้เห็นร่างบางตรงหน้าสั่นระริก ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว(ชวนให้เข้าใจว่า)เพราะเจ็บปวดเจียนตาย และดวงตากลมที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำใสนั้นทำเอาหัวใจเต้นรัว

ถ้าไอ้วินมาเห็นสภาพน้องชายมันในตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ คงตกใจจนเป็นบ้าไปเลยแน่ๆ

ชายหนุ่มล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดปุ่มเปิดหวังจะถ่ายรูปไว้ และเมื่อเดียร์เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร เขาก็พยายามดิ้นหนีสุดแรง

“จะไปไหนล่ะ ยังไม่ได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก่อนเอากันเลยนะ” สิทธิ์เอ่ยเสียงนิ่มพร้อมกับกระชากร่างที่พยายามขืนหนีเข้ามาหาจนแนบอก “เอา ยิ้มหน่อยสิ เดี๋ยวฉันจะถ่ายให้สวยเลย”

โอ้วว นี่จะข่มขู่กันด้วยรูปถ่ายใช่ไหมครับ จะแบล็คเมล์ผมด้วยรูปหน้าอายแล้วสินะครับ เอาเลยครับ แต่ผมว่า แค่นี้มันดูน้อยไปหน่อยนะ คุณน่าจะทุบตีกรีดเล็บให้ทั่วร่างผม แล้วก็ถอดกางเกงผมให้หมดจดก่อนก็ดีนะ หรือถ้าให้ดี ย่ำยีจนเสร็จกิจเลยก็ได้ เดี๋ยวผมจะพยายามบีบน้ำตาทำหน้าละห้อยเหมือนลูกหมาน้อยที่กำลังจะโดนส่งเข้าโรงเชือดเอง แล้วจากนั้นคุณก็จะคอยขู่ให้ผมทำตามที่คุณสั่งใช่ไหม คุณจะสั่งให้ผมทำเรื่องน่าอาย ชวนให้ทรมานใจอะไรแบบนี้ใช่ไหม จัดมาเลย! เร็วๆ!

“คุณสิทธิ์ครับๆๆ”

สาดดดดดดดดดดดดดดดดด มันจะมีอุปสรรคขวากหนามอะไรนักหนาวะ!!!!

เดียร์เกือบชักสีหน้าไปแล้ว ยังดีที่ใบหน้าตื่นตระหนกของสิทธิ์ช่วยให้เขาได้สติเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงออกอาการเพียงแค่ตกใจ เผยอยิ้มบางและถอนใจเหมือนคนโล่งอก แม้ใจจริงจะอยากกู่ร้องให้ก้องโลกเพื่อระบายความหงุดหงิดที่ต้องอัดอั้นความในใจอยู่เช่นนี้ ไอ้ความรุนแรงที่ได้รับก็ได้แต่แบบครึ่งๆกลางๆ ไม่สะใจเอาเสียเลย

ทีแรกสิทธิ์ก็ไม่อยากจะสนใจ แต่เล่นเคาะระรัวจนน่ารำคาญ และเขาก็กลัวอีกฝ่ายจะทนไม่ได้จนพังเข้ามาจริงๆเขาจึงจัดการพันธนาการเดียร์ไว้กับเตียง แล้วลุกขึ้นไปกระชากประตู

“อะไร” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความหงุดหงิดที่โดนขัดไม่เลิก เขามองเด็กหนุ่มหน้าหวานที่มีสีหน้าเหมือนเพิ่งเห็นผีมาก็ไม่ปาน

เนรู้สึกหนาวดึ๋งถึงเครื่องใน เขารับรู้ถึงแรงกดดันอำมหิตที่ทิ่มแทงเข้ามา ดวงตาเรียวไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเจ้านาย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธสุดๆที่เข้ามาขัดจัดหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม

แต่หากเขามองลอดเข้ามาในห้องก็จะได้เห็นเจ้าของรังสีอำมหิตตัวจริงที่กำลังจ้องจะกินเลือดกินเนื้อเขาอยู่บนเตียง

เนสำรวจสภาพของเจ้านายอย่างรวดเร็ว โชคยังดีที่ท่าทางจะยังไม่ถึงตอนเผด็จศึกเขาจึงเมินอารมณ์แรงของอีกฝ่ายแล้วลากคนตัวใหญ่กว่าออกมาจากห้องด้วยความไวก่อนที่สิทธิ์จะตั้งตัวทัน

“อะไรของนายวะ” เจ้าบ้านชักหมดความอดทนแต่ก็ยังมีสติพอที่จะไม่โวยวาย

แต่สีหน้าของเนทำเอาแรงโกรธของสิทธิ์ดับวูบและออกอาการกังวลตาม

“คุณสิทธิ์รู้ตัวหรือเปล่าครับ ว่าคุณเกือบพลาดไปตลอดทั้งชีวิตแล้วนะ” ไม่ใช่เพียงสีหน้า แต่น้ำเสียงยังหวาดหวั่นเคร่งเครียดเสียยิ่งกว่าราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสียอย่างนั้น “แค่ขู่ ไม่เห็นต้องข่มขืนเลยนี่”

“…แต่ นั่นเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดนี่ รับรองว่าหมอนั่นต้องไม่กล้าขัดขืนฉันแน่”

“แต่หมอนั่นเป็นผู้ชายนะครับ ผู้ชาย!!!ผู้ชายยยยย”

เน้นหนักเสียจนก้องที่ยืนเช็ดพื้นอยู่ที่ครัวขำพรืด

สิทธิ์สะดุ้งโหยงเมื่อเนตบไหล่ทั้งสองและบีบเสียแน่น ดวงตาเรียวที่จ้องมองมา จริงจังและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

“เอ่อ…ก็แค่ขึ้นเตียงครั้งเดียว มันไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็เหมือนๆกับนอนกับผู้หญิงนั่นแหละ…”

“ไม่เหมือน!!!ไม่เหมือนเด็ดขาดครับ!!” เนค้านเสียงแข็ง “ลองเผลอไปสักที รับรองว่ากู่ไม่กลับ โงหัวไม่ขึ้นแน่นอนครับ”

“…ทำไมนายถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะ ไปรู้อะไรมาหรือไง”

คิดอยู่สามวิ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงน่ากลัวเหมือนเดิม “ตัวอย่างมันก็มีให้เห็นเยอะแยะไม่ใช่หรือไงครับ…ด…ดูอย่างพี่ก้องสิครับ!”

คนโดนพาดพิงที่ยืนฟังไปทำงานไปถึงกับกระตุก

“พี่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่าทีแรกเขาก็เป็นมนุษย์เพศชายเฉกเช่นปุถุชนทั่วไปนั่นล่ะครับ แต่เมื่อได้ลองกับผู้ชายด้วยกันเท่านั้นละครับ ติดใจจนกู่ไม่กลับเลยทีเดียว จนวันๆใฝ่แต่ผู้ชาย กลับมาหาผู้หญิงไม่ได้อีกต่อไปเลยนะครับ”

ก้องฟังแล้วอยากจะวิ่งไปเตะเจ้าคนเล่า…ไอ้ตอแหลเอ๊ย! ฉันเป็นแบบนี้ของฉันมานานแล้วโว้ย แล้วฉันเคยไปเล่าเรื่องบ้าบอพรรค์นั้นให้แกฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ!แล้วที่แกแถๆออกมานั่นน่ะ แค่อยากจะพูดกล่อมคุณสิทธิ์ หรือเอาเรื่องจริงของใครมาพูดหรือเปล่าวะ น้ำเสียงมีน้ำหนักชอบกล อย่างกับคนมีประสบการณ์จริงเลยว่ะ

“ง…งั้นจะทำยังไงกันดีล่ะ” ดูท่าจะได้ผลจัด สิทธิ์ถึงกับหน้าซีดเป็นกระดาษเลยทีเดียว

“ก็เอาอะไรก็ได้ที่เป็นของสำคัญของเขา…เขาทำงานที่ร้านดอกไม้นั่นตั้งสามปีแล้วนี่ครับ น่าจะผูกพันกันพอสมควร เราก็บอกไปสิครับ ว่าถ้าไม่ทำตาม จะพังร้านนั่น…หรือไม่ก็ทำร้ายเจ้าของร้านก็ได้”

“หา ฉันว่าไม่ดีมั้ง”

“ก็ไม่ได้ทำจริงๆหรอกครับ แค่ขู่ไง” เนร้องอย่างเหนื่อยใจ ทีแบบนี้คิดว่าไม่ดี ทั้งๆที่น่าจะคิดว่าไอ้เรื่องเอาเดียร์มาเอี่ยวด้วยมันเป็นเรื่องไม่ดีพอๆกัน “คุณสิทธิ์ก็ลองทำหน้าโหดๆเสียงเหี้ยมๆหน่อย เขาจะได้เชื่อง่ายๆไง เห็นไหม ไม่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวอะไรสักนิด จริงไหมละครับ”

สิทธิ์เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะแน่ใจนักก่อนจะพยักหน้า “ก็จริง…ของนายนะ เออว่ะ ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ ฮะๆๆๆๆ ขอบใจนายมากเลยนะ นี่ฉันเกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไปซะแล้วนะเนี่ย”

“ฮะๆๆๆ ดีแล้วละครับ”

ทั้งเจ้านายลูกน้องหัวเราะเกินเหตุกันเสียจนชวนขนลุก

“ถ้างั้นฉันขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน…ไม่มีอย่างว่าแน่ ฉันเองก็ไม่ได้อยากมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันอยู่แล้ว ถึงจะสวยเหมือนผู้หญิงแค่ไหนก็เหอะ” สิทธิ์เอ่ยทิ้งท้าย แล้วเดินขึ้นบันไดด้วยก้าวย่างที่มั่นคง แต่ไม่ช่วยให้ลูกน้องมั่นใจเท่าไหร่นัก

 

คนบนเตียงเบิกตาเมื่อเห็นร่างสูงที่อยู่ในอารมณ์นิ่งกว่าก่อนหน้านั้น ดวงตากลมเต็มไปด้วยความสงสัย…และตื่นเต้นสุดขีด ว่าต่อจากนี้สิทธิ์จะทำอะไรต่อ

“…ปล่อยผมนะ” ตื่นเต้นจนลืมร้องโวยวายกันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนสิทธิ์จะไม่ได้เอะใจเลยสักนิด คนโดนจับบ้าอะไร ไม่ร้องขอความช่วยเหลือตอนที่อยู่คนเดียวสักแอะ

สิทธิ์กลืนน้ำลาย ถึงปากจะพูดไว้แบบนั้น แต่พอเห็นผิวขาวเนียนชวนให้เข้าใจผิดอารมณ์ที่โดนกล่อมให้สงบมันก็เริ่มวกกลับเข้ามาอีก จนต้องท่องบทสวดทุกบทที่นึกออกหวังช่วยให้ใจสงบลงได้

“ก็ได้” ตอบง่ายจนเดียร์กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่ใบหน้ายิ้มพรายนั้นช่วยให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง “ไว้คราวหน้าเราค่อยมาสนุกแบบนี้กันใหม่ดีกว่านะ”

วันไหน…เอ๊ย “พูดบ้าอะไรของคุณ ใครจะอยากมาเจอหน้าคุณอีกกัน”

“เธอต้องอยากแน่” สิทธิ์พูดด้วยท่าทีเหนือกว่า “เธอคงไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะเธอหรอก…ใช่ไหม”

อืม นั่นก็ใช่อยู่หรอก เพราะผมคงทนไม่ได้ ถ้าต้องเห็นใครได้ความทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปมากกว่าผม ความเจ็บปวดต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น~~

“คุณคิดจะทำอะไร” น้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความกังวล…แน่นอนว่าไม่ได้กลัวเรื่องที่คนอื่นจะเดือดร้อนเพราะตัวเองซักนิด

“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก…” สิทธิ์ทำเป็นอมพะนำหวังให้อีกฝ่ายทรมานเพราะความอยากรู้ “เจ้าของร้านดอกไม้คนนั้นน่ะ…รู้สึกว่าจะสนิทกับเธอน่าดูนี่ ใช่ไหม”

ดวงตากลมเบิกโพลงราวกับจะหลุดจากเบ้า นั่นยิ่งทำให้คนพูดรู้สึกพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จี้ถูกจุดของอีกฝ่าย…เพียงแต่เขาไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงก็เท่านั้น

“ไม่นะ” เสียงร้องโหยหวนมาก จนชวนให้เข้าใจได้อย่างเดียวว่า ไม่อยากให้น้อยต้องเดือดร้อนเพราะตน “ผมจะยอมทำตามที่คุณว่าทุกอย่าง แต่อย่าทำอะไรพี่น้อยเลยนะ”

แต่ถึงคุณไม่ขู่ ผมก็รอต้อนรับให้คุณมาตบตีผมถึงห้องอยู่แล้ว

“ก็ดี”

ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าถ้ากักขังอีกฝ่ายไว้นานๆ เจ้าของร้านดอกไม้จะไปแจ้งความคนหายนี่ล่ะ

“อ๊ะ”

“เอาไว้เป็นที่ระลึก และจะได้แน่ใจว่าเธอจะทำตามที่พูดไว้จริงๆ” สิทธิ์เก็บมือถือกลับ หลังจากถ่ายรูปเรือนร่างของเดียร์เสร็จ “เธอคงไม่อยากให้รูปนี้ไปถึงพี่ชายเธอหรอก ใช่ไหม”

ที่ทำเนี่ย ไม่ได้ถ่ายเพราะอยากเก็บไว้ดูอะไรเป็นการส่วนตัวหรอก แค่เผื่ออีกฝ่ายนึกกลัวจนไม่สนน้อยก็เท่านั้นเอง

“ถ้าพี่วินเห็น เขาไม่อยู่เฉยแน่” ที่พูดเนี่ย ไม่ได้ขู่หรอกนะ แค่พูดตามความจริงเท่านั้นละ ขนาดแค่จับมือ พี่วินยังเตะส่งโรงพยาบาลมานักต่อนักเลย

“ก็เอาสิ คิดว่าฉันจะอยู่เฉยๆรอให้มันมาทำอะไรฉันหรือไง” ร่างสูงแค่นเสียงหัวเราะใส่ มั่นใจมากว่าถ้าต้องประมือกันจริงๆ ตัวเองต้องเป็นฝ่ายมีชัยแน่ๆ ทั้งที่สมถภาพและรูปร่างต่างสูสีกันจนยากจะบอกว่าใครเก่งกว่ากัน “แต่รูปสวยๆแบบนี้ ฉันคงไม่คิดจะแบ่งให้ไอ้วินดูคนเดียวหรอก”

“อย่านะ!” เอาจริงๆ ผมก็ไม่แคร์หรอกนะ กับไอ้แค่รูปถ่ายในตอนวาบหวิวของตัวเองน่ะ ดูแล้วไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน ท่อนล่างก็ยังมีบ๊อกเซอร์ใส่อยู่เลย หรือต่อให้นู้ดเต็มตัวก็เท่านั้น แต่เอาเถอะ ก็ต้องทำมึนเล่นไปตามเกมหน่อย

จริงๆถ่ายแค่รูปเดียวก็น่าจะพอแล้วแต่กันเหนียวไว้เขาจึงถ่ายรูปเพิ่มอีกสองสามใบ และดูท่าทางจะรู้ตัวว่ารูปที่ถ่ายไปก่อนหน้านั้นมันดูอ่อนเกินกว่าจะนำมาใช้ข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัวอย่างจริงจัง เลยทำการเปลือยร่างคนบนเตียงจนหมดจด

“…”

ทีแรกสิทธิ์คิดว่าต่อให้เห็นเต็มตาขนาดไหนเขาก็ไม่มีทางรู้สึกอะไรเป็นแน่ แต่พอเห็นร่างบางขาวนวลชวนให้มองหัวใจมันก็เต้นรัวจนรู้สึกแน่นอก ยิ่งเลื่อนมองเบื้องล่างที่เหมือนกับของตน…แถมดูไปดูมาเกือบจะเท่าของตนด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีความรู้สึกรังเกียจขยะแขยงแสลงใจอะไรเลยสักนิด ยังจะรู้สึกกลับกันเสียมากกว่า

เดียร์รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาแทน ก็ถ้าพ่อคุณหมีจะจ้องกันด้วยสายตาตื่นตะลึงและเป็นประกายขนาดนั้น มันพอจะทำให้เขาเดาได้ว่าสิทธิ์กำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้

“ไม่ม่ายยยพอซักที!! อย่ามองผมนะ” อย่าเอาสายตาปิ๊งปั๊งเหมือนเห็นของรักมามองผมแบบนั้นนะ!! อย่าแผ่ออร่าสีชมพูใส่ผม มันทำให้ผมขนลุกชูชันไปหมดแล้ว!

เสียงกรีดร้องทำเอาชายหนุ่มได้สติ เขากลับมาตีหน้าเหี้ยมและฉีกยิ้มกว้าง…จากนั้นก็เอาผ้าแถวนั้นมาปิดร่างอีกฝ่ายเพราะกลัวใจตัวเองจะเตลิดเปิดเปิงไปในทางที่ไม่อยากให้ไปถึง

“แค่ดูเองไม่สึกหรอหรอก” สิทธิ์ว่าโดยพยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้เอื้อมไปลองลูบผิวขาวเนียนนั้น ไม่งั้นได้หน้ามืดอีกแน่ “ทำตัวดีๆก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่ความลับของเราสองนะ”

เสียงขู่นั่นทำให้น้ำตาหยุดไหล…ด้วยความโล่งอกที่อีกฝ่ายกลับมาใจร้ายใส่เหมือนเดิม เดียร์รีบพยักหน้าหงึกๆ โดยยังหวั่นไม่หายกลัวหมีดุจะกลายเป็นเท็ดดี้แบร์ นั่นน่ากลัวเหมือนกับเห็นเฟรดดี้ครูเกอร์โผล่ออกมาจากใต้เตียงก็ไม่ปาน

“ดีแล้วอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นแล้วลูบใบหน้าหวาน “ไม่อย่างนั้นเธอได้เสียใจแน่”

ถึงจะเสียดายเมื่อตอนขึ้นเตียงก่อนหน้านี้ไปหน่อย แต่โดนแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ เอาเถอะ ผมจะรออย่างลุ้นระทึกก็แล้วกัน ว่าคุณจะเอาความเจ็บปวดแบบไหนมาประเคนผม…อา…คิดแล้วมันชวนให้ตื่นเต้นจนหยุดสั่นไม่ได้จริงๆ…อย่าทำให้ผมผิดหวังนะครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียใจหนักกว่าผมแน่

_____________________________________________

ยังๆ =[]=!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 02-07-2013 22:58:08
ตลกเดียร์อ่ะ. เมื่อไหร่จะพบเจอความโหดให้สมใจเดียร์นะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 02-07-2013 23:15:40
จะสงสารเดียร์ดีมั๊ยเนี่ยโดนขัดตลอดเลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 02-07-2013 23:45:41
เดียร์น่าสงสาร ค้างมาหลายรอบแระ :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 03-07-2013 01:41:35
นึกว่าจะเสร็จซะละ สิทธิ์น่ะนะ ไม่ใช่เดียร์ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: whipcream ที่ 03-07-2013 02:26:19
เดียร์ค้างงงงงงงตลอดๆ 555
ค้างยิ่งกว่าคนอ่าน น่าเห็นใจพ่อหนุ่มSMจุงเบย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Thyme103 ที่ 03-07-2013 13:33:12
 :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 03-07-2013 16:46:39
น่าสงสารจริงๆเบยยยยยยย โดนขัดจังหวะตล้อดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 03-07-2013 19:56:20
555+ เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ขนาดเกือบเท่ากันเลยเหรอค๊า....แบบนี้ก็ผลัดกันจิ้มได้อ่ะดิ  อิอิ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 03-07-2013 20:50:03
55555+.... ป่วงดีอ่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 12 (2/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2013 14:24:24
ไม่รู้จะสงสารใครดีระหว่างสิทธิ์กับเดียร์ :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 13 (11/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 11-07-2013 19:37:07
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 13

“ไงจ๊ะ ไปเที่ยวมาเป็นไงบ้าง”

ทันทีที่พนักงานหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน น้อยก็รีบปรี่เข้าไปถามและจับมือไว้แน่นเหมือนกลัวอีกฝ่ายจะชิ่งหนีไม่ยอมตอบ

สีหน้าของคนโดนซักดูจะอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงหวาน “ก็ดีนะครับ”

“ฮั่นแน่ ท่าทางรอบนี้จะโดนใจเดียร์น่าดูเลยล่ะสิ”

เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้ง “ทำไมพี่น้อยคิดแบบนั้นล่ะครับ ก็เหมือนๆเดิมนั่นล่ะ”

“แหม คิดหรือว่าจะปิดพี่ได้ ไม่มีทางซะหรอก” เธอหยิกต้นแขนบางด้วยความหมั่นเขี้ยว “ที่ผ่านมาน่ะ เธอจะตอบเสียงนิ่งๆ ทำหน้ายิ้มฝืนๆ แต่รอบนี้เสียงเธอระรื่นเชียวนะ แถมยังหุบยิ้มไม่อยู่อีก แสดงว่าเธอต้องชอบคุณสิทธิ์เขาน่าดูน่ะสิ”

เขาก็พยายามเก๊กนิ่งแล้วนะ แต่ใบหน้ามันดันแดงฉ่าขึ้นมาจนปิดไม่อยู่นี่น่ะสิ

“ไม่ต้องปิดพี่หรอก พี่รู้ พี่รับรองว่าพี่จะไม่บอกพี่เธอแน่ว่ากำลังเลิฟๆอยู่กับคุณสิทธิ์” ส่วนหนึ่ง เดียร์เข้าใจว่าเพราะเจ๊เขาอยากเห็นอาหารตา แต่อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะวินเคยสำแดงเดชให้ประจักษ์มาแล้ว เล่นเอาเธออกสั่นขวัญแขวนไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว “เพราะฉะนั้น สบายใจหายห่วงได้เลยจ๊ะ”

เดียร์พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวเข้าไปเก็บกระเป๋าในห้องด้านใน ดวงตากลมเต็มไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ มือเล็กยกขึ้นลูบพวงแก้มแดงหวังช่วยคลายความร้อนรุ่มที่รุมเร้าจนเวียนหัว

ก็นานแล้วที่ไม่ได้เจอความรุนแรงถึงใจขนาดนี้ จะให้เก็บอารมณ์อยู่ได้ยังไงกัน อ๊า~~

พอสงบอารมณ์ของตนได้ เดียร์ก็เดินกลับออกมาหวังจะทำงานของวันนี้ต่อ…

“เดียร์!”

ซะเมื่อไหร่กัน เขาก็คาดไว้แล้วละว่าอีกฝ่ายต้องมาหาทันที แต่ไม่คิดว่าจะมาตั้งแต่แปดโมงครึ่งนี่ล่ะ

“พี่วิน” เดียร์พยายามทำสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลัวเหลือเกิน ว่าจะเผลอหงุดหงิดใส่เจ้าพี่แสนดีคนนี้ “มีอะไรหรือครับ”

พอได้ยินคำถาม ชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนกับจะเป็นลม แต่คนที่อยู่ข้างหลังก็รอรับไว้อยู่แล้วหากวินจะเป็นลมใส่จริงๆ หนุ่มแว่นมองน้องชายด้วยความประหลาดใจ คำถามที่อัดอั้นอยู่ในหัวกลับไม่ออกมาอย่างที่ตั้งใจไว้ ยิ่งเห็นสีหน้าสงสัยไร้ความวิตกใดๆของเดียร์ วินก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

“…เมื่ออาทิตย์ก่อนไปไหนมาเหรอ พี่โทรหาเดียร์ไม่ติดเลย”

“ไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะครับ” ยิ้มแป้นสดใสและเบิกบานจนละลายสิ่งที่หนุ่มแว่นปักใจเชื่อไปเสียสิ้น “ทำไมเหรอครับ”

ถามจบก็มองข้ามไหล่พี่ชาย เด็กหนุ่มเห็นชาหน้าบึ้งมาแต่ไกล ท่าทางเหมือนอยากจะประกาศความจริงเต็มที่ แต่เดียร์ก็รู้ว่าคงไม่ทำหรอก ไม่อย่างนั้นก็คงเข้าแผนธานิทร์สิ

“เอ่อ…” ทีแรกคิดว่าจะได้ฟังเรื่องตามที่ตนเข้าใจ แล้วจะโวยวายหาเรื่องเอาตัวเดียร์ไปซ่อนให้พ้นจากสิทธิ์แท้ๆ แต่พอเจออย่างนี้จึงทำได้แต่อ้ำอึ้งไปไม่ถูกทางเลยทีเดียว “พะ…พี่เป็นห่วงน่ะ เห็นเดียร์ไม่ติดต่อมาเลย แล้วพี่ก็ติดต่อไม่ได้ด้วย”

“อ๋อ พอดีผมลืมชาร์ตแบตมือถือ แล้วลืมเอาที่ชาร์ตไปด้วย แบตหมดตั้งแต่วันแรกที่ไปเที่ยวน่ะครับ ผมขอโทษพี่จริงๆนะ ที่ทำให้เป็นห่วง”

ตอแหลมากเลยนะครับ แล้วไอ้ข้อความวันก่อนที่ผมได้รับมันคืออะไรกันละ

ชาก็ได้แต่นึกด่าหนุ่มน้อยอยู่ในใจ แม้อยากเถียงใจจะขาด

“ขอโทษที่ขัดนะครับ แต่ไม่มีเวลาแล้ว” ลูกน้องหน้านิ่งเอ่ยขัดพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนัง

วินออกอาการเหมือนอยากจะกระทืบคนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มลาให้เดียร์อย่างโศกาอาดูร “งั้นพี่ไปก่อนนะ ช่วงนี้พี่คงมาหาไม่ได้ แต่จะส่งคนมาหาเธอแทนละกัน”

ไม่เอาโว้ย ถ้าเอามาผมจะหาเรื่องให้โดนตำรวจซิวเหมือนพี่ดรอีกคนเลยนะ อย่าขัดขวางเส้นทางหนามกุหลาบของผมนักเลย ผมอยากโดนตบตีด่าทอล้อเลียนเสียดสีให้ชอกช้ำทั้งกายใจจะแย่อยู่แล้ว

“ครับ ผมว่าพี่เป็นห่วงตัวเองดีกว่านะ ดูท่าทางพี่เหนื่อยๆ ขอบตาก็คล้ำเชียว” เดียร์เอ่ยคำเป็นห่วงหวังจะช่วยให้พี่ชายนึกถึงตัวเองบ้าง และก็ลืมๆเรื่องน้องชายคนนี้ไปบ้าง “ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ”

ถ้าจะเป็นก็เพราะพี่มาขัดขวางผมนี่ล่ะ

“ลาก่อนนะครับคุณเดียร์ แล้วเจอกันใหม่เร็วๆนี้”

วินก็ได้แต่ยัวะตามปกติที่โดนชาชิงลาเดียร์ก่อน แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่า ชาพูดด้วยเหตุผลอะไร

“เห็นแล้วสงสารคุณชาจังเลยนะ ถึงพี่จะไม่ค่อยเห็น แต่เขาโดนคุณวินใช้กำลังบ่อยๆแน่เลย พี่เคยเห็นหน้าเขาช้ำบ่อยมากเลยนะ ดูสิ หน้าตาดีๆเสียหมด”

“ก็เขาเป็นคนคุ้มกันพี่วินนี่นา ช่วงนี้พี่วินโดนเพ่งเล็งเยอะจะตาย อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้” เดียร์ก็ไม่ได้อยากแก้ต่างให้วินนักหรอก เพราะการแสดงออกมันก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้ว แต่เพราะอยากปิดความลับของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่างหาก “พี่น้อยไม่ต้องสนใจหรอกครับ ผมว่ารีบทำงานดีกว่า…นะ”

เจ้าของร้านแบะปากค้าน แต่ก็ยอมทำตามอย่างเสียมิได้ ทำเอาเดียร์ชักไม่แน่ใจว่าตกลงใครเป็นเจ้าของร้านกันแน่

เด็กหนุ่มหันมองไปนอกร้านอย่างพิจารณา เขากวาดสายตาไปจนทั่ว และก็เจอพิรุธอย่างที่คาดไว้

“มีอะไรหรือเดียร์” น้อยทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเอาแต่จ้องออกไปด้านนอก

“แค่กำลังคิดว่า อากาศไม่ค่อยจะดีเลยน่ะครับ กลัวฝนจะตก เดี๋ยวไปส่งดอกไม้ลำบาก” เขายิ้มหวาน “วันนี้ต้องไปส่งหลายที่ด้วยนี่”

“อ๊ะ นั่นสิ อย่าตกเลยก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่คงต้องขอตาหนูช่วยด้วยแน่ๆ รอบก่อนก็เกือบไปส่งไม่ทันแล้ว” น้อยเอ่ยเสียงตื่น “งั้นเดี๋ยวเดียร์จัดการตามออเดอร์นี้ทีนะ ของอยู่ในตู้แล้ว”

“ได้เลยครับ” ว่าจบก็จัดการนำของตามรายการออกมาทันที พอเตรียมตัวเสร็จก็เดินออกไปจากร้านไปยังรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ข้างร้าน

ดวงตากลมเหลือบมองไปยังตึกฝั่งตรงข้ามซึ่งด้านนั้นเป็นร้านกาแฟ แล้วยิ้มที่มุมปาก

แค่นั้นหยุดผมไม่ได้หรอกครับ คุณชา

 

“คุณวัฒน์ครับๆ…คุณวัฒน์”

เจ้าของชื่อเพียงแต่หันไปมองชายร่างท้วมด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิทจนดูสยองขวัญ คนเรียกยืนอึกอักอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงานของรองประธานครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ

“คุณสิทธิ์ล็อกห้องครับ ผมเคาะเท่าไหร่ก็ไม่เปิด…”

ลุกพรวดและวิ่งด้วยความไวแสง รวมทั้งเนที่อยู่ในห้องด้วย

ทันทีที่รองประธานบริษัทโผล่ออกมา เหล่าบรรดาพนักงานที่พากันยืนมุงอยู่หน้าห้องประธานก็รีบหนีกลับโต๊ะกันทันที วัฒน์ตรงเข้าไปบิดลูกประตูและได้ผลอย่างที่ฟังมา

“คุณสิทธิ์ ได้ยินไหมครับ คุณสิทธิ์” หนุ่มใหญ่เคาะประตู “คุณสิทธิ์…”

“คุณสิทธิ์ครับ! ผมเนเองครับ!” เนตะโกนลั่นเมื่อเห็นคนในห้องไม่ยอมเปิดสักที เล่นเอาคนข้างหน้าสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว “เปิดประตูเถอะครับ”

ถึงหนุ่มใหญ่จะอยากหันไปด่าสักห้าชุด แต่เพราะผลลัพธ์ดันออกมาดี เขาเลยปล่อยผ่านไป

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าของห้องทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวจนคนมองได้แต่เลิกคิ้ว แต่ความกลัดกลุ้มที่ยังเจืออยู่บนใบหน้าของสิทธิ์ก็ทำให้พอจะเดาได้

“ขอเข้าไปคุยด้านในได้หรือเปล่า” วัฒน์ถามเมื่อเห็นเจ้านายเอาแต่ยืนบังประตู พอโดนทัก ชายหนุ่มจึงรีบถอยเข้าไป เพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

“คุณสิทธิ์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตั้งแต่กลับมาจากกระบี่ คุณสิทธิ์เอาแต่ถอนหายใจ นั่งเหม่อลอยเป็นพักๆ กินข้าวเหลือ ทำเหมือนกับคิดไม่ตก เพราะเรื่องเด็กคนนั้นใช่ไหม” เนโพล่งขึ้นก่อนที่ผู้อาวุโสจะได้อ้าปาก

สิทธิ์ทำหน้าเหวอเหมือนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ ก่อนจะออกอาการอึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก แต่พอหลุดจากปากเท่านั้นล่ะ อย่างกับเขื่อนแตก

“ถ้าเกิดเดียร์เขาหนีไป หรือเขาไปเล่าความจริงให้ไอ้ผีแว่นนั่น หรือเขาไปแจ้งความ ไปบอกคนอื่น บอกว่าผมโรคจิตวิปริตที่จะพยายามข่มขืนเขา แล้วผมจะทำยังไงดีครับ แล้วถ้าเกิดเป็นข่าว โดนซักทอดสืบสวน แล้วเกิดผม หรือก้อง หรือเน หรืออาวัฒน์หลุดปากไป แล้วผมจะโดนประณามเป็นไอ้ชาติชั่วที่หน้ามืดตามัวไปเอาผู้ชายด้วยกันทำเมียหรือเปล่าครับ…”

ประโยคที่แวบเข้ามาในหัวของลูกน้องทั้งสองคือ ‘ถ้าจะกังวลขนาดนั้น แล้วจะทำไปทำไมกันเล่า อุตส่าห์ห้ามจนปากเปียกปากแฉะแล้วแท้ๆ’

“เอ่อ ใจเย็นๆก่อนครับ” วัฒน์รีบปรามก่อนที่เจ้านายจะจิตตกไปมากกว่านี้ “เมื่อเช้าก่อนมาทำงาน คุณสิทธิ์ก็ตามไปดูจนแน่ใจแล้วนี่ครับว่าเขาจะไม่บอกใคร ถ้ากังวลนัก เดี๋ยวผมจะใช้คนไปตามประกบเขาเลยดีไหม”

แต่อันที่จริงก็ทำไปนานแล้วน่ะนะ อย่างน้อยก็ต้องกันเหนียวไว้ก่อน

สิทธิ์ยังคงเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะส่ายหน้าให้ “ไม่ต้องดีกว่าครับ…” แต่ก็ยังคงกังวลอยู่ “ผมคิดว่าไม่น่าจะต้องทำถึงขนาดนั้น…” แต่กระนั้นก็ยังกังวลไม่เลิก “…มันคงจะไม่มีอะไรหรอกมั้งครับ…” แต่คิ้วก็ยังมุ่นเข้าหาจนเป็นเส้นเดียวกัน “ผมคงวิตกไปเอง…”

“ใช่ครับ วิตกไปเอง เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงครับ อย่าไปสนใจเลย มันไม่มีทางเป็นอย่างที่คุณสิทธิ์กังวลแน่นอนครับ ผมสัญญา” ก่อนที่สิทธิ์จะกังวลไปมากกว่านี้ วัฒน์ก็รีบให้กำลังใจอย่างรวดเร็ว และยังหันไปหาเนราวกับต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเสริมด้วย

“ใช่ครับ ก็คุณสิทธิ์มีรูปน่าอายของเด็กคนนั้นอยู่นี่ครับ แถมยังส่งมาให้ผมกันมือถือคุณหายด้วย” เนกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ “เพราะงั้นอย่าห่วงเลยครับ เขาไม่กล้าไปบอกใครหรอกครับ น่าอายจะตาย ใครที่ไหนจะกล้าเปิดปากพูดกัน มันเป็นความอัปยศที่ไม่มีทางลบเลือนได้ตลอดชีวิตกันเลยนะครับ แบบนั้น ยอมโดดตึกตายเสียดีกว่า”

พูดได้มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากจนคนวิตกจริตเริ่มมีกำลังใจ…แต่ก็แค่สามวินาที

“ละ…แล้วถ้าเกิดเขาคิดมากจนฆ่าตัวตาย แล้วฉันจะทำไงดีล่ะ”

คราวนี้กังวลทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง เพราะนึกตามแล้วมันก็เป็นไปได้อยู่

“ตะ…แต่ใช่ว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆนะครับ ฆ่าตัวตายมันใช่ว่าจะทำกันง่ายๆนี่ จริงไหมล่ะครับ เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ” เนรัวใส่ก่อนที่เรื่องจะแย่ไปมากกว่านี้ ทั้งกับสิทธิ์และตนเอง เพราะวัฒน์จ้องเขาตาขวางตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว “อีกอย่าง ท่าทางของเขาก็ดูเป็นคนขยัน สู้ชีวิตออกขนาดนั้น โดนแค่นี้ไม่มีทางทิ้งชีวิตตัวเองง่ายๆหรอกครับ ไหนเขาเองก็ยังมีคุ…พี่ชายเขาด้วย…”

“แต่ก็ยังมีโอกาสเกิด…”

กู่ไม่กลับแล้วตอนนี้

ปัง

วัฒน์และเนพากันสะดุ้งเมื่ออยู่ๆสิทธิ์ก็ทุบโต๊ะเสียงดัง แต่พอได้เห็นสีหน้าเจ้านายกลับมาสดใสขึ้นก็พากันใจชื้น แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เมื่อเห็นสิทธิ์ลงไปรื้อของในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เซ็นเอกสารที่วัฒน์ไม่อยากเห็นที่สุด

“ผมฝากอาวัฒน์ละกัน เดี๋ยวชื่อพยานก็ให้เน กับใครอีกคนก็แล้วกัน” สิทธิ์ยื่นใบมอบอำนาจของประธานบริษัทมาให้ “เรื่องเดียร์ ผมจะไปจัดการเอง”

“เดี๋ยวสิครับ!” หนุ่มใหญ่รั้งเสียงตื่นก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งออกจากห้อง “ผมว่ามันไม่ดีหรอกมั้งครับ คุณสิทธิ์ช่วยคิดให้ดีกว่านี้ก่อนเถอะ”

“ผมคิดดีแล้ว” หน้ามุ่งมั่นตั้งใจจนคนห้ามพากันผงะ “ถ้าต้องวิ่งวุ่นไปมาแบบนี้ มีหวังไม่จบเรื่องสักที แบบนี้ล่ะดีแล้ว ถ้าให้อาวัฒน์ทำแทน ผมก็หายห่วง”

“แต่…แต่ว่า…” อาการของสิทธิ์มันฟ้องชัดเลยว่า ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟังแล้ว แต่กระนั้นเขาก็หาได้ล้มเลิกความตั้งใจไม่ “แต่ถ้าทำแบบนั้น เกิดต้องไปคุยงานกับบริษัทอื่น มันจะดูไม่ดีนะครับ”

สิ่งที่ได้รับคือ สีหน้าละเหี่ยใจแทน “ปกติก็ไม่มีใครคิดว่าผมเป็นประธานอยู่แล้วนี่ครับ ไปงานไหนทีไรเขาก็เข้าใจว่าอาวัฒน์เป็นประธาน ส่วนผมเป็นคนขับรถควบตำแหน่งคนสวนอยู่แล้วนี่ครับ เพราะงั้น ต่อให้ผมไม่อยู่ก็ไม่มีใครเอะใจหรอก”

ดันไปสะกิดแผลใจเข้าซะงั้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็น่าจะเอาเนไปด้วย ผมไม่ยอมให้คุณไปคนเดียวหรอกนะครับ” เมื่อหมดหนทางกล่อม วัฒน์จึงได้แต่ขอแกมบังคับ “ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมจริงๆด้วย”

“ได้ครับ” ตอบรับง่ายจนชวนโล่งใจ “แต่ไม่เอาเนนะครับ ผมว่าอาวัฒน์จัดการงานทางนี้คนเดียวไม่ไหวหรอกครับ ช่วงนี้งานเยอะมากเลยนี่”

เถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมให้พี่ก้องกับพี่ฤทธิ์มาทำหน้าที่แทนก็ได้”

วัฒน์นิ่วหน้า เป็นการบอกว่าไม่เห็นด้วยอย่างแรง แต่ก็ไม่รู้จะหาคำค้านอะไรอีกแล้ว

“แล้วงานตอนกลางคืนล่ะครับ” เนโพล่งขึ้นเมื่อเห็นท่าไม่ดี “คุณวัฒน์กับผมทำไม่ไหวหรอก จริงไหมคุณวัฒน์”

แต่นั่นกลับทำให้หนุ่มใหญ่หน้าซีดแทน และเนก็ไม่ต้องสงสัยนานนัก

“เดี๋ยวงานพวกนั้นฉันคงฝากให้อาเดชทำละกัน เท่านี้ก็หมดเรื่อง”

ถ้าทำได้ วัฒน์คงอยากจะเป็นลมล้มลงไปกองซะตรงนี้เลย

“งั้นตกลงตามนี้นะ” สิทธิ์บอกอย่างแช่มชื่น ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง “เดี๋ยววันนี้เลิกงาน อากับเนช่วยไปกับผมหน่อยนะครับ”

“คุณสิทธิ์จะไปไหนหรือครับ” เนื่องจากวัฒน์ไม่อยู่ในอาการที่จะพูดได้อีกต่อไป เนจึงต้องเป็นคนถามเอง

“เดี๋ยวก็รู้” ไม่ตอบในทันที แสดงว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ “งั้นไปทำงานต่อเถอะ ขอบใจอาวัฒน์กับเนมากเลยนะที่ช่วยให้ผมเจอทางสว่าง”

นั่นมันก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ผมรู้สึกว่าทางที่คุณสิทธิ์เห็น มันไม่ใช่ทางที่น่าเดินเลยนะครับ…


_____________________________________

มีเพจแล้วนะก๊า เข้าไปชมได้ อาจจะมีลงรูป(สั่วๆ)ที่คนเขียนวาดไว้ ไม่ก็มุก(แป๊กๆ) นะงับ =3=
ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามอ่านทุกคนงับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 13 (11/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 11-07-2013 22:45:29
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:รอออออออออออ่านตอนต่อไป :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 13 (11/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 11-07-2013 22:53:06
คุณสิทธ์คิดดีแล้วใช่ไหมมมม o18
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 13 (11/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 11-07-2013 23:05:12
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :hao5: :katai2-1: สุดยอดเลยเดียร์ เอาโล่ไปเลยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 13 (11/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 12-07-2013 09:40:52
ยินดีต้อนรับสู่กับดักที่จะกระตุ้นความเป็น S ของคุณ เหอเหอ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 14 (21/7/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 21-07-2013 20:19:49
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 14

“ว่าไง เป็นไงบ้าง”

พอสบโอกาสปลีกตัวจากวินมาได้ ชาก็รีบโทรไปถามหาความคืบหน้าด้วยความร้อนรน เขากลัวเหลือเกิน ว่าเวลาที่หายไปถึงหกชั่วโมงจะทำให้อีกฝ่ายเดินเกมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เห็นออกไปส่งดอกไม้ แล้วก็กลับมาตามปกติ”

“แล้วระหว่างที่ไปส่ง นายได้ไปด้วยหรือเปล่า ดร”

เจ้าของชื่อเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเจือสงสัย “ตามครับ แต่ก็ไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คุยกับใคร แล้วก็ไม่มีใครคุยด้วยเลยครับ”

“หรือ งั้นก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างโล่งใจ “งั้นก็เฝ้าให้ดีๆละกัน อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาดเลยนะ…ไม่งั้นคุณวินเดือดร้อนสุดๆแน่ แต่เขาคงไม่โทษนายหรอก”

ที่พูดเนี่ย ให้กำลังใจหรือด่าทอคดีที่แล้วก็ไม่รู้

“ผมจะไม่มีวันพลาดเหมือนครั้งนั้นเด็ดขาด” แต่พอคิดแล้วก็ยิ่งแค้น ที่ดันเสียท่าให้ไอ้เด็กหน้าติ๋มนั่น “เอาหัวผมเป็นประกันได้เลย”

“ดี ฉันหวังให้เป็นแบบนั้น” เพราะตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือก “แค่นี้ก่อนละกัน”

ชารีบวางหูทันที ดวงตาเรียวหันไปหาหนุ่มแว่นที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ท่าทางอิดโรยเหมือนคนไม่ได้พักผ่อน

“เมื่อกี้นายคุยกับใครหรือเปล่า” วินนิ่วหน้าเหมือนกำลังจับพิรุธลูกน้องตน

คนโดนซักยิ้มค้าง “เปล่านี่ครับ อ๊ะ”

“เห็นฉันโง่หรือไง” หนุ่มแว่นกระชากมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทของอีกฝ่าย แล้วเปิดดูเบอร์ด้านใน พอเห็นว่าไม่ใช่เบอร์ของมาริสา ก็กระแทกใส่อกคืน “โทรหาดรก็บอกตรงๆสิวะ จะโกหกหาอะไร”

“ถึงบอก คุณก็ไม่เชื่ออยู่ดีนี่ครับ” บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่พอ ยังมีการยิ้มเยาะใส่ชวนให้ของขึ้น

แต่เพราะตอนนี้อยู่ในบริษัท วินเลยไม่ได้ประเคนความรุนแรงให้อย่างที่หวังนัก

“อย่ามาต่อปากต่อคำนะ เรื่องก่อนหน้านี้ฉันยังโมโหนายไม่หายอยู่นะ” วินเอ่ยเสียงเหี้ยม แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็เล่นเอาคนที่อยู่ใกล้ห้องประธานพากันหน้าซีดปากสั่นเพราะกลัวจะโดนลูกหลง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะไม่เคยโดนวินพาลใส่กันเลยก็ตาม “ถ้าไม่ใช่เพราะแก ทุกอย่างก็คงไม่พังแบบนั้น”

หึ ผมว่าคุณน่าจะไปโทษไอ้น้องชายตัวดีนั่นมากกว่านะครับ ที่เรื่องทั้งหมดมันวุ่นวายขนาดนี้ก็เพราะมันนั่นแหละ ถ้าไม่เห็นแก่คุณ ผมจะไปลากคอมันมานอนไว้บนเตียงน้ำ ในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกุหลาบ แล้วเปิดหนังหวานซึ้งไร้ความรุนแรงไว้ให้ตลอดทั้งวัน เอาให้กระอักตายไปเลย

อยากบอกความจริงใจจะขาด แต่การโดนเข้าใจผิดแล้วถูกโมโหใส่แบบนี้มันรู้สึกดีชะมัดเลยแฮะ อา…ความทรมานที่ไม่อาจบอกความจริงได้มันชวนให้อึดอัดดีจริงๆ…แต่ที่บอกไม่ได้จริงๆก็เพราะขืนบอก มีหวังได้ทำสงครามกับคุณสิทธิ์จริงๆนี่ล่ะ นอกนั้นผลพลอยได้ล้วนๆ

“ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว เพราะคนที่ผมภักดีมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้น” ซึ่งนั่นเป็นความจริงจากใจล้วนๆ…และถ้าคุณจะไม่เชื่อ ผมคงจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับหัวใจจะแตกสลาย…และทำให้ความสุขของผมพุ่งทะยานจนหยุดไม่อยู่ด้วย

“เฮอะ ไม่ต้องทำเป็นปากดี” วินแค่นเสียงใส่พร้อมกับมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ที่กระแทกโดนใจจนชาเนื้อเต้น “วันนี้เดี๋ยวฉันจะไปหาเดียร์ เคลียร์งานให้ฉันก่อนหกโมงด้วย”

“เอ๋ แต่เมื่อเช้าก็เพิ่งจะ…”

“ฉันจะไป มีปัญหาหรือไงวะ ถ้าพูดมาก ฉันจะไม่ใจเย็นแล้วอัดแกตรงนี้เลยดีมั้ย”

ดีครับ!! เอาเลยครับ! จะแก้มขวา แก้มซ้าย แสกหน้า ครึ่งปากครึ่งจมูก ลิ้นปี่ ท้องน้อย ชายโครง อยากจะชกตรงไหนก็เอาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว!!!

“ขอโทษครับ ผมจะไปจัดการให้” แต่ขืนทำจริง มีหวังพวกพนักงานคนอื่นพากันมาขัดขวางแน่ แถมเวลาใช้ความรุนแรงต่อหน้าสาธารณชนของคุณวินก็มีประสิทธิภาพด้อยลงด้วย เพราะฉะนั้น อยากแค่ไหนก็ต้องอดทน

“อีกเรื่อง” วินเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องทำงาน “เที่ยงนี้ฉันกินในห้อง เอาอะไรก็ได้ที่ไม่เผ็ด”

ประโยคช่วงหลังเอ่ยเบาหวิวเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยิน ทั้งที่เขารู้กันทั้งบางแล้วว่าวินกินเผ็ดไม่เป็น

“ครับๆ ไม่เผ็ดนะครับ” แน่นอนว่าชาจงใจพูดให้ชัดถ้อยชัดคำและดัง เพราะเขารู้ดีว่านั่นจะทำให้เขาได้รับรางวัลหลังจากนำมื้อเที่ยงมาให้วิน

 

เดียร์เดินกลับอพาร์ทเม้นท์ด้วยใบหน้านิ่ง หูคอยฟังเสียงเดินที่ดังตามหลังตน เมื่อเดินใกล้จะถึงที่พัก เขาก็ทำตามแผนที่วางไว้

“หืม” เขาจงใจส่งเสียงก่อนจะหันไป และก็ได้เห็นเงาที่วิ่งเข้าไปหลบอยู่หลังรถกระบะสีเงินที่จอดไว้ข้างทาง เด็กหนุ่มย่างเข้าหา และโผล่เข้าไปจ๊ะเอ๋อีกฝ่าย จนคนซ่อนโดดโหยง “อ้าวพี่ดร มาทำอะไรตรงนี้ล่ะครับ”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว วะ…ว่าอย่ามาเรียกฉันว่าพี่นะ” มาถึงก็เอ่ยประโยคติดปากใส่หน้าเดียร์ทันที ก่อนจะออกอาการลุกลี้ลุกลนเพราะกลัวจะโดนจับได้ว่าตอนนี้กำลังแอบตามติดดูพฤติกรรมเดียร์ตามคำสั่งของชา “ฉะ…ฉันจะมาทำอะไรก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันไม่ได้มาหานายสักหน่อย”

ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเกลียดกัน กับไม่รู้มาก่อนว่าคุณชาส่งคุณมา ผมคงคิดไปแล้วว่าพี่แค่ปากกับใจไม่ตรงกันนะเนี่ย…

“งั้นหรือครับ ผมก็นึกว่าพี่โดนสั่งให้มาตามดูผมอะไรแบบนั้นเสียอีก” เดียร์ยิ้มหวานแต่คำพูดแทงใจดำจนดรกระตุก “…ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนละกัน ลาละครับ”

“เดี๋ยวก่อน” ดรเอามือปิดปาก ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะเอ่ยรั้งอีกฝ่าย แต่น้ำเสียงหงอยช่วงท้ายชวนให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา “แก…เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ…” บอกแบบนั้นแต่น้ำเสียงไปคนละทาง ทำเอาข้องใจหนัก

“เดี๋ยวสิ มันต้องมีอะไรแน่ๆใช่มั้ย” ชายหนุ่มรั้งแขนบางไว้ “คุณสิทธิ์…ทำอะไรนายหรือไง”

ดรรู้ว่าสิทธิ์ไม่ถูกกับวิน แต่เขาก็รู้ด้วยว่าสิทธิ์ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เอาเข้าจริงออกจะเป็นคนดีด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่คนที่มีความแค้นอะไรกันจริงๆ สิทธิ์ไม่มีทางทำร้ายก่อนเด็ดขาด แต่นั่นไม่นับจากตอนที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั่นล่ะนะ…บางทีนั่นอาจจะทำให้คนดีแตกก็ได้ ใครจะไปรู้

ใบหน้าหวานเผยความกลัวออกมา จากนั้นก็เบือนหนีราวกับไม่ต้องการให้ชายหนุ่มเห็น

ทั้งที่เป็นคนที่ไม่ชอบเลยแท้ๆ แต่กลับไม่อาจปล่อยเดียร์ไปทั้งอย่างนี้ได้

ดวงตากลมหลุบต่ำ ใบหน้ายังคงหมองหม่น หากแต่ดูกลัดกลุ้มมากกว่าจะดูโศกเศร้า ปากบางเผยอออกเล็กน้อยคล้ายจะพยายามพูด ท่าทีนั้นดูทรมาน ราวกับเรื่องที่กำลังจะเอ่ยนั้น มันเป็นเรื่องรุนแรงและทำให้เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก

“คนที่ทำไม่ใช่คุณสิทธิ์หรอกครับ” เสียงหวานเอ่ยสั่นระริก “แต่คนที่ทำน่ะ…คือ…”

เว้นช่วงไปนานจนคนฟังที่กำลังระทึกยิ่งลุ้นหนักจนอยากจะตะคอกถาม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงทำไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นท่าทีเหล่านั้น ความรู้สึกชิงชังที่เคยมีมาหายเกลี้ยงไปจากใจ คงไว้แต่เพียงความรู้สึกเห็นใจอย่างที่ตนไม่เคยคิดอยากให้มี

“ใครล่ะ” เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ดรจึงต้องเอ่ยคาดเค้น ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ใครทำเธอกันแน่…” เขาเอยเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไปเพื่อรอให้อีกฝ่ายตอบ ในใจก็นึกสงสัยตัวเอง

เมื่อกี้ เรา…เราจะพูดอะไรกันแน่

เขารู้ตัวดีว่าเมื่อครู่ หากยั้งปากไม่ทัน ตนคงเผลอออกตัวเสนอช่วยไปแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยนึกอยากทำมาก่อนเลยสักนิด เขาเกลียดคนตรงหน้ามาตลอด เพราะเด็กคนนี้ ทำให้เจ้านายเอาแต่หัวปั่นวิ่งวุ่นจนเกือบเสียการเสียงานอยู่หลายต่อหลายครั้ง ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลา

ไอ้เกลียดก็ส่วนเกลียด แต่ถ้าเดือดร้อนหนักจะปล่อยไว้เฉยๆก็กระไรอยู่ เขาเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรด้วย

“คือ…ถ้าบอก…พี่ดรอย่าบอกใครนะ” ดวงตากลมที่เอ่อไปด้วยน้ำตาช้อนมองมาชวนให้ใจระส่ำแปลกๆ “ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะงั้น พี่สัญญากับผมได้ไหม ว่าจะไม่บอกใคร”

“…” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ปกติเขาต้องว้ากกลับเรื่องที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกตนว่าพี่เป็นประจำ แต่มารอบนี้ คำด่ามันกลับไม่ยอมหลุดจากปากเสียได้ “…ได้ บอกมาสิว่าใคร”

เด็กหนุ่มยังคงมีท่าทีหนักใจ ก่อนจะยอมเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาหวิวราวกับจะกลืนไปกับสายลม “…พี่วินน่ะครับ”

“หา” ถึงกับยั้งเสียงไม่อยู่เลยทีเดียว “นายหมายความว่าไง คุณวินเนี่ยนะ ทำนาย?”

เดียร์ผงกหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าต่อด้วยสีหน้าปวดใจจนคนมองรู้สึกเจ็บไปด้วย “ผมรู้ ที่พี่ดรกับคนอื่นๆไม่ชอบหน้าผม ก็เพราะพี่วินคอยแต่จะเอาอกเอาใจ คอยมาเป็นห่วงผมจนเกือบเสียการเสียงาน ใช่ไหมครับ”

แทงเข้ากลางใจเลยทีเดียว เพราะตอนนี้เองเขาก็โดนใช้งานเพราะเหตุนั้นจริงๆ

“ผมเองก็ไม่ชอบหรอกครับ ที่เห็นพี่เป็นแบบนั้น” ร่างบางส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเบาบางเหมือนกลัวใครจะได้ยิน “ผมพยายามทุกอย่างให้พี่วินเลิกเป็นห่วง ทั้งออกจากบ้านมาหางานทำเอง ทั้งพยายามบ่ายเบี่ยงเวลาเขาจะพาผมไปเที่ยวหรือไปซื้อของแพงๆ แต่เขาก็ดึงดังคอยจะเลี้ยงผม เอาใจผมอยู่เรื่อย ที่จริงผมก็ดีใจนะ แต่มันมากเกินไป ผมกลัวเหลือเกินว่าถ้าผมไปมีชีวิตของผม แล้วพี่จะสามารถมีชีวิตโดยไม่มีผมได้หรือเปล่า ผมไม่อยากให้พี่ต้องทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อผมสักนิด…”

ฟังแล้วดรแทบจะร้องไห้ ที่ผ่านมาเขามักจะคิดอยู่เสมอว่าเดียร์เป็นคนที่ไม่ยอมพึ่งพาตัวเองและคิดหวังแต่จะพึ่งวินมาตลอด และที่เดียร์ออกมาทำงานแบบนี้เพราะเขาเข้าใจว่าโดนมาริสาบังคับทั้งนั้น แต่กระนั้นก็ยังคอยขอร้องพี่ชายให้มาช่วยอยู่เป็นครั้งคราว(ตามที่เข้าใจเองและฟังจากมาริสาบ่น) ไม่เคยคิดเลยว่าที่จริงแล้วเดียร์เองก็พยายามจะพึ่งพาตนเอง และพยายามที่จะให้พี่ชายเลิกมาช่วยตัวเองเกินควรสักที

“ที่ผมคบกับคุณสิทธิ์ทั้งที่พี่ไม่ชอบ ก็แค่คิดว่าถ้าเป็นเขา พี่คงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา” เดียร์เล่าต่อด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่หม่นหมอง “และถ้าพี่เห็นว่ามีคนดูแลผมได้ดี พี่อาจจะยอมตัดใจ”

เพราะความซึ้งมันบังตา ดรเลยลืมไปเสียสนิทว่า ผู้ชายน่ะ ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ชายด้วยกันหรอก

“ตกลง…คุณสิทธิ์ไม่ได้ทำอะไรนายงั้นหรือ” ดรเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก

“ครับ เขาดีกับผมมากเลย ทั้งคอยเอาใจ ดูแลผมสารพัดอย่าง” ใบหน้าขาวออกสีแดงเรื่อ “เขาเป็นคนที่ผมคิดจะฝากชีวิตไว้เลยล่ะครับ”

และดรก็ลืมไปแล้วว่าความสัมพันธ์ที่ดูหวานชื่นนี่เป็นของผู้ชายด้วยกัน

“แต่ปัญหามันอยู่ที่พี่ไม่ยอมรับน่ะสิครับ” เด็กหนุ่มกลับมาหนักใจอีกครั้ง “แถมคุณชาเองก็เอาแต่ตามใจพี่วิน คอยกีดกันผมกับคุณสิทธิ์ตลอด จนผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

เดียร์ก้มหน้างุดตัวสั่นระริกคล้ายกับกำลังร้องไห้แต่ก็พยายามฝืนกลั้นเสียงไม่ให้สะอื้นออกมา ร่างสูงมองคนตัวเล็กกว่าด้วยความรู้สึกเห็นใจ

“…ผมขอโทษนะครับ ที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องให้พี่ฟัง” เสียงหวานเอ่ยออกมาหลังจากเงียบอยู่นาน “ทั้งๆที่พูดไป มันก็ไม่ทำให้เรื่องดีขึ้นเลยแท้ๆ…”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก!” พูดเสร็จก็เผลอเอามือปิดปากตัวเอง เพราะไม่คิดว่าตนจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาได้ แต่เมื่อหลุดออกไปแล้ว จึงตัดสินใจพูดต่อ “ถ้าเธอคิดจะทำอย่างที่พูดจริง ฉันก็จะช่วยด้วย…แต่ที่ทำไปก็เพื่อคุณวินนะ ของนายมันก็แค่ของแถม ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ตกลงนะ”

ใบหน้าหวานสดใสขึ้นมาทันตา เล่นเอาชายหนุ่มเผลอจ้องตาค้าง ยิ่งโดนจับมือด้วย หัวใจที่ไม่ควรจะเต้นแรงเกินควรก็ดังโครมครามเหมือนเสียงกลองก็ไม่ปาน

“พี่ดรจะช่วยผมจริงๆหรือครับ ผม…ผมขอบคุณพี่จริงๆนะ” ดวงตากลมรื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติ เด็กหนุ่มถอนใจด้วยความโล่งอก ราวกับได้ยกเรื่องหนักหนาออกจากใจได้เสียที แต่ก็เพียงไม่นานนัก ความกังวลก็เข้ามาเจืออยู่บนใบหน้า “แต่ว่า…มันจะดีหรือครับ ถ้าเกิดพี่วินหรือคุณชารู้เข้า พี่ดรจะไม่เดือดร้อนหรือครับ”

“ถึงเวลานั้นจริง ฉันหาทางเอาตัวรอดได้น่า ไม่ต้องให้เด็กอย่างแกมาเป็นห่วงหรอก” ชายหนุ่มสะบัดเสียงใส่อย่างรำคาญ “ฉันไปล่ะ แล้วเรื่องคุณวินกับคุณชาฉันจะจัดการเอง แกเองก็ทำอย่างที่พูดเถอะ ถ้าไม่ใช่ได้เห็นดีกันแน่ คราวก่อนที่แกทำให้ฉันต้องไปนอนซังเต ฉันยังไม่ลืมนะโว้ย”

ดรวิ่งหนีไปอีกทางด้วยความเร็วแสงเพราะไม่อยากจะอยู่นานไปมากกว่านี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญคือความอึดอัดในอกที่ทำเอาหายใจแทบไม่ออกเมื่อได้มองหน้าเดียร์นี่ล่ะ หากอยู่นานไปมากกว่านี่คงได้หน้ามืดเป็นแน่

ก็เกลียดมากเลยนี่นา แล้วยังต้องทำใจช่วยโดยที่ต้องขัดคำสั่งคุณชากับคุณวิน ซึ่งถ้าความแตกเมื่อไหร่มีหวังโดนเล่นงานหนักแน่ ไม่ว่าใครก็ต้องอึดอัดแบบนี้เหมือนกันทั้งนั้นล่ะ

ร่างบางยืนมองอีกฝ่ายจากไปจนลับตา จากนั้นจึงเดินขึ้นห้อง แล้วถอนหายใจยาว มือเล็กหยิบมือถือขึ้นมาตรวจดูข้อความเข้า แล้วกดโทรออก

“ว่าไงครับพี่ก้อง” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงหวาน “ทางนั้นเป็นไงบ้าง”

คนในสายเงียบอยู่พักใหญ่ เหมือนต้องใช้เวลาทำใจ ถึงจะพูดออกมาได้ “เป็นไปตามที่เธอวางแผนไว้แล้ว ฝั่งเธอล่ะ”

“ของผมมันต้องต่อจากนี้ต่างหาก” เดียร์หัวเราะในลำคอ “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสิทธิ์จะใช้แผนไหนด้วยล่ะนะ ผมจะได้ปรับใช้ถูก”

“เรื่องนั้น…ฉันคิดว่าคงได้แบบถูกใจเธอแล้วล่ะ” ก้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เมื่อตอนเย็นได้ยินว่าคุณสิทธิ์เที่ยวหาบ้านเช่าละแวกที่ทำงานเธออยู่ แต่เหมือนจะยังหาไม่ได้มั้ง ก็คงจะหาที่ทรมานเธอได้สบายๆล่ะนะ เพราะที่บ้านคนขัดเยอะไปหมด ส่วนคอนโดหรือที่พักที่อื่นมันก็ไกลจากที่ทำงานเธอด้วย”

“งั้นหรือ” เสียงหวานออกอาการตื่นเต้น “แล้วมีใครไปเฝ้าอยู่กับเขาบ้างล่ะครับ คนที่ชื่อเนกับวัฒน์หรือเปล่า”

“เรื่องนั้นเธอก็สบายใจได้ว่าไม่ใช่ เพราะสองคนนั่นต้องรับผิดชอบงานที่บริษัทเต็มตัว มาข้องแวะทางเธอไม่ได้เด็ดขาด แถมยังต้องรับศึกกับไอ้เดชด้วย” หนุ่มใหญ่เอ่ยต่อ “เพราะฉะนั้น คนที่จะไปอารักขาให้คุณสิทธิ์คือฉันกับแฟน เพราะฉะนั้น…สบายใจได้ ไม่มีใครวิ่งขึ้นไปห้ามเหมือนวันก่อนแน่”

“ครับ ผมเชื่อว่าพี่ก้องไม่ทำแบบนั้นหรอก” เสียงหวานเย็นเยียบจนชวนขนลุก “แต่แฟนพี่น่ะ เขาจะไม่ขึ้นมาขัดผมจริงๆเหรอ”

เงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบ

“รับรองว่าไม่แน่นอน” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “เผลอๆอาจจะร่วมผสมโรงกับคุณสิทธิ์ด้วยมากกว่า”

“ผมจะได้เล่นแบบหมู่หรือ”

“ไม่ใช่โว้ย แล้วฉันก็ไม่ยอมด้วย!” ก้องว้ากเสียงเบา “ฉันรู้ว่าเธออยากโดนฟาดใจจะขาด แต่ช่วยเห็นใจฉันบ้างสิ พอแฟนฉันรู้เรื่องเธอ เขาก็โมโหยกใหญ่ แล้วก็หาเรื่องจะไปแกล้งเธอด้วย!”

“โถ ผมไม่ได้ตั้งใจเลยนะครับ” ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ แต่ผมห้ามตัวเองไม่ให้ดีใจได้เหมือนกัน “แต่นั่นก็ทำให้คุณได้ผลประโยชน์เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

“ถึงไม่ต้องมีเธอ ฉันก็ได้รับความรักอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว” หนุ่มใหญ่ยังคงหัวเสียไม่หยุด

“เอาน่า ถ้าผมไม่ยุ่งกับพี่เสียอย่าง เขาก็เลิกแกล้งผมเอง…หรือไม่งั้นพี่ก้องก็เป็นฝ่ายมายุ่งกับผมก่อนสิ เดี๋ยวผมจะช่วยให้พี่ได้รับความรักจนถึงสวรรค์เลย เอาไหม”

คราวนี้เงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง “เออ จริงของเธอ…แต่เธอก็อย่าอ่อยแฟนฉันละกัน ไม่งั้นฉันจะไม่ร่วมมือกับแผนของเธอแน่”

“แหม เห็นอย่างนี้ผมไม่แย่งของคนอื่นหรอกครับ อย่าห่วงไปเลย”

จะไปรู้เรอะ แกอาจจะติดใจรสความรุนแรงของแฟนฉันจนหน้ามืดขึ้นมาก็ได้นี่หว่า รายนั้นยิ่งเป็นพวกชอบใช้อารมณ์เป็นใหญ่ด้วย

“น่า ผมไม่ทำหรอก” เด็กหนุ่มพูดราวกับอ่านความคิดได้ “ผมอยากโดนคุณสิทธิ์ทำรุนแรงมากกว่า เขาเป็นคนแรกเลยนะครับ ที่ทำเอาผมซาบซ่านวูบวาบไปหมด พี่ก้องไม่เคยโดนเขาทำร้ายเหรอครับ ไม่ยั้งเลยนะ”

“ไม่รู้สิ พอดีฉันมันเป็นประเภทถ้าไม่ใช่คนที่ชอบหรือถูกใจ ก็ไม่ยอมให้ทำรุนแรงด้วยน่ะ” ก้องเอ่ยพลางนั่งนึกถึงภาพสิทธิ์เวลาไปต่อยตีกับคนอื่น…ซึ่งดูๆไปก็แอบน่าสนใจอยู่หรอก “แล้วเรื่องบ้านเช่าน่ะ เธอมีที่อยากจะเสนอไหมล่ะ เอาแบบสองห้องนอนก็ดีนะ ถ้าอยู่ห้องติดๆกันจะดีมาก เวลาเกิดเรื่องฉุกเฉิน พวกฉันจะได้ไปคุ้มครองคุณสิทธิ์ได้ไวๆ”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยหาให้ คุ้นๆอยู่ว่าในซอยมีบ้านว่าง แต่ไม่แน่ใจว่าขายหรือให้เช่า ไว้เดี๋ยวผมจะส่งข้อความไปให้อีกทีช่วงพรุ่งนี้เย็นๆละกันครับ”

“ก็ได้…งั้นฉันวางก่อนละกัน เดี๋ยวแฟนฉันจะอาบน้ำเสร็จแล้ว ขืนเห็นเราคุยกันแผนเจ๊งพอดี แค่นี้นะ”

ว่าจบก็รีบวางลงอย่างรวดเร็วจนไม่ปล่อยให้เดียร์ได้บอกลา เด็กหนุ่มจึงคิดจะปิดมือถือ หากแต่มันกลับดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นเบอร์ของก้อง

“ครับ มีอะไรหรือพี่ก้อง”

แต่ทักเสร็จกลับวางหูไปเสียอย่างนั้น

เดียร์เลิกคิ้วมองโทรศัพท์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถึงบางอ้อ

เมื่อกี้ สงสัยจะเป็นคุณแฟน ป่านนี้พี่ก้องคงโดนเล่นงานยำใหญ่ไปเสียแล้วมั้ง

“บ้านเช่าหรือ…” เด็กหนุ่มทวนคำก่อนจะเดินไปยังระเบียง แล้วทอดมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้น “จะทรมานกันทั้งที ยังจะใจดีหาแถวนี้อีกนะ รึกลัวผมจะไปทำงานสายหรือไงครับ”
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 15 (3/8/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 03-08-2013 12:59:01
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 15

          ก้องถอนใจมองสภาพห้องรับแขกในบ้านเช่าที่ตนเพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ที่รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่เพราะต้องมาจัดการบ้านสกปรกที่โดนทิ้งไว้เป็นเดือน แต่เป็นเพราะคุณแฟนกับเจ้านายที่ออกไปซื้อของกันตั้งแต่เช้า จนเย็นป่านนี้ยังไม่กลับมาอีกนี่ล่ะ ใช่ว่าเขาจะเป็นห่วงกลัวทั้งสองจะโดนอริดักตีหัวแต่อย่างใด แต่เพราะคนที่ตามสิทธิ์ไปด้วย เป็นคนที่เก่งกาจสามารถถึงขนาดในกลุ่มเองยังพากันขยาด ไม่อยากจะต่อกรด้วยนัก แล้วยิ่งไปกับเจ้านายบ้าพลัง ถ้าไม่ได้พกอาวุธมาครบเครื่อง จะมาหาเรื่องกันก็คงต้องคิดให้หนักหน่อยล่ะ

          แต่เพราะพอจะรู้ว่าไปซื้อของอะไรมาต่างหาก ถึงได้รู้สึกหวั่น นึกแล้วก็รู้สึกสงสารเนเหลือเกิน ที่อุตส่าห์ห้ามสิทธิ์ได้แล้วแท้ๆ แต่ทั้งหมดกลับต้องเสียเปล่าเพราะแฟนตัวเอง

          “โอ๊ย นี่มาผิดบ้านหรือเปล่าเนี่ย” เสียงร้องดังขึ้นจากทางหน้าประตูพร้อมกับขยี้ตาใส่คนในบ้าน ผู้มาเยือนเดินเข้ามาโดยไม่ถอดรองเท้า หอบถุงพะรุงพะรังเข้ามาทิ้งเอาไว้บนพื้นที่อุตส่าห์ขัดจนเงา ก่อนจะกลับออกไปเอาของที่เหลือต่อ

          “…ซื้ออะไรกันมาบ้างครับเนี่ย” ก้องมองดูด้านในถุงกระดาษถุงหนึ่งที่อยู่ใกล้ตาที่สุด เขาเห็นเพียงแต่กล่องที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอย่างมิดชิด ดูแล้วรู้สึกถึงไออันตรายชอบกล

          “ก็เสื้อผ้าของฤทธิ์ รองเท้าของฤทธิ์ ของใช้ในห้องน้ำของฤทธิ์ โดนัทของฤทธิ์ ส่วนของพวกนั้นก็ของฤทธิ์…แต่เป็นอะไรแกะดูเอาเองละกัน”

          …ตกลงที่ไปเนี่ย มีแต่ของหมอนั่นเหรอ คุณไปเป็นคนหิ้วของให้ลูกน้องตัวเองแทนเรอะ! แล้วถ้าถึงขนาดคุณไม่กล้าบอก แล้วผมจะกล้าเปิดหรือ

          “นี่ของคุณสิทธิ์” คนที่กลับไปเอาของมาโพล่งใส่อย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มแว่น เขาหยิบถุงพลาสติกใสเขวี้ยงใส่ก้องเต็มแรง เล่นเอาเขาเกือบหงาย “ส่วนนั่นของนาย น้ำยาล้างห้องน้ำกับแปรงขัดส้วมที่ขอ”

          “…ขอบใจ” ก้องกุมท้อง เหมือนอยากจะคายของเก่าออกมาตงิดๆ แต่พอได้เห็นหน้าเนียนที่กำลังมองกลับมาตาขวาง ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบระบายอารมณ์แล้วมันชวนให้ชื่นใจ

          “มัวแต่ยิ้มอะไรอยู่ได้ รีบช่วยเอาของไปเก็บสิ” ยังมีตะคอกใส่พร้อมกับยัดถุงมากมายให้มาจนเต็มมือ ก่อนจะหันไปหาสิทธิ์ด้วยท่าทีที่สำรวม ผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ “เดี๋ยวของพวกผมเก็บขึ้นไปให้เองครับ คุณสิทธิ์พักเถอะครับ”

          “ไม่เป็นไรหรอก แค่พี่ไปช่วยซื้อกับผมก็พอแล้ว”

          “อะไรกัน แค่นี้เอง อย่าคิดมากสิครับ ผมเต็มใจช่วยอยู่แล้ว” หนุ่มตาตกหัวเราะร่าแล้วเข้าไปช่วยแกมบังคับอีกฝ่าย ออกอาการสนุกสนานเต็มที่ “เดี๋ยวผมจะสอนวิธีใช้ให้ด้วย เอาให้แบบไม่มีติดขัดกลางอากาศเลย เรื่องแบบนี้ผมถนัดอยู่แล้ว”

          “ผมว่าผมไปลองดูก่อนดีกว่า ถ้าไม่ไหวยังไงเดี๋ยวผมค่อยมาถามพี่ทีหลังเอาก็ได้ครับ” สิทธิ์บอกด้วยท่าทีที่เกรงอกเกรงใจจริงๆ ไม่ได้รู้สึกขัดเขินหรือหวาดหวั่นอย่างที่คนไม่เคยใช้น่าจะมีอาการกันบ้าง

          “ถ้าคุณสิทธิ์ว่างั้น ก็ได้ครับ” ฤทธิ์ทำหน้าเสียดายอย่างโจ่งแจ้ง “ถ้างั้นคุณเอาของขึ้นไปเถอะครับ เดี๋ยวอาหารเย็นเสร็จเมื่อไหร่ผมจะไปเรียก”

          สิทธิ์พยักหน้าให้ก่อนจะหิ้วถุงขึ้นไปด้านบน ชายหนุ่มเหลือบมองของในมือพลางลอบถอนใจ เพราะไม่คิดว่าจะหลวมตัวซื้อมาได้เยอะขนาดนี้ นึกย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาชอบกล

          มาถึงขนาดนี้แล้วนี่หว่า จะให้ถอยคงไม่ทันแล้วล่ะ

 

          “แต่ว่านะครับ คิดดีจริงๆแล้วหรือ ถึงได้ทำน่ะ”

          สิทธิ์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อลูกน้องตาตกเอ่ยถามขึ้นกลางโต๊ะอาหาร โดยก้องเองก็สะดุ้งเช่นกันเมื่อได้ยิน และสีหน้าก็ออกจะซีดเซียวหนักกว่าคนโดนถาม

          “ผมก็ไม่ได้จะห้ามอะไรหรอกนะครับ” ฤทธิ์เอ่ยเสียงเรียบ ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งที่พูดเท่าไหร่นัก “แต่คุณสิทธิ์ไม่ได้คิดจะมาทางนี้เต็มตัวอยู่แล้ว ผมว่าทางที่ดี คุณให้ผมทำแทนดีกว่านะ”

          “ไม่ได้นะ”

          สิทธิ์เกือบจะร้องออกไปแล้ว แต่ยังดีที่ก้องว้ากออกมาเสียก่อน เขาเลยรอดจากการถูกถามว่า ‘ทำไม’

แต่เพราะฤทธิ์รู้อยู่แล้วว่าหนุ่มแว่นร้องทำไม เขาจึงแค่ยิ้มเยาะใส่ให้เท่านั้น เมินอาการฮึดฮัดของอีกฝ่ายเสียสิ้น

          “ที่พูดเนี่ย เพราะผมกลัวคุณสิทธิ์อาจจะกลับมาเดินสู่เส้นทางปกติไม่ได้อีกนะครับ” น้ำเสียงของฤทธิ์ไม่ได้ขู่แต่อย่างใด แต่คนฟังกลับสั่นไปทั้งตัว เพราะก่อนหน้าก็โดนเนขู่มาแล้ว

          “แค่คนเดียว ไม่ถึงขนาดนั้น…”

          “คนเดียวเปลี่ยนชีวิตเลยล่ะครับ” หนุ่มตาตกสวนกลับโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้พูดจบ “ผมเห็นมาเยอะ ปากก็บอกปาวๆว่าไม่เป็นๆ พอลองเข้าไปเท่านั้นล่ะ ได้หลังลืมหน้ากันหมด”

          “ผมเองก็เห็นมาเยอะเหมือนกัน” พอเห็นเจ้านายกำลังขวัญผวา ก้องจึงรีบเสริมเข้า อย่างน้อยที่สุดเขาก็อยากให้สิทธิ์นึกยั้งชั่งใจ ก่อนจะตกหลุมพรางปีศาจ “อย่างน้อย ก็คิดให้ดีๆก่อนละกันครับ”

          เจอรุมเข้า สิทธิ์จึงได้แต่นั่งอ้ำอึ้ง ท่าทีลังเลอย่างชัดเจน จนก้องเผลอนึกดีใจไปว่าเจ้านายคิดจะเปลี่ยนใจ…แต่พอคิดว่าเขาอาจจะโดนเดียร์เล่นงานก็รู้สึกหวั่นขึ้นมา ไม่ว่าจะทางไหนก็แย่ทั้งนั้น

          “ครับ…ผมจะคิดให้ดี…ไม่สิ ผมคิดดีอยู่แล้ว” จากที่ลังเลจนเหมือนจะเปลี่ยนใจ กลับมาตั้งมั่นเหมือนเดิมเสียอย่างนั้น “ไม่อย่างนั้นผมจะซื้อของพวกนั้นมาทำไมล่ะ กับเด็กนั่น ผมไม่คิดจะจริงจังอะไรด้วยอยู่แล้ว แค่ผ่านมาผ่านไป ไม่มีอะไรเกินกว่านั้นสักนิด”

          ไอ้ออกอาการเลิกลั่กแบบนั้น เขาเรียกว่าแอบเผลอใจให้ไปแล้วนะครับ…ผมเข้าใจครับ สำหรับผู้ชายปกติทั่วไปคงมองว่าหมอนั่นน่ารักน่าจับทำแฟนอยู่นี่นะ

          “ผมแนะนำว่าคุณอย่าไปสงสารเด็กคนนั้นเลยนะ” ด้วยความที่ไม่อาจจะรั้งอีกฝ่ายไว้ได้อีกต่อไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ ไม่ให้สิทธิ์หลวมตัวไปชอบเดียร์ “ผมไปลองถามคนแถวนี้ดู คุณรู้หรือเปล่าว่าหมอนั่น เห็นหน้าตาน่ารักอย่างกับนางฟ้าแบบนั้น ที่จริงร้ายกาจจะตาย ทำผู้ชายอกหักมานักต่อนักแล้ว นี่ยังไม่รวมที่ชอบควงผู้ชายไปให้พี่มันกระโดดถีบเล่นอีกนะ แถมแต่ละคนที่ผ่านนะ มีอันต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะโดนหมอนั่นปอกลอกหมด ขนาดพี่ชายมันแทบจะถวายทองให้แล้ว ยังไม่พอใช้มันเลย เห็นเด็กนั่นอยู่อพาร์ทเมนท์ท่าทางราคาถูก ไม่มีรถใช้ ไม่กินของแพง ไม่ใช้ของแบรนด์เนม แต่หมดเงินไปกับเรื่องเที่ยวกลางคืนนี่ล่ะครับ เชื่อไหมล่ะครับ ขนาดตอนมีแฟนอยู่ แต่พอแฟนเผลอก็เที่ยวออฟหนุ่มๆไปกกแถวม่านรูดประจำ มั่วไปทั่วแบบนี้ อาจจะมีโรคติดตัวอยู่สักโรคสองโรคก็ได้ คุณสิทธิ์ต้องระวังไว้ล่ะ เดี๋ยวติดโรคขึ้นมาแล้วมันจะแย่”

          ซัดใส่เป็นชุด เอาให้หดแบบไม่กล้าชูคอขึ้นมาเลย นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณหรอกนะ…ถึงอันที่จริง ไอ้เด็กนั่นจะไม่ได้มั่วอย่างที่ผมกล่าวหาเลยก็ตามเถอะ

          ปัง!!

          ทั้งสองพากันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะมองไปยังต้นเสียง หนุ่มแว่นยิ้มแห้งกลืนน้ำลายเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงยัวะที่แผ่ออกมาจากแฟนของตน ใบหน้าเรียวของฤทธิ์ยังดูแจ่มใส แต่คนมองกลับรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

          “ข้อมูลละเอียดยิบเหมือนเจอกับตัวเลยนะ ขนาดสายสืบที่ไปหาข้อมูลเด็กนั่นมายังได้ไม่ละเอียดเท่าของนายเลย” ไม่ว่าเปล่า มีลุกขึ้นเดินเข้ามายืนค้ำหัว ท่าทางเอาเรื่องเต็มที่ “ไปรู้เรื่องพวกนั้นมาจากไหน หรือเคยกิ๊กกันมาก่อน”

          “บ้าเรอะ ฉันไม่เคยกิ๊กกับไอ้เด็กนั่นสักหน่อย” แต่ก็สนิทสนมมากเสียจนถ้าตัดเรื่องความมาโซฯออกไป มีหวังนายได้ซ้อมฉันทั้งคืนแหงม…ก็น่าสนนะ…ไม่สิ น่าสนเป็นบ้าเลยโว้ย แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ทรมานใจชะมัด “ที่รู้น่ะ ก็เพราะไปสืบจากพวกคนที่เคยซื้อดอกไม้จากร้านเอาต่างหาก ไม่ได้รู้จักอะไรเด็กนั่นสักหน่อย”

          ฤทธิ์ยังคงจ้องหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่เพราะเหตุผลฟังขึ้น บวกกับอยู่ต่อหน้าสิทธิ์ เลยไม่อยากคาดคั้นมากนัก
         
          “ก็ถ้าเป็นอย่างที่ก้องว่าจริง ผมว่าคุณสิทธิ์ยิ่งต้องระวังใหญ่” หนุ่มตาตกเอ่ยโดยที่ยังจ้องก้องไม่เลิก “เผลอๆ ตอนนี้ไอ้เด็กนั่นอาจจะกำลังหาทางเอาคืนอยู่ก็ได้”

          ก้องเกือบจะหลุดขำไปแล้ว ยังดีที่ยั้งทัน

          “แล้วลองว่าถ้าร้ายกาจขนาดนั้น ไอ้เรื่องจะมาคิดฆ่าตัวตายกะไอ้แค่โดนถ่ายรูปตอนเปลือยนี่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ คนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะโดนไล่บี้จนไม่เหลืออะไร ก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตายหรอกครับ”

          “…นั่นสินะ” จากที่เคยนึกกังวลอยู่นาน ดูเหมือนจะเริ่มคล้อยตามขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ดีอยู่หรอกที่สิทธิ์เลิกคิดกลัวว่าเดียร์จะทำร้ายตัวเอง แต่นึกไปอีกทางแล้ว ก้องรู้สึกเป็นห่วงสิทธิ์จับจิต มีหวังคุณชายหมีได้จัดหนักอย่างที่ตั้งใจแบบไม่ติดเบรคแน่

          “แต่ถ้าคุณสิทธิ์ไม่กล้าลงมือ เดี๋ยวผมจะทำให้เป็นตัวอย่างก่อนก็ได้นะครับ” ที่พูดออกมาหาได้เป็นห่วงเจ้านายสักนิด อาการเหมือนอยากลงมือเองล้วนๆด้วยเหตุผลส่วนตัวมากกว่า “ผมล่ะเกลียดพวกแบบนั้นที่สุด รับรองจะจัดหนักให้สะใจเลย”

          สะใจใครกันแน่หรือครับ…คนฟังต่างได้แต่คิด ไม่กล้าเอ่ยถาม
         
          “ฉันไม่ยอมหรอกนะ” ก้องค้านเสียงหลง “ถ้านายเอาแต่ทำร้ายหมอนั่น ก็ไม่มีเวลาให้ฉันพอดีสิ”

          ขืนนายเกิดติดใจชอบทำร้ายมันเข้า ฉันก็แย่สิฟะ!! ยิ่งถ้ามันเป็นฝ่ายติดใจนายแล้วยิ่งแย่ใหญ่ ฉันไม่มีปัญญาไปเปิดศึกกับมันหรอกนะ ต่อให้ฉันทุ่มทั้งแรงทั้งสมองก็คงได้แต่เต้นอยู่บนฝ่ามือมันนั่นล่ะ!

          ทีแรกสิทธิ์นึกว่าฤทธิ์จะวิ่งไปตะบัน หน้าแฟนตัวเองแล้ว แต่พอเจอประโยคหลังเข้าไปเท่านั้นล่ะ ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเลยทีเดียว

          “บะ…บ้าหรือไง มาพูดอะไรตรงนี้!”

          แต่ก็โดนอยู่ดีนั่นล่ะ แถมดูๆแล้ว น่าจะแรงกว่าหมัดที่จะปล่อยทีแรกด้วย

          “ผมเป็นคนเริ่ม ผมจะขอทำให้ถึงที่สุดก่อนก็แล้วกันครับ ขอบคุณพี่ฤทธิ์มากเลยนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจกับความหวังดีที่อีกฝ่ายเสนอให้ ก่อนจะลุกขึ้น “ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนละกัน ว่าจะเปิดเพลงดังๆ คงจะไม่ได้ยินเสียงพวกพี่นะ”

          เปิดทางให้ซะขนาดนี้ มีหรือจะพลาด

          สิทธิ์เดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนด้วยใบหน้านิ่ง เขาปิดประตูอย่างแน่นหนา และเปิดเพลงอย่างที่พูดไว้ ร่างสูงนั่งอยู่บนเตียงพักใหญ่ มือหนาล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อหยิบมือถือออกมา แล้วเปิดไปยังรูปถ่ายของร่างบางที่อยู่ในสภาพเปล่าเปลือย

          “อึก…”

          เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคนในรูปจะเป็นอย่างที่ก้องกล่าว คนเรานี่ดูกันจากภายนอกไม่ได้จริงๆ…

          แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!

          “เฮ้ย!”

          โชคดีที่เปิดเพลงไว้เสียดังจนกลบเสียงร้องของตัวเอง ชายหนุ่มรีบอุดจมูกตัวเอง ก่อนจะล้มหงายลงไปนอน

          นั่นมันผู้ชายนะ! ถึงจะน่ารักบัดซบยังไง ไอ้ข้างล่างนั้นก็ตัวผู้ชัดๆ!...แล้วทำไมตูต้องเลือดกำเดาพุ่งเพราะดูรูปโป๊มันด้วยวะ!

          บ้าเอ๊ย!! เพราะมันดันเหมือนผู้หญิงนั่นล่ะ เป็นความผิดของมันคนเดียว!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 15 (3/8/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 04-08-2013 13:27:27
จับกดเลยเร็วๆ!! เดียร์เค้ารอนานแล้วนะ 555+
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 15 (3/8/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 04-08-2013 14:20:54
ไม่เค๊ยยยไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วทั้งเชียร์ทั้งลุ้น
ให้นายเอกโดนปู้ยี้ปู้ยำให้เละเทะขนาดนี้มาก่อนเลย
นี่มันมิติใหม่ของการอ่านจริงๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 15 (3/8/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 04-08-2013 20:58:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 16 (11/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 11-09-2013 20:48:46
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 16

“ไหวนะเดียร์…”

ดวงตากลมจ้องมองพนักงานของตนอย่างเป็นห่วง เพราะสีหน้าของเดียร์ในตอนนี้ดูแย่มาก ท่าทางเหมือนคนอดนอนเพราะต้องคร่ำเคร่งกับงานยังไงยังงั้น ซึ่งเธอมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะตนสั่งงานมากเกินแน่นอน สองสามวันมานี้งานน้อยกว่าปกติด้วยซ้ำ และตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา เดียร์ไม่เคยหงุดหงิดเพราะเรื่องงานมาก่อนเลย ไม่ว่าจะ เพราะงานเยอะจนแทบไม่ได้พัก หรือเจอลูกค้าเรื่องมากจู้จี้ขี้บ่นจนน่าตบเรียกสติมากแค่ไหนก็ตาม

“ไหวครับ”

แม้แต่เสียงที่เคยหวานใส ยังกลายเป็นเสียงทุ้มต่ำและดุดันราวกับเป็นคนละคนก็ไม่ปาน นี่ถ้าลูกค้าหนุ่มๆที่เป็นขาประจำมาเจอเข้า มีหวังเปิดตูดแน่บชนิดไม่หวนกลับมาอีกแน่

เดียร์เดินหน้าถมึงทึงเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์…ด้วยกิริยาท่าทางดิบเถื่อนเสมือนนักเลง จนน้อยรู้สึกเป็นห่วงหนักกว่าเดิม ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นอาการแบบนี้เสียเมื่อไหร่

นี่คงมีเรื่องอึดอัดคิดไม่ตกอยู่แน่ๆ

“วันนี้งานที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง เดียร์กลับก่อนได้เลยนะจ๊ะ” ถึงจะอยากถาม แต่เมื่อท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่อยากตอบนัก และต่อให้ถาม อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบอยู่ดี น้อยจึงทำได้เพียงเท่านี้

“แต่ว่า…”

“ขืนให้เราทำหน้าแบบนั้น มีหวังลูกค้าพี่หนีหมดสิจ๊ะ” เธอติง ก่อนจะชี้ไปที่ประตูห้องพักด้านใน “วันนี้คงไม่มีงานเพิ่มแล้วล่ะจ๊ะ กลับเถอะ ถ้าเกิดมีอะไรฉุกเฉินจริงๆ พี่เรียกตาหนูได้”

“…แต่รายนั้นหน้าบูดหนักกว่าผมอีกนะ”

“ก็นั่นจุดขายเขานี่จ๊ะ แต่ของเรามันใช่เสียที่ไหน” น้อยสวนกลับด้วยความไวแสงจนเดียร์สะอึก “โน่นจ๊ะ เก็บกระเป๋าแล้วกลับห้องซะ ถ้าอยากทำงานนัก เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะให้ทำสมใจเลย”

เมื่อโดนไล่ อีกทั้งหัวหน้ายังให้รางวัลซะงามงด เขาจึงอดทำตามอย่างเสียมิได้ ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าหากอยู่นานไปแล้วน้อยจะบังคับให้เขาหยุดงานพรุ่งนี้นี่ล่ะ

ใจจริงเดียร์ก็อยากจะระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้อีกฝ่ายฟังอยู่หรอก เสียแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาเอามาพูดกับน้อยได้นี่ล่ะ

เสี้ยนอยากโดนทำร้ายว้อยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่ก็ปาเข้าไปสามวันมาแล้ว ที่พ่อหมีนั่นไม่มาหาเลย เขารึก็อุตส่าห์ทนไม่ไปหาเศษหาเลยที่ไหน ขจัดเห็บเหาที่ชอบมารังควาน กรุยทางไว้ให้พร้อม รออย่างใจจดใจจ่อ ว่าพ่อคุณจะมาประเคนความโหดโฉดให้เขาในรูปแบบไหนบ้าง แต่นี่ก็รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอจนผ่านไปสามวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นซักนิดเดียว!

ไม่สนแล้วว้อย!! ไปหาที่ระบายดีกว่า

“เฮ้น้องช….ชาย”

คนทักถึงกับผงะเมื่อได้เห็นแววตาดุดันผิดกับหน้าตาน่ารัก แต่ก็ยังยิ้มสู้เพราะฝั่งตนมีมากกว่า และมีรูปร่างใหญ่โตกว่ากันเยอะ

เดียร์เบิกตาโพลง ก่อนจะรีบปั้นหน้าเครียด กลัวเหลือเกินว่าเมื่อครู่จะหลุดยิ้มออกไป ซึ่งมันต้องดูแปลกแน่ๆ ใครที่ไหนเขาจะยิ้มเมื่อได้เห็นกลุ่มคนหน้าเถื่อนท่าทางจะมาหาเรื่องกันบ้างล่ะ แต่พอเห็นท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติของอีกฝั่ง เด็กหนุ่มก็แอบโล่งใจ

“มะ…มีอะไรหรือครับ” เดียร์ถามเสียงสั่นด้วยความดีใจอย่างไม่อาจห้ามอยู่ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปหมด อยากจะกระโดดเข้าไปรับฝ่าเท้าเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องอดทนไว้…

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม คนยืนหน้าสุดซึ่งดูเหมือนหัวโจกเอาแต่ยืนจ้องเขาไม่เลิก ซึ่งมองจากสายตาเดียร์ก็พอจะเดาได้ว่า คงกำลังสับสนต่อสิ่งที่เห็นและข้อมูลที่ได้รับอยู่แน่นอน ดูท่าทางจะเป็นคนที่มาริสาไม่ก็ฝั่งธานินทร์ที่สั่งให้มาทำร้ายเป็นแน่…

“ก็อยากจะชวนน้องไปเที่ยวคลายเหงากันหน่อยน่ะจ้ะ พวกพี่ล่ะเง้าเหงา เนอะ”

หืม?

เดียร์เผลอมุ่นคิ้วเพราะเจอกับสิ่งไม่คาดคิด แต่ดูไปดูมาแล้วคนพวกนี้ไม่น่าจะทักเขาด้วยความบังเอิญแน่ เพราะเด็กหนุ่มไม่คุ้นหน้าสักคน แถมยังเข้ามาจีบโดยรู้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ชายด้วยนี่ล่ะที่แปลก

แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจคือ ถ้ามีคนสั่ง ต้องไม่ใช่แม่มาริสาแน่นอน

“มะ…ไม่ล่ะครับ” เขาเอ่ยลองเชิงพร้อมกับถอยไปข้างหลังเล็กน้อย คอยดูท่าทีของอีกฝ่าย ซึ่งมีอาการเหมือนอยากทำอย่างอื่นมากกว่าเข้ามาทำร้ายตน นั่นยิ่งดูแปลกเข้าไปใหญ่ “ผม…ผมเป็นผู้ชายนะครับ”

“แหม เพราะรู้อยู่แล้วไงจ๊ะ พวกพี่ถึงได้ทัก” พอเห็นลูกกวางน้อยทำท่าจะหนี ก็รีบพากันเข้าไปล้อมกรอบ “มากันพวกพี่เถอะน่า รับรองน้องต้องสนุกจนกลับห้องไม่ถูกแน่”

ชวนแบบนั้น แถมหน้าโฉดโหดเถื่อนแบบนี้ หมาที่ไหนมันจะไปกันละครับพี่…ใจจริงก็อยากจะบอกว่ายกเว้นผมไว้คนละนะ แต่เพราะผมไม่สามารถสัมผัสถึงความซาดิสม์ในตัวพวกพี่เลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นผมคงยอมไปดีๆไม่ได้หรอก

“ไม่ละครับ” เด็กหนุ่มยืนกรานคำเดิม พลางสอดส่ายสายตาหาทางหนี แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

คุณสิทธิ์?

เจ้าของชื่อยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย แต่ยังคงยืนเฉยและมองมาทางเขา ในขณะที่คนเดินเท้าคนอื่นต่างพากันรีบเดินโดยไม่ยอมมองเขากันเลยแม้แต่น้อย

ความคิดที่ว่านี่อาจเป็นแผนของสิทธิ์พับกลับลง เมื่อหนึ่งในผู้มาจีบสะกิดลูกพี่ใหญ่ให้หันดูพ่อหมียักษ์

“เฮ้ย มองหาอะไรวะ”

“อ๋อ ผมมารอคนน่ะครับ ผมไม่ได้มองหรอกครับ พวกพี่อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ”

จงใจรอไปมั้งครับ คนอะไรเขานัดกันกลางซอยเปลี่ยวๆมืดๆ ที่ไม่มีจุดเด่นแบบนี้กันล่ะ ดูยังไงก็เหมือนคุณกำลังรอให้ผมเรียกให้คุณช่วยมากกว่านะ

เมื่อเห็นสิทธิ์ไม่มีท่าทางจะเข้ามาก้าวก่ายแต่อย่างใด เหล่าชายฉกรรจ์จึงหันกลับมาสนใจกับเหยื่อต่อ โดยที่ยังคงเมียงมองมาทางชายร่างยักษ์อยู่เป็นครั้งคราวด้วยความหวั่นเกรงว่าสิทธิ์จะพุ่งเข้ามา หากพวกเขาเผลอ

ซึ่งอันที่จริงเฮียหมีแกก็อยากจะทำอย่างนั้นใจจะขาดอยู่แล้ว!

แต่เขาก็ต้องอดทน เพราะไม่เช่นนั้นแผนที่วางไว้คงเสียหมด

“จะได้ผลจริงเร้อ ท่าทางพวกนั้นดูเหมือนจะมาหาเรื่องคุณสิทธิ์แทนมากกว่านะ” ก้องถอนใจพลางส่งสายตาไปหาหนุ่มตาตกที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ทั้งสองยืนหลบอยู่หลังรถกระบะที่จอดห่างจากสิทธิ์ออกไปอีกเกือบสามสิบเมตร

“ก็ดีซิ ถึงตอนนั้นพอเห็นตัวช่วยเพียงตัวเดียวกำลังจะหายวับไป ต่อให้ไม่อยากแค่ไหน ก็คงต้องยอมร้องขอให้คุณสิทธิ์ช่วยแน่ๆ” ฤทธิ์หัวเราะหึ “ไม่ว่ายังไงก็เข้าแผนเราอยู่ดี”

ครับ นั่นมันได้ผลกับคนธรรมดาเท่านั้นละครับ ใช้กับมนุษย์ดาวเอ็มอย่างพวกกระผมไม่ได้หรอกครับ

“แต่แปลกดีนะ ดูแล้วอย่างกับโดนใครจ้างมาเลยแฮะ” ฤทธิ์เริ่มตั้งข้อสังเกต “ตอนที่พวกเรารอไอ้เด็กนั่น ฉันเห็นพวกมันยืนรออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว มีคนเดินไปเดินมาก็เยอะ ไม่เห็นพวกมันจะเข้าไปหาเลย ดูเหมือนพวกมันตั้งใจรอไอ้เด็กนั่นมากกว่า ถึงจะขาดแคลนผู้หญิงยังไงก็เหอะ ช่วงนี้ไปหาเล่นแถวร้านคาราโอเกะยังจะมีโอกาสเจอเยอะเสียกว่า เหงาบ้าอะไรมาหาแถวนี้”

หนุ่มแว่นยอมรับว่ามันชวนสะกิดใจอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆนั่นล่ะ แต่ตอนนี้เขาไม่นึกสนใจนัก เพราะกำลังลุ้นกับสิ่งที่ฉายอยู่ตรงหน้ามากกว่า

“ไง ไปเถอะน่า พวกพี่ไม่ดุหรอก” ถึงจะยังระแวง แต่เมื่อเห็นสิทธิ์ไม่เข้ามาขวางแต่อย่างใดจึงกลับมาสนใจเดียร์ต่อ “พี่รู้จักที่ดีๆหลายที่เลยนะ”

ไม่ว่าเปล่า มีคว้าต้นแขนฉุดรั้งร่างที่พยายามขืนหนีจนเดียร์เกือบล้ม สิทธิ์กระตุกเล็กน้อย ความหงุดหงิดแล่นขึ้นมาจุกอก เขาสุดแสนจะเกลียดพวกชอบใช้กำลังฝืนใจคนอื่นแบบนี้ที่สุด…

…..

แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ทำแบบนี้กับเดียร์นี่หว่า!

“เฮ้ยๆ…ทำอะไรของคุณสิทธิ์เนี่ย…”

ลูกน้องทั้งสองต่างพากันมองเจ้านายที่ออกอาการหดหู่ผิดเวลา ซึ่งพวกเขาก็พอจะรู้ว่าทำไม

“ให้ตายสิ ถ้ารู้สึกผิดขนาดนั้น แล้วจะทำไปทำไมก็ไม่รู้” ฤทธิ์โพล่งขึ้นอย่างฉุนเฉียว “รู้งี้หาโอกาสเหมาะๆ จับไอ้เดชยัดลงถังดรัมโบกปูนแล้วถ่วงอ่าวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า”

“ถ้าทำได้ง่ายๆขนาดนั้น มันคงลงไปอยู่ในอ่าวนานแล้วละ” ก้องบอกอย่างเหนื่อยใจ “แล้วนี่จะเอายังไง เดี๋ยวพวกนั้นก็ลากเดียร์ออกไปกันพอดี…”

หนุ่มแว่นชะงักค้างเมื่อโดนมองตาขวาง ก่อนที่ฤทธิ์จะกลับมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้า “ก็ไม่เอาไงทั้งนั้น ปล่อยให้พวกนั้นลากๆไปนั่นล่ะ สมน้ำหน้า ทำเป็นมารยา ตอนนี้ทำเป็นไร้เดียงสา เผลอๆ กะไอ้แค่ห้าคนคงไม่พอ”

ทำไมปากคอเราะร้ายนั่น ถึงได้เอาไปด่าทอไอ้เด็กนั่นล่ะ เอามาด่าฉันสิ ฮือ…

เดียร์เริ่มตื่นตระหนกอย่างจริงๆจังๆเมื่ออยู่ๆสิทธิ์ทรุดลงเหมือนคนหน้ามืด ซึ่งแน่นอนว่าหาได้เป็นห่วงไม่ แต่ขืนทำงี้ มีหวังเขาได้ไปเริงรมย์กับหนุ่มฉกรรจ์เหล่านี้แทนจริงๆแน่

หรือคุณ…คุณไม่คิดจะมาทำร้ายผมอยู่แล้ว…ไม่เอานะ อย่าล้มเลิกเร็วแบบนี้สิ ผมยังอยากได้ความรุนแรงของคุณอีกนะ!

“คุณสิทธิ์ ช่วยผมด้วย!”

เสียงหวานนั่นดึงสติที่ลอยไปกลับเข้ามา ดวงตาเรียวเลื่อนมองร่างบางที่กำลังดิ้นพล่านอย่างน่าสงสาร และโดยไม่ทันได้คิด มือและเท้ามันก็ไปก่อนเสียแล้ว

“อ้าว”

ยังไม่ทันได้นับสิบก็น็อคเคโอหมด

กว่าจะคิดได้ว่าข้ามขั้นตอน ‘ให้อีกฝ่ายเอ่ยว่าจะยอมทำตามทุกอย่างเพื่อให้ตนช่วย’ ก็สายไปเสียแล้ว

เดียร์เองก็อึ้งพอกัน เขาได้แต่เบิกตามองสภาพร่างที่นอนสลบเหมือดอยู่ตรงหน้า

น่าอิจฉาง่า~~~~ บ้าเอ๊ย อุตส่าห์เนียนทำเป็นขวางกะจะให้โดนหมัดนั่นสักทีสองทีแล้วนะ แต่ไหงพ่อหมีแกเล่นหยุดทันก่อนทุกทีเลยสิ แง้!!

หยาดน้ำใสไหลลงอาบสองข้างแก้ม ทำเอาคนกำลังอึ้งผงะเพราะคิดว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อมองดูดีๆแล้ว เดียร์ก็ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด อีกทั้งใบหน้าเรียวนั่นกลับเต็มไปด้วยความโกรธเสียได้นี่

“…ถึงคุณจะช่วยผม แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณช่วยหรอกนะ”

จากที่กำลังนึกสงสาร กลายเป็นความหมั่นไส้ทันใด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนออกปากขอเขาทั้งน้ำตาแท้ๆ

“อ้อเหรอ แหม ขอโทษที่ขัดขวางทริปไปสวรรค์ของเธอนะ” ชายหนุ่มยิ้มพรายก่อนจะฉุดแขนให้อีกฝ่ายลุกขึ้น

“โอ๊ย! ทำอะไรของคุณน่ะ ผมเจ็บนะ” เสียงหวานร้องก่อนจะพยายามทุบมือแกร่งของอีกฝ่ายอย่างไร้ประโยชน์

“คิดจะดื้อกับฉันหรือ ลืมไปแล้วรึไงว่าฉันอยากจะทำอะไรกับเธอก็ได้” เขากระชากเสียงใส่พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามา “อ้อ ไม่เจอหน้ากันสามวัน เลยลืมสัญญาระหว่างเราไปแล้วสินะ”

ดวงตากลมเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างสั่นระริกจนสิทธิ์สัมผัสได้ ริมฝีปากบางเม้มเน้นด้วยความขึ้งแค้น ก่อนจะขืนพูดออกมา

“คุณมันเลวที่สุด”

ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างไม่หยี่ระต่อคำพูดและอาการของอีกฝ่าย ทันทีที่คลายมือออก ร่างบางก็ถอยหนีราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคก็มิปาน แต่กระนั้นก็ไม่ได้วิ่งหนีจากเขาแต่อย่างใด

“ไว้ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดต่อจากนี้ แล้วค่อยด่าก็ยังไม่สายหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ขาทั้งสองค่อยๆเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม

“…คุณต้องการอะไร”

สิทธิ์นิ่งมองอีกฝ่าย พอนึกถึงเรื่องที่ก้องบอกให้ฟังแล้ว เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี ว่าคนตรงหน้าจะเลวร้ายถึงขนาดนั้น ยิ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ ยิ่งดูขัดกันเข้าไปใหญ่

แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ อยากเกิดมาเป็นน้องไอ้วินมันทำไม

 

“ไม่มีอะไรจริงๆนะ” ชาย้ำถามอีกครั้งด้วยความสงสัย หากเป็นไปได้ เขาอยากจะให้ดรมาพูดตรงหน้ามากกว่า จะได้จับพิรุธว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่

“ไม่นี่ครับ ก็ทำงานตามปกติเหมือนเดิม” เสียงในสายเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ “คุณชาคิดว่ามันควรจะมีอะไรหรือไงครับ”

“…เปล่า ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว…” ชายหนุ่มตัดบท “ขอบใจมากนะดร”

“เอ่อ…ครับ…คุณชาครับ” ดรเรียกหลังจากคิดอยู่นาน “คือ ผมอาจจะพูดอะไรก้าวก่ายนะครับ แต่ผมว่าทำแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรคุณวินเลยนะครับ”

“…อยากจะพูดอะไร”

“ผมแค่คิดว่า คุณชาตามใจคุณวินเกินเหตุไปแล้วน่ะสิครับ” เนื่องจากอัดอั้นมานาน เลยโพล่งใส่ทันที “ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มิต้องจับสองคนนั่นมาแต่งงานกันเลยรึไงครับ…ฮัลโหลๆ…คุณชา”

“…ฟังอยู่…”

เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาขนลุกเกรียว และทำให้ดรเพิ่งสำเหนียกขึ้นได้ว่าตนพลั้งปากในสิ่งที่ไม่ควรออกไป

“ฉันรู้ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อคุณวินรักเดียร์อย่างกับอะไรดี” ใช่ รักมากเสียจนฉันเริ่มสงสัยเหมือนกันว่าพ่อคุณเขาคิดอะไรเกินเลยกับไอ้เด็กเวรนั่นหรือเปล่า ให้ตายสิ ตั้งแต่รู้จักกันมา หมอนั่นก็เห็นเดียร์มาเป็นที่หนึ่งตลอด จนถึงขนาดโดนแฟนบอกเลิกเพราะเห็นน้องสำคัญกว่ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว…ถึงอย่างหลังฉันจะได้ประโยชน์หน่อยๆก็เหอะ… “ตอนนี้ถ้าไม่อยากให้เป็นไปตามแผนไอ้ธานินทร์ เราก็ทำได้แค่อย่าให้เดียร์อยู่กับสิทธิ์จนกว่าเราจะหาทางเปิดโปงหมอนั่นได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้มันตายๆไปซะก็ดี แล้วถึงตอนนั้น ฉันจะไม่ตามใจคุณวินแบบนี้แน่”

เอ่ยเสียงแข็งแฝงแค้นซะขนาดนั้น ผู้น้อยเลยได้แต่รับคำอย่างหวาดๆ นึกแล้วดรก็รู้สึกหวั่นไม่น้อย ถ้าหากชารู้ความจริงล่ะก็ มีหวังเขาคงได้กลายเป็นศพตามธานินทร์ไปด้วยเป็นแน่ เพราะเขาเลิกตามไอ้เด็กนั่นแล้ว และตอนนี้ก็กำลังนั่งแกร่วอยู่ในห้องของตนด้วย

“ถ้างั้นก็แค่นี้ก่อนละกัน ถ้ามีอะไรผิดปกติก็โทรมาทันทีนะ”

พอวางสายก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า ดวงตาเรียวเลื่อนมองนาฬิกาบนโต๊ะที่บอกเวลาสามทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มจึงลุกออกจากห้องแล้วชะเง้อมองลอดผ่านไปยังประตูห้องทำงานของเจ้านาย เมื่อเห็นว่าวินกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับงานตรงหน้า ชาเลยถอนหายใจอีกครั้ง ดูจากอาการคงไม่ต้องเข้าไปปลอบเรื่องเดียร์ได้พักใหญ่ๆ

ชาเดินออกไปทางบันไดหนีไฟหวังจะสูบบุหรี่แก้เครียด แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ก็เจอเรื่องเพิ่มความเครียดเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“อะไรนะ พลาดเหรอ แล้วทีนี้จะทำยังไงละ”

ไอ้นิน?

เนื่องจากมัวแต่กลุ้มเรื่องเดียร์ เขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ธานินทร์ก็อยู่ทำโอทีที่บริษัทด้วย ดวงตาเรียวคมพยายามสอดส่องเข้าไปในช่องว่างของประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อย เขาเห็นร่างที่กำลังยืนอยู่ทางเดินชั้นบน แต่ไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเพราะธานินทร์หันหลังให้

“ไม่ได้หรอก แค่พูดปากเปล่า เดี๋ยวก็เสียเรื่องเหมือนคราวที่แล้วอีก” น้ำเสียงของธานินทร์ดูจะหงุดหงิดไม่น้อย “ต้องมีหลักฐานให้เห็นชัดๆนั่นล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณวินไม่ยอมเคลื่อนไหวหรอก คราวก่อนก็เกือบจะสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่ไอ้ชามันดันโทรไปบอกคุณนายซะก่อน จบเลย…เออ เอาเถอะ ตอนนี้คุณวินก็ไปหาเดียร์ไม่ได้ แถมเจ้านายคุณก็รุกเด็กนั่นเต็มที่เลยนี่ คงลงมือไม่ยากหรอก แค่นี้ก่อนละกัน”

ก่อนที่จะได้คิดสงสัยไปมากกว่านี้ ชาก็ต้องรีบหลบเข้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล เมื่อธานินทร์เดินกลับเข้ามา ชายหนุ่มรอจนอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน ก่อนจะค่อยๆเดินออกมาด้วยสีหน้าข้องใจ

หมายความว่าไงกัน!

ชาถึงกับกุมขมับ ก็ในเมื่อดรบอกว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร แล้วสิ่งที่ธานินทร์พูดเมื่อครู่มันหมายความว่าอย่างไรกัน

“…ไม่จริงน่า…”

ชายหนุ่มหน้าซีด เผลอกำหมัดแน่น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะเสียท่าให้ไอ้เด็กบ้าความรุนแรงไม่เลือกหน้านั่น แต่ที่ชวนอึ้งกว่าคือ การที่ดรโกหกเขานี่แหละ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็เถอะ อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่า ที่ดรกล้าขัดคำสั่งเขา เพราะเดียร์เป็นแน่!

“…ไม่สิ อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

ชายหนุ่มพยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ แม้ว่าตอนนี้จะอยากวิ่งไปจับไอ้เด็กผีนั่นมาขังไว้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ตาม…

“ครับ? มีอะไรหรือครับคุณชา”

“แกโกหกเรื่องเดียร์อยู่ใช่ไหม”

ดรแทบจะขว้างมือถือทิ้งทันทีที่ได้ยิน แต่เพราะความกลัวที่แทรกเข้าเส้นเลือด เลยทำให้มือไม้มันแข็งทื่อไป

“อย่าโกหก ฉันรู้หมดแล้ว” ชายหนุ่มพูดข่ม “บอกมาให้หมดว่าไอ้เด็กเวรนั่นทำอะไร แกถึงได้ยอมทำตามมัน”

“ปละ…เปล่านะครับ ผมไม่ได้ทำตามหมอนั่นสักหน่อย” เสียงทุ้มลนลาน อาการเหมือนคนกำลังจะโดนโบกปูนถ่วงอ่าว “ทะ…ที่ผมทำไป ก็เพื่อคุณวินนะครับ”

ถ้าอยู่ต่อหน้า หมัดคงลอยเข้าหน้าดรไปแล้ว

“แล้วผมก็เห็นว่าไอ้เด็กนั่นมันก็ชอบคุณสิทธิ์ ก็ปล่อยให้พวกเขาไปมีความสุขเลยสิครับ จะไปกีดกันทำไมละครับ…”

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้โว้ย!!”

แม้แต่คนพูดยังเผลอสะดุ้งเพราะดันลืมตัวตะคอกเสียดัง ชาหันไปมองทางห้องประธาน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งปั่นงานอยู่บนโต๊ะ จึงหันกลับมาคุยต่อ

“นายรีบไปจับหมอนั่นกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ จะรุนแรงแค่ไหนฉันก็ไม่ว่า ถ้าให้ดีโปะยาสลบเลย ไม่ต้องถามไถ่อะไรมันทั้งสิ้น”

ดรถึงกับอ้าปากค้างเพราะเขาไม่คิดว่าชาจะใช้วิธีโหดร้ายขนาดนั้นกับเดียร์ได้ ก็เห็นดูจะสนิทกันดีออก

“ครับ ได้ครับ” ว่าเสร็จก็รีบไปจัดการตามสั่งอย่างทันท่วงที

และเพียงยี่สิบนาทีก็โทรกลับมา

“…ผมว่าคงไม่ทันแล้วละครับ…” ดรเอ่ยเสียงค่อย

“ทำไม” ชาเผลอกัดฟันกรอดเพราะไม่คิดว่าจะได้ฟังสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน “หมอนั่นมันหนีนายไปได้รึไง”

“แย่กว่านั้นอีกครับ…” ถ้ามุดดินหนีได้ ดรคงทำไปแล้ว “เพราะตอนนี้เดียร์กำลังอยู่กับคุณสิทธิ์ครับ…และกำลังไปกับคุณสิทธิ์แล้วครับ”

“ว่าไงนะ!”


_________________________
แหะๆ ที่หายไปไม่ใช่ว่าอู้หรอกนะงับ จริงจริ๊ง พอดีติดเรื่องทำหนังสือ ย้ายบ้าน พาแมวทำหมัน เลยไม่ได้เอามาลงซักที =3= แต่ก็ต้องขอโทษที่หายไปเสียนานด้วยงับ =_=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 16 (11/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-09-2013 21:54:02
เย้ย เรื่องนี้หนุกอ่ะ ชอบ ๆๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 16 (11/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 13-09-2013 16:10:14
น๊าน~นาน กว่าจะมา  :hao5:

ฮาเสี้ยนถูกทำร้าย//นั่งขรรม  :laugh:
The M จริงๆน้องเดียร์
อ่านไปแต่ล่ะตอนอ่านแผนการของน้องเดียร์ไปนั่งหัวเราะไป
เป็นมาโซที่น่ารักดีนะ พยายามทุกวิถีทาง 55+
ชอบๆ จะติดตามนะค่ะ

+1
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 13-09-2013 20:25:10
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 17         

          น้อยถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความโล่งอก ทันทีที่เห็นใบหน้าเรียวส่งยิ้มที่อ่อนหวานและงดงามจนมีแสงประกายวิบวับอยู่รอบเดียร์ เพราะนั่นหมายความว่าความกลัดกลุ้มเมื่อคืนก่อนได้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว

          “วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ” เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับนำริบบิ้นและกระดาษสามาวางบนโต๊ะ

          “จ้า” เจ้าของร้านรับเสียงแช่มชื่น ดูท่าทางวันนี้คงจะขายดีกว่าปกติเป็นแน่

          “ใช่ครับ อากาศดีสุดๆไปเลย”

          เหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าทันทีเลยทีเดียว…แต่ก็รู้อยู่แล้วละนะว่าอีกฝ่ายจะมา ถึงจะช้ากว่าที่คิดก็เถอะ เขายอมรับว่าดรก็ปกปิดเก่งเอาเรื่องเหมือนกัน

          น้อยถึงกับใบ้กินเมื่อเห็นผู้มาเยือน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายมาคนเดียว ด้วยใบหน้าเหี้ยมผิดจากทุกที เธอเหลือบตาไปมองลูกน้องคนงามด้วยความหวาดหวั่นปนประหลาดใจ และสิ่งที่ได้รับคือรอยยิ้มแสนหวานของเดียร์

          “เดี๋ยวผมขอเข้าไปคุยธุระกับคุณชาด้านในสักครู่นะครับ” ว่าแล้วก็จูงคนหน้านิ่งที่ส่งกระแสดำมืดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ดอกไม้จะโดนรังสีเหล่านั้นเล่นงานจนเหี่ยวเฉากันหมด

          “คุณอยากจะให้ผมเป็นไมเกรนตายใช่ไหมครับ ถึงได้ทำแบบนี้” มาถึงก็ใส่อารมณ์ทันที แต่ก็พยายามสุภาพเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่ารุนแรงไปจะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัวเองมากกว่า

          “ผมก็บอกไปแล้วนี่ว่าเดี๋ยวผมจัดการเอง จะกลุ้มไปทำไมละครับ”

          “ก็เพราะอย่างนั้นไง ผมถึงกลุ้มน่ะ!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงเบา “ผมรู้นะว่าคุณคงคิดจะให้เรื่องมันบานปลาย เพราะมันจะทำให้คุณโดนทำร้ายเต็มที่ละสิ ใช่ไหม”

          “มันก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” คนตัวเล็กยิ้มหวาน หากแต่ไม่อาจสยบอารมณ์ร้อนได้เลยสักนิด กลับจะให้ผลตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ “ที่ผมทำไปก็เพราะจะช่วยให้เรื่องมันจบเร็วขึ้นนะ”

          “หึ อย่ามาชักแม่น้ำทั้งห้าดีกว่า ผมไม่หลงกลคุณหรอก” ชาสวนกลับทันควัน “คุณจะบอกว่า คุณวางแผนทำตามที่พวกนินต้องการ แล้วพอมันแสดงธาตุแท้ออกมา จะได้ตลบหลังมันอีกทีล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ”

          แหม สมกับเป็นคนคอเดียวที่รู้จักกันมานานจริงๆ อ้าปากก็เห็นถึงไส้ติ่งกันเลยทีเดียว

          “ถ้าไอ้นินมันโง่ขนาดตกหลุมพรางของพนักงานร้านดอกไม้ได้ ผมว่ามันควรจะลาออกไปขายกล้วยแขกดีกว่า”

          “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ทีเลขาประธานควบตำแหน่งบอดี้การ์ดกับประธานบริษัทก็เสียท่าให้ผมมาหมดแล้วนี่”

          เจอไม้นี้เข้าไป คุณเลขาที่ว่าถึงกับสะอึก เถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว

          “คุณชาอยากจะขวางผมก็ไม่ห้ามหรอกนะครับ เพราะผมเข้าใจว่าคุณคงเป็นห่วงพี่วินมากจนต่อให้ พี่วินกลายเป็นง่อยเพราะไม่ได้ทำอะไร คุณก็ยอมสินะ”

          มันหลอกด่าตูนี่หว่า ไอ้เด็กเวรตะไลนี่!

          “ผมไม่คิดจะเสี่ยงไปกับแผนการของคุณหรอกนะ” ชายหนุ่มประกาศลั่น

          “แล้วคุณจะทำยังไงหรือครับ จะตีหัวผมให้สลบแล้วจับผมขังไว้ที่ไหนสักแห่งหรือครับ” ไอ้รู้ทันก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ไอ้พูดด้วยสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือยิ่งทำให้ชารู้สึกผวายิ่งกว่า…ถึงจะรู้ไส้รู้พุงกันอยู่แล้วก็เถอะ “จะเอาอย่างนั้นก็ได้นะครับ”

          ทั้งที่ตั้งใจไว้อย่างนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า แม้จะทำลงไปจริงๆ แผนนี้ก็คงเหลวแน่

          “ผมบอกด้วยความหวังดีไว้ก่อนนะ ว่าตอนนี้เหลือแต่แบดเอนไว้ให้คุณเท่านั้นละ นอกเสียจากจะร่วมมือกับผม ถ้าอยากจะดึงดันนักผมก็ไม่ว่า พี่วินคงไม่ได้สำคัญสำหรับคุณเท่าไหร่งั้นสิ”

          ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนขู่ แต่สิ่งที่ได้ยินมานั้น เขากลับสัมผัสได้ ว่ามันไม่ใช่แค่ขู่

          “เชื่อใจผมหน่อยเถอะครับ ถึงยังไงผมก็ไม่ยอมให้พี่วินตกอยู่ในอันตรายหรอก” เพราะที่ตรงนั้นต้องมีไว้ให้ผม

          ชาไม่อยากจะยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่ายเลย เพราะมันเสี่ยงเกินไป เขาแทบนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าไอ้เด็กขายดอกไม้ตัวเล็กๆพรรค์นี้ จะไปจัดการอะไรกับธานินทร์ที่เป็นถึงผู้บริหาร แถมยังเป็นไอ้จิ้งจอกจอมวางแผนที่ทำเอาเขาต้องอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้นมานานปีดีดักแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงศัตรูที่อยู่ฝั่งสิทธิ์ด้วยนะ

          แต่ปัญหาคือตอนนี้เขาเลือกไม่ได้นี่สิ

          “เงียบ แปลว่าตกลงนะครับ” เมื่อเห็นชายหนุ่มเอาแต่ยืนนิ่ง เดียร์ก็สรุปเสียงหวาน “ถ้างั้น ผมฝากพี่ด้วยละกัน คุณชารีบกลับเถอะครับ เดี๋ยวพี่วินจะถามหาเอา”

          “ไม่ต้องมาพูดดี” เนื่องจากไม่อยู่ในอารมณ์รับมุกเท่าไหร่ เขาเลยกระแทกเสียงใส่ “หวังว่าจะทำได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน”

          “คร้าบ” ร่างบางยิ้มหวาน หากแต่คนมองรู้สึกเหมือนโดนหยามสุดๆ “โอ๊ะ”

          ชาเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เพราะประตูเปิดก่อนที่เขาจะได้ยื่นมือไปจับลูกบิดประตู เผยให้เห็นคนที่ชวนให้ทั้งคู่ตกใจกว่า

          คุณสิทธิ์?

          เดียร์หน้าเสีย เพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้ยินเรื่องที่พวกตนคุยเมื่อครู่ แต่พอเห็นอาการพ่อหมีแล้ว ถึงโล่งใจ

          “คุณชา…มะ…มาทำอะไรที่นี่หรือครับ”

          ถามกันอย่างสนิทสนมเสียจนน่าแปลก นี่ถ้าเปลี่ยนว่าคุณสิทธิ์เป็นเพื่อนพี่ล่ะก็ยังจะเข้าทีเสียกว่า

          หนุ่มหน้านิ่งยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวให้ “ถ้าคุณตัดสินใจแบบนี้ ผมก็คงทำอะไรไม่ได้”

          ขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องปล่อยให้คุณไปเป็นเหยื่อไอ้เด็กเวรนั่น แต่ผมไม่มีทางเลือก

          แต่สิทธิ์ฟังแล้วเข้าใจไปไกลกว่าโข…เพราะอาการหมดอาลัย และดูเจ็บใจอย่างเหลือคณานั่น ดูแล้วเหมือนกับชายผู้ไม่อาจดูแลคนรักจนต้องปล่อยให้คนอื่นยังไงยังงั้น

          “…ดูเหมือนจะไม่ได้เล่าเรื่องของเราไปสินะ” หลังจากชาไป สิทธิ์ก็ปิดประตูแน่น อยู่ในห้องปิดทึบสองต่อสองนี่ช่างชวนให้ระทึกนัก

          เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำ แล้วตอบด้วยท่าทีขืนๆ “ผมบอก…แค่เรื่องที่คุณอยากให้บอก…”

          “ดี” เสียงทุ้มเหี้ยมดังขึ้นอย่างพึงใจ “อย่าคิดตุกติกล่ะ ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าฉันใจร้ายล่ะ”

          ดวงตากลมแสดงอาการตกใจอย่างชัดแจ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโทสะ มือบางยกขึ้นขยำอกเสื้อของร่างสูงเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว

          น่ารักจัง…ฟัค!! ตูคิดอะไรฟะ!!

          “อย่ามาทำเสื้อฉันยับ” ชายหนุ่มรีบผลักอีกฝ่ายไปห่างๆ เพราะกลัวจะเผลอไปคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอด “แล้วตอนเลิกงานฉันจะมาหา”

          เดียร์นิ่งมองอีกฝ่ายออกไปจากห้อง ก่อนจะถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ตาหมีนี่ บทจะทำให้ระทึกก็ทำเอาหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยทีเดียว

          แต่เอาเถอะ จัดการเสี้ยนหนามไปหมดแล้ว ที่เหลือก็สบายเราแล้ว…หึๆ

 

          ทีแรกตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิดตอนใกล้สองทุ่ม เดียร์ก็นึกว่าเป็นสิทธิ์ แต่พอหันไปกลับไม่ใช่

          “…ฉันมาแทนคุณสิทธิ์”

          ดูจากอาการของหนุ่มตาตกแล้ว หากไม่ติดว่าน้อยอยู่ ท่าทางคุณพี่แกจะเปลี่ยนจากพูดเสียงเนิบ มาทำเหี้ยมใส่เป็นแน่ เดียร์ก็ไม่รู้หรอกว่าไปทำอะไรให้ฤทธิ์หงุดหงิด เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันเมื่อคืน เขาก็เอาแต่กระแนะกระแหน ด่าทอ พูดเสียดสี กระแทกไหล่ใส่เมื่อเดินสวน พอไม่ได้ดั่งใจก็ตบหัวกันแบบไม่ยั้งมือกันเลย

          อ๊างง นี่มันสวรรค์ชัดๆ

          “สักครู่นะครับ” ถึงจะอยากต้อนรับด้วยรอยยิ้มเบิกบานก็ต้องทนข่มจนแสดงสีหน้าทรมานแทน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เป็นพวกชอบรุนแรงใส่อย่างที่ก้องบอก เขาก็กลัวว่าฤทธิ์จะขยะแขยงเขาจนไม่กล้าเข้าใกล้…นั่นก็อยากโดนอยู่ เพียงแต่มันจะเสียแผนเอา

          “นั่นใครเหรอเดียร์” น้อยกระซิบถามอย่างตื่นเต้น ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการพิศวาสต่อเดียร์ให้เห็นเลยสักนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกหญิงสาวหรอก แค่หน้าตาเข้าเกณฑ์เจ๊แก ก็โดนจับจิ้นกันหมด ถึงแม้ฤทธิ์จะไม่เรียกว่าหล่อ แต่เพราะแต่งตัวดี และดูสะอาดสะอ้าน แค่นั้นคุณแม่ยกก็เทใจให้แล้ว

          “ลูกน้องคุณสิทธิ์น่ะครับ ชื่อ…พี่ฤทธิ์” คิดแล้วก็อดนึกทึ่งเล็กๆไม่ได้ นี่ถ้าบอกว่าอายุใกล้ๆกับเขายังจะเชื่อมากกว่า ใครจะไปคิดว่าหนุ่มตาตกจะอายุใกล้ๆกับก้องกัน

          “อ๋อ งั้นหรอกเหรอ ถึงขนาดให้ลูกน้องมารับด้วยเหรอ ฮุๆ” มีหัวเราะเสียงสูงให้ชวนสงสัย “งั้นไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแค่นี้พี่จัดการเอง ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

          เมื่ออีกฝ่ายคะยั้นคะยอ อีกทั้งยังแผ่ออร่าสีชมพูใส่ เด็กหนุ่มจึงยอมตามแต่โดยดี

          “ให้ตาย ทำไมฉันต้องมาเป็นสารถีให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกด้วยก็ไม่รู้” ขึ้นรถปุ๊บ พ่อคุณก็บ่นปั๊บ แล้วเร่งเครื่องดังกระหึ่มแบบไม่แคร์ว่าจะรบกวนชาวบ้านหรือไม่

          คนนั่งหลังนิ่งเงียบ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยรู้จักอีกฝ่ายเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดีให้ชายหนุ่มไม่หาเรื่องตน…แม้ใจจริงจะอยากยั่วโมโหก็ตาม…แต่ไม่ใช่ของของเรา ก็ต้องอดทนล่ะนะ

          ฤทธิ์เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดวงตาตกเลื่อนมองคนด้านหลังผ่านกระจก คิ้วเรียววิ่งชนเข้าหากัน ถึงจะหงุดหงิดอยากหันกลับไปตบบ้องหูอย่างไร เขาก็ไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องคนที่ไม่คิดจะสู้ด้วยอยู่แล้ว มันไม่ใช่แนวเขา

          ที่สำคัญคือ มีคนรอจัดการอยู่ที่บ้านอยู่แล้วนี่ เขาเองก็ไม่อยากจะขัดใจด้วย

          เดียร์แอบเลิกคิ้วตอนที่ได้ยินเสียงฉีดน้ำมาจากในบ้าน และทันทีที่เปิดประตูสีขาวออกมา ทั้งสองก็พบน้ำเจิ่งนองมาจนเกือบถึงประตู

          “…พอดีก๊อกอ่างล้างมือกับสายจ่ายน้ำมันรั่วน่ะ” พอได้ยินเสียงประตูก้องก็โผล่มาจากในครัว และก็ออกอาการชักกระตุกเมื่อเห็นแฟนหนุ่มยืนหน้าบึ้ง ท่าทางพร้อมจะขย้ำหัวเขาทุกเมื่อ

          “แล้วทำไมไม่เรียกช่างวะ” ฤทธิ์สวนกลับเสียงขุ่นก่อนจะย่ำเข้าไปหาแบบไม่กลัวเปื้อนกางเกงสแลคสีกรมท่าของตัวเอง และไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงก็เสยเข้าที่คางแบบไม่มียั้งแรง

          “โธ่…ก็ดึกป่านนี้แล้ว ร้านช่างปิดหมดแล้วมั้ง ที่สำคัญ ฉันซ่อมสายเสร็จแล้วด้วยไง เหลือแค่ก๊อกเอง”

          ทำเสียงอ่อย ยิ้มแหย แต่ปิดอารมณ์ระรื่นไม่มิดเลยนะเฮียแว่น

          “…นั่นสิครับ ดึกขนาดนี้แล้ว ร้านซ่อมคงปิดหมดแล้วละครับ” อันที่จริงเขาก็แค่อยากจะเสนอความเห็น ไม่คิดว่ามันจะไปกระตุกต่อมหงุดหงิดของอีกฝ่ายหรอก…แต่เอาเข้าจริง ตั้งแต่เห็นหน้ามา เดียร์ก็เห็นฤทธิ์เอาแต่อารมณ์เสียไม่หยุด ไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหน พ่อคุณทั้งโวยทั้งซัดก้องตลอด จะยกเว้นก็แค่กับสิทธิ์นี่ล่ะ ที่จะยิ้มกว้างพูดจานิ่มนวลด้วย…หรือจริงๆเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ยกเว้นแค่กับเขาและก้องเท่านั้นก็ไม่รู้ ที่จะทำรุนแรงใส่

          “ใครถาม” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เป็นที่ซาบซ่านแก่เดียร์ยิ่งนัก ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองร่างบาง ท่าทางเหมือนจะสะกิดใจบางอย่าง

          อุ…

          “…ทะ…ทำไมหรือครับ” เสียงหวานที่ถามสั่นระริก

          “งั้นแกก็ไปซ่อมสิ”

          เอางั้นเลยหรือคุณพี่…โถ่ ผมก็นึกว่าจะสังเกตถึงออร่าดี๊ด๊าของผมเสียอีก…

          “แต่ผมซ่อมไม่เป็น…” เด็กหนุ่มตอบตามตรง ความรู้สึกอึดอัดที่โดนยัดเยียดงานที่ทำไม่ได้ช่างสุขล้น

          “นั่นสิ ฉันว่ามันจะยิ่งแย่ไปใหญ่นา” ก้องรีบเสริม ครึ่งหนึ่งเพราะไม่อยากให้ความลำบากโดนแย่ง

          แต่ถ้าดูจากภายนอก ไม่ว่าจะดูท่าไหนก็เหมือนก้องกำลังปกป้องเดียร์จากการกลั่นแกล้งของฤทธิ์อยู่ชัดๆ

          เด็กหนุ่มผงะเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอานุภาพแห่งเพลิงพิโรธของอีกฝ่ายจะแรงสะท้านทรวงเขาจนสั่นไปทั้งตัว...นี่ถ้าคุณสิทธิ์ทำแบบนี้สักครึ่ง ผมคงฟินยาว

          “อย่างน้อยถามคุณสิทธิ์ก่อนดีกว่า” หนุ่มแว่นเสนอเมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายดูจะไม่ยอมท่าเดียว

          ฤทธิ์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มที่ดูเย็นยะเยือกและแฝงไปด้วยความเหี้ยม

          “นั่นสินะ”

          ว่าจบก็เดินระรื่นขึ้นชั้นสองทันที

          “สเป็คผมเลยนะนั่น”

          ผัวะ!

          ก้องถึงกับสะดุ้งที่เผลอชกเข้าหน้าเด็กหนุ่ม อันเพราะความหึงเข้าครอบงำ แต่ทำแบบนี้ไปก็ไม่ต่างอะไรจากยื่นเนื้อให้เสือ

          ก็ดูหน้ามันสิ บ้าเอ๊ย เผลอซัดเต็มแรง เล่นเอามันหน้าบานเป็นจานเลย

          “แหม นี่มันสวรรค์ชัดๆ ทางโน้นก็ด่า ทางนั้นก็เสียดสี ทางนี้ก็ใช้กำลัง ครบวงจรเลยจริงๆ”

          “เลิกพูดได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะเอากรวดบนเตียงนายออกให้หมดเลย”

          หน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว

          “ว่าแต่นะ คุณพี่ขึ้นไปนานจัง ท่าทางคงเสียเวลากล่อมให้คุณสิทธิ์หาเรื่องแกล้งผมอยู่แน่ๆ”

          ก้องตงิดใจกับสรรพนามเรียกฤทธิ์ของอีกฝ่าย แต่ก็ปล่อยผ่านไป นอกจากพยักหน้าให้

          กว่าจะเสด็จลงมาเล่นเอายืนกันขาแข็งอย่างสุขใจ ทันทีที่สิทธิ์เห็นพื้นที่เจิ่งนองก็ออกอาการผงะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากหันไปมองเดียร์ ซึ่งมีหลุดสีหน้ารู้สึกผิดให้เห็นแว้บๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโหมดเหี้ยม

          “ทำไม แค่นี้ทำไม่ได้หรือไง” พอเห็นสีหน้าเป็นกังวลของร่างบางก็ถามด้วยน้ำเสียงดูถูก

          “แล้วคุณทำได้หรือครับ”

          สวนได้สวยมาก เล่นเอาของขึ้นแบบไม่ต้องเสแสร้งเลยทีเดียว

          “เอ่อ…ผมว่าเปลี่ยนจากซ่อมมาเป็นให้ทำความสะอาดพื้นจะดีกว่านะครับ”

          เนื่องจากกลัวว่าอาการมันจะแย่ไปกว่าเดิม หนุ่มใหญ่เลยเสนอแนะเสียงอ่อน อย่างน้อย เช็ดพื้นทั้งบ้านคงดูลำบากกว่าไปซ่อมก๊อกเยอะ

          สิทธิ์ทำหน้านิ่งก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วบ้าน ซึ่งท่าทางกว่าจะเช็ดเสร็จ คงเป็นชั่วโมง เพราะน้ำนองตั้งแต่ในครัวยาวมาถึงห้องนั่งเล่นนี่ “งั้นก็ได้ เช็ดให้เสร็จ แล้วก็เอาผ้าเช็ดเท้าที่เปียกไปซักด้วยละ”

          ก้องถึงกับโล่งใจเมื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากนักเพราะโดนฤทธิ์จ้องเขม็ง เลยได้แต่หนีกลับไปซ่อมก๊อกก่อนที่คุณแฟนจะวีนแตก

          ทีแรกเดียร์นึกว่าคุณชายจะสั่งแล้วกลับขึ้นห้องเสียอีก แต่ปรากฏว่าเขากลับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้แทน

          “เผื่อแอบอู้ไง” ชายหนุ่มบอกเสียงต่ำ “ทำหน้าแบบนั้นมีปัญหาหรือไง รีบๆทำเข้าสิ”

          เดียร์กำหมัดแน่น ร่างบางสั่นระริก ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อไปหยิบอุปกรณ์ออกมา

          จากนั้นก็จัดการด้วยความเร็วแสง

          แม้แต่คนสั่งยังอ้าปากค้างต่อสิ่งที่เกิด ใครจะไปนึกว่าไอ้เด็กแพ้ฝุ่นนี่มันจะทำความสะอาดได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้กัน ขนาดพื้นที่แคบอย่างด้านในโซฟากับใต้โต๊ะรับแขกยังไม่เหลือคราบน้ำให้เห็นเลยสักนิด

          “แหม พ่อบ้านประจำหมดงานเลยแฮะ” ฤทธิ์พึมพำเบาๆ แล้วหันไปหาเจ้านายที่ยังตะลึงไม่เลิก จากนั้นก็กระแอมไอเรียกสติ

          “อะ…เหอะ ก็งั้นๆละ ยังเหลือที่ครัวอีกนี่ ไปทำซะสิ”

          ถ้าคิดแบบนั้นจริงก็อย่าตะลึงออกนอกหน้าสิครับ…ใจจริงฤทธิ์ก็อยากจะพูดอยู่หรอก แต่ไม่อยากหักหน้าสิทธิ์เลยเงียบแทน

          แม้แต่ก้องที่เพิ่งเดินกลับออกมาจากครัวยังผงะ หนุ่มแว่นเบิกตามองแฟนที่ยักไหล่ให้ตน และไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงบางอ้อ…อันที่จริงเขาก็พอจะรู้เลาๆมาว่าเจ้าเด็กนี่เคยโดนแม่เลี้ยงโขกสับให้ทำโน่นนี่มาแต่เด็ก แต่ไม่คิดว่าสกิลแม่บ้านมันจะสูงขนาดนี้

          แหม ก็การได้เห็นสิ่งที่สู้ตั้งใจทำให้สวยงามโดนทำลายล้างชั่วพริบมามันเปี่ยมสุขสุดๆเลยนี่นา อา…นึกถึงสมัยตอนอยู่กับคุณแม่มาริสา พอผมซักเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ เธอก็จะเดินมาทำผ้าร่วงลงพื้นพร้อมกับใช้ส้นตึกสีแดงที่ไปเหยียบขี้หมาขยี้เสียจนต้องซักใหม่มือแทบเปื่อยบ้าง หรือพอผมทำความสะอาดห้องทีไร พอออกไปทำอย่างอื่น แล้วกลับเข้ามาก็จะพบว่าห้องรกและเละเทะเหมือนมีฝูงวัวบ้าเพิ่งวิ่งผ่านเข้ามาบ้าง เล่นเอาผมมีความสุขทุกวันเลยทีเดียว จะน่าเบื่อก็ตรงแม่เขาจะมีโอกาสมอบความรักให้ผมแค่เฉพาะตอนที่พ่อกับพี่วินไม่อยู่แค่นั้นละ

          “พอใจหรือยังครับ หรืออยากจะให้ทำอะไรอีก” ไม่ใช่แค่สีหน้าและแววตา น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความภูมิใจต่อชัยชนะ เล่นเอาอารมณ์ของผู้ท้าชิงเดือดปุด…ก็นะ ถ้าปล่อยให้เล่นเอง มีหวังบทคงไม่เดินตามที่รอสักที

          “มีสิ” เสียงทุ้มดังเหี้ยมก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้ามาจับข้อมือบางแน่น “หน้าที่ของแฟนที่ดีไง”

          เอาแล้วไง

          ก้องเกือบจะร้องห้ามแล้ว แต่เจอฤทธิ์จ้องใส่เลยได้แต่ใบ้กิน

          “คุณจะทำอะไร…” เสียงหวานสั่นเครือ พร้อมกับดึงมือตนกลับสุดแรง แต่มีหรือจะสู้อีกฝ่ายได้

          “ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าจะทำอะไร อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาไปหน่อยเลย” นึกถึงเรื่องที่ก้องเล่าแล้ว เขาก็อดกระแทกเสียงใส่ไม่ได้

          ก้องได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความละเหี่ยใจ เหมือนกำลังรับชมละครหลังข่าวอยู่ก็ไม่ปาน แถมยังเป็นช่วงไคลแม็กซ์เสียด้วย ท่าทางจะต้องไปทางนั้นแล้วสินะ

          อย่าลืมใส่ถุงก็แล้วกันนะครับคุณสิทธิ์…

______________________________

ไม่ได้อู้จริงๆนะ =[]=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 13-09-2013 20:59:37
ถูกใจเดียร์แน่ๆ  :oo1: :oo1: :-[
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 13-09-2013 21:09:06
นั่งฮาคุณแม่เลี้ยง :jul3:
นี่หนูเดียร์ดีใจตั้งแต่เด็กเหรอ! มีคนทำแบบนั้นใส่!
เออ...ข้อดีของคนเป็นM(ฮา) :laugh:

รอNCจะมีไหมน๊า ชอบมีตัวขัดทุ๊กที :mew5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-09-2013 21:49:20
ฮะๆๆ ทำงี้ยิ่งถูกใจหนูเดียร์สุดๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 14-09-2013 03:46:34
ฮา และ งงกับอารมณ์แต่ละนาง ปรับอารมณ์กันแทบไม่ทัน
คือถ้าไม่รู้ว่านังน้องเดียร์เป็นมาโซ น้องมันก็ดาวพระศุกร์ชัดๆ
ฮาตรงอะไรที่มันควรน่าสงสาร มันกลายเป็นน่าหมั่นไส้ไปหมดนี่แหละ สงสารพระเอกแทน คงหัวปั่นหน้าดู
รอตอนหน้า :haun4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 14-09-2013 15:53:34
ยืดอกพกถุง!!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: jum ที่ 14-09-2013 21:32:39
จะโดนขัดจังหวะอีกไหมล่ะเนี่
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 17 (13/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 15-09-2013 21:06:55
อย่าให้มีใครมาขัดอีกนะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 15-09-2013 23:19:37
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 18 

          “พูดก็พูดนะ ฉันว่ามันแปลกๆยังไงไม่รู้”

          หลังจากมองส่งเจ้านายกับคุณชายมาโซฯเสร็จ ฤทธิ์ก็เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงข้องใจ เล่นเอาคนที่รู้ทุกอย่างเกิดอาการเครียดและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

          “ยังไง…เหรอ”

          “ก็คุณสิทธิ์น่ะสิ” พอได้ยินหัวข้อ ก้องถึงกับโล่งใจปนเสียดายสุดๆ “ไอ้เรื่องหาทางบังคับสงบศึกกับฝั่งคุณวินน่ะ จะมาเข้าทางไอ้เด็กนั่นฉันก็ว่าไม่แปลกหรอก แต่ทำไมต้องใช้วิธีการบ้าบอแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ เอาจริงๆนะ อย่างคุณสิทธิ์น่ะ ไปตีซี้กับไอ้เด็กนั่นแล้วเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้ อย่างคุณวินน่ะ ไม่กล้าทำอะไรเพื่อนน้องชายหรอก”

          ใครว่าล่ะฤทธิ์เอ๊ย เพราะจากที่ฉันฟังคุณวัฒน์เล่ามา นั่นเป็นแผนที่คุณสิทธิ์ตั้งใจทีแรกนะ…แต่เพราะคู่กรณีมันไม่ว้อนท์ไง ถึงได้กลายเป็นอีหรอบนี้น่ะ…ให้ตายสิ
         
          “แล้วก็ไอ้เด็กนั่น” หัวข้อนี้สิที่หนุ่มแว่นหวั่นจริง “นายบอกว่ามันร่านอย่างโน้น เลวอย่างนี้…ฉันไม่เห็นจะเป็นแบบนั้น” โชคดีแล้วไงตู…ถ้าคนทั่วไปคงเรียกว่าซวยสินะ
         
          “นายเพิ่งรู้จักไม่กี่วัน หลงมันแล้ว…”
         
          พูดไม่ทันจบดีมือเนียนแต่แข็งแกร่งก็โบกเข้าแก้มซ้ายเต็มรัก จนก้องถึงกับหน้าหัน

          “นายคิดว่าฉันโง่หรือไง ทำงานที่ผับเจอไอ้พวกกระแดะแอ๊บแบ๊วมาตั้งเยอะ ไม่อยากจะดูให้ออก ก็ต้องดูออกทั้งนั้นละวะ” คนตบพูดต่อราวกับการกระทำรุนแรงใส่อีกฝ่ายเป็นเรื่องสามัญประจำวัน “ต่อให้ปิดยังไงก็ไม่อยู่หรอก…ไอ้เด็กนั่นเอง ฉันก็ดูออกว่ามันปิดอะไรไว้ แต่ถ้าปิดสันดานเลวๆน่ะ ไม่ใช่อาการแบบนั้นแน่…และนายเองตอนนี้ก็มีเรื่องปิดบังฉันอยู่ด้วย”

          เรื่องที่ฉันเป็นมาโซฯน่ะเหรอ…ไม่สิ ถ้าเรื่องนั้นจริงๆนายน่าจะสงสัยไปนานแล้ว…แต่เวลานายถามฉันว่าเจ็บไหมเวลาโดนนายทุบ ตบ จิก ข่วนใส่ ฉันก็ตอบตามตรงตลอด นายเลยไม่ติดใจสินะ...
         
          “ฉันไม่มีอะไรปิดนายสักหน่อย”

          “แล้วทำไมเสียงสั่น”

          จะให้ฉันมีอารมณ์หรือไง มาคาดคั้นกันแบบนี้เนี่ย

          “ฉันกังวลเรื่องไอ้เดช” นั่นเขาก็พูดจริง แถมยังเป็นสาเหตุที่รับกับอาการหนักอกหนักใจของเขาด้วย “นายก็รู้นี่ ตั้งแต่มันทำหน้าที่แทน ออกลายมาแต่ไกล เสียดายตรงลายที่ว่าดันแอบถ่ายเก็บเป็นหลักฐานไม่ได้”

          “จะว่าไปก็จริงแฮะ” เห็นฤทธิ์สนใจประเด็นนั้นแทนแล้วก้องแทบอยากจะไชโย “แต่อยากออกลายก็ดีเหมือนกัน ฉันมั่นใจว่าพวกคุณฉัตรไม่ปล่อยให้มันทำตามใจชอบง่ายๆหรอก ดีไม่ดี จะได้หลักฐานความเลวของมันด้วย”

          ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นแบบนั้นน่ะนะ

          “ส่วนเรื่องไอ้เด็กนั่น ฉันคิดไปเองหรือเปล่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ผลเอง”

          ฟังแล้วก้องเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เลยทีเดียว…ฮือ คุณสิทธิ์ครับ…


          ร่างเล็กพยายามก้าวเดินให้ทันคนที่ฉุดกระชากอย่างไม่ไยดี ดวงตากลมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส แม้จะพยายามดึงแขนกลับสักเท่าไหร่ก็ต้องพ่ายต่อพละกำลังที่มากกว่า อีกทั้งยังทำให้เขาเจ็บตัวอย่างเสียเปล่าอีกด้วย
       
          “ผมเจ็บ ปล่อยผมนะ” เสียงหวานกรีดร้องปานจะขาดใจ เมื่อไม่อาจขืนหนี สิ่งที่ทำต่อมาคือใช้มืออีกข้างทุบและข่วนแขนอีกฝ่าย

          “ฤทธิ์เยอะนักนะ” พอโดนสะกิดจนรำคาญก็ตวาดเสียงเหี้ยมพร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามาจนตัวลอย “คราวนี้ต่อให้ร้องบ้านแตกยังไง นายก็ไม่รอดแน่”

          นั่นละครับที่ผมรอมานานมากกก ผมไม่คิดเลยนะครับว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามกั้นเยอะจนชวนปวดกบาลได้ขนาดนั้น…แต่รอบนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นแล้ว…ยกเว้นว่าคุณจะไม่ยอมปิดมือถือนั่นล่ะครับ

          และไม่ต้องหวังนาน เจ้าตัวก็หยิบขึ้นมาปิดเหมือนกับกลัวว่าจะมีใครโทรมาขัดจริงๆ ทิ้งท้ายด้วยการนำไปวางไว้บนชั้นวางหนังสือ ก่อนจะหิ้วเด็กหนุ่มโยนลงเตียง แล้วตามขึ้นไปจนอีกฝ่ายไม่มีเวลาแม้แต่จะขยับ

          “อย่ามาทำบ้าๆกับผมนะ ไหนว่าแค่เป็นแฟนแต่ในนามไง” ดวงหน้าขาวซีดหนัก เพราะเล่นอินไปนิด เลยลืมคิดไปว่า อีกฝ่ายอาจจะนึกเห็นด้วยแล้วเลิกทำก็ได้

          ซึ่งโชคดีที่ไม่ใช่เช่นนั้น

          “จะกลัวอะไรล่ะ ก็ผ่านมาเยอะไม่ใช่หรือไง”

          หือ?

          “อย่ามาทำไขสือ ฉันรู้มาหมดแล้ว นี่ท่าทางถ้าไอ้วินไม่ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง คงฟันลูกน้องมันเรียงคิวไปแล้วล่ะสิ”
ทีแรกผมตกใจมากนะ นึกว่าเรื่องที่ผมเป็นมาโซฯเสียอีก แต่ไอ้เรื่องนั้นน่ะ ไปเอามาจากไหนหรือครับ ถึงผมจะมาโซฯแต่ผมไม่ได้เซ็กจัดนะครับ ช่วยแยกกันด้วย

          “ย…อย่ามาพูดบ้าๆนะ ใครเขาจะคิดวิปริตเหมือนคุณกัน” เนื่องจากกลัวจะค้างนาน เลยรีบพูดไปหน่อย ลิ้นเลยพันกันกับเสียงสั่น หน้าก็ขึ้งเครียดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะสงสัย แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นเป็นอย่างนั้นสักนิดเดียว
“อย่ามาโกหกไปหน่อยเลย พี่ก้องไปสืบเรื่องของนายมาหมดแล้ว ว่านายน่ะ มันร่านแล้วก็เลวขนาดไหน!”

          รักพี่ก้องจังเลย…ในแง่เพื่อนร่วมอุดมการณ์น่ะนะ

          “พูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง” ผมก็ไม่รู้เรื่องจริงๆนะ ว่าพี่ก้องตอกไข่ใส่สีอะไรใส่ผมไปบ้าง แต่ถ้าให้ผมเดา คงจะประมาณว่าผมหลอกคบผู้ชายมาเยอะล่ะสิ ก็คำพูดคุณมันฟ้องนี่นะ “อย่ามากล่าวหาผมลอยๆนะ ผมไม่เคยทำอะไรต่ำๆพรรค์นั้น”

          “เฮอะ อย่ามาทำตัวสูงไปหน่อยเลยดีกว่า” มือหนาบีบข้อมือบางทั้งสองข้างแน่น จนดวงหน้าขาวบิดเบี้ยว “ทำเป็นขัดขืน ที่จริงอยากจะแย่อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

          อุ๊ย แทงใจดำ

          “อ๊ะ”

          ก็รู้ว่าแรงเยอะน่ะนะ แต่ถึงกับกระชากเสื้อจนกระดุมหลุดเลยเหรอ โอ๊ย คุณจะทำให้ผมใจระทึกไปถึงไหน

          ผิวบางที่ชื้นเหงื่อเผยออกมาจากใต้เสื้อเชิ้ตสีใบไม้ ดวงตาเรียวเลื่อนมองร่างบางตั้งแต่บนยันล่าง อาภรณ์ด้านล่างที่ยังปกปิดสิ่งสำคัญชวนให้รู้สึกระคายตาเป็นยิ่งนัก หากแต่จะเอื้อมมือลงไปถอด เดี๋ยวเด็กหนุ่มก็พยายามขืนหนีอีก เพราะฉะนั้น เขาไม่อยากให้พลาดอะไรอีกแล้ว

          กุญแจมือในลิ้นชักออกมาสู่โลกภายนอกและพันธนาการข้อมือบางทั้งสองไว้กับหัวเตียง เป็นอันว่าคนตรงหน้าหมดทางหนีแน่นอน

          “ไม่นะ ปล่อยนะ เอามือสกปรกออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

          คุณรู้ไหมว่ามันเหนื่อยมากเลยนะ ที่ต้องทำเป็นว่าไม่อยาก ทั้งที่อยากจะตายอยู่แล้วเนี่ย

          “จะเป็นอะไร เดี๋ยวเราก็สกปรกเหมือนกันแล้ว” เสียงเหี้ยมดังแผ่วอยู่ข้างหู ก่อนที่ลิ้นอุ่นจะทาบไล้เป็นของฝาก พออีกฝ่ายพยายามขืนหนี มือหนาก็กระชากผมดึงกลับมาอย่างไม่มีการเห็นใจ “ทำไม หรือฉันเร้าอารมณ์เธอไม่ดีพอกันล่ะ ต้องแบบรุนแรงใช่ไหม ถึงจะถูกใจเธอ”

          ใบหน้าเรียวบิดเบี้ยวหนัก แม้จะโดนดึงผมเสียแรง แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้โดยง่าย คนมองก็ได้แต่นึกสมเพชกับความพยายามที่ไร้ประโยชน์นี่อยู่ในใจ ก่อนจะกลับไปเก็บเกี่ยวความหวานบนร่างต่ออย่างหิวกระหาย

          อา…แบบนี้สิถึงได้อารมณ์หน่อย เล้าโลมธรรมดามันไม่โดนใจชาวมาโซฯหรอกครับ

          ไม่ใช่แค่ลิ้น ฟันขาวยังขบกัดทุกพื้นที่ที่ได้เยือน จนเลือดซิบ อีกทั้งยังดูดดุนจนผิวขาวเป็นรอยจ้ำ เสียงร้องครางหนักที่ฟังดูเจ็บปวดดังลั่นเป็นจังหวะสลับกับเสียงหอบกระเส่า ดวงตากลมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส มือที่โดนพันธนาการยังคงดึงดันเสียให้ได้ จนข้อมือช้ำเป็นรอยแดงหมด

          “ไม่…อย่า…ผมเจ็บ…” เสียงหวานครางกระเส่าพลางเกร็งหน้าท้องแน่น

          สิทธิ์ไม่สนใจคำวอนขอหรือเสียงร้องไห้ สิ่งที่ได้รับมันหอมหวานและเย้ายวนเกินกว่าจะหยุดได้ มือหนาปลดปราการด้านล่างของคนตรงหน้าออกอย่างทุลักทุเลเพราะอีกฝ่ายยังคงขัดขืนไม่เลิก

          ดี ไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆแบบนี้สิ ฉันชอบ!

          กินเวลาไม่ถึงห้านาที อุปสรรคสุดท้ายก็หายไปจากร่างบาง ขาเรียวพยายามหุบหนีบ หากแต่โดนแรงที่เยอะกว่าบังคับให้ต้องอ้าออก เผยให้เห็นช่องทางสีสวยที่ดูไม่ประสีประสาผิดจากที่ฟังมา แต่เพราะตอนนี้กำลังโดนอารมณ์ครอบงำ เลยไม่คิดสงสัยใส่ใจนัก

          “เฮอะ ทำเป็นเล่นตัว แต่ใจจริงอยากแทบตายแล้วล่ะสิ” นิ้วเรียวจิ้มเข้าส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมา แล้วบีบแน่นจนผู้เป็นเจ้าของสะดุ้ง ชายหนุ่มแอบนึกหงุดหงิดเล็กๆที่คนที่ตัวเล็กกว่าเขา แต่ไอ้ส่วนนี้ดันทัดเทียมกับเขาจนชวนให้หมั่นไส้

          “ไม่นะ อย่า…จับ…” เสียงหวานขาดห้วงเมื่อโดนเร้าอารมณ์อย่างไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มร้องลั่น อารมณ์ที่พยายามอดกลั้นพุ่งทะลักออกมาราวกับก๊อกแตก

          “อะไร บอกไม่ชอบๆ แต่กลับรีบมีความสุขไปคนเดียวได้ไง ร่านชะมัด” สิทธิ์ยังคงหยอกเย้าเล้าโลมคนที่เพิ่งเสร็จกิจไม่เลิก หวังกระตุ้นให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ต่อ “เดี๋ยวฉันจะสนองให้เต็มที่เลย”

          ความเสียวซ่านที่รุมเร้าจนหัวหมุน เสียงหวานครางดังออกมาไม่หยุดหย่อน ในขณะที่กำลังเคลิ้มไปกับสิ่งที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้ พลันร่างบางก็สะดุ้งโหยง เมื่อมีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาในกาย
         
          เดียร์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย…น้อยจนน่าหงุดหงิด

          “จะทำบ้าอะไรน่ะ เอาออกไปนะ เอาออกไป” เสียงหวานร้องปานจะขาดใจพร้อมกับดิ้นพล่าน จนคนที่พยายามจะประนีประนอมด้วยสุดจะทน

          “ได้”

          นิ้วเรียวถอนออกและแทนที่ด้วยสิ่งที่ใหญ่กว่า เด็กหนุ่มร้องลั่นสุดเสียง ความเจ็บที่แทรกเข้ามาราวกับจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ ไม่มีการอารัมภบทแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ใช่น้ำหล่อลื่นเข้าช่วย แขนทั้งสองกระชากลงอย่างลืมตัว ส่งผลให้รอบข้อมือขาวห้อเลือดหนัก ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว เขาพยายามดิ้นสุดตัว หากแต่มือหนาที่กดร่างทำเอาขยับไปไหนไม่ได้

          เวร

          ขณะกำลังดำเนินการไม่ทันถึงครึ่งทาง ตัวเองดันวิ่งเข้าเส้นชัยก่อนเสียได้ ใครจะไปคิดว่าช่องทางที่น่าจะผ่านมาเยอะ จะยังคับแคบขนาดนั้น

          “อ๊ะ” เสียงหวานร้องดังเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาเดียร์มึนงงและสงสัย คนกำลังได้อารมณ์มันๆ มาทำให้ค้างคาเสียได้ แต่ดูจากการกระทำแล้วพอจะนึกออก

          หลังจากเตรียมตัวใหม่ สิทธิ์ก็กลับมาเผชิญหน้าต่อ ดวงตากลมฉ่ำที่จ้องกลับมายังคงไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ เล่นเอาความรู้สึกเสียหน้าเมื่อครู่ละลายหายไปสิ้น

          “ทำไม ฉันยังจัดให้ไม่พอหรือ” เสียงทุ้มหยอกล้อ “ต้องลีลาเด็ดเหมือนคู่นอนคนไหนล่ะ ถึงจะถูกใจนาย”

          “คนสกปรก คิดแต่เรื่องต่ำๆ”

          คิ้วหนามุ่นเข้าหาด้วยความฉุนเฉียวกับคำด่า ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่หยี่ระต่อสถานการณ์เป็นรองของเด็กหนุ่ม ยิ่งอยากทำให้สิทธิ์อยากจะขยี้คนตรงหน้าจนเละ

          เพียะ

          เสียงตบดังขึ้น ใบหน้าขาวมีรอยเห่อแดงขึ้นเล็กน้อย หากแต่คนโดนกระทำกลับไม่แสดงอาการยอมแพ้ให้เห็น ซ้ำยังยิ้มเยาะราวกับดูถูกว่าสิทธิ์ทำได้เพียงแค่นี้เองหรือ ยิ่งทำให้เลือดในกายกำยำนั้นเดือดพล่าน

          มือหนายกเรียวขาบางขึ้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายสู้กลับเต็มที่แม้จะรู้ว่าไม่อาจหยุดร่างสูงได้ก็ตาม

          “อื๊อ” เสียงหวานร้องครางอย่างสุดจะทน สิทธิ์ดันกายเข้าหาร่างเล็กอย่างไม่คิดเห็นใจ ดวงตากลมเบิกกว้างก่อนจะปิดตาแน่น ความเจ็บที่แทรกเข้ามาทำเอาจุก และต้องกรีดเสียงขึ้นราวกับมันจะช่วยให้ความเจ็บลดลง “ไม่! อย่า! เอาออกไปนะ!!”

          ยิ่งห้ามราวกับยิ่งยุ ร่างสูงโถมแรงกระหน่ำเข้าหาด้วยรอยยิ้มบาง ยามที่ได้เห็นอีกฝ่ายทรมานราวกับจะขาดใจตายมันช่างปลุกอารมณ์เขายิ่งนัก ช่องทางแคบบีบรัดร่างเขาไม่หยุด ชายหนุ่มขยับสะโพกเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง เสียงหวานที่ร้องดังไม่อาจฉุดรั้งเขาได้อีกต่อไป

          ด้วยอารมณ์ที่โถมเข้ามาไม่หยุด เด็กหนุ่มเองก็เริ่มคิดอะไรไม่ค่อยออก เสียงหวานเริ่มเปลี่ยนจากกรีดร้องด้วยความทรมานเป็นครางกระเส่าเพราะความสุขสม อารมณ์ที่ปลดปล่อยไปก่อนหน้าเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

          ดวงตากลมปรือมองร่างตรงหน้าที่ยังคงปฏิบัติกิจอย่างสม่ำเสมอและไม่หยุดหย่อน ใบหน้าเรียวเข้มโน้มลงเข้ามาใกล้ แล้วฉีกยิ้มเหี้ยม ก่อนจะเก็บเกี่ยวความหวานที่ซอกคอขาว และขย้ำกัดเต็มแรง

          “อ๊ะ…อ๊า…” ความสุขที่โถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอาเด็กหนุ่มร้องลั่น ทำนบแห่งอารมณ์พังทลายลงอีกครั้ง พร้อมๆกับอีกฝ่าย

          ใบหน้าขาวที่อ่อนแรงหันตามมือหนาที่ทาบข้างแก้ม ใบหน้าชื้นเหงื่อของชายหนุ่มดูนิ่งเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความสะใจ

          “ไง ต้องแบบนี้ใช่ไหมถึงจะถูกใจนาย”

          ครับ! สุดยอด!!....ลองพูดงี้ดูสิ ถึงจะทำเป็นประชดยังไง ตอนนี้ผมไม่มีความสามารถพอที่จะกลบอารมณ์ดี๊ด๊านี่ไหวหรอกครับ

          “อึก อย่ามาพูดบ้าๆนะ” เดียร์กระแทกเสียงใส่พร้อมกับเบือนหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงไปอีกทาง ให้ดูราวกับอับอายจนไม่อยากสู้หน้า

          “หึ หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ จะปฏิเสธไปทำไมกันล่ะ” สิทธิ์เอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับกอบกุมท่อนเนื้อที่แข็งขืนขึ้นอีกครั้ง
         
          “ได้เป็นเมียของคนสกปรกอย่างฉัน ดีใจจนเนื้อเต้นเลยล่ะสิ”
         
          ใบหน้าหวานสะบัดหันใส่ด้วยความโกรธขึ้ง แต่ก็มิอาจทำอะไรอีกฝ่ายได้นอกจากจ้องมองอย่างอาฆาต ซึ่งนั่นยิ่งทำให้สิทธิ์รู้สึกพอใจขึ้นไปอีก

          ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อโดนบีบนวดเข้าส่วนอ่อนไหว ด้านล่างที่ยังคงคาอยู่ก็คอยกระทุ้งราวกับต้องการจะแกล้ง เด็กหนุ่มพยายามสะบัดหนี แต่ตอนนี้เขาแทบไม่เหลือแรงจะขัดขืนนัก อีกทั้งอารมณ์ที่โดนเร้าไม่เลิก จึงได้แต่แกล้งทำเป็นเจ็บใจและยอมแพ้แต่โดยดี

          “ต้องอย่างนั้นสิที่รัก ซื่อสัตย์กับตัวเองเข้าไว้”

          เมื่อเห็นท่าทางยอมจำนนแต่โดยดี สิทธิ์ก็เอ่ยชมเสียงนิ่ม หากแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม เมื่อความต้องการยังไม่ถูกเติมเต็มจนพอใจ เขาจึงจัดการปลดปล่อยตัวเองอย่างที่อยาก

          “พอซักที…ได้โปรด…” เนื่องจากกลัวจะเพลินเกินไปหน่อย เด็กหนุ่มเลยเอ่ยเสียงอ่อย วิงวอนให้อีกฝ่ายหยุดกระทำชำเราเขาเสียที แม้อันที่จริง ตอนนี้กำลังมัน ไม่อยากโดนขัดใจแม้แต่น้อย “ผมไม่ไหว…แล้ว”

          และอีกฝ่ายก็จัดหนักให้อย่างที่หวัง


 :katai4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 15-09-2013 23:44:39
ในที่สุดก็ได้ฟินซะทีนะเดียร์ หลังจากที่ค้างมาหลายตอน :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 16-09-2013 00:13:10
 :oo1: :haun4: เลือดหมด
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 16-09-2013 00:14:00
ฟินแทน   :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 16-09-2013 01:18:32
ฮ่าๆๆๆ สมใจอยากน้องเดียร์เค้าแล้วละซิ นี่มันเนื้อคู่กันชัดๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ioohja ที่ 16-09-2013 10:03:29
 :z1: :pighaun: ลุ้นแทนน้องเดียร์มาตั้งนาน สมใจซะที ฟินนนนน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 16-09-2013 10:18:10
กร๊าก คู่สร้างคู่สม ชัดๆ  :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 16-09-2013 12:13:10
ในที่สุดก็สมใจเดียร์ แต่น่าจะมีต่อนะ อิอิ :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 17-09-2013 00:34:17
เดียร์สมหวังแล้ว!!!!!  :mc4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Chifuu ที่ 17-09-2013 01:54:12
เรื่องนี้อ่านแล้วฮามาก
ลุ้นมากให้เดียร์โดนกระทำเนี่ย
และในที่สุด..กับตอนล่าสุด o7 ดีใจด้วยนะเดียร์5555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 17-09-2013 17:52:40
กรี๊ด เรื่องนี้ถูกใจมาก

เดียร์ขา ได้ใจได้อีกอะค่ะ

รอตอนต่อนะคะ

 :beat: :z6: <เป็นรางวัลให้เดียร์ที่ทำดีมาก
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 17-09-2013 22:54:15
ติ๊งต๊องมากกก555
เดียร์สมใจอยากเลย :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 20-09-2013 16:35:00
เดียร์เอ๊ยยยยย  :jul3:  สมใจแล้วสิหนู


พ่อเท็ดดี้แบร์หลงกลเต็มเปา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 18 (15/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 20-09-2013 18:28:28
โอ๊ว!!!!!!!!!!!!!!! ในที่สุด!  ในที่สุด!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 29-09-2013 15:54:15
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 19 

          ฤทธิ์เดินขึ้นมายังชั้นสองหลังจากโดนก้องกราบเท้าขอให้ไปช่วยปลุกสิทธิ์ ซึ่งเอาจริงๆเขาเองก็เต็มใจจะไปให้อยู่แล้ว เพราะส่วนหนึ่งอยากเห็นสีหน้าของเจ้าเด็กน้อยที่โดนข่มขืนนั่นเต็มแก่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะง่วงเพราะยังไม่ได้นอนเลยก็ตาม

          แต่ทันทีที่ขึ้นมาก็ต้องผงะเมื่อเห็นหมียักษ์นั่งกอดเข่าคุดคู้หดหู่อยู่ที่หน้าประตูห้องนอน

          “เป็นอะไรไปครับคุณสิทธิ์” หนุ่มตาตกเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “หรือหมอนั่นมันทำอะไรคุณ”

          “เปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก” ผู้เป็นนายรีบตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งไปตั๊นหน้าร่างบางที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง “พี่ฤทธิ์ ผมถามอะไรหน่อยสิ”

          เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมอง ยืนรอฟังคำถาม

          “ถ้ามีเลือด แสดงว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่า”

          เขาเกือบกลั้นขำแทบไม่ทัน

          “คุณสิทธิ์ครับ ผู้ชายนะครับ ไม่ได้มีเยื่อพรหมจรรย์เหมือนผู้หญิงสักหน่อย” แม้จะพยายามแล้ว แต่น้ำเสียงก็เจือเสียงหัวเราะตามมาอยู่ดี “ถ้าอยู่ๆเสียบเลย ไม่มีอารัมภบท ไม่มีเจล ทำมากี่ครั้งก็เลือดออกทั้งนั้นล่ะครับ ตรงนั้นมันไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อทำเรื่องอย่างว่านะครับ ไม่หนาทนเหมือนช่องคลอดหรอก”

          “งั้นหรือ” ใบหน้าเรียวใจชื้นขึ้นมาหน่อย

          “แต่เลือดออกนี่อย่าบ่อยละกันครับ ยกเว้นว่าคุณจะไม่กังวลว่าหมอนั่นจะเป็นริดสีดวง ก็ตามสบาย”

          จากนั้นก็ค้างนิ่งเหมือนกำลังจะได้พบกับมหันตภัยในเร็วๆนี้

          “ถ้าจะทรมาน ก็เอาอุปกรณ์ที่ซื้อๆมาใช้ก็ได้ครับ ยังไงซะ คุณก็ไม่ได้ตั้งใจจะทรมานเขาอยู่แล้ว ก็เอาเบาะๆพอ เดี๋ยวมีปัญหาแล้วจะแย่เอา แล้วไอ้การทรมานน่ะ ก็ไม่จำเป็นต้องถึงกับเลือดตกยางออก ทุบตีจนชอกช้ำหรอกครับ” คนมีประสบการณ์เตือนอย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าตอนนี้สิทธิ์กำลังจิตตกกับเรื่องที่ทำแค่ไหน “คุณลงไปทานอาหารเช้าเถอะ เดี๋ยวผมปลุกเด็กคนนั้นเอง”

          สิทธิ์มุ่นคิ้วให้เล็กน้อย เขายังคงนั่งจับเจ่าอยู่ที่เดิม ก่อนจะยอมลุกขึ้นทำตามแต่โดยดี

          ฤทธิ์รอจนอีกฝ่ายเดินลับไป ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปหา ด้านในสงบเงียบเชียบ ม่านสีครีมตรงระเบียงเปิดทิ้งไว้รับแสงแดดอ่อนให้เข้ามา ชายหนุ่มหันไปมองบนเตียงที่มีสภาพเละเทะกว่าที่อื่น เสื้อผ้าของทั้งคู่กระจัดกระจายไปทั่ว บ้างก็ลงมานอนข้างเตียง ผ้าห่มเองก็แล้วจะไหลมากองที่ปลายเตียงแล้ว

          ร่างบางยังคงหลับสนิท แขนทั้งสองข้างปลดจากพันธนาการแล้ว มีรอยแดงเห่ออยู่รอบข้อมือทั้งสอง เรือนร่างขาวที่เปลือยเปล่าทั้งช้ำทั้งมีรอยห้อเลือดไปทั่ว บนผ้าปูมีรอยเลือดเล็กเปื้อนเป็นดวงๆ

          แปลก…

          อย่างแรกเลยคือคนโดนข่มขืนบ้าอะไรนอนหลับพริ้มยิ้มหน้าบานขนาดนั้น แล้วถึงจะมีคราบน้ำตา แต่กลับไม่ได้ร้องไห้หนักจนตาบวมเนี่ยนะ มันชวนสงสัยเกินไปแล้ว

          ชายหนุ่มปรายตามองบริเวณลิ้นชักซึ่งเป็นคลังมหาสมบัติแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น เพราะของที่หลุดออกมากับมีแค่กุญแจมือเท่านั้น เห็นเจ้านายออกอาการรู้สึกผิดจะเป็นจะตายก็เลยคิดไปว่าน่าจะทำวิปริตใส่เสียเยอะ แต่ดูจากอาการตอนนี้ ถ้าบอกว่าเพิ่งได้ร่วมรักกันอย่างชื่นมื่น เขาจะไม่เสียเวลามาแปลกใจเลยสักนิด

          “เฮ้” ฤทธิ์ตะคอกปลุกหนุ่มน้อยบนเตียงที่นอนเสียเคลิบเคลิ้ม “เฮ้ ไอ้หนู”

          มันไม่ตื่น…

          ฤทธิ์จึงตบบ้องหูจนหน้าหัน

          มันก็ยังหลับ

          เขาไม่แน่ใจว่าหลับจริงหรือหมดสติเพราะมือตน เลยลองจับชีพจรดู ปรากฏว่าหลับจริงอย่างไม่ต้องเป็นห่วง

          มันจะหลับลึกเกินเหตุไปหรือเปล่าวะ

          ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียงแล้วจ้องอีกฝ่ายด้วยความสงสัยปนเป็นห่วงเล็กน้อย เขาเริ่มตีหน้าอีกฝ่ายเบาๆ

          “แฮะๆ”

          หัวเราะหาเตี่ยเรอะ

          แต่ต่อให้ตีหนักแค่ไหนผลก็เหมือนเดิม จนเขาเริ่มท้อตงิดๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยต้องเสียพลังงานในการปลุกคนขนาดนี้มาก่อน ชายหนุ่มจึงโน้มหน้าเข้าไปหวังจะส่งเสียงเรียกใกล้ๆ

          เคร้ง!!!

          ยังไม่ทันส่งเสียงก็ต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงตะหลิวตกพื้น คนที่น่าจะทอดไข่ดาวอยู่ข้างล่างกำลังยืนอ้าปากค้างหน้าซีดเผือดอยู่หน้าประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้ ซึ่งไม่ต้องสงสัยให้มากความว่าทำไม

          “ปลุกมันธรรมดาๆก็ได้นี่นา ทำไมต้องจูบปลุกกันด้วย!”

          มันเอาอะไรคิด ไอ้แว่นหน้าหนวดนี่!

          “จะบ้าเรอะ” ไม่ว่าเปล่า มีปากุญแจมือที่วางไว้ข้างหัวเตียงใส่หน้าผากก้องอย่างแม่นยำ เล่นเอาหนุ่มแว่นหน้าหงายเลยทีเดียว “ฉันปลุกมันเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เลยกะจะตะโกนใส่หูมันต่างหาก”

          ก้องยังคงจ้องมาเหมือนไม่อยากเชื่อนัก แต่พอเห็นคุณแฟนลุกมาท่าทางจะเอาเรื่อง เลยถอนใจด้วยความโล่งอก “โธ่ ก็แล้วไป”
         
          “…อะไร หรือจริงๆนายอยากเป็นคนปลุกมัน” ตาขวางหน้าเหี้ยมมาแต่ไกล ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงสยอง

          “เปล่านา นายปลุกไปเถอะ ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมไปนาน” ก้องรีบโบกไม้โบกมือ “อย่านอกใจฉันนะ”

          “เตือนตัวเองอยู่รึไง” ฤทธิ์ย้อนเสียงต่ำ “อย่างไอ้เด็กบ้านี่ ให้ตายฉันก็เอามันไม่ลงหรอก”

          “อือ…อะไรกันน่ะครับ…”

          พวกเขาโหวกเหวกกันตั้งนานสองนาน เดียร์เพิ่งจะฟื้นงัวเงียขึ้นมา และทันทีที่เห็นหน้าฤทธิ์ เด็กหนุ่มก็ตื่นเต็มตาทันที

          “ตื่นสักทีนะคุณชาย รีบๆลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เจ็ดโมงกว่าแล้ว” ฤทธิ์สั่งโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสภาพน่าอายแค่ไหน

          “หา เจ็ดโมงกว่าแล้วเหรอครับ” เดียร์ร้องเสียงตื่น ก่อนจะรีบโดดจากเตียง เผ่นแผล็วเข้าห้องน้ำทันที

          เชี่ย แกห่วงงานจนลืมแอ๊บ!

          ก้องอยากจะตะโกนบอกเหลือเกิน ยิ่งเห็นคุณแฟนมองเด็กหนุ่มหน้าเหวอแล้วยิ่งอยากจะลงไปชักให้ได้

          “ข้าวส่วนของฉันเสร็จแล้วใช่ไหม”

          หนุ่มแว่นค้างไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะตะขิดตะขวงใจภาพเมื่อครู่เสียอีก แต่ฤทธิ์กลับดูเฉยเมยมาก เหมือนอาการของหนุ่มตาตกที่อ้าปากจนยุงเข้าไปบินเล่นได้สามรอบเป็นภาพหลอนของก้องไปเอง

          ที่จริงฤทธิ์ก็ยังข้องใจอยู่นั่นล่ะ เพียงแต่มันดูบ้าบอเกินไปนี่น่ะสิ

          ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ต้องมีหลุดอาการมาให้เห็นบ้างล่ะ ว่าที่จริงนึกแค้นนึกโกรธอยู่ ก็โดนทำย่ำยีเสียขนาดนี้นี่ แต่นี่ดูยังไงก็เหมือนไม่รู้สึกแค้นอะไรเลยมากกว่า

          ถึงจะสงสัยจนอยากจะไปเค้นคอเสียตอนนี้ ก็ขอดูจนมั่นใจก่อนละกัน

 

          ทั้งที่ปกติสิทธิ์ก็มักจะกินข้าวหมดตลอด ต่อให้รู้สึกไม่ดีอย่างไรก็ตาม แต่บัดนี้ แค่จะยัดไข่ดาวเข้าปากยังทำท่าเหมือนจะอ้วก ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร ไอ้เด็กหน้ามนที่ตนสะบัดไม่หลุดออกไปจากหัวนี่แหละ

          ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ!

          เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปถึงฉากขึ้นเตียงเลยสักนิด ชายหนุ่มก็แค่นึกหมั่นไส้ท่าทีหยิ่งยโสและกวนบาทาที่เหมือนกับวินไม่มีผิดนั่น เลยแค่นึกอยากจะสั่งสอนให้หลาบจำ บวกกับระบายอารมณ์ส่วนตัวไปนิดๆ กะว่าถ้าอีกฝ่ายร่ำร้องงอแงขอโทษขอโพยก็จะปล่อยแล้ว…จริงๆนะ! แต่พอตั้งท่าจะหยุดทีไรมันต้องมีเหตุให้หงุดหงิดจนอยากแกล้งต่อไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ…เรื่อย…จนไปๆมาๆมันดันเลยเถิดไปจนถึงจุดที่วกกลับไม่ได้เสียแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน...

          นึกถึงผิวกายที่ขาวเนียนละเอียดนุ่มนิ่มน่าลูบไล้ได้ไม่รู้เบื่อนั่น อีกทั้งยังกลิ่นหอมหวานจนแทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะเป็นบุรุษเพศเฉกเช่นตน เล่นเอาเพลินจนไม่อยากเลิกเลยทีเดียว

          แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆไม่ใช่เรื่องที่เผลอใจไปกับเรือนร่างผู้ชายจนเลยเถิดถึงขนาดนี้หรอก

          แต่เป็นเพราะตัวเขานี่ล่ะ! ทั้งที่เขาเคยคิดมาตลอดว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องเลวร้ายและไม่น่าให้อภัยที่สุดในฐานะผู้ชาย…ถึงคู่นอนจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ตามเถอะ แต่นอกจากจะจัดหนักจัดเต็มชนิดไม่มีความเห็นใจแล้ว กลับรู้สึกสนุกและอยากเห็นใบหน้าหวานทรมานจนปางตายอีก โดยที่อีกฝ่ายเองทั้งวอนขอทั้งร้องไห้ แต่แทนที่จะรู้สึกสงสาร กลับรู้สึกอยากรังแกหนักกว่าเดิม แถมยังทำไปตั้งหลายรอบ นี่มันวิปริตชัดๆ!

          เราเป็นอะไรไปแล้ววะ!

          คิดให้ตายยังไง คำตอบก็ไม่ยอมออกมาเสียที แถมยังจะทำให้ความอยากอาหารลดลงจนรู้สึกพะอืดพะอมแทน แต่ครั้นจะให้หยุดคิดก็ทำไม่ได้อีก

          “คุณสิทธิ์ครับ”

          “อ๊ากกกกกกก”

          คนทักถึงกับสะดุ้งถอยหลังเมื่อเจอพลังแปดหลอดกระแทกเข้าแก้วหูเต็มแรง ก้องนิ่วหน้ามองเจ้านายหนุ่มที่มีอาการหน้าถอดสีเหมือนเพิ่งเห็นผีตอนเช้าก็ไม่ปาน ส่วนฤทธิ์ที่ตามมาทีหลังได้แต่ยืนมึนกับการโจมตีทางโสตประสาท

          “เป็นอะไรครับ” หนุ่มใหญ่ถามไถ่ก่อนจะเข้าไปเก็บเก้าอี้ที่อีกฝ่ายทำล้ม “หน้าผมมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ”

          สิทธิ์ไม่ได้ตอบในทันที ตอนเห็นหน้าหนุ่มแว่นเขาตกใจจริงๆนั่นล่ะ แต่ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายน่ากลัวหรอกนะ…

          “ใช่แล้ว!” เสียงทุ้มดังลั่นพร้อมกับชี้นิ้วจนแทบจะจิ้มตาก้อง “ใช่แล้วๆๆๆ”

          ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออก และลงไปนั่งจ้วงไข่กินอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้ลูกน้องได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก

          ใช่…ไม่ใช่เพราะเราชอบใจที่เห็นเดียร์ทรมานหรอก

          แต่เพราะว่าจะได้เห็นหน้าของไอ้แว่นวินตอนที่รู้ว่าน้องมันอยู่ในกำมือเราต่างหาก!...ไม่ได้เกี่ยวกับผิวนิ่มๆเนียน หน้าแดงเรื่อที่บิดเบี้ยวเพราะความทรมานนั่นเลยสักนิด!...ถ้าจะต้องทำอีกก็เพราะแก้แค้นมัน!!! ไม่ใช่เพราะตูอยากเห็นแน่นอน!!!!!

          “คุณสิทธิ์ครับ”

          และก้องกับฤทธิ์ก็ได้รับการโจมตีทางโสตประสาทอีกครั้ง

          “ค…ใครใช้ให้มาเรียกฉันจากข้างหลังกันเล่า” สิทธิ์ตะคอกใส่ร่างบางอย่างลืมตัว และทันทีที่เห็นใบหน้าเรียวเล็กถอดสี ความรู้สึกผิดในใจมันก็พุ่งขึ้นมาราวกับน้ำพุ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเลยทนเป็นคนใจเหี้ยมไปเลยดีกว่า “มีอะไร”

          “วันนี้ผมเลิกงานสี่ทุ่มนะครับ ไปก่อนนะครับ ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้”

          ว่าจบก็วิ่งแผล็วออกไปจากบ้านทันที โดยไม่ลืมที่จะหยิบขนมปังปิ้งทาเนยของสิทธิ์ไปด้วย

          ภายในบ้านเต็มไปด้วยความเงียบสงัดทั้งที่มีคนอยู่ถึงสามคน ก้องผู้รู้ความจริงอยู่แก่ใจได้แต่ยืนอีหลักอีเหลื่อต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาได้แต่นึกตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ดันมาพลาดเรื่องแบบนี้เสียได้

          ยิ่งเห็นหน้าสิทธิ์ยิ่งไม่ต้องเดาให้เหนื่อย แน่ล่ะ ใครมันจะไปคิดว่าจะเจอปฏิกิริยาธรรมดาสุดกู่จากคนที่ตนเพิ่งไปกระทำชำเรามากันล่ะ แถมยังไม่มีออกอาการรังเกียจให้เห็นเลยสักนิด

          ลูกน้องทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆเจ้านายลุกพรวดตามไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าฤทธิ์เองก็ตามไปด้วยทันทีตามประสาบอดี้การ์ด ปล่อยให้พ่อบ้านยืนมองอยู่กับอาหารเช้าที่ทำท่าจะเป็นหมัน

          “เดี๋ยวก่อน” สิทธิ์ร้องไล่หลังอีกฝ่ายที่มีแต่อาการเร่งรีบ…ไม่มีให้เห็นถึงอาการหวาดกลัว คั่งแค้น หรืออยากหนีไปจากตนเลย “นี่ ฉันบอกให้เดี๋ยวก่อนไง”

          ไม่ว่าเปล่ามีกระชากแขนเล็กจนผู้เป็นเจ้าของเกือบหงาย ใบหน้าหวานที่หันกลับมาดูจะสงสัยมากกว่าอารมณ์เสีย

          “มีอะไรครับ? เร็วๆหน่อยก็ดีนะครับ เดี๋ยวผมจะสายแล้ว”

          สิทธิ์อ้าปากค้างกับท่าทางธรรมดาเกินคาดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกะพริบตามอง ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังงงๆ

          “เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”

          “เอ๋ แต่ว่า…”

          “ฉันบอกว่าจะไปส่งไง เลิกต่อปากต่อคำแล้วไปรอในรถได้แล้ว!”

          ว่าจบสิทธิ์ก็วิ่งตึงตังเข้าไปอย่างกับคนหนีผี ก่อนจะวกกลับมาพร้อมกับกุญแจรถด้วยความเร็วแสง เล่นเอาคนที่กำลังยืนงงถึงกับสะดุ้ง

          “รีบขึ้นมาสิ บ่นว่าสายไม่ใช่หรือไง” พอขึ้นไปสตาร์ทเครื่องแล้วหมียักษ์ก็หันมาคำรามลั่นใส่คนที่ยังยืนเอ๋อไม่เลิก ส่วนฤทธิ์ก็ต้องเอ๋อยิ่งกว่า

          สรุปคุณสิทธิ์จะเป็นคนขับรถ แล้วให้ผมนั่งข้างหลังเนี่ยนะ…

          “คะ…ครับ” เสียงหวานดังค่อยจนเกือบจะไม่ได้ยินทำเอาสิทธิ์อยากเขกกะโหลกตัวเองที่ดันใส่อารมณ์กับอีกฝ่าย ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะไปส่งเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพเด็กหนุ่มแท้ๆ แม้ว่าท่าทีของเดียร์จะไม่ออกอาการรวดร้าวให้เห็นแม้แต่เสี้ยวเดียวเลยก็ตาม…ซึ่งเขาเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงจะฝืนทนเอาไว้ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายเริ่มมีอาการหน้าซีดตัวสั่นให้เห็นแล้ว

          เพิ่งมาออกอาการตอนนี้เนี่ยนะ ไม่ช้าไปหน่อยเรอะ หรือจะบอกว่ากลัวที่คุณสิทธิ์ตะคอกก็ดูจะแปลกไปหน่อยละมั้ง ขนาดเมื่อคืนยังต่อปากต่อคำซะขนาดนั้น…แล้วทั้งที่ทำท่ากลัวขนาดนั้น ทำไมแก้มมันดันแดงแบบนั้นวะ ตกลงมันยังไงกันแน่

          ฤทธิ์อยากจะโพล่งถามขึ้นมาจริงๆ แต่ถามไปใครมันจะตอบตามตรงกัน

          การเดินทางนี้เงียบสนิท สิทธิ์เองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังโกรธ เกลียด หรือกลัวตนกันแน่ จากที่เขาเห็นตอนนี้คือ ร่างเล็กที่นั่งข้างเขากำลังสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดเซียว ดวงตาหลุกหลิกจนน่ากลัว แถมบางครั้งยังแอบเหลือบจ้องตนเขม็งจนสัมผัสได้ถึงรังสีทะมึนเลยทีเดียว

          ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงหน้าร้านดอกไม้ ทันทีที่รถจอด เดียร์ก็เปิดประตูรถออกไปก่อนที่สิทธิ์จะอ้าปากอนุญาต

          “แล้วเจอกันครับ”

          มีเอ่ยลาอีก!

          นิ่งไปหลายนาที จนฤทธิ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังต้องสะกิดให้สิทธิ์ออกรถก่อนที่จะโดนตำรวจจราจรซิวข้อหาจอดในที่ห้ามจอด

          “ดูเหมือนงานจะสำคัญกว่าเรื่องของคุณนะครับ สำหรับเขา” หนุ่มตาตกสรุปความให้ เมื่อเห็นเจ้านายเอาแต่ทำหน้าคิดไม่ตก “ผมไม่แปลกใจหรอก”

          ดวงตาเรียวจ้องมองผ่านกระจกมองหลังแทนการถาม

          “จำไม่ได้หรือครับ ที่ก้องบรรยายสรรพคุณเด็กนั่นน่ะ ถ้าผ่านมาโชกโชนขนาดนั้น ที่ขึ้นเตียงกับคุณมันก็แค่เรื่องสิวๆ”

          “ตะ…แต่ว่าตอนนั้น เขาทั้งร้องทั้งขัดขืนแทบตาย แถมยังร้องไห้ด้วยนะ”

          “ก็เขาไม่ชอบคุณนี่ครับ จะให้อ้าขารอคุณเสียบง่ายๆได้ไง” คำพูดสุดตรงกระทุ้งเข้าลิ้นปี่อีกฝ่ายจังเบอร์ “เพราะฉะนั้น คุณสิทธิ์ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น อาการไอ้เด็กนั่นปกติออกจะตาย ผมว่าเอาเวลาไปหาเรื่องแกล้งมันยังจะดีกว่า เผลอๆ วันนี้มันกลับบ้านมาอาจจะเยาะเย้ย หาว่าคุณมีน้ำยาทำได้แค่นั้นด้วยซ้ำ”

          ใจจริงชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากยุให้เจ้านายหาเรื่องลากเดียร์ขึ้นเตียงบ่อยๆนักหรอก แต่ถ้าให้เลือกระหว่างสิทธิ์ทำตัวสลด กับร่าเริงไปกับการแกล้งเด็กน้อย เขายอมเลือกอย่างหลังดีกว่า

          “…นั่นสินะ” เสียงที่เหี้ยมขึ้นทำเอาคนฟังสบายใจขึ้นเยอะ “ถ้าอย่างนั้นกลับไปต้องไปเตรียมตัวต้อนรับซะหน่อยแล้ว”

          ถึงตอนนี้จะดูผิดจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แต่ทีแรกเสียไกลโข แต่ฤทธิ์ก็ขี้เกียจจะขัด เพราะยังไงซะ ถ้าเรื่องมันจะมา เดี๋ยวมันก็มาเอง ก็เหมือนกับที่มาเมื่อคืนนั่นล่ะ

_______________________________________________________

อุแหม่ ตอนหื่นนี่มันทำเอาเมนท์พุ่งจริงๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 29-09-2013 16:09:53
เดียร์แอ๊บบ้างงงลูก ปกติไปแล้วววววว  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 29-09-2013 16:28:18
โอ๊ยยยสิทธิ์!!เริ่มจะซาดิสม์แล้วดิ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 29-09-2013 16:38:58
ดีใจกับเดียร์ด้วยจริงๆ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-09-2013 20:25:48
แหม่ คู่รัก SM อะไรจะลงตัวขนาดนี้
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 29-09-2013 20:27:33
เดียร์แอ๊บช้าไปแล้วละลูก  :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 29-09-2013 21:00:17
 ...แหมะ ..แหมะ  :hao6:  อุแหม่..น้ำลายใครกระเด็นมาติดจอเนี่ย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: corn_rain ที่ 29-09-2013 21:57:17
อร๊างงงงงง
นี่ขนาดเด็กน้อยยังขนาดนี้ :haun4:
แล้วถ้าคู่บอดี้การ์ดจะขนาดไหนเนี่ย :hao7: ของคู่นี้บ้างน้าาาา :impress2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: GimNgek ที่ 29-09-2013 23:55:30
รอตอนต่อไปค่ะ เตรียมอะไรไว้รอเดียร์กลับบ้านนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerva ที่ 30-09-2013 00:14:04
อยากให้เมนท์พุ่งเยอะๆก็ทำตอนหื่นแยะๆสิฮ้า  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Chifuu ที่ 30-09-2013 02:55:24
จะเตรียมอะไรไว้รอเดียร์เนี่ย แต่ไม่ว่าจะโหดขนาดไหนเดียร์คงถูกใจ555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 30-09-2013 14:39:28
เป็นฉากที่เลิศมาก..... :pighaun:   
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: lillapinn ที่ 02-10-2013 12:04:39
เดียร์ลูก อย่าฟินเยอะนะลูก เดี๋ยวหลุด 55 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 02-10-2013 12:15:31
อย่าทำให้น้องเดียร์ ผิดหวังนะครับ   :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 04-10-2013 16:55:41
หนูเดียร์ รู้ตัวซักทีสิลูก ว่าหนูหลุดแล้วววววว  :katai3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoke ที่ 04-10-2013 21:20:34
 o18

ฮิฮิ
ตบๆ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: aezac ที่ 05-10-2013 22:58:48
 :z10: :z6: :beat:

เอาให้ครบเซต
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 19 (29/9/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-10-2013 08:22:43
เดียร์ลูกก555555

หนูจะฮาไปไหน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 14-10-2013 17:26:23
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 20 

          ก้องหยิบไม้กวาดเดินออกมายังรั้วบ้านที่เคยแสนสะอาดด้วยฝีมือตน ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยเลือดสยองจากการต่อยและเตะชนิดฟันหลุดกระเด็นมากองเป็นซี่ๆบนพื้น หนุ่มใหญ่กวาดฟันน้อยใส่ถุงแล้วโยนลงถังขยะหน้าบ้าน พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน

          ในขณะที่คุณเจ้านายกับไอ้เด็กเวรนั่นกำลังเมามันกับการขึ้นสวรรค์ชั้นย่ำยี ฤทธิ์ต้องมาจัดการพวกโม่งดำที่ริจะดอดเข้ามาในบ้านเกือบทั้งคืน ด้วยเหตุผลที่น่าจับหมกป่าเป็นที่สุด แต่หนุ่มตาตกก็ไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เพราะตอนนี้อาศัยอยู่ในชุมชน ค่อนข้างจะลำบากเวลาขนศพ แถมอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้พกอาวุธหนักอะไรมา เลยทำแค่จัดหนักแต่ยังพอเดินหนีไหว แล้วก็ถามโน่นเค้นนี่พอให้รู้ว่าใครเป็นคนสั่งมาเพียงเท่านั้น

          ข่าวมันจะกระจายเร็วไปหรือเปล่า

          จะว่าดีมันก็ดี ว่าจะไม่ดีมันก็ใช่ เพราะการที่อีกฝ่ายเดินเกมเร็วก็เท่ากับอันตรายที่ย่างเข้ามาหาสิทธิ์เร็วขึ้นเช่นกัน และที่น่ากลุ้มก็คือ เหล่าคนร้ายที่เข้ามา ดันไม่ใช่สมุนของเป้าหมาย หากแต่เป็นของกลุ่มอื่นที่มุ่งร้ายต่อสิทธิ์อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งจากที่วัฒน์เตือนมา ปกติก็จะมีพวกนี้คอยเข้ามาโจมตีเป็นพักๆอยู่แล้ว และลองว่าหากโดนล่วงรู้ว่าสิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่บ้านซึ่งเป็นปราการสยองขวัญล่ะก็ มีหวังพากันเฮโลมากันเป็นแน่ ซึ่งก็เป็นจริงเสียด้วย ขนาดเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เจอไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว เล่นเอาหนุ่มแว่นต้องมาเหนื่อยเก็บกวาดซากนรกให้เร็วที่สุด ก่อนที่เพื่อนบ้านจะมาเห็น

          ฉันหวังว่าแผนของแกจะเวิร์คนะไอ้เดียร์…

          เสียงรถที่เข้ามาจอดหน้าบ้านดึงหนุ่มใหญ่ออกจากห้วงคิด ฤทธิ์เดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าหงุดหงิดเต็มที่ ซึ่งก้องเองก็รู้อยู่ว่าเพราะอะไร

          “ไปนอนก่อนละ เรื่องเมื่อคืนไว้รอหลังข้าวเย็นละกัน” ว่าจบก็แล่นเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการจะเสียเวลานอนไปมากกว่านี้

          หนุ่มแว่นอ้าปากค้าง จะรั้งอีกฝ่ายก็ไม่ทันเสียแล้ว พอหันไปหาเจ้านายก็ต้องแปลกใจกว่า เพราะเขาคาดไว้ว่าสิทธิ์น่าจะสงสัยเรื่องพฤติกรรมประหลาดของเดียร์แท้ๆ แต่กลับยิ้มเหี้ยมเกรียมมาเสียอย่างนั้น

          “ผมขึ้นห้องก่อนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะลงมาเอง”

          หลังจากเดินไปจัดการอาหารเช้าที่ทำท่าจะเป็นหมันเสียเกลี้ยง แถมยังมีไปจกส่วนของฤทธิ์อีก สิทธิ์ก็เดินฉิวขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้พ่อบ้านได้แต่มองตามด้วยความสงสัยสุดขีด ซึ่งเขาเดาได้อย่างเดียวว่า ฤทธิ์ต้องไปกล่อมอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพ่อหมีคงไม่โล่งใจขึ้นมาได้หรอก

 

          น้อยพยายามทำหน้านิ่งมองอาหารตาตรงหน้าพลางเช็คสินค้าที่สั่งไว้ของวันนี้ ซึ่งปกติเธอก็มักจะได้เห็นอยู่ทุกวันอยู่หรอก เพียงแต่วันนี้แปลกไปนิดหน่อย ก็ตรงพนักงานของเธอนั่นล่ะ

          “ขอบคุณที่มาใช้บริการครับ เดือนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อครบสามพันห้าลดทันทีสองร้อยบาท หวังว่าจะได้เจอกันบ่อยๆนะครับ” นอกจากน้ำเสียงจะหวานรื่นหูชวนหลง ทั้งใบหน้าและท่าทางของเดียร์ดูน่ารักชวนหลงจนลูกค้าหนุ่มถึงกับไม่ได้เอะใจหางเสียงแปลกๆเลยสักนิด

          “จ๊ะ…ผมสัญญา” คนตอบเอ่ยแบบเหมือนจะลืมไปแล้วว่าไอ้ช่อดอกคาร์เนชั่นที่สั่งไว้น่ะ จะเอาไปให้แฟนเนื่องในวันครบรอบคบกันเป็นปีที่เจ็ด…สงสัยจะเจออาถรรพ์แล้วกระมัง

          “แล้วผมจะรอนะครับ” มีทิ้งท้ายให้ใจละลายเล่นอีก ซึ่งนับว่าแปลก เพราะถึงเดียร์จะพูดแบบนี้จริง แต่น้อยไม่เคยเห็นว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ เล่นเอาเธอเองยังแอบใจเต้น

          “เมื่อคืนต้องมีอะไรดีๆแน่เลย ใช่ไหมจ๊ะ” หลังจากลูกค้าผู้โดนออร่าของเดียร์ครอบงำจากไป น้อยก็เริ่มต้นทำการสืบสวนขึ้น ด้วยสายตาประดุจเหยี่ยวจ้องเหยื่อ

          “ก็นิดหน่อยน่ะครับ” เดียร์หัวเราะกลบเกลื่อน ลองบอกความจริงไปสิ เจ๊คงวิ่งแจ้นไปหาตำรวจแทบไม่ทัน “คุณสิทธิ์เขาก็แค่ดีกับผมอย่างที่ผมฝันไว้มานานแล้ว เลยเผลอดีใจไปหน่อย"

          แหม่ นี่ก็พูดเรื่องจริงอยู่นะ เพียงแค่จินตนาการของพี่กับความสุขของผมมันหน้าตาต่างกันไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

          “ว้ายๆ ไม่คิดเลยนะ ว่าหน้าตานิ่งๆดูทื่อๆแบบนั้นจะหวานเป็นขนาดนั้น” หญิงสาวกรีดเสียงวี้ดว้ายราวกับเป็นเด็กสาวก็ไม่ปาน “แล้ววันนี้เขาจะมารับเราหรือเปล่า พี่จะได้เตรียมจ้องให้อิ่มใจเลย”

          เอางั้นเลยหรือครับ เอาเถอะ ถึงผมจะสงสารที่เขากลายเป็นเหยื่อโดนคุกคามด้วยสายตาหวานฉ่ำของพี่ แต่ถ้าให้ผมโดนเองนี่ก็ไม่เอาเด็ดๆ

          “เห็นว่าจะมารับนะครับ” คิดแล้วทำเอาผมตื่นเต้นเพราะความเครียดเลยล่ะ…ผมยอมรับนะว่าพลาดท่าหลุดอาการเมื่อเช้า ผมไม่ได้กลัวการมาสายหรอก แต่เพราะถ้ามาสาย พี่น้อยเขาก็จะลำบาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมยอมไม่ได้หรอก ชีวิตของผมคือการดูดความเจ็บปวดของคนรอบข้างมาไว้ที่ตัวเองครับ ไม่แบ่งใครหรอก

          ถ้าคุณมารับ ผมควรจะออกอาการยังไง เพื่อไม่ให้คุณจับได้กันนะ…เครียดจังเลย…ทำเอาผมหุบยิ้มไม่ได้เลย ให้ตายสิ!

          “แต่พี่กลัวอย่างนะ ถ้าเกิดพี่ชายเธอมาเจอกับคุณสิทธิ์ ไม่แย่หรอกหรือ”

          ระเบิดลงมั้งครับ ดูจากความแรงในตอนนี้อาจจะอยู่ในระดับขีปนาวุธก็ได้ ซึ่งถ้าให้ดี ผมอยากเป็นคนโดนความเสียหายจัง~ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็รู้ๆกันอยู่

          “ไม่แย่หรอกครับ เรื่องนั้นพี่น้อยสบายใจได้ ต่อให้สองคนนั้นมาเจอหน้ากันจริงๆ ก็ไม่มีทางมาอาละวาดที่ร้านได้หรอก”

          ก็ปุ่มกดระเบิด มันอยู่ที่ผมแล้วนี่นา แต่คนเฝ้าระเบิดคงไม่ยอมพาระเบิดมาให้ผมกดใช้ง่ายๆนี่สิ หึๆ อยากจะถ่วงเวลาที่ยังไงก็ต้องมาถึงผมก็ไม่ว่าหรอก เพราะมันก็จะทำให้ความสุขของผมยืดยาวไปด้วยนี่นา

          แต่เอาจริงๆ ที่ดูแล้วน่าจะเป็นปัญหา ไม่ใช่พวกพี่หรือคุณสิทธิ์หรอก…เมื่อเช้าก็ดันรีบเสียจนหลุดออกไปตั้งเยอะ แถมยังลืมของสำคัญเอาไว้อีกนี่สิ

 

          “ทำไมฉันถึงไปหาเดียร์ไม่ได้”

          มาถึงชาก็ต้องตอบคำถามง่ายๆแต่ทำใจพูดยากสุดๆในยามเช้าขณะจะออกไปที่บริษัท ใจหนึ่งก็รู้สึกสุขใจที่โดนมองด้วยสายตาคาดคั้นและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอยู่หรอก แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไปพบความจริงที่โหดร้ายเข้า และเขามั่นใจว่า ไอ้คุณน้องชายแสนดีคงเตรียมบทด่าพี่มันไว้ชนิดที่ว่าน่าจะทำให้วินจิตตกไปเป็นอาทิตย์แล้วแน่ๆ

          ใครจะยอมให้เกิดเรื่องพรรค์นั้นกันเล่า บ้าเอ๊ย!

          “คุณลืมคำขู่ของคุณมาริสาแล้วหรือครับ” ที่จริงก็ไม่อยากจะงัดไม้นี้มาใช้ แต่เพราะไม่เหลือทางให้เลือกมากนัก “คุณคงไม่อยากให้มันเกิดหรอก ใช่ไหม”

          “นี่แกขู่ฉันเรอะ” เสียงทุ้มแข็งกร้าว ร่างสูงเดินลงจากชั้นสองอย่างไม่ใส่ใจคนตามนัก “แกคิดจะไปฟ้องแม่ฉันงั้นสิ”

          คนที่มักนิ่งอยู่เสมอถึงกับเปลี่ยนสีหน้า “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…”

          “แล้วจะให้หมายความว่าไงล่ะวะ ในเมื่อเรื่องคราวก่อนก็เป็นเพราะนาย! นายอยากจะกวนโมโหฉันแค่ไหน ฉันไม่ว่า แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยอมให้นายมาหยุดฉันได้หรอกโว้ย” วินหันกลับมาตะคอกใส่หน้าอย่างไม่เกรงใจคนใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นแม้แต่น้อย แต่เหล่าคนใช้เองก็ไม่ได้ตกใจนัก เพราะมันเป็นเรื่องที่เห็นได้ประจำ “ฉันจะไป ถ้านายอยากฟ้องแม่ฉันก็เชิญเลย ปากก็บอกว่าภักดีกับฉัน ตอแหลสิ้นดี”

          “ไม่ใช่นะครับ!”

          ตามปกติชาก็มันจะปฏิเสธแบบนี้ประจำนั่นแหละ แต่ที่ทำให้ทั้งวินและเหล่าคนใช้พากันอึ้งสนิท ก็เพราะน้ำเสียงนี่แหละ มันไม่ใช่น้ำเสียงร้อนรนเหมือนคนแก้ตัว แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจเหมือนคนจะเป็นจะตายยังไงยังงั้น

          และที่ทำให้วินถึงกับอ้าปากหวอก็ตรงที่อีกฝ่ายดันน้ำตาร่วงออกมานี่แหละ ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นชาร้องไห้ให้เห็นแม้แต่หนเดียวเลย…ไม่ว่าเขาจะตบ ตี เตะ ต่อย ด่าพ่อล่อแม่สารพัดสารเพขนาดไหน ก็ไม่มีแม้แต่จะออกอาการโกรธหรือเสียใจออกมา…จนกระทั่งตอนนี้นี่แหละ

          “มัน…ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด…นะครับ” ชายังคงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตาสีดำเลื่อนหลบต่ำ และเขื่อนยังคงแตกออกมาเป็นสาย “คุณจะทำร้ายผมแค่ไหน…ผมก็ยอม…ขออย่างเดียว…อย่าเพิ่งไปหาเดียร์…เลยนะครับ…”

          ผมไม่เอาด้วยหรอก คุณจะใจร้ายแค่ไหนกับผมยังไงก็ได้ จะไม่สนใจเห็นผมอยู่ในสายตาก็ได้ หรือจะเห็นผมเป็นแค่ลูกน้องที่ดีแต่กวนประสาทคุณ ผมก็ยอม แต่ผมไม่ยอมให้คุณต้องเสียใจหรอก…ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอม…

          วินยังคงอ้าปากค้าง เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกที่ชาเอ่ยขอร้องพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้มแบบนี้ เล่นเอาจากที่ตั้งใจว่าจะต่อยสักสองสามป้าบ มือไม้มันดันแข็งจนขยับแทบไม่ได้แทนเสียนี่ พอหันไปหาคนใช้เพราะอยากได้ความช่วยเหลือ เหล่าผู้อยู่ใต้อาณัติก็ดันพากันชิ่งออกจากห้องเพราะเข้าใจว่าต้องการอยู่เพียงลำพังแทนเสียอย่างนั้น

          “ขอร้องล่ะครับ…อย่าไปเลยนะ…” ชายังคงเอ่ยขอทั้งที่ยังก้มหน้าน้ำตาไหลพราก “คุณ…จะชกผมก็ได้…ถ้ามันทำให้คุณตกลง”

          มามุกนี้แล้วจะให้ฉันใช้ความรุนแรงได้ไงล่ะวะ!

          “โธ่เว้ย!!”

          ดวงตาเรียวเบิกกว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชาเตรียมใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะทำร้ายเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือเดินหนี

          ไม่ใช่ดึงเขาเข้ามากอดแบบนี้!

          ชายังคงนิ่งเงียบเพราะตกใจต่อสถานการณ์ในตอนนี้ และไอ้ความรู้สึกที่สู้เมินไว้อยู่นานก็ผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุ

          “…คุ…คุณวิน…” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อพยายามจะขืนตัวหนี แต่อีกฝ่ายกลับกอดแน่นกว่าเดิม เล่นเอาหัวใจเต้นแรงเสียจนชารู้สึกอึดอัด “คุณวิน…”

          “หยุดร้องไห้หรือยัง”

          มันแห้งตั้งแต่วินาทีแรกที่โดนกอดแล้วครับ

          “…ครับ” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “เลิกกอดผมได้แล้วครับ เดี๋ยวก็โดนเข้าใจผิดหรอก”

          แต่กลับไม่ยอมปล่อยอย่างที่คาด
         
          “ไม่ต้องมาแซวฉันกลบเกลื่อนไปหน่อยดีกว่า” หนุ่มแว่นกระซิบบอกอยู่ข้างหู ยิ่งทำเอาคนฟังตื่นเต้นหนัก จนชักอยากจะหนีขึ้นมาจริงๆ แต่พอนึกว่าคงไม่ได้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นง่ายๆนักก็อดเสียดายไม่ได้ เลยได้แต่ยอมอยู่แบบนี้ “หายร้องแล้วแน่นะ ถ้ายังฉันไม่ปล่อยนะโว้ย”

          นี่เป็นวิธีทรมานผมแบบใหม่หรือเปล่าครับ คุณจะทำให้ผมเลือดไหลเวียนเร็วกว่าปกติใช่ไหมครับ

          “ผม…หยุดแล้วจริงๆ” ก็ใช่ว่าไม่ชอบ แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้ความในใจเลยต้องรีบพูดออกไป แม้จะนึกเสียดายนิดๆก็ตาม

          วินจับไหล่ชาแล้วจ้องหน้าที่ยังคงเปื้อนคราบน้ำตา ก่อนจะทำตามที่ว่าไว้ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้

          “เช็ดซะ”

          “ผมมีของผม…”

          “เช็ด”

          ยื่นมือไปรับออกมาอย่างเสียมิได้

          ชาช้อนมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก วินยังคงจ้องเขา ด้วยใบหน้าบูดอย่างที่มักจะเป็น ซึ่งมันทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

          “นึกยังไงกอดผมล่ะครับ” สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ ถึงจะไม่อยากรู้อย่างไร เขาก็เตรียมใจรับกับคำตอบที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ดีกว่าปล่อยให้มันคาใจอยู่แบบนี้

          “ก็นายร้องไห้” แต่เหตุผลกลับยิ่งทำให้คนฟังข้องใจกว่าเดิม

          “แล้วคุณจะกอดผมทุกครั้งที่ผมร้องไห้หรือไง”

          “ก็คงงั้น”

          …ช่วยลังเลก่อนตอบสักนิดได้ไหมครับ! ถึงผมจะรู้ว่าที่คุณทำแบบนี้ก็แค่ไม่อยากให้ผมร้องไห้ก็เถอะ

          “แล้วเรื่องไปหาเดียร์ละครับ”

          ทีอย่างนี้ล่ะคิดนาน โธ่เอ๊ย!

          “…เออ ไม่ไปก็ได้” วินตอบด้วยน้ำเสียงส่งๆ ดวงตาคมจ้องมองลูกน้องที่เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกลอกตา “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมนายถึงไม่อยากให้ไปหาขนาดนั้น แต่ถึงขนาดร้องไห้ยอมให้ฉันชกเนี่ย มันคงเป็นเหตุผลที่พูดยากเอาการล่ะสิ”

          มันไม่ใช่แค่ยาก แต่มันจะจบตรงที่คุณจะหาว่าผมพูดเรื่องบ้าบอน่ะสิครับ

          “ที่จริง…มันไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้หรอกครับ ผมก็แค่กลัวคุณจะไม่ยอมรับฟังเหมือนที่ผ่านๆมาก็เท่านั้น” ชาบอกความจริงออกไปครึ่งหนึ่ง “ผมรู้ว่าคุณไม่แคร์ ถ้าโดนคุณนายจับได้ แต่ลองคิดถึงคนที่จะเดือดร้อนที่สุดสิครับ”

          วินทำหน้าปั้นยากใส่

          “ที่ผมขอร้อง ก็เพื่อคุณนะครับ” หนุ่มหน้านิ่งเอ่ยเสียงอ่อย

          “เออ ฉันรู้แล้วน่า ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไปก็ไม่ไปไง” หนุ่มแว่นบอกอย่างรำคาญ “แต่ถ้าโทรไปหาคงไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”

          มันต้องได้สักทางสินะ…เอาเถอะก็ยังดีกว่าไปแล้วเจอกับคุณสิทธิ์เยอะ “คิดว่าคุณนายคงไม่ถึงขนาดดักฟังโทรศัพท์คุณด้วยหรอกครับ”

          บอกจบก็ต้องหันหลังมองอย่างระแวดระวังทันที

          “ไม่ต้องห่วงครับ คนของคุณนายเขาอยู่เฝ้าอยู่แถวร้านเดียร์ ไม่อยู่แถวนี้หรอก”

          วินถลึงตามองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มตอบก็ได้แต่ถอนใจใส่

          “ให้คุณนายเข้าใจว่าผมเป็นพวกเธอ ผมจะได้รู้ไงครับว่าเธอเคลื่อนไหวอะไรไปบ้าง…หรือคุณไม่เชื่อผมเพราะเรื่องก่อนหน้านั้น ผมก็บอกคุณไปแล้วนี่ครับว่าผมไม่ได้โทรไปบอกคุณนายจริงๆ จะเอาโทรศัพท์ผมเช็คดูก็ได้นะครับ”

          ที่จริงก็เชื่ออยู่หรอก แต่พอเห็นชายิ้มหน้าเป็นแบบนี้แล้วอดนึกหงุดหงิดใส่ไม่ได้ทุกที เพราะงั้นก็ขอสักทีเถอะ

          ชาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หน้าผากตนเสียเต็มแรง สีหน้าของวินคล้ายจะเอาเรื่องเต็มที่ ซึ่งชายหนุ่มก็เตรียมใจรอรับอยู่แล้ว

          “แล้วฉันจะคอยดู” แต่หนุ่มแว่นเพียงแค่แค่นเสียงใส่ ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากบ้าน “แล้วนั่นจะยืนค้างหาพระแสงอะไรล่ะ รีบๆตามมาสิ เดี๋ยวไปประชุมสายนายก็หาเรื่องบ่นใส่ฉันอีก”

          ชาเบิกตามองอีกฝ่ายที่จ้องมาด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินตามคุณเจ้านายจอมเผด็จการไปอย่างทุกที

 

          ก้องมองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายสามกว่าก่อนจะพลิกแพนเค้กช็อกโกแลตลงใส่จาน กลิ่นหอมอ่อนๆลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว หนุ่มใหญ่ทำเพิ่มอีกสองสามชิ้น เพราะรู้ว่าคนที่กำลังจะลงมากินคงไม่พอใจแค่ชิ้นสองชิ้นแน่ แต่ครั้นจะทำมื้อหนัก พ่อคุณก็คงไม่เอาอีก ปากก็บ่นว่าเดี๋ยวอ้วนๆ แต่เอาเข้าจริง ถึงจะไม่บางเท่าเดียร์ แต่ก็ทำให้พวกเด็กๆวัยรุ่นมันอายกันได้หลายคนล่ะ แถมปริมาณการกินก็เกือบจะเทียบเท่าสิทธิ์ด้วยซ้ำ ทั้งอย่างนั้นก้องกลับไม่เคยเห็นฤทธิ์น้ำหนักขึ้นเกินสองกิโลฯให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

          “ง่วง…” เจ้าของเสียงทุ้มวางคางไว้บนบ่าพ่อครัว ฤทธิ์สูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเลื่อนมองจานแพนเค้กตรงหน้า “นั่นกินเลยได้หรือเปล่า”

          “ตามสบายครับ” ก้องหยิบจานขึ้นมาให้ “น้ำผึ้งอยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวฉันเอาไปให้”

          “คร้าบ” ฤทธิ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนจะเดินหาวไปยังโต๊ะทานข้าว

          “ตกลงเมื่อคืนนายจัดการไปกี่คนเนี่ย” หลังจากวางขวดน้ำผึ้งพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นให้เรียบร้อย หนุ่มแว่นก็เอ่ยถามพลางนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

          “ไม่รู้สิ หลังจากคนที่สิบฉันก็ขี้เกียจนับแล้ว” ฤทธิ์เปิดฝาแล้วเทน้ำผึ้งลงบนแพนเค้กจนหมดขวด ทำเอาก้องล่ะสงสัยจริงๆ ว่าตกลงพ่อคุณกลัวอ้วนจริงหรือเปล่า “ไอ้พวกจะเข้ามาอุ้มคุณสิทธิ์น่ะ ฉันเฉยๆ แต่อันนี้น่าจะเด็ด”

          หนุ่มแว่นมองสิ่งที่อีกฝ่ายวางไว้บนโต๊ะ เป็นวัตถุที่ทำจากพลาสติกสีดำรูปทรงเหมือนเหรียญแต่ขนาดกว้างเท่าฝ่ามือ

          “ฝากล้อง?” ก้องเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก

          “เสียดาย ตรงที่มันหนีไปได้นี่แหละ” หนุ่มตาตกว่า ก่อนจะหยิบแพนเค้กฉ่ำน้ำผึ้งใส่ปาก

          หนุ่มใหญ่ขยับแว่นมองอย่างเงียบๆอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “หรือจะเป็นพวกของธานินทร์”

          “คงงั้นมั้ง” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็เห็นเงยๆขึ้นไปมองฝั่งห้องคุณสิทธิ์ก็คงอยากได้รูปคู่เอาไปให้คุณวินละมั้ง ฉันไม่คิดว่ามันถ่ายเพราะอยากให้แน่ใจว่าคุณสิทธิ์อยู่ที่นี่จริงหรือเปล่าหรอก คุณวินยังไม่รู้เรื่องนี้นี่ ไม่งั้นได้รบกันขึ้นมาจริงๆแน่ ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วง เพราะกล้องมันฉันเตะใส่กำแพงกระจายไปแล้ว ยกเว้นเสียแต่ว่ามันจะใช้กล้องหลายตัวถ่ายน่ะนะ”

          ฟังแล้วเครียดเลยทีเดียว

          “ว่าแต่คุณสิทธิ์ยังอยู่บนห้องเหรอ” หลังจากฟาดของชวนเลี่ยนเสียเกลี้ยง ก็เอ่ยถามขึ้นพลางมองไปยังบันได

          “ฉันก็อยากจะถามนายเหมือนกัน ไปพูดอะไรให้เขาฟัง คุณสิทธิ์ถึงได้มีอาการแบบนั้นน่ะ”

          ฤทธิ์เลิกคิ้วทำหน้านิ่งใส่ “ก็แค่บอกให้เลิกกลุ้ม แล้วก็ทำๆอย่างที่อยากทำไป ก็แค่นั้น”

          ชี้โพรงให้กระรอก…หรือจะพูดว่าเอาอ้อยเข้าปากช้างดีล่ะ…

          “นี่ตกลงนายอยากหรือไม่อยากให้คุณวินกับคุณสิทธิ์มีเรื่องกันเนี่ย”

          “ไม่อยากอยู่แล้ว…” น้ำเสียงช่วงท้ายเนิบนาบจนชวนให้รู้สึกแปลกใจ พอสบเข้ากับดวงตาที่เหมือนกับจะมองทะลุได้ ทำเอาก้องรู้สึกเหมือนว่างานกำลังจะเข้า “เออ ฉันนึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้ ว่าจะถามนายหน่อย”

          ก้องนิ่วหน้ามองอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มเย็นชวนขนลุกมาให้ ฤทธิ์หยิบโทรศัพท์มือถือขนาดกะทัดรัดขึ้นมา ซึ่งก้องจำได้ว่านั่นไม่ใช่ของฤทธิ์แน่ และก็ไม่ใช่ของสิทธิ์ด้วย…แต่หน้าตามันคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…ซึ่งเขาไม่ต้องคิดนาน อีกฝ่ายก็รอเฉลยให้อยู่แล้ว

          “ทำไมถึงมีเบอร์นายอยู่ในเครื่องไอ้เด็กนั่น”

          งานเข้าจริงๆแล้วไงล่ะตู!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 14-10-2013 17:42:10
แอบมาอ่านแต่ไม่ค่อยเม้นต์ 555
เพราะชอบและไม่อยากคอยบ่อยๆ ถึงอ่านรวดเดียว
ขอบคุณมาก สนุกจริงๆ
บวกและเป็ด
 :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 14-10-2013 17:46:00
อยากอ่านตอนต่อไป :katai4:
แหน่ะก้องอ่ามาพูดว่างานเข้านะ
รู้นะว่าชอบ555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 14-10-2013 18:18:14
วินก็มีมุมที่อ่อนโยนอยู่นะ ถึงได้กอดชาอ่ะ55555
สงสัยฝนจะตกแน่เลย- -" :a5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 14-10-2013 21:35:54
งานเข้าจริงด้วย แต่ว่าของชอบเลยไม่เรอะไง ความเจ็บปวดน่ะ ส่วนคู่วินกับชา อ่านมาจนถึงตอนนี้ เรายังไม่แน่ใจซะทีว่าคนใหน เมะ คนใหนเคะ  นักเขียนอย่าลืมเฉลยคู่นี้นะคะ อยากเห็น ฮุฮุ  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 14-10-2013 21:47:48
งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ เดียร์ตั้งใจลืมอ่ะป่าว

คงไม่หรอกเนอะ  :hao3:

มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-10-2013 05:38:34
งานเข้าแล้ว5555555555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 20 (14/10/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 15-10-2013 19:50:29
เพิ่งเคยเจอนายเอกเวอร์ชั่นนี้เนี่ยแหละ 
แถมคนรอบข้างก็ดูจะเป็นใจให้ ทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว 555555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 03-11-2013 11:48:54
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 21 


          ฟัค!! ไอ้เด็กบ้า กับไอ้แค่มือถือของตัวเอง ทำไมไม่รู้จักรักษาให้ดีๆฟะ อ๊ากกกกก

          “ไง หูหนวกหรือไง ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ ทำไมนายถึงโทรหาไอ้เด็กนั่น แถมยังมีโทรหากันอีก ไหนบอกว่าไม่ได้รู้จักกันไง หา”

          ก้องได้แต่อ้าปากพะงาบๆโดยไม่มีเสียงพูดสักคำ ตอนนี้เขานึกไม่ออกแล้วว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี เพราะหลักฐานมันก็ทนโท่อยู่คามือ

          เอาไงดี เล่าความจริงไปดีไหม แต่เกิดแผนแตกแล้วจะทำยังไงล่ะฟะ….ไม่สิ ยังมีเหตุผลนั้นอยู่นี่หว่า

          “คะ…คือ ใจเย็นๆนะ ฉันกับเด็กนั่นก็แค่รู้จักกันผ่านๆเองนะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยอย่างที่นายคิดน้า” เอาวะ ยอมโดนเรื่องเข้าใจว่าเป็นกิ๊ก ก็ยังดีกว่าโดนเรื่องแผนตั้งเยอะ

          ถ้าเป็นตามปกติ ฤทธิ์จะต้องโวยวายและประเคนทั้งหมัดและฝ่าเท้ามาให้อย่างทันท่วงที แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ หนุ่มตาตกกลับแค่นเสียงหัวเราะใส่แทน ทำเอาคนที่ปั้นหน้าเป็นชะงักค้าง

          “จำได้ไหมว่าเราคบกันมากี่ปีแล้ว

          “จะ…จำได้สิ สี่ปีไง…”

          “โอ้ สมองยังไม่เสื่อมนี่” น้ำเสียงร่าเริง ใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่คำพูดไม่ไปด้วยกันเลยสักนิด “ถ้างั้นก็น่าจะรู้นะว่า ไอ้เรื่องจับกิ๊กนายเนี่ย ฉันเจอมากี่ร้อยรอบแล้ว แค่นายไม่แก้ตัวขึ้นมาทันที ฉันก็รู้แล้วว่านายกับไอ้เด็กนั่นไม่ได้เป็นอะไรกัน!”

          อ๊าก!! จะตีจะตบจะด่ายังไงฉันก็โอเค แต่อย่าสาวไส้ฉันเลยเท้อะ ฉันแค่โดนบังคับให้ร่วมมือ ไม่ใช่ตัวการ~~~~~

          “เอาเถอะ จะยืนกรานแบบนั้นฉันก็ไม่ว่า” ฤทธิ์เยาะก่อนจะยกมือถือขึ้นมาดู “ไว้ให้คุณสิทธิ์อ่านบันทึกในนี้ก่อนเถอะ ดูซิว่าทีนี้จะยังทำเป็นไม่รู้เรื่องได้หรือเปล่า”

          เฮ้ย บ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กนั่นมันเขียนแผนการเอาไว้ในมือถือน่ะ

          “ไม่นะ! อย่าบอกนะ ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่มีโอกาสจัดการไอ้เดชได้แน่” ก้องรั้งเสียงตื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกจากเก้าอี้จะเดินขึ้นไปข้างบน “นายเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันนี่ ใช่ไหมล่ะ จริงๆฉันไม่ได้อยากจะปิดนายนะ แต่เรื่องนี้ถ้ามีคนรู้มากเข้ามันจะไม่ดีเอาน่ะสิ”

          หนุ่มตาตกเลิกคิ้ว “ก็ไม่รู้สินะ แบบว่านึกๆแล้วก็แอบเห็นใจคุณสิทธิ์อยู่นะ…”

          “ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะหลอกคุณสิทธิ์เหมือนกันล่ะน่า แต่มันไม่เหลือวิธีอื่นที่จะล่อให้ไอ้เดชมันออกลายแล้วนี่นา”

          “ก็จริงนะ…” ฤทธิ์ยังคงทำท่าเหมือนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก “แล้วแผนนี่ นายเป็นคนต้นคิดหรือเปล่าล่ะ”

          “เปล่านะ เป็นของเดียร์มันต่างหาก” รีบโบ้ยอย่างทันท่วงที เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจแค่ตบเตะต่อย แต่จะต่อด้วยเลิกกันถาวรนี่แหละ

          “อ้อ” ชายหนุ่มยิ้มเหี้ยม “แล้วพวกนายไปรู้จักกันตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง”

          นี่คือคำถามที่ไม่อยากจะตอบเป็นที่สุด แต่มีหรือจะไม่ได้เตรียมการณ์เอาไว้

          “พอดีงานอดิเรกเราเหมือนกัน เลยบังเอิญเจอกันตามงานน่ะ” นี่ก็พูดจริงนะเนี่ย “แต่นั่นมันก็นานมาแล้วด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ฉันก็ไปกับนายแทนนี่”

          ซึ่งไอ้งานที่ว่าไม่ใช่สมาคมนิยมความรุนแรงแน่

          ฤทธิ์มุ่นคิ้วมองโดยไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนกำลังพิจารณาว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกอยู่หรือเปล่ามากกว่า ซึ่งจากที่เขาเห็นตอนนี้ก็น่าเชื่ออยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

          “ไม่เห็นจะรู้ว่าไอ้เด็กนั่นชอบทำอาหารด้วย มันจะนิสัยแม่บ้านครบเครื่องเกินไปหรือเปล่าวะ” แค่ทำงานบ้านได้ เขาก็รู้สึกแหยงแล้ว ถึงแม้จะหน้าตาเหมือนสาวน้อยยังไงก็เถอะ แต่ไอ้ข้างล่างมันก็มีดุ้นเหมือนๆกับเขา แล้วยิ่งฝึกสกิลแบบนั้นอีก อย่างกับจะไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างนั้นแหละ แถมยังทำงานร้านดอกไม้อีก นี่ถ้าไม่ติดช่วงล่าง ท่าทางคงไม่มีทางรอดจนมาเจอกับสิทธิ์แน่

          “แหม อย่าดูคนที่ภายนอกสิ” ก้องพยายามที่จะไม่ยิ้มเกินเหตุ แล้วชี้นิ้วมาที่ตนเอง “ใช่ไหมล่ะ”

          “…งั้นมั้ง” ฤทธิ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

          “อ้าว แล้วนั่นนายจะไปไหนน่ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกจากบ้านไป ก็รีบถามเสียงตื่น เพราะยังจำคดีความของตนได้อยู่

          หนุ่มตาตกหันมาเลิกคิ้วเอียงคอ และยิ้มที่มุมปาก ดูแล้วชวนสยอง จนก้องเริ่มจะรู้แล้วว่าแฟนของตนคิดจะทำอะไร

          “สอบปากคำทั้งที ก็ต้องสอบผู้ต้องสงสัยให้หมดทุกคนสิ”

          แล้วจะห้ามยังไงได้ล่ะ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้เดียร์ให้การตรงกับเขา และไม่เปิดโปงเรื่องที่ไม่ควรจะเปิดไปด้วยก็พอ

 

          ฤทธิ์ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าร้านดอกไม้แน่นขนัดไปด้วยลูกค้าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น และลูกค้าทุกคนยังเป็นผู้ชายเหมือนกันหมดอีกด้วย

          “ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมดีใจมากเลยที่อุตส่าห์มาซื้อดอกไม้กับเรา แล้วอย่าลืมมาอีกนะครับ”

          พอเดินเข้าไปใกล้ทางเข้าร้านก็ได้ยินเสียงหวานดังแว่วออกมาอย่างร่าเริงจนน่าแปลก ฟังแล้วไม่เหมือนคนเพิ่งโดนกระทำชำเรามาเลยสักนิด ฤทธิ์พยายามจะเดินเข้าไปในร้าน แต่ยังไม่ทันจะได้แทรกผ่านแถวเข้าไป ก็มีมือรั้งบ่าตนไว้เสียก่อน

          “นี่คุณ เข้าคิวสิครับ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “คนอื่นเขาก็รอกัน อย่าเห็นแก่ตัวสิครับ”

          ชายหนุ่มปรายตามองก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้า ด้วยท่าทางที่ไม่หยี่ระต่อคำต่อว่าเมื่อครู่

          “ฉันไม่ได้มาซื้อดอกไม้ มาหาเพื่อนเฉยๆ” ฤทธิ์บอกเสียงนิ่ง แต่ทำท่าเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ‘ถ้าตูจะแซง แล้วเอ็งจะทำอะไรตูได้ล่ะ ไอ้ไก่อ่อน’

          เขาไม่รอฟังคำตอบ ดันคนหน้าประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่สนใจว่าใครจะแอบด่าอยู่ข้างหลัง

          โชคดีหน่อยที่ด้านในคนไม่เยอะอย่างที่คาด มีลูกค้าแค่สองคน คนหนึ่งกำลังจะออกจากร้าน ส่วนอีกคนกำลังรับช่อดอกกุหลาบขนาดกะทัดรัดมาจากพนักงานแสนสวย…ซึ่งตอนนี้แผ่ออร่าสดใสมาแต่ไกล ซึ่งก็หายไปในทันทีที่เดียร์เห็นหน้าลูกค้าคนต่อไป

          “อ้าว คุ…คุณฤทธิ์ ยังไม่ถึงเวลาเลิกผมเลยนะครับ” เดียร์ร้องเสียงตื่น

          “เปล่า ฉันไม่ได้มารับ แต่มีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อย” ดวงตาตกเลื่อนมองเจ้าของร้านสาวซึ่งกำลังทำหน้าที่ต่อจากเดียร์
         
          “ถ้าอย่างนั้นช่วยรอสักครู่ก่อนได้ไหมคะ…เชิญรอด้านในก็ได้ค่ะ” น้อยบุ้ยใบ้บอกอ้อมแอ้มไปทางห้องพัก ก่อนจะหันไปยิ้มและยื่นตะกร้าสานประดับดอกไม้สีสวยแกมบังคับให้ลูกค้า

          ฤทธิ์ปรายมองแถวด้านนอกที่ยังแทบจะมองไม่เห็นปลายแถว แถมยังต้องให้เดียร์แจกยิ้มแจกคำหวานใส่เพิ่มอีก อย่างต่ำคงสองชั่วโมงครึ่ง

          “นายน่ะ ไปรอซะ แล้วเดี๋ยวฉันทำแทนเอง แค่ยื่นดอกไม้พวกนี้ตามที่สั่งไว้เท่านั้นใช่ไหมล่ะ ถ้างั้น คุณเจ้าของร้านช่วยบอกผมก็แล้วกัน”

          “เอ๋ แต่ว่า…” ลูกค้าคนใหม่ที่หวังจะรอรับดอกไม้จากนางฟ้าท้วงเสียงแข็ง แต่ก็ต้องค้างนิ่งไปเมื่อสบเข้ากับดวงตาประดุจเสือร้ายเข้า

          “ทำไม มีปัญหาหรือไง อยากได้ของแถมนอกจากดอกไม้ใช่ไหม เอาอะไรดีล่ะ” ฤทธิ์ยิ้มเหี้ยมก่อนจะหักนิ้ว จากนั้นก็ตบบ่าอีกฝ่าย “ว่าไงล่ะครับ”

          เดียร์ถลึงตามอง ดูเผินๆก็เหมือนแค่ว่าฤทธิ์จะข่มคุณลูกค้าด้วยคำพูดและท่าทาง แต่ต่อมมาโซฯของเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดจากมือบนไหล่นั่น ทำเอาสะท้านไปทั้งทรวง อยากจะโดนบีบเสียเหลือเกิน~~…แต่อยู่ในที่สาธารณะก็ได้แต่ฝืนทนจนหน้าหมองแทน

          ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที แถวที่ยาวเป็นหางว่าวก็หายวับ

          “ทีนี้คงมีเวลามาคุยธุระกับฉันแล้วสินะ” ฤทธิ์ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหยิบมือถือของเดียร์ขึ้นแล้วโยนให้ “จะเปลี่ยนที่คุย หรือคุยกันตรงนี้ดีล่ะ”

          เดียร์มองหน้านิ่งก่อนจะยิ้มหวาน “งั้นไปข้างนอกละกันครับ…พี่น้อยครับ เดี๋ยวผมมานะ”

          “เอ๋ ดะ…เดี๋ยว”

          ช้าไปแล้ว พนักงานหนุ่มลากคนตัวสูงกว่าชิ่งออกนอกร้านอย่างไว โดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ท้วงถามว่า ‘คุยในห้องพักก็ได้นี่’

 

          ก้องเดินวนไปมารอบบ้านจนพื้นแทบจะสึก พอมองเวลาที่เกือบจะสองทุ่มแล้ว ก้องก็ยิ่งร้อนใจจนอยากจะออกไปตาม ติดว่าเขาไม่สามารถทิ้งสิทธิ์เอาไว้คนเดียวได้ และปัญหาคือ เขาไม่อยากให้เจ้านายแสนซื่อต้องมารู้ความจริงอันโหดร้ายนี้ด้วย

          “พี่ก้องครับ”

          แม้จะไม่เผลอตะโกน แต่ก็กระโดดเสียจนตัวลอย ก้องรีบจับแว่นของตัวเองเอาไว้ และพยายามปั้นหน้าเป็นให้อีกฝ่าย

          “เรื่องเดียร์ใช่มั้ยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ฤทธิ์ไปรับให้แล้วครับ เชิญรอตามสบาย แล้วเดี๋ยวผมจะถวายพานไปให้เลยครับ”

          สิทธิ์อ้าปากค้างไปสามวินาที “เปล่าครับ ผมแค่จะมาขอของว่างกิน”

          ก้องรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างแตก คล้ายๆจะเป็นหน้าเขา

          “งั้นหรือครับ งั้นผมจะรีบทำให้เลย อยากกินอะไรล่ะครับ บอกมาสิครับ” ต่อให้แตกอีกสักกี่รอบ ก็ยังดีกว่าให้สิทธิ์สะกิดใจเรื่องเดียร์เยอะ “บอกมาเลยครับ จะพุดดิ้ง เยลลี่ วุ้น หรือจะไอศกรีมล่ะครับ”

          “เอ่อ…งั้นวุ้นละกัน…”

          “ครับ งั้นรอซักครู่นะครับ ผมทำเตรียมไว้แล้ว เดี๋ยวผมเอาให้ครับ”

          “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมหยิบเองก็ได้” สิทธิ์โบกมือรั้ง ก่อนจะเดินไปทางห้องครัว แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้น ก็หยุดเสียก่อน “จะว่าไป ทำไมพี่ฤทธิ์รีบไปรับจังเลยล่ะ เห็นว่าสี่ทุ่มไม่ใช่เหรอ”

          ก็เพราะมันไม่ได้ไปรับ แต่มันไปเค้นเรื่องที่ผมกับไอ้เดียร์วางแผนล่อเสือออกจากถ้ำโดยมีคุณเป็นลูกเสือไงล่ะครับ…แล้วจะให้ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!!

          “เอ ไม่รู้สิครับ บางทีฤทธิ์อาจจะอยากออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหนก่อนก็ได้มั้ง” ก้องพยายามนึกคำโกหกที่ดูเข้าทีที่สุด

          “นั่นสินะ อยู่แบบนี้คงน่าเบื่อแย่”

          ก้องแอบโล่งใจเมื่อเจ้านายเลิกสนใจเดียร์สักที เขารีบคะยั้นคะยอแกมบังคับให้สิทธิ์นั่ง แล้วก็รีบจรลีนำวุ้นมะพร้าวเย็นฉ่ำมาประเคนให้ที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะวางจานลง เสียงรถด้านนอกก็ดึงความสนใจของสิทธิ์เสียก่อน และแถมท้ายด้วยภาพชวนเข้าใจผิดพ่วงมาแบบเต็มๆ

          “อ๊ะ อ้าวคุณสิทธิ์…เอ่อ นี่ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะครับ”

          แต่ไม่ว่าก้องจะนั่งดู นอนดู ยืนดูอย่างไร เขาก็เห็นแค่ว่า ฤทธิ์กับเดียร์เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีที่เป็นมิตรสนิทสนมกันผิดกับเมื่อเช้าโข จนถ้าบอกว่ารู้จักกันมาก่อนก็คงเชื่อ…หรือจะเป็นมากกว่านั้นก็ยังเชื่อ

          เดียร์ออกอาการหน้าเสียกว่าใครเพื่อน แต่เพียงไม่นานก็แสดงท่าทีแข็งขืนเป็นปฏิปักษ์ใส่สิทธิ์อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มทำเมินร่างสูง แล้วพยายามจะเดินเข้าบ้าน แต่มีหรือสิทธิ์จะยอม

          มือหนากระชากต้นแขนเล็กจนเดียร์หน้าเบี้ยว ร่างอันบอบบางแทบจะลอยเข้าหาอกกว้างหนา ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเสียจนแทบจะจูบได้เลย

          “กลับบ้านมาทั้งที ไม่คิดจะทักทายผัวหน่อยเหรอ”

          แม้แต่คนปากคอเราะร้ายอย่างฤทธิ์ยังแอบสะดุ้งกับคำพูดของเจ้านาย แม้อันที่จริงสิทธิ์ก็ไม่ใช่คนมารยาทดีจนหยาบคายไม่เป็น เพียงแต่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นพ่อหมียักษ์ทำตัวกักขฬะกับคนที่ไม่ได้เกลียดมาก่อน

          “กลัวพูดกับคนนิสัยต่ำๆแล้วมันจะพานติดโรคต่ำๆมาด้วยน่ะครับ” เดียร์เองก็จ้องกลับอย่างไม่หยี่ระและหัวเราะขึ้นจมูก “กล้าพูดจังนะครับ ไอ้คำว่าผัวเนี่ย กระสันจะเป็นผัวผมจนตัวสั่นก็ไม่บอก ก็ได้ครับ ว่าไงคุณผัว เมียกลับมาแล้วครับ พอใจไหม ปล่อยผมได้แล้ว”

          ในขณะที่ฤทธิ์ได้แต่ยืนอึ้งกับละครดราม่าตรงหน้า ก้องก็ได้แต่มองหน้านิ่งพลางคิดว่า วันนี้คงต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอีกแล้ว

          “ทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอพูดด้วย” สิทธิ์แค่นเสียงใส่ “ไหนบอกจะกลับสี่ทุ่ม โกหกฉันแล้วคิดจะแอบไปร่านหาผัวเก่าหรือไง…แต่ดูท่าทางจะหาไม่ได้แล้วงั้นสิ ถึงได้มายั่วลูกน้องฉันแทนเนี่ย”

          “เอ่อ…คุณสิทธิ์ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ฤทธิ์รีบสอดปากเสียงตื่น “พอดีเราคุยโน่นนี่กันนิดหน่อยแล้ว เดียร์เขาคุยเพลินดี แค่นั้นเองนะครับ ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้เลยนะครับ แล้วที่กลับเร็วเพราะงานเลิกเร็วต่างหากครับ นี่เลิกถึงผมก็พากลับเลยนะครับ ไม่ได้แวะที่ไหนเลยครับ”

          ก้องรู้สึกคันปากอยากจะพูดเสียจริงๆ ติดตรงที่ว่าสิทธิ์ก็อยู่ด้วย แถมยังของขึ้นสุดๆอีกต่างหากนี่แหละ หนุ่มแว่นจึงได้แต่เงียบ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้านายแทน

          แทนที่สิทธิ์จะใจเย็นอย่างที่ฤทธิ์หวัง แต่เหมือนกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงก็ไม่ปาน “ก่อนหน้านั้นพี่เองก็ไม่ค่อยชอบมัน แล้วตอนนี้มาช่วยพูดแก้ตัวแทนเนี่ยนะ หลงคารมมันเข้าแล้วหรือไง ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้!”

          โดนหางเลขไปด้วยซะงั้น

          “คุณพี่ไม่ต้องพูดหรอกครับ เขาจะเข้าใจยังไงก็ช่างเขาสิครับ คนพรรค์นี้ พูดจนปากฉีกยังไงก็ไม่ฟังอยู่แล้ว” ต้นเรื่องตัดพ้อขึ้นด้วยใบหน้าหน่ายเต็มที “คิดแต่ว่าคนอื่นจะคิดอะไรทุเรศๆเหมือนตัวเอง น่าสมเพช!”

          “แก!”

          เพียะ!!

          เสียงตบดังขึ้นอย่างรุนแรง แรงกระทบบนใบหน้าทำให้เดียร์ต้องหันไปตามแรง ความรวดร้าวทำเอาเขาไม่อาจกลั้นน้ำตาอยู่

          สิทธิ์นิ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ไยดี จนเดียร์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ล้มลงไปกองกับพื้น

          “มารยาแบบนี้สินะ พี่ถึงได้หลงมันเข้า” หมียักษ์ดักก่อนที่หนุ่มตาตกจะขยับตัว

          ทีแรกฤทธิ์คิดว่าตัวเองจะโดนด่าไปด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนสิทธิ์จะรั้งไว้ทัน สีหน้าเหี้ยมของชายหนุ่มลดลงไปมากเมื่อเห็นท่าทางหวาดหวั่นของฤทธิ์ แต่กระนั้นก็ยังเจืออารมณ์แรงให้เห็นอยู่

          “ผมลืมไป ที่จริงมันเป็นความผิดผมมากกว่า” ว่าแล้วก็เหยียดมองไปยังคนที่ยังนั่งอยู่กับพื้น “ดูท่าผมคงจะต้องสั่งสอนเมียตัวเองให้ดีกว่านี้”

          ก้องคิดว่าเขาควรจะไปซื้อผ้าปูที่นอนมาเตรียมไว้สักสี่ห้าผืน ผงซักฟอกเยอะๆ และไฮเตอร์สักสี่ห้าขวด เพราะคิดว่าจากนี้ไปอาจจะต้องใช้บ่อยทีเดียว

          “…แล้วไปสอบสวนอีท่าไหน ถึงได้เดินจู๋จี๋กลับมากันล่ะ” หลังจากสิทธิ์ลากเดียร์ที่แสร้งทำขัดขืนขึ้นห้องไปแล้ว ก้องก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงเนือย

          “ไม่ได้จู๋จี๋ว้อย อย่าเป็นอีกคนได้ไหม เดี๋ยวก็ต่อยคว่ำ” จากนั้นก็กระทุ้งหมัดใส่ลิ้นปี่อย่างไม่ปรานี “บ้าจริง นี่ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณสิทธิ์จะโมโหขนาดนี้ ก็เห็นบอกว่าไม่ได้จริงจังอะไรแท้ๆ กลายเป็นว่าเดียร์เดือดร้อนไปด้วยเลย”

          “เรียกชื่อด้วยความเป็นห่วงซะด้วย รักกันชั่วข้ามวันจริงๆนะ” หนุ่มแว่นบ่นอุบอิบใส่

          ฤทธิ์บึ้งหน้า ไอ้อาการแบบนี้ไม่ใช่แค่คิดล้อเขาเล่นเฉยๆแล้ว

          “ฉันก็แค่รู้ความจริงแล้วว่าไอ้เด็กนั่นตั้งใจทำแบบนี้เพื่อคุณวินกับคุณสิทธิ์ก็เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินกว่านั้นสักหน่อยน่า” หนุ่มตาตกว่าอย่างเหนื่อยหน่าย “แล้วที่สำคัญ หมอนั่นไม่สนใจฉันหรอก ก็มันชอบคุณสิทธิ์นี่นา”

          หายนอยด์ทันควัน และหันกลับมาหาแฟนตนด้วยอาการประหลาดใจกับประโยคสุดท้ายสุดขีด

          “…แล้วนายคิดว่าแผนของเดียร์มันจะได้ผลจริงหรือ” แต่ก็พอจะเดาได้ว่าชอบที่เดียร์ว่า คงหมายถึงการกระทำ เลยไม่คิดจะถามให้เสียเวลา

          “ไม่รู้หรอก” ฤทธิ์ตอบตามตรงก่อนจะยิ้มพราย “แต่มันก็น่าสนุกดีนี่นา ดีกว่าเอาแต่ไว้เชิงกันไปมาตั้งเยอะ แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย จะโกงอะไรคุณสิทธิ์ก็โกงให้หมดเหอะ ตายไปก็เอาติดลงนรกไปด้วยไม่ได้สักหน่อย หรือถ้าให้ดี สติแตกแล้วแสดงตัวเป็นศัตรูกับคุณสิทธิ์โต้งๆก็ยิ่งดี เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้นไง”

          ก้องก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่ฤทธิ์จะคิดแบบนั้น เพราะพวกสายบุกตะลุยเองก็รอร้อรอแบบนี้มานานแล้ว ติดตรงที่คุณผู้ติดตามใหญ่สุดอย่างวัฒน์นั่นล่ะ เพราะรายนั้นพยายามเลี่ยงมาตลอดเพราะคิดถึงความปลอดภัยของคุณสิทธิ์เป็นอันดับแรก เลยทำให้คนอื่นๆได้แต่ทนเล่นสงครามประสาทกับเดชตลอดมา

          “แล้วก่อนกลับบ้านไปเจออะไรเข้าล่ะ เลือดมันถึงกระเด็นมาโดนชายเสื้อนาย”

          ฤทธิ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองชายเสื้อเชิ้ตที่มี หยดเลือดเล็กๆกระเซ็นใส่ จากนั้นก็ถอนใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

          “เจอพวกที่ธานินทร์น่าจะสั่งมาน่ะสิ”

          หนุ่มแว่นเลิกคิ้ว

          “ตอนไปคุยธุระกับเดียร์ในซอยใกล้ๆร้าน อยู่ๆพวกมันก็มาล้อมกรอบ แล้วพยายามจะพาเดียร์ไป แล้วยังพูดชื่อธานินทร์ด้วย อย่างกับจงใจให้รู้อย่างนั้นล่ะ แต่ฝีมืออ่อนสุดๆ ฉันยังไม่ทันชกมันจนฟันร่วงก็ชิ่งหนีกันหมดแล้ว” ชายหนุ่มเล่าอย่างเสียดาย “ดูเหมือนพวกมันตั้งใจแค่ดูท่าทีเดียร์ว่ามาอยู่กับทางนี้ด้วยความสมัครใจหรือโดนบังคับนะ คิดดูละกัน ฉันยังไม่ทันจะเริ่มเตะ มันก็เผ่นแน่บไปหมดแล้ว”

          “ทำไมคิดว่ามันมาด้วยเหตุผลแบบนั้นล่ะ”

          “ฉันเปล่าคิด เดียร์ต่างหาก” ฤทธิ์ยักไหล่ “เพราะพวกที่มามีแต่พวกหางแถวระดับต่ำขนาดว่าให้พวกเด็กๆในกลุ่มเรารับมือคนเดียวยังไหวน่ะสิ ถ้าคิดจะมาชิงตัวจริงๆ น่าจะส่งคนที่เก่งพอจะประมือกับฉันมามากกว่า…เดียร์ว่างั้นน่ะนะ”

          ก้องเพียงแต่มุ่นคิ้วด้วยความสงสัย ถ้าทำแค่นั้นจริงจะทำไปทำไมกัน ไม่เห็นจะเข้าใจ ทั้งไอ้ธานินทร์นั่น ทั้งไอ้เดียร์เลย

          “บอกตรงๆนะ ทีแรกฉันประหลาดใจมากเลย ว่าไอ้เด็กที่ดูสวยใสไร้เดียงสาแบบนั้นจะเป็นน้องของคุณวินได้ยังไง แต่เจออย่างนั้นแล้วเก็ทเลย ขนาดโดนล้อม ยังไม่สะทกสะท้าน แถมยังแสดงละครว่าไม่ได้โดนกักขังหน่วงเหนี่ยวเสียจนฉันยังแอบเชื่อเลย จนพวกนั้นพากันเข้าใจผิดไปว่าเดียร์กับคุณสิทธิ์คบหากันด้วยความสมัครใจจริงๆ…ดูๆไปแล้ว เป็นหัวหน้าแทนคุณวินท่าทางจะรุ่งกว่าเยอะ”

          ก็นะ แต่มนุษย์สายพันธุ์เอ็มเขาไม่พึงปรารถนาการได้อยู่ในตำแหน่งเหยียบหัวชาวบ้านหรอก ชอบเป็นคนโดนเหยียบมากกว่า

          “ว่าแต่ ช่างเรื่องนั้นแล้วมาพูดเรื่องของเราดีกว่านะ” อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงหวานแต่เคลือบยาพิษเอาไว้ “นายว่าฉันควรจะจัดการคนที่โกหกแฟนตัวเองยังไงดีล่ะ หืม”

          ช่างเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก


____________________________

สุขสันต์ฤดูเปิดเทอมงับ XD
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: เจริญพร ที่ 03-11-2013 11:57:08
 :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: Chifuu ที่ 03-11-2013 12:45:07
แหม เดียร์ทำสิทธิโกรธขนาดนั้นตอนหน้าท่าจะมันนนส์555
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-11-2013 21:22:41
ตอนหน้าท่าจะเจ็บหนักกันหลายคน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: zitronen-tee ที่ 03-11-2013 22:59:30
ชอบคู่วินชาอ่ะ ขอคู่นี้เยอะๆได้ไหม อ่านทีไรก็ฟิน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: †คุณเขียด ที่ 04-11-2013 00:16:57
โอ้ววววว คุณพระ!!!

หนูเดียร์!!!

เคะแบบนี้แหละที่ป้าตามหา

มาโซจงเจริญ!


 :-[

รอนะคะนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MangoBlue ที่ 04-11-2013 00:31:11
คาดว่าเดียร์ยังช้ำได้อีกเยอะ คุณสิทธิ์จัดการทีค่าาา  :haun4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 04-11-2013 13:35:05
ตอนหน้า คงฟินกันถ้วนหน้า กร๊ากกก    :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 04-11-2013 21:30:50
อ่านแล้วหยุดขำไม่ได้จริงๆ. 5555555555555555555555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 04-11-2013 22:13:42
โฮะๆๆ ตอนหน้าท่าจะมันส์ :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 21 (3/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 07-11-2013 21:25:14
นั่งปูเสื่อรอ อร๊ายย.ย.ย.ย..ยย.ย..ย. :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-11-2013 20:34:18
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 22.1 
         
          ในขณะที่ด้านล่างกำลังง่วนอยู่กับการลงโทษคนโกหก ที่ห้องนอนชั้นสองที่มืดสลัวก็กำลังมีกิจกรรมที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพัก
          เดียร์ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เสียงร้องของตัวเองจะหลุดความสุขใจออกมาบ้างหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นว่าสิทธิ์นั้นมัวแต่สนใจอยู่กับเรื่องอื่น จึงทำให้เด็กหนุ่มเลิกกังวล และตั้งใจกับสิ่งที่ควรจดจ่อ
          ร่างบางกระตุกขึ้นเป็นจังหวะเมื่อโดนเร่งเร้าเข้าที่ส่วนอ่อนไหว แม้จะทำเป็นขืนหนี ก็ไม่อาจพ้นจากสิ่งที่คอยคุกคามเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน จนต้องปล่อยให้อารมณ์ที่สู้กักเก็บไว้ไหลรินออกมา
          สิทธิ์สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าเรียวที่ชื้นเหงื่อออกอาการเหมือนคนเพิ่งได้สติ ชายหนุ่มมุ่นคิ้วมองคนตรงหน้าที่มีทีท่าทรมานปนอับอาย ผิวเนียนขาวนั้นชอกช้ำไปด้วยรอยจ้ำแดง ดวงตากลมฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำใส เสียงร้องที่ดังครางอย่างอ่อนแรงเพราะร้องมานานจนแทบจะไม่เหลือพลังจะต้าน
          “เป็นไง ไม่โวยวายอีกหรือไง” ไม่รู้ผีห่าซาตานที่ไหนดลใจให้พูด ทั้งที่ลึกๆแอบนึกสงสารอยู่แท้ๆ แต่พอเห็นใบหน้าปานจะขาดใจนี่ กลับรู้สึกสะใจและอยากเยาะเย้ยขึ้นมาเสียได้
          แล้วมีหรือที่คนกำลังมีความสุขจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอย
          “เลวที่สุด” เสียงหวานที่สั่นระริกดังแผ่วขึ้นท่ามกลางความมืดสลัว ใบหน้านวลที่ขึ้นสีนั้นอาบไปด้วยความขึ้งแค้นอย่างแสนสาหัส “ทำเป็นแต่เรื่องสกปรกโสโครก”
          เขากะว่าถ้าอีกฝ่ายร้องไห้กระจองอแงอ้อนขอกันดีๆ ก็จะปล่อยแล้วแท้ๆ แต่ถ้าจะวอนหาเรื่องไม่เลิกแบบนี้ล่ะก็ จัดใส่อีกสักสามสี่รอบท่าจะดี
          เดียร์เหลือกตามองด้วยความตื่นเต้นว่าพ่อหมียักษ์จะจัดมหกรรมความบันเทิงใดให้อีก ก่อนหน้านี้ก็กรุณาฉุดกระชากลากขึ้นเตียง และเข้าข่มเหงกันแบบไม่มีการถามความสมัครใจ จากนั้นก็คอยกรอกคำพูดโหดร้ายใส่หูให้ฟังเป็นระยะจนอิ่มหนำ เล่นเอาเขาสุขล้นจนจะหมดแรงอยู่แล้ว
          “จะทำอะไรน่ะ” ผมจะได้เตรียมแรงเตรียมใจรอรับมือ
          “ไม่ต้องหนีหรอกน่า รับรองว่าเธอต้องชอบแน่” สิทธิ์ชักขาที่พยายามกระถดหนีลงมาแล้วใช้มือหนาลูบขึ้นตั้งแต่หน้าท้องราบจนถึงลำคอเรียวบาง นิ้วเรียวค่อยๆบีบรัดทีละน้อย จนคนตรงหน้าออกอาการอึดอัด
          กว่าที่เด็กหนุ่มจะออกอาการทรมานเพราะขาดอากาศและเจ็บปวดจากแรงบีบก็นานเสียจนสิทธิ์กลัวว่าเดียร์จะตายไปเสียแล้ว มือเล็กพยายามปัดป่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงเสียดแทรกผ่านลำคออย่างยากลำบาก ดวงตากลมเบิกกว้างเสียจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกจากเบ้า
          สิทธิ์รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไปเสียก่อน เขาเลื่อนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานของอีกฝ่าย และยิ้มบาง
          มือหนาเลื่อนลงมาขยี้จุดไวสัมผัสสีสวย และไล้โลมอย่างหิวกระหาย แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะดื่มด่ำไปเสียตั้งมาก หากแต่กลับไม่นึกพอเลยสักนิด แถมยิ่งกระทำย่ำยีไปมากเท่าไหร่ กลับยิ่งต้องการมากขึ้นจนแทบหยุดไม่อยู่
          อยากเห็นอีก อยากทำอีก…
          “อ๊า” เสียงหวานแผดลั่นอย่างสุขใจพร้อมกับปล่อยให้อารมณ์ปะทุออกมาอีกครั้งอย่างไม่นึกปกปิด มือบางเอื้อมลงไปอย่างเผลอตัว หวังจะปลดปล่อยความสุขนี้ออกให้สมใจอยาก แต่กลับโดนขัดเสียได้
          เด็กหนุ่มเผลอตวัดสายตาขึ้นมองสิทธิ์อย่างลืมตัว อีกฝ่ายเพียงแต่ยกยิ้มและเอียงคอมองกลับมาอย่างไม่หยี่ระ เล่นเอารู้สึกเจ็บใจจี๊ดขึ้นเพราะไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้
          อึก….อารมณ์ค้างแบบนี้ก็ทรมานไปอีกแบบแฮะ โอ้ว เพิ่งจะรู้ว่ายังมีหนทางการทรมานตนแบบไม่ต้องรุนแรงจนเลือดตกยางออกแบบนี้ด้วย
          “ฉันรู้ว่าคนร่านกระสันเซ็กแบบเธอคงไม่พอใจแค่นี้หรอก ใช่ไหม” แหม…อยากจะขัดเหลือเกินว่าไอ้ที่ชอบจริงๆน่ะ เป็นอย่างอื่น แต่เอาเถอะ โดนมองอย่างดูถูกแบบนี้มันก็สุขใจจนไม่อยากขัดเลยจริงๆ “ดูสิ ขนาดฉันประเคนให้ตั้งไม่รู้กี่รอบ ยังอยากจะลงมือด้วยตัวเองอีกนะ”
          “เพราะคุณมันไม่มีน้ำยาจนผมต้องลงมือเองต่างหาก” ถนัดนักแล ไอ้เรื่องยั่วโมโหชาวบ้านแบบตรงจุดเนี่ย “ผมว่าถ้าเป็นคุณพี่ฤทธิ์ คงจะถึงใจผมมากกว่าอีกนะ”
          ก็ไม่อยากจะอ้างชื่อคุณพี่เขาหรอก แต่ทำแบบนี้มันกระตุ้นอารมณ์ยัวะของคุณสิทธิ์มากกว่าแน่ๆ คงไม่มีเจ้านายที่ไหนจะปลื้มที่ตัวเองอ่อนด้อยกว่าลูกน้องหรอก โดยเฉพาะด้านนี้
          ได้ผลดีแบบไม่ต้องรอลุ้น จากที่ทำท่าว่าจะเลิกเพราะเริ่มล้าที่ตะลุยมาเกือบสามชั่วโมงบวกกับเริ่มเห็นใจเดียร์ เรี่ยวแรงและความเหี้ยมมันก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ และเจ้าตัวก็อยากจะปลดปล่อยแบบให้หมดก๊อกเสียจริงๆ
          “โอ๊ย นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” เสียงหวานร้องลั่นเมื่อโดนอีกฝ่ายกดร่างตนให้นอนคว่ำ แล้วดึงมือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงคล้ายกับสิทธิ์กำลังรื้อหาอุปกรณ์บางอย่างจากโต๊ะข้างเตียง ผิวสัมผัสที่ทาบเข้ารัดข้อมือทั้งสองข้างบอกให้เดียร์รู้ว่าสิ่งที่พันธนาการให้แขนทั้งสองแนบติดกันคือสายรัดข้อมือที่ทำจากหนังมันวาว ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกดีถึงแรงเสียดสีของมันกับผิวกายของตน สายหนังตรึงรัดเขาไว้จนแน่น เล่นเอาความรวดร้าวแล่นสะท้านไปทั้งตัว
          “แทนที่จะบอกว่าฉันไม่มีน้ำยา น่าจะเป็นเพราะเธอร่านจนแค่ฉันคงเดียวคงไม่พอมากกว่าล่ะมั้ง”
          เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีบางสิ่งล่วงล้ำเข้าร่าง แต่ขนาดและความอึดอัดที่เบาบางบอกให้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะระบายความใคร่ไปกับเขาก่อนหน้า และจากการขยับที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระบบ ทำให้เขาเดาว่าน่าจะเป็นนิ้วของสิทธิ์
          “อะไรกัน ขนาดทำไปตั้งนาน แต่ยังคับไม่เปลี่ยนเลยนะ แบบนี้หรือเปล่าที่ทำเอาคนอื่นมาหลงเธอนักต่อนัก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างนุ่มนวลแต่กลับชวนให้รู้สึกระคายหู สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ฟังในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง “ดูสิ ตอดไม่หยุดเลยนะ คงอยากมากล่ะสิ อย่างเธอ แค่สามสี่รอบคงไม่พอหรอกเนอะ”
          แหม อันที่จริงผมทำเรื่องพรรค์นี้แบบสำเร็จลุล่วงก็กับคุณเป็นคนแรกเลยนะ คิดแล้วยังเขินและปลาบปลื้มไม่หายเลย~
          “อึก…อย่าพูดอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ ผม…ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นสัก…หน่อย” เสียงหวานดังขาดห้วงเป็นระยะเนื่องจากทนความหวาบหวามที่รุกล้ำอย่างดุเดือดไม่ไหว ยิ่งนึกถึงคำประชดส่อเสียดไปคอยพร่ำกรอกใส่หูอยู่ตลอดกิจ ทำเอาอารมณ์ที่เพิ่งดับลงเริ่มปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป
          แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอม
          ความรู้สึกที่กำลังจะปะทุดับวูบลงเมื่ออีกฝ่ายหยุดมือ ใบหน้าหวานพยายามหันมองด้วยความสงสัยปนหงุดหงิด และสิ่งที่เห็นเล่นเอาเขาสะท้าน
          ใบหน้าดูถูกเหยียดหยามที่อยู่ในระดับสูงกว่านั้น อีกทั้งดวงตาที่ฉายแววเยาะเย้ยถากถางโดยไม่ต้องใช้น้ำเสียง ช่างสร้างความสุขให้แก่เด็กหนุ่มจนล้นเปี่ยม เล่นเอาเดียร์หยุดหายใจไปหลายวินาทีเลยทีเดียว มันเป็นสีหน้าที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็ชวนให้หลงไม่รู้ลืม
          แต่แน่นอนว่าคนมองในตอนนี้เห็นเพียงแค่ว่า เดียร์ตกใจกับสีหน้าเหนือกว่า และอึ้งกับความโหดร้ายใจดำของเขา…แค่นั้น…
          “ทำไม อารมณ์ค้างหรือ อยากได้ต่อหรือไง” สิทธิ์ก็แค่อยากจะพูดเพื่อข่มเหงอีกฝ่าย ไม่ได้เดาใจคนที่นอนคว่ำอยู่ตรงหน้าได้สักนิด แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เดียร์หน้าถอดสี แล้วดูเหมือนอายและช็อกที่โดนคนที่เกลียดเดาใจได้ “ไหนลองขอดีๆสิ แล้วฉันจะทำให้”
          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ ใครจะ…ขอกัน” เสียงหวานกรีดร้องสุดเสียง หัวเริ่มหมุนเพราะโดนความสุขรุมเร้า “พอซักที…”
          เพราะถ้ายังไม่พอ บางทีผมอาจจะตัดใจไม่ลงแล้ววางแผนลากคุณเข้าเส้นทางสายเอสอย่างไม่มีวันหวนกลับเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน…อ๊า…คุณจะเก่งเรื่องทรมานคนเกินไปแล้วนะ~~
          “อะไร อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย ปล่อยให้แข็งแค่ตรงนี้ก็พอ” สิทธิ์เยาะพลางเลื่อนมือลงจับแก่นกลางของอีกฝ่าย และด้วยความหมั่นไส้กับขนาด เลยแกล้งบีบเสียแรงจนผู้เป็นเจ้าของร้องเสียงหลง “ดูสิ ออกจะอยากทำต่อขนาดนี้ จะมาพูดว่าพอได้ยังไงกัน”
          แหม่ ถ้าไม่ติดว่ากลัวคุณรู้ความจริง ผมก็อยากจะครางเสียงกระเส่าบอกความในใจของผมให้คุณฟังจัง
          เดียร์ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ ร่างกายสั่นระริกเพราะอยากจะวอนขออีกฝ่ายใจจะขาด เสียแต่ไม่อาจทำตามใจได้ จึงได้แต่มีความสุขกับความทรมานอยู่เช่นนี้
          ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิ์เข้าใจตรงข้ามทุกอย่าง ก็ถ้าให้คนทั่วไปดู ไม่ว่าจะนั่งดูหรือตะแคงดูก็เห็นเพียงแค่เดียร์ตัวสั่นเพราะไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้เต็มทน แต่ก็ไม่อาจต่อต้านร่างกายที่ร่ำร้องวอนหาการปลดปล่อยจากตัณหาที่ไม่พึงปรารถนานี่ได้ หากแต่ศักดิ์ศรีและความทะนงตนมันค้ำคอ จึงได้แต่นิ่งทนอยู่แบบนี้
          “ไง พูดสิ อดกลั้นไว้มันไม่ดีนะ” ไม่ว่าเปล่ามีลูบไล้ให้ใจระส่ำ หวังให้อีกฝ่ายทรมานเจียนตาย ไม่ได้รู้อะไรเสียเลยว่าที่ทำๆอยู่ให้ผลตรงข้ามหมด
          บอกตรงๆ ผมไม่แน่ใจว่าตรงนี้ผมควรจะยอมขอด้วยความอับอายดีหรือเปล่าน่ะครับ กลัวมันจะดูกระสันเกินไปจนคุณสังเกตได้น่ะสิ
          เพราะมัวแต่ลังเลนานเกินไป สิทธิ์จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายทะนงเสียจนไม่ยอมปริปาก คิ้วหนามุ่นเข้าหาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
          “ได้ เธอรนหาที่เองนะ”
          เดียร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจระคนตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่างบางโดนพลิกกลับมานอนหงายอย่างแรง มือทั้งสองข้างที่ยังโดนมัดไพล่หลังโดนน้ำหนักของร่างกดทับอย่างแรง สร้างความเจ็บแสนสุขจนเดียร์เผลอครางเสียงหลง และยังไม่ทันได้เตรียมใจ มือหนาก็ตรงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวอย่างไม่มีการทะนุถนอม จนผู้เป็นเจ้าของกระตุกเกร็งร่างขึ้น เมื่อเดียร์พยายามแสร้งทำเป็นขืนหนี พ่อหมีแสนดีก็บีบท่อนเนื้อในมืออย่างไม่ปรานี จนเดียร์ได้แต่ยอมสยบแต่โดยดี
          “คะ…คุณจะทำอะไรน่ะ…” เสียงหวานร้องลั่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของร่างสูง
          “เดี๋ยวก็รู้” สิทธิ์เอ่ยเป็นนัย จากนั้นก็เอาสายหนังเส้นเล็กพันธนาการแก่นกลางเอาไว้จนแน่นพอที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่อาจไปถึงฝั่งฝันอย่างที่ควรเป็น “นี่ของดีเลยนะ ฤทธิ์เป็นคนเลือกให้กับมือเลยล่ะ ถูกใจไหม”
          อ๊าก ตอนนี้ผมอยากจะวิ่งไปกราบแทบเท้าคุณพี่เขาจะแย่อยู่แล้ว ซึ่งถ้าให้ดี ก็อยากจะลองโดนเท้าของคุณพี่เหยียบเข้ากลางหลังจังเลย
          “อย่ามาพูดแบบนั้นนะ คุณพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย เขาไม่มีทางซื้อของแบบนี้มาแน่!”
          “ทำไมจะไม่จริงล่ะ ก็ในเมื่อฤทธิ์เขาเกลียดนายจะตาย เขายังบอกอีกนะว่าของแบบนี้ เหมาะกับคนวิปริตอย่างเธอที่สุด”
          ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงเปลี่ยนเป้าหมายไปแล้วล่ะ…เอ๊ย ไม่ได้สิ ลืมไป เขามีเจ้าของแล้ว และผมก็กำลังปฏิบัติงานอยู่
          “คนที่มันวิปริตก็คือคุณที่เอาของทุเรศๆแบบนี้มาใช้ต่างหาก” เด็กหนุ่มร้องด้วยน้ำเสียงสั่นและแหบพร่า “พี่ฤทธิ์เขาไม่ได้เกลียดผมสักหน่อย อย่ามาโกหก…อึก”
          “ฉันจะโกหกไปทำไมกันล่ะ ลองไปถามดูสิ” เสียงทุ้มเย้ยหยัน “แต่ตอนนี้ฉันว่าเธอน่าจะห่วงตัวเองดีกว่านะ”
          ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อโดนปลุกเร้าอีกครั้ง นิ้วชุ่มลื่นสอดแทรกเข้ามาภายในกายทีละน้อย ดวงตาเรียวมองใบหน้าเรียวที่ชื้นเหงื่อและขึ้นสีแดงระเรื่อ ท่าทางของเดียร์นั้นดูทรมานเสียจนน่าสงสาร
          หากแต่สิทธิ์กลับยิ้ม
          “อึก…พอสักที…” เสียงหวานวอนขออย่างสุดจะทน หลังจากเห็นเวลาบนนาฬิกาตั้งโต๊ะ ถึงจะนึกเสียดาย แต่ถ้ายืดเยื้อต่อไป มีหวังไม่สิทธิ์ก็เขานี่ล่ะ ที่จะได้นอนพังพาบไปทั้งวันเพราะความอ่อนเพลีย “ผมไม่ไหวแล้ว เอามันออกไปซักที!”
          “ถ้าอย่างนั้นก็พูดสิ พูดหวานๆ อ้อนกันดีๆ บางทีฉันอาจจะใจดีก็ได้” หลังจากเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับการเห็นเด็กหนุ่มทรมาน สิทธิ์ก็เพิ่งสำเหนียกได้ว่า เขาเองก็รุนแรงกับอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้เดียร์ยอมทำตามแต่โดยดีสักที เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็นึกไม่ออกว่าจะยอมปล่อยเดียร์ด้วยเหตุผลไหนดีโดยไม่ให้ดูเหมือนปล่อยเพราะสงสาร
          ใบหน้าหวานยังคงเต็มไปด้วยการต่อต้าน หากแต่ก็ไม่อาจฝืนทนกลั้นสิ่งเร้าที่ถาโถมเข้ามา ริมฝีปากบางขยับขึ้นลงอย่างสั่นไหว เสียงน้อยๆค่อยๆลอยออกมาจากลำคอเล็ก พร้อมกับท่าทีศิโรราบอย่างจำยอม
          “ได้โปรด ผมต้องการ…” พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เม้มปากแน่น เด็กหนุ่มเบี่ยงหน้าไปอีกทางราวกับไม่อาจฝืนทนความอับอายที่ต้องพูดถึงความต้องการภายในที่ตนไม่อาจต้านทานได้
          “ก็แค่นั้น ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้” สิทธิ์กระแทกเสียงใส่ทั้งที่ความจริงโล่งใจแทบตาย
          เดียร์สะดุ้งนิดหน่อย อีกฝ่ายไม่ได้ทำตามอย่างที่บอก แต่กลับแทรกตัวเข้ามาแทน เล่นเอาอารมณ์ที่ซัดเข้ามาเหมือนคลื่นอยู่แล้ว กลับยิ่งถาโถมเข้ามาดั่งสึนามิเลยทีเดียว
          “ฉันให้เธอเสร็จแน่ แต่ต้องหลังจากที่ฉันเสร็จด้วย” ชายหนุ่มเยาะ พร้อมกับขยับร่างอย่างเป็นจังหวะ “ทนเอาหน่อยละกัน ฉันจะพยายามรีบนะ”
          ปากก็บอกแบบนั้นแต่ใจจริงแล้วอยากจะขอต่อนานๆเสียเหลือเกิน แต่กลัวมันจะดูใจร้ายไปเลยต้องยอมตัดใจเสีย
          “อ๊ะ ไม่นะ…ผมไม่ไหวแล้ว” เสียงหวานร้องลั่น ร่างกายที่กระแทกเข้ามารุนแรงและร้อนเร่าราวกับจะฉีกตนออกเป็นชิ้นๆ ความรู้สึกที่คล้ายกับจะไปถึงฝั่งหากแต่ทำไม่ได้คอยรุมเร้าจนเขาแทบคลั่ง แต่สิ่งที่ตนทำได้กลับมีเพียงกรีดร้อง…อย่างมีความสุขกับความทรมานเจียนตายนี่
          สิทธิ์คลี่ยิ้มบางมองใบหน้าอีกฝ่าย เมื่ออารมณ์ของตนกำลังจะปะทุ เขาก็ทำตามที่ว่าไว้ทันที สัมผัสผิวของเด็กหนุ่มร้อนเหมือนไฟจนน่ากลัว ชายหนุ่มแกะสายรัดออกโดยไม่คิดจะถนอมอีกฝ่ายนัก และทันทีที่ปลดพันธนาการออก อารมณ์ที่ร่ำร้องอยู่ภายในร่างของเดียร์ก็ทะลักพรวดออกมาอย่างไม่รีรอ และเพียงไม่นานชายหนุ่มก็ตามอีกฝ่ายไปติดๆ
          ร่างสูงหอบเล็กน้อย รู้สึกเหนื่อยกว่าที่คิดเยอะโข อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าจะฮึดล่อไปเสียตั้งห้าครั้ง เลยทำเอาเกือบยืนไม่อยู่เลยทีเดียว สิทธิ์ลอบมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าเดียร์หลับไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาจนหมดปอด จากนั้นก็จัดแจงถอดอุปกรณ์เสริมออกจากร่างเล็กจนหมด ขยับให้เดียร์นอนดีๆแล้วก็ห่มผ้ามิดชิด ก่อนจะคลานไปยังที่นอนของตนอย่างอ่อนแรง
          ….
          …..
          แล้วทำไมเราต้องเป็นห่วงกลัวหมอนั่นจะเป็นหวัดหรือเจ็บที่ต้องโดนรัดด้วยวะ!!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-11-2013 20:35:15
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 22.2 
         
           “อ้าว คุณวินยังไม่กลับอีกหรือครับ”
          เจ้าของชื่อหันมองกลุ่มพนักงานชั้นผู้น้อยที่พากันเลิกคิ้วมาทางเขา เพราะเห็นประธานบริษัทการเงินกำลังเดินกลับเข้าบริษัทในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม
          “ยังเหลืองานค้างไว้น่ะ กว่าจะกลับก็คงดึกเหมือนเคย” ชายผู้หน้าบูดอยู่เป็นนิจยิ้มเจื่อนให้อย่างเป็นกันเอง
          “งั้นหรือครับ อย่าโหมงานหนักเข้าล่ะครับ เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลก่อนวัยอันควร เดี๋ยวพวกผมเหงาแย่”
          “ฮะๆๆ ฉันไม่ล้มหมอนนอนเสื่อง่ายๆแบบนั้นหรอกน่า”
          ชาเพียงแต่ยืนมองภาพการสนทนาของเจ้านายลูกน้องที่ดูสนิทสนมกันจนดูเหมือนเพื่อนร่วมงานกันเสียมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะลูกน้องของวินส่วนใหญ่ก็มีท่าทีเช่นนี้กับเจ้านายกันหมด อาจจะมีบ้างที่กลัวเพราะหน้าตาแสนเป็นมิตรของวิน แต่พออยู่นานๆรู้จักนิสัยกัน ก็จะสนิทไปโดยปริยาย
          ใช่…ปกติแล้วคุณชายเขาไม่เป็นมิตรแค่หน้าตาเท่านั้นล่ะ และปกติก็ไม่มีใครกลัวเวลาวินอารมณ์ไม่ดีหรอก แต่ถ้าเป็นคนที่หวังจะมีความสัมพันธ์เกินเลยกับเดียร์นี่ก็อีกเรื่อง อันนี้ต่อให้ยิ้มอยู่ก็เจอหมัดได้แน่นอน…สาเหตุจริงๆที่ใครต่อใครพากันหลีกหนีวินทุกครั้งที่พ่อแว่นหงุดหงิดก็คือคุณเลขาแสนดีข้างตัวนี่ล่ะ
          ถ้าไม่ใช่ศัตรูหรือชายที่มาจีบเดียร์ วินแทบไม่เคยใช้กำลังแก้ปัญหาหรอก ต่อให้เกลียดกันจะเป็นจะตายอย่างไร ถ้าอีกฝ่ายไม่ชกก่อน พ่อแว่นก็ไม่คิดจะลงมือ…เว้นก็แค่ชาเท่านั้นล่ะ ซึ่งนั่นเองก็เป็นสิ่งที่คุณเลขาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีเขาแค่คนเดียวที่ได้รับเท่านั้น
          “ชาโว้ย หลับในหรือไงวะ”
          อา…มันช่างรื่นหูเป็นที่สุด…
          “ขอโทษครับ” แม้จะโดนตะคอกในที่สาธารณะแต่ชายังคงยิ้มกลับให้อย่างสดใส จนชวนให้คู่สนทนารู้สึกหมั่นไส้อยากชกขึ้นมาตงิดๆ
          แต่วินก็ไม่ได้ทำอย่างที่ชาหวัง ซึ่งหนุ่มหน้านิ่งเองก็พอจะรู้ดี ตอนนี้ในสมองของคุณเจ้านายกำลังมีเรื่องของคุณน้องชายอยู่เต็มหัวเลยนี่
          หนุ่มแว่นเดินกลับเข้าบริษัทไปยังห้องประธาน ซึ่งในขณะนี้ไม่มีใครอยู่บนชั้นแม้แต่คนเดียว…ยกเว้นในห้องประธาน
          มือหนาเปิดประตูผางแล้วเดินไปหาสิ่งมีชีวิตที่โดนเชือกมัดไพล่หลังที่นั่งคุดคู้อยู่ข้างโต๊ะของตน ดวงตาคมที่แลดูหงุดหงิดตลอดเวลาจ้องเขม็งราวกับงูจ้องเหยื่อ แต่ไม่นานวินก็หลับตาลงและหายใจเข้าออกลึกๆเหมือนพยายามดับอารมณ์ที่ทำท่าจะปะทุยังไงยังงั้น
          ดร ผู้เป็นเหยื่อที่ว่าเกร็งตัวแข็ง เขาไม่อยากจะมองหน้าเจ้านายในตอนนี้เลย แต่ถ้าไม่มองก็กลัวว่าจะรับมือไม่ทันตอนที่วินเตะมา ครั้นจะหันไปขอความช่วยเหลือชา กลับโดนตอกกลับด้วยสายตามุ่งร้ายที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเลขาถึงได้โมโหใส่เขานัก
          แน่ล่ะ ไม่ให้โมโหได้ไง ขนาดฉันเองยังไม่เคยเล่นเชือกกับคุณวินเลยนี่ แกมันจะข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยแล้วนะ
          ซึ่งชาก็ได้แต่คิด และจ้องมอง…
          “เอาล่ะ ไหนช่วยบอกหน่อยสิ ว่าทำไมฉันโทรไปหาเดียร์ แต่กลับมีเสียงแกเล็ดรอดออกมาตามสายด้วยล่ะ หา”
          ไม่รู้วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของเขากัน ถึงได้ซวยไม่หยุดหย่อน
          เมื่อตอนเย็นเขาก็แค่ลองแวะไปดูว่าเดียร์อยู่ดีมีสุขหรือเปล่า พอเห็นเดียร์ไปกับฤทธิ์ในซอยเปลี่ยวก็เกิดสงสัยและรู้สึกไม่ดีแปลกๆขึ้น เลยตามไปดู แต่กลับไปจ๊ะเอ๋กับเหตุไม่คาดฝันสุดๆ เพราะแทนที่จะไปเจอแค่ฤทธิ์กับเดียร์ แต่กลับไปเจอฝูงลูกน้องของธานินทร์เข้าด้วยเสียได้ ไอ้เขาเองก็อยากจะหาเรื่องลูกน้องของธานินทร์อยู่หรอก แต่ปัญหาคือ เจ้าพวกของธานินทร์มันไปเพราะจะช่วยเดียร์กลับมาให้วิน แล้วเขาซึ่งเป็นลูกน้องวิน แทนที่จะช่วยฝั่งเดียวกัน แต่กลับเผลอไปต่อยเพราะห้ามใจไม่อยู่เสียได้ แต่ยังดีหน่อยที่ยังมีสติดีพอที่จะหาอะไรมาปกปิดใบหน้า…ซึ่งเขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าเป็นเพราะเห็นว่าเดียร์เองก็ไม่ยินยอมที่จะไปด้วยอยู่แล้ว และเขาเองก็สนับสนุนให้เดียร์ไปไกลๆวินด้วย จึงเลยตามเลยไปด้วยเหตุฉะนี้
          แต่ลองให้คุณเจ้านายรู้ดูสิ รับรองว่าเขาต้องโดนลงทัณฑ์แบบโหดเหี้ยมยิ่งกว่าที่ชามักจะโดนเป็นแน่
          “ว่าไง ใบ้กินเรอะ ฉันถามอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง” วินถามซ้ำเมื่อเห็นดรเอาแต่มองตนหน้าซีด
          “ผะ…ผม…” หนุ่มผิวเข้มไม่รู้จะตอบอย่างไรดี…
          ไม่สิ…ก็เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับไอ้เดียร์มันนี่หว่า แล้วจะกลัวคุณวินฆ่าทำไมวะเนี่ย
          “ใจเย็นๆก่อนนะครับ มันไม่ใช่อย่างที่คุณวินคิดเลยซักนิดเดียวเลยนะครับ คุณก็รู้นี่ว่าผมเกลียดเดียร์จะตาย” บอกว่าเกลียดวินเฉยๆ แต่ถ้าบอกว่าชอบ ตายแน่นอน
          “ใช่ แล้วทำไมนายที่เกลียดเดียร์จะเป็นจะตายถึงขนาดไม่อยากเจอหน้ากัน ถึงได้ไปอยู่กับเดียร์ล่ะ หา” วินคาดคั้นไม่เลิก หน้าตาตอนนี้เหมือนอสูรร้ายที่หลุดมาจากนรกก็มิปาน
          ที่มันพูดยากก็เพราะมีธานินทร์กับสิทธิ์มาเกี่ยวข้องนี่ล่ะ ลองบอกความจริงไปสิ ไม่แคล้วว่าวินต้องพุ่งไปกระโดดถีบสิทธิ์แล้วแย่งเดียร์กลับมาแน่ จากนั้นก็เริ่มสงครามกันอย่างเป็นทางการได้เลย แถมไม่วาย ธานินทร์ยังจะได้ความดีความชอบจากการที่พยายามส่งคนไปช่วยเดียร์อีก จากนั้นก็กลับมาคิดบัญชีกับเขาฐานให้ความร่วมมือกับสิทธิ์ และนั่นคงทำให้ชาอยากจะหาถังดรัมดีๆ กับปูนเนื้อแน่นมาเป็นอุปกรณ์รอถ่วงตนลงกลางอ่าวเป็นแน่
          แต่ถ้าไม่บอก เขาได้ตายตอนนี้จากหมัดของวินแน่
          “เพราะ…” ทั้งๆที่เป็นคำที่ไม่น่าจะพูดยากแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันไม่ยอมออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ไม่รู้ “เพราะแฟนผมเขาอยากได้ดอกไม้จากร้านที่เดียร์ทำงานครับ”
          อย่าว่าแต่วินเลย ชาเองยังเลิกคิ้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกนักหรอก เพราะปกติดรเอาแต่ทำงาน และก็ไม่เคยไปเที่ยวกับสาวที่ไหนให้เห็นเลยนี่
          “แกมีแฟนแล้วจริงดิ” แต่นี่ทำให้หนุ่มแว่นเปลี่ยนหัวข้อขึ้นมาได้ ทำเอาดรแทบอยากจะกระโดดไชโย “ฉันไม่เห็นรู้เลย ไปมีตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
          “คือ ตอนนี้เรายังดูใจกันอยู่น่ะครับ ฮะๆๆ เลยยังไม่อยากเปิดเผย แล้วผมเองก็ทำงานแบบนี้ จะให้คนอื่นรู้มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ เดี๋ยวเขาโดนทำร้ายเพราะผมล่ะแย่เลย ฮะๆๆๆ”
          หัวเราะมากไปมั้ง
          ชาค่อนข้างจะมั่นใจว่าดรกำลังโกหกอยู่แน่ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูกะทันหันเกิน อีกทั้งถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ คงพ่นออกมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว ไม่ทำหน้าตื่นวิ่งหนีจนต้องมาโดนมัดแบบนี้หรอก
          “อะไรวะ ถ้าเป็นแบบนั้นแต่แรกก็บอกมาดีๆก็ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องกักตัวนายไว้แบบนี้ หาเรื่องจริงๆ” วินร้องออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปบุ้ยใบ้ให้ชาแก้มัดให้ “ฉันก็นึกว่านายคิดอะไรกับเดียร์ซะอีก”
          หนุ่มผิวเข้มสะดุ้งโหยง “ไม่มีทางครับ! ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะครับ และถึงต่อให้โลกทั้งใบไร้ผู้หญิงจริงๆ ผมก็ไม่มีทางเอาไอ้เด็กนั่นเด็ดขาด ผมยอมกรีดข้อมือตายเสียยังจะดีกว่า”
          “ได้ยินแบบนั้นฉันก็วางใจล่ะนะ” และก็แสดงอาการโล่งใจออกมาอย่างจริงๆจังๆจนชาที่คอยลอบมองรู้สึกตงิดๆว่าโล่งใจในฐานะพี่ชายเท่านั้นจริงๆหรือเปล่า “เออๆ งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ไปเถอะ ขอโทษที่โมโหใส่นายนะ ไว้ฉันจะให้คนจ่ายเงินชดเชยให้”
          “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก ผมเข้าใจครับ แค่ไม่หักเงินเดือนผมก็ปลื้มแล้ว” ดรรีบส่ายหน้าปฏิเสธน้ำใจของเจ้านาย “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
          “เอ้อดร ฉันนึกได้ว่าลืมฝากเอกสารไปให้นพน่ะ เดี๋ยวช่วยมากับฉันก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมขอตัวสักครู่นะครับคุณวิน”
          ก่อนที่ดรจะได้ลี้ภัย พายุลูกใหม่ก็เร่งกำลังเข้ามาปะทะทันที และยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามถึงเอกสารที่ว่า ก็โดนชาดันออกไปนอกห้องเสียก่อน
          “จะ…ใจเย็นๆครับคุณชา ผมจะล้มแล้ว” ดรกระซิบบอกเสียงตื่น ขาก็พยายามสับให้ทันความเร็วของคนผลัก
          เมื่อเห็นว่าห่างจากห้องประธานและวินเองก็ไม่ได้สนใจกับทางตนแล้ว ชาก็หยุดดันร่างตรงหน้า และจ้อง ซึ่งดรก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด
          “คือ ผมแค่ไปหาหมอนั่นเพราะอยากรู้ว่าพวกคุณมาริสาหรือธานินทร์จะไปหาเรื่องเดียร์หรือเปล่า แค่นั้นจริงๆนะครับ”
          “ฉันไม่ได้อยากรู้จุดนั้น” ชากระซิบตอบเสียงกร้าว “ที่ฉันอยากรู้คือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มีใช่ไหมล่ะ อย่ามาโกหกฉันอีก ไม่อย่างนั้นเตรียมตัวเขียนพินัยกรรมไว้ได้เลย”
          “ครับๆ ผมก็ตั้งใจจะบอกคุณอยู่แล้วครับ” ดรรู้สึกเริ่มเปียกเป้ากางเกงขึ้นมา แต่ก็พยายามอดทนไม่ให้มันเปียกไปมากกว่านี้ “รับรองว่านี่อาจจะทำให้เราวางแผนตลบหลังไอ้นินได้เลยนะครับ”
          เปลี่ยนสีหน้ากันเลยทีเดียว
          ชาเหล่มองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครฟัง ก่อนจะกลับมามองคู่สนทนา “ว่ามา”
          ทีแรกชายหนุ่มก็ไม่คิดหรอกว่าเรื่องมันจะดีอย่างที่อีกฝ่ายโฆษณา แต่ทันทีที่ฟังจบเท่านั้นล่ะ ถึงกับยิ้มออก
          ถึงจะไม่อยากก็เหอะ แต่ก็ต้องบอกว่าแผนบ้าๆนี่มันได้ผลเกินคาดจริงๆนะ คุณเดียร์
          “ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้นายเลิกทำงานประจำไปก่อน แล้วแอบตามเดียร์ไป”
          “อ้าว ไม่ใช่ให้ตามไอ้นินมันหรือครับ”
          “ตามทางเดียร์ง่ายกว่า แล้วถ้าทางไอ้นินตามง่าย มันก็คงไม่เป็นหอกข้างแคร่แบบนี้หรอกน่า…เพราะงั้น นายก็ตามเดียร์เอา เผื่อว่าไอ้นินมันจะส่งลูกน้องไปจัดการ นายพยายามเก็บหลักฐานทางนั้นก็พอ เข้าใจนะ เรื่องเงินนายจะได้ตามจำนวนเท่ากับงานที่ทำอยู่ และถ้าได้หลักฐาน ฉันจะแถมโบนัสให้เป็นพิเศษด้วย”
          ไม่ต้องเฝ้าบ่อน ห้ามคนตีกัน เดินเสิร์ฟน้ำ เชียร์ลูกค้า ทำหน้าเหี้ยมใส่พวกที่หมดเงินแต่ยังทู่ซี้จะเล่น และยังไม่ต้องไปรองรับอารมณ์พวกลูกค้าวีไอพี แค่มานั่งๆมองๆเฝ้าคนโดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย โดยที่ยังได้ค่าตอบแทนเหมือนเดิม แถมยังอาจจะได้มากขึ้นหากได้หลักฐาน คนบ้าที่ไหนมันจะไม่ทำกันล่ะครับคุณชา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 26-11-2013 21:24:32
จุใจหนูเดียร์อีกแล้วว ฮ้าาาาาาาาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-11-2013 22:10:04
คุณสิทธิ์นี่ทำอะไรเข้าทางเดียร์ตลอด  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: beamintron ที่ 27-11-2013 19:32:27
ฮาแปป 5555555+
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 27-11-2013 20:49:30
คุณพี่ผู้หวงน้องสุดใจขาดดิ้นคะ ตอนนี้มี จุด จุด จุด คาบไป .... เรียบร้อยแล้วค่ะ 
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: †คุณเขียด ที่ 27-11-2013 21:20:08
พ่อหมีเขาไม่รู้ตัวเลยสินะ o16 ว่าที่ทำไปน่ะ เด็กมันชอบ :haun5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 22.1 & 22.2 (26/11/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 28-11-2013 00:36:06
เป็นเรื่องที่แปลกแหวกแนวจริงๆๆ กำลังทยอยอ่านที่ละตอนแต่มาเม้นท์ก่อน ให้กำลังใจคนแต่ง สู้ๆๆคะ
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 23 (1/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 01-12-2013 22:03:14
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 23 

         

          “ดูท่าทางจะไม่สำเร็จสินะ” ธานินทร์เอ่ยพลางมองเหล่าลูกน้องที่หน้าบวมช้ำกลับมาให้ตนได้ยล สีหน้าของชายหนุ่มดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เขาเดินเข้ามาใกล้มองดูสภาพของลูกน้องแต่ละคน พลางชี้นิ้วเหมือนกำลังนับ “กลับมากันครบด้วยสินะ”

          เหล่าลูกน้องพากันมองหน้าไปมา ก่อนที่คนที่อยู่หน้าสุดจะตอบด้วยอาการกระดากปาก “คะ…ครับ”

          “แล้วท่าทางของเดียร์เป็นยังไงบ้างล่ะ” คราวนี้ถามด้วยความสนใจใคร่รู้ “พวกนายได้บอกชื่อฉันออกมาใช่ไหม”

          “ครับ ทำตามที่คุณสั่งเลยครับ ว่าให้บอกว่าคุณส่งมา แล้วถ้าสู้ไม่ไหวให้รีบหนีทันที…ส่วนท่าทางของเดียร์ ดูเหมือนจะไม่ยอมมากับเรานะครับ ท่าทางคงจะรักกันดีกับคุณสิทธิ์ ออกอาการดื้อแพ่งมากครับ”

          “…งั้นหรือ งั้นก็แค่นี้ละกัน พวกแกเองก็ไปรักษาตัวก็แล้วกัน อย่าให้คุณวินรู้ล่ะ”

          หนึ่งในผู้ที่ไปตบตีกับฤทธิ์เลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะไม่แสดงอาการโมโหใดๆออกมาสักนิด

          “เอ่อ ขอโทษนะครับ แบบนี้จะดีหรือครับ” และก็อดถามไม่ได้

          ชายหนุ่มตาตกหันมองด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายคล้ายไม่อยากจะตอบเท่าใดนัก “มันก็ไม่ดีหรอก แต่ในเมื่อพวกแกทำไม่ได้ แล้วจะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ เอ้า เลิกถามแล้วก็ไปพักเถอะ ขอฉันอยู่คนเดียวหน่อย”

          พอเห็นเจ้านายโบกมือไล่ ก็ต่างพากันรีบออกไปด้วยความรู้สึกผิดกันหมด ซึ่งแน่นอนว่าธานินทร์ก็ตั้งใจให้ลูกน้องรู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาไม่ได้หวังให้คนของตนพาเดียร์กลับมาได้เลยก็ตาม

          ตกลงรักกันงั้นรึ ได้ไงวะ

          ธานินทร์แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าเดียร์กับสิทธิ์ไปรักกันตอนไหน…ตอนแรกเขาก็คิดว่าแบบนั้นอยู่หรอก แต่จากสายของอีกฝั่งก็ยืนยันแน่นอนว่าสิทธิ์เปลี่ยนแผนมาข่มขู่แทนแล้ว แต่ทำไมกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ไม่อาจเดาได้

          เอาเถอะ จะรักกันหรือโดนข่มขู่ ก็แค่ปรับแผนก็เท่านั้น

 

          ฤทธิ์ก็พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่พอได้เห็นอย่างที่คิดเอาไว้แล้ว มันก็อดรู้สึกอยากขำไม่ได้ เพียงแต่อีกฝ่ายดูห่อเหี่ยวเกินกว่าเขาจะกล้าขำ

          พ่อหมียักษ์นั่งคุดคู้ขวางประตูอย่างห่อเหี่ยว และไม่ทันได้สังเกตว่าฤทธิ์แทบจะยืนเหยียบหัวตนอยู่แล้ว

          “คุณสิทธิ์ครับ ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะครับ” หนุ่มตาตกทักอย่างไม่แน่ใจนัก ยิ่งเห็นขอบตาดำๆของเจ้านายแล้วอยากจะแนะให้กลับไปนอนมากกว่า “คุณสิทธิ์ครับ เอาจริงๆนะ ถ้าทำแล้วมันจะเสียสุขภาพขนาดนี้ ผมว่าเลิกดีกว่านะครับ”

          และที่ชวนให้ฤทธิ์แปลกใจคือ สิทธิ์แสดงอาการคัดค้านใส่ทันทีนี่ล่ะ ถึงจะแค่ครึ่งวินาทีก็เถอะ

          “ผมก็ไม่ได้อยากทำนะครับ แต่หมอนั่นมันกวนโมโหผมก่อนนี่นา”

          เพราะงั้นเลยไปปล้ำเดียร์มันน่ะหรือครับ ผมว่ามันแหม่งๆนะ…แล้วถ้าคิดว่ามันสมควรทำจริงๆ ก็อย่ามานั่งสำนึกผิดเอาทีหลังแบบนี้สิครับ

          “ช่างเถอะๆ ผมขอไปล้างหน้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะลงไป” ชายหนุ่มกระชากเสียง ดวงตาเรียวเหล่มองลูกน้องที่ยังคงยืนงงกับพฤติกรรมผีเข้าผีออกของเจ้านาย “เดียร์น่ะ เดี๋ยวผมปลุกเอง ตั้งแต่นี้ต่อไปพี่ไม่ต้องขึ้นมาปลุกให้แล้ว ถ้าหมอนั่นไม่ตื่นก็ช่าง ให้ไปทำงานสายนั่นล่ะ ดีแล้ว”

          ว่าจบก็ลุกพรวดกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็วโดยที่ฤทธิ์ไม่ทันแม้แต่จะได้อ้าปาก ชายหนุ่มได้แต่ยืนเบ้หน้าด้วยความเหนื่อยใจเพราะโดนเข้าใจผิดไปเต็มๆ ซึ่งก็ยังดีที่เป็นแค่เจ้านายคนเดียว ขืนเจ้าพ่อบ้านข้างล่างเป็นไปด้วยอีกคน มีหวังเขาได้สติแตกแน่

          สิทธิ์ไม่ได้ทำอย่างที่พูดเอาไว้ ร่างสูงยืนพิงประตูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าเมื่อครู่นี้ตนทำบ้าอะไรออกไป

          ทำไมเราต้องไปโมโหพี่ฤทธิ์ด้วยวะเนี่ย ไม่มีเหตุผลเลย

          มันก็ใช่ว่าจะไร้สาเหตุเสียทีเดียวหรอก เพียงแต่สาเหตุที่ว่านั่นมันดูไม่น่านำมาเป็นเรื่องที่ควรหงุดหงิดนี่ล่ะ ที่ทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องโหยหวน

          นึกถึงภาพเมื่อคืนแล้วมันก็อดใส่อารมณ์ไม่ได้

          ทำไมกันนะ…

          ร่างสูงหันมองคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ความทรงจำเมื่อคืนก็ไหลทะลักมาอย่างกับเขื่อนแตก ความรู้สึกผิดและสงสารถาโถมเข้ามาจนทำเอาจุกอก แต่ที่ทำให้รู้สึกแย่จนอยากจะวิ่งออกไปกระโดดหน้าต่างไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น

          แต่เป็นเพราะตัวเองที่สนุกสนานไปกับการทรมานเดียร์ต่างหาก ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกอะไรพิเรนทร์แบบนี้กับคู่นอนคนไหนมาก่อน ทีแรกเขาก็พยายามหลอกตัวเองไปว่าเป็นเพราะเดียร์เป็นน้องของวิน เขาถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ยิ่งทำไปมากเข้า สิ่งที่ต้องการจากเบื้องลึกของจิตใจ ไม่ใช่การได้แก้แค้นวิน

          ใช่…ถ้าแค่แก้แค้น ไม่เห็นจะต้องมีครั้งที่สองเลย แค่ครั้งเดียวมันก็เป็นตราบาปติดตัวเดียร์ไปแล้ว แต่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ กลับไม่อาจห้ามตัวเองให้หลงไปกับความรู้สึกพวกนั้น

          นี่เราเป็นอะไรไปแล้ววะ

          ชายหนุ่มหลุดออกมาจากภวังค์เมื่อร่างบนเตียงขยับไหว และก่อนที่เดียร์จะได้ลุกขึ้นมา สิทธิ์ก็หลบเข้าไปในห้องน้ำด้วยความไวแสง แล้วเปิดฝักบัวกลบเกลื่อนทันที

          ดวงตากลมปรือมองด้วยความสงสัยกับเสียงประหลาดเมื่อครู่ แต่ก็ไม่คิดจะใส่ใจนัก เด็กหนุ่มยืดตัวบิดขี้เกียจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื้อยลงมาบนเตียง เมื่อพบว่าตนอยู่ในห้องเพียงคนเดียว ก็ระบายยิ้มที่สดใสออกมา ต้อนรับกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่แสนสดใส

          ฟินจริงๆเลยพับผ่า

          นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกกระชุ่มกระชวยใบหน้าผ่องใสแบบนี้ เด็กหนุ่มแต่งตัวแล้วเดินออกจากห้องเมื่อเห็นว่าห้องน้ำยังไม่ว่างใช้ หวังลงไปกินข้าวเช้ารอ

          “อ้าว ว่าไงเดียร์” เสียงทุ้มของหนุ่มตาตกทักขึ้น

          “สวัสดีครับพี่ฤทธิ์ พี่ก้อง…มีอะไรหรือครับพี่ฤทธิ์” พอโดนจ้องหน้าเขม็งก็อดถามขึ้นไม่ได้

          “เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” เนื่องจากสภาพของแต่ละคนดูต่างกันราวฟ้ากับนรก หนุ่มตาตกเลยสงสัยเป็นอย่างยิ่ง คนหนึ่งมาซะเริงร่าเหมือนเพิ่งหลุดมาจากโลกแห่งความฝันอันสวยงาม ส่วนอีกคนเหมือนเพิ่งหนีมาจากนรกขุมที่สิบแปดได้อย่างหวุดหวิดเสียอย่างนั้น

          ตามเรื่องตามราวเดียร์ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าต้องตอบอะไร เสียตรงที่ดันยิ้มทักอีกฝ่ายไปแล้วนี่สิ

          ก้องอยากจะบอกเด็กหนุ่มเสียจริงๆ ว่าน่าจะเปลี่ยนจากอาชีพขายดอกไม้ไปเป็นนักแสดงท่าทางจะรุ่งกว่าเยอะ ขนาดเขาที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ภาพตรงหน้ามันเป็นเรื่องลวง แต่ก็เผลอสงสารขึ้นมาทุกที

          “ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน…มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกครับ” เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบาระคนความเศร้าเคล้าออกมา รับกับใบหน้าที่หมองลงจนน่าตกใจ แต่เพียงไม่นานก็กลับมายิ้มออก ยิ้มที่ดูเหมือนฝืนออกมา “แต่แค่ได้อยู่กับคุณสิทธิ์ ผมก็ดีใจมากแล้ว”

          ตอแหลได้โล่มาก พ่อคุณ

          “นายเนี่ยนะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปยั่วโมโหเขานักสิ คุณสิทธิ์น่ะ ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารอะไรสักหน่อย”

          “แต่ผมไม่ชอบที่เขาดูถูกผมกับพี่นี่ครับ แล้วดูท่าทางเขาจะเกลียดที่ผมเคยมีแฟนมาก่อนด้วย ผมก็พยายามอธิบายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไม่คิดเลยนะครับว่าเขาจะเป็นคนขี้หึงขนาดนี้”

          “ไม่นะ ปกติคุณสิทธิ์ไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” ฤทธิ์แย้งหน้าตื่น “บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณวินมากกว่าละมั้ง”

          ใบหน้างอนกลายเป็นหวาดหวั่นทันควัน จนก้องล่ะอยากเสนอชื่อเดียร์ชิงรางวัลตุ๊กตาทองเป็นที่สุด

          “นั่นสินะครับ บางทีถ้าเรารู้จักกันโดยไม่มีเรื่องของพี่วิน ก็คงจะดีกว่านี้…”

          “เอ้อ นายรีบไปทำงานไม่ใช่หรือ รีบกินแล้วก็รีบๆไปอาบน้ำซะสิ” เนื่องจากไม่อยากเห็นบทสนทนาชวนเลี่ยนแปลกๆ ก้องเลยตัดบทสั่งให้เดียร์รีบๆไปให้พ้นหูพ้นตาตนสักที ก่อนที่เขานี่แหละ ที่จะทนไม่ได้แล้วความจริงมันจะแตกออกจากปากก่อน

          เดียร์เลิกคิ้วมองคนไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิ้มหวานเหมือนกับไม่ได้ติดใจอะไร “นั่นสินะครับ”

          คนอื่นเห็นก็คงรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนางฟ้านั่น แต่ก้องนั้นกลับเห็นเป็นปีกมารร้ายขยับไหวอยู่ด้านหลังของเดียร์ซะมากกว่า

          “…นายนี่ท่าทางสนิทกับเดียร์จริงๆด้วยแฮะ”

          จากที่กำลังหงุดหงิดก็เปลี่ยนเป็นดีใจแต่ต้องอดกลั้นทันที เพราะคิดว่าจะโดนแรงหึงกระหน่ำ แต่พอเห็นอาการของฤทธิ์แล้วกลับไม่ใช่

          “ทำไม…คิดแบบนั้นล่ะ…” โอเค เขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าถ้าให้เทียบกับบรรดาคนที่รู้จักทั้งหมดที่ฤทธิ์เองก็รู้จักด้วย เดียร์เป็นคนที่ดูสนิทที่สุด เพราะรสนิยมต้องกันนี่ล่ะ แต่ก็แค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องนิสัยนี่เขาขอผ่าน

          ใบหน้านิ่งบึ้งใส่อย่างที่รอ “ช่างเถอะ ฉันง่วงแล้ว ไปนอนล่ะ”

          พูดให้สงสัยแล้วก็เดินจากไปโดยไม่รอให้ก้องมีโอกาสจะได้ถาม แต่ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือจากนี้ไปสองวัน คงโดนฤทธิ์กระแทกอารมณ์ใส่แน่นอน

 

          อันที่จริง ชาก็รู้อยู่หรอกว่าธานินทร์เองก็ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกับตน ไม่ว่าจะเลี่ยงอย่างไรก็ต้องเห็นหน้ากันอยู่ดี เพียงแต่ปกติรายนั้นทำงานอยู่ที่ชั้นสี่ และไม่ค่อยจะได้ขึ้นมาเดินเล่นที่ชั้นหกสักเท่าไหร่ เพราะลำพังผู้บริหารฝ่ายบัญชี ก็ไม่มีเวลาจะมาทำให้ตนต้องระเคืองสายตานักหรอก

          แต่วันนี้มันเล่นโผล่หัวมาให้เห็นตั้งสามรอบ เวลารวมสิบสี่นาที นับจากตอนแปดโมงยันสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วนะ

          แน่นอนว่ามันผิดปกติและน่าสงสัยมาก เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังมองหาใครบางคน ซึ่งไม่ใช่ตนและวิน และนั่นทำให้ชาต้องจับตามอง ว่าธานินทร์คิดจะวางแผนร้ายอะไรอีก
         
          “ไง คุณชา ว่างงานมากหรือไงครับ ถึงได้มายืนเฝ้าผมเนี่ย”

          ยังจะกล้าปากหมาใส่ก่อนอีก

          “เมายาดองตั้งแต่เช้าหรือไงครับ ผมก็ทำงานอยู่ของผม เห็นยังไงว่าผมว่างกันน่ะ หรือคุณจะแอบอู้มาดูผมตลอดตั้งแต่เช้ากันล่ะ”

          เหล่าพนักงานบริเวณใกล้เคียงพากันถอยห่างพลางทำงานอย่างรู้ดี ถึงจะไม่ได้ทะเลาะต่อยตีกันตรงๆ แต่ไอ้ลูกหลงที่บินออกมามันก็น่ากลัวเสียจนพวกเขาไม่อยากจะเสี่ยง ครั้งล่าสุดหลังจากทั้งสองพูดจาแดกดันใส่ จากนั้นก็ไม่รู้ทำไมตู้เก็บเอกสารที่อยู่ใกล้ๆดันล้มลงมาเสียได้ เล่นเอาพนักงานที่จำเป็นต้องจัดเอกสารอยู่แถวนั้นโดนเข้าไปเต็มๆ ได้นอนพักขาหักอยู่เกือบเดือนเลยทีเดียว

          ธานินทร์เพียงแต่ยักไหล่และยิ้มให้อย่างกวนอารมณ์ ก่อนจะเดินลงกลับชั้นล่างไป ปล่อยให้หนุ่มหน้านิ่งได้แต่ยืนสาปแช่งอยู่ในใจ

          คิดจะทำอะไรของมัน
         
          “อ้าวชา”

          เสียงแหลมสูงที่คุ้นเคย หากแต่ครานี้สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจตามสไตล์ของผู้อยู่ในตำแหน่งสูงดังขึ้นไม่ห่าง และคนหน้านิ่งถึงกับผงะ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับคุณรองประธานที่นี่ เพราะปกติแล้ว คนๆนี้จะไม่เข้าบริษัทบ่อยนัก

          “สวัสดีครับคุณนาย วันนี้มีประชุมหรือครับ” ชาทักทายด้วยรอยยิ้มพลางนึกสงสัย เพราะถ้ามีประชุมถึงขนาดที่มาริสาต้องเข้าร่วม เขาที่เป็นเลขาประธานก็ต้องรู้อยู่แล้ว

          “เปล่าหรอก แค่มาตรวจงาน” หญิงวัยกลางคนยิ้มกริ่ม “เห็นว่าวันนี้มีประชุมหัวหน้าฝ่าย ว่าจะเข้าไปดูด้วยสักหน่อย”

          รู้สึกสงสารพวกหัวหน้าฝ่ายขึ้นมาทันที ก็มาริสาน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องเข้มงวดกับงานจะตาย ต่อให้เป็นเรื่องที่ยิบย่อยหรือเล็กน้อยแค่ไหน เธอก็ไม่คิดจะปล่อยผ่าน มีหวังพวกหัวหน้าฝ่ายที่ไม่ได้เตรียมทางแก้เอาไว้ ได้โดนเทศนาจนหูบานเป็นแน่แท้

          “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อตัวปัญหาไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้จะยืนอู้ไปทำไม จึงรีบลากลับไปทำงานต่อ ก่อนที่งานจะเข้า

          “เดี๋ยวชา ฉันมีเรื่องจะถาม”

          แล้วก็โดนจนได้

          “ช่วงนี้ตาวินแอบแว้บไปหาไอ้ลูกแมวขโมยนั่นบ้างหรือเปล่า”

          “เปล่าครับ” โชคดีเหลือเกินที่เขายอมน้ำตาร่วงห้ามพ่อแว่นเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคงพูดออกมาได้ไม่หนักแน่นแบบนี้หรอก

          “หรือ งั้นก็ดี” คงเพราะผลงานจากไอ้ลูกแมวขโมยที่ว่า ถึงทำให้ชาได้รับความน่าเชื่อถือจากมาริสาขึ้นจม “ฝากดูอย่าให้ตาวินไปตามก้นไอ้เด็กเวรนั่นล่ะ ฉันไปล่ะ”

          ว่าจบก็กระแทกส้นลงพื้นเล็กน้อยเหมือนต้องการจะระบายอารมณ์ ชาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน เพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

          ซะเมื่อไหร่ล่ะ…

          “อ้าวคุณนาย สวัสดีครับ”

          มาริสาเลิกคิ้วให้เล็กน้อยเมื่ออยู่ๆธานินทร์เข้ามาทักในห้องประชุม

          “มาทำอะไรที่นี่น่ะ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมนี้นี่” ดวงตาคมหรี่มองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก

          “ผมไม่ได้มาเข้าประชุมหรอกครับ แต่ผมมีธุระจะคุยกับคุณนายน่ะครับ” ธานินทร์กลอกตามองซ้ายขวา ก่อนจะหรี่เสียงลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เกี่ยวกับเรื่องคุณเดียร์น่ะครับ”

          สำหรับเธอ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แค่มีชื่อไอ้ลูกเมียน้อยนั่นก็ทำเอาไมเกรนรับประทานได้แล้ว

          “ศิวะ เข้าฟังประชุมแทนฉันทีละกัน” มาริสาหันไปบอกคนข้างกาย ก่อนจะพยักหน้าให้ธานินทร์ตามตนไปยังสถานที่ๆรองประธานสามารถวีนเหวี่ยงได้แบบไม่ต้องรบกวนพนักงาน ซึ่งก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ห้องประชุมเล็กที่อยู่ใกล้ๆกันนี่เอง “เอ้า พูดมา ฉันจะพยายามใจเย็น”

          เห็นท่าทางในการพยายามใจเย็นของหญิงสูงวัยแล้วหนุ่มตาตกเลยต้องเตรียมตัวอุดหูเอาไว้ เผื่อในกรณีที่ความพยายามนั้นล้มเหลว

          “เออ ผมว่ามันน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคุณนายนะครับ” ธานินทร์รีบบอกไว้ก่อน กลัวมาริสาจะโจมตีด้วยพลังเสียงใส่โดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาพูดจนจบ “คุณรู้หรือเปล่าครับว่าเดียร์เขามีแฟนแล้ว…เอ้อ เป็นผู้ชายนะครับ”

          “อ้าว ก็ถูกแล้วนี่…เอ๊ย…ไม่ใช่สิ…ไอ้เด็กนั่นมันก็เป็นผู้ชายนี่นา” แม้แต่คนที่อยู่ร่วมกันมาเป็นสิบปียังเกือบลืม “เดี๋ยวก่อนนะ…ถ้ามันเป็นกะเทย งี้ตาวินก็แย่สิยะ ยิ่งซื่อๆไม่ทันเล่ห์ผู้หญิง มารยากะเทยอยู่ด้วย มีหวังไอ้เด็กนั่นคงยั่วตาวินจนโงหัวไม่ขึ้นน่ะสิ แล้วแบบนี้มันต้องหลอกเอาสมบัติตาวินแน่ๆ แล้วจากนั้น…”

          “เดี๋ยวครับๆๆ” หนุ่มตาตกรีบห้ามเสียงตื่น ก่อนที่จะเพ้อหนักและงานจะเข้า “เขามีแฟนแล้วครับ ผมถึงได้บอกไงว่าเป็นข่าวดี”

          มาริสากลับนิ่วหน้าให้ ไม่มีเค้าลางของความยินดีออกมาให้เห็นเลยสักนิด “ใคร”

          “คุณสิทธิ์ครับ”

          “เจ้าหนูที่ตาวินเกลียดนักเกลียดหนาน่ะหรือ” เธอไม่อยากจะเชื่อว่าโลกมันจะกลมได้อย่างน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ “แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”

          “ทำไมล่ะครับ” ทีแรกเขาคิดว่ารองประธานจะดีใจเสียอีก ที่มารหัวขนจะได้ไปจากชีวิตของลูกชายตนเสียที

          “ตราบใดที่มันยังมีโอกาสมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตาวิน มันก็ไม่ดีสำหรับฉันทั้งนั้นล่ะย่ะ” เสียงแหลมสูงพุ่งเข้าโจมตีโสตประสาทแบบไม่ทันตั้งตัว “ยกเว้นว่ามันจะไม่ได้ยืนบนแผ่นดินเดียวกับฉัน!!!”

          “แล้วทำไมไม่ฆ่าไปซะเลยล่ะครับ” นึกแล้วชายหนุ่มก็อดถามไม่ได้ เพราะที่จริง ลูกที่ไข่ทิ้งไว้ไม่ได้มีแค่เดียร์เสียหน่อย แต่มาริสาก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรขนาดนี้ จะมีก็แต่เดียร์นี่ล่ะ ที่กลั่นแกล้งใส่สารพัดสารพัน จนแม้แต่เขายังแอบรู้สึกสงสารเล็กๆ และธานินทร์ก็ต้องเสียใจที่ถาม

          “จะบ้าหรือยะ ทำไมฉันต้องลงทุนทำขนาดนั้นกับลูกนังแมวขี้ขโมยนั่นด้วยไม่ทราบ ไม่เห็นจะคุ้ม” ดอกนี้ เล่นเอาธานินทร์สลบทั้งยืนไปสามวินาที “ที่สำคัญ ตายไปง่ายๆมันก็สบายไปน่ะสิยะ ฉันอยากจะเห็นมันมีชีวิตอย่างทรมานเจียนตายมากกว่า จะได้สะใจกับที่แม่มันมาแย่งผัวฉัน!”

          “งะ…งั้นหรือครับ” หนุ่มตาตกหลุดเสียงสั่นออกมา “ผมก็แค่มาบอก หวังว่าจะเป็นข่าวดีของคุณนาย แค่นั้นล่ะครับ…”

          มาริสาหรี่ตาจ้องหน้าเขม็ง ทำเอาธานินทร์รู้สึกหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคต่อมา เขาก็โล่งใจ “แล้วตาวินรู้เรื่องนี้หรือยัง”

          “ยังครับ ผมเกรงว่าถ้าบอกไป คงจะมีเรื่องแน่ๆเลย” อันที่จริง เขาอยากบอกจะตาย แต่เสียตรงที่ว่า ถ้าไม่มีสิ่งยืนยันแน่ๆ เดี๋ยวจะหน้าแตกเหมือนคราวก่อนอีก

          “นั่นไงว่าแล้ว” หญิงวัยกลางคนร้อง ก่อนจะกลอกตาแล้วถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “ถึงไอ้เด็กเวรนั่นจะไม่มา แต่ตาลูกบ้าคงไปหาอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามันรู้ว่าไอ้เดียร์ได้กับสิทธิ์ มีหวังตาวินคงวิ่งไปฟัดกับทางโน้นเหมือนแมวช่วงติดสัดจนเสียงานเสียการหมดแน่ ฉันไม่ยอมหรอกนะ แค่นี้ก็หาเรื่องแว้บไปแว้บมา จนงานเดินช้ากว่ากำหนดตั้งสองวันแล้วนะยะ…แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ฉันไม่อยากเห็นไอ้เด็กนั่นมันได้ดีย่ะ!!”

          ตอนนี้ หูของชายหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว


________________________________

เอารูปตัวละครที่วาดไว้มาลง แต่ถ้าใครชอบจิ้นเอง ข้ามได้นะก๊าบ เผื่อไม่ตรงอิมเมจ>3<

รูปตัวละคร (http://writer.dek-d.com/musddmp/writer/viewlongc.php?id=850095&chapter=1)

________________________________


อ่า....ช่วงนี้ระวังตัวกันด้วยนะงับ สถานการณ์บ้านเมืองไม่ใคร่จะสู้ดีนัก =_= ตอนนี้คนเขียนก็หวาดเสียวอยู่หน่อยๆ เพราะอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเรื่องเท่าไหร่นัก
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 23 (1/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 03-12-2013 21:02:59
ยัยคุณหญิงนี่ยังไงกัน  :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 23 (1/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 03-12-2013 22:11:08
พลังSในตัวสิทธิ์เริ่มตื่นขึ้นแล้วซินะ555
ส่วนเดียร์นี่แสดงได้เนียนจริงๆ มอบรางวัลตุ๊กตาทอง 555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 24 (28/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 28-12-2013 20:45:59
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 24 
         
          ฤทธิ์หรี่ตามองแดดยามเช้าที่ค่อยๆทอแสงแรงกล้า ชายหนุ่มสำรวจไปรอบบ้านอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีใครคิดมาทำร้ายสิทธิ์แล้วเป็นแน่ จึงตัดสินใจจะกลับเข้าไปในบ้าน

          “เอ้อ…อั่ก!!”

          ผู้มาเยือนไม่ทันจะทักได้จบความก็โดนคว้าเข้าที่คออย่างแรงจนสำลัก หนุ่มตาตกเพ่งมองคนที่ใกล้จะสลบคามือของตนตรงหน้า เมื่อดูท่าทางแล้วว่าไม่น่าจะใช่ศัตรู เลยปล่อยมือออกก่อนที่อีกฝ่ายจะสิ้นใจ

          “มีอะไรหรือครับ” ฤทธิ์ทักด้วยใบหน้านิ่งปนสงสัย และไม่คิดจะเอ่ยคำขอโทษเลยสักนิด

          ผู้มาเยือนได้แต่ทำปากพะงาบๆแต่เมื่อโดนสายตาคมที่จ้องมาราวกับเสือกำลังจ้องกระต่าย เขาก็ต้องเก็บคำด่ากลับลงคอ และเอ่ยธุระออกมาอย่างรวดเร็ว

          “ผมก็แค่จะ…อ่อก” และฤทธิ์ก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจนจบความ เมื่อเห็นมือของคนตรงหน้าล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพราะคิดว่ากำลังจะล้วงปืนขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ จึงปล่อยไปอีกครั้ง จนคราวนี้ผู้มาเยือนชักเริ่มสยอง ว่าตนอาจจะมีอันเป็นไปก่อนได้พูดธุระจบ “สำรวจร่างกายผมก่อนเลยมั้ย ผมไม่ได้จะมาทำร้ายกันสักหน่อยนะครับ”

          เนื่องจากอีกฝ่ายค่อนข้างหน้าตาดีตรงสเป็คเลยจัดให้อย่างที่ท้าแบบทุกซอกทุกมุม

          “ทีนี้ผมพูดธุระได้แล้วสินะครับ…” ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงค่อย รู้สึกเหมือนเพิ่งโดนพรากสิ่งที่สำคัญไปแล้วอย่างไรก็ไม่รู้ “ผมแค่มีเรื่องจะฝากคุณถึงเดียร์น่ะครับ”

          “แล้วนายเป็นอะไรกับเขาล่ะ”

          “แฟนเขาครับ”

          พูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียจนคนฟังเผลอเลิกคิ้ว

          “เห็นพักนี้เขาไม่มาหาผมหลายวันแล้วเลยเป็นห่วง” ชายตรงหน้าพูดต่อ ทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องเลยว่าตอนนี้คุณเดียร์กำลังอยู่ในสภาวะใด “ยังไงก็ช่วยฝากบอกเขาทีนะครับ แล้วก็ฝากจดหมายนี้ไปให้เขาด้วย”

          “เขายังอยู่ ทำไมนายไม่ไปบอกเขาเองเลยล่ะ”

          ยิ้มค้างไปสามวินาที “พอดีผมต้องรีบไปทำงานน่ะครับ เดี๋ยวถ้าเจอหน้าเขา ผมคงต้องเผลอคุยด้วยยาวแน่ๆ ฝากทีนะครับ”

          พอโยนจดหมายใส่มือได้ก็รีบใส่เกียร์หมาโกยแบบไม่มีการเหลียวหลังเหมือนกลัวจะโดนฤทธิ์กระชากคออีก

          หลังจากเหตุการณ์ประหลาดได้จบไป สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของชายหนุ่มคือ ‘แผนร้ายของใครสักคน’ และยิ่งเปิดอ่านเนื้อความในจดหมาย ก็ยิ่งชัดเจนจนคิดได้แค่ว่า ต้องมีใครสักคนวางแผนนี้ขึ้นมาแน่แต่เขาไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นแผนใคร

          เมื่อคิดคนเดียวไม่ได้คำตอบ ก็ต้องไปหาสมองมาเพิ่มเติม

          “แล้วนายจำหน้าคนที่เอาจดหมายนี่มาได้หรือเปล่า”หลังจากอ่านจดหมายชวนเลี่ยนจบ ก้องก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

          ฤทธิ์นิ่งไปพักใหญ่ “ก็…จำได้อยู่หรอก แต่ดันลืมถามชื่อนี่สิ”

          แสดงว่าหน้าตาโดนใจจนเบลอเชอะ

          “งั้นเอาเป็นว่า อย่าให้คุณสิทธิ์เห็นจดหมายนี่ละกัน” เมื่อไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวไปได้มากไปกว่านี้ ฤทธิ์ก็รีบสรุปความตัดบทอีกเพราะรู้ตัวนิดๆว่าเป็นความผิดพลาดของใคร

          “เดี๋ยวก่อน ฉันว่าถ้าเป็นเดียร์อาจจะรู้ก็ได้นะ” ก้องห้ามก่อนที่อีกฝ่ายจะฉีกจดหมายทิ้ง

          “แค่บอกก็ได้ ไม่เห็นต้องให้อ่านนี่” หนุ่มตาตกเบ้หน้าเพราะเขาคิดว่าถึงอ่านข้อความหวานเลี่ยนในนี้ก็คงไม่ช่วยให้รู้ถึงตัวการนักหรอก และเกิดคนที่ไม่ควรจะอ่านดันมารู้ มันอาจจะยุ่งไปกันใหญ่

          “ก็เผื่อจะคุ้นกับลายมือไง จริงไหมล่ะ”ไม่ว่าเปล่า เขายังรีบดึงจดหมายมาเหมือนกลัวอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย “ตามนี้ละกัน นายไปนอนเถอะ”

          แม้จะยังติดใจสงสัย แต่ด้วยความง่วงที่รุมเร้า เลยได้แต่ยอมอย่างเสียมิได้

          ทันทีที่ฤทธิ์หายขึ้นไปข้างบน สิ่งแรกที่ก้องทำคือ นำจดหมาย ไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร แบบที่สิทธิ์สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด จากนั้นก็จัดแจงทำอาหารเช้า และเตรียมสำลีอุดหูเผื่อไว้เล็กน้อย ซึ่งจากการคำนวณ ฤทธิ์น่าจะหลับลึกจนเสียงเหี้ยมๆของสิทธิ์ดังลั่นแค่ไหนก็ไม่ตื่น ซึ่งโชคดีเข้าไปอีก เมื่อเดียร์เป็นคนตื่นขึ้นก่อน

          “ผมคิดว่าคงเป็นธานินทร์นั่นล่ะ เพราะตอนนี้มีหมอนั่นคนเดียวที่เข้าใจว่าผมกับคุณสิทธิ์รักกันหวานชื่น…แต่ผมไม่เข้าใจแฮะ ว่าจะมาทำให้แยกกันทำไม” หลังจากอ่านจบ ก็เซไปที่กำแพงด้วยใบหน้าซีดเซียว “…แต่ที่แน่ๆ มันหาเรื่องทำร้ายผมได้ดีมาก…แหวะ…อ่อก…อยากจะอ้วก เขียนมาได้ชวนหวานเลี่ยนจนฆ่าผมได้เลย…”

          “ถ้างั้น ก็ไม่ได้เรื่องอะไรงั้นสิ” ก้องเอ่ยด้วยความเสียดาย ไม่นึกอยากจะเข้าไปช่วยพยุงคนที่ทำท่าใกล้ตายตรงหน้าเลยสักนิด

          ใบหน้าเรียวนิ่งคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ เด็กหนุ่มหยิบมือถือของตนขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในครัว “ฝากดูต้นทางทีนะครับ ถ้าคุณสิทธิ์มาก็บอกผมนะ”

          แล้วก็หายไปราวสิบนาที ก่อนจะเดินกลับออกมาด้วยใบหน้าผ่องใสจนชวนสยอง

          “ผมพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าฝีมือใคร หลักๆก็ธานินทร์นั่นล่ะครับ” เสียงหวานเอ่ยระรื่น “แต่แผนนี้คงเป็นของคุณแม่มาริสา แม่เลี้ยงของผมน่ะครับคิดว่าธานินทร์ไปคุยกับคุณแม่ คงเอาเรื่องที่ผมกับคุณสิทธิ์หวานชื่นกันอยู่ไปบอกละมั้งครับ”

          ได้ยินแล้วหนุ่มใหญ่ก็ถึงบางอ้อ เขาหันไปมองนอกบ้านอย่างระแวดระวัง “ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้แล้วสินะ…”

          “อ้อ แต่คนนั้นไม่ใช่คนของธานินทร์หรอกครับ พวกเดียวกันๆ” เดียร์รีบโบกมือ กลัวก้องจะวิ่งไปฉะใส่ดรก่อนจากนั้นก็นำจดหมายกลับไปวางที่เดิม “ผมว่า มันจะใกล้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับคุณสิทธิ์กับพี่วินนั่นล่ะ”

          ก้องเพียงแต่จ้องหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย

          “ผมคิดว่าตอนนี้ ไม่พี่วิน ก็คุณสิทธิ์ น่าจะเคลื่อนไหวบ้างแล้ว แต่นี่อะไร พี่วินก็เอาแต่โทรมา ทั้งที่ปกติต้องมาหาผมบ้าง ส่วนคุณสิทธิ์ยิ่งแล้วใหญ่ ไหนว่าจะใช้ผมมาหยุดไม่ให้พี่วินหาเรื่อง แต่ทั้งอย่างนั้นกลับไม่ไปบอกพี่วินให้ชัดๆไปเลยว่าตอนนี้ผมกับเขาเป็นแฟนกัน ไม่รู้รออะไรกันอยู่…ถึงผมจะได้ประโยชน์ก็เถอะ หึๆ”
         
          “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีน่ะสิ” แน่นอนว่า ทั้งเรื่องที่แผนดำเนินการช้า และเรื่องที่ต้องปล่อยให้เจ้านายอยู่กับไอ้เด็กสายเอ็มนี่นานๆ กลัวเหลือเกิน ว่าสิทธิ์จะหลงเข้าเส้นทางนี้จนกู่ไม่กลับ

          “ผมก็ช่วยเร่งเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ แต่สองคนนั่นไม่ยอมเคลื่อนไหวเองนี่นา ไม่อย่างนั้นก็คงรอทำตามแผนธานินทร์นั่นล่ะ” เดียร์ถอนใจ ดวงตากลมเลื่อนมองไปยังจดหมายที่วางไว้บนโต๊ะแล้วยิ้มพราย “แต่ตอนนี้ผมพอจะมีแผนช่วยเร่งให้คุณสิทธิ์ตัดสินใจเร็วขึ้นแล้วล่ะ”

          แผนเร่งที่ว่านี่ แกคงได้ประโยชน์จากมันเยอะเลยล่ะสิ หน้าแกมันฟ้อง

 

          เสียงแก้วที่แตกลั่นบ้านปลุกฤทธิ์ที่กำลังฝันดีสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มเร่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ มือที่กำหมัดแน่นชะงักค้าง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คู่อริบุกเข้าบ้าน แต่เป็นเจ้านายกับหนุ่มน้อยที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ ด้วยบรรยากาศกดดันที่ชวนอึดอัดอย่างน่าประหลาด

          หนุ่มตาตกเพียงแต่หันไปมองแฟน และก็ได้รับคำตอบไปตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังกระดาษหน้าตาคุ้นเคยในมือของสิทธิ์

          “ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่อง” เสียงหวานตะคอกดัง ดวงตากลมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส แขนบางพยายามฉุดหนีออกจากมือของอีกฝ่าย แต่กลับไร้ผลอย่างที่รู้กัน

          “ไม่รู้เรื่อง?แล้วไอ้จดหมายนี่มันอะไร” สิทธิ์สวนกลับพร้อมกับดึงร่างบางเข้ามาหาหวังจะเค้นความจริง…เพียงเท่านั้น….จริงๆ…หาได้อยากมองใบหน้าหวานที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดแบบใกล้ๆแต่อย่างใด “พอห่างสายตาหน่อยก็ออกลายไปหาเศษหาเลยนะ หรือลืมไปแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน”

          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อยที่ว่าเป็นคนรักกันก็แค่ในนามไม่ใช่หรือไงผมจะไปทำอะไรก็เรื่องของผมนี่” เดียร์ยังคงพยายามดึงตัวเองออกจากร่างสูงตรงหน้าไม่เลิก “ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!”

          “ทำไม รังเกียจฉันมากนักหรือไงคุยกับฉันมันจะเป็นจะตายงั้นสิทีตอนอยู่บนเตียงไม่เห็นจะรังเกียจกันเลยนี่ เห็นร้องครางเสียงหลงเชียวนะ!”

          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ ใครเขาจะคิดแบบนั้นกัน” มือบางพยายามทุบตีอีกฝ่าย ใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำเพราะอารมณ์พลุ่งพล่าน “คุณมันน่ารังเกียจที่สุดผมเกลียดคุณ!! ผมเกลียดคุณได้ยินมั้ย!!”

          “งั้นเหรอ”

          ฤทธิ์ได้แต่ตาค้างมองเรื่องเหลือเชื่อที่อยู่ตรงหน้า โอเค เขารู้ว่า ได้กันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาแสดงออกกันต่อหน้าชาวบ้านสักหน่อย ขนาดเขากับก้องเองยังไม่เล่นกันถึงขนาดนี้เลย

          ร่างบางกระตุกเมื่อโดนอีกฝ่ายโถมเข้าหาซอกคอของตนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อพยายามจะถอยหนี กลับโดนแขนแกร่งโอบเอวไว้ เด็กหนุ่มทั้งทุบทั้งตีร่างตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด สิทธิ์ยังคงเก็บเกี่ยวความหอมหวานตรงหน้าจนพอใจ ก่อนจะผละออกมาหวังดูหน้าเดียร์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่หวัง ใบหน้าเล็กชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อและหยาดน้ำตา แก้มนิ่มแดงระเรื่อและร้อนผ่าว ดวงตากลมจับจ้องมองมาด้วยความเจ็บใจและคั่งแค้น ช่างชวนให้คนมองรู้สึกสมใจเป็นอย่างยิ่ง…

          แต่ก็วูบหายไปทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอแตกของฤทธิ์

          “เฮอะ เธอเองก็น่ารังเกียจไม่แพ้พี่ตัวเองหรอก” มือหนาผลักร่างเล็กออกอย่างไม่ไยดี จนเดียร์เกือบล้ม แต่หนุ่มตาตกคืนสติได้ทันและรีบลงไปรับเดียร์เอาไว้เสียก่อนแล้วจากนั้นสิทธิ์ก็ผลุนผลันกระทืบเท้าตึงตังขึ้นชั้นสองไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองกลับมาที่ร่างบางสักนิด

          “…ไม่เป็นไรนะ” ฤทธิ์มองอย่างไม่แน่ใจนัก แม้จะดูไม่เป็นอะไรมาก แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นดูแย่มาก แขนเล็กทั้งสองข้างมีรอยปื้นแดงเห่อขึ้นเป็นรอยมือจนน่ากลัว

          เดียร์หลุบตาก้มหน้ามองต่ำ เพียงแค่สะบัดหัวให้ “ผม…ขอขึ้นห้องก่อนนะครับ…ผมเดินไหว ไม่เป็นไร…”

          ก้องนิ่วหน้ามองร่างเล็กที่เดินโซซัดโซเซขึ้นไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็คงเห็นเพียงแค่ว่า คนตรงหน้ากำลังบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอันมาก เพราะต้องมาโดนคนที่รักเข้าใจผิดและเอ่ยวาจาร้ายกาจใส่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน…ถ้าเป็นคนธรรมดาน่ะนะ…

          ต่อให้ก้องอ่านใจไม่ออก ก็รู้เหตุผลที่ไอ้เด็กบ้านั่นเดินไม่ตรงทางเป็นอย่างดี ท่าทางคงเสียใจเอาการ อุตส่าห์แสดงบทผู้โดนกระทำตั้งนาน แต่ดันโดนรวบรับตัดฉากทรมานเสียได้คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสิทธิ์จะยอมหยุดเพียงเพราะเห็นฤทธิ์

          แต่เขาไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ไอ้เหตุการณ์เมื่อครู่มันจะช่วยให้สิทธิ์ตัดสินใจรีบไปบอกข่าวดีให้วินรู้ได้อย่างไรนี่ล่ะ

          “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เสียงทุ้มของแฟนหนุ่มปลุกให้ก้องหลุดจากภวังค์ “นี่นายไม่ได้เอาจดหมายไปทิ้งหรือ"

          เวร ตรงนี้มันไม่ได้เตี๊ยมให้ตู

          “มะ…ไม่รู้สิ ฉันเอาให้เดียร์ไป ก็บอกแล้วนะว่าให้ทิ้ง สงสัยคงลืมมั้ง…” ดีที่สถานการณ์ก่อนหน้ามันรุนแรงเอาเรื่อง ฤทธิ์เลยไม่ทันได้ติดใจเสียงตะกุกตะกักของหนุ่มแว่น “ตะ…แต่ว่าก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันแรงสักหน่อย”

          “บ้าเรอะ มองยังไงของนายน่ะลืมไปแล้วหรือไงว่าเดียร์เขาคิดยังไงกับคุณสิทธิ์น่ะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังได้เข้าหน้ากันไม่ติดหรอก” ไม่ด่าเปล่า มีตบเรียกสติซึ่งเป็นเรื่องปกติของฤทธิ์ “บ้าเอ๊ย”

          ก็ดีสิ ฉันไม่อยากเห็นหัวหน้าโดนล่อลวงเข้าสู่ทางเอสเอ็ม…ถึงตอนนี้ดูๆแล้วจะก้าวไปลึกเอาเรื่องแล้วก็เถอะ

          “เดี๋ยว นั่นนายจะไปไหนน่ะ” ก้องเรียกเสียงตื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินขึ้นบันไดไป

          ดวงตาตกที่ตวัดกลับมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “จะอะไรซะอีกล่ะ ฉันก็จะไปพูดให้คุณสิทธิ์รีบๆจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไง”

          ว่าแล้วก็หายขึ้นไปอย่างทันท่วงที ในขณะที่คนฟังได้แต่ยืนนิ่ง…นิ่ง…และนิ่ง…

          ……

          และก็เพิ่งรู้สึกตัว ด้วยอารมณ์ช็อคสุดๆ

          ที่แกทำแบบนี้เพราะหวังให้ฤทธิ์เป็นคนไปพูดกับคุณสิทธิ์งั้นเรอะ ไอ้เดียร์!! ฉันก็สงสัยอยู่แล้วว่า ทำไมตอนคุณสิทธิ์อ่านจดหมาย แกถึงรีบไปคว้าแก้วน้ำนี่เรอะที่แกไม่ยอมบอกแผนของแกให้ฉันฟัง! ไอ้เด็กบ้า~~~~~~



__________________________________________________
          ช่วงนี้หนาวมาก รักษาสุขภาพกันด้วยเน้อ หนาวแบบนี้ ชวนขี้เกียจมากมาย -_-

          ใครไปเที่ยวขอให้เดินทางปลอดภัยและสนุกกับการเที่ยวเน้อ ช่วงนี้เครียดกันเยอะ ต้องไปพักผ่อนกันมั่ง =w=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 24 (28/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: †คุณเขียด ที่ 28-12-2013 21:12:52
อุต๊ะ!! :z1:

พลังSในตัวสิทธิ์นับวันยิ่งประทุรุนแรง :laugh:

จะสงสารเดียร์ดีไหม(ไม่น่าสงสาร เพราะลักษณธน้องแกจะชอบ :haun5:)

รอนะจ๊ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 24 (28/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 28-12-2013 22:15:20
 :oo1: มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 24 (28/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 29-12-2013 00:48:10
ไม่รอดแน่สิทธิ์พลังสายSในตัวเริ่มประทุแล้ว555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 24 (28/12/2556)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 29-12-2013 13:32:35
ปลูกพลังS ในตัวคุณ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 25 (12/1/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 12-01-2014 20:44:56
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 25 
         
          ฤทธิ์ผลุนผลันพังประตูเข้ามาด้วยความร้อนรน ทีแรกเขาคิดว่าตอนเข้าไปคงจะโดนสิทธิ์หันมาตวาดใส่เป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ เข้าไปแล้วกลับไม่เจอเจ้านายเสียนี่

          “…พี่ฤทธิ์หรือครับ…”

          หนุ่มตาตกสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอื่อยลอยเข้ามา ชายหนุ่มหันไปก็พบร่างสูงกำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้หลบอยู่ข้างเตียงของอีกฝั่ง ด้วยสภาพเหมือนคนที่เพิ่งรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปสารภาพรัก แต่กลับกินแห้วยังไงยังงั้น และทันทีที่สิทธิ์เห็นฤทธิ์เข้ามา เขาก็รีบปั้นหน้านิ่งใส่ทันควัน

          “เอ่อ…ไม่เป็นไรนะครับ” ฤทธิ์เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าจะเข้าประเด็นเลยดี หรือจะถามไถ่อาการเมื่อครู่ดี แต่ละอันน่าเป็นห่วงทั้งนั้น

          “มะ…ไม่เป็นไรครับ มะ…มีอะไรหรือครับ” สิทธิ์รีบลุกพรวดขึ้นมาทำหน้าขึงขังใส่ แต่ดูเหมือนจะยังเก็บอาการไม่อยู่เท่าไหร่ เลยหลุดความกังวลออกมาให้เห็นเป็นพักๆ

          “ถ้าอย่างนั้น ผมขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะครับ” เมื่ออีกฝ่ายยืนยัน เขาก็ไม่คิดจะรีรอ “ผมว่าคุณสิทธิ์ควรจะจบเรื่องบ้าๆนี่ได้แล้วนะครับ ยิ่งยื้อไว้นานก็เสียเวลาเปล่าๆ หรือถ้าลำบากใจยังไง จะให้ผมจัดการแทนก็ได้”

          สิทธิ์ออกอาการเหวอมาก และจากที่ฤทธิ์คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเถียงอะไรออกมาสักคำ แต่สิ่งที่สิทธิ์ทำคือ หน้าซีด และออกอาการตกใจสุดขีดแทน

          “…เอ่อ…ไม่เป็นอะไรนะครับ” เขาก็ว่าจะไม่ถามแล้วนะ แต่เล่นทำท่าเหมือนโลกกำลังจะแตกแบบนี้ ใครจะอดทนไหว

          “…มะ…ไม่เป็นไรครับ…ผมแค่เพิ่งนึกเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้” สิทธิ์เอ่ยเสียงอ่อย ก่อนจะมองกลับมาด้วยแววตามุ่งมั่นมาก…มากเสียจนฤทธิ์รู้สึกแปลกใจ “แต่เรื่องนี้ ผมจัดการเองได้ พี่ไม่ต้องทำแทนผมหรอกครับ ที่ผมยังไม่ลงมือเพราะมันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”

          “เวลา? เวลาอะไรกันครับ นี่คุณก็ทำกับเดียร์ถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องรออะไรอีกล่ะครับ” เสียงทุ้มร้องขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็เห็นกันอยู่ว่าทั้ง ข่มขู่และลากขึ้นเตียงไปแล้ว แถมยังตั้งสองรอบ แล้วยังจะต้องทำอะไรอีกล่ะ

          “ก็…ผมว่าที่ทำไปมันยังไม่พอนี่…หมายถึง ยังไม่พอที่จะทำให้เดียร์ยอมทำตามที่ผมพูดนะครับ” สิทธิ์รีบพูดต่ออย่างรวดเร็วตอนที่โดนอีกฝ่ายถลึงตาใส่ “พี่ก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือไงว่าเขายังดื้อไม่หยุด เกิดเขาหลุดว่าที่จริง เขากับผมไม่ได้เป็นแฟนกันต่อหน้าไอ้วิน มีหวังทุกอย่างก็เจ๊งเลยนะครับ”

          ฤทธิ์อ้าปากค้าง หมายจะพูดความจริงที่(โดนเดียร์เป่าหู)ว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ เพราะความจริงแล้ว เดียร์เองก็ชอบ(ในความรุนแรงของ)สิทธิ์เหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่า หากพูดออกไป อาจจะทำให้เด็กหนุ่มต้องลำบากไปมากกว่านี้เพียงเพราะความต้องการแก้แค้นของเจ้านาย เขาจึงได้แต่เงียบ

          “ก็ได้ ถ้าคุณสิทธิ์ว่าอย่างนั้น” เมื่อเห็นลูกน้องเอ่ยยอมแพ้ สิทธิ์เกือบจะกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ “แต่ผมบอกไว้เลยว่า ทั้งหมดที่คุณทำลงไป มันมีแต่จะทำให้คุณสิทธิ์เสียใจทีหลัง แค่นั้นล่ะครับ”

          ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก่อนจะจากไป…เขาทำดีที่สุดแล้วนี่…

          สิทธิ์เดินไปดูที่ประตู เมื่อมั่นใจว่าประตูไม่ได้พังอย่างที่คิด ก็ล็อกประตู แล้วถอนหายใจออกยาวเหยียด หากต้องต่อความยาวมากกว่านี้ มีหวังเขาต้องหลุดความในใจออกมาเป็นแน่

          รอเรอะ…อันที่จริงมันไม่มีอะไรต้องรอแล้วหรอก อยากจะไปเย้ยไอ้วินมันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เดียร์แล้ว…

          แต่…ทั้งที่คิดไว้อย่างนั้น! ทั้งที่อยากจะเห็นสีหน้าปานโลกแตกของวินใจจะขาดแท้ๆ! กลับนึกกลัวขึ้นมา….

          กลัวจะไม่มีเวลามาทำเรื่องอย่างว่ากับเดียร์อีก…

          นี่ตูคิดเข้าไปได้ยังไงวะเนี่ย!!!

          เขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักหรอก ว่าสมองมันจะคิดแบบนั้นไปได้ ทั้งแปลกใจ ทั้งอยากจะกระอักต่อความคิดบ้าๆนี่ เพราะฉะนั้น ต่อให้ตายยังไงก็ไม่มีทางบอกความจริงที่น่าอดสูนี่ได้หรอก…แม้ว่าจะรู้สึกข้องใจแทบตายแค่ไหนก็ตาม!!

          “บ้าเอ๊ย” สิทธิ์สบถขึ้นมาอย่างหัวเสีย ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี อยากจะจบเรื่องให้เร็วๆ จะได้ไม่ต้องมาทำเรื่องชวนปวดใจแบบนี้…

          แต่…ถึงจะจบเรื่องแล้ว…อีกฝ่ายคงไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่ทำลงไปหรอก…

          ดวงตาเรียวเพ่งมองไปยังประตูห้องตรงหน้า ก่อนจะเบนกลับมายังบนเตียงแห่งความทรงจำ ภาพของร่างบางที่แสดงอาการเจ็บปวดยังคงสะท้อนออกมาให้เห็น ดวงตากลมที่ฉ่ำด้วยหยาดน้ำใสที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้น…

          ทั้งที่รู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ไม่อาจห้ามความรู้สึกลึกๆในใจที่อยากจะเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าเช่นนั้นอีก เขาถึงรู้สึกอึดอัดและทรมานจนแทบคลั่ง อยากจะหยุดความรู้สึกแปลกๆเช่นนี้เหลือเกิน

          ผมเกลียดคุณ!

          เสียงหวานที่เอ่ยคำพูดนั้น ยังสะท้อนก้องอยู่ภายในใจ และคอยตอกย้ำเขาให้สำนึก ว่าตนไม่มีทางกลับไปยังวันแรกๆที่เจอกับเด็กหนุ่มได้อีกแล้ว…

          ไม่มีวัน!

          เหมือนบางสิ่งบางอย่างในจิตใจมันขาดสะบั้น ใบหน้าที่กลัดกลุ้มและสับสนก่อนหน้ามลายหายไป คงไว้แต่ใบหน้าที่นิ่งแต่กลับดูเหี้ยมเกรียม

          ยังไงซะ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางยกโทษให้อยู่แล้วนี่…ถ้าอย่างนั้น เราก็ทำตามใจตัวเองดีกว่า

 

          ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าพอมีความสุขทีไรแล้วสมองมันจะหยุดคิดทุกที แต่สุดท้ายก็เผลอตัวอยู่ร่ำไป…ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่กำลังจะโดนคุณเจ้านายแสนดีมอบความรักทั้งมือเท้ามาให้ตอนกำลังเครียดๆ เล่นเอาคิดอะไรไม่ออก นอกจากพยายามรับแรงกระแทกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “โว้ยยย” หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งด้วยภาพลักษณ์สุขุมสมกับเป็นประธานตั้งแต่เก้าโมงถึงหกโมงครึ่ง หนุ่มแว่นก็ลุกขึ้นแล้วปัดเอกสารออกจากโต๊ะเสียเละเทะ แล้วเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของชาที่เพิ่งนำเอกสารเข้ามาให้อีกหนึ่งกอง จากนั้นก็ผลักออกไปเสียจนปลิวไปกระแทกกับกำแพง “ไอ้หมาสิทธิ์ อ๊ากกกก”

          และก็ตามด้วยหมัดรัวใส่ชาอย่างกับกำลังชกกระสอบทรายก็ไม่ปาน ส่วนคนโดนกระทำก็ได้แต่ยิ้มโล่งใจเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียดในหัว

          “เป็นอะไรไปหรือครับ” หลังจากวินระบายอารมณ์จนสาแก่ใจ ชาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ทีแรกเขาก็เข้าใจว่าหงุดหงิดที่ไม่ได้เจอเดียร์มาพักใหญ่ แต่เมื่อวานเห็นโทรคุยกับเดียร์ก็ยังร่าเริงอยู่แท้ๆ

          หนุ่มแว่นปรายตามอง ก่อนจะกลับไปกระแทกตัวลงเก้าอี้ “ฉันกำลังคิดว่า ไอ้สิทธิ์ต้องวางแผนชั่วๆเพื่ื่อหาเรื่องเล่นงานฉันอยู่แน่ๆ"

          ชาถึงกับสะดุ้ง เพราะความจริงมันเลยคำว่าวางแผนไปไกลโขแล้ว “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”

          “ก็เพราะฉันไม่เห็นมันมาที่ผับของมีนมาสองอาทิตย์แล้วน่ะสิ!” หมัดหนาทุบลงโต๊ะดังโครม ซึ่งโชคดีที่คุณประธานรู้จักเวลาพอที่จะใช้กำลังกับเขาตอนที่พนักงานกลับบ้านกันหมดแล้ว “ที่ผ่านมา มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ยกเว้นว่าจะมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีเหตุที่ว่านั่นให้ฉันได้ยินซักนิด ลูกน้องหรือญาติมันก็ไม่มีใครอยู่โรงพยาบาลซักคน แถมตอนนี้เห็นว่าให้อาวัฒน์ทำหน้าที่เป็นประธานแทนมันอยู่ด้วยนี่ พอถามว่ามันไปไหน ทางโน้นเขาก็อ้อมๆแอ้มๆไม่ยอมตอบกัน แล้วแกจะให้ฉันคิดยังไงวะ”

          เพิ่งจะมีครั้งนี้นี่แหละ ที่ชารู้สึกว่าการที่เจ้านายสนิทสนมกับลูกน้องของอีกฝ่ายเป็นมหันตภัยอย่างใหญ่หลวง

          "เขา…อาจจะไปพักร้อนก็ได้นี่ครับ…”

          “พักร้อนแล้วพวกมีนไม่กล้าตอบเรอะ ก่อนหน้านั้นตอนมันไปเที่ยวเวียดนาม มีนยังบอกเลย แถมหลังจากเที่ยว อาวัฒน์กับป้านางยังเล่าให้ฟังเลยว่ามันไปเที่ยวตรงไหนบ้าง แถมอาวัฒน์ยังซื้อของฝากมาให้ฉันอีกต่างหาก”

          เอาเถอะ…ก่อนหน้านั้นทางนี้เองก็ซื้อของฝากแจกฝั่งโน้นเหมือนกัน…จะไปตำหนิอะไรได้

          “เพราะงั้น ฉันมั่นใจ ว่ามันต้องวางแผนชั่วอะไรอยู่แน่” หลังจากออกอาการกระฟัดกระเฟียด ก็เปลี่ยนเป็นกังวลทันควัน “บ้าเอ๊ย แม่ก็จะเกลียดอะไรเดียร์นักหนาก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องกลุ้มให้เสียเวลาแบบนี้หรอก…ป่านนี้คงได้ไปเช็คดูเรียบร้อยแล้ว ว่าเดียร์ยังอยู่ดีไม่โดนไอ้หอยดองนั่นมันรังควานน่ะ”

          เอาจริงๆนะครับ…คนที่มีปัญหาตอนนี้น่าจะเป็นไอ้หอยดองที่ว่ามากกว่า…

          “แต่คุณก็โทรไปหาคุณเดียร์เกือบทุกวันนี่ครับ ถ้ามีปัญหาอะไร คุณเดียร์เขาก็คงบอกคุณอยู่แล้ว” ชาพยายามกล่อม แม้ใจจริงจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันรังแต่จะทำให้เรื่องราวมันช้าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แต่ถ้าเลือกได้ เขาไม่อยากเห็นวินอยู่ในสภาพเหมือนผีตายซากน่ะสิ

          แต่เขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด…และไม่รู้ว่าถ้าลองร้องไห้อีกหน คุณเจ้านายจะยอมเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่านี่สิ แถมเวลาโดนกอดยังรู้สึกประหลาดชอบกลอีก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบหรอกนะ…

          วินยืนนิ่งไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิดในเรื่องที่คิดไม่ตก จากนั้นก็กัดฟันกรอด ขยี้หัวตัวเองเหมือนคนบ้า ทุบโต๊ะไปสองสามที จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา

          “เดียร์ คุยได้หรือเปล่า…อ๋อ เปล่าหรอก พี่ก็แค่เป็นห่วงเราน่ะ ช่วงนี้สบายดีใช่ไหม…หรือ…อย่างนั้นหรือ…ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว…หืม...ก็อยู่ตรงนี้นั่นล่ะ มีอะไรหรือ…ได้”

          ชาสะดุ้งเมื่ออยู่ๆคุณชายก็ยื่นโทรศัพท์ให้ตรงหน้าตนด้วยอาการเหมือนอยากกระโดดถีบตน ซึ่งสาเหตุเขาแทบไม่ต้องนึกสงสัยด้วยซ้ำ

          “…ฮัลโหลครับ…” ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หูโทรศัพท์ด่าทอสารพัดเท่าที่จะนึกออกให้รู้แล้วรู้รอด จนปลอดโปร่งหัวใจแล้ว ถ้าไม่ติดว่าวินยืนอยู่ล่ะก็นะ

          “ผมล่ะนับถือจริงๆเลยนะครับ ไม่คิดว่าคุณจะกล่อมให้พี่ยอมทำตามคุณได้นานขนาดนี้”

          คนฟังก็ได้แต่กำมืออีกข้างแบบไม่ให้หนุ่มแว่นเห็น แม้อันที่จริงอยากจะบี้โทรศัพท์ให้แหลกเละมากแค่ไหนก็ตาม

          “คุณชาน่าจะรู้เรื่องที่มีคนแปลกหน้าเอาจดหมายมาให้ผมแล้วสินะครับ” เสียงหวานพูดต่ออย่างระรื่น

          “…ครับ แต่ไม่เยอะหรอกครับ” ชาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงและใช้คำพูดที่กำกวมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาโดนวินถามว่าคุยอะไรจะได้โกหกไม่ยาก “ทำไมหรือครับ”

          “ผมอยากจะให้คุณเตรียมใจ ว่าอีกไม่นาน เรื่องที่คุณไม่อยากจะให้มันเกิด กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ น่ะครับ แค่นี้แหละ บ๊ายบาย”

          แล้วมันก็วางหูใส่ด้วยความไวแสง ปล่อยให้เขาได้แต่ระงับอารมณ์แทบบ้า

          “เดียร์คุยอะไรกับนาย”

          ถึงจะหงุดหงิดที่ไอ้เด็กผีนั่นวางแผนรับมือได้เสียทุกอย่าง อีกทั้งยังคาใจกับคำพูดเมื่อครู่มาก แต่พอต้องมาเก็บอารมณ์ต่อหน้าวิน ไอ้ความหงุดหงิดเมื่อครู่ถึงกับปลิวหายกับสายลมทันที

          “…เขาแค่ถามว่าช่วงนี้คุณงานเยอะหรือเปล่า เขาแค่เป็นห่วงน่ะครับ” ชายิ้มตอบอย่างลืมตัว และลืมเรื่องที่โกรธเดียร์ไปเสียสนิท

          “ถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง ทำไมเขาไม่ถามฉันเลยล่ะ จะถามนายทำซากอะไร”

          “ก็เขาคิดว่าคุณอาจจะปิดบังไว้ไม่ให้เขาห่วง เลยมาถามผมไงครับ” ถ้าเป็นเรื่องการแสดงความรักของน้องต่อพี่ ต่อให้ติดใจสงสัยอะไรพ่อคุณก็ปล่อยทิ้งได้หมด

          วินบึ้งหน้าให้ ก่อนจะคว้ามือถือของตนกลับมา “ถ้าไม่ติดเรื่องแม่ ฉันจะไปหาเดียร์ทุกวันเลย”

          โอ๊ย อย่าไปเลยครับ เขาเองก็รำคาญคุณจะแย่…อยากจะบอกความจริงเหลือเกิน แต่เดี๋ยวคุณจิตตกแน่ๆ ผมไม่เอาด้วยหรอก

          “หมดเรื่องแล้วก็ไปทำงานต่อเถอะ”

          หนุ่มแว่นโบกมือด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกลับไปยังโต๊ะทำงาน ส่วนชาเองก็เช่นกัน…

          และหนุ่มหน้านิ่งก็กลับมากลัดกลุ้มกับข้อความชวนหงุดหงิดปนสงสัยของเดียร์อีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่…อันที่จริงก็รู้อยู่หรอก แต่ปัญหาคือ อย่างไรนี่แหละ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องลงมือจริงๆ เขากลับรู้สึกกลัว

          ไม่อยากเห็นเลย…ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆหรือ…ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ…
         
          “เฮ้!!”

          ชาสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงดังเข้าตรงหน้า และก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ในห้องประธานดันมาอยู่ตรงหน้า…ด้วยระยะที่ห่างกับใบหน้าของเขาเพียงไม่ถึงยี่สิบเซ็น

          “เฮ้ย!!” วินร้องอีกครั้งเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายกระโจนออกจากเก้าอี้ และถอยไปชนกับชั้นวางแฟ้มข้างหลังเข้าโครมใหญ่ “ระวัง!”

          เสียงอึกทึกดังลั่น ทีแรกชาคิดว่าชั้นคงจะหล่นมาทับเขาแล้ว แต่สิ่งที่ทับมากลับนิ่มๆปนแข็งๆ ไม่เหมือนโลหะแข็งๆเลยสักนิด

          “….คุณวิน?”

          เขายอมรับอยู่หรอก ว่าตนเหม่อจนประมาท แต่ไอ้เรื่องโดนเจ้านายมาช่วยรับแรงกระแทกจากตู้แทนแบบนี้ โคตรจะอยู่เหนือความคาดหมายของเขาสุดๆ....แน่ล่ะ ปกติทุบตีเขาทุกเช้าเย็นเป็นงานอดิเรก ใครจะไปคิดว่าจะยอมพลีชีพปกป้องตนกัน

          “เป็นอะไรหรือเปล่า”

          แถมยังไถ่ถามอาการอีกต่างหาก บอกตรงๆ เขารู้สึกขนลุกมากกว่าประทับใจเยอะ

          “…คิดว่าไม่น่าจะเป็นนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นไหวคล้ายกับจะร้องไห้…ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเรื่องโดนตู้ล้มทับแน่นอน “คุณมากกว่า…ที่เป็น…เป็นแน่ๆเลยใช่ไหมครับ…โดนตู้กระแทกหัวใช่ไหมครับ”

          “พูดงี้หมายความว่าไงวะ มันใช่เวลามายั่วโมโหฉันรึไง” วินกระแทกเสียงใส่ “หุบปากแล้วช่วยดันตู้เข้าสักทีสิว้อย อยากจะอยู่แบบนี้รึไง หนักจะแย่อยู่แล้ว”

          แหม ก็น่าสนเอาเรื่องอยู่นะครับ คิดดูสิครับ ต้องโดนกดทับโดยมีคุณอยู่ระหว่างกลางแบบนี้ ผมสุดแสนจะสุขใจหาใดเทียม

          ชายิ้มบางๆก่อนจะทำตามอย่างว่าง่ายแม้จะแอบเสียดายอยู่นิดๆ พอวินหลุดออกจากใต้ตู้ ชายหนุ่มก็ช่วยยกตู้แสนหนักกลับเข้าที่ขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยตัวคนเดียว ส่วนลูกน้องที่ลุกขึ้นมาทีหลังก็ได้แต่ยืนมอง และยังคงข้องใจไม่หาย

          “อะไร” พอโดนมองด้วยสายตาประดุจคนที่เพิ่งได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของชา วินก็อดฉุนไม่ได้

          “ผมก็แค่แปลกใจ…ก็ปกติคุณชอบทำร้ายผมนี่ครับ นึกยังไงกลับมาช่วยผมแทนล่ะครับ คุณจะปล่อยให้ตู้ล้มทับผมก็ได้นี่ ให้เจ้านายอย่างคุณมาเจ็บเพราะผมแล้วมันแปลกๆน่ะครับ” ถึงอันที่จริงแล้วผมยินดีมากกว่าถ้าได้รับความเสียหายเต็มๆก็เถอะครับ

          วินทำหน้าเหมือนคิดไม่ตกอยู่ครู่ใหญ่ และอยู่ๆก็พุ่งมือเข้ามากระแทกใส่หน้าผากชาเต็มรัก

          “ฉันลืมตัว ผิดหรือไง” หนุ่มแว่นว้ากใส่ “ก็เรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหันขนาดนั้น ฉันก็ตกใจ เลยเผลอออกไปช่วยต่างหาก มันก็เป็นเรื่องปกตินี่นา ฉันไม่ใช่คนใจร้ายที่จะเที่ยวยืนมองลูกน้องตัวเองโดนตู้ทับตายไปต่อหน้าได้นะโว้ย”

          ถ้าเป็นคนอื่นที่หวังอยากเป็นคนพิเศษกว่าใครเขา ฟังแล้วมันก็ชวนสลดอยู่หรอก…แต่ถึงจะสลดก็อดไม่ได้ที่จะสุขใจไปกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเกินเลยนี้เสียจริงๆ

          “และที่สำคัญ นายไม่มีสิทธิ์เจ็บ ถ้าฉันไม่ต้องการ เข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้วก็เก็บเอกสารพวกนี้ให้เสร็จด้วย ฉันไปทำงานต่อล่ะ แล้วอย่าเหม่ออีกนะโว้ย คราวนี้ฉันจะตบกะโหลกให้คว่ำเลย”

          ว่าจบก็หยิบเอกสารที่ต้องการบนโต๊ะแล้วกลับเข้าห้องประธานไป ปล่อยให้คุณเลขาได้แต่ยืนประมวลผลกับคำพูดเมื่อครู่เพียงคนเดียว

          “อึก…”

          ชาทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น คำพูดที่ฟังดูเผินๆเหมือนว่าวินเผด็จการถึงชีวิตของตน มันช่างชวนให้ใจหวั่นไหวจนยืนไม่อยู่

          ผมน่ะพยายามอดทนเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่คิดหวังอะไรให้มากอยู่นะครับ เล่นมาพูดแบบนี้แล้วผมจะทนไหวได้ยังไงกันล่ะ…

          ผมน่ะ…อยากเป็นคนพิเศษของคุณนะ…อยากเป็นคนเดียวที่คุณคิดถึง…อยากโดนคุณมองด้วยสายตาเหยียดหยามคั่งแค้น…อยากโดนคุณทำร้ายให้บอบช้ำไม่ว่าจะด้วยทางกายหรือคำพูด…มีแค่คุณเท่านั้นที่ผมต้องการ…

          …ทั้งอย่างนั้นคุณกลับเอาแต่ตามก้นไอ้น้องชายวายร้ายนั่นอยู่ได้…โอ๊ยเจ็บ แต่มีความสุข…ไม่สิ…นั่นไม่ใช่ประเด็น…ที่สำคัญคือในฐานะคนคุ้มกันคุณและผมก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายคุณด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย…

          …แต่ถ้ามัวแต่กลัวแล้วเมื่อไหร่เรื่องมันจะจบกัน…

          และเราก็ไม่มีเวลาให้กลัวแล้วด้วย!

          ปัง

          วินสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆเลขาก็ผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทีแรกเขาก็คิดว่างานพลาดหรืออะไรสักอย่าง แต่อยู่ๆคนใต้อาณัติกลับเพียงแค่เข้ามาวางมือบนโต๊ะ และจ้อง…หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ สำรวจเสียมากกว่า

          “อะไรวะเฮ้ย!!” เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ทำอะไรเลยนอกจากจ้อง จนวินรู้สึกอึดอัดทนไม่ไหว หนุ่มแว่นจึงลุกขึ้นและเสยคางอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง

          “คุณวิน ชกผมอีกได้ไหมครับ”

          จากที่ว่ากำลังจะประเคนใส่เขาอีกหมัดพลันต้องหยุดชะงักเพราะคำขอพิลึกนั่น หนุ่มแว่นนิ่วหน้าค้างหมัดไว้ก่อนจะถึงแก้มชา

          “ช่วยชกผมทีครับ ได้โปรด” นี่เป็นคำที่ชาอยากจะพูดมานานแสนนาน หากแต่ไม่กล้าเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้มาไม่ใช่สิ่งที่ขอแน่ แต่เป็นใบหน้าเหวอๆของวินที่กำลังแสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้นี่ล่ะ “มีแต่คุณเท่านั้นที่จะช่วยผมได้”

          ได้ยินอย่างนั้นแล้ววินยิ่งทำหน้าเหวอหนักกว่าเก่า “นี่ฉันระบายอารมณ์ใส่นายมากไปจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ…”

          “เปล่านะครับ…คือตอนนี้ผมกำลังกลุ้มมากๆ….ลองมันทุกอย่างแล้ว…แต่ก็คิดอะไรไม่ออก…” ชาพยายามหาเหตุผลที่มันดูเข้าทีที่สุด…ซึ่งเขาก็กำลังกลุ้มจริงๆนั่นล่ะ “ผมก็แค่คิดว่าถ้าโดนคุณชกสักทีสองที มันอาจจะช่วยให้ผมคิดอะไรออกขึ้นมา…”

          แต่กระนั้นพ่อคุณชายแสนดีกลับทำแค่ใบ้กิน เขาก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าวินจะนึกลังเล คนปกติคงไม่ยินดีกับการทำตามคำขอประหลาดนี่ให้ทันทีหรอก

          วินยืนมองด้วยใบหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความกังขา ชายหนุ่มเดินเก้ๆกังๆไปยังตรงหน้าของชา แล้วยกมือขึ้น

          “ต้องสุดแรงหรือเปล่า”

          ปกติคุณก็แทบจะทุ่มกำลังทั้งหมดใส่ผมอยู่แล้วนี่ครับ มาตอนนี้จะถามผมด้วยความเป็นห่วงทำไมล่ะ

          “ถ้ารู้ว่าคุณป๊อดนัก ผมไม่น่าเสียเวลามาขอคุณเลย…”

          นั่นล่ะครับ ไอ้ที่ซัดเข้ามาเต็มลิ้นปี่ผมนั่นล่ะครับ เจ็บได้ใจผมจริงๆ

          “แกว่าใครป๊อดวะ ไอ้ตี๋หน้าตายนี่” แน่นอนว่าหมัดเดียวไม่เคยพอ ต้องแถมด้วยเตะ ศอก เข่า เอาให้ครบทุกกระบวนท่าและวิทยายุทธ “ไง โล่งเลยมั้ย หรือยังไม่พอ ฉันจะได้จัดให้อีกรอบ”

          และก็ลงมือโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้อ้าปากขออีกรอบ ด้วยเหตุผลสั้นๆง่ายๆว่า หน้าชากวนอารมณ์เขา

          เนื่องจากออกแรงจนเกินตัว วินเลยหอบอยู่นานกว่าที่เรี่ยวแรงจะกลับมาเป็นปกติ ดวงตาคมมองเจ้าคนที่ยังคงทำหน้าเปี่ยมสุขจนดูไม่เหมือนคนกำลังกลุ้มใจที่นั่งพิงกำแพง ถ้าทำได้ก็อยากจะกระทืบอีกสักรอบ เสียแต่ถ้าลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้ เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียก่อน และเขาเองก็ซัดจนเหนื่อยแล้วด้วย

          “ขอบคุณมากครับ” นอกจากจะไม่ออกอาการเจ็บปวด ยังลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าสดใสสุดๆอย่างที่คนเพิ่งโดนซ้อมไม่น่าจะทำได้ “ผมโล่งขึ้นแล้วล่ะครับ”

          หนุ่มแว่นเบิกตามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะแบะปากกลับมาเหมือนเดิม และตบท้ายด้วยการทุบไหล่

          “ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาทำหน้าเหี่ยวแอบถอนใจอีก”

          ชากระตุกเล็กน้อย เขาว่าตนก็ทำตัวตามปกติแล้วนะ “รู้…ด้วยหรือครับ…”

          “ทำไมจะไม่รู้ ก็เห็นหน้าเป็นชวนกวนโมโหของแกอยู่ทุกวัน ฉันก็ต้องแยกออกอยู่แล้วว่าวันไหนแกกวนฉันเป็นปกติ หรือมีอะไรปิดบังอยู่”

          เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มันจุกขึ้นมาคืออะไรกันแน่ เพราะปกติสุขใจกับการโดนด่า เลยลืมวิถีชีวิตของปุถุชนคนธรรมดาเสียสนิท จะว่าชอบก็เหมือนจะชอบ แต่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงเพราะไม่คุ้นเคยชอบกล ถ้าให้เลือก ขอโดนด่าประชดประชันใส่ยังจะรื่นหูกว่า

          “ไม่ยักรู้ว่าคุณรู้ใจผมขนาดนี้เลยนะครับ ผมล่ะซาบซึ้งจริงๆ” แต่ก็พูดออกไปตามที่คนทั่วไปน่าจะพูด และกวนเสริมตามประสา ซึ่งแน่นอนว่าก็โดนถองกลับอย่างที่มักเป็น

          “ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าโล่งแล้วก็รีบๆกลับไปทำงานได้แล้ว” วินโบกมือไล่อย่างรำคาญเต็มทน

          “อ้อ ยังมีอีกเรื่องครับ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมกะว่าจะลองหาทางให้คุณได้พบกับคุณเดียร์โดยที่ไม่ให้คุณมาริสารู้…”

          “ได้เหรอ ดีเลย ได้เมื่อไหร่บอกทันทีเลยนะ” วินตอบออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจบ สีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่หายวับจนเหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก ก่อนที่ดวงตาคมจะฉายความระแวง “นายไม่ได้วางแผนอะไรใช่ไหม เห็นก่อนหน้านั้นห้ามฉันจะเป็นจะตาย พอคราวนี้กลับเสนอจะให้ฉันไปเจอเฉย”

          “ผมก็แค่กลัวคุณจะขาดใจตายเสียก่อนน่ะครับ” อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ ผมเห็นอาการเหมือนผีตายซากที่หลุดออกมาเป็นพักๆแล้วผมโคตรเป็นห่วงบวกหงุดหงิดมากๆเลยล่ะครับ “เดี๋ยวมันจะเสียถึงงานด้วย มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะครับ”

          หนุ่มแว่นเพียงแต่นิ่วหน้ามอง ก่อนจะสะบัดเสียงใส่ “น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว รู้งี้ ฉันซัดแกให้เต็มเหนี่ยวดีกว่า ไม่น่าเสียเวลาเป็นห่วงแกเลย”

          นี่คือเหตุผลที่พักนี้คุณไม่ค่อยจะลงไม้ลงมือกับผมอย่างนั้นหรือครับ…ท่าทางผมคงต้องไปฝึกทำหน้าให้นิ่งกว่านี้แล้วล่ะ…

          “ว่าแต่ พูดจริงหรือเปล่าเรื่องเดียร์ ถ้าพลิกลิ้น นายโดนกระทืบไส้ปลิ้นแน่” เสียงทุ้มข่มขู่ด้วยคำพูดเกินจริง

          “พูดจริงสิครับ ผมไม่เคยโกหกคุณหรอกครับ”

          สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเสียงพ่นลมในลำคอ ก่อนจะโดนไล่ออกจากห้อง

          ชากลับมาทำหน้าเครียดอีกครั้ง เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ทำลงไปจะดีหรือเปล่า แต่ถึงเขาไม่ทำ เจ้าเด็กหน้าหวานนั่นกับธานินทร์ก็ไม่คิดจะรอให้เขาได้ทำใจนักหรอก สู้เป็นฝ่ายตัดสินใจเองยังจะดีเสียกว่า

          อะไรจะเกิดก็คงต้องให้มันเกิดแล้วล่ะนะ…


_____________________________________________________

เนื่องจากเพจมีคนไลค์เกิน250 เลยอยากจะจัดกิจกรรมแจกอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามีคนสนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจยังไงโพสลงชื่อไว้ที่นี่หรือจะไปกดไลค์ไว้ตรงโพสปักหมุดก็ได้นะงับ

ถ้าเกินสิบคนก็เล่นเลย XD
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 25 (12/1/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: PoP~Pu ที่ 13-01-2014 01:00:15
"นายไม่มีสิทธิ์เจ็บ ถ้าฉันไม่ต้องการ" กรี๊ดกับประโยคนี้ อร๊ายยย :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 25 (12/1/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-01-2014 10:21:33
กำลังจะได้เรื่องแล้ว มาต่อเร็วๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 26 (10/2/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 10-02-2014 21:06:52
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 26
         
          จริงอยู่ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน และตัวก้องเองก็ได้เตรียมการตามที่คุณชายหน้าหวานสั่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ที่มันอยู่เหนือความคาดหมายก็คือเจ้านายของตัวเองนี่แหละ อย่าว่าแต่เขาเลย ฤทธิ์เองก็ยังแปลกใจกับพฤติกรรมของสิทธิ์เหมือนกัน

          สิทธิ์ตื่นเช้า…

          ฟังแล้วมันก็เหมือนเป็นพฤติกรรมสามัญที่ชาวบ้านทั่วไปพึงกระทำอยู่หรอก เพียงแต่ปกติคุณชายเขาไม่เคยตื่นก่อนเที่ยงเลย หากไม่มีงานเร่งด่วนจริงๆ ซึ่งตอนนี้สิทธิ์เองก็ทำเรื่องขอพักร้อนยาวแบบไม่มีกำหนดแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ไอ้การที่ชายหนุ่มตื่นก่อนเจ็ดโมงครึ่ง แถมยังอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมกับลงมานั่งอยู่บนโต๊ะรออาหารเช้าแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่ประหลาดเป็นที่สุด

          “…นี่ฉันง่วงจนเบลอ…ใช่ไหม” ฤทธิ์กระซิบถามหนุ่มแว่นด้วยอาการผวาสุดขีด “หรือฉันกำลังฝันอยู่”

          “จูบฉันสิ จะได้รู้ว่าฝันอยู่หรือเปล่า” ก้องเอ่ยโดยที่ไม่ได้มองคู่สนทนา และก็ได้รับศอกถองเข้าลิ้นปี่เสียเต็มรัก

          “อ้าว พี่ฤทธิ์ยังไม่นอนอีกหรือครับ” ก่อนที่หนุ่มตาตกจะเดินเข้าไปหมายจะทักถามถึงความผิดปกติ สิทธิ์ก็ชิงทักกลับเสียก่อน ด้วยสีหน้าสดใสเสียจนชวนสยอง “วันนี้อากาศดีนะครับ”

          จริงๆช่วงนี้มันก็อากาศดีทุกวันอยู่นะครับ…แต่ผมชักรู้สึกว่า เดี๋ยวอากาศวันนี้มันน่าจะไม่ดีแล้วมั้ง ดูจากท่าทางพิลึกของคุณนั่นล่ะ

          “วันนี้มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ ตื่นเสียเช้าเชียว” ฤทธิ์พยายามเมินท่าทีสดใสเกินเหตุของเจ้านายแล้วเอ่ยทักด้วยอาการปกติ เผื่อว่าความจริงอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่พวกเขากังวลก็ได้

          แต่ไอ้สีหน้ายิ้มค้างนั่น…เห็นแล้วยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่

          “อะ…อะไรกันครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่นอนเร็วตื่นเช้า ก็แค่นั้นเองครับ” แถมเสียงยังสั่นอีกต่างหาก บ่งบอกถึงความผิดปกติสุดๆ “ไม่มี้”

          ยิ่งเน้นยิ่งน่าสงสัยสุดๆ

          “ว่าแต่ วันนี้พี่ก้องทำอะไรหรือครับ กลิ่นหอมดีจัง” สิทธิ์เปลี่ยนเรื่องด้วยการถามหาของกิน

          “…ข้าวต้มกุ้งครับ รับเลยไหมครับ”

          “อ้อ ผมไม่รีบครับ รอให้สมาชิกในบ้านอยู่กันครบก่อนดีกว่าครับ” ว่าจบก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่เหน็บไว้ในกระเป๋าหลังขึ้นมาอ่านทันที

          ทั้งสองเริ่มพอจะรู้เลาๆแล้วว่าความผิดปกติของเจ้านายมีสาเหตุมาจากอะไร

          “เฮ้ยๆ แบบนี้ท่าทางจะแย่แล้วมั้ง เอาไงดีเนี่ย” ฤทธิ์ออกอาการตื่นตระหนก ในขณะที่ก้องทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาสุดๆ

          “…นายไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หนุ่มแว่นเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูสุขุมเป็นที่สุด “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          ไม่รู้เป็นเพราะง่วงจนไม่อยากเอาภาระมาใส่หัวเพิ่ม หรือเพราะน้ำเสียงทุ่มลุ่มลึก กับท่าทีที่เยือกเย็นของก้องหรือเปล่า ฟังแล้วรู้สึกพึ่งพาได้อย่างน่าประหลาด แถมยังทำให้ใจระส่ำผิดเวลาอีกต่างหาก

          ก้องรอจนกระทั่งฤทธิ์หายขึ้นไปด้านบนจนได้ยินเสียงปิดประตู หนุ่มแว่นก็หายใจเข้าออกลึกๆอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทำใจต่อสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้ จากนั้นก็เดินไปหยิบนมในตู้เย็นมาใส่แก้ว แล้วยกมาให้คนที่กำลังนั่งหน้านิ่งจ้องหนังสือพิมพ์ หนุ่มแว่นหรี่ตา เม้มปากคล้ายไม่อยากจะถาม แต่สุดท้ายก็ฝืนใจเอ่ยออกไป

          “จริงสิครับคุณสิทธิ์ ฤทธิ์ได้บอกเรื่องเมื่อวันก่อนหรือเปล่าครับ”

          ชายหนุ่มเงยหน้ามองแล้วมุ่นคิ้วให้เป็นเชิงถาม

          “…ที่จริง มีพวกที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาจะทำร้ายเดียร์น่ะครับ…”

          จบประโยค คนฟังถึงกับลุกขึ้นอย่างลืมตัว สีหน้าออกอาการเป็นห่วงมาก

          “แต่ก็ปลอดภัยอย่างที่เห็น ไม่มีอะไรที่คุณสิทธิ์ต้องกังวลหรอกครับ เพียงแต่ผมคิดว่าควรจะรายงานให้คุณรู้เอาไว้น่ะครับ” ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก้องกลับออกอาการเคร่งเครียด

          “แล้ว…ได้ถามเดียร์หรือเปล่าว่าพอจะรู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร”

          ก้องยิ่งทำหน้าเครียดหนักเข้าไปอีก “ถามแล้วครับ แต่เดียร์เองก็ไม่รู้…ผมก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะกลับมาอีกหรือเปล่านะครับ…แต่ก็ช่างมันเถอะ…”

          “ช่างได้ไงล่ะครับ เกิดเดียร์เป็นอะไรเข้าก็แย่สิ!” เสียงทุ้มดังลั่น ก่อนที่สิทธิ์จะชะงัก “ถะ…ถ้าเกิดเดียร์ไม่อยู่ ก็เสียแผนเอาน่ะสิครับ…ผม…ผมเปล่าคิดอย่างอื่นนะครับ”

          “ครับ…ถ้าอย่างนั้นจะเอายังไงหรือครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปเดี๋ยวผมจะไปส่งเดียร์เอง”

          “ให้ฤทธิ์ก็ได้นี่ครับ เพราะให้คุณไปส่ง ไม่ผมหรือฤทธิ์ก็ต้องตามไปคุ้มกันคุณด้วยอยู่ดี”

          “ก็เผื่อว่าผม…ผมอาจจะรู้จักพวกที่มาหาเรื่องเดียร์ไงครับ เอาน่า เอาตามนี้ละกันนะครับ” หลังจากออกอาการคิดไม่ตกอยู่นานก็พ่นพรวดใส่อย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มกระอั่กกระอ่วน

          ที่จริง ก้องก็โดนใบสั่งจากเบื้องบนมาแล้วล่ะ ว่าต้องกล่อมให้สิทธิ์ตั้งใจไปส่งเดียร์ในวันนี้ให้ได้ แต่เหตุผลที่เดียร์จะให้บอกสิทธิ์คือ เรื่องที่ว่าวันนี้วินจะมาหาที่ร้านต่างหาก

          แต่เพราะความข้องใจในท่าทีของเจ้านาย ถ้าแค่กักตัวไว้ทำตามแผน ทำไมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนเห็นเดียร์เดินกับฤทธิ์ หรือตอนที่ได้รับจดหมายรักจอมปลอมนั่น หนุ่มแว่นเลยลองเชิงเพราะอยากจะแน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิด

          “คุณสิทธิ์ชอบเดียร์หรือเปล่าครับ”

          “ไม่!!!”

          คนฟังแก้วหูเกือบแตกเลยทีเดียว

          “ทำไมผมต้องชอบคนพรรค์นั้นด้วย ที่สำคัญหมอนั่นเป็นน้องไอ้แว่นนั่น ผมไม่มีทางรักมันเด็ดขาด ไม่มี…ไม่มีเลยยย ไม่มี”

          ตึก

          ก้องกะพริบตามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า รู้สึกเหมือนฉากละครหลังข่าวมันหลุดออกมาจากทีวีก็มิปาน

สิทธิ์หน้าซีดเมื่อได้ยินเสียงจากบันได และก็ออกอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างบางที่ยืนอยู่ และมีสีหน้าไม่ต่างกับตน

          “มะ…” ก่อนที่จะได้พูดออกไปว่า ‘ไม่ใช่นะ’ ชายหนุ่มก็สำเหนียกขึ้นได้เสียก่อน ในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย แล้วจะปฏิเสธไปทำไม ร่างสูงจึงทำหน้านิ่ง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาได้สักที”

          เดียร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าหวานบ่ายหนีไปอีกทาง ร่างที่สั่นระริกค่อยๆเดินลงมาทีละน้อย และผ่านสิทธิ์ตรงไปยังโต๊ะอาหาร ทำท่าราวกับเหมือนมีสิ่งที่อยากจะพูด แต่เพราะได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เลยเสียใจจนพูดไม่ออก และยิ่งโดนสิทธิ์ทำเย็นชาใส่ เลยได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่อาจต่อต้านอะไรได้

          แน่นอนว่าก้องรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เด็กบ้านั่นมันได้ยินทุกคำที่สิทธิ์พูดอยู่แล้ว ก็ตำแหน่งที่เขายืนอยู่หันหน้าไปทางบันไดนี่ เพราะฉะนั้น เขาจึงเห็นหน้าปลาบปลื้มจนชวนสยองของเดียร์อย่างเต็มตา ก่อนที่มันจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่อสิทธิ์จะหันไปหา

          สิทธิ์ออกอาการสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตีหน้าขรึม แล้วตามกลับไปนั่งที่ของตน ทำเอาคนที่นั่งก่อนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เดียร์จะหันหน้าหนี

          “ทำไม รังเกียจจนไม่อยากจะมองหน้าเลยหรือไง หือ” เสียงทุ้มเยาะใส่ และเมื่ออีกฝ่ายยังคงทำเมิน ชายหนุ่มก็รุกคืบต่อด้วยความต้องการจะเอาชนะ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่อยากมอง แต่เดี๋ยวคืนนี้ ไม่อยากมองก็ต้องมอง”

          ซึ่งได้ผล ใบหน้าบึ้งขึ้งเครียดตวัดหันมาหา ดวงตากลมใสดูคล้ายกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลุบลงต่ำ “คุณ…มันทุเรศที่สุด…”

          สิทธิ์เพียงแต่ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ และก่อนที่จะต่อปากต่อคำ ก้องก็ยกข้าวต้มออกมาเสียก่อน เลยต้องเก็บคำพูดลงคอด้วยความเสียดาย

          “ให้ผมไปสตาร์ทรถรอเลยไหมครับ” เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก บวกกับมองชามข้าวต้มของเดียร์ที่กำลังจะหมด ก้องก็เอ่ยถามขึ้น

          “ดีเลยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” เสียงทุ้มเยาะขึ้นอย่างมีเลศนัย หากแต่คนที่นั่งฟังอีกคนรู้หมดพุงตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว “รีบๆกินเข้าสิ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้”

          “…ผมไปเองได้” เสียงหวานพยายามสั่นให้ดูเหมือนกลัว…แม้ที่จริงจะปลาบปลื้มใจจะขาดเมื่อได้ฟังเสียงทุ้มเอ่ยด้วยอารมณ์ดูถูกดูแคลนใส่ก็ตาม…อา…มันช่างบาดหูกระทบถึงใจเป็นอย่างยิ่ง…

          “ถ้าฉันจะไปส่งแล้วจะทำไม” สิทธิ์สวนกลับ “หรือนัดผัวเก่าคนไหนไว้ล่ะ ถึงไม่อยากให้ฉันไปเจอ”

          คิ้วบางมุ่นเข้าหาเล็กน้อย เอ่ยคำที่เขาคิดว่าคนทั่วไปน่าจะเอ่ยเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ “ถึงไม่ได้นัดผมก็ไม่อยากจะนั่งรถคันเดียวกับคุณ”

          “แล้วไง ถ้าฉันอยากจะให้นั่ง เธอก็ต้องนั่ง หรือลืมข้อตกลงของเราไปแล้ว” สิทธิ์ขู่เสียงเหี้ยม “จะไม่ทำตามฉันก็ไม่ว่านะ”

          ใบหน้าหวานบึ้งตึงใส่ ก่อนจะหลบสายตาโดยไม่พูดอะไร ร่างบางลุกพรวดขึ้น ยืนนิ่งอยู่นาน กว่าจะเอ่ยออกมา “ผมจะไปรอที่รถ”

          ดวงตาเรียวปรายตามองร่างที่วิ่งตัวปลิวออกไปนอกบ้าน ชายหนุ่มเหยียดยิ้มออกมาและหัวเราะในลำคอ ก่อนจะลุกตามออกไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้คนที่วิ่งออกไปก่อนก็มีสีหน้าไม่ต่างจากตนเลยสักนิดเดียว

          และคนที่ตามไปทีหลังสุดก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้องแทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้าสิทธิ์รู้ความจริงขึ้นมาแล้วจะรู้สึกยังไง

 

          “หา หมายความว่าไง ที่ว่าเดียร์ย้ายออกไปแล้ว เมื่อไหร่”

          เสียงทุ้มดังลั่นไปทั่วห้องประชาสัมพันธ์ใต้ตึกอพาร์ทเม้นท์ จนคนที่อยู่แถวนั้นพากันมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว และแน่นอนว่าเจ้าตัวก็ไม่คิดใส่ใจแม้แต่น้อย

          “คะ…ค่ะ ออกไปแล้ว…เอ่อ…รู้สึกจะเมื่อเกือบสามอาทิตย์ก่อนน่ะค่ะ…” พนักงานสาวเอ่ยเสียงสั่น กลัววินจะกระโดดพังกระจกเคาท์เตอร์เข้ามาหาเธอเสียจริงๆ

          “แล้วเขาย้ายไปที่ไหน ได้บอกหรือเปล่า” หนุ่มแว่นร้องถามอย่างร้อนรน แต่คงร้อนจัดไปหน่อย บวกกับใบหน้าที่ขึ้งเครียดกว่าเหตุ แถมท้ายด้วยใบหน้าที่โหดกว่าคนธรรมดาไปนิด เลยทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขู่ฆ่า “ว่าไงล่ะ”

          “ค่ะๆๆ ขอโทษค่ะ จะบอกแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกละล่ำละลัก “คือ…คือ…เขา…เขาไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ…ฮึก…ขอโทษค่ะ อย่าฆ่าหนูเลย…หนูมีแม่ต้องเลี้ยง…”

          วินผงะเมื่ออีกฝ่ายเขื่อนแตกใส่ ชายหนุ่มหันไปหาชาที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นเชิงถาม ซึ่งชาก็ได้แต่เพียงชี้ที่หน้าเพื่อบอกเป็นนัยอย่างหน่ายใจ เพราะที่จริงคุณเจ้านายน่าจะรู้ตัวตั้งนานแล้ว ว่าหน้าตัวเองก็เหี้ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วยิ่งแสดงอารมณ์รุนแรง ก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

          “เอ่อ…ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ…เอ่อ…อย่าร้องสิครับ ผมไม่ทำอะไรหรอก แค่ถามเรื่องน้องชายเฉยๆ พอดีช่วงนี้มีคนปองร้ายเขา ผมเลยร้อนรนน่ะครับ แค่นั้นจริงๆนะ ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณนะ ผมขอโทษ” พอรู้ตัวก็รีบปลอบเป็นการใหญ่ “อย่าร้องไห้เลยครับ”

          ชาอยากจะถามเหลือเกิน กับอีแค่ปลอบสาวแปลกหน้าให้หยุดร้องไห้ ก็ไม่เห็นจะต้องทำหน้าล่ะห้อยเสียงอ่อยขนาดนั้นสักหน่อย ถึงมันจะได้ผลก็เถอะ แต่มันจะได้อย่างอื่นแถมมาด้วยนี่สิ อย่างน้อยใบหน้าอาบน้ำตาที่เริ่มแดงเรื่อนั่น ชาก็พอจะดูออกว่ามันแดงเพราะอะไร

          “อ๊ะ…ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉัน…ฉันนี่แย่จริงๆ” เสียงใสเอ่ยตะกุกตะกัก ซึ่งไม่ว่าจะตะแคงมองท่าไหน ก็ดูเหมือนคุณเธอจะออกอาการเขินอายมากกว่าหวาดกลัว “แต่…คุณอัษฎาน้องชายคุณไม่ได้บอกเรื่องที่อยู่ใหม่ให้เลยน่ะค่ะ…”

          “คุณวิน ผมว่าป่านนี้เดียร์น่าจะไปถึงร้านแล้วล่ะครับ เราไปหาเขาที่โน่นทีเดียวเลยดีกว่านะครับ” และก่อนที่หญิงสาวจะอ้าปากพูดต่อ ชาก็รีบตัดบท เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา “จะได้ไปถามกับเจ้าตัวเลยว่าย้ายไปที่ไหน”

          “นั่นสินะ…ถ้างั้นผมไปก่อนละกัน ขอบคุณมากนะครับ” แม้จะรีบ แต่ก็ยังไม่ลืมจะเอ่ยลาสาวน้อยตาฉ่ำด้วยท่าทีที่สุภาพกว่าปกติ

          ไม่รู้เพราะถนนว่าง หรือเพราะวินรีบเสียจนยอมมาขับรถเอง หรือที่จริงแล้ว ระยะทางจากที่อยู่เก่ากับที่ร้านขายดอกไม้มันใกล้นิดเดียว จึงมาถึงได้โดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที

          “เดียร์!” ออกจากรถปุ๊บก็ตะโกนกลางถนนแบบไม่อายสายตาชาวบ้านทันที ใบหน้าที่หม่นหมองเบิกบานราวกับคนหลงอยู่ในทะเลทรายแล้วเห็นโอเอซิสอยู่ตรงหน้าก็มิปาน วินสาวเท้าก้าวเข้าร้านดอกไม้อย่างรวดเร็ว และก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจเมื่อเห็นคนที่อยากเจอหน้ามานานยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์กับเจ้าของร้าน

          แค่นั้น?

          ชาได้แต่ส่งสายตามองเจ้าเด็กมาโซฯตรงหน้าด้วยความกังขา เพราะที่ตกลงไว้ก็คือ ตอนที่วินมา จะต้องมีสิทธิ์อยู่ด้วย และเมื่อดูจากคิ้วกับดวงตาที่ออกอาการเคร่งเครียดแต่กลับต้องยิ้มเพื่ออำพรางพี่ชาย ก็บอกให้หนุ่มหน้านิ่งรู้ได้ว่า เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง แต่เหตุอะไรนั้นเขาก็ไม่สามารถพอที่จะรู้ได้

          “อะ…อ้าวพี่วิน” เด็กหนุ่มร้องทักและออกอาการเหมือนกับว่าไม่คิดว่าพี่ชายจะมาหา “มี…มีธุระอะไรหรือครับ”

          การที่เดียร์พูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ก็ทำให้ชายิ่งมั่นใจว่าต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นเป็นแน่ เพราะปกติ ไอ้เด็กตรงหน้ามันเฟคเก่งจะตาย แถมคุณเจ้าของร้านเองก็มีสีหน้าวิตกกังวลปนหวาดหวั่นเสียจนชัดแจ้งขนาดนั้น เมื่อนำมารวมกับแผนที่เดียร์วางไว้ ทำให้เขาคิดได้อยู่อย่างเดียว

          สิทธิ์ยังอยู่ที่นี่…แต่ที่ไหนกันล่ะ?


________________________________________________________________
แฮ่ๆ ช่วงนี้ติดเขียนเรื่องสั้นให้สนพ บวกเป็นหวัด เลยมึนๆเมาๆอืดๆ ต้องขอโทษด้วยจริงๆงับ =3=
 
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 26 (10/2/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 10-02-2014 22:34:32
ค้างอ่ะ มาต่อไวๆนะ :call:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 26 (10/2/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 11-02-2014 16:38:14
ดูแลตัวเองด้วยนะค้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 26 (10/2/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 01-03-2014 15:49:22
อย่าหายไปนานรีบมาอัพนะจ้ะ ฟินมากมาย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 26 (10/2/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 01-03-2014 20:35:34
อั่ก ค้างอ่า นี่มันไตล์แมกซ์แล้ว อยากรู้จริงไรจริงว่าอะไรจะเกิด
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 27 (1/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 01-03-2014 21:06:58
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 27
         
          ถ้าทำได้ เดียร์ก็อยากจะถามเหมือนกัน ว่าทำไมสถานการณ์ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อพี่ชายยืนอยู่ เจ้าของร้านก็ยืนอยู่ และคนที่เขาต้องการจะถาม ก็ดันชิ่งหนีไปกับสิทธิ์ด้วย…หรือถ้าพูดให้ถูกคือโดนสิทธิ์ลากไปด้วยมากกว่า สิ่งที่เขาต้องทำเลยมีเพียงแต่ทำเป็นฝืนยิ้มให้สมกับเป็นคนที่กำลังหวั่นใจว่าระเบิดจะลงร้าน ทั้งที่ใจจริงอยากจะเดินไปลากไอ้ตัวการออกมาให้รู้แล้วรู้รอด จะได้เดินเรื่องเร็วๆ ให้ทุกอย่างมันจบสักที

          แล้วจะหนีทำบ้าอะไรวะ

          ก็ในเมื่อตามแผนพ่อหมี คือการได้พบกับวินด้วยฐานะที่เหนือกว่าคือเป็นคนรักกับน้องชาย โดยที่วินนั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายคนรักของน้องได้ เพราะเดียร์จะเป็นคนห้าม ซึ่งนั่นจะทำให้วินเข้าใจว่าเดียร์รักสิทธิ์ม้ากมาก แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่ใช่อย่างที่วินเห็น และก็ไม่ได้เป็นอย่างที่สิทธิ์คิดก็ตาม

          ทั้งอย่างนั้นเจ้าหมียักษ์กลับหนีไปจำศีลในห้องพักพนักงานด้านในทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของวินเสียอย่างนั้น ทำตัวอย่างกับคนรักที่ต้องรีบหนีเพราะกลัวพ่อตาสุดหวงจะมายิงกบาลก็ไม่ปาน แถมยังทิ้งท้ายด้วยการพูดจาทำร้ายจิตใจเดียร์เป็นการใหญ่อีกต่างหาก เล่นเอาเด็กหนุ่มหน้าซีดปากสั่นด้วยความวิตกแบบไม่ต้องพยายามแอ๊บ…แม้ว่าตามที่น้อยเห็นมันคือการขอร้องจะเป็นจะตายเสียมากกว่า

          หรือว่าคุณสิทธิ์อยากจะเล่นเอสเอ็มกับเราอีก…

          เด็กหนุ่มต้องรีบหยุดความคิดนี้โดยพลันพร้อมกับขำตัวเองอยู่ในใจ เขายอมรับว่าอยากให้สิทธิ์มาเป็นคู่ซาดิสม์ของตนอยู่หรอก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาที่มาเล่นบทเอสด้วยเหตุจำเป็นแค่นั้น มันไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นไปได้แน่ แม้เดียร์จะเสียดายสุดกู่ก็เถอะ

          แต่ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ช่าง ตอนนี้เขาต้องหาทางให้วินเจอสิทธิ์ โดยที่ตัวเองจะต้องทำให้เป็นเรื่องบังเอิญให้ได้

          “ที่จริง พี่ก็แค่อยากมาเจอหน้าเราเท่านั้นล่ะ งั้นพี่ไปล่ะ”

          เฮ้ย เดี๋ยวเด่ะ!!

          “งะ…งั้นหรือครับ” เดียร์เกือบจะหลุดปากรั้งอีกฝ่ายไว้แล้ว ถ้าทำแบบนั้นล่ะก็ มีหวังน้อยได้หันกลับมาจ้องตาเขม็งแน่ ก็นะ อย่างน้อยๆเจ้าของร้านเขาก็กำลังคิดว่าลูกน้องเองก็ต้องไม่อยากให้เกิดสงครามกลางร้านขึ้นมาแน่ๆนี่ เพราะฉะนั้น ยิ่งรั้งวินก็เหมือนหาเรื่องให้ระเบิดลงเสียมากกว่า ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงได้แต่พยายามทำเหมือนกับต้องการให้วินออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด และก็หันไปพึ่งกับตัวช่วยอื่นแทน

          ชาสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ดวงตาหวานที่เต็มไปด้วยความร้อนรนเพ่งเข้ามาหา ชายหนุ่มได้แต่งงกับสีหน้าประหลาดของอีกฝ่ายอยู่นาน กว่าจะเข้าใจ โชคดีหน่อย เมื่อท้องฟ้าที่ดูสดใสตั้งแต่เช้า อยู่ๆก็โดนปกคลุมด้วยเมฆหนาและเทฝนลงมาอย่างกับน้ำตกเหมือนตั้งใจรั้งให้วินได้อยู่ที่นี่ก็มิปาน

          “อะไรวะเนี่ย อยู่ๆก็ตกลงมาได้” วินสบถอย่างหัวเสีย ถ้าก้าวเร็วไปอีกนิด มีหวังเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ “บ้าเอ๊ย คนยิ่งรีบๆอยู่”

          ซึ่งแน่นอนว่าวินไม่ได้รีบเพราะกลัวไปทำงานสายหรอก แต่เพราะชาหลอกไปว่าถ้าอยู่นานแล้วสายของมาริสาอาจจะมาเห็นเข้าต่างหาก ซึ่งจริงๆก็ไม่มีสายของมาริสาแอบมาเฝ้าอยู่แถวนี้อยู่แล้ว

          “ไว้รอให้ฝนซาหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้ครับ ตากฝนไปเดี๋ยวได้เป็นหวัดหรอก” เมื่อได้โอกาส เดียร์ก็รีบทำทีเป็นห่วงอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อช่วยรั้งตัวอีกแรง เพราะถ้าไล่ให้รีบๆไปในเวลาแบบนี้ คงดูน่าแปลกกว่าเยอะ

          ซึ่งอันที่จริงและนั่นก็เป็นการซื้อเวลาให้ชาได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับสีหน้าประหลาดของเดียร์ด้วย ซึ่งกว่าจะถึงบางอ้อก็ล่อไปเกือบฝนหยุด เล่นเอาเดียร์เกือบจะต้องใช้แผนสำรองแล้ว

          “คุณวินครับ” ชาพยายามกระซิบรั้งวินด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมด้วยกระตุกไหล่ให้อีกฝ่ายพองามให้ดูเหมือนกำลังร้อนรน “ดูนั่นสิครับ”

          ดวงตาคมมองไปยังอีกฝั่งของถนนอย่างงงๆ และเมื่อสะดุดเข้ากับรถสีคุ้นตาตรงที่จอดรถ วินก็เผลอกัดฟันอย่างลืมตัว

          เดียร์แอบโล่งใจเมื่อเห็นพี่ชายวิ่งไปหารถคันนั้น และกลับมาด้วยสีหน้าราวกับยักษ์มาร ดูท่าทางคงจะจำได้ดีว่ารถคันนั้นเป็นของสิทธิ์ นี่ถ้าทำลายข้าวของแถวนี้ได้คงทำไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้เลยได้แต่ถองชาระบายความหงุดหงิดแทน

          “พี่ตัดสินใจแล้ว ว่าจะอยู่แถวนี้” น้อยทำท่าจะเป็นลมตอนที่ได้ยิน “ไอ้หมาลอบกัดนั่นมันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ พี่ว่ามันต้องตั้งใจมาล่อลวงเดียร์แน่ๆ เพราะงั้น พี่จะอยู่เฝ้าเราให้ละกัน”

          ชาไม่อยากจะนึกเลย หากวินรู้ว่าที่จริงสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ มันสายเกินไปหลายขุม หนุ่มแว่นจะออกอาการยังไง แต่ที่รู้แน่ๆคือ เขาจะต้องหาทางเข้าไปเก็บเกี่ยวความรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากวินชนิดไม่ให้พลาดแม้แต่น้อยแน่นอน

          “เอ๋…มัน…มันจะดีหรือครับ” เสียงถามสั่น เพราะพยายามที่จะสะกดกลั้นความลิงโลดในใจ “ผมว่า…พี่…พี่ไม่ต้องทำหรอกครับ ผมไม่เห็นคุณสิทธิ์สักหน่อย…”

          “เดียร์ไม่รู้อะไร พี่จำรถมันได้ทุกคันนั่นล่ะ แล้วไอ้ที่จอดอยู่ตรงนั้นก็รถมัน ถ้ามันไม่ขับรถออกไปก่อน พี่ก็จะไม่ยอมไปไหนแน่”

          ซึ่งทำไม่ได้หรอก ก็เจ้าของรถกำลังแอบหลบอยู่ในห้องพักพนักงานนี่นา

          “…แล้วทำไมเราต้องหลบด้วยล่ะครับคุณสิทธิ์” สิ้นเสียงประกาศลั่นของวิน ก้องก็กระซิบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจเต็มทน หนุ่มใหญ่มองเจ้านายที่ยืนร้อนรนมองหาทางหนีจากห้องพักพนักงานแห่งนี้ไม่หยุดตั้งแต่เข้ามา ท่าทางจะไม่ได้ยินที่ก้องถามสักนิด “คุณสิทธิ์!”

          เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันมองหน้าตื่น เมื่อเห็นประตูยังปิดดี ก็ถอนหายใจออกเสียยาวเหยียด ทีแรกชายหนุ่มตั้งใจจะเอ่ยถามแต่เมื่อเห็นสีหน้าของก้องก็พอจะเข้าใจ “ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม โอเคนะ”

          “ยังไงเดี๋ยวเวลานี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ต้องรอหรอก” เพราะอยากจะให้ทุกอย่างจบให้เร็วที่สุด ก้องจึงเร่งโดยไม่คิดจะรออีกต่อไป แค่เห็นอาการที่มีต่อเดียร์ หนุ่มใหญ่ก็สยองเกินพอแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ มีหวังเขาดึงสิทธิ์ออกจากหลุมดำไม่ได้แน่ “ผมจะไปข้างนอก”

          โครม!

          คนที่อยู่หน้าร้านพากันสะดุ้งจนตัวลอยเมื่อมีเสียงดังมาจากในห้องพักพนักงาน แต่คนที่หน้าซีดกลับมีเพียงคนเดียว

          “อะไรน่ะ” วินซึ่งไม่รู้เรื่องราวกว่าใครเพื่อนออกอาการประหลาดใจ ก่อนจะพูดเรื่องที่น้อยไม่อยากจะฟัง “ไม่เข้าไปดูกันหรือไง”

          เจ้าของร้านได้แต่ยืนกระอักกระอ่วน “อ่า…สงสัย…สงสัยคงมีแมว…ละมั้งคะ”

          เดียร์แทบจะกระโดดด้วยความดีใจกับคำแก้ตัวที่ยอดเยี่ยมของหญิงสาว รับรองว่านอกจากวินจะไม่เชื่อ ยังทำให้คุณพี่ชายอยากเข้าห้องนั้นขึ้นไปอีก

          “แมว? แมวมันเข้าไปได้ไงล่ะ แล้วถ้ามันเข้าไป คุณจะไม่ไปไล่มันเลยหรือ” หนุ่มแว่นถามด้วยความสงสัยตามประสา “เดี๋ยวมันก็ทำลายข้าวของเสียหายหมดหรอก”

          “มะ…ไม่เป็นไรหรอกค่า….ข้างในไม่มีอะไรมีค่าหรอกค่า”

          ใครว่าล่ะ อย่างน้อยตู้เซฟที่เก็บเงิน บัญชีรายรับรายจ่าย คอมพิวเตอร์ ไหนจะกล่องที่เก็บอุปกรณ์สำหรับประดับดอกไม้ที่ต้องเก็บไว้อย่างดี เช่นกระดาษสา กระดาษแก้ว แล้วก็ดอกไม้ปลอม แมวเข้าไปนี่ถือเป็นหายนะเลยทีเดียว

          แต่เสียง ตึง! โครม! และ ‘โอ๊ย’ ที่ตามมาเมื่อกี้ คงไม่ทำให้คนฟังคิดว่าเป็นแมวแล้วแน่

          วินผลุนผลันเข้าไปด้านในทันทีโดยที่น้อยไม่มีโอกาสจะได้ร้องห้าม ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่เตรียมใจรอดำเนินแผนต่อไป…

          “ไหนวะ ไม่เห็นมี”

          เดียร์ถึงกับวิ่งตามเข้าไปด้วยความไวแสง เขาเห็นด้านในที่มีเพียงกล่องกระดาษลังสามสี่กล่องที่หล่นมาจากชั้นวางด้านในข้างล็อคเกอร์เหล็กเพียงเท่านั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นตัวทำเสียงอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

          คนที่เข้ามาทีหลังทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน แต่น้อยออกอาการดีใจร่วมด้วย อย่างน้อยเธอก็สบายใจว่าสิ่งที่เธอกลัวคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

          “เอ่อ คงเป็นแมวละมั้งคะ ห้องน้ำด้านหลังมีหน้าต่างอยู่ มันคงจะเข้ามาทางนั้นล่ะค่ะ”

          “แมวที่ไหนร้อง ‘โอ๊ย’ ล่ะครับ” วินค้านด้วยใบหน้าที่ดูขึ้งเครียดกว่าเมื่อครู่ “แล้วที่สำคัญ ผมจำเสียงงี่เง่าๆนั่นได้ เสียงไอ้หมาสิทธิ์ไม่ผิดแน่”

          ‘ว่าใครงี่เง่าวะ ไอ้แว่น’ สิทธิ์กระซิบด่าอย่างหัวเสีย ดวงตาเรียวลอบมองผ่านช่องว่างของล็อคเกอร์ที่ตัวเองแอบอยู่ และยิ่งหัวเสียหนักกว่าคือการที่ต้องมาซ่อนอยู่ในล็อคเกอร์เหม็นอับและคับแคบ แถมยังต้องเบียดกับก้องอีกต่างหาก

          “…เบาๆสิครับ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” ใจจริงหนุ่มแว่นก็อยากทำเป็นเสียการทรงตัวแล้วออกจากตู้ล็อคเกอร์นี้จะแย่ แต่มันดันสบายกว่าที่คิด อีกทั้งในตู้นี่ก็ดันกว้างเกินจนเขาไม่สามารถอ้างว่ายืนไม่อยู่ได้ แถมที่สำคัญคือคุณเจ้านายก็เกาะเขาเสียแน่นเหมือนกลัวว่าหนุ่มแว่นจะล้มออกไปด้วยนี่ล่ะ

          สิทธิ์หันกลับมามองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเล็กน้อย “…อยู่แบบนี้พี่คงไม่ได้คิดอะไรกับผมใช่ไหม”

          นี่ขนาดเครียด ยังมีอารมณ์มาเล่นมุกกับผมอีกหรือครับ ไม่ติดว่ามีแฟนแล้วบวกกับคุณไม่ใช่สเป็คผมก็คงจะเล่นด้วยอยู่หรอก “ผมว่าสนข้างนอกดีกว่านะครับ ถ้ายังเสียงดัง เดี๋ยวได้โดนวินจับได้แน่”

          ก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ เอาจริงๆก็ต้องหาทางทำให้โดนจับได้ก่อนที่แผนจะเสียอยู่แล้วแต่เจ้านายเขาน่ะ แรงควายจะตาย จะไปสู้อะไรได้ แถมตอนนี้เขาก็นึกแผนดีๆที่จะทำเป็นหลุดออกจากล็อคเกอร์โดยบังเอิญไม่ได้ด้วย

          “ผมว่าพี่หูแว่วไปเองมากกว่ามั้งครับ” อันที่จริงเดียร์ก็ได้ยินเต็มสองรูหูอยู่หรอก แต่ลองโพล่งออกมาตรงๆมีหวังน้อยได้รู้กันพอดี

          “ไม่ๆ พี่ว่าพี่ได้ยินแน่ๆ แกก็ได้ยินใช่ไหม” วินหันกลับมาถามลูกน้องของตน ซึ่งแน่นอนว่าชาต้องพยักหน้าไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม “เห็นไหมล่ะ ไอ้หมาสิทธิ์มันต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ พี่ไม่มีทางพลาดหรอก…บางทีมันอาจจะยังหลบอยู่แถวนี้ก็ได้”

          น้อยแทบหัวใจจะวายตอนที่เห็นวินวิ่งไปเปิดตู้เก็บของด้านข้าง และก็แทบอยากจะกระโดดเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น

          “เอาไงดีล่ะครับ อีหรอบนี้จะโดนเจอเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ” ก้องบอกโดยไม่แสดงอาการใดๆ ในขณะที่สิทธิ์ลุกลี้ลุกลนเมื่อโดนไฟเผาก้น

          “บ้าเอ๊ย เอาไงดีวะ” ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองออกไปด้านนอก ไม่รู้จะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไรดี “อี๋”

          สิทธิ์ผละออกจากประตูตู้อย่างรวดเร็วเมื่อสบเข้ากับสายตาคมที่มองทีไรก็ขยะแขยงแฝงความหมั่นไส้ไปทุกที เสียงประตูที่กำลังจะเปิดทำเอาคนในตู้ลืมยัวะ เพราะนั่นหมายถึงความจริงที่กำลังจะเปิดเผย

          เอาวะ ตายเป็นตายยยย

          “อ๊า หนู!!! กรี๊ดดดด”

          สิ่งที่ทำให้เดียร์หันไปด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะตนกลัวหนู แต่เพราะคนที่กรี๊ดน่ะ ไม่เคยกลัวหนูให้เห็นเลยต่างหาก ขนาดแมลงสาบที่ว่าแน่ ยังโดนบี้คาส้นเท้ามานักต่อนักแล้ว กับหนูน่ะ แทบจะโดนจับขว้างใส่ถังขยะเป็นว่าเล่นด้วยซ้ำ

          แต่เสียงร้องของน้อยก็ดึงความสนใจคนอื่นได้ดี วินถึงกับเดินออกจากตู้ล็อคเกอร์ และนั่นคือโอกาส

          “ไหนหนู” หนุ่มแว่นก้มลงหาพร้อมกับเข้าไปปกป้องน้องชายอย่างลืมตัว ทั้งที่เดียร์หาได้กลัวหนูแม้แต่น้อย

          “นะ…นั่นไงคะนั่น! มันวิ่งอยู่ตรงนั้น” น้อยชี้ไปที่ประตูทางไปหน้าร้านโดยพยายามทำตัวให้ดูกลัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ นึกแล้วอยากขอบคุณเจ้าหนูตัวเขื่องนี่เหลือเกิน

          ในขณะที่คนอื่นกำลังวุ่นอยู่กับหนู สิทธิ์ก็ค่อยๆเปิดประตูล็อคเกอร์ออก แล้วรีบลากลูกน้องไปยังประตูที่อยู่ใกล้ๆทันที

          เดียร์ซึ่งรู้สึกตัวก่อนใครเพื่อนเนื่องจากสังเกตเห็นสายตาของน้อย เขารีบหันกลับไปมองด้านหลัง เมื่อเห็นตู้ล็อคเกอร์ตู้สุดท้ายที่เปิดคาไว้ เขาก็เข้าใจทันที

          แกรก

          เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้วินเลิกสนใจหนู และนึกถึงสิ่งที่ตนตั้งใจมาหาตั้งแต่ทีแรกออก และโชคดีที่มีความจำดีพอที่จะรู้ถึงความผิดปกติของล็อคเกอร์ตู้สุดท้ายนั่น

          หนุ่มแว่นก้าวเข้าหาประตูด้านในอย่างไม่รีรอแต่ก็ยังระวังตัว ในมือกำหมัดแน่น พร้อมกระหน่ำใส่ใครก็ตามที่ตนเจอด้านใน ด้วยสีหน้าที่มั่นใจว่าต้องเจอใครสักคนแน่ๆ

          “ทำไงดีๆ โอ๊ย ทำไงดี” น้อยได้แต่กระซิบเสียงตื่นพลางตะกุยหลังลูกน้องคนงาม เธอแทบไม่อยากจะจินตนาการถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย

          “ไม่เป็นไรนะครับพี่น้อย อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดครับ” ปากก็บอกแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับไม่ติดสั่นเลยสักนิด และถ้าน้อยฟังดีๆ ก็จะพบว่าเสียงของเดียร์มันฟังดูดีใจเสียมากกว่าด้วย

          แต่เข้าไปกว่าห้านาทีก็ไม่เกิดเสียงใดๆขึ้นเลย

          เดียร์ได้แต่ส่งสายตามองชาด้วยความสงสัย แต่เพียงไม่นานพี่ชายก็ออกมา ด้วยสีหน้าที่ข้องใจไม่แพ้กัน วินไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินออกจากห้องพักไปยังหน้าร้าน

          “…มีอะไรหรือพี่วิน” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงค่อย และเมื่อมองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เดียร์ก็อ้าปากค้าง

          รถของสิทธิ์หายไปแล้ว

          ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ เด็กหนุ่มรีบเดินกลับเข้าไปยังประตูด้านใน เข้าไปยังห้องน้ำทันที และเขาก็ได้เห็นหน้าต่างบานเล็กในห้องน้ำที่เปิดทิ้งไว้ ยิ่งตอกย้ำกับสิ่งที่เขาคาด

          คุณไม่อยากเจอหน้าพี่วินถึงขนาดลงทุนลอดหน้าต่างขนาดเท่าหมาลอดนี่ออกไปเลยงั้นเรอะ!!

_______________________

ปิดเทอมกันยังหว่า XD ขอให้โชคเอกันทุกคนนะงับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 27 (1/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 01-03-2014 23:37:18
อ๊า แผนเจ๊งซะแล้ว  :serius2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 27 (1/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 02-03-2014 13:18:32
กลัวว่าที่(??)พี่เขยเขาจะรู้ขนาดนั้นเลยเรอะ ตอนแรกนายตั้งใจเอาไว้ว่าไงน่ะสิทธิ์ เหอเหอ วงเวียนอยู่ในรักSMไปแล้วแหงแซะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 27 (1/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 03-03-2014 10:06:32
เซ็งเลย เมื่อไหร่จะเป็นไปตามแผนซะทีเนี่ย ลุ้นมากกกกก
รอคอยพลังเอสของคุณสิทธิ์ตื่น
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 28 (26/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-03-2014 21:08:05
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 28
         
          สีหน้าวินดูจะไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เขาพยายามจะอ้าปากพูด แต่ก็กลืนกลับลงคอไป ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้น้องชาย

          “บางทีพี่อาจจะคิดมากไปเองมั้ง”

          ผมรู้ว่าจริงๆพี่ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก หน้าพี่มันฟ้อง กะจะไปจัดการเองโดยไม่ให้ผมรู้ล่ะสิ โอ๊ย ขัดใจจริงๆ

          “แหม คุณวินคะ ถ้ามีใครเข้ามาในนี้ พวกฉันก็ต้องรู้สิคะ จริงไหม…” ไม่ใช่แค่พูดเปล่าๆ แต่ยังส่งสายตาที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานบางอย่างที่แรงกล้าใส่เดียร์อีกด้วย

          “เอ่อ…ครับ” ทำไงได้ล่ะครับ ในเมื่อคุณสิทธิ์ก็ดันชิ่งหนีไปแล้วด้วย ต่อให้บอกไป ก็ไม่ได้ปะทะกันตรงๆแล้วด้วย ที่เหลือคงต้องส่งหน้าที่กระตุ้นให้คนสนิทไปก่อน

          และชาก็รู้หน้าที่ดีโดยที่เดียร์ไม่ต้องเสียเวลาบอก

          “ผมว่า วันนี้เรารีบกลับกันก่อนดีกว่าครับ” หลังจากสบตาเดียร์ หนุ่มหน้านิ่งก็กระซิบบอกด้วยสีหน้าระแวง “ผมว่าเรื่องนี้คงต้องระวังหน่อยดีกว่านะครับ ลองว่าคุณสิทธิ์มาจอดอยู่แบบนี้ บางทีเป้าหมายอาจจะอยู่ที่คุณเดียร์จริงๆก็ได้นะครับ”

          วินหน้าบูดใส่ “เออ ฉันรู้น่า เรื่องนี้ฉันไม่วางมือง่ายๆหรอก แกเองก็หาทางจัดการเรื่องแม่ให้ด้วยแล้วกัน ฉันจะได้มาหาเดียร์ง่ายๆ”

          ถึงไม่อยากแต่ผมก็ต้องจัดการล่ะครับ

 

          “เฮ้อ….เกือบไปแล้วไหมล่ะ” น้อยถึงกับทรุดลงไปดมยาดมอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์ “ดีนะที่คุณสิทธิ์กับคุณก้องหนีออกไปได้ ไม่อย่างนั้น…ไม่อยากจะคิดเลย”

          เขาก็พยายามแล้วนะ แต่ก็อดแสดงความหงุดหงิดออกทางสีหน้าไม่ได้ แต่ก็ทำตอนที่น้อยไม่ทันมองเท่านั้นล่ะ

          “นั่นสินะครับ โชคดีจริงๆ” เดียร์บอกพร้อมกับถอนใจด้วยความเสียดาย นึกแล้วก็ยังสงสัยไม่หาย ว่าทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

          “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้เนี่ย”

          ก้องถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ เล่นเอาคนพูดที่นั่งอยู่เบาะหลังถึงกับสะดุ้ง

          “มันควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ” ด้วยความสุดจะทน หนุ่มใหญ่เลยอดบ่นไม่ได้ “ในเมื่อถึงขนาดนี้แล้ว ผมไม่เห็นว่าคุณจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้เลย ก็เจอกันไปตรงๆจะได้จบๆเรื่องไป จะหนีไปทำไมกัน”

          “ผมไม่ได้หนีนะ” สิทธิ์ค้านเสียงแข็ง “ก็…ก็แค่คิดว่ายังไม่ถึงเว…”

          ก่อนที่จะได้แก้ตัวจบก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะอยู่ๆคนขับก็เหยียบเบรกสุดเท้าจนคนนั่งหลังหัวทิ่มเบาะหน้า และยังไม่ทันจะได้อ้าปากต่อว่าก็ต้องชะงัก เมื่อเจอเข้ากับใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่าย

          “ที่บอกว่ายังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลาน่ะ ไม่ใช่เพราะที่จริงคุณอยากซื้อเวลาหาเรื่องทรมานไอ้เด็กนั่นหรอกนะครับ”

          ที่จริงก้องก็แค่อยากจะประชดแล้วให้อีกฝ่ายสารภาพออกมาตรงๆว่าชอบเดียร์ก็เท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ช่างเกินคาดเสียจนอารมณ์โกรธโดนความกลัวซัดเสียปลิว เพราะแทนที่สิทธิ์จะค้านด้วยความตกใจอย่างที่น่าจะเป็น กลับอ้าปากค้าง หน้าซีดเป็นกระดาษแทน

          “พะ พะ พะ พะ พี่…พี่พูด อะ อะ อะ…อะไรแบบนั้นกัน….คะ…ครับ ผมจะไป…ไปอยากทำแบบนั้นได้ยังไง้”

          เป็นการโกหกที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลยครับ…ค้านเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนผมถามว่าชอบเดียร์ไหม ยังจะดูดีเสียกว่า

          “…โอเค ผมยอมรับก็ได้” เมื่อโดนหนุ่มแว่นจ้องกลับด้วยแววตาที่เอ่อล้นไปด้วยความสมเพช สิทธิ์ก็ยอมกลั้นใจสารภาพออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม “ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

          ก็เพราะคุณโดนไอ้เด็กเวรนั่นมันเสี้ยมโดยไม่รู้ตัวยังไงล่ะครับ “บางทีที่เป็นแบบนั้น คงเพราะคุณสะใจที่ได้แกล้งเดียร์ซึ่งเป็นน้องคุณวินมั้งครับ”

          “แต่ตอนผมทำ ผมลืมเรื่องไอ้แว่นนรกนั่นเหี้ยนเลยนะครับ…”

          โอเค นี่มันเกินมือเขาแล้ว

          “คุณสิทธิ์ครับ ฟังให้ดีๆนะครับ นี่ผมพูดด้วยความเป็นห่วงจริงๆนะครับ คุณต้องหยุดทำร้ายเดียร์เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็ตาม หยุดทั้งหมดเลย”

          “หา” จะไม่ให้ร้องได้ไง ก็คนอุตส่าห์ตัดสินใจไปแล้วว่าจะแกล้งเดียร์ให้ตามใจอยากเลยนี่ “ตะ…”

          “ไม่ต้องมาแต่เลยครับ ทั้งหมดก็เพื่อคุณนะ” ก้องชิงตัดบทไม่ให้เจ้านายได้โต้แย้ง “ถ้าคุณยังไม่หยุด ต่อไปคุณจะหยุดไม่ได้แน่ครับ ไอ้แบบนี้น่ะ พอๆกับยาเสพติดเลยนะครับ”

          นี่เอามาจากประสบการณ์จริงเลยนะครับ แค่สลับบทกันแทน แต่ผมเชื่อว่ามันก็ไม่ต่างกันนักหรอก

          “อะไรจะขนาดนั้น…ผมว่า พอจบเรื่องก็ไม่มีอะไรหรอก…”

          ก้องหรี่ตามองคนที่พูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายหัวดื้อพอตัว

          “ถ้าคิดแบบนั้นจริงๆ งั้นคุณก็ต้องหยุดตอนนี้ได้สิครับ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังเข้ามานั้นฟังดูหนักแน่นและน่าสะพรึงอย่างบอกไม่ถูก “ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วนี่ครับ จริงไหม”

          สิทธิ์อ้าปากพะงาบ เพราะคิดไม่ออกว่าจะแย้งกลับอย่างไรดี และก้องก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้คิดนัก

          “เรื่องกลัวว่าเดียร์จะไม่ทำตามก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ ถ้าเด็กนั่นคิดแข็งข้อจริงๆ วันนี้หมอนั่นคงฟ้องพี่มันไปนานแล้ว คิดหรือว่าเขาจะเห็นใจกับคำขอร้องแทบตายของคนที่ไปข่มขืนตัวเองน่ะ ถ้าเขาไม่กลัวคุณจริงๆ ใช่ไหมล่ะครับ…เพราะฉะนั้น เหตุผลเดียวที่คุณจะค้านได้ตอนนี้ก็คือ คุณกระสันอยากเล่นซาดิสม์กับเดียร์จนทนไม่ได้เท่านั้นล่ะครับ”

          ซึ่งจริงจนพูดไม่ออกหนักกว่าเดิม

          “ผ…ผมไม่ได้เป็นขนาดนั้น…” ทั้งที่ปากบอกแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงก็แอบกลัวจะเป็นอย่างที่ก้องว่าเอาไว้อยู่เหมือนกัน “มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่กังวลก็ได้นี่นา”

          “แค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะครับ ต่อไปคุณจะเริ่มอยากทำเรื่อยๆไม่หยุด แล้วถึงตอนนั้นจะหยุด คุณก็ทำไม่ได้แล้ว” ก้องกัดฟัน ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว “ผมเองก็เป็น”

          จากที่กำลังจะค้าน สิทธิ์ถึงกับผงะต่อคำสารภาพสายฟ้าแล่บนั่นจนตั้งตัวไม่ทัน

          “ฮะๆๆ พี่ล้อเล่นผมแรงไปแล้วนะครับ…” สิทธิ์หัวเราะเสียงแห้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มแว่นที่ยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขาก็ชักเริ่มหัวเราะไม่ออก “เอ่อ…จริงๆหรือครับ…นี่พี่พูดจริงๆ…หรือครับ”

          “ครับ จริงแท้แน่นอน แต่ผมเป็นฝ่ายชอบโดนกระทำน่ะครับ…อยากพิสูจน์ไหม” ไม่พูดเปล่ามียิ้มที่มุมปากชวนให้คนมองขนพองสยองเกล้า เผลอส่ายหน้าเสียเร็ว “แต่ถือว่าเรื่องนี้รู้กันสองคนนะครับ ที่ผมยอมบอกคุณก็เพราะเป็นห่วงว่าคุณจะหลุดเข้ามาทางนี้นะครับ มันเข้าแล้วออกยากนะครับ”

          “งะ…งั้นหรือครับ” ท่าทีของสิทธิ์ยังคงไม่อยากจะเชื่อนัก แต่น้ำเสียงสั่นเสียจนน่าขัน

          “ยังไม่เชื่อล่ะสิครับ ผมเข้าใจ ผมจะให้คุณเห็นเอง”

          ว่าจบหนุ่มใหญ่ก็รีบขับรถกลับบ้านทันที ด้วยความที่ระยะทางก็ใกล้อยู่แล้ว เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านโดยที่คนนั่งหลังยังคงนั่งอึ้งกับคำพูดเมื่อครู่

          “หา เห หะ…เห็นอะไรครับ” หลังจากตั้งหลักได้ สิทธิ์ก็ร้องถาม พร้อมกับออกจากรถแล้วตามอีกฝ่ายไปติดๆ “เอ๋ พี่จะไปไหน”

          ก้องไม่ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่เดินไปยังหน้าห้องนอนของตน แล้วยกมือเป็นสัญญาณให้ผู้เป็นนายหยุดอยู่ห่างๆ

          “ดูสิ่งที่ฤทธิ์จะทำต่อไปนี้ให้ดีๆละกันนะครับ นั่นล่ะ สิ่งที่คุณกำลังจะเป็น”

          ก่อนที่สิทธิ์จะได้ถาม ก้องก็เปิดประตูผางเสียงดังลั่นไม่เกรงใจคนกำลังนอนฝันดี เสียงเท้ากระทืบพื้นดังตึงตังอย่างจงใจและสร้างความรำคาญให้แก่โสตประสาทของคนที่อยู่บนเตียงมาก และยังไม่ทันที่หนุ่มแว่นจะเดินไปถึงเตียง ฤทธิ์ก็ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าหงุดหงิดสุดขีด

          “ทำบ้าอะไรของแกวะ คนจะหลับจะนอนโว้ย!”

          สิทธิ์อ้าปากค้างพร้อมกับถอยหนีอย่างรวดเร็ว ร่างของก้องปลิวละลิ่วตามแรงผลักจนออกมาจากห้อง กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ซึ่งแน่นอนว่าฤทธิ์ไม่มีทางหยุดอยู่แค่นั้น หนุ่มตาตกเดินหน้าบูดเข้ามาหาแฟนอันเป็นที่รักแล้วตบหน้าแบบไม่มีการถนอมแม้แต่น้อย จนแว่นทรงกลมบินข้ามไหล่สิทธิ์ที่ยังคงอึ้งตะลึงกับภาพตรงหน้า

          “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาปลุกฉัน รู้หรือเปล่าว่ากว่าจะนอนหลับสนิทได้ ฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหน!!!” ด่าจบก็ประเคนหมัดเสยคาง แก้มซ้ายแก้มขวา ตีเข่าเข้าลิ้นปี่ ก่อนจะจบด้วยการผลักอีกฝ่ายทิ้งลงพื้น “ถ้าเข้ามาอีก ไม่จบแค่นี้แน่”

          ฤทธิ์ปิดประตูปังกลับเข้าห้องโดยไม่ได้สังเกตเห็นสิทธิ์ที่ยืนดูฉากโหดเหี้ยม ผู้เป็นนายได้แต่อึ้งกับพฤติกรรมยามโดนปลุกของลูกน้องแสนดี และที่ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งคือเจ้าคนที่เพิ่งโดนยำมานั่นแหละ นอนยิ้มพริ้มพรายอย่างมีความสุขเสียจนเหมือนเพิ่งไปทำสปามายังไงยังงั้น แถมไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับกำลังแสร้งทำเลยสักนิด

          “…ก็อย่างที่เห็นละครับ” เมื่อหลุดออกมาจากความสุขได้ ก้องก็กลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม จนคนมองปรับอารมณ์ตามไม่ค่อยจะทัน “แต่ถ้ายังไม่เชื่อ เดี๋ยวให้ผมไปปลุกฤทธิ์อีกทีก็ได้นะครับ”

          “พอแล้วครับ พอแล้วๆๆ ผมเชื่อแล้ว” ส่วนหนึ่งสิทธิ์กลัวว่าก้องจะตายคาเท้าฤทธิ์จริงๆ แต่อีกส่วน เขารู้สึกสยองขวัญพิกล “นี่พี่ฤทธิ์เอง…ก็เป็นด้วยหรือครับ…”

          “ถ้าเป็นจริงๆก็ดีสิครับ” น้ำเสียงของหนุ่มแว่นหงอยลง สิทธิ์นิ่วหน้ามองอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่ได้นึกประหลาดใจกับน้ำเสียงนั่น แต่เพราะข้องใจกับสภาพของก้องที่ดูปรกติสุขทุกอย่างทั้งที่เพิ่งจะผ่านการโดนยำมาหมาดๆ “ผมจะได้ไม่ต้องกลัวที่จะโดนฤทธิ์หนีไปจากผมเพราะรับกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้…”

          “พี่ก้อง…” ได้ยินเหตุผล สิทธิ์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาด้วย

          นั่นสิ…ใครจะอยากอยู่กับคนชอบใช้ความรุนแรงกันล่ะ…บางทีถ้าเรายังไม่หยุด…เราอาจจะเหมือนกับพี่ก้องก็ได้…แล้วถึงตอนนั้น…

          สิทธิ์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าคิดเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเข้าไปเสียแล้ว

          แล้วทำไมเราต้องกลัวเดียร์จะหนีไปจากเราด้วยวะ ก็ไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นสักหน่อยนี่…

          คิดเองก็ยังไม่แน่ใจเอง ทีแรกเขาก็คิดอยู่หรอกว่าไม่ได้คิดอะไรนอกจากเห็นเดียร์เป็นแค่หมากที่เอาไว้ดักคอวิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไม ใจมันระส่ำอย่างที่ไม่ควรเป็นเสียได้

          แต่จะให้คิดว่าไปหลงชอบ คิดว่ารู้สึกผิดยังจะเป็นไปได้เสียกว่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายถึงขนาดนั้น…

          มั้งนะ…

          “มันลำบากนะครับ ที่จะต้องมีความลับกับคนที่รักน่ะ…ถึงสำหรับผมมันจะรู้สึกมีความสุขไปด้วยก็เถอะ” ก้องพูดด้วยน้ำเสียงเครียด หากแต่คนฟังไม่แน่ใจว่าควรจะเครียดตาม หรือจะสยองกับประโยคหลังดี “เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากให้คุณต้องมารู้สึกแย่แบบนี้นะครับ”

          ซึ่งถ้าเป็นเขา คงไม่นึกมีความสุขร่วมด้วยแน่ ทุกข์เพียวๆไม่มีสุขเข้ามาเอี่ยวแม้แต่นิดเดียว

          “ผมเข้าใจแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะเลิก” แม้ใจจะนึกเสียดายแทบตาย แต่พอนึกว่าจะต้องกลายเป็นสายเอสอย่างไม่มีวันหวนกลับเขาก็ไม่อยากเหมือนกัน “…แล้วพี่คิดว่าถ้าอยู่ๆผมจะกลับไปทำตัวเหมือนเดิมแล้วเขาจะแปลกใจหรือเปล่า”

          แปลกแน่นอน และปัญหาคือมันจะมาบีบคอผมด้วยนี่ล่ะ “ก็แค่ไม่ต้องหาเรื่องทำร้ายหมอนั่นก็พอครับ แต่จะทำเมินๆก็ได้ จะได้ไม่ดูแปลกเกินไป”

          สีหน้าของชายหนุ่มดูจะยังลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ยอมพยักหน้ารับให้คนแก่กว่าสบายใจขึ้นมาจนได้

          “ตกลงชอบไอ้เดียร์มันจริงๆหรือครับ”

          “ชอ…เอ๊ย ใครชอบกันล่ะครับ ผะ…ผมเปล่านะ ไอ้ที่ชอบน่ะ ชอบทรมานเขาเฉยๆต่างหาก ไม่ได้รักอะไรแบบนั้นสักหน่อย” สิทธิ์พูดรัวเร็วเสียเกือบกัดลิ้นตัวเอง “ถึงเขาจะน่ารัก ยิ้มสวย ตอนร้องไห้ก็น่ามอง ตอนทรมานก็เซ็กซี่ ตัวก็นุ่มนิ่มน่าจับ ผมก็นิ่มสลวย หอมกลิ่นอ่อนๆ ส่วนนิสัยอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ทั้งอย่างนั้นกลับดูน่ารักน่าแกล้งดี…”

          ถ้าจะตรงใจขนาดนั้น จัดงานแต่งเลยมั้ยครับ…ว่าแต่ ตกลงไม่คิดอะไรเรื่องที่มันเป็นผู้ชายงั้นแล้วสินะ…

          “แต่ผมก็แค่คิดแค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย จบเรื่องก็จบกันนั่นแหละ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสังเวชของหนุ่มแว่น สิทธิ์ก็รีบพ่นเหตุผลมากลบเกลื่อนใบหน้าที่แอบแดงเล็กๆทันที

          ให้มันจริงเหอะครับ เพราะถ้าคุณกระโดดลงเหวไปเอง ต่อให้ผมเก่งแค่ไหนก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ

          “ครับ ส่วนเรื่องแผนของคุณ…” ก้องพูดค้างไปและจ้องหน้าเขม็งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเบ้ปาก “ก็รีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โอเคนะครับ แต่ถ้าคุณอยากจะเป็นพวกซาดิสม์จริงๆ ผมก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ ดีเสียอีกมีเพื่อนรวมอุดมการณ์น่ะ”

          “ครับ ผมจะรีบเดี๋ยวนี้แหละ”

          รีบตอบน่ะ ผมก็ดีใจอยู่หรอกครับ แต่ตอบเสียงสั่นหน้าซีดแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจนิดๆแฮะ จริงๆทางนี้มันก็ดีอยู่หรอกนะครับ แค่มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากจะยอมรับก็เท่านั้นเอง…

 

          “นี่ครับคุณธานินทร์”

          เจ้าของชื่อรับซองขนาดเอสี่สีน้ำตาลมาจากลูกน้อง ชายหนุ่มหยิบรูปปึกใหญ่ออกมาจากซอง แล้วมองดูด้วยใบหน้าเฉยเมย จนคนที่ยืนอยู่เกิดอาการอีหลักอีเหลื่อเพราะไม่รู้ว่าเจ้านายพอใจกับผลงานหรือไม่

          “ผะ…ผมตามถ่ายตั้งแต่ออกจากบ้านเลยนะครับ แต่ที่ไม่ได้รูปชัดๆเพราะมีไอ้ดรมันมาขวางนี่แหละ”

          ประโยคนั้นเรียกความสนใจของธานินทร์มากกว่ารูปตรงหน้า จนคนพูดเริ่มออกอาการเหมือนโดนบีบคอ ทั้งที่เจ้านายเพียงแค่มองด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบ

          “คือที่คุณธานินทร์ให้ผมตามไปถ่ายหารูปที่ดูว่าคุณสิทธิ์กับเดียร์รักกันนั้น พอดีผมเห็นคุณวินไปที่ร้านด้วย ผมเลยถ่ายมาเผื่อเอาไว้ เผื่อว่ามันจะมีประโยชน์อะไรบ้าง…”

          และสิ่งที่ได้รับคือใบหน้าครุ่นคิดโดยไม่มีการตอบกลับใดๆแม้แต่นิดเดียว

          “อ้อ โทษที พอดีฉันกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ นายทำได้ดีแล้ว ขอบใจมากเลยนะ” เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังทำให้ลูกน้องลำบากใจ ธานินทร์ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องรางวัล อยากได้เท่าไหร่ล่ะ บอกมาเลย”

          “เอ๋ ไม่ต้องหรอกครับ มันเป็นหน้าที่เฉยๆเอง ผมยินดีทำอยู่แล้วครับ” ผู้เป็นลูกน้องรีบปฏิเสธทันควัน

          “อะไรกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก รับไว้เถอะ ถือเป็นค่าเสียเวลา ค่าล้างรูปพวกนี้เองก็หลายบาทอยู่นี่” ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ ก่อนจะหยิบใบเช็คมาเขียนจำนวนเงินที่ทำเอาคนรับตาโต “เห็นว่าช่วงนี้มีปัญหาเรื่องค่าเทอมลูกนี่ รับๆไปเถอะน่า จะได้เอาไปฉลองครบรอบแต่งงานด้วยไง”

          เจอแบบนี้แล้วจะไม่ให้ประทับใจได้ยังไง ขนาดคนฟังยังลืมไปแล้วเลย แต่ก็เพราะธานินทร์ใส่ใจเรื่องของลูกน้องทุกคนนั่นแหละ ถึงทำให้คนรอบตัวลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนร้ายกับวินอยู่

          หลังจากอยู่ในห้องเพียงคนเดียวแล้ว ธานินทร์ก็หยิบรูปขึ้นมาดูต่อ รูปเหล่านั้นมีตั้งแต่ตอนที่เดียร์กับสิทธิ์ออกมาจากบ้านด้วยกันจนไปถึงร้าน มีกระทั่งรูปตอนที่สิทธิ์หนีเข้าห้องพักพนักงานเพื่อหลบวินด้วย เรียกว่า ไม่ต้องฟังก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดได้จากการดูรูปพวกนี้ก็พอ

          แต่ก็รู้เท่าที่เห็นนี่ล่ะ ซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็คิดได้แค่ว่า คู่รักแสนหวานที่จี๋จ๋ากันถึงที่ทำงานอยู่ดีๆพี่ชายสุดหวงก็ดันมาขัดจังหวะเหมือนรู้งาน สิทธิ์เลยต้องหิ้วลูกน้องหนีวินออกมาได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่เรื่องที่แอบคบกันจะแตกเสียก่อน

          ทันทีที่ดูรูปเหล่านั้นจบ รอยยิ้มพรายก็ผุดขึ้นบนใบหน้า เพราะสิ่งที่ได้มานั้นมากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้

          “ที่จริง ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรนายหรอกนะ แต่ถ้าไม่มีนายอยู่ งานฉันมันจะเดินง่ายกว่าน่ะนะ”



________________________________________________________


อา.....ร้อนเนอะ.....ยิ่งอยู่หน้าคอมแล้วเหมือนจะละลายเลย......
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 28 (26/3/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 26-03-2014 23:46:08
 :z13: :z13: :z13: อย่าหายไปไหนนานนะคนเขียน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 29 (26/4/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-04-2014 22:47:59
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 29
         
           “อ้าว จะไปไหนน่ะเดียร์”

          หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องหน้าหวานทำท่าจะเดินออกจากร้านทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน

          “มีธุระนิดหน่อยน่ะครับ” เด็กหนุ่มยิ้มหวาน “ผมแค่อยากจะแน่ใจว่าพี่วินไม่น่าจะอยู่แถวนั้นแล้ว”

          และเพราะเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงสองชั่วโมง น้อยเลยอนุญาตทันที กลัวว่าใครบางคนที่ใส่แว่นทรงกลมอาจจะยังแอบอยู่แถวนี้ก็เป็นได้

          เดียร์เดินข้ามไปยังร้านกาแฟที่อยู่อีกฝั่ง แน่นอนว่าไม่ได้เข้าไปซื้อกาแฟ แต่เข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับหนุ่มผิวเข้ม ที่แต่งตัวมิดชิดจนดูเหมือนคนโรคจิตก็มิปาน

          “นายรู้ได้ไง…เอ๊ย แกเป็นใครมานั่งโต๊ะฉันทำไม” ดรตะคอกเสียงเบาก่อนจะพยายามขยับแว่นดำพร้อมบ่ายหน้าไปทางอื่น

          “ผมว่าถ้าจะปลอมตัว อย่างแรกที่พี่ต้องทำคือเลิกใส่แว่นดำนั่น หาวิกทรงผมปกติมาใส่ แล้วถ้าให้ดี ถ้าพี่เปลี่ยนสีผิว รับรองว่าต่อให้เป็นคุณชา รับรองว่าเขาก็จำพี่ไม่ได้แน่ครับ” เด็กหนุ่มแนะนำด้วยรอยยิ้มละไมชวนหลง จนดรลืมรังเกียจ “ผมแค่อยากรู้ว่าเมื่อกี้ตอนที่พี่วินมา มีใครน่าสงสัยมาทำอะไรแถวร้านไหม แล้วคนนั้นตามผมตั้งแต่ออกจากบ้านหรือเปล่า”

          ส่วนหนึ่งที่ดรชะงักคือ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเรื่องนี้ อีกส่วนคือ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเผลอเคลิ้มไปกับรอยยิ้มประดุจนางฟ้านั่น

          “มี มาถ่ายรูปซะเพียบ ระวังตัวหน้าดูเลยล่ะ ใส่เสื้อปิดหน้าปิดตา พอฉันเดินเข้าไปนิดเดียว มันก็รู้ตัวหนีไปซะก่อน” และเนื่องจากอยากให้เดียร์ไปได้ดีกับสิทธิ์ เลยยอมบอก เผื่อว่าอาจจะช่วยอะไรได้ “หรือจะเป็นพวกไอ้ธานินทร์”

          “ถ้าตั้งแต่ที่บ้านก็คงธานินทร์นั่นล่ะครับ” นางฟ้าปีกมารตอบ “เรื่องที่มีคนมาแอบถ่ายรูป พี่ดรคงเอาไปบอกคุณชาสินะครับ”

          เขาอาจจะนึกกลัวก็เป็นได้ ถ้าไม่หลงใหลไปกับรอยยิ้มนั่น ก็เล่นรู้ทันเสียขนาดนั้น

          “ถ้าอย่างนั้น บอกแค่ว่าคนๆนั้นถ่ายรูปแค่แถวหน้าบ้านผมได้หรือเปล่าครับ”

          “ทำไมล่ะ” เขาว่าเขาก็ท่องไว้ในใจทุกสามเวลาเช้ากลางวันก่อนนอนแล้วนะ ว่าไอ้เด็กบ้านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขารังเกียจ แต่ไม่รู้ทำไม ใจมันเต้นแรงพิกล แถมยังรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดทุกครั้งที่คุยกันด้วย เล่นเอาสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ในใจชักสั่นคลอนขึ้นมาหน่อยๆ ยังดีที่ใบหน้าของวินกับสิทธิ์และชาช่วยให้ดรยังคุมสติอยู่ได้

          แต่ก็ชักจะไม่แน่ใจหน่อยๆแล้ว ตอนเห็นดวงตากลมที่ดูติดเศร้าเล็กน้อยรื้นไปด้วยน้ำตานั่น

          “ผมไม่อยากให้คุณชาเขากังวลเกินเหตุน่ะสิครับ แค่ต้องมาจัดการพี่วิน เขาก็คงลำบากจะแย่แล้ว แถมมาที่นี่ก็ต้องหาทางไปแก้หน้ากับคุณแม่มาริสาอีก เดี๋ยวเขาจะคิดมากจนเป็นไมเกรนอีกแน่ พักหลังเขามาปรึกษาผมบ่อยเลยนะครับว่ามีอาการปวดหัวมานานแล้ว ไหนจะเป็นโรคเครียดลงกระเพาะอีก นี่ยังไม่รวมถึง…” เด็กหนุ่มเบาเสียงลง ทำหน้าเหมือนกำลังพูดเรื่องชวนลำบากใจ “เห็นบ่นๆว่าช่วงนี้ก็บางๆลงไปเยอะอยู่เหมือนกันนะ นี่ถ้ายังคิดมากต่อไปมีหวังล้านก่อนสี่สิบแน่ครับ”

          สำลักคาปูชิโน่ที่เพิ่งกระดกลงคอออกมาทันที นึกสภาพตามแล้วเขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรจะสยองหรือเป็นห่วงดี แต่ดรคิดว่าหน้าตาอย่างชา ต่อให้ไม่เหลือสักเส้นก็คงไม่มีปัญหาเท่าไหร่กระมัง

          “เข้าใจแล้ว” ถึงจะกลัวๆ แต่นึกแล้วก็ชักเป็นห่วงตามจริงๆ “แต่…จะดีหรือ มันจะไม่เป็นอะไรหรือไง…”

          “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนจัดการเอง”

          ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่คิดจะทำหรอก ไม่อย่างนั้นแผนป่นปี้หมด อย่างน้อยชาก็เป็นคนที่เดียร์เบื่อจะรับมือด้วยเพราะพ่อหน้านิ่งแกค่อนข้างจะรู้ทันเขา แล้วเขาก็ขี้เกียจมานั่งคิดแผนใหม่ด้วย ไอ้คนอยากให้เร่งก็เร่งไม่คิดถึงใจคนวางแผนบ้างเสียเลย

          “แต่พี่ดรต้องอดทนกับสิ่งที่จะเกิดนะครับ อย่างน้อยก็เพื่อพี่วิน” เดียร์เป่าหูเพิ่มไปอีกหน่อยเผื่ออีกฝ่ายสะกิดใจกับเหตุผลก่อนหน้านั้น “ไม่อย่างนั้น พี่วินต้องคอยกีดกันไม่ให้ผมสมหวังไปตลอดชีวิตแน่”

          “ฉันรู้น่า ไม่ต้องมาย้ำหรอก” ดรสะบัดเสียงใส่ “นายน่ะ ไปๆได้แล้วเหอะ”

          “ดีจัง ได้ยินแบบนั้นผมก็วางใจ” เดียร์บอกพร้อมกับยิ้มแล้วถอนใจออกมา “ถ้าอย่างนั้น ผมไปก่อนนะครับ อย่าลืมที่ผมแนะไปล่ะครับ ผมกลัวพวกธานินทร์จะจับได้ว่าเป็นพี่เข้านะ”

          หลังจากที่อีกฝ่ายออกไปจากร้าน ดรก็เริ่มสำรวจตัวเองทันที

 

          ทันทีที่กลับถึงบ้าน เดียร์ก็คิดว่าอย่างน้อยๆสิทธิ์ก็น่าจะหงุดหงิดใส่เขาอะไรแบบนี้ เพราะผลจากเมื่อกลางวันดูแล้วน่าจะทำให้ร่างสูงไม่พอใจนัก แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการเมินเสียอย่างนั้น แถมไม่ใช่เมินธรรมดา แต่เล่นหนีหน้าเหมือนเห็นเด็กหนุ่มเป็นขี้หมาเลยทีเดียว

          ไหงงั้น…มันก็ระทึกใจดีอยู่หรอก แต่ถ้าเป็นไปได้อยากได้แรงๆกว่านี้ง่ะ

          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นตอนกลับมาก็ท่าทางปกตินี่ หรือว่ามีอะไรกัน” คนที่ไม่รู้เรื่องราวพูดขึ้นหลังจากที่สิทธิ์วิ่งหนีขึ้นห้อง สีหน้าดูจะสงสัยเอาการ แต่เพียงไม่นานก็แสดงอาการเหมือนนึกบางอย่างที่สำคัญออก “จะว่าไป เหมือนเมื่อตอนกลางวันนายจะปลุกฉันใช่ไหม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

          หวยลงที่ตูตลอด…ถ้ากลัวว่าความจะแตก แกก็ช่วยฉันสิวะไอ้หมาเดียร์

          “น่าจะเป็นเรื่องเมื่อกลางวันมั้งครับ วันนี้พี่วินไปหาที่ร้านตอนที่คุณสิทธิ์อยู่ด้วยน่ะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ในขณะที่คนฟังหน้าหวอ

          “แล้วระเบิดไม่ลงเรอะ”

          “จะลงได้ไง ไม่ได้เจอหน้ากันนี่” ก้องอดอารมณ์เสียใส่ไม่ได้ และนั่นก็ทำให้เขาได้รับความรักอันแหลมคมทิ่มแทงเข้ามาด้วยสายตา “ก่อนที่คุณวินจะเข้ามาเจอ คุณสิทธิ์ก็รีบหนีไปก่อนน่ะ…อย่าถามฉันเลยนะ”

          ฤทธิ์ไม่ได้ถามต่อ เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรพูดต่อหน้าเดียร์

          “งั้นหรือ…งั้นก็ดีไปนะ…” หนุ่มตาตกเอ่ยด้วยสีหน้าดีใจแต่ฝืนเสียจนเห็นได้ชัด จากนั้นก็กลับไปดูทีวีเหมือนเดิม แต่ท่าทางยังคงกังวลไม่หาย

          เมื่อคนกวนไม่ว่าง เดียร์เลยหันไปหาก้องหวังจะถามเรื่องเมื่อกลางวัน แต่ไม่ทันได้มองหน้า มือหนาก็ดึงแขนเขาลากไปหลังบ้านอย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วยความเงียบเชียบ ยังดีที่เสียงในทีวีมันดัง ก้องเลยไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะได้ยินพวกเขาพูดด้วย

          “อย่าทำหน้าพรรค์นั้น ฉันไม่สนุก” ก้องบอกหลังจากเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของเด็กหนุ่ม เขาพยายามที่จะไม่สะบัดร่างอีกฝ่ายไปด้วยความหงุดหงิด เพราะมันจะยิ่งเข้าทางอีกฝ่ายเปล่าๆ

          “ครับๆ งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า ทำไมวันนี้คุณสิทธิ์เป็นอะไรทำไมทำตัวแปลกแบบนั้นล่ะครับ พี่บอกเหตุผลตามที่ผมบอกให้หรือเปล่า”

          “ฉันก็บอกไปตามตรงแล้ว แรกๆก็ยังดีอยู่ แต่ไม่รู้เป็นอะไรเกิดอยากเปลี่ยนใจไม่เอาด้วยขึ้นมา สงสัยจะเกิดนึกสงสารเธอกลางคันมั้ง ปกติของเขานี่” พอหงุดหงิด อะไรที่ทำไม่ค่อยจะเก่ง มันก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด “…แต่ที่แน่ๆ นายต้องเลิกยั่วโมโหหาเรื่องให้คุณสิทธิ์ทำร้ายนายได้แล้ว”

          “เอ๋!...เอ๊ย ทำไมล่ะครับ” เขารึอุตส่าห์กะจะไปหาเรื่องเก็บดอกเมื่อตอนกลางวันสักหน่อย เจอแบบนี้เสียอารมณ์จนพุ่งออกมาทางสีหน้าเลยทีเดียว

          “แล้วหลังจากจบเรื่องนี้ นายคิดจะเอายังไงกับคุณสิทธิ์ต่อละ จะคบต่อเรอะ”

          “โอ๊ย ไม่เอาหรอกครับ” ตอบเร็วเสียจนก้องรู้สึกสงสารสิทธิ์ขึ้นมาจับใจที่ดันหลวมตัวนึกชอบไอ้เด็กมาโซฯโคตรใจร้ายนี่ “เขาเป็นคนธรรมดานี่นา ต่อให้ผมชอบเวลาโดนเขาใช้ความรุนแรงก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา ถ้าคบจริงๆจังๆ ผมว่าเขาต้องหาเรื่องขอโทษผมเอาเป็นเอาตายแล้วจากนั้นคงกะจะถนอมผมประดุจไข่ในหินแน่ๆ แบบนั้นมันต่างอะไรกับพี่วินล่ะครับ ถ้าจบเรื่องแล้วผมก็คงพยายามทำเป็นว่าโกรธแล้วไม่อยากเจอหน้าต่อก็พอมั้งครับ คุณสิทธิ์เองก็คงน่าจะโอเคกับทางนี้มากกว่าด้วย”

          “ถ้าอย่างนั้น ฉันว่านายน่าจะเลิกหาผลประโยชน์ใส่ตัวได้แล้ว รู้หรือเปล่าว่าคุณสิทธิ์เขากลุ้มที่ต้องมาทำร้ายนายจะแย่อยู่แล้ว” เขาก็พูดจริงนะ เรื่องที่ว่าพ่อหมีแกกำลังกลุ้มน่ะ ถึงสาเหตุจะไม่ใช่ก็เหอะ “ในเมื่อนายรู้ว่าเขาเป็นคนธรรมดา นายก็ควรจะเลิกฝืนให้เขาทำตามใจเธอสักที มันไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้แล้วนี่ นายก็ทำเป็นว่าอยู่ในอาณัติอย่างจำยอมต่อคุณสิทธิ์แล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องทำมากกว่านี้เลย จริงไหม อย่างน้อยก็เห็นใจคุณสิทธิ์ที่ไม่ได้เป็นเหมือนพวกเราหน่อยเถอะ”

          “นั่นสินะ ช่วยไม่ได้แฮะ” ก้องแทบจะกระโดดตอนที่ได้ยินเสียงหวานตอบ แม้ท่าทางจะตอบอย่างเสียมิได้เท่าไหร่ก็ตาม “งั้นก็คงต้องรบกวนพี่ก้องแทนละกันครับ”

          ยิ้มไม่ออกเลยทีเดียว และไม่ต้องถามเขาก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไง

          “ผมคงไม่มีเวลาไปหาเศษหาเลยที่ไหนได้ด้วย จะให้คุณพี่ฤทธิ์ช่วยก็ไม่ได้แล้ว ก็เหลือแต่พี่นี่ล่ะครับ” ไม่ว่าเปล่ามีการเอามือมาตบไหล่ด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกหนาวชอบกล “เพื่อคุณสิทธิ์ใช่ไหมล่ะครับ”

          แม่ง ขู่ตูอีก รู้แล้วว้อย จะจัดหนักให้ถึงใจแกเลย

 

          เราเป็นคนธรรมดา…เป็นแค่คนธรรมดา…ไม่ได้ชอบอะไรวิปริตพรรค์นั้นสักหน่อย

          สิทธิ์นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาเรียวเพ่งมองตัวเองในบานกระจกของประตูตู้เก็บเสื้อ จากนั้นก็นิ่วหน้า แล้วก้มมองพื้นอย่างหดหู่

          ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ได้ชอบ

          แล้วทำไมถึงไม่ลบรูปหมอนั่นออกไปเล่า!!!

          พอเห็นรูปที่ถ่ายเก็บไว้ในมือถือทีไรก็ลบไม่ลงสักที และนั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ ถ้าเป็นรูปถ่ายของอีกฝ่ายตอนเวลาเขาเต็มใจก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ทั้งหน้าเจ็บปวดทั้งน้ำตาและน่าอาย แถมยังเป็นการทำลายศักดิ์ศรีอีก แต่ไม่รู้ทำไม้ทำไม ดูทีไรใจมันกระชุ่มกระชวย เลือดสูบฉีดแรง และทำใจลบไม่ลงสักที

          ม่ายยยยย

          สิทธิ์ขว้างมือถือ และด้วยความห่วงกลัวมันพังเลยขว้างลงบนที่นอนแทน ซึ่งนั่นก็ไม่ช่วยให้เขาได้บรรลุความสำเร็จได้สักที

          ก็แค่ลบรูป มันจะอะไรนักหนา ขืนไม่ลบนี่สิที่จะมีเรื่องจริงๆ

          รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำไม่ได้สักที จนท้ายที่สุดก็ได้แต่มานั่งกลุ้มต่ออยู่ที่ปลายเตียง

          “เราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น…ไม่เอาแบบนั้น” ชายหนุ่มเริ่มทำการสะกดจิตตัวเอง “เขาเองก็คงไม่เอา…”

          …

          นั่งนิ่งอยู่เกือบสิบนาทีก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

          ก็เราไม่คิดจะคบเดียร์ต่อไม่ใช่หรือไงวะ แล้วทำไมเราต้องนึกอยากทำตัวให้เขาพอใจด้วยล่ะฟะ

          คิดได้แล้วก็รู้สึกเสียดายเป็นล้นพ้นที่ดันตอบตกลงกับก้องไป อย่างน้อยเขาก็คิดว่าถ้าทำให้สะใจไปเลย อาจจะช่วยให้อะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในใจมันออกไปก็เป็นได้ แต่คำขู่บวกกับเหตุการณ์ตัวอย่างของก้องก็ดันน่ากลัวเกินกว่าเขาจะกล้าเปลี่ยนใจขอลองใหม่เสียด้วย

          ไม่สิ…ถึงจะไม่ใช่หมอนั่น แต่เราก็ต้องอดทนเพื่อป้องกันการกลายเป็นพวกจิตเสื่อมไม่เลือกคนนี่หว่า เพื่อชีวิตรักที่ปกติสุข แม้จะไม่ใช่กับเดียร์ก็ตามนี่นา…เพราะฉะนั้น ลบ!! ต้องลบเดี๋ยวนี้!

          เมื่อตัดสินใจได้ก็หยิบมือถือหมายจะลบไฟล์ที่ไม่มีความจำเป็นออกจากระบบเป็นครั้งที่หกสิบสี่ ดวงตาเรียวหรี่มองหน้าจอบนมือถือของตนเองราวกับยังลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้สักที

          “เฮ้อ” ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก สิทธิ์ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างคนหมดแรง ก่อนจะทำหน้าเครียดแล้วลุกขึ้นมา

          ทีนี้ก็เหลือแค่ในโน้ตบุ๊คต่อล่ะ…

________________________________
          ร้อนจนเขียนอะไรไม่ค่อยจะออกเลย =_= เอาหน้าหนาวกลับมาาาาาา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 29 (26/4/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-04-2014 23:31:47
ยอมรับซะเถอะว่าตัวเองมาโซ  :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 29 (26/4/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2014 02:25:04
ยอมรับเถอะจะได้สมหวังสมสุขกันทุกคน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 30 (22/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 22-05-2014 23:06:45
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 30
         
          “มีอะไร”

          ชาเอ่ยถามขึ้นหลังจากฟังรายงานวันนี้จากดรจบ แต่อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ยืนจ้องเขาไม่วางตาจนชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมา

          คนโดนถามทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะหลบตา “ไม่มีอะไรหรอกครับ”

          หมาที่ไหนจะเชื่อ

          “ถ…ถ้าผมพูด สัญญาได้ไหมว่าจะไม่โกรธ…” ดรรีบถามละล่ำละลักเมื่อเห็นสายตาคมทิ่มเข้ามา กลัวเหลือเกินว่าจะโดนชกก่อนได้พูดจบ

          มันก็ขึ้นกับเรื่องที่พูดน่ะนะ…แต่ลองพูดแบบนี้ไปแล้วใครมันจะกล้าพูด

          “ฉันไม่ใช่คนที่จะโกรธไม่มีเหตุผลนี่” หนุ่มหน้านิ่งตอบเสียงเรียบ “มีอะไรก็รีบๆพูดมา เราไม่ได้มีเวลาว่างกันมากนะ”

          เรื่องนั้นดรเองก็พอจะรู้ดี ถึงได้ต้องมารายงานเอาในเวลาจำกัดจำเขี่ยเพียงสิบนาที ในห้องน้ำของบริษัทตอนสองทุ่มแบบนี้นี่ล่ะ

          “ผมแค่อยากจะบอกว่า ถึงเรื่องในตอนนี้มันจะชวนเครียดมากยังไงก็อย่าเก็บมาใส่ใจมากนะครับ เดี๋ยวอะไรที่ไม่ควรจะเกิด มันจะเกิดก่อนวัยอันควร”

          คนฟังได้แต่เลิกคิ้วให้เพราะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่นัก

          “แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าต่อให้คุณไม่เหลือผมสักเส้น คุณก็ยังดูดีแน่นอนครับ”

          เขาไม่ผิดนะ ก็มันเล่นมาจี้ใจดำกันนี่ คนยิ่งกำลังเครียดๆเรื่องนี้อยู่ด้วย

          “โทษที เห็นยุงมันจะกัดหน้านายน่ะ เห็นไหม ดูสิ ไม่อย่างนั้นเสียเลือดฟรีไปแล้วนะ” ชาบอกด้วยสีหน้าเหมือนเดิม พร้อมกับยกมือที่เพิ่งจะเอาไปประทับบ้องหูอีกฝ่ายขึ้นมา “อ้าว สงสัยจะตบไม่โดน โทษทีนะ”

          ดรได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะท้วงก็กลัวยุงบินมาเกาะหน้าอีกรอบ “มะ…ไม่เป็นไรครับ”

          “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ ยุงมันเยอะ”

          ที่จริงเขาก็แค่อยากจะกลบเกลื่อนไอ้เรื่องที่มือลื่นเมื่อครู่ แต่ดูๆแล้วเหมือนจะไปขู่เสียมากกว่า เพราะทันทีที่พูดจบ คนฟังก็จากไปด้วยใบหน้าซีดเซียว แถมยังวิ่งออกไปอีกเหมือนกลัวจะโดนบ้องหูอีกรอบยังไงยังงั้น

 

          เสียงเรียกเข้าจากมือถือเรียกความสนใจให้กับผู้เป็นเจ้าของ และทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา สีหน้าที่มักจะนิ่งพลันของขึ้นทันที

          “ผมเดาว่าเวลานี้คุณน่าจะกลับถึงห้องแล้ว คงว่างคุยสินะครับ”

          “…แล้วทางคุณว่างโทรมาหาผมด้วยหรือครับ ไม่กลัวโดนจับได้หรือไง คุณเดียร์”

          “ได้ก็ดีสิครับ”

          น้ำเสียงนั้นช่างกระสันเสียจนคนฟังขนลุก ท่าทางอีกฝ่ายคงไม่ได้จัดให้ดังหวังเท่าใดนัก ถึงได้หงุดหงิดแบบไม่เก็บอาการขนาดนี้

          “ขอพูดสั้นๆละกันนะครับ วันพุธตอนบ่ายสาม เหมือนเดิม ผมจะไปคุยเรื่องคุณสิทธิ์”

          “หา แต่ผมมีงาน…”

          “ลาหยุดสิ ไม่เคยใช้วันลาเลยนี่ พี่วินให้อยู่แล้วล่ะ แค่นี้นะ”

          ยังไม่ทันจะอ้าปากท้วง ก็โดนตัดสายใส่เสียก่อน เลยได้แต่เบิกตามองโทรศัพท์ในมือด้วยความสงสัยปนตกใจ

          วางแผนบ้าอะไรอีกวะ

 

          “คุยกับใครน่ะ”

          ร่างบางกระตุกเมื่อได้ยินเสียงทุ้ม ใบหน้าเรียวหันมองไปยังชายหนุ่มด้านหลัง ดวงตากลมที่ตวัดมาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หากแต่สิทธิ์กลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขายังคงยืนนิ่งเพื่อรอฟังคำตอบ

          “เปล่า…”

          เดียร์เอ่ยพร้อมกับก้มหน้าคล้ายไม่อยากจะมองนานนัก ทำเอาสิทธิ์หงุดหงิดขึ้น แต่กระนั้นก็พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ไม่ให้ทำเรื่องบ้าบอที่หัวใจเรียกร้องอยู่ลึกๆ

          เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว เมื่อคนที่น่าจะเอ่ยปากประชดไม่ก็กระแนะกระแหนใส่ กลับทำแค่เพียงหันหลังกลับเข้าห้อง ไม่พูดอะไรเลย ไม่แม้แต่จะจ้องด้วยสายตาหงุดหงิดด้วยซ้ำ

          เขาก็รู้อยู่หรอกว่าที่ทำไปเมื่อครู่มันก็เหมือนกับเป็นการผิดสัญญากลายๆ และสิทธิ์เองก็ไม่ใช่พวกนิยมใช้ความรุนแรงกับคนที่ดูท่าทางอ่อนแอกว่าอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายอุตส่าห์เข้ามาหาเองทั้งที จะให้ปล่อยผ่านก็กระไรอยู่

          แต่ทั้งอย่างนั้นกลับเป็นฝ่ายถอยหนีเองซะงั้น…ก็ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอก แต่มาจุดไฟแล้วชิ่งหนีแบบนี้มันขี้โกงนี่หว่า

          เมื่ออารมณ์ค้างเติ่ง จะให้ทำเฉยก็ไม่ไหว แต่จะวิ่งกลับไปให้เจ้าตัวช่วยก็ไม่ได้ เลยเหลืออยู่แค่ทางเดียว

          “เฮ้ย!”

          ก้องเกือบเบาเสียงตัวเองไม่ทันตอนที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดผาง หนุ่มใหญ่เผลอเบ้ปากเมื่อเห็นผู้มาเยือนที่แสดงอาการกระหายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...ซึ่งน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก อาการอย่างกับซอมบี้ยังไงยังงั้น

          และสิ่งที่เดียร์ทำต่อจากนี้ยิ่งทำให้ก้องตกใจสุดๆ

          หนุ่มแว่นสะดุ้งโหยงกับสิ่งที่ตนทำลงไป ก้องขยับแว่นมองร่างบางที่ตนเพิ่งผลักออกไปเต็มแรงเสียจนกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างจัง ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรอย่างที่เห็น แถมยังกำลังทำหน้าฟินเสียจนแลดูขยะแขยงอีกต่างหาก

          “นาย…ทำบ้าอะไร” ก้องกดเสียงถามด้วยความคั่งแค้นที่โดนขโมยจูบ
         
          “ก็ถ้าไม่ทำแบบนั้น ผมจะได้ความรุนแรงแบบนี้เหรอ” ไม่ว่าเปล่า มีทำตาเยิ้มเลียปาก พร้อมกับลูบอกตัวเอง “พี่บอกเองนี่ว่าจะช่วยผม ตอนนี้ก็ได้เวลานั้นแล้วนะ”

          อยากไม่รู้เวลาจริงๆพ่อคุณ

          แต่ก่อนที่จะได้จัดให้สมใจ สิ่งแรกที่ก้องทำคือ ปิดประตูแล้วรีบกระชากเดียร์ยัดใส่ใต้เตียง จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาปิดไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจ้าของฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาในห้องจะเห็นความจริงที่ชวนตีความได้หลากหลายนี่

          “เกิดอะไรขึ้น” ฤทธิ์เปิดประตูเข้ามาถามหน้าตื่น เมื่อดวงตาตกสำรวจคนในห้องก็ต้องนิ่วหน้า “ร้องทำไม”

          “พอดีฉันลื่นนะ เลยเผลอร้องไป โทษทีที่ทำให้ตกใจนะ” พอเห็นผ้าห่มที่ตนปัดมาจนเกือบหล่นพื้นก็รีบพ่นคำโกหกใส่ทันที แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่นัก

          “ถ้าแค่ลื่น ทำไมมีเสียงเปิดปิดประตูล่ะ”
         
          ฉันชอบเวลานายคาดคั้นนะ แต่ไม่เอาเรื่องนี้ได้ไหมเนี่ย

          ฤทธิ์เลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็ก้มหน้าเงียบไป แต่ยังไม่ทันจะถามต่อ อีกฝ่ายก็โผเข้ามาดั่งคนไร้เรี่ยวแรงจนฤทธิ์อ้าแขนไปรับอย่างลืมตัว

          ?

          ถึงจะตกใจกับจูบที่เขามาแบบสายฟ้าแล่บ แต่คนโดนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขืนหนี ปล่อยให้หนุ่มแว่นสุขสมจนหนำใจ เพราะยังไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

          “แหม ความแตกจนได้…ที่จริงฉันทำไปเพราะอยากจะให้นายมาหาหรอก…” ก้องเอ่ยเสียงหวานพลางลูบริมฝีปากคนที่กำลังยืนนิ่งเป็นหิน “แบบว่า ฉันอยากจังเลย อู้สักชั่วโมงไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง…น้า”

          กลับมาได้สติแล้ว ถึงจะช้าไปมากก็ตาม

          “บ้าเรอะ”!!!!” ฤทธิ์ร้องเสียงหลงพร้อมกับผลักหนุ่มแว่นออกไปเต็มแรง ก่อนที่จะโดนล่วงล้ำเข้ามายังปราการเบื้องล่าง แม้ก่อนหน้านี้จะเผลอให้ลูบคลำตามใจชอบอยู่นานสองนานแล้วก็ตาม “ถ้าอยากนัก ก็ไปรูดเอาเองโน่น ฉันไม่ว่าง ไม่มีอารมณ์ด้วย”

          ว่าจบก็ออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียลั่นเหมือนไม่กลัวว่าสิทธิ์จะได้ยินแต่อย่างใด ก็ใครจะไปคิดกันว่า ไอ้คนท่าทางเฉื่อยแฉะ ไม่เคยจะเอ่ยปากขอแบบโจ่งแจ้งก่อนเลยสักครั้งตั้งแต่คบกันมา อยู่ๆดันมาหื่นออกนอกหน้า แถมยังทำท่ายั่วซะขนาดนั้น ใครจะไม่ตกใจบ้าง

          ฤทธิ์เหลือบมองทางที่ตนเพิ่งเดินหนีมา ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจหรอก เพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เวลาส่วนตัวก็ไม่ค่อยจะมี ขนาดเขาเองยังนึกอัดอั้นบ้างเลย เพียงแต่ก็อดทนเพราะงานหรอก แต่ไหงคนที่อดทนเก่งอย่างเจ้าแว่นนั่นกลับสติแตกก่อนเขาได้ยังไงกันล่ะนี่

          ชายหนุ่มยืนนิ่งจนใบหน้าที่แดงระเรื่อกลับมาเป็นปกติ คิดอยู่นานก่อนจะส่ายหัวเบาๆ

          คงไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษหรอกมั้ง…

 

          “โอ้ นั่นเป็นวิธีเรียกร้องความรุนแรงแบบละมุนละม่อมจากพี่ฤทธิ์งั้นสินะ”

          เพลิดเพลินจำเริญใจกับแรงผลักและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดได้ไม่ถึงห้าวิก็ต้องกลับมาอารมณ์เสียทันทีเมื่อได้ยินเสียงผีจากใต้เตียง ก้องหรี่ตามองไอ้เด็กบ้าที่ทำหน้าระรื่น ซึ่งชวนยั่วโมโหเป็นอย่างยิ่ง แม้ลึกๆจะนึกขอบใจมันเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ตาม

          “ไม่ต้องยุ่งกับฤทธิ์นักหรอกน่า” ก้องตัดบทอย่างรำคาญ ไม่เคยนึกหึงแฟนตัวเองมากเท่านี้มาก่อน แน่ล่ะ ก็คู่ต่อสู้มันกระดูกคนละเบอร์กับตัวเองนี่นา “นายเองก็เถอะ จะอยากทำไมไม่บอกกันก่อนวะ อยู่ๆมาปุบปับ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”

          “ช่วยไม่ได้นี่ ผมทนไม่ได้แล้ว” พอออกมาก็เอ่ยเสียงเข้มเสียจนคนโกรธชักเริ่มกลัวแทน “เร็วๆ ผมพยายามอดทนเพื่อพวกคุณอยู่นะ ขอแบบแรงๆ เอาแบบอยู่ได้สักสามสี่วันยิ่งดี ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

          ช่างเป็นคำขู่ที่ชวนให้ลังเลว่าควรจะกลัวหรือไม่ได้ดีจริงๆ

          “เออ รู้แล้วน่า” หนุ่มแว่นกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะเดินไปหยิบเชือกฟางออกมาจากลิ้นชัก “ว่าแต่นายเหอะ เรื่องแผนน่ะ ถึงไหนแล้ว”

          เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ามึนตึงใส่ เลยซัดเข้าชายโครงให้หนึ่งดอก

          “ก็รีบอยู่ล่ะครับ เหลือแต่ปัดเสี้ยนหนามทิ้งก่อน” เดียร์ตอบอย่างระทดระทวย ไม่ชวนให้รู้สึกเห็นใจแม้แต่นิดเดียว “จะได้มั่นใจว่าจากนี้ไปคงจะไม่มีทางมาขัดขาได้อีก”

          “เสี้ยน?...ใครมันฉลาดพอจะมาขวางแผนนายได้” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ฉันต้องจัดการด้วยหรือเปล่า”

          “ไม่ต้องถึงมือพี่หรอก ผมก็แค่กันเขาไว้มาใช้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเท่านั้นเองครับ ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะ…อย่าหยุดมือสิ เอาข้างหลัง ตรงนี้ๆ อ๊า…ตรงนั้นล่ะๆ อา…”

          ก้องชักอยากจะร้องไห้ ไม่รู้ตกลงใครทรมานใครกันแน่

 

          สิทธิ์แง้มประตูออกมาจากห้องตอนตีสี่ ซึ่งตอนนี้คงไม่มีใครตื่นนอกจากฤทธิ์ และแน่นอนว่าคนคุ้มกันก็ขึ้นมาทันทีอย่างรู้งาน และหูผีเสียจนน่าสยอง

          “เอ่อ ผมแค่นอนไม่หลับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ถ้าได้ยินเสียงประตูเปิดๆปิดล่ะก็ ผมเอง”

          เมื่อเจ้านายบอกแบบนั้น ลูกน้องก็กลับลงไปเฝ้าต่อ

          พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายลงไปแล้ว สิทธิ์ก็ดอดไปเปิดประตูห้องตรงข้ามทันที

          ในห้องมืดสนิทอย่างที่ควรเป็น ร่างบางนอนนิ่งอยู่บนเตียง เสียงแอร์ดังอย่างสม่ำเสมอ ช่วยกลบเสียงประตูและเสียงฝีเท้าของสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มค่อยๆย่องเข้าไปด้านใน อาศัยแสงไฟจากทางเดินด้านนอกส่องพอให้เห็นสภาพภายในบ้าง

          หือ…

          สิทธิ์ยกเท้าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเหยียบเข้ากับของแข็งและเล็ก คิ้วหนามุ่นเข้าหาเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนเหยียบนั้น มันไม่ควรจะอยู่ในห้องนอน

          กรวดสี?

          ชายหนุ่มเผลออ้าปากค้าง เพราะจะบอกว่าทำความสะอาดไม่ดีก็คงไม่ใช่ บ้านนี้ก็ไม่ได้จัดสวนแบบใช้กรวดสีด้วย

          …สงสัยซื้อมาทำงานฝีมือแล้วทำหล่นล่ะมั้ง…

          คิดได้ดังนั้นก็กลับมาสนใจเป้าหมายเดิมต่อ ร่างสูงหันมองไปรอบห้อง เมื่อเห็นมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กที่มุมห้องก็รีบเข้าไปคว้าทันควัน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังแล้วหนีกลับห้องตัวเองอย่างเงียบเชียบ

          “บ้าเอ๊ย มือถือก็ดันมีรหัสอีก” ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย ความหวังที่จะได้รู้ว่าเดียร์โทรหาใครเป็นอันหมดกัน “โทรหาใครกันนะ…”

          ถ้าเป็นไอ้หมาหน้าแว่น รับรองว่าคงไม่มีทางสงบสุขจนถึงตอนนี้แน่…หรือจะเป็นเพื่อน…

          สิทธิ์นิ่วหน้า เมื่อนึกถึงคนที่เขาควรจะนึกออกแต่แรก คนที่น่าจะเป็นห่วงและอาจจะรู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีของเดียร์ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ…คนที่เป็นคนพิเศษกว่าใครสำหรับเดียร์…

          หรือว่า…




________________

ร้อนจุง นี่จะมิถุนา แต่ก็ยังร้อนจุง....อยากเห็นฝนตกทุกวัน =[]=!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 30 (22/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 23-05-2014 03:01:47
หรือว่าO[]O???? เดียร์เมื่อไรแกจะได้ฟินอย่างจริงจังซักทีนะ ถถถ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 30 (22/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-05-2014 10:09:11
รู้สึกว่าสั้นไปหน่อยนะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 30 (22/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 25-05-2014 15:08:30
หึหึหึหึหึ จงลากเข้าลัทธิ  SM ซะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 31 (26/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-05-2014 20:01:20
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 31
         
          ชานิ่วหน้าเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วบริเวณในห้างสรรพสินค้าตรงหน้าร้านขายไก่ทอด ก่อนจะทิ้งตัวลงไปยังม้านั่งหน้าร้านเมื่อคนที่นัดไม่มาสักทีก็เริ่มร้อนใจ แม้ความจริงแล้วตนจะมาก่อนเวลาถึงสิบห้านาทีก็ตาม

          วางแผนอะไรไว้วะ

          เขาอาจจะไม่กังวลมากก็ได้ ถ้าเดียร์ไม่จงใจนัดเอาวันนี้เพราะวันนี้เป็นวันที่วินไปตรวจงาน และสถานที่ที่วินไปนั้นก็เป็นที่เดียวกับที่ดรเฝ้า เพราะฉะนั้น วันนี้ดรจึงต้องกลับไปเฝ้าบ่อนเพื่อไม่ให้วินผิดสังเกต เลยกลายเป็นว่าวันนี้เขาต้องมาโดยไม่มีคนช่วยดูต้นทางให้เลย

          “อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวก็หมดหล่อหรอก”

          ชาแสดงอาการหงุดหงิดแบบไม่ปิดบังใส่ทันทีที่เห็นหนุ่มน้อยหน้าหวานเดินโบกมือเข้ามาหา ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนเขากับไอ้เด็กผีนี่เป็นคนรักยังไงยังงั้นซึ่งยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่

          “ช่วยบอกผมให้ฟังได้ไหมครับว่าวันก่อนเกิดอะไรขึ้น แผนมันถึงได้ล่มกัน หา”

          “คือคุณสิทธิ์เปลี่ยนใจกะทันหันน่ะครับ ผมก็ไม่รู้สาเหตุจริงๆหรอก แต่เห็นว่าเพราะสงสารผม…คงกลัวผมเสียใจที่ทำให้พี่วินเดือดร้อนมั้ง” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน หากแต่คนฟังทำท่าจะบีบคอเขาอยู่รอมร่อ “เพราะงั้น คงต้องใช้แผนต่อไปแทนแล้วล่ะ”

          ตกลงแกมีแผนสำรองไว้กี่โหลวะ

          “ขอให้มันได้ผลเถอะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะหมดความอดทนแล้วจะไปจัดการไอ้นินมันตรงๆแล้ว” ชาเอ่ยเสียงเครียด “ว่าแต่คุณคิดอะไรอยู่ ถึงได้เจาะจงนัดผมมาวันนี้น่ะ ไม่ใช่ว่าวางแผนอะไรไว้อีกหรอกนะ

          “แหม เชื่อใจกันบ้างสิครับ ที่เจาะจงเพราะผมกลัวว่าตอนคุยกับคุณจะหลุดทำสีหน้าประหลาดๆออกมาให้พี่ดรเห็นต่างหาก” ไม่ว่าเปล่า มีทำเขินอายใส่ แต่ชามองปราดเดียวก็รู้ว่ามันทำหน้าแบบนั้นเพราะอะไร “แบบว่าอยากจะถามว่ามีอะไรดีๆพอมาแบ่งปันบ้างไหมครับ พอดีต้องเพลาๆเรื่องยั่วโมโหคุณสิทธิ์เขาน่ะ ขอแบบทำที่บ้านได้นะ”

          ว่าแล้ว

          “ไอ้มีก็มีอยู่หรอกครับ แต่คุยธุระให้จบก่อนเถอะ” หนุ่มหน้านิ่งติงเสียงเรียบ “แล้วจะให้ผมทำยังไงต่อล่ะ”

          “งานนี้คงหนักหนาสาหัสกับคุณชามากเลยล่ะครับ เพราะงั้น ผมหวังว่าคุณจะทำไหวนะ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะแย่กันหมด” เดียร์พูดด้วยสีหน้าสบายๆทั้งที่คำพูดไม่เข้ากันเลยสักนิด “อย่างแรกสุดคือคุณต้องเชื่อใจผม”

          หน้าเบี้ยวกันเลยทีเดียว ให้โดดลงกลางมหาสมุทรแปซิฟิกยังจะทำง่ายเสียกว่า

          “ผมไม่คิดจะทำลายความสุขคุณหรอก ดีเสียอีกถ้าพี่วินจะยุ่งอยู่แต่กับคุณ” เด็กหนุ่มเริ่มเกริ่นในสิ่งที่ทำให้คนฟังกังวลหนักกว่าเดิม “เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น ช่วยเชื่อใจผมจะได้ไหมล่ะครับ คิดเสียว่าเพื่อพี่วินก็ได้”

          ถ้าไม่ตะล่อมเก่ง ฉันอาจจะยอมเชื่อง่ายกว่านี้ก็ได้

          “ก็ลงเรือลำเดียวกันมาแล้วนี่ครับ ที่ผมยอมขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าเชื่อใจอีกหรือไง” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แล้วตกลงผมต้องทำอะไรบ้างล่ะ”

          ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

          “ผมบอกแล้วไงครับว่าให้เชื่อใจผม” เดียร์บอกเมื่อโดนถลึงตาใส่ “ที่คุณต้องทำ ก็แค่อดทน แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นก็พอครับ”

          ชาทำหน้าปั้นยาก แม้จะไม่อยากเลยสักนิด แต่เขาจะทำอะไรได้

          “เข้าใจแล้ว” เขาตอบอย่างเสียมิได้ “งั้นผมกลับก่อนล่ะ อยู่นานไปคงไม่ดี เกิดลูกน้องไอ้นินมาเห็นเข้าคงจะแย่”

          “เดี๋ยวสิครับ ไหนว่าจะบอกเรื่องนั้นไง” เสียงหวานเอ่ยรั้งพร้อมกับทำหน้าจะร่ำไห้ แต่คนมองกลับรู้สึกสยองสุดตัว ต่อให้เป็นสายเดียวกันยังไงก็เถอะ อีกฝ่ายมันขั้นสูงเกินไป แถมยังแสดงออกให้เขาเห็นมากเกินไปด้วย “ได้โปรดเถอะครับ ผมจะลงแดงตายอยู่แล้ว”

          “เข้าใจแล้วครับ แล้วคุณจะร้องไห้ทำไมเนี่ย!”ชากดเสียงต่ำด้วยความตื่นตระหนก และยิ่งช็อกกว่าคือไอ้เด็กตรงหน้ามันโผเข้ามาซบอกตัวเองด้วยนี่แหละ แล้วจะให้เขาผลักออกต่อหน้าสาธารณชนก็ใช่ที่ เลยได้แต่กำหมัดระบายความโกรธออกมาแทน “รีบๆออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ แค่คิดว่ามีคนเข้าใจผิดว่าเราเป็นแฟนกันไปไม่รู้ตั้งกี่คน ผมก็ผื่นขึ้นจะแย่อยู่แล้วครับ”

          “ฮะๆ ขอโทษนะครับ พอดีอัดอั้นไปหน่อย” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาผละออกมาระบายยิ้มให้ “อยู่กับคุณสิทธิ์แล้วผมอึดอัดมากเลย ยิ่งตอนนี้เขาไม่ทำอะไรผมเลยด้วย ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

          “อ่า…ครับ” ชาตอบแบบขอไปทีเพราะง่วนอยู่กับการเช็ดคราบน้ำตาบนเสื้อ “ถ้างั้นเย็นนี้ผมจะส่งข้อความไปแทนละกัน…ผมส่งให้แน่ ไม่ต้องห่วง รอรับได้เลย ผมไปก่อนละกันอยู่นานไปคงไม่ดี”

          “ครับ ไปเถอะ” เด็กหนุ่มโบกมือลาด้วยรอยยิ้มหวานพลางปาดน้ำตา ในขณะที่คนจากไปเดินหนีด้วยความไวแสง เดียร์ยังคงโบกมือจนกระทั่งชาหายลับออกไป เขาจึงหยุด และเบนสายตาไปยังทางอีกฝั่ง ก่อนจะยิ้มพราย

          ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อดทนไว้นะครับ~

 

          “ว่าไงครับ เป็นไงมั่ง”

          ก้องนิ่วหน้ามองคนถามด้วยความข้องใจ ทีแรกที่เห็นสิทธิ์ลนลานเข้ามาหาถึงห้องนอน เขาก็นึกว่าจะมีเรื่องอะไรเสียอีก แต่กลับสั่งให้ตามเดียร์ออกไปเพื่อดูว่าอีกฝ่ายไปพบใครเสียอย่างนั้นซึ่งทำให้หนุ่มใหญ่ที่กำลังกังวลว่าเจ้านายแสนดีจะเผลอตกหลุมเดียร์ เริ่มกลัวหนักกว่าเดิม เพราะไอ้ที่สั่งให้ทำนี่ ไม่ว่าจะดูอย่างไร ก็เหมือนสิทธิ์กำลังหึงหวงเดียร์อยู่ชัดๆ

          “ว่าไงล่ะครับ เขาออกไปเจอใคร” เมื่อเห็นลูกน้องเอาแต่ใบ้กิน ชายหนุ่มก็คาดคั้นต่อ “ใช่คุณชาหรือเปล่าครับ”

          คิ้วกระตุกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหูและถูกต้อง “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”

          “ก็เขาเป็นแฟนกันไม่ใช่หรือครับ”

          อยากสำลักทั้งที่ไม่มีอะไรให้สำลักขึ้นมาเลยทีเดียว

          “ก็ผมเคยเห็นเขาแอบคุยกับเดียร์ในห้องพนักงานในร้านดอกไม้ แถมคุณชาทำหน้าเจ็บปวดมากมายตอนผมเข้าไปในห้อง จะให้คิดเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ เขาต้องเข้าใจผิดว่าเดียร์เลิกกับเขาแล้วมาคบกับผมอะไรแบบนี้แน่ๆเลยครับ”

          ถึงผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นพูดเรื่องอะไรในห้องนั้นแต่ผมเชื่อเลยว่า ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่นอน อย่างน้อยก็เรื่องคบกันนั่นล่ะ แล้วคุณชาเขาก็อยู่สมาคมคนชอบโดนรังแกเหมือนกัน ไม่มีทางคบกับเจ้าพ่อมาโซฯอย่างไอ้เดียร์ได้หรอก

          “ผมคงเลวมากสินะครับ…ทั้งที่พวกเขาคบกันก่อนอยู่แล้วแท้ๆ…ถ้าผมรู้มาก่อนผมคงไม่เลือกทางนี้หรอก…”

          ‘ไม่ใช่ความผิดคุณหรอกครับ’ก้องเกือบจะหลุดปากไปแล้ว ถ้าไม่นึกถึงสิ่งที่ดีต่อสิทธิ์ขึ้นมาได้

          นี่มันโอกาสนี่หว่า

          “แต่อย่างน้อยตอนนี้คุณก็รู้แล้วนี่ครับ…จากนี้ไปคุณคงไม่ทำให้สองคนนั้นต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้แล้วใช่ไหมละครับ”

          สิทธิ์บึ้งหน้า ท่าทางสับสนเอาการอย่างที่ไม่น่าจะทำ ก่อนจะกัดฟันกรอด “นั่นสินะครับ…อย่างน้อย ผมก็ควรจะทำอะไรชดใช้บ้าง…พี่ว่าดีไหม”

          หนังตาขวากระตุกทันที “เอ่อ ผมว่าไม่ต้องก็ได้มั้งครับ…คือในเมื่อตอนนี้เขาเกลียดคุณ ต่อให้ทำดีแค่ไหน เดียร์เขาก็คงไม่รู้สึกดีนักหรอกครับ”

          “…มันอาจจะเป็นการเห็นแก่ตัวก็ได้นะครับ แต่ผมอยากทำเพื่อความสบายใจ…” สีหน้าของคนพูดดูเจ็บปวดเหลือแสน จนก้องถึงกับรู้สึกแย่ไปด้วย แต่เพราะรู้ถึงผลลัพธ์เป็นอย่างดี เขาถึงได้พยายามคัดค้านเต็มที่ “นะครับ ให้ผมทำเถอะ…”

          …ไม่ต้องทำหน้าอ้อนให้เหนื่อยเปล่าเลยครับ ผมไม่ใช่คุณวัฒน์ที่จะยอมใจอ่อนกับคุณไปซะทุกเรื่องนะ…บอกว่าไม่ต้องทำไง ถึงจะดูน่าสงสารยังไง ผมก็ไม่ยอมหรอก…ไม่ยอม!! นี่ผมกำลังทำเพื่อคุณอยู่นะ เลิกทำหน้าตาเหมือนลูกหมาโดนทิ้งในสายฝนสักทีเถอะครับ เห็นอย่างนี้น่ะ ผมเป็นคนใจแข็งนะครับบบ

          “แค่คุณไม่ไปหาเรื่องแกล้งเขาอีก แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

          “แสดงว่าพี่จะไม่ช่วยผมสินะครับ…”

          มีงอนอีก โอ๊ย บอกแล้วไงว่าต่อให้ทำตัวน่าสงสารยังไงก็ไม่ได้ผล อย่าให้ผมต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลยครับ

          “ก็แค่ครั้งเดียว…แล้วผมจะไม่ขออีกแล้ว…นะครับ…น้า”

          “จะให้ทำอะไรล่ะครับ”

 

          เดียร์แปลกใจนิดหน่อย เมื่อเห็นหนุ่มแว่นผมกระเซิงยืนหน้านิ่งอยู่หน้ารั้วบ้าน และไม่ต้องถามให้เสียเวลา อีกฝ่ายก็รอตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอยู่แล้ว

          “คุณสิทธิ์เขาอยากจะทำอะไรไถ่โทษนาย”

          หน้าเบี้ยวใส่ทันที

          “ฉันรู้น่า ช่วยอดทนสักนิดได้ไหม” ก้องร้องอย่างเหนื่อยหน่าย สายตาก็คอยระวังว่าคนในบ้านจะแอบดูอยู่หรือเปล่า “อย่างน้อย ช่วยทำเป็นกลัวๆ แต่ก็รู้สึกดีสักเสี้ยวนึงเหมือนโดนเอาแส้ติดหนามเฆี่ยนหลังหน่อยได้ไหม แล้วหลังจากนั้น ฉันจะโบยนายจนกว่าจะสลบไปข้างเลย”

          “โด่ ถึงจะพูดงั้นงี้ แต่พี่ก็ออมแรงทุกทีนี่ แล้วเวลาตีน่ะ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่แรงสักหน่อย มันอยู่ที่เจตนาต่างหาก” เด็กหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด “เออๆ ก็ตกลงกันไว้แล้วนี่นา ผมจะพยายามคิดว่ากำลังเดินเหยียบเศษแก้วอยู่ก็แล้วกัน”

          ขนาดทำหน้าเหมือนไม่อยากเสียขนาดนั้น แต่พอก้าวเข้าบ้านนี่กลายเป็นกระต่ายน้อยขี้กลัวทันควันเสียจนคนมองถึงกับขนลุก

          สิทธิ์สะดุ้งนิดหน่อยตอนที่เห็นร่างบางเปิดประตูเข้าบ้านมา ใบหน้าเรียวขาวดูหม่นหมองเมื่อมองมาทางชายหนุ่ม ก่อนจะบ่ายหนีไปทางอื่นคล้ายกับไม่อาจทนเผชิญหน้าได้อีกต่อไป

          ชายหนุ่มบึ้งหน้า ปากที่กำลังจะพ่นคำด่าหุบกลับลงอย่างรวดเร็ว เขาได้แต่ท่องนโมดับอารมณ์ตัวเอง ไม่อยากให้งานนี้พังโดยใช่เหตุ

          “…กลับมาเหนื่อยๆ หิวน้ำไหม”

          คำถามเหมือนภรรยาพูดกับสามีที่กลับจากทำงานนี่มันอะไรฟะ!!!

          เดียร์เม้มปากแน่นถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่มาถึงเล่นเจอมุกนี้ ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว อย่างน้อยเขาก็หวังว่าในการกระทำที่ดีนั้น น่าจะแฝงความรุนแรงกระแทกกระทั้น ไม่ก็เย็นชาใส่มาบ้างก็ยังดี

          “อืม…” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ในเมื่อใบสั่งมาให้ยอมดีด้วย เขาเลยต้องฝืนยอม ยังดีที่ดูเหมือนว่าฤทธิ์จะไม่อยู่ เขาเลยไม่ต้องพยายามใส่ความรักจอมปลอมลงไปในท่าทีของตนด้วย

          พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าแม้จะดูฝืนๆ สิทธิ์ถึงกับยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้าไปในครัวก่อนจะออกมาพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว แล้วยื่นให้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขสุดๆ

          ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าอาจจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอโดนเข้ากับตัวจริงๆ มันก็อดสยองไม่ได้อยู่ดี อย่างน้อยเขาก็หวังว่าอีกฝ่ายจะยื่นโดยไม่มองหน้า พร้อมกับทำเสียงต่ำบังคับให้รับบ้างเป็นการไว้ตัวก็ยังดี นี่อะไร ท่าทางอย่างกับหมาเห็นเจ้าของกลับบ้านมาเนี่ย รับไม่ได้ว้อย!!!

          “ขะ…ขอบคุณครับ” เดียร์รับมาอย่างกล้าๆกลัวๆ พยายามคิดว่าอีกฝ่ายกำลังวางยาถ่ายให้ตนอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆได้

          “จะว่าไป…ตั้งแต่อยู่มา ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอชอบอะไร…เหวอ!เดียร์” สิทธิ์ร้องเสียงตื่น เมื่ออยู่ๆคนที่กำลังดื่มน้ำก็สำลักพรวดออกมา

          ก้องที่ยืนดูลาดเลาอยู่หน้าประตูถึงกับหน้าเสีย เมื่อสิทธิ์ที่เข้าไปหมายจะพยุงเดียร์โดนผลักออกมาเสียจนถอยหลัง ดวงตากลมที่มักจะดูสุภาพใจดีและติดกลัวอยู่เล็กน้อยกลับเต็มไปด้วยความเดือดดาลและแข็งกร้าว ดูน่ากลัวเสียจนหนุ่มแว่นถึงกับผงะ

          “คุณเลิกทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้แล้ว” เสียงที่มักจะหวานใส ทุ้มเถื่อนเสียลงจนคนฟังอึ้ง “คิดหรือว่าทำกับผมไปขนาดนั้นแล้วจะมาไถ่โทษด้วยการทำดีนิดๆหน่อยๆแบบนี้ได้น่ะหา”

          เนื่องจากไม่คิดว่าจะโดนโต้ตอบแบบนี้ เลยเกิดอาการมึนงงไปหลายวินาทีกว่าจะได้สติกลับมา

          “ฉัน…” เสียงทุ้มเงียบหายไปกับอากาศ เมื่อไม่สามารถให้คำตอบอีกฝ่ายได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกโทษให้ตนเพียงเพราะการทำดีเล็กน้อยเหมือนกัน สิทธิ์จึงได้แต่ใบ้กิน กระนั้นก็ยังจ้องหน้าคล้ายกับต้องการรั้งคนตรงหน้าเอาไว้ “…ฉันก็ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย…ที่ทำไปก็แค่เห็นว่าเธอน่าจะเหนื่อย…”

          “เหนื่อย?เฮอะ! มันก็แน่อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มสวนเสียงลั่น “แค่ต้องมาเจอคุณแบบนี้ทุกวัน ผมก็เหนื่อยจนแทบบ้าอยู่แล้ว ผมแนะนำนะ ว่าถ้ากลัวผมเหนื่อยนัก ทางที่ดีคุณไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าเลยนั่นล่ะ ผมหายเหนื่อยแน่”

          เบื่อจะแอ๊บแล้วนะว้อยยย ถ้าทำร้ายผมไม่ได้ก็ไปไกลๆเลย!!!

          ซึ่งก็แน่ล่ะว่าร้อยทั้งร้อยก็ต้องคิดว่า เดียร์เหม็นขี้หน้าสิทธิ์จนทนไม่ไหวแน่นอน

          ก้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างแบบไม่ต้องมีจิตสัมผัสจากตัวสิทธิ์ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเป็นที่สุด
         
          “แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่เธอพูดด้วย”

          เสียงทุ้มเหี้ยมดังเยาะสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดโดนสีหน้าดูถูกเหยียดหยามกลบเสียสิ้น ดวงตาเรียวคุโชนไปด้วยหลากอารมณ์ ร่างสูงเข้าหาคนตัวเล็กกว่าพร้อมกับเอื้อมมือเข้ามากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายใบหน้านวลเบือนหนีอย่างรวดเร็ว แขนบางพยามทั้งทุบและผลักหากแต่กลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย

          “เห็นฉันทำดีเข้าหน่อยแล้วลืมตัวหรือไง” สิทธิ์กระซิบใส่หู “อย่าลืมข้อตกลงของเราสิ หรือใครจะเป็นอะไรเธอก็ไม่สนใจกันล่ะ ถ้าแบบนั้น อยากจะออกไปจากบ้านนี้เลยก็ได้นะ”

          ดวงตากลมเบิกกว้าง จ้องกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะเบือนหน้าหนี มือเล็กพยายามดึงกลับทุกขณะ หากแต่อีกฝ่ายเองก็ดื้อเพ่ง กระชากคืนด้วยแรงที่มากกว่าตลอด

          “ว่าไงล่ะ ออกไปสิ อยากออกนักไม่ใช่หรือ เกลียดหน้าฉันไม่ใช่หรือไง หือ” สิทธิ์ดึงร่างบางเข้ามาเอ่ยกระซิบข้างหูอีก ก่อนจะสะบัดออกเต็มแรงจนเด็กหนุ่มเซ “เอาเลย ถ้าคิดว่าคนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง เอาเลยสิ เอาเลย!”

          ใบหน้าหวานที่บิดเบี้ยวหันมองมาที่ชายหนุ่ม เดียร์อ้าปากคล้ายกับจะอยากพูด แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพียงก้มหน้านิ่งเท่านั้น

          และก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่าเดิม ก้องก็รีบเข้าไปหาสิทธิ์ก่อนที่ผู้เป็นนายจะทำการรังแกเดียร์ไปมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อเห็นหน้าหนุ่มแว่น จากที่กำลังทำหน้าเหี้ยม เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน

          “…เฮอะ ฉันอุตส่าห์ดีด้วยไม่ชอบ ชอบหาเรื่องให้โมโห เธอทำตัวเองเองนะ” สิทธิ์โวยลั่นก่อนจะกระฟัดกระเฟียดหนีขึ้นห้องอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะโดนจับได้ว่าในตอนนี้ รู้สึกผิดจนอยากจะวิ่งไปกระโดดตึกมากเพียงใด

          ทันทีที่อยู่กันเพียงลำพังสองต่อสองและก้องก็มั่นใจแล้วว่าสิทธิ์เข้าห้องไป เขาก็หันไปตีหน้าเหี้ยมใส่เดียร์ต่อทันที ผิดจากเมื่อครู่หน่อยตรงคนที่ทำท่ากลัวบัดนี้กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อเต็มที

          “ผมรู้น่าว่าผมผิด” ก่อนที่ก้องจะได้เอ่ยปาก เดียร์ก็ชิงพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ผมพยายามแล้วนะ ก็เขานั่นล่ะ ดูทำเข้าสิ ผมไม่อ้วกใส่แถมให้ก็บุญโขแล้ว”

          ก้องได้แต่อึ้งและถอนหายใจด้วยความเหนื่อย ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจหรอกนะ “ก็แค่แป๊บเดียว แค่นี้เอง ทำไมถึงทนเอาหน่อยไม่ได้ล่ะ ฉันว่าแต่ก่อนนายอดทนเก่งกว่านี้นี่”

          เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ สีหน้าเหมือนกำลังคิดแต่ไม่ค่อยจะใส่ใจนัก จนหนุ่มแว่นถลึงตาใส่ “ก็จริงของพี่นะ คงเพราะปกติคุณสิทธิ์เขาทำตัวโหดร้ายใส่ผมประจำ แล้วอยู่ๆมาทำดีด้วย ผมเลยหงุดหงิดน่ะ เป็นพี่ไม่รู้สึกสยองบ้างหรือไง ถ้าพี่ฤทธิ์เกิดมาทำดีกับพี่บ้างล่ะ”

          สยองว้อยยยยย ถ้าแบบตบหัวแล้วลูบหลังยังพอทน แต่ขืนทำตัวเป็นศรีทนได้ ตูขอตาย ณ บัดนาวเลย

          “เออๆ เอาเถอะๆ แต่ต่อไปนี้ ช่วยทำตัวให้มันดีๆหน่อยก็แล้วกัน” ก้องโบกมือให้ อย่างน้อยนี่ก็อาจทำให้สิทธิ์เลิกคิดอะไรแผลงๆได้สักที “…”

          ทีแรกหนุ่มใหญ่ก็คิดว่าเดียร์จะขึ้นห้องเหมือนกัน แต่เด็กหนุ่มกลับยืนอยู่ที่เดิม พร้อมกับส่งสายตาที่เป็นประกายและมีความหวังมาให้เขา

          ก้องไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่เดินไปที่ห้อง เพื่อหยิบแส้แมวเก้าหางออกมาใช้งาน



____________________________

มายาวตอนนี้อ่ะฮิๆ XP
=w= ช่วงนี้น่าจะเปิดเทอมกันแล้ว แต่อากาศก็ยังร้อนประดุจนั่งเรียนในซัมเมอร์เหมือนเดิม ระวังสุขภาพกันด้วยเน้อ คนเขียนกำลังจะละลายแล้ว
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 31 (26/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-05-2014 21:53:15
ยังไม่จุใจเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 31 (26/5/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 26-05-2014 22:06:28
ไร้ซึ่งคำบรรยาย....  โปรดยืนไว้อาลัยให้คุณสิทธิ์  ดูท่าทางจะตกหลุมรักเคะน้อยสุดMอย่างกลับลำไม่ทันซะแล้ว :beat:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 32 (1/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 01-06-2014 21:13:57
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 32
         
          จริงๆแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปนี่แหละ

          เดียร์เหม่อมองแสงไฟในห้อง คิ้วบางขมวดเข้าหากันพร้อมบึ้งหน้า เขาเองก็ยังนึกสงสัยตัวเองเช่นกัน ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ก็มักทำดีกับตนให้ทั้งนั้น แถมเผลอๆบางอย่างยังจะมากกว่าที่สิทธิ์ทำอีก แต่เขาก็สามารถปั้นยิ้มและผ่านมันมาได้โดยที่ไม่มีการออกอาการวีนใส่แม้แต่นิดเดียว

          เกิดอะไรหว่า

          เขาได้แต่ครุ่นคิดกับความผิดปกติของตน ไอ้ที่บอกไปว่าเพราะรับไม่ได้กับการกระทำของสิทธิ์ก็มีส่วน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเหตุผมมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะกับดรหรือลูกน้องคนอื่นที่รังเกียจเขา ตอนเวลาพวกเขาแสร้งทำดีใส่ เดียร์ก็ยังเฉยๆเลย

          แล้วมันทำไมกันนะ

          เด็กหนุ่มพยายามย้อนความจำที่มีต่อสิทธิ์…ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มตีหน้าเหี้ยมเสี้ยมคำด่าใส่มันช่างฟินยิ่งนัก…ตอนที่ทำหน้าเริงร่าท้าลมร้อนอย่างกับเด็กๆนั่นก็ดูเฉยๆ ไม่ได้ชวนหงุดหงิดอะไรเลยสักนิด ออกจะดูตลกจนเผลอกระตุกยิ้มตามไปด้วย…ไอ้ท่าทีเป็นห่วงนั่น ถึงจะดูน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อยากวีนแตกขนาดนั้น เพราะเทียบกันแล้ว วินน่ารำคาญกว่าเยอะ แต่ตนก็ยังทนมาได้ตั้งเกือบยี่สิบปีแท้ๆ…

          ……

          ทันทีที่ภาพใบหน้าประดุจหมาหงอยของสิทธิ์โผล่ซ้อนมา เดียร์ถึงกับรีบลืมตาลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้หัวจนยุ่งเหมือนต้องการให้ภาพนั้นหายไปจากสมอง ความขุ่นเคืองพวยพุ่งจนเขาเผลอกัดฟันแล้วทุบเตียงเต็มแรง

          ใช่ ไอ้สีหน้าชวนสมเพชพรรค์นั้นนั่นแหละที่ขัดใจเป็นบ้า!! มันใช่ไหม…มันไม่ใช่ว้อย!

          คิดได้ก็กลับลงไปนอนต่อ ทั้งหงุดหงิดทั้งรู้สึกเสียหน้า ที่ผ่านมาเขาคุมอารมณ์ตัวเองดีตลอด นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เผลอหลุดโกรธออกมาขนาดนี้ ถึงจะไม่ได้หลุดออกไปหมดก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี

          ทำไมกันนะ ทำไมใบหน้าอมทุกข์ของคุณถึงทำให้ผมโมโหได้ขนาดนี้กัน…

 

          สาวเสียงทุ้มถึงกับสะดุ้งทันทีที่เห็นเจ้าของกิจการเดินหน้าเหี้ยมมาแต่ไกล ซึ่งคราวนี้มีคนติดตามมาด้วยเพียงคนเดียวคือก้อง ที่แสดงอาการเบื่อหน่ายคล้ายคนอยากตายอย่างออกนอกหน้าเสียจนเธอเผลอเลิกคิ้วออกมา

          “สวัสดีฮ่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฮะ” มีนทักเสียงสั่น และดูเหมือนคนฟังจะรู้สึกตัว ถึงได้รีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นสิทธิ์คนเดิม จนมีนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เอ่อ วันนี้เหมือนเดิม หรือยังไงฮะ”

          “อ๋อ ผมแค่มาเที่ยวน่ะครับ” น้ำเสียงทุ้มอัดความร่าเริงใส่อย่างเต็มที่เสียจนน่าแปลก “จะว่าไป ไอ้แว่นหน้าหมานั่นมันมาบ้างหรือเปล่าล่ะครับ”

          ผู้จัดการสาวออกอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมา เธอเงียบอยู่นาน กว่าจะยอมพยักหน้าออกมาอย่างเสียมิได้ “เขาแค่ฝากข้อความเอาไว้น่ะฮ่ะ”

          บางที เธออาจจะบอกไปง่ายๆแล้วก็ได้ ถ้าสิทธิ์ไม่กลับมาทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อตน จนก้องต้องสะกิดเตือน

          “ก็…วินเขาฝากนี่ไว้ให้น่ะฮ่ะ” มีนรีบล้วงของฝากจากในร่องอกอันอวบอั๋นของตน ซึ่งเป็นกระดาษใบจิ๋วขนาดประมาณนามบัตร “มีนคิดว่าคุณสิทธิ์อ่านแล้วคงจะเข้าใจ…”

          ชายหนุ่มเพียงแต่หยิบมาแล้วคลี่อ่าน ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ใบหน้าเคร่งเครียดในทีแรก ต่อมาก็ออกอาการกังวลอย่างชัดเจน

          ‘ฉันรู้’

          สั้น และกว้างเสียจนตีความได้หลายทาง แต่ลองคุณเจ้านายทำท่าจะเป็นจะตายแบบนี้ เหล่าลูกน้องจึงเข้าใจตรงกันว่า ‘ฉันรู้’ ของวิน คือรู้เรื่องอะไร

          “…หึ…หึๆ…” เสียงหัวเราะที่ทุ้มหนัก ฟังไม่เหมือนคนอยากขำดังขึ้น สีหน้าของสิทธิ์ก็ดูฝืนเสียจนคนมองอยากจะขำตาม “หมอนี่มันมโนเก่งจริงๆ ไม่ได้มีหลักฐานอะไรสักหน่อย แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่กับน้องมัน”

          ที่เหล่าลูกน้องอยากจะถามคือ อะไรทำให้คุณเจ้านายสามารถตีความคำสองพยางค์จนยาวเฟื้อแบบนั้นได้มากกว่า จะให้บอกว่ารู้ใจกันมันก็ชวนสยองปนขนลุกชอบกล

          “แล้วคุณสิทธิ์จะทำยังไงต่อล่ะครับ” สบโอกาส ก้องก็รีบเชียร์ทันที พร้อมกับแผ่รังสีใส่จนสิทธิ์ไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้าปากเถียง “ไหนๆเขาก็คิดว่าคุณอยู่กับคุณเดียร์ งั้นก็เปิดตัวให้รู้ๆกันไปเลยสิครับ…หรือจะให้ผมช่วยก็ได้นะครับ”

          ประโยคหลังกระซิบด้วยเสียงอันเบาหวิวและใกล้หูเสียจนมีนเผลอเลิกคิ้ว ด้วยความใกล้จนชวนเข้าใจผิด

          “ข…เข้าใจแล้วน่า” สิทธิ์ตอบกลับเสียงตื่น ก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น “…รู้งี้อ้อนให้พี่ฤทธิ์มาแทนก็ดี…”

          “บ่นอะไรครับ”

          “เปล๊า” เสียงสูงเสียงจนแสบหู “พี่มีนครับ วันนี้ขอจัดหนักสักที ขอเอายันปิดร้านเลยครับ”

          ที่พูดเนี่ย รู้ใช่ไหมครับว่าผมต้องตื่นหกโมงเช้าน่ะ

 

          พอกลับมาจากที่ทำงาน เดียร์ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่า รองเท้าที่วางไว้หน้าบ้านมีแค่ของฤทธิ์ ซึ่งปกติป่านนี้แล้ว พ่อหมีกับลุงมาโซฯแกจะต้องอยู่บ้านแล้ว

          เด็กหนุ่มต้องสงสัยยิ่งกว่า เพราะตามปกติ ตอนสองสามทุ่ม ฤทธิ์จะเปิดทีวีเพื่อดูฆ่าเวลา แต่วันนี้กลับปิดเอาไว้ ทั้งที่เจ้าตัวยังนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม แถมนั่งนิ่งเสียจนเดียร์นึกว่าเป็นหุ่น เพราะทั้งที่เขาเปิดประตูเดินเข้ามา อีกฝ่ายเองก็ไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด ทั้งที่อย่างน้อยๆ ฤทธิ์มักจะหันมาทักทายเขาประจำ

          “เอ่อ…สวัสดีครับพี่ฤทธิ์” เสียงหวานดังขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ไม่ต้องเดินเข้าไปพิสูจน์ หนุ่มตาตกก็หันมาหาเสียก่อน ด้วยสีหน้าที่ทำเอาคนโดนมองซาบซ่าไปถึงหัวใจ จนเกือบเปลี่ยนสีหน้าให้รับกับอารมณ์ของฤทธิ์แทบไม่ทัน “เป็นอะไรหรือครับ…”

          ชายหนุ่มเพียงแต่นิ่วหน้า ก่อนจะสะบัดกลับไปยังหน้าจอทีวีที่ดำสนิท โดยไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

          ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่โดนเกลียดขี้หน้า เดียร์ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่ในเมื่อตอนนี้ฤทธิ์ไม่ได้เกลียดเขา ซ้ำยังเอาใจช่วยเรื่องสิทธิ์ด้วยซ้ำ แล้วอยู่ๆจะเปลี่ยนกลับมาทำตัวเหมือนเดิม เด็กหนุ่มก็อดสงสัยไม่ได้…และแน่นอนว่าโอกาสดีๆแบบนี้จะมาสักที เรื่องอะไรจะปล่อยไป

          “พี่ฤทธิ์ครับ โมโหอะไรผมหรือครับ” หนุ่มน้อยทำการสวนประโยคเด็ดที่ใช้ระเบิดอารมณ์คนที่กำลังเก็บอาการ และก็ได้ผลอย่างไม่ต้องรอนาน คนที่นั่งอยู่ถึงกับหันขวับมามองตาขวาง เหมือนอยากจะบีบคอเขาเต็มทน

          อา…คิดถึงจังเลย…สายตาที่อาบไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายที่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงทั่วร่างอย่างไม่ปกปิดแบบนี้…

          เด็กหนุ่มพยายามเก็บอารมณ์จนหน้าเบี้ยว อีกฝ่ายยังคงจ้องไม่วางตา นอกจากจะโมโหแล้ว สีหน้ายังบ่งบอกถึงอารมณ์แปลกใจที่แฝงอยู่

          “นายคิดว่าบ้านนี้กว้างไหม”

          เป็นคำถามที่เกิดอาการอึ้งไปชั่วขณะ หากไม่คิดอะไรก็คงตอบไปแล้ว แต่เดียร์รู้ว่าฤทธิ์ไม่ได้ถามเรื่อยเปื่อยแน่

          “นายเองก็คิดว่ามันไม่กว้างสินะ” เมื่อเห็นสีหน้าผงะของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็น แต่สีหน้าที่แสดงออกตรงกันข้าม ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาพร้อมแผ่รังสีทะมึน “แล้วกำแพงเองก็ไม่ได้หนาพอจะเก็บเสียงเท่าไหร่ด้วย เพราะงั้น ถ้าเผลอร้องเสียงดังตอนเดินใกล้ๆห้องนั้น ยังไงก็ต้องได้ยินอยู่แล้วล่ะ….เนอะ”

          โอ๊ะ แย่แล้วแฮะ

          “…พี่ฤทธิ์หมายถึงอะไรหรือครับ” เด็กหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อถามเสียงใส ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเขินอาย “หรือว่าตอนคุณสิทธิ์ทำผม…พี่ได้ยิน…”

          ร่างสูงทำหน้าเหมือนจะกัดหัวเดียร์ให้ได้ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่กัดปากตัวเองเพราะดันพลาดขยายความในส่วนสำคัญที่ต้องการจะสื่อ

          “ถ้าเป็นคุณสิทธิ์ ฉันจะโมโหนายทำบ้าอะไร” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างเหลืออด “แต่เพราะเสียงนายมันดังมาจากห้องนอนก้องต่างหากล่ะ!”

          แหม แบบว่าอดอยากมานาน แล้ววันนั้นพี่ก้องเขาใส่อารมณ์ได้ดีไปหน่อย ผมเลยเผลอร้องดังนี่นา

          ก่อนที่จะได้เอ่ยปากแก้ตัว ร่างเล็กก็โดนกระชากคอเสื้อเข้าไปหา มือหนากำแน่นและยกขึ้นหมายจะชกเข้าใบหน้าเล็ก หากแต่สุดท้ายก็ทำแค่เพียงค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะลดมือลง และผลักร่างบางออก เล่นเอาเดียร์หน้าเสียเพราะผิดหวังเต็มแรง

          “ฉันไม่คิดเลยว่านายจะเป็นคนแบบนี้”

          “ไม่ใช่นะครับ!”

          เสียงหวานร้องเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังจะเดินหนี เดียร์รีบเข้าไปรั้งเต็มแรง อย่างไม่เกรงกลัว แน่นอนว่าฤทธิ์สะบัดมือออก แต่อีกฝ่ายเหนียวกว่าที่คิดจนหนุ่มตาตกถึงกับประหลาดใจจนเผลอหันกลับไปมอง

          “ผมกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่อย่างที่พี่คิดเลยนะครับ ถึงมันจะชวนให้เข้าใจเป็นอย่างนั้นก็เถอะ” ดวงตากลมจ้องมองด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเสียจนอารมณ์หึงดับลงไปหน่อย “ผมไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นแน่นอนครับ”

          แค่คิดว่าต้องลงเอยกับประชากรชาวมาโซฯด้วยกัน ขนงี้ลุกซู่ไปหมดเลยครับ!!!

          ฤทธิ์จ้องหน้ากลับอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก เพียงแต่สายตาที่มองมามันดูจริงใจจนเขาเถียงกลับไม่ออก

          “…แล้วไอ้เสียงร้องนั่นมันหมายความว่ายังไงกันล่ะหา ร้องแบบนั้นฉันคิดได้อยู่อย่างเดียวนี่หว่า”

          พูดจบชายหนุ่มถึงกับผงะเมื่อคนฟังไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจใดๆ หากแต่หัวเราะในลำคอชวนให้รู้สึกสยองแทน

          “ผมยอมรับว่าเสียงนั่นมันชวนคิดจริงๆ แต่พวกผมไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นหรอกนะครับ” เดียร์แสดงอาการรังเกียจชัดเจนจนฤทธิ์ชักอยากจะโกรธในเหตุผลอื่น “พี่ก้องเขาแค่ช่วยนวดให้ผมเฉยๆเองนะครับ”

          ได้แต่ยืนค้างไปหลายวินาทีกับคำตอบนั้น

          “ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้พี่ต้องเข้าใจผิดเพราะเรื่องแค่นี้” เดียร์พูดต่อด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดอย่างจริงจัง ในระหว่างที่อีกฝ่ายยังคงค้าง “ผมผิดเองละครับ พอดีตอนนั้นปวดหลังกับสะโพกมาก…เลยขอให้พี่ก้องช่วยนวดให้นะครับ”

          “…แล้วทำไมต้องเข้าห้องนอนไปนวดด้วย นวดที่อื่นก็ได้นี่นา” หลังจากได้สติก็ถามต่อ แม้ใจจริงอยากจะเชื่อ แต่เพราะไอ้คุณแฟนตัวดีมันชอบทำตัวมีลับลมคมในเยอะเสียจนเขาไม่อยากจะเชื่อง่ายๆเท่าไหร่นัก

          แต่สิ่งที่ได้รับคืออาการฮึดฮัดของเดียร์

          “นั่นก็เพราะคุณสิทธิ์นั่นล่ะครับ!” เด็กหนุ่มส่งเสียงออกจมูกด้วยความไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณสิทธิ์ ผมไม่มานั่งปวดหลังปวดสะโพกแบบนี้หรอก”

          มันขนาดนั้นเลยเรอะ ทำไมฉันไม่เห็นเป็น เล่นท่าพิสดารกันขนาดไหนล่ะนั่น…ก็อยากจะถาม แต่มันก็ส่วนตัวไปหน่อย ถึงจะโตๆกันแล้วก็เถอะ…

          “แถมไม่รู้อะไร เห็นผมเปลือยหน่อยก็ไม่ได้ หาเรื่องปล้ำผมตลอด นี่พอผมอุตส่าห์อยู่ในห้องนอนตัวเองแล้วทายาแก้ปวดเมื่อย เขายังหาจังหวะเปิดเข้ามาตอนผมโป๊แล้วหาเรื่องปล้ำผมได้ตลอด”

          อันนี้ก็เรื่องจริงนะ ยกเว้นตั้งแต่ตอนช่วงปล้ำน่ะนะ…ขนาดว่าทำไปแล้ว แค่เห็นท่อนบนผมก็ไม่รู้จะเขินอะไรนัก อกก็ใช่ว่าจะมี ข้างล่างก็มีเหมือนๆกันด้วย ทำตัวเป็นหนุ่มเวอร์จิ้นไปได้

          “ผมไม่เหลือทางเลือก แถมยังปวดหลังปวดเอวมากขึ้นทุกที ตอนกลางวันก็ต้องทำงานอีก จะให้ผมรบกวนพี่ฤทธิ์ที่ต้องคอยเฝ้ายามตอนกลางคืนก็ไม่ดี แถมผมก็เกรงใจพี่ด้วย เทียบกันแล้วผมสนิทกับพี่ก้องมากกว่า แล้วเห็นพี่ก้องก็บอกว่านวดเก่ง ผมเลยขอให้เขาช่วยน่ะครับ”

          มีเหตุผลจนฤทธิ์ไม่รู้จะค้านยังไงดี โดยเฉพาะเรื่องนวดเก่ง ก็ยอมรับว่าเล่นเอาเคลิ้มอยู่

          “ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้พี่ฤทธิ์เข้าใจผิดแบบนี้ ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้แล้วครับ” ดวงตากลมรื้นไปด้วยน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มทน “ผมไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้พี่กลุ้มใจขนาดนี้…”

          “เดี๋ยวสิ ไม่เห็นจะต้องร้องไห้เลย ฉันเข้าใจแล้ว” ฤทธิ์ถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างเล็กก้มหัวให้ “จริงๆฉันผิดเองที่ทึกทักไปคนเดียว…โทษทีที่โมโหไปเมื่อกี้นะ”

          ร่างสูงกลับไปนั่งที่โซฟาตัวด้วยสภาพที่ไร้เรี่ยวแรง ส่วนเดียร์ก็เพียงแต่มองโดยไม่พูดอะไร…ซึ่งใจจริงเขาก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนักหรอก แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ได้ไกลตัวเขาเท่าไหร่นักด้วย เลยสองจิตสองใจอยู่นาน ไม่รู้ว่าควรจะทำลงไปดีไหม

          แต่ของแบบนี้ ยังไงมันก็เก็บไว้ตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะพี่ก้อง ดีใจไว้ซะนะที่ผมรู้สึกอยากช่วยเหลือแบบไม่คิดบุญคุณน่ะ

          “ผมอาจจะยุ่งไปหน่อย แต่พี่ฤทธิ์กับพี่ก้องคบกันได้ยังไงหรือครับ”

          เจ้าตัวหันมามองด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนักก่อนจะหันหลังกลับไป ชายหนุ่มเงียบอยู่นานมาก จนเดียร์นึกว่าจะไม่ยอมตอบเสียแล้ว

          “หลวมตัวน่ะ”

          หลวมตัวแบบไหนหรือครับ ถึงได้ไม่ยอมบอกยกเลิกมาจนป่านนี้ล่ะเนี่ย…

          “เอ่อ…คบกันนานหรือยังครับ” จริงๆก็พอจะรู้มาจากก้อง แต่ขืนทำตัวรู้ดี เดี๋ยวได้โดยสงสัยอีก

          “ก็สองสามปีได้แล้วล่ะ” ฤทธิ์ตอบเสียงอ่อน ก่อนจะเกาหัวจนยุ่ง “ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าฉันจะยอมคบกับไอ้บ้านั่นแค่เพราะมันหล่อน่ะ”

          เดียร์เกือบถลึงตาใส่ไปแล้ว ดีที่ยั้งตัวทันไว้ก่อน

          “แต่คบกันมาได้ตั้งสองสามปี ผมว่ามันไม่น่าจะแค่เพราะหลวมตัวหรอกมั้งครับ” เด็กหนุ่มพยายามปลอบ “อย่างน้อย ถ้าไม่รู้สึกรักหรืออะไรแบบนั้น คงทนคบไม่ได้หรอก…จริงไหมครับ”

          เขาก็ว่าตัวเองพูดปลอบได้ดีแล้วนะ แต่ไหงอีกฝ่ายกลับออกอาการเหมือนโลกตรงหน้ากำลังล่มสลายแทนซะงั้น

          “คนเรา ถึงจะไม่ได้รักกัน แต่ถ้ามีผลประโยชน์อะไรบางอย่าง ก็อาจจะยอมคบกันเป็นปีเลยก็ได้นะ…”

          แสดงว่าเคยคบคนพรรค์นั้นมาก่อนสินะ…น้ำเสียงมีน้ำหนักมากเลยล่ะครับ…

          “มันอาจจะเป็นการคิดไปเองของฉันก็ได้ แต่ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นมีความลับปกปิดฉันอยู่” ได้ยินแล้วเดียร์เผลอกระตุกคิ้วขึ้น ลางสังหรณ์ดีดั่งจิตสัมผัสได้จริงๆ “เหมือนกับแฟนเก่าที่เคยหลอกฉันมาก่อน”

          “ผมว่าพี่ฤทธิ์คิดมากไปมั้งครับ” ยังไงซะ ผมก็มั่นใจว่าพี่ก้องแกไม่ได้หลอกพี่ อย่างที่พี่เคยโดนแน่นอน “ผมเองก็รู้จักพี่ก้องเขานานพอสมควร อย่างน้อยเขาก็เป็นคนดี ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะครับ”

          สีหน้าของหนุ่มตาตกดูจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก เดียร์จึงพยายามให้กำลังใจต่อ

          “ที่สำคัญ ผมไม่เคยเห็นพี่ก้องคบใครเป็นตัวเป็นตนมาก่อนเลยนะ” แน่ล่ะ สายเอสเพียวๆที่โดนใจพี่แกหายากนี่นา “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เป็นคนพิเศษ เขาไม่คบโต้งๆแบบนี้หรอก”

          สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแทน

          “เหอะ พิเศษงั้นหรือ ขนาดว่าพิเศษ หมอนั่นยังกล้าไประริกระรี้ออเซาะกับคนโน้นคนนี้ต่อหน้าฉันไปทั่ว นี่ถ้าฉันเป็นแค่คนธรรมดา มันคงเอาให้ฉันดูเลยล่ะสิ”

          ดูท่าทางวิธีการเรียกร้องหาความรัก มันกลายเป็นอุปสรรคความรักไปอย่างไม่ตั้งใจซะแล้วนะพี่ก้อง…

          “ผมคิดว่า เรื่องที่พี่ก้องเขาปิด อาจจะเป็นเรื่องปมด้อยน่าอายที่หากพี่ฤทธิ์รู้ อาจจะเลิกคบกับพี่ก้องไปก็ได้…” เดียร์กลับมาเข้าเรื่องต่อ “อย่างเช่นว่าพี่ก้องแกอาจจะเป็นพวกมาโซฯ ชอบโดนทำร้ายอะไรงี้ มันน่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ…”

          “โอ๊ย ถ้าแค่นั้นก็ดีสิ ฉันจะได้ตบมันให้สาแก่ใจทุกวันเลย”

          อ้าว เอาจริงดิ

          “ถ้าเป็นจริงๆ พี่ไม่รังเกียจหรือ” ก็รู้นะว่าเป็นแฟนคนอื่น แต่เด็กหนุ่มเองก็อดใจเต้นด้วยไม่ได้ “สมมติน่ะครับ”

          ฤทธิ์คิดพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แน่สิ แค่นั้นก็เข้าทางฉันเลยไม่ใช่หรือ ฉันจะได้ไม่ต้องระวังเวลาเผลอทำร้ายหมอนั่นมากไปด้วย ที่จริงฉันก็ไม่ใช่พวกซาดิสม์อะไรหรอกนะ แค่มือมันไปไวกว่าความคิดแค่นั้นเอง…แต่ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”

          “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ” มันมีอะไรมากกว่านั้นอีกหรือไง ทำตัวมีลับลมคมในเยอะจังเลยว่ะ คุณพี่ก้อง!

          “เพราะมีครั้งนึงที่หมอนั่นยอมพูดว่าเป็นพวกมาโซฯ แต่ไม่ยอมบอกว่าแอบหนีไปไหนบ่อยๆตอนกลางคืนน่ะสิ!”

          …ผมว่าอันนั้นมันเป็นการสารภาพมากกว่าล่ะมั้ง…

          “งั้นหรือครับ…” เสียงใสดังขึ้นอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มพราย “ถ้าแค่นั้น ผมมีทางช่วยพี่ได้นะ”

          คนฟังได้แต่เลิกคิ้ว แอบรู้สึกไม่ดีนิดๆ เพราะรอยยิ้มของหนุ่มน้อยนั่น มันไม่ดูไร้เดียงสาอย่างที่เคยเป็นเลยแม้แต่น้อย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 32 (1/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: leelea ที่ 08-06-2014 10:36:16
ยังติดตามอยู่ตลอดนะคะ รอตอนต่อไปค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 32 (1/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 12-06-2014 13:35:06
คิดถึง เลยกลับมาอ่านอีกรอบ  o13

กอดๆ จุ๊บๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 21-06-2014 19:00:08
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 33
         
          “เย้ คืนนี้ไม่เมา ไม่เลิกเว้ย”

          คุณเจ้านายแสนดีตะโกนเสียงดังแบบไม่อายใคร ห้องวีไอพีซึ่งมักจะเป็นที่ดวลเหล้ากับวินตอนในนี้ เต็มไปด้วยสาวน้อยมากมายพากันล้อมหน้าล้อมหลังสิทธิ์ชนิดที่ว่า ก้องได้แต่ไปยืนมุมห้องเพื่อไม่ให้เกะกะคุณสาวๆที่พากันบริการเจ้านายผู้กำลังต้องการลืมเรื่องเลวร้ายไปจากหัว

          “แหม คุณสิทธิ์ล่ะก็ วันนี้เกิดคึกอะไรขึ้นมากันละคะ ถึงได้เกณฑ์พวกเรามาซะขนาดนี้” หญิงสาวนางหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ก่อนจะยื่นแก้วเหล้าที่ชงเสร็จให้เจ้านาย

          “มันก็ต้องมีคลายเครียดกันบ้าง” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขารับแก้วมาจากอีกฝ่ายและกระดกแอลกอฮอล์ลงคอประดุจดื่มน้ำ “วู้ เอามาอีกเลย แค่นี้ จิ๊บๆ”

          จิ๊บๆของคุณ หัวเลื้อยลงไปกองกับนมสาวๆแล้วนะ นั่นไม่ไหวแล้วหรือจงใจหว่า…

          “ถามจริงนะคะอาก้อง คุณสิทธิ์เขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนี่คะ หรือว่าไปทำอะไรที่ชนะขาดลอยคุณวินมา”

          หนุ่มแว่นหันมองสาวเพื่อนดื่มที่รู้สึกถึงความผิดปกติของเจ้านายเช่นกัน เขากลอกตาไปมา ก่อนจะตอบอย่างเสียมิได้
“ก็ประมาณนั้น” ถ้าพูดถึงสถานการณ์แบบไม่มองความตั้งใจในตอนนี้ มันก็ดูเหมือนว่าสิทธิ์กำลังเป็นต่อวินอยู่หรอก

          “ว้าย คุณสิทธิ์ล่ะก็ ลามกนะคะ…ฮะๆ” เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด คุณเจ้านายแสนดีนัวเนียกับสาวๆเต็มที่ ซึ่งสำหรับก้องแล้ว เขารู้สึกเหมือนสิทธิ์กำลังพยายามสัมผัสเนื้อสาวให้มากที่สุดเพื่อที่จะลืมผิวกายของใครบางคนที่ดูเหมือนผู้หญิงเสียมากกว่า

          บรรยากาศรื่นเริงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและชวนเอียนสำหรับคนเมานม แต่ท่าทางของสิทธิ์กลับเหมือนคนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเสียอย่างนั้น

          “นี่ๆ อาก้อง ถามจริงๆนะ คุณสิทธิ์กำลังตกหลุมรักใครที่รักไม่ได้อยู่ใช่ไหมคะ”
คราวนี้เหล้ากระฉูดออกจากปากเลยทีเดียว ก้องหันขวับมองหญิงสาวคนเดิมที่ทำหน้าเหวอปนรังเกียจใส่ เพราะเขาไม่ได้เช็ดเหล้าที่อาบคางตนเลยสักนิด

          “…ก็แหม ดูยังไง หนูก็รู้สึกว่าที่คุณสิทธิ์กำลังทำ เหมือนต้องการลืมใครสักคนมากกว่า” เธอวิเคราะห์ต่อ “ปกติคุณสิทธิ์ไม่ใช่พวกหื่นกามนี่คะ แล้วนี่ดูสิ แตะโน่นจับนี่ซุกไซ้ไปทั่วซะจนขนาดพี่ราตรีแกยังสยอง ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนนี่ หนูคงไม่กล้าเข้าใกล้แน่ค่ะ ลามกได้โล่มาก”

          “อย่างนั้นหรือ…” คนที่รู้ดีได้แต่ตอบรับอย่างฝืนๆ “ก็คงงั้นล่ะมั้ง”
เธอหรี่ตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “แน่ะ หนูรู้นะว่าอารู้ หนูได้ยินพวกพี่มีนคุยกัน ว่าพักนี้คุณสิทธิ์ลางานยาวที่บริษัท แล้วให้อาก้องกับพี่ฤทธิ์ดูแลคุณสิทธิ์แทน เพราะงั้น อาต้องรู้อะไรแน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ…หรือไม่ใช่ผู้หญิง”

          ถ้าตั้งตัวทัน ฉันจะพ่นเหล้าใส่แก ยัยหนูจอมเดาเก่ง

          “เลิกเดาซี้ซั้วได้แล้วทิวา มันไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย โน่น…คุณสิทธิ์เรียก”

          หญิงสาวทำหน้าเบี้ยวเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ก่อนจะยอมทำตามอย่างเสียมิได้ ซึ่งก้องก็ได้แต่โล่งใจที่ไม่ต้องโดนสอบสวนแบบเนียนๆ…แต่พอทิวาไปนั่งข้างสิทธิ์ หนุ่มแว่นก็รู้ตัวว่าตนคิดผิดอย่างแรง

          “คุณสิทธิ์ค้า วันนี้มาแปลกจังเลยนะคะ ทำเหมือนอย่างกับว่าพยายามลืมใครอยู่อย่างนั้นล่ะ”

          แม่เจ้า ถ้าจะตรงขนาดนั้น ฉันน่าจะเก็บแกลงกระสอบให้รู้แล้วรู้รอดไปก่อนเลยก็ดี

          ใบหน้าของสิทธิ์กระตุกขึ้น แต่ก็ยังฝืนยิ้มกลบเกลื่อนต่อได้ “พูดอะไรแบบนั้น ฉันไม่ได้มีใครที่ต้องพยายามลืมสักหน่อย”
ว้ากก โผล่ขึ้นมาในหัวทำไม!!! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับนายทั้งนั้น ไอ้เดียร์!

          “แน่ะ จริงหรือค้า” ทิวาทำเสียงสูง “บอกนิดบอกหน่อยสิคะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เดี๋ยวพวกหนูจะได้ช่วยให้คุณสิทธิ์ลืมคนนั้นๆไปอย่างถาวรเลยไงละคะ…”

          “ไม่!!”

          ทั้งห้องพากันสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มดังลั่นและเฉียบขาด เหล่าสาวๆและลูกน้องต่างตาโตและผงะกับท่าทางของสิทธิ์ในตอนนี้ โดยเฉพาะทิวาที่โดนเต็มๆ

          “เอ่อ…ฉันหมายถึง ไม่ดีกว่าน่ะ ฮะๆๆ” สิทธิ์กลับลำมายิ้มเจื่อนให้ “พอดีตกใจนิดหน่อยน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะดุหรือขึ้นเสียงใส่หรอก โทษทีนะ”

          “ฮะๆๆ…งะ…งั้นหรือคะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่มั่นใจนัก แต่กระนั้นก็ยังสู้ไม่ถอย “แต่เอ๊ะ ปฏิเสธแบบนี้ แสดงว่าคุณสิทธิ์มีใครในใจจริงๆน่ะสิคะ”

          “ฮะๆ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ก็เหมือนๆที่ผ่านมานั่นล่ะ” หนุ่มร่างยักษ์พยายามกลบเกลื่อน “ไม่ได้กวนใจอะไรฉันขนาดนั้นสักหน่อย”

          หากสิทธิ์หันไปมองก้อง จะพบว่าหนุ่มแว่นกำลังทำหน้าแบะเป็นเชิงอยากจะบอกว่า ‘ตอแหล’ อยู่

          “ใครหรือคะ ทิวาอยากรู้อะ” หญิงสาวอ้อนต่อเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายดูท่าทางจะหลุดใจความสำคัญในอีกไม่นาน

          “อย่าดีกว่า เดี๋ยวก็เลิกกันแล้ว”

          “น่านะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่คะ”

          “ไม่เอาหรอก…”

          “น้า…”

          “บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ อยากโดนดีหรือไงหา!!”

          คราวนี้ไม่ใช่แค่สะดุ้งและผงะธรรมดา แต่ทุกคนถึงกับถอยกรูดออกห่างต้นเสียงเป็นเมตรเลยทีเดียว เหลือไว้แต่ทิวาที่กลัวจนตัวแข็ง ขยับหนีไม่ออก

          “อะไร ทำเป็นตัวสั่นไปได้ ทีเมื่อกี้เอาแต่คาดคั้นไม่เห็นจะกลัวอะไรฉันเลยนี่” ไม่วายมีต่อ ท่าทางจะลืมตัวเต็มที่ มือหนาจับคางเรียวให้เชิดขึ้นมองหน้าตน ชายหนุ่มก้มเข้าหา ใกล้เสียจนคนมองพากันอ้าปากค้างเพราะนึกว่าสิทธิ์จะจูบหญิงสาว
          “แสดงว่าเตรียมใจเอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ”

          “คุณสิทธิ์ครับ!!”

          เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหนุ่มแว่นที่ออกอาการตื่นตระหนกปนหอบเพราะต้องฝ่าดงสาวมากมายเข้ามาหาสิทธิ์ และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มได้สติสักที

          สิทธิ์ยิ้มค้างด้วยใบหน้าเครียด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คนมองรู้สึกแย่กว่าเดิม ทุกคนต่างพากันออกอาการหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกแย่และกดดันสุดๆที่โดนจับจ้องด้วยสายตาหวาดกลัวแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะทิวาที่กลัวจนหน้าซีดตัวสั่น อาการเหมือนกำลังจะช็อกตายได้ทันทีที่สิทธิ์ขยับ

          ชายหนุ่มค้างนิ่งเพราะคิดไม่ออกว่าควรจะแก้สถานการณ์ในตอนนี้ยังไงดี ถ้าขยับก็กลัวทิวาจะมีอันเป็นไป รับรองว่าทีนี้ เขาจะได้กลายเป็นเจ้านายผู้เหี้ยมโหดที่สุดที่ทำลูกน้องตายเพียงแค่ขยับ แต่จะให้ค้างอยู่แบบนี้ตลอดไปก็ไม่ได้ด้วย
ถ้าต้องโดนมองแบบนี้…รู้สึกไม่เอาด้วยหรอก…แล้วยิ่งกับหมอนั่น….
ไม่นะ!

          “ฮะฮ่า ตกใจล่ะสิ แสดงว่าฉันหลอกเก่งเหมือนกันนะ”

          คนในห้องต่างพากันเลิกคิ้ว และมองหน้ากัน ยกเว้นก้องที่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อ

          “แหม คุณสิทธิ์นี่ ทำเอาพวกสาวๆเชื่อสนิทใจเลยนะครับ”

          พอมีคนช่วยเสริม จากที่กำลังไม่แน่ใจ ก็พากันโล่งอกเมื่อสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น
แต่ทิวาตัวต้นเหตุยังคงอึ้งนิ่งไม่ยอมขยับ ท่าทางความกลัวจะกระทบเข้าโสตประสาทแรงไปหน่อย ราตรีผู้เป็นพี่สาวเลยต้องช่วยเรียกสติด้วยการหยิกแก้มจนยืด

          “โอ๊ยๆ แก้มจะเหี่ยวแล้ว” พอโดนทำร้ายของหวง ทิวาก็ร้องลั่นและดึงตัวออกมาจากมือของราตรี เมื่อได้สติ เธอก็กลับมาหวาดผวาสิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ออกจะติดงงหน่อยๆ เพราะปีศาจร้ายที่เธอเห็นเมื่อครู่ หายไปจากตัวสิทธิ์แล้ว

          “เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ ขอโทษนะที่ทำให้กลัว” สิทธิ์ยิ้มเจื่อน ท่าทีในตอนนี้กลับมาเป็นปกติเสียจนหญิงสาวแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับที่เธอเห็นก่อนหน้า “ท่าทางจะสมจริงไปหน่อยสินะ”

          สมจริง…หรือของจริงกันแน่คะ!

          “ฮะๆๆ งั้นหรือคะ หนูก็กลัวแทบแย่แน่ะ” ไม่รู้เพราะความกลัวยังสุมอยู่ในอก หรือเพราะยังไม่อยากจะเชื่อนัก เธอถึงไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ “นี่ยังสั่นไม่หายเลยนะคะ”

          “ฮะๆ โทษทีๆ แกล้งแรงไปหน่อย” ชายหนุ่มตบบ่าลูกน้องเบาๆ “แต่ไอ้เรื่องก่อนหน้านั้น อย่าไปพูดถึงมันเลยเนอะ เรื่องมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น”

          ถ้าเป็นก่อนหน้า เธอก็คงจะตื๊อต่ออยู่หรอก แต่ทั้งที่คุณชายแกยิ้มอยู่แท้ๆ ทำไมกลับรู้สึกกดดันนักก็ไม่รู้

          “งั้นกลับก่อนละกัน” ทั้งที่ยังไม่ถึงตีสอง แต่ผู้เป็นนายกลับเอ่ยปากขอตัวเสียแล้ว “นึกขึ้นได้ว่ามีธุระสำคัญน่ะ”

          คนมาด้วยเผลอนิ่วหน้า แต่พอคิดว่าสิทธิ์อาจจะตัดสินใจดำเนินแผนการแล้ว ก็เลยไม่ถาม พร้อมขับรถกลับทันที


          “…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

          ทีแรกก้องคิดว่าสิทธิ์ดื่มมากจนอยากจะอ้วก เพราะใบหน้าดูซีดๆ แถมยังออกอาการพะอืดพะอม ทำท่าจะเดินไปพิงเสาไฟที่อยู่ข้างๆรถ แต่ไปๆมาๆกลับเดินมาจับไหล่ก้องแทนเสียอย่างนั้น

          “แย่แล้วครับ!”

          “หา” ก้องนิ่วหน้าอ้าปากค้าง “แย่อะไรครับ”

          “ก็พี่ไม่เห็นเหรอ ในร้านเมื่อกี้ไง” ชายหนุ่มกระซิบเสียงตื่น “แย่แน่ๆ นี่ผมต้องติดโรคชอบทำร้ายไปแล้วแน่ๆ”

          คราวนี้หนุ่มแว่นชักวิตกตาม ทีแรกเขาแค่คิดว่าเพราะดื่มเหล้าบวกกับหงุดหงิดกับการโดนเซ้าซี้ เลยเผลออารมณ์เสียใส่ซะอีก ถึงที่ผ่านมา เขาจะไม่เคยเห็นสิทธิ์อารมณ์เสียรุนแรงขนาดนั้นเลยก็ตาม

          “ใจเย็นๆก่อนนะครับ” ก้องได้แต่บอกเพียงแค่นั้น เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะแนะนำทางแก้อย่างไรดีออกไป “หายใจเข้าออกลึกๆครับ…นั่นล่ะครับ…สงบใจได้บ้างไหมครับ…”

          “…ไม่เลยครับ…”

          “งั้นเอาใหม่นะครับ ยกแขนขวาขึ้นมาประมาณไหล่ กำหมัดแน่นๆ…แบบนั้นล่ะครับ แล้วชกผมเลย”

          “หา จะบ้าหรือครับ ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง!” สิทธิ์แหววใส่

          “ถ้างั้นยินดีด้วยครับ ยังเป็นคนธรรมดาอยู่” ก้องบอกด้วยน้ำเสียงติดเสียดายนิดๆ “คุณอาจจะแค่อารมณ์เสีย เพราะโดนตื๊อเรื่องที่ไม่อยากพูดในตอนที่กำลังเมามากกว่าครับ ถ้าเพราะเป็นพวกซาดิสม์ไปจริงๆ คุณคงชกหน้าผมไปแล้วล่ะ”

          สิทธิ์ทำหน้าแหยง แน่ล่ะ บอกอย่างเดียวก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องทำหน้ามีเลศนัยใส่เลย

          “งะ…งั้นหรือครับ” ชายหนุ่มมองมือตัวเองสลับกับอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด “ให้ตายสิ ผมก็นึกว่าตัวเองจะกู่ไม่กลับซะแล้ว”

          “ถ้างั้น ขึ้นรถเถอะครับ เราจะได้รีบกลับกัน” ก้องเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเปิดประตูให้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้าอีก”

          หนุ่มแว่นทำตัวธรรมดาตลอดทางเมื่อเห็นท่าทางสบายใจของเจ้านาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังเครียดกับพฤติกรรมของสิทธิ์อยู่

          แน่ล่ะ ถ้าแค่โวยวายไม่อยากตอบก็ปกติอยู่หรอก แต่ไอ้ช่วงหลังที่มีเชิญชวนปนบังคับนั่นมันอะไรกัน!!!

          ไม่ว่าจะให้นั่งมองหรือยืนมอง หนุ่มมาโซฯก็คิดได้อย่างเดียวว่าคุณเจ้านายแสนดีเริ่มหลุดเข้ามาทางสายมารแล้วเห็นๆ
เอาไงดีวะ ถ้าอยู่ๆถาม มีหวังพ่อคุณต้องเครียดขึ้นมาอีกแน่ๆ…แต่ถ้าปล่อยไว้ มีหวังได้กลายเป็นพวกซาดิสม์เต็มตัวแน่ๆ…เอาไงดีวะเนี่ย

          “…แล้วจะบอกเรื่องเดียร์กับคุณวินเมื่อไหร่ดีล่ะครับ”

          เงียบไปนานเลยทีเดียว แต่พอก้องมองผ่านกระจกก็พบว่าสิทธิ์กำลังทำหน้าครุ่นคิด ไม่ได้แกล้งหลับแต่อย่างใด เขาจึงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่รอฟัง

          “มะรืนนี้ครับ”

          คนฟังเลิกคิ้ว ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจ เพียงแต่เร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ

          “ครับ” ชายหนุ่มขี้เกียจเซ้าซี้ต่อ กลัวจะเสียแผน อย่างน้อย นี่ก็เป็นผลที่น่าพอใจแล้ว

          แต่ถ้าเขาอ่านใจเจ้านายได้ ก้องคงไม่ปล่อยให้เจ้านายกลับบ้านแน่นอน


          จริงอยู่ว่าปกติตอนกลางคืนฤทธิ์จะอยู่เวรเฝ้าระวัง และปกติ สิทธิ์เองก็ไม่ได้กลับมาดึกขนาดนี้ แต่พอเห็นหนุ่มตาตกยืนอยู่หน้าบ้าน คนไปเที่ยวมาก็อดแปลกใจไม่ได้…และยิ่งแปลกใจกว่า เมื่อเห็นฤทธิ์ ซึ่งก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกจากนั้น ทำตัวหงุดหงิดหัวเสียอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้กลับยิ้มร่าอารมณ์ดีเหมือนคนกำลังมีความสุขสุดๆยังไงยังงั้น

          “ยินดีต้อนรับกลับมาครับ คุณสิทธิ์” แถมยังทักทายเป็นพิธีจนชวนผวา พร้อมทั้งเปิดประตูบ้านให้อีก “นี่กินอะไรมาหรือยังครับ”

          “เอ่อ กินแล้วครับ” ขนาดสิทธิ์เองยังระแวง “อารมณ์ดีจังเลยนะครับ…”

          “ฮะๆๆ แน่อยู่แล้วล่ะครับ” ฤทธิ์หัวเราะร่าพร้อมตบบ่าเจ้านาย “พอดีวันนี้ผมมีเรื่องจะคุยกับก้องสองต่อสองซักสามสี่ชั่วโมงหน่อยน่ะครับ”

          แบบนั้นไม่เรียกว่าหน่อยแล้วมั้ง

          หนุ่มแว่นผงะเล็กน้อยเมื่อโดนสายตาหวานฉ่ำและหยาดเยิ้มของคุณแฟนมองมา ที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่ชอบหรอกนะ แต่อยู่ๆโดนแล้วมันเตรียมใจไม่ทันเท่าไหร่…และสำหรับก้องแล้ว เขารู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั่นแฝงความนัยอย่างอื่นเอาไว้ด้วยชอบกล

          “ได้สิครับ ถ้าเกิดมีอะไร ผมจะตะโกนเรียกนะ” สิทธิ์ตอบรับอย่างเป็นปกติ “ถ้างั้น ผมขึ้นห้องนะครับ ไม่รบกวนละ”

          ปากก็บอกไปแบบนั้น แต่ประตูที่ชายหนุ่มเปิดกลับเป็นประตูห้องตรงข้ามแทนเสียนี่ เขาแทบจะกระโดดดีใจตอนที่รู้ว่า อย่างน้อยๆตนก็มีเวลาเหลือเฟือ กับสิ่งที่คาใจอยู่

          แม้จะเปิดประตูค่อนข้างดัง แต่เจ้าของห้องกลับไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายทีละน้อย มือหนาสัมผัสที่นอนนุ่มอย่างเบามือ ก่อนจะค่อยๆทิ้งร่างลงข้างเตียง ดวงตาเรียวปรายมองคนที่กำลังหลับสนิทพร้อมกับกำหมัดแน่น ความรู้สึกประหลาดที่พวยพุ่งขึ้นมาในใจทำเอาเขาแทบคลั่ง แต่ศีลธรรมคอยช่วยรั้งไม่ให้ตนยอมทำตามความต้องการเอาไว้

          ทำไมกันนะ…ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้กัน

          เขารู้สึกเหมือนานแล้วที่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายตรงๆเช่นนี้ มันช่างชวนคิดถึงอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ใจพยายามจะลืมและลบออกไปแท้ๆ

          ชายหนุ่มเชยคางเล็กอย่างเบามือ เสียงลมหายใจดังเป็นจังหวะและราบเรียบ ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน

          เอาไงดีวะเนี่ย

          ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขากลับรู้สึกผิดจนไม่อยากจะทำขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ครั้นจะให้เดินออกไปจากห้องแต่โดยดีก็แสนจะเสียดายเป็นที่สุด เลยได้แต่นั่งงึมงำอมพะนำอยู่ข้างเตียงเช่นนี้

          เราไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่…ที่มาน่ะ…ก็เพราะเหตุผลอื่นต่างหาก…ใช่เพราะเหตุผลอื่น…ไม่ได้อยากจะเข้ามาทำร้ายอะไรแบบนี้ ในเมื่อเราบอกพี่ก้องไปแล้วว่าจะจัดการเรื่องทั้งหมดในวันมะรืน ขืนมัวโอ้เอ้มีหวังไม่ได้ทำพอดี โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้หาง่ายๆแล้วด้วย

          สิทธิ์ค่อยๆดึงผ้าห่มออกมาทีละน้อย เผยให้เห็นร่างบางเพรียวที่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนผู้หญิงเสียมากกว่าจะเป็นชาย เสื้อนอนคอกว้างสีหวานเผยอออกพอให้เห็นเนินอกที่ราบเรียบ…ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรจะให้มองแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไม ตามันวิ่งไปโฟกัสจุดนั้น แถมดึงกลับไม่ค่อยจะได้ด้วย

          หือ…

          ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย เพราะมือไปโดนเข้ากับของแข็งเล็กๆจำนวนมากบนที่นอน และจากสัมผัส เขาพอจะจำได้ว่ามันน่าจะเป็นกรวดสี

          ไหงมีกรวดบนเตียงด้วยวะ

          เขาได้แต่สงสัย คือถ้ามีที่พื้นนี่ยังพอเข้าใจ แต่มีบนเตียงด้วยนี่คือ เอางานฝีมือมาทำบนเตียง…แล้วจากนั้นก็นอนทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่ปัดออกเลยหรือ…แล้วปกติคนที่ไหนมันจะหลับได้กันล่ะ…

          ด้วยความที่สงสัยไปก็เสียเวลา ชายหนุ่มจึงทำเพียงแค่ปัดกรวดเหล่านั้นออกจากเตียง เพื่อเตรียมตัวปฏิบัติภารกิจได้อย่างราบรื่นไร้รอยกรวด

          “อือ…”

          เสียงครางด้วยความทรมานดังขึ้น สิทธิ์ถึงกับไหลลงไปหลบที่พื้นอย่างลืมตัว แต่โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ตื่นอย่างที่คิด

          เมื่อทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ชายหนุ่มก็ขึ้นคร่อมมองร่างเล็กเบื้องล่าง เขากลืนน้ำลายมองอีกฝ่ายอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรก

          ถ้าเบาๆ…คงไม่รู้สึกตัวหรอก…

          ชายหนุ่มเลิกเสื้อตัวโคร่งขึ้น หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกจากอกเมื่อพบว่า นอกจากเสื้อนอน ก็ไม่เหลือปราการใดๆที่ต้องปลดอีกแล้ว

          สิทธิ์เบิกตามองกับสิ่งที่ได้พบอย่างไม่ทันตั้งตัว หนอนไม่น้อยแต่แลดูน่ารักนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาพยายามมองต่ำลงไปยังเป้าหมาย หยิบอุปกรณ์พร้อมลุยขึ้นมาเตรียมตัวทำภารกิจลับจากกระเป๋าหลัง นิ้วเรียวค่อยๆสอดแทรกเข้าสำรวจความพร้อม
          เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว จึงค่อยเพิ่มนิ้วเข้าไปทีละน้อยๆ

          “อือ…”

          ชายหนุ่มหยุดนิ่งเป็นรูปปั้นเมื่อเดียร์ครางขึ้นอีกครั้ง แต่พอเห็นว่าไม่ได้ตื่น สิทธิ์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
จะลักหลับคนนี่ มันระทึกแบบนี้นี่เอง…

          สิทธิ์มองร่างที่นอนนิ่งจนน่าสงสัย ดวงตาเรียวเลื่อนมองท้องน้อยขาวเนียนผ่านความมืดสลัว แสงไฟจากด้านนอกคอยช่วยส่องให้มองเห็นใบหน้าเรียวยามหลับได้อย่างชัดเจน

          ….

          เหมือนมีบางอย่างมาดลใจ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าตนไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย ความรู้สึกทีเกิดขึ้นในตอนนี้ ตนก็ตีความไปว่าเป็นเพราะความใคร่ความหลงที่ชั่ววูบ

          ลิ้นร้อนสอดแทรกผ่านริมฝีปากบาง ความหวานที่ได้สัมผัสชวนให้รู้สึกหิวกระหาย สติที่ยังเหลืออยู่คอยกระตุ้นเตือนให้ตนไม่ขยี้ดอกไม้ตรงหน้าให้แหลกอย่างที่หวัง ในตอนนี้ที่ต้องการคือแค่ปลดปล่อยความต้องการภายในและเก็บเกี่ยวความสุขนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…เพียงเท่านั้น…

          …….

          ก็ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแทรกนิ้วเข้าตั้งสามนิ้วไม่เห็นจะตื่น แต่พอจูบเบาๆ คุณกวางน้อยดันตื่นเสียได้นี่!

          สีหน้าของเดียร์บ่งบอกว่าประหลาดใจอย่างแรง แน่ล่ะ ใครมันจะไปคิดว่าตื่นมาจะพบว่าตัวเองกำลังโดนลักหลับอยู่แบบนี้กัน

          แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้อ้าปากพูด มือหนาก็ตรงเข้าปิดปากอย่างรวดเร็วเพราะกลัวอีกฝ่ายจะส่งเสียงร้อง

          “อย่าร้อง ฉันรำคาญ” ด้วยความกลัวสุดชีวิตและคิดมุกไม่ออกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือการเผด็จการอย่างเหี้ยมโหด
เดียร์ได้แต่นิ่วหน้ามอง ทีแรกเขาเกือบจะเผลอถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆแล้ว โชคดีที่อีกฝ่ายปิดปากเขาเอาไว้ทัน เลยไม่ทันได้หลุดพิรุธออกไป

          “อยู่เงียบๆ ฉันจะได้รีบๆจัดการให้เสร็จ”

          แล้วตามปกติใครมันจะอยู่นิ่งๆกันละครับ

          สิทธิ์สะดุ้งเมื่อโดนชกเข้าชายโครงอย่างไม่ทันตั้งตัว ถึงจะไม่แรง แต่ก็เจ็บจนเผลอกัดฟันและอารมณ์เสียขึ้นมาได้ ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างรวบแขนตัวดีที่คอยทุบตนไม่หยุด แล้วกดลงเตียงเสียแน่น

          “ฉันจะไม่พูดซ้ำนะ แต่ถ้ายังขัดขืน อย่าหาว่าฉันใจร้ายละกัน”

          ดีสิครับ ผมรอมานานแล้ว!!!

          นั่นล่ะ ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ แรงขัดขืนกลับเพิ่มขึ้นจนสิทธิ์หัวเสียหนักข้อ เมื่อทนไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มจึงจัดการหยิบอุปกรณ์ฉุกเฉินจากกระเป๋ากางเกง แล้วเอามาคล้องแขนเข้ากับเหล็กดัดบนหัวเตียง

          “อื๊อ…” เดียร์ส่งเสียงในลำคอพอหอมปากหอมคอ ให้เข้ากับการโดนบิดแขน ด้วยความที่อดอยากมาเป็นเวลานานแสนนาน ดั่งคนที่ต้องเดินอยู่กลางทะเลทราย พอได้เจอโอเอซิสเข้า เดียร์ถึงกับสุขล้นทะลักจนไม่อาจห้ามน้ำตาแห่งความปลื้มปลิ่มเอาไว้ได้

          ดวงตาเรียววาวโรจน์ น้ำตานั่นกลับไม่ทำให้เกิดความสงสารใดๆแม้แต่น้อย หัวใจในอกเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มโน้มลงตรงซอกคอ ฝากรอยรักมากมายเอาไว้อย่างไม่นึกทะนุถนอม จนลำคอขาวเต็มไปด้วยรอยปื้นแดงเป็นจุด ลิ้นอุ่นหนาลากไล้ลงอกเล็กนุ่ม ดูดดุนพลางขบกัดติ่งเนื้อแดงจนชอกช้ำ เสียงครางอื้ออึงที่ดังออกมาไม่หยุดรังแต่ช่วยเร้งเร้าความต้องการให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม

          ชายหนุ่มเหยียดยิ้มกว้างเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกร่วมขึ้นมา เขาไม่รีรออ้อยอิ่งอีกต่อไป ร่างหนาเข้าแทรกกายสู่ภายในที่ร้อนรุ่ม และขยับกายระบายความใคร่ใส่อย่างไม่มีการรีรอหรืออารัมภบทใดๆทั้งสิ้น

          เดียร์รู้สึกเหมือนจะเป็นลม อยู่ๆเล่นมากรอกความสุขใส่เอาๆโดยไม่ทั้งตั้งตัว ทำเอาเขาถึงกับคุมตัวเองไม่อยู่ ร่างกายมันโหยหาความโหดร้ายมากเกินไปจนเด็กหนุ่มได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองต่อความสุขสมนั้น

          “คุณ…สิทธิ์….” เสียงหวานกระซิบปนสะอื้น ลืมเสียสิ้นว่าต้องแอ๊บทรมาน ซึ่งโชคดีหน่อยที่อีกฝ่ายไม่ได้มองหน้าเขา ไม่เช่นนั้น คงได้รับรู้ความจริงที่ชวนผวาเป็นแน่ “…ไม่นะ…อย่า…”

          อย่าหยุดนะครับ ขอแรงๆ!

          ร่างสูงเพียงแต่เงียบ คลื่นอารมณ์ที่กระแทกเข้ามานั้นแสนสุขสมเกินกว่าจะหยุดได้ แต่ท่ามกลางความกระสันนั้น กลับมีบางสิ่งที่ขาดหายไป…บางสิ่งที่เซ็กซ์ในยามนี้ไม่อาจเติมเต็มให้กับตัวเขาได้

          “โอ๊ย” เสียงหวานร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อโดนกัดเข้าที่หัวไหล่ มือบางพยายามทุบตีอย่างเอาเป็นเอาตาย ตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ได้โวยวายให้เลิกทำแต่อย่างใด

          เหมือนได้รับสิ่งที่ต้องการ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้า ได้ยินเสียงหวานที่อัดแน่นไปด้วยความทรมาน ช่องว่างที่อยู่ภายในใจจนถึงเมื่อครู่ ได้รับการเติมเต็มจนมิด

          “อึก…”

          ร่างสูงหยุดขยับตัวเมื่อได้ไปถึงฝั่งฝัน ต่างคนต่างหอบหลังจากเสร็จสมอารมณ์หมาย ทุกอย่างดำเนินการจนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ไม่ได้ทำเสียนาน ไอ้น้ำอดน้ำทนที่มักจะมีเลยหายกันเกลี้ยง

          “ทำไมคุณ…ถึงทำแบบนี้…” หลังจากได้สติ เดียร์ก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง โดยลืมไปเสียสนิทว่า ควรจะใส่ความเกลียดชังลงไปในน้ำเสียง อีกทั้งยังไม่คิดจะผลักอีกฝ่ายออกจากตัวด้วย

          สิทธิ์ยังคงเงียบและหอบหายใจใส่ข้างหู พอเด็กหนุ่มจะขยับตัวก็พบว่าอีกฝ่ายนอนเกร็งตัวอยู่ แต่เพียงไม่นาน พ่อหมียักษ์ก็ลุกขึ้นมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว

          “ฉันอยาก มีอะไรมั้ย เธอนั่นล่ะผิดที่ขัดขืน”

          ว่าจบก็เผ่นแผล็วออกจากห้องไป ทิ้งให้เดียร์ได้แต่มองตามหลังอย่างอึ้งๆมึนๆ

          อะไรของเขาเนี่ย!!!


ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดงับ ><
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 21-06-2014 19:35:05
กรี๊ด.ด.ด.ด.. ติดมาซะแล้วล่ะความมาโซอ่ะ ติดมาแล้วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 21-06-2014 21:04:34
เหอๆ พ่อหมีเสร็จหนูเดียร์ซะแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 21-06-2014 21:19:45
กรี๊ดดด เสพติดนู๋เดียร์ซะแล้วใช่มั้ย อิอิ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Chifuu ที่ 21-06-2014 22:10:23
ใกล้ซาดิสถ์เต็มขั้นแล้ว555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 33 (21/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 22-06-2014 19:41:27
สิทธิ์เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย :laugh3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 34 (4/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 04-07-2014 20:22:23
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 34
         
          เช้าวันใหม่ที่แสนจะสดใส เหล่าคนในบ้านต่างมีสีหน้าอิ่มเอมเข้ากับบรรยากาศ ยกเว้นใครคนหนึ่งที่แม้ผิวพรรณจะดูเปล่งปลั่ง แต่อารมณ์กลับตรงกันข้าม

          “…” ก้องได้แต่อ้าปากค้าง เมื่อเห็นคนชอบตื่นสายเดินสะโหลสะเหลลงมาก่อนเจ็ดโมง ซึ่งไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนกับว่ายังไม่ได้นอนชัดๆ

          “ผมอยากตาย”

          อึ้งไปสามวินาที “หา”

          “…ขอนมสองแก้วทีสิครับ” สิทธิ์ตัดบทเสียงเนือย พอได้ของที่ต้องการก็จากไปทันที ปล่อยให้ลูกน้องได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่เช่นนั้น

          เรื่องนี้ มันต้องมีคำตอบ!!!

          ในเมื่อแฟนก็หลับไปแล้ว เจ้านายก็เข้าห้องนอนไป หนุ่มแว่นจึงขึ้นไปที่ห้องของเดียร์ และก็พบว่า เด็กหนุ่มตื่นและแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมไปทำงานแล้ว

          “ไงครับ เมื่อคืนมีความสุขดีไหม”

          ก้องชะงักกับคำถาม หนุ่มใหญ่กัดฟันกรอดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปจับไหล่เดียร์ และใช้มือที่ว่างกระทุ้งเข้าลิ้นปี่อย่างแรงจนเด็กหนุ่มตัวลอย

          “ขอบใจ…” เสียงทุ้มดังเล็ดรอดออกจากไรฟันเหมือนไม่ใคร่จะเต็มใจบอกสักเท่าไหร่ “แส่ไม่เข้าเรื่องจริงๆเลยนะ…นี่แกจะหาเรื่องบังคับให้ฉันทำอะไรกัน หา”

          “แหม มองโลกในแง่ร้ายจังเลยนะครับ ที่ผมทำไปก็เพราะอยากช่วยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ให้มีความสุขอย่างแท้จริงต่างหาก” เดียร์เอ่ยพลางบิดตัวไปมาราวกับเขิน แต่คนดูกลับรู้สึกพะอืดพะอมกับท่าทีเสแสร้งนั่น “พอดีพี่ฤทธิ์เขาเข้าใจผิดเรื่องที่พี่ก้องช่วยทรมานผมน่ะครับ เห็นโอกาสดี ก็เลยช่วย แค่นั้นเอง”

          ก้องยังคงมองอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาจึงแค่ยักไหล่ ก่อนจะเริ่มสอบสวนต่อ

          “ว่าแต่ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

          ใบหน้ายิ้มแป้นแล้นนั่นหายวับไปทันที

          “เกิดอะไรขึ้น” ก่อนที่เดียร์จะได้พูด ก้องก็ชิงถามก่อน “เกิดล่ะสิ ท่าทางจะไม่ดีมากๆด้วย ไม่งั้นแกไม่เผลอหลุดหน้าเหวอให้ฉันเห็นแบบนี้แน่”

          เมื่อปิดไม่ได้ และก็ไม่มีเหตุผลจะปิด เด็กหนุ่มจึงยอมพูดแต่โดยดี

          “เมื่อคืนคุณสิทธิ์เข้ามาปล้ำผมครับ”

          “หา” หนุ่มแว่นถลึงตาใส่ “แกว่าอะไรนะ ขออีกทีซิ”

          “คุณ สิทธิ์ ปล้ำ ผม ครับ” คราวนี้ช้าๆ ชัดๆ และกระจ่าง “ต้องบรรยายด้วยไหมครับว่าปล้ำแบบรุนแรงขนาดไหน”

          “ไหงงั้นล่ะ” ก้องเอ่ยโดยไม่สนใจมุกของอีกฝ่าย “นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม”

          “โอ๊ย ถ้าอย่างนั้นอย่าถามผมเลย ไปถามคุณสิทธิ์ดีกว่าไหม” เดียร์ฮึดฮัดใส่ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณสิทธิ์เกิดคึกอะไรขึ้นมา…อาจจะเพราะเมาก็ได้มั้ง กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนี่ ผมไปทำงานก่อนล่ะ”

          เดียร์ออกจากห้องโดยไม่สนใจจะตอบคำถามต่อ ปล่อยให้หนุ่มแว่นได้แต่ยืนคาใจอยู่คนเดียว

          เกิดอาเพสอะไรขึ้นวะเนี่ย

          ทั้งที่เมื่อคืนคุณเจ้านายก็สัญญาเสียดิบดีแล้วว่าจะไม่ยุ่ง แต่ไหงอยู่ๆกลับมาฉีกสัญญาเสียเองซะอย่างงั้น ครั้นจะให้ไปถามตอนนี้ ก็ดูจะไม่ได้ความเท่าไหร่ด้วย

 

          “สวัสดีจ๊ะ…อ้าว เป็นอะไรไปหรือเปล่าเดียร์”

          เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อน้อยทักด้วยความเป็นห่วง

          “เปล่านี่ครับ ทำไมหรือ”

          หญิงสาวดูไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก “ก็เห็นเราทำหน้ากลุ้ม พี่ก็เลยถามน่ะ”

          นั่นทำให้ตกใจยิ่งกว่า อย่างเขาน่ะหรือจะหลุดสีหน้าให้คนอื่นเป็นห่วงได้ แต่พอหันไปมองกำแพงกระจกหน้าร้าน เด็กหนุ่มก็พบว่าตนมีสีหน้าเช่นนั้นจริงๆ

          “อย่าบอกนะว่า คุณวินเขารู้เรื่องคุณสิทธิ์แล้ว”

          “เปล่าหรอกครับ” เสียงหวานรีบตอบเมื่อเห็นสีหน้าปานโลกจะแตกของอีกฝ่าย “ผมแค่กำลังคิดอะไรเพลินๆน่ะครับ”

          น้อยดูจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่ได้ถามต่อ กลับไปจัดแจงหน้าร้านต่อ

          เดียร์เดินเข้ามาในห้องพักของร้าน สีหน้าที่ปั้นยิ้มจนถึงเมื่อครู่หุบกลับลงจนเหลือไว้แต่ความกลัดกลุ้มอย่างก่อนหน้า

          ทำไมกันนะ…

          พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว มันรู้สึกสับสนไปหมด เจ้าหมียักษ์นั่นต้องการอะไรกันแน่นะ ถึงได้แหกกฎกันแบบนี้ เขารึสู้อุตส่าห์พยายามอดทน แล้วมาทำกันอย่างนี้มันเหมือนยั่วกันชัดๆ!

          เด็กหนุ่มสะบัดหัว ปัดความทรงจำแสนหวานของเมื่อคืนออกไปจากสมอง เพื่อจะไปทำงาน…

          แล้วทำไมภาพตาหมีนั่นถึงกลับมาวนเวียนที่เดิมอีกล่ะฟะ

          ยากที่จะปฏิเสธว่าการอดอยากเป็นเวลานานแล้วมาเจออย่างสุขสมอารมณ์หมายเช่นนี้ ทำให้รู้สึกปลื้มปริ่มมากกว่าปกติ แถมอีกฝ่ายเองก็ช่างมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย นึกแล้วรู้สึกเสียดายเหลือเกินที่อีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น

          เด็กหนุ่มหยุดยืนครุ่นคิดอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อกับความคิดเมื่อครู่

          นี่เราอยากให้คุณสิทธิ์เป็นคนซาดิสม์อย่างนั้นหรือ

          คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนแบบสิทธิ์ ถึงได้เกิดความคิดประหลาดแบบนี้ขึ้นมา เดียร์ถอนใจแล้วยิ้มพราย ปัดเรื่องในหัวออกไปเสียสิ้น

          ก็แค่เสียดายความสามารถเท่านั้นล่ะ

 

          ก้องเดินวนไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่นจนพื้นสึก ความกังวลเมื่อเช้ายังคงไม่จางหาย หนุ่มใหญ่มองเวลา ป่านนี้น่าจะได้เวลาตื่นแล้ว

          “ยะโฮ~~”

          เสียงทักสดใสมาพร้อมกับการกระแทกฝ่ามือเข้ากลางหลังเต็มรัก ก้องหันไปมองชายหนุ่มผู้มีความร่าเริงทะลักล้น ซึ่งมันก็ชวนให้รู้สึกดีอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่ตอนนี้นี่น่ะสิ

          “อะไร ฉันตีไม่แรงพอเหรอ”

          “เปล่าหรอก” แต่ก่อนจะได้ตอบ พ่อคุณก็เหวี่ยงมาอีกเต็มที่จนตัวแทบปลิว “ก็แค่…”

          “พี่ก้อง!”

          ลงมาได้สักที

          สิทธิ์ผงะนิดหน่อยเมื่อเห็นฤทธิ์อยู่ด้วย เขาออกอาการลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ

          “พี่ฤทธิ์อยู่ด้วยก็ดี ผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยครับ…”

          ทั้งสองพากันเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากรอฟัง

          ชายหนุ่มทำท่าลังเล พออ้าปากจะพูด ก็หุบกลับเข้าไปอีก ซึ่งทำแบบนี้อยู่สองสามครั้ง กว่าจะยอมเปิดปากออกมาได้

          “ผมคิดว่าผมต้องรักเดียร์เข้าแล้วแน่ๆ”

          ในขณะที่ฤทธิ์ยิ่มแฉ่ง ก้องกลับออกอาการเหมือนอยากจะตายขึ้นมาจริงๆจังๆ

          “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณคิดจะเปิดเรื่องทีเดียร์อยู่กับคุณให้วินฟังหรือเปล่าครับ”

          “เปล่าครับ” ผู้เป็นนายตอบเสียงแห้ง ดวงตาเรียวเลื่อนมองลูกน้องทั้งสองด้วยความหดหู่เต็มทน “ทีแรก…ผมตั้งใจว่าจะรีบๆจัดการ…เลยทิ้งท้ายเมื่อคืน…แต่แทนที่จะเป็นการทิ้งท้าย…มันกลับไม่ใช่…พอทำลงไป…ถึงได้รู้ว่าจริงๆผมไม่อยากเสียเขาไป…เพราะพี่ก้องนั่นแหละ!”

          คนโดนกล่าวหาถึงกับสะดุ้ง เพราะสายตาที่จ้องมาไม่ได้มีแค่ของสิทธิ์

          “พี่โกหกผม” ชายหนุ่มว่าต่อโดยที่คนฟังได้แต่ยืนหน้ามึน “พี่บอกว่าผมไม่ได้เป็น แต่จริงๆผมเป็นใช่ไหมล่ะ”

          “หา ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย ก็แค่พูดจากที่เห็นเท่านั้นเอง” ก้องแก้ตัวพัลวัน ก่อนจะชักสีหน้าใส่ “ผมไม่ได้อยากให้คุณเป็นสักหน่อย ไม่งั้นผมจะพยายามกล่อมคุณเอาเป็นเอาตายว่าอย่าทำไปทำไมกันล่ะครับ”

          “คุณสิทธิ์เป็นอะไรเหรอ”

          คำถามสั้นๆง่ายๆ แต่น้ำเสียงเย็นยะเยือกจนคนฟังรู้สึกหนาวๆ ก้องยังไม่ทันจะอ้าปาก ก็ได้รับความรักอย่างไม่ทันตั้งตัว

          “เดี๋ยวครับพี่ฤทธิ์ มันไม่ใช่แบบนั้นนะ” สิทธิ์รีบห้าม ก่อนที่หนุ่มแว่นจะสำลักความสุขตายคาเท้าของฤทธิ์ “พี่ก้องเขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอกครับ”

          “มีเรื่องปิดผม ก็ถือเป็นความผิดแล้วครับ” หนุ่มตาตกกระแทกเสียงใส่ “อีกอย่าง ของชอบหมอนี่อยู่แล้ว ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุดด้วย”

          สิทธิ์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองคนที่นอนแทบเท้าแฟนอย่างมีความสุข ซึ่งก้องก็เพียงแต่พยักหน้าให้เท่านั้น

          “แล้วตกลงมันเรื่องอะไร คุณสิทธิ์เป็นอะไรไปงั้นหรือครับ” หลังจากระบายความหงุดหงิดจนสะใจ ฤทธิ์ก็กลับมาเข้าเรื่องต่อ

          พ่อหมียักษ์ตีหน้าเครียด แต่เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องปิด เขาจึงยอมปริปาก

          “ผมคิดว่าผม…กลายเป็นพวกซาดิสม์เหมือนพี่ฤทธิ์น่ะสิครับ”

          “หา” คนโดนอ้างร้องลั่นบ้าน “ผมไม่ได้เป็นคนซาดิสม์นะครับ แค่ไอ้บ้านี่มันชอบ ผมเลยสนองให้ก็แค่นั้น”

          ขนาดไม่ซาดิสม์ ยังใส่ไม่ยั้ง นี่ถ้าเป็นจริงๆ พี่ก้องมิตายเลยรึครับ

          “แล้วมันเกี่ยวกับที่คุณสิทธิ์รักเดียร์ยังไงหรือครับ”

          “นั่นล่ะครับปัญหา” ชายหนุ่มตีหน้าเครียด “ผมชอบเขาก็จริง แต่ความชอบของผม มันมาพร้อมกับความอยากทำร้ายเขาด้วยน่ะสิครับ…”

          “…คุณอาจจะแค่ชอบทำร้าย ไม่ได้ชอบเดียร์ก็ได้มั้งครับ…” คนนอนพื้นที่ไม่ยอมลุกสักที พยายามกล่อมสุดใจ ในเมื่อคุณเจ้านายกลายเป็นซาดิสม์ไปแล้ว อย่างน้อยๆเขาก็ไม่อยากให้อยู่ในเงื้อมมือมารเท่าใดนัก

          “ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด “แต่ก็อย่างที่พี่ก้องบอกนั่นล่ะครับ ผมไม่ได้อยากทำร้ายคนอื่น…นอกจากเขา”

          “แล้วที่คุณทำกับทิวาล่ะ”

          “ตอนนั้น ในหัวผมมีแต่หน้าเดียร์น่ะครับ”

          โธ่เว้ย ไอ้เดียร์ ทั้งหมดมันเป็นเพราะแกนั่นแหละ! แกทำเจ้านายฉันมีราคี! แก!!!

          “แต่เดียร์เขามีแฟนแล้วนะครับ” ประโยคนี้ทำเอาฤทธิ์หันขวับมาหาตน และก้องเองก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องสงสัย แต่ ณ ตอนนี้ จะให้อธิบายเรื่องทั้งหมดก็คงไม่ได้ เลยได้แต่ตะล่อมเจ้านายไปก่อน “ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไร การแย่งแฟนคนอื่นมันก็ไม่ดีอยู่แล้วล่ะครับ”

          “ผมรู้ครับ เพราะงั้นถึงได้กลุ้มไง” สิทธิ์ถอนหายใจ “…เพราะทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขามีคนอื่นอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังอยากได้เขา…ยิ่งอยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกดี…รู้สึกชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็อยากจะแกล้งเขา อยากเห็นใบหน้าทรมานของเขา อยากล่ามโซ่เขาให้ติดอยู่กับตัว”

          ผมว่าหลังๆมันดูไม่เหมือนคนอยู่ในห้วงรักเท่าไหร่แล้วนะครับ

          “แต่ผมรู้ว่าเขาเป็นคนธรรมดา แล้วถ้าผมทำกับเขาแบบนั้น เขาจะต้องเสียใจแล้วก็ไม่ชอบแน่ๆ…ผมรู้สึกไม่ดีเลย…แต่จะให้ปล่อยเขา ผมก็ทำไม่ได้…ทำไม่ได้จริงๆ…”

          สิทธิ์เงียบเสียงไป มีเพียงฤทธิ์ที่แสดงสีหน้ากังวลปนเครียดตามไปด้วย ในขณะที่ก้องรู้สึกเหมือนโดนสูบพลังชีวิตออกไปเรื่อยๆ

          “ผมพยายามคิดทบทวนหลายครั้งแล้วนะครับ มันไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบแน่นอน” ยิ่งย้ำ ก้องก็ยิ่งช้ำใจ “แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมก็ดันมาเป็นซะแบบนี้ แถมที่สำคัญคือ เขาก็เกลียดผมออกขนาดนั้น”
         
          “มันก็ใช่ว่าจะไร้หนทางนะครับ”

          และคำพูดของฤทธิ์ ทำเอาก้องอยากจะชักขึ้นมาจริงๆจังๆ

          “…หมายความว่ายังไง…” สิทธิ์นิ่วหน้ามองหนุ่มตาตกซึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับตน…ซึ่งดูชั่วร้ายและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

          “อย่างแรก เขาไมได้เกลียดคุณสิทธิ์หรอกครับ ความจริงแล้วเขาชอบคุณสิทธิ์ต่างหาก เขาบอกพวกผมเองเลยนะครับ”

          ก้องชักกระตุกอยู่บนพื้นรอบที่หนึ่ง

          ใบหน้าของคนฟังดูสดใสขึ้นทันตา “จริงหรือครับ…พี่ไม่ได้โกหกเพื่อปลอบผมหรอกนะครับ”

          “จริงสิครับ ผมจะโกหกทำไม” ฤทธิ์ว่าต่อด้วยรอยยิ้มที่ดูเริงร่ากว่าเดิม “ส่วนเรื่องแฟนของเดียร์ ในเมื่อตอนนี้เขาชอบคุณ และแฟนเขาก็ไม่เห็นจะทำอะไร หรือช่วยอะไรเดียร์ที่เป็นแฟนเลยสักนิด ผมไม่เห็นว่าการที่คุณจะเป็นแฟนกับเดียร์มันเป็นเรื่องผิดตรงไหน”

          ผู้เป็นนายแย้งออกมาทางสีหน้า แต่ก็พูดไม่ค่อยออกนักเพราะส่วนหนึ่งก็อยากเห็นด้วยกับอีกฝ่ายนิดๆ

          “แต่บางที…เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่แสดงตนออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ได้นี่ครับ…”

          “คุณสิทธิ์รู้หรือครับว่าแฟนเดียร์เป็นใคร”

          ก้องชักกระตุกรอบที่สอง

          “คุณชาไงละครับ”

          ได้ยินคำตอบ ฤทธิ์ถึงกับทำหน้าเหวอ แน่ล่ะ พวกเขาเองก็รู้จักชาดี และส่วนใหญ่ทุกครั้งที่เจอ ชามักจะอยู่กับวินตลอด ไอ้เรื่องที่บอกว่าเป็นแฟนกับเดียร์นี่ โคตรจะเป็นไปไม่ได้ แถมยิ่งถ้าวินเกิดรู้ขึ้นมา มีหวังได้โดนฌาปนกิจแบบไม่ทันได้ออกใบมรณะบัตรเป็นแน่

          “ถ้าผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ทีแรก ผมก็คงไม่ทำหรอกครับ…” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเสียเต็มประดา “แต่ตอนนี้มันรักไปแล้วนี่นา ถึงจะรู้ว่าผิดก็เถอะ…ผมเห็นใจคุณชาเขา…แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้…”

          “งั้นก็ช่างเขาแล้วเราก็แย่งเอามาเลยสิครับ”

          ก้องชักกระตุกเป็นครั้งที่สาม รู้สึกเหมือนหัวใจชักจะไม่ค่อยดีทุกที…

          “เรื่องนี้ มันไม่เกี่ยวกับว่าใครมาก่อน หรือความรู้สึกผิดอะไรหรอกนะครับ” ฤทธิ์ว่าต่อพร้อมกับเหยียบหลังก้องมิดชนิดว่ากะไม่ให้ลุกขึ้นมาได้ ทำเอาสิทธิ์ผงะเพราะกลัวก้องจะหลังหัก…แม้สีหน้าที่หนุ่มแว่นแสดงอยู่จะเป็นการผ่อนคลายสบายสุดๆก็ตาม “ก็ตอนนี้ คุณรักเดียร์ เดียร์ก็รักคุณ ไม่ได้รักคุณชาแล้ว แค่นี้มันก็เห็นๆกันอยู่แล้วครับ ยิ่งคุณสิทธิ์ลังเลนั่นล่ะ ยิ่งจะทำให้เรื่องมันแย่ลง”

          คนนอนพื้นนึกค้านอยู่ในใจ…อย่าได้พาลูกแกะยักษ์ลงเหวได้ไหมเนี่ย!
         
          “ส่วนเรื่องที่คุณสิทธิ์เป็นพวกซาดิสม์ อันนี้ผมว่าแก้ไม่ยากหรอกครับ”

          ในขณะที่สิทธิ์เงียบเพื่อรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ หนุ่มแว่นกลับออกอาการเหมือนโดนยาเบื่อหนู แต่ในตอนนี้ จะให้ห้ามฤทธิ์ก็เป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อใดที่เขาขยับ ส้นเท้าของหนุ่มตาตกที่ยังวางคาไว้บนหลังก็กดลงเหมือนไม่อยากให้ก้องลุกขึ้นมาได้ และมันช่างรื่นรมย์จนเสียดายเหลือเกิน หากจะลุกออกไป

          “ในเมื่อ เราแก้ที่ตัวเองไม่ได้ ก็แก้ที่อีกฝ่ายไงครับ ง่ายๆ”

          พูดง่ายนี่ที่รักจ๋า ไอ้แบบนั้นน่ะ มันไม่ใช่แค่ชี้โพรงให้กระรอก แต่เป็นสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำชัดๆ…แล้วไอ้จระเข้บ้านั่นก็ทำเนียนว่าว่ายน้ำไม่เป็นเก่งซะเหลือเกิน!!!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 34 (4/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 06-07-2014 21:58:14
กรี๊ดด.ด.ด. 555+ อารมณ์นี้ถึงกับไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียวนะคุณก้อง!
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 34 (4/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Chifuu ที่ 10-07-2014 02:41:16
สิทธิ์รู้ตัวแล้วว่าเป็นซาดิสถ์
อยากให้เดียร์รู้ด้วยจริงๆ เดียร์จะรู้ตอนไหนเนี่ย คงดีใจน่าดู5555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-07-2014 19:54:48
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 35

          “เดียร์!”

          เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงเมื่อโดนเรียกใส่ข้างหู เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าเจ้าของร้านสลับกับลูกค้าหนุ่มที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนตรงหน้าเขา เดียร์จึงนึกขึ้นได้ว่าตนยืนเหม่อลืมทอนเงินให้อีกฝ่าย

          “เป็นอะไรหรือ วันนี้เหม่อทั้งวันเลยนะ” หลังจากลูกค้าออกจากร้านแล้ว น้อยก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

          แล้วจะให้เขาพูดได้ไงว่ามัวแต่คิดถึงเรื่องที่โดนย่ำยีเมื่อคืน…แถมยังคิดอย่างคะนึงหาเสียด้วย

          “...นี่จริงๆแล้วพี่เธอรู้เรื่องคุณสิทธิ์…ใช่ไหม” คราวนี้ถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เธอไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ…โอเค ถึงจะเป็นบ้าง แต่ก็ไม่นานขนาดนี้”

          เดียร์อึกอัก ใจจริงก็อยากจะรับไป แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ คุณพี่วินแกยังไม่รู้นี่น่ะสิ เขาเลยไม่รู้ว่าควรจะยอมรับไปดี หรือจะหาข้อแก้ตัวอื่นไปก่อน

          “…ถ้าอย่างนั้นผมขอถามอะไรพี่น้อยหน่อยสิครับ” เด็กหนุ่มเกริ่น “การที่คนที่บอกว่าเกลียดเรา มาทำเรื่องเหมือนกับคนรักกับเรานี่ เขาคิดอะไรกับเราหรือครับ”

          ช่อดอกทิวลิปที่เพิ่งจัดเข้าช่อเสร็จอย่างสวยงามร่วงหล่นลงพื้นไปในทันที

          “โอเค พี่จะไม่ถามนะว่าใคร” สีหน้าของน้อยกึ่งปลื้มปริ่มกึ่งกลัดกลุ้ม เธอจับบ่าของลูกน้องแน่น “แต่เดียร์ต้องหนักแน่นเข้าไว้นะ เพราะถึงยังไง เดียร์ก็มีคุณสิทธิ์แล้วนะจ๊ะ จะเผลอปันใจให้เขาไม่ได้เชียวนะ”

          “…ครับ ผมรู้…” เด็กหนุ่มตอบรับ ในคนละเหตุผล “แต่ผมมีเหตุจำเป็นต้องอยู่ใกล้เขา เพราะงั้น ถึงจะพยายามหนีมากเท่าไหร่ เขากลับเข้ามาใกล้ผมทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรนี่ล่ะสิครับ”

          ณ ตอนนี้ คุณเจ้าของร้านจินตนาการไปไกลโขแล้ว…ความรักของมือที่สาม ซึ่งฟังแล้วน่าจะไม่ใช่ใครอื่น ก็คงไม่แคล้วลูกน้องของสิทธิ์สักคนเป็นแน่...

          “เอาเถอะครับ ผมก็จะพยายามถอยห่างเขาเท่าที่จะทำได้” เดียร์รีบตัดบทเพื่อเรียกสติ ก่อนที่น้อยจะคิดเลยเถิดไปไหนต่อไหน “ผมว่าเรากลับมาทำงานกันต่อดีกว่า”

          น้อยได้แต่บึ้งหน้าใส่ ก่อนจะหันไปทำงานต่อ…ของแบบนี้ไว้กลับบ้านไปจิ้นก็ได้

 

          ก้องนิ่วหน้ามองเวลาบนรถ หนุ่มใหญ่นั่งถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ เขาเบนสายตามองเข้าไปยังร้านดอกไม้ที่อยู่อีกฟากฝั่งของถนน ซึ่งมีมารในคราบลูกกวางตัวน้อยกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ส่วนเขาก็มารอรับตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายแกมบังคับมาจากเจ้านาย…ซึ่งความจริงแล้วมันจะต้องทั้งไปรับและไปส่ง แต่เจ้าเด็กมาโซฯมันไม่ยอม เลยต่อรองกันไปต่อรองกันมาจนได้แบบนี้

          บอกมันดีไหมวะ

          ประโยคคำถามที่วนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของหนุ่มแว่น ตอนนี้เจ้านายของเขาก็รู้ตัวไปแล้วว่าเป็นพวกซาดิสม์แถมยังรักเดียร์ ซึ่งดูยังไงก็เข้ากันประดุจกิ่งทองใบหยก...แต่ปัญหาคือเจ้าเด็กบ้านั่นแหละ เขามั่นใจว่าถ้าบอกความจริงไป เจ้าเดียร์มันต้องปลื้มปริ่ม ยินยอมพร้อมใจวิ่งขึ้นไปนอนบนเขียงให้สิทธิ์สับแน่ ซึ่งนั่นมันก็แค่ความชอบที่รสนิยมตรงกันเท่านั้น ไม่ใช่เพราะความพิศวาสอะไรเลย

          หากเดียร์ออกอาการหวั่นไหว หรือชอบสิทธิ์สักนิด โดยไม่มีเรื่องความเจ็บปวดมาเกี่ยวข้อง บางทีก้องอาจจะไม่คิดมากเช่นนี้ก็ได้ แต่เพราะเด็กหนุ่มเคยพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าไม่ได้คิดอะไรกับสิทธิ์…ไหนจะเรื่องของวินอีก ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมให้ความรักครั้งนี้เกิดขึ้นได้

          แบบนั้น มันไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนด้วยกันแค่เพราะเซ็กซ์นี่ ของไม่ยั่งยืนแบบนั้น เกิดเบื่อเมื่อไหร่ ก็จบกัน และก้องก็มั่นใจด้วยว่าคนที่ออกปากบอกก่อน ต้องเป็นเดียร์แน่นอน

          ก๊อกๆ

          หนุ่มใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนที่เคาะกระจก แล้วปลดล็อกประตูให้อีกฝ่าย

          “เฮ้อ”

          เสียงถอนหายใจที่ดังอย่างไม่เกรงใจใครดังขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ก้องตั้งใจจะพูด หนุ่มแว่นเลยได้แต่เงียบแทน พอมองผ่านกระจกหลัง เขาก็ต้องนิ่วหน้า เพราะเจ้าเด็กมาโซฯนั่นกำลังมองเขาอยู่

          “…มีอะไร” ก้องถามอย่างไม่แน่ใจนัก

          ดวงตากลมเลื่อนไปมองอีกฝ่าย สีหน้าดูกลัดกลุ้มปนเหนื่อยใจจนน่าแปลก เพราะไม่เคยเห็นเดียร์มีสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน

          “ถ้าอยู่ๆพี่ฤทธิ์มาร้องไห้ฟูมฟายใส่พี่ บอกว่าไม่อยากจะทำร้ายพี่แล้ว พี่ก้องจะยอมตาม หรือเลิกกับพี่ฤทธิ์”

          เผลอเหยียบเบรคสุดเท้าทันที โชคดีที่ไม่มีรถวิ่งตามมา ไม่อย่างนั้นได้เกิดโศกนาฏกรรมแน่นอน

          “ไหงถามงั้น” ด้วยความระแวง เลยไม่ตอบคำถามในทันที

          “ก็แค่อยากรู้…ไม่ได้หรือครับ”

          ใบหน้าที่มองมาดูนิ่งเรียบและไม่ยิ้ม แต่กระนั้นก้องก็ยังนึกผวาไม่เลิก กลัวเหลือเกินว่ามันจะมีแผนการอะไรไว้อยู่ในใจ

          “เออๆ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ” พอเห็นอีกฝ่ายระแวงไม่เลิก เดียร์เลยขี้เกียจรอฟัง “ว่าแต่พี่ก้องได้ถามคุณสิทธิ์เรื่องเมื่อคืนหรือเปล่า ว่าเขานึกอะไรถึงได้มาปล้ำผม”

          เข้าใจถามเหลือเกินนะเอ็ง

          “เมาน่ะ” เป็นคำตอบที่ง่ายและใช้ได้ผลที่สุดแล้ว “หงุดหงิดตัวเองน่าดูที่เผลอทำนาย…”

          ประโยคหลังก็แค่อยากพูดเพราะกลัวเดียร์จะรู้สึกถึงเหตุผลที่สิทธิ์ทำ แต่จากที่คิดว่าเดียร์จะไม่สนใจ ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม

          “เฮ้” ก้องเรียกคนที่นั่งนิ่งเป็นหุ่น “เป็นอะไรของเธอ”

          “เปล่าครับ…แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ” เสียงหวานกลับมาร่าเริงกลายเป็นคนเดิมอีกครั้ง ทำเอาก้องทั้งโล่งใจและผวาไปพร้อมกัน “ตกลงคุณสิทธิ์เขาพร้อมจะบอกเรื่องผมให้พี่วินรู้หรือยังล่ะครับ”

          “…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงพรุ่งนี้” ก้องบอกไปตามตรง ก็ถึงคุณชายแกจะสารภาพว่ารัก แต่ก็ไม่เห็นบอกว่าจะเปลี่ยนกำหนดการแต่อย่างใดนี่ “มั้งนะ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดอยากเปลี่ยนกำหนดการเอาดื้อๆก็ได้”

          “ไม่หรอกครับ เพราะถึงจะพยายามเปลี่ยนยังไง กำหนดการก็คงเปลี่ยนไม่ได้แล้วล่ะครับ”

          ก้องเหล่มองเดียร์ผ่านกระจก ทันทีที่เห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าหวาน เขาถึงกับเลื่อนกลับไปมองถนนต่อทันที และไม่ต้องถามให้เสียเวลา เดียร์ก็พร้อมจะเฉลยด้วยใบหน้าแช่มชื่น

          “พรุ่งนี้พี่อาจจะเหนื่อยกับระเบิดที่ลงหน่อยนะครับ”

          มันเหนื่อยตั้งแต่แกเดินเข้ามาในชีวิตคุณสิทธิ์แล้วล่ะ…ไม่สิ กรณีนี้เรียกว่า ผิดที่คุณสิทธิ์ใช้แผนบ้าๆบอๆนี้มากกว่า

 

          ชานิ่วหน้ามองเอกสารเป็นกองบนโต๊ะ ซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ใช่งานของเขาเลย แต่จากคำสั่งของคุณรองประธาน เขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องสะสางงานของฝ่ายธุรการไปเกือบครึ่ง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่าทำไมอยู่ๆถึงได้รับแจ็คพอตแบบนี้ แต่ถามไปมาริสาก็เอาแต่จ้องหน้าและเทศนาด้วยเสียงแหลมสูงกลับ แล้วพอวินจะไปช่วยพูดก็โดนโจมตีกลับมาอีก ชาจึงได้แต่ก้มหน้าทำงานตามไปอย่างไม่อาจปริปากบ่นได้

          “ตายหรือยัง”

          ชาสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อเจอแฟ้มหนาตีเข้าที่ท้ายทอย ชายหนุ่มหันไปมองร่างสูงผู้มีใบหน้าเหมือนคนอารมณ์เสียตลอดเวลา ซึ่งแม้จะดูบึ้งตึง แต่คนเป็นลูกน้องก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงอยู่

          “ก็อย่างที่เห็นละครับ” และด้วยเพราะเหตุนั้นเลยอดยิ้มหน้าบานให้ไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่แอบเป็นห่วงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เลยแจกความรักเข้าไปอีกดอกแรงๆตรงที่เดิม

          “แม่เรียกนายกับฉันไปพบ รีบๆยกก้นขึ้นมาได้แล้ว ฉันขี้เกียจโดนแว้ดใส่หู สงสัยจะพูดเรื่องที่อยู่ๆก็โยนงานให้นาย”

          ชาเพียงแต่พยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังเจ้านายไปอย่างอ้อยอิ่ง เพื่อที่จะให้วินหันมากระชากเสื้อตนให้รีบเดินตาม

          ทันทีที่เดินเข้าห้องของรองประธาน เจ้าของห้องก็ตวัดสายตาหาผู้มาเยือนประดุจเสือจ้องเหยื่อ ทำเอาวินที่อารมณ์บูดมาตั้งแต่เมื่อครู่ถึงกับหลบตาหนี แม้ว่าคนที่โดนจ้องจริงๆจะเป็นชาก็ตาม

          “เอ้า”

          มาริสาโยนซองใส่เอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ลูกชายกับคนติดตามพากันทำหน้างง จนศิวะ เลขาและคนติดตามของมาริสาต้องเป็นคนอธิบายให้

          “นี่เป็นเอกสารโยกย้ายตำแหน่งงานครับ” หนุ่มร่างสูงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนิ่ง “ของคุณชา”

          “หา” คนร้องกลับเป็นวินแทน “ย้ายงาน ย้ายไปตำแหน่งไหน ที่นี่ก็ไม่มีตำแหน่งไหนขาดอยู่นี่”

          “ก็ไม่ใช่ที่นี่ยังไงล่ะ” รองประธานเอ่ยเสียงนิ่ง แต่ดวงตาคมที่ปรายมองลูกชายเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “ที่ชลบุรีเขากำลังขาดคน”

          “หา” คราวนี้ร้องเสียงดังอย่างลืมตัว “แต่เดี๋ยวสิ ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ล่ะครับ ทำไมแม่ไม่บอกผมก่อนล่ะ…แต่ถึงบอกผมก็ไม่ให้ชาไปหรอกนะ หมอนี่เป็นลูกน้องผมนะ มาใช้งานตามใจชอบได้ยังไง แม่มีเหตุผลอะไรถึงให้หมอนั่นย้ายงานไปที่นั่นกันล่ะ”

          “มันต้องมีแน่อยู่แล้ว!” ท่าไม้ตายเสียงแปดหลอดดังกระแทกหน้าวิน เท่านั้นยังไม่พอ เล็บสวยที่ดูแลเป็นอย่างดีพุ่งเข้าจิ้มตรงหน้าผากลูกชายอย่างไม่มีการเห็นใจใดๆ “แกคิดว่าฉันโง่นักหรือไง หรือแกจำไม่ได้แล้วว่าสัญญาอะไรกับฉันเอาไว้ เอ้า พอจะทำให้หายความจำเสื่อมได้ไหม”

          มาริสาขว้างซองเอกสารอีกอันใส่หน้าวิน รูปที่อยู่ในซองพากันร่วงกระจายเต็มพื้น และนั่นก็ทำให้หนุ่มแว่นตาโตหน้าซีด เพราะบรรดารูปตรงหน้า เป็นรูปของตนตอนที่ไปหาเดียร์เมื่อวันก่อน

          “ในเมื่อแกกล้าผิดสัญญา ฉันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอดทน” ผู้เป็นแม่กรีดเสียงแหลม “ฉันจะส่งคนไปทำลายร้านนั้นซะ เอาให้มันอยู่ไม่ได้ แล้วพอมันไปทำงานที่ไหน ฉันก็จะส่งคนไปตามราวีเรื่อยๆ เอาให้กลายเป็นหมาอยู่ข้างถนนเลย”

          “ไม่นะครับ!!” วินว้ากลั่น “แม่จะทำผมยังไงก็ได้ แต่เดียร์ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย ผมไปเพราะผมอยากไปเองนะครับ”

          “อ๋อ มีออกรับกันแทนงั้นหรือ” ยิ่งพูดเหมือนยิ่งเลวร้ายหนักกว่าเดิม “แกน่ะ โดนแน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ไอ้ลูกแมวขโมยนั้นฉันก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน!”

          “เอ่อ…แต่ปกติแล้ว คุณมาริสาก็ส่งคนไปทำร้ายคุณเดียร์เขาตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ครับ”

          ความจริงอันน่าสะพรึงที่อยู่ๆก็มาเปิดเผยกันโต้งๆ ทำเอาทั้งมาริสาและวินต้องหันไปมองชา ลูกน้องแสนดีที่ยังคงทำหน้านิ่งทั้งที่เพิ่งปล่อยตอร์ปิโดใส่ไปหมาดๆ

          “หมายความว่าไง” วินถามอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไป “นายจะบอกว่า แม่แกล้งเดียร์มาตลอดเลยงั้นหรือ”

          “ก่อนที่คุณจะสัญญาอีกครับ” ชาเสริมต่ออย่างไม่กลัวตาย “ในขณะที่คุณวินรักษาสัญญาแล้วแอบทำผิดแค่ครั้งสองครั้ง แต่คุณมาริสา ไม่รักษาสัญญาที่มีต่อคุณวินสักนิดเดียวเลยครับ”

          “แก!!” เสียงแปดหลอดทะลุหูอีกครา ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผลต่อคนมาโซฯอย่างชาแม้แต่น้อย “แกกล้าดียังไงมาใส่ความฉัน มีหลัก…”

          “ถ้างั้นลองไปถามคุณตี๋ฝั่งธนฯที่รับจัดหานักเลงมาให้คุณมาริสาดีไหมล่ะครับ…จะว่าไป ในร้านคุณตี๋เขามีกล้องวงจรปิดด้วยนี่ครับ คงดูได้ว่าลูกค้าคนไหนมาใช้บริการบ้าง ดีไหมครับ แต่เพื่อความรวดเร็ว ผมก็ซื้อเทปก็อบปี้ที่บันทึกภาพตอนที่คุณมาริสาไปใช้บริการที่นั่นเผื่อไว้แล้วล่ะครับ จะดูตอนนี้เลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

          เมื่อจนหนทาง มาริสาจึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ จ้องหน้าชาปานจะฆ่าแกง

          “ฉันหลงนึกว่าแกเป็นพวกเดียวกับฉัน สันดานหมาข้างถนนมันไม่เปลี่ยนจริงๆ” รองประธานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชนิดที่ว่า ถ้างับหัวชาได้ คงทำไปแล้ว “แต่เรื่องย้ายงาน ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ ไม่ว่ายังไง แกก็ต้องไป ไปให้ไกลจากตาวินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

          พูดง่ายๆคือ ให้ผมไปไกลๆ จะได้ไม่มาคอยยุให้คุณวินไปหาคุณเดียร์อย่างนั้นสินะ…

          “เรื่องแน่ะ ผมบอกแล้วไงว่าชามันเป็นลูกน้องผมนะ แม่หรือใครก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ให้มันทำนู่นนี่ทั้งนั้นล่ะ”

          “อ๋อเหรอ งั้นฉันให้แกเลือก ระหว่างไอ้ลูกเห็บ กับหมา แกจะเลือกอะไร”

          เกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะ ว่าคุณแม่หมายถึงใครกับใคร

          “ผะ…ผมไม่เลือกทั้งนั้นแหละ เพราะต่อให้เลือก แม่ก็ทำตามใจอยู่ดี ขนาดสัญญาครั้งก่อน แม่ยังไม่รักษาสัญญาเลย” วินแย้งกลับเสียงขุ่น “ผมไม่เข้าใจ แม่จะแค้นอะไรเดียร์นัก ลูกเมียเก็บคนอื่น แม่ไม่เห็นจะแคร์อะไร…”

          “ก็เพราะแม่มันไง!!!” การตะเบ็งเสียงแข่งกับมาริสา คือการฆ่าตัวตายเพราะโดนเสียงที่ดังกว่าโจมตีกลับมา “เพราะแม่มันเป็นเพื่อนสนิทกับฉัน…เพื่อนที่ฉันคบมาตั้งแต่เด็ก เพื่อน….ที่มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของฉัน…ยัยเพื่อนทรยศนั่น!!!”

          เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของแท้…คนในห้องเริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมาริสาถึงได้แค้นเคืองเดียร์นัก ยิ่งพ่อคุณแกโตมายิ่งเหมือนแม่ตัวเองสุดๆแบบนี้ จะไม่ให้เห็นภาพซ้อนของเพื่อนสนิทที่แอบฟีเจอริ่งกับสามีตัวเองได้ยังไง

          วินอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะเริ่มแย้งต่อ “ถ…ถ้าอย่างนั้น แม่ก็น่าจะโกรธพ่อด้วยสิครับ ของแบบนี้ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกนะ”

          “เหรอ แล้วแกคิดว่าทำไมพ่อแกหนีไปทำงานต่างประเทศ ไม่ยอมกลับมา แล้วไม่บอกว่าอยู่ส่วนไหนของโลกมาสี่ปีแล้วล่ะ หืม” มาริสาย้อน “ถ้าอยากให้ฉันเลิกยุ่งกับไอ้เด็กเวรนั่น ลองตามหาพ่อแกมาใส่พานให้ฉันสิ รับรอง ฉันเลิกหงุดหงิดใส่พวกแกแน่”

          หนุ่มแว่นได้แต่ตะลึงกับข้อเสนอที่ให้ไปงมเข็มใต้มหาสมุทร ขนาดแม่กับเขายังไม่รู้เลย แล้วจะไปหาจากที่ไหนให้ได้กัน

          ในขณะที่ประธานกับรองประธานกำลังเถียงกันอย่างดุเดือด หนึ่งในผู้ที่เป็นประเด็นการด่ากลับทำเพียงแต่นิ่งเงียบ ชากำลังนึกครุ่นคิดเกี่ยวกับรูปถ่ายตรงหน้า เขากัดฟันแน่น มีหรือที่ดรจะไม่รู้เรื่องนี้ ในเมื่อตอนนี้เจ้านั่นก็ต้องอยู่ดูเหตุการณ์ด้วยแท้ๆ เพราะถ้าดรไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ดรก็น่าจะอยู่ในรูปด้วย และก็ต้องมาขึ้นเขียงร่วมกับเขาแน่นอน

          แต่การที่ไม่มีรูปแบบนี้ มันคิดได้อย่างเดียวคือ หมอนั่นรู้ แต่ไม่ยอมบอกตน และเขาก็รู้ด้วยว่าทำไม

          ไอ้คุณเดียร์!! แกไปทำเสน่ห์ยาแฝดอะไรใส่ไอ้ดรมันน่ะ หา!!!

          “เอ่อ…ขอโทษครับ”

          ผู้เข้ามาเยือนคนใหม่ทำเอาชาเผลอบึ้งหน้าใส่ ช่างมาได้จังหวะราวกับรู้เสียเหลือเกิน ยิ่งเห็นใบหน้าที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียเลย ชายิ่งอยากฝากรอยหมัดไว้ให้สักรอย

          “ทำไมไม่เคาะประตูหา!!!” และไม่ต้องทำ มาริสาช่วยตบหน้าด้วยเสียงให้ทันที

          “…เคาะแล้วครับ เคาะตั้งสี่ห้ารอบแล้วครับ” ธานินทร์เอ่ยเสียงอ่อน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมาร่าเริงจนน่าเตะเหมือนเดิม “ว่าแต่เถียงกันรุนแรงจังเลยนะครับ เสียงดังไปถึงข้างนอกเลย”

          “งั้นหรือครับ แต่ผมว่ามันไม่น่าจะดังไปถึงชั้นล่างของผู้บริหารได้หรอกครับ” ชาสวนใส่ด้วยความหมั่นไส้ทันที

          “อ๋อ พอดีผมเดินขึ้นมาส่งเอกสารให้ฝ่ายโฆษณาเขา แล้วบังเอิญเดินมาได้ยินต่างหากล่ะครับ”

          “แหม เป็นถึงผู้บริหารแท้ๆ แต่มาส่งเอกสารให้อย่างกับเป็นเบ๊ประจำสำนักงานเลยนะครับ”

          “พอๆ” รองประธานสั่งลั่น ก่อนจะหันไปหาธานินทร์ “มีอะไร”

          “ผมแค่สงสัยน่ะครับ…คิดว่าเรื่องย้ายตำแหน่งงานจะเป็นเรื่องที่คุณวินเห็นด้วยเสียอีก” ไม่ว่าเปล่า มีปรายตามองมาทางชาเหมือนประหลาดใจเต็มทน “เอ๊ะ หรือว่าคุณวินไม่ได้รู้เรื่องนั้น…อุ๊บ”

          ชาเผลอพ่นลมออกมา…ทำเสียงได้ตอแหลมาก

          “หมายความว่าไง” คราวนี้วินเป็นฝ่ายถามขึ้น

          “ก็เรื่องที่ว่า คุณชาเขาลอบเป็นแฟนกับคุณเดียร์มาตั้งนานแล้ว จากนั้นก็วางแผนจะหนีตามกันโดยไปขอให้คุณสิทธิ์ช่วยไงล่ะครับ”

          แต่ละคนต่างพากันอ้าปากค้าง แต่กรณีของชาคือ ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าแต่งเรื่องโกหกพกลมได้ประสาทกลับขนาดนี้

          “…………………ฮะ? จะเป็นไปได้ยังไง บ้าหรือเปล่า” แต่ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ สายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและคั่งแค้นของวินก็หันไปทางชาอยู่นานสองนาน

          แต่แทนที่คุณผู้บริหารจะยิ้มเจื่อนเปลี่ยนเรื่องตามประสา อีกฝ่ายกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม จนชาเริ่มขนลุกตงิดๆ

          “ไม่ลองถามคุณชาดูล่ะครับ ว่ามันจริงหรือเปล่า”

          “มันก็ต้องไม่มีทางเป็นความจริงแน่อยู่แล้วล่ะครับ” ชาสวนก่อนที่วินจะหันกลับมาหาตน “ผมว่าคุณธานินทร์ทำงานหนักมากไปหรือเปล่าครับ ถึงได้เบลอๆ เห็นภาพหลอน หรือคิดไปเองอะไรแบบนี้”

          “ฮะๆๆ มีอารมณ์ขันจังเลยนะครับคุณชา” หนุ่มตาตกหัวเราะร่วนราวกับไม่สะทกสะท้านต่อคำเหน็บเหล่านั้น “จะว่าไป ผมได้ยินว่าคุณชาลางานไปเมื่อวันก่อนนี่ครับ ไปทำอะไรหรือ”

          “ผมว่ามันออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวเกินกว่าที่จะบอกให้ใครต่อใครมารับรู้นะครับ” หรือก็คือ อย่าเสือกนั่นเองล่ะครับ

          “ส่วนตัว หรือไปทำอะไรที่บอกคุณวินไม่ได้กันล่ะครับ”

          คราวนี้ชายิ้มและกัดไม่ออก ยิงเห็นสีหน้าเหมือนกำลังถือไพ่เหนือกว่านั่นแล้ว ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกหวั่น

          “นี่ตกลงอยากจะพูดอะไรกันแน่ เข้าเรื่องทีได้ไหม” วินเริ่มทนไม่ได้ “เรื่องที่ชาลางานเกี่ยวอะไรกับที่นายพูดกัน”

          “ก็วันนั้นเขาไปเจอคุณเดียร์นี่ครับ”

          ชาถึงกับชักสีหน้าเพราะไม่คิดว่าเวลาห้านาทีนั่น จะโดนคนที่ไม่อยากเจอมาพบเข้า เขาว่าตนก็ระวังตัวเป็นอย่างดีแล้ว……

          ……………………………………หยุดคิดไปสามวินาที………………………………………….

          ที่คุณต้องทำ ก็แค่อดทน แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นก็พอครับ

          ไอ้คุณเดียร์!!!!


___________________________________________________________

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้มากเลยงับ แม้คนเขียนจะไม่ได้เมนท์ตอบ แต่อ่านทุกเมนท์นะงับ TT[]TT แม้จะเมนท์สั้นเมนท์ยาว เมนท์ชมเมนท์ติก็ล้วนแล้วแต่เป็นกำลังใจอย่างมหาศาลจริงๆงับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 26-07-2014 21:40:01
จะตามจนจบนั่นล่ะน้าา :katai5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-07-2014 22:42:51
เจ้มจ้นจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 27-07-2014 01:11:03
แปะไว้ก่อน ตลกดี :man1: :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 28-07-2014 20:39:23
ชาเอ๋ย..งานนี้นายได้ถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดแน่  ดีไม่ดีอาจอยู่ค้างบนสวรรค์ไปชนิดวิญญาณไม่กลับเข้าร่างเลยก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 29-07-2014 18:35:20
หมั่นไส้อิธานินนัก  ชิส์ บังเอิญผ่าน
แต่คุยกะเค้ารู้เรื่องจนได้เรื่องจิงๆ :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 13-08-2014 23:54:23
 :m31:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 14-08-2014 17:45:16
ตามอ่านทันล่ะ 

ตอนแรกนึกว่าจะดราม่า ดันฮาซะงั้น :pigha2:

ชอบตัวละครทุกตัวเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 35 (26/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 14-08-2014 20:12:14
อย่าทำแบบนี้กับหนูนะคะ มาต่อเถอะค่ะ มันค้างงงงงง

ลุ้นมาก อะไรก็ดูจะโอเคแต่ดันอยู่ผิดที่ผิดทางงไปหมด รอนะคะ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 36 (23/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 23-08-2014 19:41:13
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 36

          ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไร ชาก็คิดได้แค่ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เป็นแผนการของเจ้าเด็กมาโซฯนั่นล้วนๆ พอนึกได้ว่าวันนั้นมันน่าแปลกที่อยู่ๆเดียร์มาร้องไห้ซบอกเขา เพราะปกติเด็กหนุ่มจะไม่ร้องไห้หากไม่ได้รับความสุขอย่างล้นเหลือ และถึงจะร้องไห้จริงๆ เดียร์ก็ไม่มีทางจะซบอกใครแน่ ถ้าก้มลงไปเลียรองเท้าให้ก็ว่าไปอย่าง

          สีหน้าของวินดูจะยังไม่อยากเชื่อนัก ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความสงสัยเลื่อนไปมองลูกน้องของตน นั่นทำให้ชาได้แต่อึกอัก เพราะไม่รู้จะพูดสิ่งใดดี

          “หรือถ้าคุณวินยังไม่เชื่อ จะลองดูนี่ก็ได้นะครับ”

          ดูจากองศาและมุมของรูป…ทั้งรูปตอนที่ฉันเจอกับไอ้เดียร์ที่ห้าง ทั้งรูปที่ไปหาไอ้เดียร์ที่ร้าน ทั้งหมดเป็นฝีมือของแกล้วนๆเลยสินะ ไอ้หมาจิ้งจอก!

          “นี่มันหมายความว่ายังไง” หนุ่มแว่นถามเสียงกร้าว พร้อมกับหยิบรูปเด็ดสุดจากในมือของธานินทร์ออกมา “ทำไมเดียร์กับนายถึงกอดกันกลมแบบนี้…”

          โอ๊ย ดูยังไงถึงได้เห็นเป็นแบบนั้นไม่ทราบครับ ไม่เห็นสีหน้าของผมในรูปหรือไงว่าผมขยะแขยงมันแค่ไหน…แต่พูดอะไรไปตอนนี้ ก็เหมือนแก้ตัวอย่างเดียวแล้วนี่น่ะสิ โธ่ว้อย

          “อ้าว เป็นอะไรไปหรือครับคุณชา คิดคำแก้ตัวไม่ออกหรือครับ” ธานินทร์เยาะ ทำหน้าเหมือนรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหาคำแก้ตัวได้แน่ “คุณนี่น่ากลัวจริงๆเลยนะครับ หลอกคุณมาริสาให้เชื่อว่าคุณอยู่ข้างเดียวกันเพราะหวังจะให้คุณมาริสากันคุณวิน ไม่ให้คุณวินไปพบกับคุณเดียร์ แต่พอคิดถึงคุณเดียร์จนทนไม่ไหว ถึงให้ใช้ให้คุณวินเป็นใบเบิกทางไปพบคุณเดียร์ที่ร้านดอกไม้ แต่เพราะแค่มองมันไม่พอ ถึงได้ยอมใช้วันลาไปพลอดรักกับคุณเดียร์ นี่คงนัดแนะจะหนีตามกันไปแล้วสินะครับ ดีนะครับที่ผมไหวตัวทัน เลยเอามาบอกคุณวินกับคุณมาริสาเสียก่อน…ไม่อย่างนั้นคุณวินกับคุณมาริสาต้องกลายเป็นคนโง่ที่โดนหลอกใช้แน่ๆ”

          เอาจริงๆนะ ตกลงแกเป็นผู้บริหาร หรือนักแต่งนิยายกันแน่วะ มาเป็นเรื่องเป็นราวซะจนตูอยากจะมอบรางวัลให้เลยนะเนี่ย

          “…นี่นาย…หลอกฉันมาตลอดอย่างนั้นหรือ…”

          ชาบึ้งหน้า ถึงจะรู้ว่าเป็นแผนการของไอ้เด็กบ้านั่น แต่พอมาเจอแบบนี้เข้าจริงๆ ชาก็อดเจ็บปวดไม่ได้ เพราะสายตาของวินนั้นมันเต็มไปด้วยความรวดร้าวและเจ็บแค้นที่โดนคนสนิทอย่างเขาหักหลังด้วยเรื่องที่ทำเอาหลังหักแบบนี้

          เอาไงดีวะ…ถึงจะบอกให้ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่เป็น…แล้วมันควรจะเป็นอย่างไหนกันละวะ!

          “ผมไม่ได้ทำนะครับ” ชาเลือกตอบตามความจริง

          “แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ” วินเริ่มขึ้นเสียง “…สรุปที่ผ่านมาทั้งหมด…ที่นายร้องไห้จะเป็นจะตายแค่เพราะไม่อยากให้ฉันไปหาเดียร์…เป็นเพราะนายรักเดียร์ แล้วไม่อยากให้ฉันไปเจอเดียร์อย่างนั้นหรือ”

          “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ชาเถียงกลับอย่างลืมตัว “ที่ผมทำทั้งหมดก็เพื่อคุณนะ…”

          “เพื่อฉัน? ตรงไหนกันที่ทำเพื่อฉัน! ที่ผ่านมานายแอบคบกับเดียร์โดยไม่บอกฉัน…ไหนจะไปร่วมมือกับไอ้หมาสิทธิ์ วางแผนหนีไปกับเดียร์…นายหลอกฉันมาตลอดแบบนี้…ยังจะมีตรงไหนที่บอกว่าทำเพื่อฉันกัน!”

          ทั่วทั้งห้องพากันเงียบกริบเมื่อสิ้นเสียงของวิน หนุ่มแว่นยังคงจ้องลูกน้องของตนไม่วางตา สายตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวกว่าทุกที และยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนชารู้สึกเจ็บไปด้วย

          “แล้วคุณคิดว่าผมเป็นคนที่จะทำเรื่องพรรค์นั้นกับคุณอย่างนั้นหรือครับ” แม้จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่จะให้ยอมถอยง่ายๆก็ใช่ที นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าแผนของเดียร์จะเป็นอย่างไร ขอแค่อย่างน้อยๆวินอย่าเข้าใจตนผิดก็พอ

          เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว “ถ้าอย่างนั้น ก็อธิบายมาสิว่าไอ้รูปนี้มันหมายความว่ายังไง ที่นายตอบไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องจริงหรือไง”

          ไม่ใช่อธิบายไม่ได้ แต่อธิบายไปคุณก็ไม่เชื่อต่างหาก ให้ตายสิ!

          ชาได้แต่กัดฟัน ตอนนี้ถึงจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีผลแล้ว และยิ่งยอมรับ ผลก็ออกมาแย่กว่าเดิมอีก

          แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ว่าท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าในตอนนี้ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่การต้องมาเห็นแววตาร้าวรานของเจ้านาย มันแทบจะฉีกกระชากจิตใจของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

          และที่เจ็บกว่าคือการที่อีกฝ่ายไม่นึกเชื่อใจตนเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้สิ่งที่เห็นตรงหน้ากับน้องชายบ้าๆมันปั่นหัวเล่นเอาแบบนี้ได้….อยู่กันมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ ไม่รู้เลยหรือไงว่าผมเป็นคนแบบไหน ผมเคยมองไอ้เดียร์ด้วยความรู้สึกพรรค์นั้นหรือไง ผมมองแต่คุณคนเดียวนะ…ใช่ซี่ ผมมันมาทีหลังไอ้เดียร์นี่ สำหรับคุณ อะไรๆก็ไอ้น้องบ้ามาโซฯนั่น เชอะ!

          “ถ้าคิดแบบนั้น…ก็ตามใจคุณเถอะครับ” ด้วยความน้อยใจ ชาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชด ดวงตาเรียวเลื่อนมองไปทางอื่นเพราะไม่อาจทนรับความรู้สึกของคนตรงหน้าได้อีกต่อไป

          วินเผลอชักสีหน้าออกมา เพราะหวังเอาไว้ว่าอีกฝ่ายจะอธิบายออกมาบ้าง แต่นอกจากจะไม่แก้ตัว ยังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่สนใจอะไรแบบนี้ เลยยิ่งทำให้ชายหนุ่มโกรธกว่าเดิม

          “…เรื่องย้ายงานก็ตามใจแม่แล้วกัน หาคนติดตามใหม่ให้ผมด้วยก็พอ”

          น้ำเสียงของประธานนั้นนิ่งเรียบไร้อารมณ์จนไม่เหมือนคนโกรธ ร่างสูงเอ่ยเพียงแค่นั้นก็เดินออกจากห้องไปทันที

          ใช่…ปกติที่เห็นชอบโวยวายหาเรื่องทำร้ายชาไปเรื่อยน่ะ นั่นก็แค่หงุดหงิดรำคาญเท่านั้น เวลาที่วินโกรธขึ้นมาจริงๆ ชายคนนั้นแทบจะไม่พูดหรือแสดงอาการโกรธออกมาให้คนอื่นเห็นแม้แต่น้อย และเพราะปกติเป็นคนขี้โวยวาย พอกลายเป็นคนนิ่งเงียบแบบนั้นล่ะ ถึงได้ดูน่ากลัวที่สุด

          ชาได้แต่ยืนนิ่ง นึกคิดแค้นต้นเรื่องที่ทำให้ตนต้องมาเจอกับเหตุการณ์นี้ และยิ่งแค้นยิ่งกว่าเมื่อเห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มของผู้บริหารที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล อยากจะแหกปากใส่หน้าเหลือเกิน ว่ามันเองก็เป็นหนึ่งในตัวเบี้ยไม่ต่างจากเขานักหรอก

          “งั้นก็ตามนั้นละกัน ศิวะช่วยแจงเรื่องรายละเอียดให้ด้วย จะได้รู้ว่าหน้าที่ที่ต้องทำมีอะไรบ้าง และหวังว่าจะไม่ทำหน้าที่เกินเลยอย่างที่เคยทำ” มาริสายังคงแอบเหน็บส่งท้าย แต่สีหน้าดูจะอารมณ์ดีสุดๆ “หมดธุระแล้วก็แยกย้ายออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ฉันจะทำงาน”

          เมื่อเจ้าของห้องไล่ คนอื่นต่างพากันออกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะธานินทร์ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด ออกไปไวจนชาที่ออกตามมาติดๆ ก็ไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายแล้ว

          “คุณชา เรื่องย้ายงานน่ะ” ศิวะ เลขาฯของมาริสาเอ่ยเรียก “เริ่มมะรืนนี้นะครับ เรื่องที่พักกับข้าวของ พรุ่งนี้จะส่งคนไปช่วยย้ายให้นะครับ”

          รีบไล่มากเลยนะ

          “…แล้วก็ตำแหน่งผู้ดูแลที่คุณจะไปทำ หลักๆคือคอยดูพวกพนักงานทำงานน่ะครับ”

          “สรุปคือผมต้องไปนั่งตบแมลงวันดูคนทำงานสินะครับ” ชาชักเริ่มหงุดหงิดจนทำหน้านิ่งไม่อยู่ “เข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณศิวะมากนะครับ”

          หนุ่มหน้านิ่งดึงซองเอกสารในมืออีกฝ่ายมาด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที

          “คุณชาครับ”

          เจ้าของชื่อหันกลับไปหาเลขาของรองประธานอีกครั้งด้วยความสงสัย หนุ่มร่างสูงผู้มีอายุมากกว่าเขาเล็กน้อยมองมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่ต่างกัน จนชาเองก็บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

          “เรื่องเดียร์ คุณไม่ได้…”

          “ไม่มีทางแน่นอนครับ” ชาตอบก่อนที่ศิวะจะพูดจบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “รูปนั้นมันอาจจะชวนคิด แต่ผมไม่เคยคิดอะไรกับคุณเดียร์ไปมากกว่าเพื่อนเลยครับ”

          “อย่างนั้นหรือครับ” ซึ่งนิ่งจนชาชักไม่แน่ใจว่าตนตอบออกไปเช่นนั้นถือเป็นเรื่องดีหรือเปล่า เพราะศิวะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ชาไม่รู้ว่าอยู่ฝั่งไหนกันแน่ “แล้วคุณไปทำอะไรให้ธานินทร์โกรธอย่างนั้นหรือ”

          ผมนี่แหละที่โดนทำน่ะ!!!

          “เปล่านี่ครับ ผมก็แค่ไม่ถูกกับเขามานานแล้วก็เท่านั้น” เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้รู้ความจริงที่ธานินทร์ทำ ชาซึ่งไม่มีหลักฐานใดๆก็ขี้เกียจจะกล่าวหาลอยๆ เพราะมันยิ่งทำให้เขาดูเป็นคนน่ารังเกียจเที่ยวใส่ร้ายชาวบ้านอย่างไม่มีมูล และต่อให้บอก อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะแค่มาเป็นเลขาให้มาริสา ชีวิตก็ยุ่งจนแทบไม่ต้องทำอะไรอยู่แล้ว

          “หรือครับ เขาออกจะชอบคุณ” ฟังแล้วยิ่งทำให้วิตกกังวลกว่าเดิม ทั้งเรื่องที่โดนคนเหม็นขี้หน้าชอบ ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายสนิทกับธานินทร์เกินคาด “เอาเถอะครับ เรื่องย้ายงาน คุณมาริสากับคุณวินทำไปเพราะอารมณ์ เดี๋ยวสักพักพอใจเย็นเขาก็คิดได้ ตามตัวคุณกลับเองล่ะ”

          ถ้ามันเป็นแค่เพราะอารมณ์…ไม่ได้มาจากแผนของใครบางคน ผมก็คงไม่คิดมากหรอกครับ

          พอเสร็จธุระ ชาก็ขอตัวเดินลงมายังโต๊ะทำงานของตน ชายหนุ่มหยุดเท้าก่อนจะไปถึงที่หมาย เพราะการไปที่โต๊ะ หมายถึงการเดินไปมาอยู่ตรงหน้าห้องเจ้านาย ซึ่งถ้าเดินไปวินก็ต้องเห็นแน่ๆ เพราะกำแพงเป็นกระจกใส ขนาดเขาที่อยู่ไกลๆยังเห็นวินนั่งหน้าบูดเป็นตูดเป็ดอยู่ที่โต๊ะเลย ถ้าเดินเข้าไป ยังไงก็ต้องเห็น

          และพอเดินไปได้เกือบครึ่งทาง สายตาแหลมคมประดุจเหยี่ยวก็เพ่งเข้ามาที่เขา ก่อนจะเลื่อนลงไปบนโต๊ะ เหมือนกับกำลังทำงาน

          ชากัดฟันกรอด เขาไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบแล้วหนีหน้าตนแบบนี้ ถ้าให้เลือก เขายอมให้วินเข้ามาโอ๋ หรือพูดจาปลอบประโลมอะไรเทือกนั้นยังจะดีเสียกว่า

          ก็การโดนเมินน่ะ มันเท่ากับการโดนปฏิเสธการมีตัวตนนี่นา…การหันมาด่าหรือทำร้ายนั่นหมายความว่ายังสนใจกันอยู่นี่

          ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะมองหน้า ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะอยู่นานนัก ชารีบจัดการเก็บข้าวของที่จำเป็น แล้วออกไปอย่างไม่มีการเหลียวหลังกลับมาแม้แต่นิดเดียว เพราะในตอนนี้ เขาคิดถึงคนเพียงคนเดียว ที่จะต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง

          ไอ้คุณเดียร์~~~~~~~~~~~~

 

          วินบึ้งหน้าหนักเมื่อเห็นอดีตผู้ติดตามเดินออกไปอย่างไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนออกปากไล่ไป และตอนนี้ก็กำลังโกรธมากๆ แต่พออีกฝ่ายทำแบบนี้ เขายิ่งโกรธหนักกว่าเดิม

          ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่เขาโกรธชาขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลไร้สาระหรือจริงจังแค่ไหนก็ตาม ชาไม่เคยที่จะเมินเขาแบบนี้ กลับกันคือวิ่งมาวอนเท้าเขาจนหนุ่มแว่นต้องเผลอระบายใส่จนหายหงุดหงิดตลอด…แต่คราวนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น

          เขารู้ว่าสิ่งที่ชาทำก็แค่เพราะจะยั่วโมโหตนเท่านั้น ไม่ว่าจะเพราะเข้าใกล้เดียร์ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ มาปลุกเขาก่อนนาฬิกาจะปลุกห้านาที หรือเรื่องที่ไม่อยากให้พูดดังก็จะพูดตะโกนไปสามบ้านแปดบ้านก็ตาม

          แต่การที่เอาแต่เงียบ พูดจากระแนะกระแหนแบบนั้น มันหมายความว่าไง…แล้วไหนจะรูปพวกนั้นอีก ถึงจะพยายามหาเหตุผลอะไรมา วินก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมชาถึงทำแบบนี้

          เสียใจก็เสียใจ เจ็บใจที่โดนหักหลัง แต่ที่รู้สึกแย่ที่สุดคือการที่อีกฝ่ายปิดเงียบเรื่องนั้นมาตลอด โดยที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนี่ล่ะ

          ถ้าแกชอบเดียร์จริงๆ…ทำไมไม่บอกฉันเล่า!…โอเค ฉันคงจะอัดแกแน่ๆ…แต่อย่างน้อย ถ้าเดียร์อยู่กับแก อย่างน้อยฉันก็วางใจ…ถ้าเดียร์เองก็เต็มใจจะอยู่กับแกน่ะนะ…

          ดวงตาคมจ้องโต๊ะเขม็ง…ใช่ นั่นเป็นเรื่องที่เขาคิดอยู่นานแล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไร ชาก็ชอบแอบคุยกับเดียร์เสมอ แม้จะไม่ใช่การจงใจให้เขาเห็น และทุกครั้งที่ชาอยู่กับเดียร์ เจ้าคนหน้านิ่งนั่นกลับแสดงสีหน้าร่าเริงออกมาอย่างไม่เสแสร้งและเปิดเผย…ซึ่งนั่นเป็นใบหน้าที่ชาไม่เคยทำตอนอยู่กับเขา…

          ความจริงเขาก็รู้…เหตุผลที่รับกับการกระทำของชา…เพียงแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งในใจมันขุ่นขึ้นทุกทีที่นึกถึง หงุดหงิดทุกทีที่คิดถึงมัน…และยิ่งโกรธจัดเมื่อความจริงทั้งหมดมันตอกใส่หน้าเต็มๆ แถมเจ้าตัวก็ไม่ใช่คนตอกด้วย เลยยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

          แปลบ…

          วินนั่งเท้าคางแล้วหลับตาแน่น ชายหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนัก เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกขึ้นในอก หัวก็ปวดหนึบจนชวนให้หงุดหงิดหนักข้อ แต่บัดนี้กระสอบทรายไม่อยู่แล้ว เขาจึงได้แต่พยายามเก็บงำความโกรธนี้ลงไปยังก้นเหวของจิต ไม่เช่นนั้นอาจจะเผลอระเบิดใส่ใครก็ตามที่อยู่ข้างตัวในตอนนี้เป็นแน่

          “คุณวินครับ~…ว้าก!!!”

          ธานินทร์ร้องสุดเสียงเมื่ออยู่ๆคุณเจ้านายแกก็ทุบโต๊ะเสียงดังลั่น ขนาดคนที่อยู่นอกห้องยังพากันตกใจเป็นทิวแถว และลุกขึ้นมาดูเพราะคิดว่าเจ้านายจะเกิดอาละวาดขึ้นมา

          เจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม สีหน้าของวินดูจะแปลกใจเอาการเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงพากันมองตน แต่เพียงไม่นานทุกคนก็พากันกลับเข้าที่เมื่อเห็นว่าหนุ่มแว่นไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คิด

          “…ผมเข้าใจนะครับว่าคุณโมโห…” ธานินทร์ผู้เหลืออยู่เพียงคนเดียวเอ่ยก่อนจะปิดประตูห้อง “แต่ตอนนี้คุณมีเรื่องที่จะต้องจัดการโดยเร็วก่อนที่จะสายเกินแก้นะครับ”

          “อะไรครับ” วินถามด้วยอาการเหนื่อยหน่ายเต็มทน

          “เรื่องที่คุณเดียร์อยู่กับคุณสิทธิ์ยังไงล่ะครับ”

          จากที่กำลังวางแผนโดดงานช่วงบ่าย ถึงกับหันขวับมามองธานินทร์ทันควัน…มัวแต่หงุดหงิดใส่ชาจนลืมเรื่องเดียร์ไปเสียสนิทเลย

          “อย่าเรียกมันนำหน้าว่าคุณ!…สรุปเดียร์อยู่กับไอ้หอยดองนั่นสินะ…” ความหงุดหงิดสุมขึ้นเป็นทวีคูณ นึกเจ็บใจที่วันนั้นจับคาหนังคาเขาไม่ได้ “ที่ไหน”

          “ใกล้จนนึกไม่ถึงเลยล่ะครับ ถัดไปอีกไม่กี่ซอย แถวที่ทำงานของคุณเดียร์นั้นล่ะครับ”

          “อย่างนั้นหรือ” ประธานหนุ่มกำหมัดแน่น “ไว้หาคนติดตามใหม่ได้เมื่อไหร่ แล้วฉันจะไปเล่นงานมัน!”

          “ไม่ต้องรอก็ได้ครับ เดี๋ยวผมหาให้ก็ได้ แล้วผมจะไปด้วยอีกคนไงล่ะครับ”

          วินนิ่วหน้ามองอย่างไม่แน่ใจนัก “สรุปพี่นินทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่ พี่ไม่ได้อยู่ฝ่ายแม่หรือไง”

          “โธ่ ผมอยู่ฝ่ายคุณวินต่างหากล่ะครับ” หนุ่มตาตกตอบเสียงใส “ผมไม่อยากให้คุณโดนคุณชาเขาหลอกเอา เลยพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อเปิดโปงเขาให้คุณรู้ต่างหากล่ะครับ”

          เหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ทำไมฟังแล้งหงุดหงิดชอบกล

          “…แต่พี่เป็นผู้บริหาร จะมาเป็นผู้ติดตามฉันว่ามันแปลกๆ…”

          “โธ่ ฝั่งคุ…สิทธิ์เองยังมีคุณวัฒน์ที่เป็นรองประธานควบตำแหน่งผู้ติดตามได้เลย ผมเป็นแค่ผู้บริหาร จะแปลกอะไรล่ะครับ”

          “แต่พี่…”

          “เอาน่าผมเต็มใจทำ” ธานินทร์ตะล่อม “ผมเป็นห่วงคุณนะ ดูสิ เกิดโมโหจนทำอะไรพลั้งพลาดไปมันจะแย่เอานะครับ”

          “นั่นสินะ…” ยิ่งโดยเฉพาะถ้าพลาดต่อหน้าเจ้าหมียักษ์นั่น เขาคงอับอายจนอยากตายเลยทีเดียว “ดี ถ้างั้นเคลียร์เรื่องแม่ฉัน แล้วคืนนี้รีบไปกันเลย”

          ธานินทร์ยิ้มรับ นึกลำพองใจที่แผนการของตนผ่านไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย…ซึ่งจากนี้ไปคงจะง่ายกว่าเดิม เพราะไม่เหลือเห็บหมัดมากัดให้รำคาญใจอีกต่อไปแล้ว


___________________________________

พอดีช่วงนี้แอบป่วยไปหลายที บวกกับทำงานอื่นอยู่เลยมาช้า บวกกับอู้(โดนตบ) ต้องขอโทษจริงๆงับ ;_;
ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามกันงับ ><
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 36 (23/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 23-08-2014 19:55:45
มาแล้วววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 36 (23/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-08-2014 23:45:04
ธานินทร์ต้องการอะไรกันแน่น่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 37 (6/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 06-09-2014 15:33:40
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 37

          ด้วยความที่ไม่อยากจะให้แผนพลาดหรือคลาดเคลื่อน วันนี้เดียร์เลยอุตส่าห์ลางานกลับบ้านมาก่อนเวลา เพื่อจัดการกรุยทางให้เรื่องราววันนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี แล้วกะจะไปวางแผนต่อบนห้องนอนสักหน่อย แต่ทันทีที่กลับมา ก็โดนหมียักษ์รั้งไว้ด้วยการล็อกประตูห้องนอนของตนเสียนี่ ที่รู้ว่าเป็นสิทธิ์เพราะฤทธิ์เป็นคนเดินเข้ามาบอกเขาเองแบบที่ยังไม่ทันได้ถาม เหมือนกับจงใจกันยังไงยังงั้น เพราะฤทธิ์เพียงแต่บอก แต่ไม่ยักจะช่วยไปขอกุญแจจากสิทธิ์ให้ แถมยังหนีเข้าห้องตัวเองอีกต่างหาก

          “มานี่สิ”

          เดียร์ได้แต่มองอย่างไม่มั่นใจนัก เขาหันไปหาก้องที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากสิทธิ์เหมือนนั่งดูทีวีเป็นเพื่อน ซึ่งในตอนนี้หนุ่มแว่นไม่อาจตอบสิ่งใดให้ได้ นอกจากกลอกตาไปมาแทนการส่ายหน้า

          เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เพราะถ้าขัดขืนก็เท่ากับผิดสัญญา พอเดินไปใกล้ๆก็โดนดึงให้เข้าไปนั่งบนตักเสียอย่างนั้น แถมยังกอดแน่นเสียจนร่างบางอึดอัด

          อะไรวะเนี่ย

          คำถามที่ไม่อาจเอ่ยเอื้อน ได้แต่เบือนหน้าไปทางก้องด้วยความสงสัย และชักกลัวขึ้นมาอย่างจริงๆจังๆว่าสิทธิ์ไปกินยาลืมเขย่าขวดมาหรือเปล่า แต่คราวนี้ นอกจากก้องจะไม่ตอบ ยังหนีออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งให้เขาอยู่กับเจ้าหมีนี่แค่สองต่อสองอีกด้วย

          เดียร์รู้สึกอึดอัดเมื่อแขนแกร่งรัดแน่นขึ้น…ใจจริงก็ใช่ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็เพราะชอบนี่แหละถึงได้หนักใจ

          นี่จะยั่วให้ตบะผมแตกหรือไรกันครับ…แต่แค่นี้น่ะ ไม่สะท้านผมหรอก ถ้าอยากให้ผมร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด คุณคงต้องใช้แรงทั้งหมดโถมเข้ามาล่ะครับ...เอ๊ยไม่ได้สิ เรายังติดสัญญาอยู่นี่หว่า…หรือไม่ได้ติดแล้ววะ พี่ก้องก็ไม่เห็นจะปรามคุณสิทธิ์เลยนี่หว่า…อย่างนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องห้ามตัวเองสักหน่อย…เอ๊ะ…แต่มันจะดีหรือ เดี๋ยวเกิดติดใจขึ้นมาจริงๆ แล้วจะหาว่าเราขี้ตื๊อไม่ได้นา

          …แต่เอาเถอะ ในเมื่อพี่ก้องแกไม่ห้าม หาเศษหาเลยสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก…

          เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เปิดฉากสงครามความอึดใส่ทันที เด็กหนุ่มปล่อยให้อีกฝ่ายรัดร่างโดยไม่ปริปากร้อง…ไม่แม้แต่จะกระตุกหรือแสดงอาการทรมานจากการกอดรัดด้วยแรงประดุจจะบีบร่างให้แตกนี่

          สิทธิ์นึกสงสัย จนแอบเบี่ยงคอเพื่อมองสีหน้าอีกฝ่าย แต่ร่างบางบนตักก็ไม่ได้สลบไปอย่างที่คิด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก เพราะเดียร์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆที่คนเจ็บปวดพึงมีแม้แต่น้อย

          “คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ”

          เสียงหวานที่อยู่ๆก็ดังขึ้นเล่นเอาคนฟังเผลอกระตุกเพราะไม่ทันตั้งตัว ยิ่งเดียร์เป็นฝ่ายหันมามอง สิทธิ์ก็ยิ่งลนลานเพราะกลัวอีกฝ่ายจะถามหาสาเหตุของการกระตุกเมื่อครู่

          “ฉันอยากจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน และเธอก็ต้องทำตามที่ฉันต้องการด้วย” เสียงทุ้มบอกปัดโดยพยายามใส่อาการหงุดหงิดอย่างเต็มที่ หวังจะให้อีกฝ่ายเงียบปากไป…แต่ก็นั่นล่ะ มันใช้ได้ผลกับคนธรรมดาเท่านั้น

          “หึ นั่นสินะ ยังไงผมก็ขัดขืนอะไรคุณไม่ได้อยู่แล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทำตามใจชอบเถอะ ผมจะถือว่าทำบุญ…โอ๊ย”

          เผลอรัดสุดแรงเลยทีเดียว…แล้วก็เผลอยิ้มออกมาตอนที่อีกฝ่ายร้องเหมือนคนขาดใจด้วย

          “ปล่อย…ผม…หายใจ…ไม่ออก…” เด็กหนุ่มพูดตามตรง เพียงแต่สีหน้าไม่ไปตามคำพูด อย่างน้อย อีกฝ่ายก็อยู่ข้างหลัง เดียร์เลยปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่

          สิทธิ์คลายแรงลงมาหน่อย ถึงจะอยากแกล้งอยากทำร้ายเต็มที่แค่ไหน ตอนนี้ก็ต้องอดทน เพื่อจุดประสงค์อันสูงสุดที่ความจริงมันสำเร็จไปนานโขแล้ว

          “เมื่อกี้ว่าอะไรหรือ ฉันไม่ค่อยได้ยิน”

          “…ยังไม่ทันแก่ หูหนวกซะแล้ว…”

          “ใครแก่ไม่ทราบหา อยากทดสอบดูไหม” ไม่ว่าเปล่าพร้อมกับออกแรงกอดกว่าเดิมจนเสียงหวานครางลั่น…แบบที่พยายามให้คนฟังเข้าใจว่าเจ็บปวดเสียเต็มประดา “ยังไงวันนี้ก็กลับมาซะเร็ว มีเวลาพิสูจน์ความแก่ของฉันเยอะอยู่แล้วนี่”

          ไอ้ผมก็ไม่อยากจะปฏิเสธหรอกนะ แต่พอดีวันนี้มีธุระสำคัญม้ากมากนี่สิ เกิดต้องค้างเอากลางทาง ผมคงไม่มีสมาธิไปเล่นเกมป่วนประสาทกันพอดี

          “ฮึก…”

          สิทธิ์ถึงกับหน้าเหวอเมื่ออยู่ๆเดียร์ก็ร้องไห้โฮออกมา เล่นเอาจากที่มือกำลังจะซุกเข้าใต้ร่มผ้า เป็นอันต้องชักกลับออกมาอย่างรวดเร็ว

          “ผมขอโทษครับ…ผมแค่เหนื่อยจากที่ทำงาน…ไม่ได้อยากทำให้คุณอารมณ์เสีย…ผม…ผม…” เสียงหวานพร่ำบอกราวกับจะขาดใจ เด็กหนุ่มฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังตะลึง ลุกถอยขึ้นมาตั้งหลัก “ขอโทษนะครับ…คราวหน้าผมจะไม่ทำอีก…เพราะฉะนั้น…อย่าทำอะไรพี่น้อยนะครับ”

          ร่างเล็กเดินจากไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ไม่วายมีเหลือบหันมามองด้วยดวงตาฉ่ำน้ำที่แสนเศร้าสร้อย ละม้ายคล้ายกับกำลังจะบอกให้รู้ว่า ตนเสียใจเหลือเกิน ที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา

          สิทธิ์ได้แต่อ้าปากค้าง เพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอารมณ์เสียใส่มากกว่านี้ พอมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เลยได้แต่ใบ้กินทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว…

          และที่สำคัญคือมันรู้สึกเจ็บเหลือเกินที่อีกฝ่ายเศร้าสร้อยขนาดนี้…จริงอยู่ว่าเขาต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ แต่ถึงจะเจ็บ มันก็ต้องมีความสุขสมที่ได้ประสบร่วมด้วย หาใช่ร้าวรานอย่างเดียวเช่นที่เห็นนี้

          คิ้วหนามุ่นเข้าหากัน รู้สึกผิดที่เมื่อครู่ดันใจร้อนและเผลอตัวไปเสียได้ ชายหนุ่มนึกถึงคำแนะนำของลูกน้องที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ แล้วทำใจให้สงบ

          นั่นสินะ…ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาและต้องใจเย็นๆ…และต้องค่อยๆป้อนสองอย่างให้ควบคู่กันไป…

 

          เดียร์เช็ดน้ำตาพลางเดินอ้อมไปอีกทางหวังไปหาคนที่น่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดได้ โชคดีที่มีทางผ่านจากในครัวไปห้องของก้อง เด็กหนุ่มเลยไม่ต้องลงทุนออกไปนอกบ้านเพื่อปีนหน้าต่างเข้าไปหา

          “…”

          เขาก็รู้อยู่หรอกว่าการเข้าห้องนอนชาวบ้านโดยไม่เคาะประตูมันเสียมารยาท เพราะอีกฝ่ายอาจจะกำลังทำอะไรที่เป็นส่วนตัวอยู่ก็ได้ เพียงแต่เดียร์ไม่คิดว่า เจ้าของห้องเขาจะทำเรื่องส่วนตัวกันขนาดนี้…ในเวลานี้ด้วย

          “ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกันนะครับ คุณสิทธิ์เขาจะทำอะไรหรือครับ” ร่างบางเอ่ยถามพร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล โดยไม่สนใจก้องที่โดนมัดไพล่หลังนอนคว่ำหน้าบนพื้น โดยมีเท้าของฤทธิ์เหยียบเอวเอาไว้

          “…พอดีพักนี้เขากำลังหงุดหงิดอยากหาที่ระบายน่ะ” หนุ่มแว่นตอบแทนแฟนที่เอาแต่อึกอัก โชคดีที่ตนกำชับฤทธิ์เอาไว้ก่อนว่าห้ามบอกเรื่องที่สิทธิ์ตกเหวรักเดียร์ ไม่อย่างนั้น เรื่องทั้งหมดคงจะจบแบบแฮปปี้โดยที่เขายังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องที่คาใจได้แน่ “อย่าไปถือสาหาความเลยละกัน ยอมๆไปหน่อยก็ได้ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก”

          ประโยคหลังเน้นหนักเสียจนฤทธิ์เผลอยันหลังก้องเต็มแรง

          “ชะ…ใช่ๆ คุณสิทธิ์เขาแค่หงุดหงิดเท่านั้นล่ะ ไม่ได้เกลียดหรืออยากแกล้งอะไรนายหรอกนะ” แต่ประโยคที่หนุ่มตาตกพยายามพูดแก้ตัว ทำเอาก้องอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เพราะถ้าเดียร์จะจับพิรุธได้ ก็มาจากคำพูดเมื่อครู่ทั้งนั้นล่ะ “อย่าคิดมากเลยนะ”

          เดียร์เหล่มองก้องอย่างไม่แน่ใจนัก ถ้าไม่ติดว่าฤทธิ์อยู่ เขาอาจจะไม่ต้องปั้นหน้าหวั่น กั๊กคำถามคาใจอยู่อย่างนี้หรอก อยากจะถามเสียเหลือเกินว่า ไอ้สัญญาว่าด้วยการห้ามเล่นซาดิสม์นี่มันเป็นอันยกเลิกแล้วใช่ไหม ถึงได้ไม่อยู่ห้ามสิทธิ์กัน แล้วแอบมาเล่นเอสเอ็มกันตามใจชอบแบบนี้

          “ว่าแต่ วันนี้กลับเร็วทำไมไม่บอกล่ะ ฉันโดนบ่นเพราะไม่ได้ไปรับนายเลยนะ” ก้องเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้มีอะไรหรือเปล่า”

          แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วงหรอก แต่เพราะไอ้เด็กบ้านี้มันบอกว่าระเบิดจะลงวันนี้ เขาถึงได้กังวล

          “พอดีเหนื่อยๆน่ะครับ กะจะกลับบ้านเร็วมาพักผ่อนหน่อย…แต่ดันมาเจออะไรก็ไม่รู้” ซึ่งอยากจะบอกว่า เล่นเอาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง “ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยเปิดประตูห้องให้ผมได้ไหมครับ”

          แต่สิ่งที่ได้รับคือใบหน้าปั้นยากของทั้งสอง

          “เอ่อ…ฉันก็อยากจะเปิดให้อยู่หรอกนะ แต่กุญแจทั้งหมดตอนนี้อยู่กับคุณสิทธิ์น่ะสิ” หนุ่มตาตกบอกเสียงอ่อน “ถ้ายังไง เดี๋ยวฉันจะไปขอกุญแจจากคุณสิทธิ์ให้…”

          กิ๊งก่อง…

          ก่อนที่ฤทธิ์จะพูดจบ เสียงออดบ้านก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน และยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ บอร์ดี้การ์ดก็ทำงานดีจนน่ากลัว เสียอย่างเดียวคือไม่ช่วยแก้มัดให้ก้องด้วยนี่ล่ะ

          “ไม่ต้องลุกลี้ลุกลนขนาดนั้นก็ได้ครับ มันแกะยาก” เดียร์ว่าก่อนจะกระตุกเชือกอย่างแรงจนคนโดนมัดสะดุ้งเฮือก “ตกลงเรื่องสัญญายกเลิกแล้วใช่ไหมครับ”

          ก้องชะงักค้างมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะถอนใจอย่างแรง “…นายบอกว่านายไม่ได้คิดอะไรกับคุณสิทธิ์ใช่ไหม…”

          นิ่งไปพักใหญ่เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้ขึ้นมา “แน่ล่ะครับ ผมไม่มีทางคิดอะไรกับคนปกติอย่างคุณสิทธิ์อยู่แล้วล่ะ”

          “…ถ้าอย่างนั้น ก็ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” หนุ่มใหญ่ลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นตามตัว “ช่วงนี้คุณสิทธิ์เขาค่อนข้างจะหงุดหงิดเพราะอะไรๆมันไม่ค่อยจะเป็นไปตามแผนการเท่าไหร่ นายก็ช่วยอดทนทำตัวเป็นกระสอบทรายที่ดีแบบชั่วคราวให้หน่อยก็แล้วกัน…อย่างน้อย ทั้งหมดนี่เขาก็ไม่ได้ทำไปเพราะฝืนใจน่ะนะ…เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก เต็มที่เลย”

          ก่อนที่เดียร์จะได้ตอบ เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้คนในห้องหันไปมองต้นเสียง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น สีหน้าของฤทธิ์ดูเคร่งเครียดปนวิตกอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาตกเลื่อนมองไปทางเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ติดสั่น

          “…คุณชาเขามาหานายน่ะ”

          “…หรือครับ” เดียร์ตอบพร้อมกับเบิกตาโตเหมือนคนประหลาดใจ แล้วรีบเดินออกไปทันที แน่นอนว่าในใจตอนนี้กำลังลิงโลดเพราะคนที่กำลังรอมาได้สักที

          ชาไม่ได้รออยู่ในบ้าน หนุ่มหน้านิ่งยืนเป็นรูปปั้นอยู่นอกรั้วบ้าน และหันมองเดียร์ผ่านหน้าต่างทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น สีหน้าแสดงอาการคั่งแค้นอย่างชัดเจน แต่ก็ดับลงทันควันเมื่อมีคนอื่นตามมาด้วย

          สิทธิ์ยืนอยู่หน้าประตูในห้อง ท่าทางหวาดวิตกเสียจนน่าขำ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่แปลกใจนัก ก็พ่อหมีแกไม่อยากให้พี่ชายของตนรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นี่

          ?

          ก่อนที่เดียร์จะเปิดประตู มือหนาก็คว้าแขนเล็กเข้าเสียก่อน ดวงตากลมตวัดมองด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดเล็กน้อยที่โดนรั้ง แต่พอเห็นสีหน้าของคนตัวสูงกว่า จากที่กำลังจะเอ่ยขอตัว เป็นอันต้องนิ่งไป ก็ใครจะไปคิดกันว่าคนที่แกล้งตนเมื่อครู่ จะมาทำหน้าเหมือนหมาหงอยใส่กันแบบนี้ล่ะ

          แล้วก็ไม่รู้ทำไม เห็นหน้าแบบนี้แล้วต่อมยัวะมันทำงาน

          “ปล่อย” เดียร์สะบัดแขนอย่างไม่นึกสงสารและรีบออกจากบ้านเพราะกลัวอีกฝ่ายจะแปลงร่าง แม้เขาจะพอรู้ว่าสิทธิ์คงไม่สำแดงอาการหงุดหงิดออกมาให้ชาเห็นก็ตาม

          แต่ถึงจะไม่โดนจากสิทธิ์ เดียร์ก็ได้รับจากชาไปเต็มๆ

          แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่งตามปกติ แต่จากริมฝีปากที่เม้มแน่น ก็ทำให้คนมองรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธแค่ไหน ลองได้อยู่กันสองต่อสอง รับรองว่าได้ปล่อยความรักให้แบบไม่มีกั๊กใส่แน่นอน

          “ผมโดนย้ายงานไปที่ชลบุรี…เพราะคุณใช่ไหม”

          “เพราะผมได้ไงล่ะครับ คนที่มีอำนาจย้ายงานคุณก็มีแต่คุณแม่มาริสากับพี่วินเท่านั้นล่ะ…น่าๆ แค่ล้อเล่น” ชาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้เด็กบ้านี่มันยังจะมีอารมณ์มาล้อเล่นกับเขาในเรื่องนี้ได้อีก “…เบาเสียงหน่อยก็ดีนะครับ”

          ไม่ต้องสงสัยนานชาก็เห็นหัวเม่นที่โผล่แพลมจากหน้าต่างในบ้าน ไม่ต้องคิดเลยว่าใคร

          “ถ้าคุณไม่ยอมออกมา ผมก็หาทางตลบหลังธานินทร์ไม่ได้น่ะสิครับ” เด็กหนุ่มเริ่มอธิบาย ยิ่งทำให้ร่างสูงนิ่วหน้าหนัก “เพราะจุดหมายปลายทางยังไงเราก็ต้องไปที่นั่นกันน่ะครับ”

          ก็ยังคงงงเหมือนเดิม

          “ตอนนี้ผมคงบอกอะไรมากไม่ได้…ที่ผมอยากให้ทำคือ พอคุณไปถึงแล้ว ช่วยตรวจสอบเรื่องพวกนี้ให้ผมหน่อย” ว่าจบก็ยกมือถือขึ้นมากดด้วยความไวแสง และเพียงไม่นาน มือถือของชาก็ส่งเสียงบอกข้อความเข้า “คุณไปอยู่ที่โน่นก็ดีอย่าง ผมจะได้ติดต่อคุณได้อย่างอิสระมากขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าพี่วินจะมารู้เข้า ไปถึงที่โน่นเมื่อไหร่ ผมจะอธิบายแผนทั้งหมดให้เอง เพราะจากนี้ไป แผนจะสำเร็จหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคุณชาแล้วล่ะครับ”

          คนฟังดูจะไม่เชื่อเท่าใดนัก แล้วยิ่งดูข้อความเข้าในมือถือของตน คิ้วก็ยิงผูกแทบจะเป็นโบว์

          “ก็ได้…ยังไงซะ ตอนนี้ผมก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วนี่ ไม่ว่าผมจะทำอะไร มันก็บีบให้เข้าแผนคุณทั้งนั้น” ชาตอบรับเสียงขุ่น ดวงตาเรียวจ้องมองไอ้เด็กผีตรงหน้าเขม็ง ถ้าปล่อยเลเซอร์ออกจากตาได้ คงทำไปแล้ว “คุณนี่เก่งนะ ทำให้คนที่เกลียดขี้หน้าคุณเป็นปีๆอย่างไอ้ดรมันยอมเป็นหมาเชื่องๆได้”

          “ก็ถ้าเกลียดแบบรู้สาเหตุ มันจัดการไม่ยากนี่ครับ” หนุ่มน้อยยิ้มหวาน “แต่กับคุณแม่มาริสานี่ ผมจนปัญญาจริงๆแฮะ”

          ฟังแล้วทำให้ชารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเขาก็รู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้แล้ว

 

          ในเวลาเดียวกับที่เดียร์ออกจากบ้านไปคุยกับชา สิทธิ์ผู้ซึ่งได้แต่อึ้งกับการโดนปัดมือ ยังคงค้างนิ่ง ใบหน้าหงอยยิ่งออกอาการเหมือนลูกหมาโดนทิ้งท่ามกลางสายฝนหนัก เมื่อเห็นร่างเล็กตรงหน้ายืนคุยกับชายหน้านิ่งกันอย่างสนิทสนม

          ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีแฟน และก็ใช่ว่าจะไม่เคยหึง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเจ็บในอกมากเท่านี้มาก่อน...ในใจก็ได้แต่สงสัย ว่าตัวเองหลงใหลไปกับอีกฝ่ายมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งที่ผ่านมาก็ไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อน…ถึงไอ้ผู้ชายที่ว่ามันจะน่ารักเกินหน้าเกินตาสาวๆหลายคนก็ตามทีเถอะ แต่ยังไงไอ้ของเหมือนๆกัน มันก็มีเหมือนๆกันแท้ๆ แต่น่าแปลกที่กลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

          และยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายจะหายไปกับคนอื่น ในใจยิ่งเจ็บหนัก…

          สิทธิ์เคลื่อนตัวไปทางหน้าต่าง แอบมองทั้งสองยืนคุยกันด้วยใจขุ่นมัว ถ้าเลือกได้ อยากจะวิ่งไปฉุดกระชากลากอีกฝ่ายเข้าบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลย

          แต่ถ้าต้องโดนเกลียด เขาก็ไม่อยากนักหรอก…เพราะสิ่งที่ต้องการคือ ไม่ว่าเขาจะบังคับหรือเอาแต่ใจแค่ไหน อีกฝ่ายก็ต้องน้อมรับยอมตามด้วยความเต็มใจต่างหาก

          อา…นี่สินะที่เขาเรียกว่าซาดิสม์เนี่ย…แถมยังซาดิสม์แบบเรื่องมากซะด้วยแฮะ…

          “ทำไมถึงปล่อยให้เดียร์ออกไปง่ายๆละครับ”

          หมียักษ์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองต้นเสียงที่ยืนหน้ามุ่ยใส่ โดยมีหนุ่มแว่นยืนอยู่ด้านหลัง

          “แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ไปห้ามเขามีหวังได้โดนเกลียดหนักกว่าเดิมกันพอดี” สิทธิ์แก้ตัวเสียงตื่นทำเหมือนเด็กกำลังจะโดนแม่ดุ

          “ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ห้าม แต่อย่างน้อยๆคุณสิทธิ์ก็น่าจะข่มขู่อะไรไปหน่อย พร้อมกับแสดงความรักเพื่อเป็นการทำให้เดียร์ค่อยๆชอบความเจ็บปวดจากคุณทีละน้อยยังไงล่ะครับ”

          ก้องอยากจะบอกเหลือเกิน ว่าไอ้วิธีนั้นน่ะ มันใช้ไม่ได้ผลกับผู้ชำนาญการอย่างไอ้เด็กบ้านั่นหรอก ขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องพิธีรีตอง โบยและถีบอย่างเดียวพอ

          “เอาเถอะครับ ของมันพลาดไปแล้ว” ผู้เป็นนายตัดบทก่อนจะแอบมองไปด้านนอกต่อ “คุยอะไรกันนักนะ ตั้งนานสองนาน คุณชาทำหน้าเครียดด้วย…”

          ลูกน้องทั้งสองต่างชะเง้อมองตามเจ้านาย มองจากตรงนี้เห็นเพียงแต่สีหน้าและปากของชาที่ขยับขึ้นลงเท่านั้น ส่วนเดียร์หันหลังให้เต็มๆ

          “พี่ก้องกับพี่ฤทธิ์พอจะอ่านปากคุณชาได้ไหม”

          ถ้าอยากรู้ขนาดนั้น แนะนำว่าออกหลังบ้านไปแอบฟังเลยดีกว่าไหมครับ คุณเจ้านาย

          “ไหน ขอลองก่อนนะครับ…อะไรนะครับ คุณสิทธิ์ทำเรื่องแบบนั้นกับคุณหรือครับ แล้วยังข่มขู่ว่าจะทำร้ายคุณน้อยอีกหรือ…”

          “มันใช่ซะที่ไหนเล่า! ยาวเกินไปแล้วว้อย อ่านยังไงของนายน่ะ” ฤทธิ์ว่าพร้อมกับตบบ้องหูใส่จนแว่นกระเด็น “เมื่อกี้ ดูยังไงก็เห็นคุณชาพูดว่า ‘ผมคงคบกับคุณไม่ได้แล้วล่ะครับ’ ชัดๆ”

          ไอ้นั่นมันก็เข้าข้างเจ้านายเกินไปแล้วครับ…

          ก่อนที่จะได้ฝึกวิชาอ่านปากคนไปมากกว่านี้ อยู่ๆสิทธิ์ก็ก้มลงเอาหลังชนกำแพงอย่างตื่นตระหนก แถมยังดึงฤทธิ์กับก้องลงมาด้วย

          “โอ๊ย อะไรกันครับ” หนุ่มตาตกร้องเสียงหลง และไม่ทันจะพูดต่อ ก็โดนสิทธิ์ปิดปากเสียแน่น

          “ชู่ว” หมียักษ์ทำหน้าตื่น แล้วเหลือกมองไปทางหน้าต่าง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงอันเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน “จะไม่ให้ผมหลบได้ยังไง ก็รถไอ้วินมันขับเข้ามาจอดหน้าบ้านเราน่ะสิ”

          ก้องได้แต่คิด…ระเบิดลงจริงๆด้วยสิ…

________________________________________________________

พยายามมาไวเท่าที่จะทำได้แล้วก๊าบ ;w;

เดี๋ยวเราจะจัดเซอร์วิสวินชาต่ออีกสักตอน ๕๕๕(แน่ใจว่าควรเรียกว่าเซอร์วิส =3=)
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 37 (6/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 06-09-2014 19:16:50
คงไม่ใช่แค่ระเบิดธรรมดาด้วยล่ะ ตัวละครหลักๆเล่นมาซะเกือบครบเลย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 37 (6/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-09-2014 20:05:27
อ่านตอนแรกๆตลกดี กับความพยายามให้ตัวเองได้รับความเจ็บปวด(แบบแปลกๆ)
อยากให้เดียร์รักสิทธิ์จัง(หรือว่ารักแล้ว)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 37 (6/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-09-2014 10:10:18
นุ้งเดียร์ทำอะไรต่อคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 13-09-2014 18:53:52
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 38
         
          ชาได้แต่อ้าปากค้างกับการมาเยือนอันไม่คาดคิด เขาหันไปมองเดียร์และก็ไม่ผิดหวัง ถึงจะทำสีหน้าหวาดวิตกอย่างไรก็ไม่อาจหลอกเขาได้หรอก

          ไอ้หอก ที่แกชวนฉันคุยโน่นนี่อยู่นานสองนานทั้งที่หมดธุระแล้ว เพราะแกรอให้คุณวินมาเจอฉากนี้งั้นเรอะ!!!

          ชายหนุ่มรู้สึกโกรธจนเหมือนควันจะพุ่งออกมาจากหู แต่เพราะโดนความหวาดวิตกกลบเพลิงพิโรธเสียมิด ชาจึงได้แต่ยืนนิ่ง มองวินที่ลงจากรถด้วยสีหน้าประหลาดใจกับปลิงชีวิตที่ยิ้มเยาะกับโชคที่วิ่งเข้าหาตัวเอง

          “ชา…” ดวงตาคมเลื่อนมองอดีตผู้ติดตามสลับกับน้องชาย ก่อนจะบึ้งหน้าใส่ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดก็โดนเสียงหวานที่เจือความกลัวแบบเสแสร้งขัดขึ้นเสียก่อน

          “ไม่นะพี่วิน คุณชาไม่ผิดอะไรนะครับ เขาก็แค่เป็นห่วงผม อย่าว่าหรือทำร้ายเขาเลยนะครับ”

          ชาไม่แน่ใจว่าควรจะถีบหลังคนตรงหน้าตนดี หรือจะเอารองเท้าปาใส่ธานินทร์ที่ยิ้มเยาะอยู่ข้างหลังวินดี มันช่างกระตุ้นต่อมโมโหได้สูสีทั้งคู่ดีแท้

          วินได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะหุบลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน จนคนที่ตามมาต้องช่วยเตือนความจำ แบบรุนแรงยิ่งกว่าวิ่งเข้าไปตบหน้าด้วยสนับมือ

          “อะไรกันครับคุณชา คิดจะมาพาคุณเดียร์หนีไปด้วยกันหรือไง” ธานินทร์ร้องถามเสียงสูงเพิ่มประสิทธิภาพความกวนส้นเท้า “ดีนะที่รีบมาหาเดียร์ก่อน ไม่อย่างนั้นมีหวังคุณชาคงพาคุณเดียร์หนีกันแล้วแน่ๆ”

          “เพ้อเจ้ออะไรของแก จะเมาใบกระท่อมก็ช่วยไปเมาไกลๆหน่อยได้ไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะเอารองเท้ายัดปากเน่าๆของแก” เนื่องจากกำลังหงุดหงิดยกกำลังสอง เลยไม่คิดจะตอบโต้อย่างใจเย็นอีกต่อไป เล่นเอาคนที่กำลังจะกัดต่อถึงกับถอยเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

          “…ถ้าอย่างนั้น นายมาทำอะไรที่นี่”

          คนที่เอาแต่เงียบตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ สีหน้าของวินบ่งชัดว่ากำลังคาดหวังบางอย่าง…แต่ปัญหาของชาคือ เขาไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังหวังจะให้เขาพูดอะไรนี่สิ

          ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ…อันนี้โดนถามกลับแน่เพราะก่อนหน้านั้นก็เพิ่งโดนไปหมาดๆ…

          “ผม…แค่มาบอกลาคุณเดียร์” พูดจบก็ได้แต่กัดลิ้นตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเดินตามเกมไอ้เด็กบ้านี่ด้วย ไอ้ประโยคเมื่อกี้ ไม่ว่าจะนั่งฟังหรือนอนฟังมันก็คิดได้อยู่อย่างเดียว “…แค่ลาในฐานะเพื่อนเท่านั้นละครับ ไม่ได้มีความหมายอื่นเหมือนที่หมาบางตัวแถวนี้มันเห่า”

          ชาไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไรผิดหูอีก หรือแค่วินหงุดหงิดกับคำพูดเขาอย่างที่มักเป็น หรือเพราะตนในตอนนี้ดูเหมือนกำลังพาลใส่ธานินทร์ หนุ่มแว่นถึงได้บึ้งหน้าใส่

          “ถ้านายกับเดียร์เป็นแฟนกันจริงๆ ก็ยอมรับออกมาตรงๆสิ จะโกหกฉันทำไม”

          โอเค เขาเดาผิดไปหลายโยชน์…ซึ่งเป็นส่วนที่เขาคิดไม่ถึงสุดๆ

          “มันไม่ใช่อย่างที่พี่วินคิดนะครับ” ตัวต้นเรื่องเสนอหน้ามาอย่างประจวบเหมาะ ดวงตากลมตกรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส ชวนให้ชารู้สึกขยะแขยง “ผมกับคุณชา เราไม่ได้เป็นแฟนอย่างที่พี่วินพูดนะ”

          “จริงหรือ”

          คนตอบกลับไม่ใช่ทั้งวินหรือธานินทร์ แต่เป็นใครบางคนผู้ไม่ควรจะโผล่หน้ามาในตอนนี้อย่างที่สุด

          หนุ่มแว่นทำหน้าเหมือนเห็นแมลงสาบ ก่อนจะวิ่งเข้าไปดึงน้องชายราวกับต้องการให้ออกห่างจากสิทธิ์เท่าที่จะทำได้

          “ไอ้หมีควาย เป็นแกจริงๆด้วย” เสียงทุ้มตะคอกใส่อย่างไม่อายชาวบ้าน แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ไม่ค่อยจะกล้ามองกันเท่าใดนัก เพราะแต่ละคนก็ตัวใหญ่ใส่สูทแถมยังอยู่ในอารมณ์รุนแรง จนกลัวว่าหากเผลอสบตา หวยอาจจะไปลงแบบไม่ทันตั้งตัว

          “จะพูดอะไรก็ดูตัวเองบ้างเหอะ แต่อย่างแก คงไม่ใช่หมีควาย น่าจะ ‘ควาย’ ล้วนๆ ไม่มีตัวอะไรผสมมากกว่ามั้ง ฮ่าๆๆ” สิทธิ์เองก็ใช่จะอยู่นิ่งๆเป็นเสียเมื่อไหร่

          แต่ก่อนที่วินจะได้เถียงกลับ แขนเล็กในมือฉุดดึงความสนใจเขาเสียก่อน และนั่นทำให้ชายหนุ่มนึกเรื่องที่เดียร์เอ่ยก่อนหน้าได้

          “เดียร์บอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกับชา แล้วชามาหานายทำไม…ไหนจะเรื่องที่ไปนัดเจอชาแล้วยังซบอกมันกลางห้างอีก ถ้าไม่ใช่แฟน แล้วทำแบบนั้นทำไมล่ะ”

          ชามองหน้าเดียร์แล้วกัดฟันอยู่คนเดียว…มันวางแผนไว้จริงๆด้วย!!

          เดียร์มองหน้าพี่ชาย ก่อนจะก้มลงเล็กน้อยคล้ายไม่อยากบอก และก็เปิดปากทันทีที่วินจับไหล่เด็กหนุ่ม พอดิบพอดีเสียจนชาเกือบจะแค่นหัวเราะใส่กับการแสดงที่ดูเนียนสำหรับชาวบ้าน แต่ห่วยแตกสำหรับตน

          “ความจริงคือ คุณชาเขาช่วยเป็นพ่อสื่อให้ผมกับคุณสิทธิ์ต่างหากละครับ”

          คนที่งงกว่าเพื่อน ก็ไม่พ้นสิทธิ์ที่ไม่เคยเห็นชามีส่วนร่วมในการช่วยเป็นพ่อสื่อให้ตนนี่ล่ะ

          “เรื่องที่ผมไปเจอคุณชาที่ห้าง ผมแค่ฝากให้เขาซื้อของที่ผมหาซื้อแถวนี้ไม่ได้…ส่วนเรื่องพิงอก นั่นเพราะผมปวดหัวจนยืนไม่อยู่ เท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีอะไรมากกว่ากว่านี้สักหน่อย”

          ฟังผ่านๆเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ชารู้ดีว่ามันคือการราดน้ำมันเข้ากองเพลิงชัดๆ ก็นี่มันเท่ากับว่า เขายินดีให้สิทธิ์กับเดียร์รักกันทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าวินเกลียดสิทธิ์มากแค่ไหน ดูยังไงก็เหมือนเหยียบหัวกันชัดๆ

          ยิ่งเห็นสีหน้าของวิน มันก็ยิ่งฟ้องว่าเขาคิดถูก

          “ไม่ใช่นะครับ มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” ชาบอกละล่ำละลัก ใบหน้าเรียวหันไปหาเดียร์ด้วยความโกรธ ถึงจะบอกให้ทนยังไงก็เถอะ นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว “ความจริงมันเป็นเพราะไอ้น้องชายบ้าๆของคุณเป็นคนวางแผนทั้งหมดต่างหาก”

          ทุกคนพากันอึ้ง ส่วนเดียร์นั้นก็อึ้งเหมือนกัน เพราะเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสติแตกออกมาขนาดนี้

          แต่ก็นั่นล่ะ ใช่ว่าพูดออกมามันจะได้ผลเสียเมื่อไหร่กัน โดยเฉพาะอยู่ๆมาพูดตอนที่กำลังโดนกล่าวหาว่ามีความผิดแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับแก้ตัวชุ่ยๆนั่นล่ะ

          “…นี่นาย…พูดบ้าอะไรของนายน่ะ นี่ถึงขนาดมาโทษเดียร์เลยเรอะ” วินมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทรยศฉันยังไม่พอ…ยังจะมาใส่ร้ายเดียร์อีก มันจะมากไปแล้วนะ”

          “ผมพูดจริงนะครับ!” ชาเถียง “คุณน่ะกำลังโดนไอ้บ้านี่มันหลอก คุณ…”

          “หุบปากนะ!” หนุ่มแว่นแผดเสียงลั่น ดวงตาคมที่มองมาเต็มไปด้วยความรังเกียจ จนชาถึงกับผงะ “นี่แกยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกได้ยังไง ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยเรอะ”

          กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดจนเกินแก้ไข ก็ตอนที่เห็นสีหน้าของธานินทร์กับเดียร์นี่ล่ะ

          “ไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” วินยื่นคำขาด พร้อมกับยกมือขึ้นเมื่อเห็นชาตั้งท่าจะพูด “อย่าให้ฉันเกลียดนายไปมากกว่านี้”

          ชายหนุ่มนิ่งมองอีกฝ่าย เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ถ้าไม่ทันไปมองเดียร์ที่ยิ้มน้อยๆ ขยับปากและแอบชูนิ้วโป้งให้

          ‘แหล่มมากครับ!’

          แหล่มพ่อง!!!

          “…แล้วคุณจะต้องเสียใจ” ชาทิ้งท้ายเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไปด้วยใจระทม ต่อให้รู้ว่าเข้าทางอีกฝ่าย แต่ถ้าจบเรื่องแล้วไม่ได้เตะเดียร์สักที คงไม่หายแค้น

          หลังจากมวยคู่รองชกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาชมมวยคู่ชิงชนะเลิศต่อทันที

          สิทธิ์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อวินพุ่งเป้ามาทางตน แต่เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ไว้ ชายหนุ่มทำหน้านิ่งราวกับไม่สะทกสะท้าน แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มออกกระบวนท่า ร่างเล็กของเด็กหนุ่มก็เข้ามาขวางทางเสียก่อน

          “เดียร์ ออกไป พี่มีเรื่องจะเคลียร์กับไอ้หอยดองสมองหมานี่” วินกดเสียงต่ำก่อนจะเดินเลี่ยง แต่เดียร์ก็ตามไปขวางต่อ “เดียร์!”

          “ถ้าเป็นเรื่องผมกับคุณสิทธิ์ ผมว่าพี่วินอย่ายุ่งเลยดีกว่าครับ” คำพูดของน้องชายทำเอาคนฟังเหมือนโดนตบหน้าด้วยไม้ช็อตยุง “มันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับเขา”

          “ไม่นะ เดียร์พูดแบบนี้ได้ไง ไอ้บ้านี่มันไม่ได้รักนายจริงๆหรอก” หนุ่มแว่นเว้นช่วงมองหน้ายียวนกวนส้นเท้าของสิทธิ์ “มันก็แค่คบกับนายเพราะต้องการหาเรื่องฉันก็เท่านั้นล่ะ มันไม่ได้รักนายเลย ไม่เลยสักนิด!”

          “อย่าพูดแบบนั้นนะ!”

          เดียร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อประโยคที่ตนควรจะพูด ดันโดนหมีที่อยู่ข้างหลังแย่งไปเสียได้ สีหน้าของสิทธิ์ดูจะยังมึนๆเหมือนไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดใส่

          “นายจะมารู้ได้ไงว่าฉันไม่ได้รักเดียร์” น้ำเสียงทุ้มฟังดูกรุ่มกริ่มผิดหูผิดตาจนคนฟังพากันนิ่วหน้า เพราะส่วนใหญ่ สิทธิ์มักจะทำเสียงกวนประสาทใส่วินตลอด ขนาดหนุ่มแว่นยังเผลอทำหน้าขยะแขยงใส่

          “…นี่แกเมา หรือลืมนอนมาหรือเปล่าวะ…” จากที่ตั้งท่าจะตะบันหน้า ถึงกับถอยหลัง แต่ยังไม่วาย ลากน้องชายออกมาด้วย

          “ไม่ได้เมาว้อย” สิทธิ์ร้องพร้อมกับดึงเดียร์กลับมา แต่ดึงได้แค่นิดเดียว เพราะวินเองก็ไม่ยอม “ฉันกับเดียร์รักกัน และเราก็เป็นคนรักกัน ถ้าจดทะเบียนได้ ฉันทำไปแล้ว ชัดมั้ย ไอ้แว่น เพราะงั้น ปล่อยให้เรามีความสุขกันได้แล้ว”

          “หา นี่แกกล้าพูดมากนะ” หนุ่มแว่นกัดฟันกรอด “จะเมานมก็ให้มันน้อยๆหน่อย แกนั่นล่ะที่ต้องปล่อยน้องชายฉัน น้องชาย!!! เข้าใจมั้ยวะ!!”

          “เออ! ฉันรู้แล้วว้อย แล้วไง ก็ฉันรักของฉัน มีอะไรมั้ย หา”

          ก้องซึ่งแอบฟังอยู่ในบ้านกับฤทธิ์เริ่มไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแผนของสิทธิ์ที่ต้องการจะยั่วโมโหวิน หรือจริงๆมันออกมาจากใจของสิทธิ์กันแน่ ช่างสมจริงและเต็มไปด้วยพลังอย่างบอกไม่ถูก เพราะฤทธิ์แลดูจะอินกับคำพูดเหล่านั้นเหลือเกิน

          “ไม่เชื่อก็ถามเดียร์สิ” สิทธิ์เยาะใส่ “รู้ความจริงซะ รอยหยักในสมองจะได้ทำงานซะบ้าง”

          วินชักสีหน้า ก่อนจะหันไปมองน้องชายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ใบหน้าเรียวเล็กแลดูลังเลและหวาดหวั่น ดวงตากลมมองวินสลับกับสิทธิ์เหมือนกำลังสับสน ก่อนก้มหน้าอีกครั้ง จนในที่สุด เดียร์ก็พยักหน้าให้วิน นั่นทำให้หนุ่มแว่นถึงกับอ้าปากค้างกับคำตอบ

          “ไม่จริง! มันไม่มีทางเป็นแบบนี้ได้แน่” หนุ่มแว่นร้องเสียงหลงก่อนจะดึงเดียร์เข้ามาหา “หมอนั่นขู่อะไรนายใช่ไหม นายถึงยอมรับมันน่ะ”

          “ไม่นะ…ไม่นะพี่วิน…ผมเจ็บ…” ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวไปด้วยความทรมาน…ที่จะต้องทนเก็บความปลื้มปริ่มอยู่ในใจ

          “เฮ้ ปล่อยเดียร์นะ” สิทธิ์ผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างแรง แต่เพราะแรงไปหน่อยบวกกับตกใจที่เห็นเดียร์ทำท่าเจ็บ เขาเลยใส่แรงเยอะไปนิด…บวกกับวินไม่ทันระวังตัว ผลลัพธ์ที่ได้เลยเกินความคาดหมายไปหลายโยชน์

          วินเบิกตามองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ แต่เพียงไม่นานก็ลุกขึ้นจากพื้น และซัดหมัดเข้าแก้มสิทธิ์ที่มัวแต่ยืนเอ๋อเต็มรัก เล่นเอาหมียักษ์ถึงกับเซ

          “ไอ้แว่น!”

          เดียร์เบิกตามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ…เขาไม่ได้ตกใจเรื่องที่สองคนนี้ตีกัน เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่วางไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ทำให้ตกใจคือ สองคนนี้ตีกันได้อย่างสูสีต่างหาก ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นใครสู้วินได้พอฟัดพอเหวี่ยงขนาดนี้มาก่อนเลย แถมยังอึดขนาดที่ว่าแลกหมัดกันได้แบบไม่มีใครแสดงอาการเจ็บปวดกันเลยสักนิด

          ก็ว่าทำไม ลองว่าแรงเยอะเท่าพี่วิน เราจะเผลอหลงก็ไม่แปลก…แหม่ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณชา กับว่าพี่ไม่ยอมใช้กำลังกับเรา มีหรือจะยอมปล่อยง่ายๆ

          เด็กหนุ่มเหล่มองธานินทร์ที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ใกล้รั้วบ้าน ดูอาการแล้วคงไม่คิดจะมาห้ามมวยแน่ เดียร์จึงมองกลับเข้าไปในบ้าน แม้เขาจะกำชับก้องเอาไว้แล้วว่าไม่ให้มาช่วย แต่พอเห็นสีหน้าตื่นตะลึงราวกับเห็นจานบินผ่านหน้าบ้านของทั้งคู่ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเตือนเสียเปล่าชอบกล

          เดียร์มองมวยคู่เอกด้วยระยะใกล้แบบขอบเวที เด็กหนุ่มกัดปากแน่น เขาพยายามห้ามตัวเองไม่ให้โดดเข้าไปรับหมัดของทั้งคู่เสียเดี๋ยวนี้ จนร่างกายสั่น น้ำตาคลอหน่วย ขืนเสียแผนตรงนี้ มีหวังเรื่องยุ่งยากกว่าเดิมแน่

          พี่วินฮุคซ้าย…คุณสิทธิ์หลบก่อนจะสวนหมัดตรง แต่พี่วินรับทัน...ใกล้แล้วๆ…คุณสิทธิ์โดนผลักแล้ว! ตอนนี้ล่ะ!!!

          หนุ่มแว่นสะดุ้งเมื่อหมัดที่น่าจะไปประทับบนปลายคางของสิทธิ์ กลับพุ่งไปโดนแก้มนวลใสของน้องชายเสียเต็มแรง ร่างที่แลดูจะบอบบางถอยลงไปล้มอยู่บนพื้นหญ้าหน้าบ้าน และนอนนิ่งไม่ไหวติง

          “เดียร์!”


_____________________________

และแล้วนายเอกเราก็ตายอย่างสงบ...ไม่ใช่ล่ะ!! =[]=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-09-2014 21:47:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-09-2014 21:55:35
อ้าก. ค้าง :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 13-09-2014 23:37:52
อ้างถึง
และแล้วนายเอกเราก็ตายอย่างสงบ...ไม่ใช่ล่ะ!! =[]=

แหมะ กำลังอ่านเพลินๆ มาฮาเอาประโยคนี้นี่แหละ :m20:

ชอบเรื่องนี้มากเลยอ่านแล้วรู้สึกฮามากกว่าหื่น  :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 14-09-2014 00:38:31
จบตอนแบบเห็นภาพ "เดียร์ฟิน"
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: nonbungsanovii ที่ 14-09-2014 15:18:17
อ๊างงงงงงงงงงง งงงงง เลยสินะเดียร์
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 16-09-2014 01:42:54
โดนไปเต็มแรง ฟินไหมหนู :heaven
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 38 (13/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 16-09-2014 21:38:43
เจ็บนี้ สุขไปยันชั้นดาวดึงส์เลยสินะ สำหรับหนุ่มสายS
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 39 (21/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 21-09-2014 15:40:22
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 39
         
          วินได้แต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น มองสิทธิ์ที่ถลาเข้าไปพยุงเดียร์ ในสมองของหนุ่มแว่นว่างเปล่า แม้เห็นคนที่เหม็นหน้ากำลังคลอเคลียซุกไซ้น้องชายสุดที่รักของตนอยู่ก็ตาม แต่กระนั้นกลับนึกไม่ออกเลยว่าควรจะทำอย่างไรดี

          “เดียร์!” เสียงทุ้มของหมียักษ์ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าใส่หูเจ้าของชื่อ แต่กระนั้นคนในอ้อมแขนกลับไม่มีที่ท่าจะได้สติแต่อย่างใด “เดียร์! อย่าตายนะ!”

          …ผมไม่ได้ตายครับ ผมแค่สบายจนไม่อยากลุกต่างหาก…แต่ครั้นจะให้พูดเดี๋ยวก็อดฟินกันพอดี…ไม่ใช่สิ ผมแค่กำลังรอจังหวะอยู่หรอกนะ ไม่ได้สุขใจกับการโดนเสียงของคุณตะคอกใส่หูผมเลยสักนิด…นี่กะจะให้ผมตื่นจริงๆใช่ไหม ถ้างั้นก็เลิกตะโกนเสียงแปดหลอดใส่ผมได้แล้ว คนอะไรเสียงเถื่อนระรื่นหูดีชะมัด ให้ฟังทั้งวันยังได้เลยนะเนี่ย…ว่าแต่ จะเป็นห่วงผมเกินเหตุมากไปหรือเปล่าครับ มันชวนให้ผมรู้สึกแหยงๆแปลกๆในอกชอบกล

          “คุณวินครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ธานินทร์เข้ามาแตะบ่าเจ้านายตามสเต็ป พร้อมกับทำหน้าตื่น “คุณวินจะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรือครับ”

          หนุ่มแว่นเริ่มได้สติกลับมา เขามองภาพตรงหน้าโดยไม่สนสิทธิ์เลยสักนิด เพราะสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวตอนนี้คือ เขาได้ทำร้ายน้องชายลงไปเสียแล้ว

          “ทำบ้าอะไรของแก” สิทธิ์หันมาตะคอกใส่วิน ลืมเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ตนไม่ถูกด้วยเสียสิ้น “ถ้าเดียร์เป็นอะไรไป ฉันไม่ยกโทษให้แกแน่”

          ว่าจบก็รีบอุ้มเดียร์ขึ้นรถออกไปทันที

          “เวรล่ะ” เนื่องจากมัวแต่อึ้ง รวมถึงไม่คิดว่าเจ้านายตนจะหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ ก้องเลยออกตัวไม่ทัน เพราะความจริงแล้ว เขาจะต้องรีบตามสิทธิ์เพื่อไปโรงพยาบาลแท้ๆ หนุ่มแว่นได้แต่มองรถที่ขับออกไป ในหัวพยายามคิดหาทางสุดชีวิต ก่อนจะเรียกสติฤทธิ์ “นายอยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะตามไป คุณสิทธิ์น่าจะไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นายช่วยลองโทรเช็คตามโรงพยาบาลทีละกัน ชื่อจริงเดียร์ก็ตามนี้นะ”

          “เดี๋ยว”

          ก่อนที่ก้องจะวิ่งพ้นรั้วบ้าน คนที่ได้แต่ยืนนิ่งแม้ธานินทร์จะพยายามเรียกอยู่หลายครั้ง ก็เดินเข้ามารั้งเขาไว้ ด้วยสีหน้าที่เห็นแล้ว ก้องชักรู้สึกผิดตามที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมแผนการนี้

          “จะตามไอ้สิทธิ์ไปใช่ไหม ผมไปด้วย”

          เวรของกรรมจริงๆเลยตู วันหลังฉันว่าแกควรจะเขียนแผนสำรองไว้ให้ฉันบ้างเถอะ

 

          เดียร์นอนนิ่งอยู่บนเบาะหลังรถ นึกหงุดหงิดอยู่ในใจที่เจ้าคนที่ควรจะตามมาด้วยดันไม่อยู่เสียนี่ ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าตนผิดเองที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าก้องจะสะเทือนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าขนาดนี้…ก็ไม่เข้าใจเลยว่าจะตกใจอะไรกันนัก คนที่ไม่ถูกกันจะชกหน้ากันมันไม่เห็นจะแปลกอะไร

          …เอาเถอะ เป็นคนคุ้มกันทั้งที ก็คงหาทางแก้ปัญหาอะไรได้เองบ้างอยู่ล่ะน่า…

          คิดแบบนั้นเลยนอนนิ่งเหมือนคนเป็นลมต่อจนถึงโรงพยาบาล เมื่อลงจากรถแล้วขึ้นเตียงกำลังจะแล่นไปที่ห้องฉุกเฉิน เดียร์ก็ทำทีว่าได้สติขึ้นมาเสียก่อน

          “เดียร์! เดียร์” เสียงทุ้มแสนหวานตะคอกใส่ข้างหูอย่างไม่เกรงใจ จนคนเข็นเตียงพากันนิ่วหน้าเพราะไม่แน่ใจว่าสิทธิ์เป็นห่วงเจ้าของชื่อ หรือต้องการจะให้เดียร์อาการหนักกว่าเก่า

          ดวงตากลมปรือมองพ่อหมียักษ์ตรงหน้าด้วยความอ่อนแรง ใบหน้าที่โล่งใจเสียเหลือเกินทำเอาคนมองต้องขมวดคิ้วด้วยความกังขา มือที่กุมมือของตนนั้นก็อุ่นและรู้สึกสบายใจแบบแปลกๆ ชวนให้ขนลุกและจั๊กจี้ไปในคราเดียวกัน ซึ่งตามปกติ เวลาเดียร์เห็นใครทำสีหน้าท่าทีแบบนี้ใส่ เขามักจะอารมณ์เสียขึ้นมาและอยากจะอ้วกทุกที

          แต่คราวนี้กลับไม่ ทั้งยังรู้สึกร้อนๆหนาวๆอีกต่างหาก

          “ญาติคนไข้รอตรงนี้นะคะ เข้าไปไม่ได้ค่ะ”

          ความอบอุ่นประหลาดนั้นผละออกจากมือ ทำให้ทั้งโล่งและเสียดายอย่างน่าประหลาด เดียร์มองมือของตนที่โดนอีกฝ่ายกุมแน่นจนถึงเมื่อครู่ ยังคงคาใจไม่หาย

          มันคืออะไรกันนะ…

 

          ส่วนหนึ่งก้องก็แสนจะดีใจที่สามารถหาโรงพยาบาลที่สิทธิ์ไปได้ แต่อีกส่วนก็กลัดกลุ้มใจเพราะสิ่งที่ตามมาด้วยเป็นขบวนนี่ล่ะ ตามหลักแล้วตัวเขาจะต้องมากับสิทธิ์ ไม่ใช่ยกขบวนมาทั้งก๊กกับวินแบบนี้

          “เดียร์อยู่ไหน”

          แค่ชี้นิ้ว วินก็วิ่งฉิวออกไปยังทางตึกคนไข้ฉุกเฉินทันที

          “แบบนี้มันจะดีหรือ” ฤทธิ์ถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น พลางจ้องมองวินไม่วางตา “เกิดเจอกับคุณสิทธิ์ ระเบิดจะไม่ลงอีกรอบหรือไง”

          “คงไม่หรอกน่า นายก็รู้ว่าสองคนนี้เขาไม่อาละวาดให้ชาวบ้านเดือดร้อนหรอก แถมที่นี่เองก็เป็นโรงพยาบาลด้วยนะ” ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก้องก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่วินกับสิทธิ์ต่อยกัน ไม่แน่รอบนี้อาจจะฉะกันแบบไม่เกรงใจใครก็ได้

          “เดียร์”

          เสียงของวินดังมาแต่ไกล ทำเอาคนบริเวณนั้นพากันมองหนุ่มแว่นเป็นตาเดียว เจ้าของชื่อนั่งเลิกคิ้วมองพี่ชายอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์จ่ายยา สภาพของร่างบางดูไม่เป็นอะไรมากนัก ยกเว้นผ้าพันแผลที่แปะเสียหนาตรงแก้มที่โดนชก ทำเอาพี่ชายหน้าตื่นกับสภาพของน้องสุดรัก แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปหา เขาก็สำเหนียกขึ้นได้ว่า ต้นเหตุของแผลบนใบหน้างามของเดียร์ ก็คือเขาเองนั่นล่ะ

          ยิ่งเดียร์บึ้งหน้าแล้วหลบตาวิน ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกในใจของชายหนุ่ม

          “เดียร์…” วินเรียกน้องชายเสียงอ่อย พร้อมกับค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหา มือหนาเอื้อมออกหมายจะสัมผัสบาดแผลที่ตนทำ หากแต่ร่างบางกลับกระถดหนี ใบหน้าหวานนั้นเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาใจเขาร้อนเป็นไฟ “เดียร์ พี่ไม่ได้ตั้งใจนะ พี่ขอโทษ พี่…”

          “พอเถอะครับ” เสียงหวานดังเฉียบขาด ดวงตาใสรื้นไปด้วยน้ำตา “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับพี่วิน พี่กลับไปเถอะ”

          หนุ่มแว่นอ้าปากค้าง ใจจริงอยากจะลากตัวน้องชายออกไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อคิดว่า อาจจะโดนเดียร์เกลียดไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่กล้าใช้กำลังกับอีกฝ่ายได้

          “ผมดีใจที่พี่วินเป็นห่วงผมนะครับ…” ร่างของเด็กหนุ่มสั่นระริก “แต่นี่มันมากเกินไปแล้ว! แค่ผมอยากจะรักใครสักคน ผมทำไม่ได้เลยหรือไงครับ ทำไมพี่ต้องมาคอยขัด คอยขวางผมตลอดเวลาด้วย”

          “ก็ไอ้หมอนั่นมันไม่ได้รักนายเลยนี่ ที่มันทำก็เพราะมันต้องการจะใช้นายมาแก้แค้นฉันต่างหาก” วินเถียงด้วยเสียงที่เหมือนจะขาดใจเต็มทน “เชื่อพี่เถอะ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อนายนะ”

          “พี่ไม่ได้ทำเพื่อผมหรอก พี่ทำเพื่อตัวเองต่างหาก!” เดียร์สวนกลับด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับอึ้ง ถ้าพี่ทำเพื่อผมจริงๆ พี่ก็ต้องไม่ขัดขวางความสุขของผมสิ ใช่ไหมล่ะ แล้วที่ทำอยู่มันคืออะไร นอกจากทำให้ผมเสียใจ”

          เสียใจจริงๆนะว้อย อยากจะพูดมานานแล้วเหมือนกัน ไอ้เที่ยวมากระทืบพวกปกติหวังมาจีบผมก็ขอบคุณอยู่หรอก แต่เล่นลามไปกระทั่งคู่ซาดิสม์ของผมด้วยมันก็เยอะไปนะ!...แบบว่าแอบอัดอั้นนิดๆ เลยขอใส่หน่อย จะได้ดูสมจริงยิ่งขึ้น

          ก่อนที่วินจะต่อความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้ ธานินทร์ก็เข้ามาเบรกพร้อมกับเตือนให้หนุ่มแว่นรับรู้ถึงสภาพโดยรอบที่คนไข้มากมายพากันจ้องเป็นตาเดียว

          “ผมว่าตอนนี้พูดอะไรไปคุณเดียร์ก็ไม่ฟังหรอกครับ เรากลับก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าคุณเดียร์ปลอดภัย” ธานินทร์ออกความเห็นเสียงเบา “ยิ่งดึงดันมันจะแย่กว่าเดิมนะครับ”

          สีหน้าของวินคัดค้านอย่างชัดเจน แต่พอหันไปมองน้องชายที่ส่งสายตาต่อต้านใส่ เขาก็ได้แต่นิ่งเงียบ

          “…ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นายจะต้องเสียใจ…รู้หรือเปล่า”

          “ถึงแบบนั้นผมก็ไม่สนใจหรอกครับ” เสียงหวานตอบกลับอย่างราบเรียบ “พี่วินเองก็ไม่สามารถปกป้องผมได้ตลอดไปด้วย ชีวิตของผม ให้ผมเลือกเองเถอะครับ”

          วินกัดฟันกรอด ถ้าคนที่น้องชายเลือกไม่ใช่สิทธิ์ เขาอาจจะยอมถอยแต่โดยดีไปแล้ว

          ทำไมถึงไม่เป็นคนอื่น…ทำไมถึงต้องมาดึงดันเอากับไอ้หมอนั่น!!

          หนุ่มแว่นยืนนิ่งอยู่นานจนธานินทร์แอบหวั่น แต่พอเห็นเจ้านายผละออกจากเดียร์ เขาถึงกับโล่งอก และรีบตามวินออกจากโรงพยาบาลไปติดๆ

          ก้องทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่พอเห็นคุณแฟนแกยืนนิ่ง เขาก็สงสัยและเกิดวิตกไปว่า ฤทธิ์อาจจะผิดสังเกตกับสถานการณ์เมื่อครู่ เพราะเขาเองก็รู้สึกพะอืดพะอมกับการแสดงของเดียร์เป็นอันมาก…ก็เล่นพูดซะไม่มีเค้าของคนที่โดนขู่แม้แต่นิดเดียว แถมยังดูร้าก รัก สิทธิ์เสียมากมายจนก้องเกือบลืมไปว่าไอ้เด็กผีนี่เป็นคนๆเดียวกับที่บอกเขาเต็มปากเต็มคำว่า ไม่รักสิทธิ์แม้แต่ปลายขี้เล็บ

          แต่พอเห็นสีหน้าของฤทธิ์ หนุ่มใหญ่ถึงรู้ตัวว่าตนคิดผิด

          “เดียร์รักคุณสิทธิ์ขนาดยอมเถียงกับคุณวินเลยหรือนี่…”

          โอ๊ย ตาสว่างเถอะ…ไม่สิถ้าเป็นแบบนั้นก็แผนเสียสิ…แต่…โอ๊ย ฉันไม่อยากเห็นนายโดนไอ้เด็กผีนั่นหลอกเอาเลยว่ะ ให้ตายสิ!

          ก้องไม่แน่ใจว่าที่เดียร์ทำตาโตก่อนจะดูหมองลงและหลบตานั่น เป็นเพราะตกใจที่เห็นฤทธิ์มาด้วย หรือแค่เพราะแสดงไปตามสถานการณ์กันแน่

          “คุณสิทธิ์ล่ะ…เอ้อ นายไม่เป็นอะไรนะ” เขาก็แค่ถามหาเจ้านายตามหน้าที่ ทำไมต้องโดนฤทธิ์ถลึงตาใส่ด้วยก็ไม่รู้ ยังไงเสีย เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้เด็กบ้านี่มันไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว

          เด็กหนุ่มสายหน้า “ผมไม่เป็นอะไร คุณสิทธิ์ไปทำแผลที่ตีกับพี่วินอยู่น่ะครับ”

          พูดแล้วก็เพิ่งนึกกันขึ้นมาได้ เล่นเอาแต่ละคนหน้าซีดปานเห็นโลกวินาศ

          “แย่แน่ คุณสิทธิ์ชกกับคุณวิน” ฤทธิ์เอ่ยเสียงสั่น “แบบนี้จะเกิดสงครามไหมเนี่ย”

          “…คงไม่หรอก” ก้องตอบทั้งที่ไม่แน่ใจ ก่อนจะปรายตามองร่างบางเป็นเชิงคาดคั้น

          “ไม่หรอกครับ พี่วินไม่ชอบทำเรื่องส่วนตัวให้เป็นเรื่องใหญ่…” ที่พูดมานี่ประสบการณ์ตรงล้วนๆ เรื่องไหนเป็นเรื่องของผมนะ พี่แกไม่ค่อยใช้ลูกน้องมาทำเท่าไหร่หรอก อย่างเก่งก็ใช้คุณชาเท่านั้นล่ะ แต่ก็แค่ใช้ให้ตรวจว่าผมกำลังคบใครอยู่ อะไรแค่นี้ ที่เหลือพี่แกลงมือเองหมด

          “ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิ” ท่าทางหนุ่มตาตกจะกังวลเอาการ
         
          “…เออ ฤทธิ์ ช่วยไปดูคุณสิทธิ์ให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวทางนี้ฉันเฝ้าเอง”

          ด้วยความที่มัวแต่กังวลเรื่องสงคราม ฤทธิ์จึงยอมทำตามแต่โดยดี พอเดียร์บอกว่าสิทธิ์อยู่ตรงไหน ชายหนุ่มก็เผ่นแผล็วออกไปทันที

          “ให้ตายสิ เกือบไปแล้วไหมล่ะ” พอเหลือกันแค่สองคน หนุ่มน้อยก็ถอดหน้ากากออกทันควัน ดวงตากลมหรี่มองคนที่ยืนค้ำหัวตนอยู่ข้างกาย “ถ้าแผนตรงนี้เสียขึ้นมา ผมโทษพี่จริงๆด้วยนะ”

          “ครับๆ” ก้องตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก “แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีนี่ อย่าบ่นนักเลย…ว่าแต่ หน้าแกอาการหนักขนาดนั้นเลยเรอะ”

          เด็กหนุ่มยักไหล่ “ผมขอให้พยาบาลช่วยแปะให้น่ะครับ จะได้ดูสมจริงสมจังหน่อย เดี๋ยวพี่วินแกไม่สะเทือนใจ”

          “…ฉันว่าแค่ชกแก เขาก็สะเทือนใจจะแย่แล้วมั้ง” หนุ่มแว่นวิเคราะห์สภาพของวินก่อนหน้า ดูอย่างกับสามีที่เพิ่งรู้ว่าภรรยาสุดที่รักเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายยังไงยังงั้น

          “ฮะๆ ก็งั้นแหละ ครั้งแรกเลยนะเนี่ย” เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจเสียเต็มประดา “เทียบกันแล้ว พี่วินกับคุณสิทธิ์นี่สูสีจนเลือกไม่ถูกเลยแฮะ”

          หนุ่มแว่นเผลอกัดปากเมื่อได้ยิน

          “แกรักคุณสิทธิ์บ้างหรือเปล่า”

          “รักสิครับ เขาเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงได้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย”

          “ไม่ใช่แบบนั้น…” หนุ่มแว่นรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด “ฉันหมายถึง…ถ้าเขาไม่ใช้ความรุนแรงเก่ง แกจะยังรักเขาอยู่ไหม”

          “ก็ไม่ไงครับ ผมว่าผมก็บอกพี่ไปแล้วนะ” ตอบเร็วจนก้องรู้สึกแย่แทนสิทธิ์ “ถ้าไม่มีความรุนแรง เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ดีพร้อมและน่าขยะแขยงเท่านั้นเอง”

          พอเหอะ ฟังแล้วฉันอยากจะร้องไห้แล้วนะ…

          “แล้วถ้าเกิดเขารักแกขึ้นมาล่ะ แกจะทำยังไง…แบบที่ว่าเขาไม่อยากจะเป็นคู่ซาดิสม์ให้แกแม้แต่นิดเดียวเลยน่ะ” หนุ่มแว่นรีบกำชับประโยคหลัง

          เดียร์เลิกคิ้วมองคล้ายกับไม่ทันคิดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง ทำท่าครุ่นคิดอยู่นานและเป็นจริงเป็นจังจนก้องรู้สึกมีความหวังขึ้นมาหน่อยๆ

          “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงบอกเรื่องที่ผมเป็นมาโซฯ จากนั้นก็บรรยายความชอบในการโดนมัดกับโดนเฆี่ยนให้ฟัง แล้วก็ตบท้ายด้วยความรู้สึกหลังจากโดนบังคับให้เลียรองเท้ามั้งครับ”

          คือแกกะจะให้เขาสะเทือนใจกับเรื่องเล่าของแกจนตายเลยสินะ พ่อคุณ!

          “ถ้าพูดถึงขนาดนั้นแล้ว ยังยืนยันว่าจะคบกันต่อจริง ผมก็คงจะลองคบดูมั้งครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ถึงผมจะไม่ใช่พวกซาดิสม์ แต่มองคนทรมานจนบ้าตายก็สนุกดีเหมือนกันนะ…ไม่เอาน่า ผมพูดเล่น ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ก็แค่คบดู ถ้าไม่ไหวก็ไม่ไหว”

          “น้ำเสียงแกมันไม่ดูล้อเล่นเลยนี่หว่า” ก้องชักสีหน้าใส่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ “อย่าทำแบบนั้นกับคุณสิทธิ์เชียว ถือว่าฉันสั่งละกัน”

          “ถ้าจะสั่ง ก็ช่วยใช้น้ำเสียงที่ฟังแล้วระรื่นหูหน่อยสิครับ”

          “แกต้องทำ! ห้ามขัด ไม่งั้นเจอตบ”

          “อา ค่อยดีหน่อย” เด็กหนุ่มยิ้มหวาน แต่คนพูดสุดแสนจะหดหู่ “จริงสิ เรื่องพูดกับคุณสิทธิ์ พี่ก้องพูดแค่เรื่องคุณแม่มาริสาก็พอนะครับ เรื่องอื่นพี่ฤทธิ์คงพูดแทนให้หมดแล้วล่ะ”

          “เออ” ก้องตอบรับเสียงขุ่น “ไว้หลังจากกลับบ้านละกัน โน่น มากันแล้ว”

          จากที่กำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์ เปลี่ยนมาเป็นคนอมทุกข์แทบไม่ทัน

          สิทธิ์ดูจะสับสนปนสงสัยเป็นอันมาก ชายหนุ่มออกอาการลังเลอยู่พักใหญ่ กว่าจะยอมเดินมาหาเพราะโดนฤทธิ์ถองลิ้นปี่

          เดียร์บึ้งหน้าก่อนจะหันไปมองทางอื่นตามบท แต่รอบนี้สิทธิ์ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดใส่อย่างที่ควรเป็น ทำเอาเด็กหนุ่มเผลอหันกลับมามอง

          “เจ็บหรือเปล่า”

          “จะเจ็บหรือไม่เจ็บมันก็เรื่องของผม”

          “ฉันถาม ก็ตอบมา”

          อย่าว่าแต่เดียร์เลย ขนาดก้องเองยังเผลอสะพรึงกับลุคใหม่ของเจ้านาย สิทธิ์จับคางของเดียร์แล้วดึงมาเพื่อดูอาการ เมื่อเห็นผ้ากอซแปะแก้มเสียหนา เขาก็กดเข้าที่บาดแผลอย่างไม่มีถนอม เล่นเอาเดียร์ถึงกับหน้าเบี้ยว

          “เจ็บก็พูด อย่ามาทำเป็นอมพะนำ” เสียงทุ้มดังขึ้นเจือความเป็นห่วง แต่สีหน้ากลับเย็นชาจนน่าแปลก “ฉันไม่อยากให้ของๆฉันพังเพราะคนอื่น เข้าใจไหม”

          โอ้แม่เจ้า โดนชกจนกระทบกระเทือนถึงสมองเลยหรือเนี่ย ไอ้คุณสิทธิ์ที่ชอบทำหน้าหมาหงอยหายไปไหนแล้ววะ!!...ตะ…แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้จะไม่ดีนะ…แต่มันแปลกไปแล้วว้อยยย!!

          เดียร์ได้แต่ตื่นตระหนกอยู่ในใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็อดรู้สึกสะท้านไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอรูปแบบความรุนแรงที่แทรกความเป็นห่วงแบบนี้มาก่อน เล่นเอาใจระส่ำจนหยุดไม่ได้เลยทีเดียว

          “พะ…พูดบ้าอะไรของคุณ” เด็กหนุ่มว่าตะกุกตะกัก ก่อนจะหันไปทางอื่นเพราะรู้สึกเขินจริงๆจังๆ “ผะ…ผมไม่ใช่ของๆคุณนะ”

          “เหรอ ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ แต่อีกไม่นานหรอก” สิทธิ์เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ชอบฉันถึงขนาดให้คุณชาเป็นพ่อสื่อให้เลยไม่ใช่หรือไง”

          “ไม่ใช่นะ ผมพูดไปตามสถานการณ์เท่านั้นล่ะ ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย!” ซึ่งเขาก็พูดจริงแต่ ไม่รู้ทำไม ฟังแล้วเหมือนกำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆก็ไม่รู้

          “ทำไม จะบอกว่าจริงๆเธอเป็นแฟนกับชามาก่อนแล้วงั้นหรือไง แล้วที่พูดแบบนั้นเพราะต้องการจะปกป้องคนรักของเธออย่างนั้นล่ะสิ”

          ถ้าเป็นปกติเขาก็ต้องตอบเพื่อกันไม่ให้สิทธิ์คิดเกินเลยกับเขาอยู่แล้ว แต่เจอคุณชายเวอร์ชั่นนี้แล้วไม่รู้ทำไมมันพูดยากและแอบเสียดายอย่างบอกไม่ถูก

          “มะ…ไม่ใช่สักหน่อย เราแค่เป็นเพื่อนกัน” เดียร์ก็ยังงงๆว่าทำไมตัวเองถึงตอบแบบให้ทางเลือกอีกฝ่ายไปแบบนี้ แม้อันที่จริงเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับตนกันแน่ “ผมพูดเพราะแค่ไม่อยากให้พี่วินเข้าใจคุณชาผิดไปต่างหาก”

          “เหรอ ให้เป็นแบบนั้นละกัน” สิทธิ์เยาะก่อนจะยอมปล่อยคางเรียว ดวงตาเรียวเลื่อนมองจากที่สูงคล้ายกับกำลังบอกคู่สนทนาว่าตนอยู่เหนือกว่า “ฉันจะได้ทำให้เธอเป็นของฉันทั้งตัวและหัวใจแบบไม่ต้องเกรงใจใคร”

          โอเค ช่วยบอกผมทีสิครับ ว่าพี่ฤทธิ์ไปปลุกใจคุณสิทธิ์อีท่าไหน ผลมันถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย!!


___________________________

ขอบคุณทุกเมนท์ก๊าบ >< ต่อไปเราจะนำพาท่านไปสู่ sm ขั้นใหม่(?)ของสิทธิ์ ฮา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 39 (21/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-09-2014 17:53:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 39 (21/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 22-09-2014 20:42:53
อ๊ายย.ย.ย.ย.กำเนิดมาสเตอร์ผู้เข้มงวดและอ่อนโยนรึเปล่าคะเนี่ย  :ling1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 39 (21/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 22-09-2014 21:31:53
ลุคนี้ ชอบอ่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 39 (21/9/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 22-09-2014 23:04:00
วรั๊ยๆๆๆ
เข้มม เถื่อนนน เย็นชาาา :z2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 40 (10/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 12-10-2014 17:22:07
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 40

         
          “นายไปพูดอะไรคุณสิทธิ์วะ”

          พอกลับมาถึงบ้าน ก้องก็รีบลากฤทธิ์เข้าห้องไปคุยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าของเจ้านายทันที

          “ทำไม ชอบเหรอ เดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้นะ ถ้าขอร้องดีๆ”

          หนุ่มแว่นอ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเข้าเรื่อง “ชอบ…แต่เดี๋ยวก่อน นี่ฉันถามจริงๆนะ”

          “ก็คุณสิทธิ์บ่นอึดอัดที่เอาแต่ทำร้ายเดียร์ แล้วไม่ได้แสดงความเป็นห่วง แต่พอเป็นห่วงมากๆ เดียร์ก็ไม่เชื่อ แถมโดนด่ากลับจนคุณสิทธิ์โมโหเผลอทำร้ายอีก ฉันก็เลยเสนอให้เอาสองอย่างมารวมกันไง คุณสิทธิ์ก็สบายใจเพราะได้แสดงความเป็นห่วงได้อย่างเปิดเผย แถมยังค่อยๆปล่อยความรุนแรงใส่เดียร์ทีละน้อยๆด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองต่อเลยไง”

          ก้องนิ่วหน้าคล้ายกับไม่อยากเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่พอนึกถึงท่าทีตื่นตระหนกของเดียร์แล้ว เขาก็อดเห็นชอบไม่ได้

          ในเมื่อมันเหลือแต่ต้องรักกันอยู่ทางเดียว ก็ทำให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆก็ยังดีนี่นะ…

          “จะว่าไป…เราต้องบอกคุณวัฒน์เรื่องวันนี้ด้วยหรือเปล่า” ฤทธิ์ถามขึ้นด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “บ้าเอ๊ย ถ้าเกิดต้องปะทะกันจริงๆ มีหวังไอ้เดชได้ใช้โอกาสนี้ จัดการคุณสิทธิ์แน่”

          ก้องสะดุ้งนิดหน่อย เพราะเขานี่แหละที่รอให้คนที่ว่ามาฮุบเหยื่อชิ้นนี้อยู่ พอนึกได้ก็ไม่รอช้า รีบโทรศัพท์ไปรายงานทันที

          “ว่าไงนะ!!!” หลังจากที่ก้องพูดไม่ทันจะจบดี คนในสายก็ตะโกนถามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “จริงหรือ”

          “จริงสิครับ” นึกแล้วเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เหมือนกัน “คุณสิทธิ์งี้ หน้าปูด…”

          ก้องยกมือถือออกมา แล้วฟังอีกครั้ง สายตัดไปแล้ว

          ซึ่งสงสัยได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็เข้าใจ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งบ้านรัวอย่างกับกำลังโดนแกล้ง และพอฤทธิ์ซึ่งเร็วกว่าตนเดินไปเปิดประตู ก็ต้องพากันค้างเพราะเจอคนที่น่ากลัวมากสำหรับทั้งสอง

          “คุณวัฒน์?” หนุ่มแว่นซึ่งตามมาเรียกอีกฝ่ายอย่างหวาดๆปนประหลาดใจ แล้วรีบดันร่างฤทธิ์ออกมาให้พ้นประตู พอมองข้ามหลังวัฒน์ไปก็เห็นเนที่เพิ่งออกจากรถมาด้วย

          “คุณสิทธิ์ล่ะ”

          เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบดังขึ้น ก้องกับฤทธิ์ยังคงประหลาดใจ ปกติวัฒน์เป็นคนที่ลูกน้องส่วนใหญ่ให้ความเคารพเกรงขาม…หรือถ้าพูดให้ถูกคือเกรงกลัวมากกว่า เพราะหนุ่มใหญ่เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดถ้าไม่ใช่เรื่องของสิทธิ์ ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ยกเว้นยามโมโหในเรื่องของสิทธิ์ ไม่ค่อยรับมุกเวลาคนอื่นพูดตลกหรือขำให้เห็น ยกเว้นกับสิทธิ์ และทั้งที่ทำงานกันมาเป็นสิบปี เหล่าเพื่อนร่วมงานก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่า รองประธานควบตำแหน่งผู้ติดตามคนนี้คิดอะไรอยู่…และก็ยกเว้นสิทธิ์ที่ดูจะรู้ดีว่าวัฒน์คิดอะไรอยู่ แม้หน้าของลุงแกจะนิ่งเรียบเหมือนรูปปั้นมากแค่ไหนก็ตาม

          “ก้อง! ฤทธิ์!”

          แค่โดนเรียกชื่อเพื่อเรียกสติ เจ้าของชื่อกลับรู้สึกกลัวอย่างไร้สาเหตุ

          “ขะ…ข้างบนครับ ขอโทษครับ” หนุ่มแว่นรีบก้มหัวปะหลกๆเหมือนกลัวจะโดนอีกฝ่ายทำโทษ ทั้งที่นั่นเป็นสิ่งที่รื่นรมย์สำหรับเขาแท้ๆ แต่ขนาดฤทธิ์ซึ่งปกติไม่ค่อยจะยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็ยังทำเหมือนเขา

          “อ้าว อาวัฒน์มาได้ยังไงเนี่ย เมื่อกี้เห็นกริ่งดังผมก็นึกว่าพวกเกรียนที่ไหนซะอีก”

          วัฒน์ทำหน้าเหวอทันทีที่เห็นใบหน้าชอกช้ำของเจ้านาย หนุ่มใหญ่รีบปรี่เข้าไปหาเพื่อดูอาการของชายหนุ่มร่างยักษ์ทันที

          “เหวอ คุณสิทธิ์ไปโดนอะไรมาล่ะนั่น ทำไมหน้าปูดบวมแบบนั้นละครับ” พอเนที่รีบตามเข้าบ้านเห็นเข้าก็ร้องเสียงดังทำหน้าอย่างกับเห็นผี ก่อนจะกลับมามองก้องกับฤทธิ์พร้อมแสดงอาการไม่พอใจ “ไหงคุณก้องกับพี่ฤทธิ์ปล่อยให้คุณสิทธิ์เป็นแบบนี้ได้เนี่ย”

          ก็ตูโดนห้ามไว้นี่หว่า…แถมยังมัวแต่อึ้งด้วย

          “อ้าว ไอ้หนู ฉันตกใจนี่หว่า” ฤทธิ์ว้ากลั่น พร้อมกับตบกะโหลกทันที เล่นเอาเด็กหนุ่มที่กำลังไม่พอใจถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะ “นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ที่คุณสิทธิ์กับ…วินชกกันแบบนี้น่ะ”

          ดูจากสีหน้าเหมือนเห็นผีของเน ก้องก็รู้ได้ทันทีว่าวัฒน์รีบมาที่นี่มากถึงขนาดไม่ทันได้บอกอะไรเพื่อนร่วมงานแม้แต่นิดเดียว

          “อะไรนะ คุณสิทธิ์…กับคุ….เอ่อ กับวิน ทะเลาะกัน” เนระวังไม่ให้เผลอเรียกวินอย่างสุภาพต่อหน้าเจ้านาย “ไหงงั้นละครับคุณสิทธิ์

          ต้นเหตุทำหน้าอิดออดคล้ายไม่อยากจะพูดนัก ชายหนุ่มหันไปข้างหลังก็เห็นหัวของเดียร์ที่โผล่แพลมออกมาอย่างที่คาด

          “เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมกับมันต้องทำให้ชัดเจน” สิทธิ์อ้อมเสียงอ่อย “มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่ครับ ผมสัญญา”

          คนฟังแลดูจะไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นัก

          “จริงๆนะครับ ผมอาจจะเกลียดมันเหมือนขี้หมาติดรองเท้า แต่…อาก็รู้ว่าผมไม่ชอบใช้กำลังกับใคร ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมใช้ก่อน เพราะงั้น ผมไม่ลงมือก่อนแน่”

          “งั้นถ้าอีกฝ่ายลงมือก่อนก็อีกเรื่องใช่ไหมล่ะครับ” ได้ยินวัฒน์พูดแบบนั้น สิทธิ์ก็แบะปากเหมือนลูกที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อของเล่นที่อยากได้ให้ “ขอร้องเลยล่ะครับ ก่อนหน้านั้นก็ทำผมจะตายทั้งเป็นแล้ว ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องเลวร้ายเหมือนคราวก่อนอีกแล้วนะครับ”

          ก้องเหล่มองเนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ซึ่งเขาเองก็ไม่แปลกใจนัก เพราะคราวก่อนที่โดนทำร้ายจนบาดเจ็บ เนสาหัสกว่าเยอะ…แต่ก็อย่างว่านั่นล่ะ สำหรับวัฒน์ ยังไงสิทธิ์ก็ต้องมาก่อนเสมอ

          “มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกครับ เพราะงั้นไงถึงให้พี่ก้องกับพี่ฤทธิ์มาคุ้มกันผม ใช่ไหมล่ะครับ ผมเองก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนคนเดียวด้วย อาอย่าห่วงผมเลยครับ ผมน่ะ ห่วงอามากกว่านะครับ” สิทธิ์รีบพูดหวังให้อีกฝ่ายเลิกกังวล “…อาอย่าห่วงเลยครับ อีกไม่นานมันก็จะจบพร้อมกับข่าวดีแล้ว”

          ซึ่งก้องก็ไม่แน่ใจว่า ‘ข่าวดี’ ที่ว่านั่น จะเป็นเรื่องที่ดีจริงๆสำหรับเนกับวัฒน์หรือเปล่า…ใจจริงเขาว่ามันบ้าเกินทนด้วยซ้ำ…แต่ทำไงได้ล่ะ คุณเจ้านายแกตัดสินใจไปแล้วนี่…แถมยังไม่ใช่การตัดสินใจแบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นครั้งเดียวเปลี่ยนวิถีชีวิตกันเลยทีเดียว

          “…ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น” แลดูวัฒน์จะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก แต่พอเห็นสายตามุ่งมั่นของเจ้านาย เขาก็ได้แต่ยอมตกลง “ถ้างั้นผมกับเนกลับก่อนละกัน…พักผ่อนให้เยอะๆนะครับ แล้วก็อย่าไปทำอะไรให้กระทบกระเทือนกับแผลด้วยล่ะ เดี๋ยวมันจะหายช้า ถ้าให้ดี กินยา ไม่ก็ประคบด้วยล่ะครับ”

          “ครับ เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มตอนเสียงอ่อน “น่า อาอย่าเป็นห่วงผมนักเลยครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมว่าอารีบกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะ งานเยอะไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวอานั่นล่ะจะล้มหมอนอนเสื่อไปเสียก่อน”

          “นะ…นั่นสิครับ งานยังค้างอยู่อีกนี่ครับ เดี๋ยวทิ้งงานนานมันจะไม่ดีไม่ใช่หรือครับ คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่า ต้องรีบทำให้เสร็จในอาทิตย์นี้น่ะ” เนโพล่งเสียงตื่น ลนลานเสียจนคนมองพากันแปลกใจ

          วัฒน์ไม่พอใจจนแสดงออกทางสีหน้า ทำเอาฤทธิ์กับก้องรู้สึกเคืองเนไปด้วย ที่ทำให้พวกตนต้องอึดอัดโดยใช่เหตุ แต่วัฒน์ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกเสียจากหันไปลาสิทธิ์ และเดินออกจากบ้านไปโดยมีเนตามหลังไปติดๆ

          “เฮ้อ…” สิทธิ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ท่าทีเหมือนลูกที่แอบสูบบุหรี่พ่อไว้ยังไงยังงั้น หมียักษ์หันไปจ้องลูกน้องตาเขม็งที่เป็นสาเหตุทันที “เรื่องเล็กแท้ๆ ไหงพี่ต้องบอกอาวัฒน์ด้วยเนี่ย”

          “พวกผมมีหน้าที่ต้องรายงานคุณวัฒน์ด้วยนี่ครับ ขืนหมกเม็ดเดี๋ยวพวกผมโดนหมกศพพอดี” ก้องอ้างเรื่องงานและความหวาดกลัวที่มีต่อวัฒน์ ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิ์ถึงกับหัวเราะพรืดเมื่อได้ยิน

          “บ้าสิพี่ อาวัฒน์เขาไม่ได้โหดเหี้ยมขนาดที่จะฆ่าพวกพี่เพียงเพราะไม่ยอมรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างหรอก” คำพูดของสิทธิ์ไม่ได้ช่วยให้คนฟังรู้สึกใจชื้นแม้แต่น้อย แน่ล่ะ คนโดนไม่ใช่สิทธิ์นี่ แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยมีใครโดนถึงกับตาย และวัฒน์ไม่เคยใช้กำลังลงโทษเลยก็เถอะ แต่มันก็เหมือนกับตายทั้งเป็นนั่นล่ะ “…แต่เรื่องข่าวดี พี่อย่าบอกเชียว ถ้าอาวัฒน์แกถาม บอกไปว่า เดี๋ยวก็รู้ ผมอยากทำเซอร์ไพรส์”

          ไหนว่าเป็นห่วงสุขภาพคุณวัฒน์แกยังไงล่ะครับ ทำแบบนี้นี่ ผมว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจคนชรามากเลยนะ…

          “หมดเรื่องแล้ว งั้นผมกลับขึ้นห้องนะ” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะปรายตามองไปทางบันไดที่อยู่ไม่ห่าง พร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “พอดีว่าอยากจะรีบไปนอนกอดตุ๊กตาตัวใหม่ เอาให้ชินมือไว้ก่อน เพราะจากนี้คงได้กอดนอนไปอีกนาน”

          …ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะขนลุกกับคาแรคเตอร์ใหม่ของคุณ หรือผมควรจะรู้สึกดีใจเพราะอย่างน้อยนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนใจดำมืดของไอ้เดียร์ให้มารักคุณได้ มากกว่ากันก็ไม่รู้…

 

          เดียร์สะดุ้งนิดเดียวเมื่อเห็นหัวสิทธิ์โผล่มาจากบันได เด็กหนุ่มรีบเข้าห้องตัวเองตามระเบียบ และล็อกประตูตามประสาคนที่ควรจะกลัวสิทธิ์ และแน่นอนว่ารายนั้นเอากุญแจมาไขอย่างรู้ทัน

          “ขะ…เข้ามาทำไม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสั่น…ซึ่งเขารู้สึกหวาดจริงๆ เพราะท่าทีของสิทธิ์มันแปลกจนเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรับมืออย่างไรดี

          “ทำไมฉันจะเข้ามาไม่ได้ล่ะ” สิทธิ์ยียวนพลางปิดประตู ร่างสูงสืบเท้าก้าวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเนิบนาบ แต่แรงคุกคามรุนแรงและชวนให้รู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก “ฉันอยากจะมาหาตุ๊กตาของฉันนี่”

          อะไร้~~ ปกติผมเจอแต่เปรียบเป็นหนอน แมลง ขยะ เครื่องระบายอารมณ์ หรืออย่างน้อยเรียกของเล่นแก้ขัดก็ยังพอได้นะ เจอแบบนี้ผมไปไม่ถูกนะ!! คือนี่ด่าหรือชม ผมไม่เข้าใจ

          “อ๊ะ” เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อโดนโอบเอว และยังไม่ทันจะได้ขืนหนี ก็โดนยกเสียจนตัวลอย “เดี๋ยวสิ ปล่อยนะ”

          เขาพยายามเมินเรื่องประหลาดแล้วโวยวายอย่างตื่นเต้น เพราะคิดว่าคงจะโดนแน่แล้ว สิทธิ์รัดอีกฝ่ายแน่น จนเดียร์ร้องออกมา แต่พออีกฝ่ายหยุดดิ้นเขาก็คลายแรง และแน่นอนว่าคนตรงหน้าก็ดิ้นอีกครั้ง เขาก็ทำซ้ำไปมา จนเด็กหนุ่มหมดแรงจะขืน

          ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างกังขา แต่ไม่นานก็ต้องหลบตาหนี เพราะดวงตาที่เพ่งกลับมานั้นเอ่อล้นไปด้วยความรักเสียจนน่าขนลุก แต่ขัดกับการกระทำนี้เสียเหลือเกิน

          ที่สำคัญคือ เขาไม่กล้าจ้องนาน ไม่รู้ทำไม…

          สิทธิ์อุ้มเดียร์โยนลงเตียง ก่อนจะขึ้นตามไป ร่างบางพยายามกระถดหนี แต่หมียักษ์ไม่ยอมให้กวางน้อยหนีได้โดยง่าย มือหนาตะปบเอวเล็กดึงเข้ามากอดแน่น จากนั้นก็ดมดอมหอมไปหลายฟอดจนหายอยาก

          “ปล่อยนะ” เสียงหวานดังลอดออกมาจากอกของสิทธิ์ มือเล็กพยายามดันอีกฝ่ายออกตามประสา แต่ก็พยายามเก็บเกี่ยวความทรมานจากการหายใจลำบากให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          กว่าที่สิทธิ์จะยอมปล่อย ก็ตอนที่เสียงลมหายใจของเดียร์หอบถี่ ดวงหน้าขาวแดงระเรื่อด้วยความเหนื่อยที่ต้องต่อสู้กับตน

          “ทำไมถึงชอบทำอะไรไร้ประโยชน์จังเลยนะ” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหู ชวนให้เดียร์สยองขวัญอย่างบอกไม่ถูก “แต่ก็น่ารักดี ฉันชอบ”

          ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยโดนชมแบบนี้ เรียกได้ว่าแทบจะทุกคนที่เข้ามาทั้งจีบและไม่จีบ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำแบบนี้ เล่นเอามึนหัวจนนึกอะไรไม่ค่อยจะออกเลยทีเดียว

          สิทธิ์จับหน้าเดียร์ให้เงยขึ้นมา ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซน เสียงลมหายใจดังแผ่วเป็นจังหวะ ชายหนุ่มยังคงเลื่อนเข้าหาทีละน้อยๆ ริมฝีปากของทั้งสองใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกัน

          หรือนี่จะ…

          “เลิกดิ้นได้แล้ว ฉันจะนอน” เสียงทุ้มโน้มเข้าหากระซิบข้างหู ไม่ได้จูบแต่อย่างใด “อะไร ทำหน้าแบบนั้น อยากให้จูบหรือ”

          ค้างนิ่งไปนานกว่าจะได้สติ

          “หา ใครจะอยากจูบกับคุณกัน” พูดจบก็เผลอเอามือปิดปาก เพราะอาการเมื่อครู่ไม่ใช่การแสดงแบบที่ว่าปฏิเสธกลบเกลื่อนแต่เพราะเขาปฏิเสธเพื่อกลบเกลื่อนจริงๆ

          เห…เดี๋ยวสิ นี่เราอยากจูบกับเขาหรือ…

          พอเหลือบมองอีกฝ่ายก็ต้องรีบหลุบตาลง ใบหน้าของสิทธิ์ยังคงเจือยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ทำให้เดียร์ได้แต่คาใจ ถ้าเป็นยิ้มจอมปลอมแต่เปลือก เขาก็รู้ แต่ไอ้นี่ มันค่อนข้างจะต่างออกไปนิดหน่อย

          มันเหมือนจะเป็นยิ้มแบบดูถูกเหยียดหยาม แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความยินดีและเอ็นดูกับสิ่งทีเห็นจนล้นทะลัก ซึ่งเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าตกลงมันเป็นรอยยิ้มจากอารมณ์ไหนกันแน่ เพราะแม้จะยินดีกับการเหยียดหยาม แต่ความละมุนที่แทรกผ่านสายตาก็ทำเอาเขาพะอืดพะอมร่วมด้วย ช่างเป็นนวัตกรรมใหม่ของการทรมานสำหรับเดียร์เสียจริงๆ

          เหมือนจะมีความสุข แต่ปวดหัวใจร่วมด้วยยังไงชอบกล

          “ฉันจะนอนแล้ว” เมื่อได้มองจนพอใจ สิทธิ์ก็เอ่ยเสียงหวานแล้วดึงร่างบางเข้ามากอดแน่นแบบไม่ค่อยจะถนอมอย่างน้ำเสียงเท่าไหร่ “ฉันไม่ให้เธอหนีไปหรอกนะ”

          เด็กหนุ่มกัดปาก เขามีความสุขกับการโดนรัดจนอึดอัดอยู่หรอก แต่น้ำเสียงหวานๆนั่นก็ทำเอาเขาเหมือนจะอ้วกด้วย และที่ไม่เข้าใจกว่าก็คือหัวใจที่เอาแต่เต้นแรงไม่หยุดนี่ล่ะ

          มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?

          เดียร์นอนมองเพดานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงบนเตียงในห้องของตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังคนที่นอนอยู่ทางด้านขวาของตน ซึ่งตอนนี้กำลังหลับไม่รู้เรื่องไปเสียแล้ว และไม่เหลือเค้าความโหดแบบประหลาดเอาไว้เลยสักนิด

          อ้อมกอดหนาคลายลงแล้ว เด็กหนุ่มจึงเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น แม้จะทำได้แค่เพียงดิ้นขลุกอยู่ในวงกอดก็ตาม นิ้วเรียวจิ้มแก้มหมียักษ์ ท่าทางจะหลับลึกจนไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว เด็กหนุ่มจึงขยับตัวเพื่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดๆ ซึ่งก็ไม่ช่วยเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้ห้องปิดไฟ มีเพียงแสงจากเสาไฟที่ลอดมาทางหน้าต่างที่พอช่วยให้เดียร์มองเห็นใบหน้ายามหลับของสิทธิ์ได้

          แล้วถ้าเกิดเขารักแกขึ้นมาล่ะ แกจะทำยังไง

          คำพูดของก้องที่แล่นผ่านหัวทำเอาเด็กหนุ่มว้าวุ่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยแท้ๆ ไหงตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรยุ่งๆตีกันในหัวนะ

          แกรักคุณสิทธิ์บ้างหรือเปล่า

          ถ้าเป็นเรื่องความรุนแรง ก็ใช่อยู่หรอก...




ตอนนี้คนตรวจกับคนจัดไม่อยู่ อาจจะมีคำผิดคำซ้ำบ้าง เพราะตรวจคนเดียวงับ ถ้าพบเห็นแจ้งได้เน้อ

แก้แบ้ว
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 40 (10/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 12-10-2014 19:58:45
มาดใหม่ทำเอาใจเต้นตึกตักเลยสิท่า :haun5:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 40 (10/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 12-10-2014 21:54:34
รีบๆหลงรักเร็วๆเข้าสิหนู ลุ้นจนตัวโก่งแล้วเนี่ย  :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 40 (10/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 13-10-2014 00:31:53
เป็นเรื่อง sm ที่ฮาที่สุดที่เคยอ่านมาเลย ให้ตาย...... ตลกตรงคุณสิทธิ์ให้ลูกน้องอ่านปาก โคตรฮา นั่งขำกริ๊กกกกกกคนเดียวเเบบคุณสิทธิ์แกดูสับสนกะชีวิตจริง หนูเดียร์ก็ m ได้โหดร้ายมากมาย ขำสุดๆ มาเม้นตามตอนไม่ค่อยทันเลยค่ะ เพราะเปิดดูไม่บ่อย ให้กำลังใจเล็ก อยากบอกว่าถึงคนเม้นจะน้อยแต่คนตามอ่านเยอะนะค้าาาาาาา.


ป.ล. ชอบคุณชาจัง งอนเลยลูก งอนมันซะ เอาให้ต้องตามตื๊อไปเลย อยากเห็นคุณวินตามตื๊อชาจัง ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 40 (10/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 19-10-2014 18:49:36
รีบมาต่อนะค่ะ   ชอบมากเลยค่ะ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 41 (26/10/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-10-2014 11:38:33
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 41
         
          “ศิวะ ทำอะไรน่ะ”

          เจ้าของชื่อรีบเก็บมือถือลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงสูงของเจ้านาย มาริสายืนบึ้งหน้ามองเลขาฯที่มัวแต่จดๆจ้องๆอยู่กับมือถือของตัวเองตั้งแต่เมื่อครู่นี้

          “…พอดีที่บ้านส่งข้อความมาน่ะครับ ต้องขอโทษด้วย”

          “ช่างเถอะ อย่าดูตอนเวลางานก็พอ” หญิงวัยกลางคนโบกมือให้ ก่อนจะเดินนำออกจากตึกหมายจะหาอะไรทานยามเที่ยง แต่ยังไม่ทันเดินพ้นธรณีประตูของบริษัท เสียงเรียกเข้าของไอโฟนก็ดังขึ้นเสียก่อน และเธอก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่ากับชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

          “สวัสดีครับคุณอามาริสา ว่างคุยหรือเปล่าครับ”

          “…ก็พอว่างอยู่ มีอะไรล่ะ” หญิงวัยกลางคนตอบอย่างไม่แน่ใจนัก

          “เย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ ผมมีเรื่องน่ายินดีจะคุยด้วย…ถ้าให้ดี พา…ลูกชายอามาด้วยจะกรุณามากเลยล่ะครับ รับรองว่า เรื่องที่ผมจะไปพูดด้วย คุณอาจะต้องดีใจและยินดีมากแน่ๆ”

          “เรื่องอะไรล่ะ พูดให้เป็นความลับเหลือเกินนะ” เธอหัวเราะในลำคอ “เอาเถอะ ถ้าถึงกับโทรมานัดเจอกัน แถมยังให้เรียกเจ้าลูกชายบ้านั่นมาด้วย คงเป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะสิ”

          “รับรองว่าเป็นเรื่องดีที่สุดเท่าที่คุณอาจะได้ฟังเลยครับ”

 

          วินสะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออยู่ๆคนที่เดินเข้าห้องมาไม่ใช่เลขาฯอย่างที่ตนเข้าใจ แต่เป็นพระมารดาที่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผิดกับวันก่อนๆที่ทำหน้ายักษ์ใส่เขาทุกที เพราะคาดโทษเรื่องที่เขาไปหาเดียร์ และยังคงจับตามองว่าเขาจะแอบดอดไปหาน้องชายหรือเปล่า

          “…มีอะไรหรือครับ” หนุ่มแว่นถามพลางเลื่อนตัวออกห่างอีกฝ่ายเพราะกลัวจะโดนระเบิดเสียงใส่ กลัวเหลือเกินว่าแม่จะรู้เรื่องที่เขาไปอาละวาดใส่สิทธิ์เมื่อสองวันก่อน

          “เดี๋ยวจากนี้ยกเลิกนัดทั้งหมดแล้วไปกับแม่ที” น้ำเสียงใสอารมณ์ดีจนคนฟังรู้สึกใจชื้น “เอ้า มัวนั่งบื้ออะไรอยู่ล่ะ ตามมาสิ”

          เนื่องจากยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เลยได้แต่นั่งงงกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย จนมาริสาเดินมาดึงหูเรียกสติ
         
          “…มีอะไรหรือครับ” หลังจากรีบฝากงานให้เลขาแล้ววิ่งตามแม่ไปติดๆ วินก็ถามด้วยความสงสัยปนระแวง

          “เดี๋ยวถึงบ้านไปก็รู้”

          ยิ่งทำน้ำเสียงระรื่นแบบนั้น เขายิ่งกังวลเข้าไปใหญ่

          และก็เป็นอย่างที่กลัวไว้จริงๆด้วย!

          วินก็แทบจะกัดลิ้นจนเกือบขาดเมื่อเห็นรถอันแสนจะคุ้นตาที่จอดอยู่ในโรงจอดรถข้างบ้าน แต่ชายหนุ่มก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าอดทน เพราะโดนเล็บสวยของคุณแม่จิกแขนเตือนสติอยู่เนืองๆ

          “แหม สวัสดีนะครับคุณอามาริสา ยังสวยไม่สร่างเลย” เสียงทุ้มเอ่ยทักอย่างร่าเริงเมื่อเห็นเจ้าบ้านเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับลูกชายที่ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ด และยิ่งเบี้ยวกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มกริ่มของสิทธิ์ที่นั่งสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้ไม้ในบ้านตน โดยมีก้องกับฤทธิ์ยืนประดับอยู่ด้านหลัง เท่านั้นยังไม่พอ ที่ทำให้วินแทบจะคลั่ง คือการที่สิทธิ์เอาเดียร์นั่งอยู่บนตักของตนแบบไม่อายใครนี่ล่ะ

          ถ้าฆ่าคนด้วยสายตาได้ วินคงทำไปแล้ว

          “ปากหวานจริงนะเรา” เธอรับไหว้ก่อนจะมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สายตาก็พิศมองไปยังร่างบางที่สุดแสนจะเกลียดที่นับวันโตมาหน้าตายิ่งเหมือนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของตนเข้าทุกวัน แต่โทสะก็ทุเลาลงเมื่อเห็นใบหน้าหวานนั้นไม่ได้ดูมีความสุขเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีบาดแผลที่ชอกช้ำบนแก้มที่ชวนให้รู้สึกสะใจเข้าไปอีก ทำเอามาริสาถึงกับยิ้มออก “แล้วมีอะไรล่ะ ได้ยินว่า…อยู่ด้วยกันนี่ ท่าทางจะรักกันดีนะ”

          ใจจริงเธอก็แอบแปลกใจอยู่หน่อยๆเพราะเข้าใจว่าสองคนนี้รักกันจริงๆ แต่ดูอาการของเดียร์แล้ว ท่าทางเธอจะคิดผิด

          “ครับ รักม้ากมากเลยล่ะ” ไม่ว่าเปล่ามีดึงเอวร่างบนตักเข้ามาโอบอย่างไม่แคร์สื่อ ทำเอาเดียร์ถึงกับหน้าเสียและพยายามขืนออก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสู้แรงของอีกฝ่ายได้ สร้างความพอใจให้มาริสาเป็นอย่างยิ่ง แต่ทำเอาเส้นเลือดในสมองของวินจะแตกอยู่รอมร่อ “เพราะงั้น ผมเลยอยากจะทำให้มันชัดเจน และถูกต้องน่ะครับ”

          ก้องพยายามเม้มปากไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา ส่วนหนึ่งเพราะขำคำพูดของเจ้านาย อีกส่วนก็เพราะทั้งวินและเดียร์ต่างถลึงตามองสิทธิ์พร้อมกัน ถึงเขาจะรู้ว่าคนหลังมันแสร้งทำก็เถอะ

          “แกหมายความว่ายังไงวะ นี่แกเพี้ยนไปแล้วเรอะ ชัดเจนถูกต้องพ่อแกสิ นั่นน้องชายฉันนะ!!” วินเอ่ยอย่างเหลืออด ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าถึงขั้นนี้ “จะบ้าก็ให้มันน้อยๆหน่อย…อ๊ากกก”

          “แหม อย่างงั้นหรือจ๊ะ” มาริสาตอบกลับโดยไม่แยแสลูกชายที่ร้องโอดโอยเพราะโดนเล็บของเธอจิกเข้าที่ต้นแขนด้านในแบบไม่กลัวว่าเสื้อสูทของวินจะเป็นรู “ทีแรกได้ยินว่าสิทธิ์กับหนูเดียร์คบกันอยู่นะ อาก็ห่วงๆว่าจะไปด้วยกันได้ดีหรือเปล่า แต่เห็นแบบนี้ก็วางใจล่ะนะ”

          ก่อนที่พระคุณแม่จะพูดเรื่องความราบรื่นในการคบ น่าจะสะกิดใจหรือถามเรื่องที่มันชอบผู้ชายด้วยกันก่อนมากกว่านะ!!! แล้วไอ้สภาพแบบนี้ มันควรจะใช้คำว่าวางใจเรอะ!!! อ๊ากกก

          วินได้แต่นั่งถลึงตามองภาพตรงหน้าด้วยความอดทน…หรือต่อให้เขาไม่อยากอดทน เล็บที่ทิ่มแขนของตนก็คอยเตือนไม่ให้เขาโวยวายตามใจได้

          “ถ้าเราสองคนรักกัน อาก็ไม่ขัดหรอก ทำตามใจชอบเถอะ” มาริสาว่าพร้อมบีบแขนวินแน่นกว่าเดิม ทำเอาหนุ่มแว่นเริ่มหน้าเบี้ยวเพราะทนเจ็บไม่ไหว “ถ้าลำบากอะไรบอกอาได้เลยนะ แล้วแต่งเมื่อไหร่อย่าลืมเชิญอาไปด้วยนะจ๊ะ”

          หนุ่มแว่นได้แต่อ้าปากพะงาบๆเหมือนปลากำลังจะขาดอากาศตาย ใช่ว่าเขาจะกลัวดัชนีของมารดาจนไม่กล้าหือ เพียงแต่เพราะสภาพของเดียร์ต่างหากที่ทำให้เขาพูดไม่ออก มาริสาอาจจะเข้าใจว่าที่เดียร์แก้มบวมหน้าหมองเป็นเพราะสิทธิ์ แต่ต้นเหตุน่ะ รู้ดีที่สุดว่าที่น้องชายมีสภาพแบบนั้นเพราะใคร

          ที่เดียร์ทำหน้าเหมือนไม่กล้าสบตา ไม่ใช่เพราะสิทธิ์ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเห็นหน้าเขาต่างหาก แถมความทรงจำเมื่อวันก่อนที่โดนเดียร์ตอกหน้าเสียยุบยังคงตราตรึงอยู่ในหัวจิต จึงทำให้วินได้แต่นั่งเงียบด้วยความกลัว

          ถ้าเขาโวยวายขึ้นมาอีก อาจจะได้ยินคำว่าเกลียดจากเดียร์ก็ได้…

          “แหม ขอบคุณคุณอามากเลยนะครับ ที่สนับสนุน” สิทธิ์เอ่ยอย่างมีความสุขแบบออกนอกหน้า “จากนี้ไปเราจะได้เกี่ยวดองกันอย่างเป็นทางการแล้ว ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับคุณแม่”

          แม่…พ่อแกสิ!! ถามฉันสักคำไหมว่าอยากนับญาติกับแกน่ะหา ไอ้หัวหนาม!!!...ก็ได้แต่ด่าอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกมาเพราะดวงตาของคุณน้องชายที่ปรายมาทางตนดูมีพลังอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังสร้างความเสียหายแก่จิตใจมากจนวินรู้สึกเหมือนหมดแรงจะหายใจเข้าไปทุกที

          “ถ้ามีธุระแค่นี้ผมขอตัวก่อนละกัน พอดียังเหลืองานค้างอยู่เยอะ” วินเอ่ยเสียงเบาก่อนจะแกะมือคุณแม่ออกจากแขน ความเจ็บจากการโดนเล็บเจาะนั้นเทียบไม่ได้กับความเจ็บในใจแม้แต่นิดเดียว

          มาริสาแอบลังเล แต่พอปล่อยมือ ลูกชายก็ไม่ได้แสดงอาการก้าวร้าวหรือโดดไปตะปบสิทธิ์แต่อย่างใด เธอจึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากยอมให้อีกฝ่ายไปแต่โดยดี

          “อาขอแสดงความยินดีกับเราทั้งคู่ด้วยนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างไม่ต่างจากคู่สนทนา ไม่คิดว่าจะมีวันที่เห็นเดียร์ตกนรกอย่างที่หวังแบบนี้ ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ เธอไม่เสียเวลาจ้างคนไประรานสิทธิ์กับเดียร์ให้เสียเวลาหรอก

          “ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณอา ถ้าอย่างนั้น พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างเก้ๆกังๆเพราะมีคนนั่งตัก ก่อนจะลุกโดยอุ้มเดียร์ขึ้นมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้อุ้มท่าในฝันของคู่รักแต่อย่างใด แต่แบกเดียร์ขึ้นบ่าอย่างกับแบกเสื่อ แล้วเดินอาดๆออกไปพร้อมกับลูกน้องทั้งสอง สร้างความสงสัยปนขำให้กับคนใช้ในบ้านเป็นอันมาก

          “…หึ…หึๆ…” หลังจากแขกออกไปแล้ว เสียงหัวเราะของเจ้าบ้านก็ดังแผ่วขึ้นมา ไม่มีเรื่องดีเข้ามาในชีวิตจนทำให้เธอเผลอหัวเราะออกมาได้เช่นนี้มานานแล้ว “ศิวะ”

          “ครับ” เจ้าของชื่อ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของมาริสาตอบรับเสียงนิ่ง “ผมจะสั่งให้คนคอยตามดูคุณวินช่วงนี้ครับ”

          “ดี” เธอลุกขึ้นออกจากห้องนั่งเล่น เดินขึ้นไปชั้นสองหมายจะไปพักผ่อน ริมฝีปากสีแสดเหยียดกว้างด้วยความสะใจ “อย่าให้คลาดสายตาเชียว”

          “ครับ” ศิวะตอบรับ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเมื่อมาริสาหายเข้าห้องไปแล้ว

          “เดี๋ยวสิ นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย คุณสิทธิ์…กับคุณเดียร์เนี่ยนะ…แล้วคุณวินแกยอมได้ไงเนี่ย…ว่าแต่เราลืมอะไรไปหรือเปล่านะ” คนใช้ที่ได้ร่วมฟังเรื่องที่เหมือนจะน่ายินดีเอ่ยถามเพื่อนร่วมงานด้วยความสงสัย

          “…ลืมอะไร ก็มีแต่เรื่องที่คุณวินไม่อาละวาดแล้วปล่อยให้คุณสิทธิ์กับคุณเดียร์ยอมคบกันน่ะสิ” คนใช้สาวอีกคนแหวว ลืมเรื่องที่เดียร์เป็นผู้ชายไปเสียสนิท “แปลกไปแล้วนะ ปกติคุณวินแกถีบผู้ชายทุกคนที่เดินข้างคุณเดียร์เลยนี่นา แล้วนี่ยิ่งเป็นคุณสิทธิ์ด้วย”

          “นั่นสิ ฉันว่า แค่บ้านแตกยังน้อยไปด้วยซ้ำ นี่อะไร เงียบกริบ แถมยังไม่ค้านอะไรสักคำ” เสียงหวานเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณศิวะรู้เรื่องอะไรหรือเปล่าคะ….คุณศิวะคะ”

          เจ้าของชื่อเพียงแต่มองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะกลับไปสนใจหน้าจอมือถือของตนเหมือนเดิม “ผมไม่รู้หรอกครับ…บางทีคุณวินเขาอาจจะโมโหจนสติแตกไปแล้วก็ได้…เพราะอย่างนั้นคุณมาริสาถึงได้ใช้ให้ผมหาคนไปตามดูเขายังไงล่ะครับ”

          “เออเนอะ นั่นสินะ คุณวินเวลาโกรธ เขาชอบเงียบมากกว่านี่ ปกติอยู่กับคุณชาแล้วโวยวายตลอด เลยลืมไปเลย” หญิงสาวว่าก่อนจะทำหน้าหมองลง “คุณมาริสากับคุณวินคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ถึงได้ไล่คุณชาให้ไปทำงานไกลๆแบบนั้น บ้านเราดูเหงาไปเลย แถมคุณวินแกยิ่งดูอารมณ์เสียกว่าเดิมด้วย”

          “แกห่วงคุณชาเพราะกลัวคุณวิน หรือแกคิดถึงคุณชากันแน่ยะ” คู่สนทนาเอ่ยจิกอย่างหมั่นไส้ “แต่ก็จริงของแกล่ะนะ คุณชาไม่อยู่แล้วบ้านนี้เครียดเอาเรื่องเลย ถ้ากลับมาได้ก็ดีสิ”

          “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          เหล่าคนใช้ต่างหันไปมองเลขาหนุ่มที่เพิ่งกดมือถือเสร็จ ใบหน้านิ่งเผยยิ้มบางให้ทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้รู้สึกดีใจปนสงสัย

          “เดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็กลับมาครับ”

 

          ชาชะงักเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นในระหว่างที่กำลังนั่งเขี่ยข้าวอยู่ในร้านอาหารข้างทางอย่างเบื่อหน่าย เขามองข้อความที่เข้ามาก็ต้องหน้าบูดเมื่อเห็นชื่อผู้ส่ง

          [ข้อความเข้า]

          [บายดีมะ ว่างทอมะ]

          [จาก:มีมี่ ส่งเมื่อ:วันนี้ เวลา:18.35น.]

          สบายดีบ้านพ่อแก่สิ!

          หนุ่มหน้านิ่งได้แต่ด่าอยู่ในใจก่อนจะกดเบอร์แล้วโทรออก

          “หวัดดีคร้าบคุณชา” เสียงหวานดังอย่างร่าเริงในสาย “เป็นไงบ้าง ไม่อยู่กับพี่วิน เหงาหรือเปล่า”

          อดทนไว้…อดทนไว้…

          “แล้วเรื่องที่ผมขอไป ถึงไหนแล้วครับ”

          “ผมเพิ่งมานี่ได้แค่ไม่กี่วัน จะให้ทำเสร็จได้ยังไงล่ะ นี่เพิ่งจะตรวจไปสองโกดังเอง” ชาพยายามข่มอารมณ์ส่วนตัวลง แต่ก็เก็บไม่อยู่จนเล็ดลอดออกมาทางสีหน้า ทำเอาสาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆที่แอบมองชายหนุ่มอย่างเคลิบเคลิ้มถึงกับหน้าซีดแล้วหันกลับไปกินข้าวต่อทันที “แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติเลยนะ…นี่คุณคิดว่าไอ้หมานินจะวางแผนอ่อนหัดแบบนั้นหรือครับ ผมว่ามันไม่เห็นจะเข้าท่าเลย”

          “มันไม่เข้าท่าหรอกครับ เว้นเสียแต่ว่าพี่วินแกจะหน้ามืดจนหมดหนทางแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นล่ะ อิๆ” เสียงหัวเราะช่วงท้ายนั้นช่างกระตุ้นต่อมซาดิสม์ของชาได้ดีแท้ “เพราะตอนนี้คุณสิทธิ์เขาประกาศตัวอย่างเป็นทางการเรื่องผมกับเขาแล้วล่ะครับ”

          “หา” เสียงทุ้มดังลั่นร้าน ทำเอาคนรอบข้างพากันสะดุ้งเป็นแถบๆ “เดี๋ยวนะ…แล้วคุณวินเขายอมหรือ”

          “ไม่ยอมก็ต้องยอมล่ะครับ คุณแม่มาริสาแกเล่นจิกซะขนาดนั้น…อ๊า…น่าอิจฉาจัง เล็บคุณแม่แกยาวคมน่าหลงใหลเป็นบ้า” เดียร์อดร้องอย่างเสียดายไม่ได้ “เพราะฉะนั้น ยังไงก็เป็นไปตามแผนแน่นอนครับ ที่เหลือก็ต้องให้คุณช่วยตรวจสอบแล้วล่ะ”

          “ครับๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างอ่อนใจ “แค่นี้ใช่ไหมครับ”

          “ครับ…อ้อ อีกเรื่องครับ” เด็กหนุ่มรีบพูดก่อนที่ชาจะวางสาย “เรื่องงาน ผมคิดว่าคุณน่าจะหาใครสักคนมาช่วยก็ดีนะครับ เผื่อไม่ทันการ ใครที่กำลังว่างๆและเชื่อใจได้น่ะครับ”

          “เออ รู้แล้ว”

          “อีกเรื่องครับ” ชาเริ่มเม้มปากเน้น รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจงใจแกล้งเขา “วันนั้นหลังจากที่คุณชาไป ผมโดนพี่วินชกด้วยล่ะ ฟิ้น ฟิน~~”

          ไอ้คุณเดียร์!!! กลับไปเมื่อไหร่ ฉันเอาแกคืนทั้งต้นทั้งดอกแน่!!!

 

          ชานิ่วหน้ามองคนที่ยืนสั่นอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ใหม่ของตนในยามวิกาล แอบรู้สึกผิดหน่อยๆที่เผลอลืมอีกฝ่ายไปเสียสนิท และก็รู้สึกสยองขวัญชอบกล ถ้าไม่เพราะเดียร์พูดเป็นนัยเอาไว้เมื่อครู่นี้ เขาอาจจะคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ…ไม่ได้มาจากแผนของใครบางคน

          “คุณชา เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมงงไปหมดแล้ว ทำไมคุณวินไปเจอคุณชากำลังคุยอยู่กับไอ้เดียร์…แล้วทำไมคุณชาโดนย้ายมาทำงานที่นี่ แล้วไอ้นินทร์ไปกับคุณวินได้ยังไง แล้วคนคุ้มกันคนอื่นๆไปไหน แล้วคุณสิทธิ์กับคุณวินชกกันแบบนี้ไม่แย่หรือครั…”

          “หยุด” คำเดียวสะกดปากที่ระรัวคำถามได้ชะงัก หรือไม่รู้เพราะดรเห็นชากำหมัดอยู่กันแน่ “เดี๋ยวฉันตอบแกแน่ แต่แกตอบฉันมาก่อนว่าแกเจอพิรุธอะไรไอ้นินบ้างหรือเปล่า”

          หนุ่มผิวเข้มออกอาการอีหลักอีเหลื่ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้น “ถ้ากับเดียร์…ก็มีแค่เรื่องที่ผมไม่ได้บอกคุณว่าที่จริง…มีคนของนินที่ตามถ่ายรูปตอนคุณกับคุณวินไปหาเดียร์ที่ร้านน่ะครับ…”

          “เออ เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันคาดโทษแกไว้ก่อน มีเรื่องอื่นอีกไหม…ถ้าดีอาจจะยกโทษให้” ชารีบพูดเมื่อเห็นดรเริ่มสั่นอีกครั้ง

          สีหน้าของดรดูจะไม่สู้ดีนัก “ก็เรื่องที่ลูกน้องของหมอนั่นแอบไปซื้อซีโฟร์มาละมั้งครับ…ตะ…แต่เอาไปทำอะไรหรือที่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเอาไปเยอะเหมือนกัน ทำอย่างกับจะไปทำลายล้างอะไรสักอย่าง”

          ชามุ่นคิ้ว แล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความที่เดียร์เขียนไว้ให้เขาครั้งก่อน

          เอาจริงดิ?

          “งั้นหรือ ขอบใจนายมาก” หนุ่มหน้านิ่งบอกเสียงเครียด “ถ้างั้นขึ้นห้องก่อนละกัน อยากรู้อะไร ฉันจะตอบเท่าที่ตอบได้”

          “อ้อ มีอีกเรื่องครับ” ดรพูดเสียงตื่น ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญมากออก “มันอาจจะแปลกๆหน่อยนะครับ แต่คุณชาจำเรื่องที่บ่อนเราโดนตำรวจเข้ามาจับได้หรือเปล่าครับ”

          ชาเพียงแต่เงียบด้วยความสงสัยที่อีกฝ่ายขุดเรื่องนี้มาพูดถึง

          “คือพอดีผมลองไปคุ้ยของที่ไอ้นินทิ้งดูแล้วเจอกระดาษที่โดนฉีก แล้วพอเอามาเรียง มันเขียนวันกับเวลาแล้วก็ชื่อบ่อนเอาไว้ แล้วมันเป็นเวลากับบ่อนเดียวกับที่โดนตำรวจซิวน่ะครับ”

          “แล้วยังไงล่ะ เราก็รู้อยู่แล้วว่าหมอนั่นเป็นคนเรียกตำรวจไปเองนี่”

          “ไม่ครับ ที่ผมอยากจะพูดคือเวลาต่างหาก จำได้ใช่ไหมครับว่าวันนั้นคุณวินไปบ่อนนั้นด้วย แล้วพอคุณวินไปตำรวจก็เข้ามาพอดี” ดรทวน “แล้วเวลาที่เขียนไว้…มันมีสองเวลาน่ะสิครับ ผมไม่แน่ใจว่ามันมีความหมายอะไรหรือเปล่า คุณลองดูสิครับ ผมจดข้อมูลบนกระดาษนั้นให้แล้ว”

          ชานั่งนิ่งมองกระดาษที่ได้รับมาเพื่อประมวลข้อมูลที่ได้รับอยู่พักใหญ่ และก็เริ่มสะกิดใจขึ้นมา

          “แปลกๆแฮะ…” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความสงสัย “นายแน่ใจนะว่าเขียนแบบนี้”

          “แน่สิครับ ผมเก็บเศษมานั่งเรียงจนครบส่วนเลยนะครับ แล้วก็ตรวจจนแน่ใจแล้วด้วย” หนุ่มผิวเข้มยืนกรานเสียงแข็ง “เพราะอย่างนั้นผมถึงรู้สึกแปลกๆยังไงล่ะครับ”

          ชายังคงจ้องมองกระดาษในมือ ถ้าเป็นอย่างที่เห็นจริง เขากับเดียร์จะต้องพลาดอะไรไปแน่ๆ




รีบมาต่อแล้วข่า ช่วงนี้งานเยอะ รีบได้สุดชีวิตเท่านี้จริงๆ T^T
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 41 (26/10/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 26-10-2014 15:31:42
มาต่อก็ดีแล้วค่ะ แต่ก็ยังค้างงงงง.ง.งอยู่ดีอ่ะ รออ่าน ทูบี คอนตินิ๊ว.ว.ว. o1 อยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 41 (26/10/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-10-2014 16:34:09
เหมือนมีปมอีกแล้วสิ  :ruready
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 41 (26/10/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 26-10-2014 22:20:59
เดาเรื่องไม่ถูกเบยยย @.@
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 41 (26/10/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 14-11-2014 18:30:51
คิดถึงเรื่องนี้จัง กลับมาอ่านใหม่
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-11-2014 01:55:33
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 42
         
          แปลก…

          ก้องนั่งนิ่วหน้าอยู่บนโต๊ะทานอาหาร สายตาก็เอาแต่จ้องมองมือถือที่วางตรงหน้า ในหัวก็คิดไม่ตกถึงสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไป

          ใช่…ตามเรื่องแล้ว การที่สิทธิ์ตีกับวินไม่พอ ยังไปประกาศตัวว่าเป็นคนรักกับเดียร์ ถือเป็นโอกาสเด็ดที่จะยืมมือฆ่าคนแท้ๆ…แล้วในขณะที่ตาสีกับตาสามัวแต่ทะเลาะกัน ไอ้ตาอยู่มันก็ควรจะลอบไปขโมยปลามาสิ

          แต่นี่เดชผู้ซึ่งหาเรื่องสังหารสิทธิ์มาตั้งเกือบสิบปี กลับไม่ทำอะไรเลย แถมยังจะดูไม่สนใจสิทธิ์แล้วด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทั้งหาเรื่องมาให้สิทธิ์เดือดร้อนทางอ้อมเอย ทั้งหาเรื่องฮุบกิจการสิทธิ์มาตลอด

          แล้วมันเกิดอะไรขึ้น

          ‘…ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนเป้าไปทางไอ้วัฒน์เสียเฉยๆเลยล่ะ…ฉันก็ไม่เข้าใจว่ามันนึกยังไงถึงเปลี่ยนใจ สงสัยไอ้วัฒน์มันคงไปเหยียบถูกจุดเจ็บละมั้ง ไอ้เดชมันถึงยอมทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดแบบนี้ไปน่ะ’

          ก้องคิดทวนคำของฉัตร คนร่วมมือในงานนี้กับตน มันก็ดีอยู่หรอก…แต่นั่นมันก็เท่ากับว่าพวกเขาเองก็เสียโอกาสที่จะกำจัดเสี้ยมหนามคาส้นเท้าให้ออกไปเหมือนกันนี่น่ะสิ

          ‘เอาเถอะ ลองว่ามันเล็งไอ้วัฒน์ก็เท่ากับชะตาขาดแล้วล่ะ ฮะๆๆ’

          ก้องก็เห็นด้วยกับอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี

          เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไรจึงเลิกคิดและเดินขึ้นไปชั้นสองหมายจะไปหาเดียร์ โชคดีที่เย็นนี้สิทธิ์กับฤทธิ์ออกไปซื้อของข้างนอก หนุ่มแว่นจึงสามารถคุยเรื่องแผนกับเดียร์ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลถึงหูผีตาสับปะรดที่อาจจะได้ยินแม้เสียงกระซิบ

          “ไงครับพี่ก้อง”

          เจ้าของชื่อเพียงแต่มองหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่แผนราบรื่นแท้ๆ แต่ดูเดียร์จะไม่ค่อยปลาบปลื้มเท่าไหร่นัก

          “อ้อ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่มีเรื่องที่ต้องคิดนิดหน่อย” หนุ่มน้อยรีบเปลี่ยนอารมณ์ ละยิ้มกว้างปล่อยออร่าสว่างไสวจนก้องรู้สึกแสบตา “ไม่ใช่เรื่องที่คุณสิทธิ์เขาทำอยู่หรอกครับ อันนั้นผมชอบ”

          “เหรอ…แล้วคิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ” แม้จะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆอย่างบอกไม่ถูก แต่หนุ่มใหญ่ก็อดอยากรู้ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกดีๆกับสิทธิ์ขึ้นมาสักหน่อยก็ยังดี

          อีกฝ่ายไม่ตอบในทันที เดียร์ก้มหน้างุดทำท่าขัดเขินแลดูน่ารังเกียจในสายตาของก้อง ดวงตากลมช้อนมองก่อนจะหลบหนีเหมือนกำลังอาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกว่าดูน่ารักชวนใจเต้นแต่อย่างใด กลับกัน ก้องรู้สึกอยากจะตบกะโหลกไอ้เด็กบ้านี่ที่เอาแต่กระมิดกระเมี้ยนอยู่นั่นล่ะ…แต่ถ้าทำก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดีสิ

          “คือ…ผมเพิ่งมารู้น่ะครับ…” พูดแค่นั้นก็กลับไปบิดไปบิดมากวนประสาทคนมอง “ว่าความจริงแล้วผมกับพี่ก้องเราเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันมานานน่ะครับ”

          “หา จะบ้าเรอะ” ก้องถึงกับตะโกนลั่นบ้าน “ฉันจำไม่ได้ว่าเคยมีน้องอย่างแกเฟ้ย!”

          “แล้วถ้าเป็นจริงๆล่ะครับ”

          จากที่กำลังจะตั้งท่าด่าอย่างลืมตัว หนุ่มแว่นถึงกับชะงักเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของเดียร์ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กับแน่ และทั้งที่ไม่เชื่อเรื่องเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียแล้ว

          “ว่าไงล่ะครับ ถ้าเกิดผมกับพี่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ…ถึงจะแค่ครึ่งเดียว พี่คิดว่าไงล่ะครับ” เด็กหนุ่มทวงถามซ้ำ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้จนก้องรู้สึกขนลุกตงิดๆ “รู้สึกยังไงบ้างล่ะครับ”

          เขาไม่ได้ตอบ เพียงแต่ทำหน้าสะพรึงสุดๆเท่าที่เขาจะทำได้ให้แทน

          “ฮะๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนะ” เดียร์หัวเราะลั่นก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย “ถ้าเป็นผม ก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

          “เดี๋ยวสิ แกถามไปทำไม…มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม” ก้องท้วงเพราะอดสงสัยไม่ได้

          “เปล่าครับ ผมแค่สมมติ” ได้ฟังคำตอบ หนุ่มแว่นถึงกับโล่งอก “พอดีผมแค่อยากรู้ถึงความรู้สึกเวลาพี่ต้องรู้เรื่องหลุดโลกน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”

          “…งั้นหรือ…” หนุ่มแว่นเริ่มเอะใจ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงติดตื่นเต้น “จะว่าไป พักนี้คุณสิทธิ์ทำรุนแรงกับแกมากไหม”

          แทนที่เดียร์จะยิ้มแป้นให้อย่างที่คิด สีหน้าของหนุ่มน้อยกับเอ่อไปด้วยความกังวลปนสงสัยแทน

          “จริงๆก็ใช่ว่าจะไม่ดีอะไรหรอกนะครับ ผมว่าดีออก แปลกใหม่ดีด้วย” เด็กหนุ่มตอบตามตรง “แต่ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างนี่สิ”

          ก้องหูผึ่งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

          “คือถ้าโดนแบบนี้ ผมต้องดีใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิครับ” เดียร์เริ่มสาธยาย “มันรู้สึกขุ่นๆในใจบอกไม่ถูกน่ะครับ เหมือนชวนหงุดหงิดว้าวุ่นยังไงก็ไม่รู้”

          ฟังแล้วเขาไม่แน่ใจว่าควรจะออกความเห็นอย่างไรดีเลยทีเดียว

          “แต่ก็คงจะเพราะเขาแสดงความรักออกมาด้วยมั้งครับ ผมเลยรู้สึกขยะแขยงร่วมด้วย ฮะๆๆ” เสียงหวานเอ่ยต่ออย่างทีเล่นทีจริง หากแต่คนฟังกลับรู้สึกหดหู่ “เดี๋ยวสักพักก็คงจะชินเองล่ะ”

          “เหรอ…งั้นเหรอ…” ก้องรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แอบสงสารสิทธิ์จับใจที่ไปหลงรักไอ้เด็กบ้านี่

          “เออ ว่าแต่พี่มาหาผมทำไมหรือครับ”

          หนุ่มแว่นมองอีกฝ่ายอย่างลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ถาม “นายแน่ใจนะว่า มันจะเป็นไปตามที่นายบอก”

          “แหม ถ้าเมื่อวานผมคงบอกว่าครึ่งๆ แต่วันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มร้อยเลยครับ อย่ากังวลไปเลย” เดียร์ถึงกับหัวเราะลั่น “เออ ว่าแต่ เย็นพรุ่งนี้ พี่ว่าคุณสิทธิ์เขาจะเลือกอะไรระหว่าง ชุดราตรีเกาะอกสีชมพู หรือชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่มีโบติดเอวล่ะครับ”

          ก้องรู้สึกเหมือนหน้ามืดไปวูบหนึ่ง “…ฉันว่าไม่ใช่ทั้งคู่ น่าจะเป็นเดรสมินิสเกิร์ตสีฟ้าอ่อนมากกว่า”

          “ถ้างั้น ใครแพ้ต้องตบหัวอีกฝ่ายนะครับ”

 

          ก้องหาวหวอดมองภาพตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย หลายวันมานี้ สิทธิ์เอาแต่ลากเดียร์ไปประกาศตัวทุกงานเท่าที่สามารถไปได้ เล่นเอาคนส่วนใหญ่ต่างพากันตะลึงกันถ้วนหน้า…ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาอึ้ง ไม่ใช่เรื่องที่สิทธิ์คบกับผู้ชาย แต่เป็นเรื่องที่สิทธิ์คบกับน้องชายของคนที่ไม่ถูกชะตาที่สุดนั่นต่างหาก

          แต่ก้องก็ไม่ได้แปลกใจที่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเดียร์นัก แน่ล่ะ นอกจากรูปกายภายนอกที่ชวนให้เข้าใจผิดเป็นทุนเดิม ทั้งยังใส่ชุดของผู้หญิงเดินฉุยฉายเสียขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ไม่คิดว่าเป็นผู้ชายหรอก

          หนุ่มแว่นสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อมีคนมายืนพิงกำแพงอยู่ข้างตัว แต่พอเห็นว่าเป็นหนุ่มในคราบสาวน้อย เขาก็หันกลับไปมองเจ้านายที่กำลังคุยฟุ้งกับคนอื่นอยู่

          “คุณสิทธิ์นี่เขากว้างขวางดีนะครับ เห็นวันๆเอาแต่อยู่บ้าน นึกว่าเป็นพวกไร้เพื่อนเสียอีก” เดียร์เอ่ยพลางถอนหายใจ “นี่ผมต้องทำความรู้จักจนจำได้ไม่หมดแล้วว่าที่ผ่านมามีใครบ้างเนี่ย”

          “ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของคุณสิทธิ์น่ะ แต่ถ้าอายุมากหน่อยก็เป็นคู่ค้า” ก้องบอกเสียงเนือย “…ว่าแต่ แกดูชินกับเสื้อผ้าพวกนี้จังเลยนะ”

          เขาไม่เถียงเรื่องที่อีกฝ่ายเข้ากับชุดราตรีสีชมพูนี่ แต่เดียร์เองก็ดูจะชินและเฉยกับการใส่ชุดผู้หญิงมากเสียจนน่าแปลก

          “ก็เคยใส่แนวๆนี้ตอนทำงานน่ะครับ เวลาทางร้านจัดโปรโมชั่น ใส่ชุดผู้หญิงพลิ้วๆแล้วมันขายของได้เยอะกว่า” เดียร์ว่าก่อนจะหมุนมองไปรอบๆ “แต่เอาจริงๆผมไม่ถนัดใส่ส้นสูงหรอกครับ แค่ชอบใส่เพราะมันทำให้ปวดขาดี”

          “งั้นแผนที่คุณสิทธิ์จะให้นายอายที่ต้องใส่ชุดแบบนี้ก็เหลวล่ะสิ”

          แต่แทนที่เดียร์จะตอบรับเสียงใสอย่างที่คิด ใบหน้าหวานกลับดูจะอึดอัดและเขินอายอย่างที่ไม่น่าจะเป็น

          “เอาจริงๆ ผมเฉยๆนะครับ เพราะใส่บ่อยจนชิน” ไม่ว่าเปล่ามีหันมองไปมาราวกับไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาเท่าไหร่นัก “แต่คุณสิทธิ์เขาสามารถทำให้ผมกระอักกระอ่วนกับเรื่องธรรมดาได้นี่น่ะสิ”

          ฟังแล้วนึกอยากรู้ขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถาม คนที่โดนนินทาก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มจนแม้แต่ก้องยังรู้สึกขนลุก เหมือนกับชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เจ้านายที่เขาเคยรู้จักยังไงชอบกล

          “อะไรกัน มาหลบอยู่ตรงนี้เองหรือที่รัก” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอย่างร่าเริง มือหนาคว้าเข้าหาเอวบางแล้วดึงร่างเล็กเข้ามาแนบชิดติดข้างตัว “หายหน้าไปแค่สองนาที ฉันล่ะคิดถึงเธอใจจะขาด”

          ฟังแล้วควรจะรู้สึกน้ำเน่าจนอยากอ้วกแท้ๆ แต่ชาวมาโซฯนั้นสัมผัสถึงน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนอยากจะขย้ำขยี้เหยื่อเสียมากกว่าคิดถึงคนรัก

          และทั้งที่กำลังป้อยอคำหวาน แต่มือที่กอดเอวบางกลับบีบแรงเสียจนเดียร์รู้สึกอึดอัด

          ก้องเผลอมองตาโต เพราะคุณเจ้านายแกไม่ได้แค่โอบเอว แต่ยังเลื่อนมือซุกไซ้ไล่เรียงไปยังจุดที่ไม่สมควรจะไปในที่สาธารณะเช่นนี้…เขารู้ว่าสิทธิ์ไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็ไม่ใช่คนหน้าหนาที่จะกล้าทำเรื่องแบบนี้ให้ใครต่อใครเห็น

          “ไม่นะ คุณจะทำอะไรน่ะ” เสียงหวานกระซิบใส่อย่างตื่นตระหนก สีหน้าของเด็กหนุ่มดูจะตกใจอย่างที่เห็น เดียร์พยายามปัดมือเจ้ากรรมที่คอยลูบสะโพกตนไปมาไม่ยอมหยุด

          “นิดๆหน่อยๆเอง จะหวงไปทำไม มากกว่านี้ก็ทำไปแล้วนี่นา” สิทธิ์พูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดีเมื่อเดียร์พยายามขืนหนีสุดตัว “ทำเป็นไม่อยาก แต่หน้าแดงเชียวนะ”

          ซึ่งก้องรู้สึกโชคดีมากที่สิทธิ์เลือกเสื้อผ้าที่พองฟูให้เดียร์ ไม่อย่างนั้น เขาและประชาชีในที่นี้คงจะเห็นสิ่งระคายตาเป็นแน่

          “อย่ามโนไปหน่อยเลย นึกว่าผมจะเป็นเหมือนคุณหรือไง” เสียงหวานที่ดังอย่างแผ่วเบาสั่นระริก “ที่ผมยอมทำแบบนี้ก็เพื่อพี่น้อยหรอกนะ”

          “เหรอ” สิทธิ์ตอบเสียงเยาะ ก่อนจะจับต้นแขนบางของอีกฝ่าย “เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเอาแต่ยืนเฉย ตามฉันมา ฉันมีคนจะให้รู้จัก”

          ว่าแล้วก็ลากเด็กหนุ่มออกไปจากตรงนั้นโดยไม่รอคำตอบทันที

          “อ้าว ว่าไงสิทธิ์ แปลกนะที่มางานฉันได้เนี่ย” ชายวัยกลางคนที่พ่อหมียักษ์เดินเข้าไปหา เอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ “อ้าว แล้วคุณวัฒน์ไม่ได้มาด้วยหรือ”

          “อ้อ พอดีอาวัฒน์เขายุ่งอยู่น่ะครับ” สิทธิ์ยิ้มรับจนไม่เหลือเค้าพ่อหมีจอมเผด็จการให้เห็นแม้แต่น้อย “อ้อ ผมมีคนจะแนะนำให้คุณสัญรู้จัก นี่เดียร์ว่าที่ภรรยาของผมเองครับ”

          ไม่ว่าเปล่ามีตบก้นเหมือนจงใจ เล่นเอาเดียร์เผลอค้อนมองสิทธิ์อย่างไม่ต้องแอ๊บ

          “เดียร์…ใช่น้องของวินหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนทวนถามอย่างสงสัยปนหวาดหวั่น “เดี๋ยวสิ เรื่องจริงหรือ”

          “แหม จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ” สิทธิ์ยิ้มกว้างเข้าไปทุกที จนเดียร์เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายดูลนลานกว่าปกติ แถมยังจงใจเสียงดังกว่าทุกทีด้วย

          อยู่ๆคู่สนทนาก็หันไปหันมาทั่วงานเหมือนมองหาใครอยู่อย่างหวาดระแวง ก่อนจะกลับมามองสิทธิ์และเดียร์อีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่เหมือนเห็นสิ่งประหลาดตรงหน้า

          “แล้วเจ้าวินมันไม่ว่าอะไรรึ” สัญว่าพลางจ้องมองเดียร์ไม่วางตา

          “ไม่ว่าหรอกคร้าบ ออกจะยินยอม ขนาดคุณมาริสายังรอให้ผมแจกการ์ดให้เล้ย”

          เดียร์รู้สึกร้อนๆที่หน้า สาเหตุไม่ใช่เพราะการที่สิทธิ์พูดเรื่องเป็นไปไม่ได้และชวนน่าอายออกสื่อ แต่เพราะคุณลุงตรงหน้าจ้องเขาเหมือนกับกำลังจะมองทะลุให้ได้นี่แหละที่แปลก…แถมเขายังสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เข้ากับตัวเองจากอีกฝ่ายด้วย

          “งั้นหรือ ถ้าเธอชอบแบบนี้ฉันก็ยินดีด้วยละกัน” คราวนี้หนุ่มใหญ่ยิ้มกริ่ม “ไม่คิดเลยนะ ว่าคนที่คบกับผู้หญิงมาตลอดอย่างเธอจะมาคบผู้ชายแบบนี้ได้น่ะ”

          ทีแรกเด็กหนุ่มนึกว่าสิทธิ์จะตกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเดียร์มีดุ้น แต่สีหน้าของหมียักษ์กลับดูปกติเสียน่าแปลก

          “ทำไงได้ล่ะครับ ก็มันรักไปแล้วนี่นา” ไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่สีหน้าดูระรื่นเขินอายแปลกๆ และไม่วายยังหาเรื่องลวนลามเด็กหนุ่มแบบไม่เกรงใจฟ้าดินอีก เล่นเอาเดียร์ได้แต่ทำหน้าตื่น เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะขัดขืน หรือต้องทนยอมให้สมกับที่โดนบังคับ…หรือเพราะรู้สึกฟินกับความอับอายจนไม่อยากจะขัดขืนกันแน่ “เอ้อ ว่าแต่ ป่านนี้แล้ว แขกยังมาไม่ครบอีกนะครับ แย่จริงๆ สายป่านนี้แล้วแท้ๆ”

          ก่อนที่เดียร์จะได้สงสัย บรรยากาศภายในงานที่กำลังคึกคักพลันมลายหายไปจนทั้งห้องเงียบกริบประดุจอยู่ในป่าช้าแทบจะทันที และพอหันไปมองทางเข้างานก็ได้ความกระจ่างทันที

          ร่างสูงของหนุ่มแว่นยืนหน้านิ่ง ดวงตาคมที่จ้องมองมาทางตนดูประหลาดใจปนขุ่นแค้น ช่อดอกกุหลาบสีแดงที่ห่อเอาไว้อย่างสวยงามบี้บุบไปตามแรงบีบ และในที่สุดก็แหลกคามือ เมื่อผู้ติดตามจอมยุเอ่ยประโยคไม้ตายออกมาเป่าหูวิน

          “จับคุณเดียร์ใส่ชุดน่าอายแบบนั้นยังไม่พอ ยังกล้าพาออกมาแบบนี้อีกนะครับ”

          ถึงใครต่อใครจะเห็นเขาเป็นผู้หญิงยังไงก็เถอะ แต่พี่ชายคนนี้ไม่เคยเห็นเขาเป็นผู้หญิงสักครั้งเลยนี่นา เพราะอย่างนั้น ทำแบบนี้มันก็เหมือนหยามหน้าทั้งเดียร์และวินชัดๆ!


_____________________________________
          พอดีไปรีไรท์นิยายจะส่งสนพ.มา เลยหายไปยาวเลย =3= จากนี้กลับมาปั่นเหมือนเดิมแล้วก๊าบ (ถ้าไม่ติดเรื่องตันนะ ;_;)
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-11-2014 02:02:46
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 43
         
          ก้องมองเจ้านายกับคู่กรณีอยู่ไกลๆ เขาไม่แปลกใจที่คนอื่นๆจะรู้สึกหวาดวิตกกันนัก ในเมื่อเดิมทีสิทธิ์กับวินก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ที่ประหลาดเสียกว่าคือการที่ทั้งสองไม่เคยมีเรื่องถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาก่อนนี่แหละที่แปลก

          วินเพียงแต่ยืนนิ่ง ในขณะที่สิทธิ์เองก็เหมือนกัน ผิดไปหน่อยตรงที่ว่าพ่อหมียักษ์ดึงเดียร์เข้ามาข้างตัวเหมือนกลัวจะโดนแย่งยังไงยังงั้น และนั่นยิ่งทำให้เส้นเลือดตรงขมับของวินปูดขึ้นมาจนน่ากลัวว่าอาจจะแตกออกมาได้ทุกขณะ

          “เอ้อ…วิน เป็นไงบ้างล่ะ สบายดีไหม” เจ้าของงานรีบแทรกกลางเพราะกลัวระเบิดจะลงกลางงานตน แต่ไปๆมาๆเหมือนจะไปจุดชนวนเสียมากกว่า

          “…ไม่ดีครับ” สีหน้าของหนุ่มแว่นบ่งบอกกว่าโกรธสุดๆ แต่กระนั้นก็ยังคงรักษาน้ำเสียงให้เรียบนิ่งไว้ได้ ดวงตาคมเลื่อนมองคนที่สุดแสนจะรังเกียจ ก่อนจะมองน้องชายที่เอาแต่ก้มหน้างุดหนี “ไม่ดีมากๆเลยครับ…”

          “อ๊ะ งั้นหรือ ลำบากมางานฉันทั้งที่อาการไม่ดี แบบนี้แย่เลยนะ จะไปพักผ่อนก่อนไหม…”

          “ไม่ครับ ไหนๆก็มาแล้ว” วินตอบโดยไม่มองคู่สนทนาเพราะสายตามัวแต่จดจ่ออยู่กับภาพบาดตาบาดใจ “ผมไม่หนี แล้วก็ไม่แอบลอบกัดลับหลังเหมือนหมาบางตัวหรอกครับ”

          “แหม นี่พูดเตือนตัวเองอยู่หรือครับ คุณวิน” สิทธิ์เยาะเสียงสูงปรี๊ด ก่อนจะหันไปหาเดียร์ “เราออกจะรักกันเปิดเผย เนอะ”

          ก้องที่ฟังอยู่ไกลๆได้แต่ถอนหายใจ…ก็ลองนึกถึงตอนที่คุณเจ้านายแกหนีหัวซุกหัวซุนในร้านดอกไม้แล้วมันรู้สึกสมเพชขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกนี่นา

          วินไม่ได้ตีฝีปากต่ออย่างที่น่าจะเป็น ดวงตาคมเพียงแต่จ้อง…จ้องจนสิทธิ์ชักรู้สึกเจ็บๆเหมือนมีอะไรมาจิ้มผิวหนัง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากจ้องตากันร่วมสิบนาที วินก็เป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน โดยไม่พูดอะไรสักคำ

          “…นี่คงไม่แย่ไปกว่านี้ใช่ไหม” เจ้าของงานถามอย่างไม่แน่ใจทันทีที่วินหายไปจากประตูทางเข้างาน “ไอ้เรื่องงานก็เรื่องนึง แต่ในฐานะที่ฉันรู้จักพวกเธอทั้งคู่มาตั้งแต่พวกเธอยังเด็ก ฉันไม่อยากให้เธอสองคนต้องมานองเลือดกันนะ ไหนจะพ่อของพวกเธออีก ถ้ามารู้เข้าคงกลุ้มน่าดู”

          “…คุณสัญไม่ต้องนึกถึงพ่อผมหรือพ่อหมอนั่นหรอกครับ สองคนนั้นเขาโยนงานเสร็จก็ไม่มารับรู้เรื่องหนักหัวพวกนี้แล้วล่ะ” สิทธิ์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะกลับมายิ้มแฉ่ง “ว่าแล้วเราก็เลิกคุยเรื่องหนักหัว แล้วมาสนุกกับงานดีกว่านะครับ…ดูสิครับ แขกคนอื่นๆเขาหวาดวิตกกันใหญ่แล้ว”

          ได้ยินดังนั้น ชายวัยกลางคนถึงรู้สึกตัว ว่าแขกแต่ละคนกำลังออกอาการเหมือนมีโจรมาปล้นในงาน

          “เอ้อ ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ แค่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นล่ะ” ซึ่งโชคดีที่วินออกไปแล้ว จึงทำให้คนฟังพากันวางใจ แม้จะยังไม่สนิทดีนักก็ตาม แต่เพราะต่างก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศกันนัก จึงพยายามลืมเรื่องเมื่อครู่และกลับมาครื้นเครงกันต่อทันที

          “สมใจคุณแล้วล่ะสิ…” เสียงหวานดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นระริกหลังจากที่เหลือกันแค่สองคน “นี่ใช่ไหมที่คุณต้องการ”

          คนฟังผงะเล็กน้อย ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบนิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงตอบกลับไปอย่างง่ายดายแท้ๆ…และแม้จะตั้งใจให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่มันไม่ใช่แบบนี้เลย…ไม่ใช่สักนิด

          เดียร์แปลกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าหมียักษ์น่าจะกระซิบตอบรับด้วยน้ำเสียงสะใจมา แต่ดูท่าเขาจะเผลอไปกระตุกต่อมคนดีของสิทธิ์เข้าให้อีกแล้ว…ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกหรอก

          “หึ แต่แค่นี้ อย่าคิดว่าจะทำอะไรพี่วินได้นะ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้สักหน่อย”

          จากที่กำลังคิดมาก ถึงกับเลิกคิดทันที

          “โถที่รัก นึกว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้หรือไงจ้ะ” อยู่ๆก็สวมวิญญาณคาสโนวาใส่เฉย เล่นเอาเดียร์ถึงกับหน้าเหวอใส่ “นี่น่ะ มันแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ฉันเตรียมของขวัญชุดใหญ่ไว้รอมันแล้ว รับรอง ถึงใจทั้งเธอและมันแน่”

          ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดียร์คงนึกหัวเราะอยู่ในใจว่า คนใจอ่อนหัดอย่างสิทธิ์จะทำอะไรได้ บวกกับนึกอยากอ้วกกับท่าทีหวานจ๋อยนั่นแน่ๆ แต่ตอนนี้ นอกจากคำพูดของชายหนุ่มจะฟังดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเป็นที่สุด เขาเองกลับไม่รู้สึกว่าท่าทีเหมือนหนุ่มเจ้าชู้นั่น จะชวนพะอืดพะอมอย่างที่มักเป็น แถมยังรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆจนมองนานๆไม่ได้ด้วย

          ก็คงเพราะคำพูดที่แฝงคำขู่นั่นล่ะ ถึงทำให้เรารู้สึกแปลกๆ…

 

          “คุณวิน…เหวอ!”

          ธานินทร์เผลอร้องออกมา เพราะคิดว่าหนุ่มแว่นน่าจะระเบิดความโกรธออกมาหลังจากกลับมาถึงบ้าน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือทรุดลงนอนกับพื้นห้องนอนเสียดื้อๆแทน

          “ฉันอยากตาย…” เสียงเหมือนคนตายดังออกมาจากลำคออย่างเบาหวิว จนน่ากลัวว่าวินจะตายจริงๆ “ชีวิตฉันจบสิ้นทุกอย่างแล้ว…ฉันทำอะไรไอ้บ้านั่นไม่ได้แล้ว ถ้าต้องมีชีวิตอยู่โดยโดนมันหัวเราะใส่แบบนี้ ฉันตายดีกว่า…”

          “เดี๋ยวสิครับ จะตัดใจเร็วไปแล้วนะ…แล้วก็อย่าตายเพราะเรื่องพรรค์นั้นสิครับ แค่นี้เอง ทีกับศัตรูคนอื่นเองเขาก็ทำแบบนั้นกับคุณไม่ใช่หรือ"

          “แต่ไม่ใช่มัน” วินเอ่ยเสียงขุ่นอีกครั้ง “แค่มันเท่านั้นที่ฉันทนไม่ได้…อยากตาย…”

          ธานินทร์ทำหน้าละหน่ายมองเจ้านายที่นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ และพยายามดึงร่างที่ใหญ่กว่าตัวเองขึ้นมา

          “อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ ลืมที่ผมบอกไปแล้วหรือยังไงกัน” หนุ่มตาตกว่า พยายามดึงอีกฝ่ายสุดแรง แต่ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่าสุดๆ “ตัดใจตอนนี้ยังเร็วไปนะครับ”

          วินเลื่อนสายตามองคนที่กำลังหน้าดำหน้าแดงกับการดึงเขาให้ลุกขึ้นมา “ผมไม่คิดว่าทำแบบนั้นมันจะได้ผล…แล้วผมก็ไม่อยากจะไปก้าวก่ายกับความสุขของเดียร์…ถ้าทำอีกต้องโดนเกลียดแน่ๆ…ผมไม่อยากโดนเดียร์เกลียดไปมากกว่านี้…”

          “โธ่ อย่าเพิ่งยอมแพ้สิครับ คุณจะปล่อยให้คุณเดียร์หลงผิดแบบนี้ไม่ได้นะครับ นี่มันเท่ากับปล่อยให้เดียร์ตกนรกทั้งเป็นไปตลอดชีวิตเลยนะครับ คุณก็รู้นี่ครับว่าสิทธิ์ไม่ได้รักคุณเดียร์จริงๆสักหน่อย”

          “แต่…”

          “ถ้าเขารู้ความจริง เดียร์ก็จะเข้าใจและไม่เกลียดคุณแน่ เชื่อผมเถอะ” ธานินทร์กล่อมสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตาม “เชื่อผมแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

          หนุ่มตาตกถึงกับยิ้มกว้างเมื่อวินลุกขึ้นมา แม้จะแค่นั่งก็ตาม

          “…แต่…มันจะได้ผลจริงๆหรือ…ฉันว่าแผนที่พี่บอกมันพิลึกออกจะตาย มันไม่ใช่ละครหรือนิยายนะ แถมถ้าทำจริง ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายแย่เอาหรือไง”

          “ก็ไม่ใช่ละครไงล่ะครับ เพราะงั้นก็อย่าไปเชื่อว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนั้นสิครับ ความเป็นจริงมันกลับกันต่างหาก” ธานินทร์หัวเราะพลางยักไหล่ให้ “เชื่อผมเถอะครับ ถ้าทำแบบนี้รับรองว่าสิทธิ์จะต้องเผยธาตุแท้ออกมา แล้วนั่นก็จะทำให้เดียร์ตาสว่างด้วยตัวเองไง”

          ดูวินจะยังไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่สายตาที่เป็นประกายของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาอดเชื่อไม่ได้…และลึกๆเองเขาก็อยากจะเชื่อแบบนั้นด้วย

          ไอ้เรื่องต้องดองกับหัวขนุนนั่น ให้ตายอีกสามชาติก็ไม่เอาด้วยหรอก!

          “เอาเป็นว่าช่วงนี้คุณไม่ต้องฝืนคิดถึงเรื่องนี้นักหรอกครับ พยายามพักผ่อนให้มากๆไว้ดีกว่า ไหนจะเรื่องงาน เดี๋ยวเรื่องนี้อีก ร่างกายมันจะแย่เอานะ”

          ว่าจบก็ขอตัวออกจากห้องไป ปล่อยให้เจ้าของห้องอยู่เพียงคนเดียว

          วินถอนหายใจออกมา ถึงจะบอกให้วางใจอย่างไรก็เถอะ แต่เจอแบบนี้ใครจะนอนสบายลงได้กัน

          “บ้าจริง เพราะแกนั่นล่ะไอ้ชา…”

          เสียงทุ้มเงียบลงในห้องที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้มีตนเพียงคนเดียวในห้อง

          หนุ่มแว่นเม้มปากแน่น ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ที่กำลังโกรธอยู่ในใจเป็นเพราะเรื่องสิทธิ์ หรือเพราะชา…อีกทั้งความรู้สึกแปลกๆที่เจ็บในอกนี่อีก…

          “เชอะ”

 

          “…ท่าทางมีความสุขมากเลยนะครับ…”

          หลังจากกลับมาถึงบ้าน และเดียร์ก็รีบหนีขึ้นห้องไป ก้องจึงเอ่ยถามเจ้านายออกมา ตามประสาลูกน้องที่เป็นห่วงกลัวระเบิดลง

          “แน่ล่ะครับ สุขใดหาเทียมไม่” สิทธิ์เอ่ยหน้าบาน “ได้แก้แค้นไอ้แว่นหอกหักนั่นอย่างที่รอไว้…ถึงใจจริงผมอยากจะละเลงเลือดมันออกมาก็เถอะ แต่ทำไงได้ ทั้งอาวัฒน์ทั้งไอ้เนมันก็ดันไม่ยอมให้มีเรื่องท่าเดียว ผมถึงต้องทำแบบนี้ไง สะใจว้อย!!”

          ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งก้องและฤทธิ์ รวมถึงลูกน้องทุกคนรู้สึกดีเป็นที่สุด แม้ถ้าเป็นคำสั่ง พวกเขาจะไม่ขัดก็จริง แต่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากจะก่อสงครามกับวินนักหรอก

          “แถมที่สำคัญคือ ผมได้เห็นเดียร์ในชุดน่ารักๆด้วย แค่นี้ก็ใช้ชีวิตคุ้มแล้วล่ะครับ”

          อย่าใช้ชีวิตเสียเปล่าแบบนั้นสิครับ…

          “แล้วคุณสิทธิ์ไม่คิดว่าคุณวินเขาจะเล่นงานคุณบ้างหรือครับ” คราวนี้ฤทธิ์เป็นฝ่ายถามบ้าง “ผมกลัวว่าฝั่งโน้น เขาจะห้ามคุณวินไม่อยู่ แล้วจะมาถล่มเรานะครับ”

          “ให้มันมาจริงๆเหอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้ามันคิดว่าน้องชายมันไม่สำคัญแล้วน่ะนะ เฮอะๆ”

          “แล้วจากนี้ไปจะเอายังไงต่อละครับ จบเรื่องแล้วนี่” ฤทธิ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแปลกๆที่ทำเอาหนุ่มแว่นรู้สึกได้ถึงความคาดหวังบางอย่างที่ตนไม่พึงประสงค์เท่าใดนัก

          “แหม ของแบบนี้มันก็รู้ๆกันอยู่นะครับ” อยู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลง แต่ก้องรู้สึกขนลุกสุดใจ “จบเรื่องแล้วก็ถึงเวลาจัดการกับเรื่องสำคัญจริงๆสักทีไงล่ะครับ…เออ พี่ว่าไหนๆ อาทิตย์นี้ก็มีวันหยุดยาวๆตั้งสามวัน พี่ว่าผมพาเดียร์ไปเที่ยวแบบไหนดี เอาแบบแค่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานที่คนวัยทำงานจะชวนแฟนไปเที่ยวสักหน่อย ที่แบบเห็นแล้วต้องผิดหวังจนเผลอบ่นออกมา แต่ยังสามารถหาจุดหวานชื่นไปในตัวได้ด้วยน่ะครับ”

          เดี๋ยวนะ ได้ข่าวว่าจุดประสงค์ในทีแรกมันไม่ใช่เรื่องนั้นไม่ใช่เร้อ!!!! แล้วไอ้คำขอนั่นมันอะไรก๊าน นี่คือคุณกลายเป็นพวกซาดิสม์ทั้งตัวและหัวใจแล้วใช่มั้ย ถึงได้คิดที่เที่ยวได้โดนใจชาวมาโซแบบนั้นน่ะ ฮึ่ย~~
         
          “ก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะครับ…” ฤทธิ์บอก ดูจะลังเลเล็กน้อย “อย่าว่าโง้นงี้เลยนะครับ คุณสิทธิ์จริงจังกับเดียร์แค่ไหนหรือครับ”

          สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังจนน่ากลัว และคำตอบก็น่ากลัวยิ่งกว่า แม้ฤทธิ์จะดูดีใจกับคำตอบเสียมากกว่า

          “ก็ถ้าทำได้คงแต่งงานไปแล้วมั้ง” สีหน้าคนพูดดูจะชื่นมื่นเสียเต็มประดา จนก้องไม่กล้าจะเรียกสติ “ถึงจะต้องมีพี่เมียเป็นไอ้แว่นนั่น แต่เอาเถอะ ผมจะหลับตาเรียกมันว่าพี่ละกัน ถ้ามันอยากให้เรียกน่ะนะ”

          ซึ่งลูกน้องทั้งคู่เชื่อสนิทใจเลยว่า วินไม่มีทางอยากแน่นอน

          “…ถ้าขนาดนั้นแล้วล่ะก็ ผมว่าคุณสิทธิ์คงต้องรีบๆดองกับเดียร์ให้ไวหน่อยล่ะครับ” ฤทธิ์หัวเราะเสียงแห้ง นึกภาพวินกับสิทธิ์ญาติดีกันไม่ค่อยจะออกเอาเสียเลย “ตอนนี้ก็เหลือแค่ทำให้เดียร์ติดใจและมีรสนิยมชมชอบรับกับคุณก็เท่านั้น ที่เหลือก็ผ่านหมดแล้วล่ะ”

          หนุ่มแว่นอยากจะแย้งเหลือเกิน ว่าไอ้ที่เหลือน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นเล้ย

          “…เอาเป็นว่า เราไปวางแผนกันสองต่อสองดีกว่า เดี๋ยวก้องรู้แล้วไม่เซอร์ไพรซ์” ก้องชักงงๆว่าตกลงใครกันแน่ที่จะไปเดท “ไปที่ห้องนอนผมละกันครับ”

          “เดี๋ยวสิ ไหงต้องที่ห้องนอนฟะ…โอ๊ย” ก้องค้านทันควัน และก็โดนสวนทันควัน

          “ทำไงได้ล่ะ ไปห้องคุณสิทธิ์เดี๋ยวเผื่อเดียร์ออกมาฟังก็เสียแผนพอดีสิ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณสิทธิ์สักหน่อยน่า ไม่ต้องหึงนักหรอก ฉันรำคาญ” ปากก็บอกแบบนั้น แต่สีหน้าระรื่นจนก้องไม่แน่ใจว่าฤทธิ์ดีใจเพราะโดนหึง หรืออะไรกันแน่ “เอาเป็นว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับ ผมอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

          ว่าแล้วก็รีบลากเจ้านายหนีเข้าห้องทันที ก้องได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดสองแง่สามง่ามนั่นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพิงกำแพงแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นึกไม่ออกเลยว่าแฟนตัวเองคิดจะทำอะไรกันแน่

          เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา บวกกับว่าง ก้องจึงเดินขึ้นไปที่ห้องของเดียร์ หวังจะแอบดูว่าเจ้าเด็กมาโซฯนั่นกำลังวางแผนอะไรอยู่ต่อ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้แน่ๆว่าสิทธิ์คิดจะทำอะไร เพราะฉะนั้นเลยไปดูเป็นแนวทางเพื่อรับมือเอาไว้ท่าจะดีกว่า

          แต่ท่าทางเขาคิดผิด

          ก้องนิ่วหน้ามองช่องประตูที่แอบเปิดแง้มออก เดียร์ไม่ได้ฮัมเพลงอยู่บนเตียงพลางยิ้มอยู่คนเดียวอย่างทุกที แต่กำลังนั่งอยู่ขอบเตียงแล้วนิ่วหน้ากอดหมอนนอนอย่างกับคนคิดไม่ตกเสียนี่ พอนั่งไปสักพักอยู่ๆก็หน้าแดงแล้วกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นอย่างกับคนบ้าอีก เล่นเอาก้องทั้งประหลาดใจทั้งสยองขวัญไปตามๆกัน

          เดี๋ยวสิ…

          หนุ่มใหญ่ไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเองนัก แม้ที่จริงมันก็ดูจะชัดเจนอยู่ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเดียร์ เขาเลยไม่อยากจะเชื่ออย่างสนิทใจนักว่าทุกอย่างที่เห็นจะเป็นอย่างที่คิด

          แต่ถ้าเป็นแบบนั้นได้จริงนี่ เขาก็คงยิ้มออก


_________________________

          ปั่นแปะแทนกับที่หายไปนาน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 26-11-2014 21:04:09
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด  มาเเล้วหราาาา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 26-11-2014 21:58:06
555+เดียร์เอ๋ย คุณสิทธิ์อุตส่าเปลีย่นตัวเองให้ออกแนวSมาสเตอร์แล้ว ยอมๆรับรักเขาไปเหอะน่า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 26-11-2014 22:29:19
 :katai2-1: ดีใจที่มาค่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-11-2014 00:35:13
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 42&43 (26/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 27-11-2014 18:34:34
เดียร์นี้น่ารักขึ้นทุกวัน   :-[
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 44 (30/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 30-11-2014 21:59:57
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 44
         
          “ครั้งที่หกของวันแล้วนะจ๊ะ”

          เดียร์สะดุ้งเมื่อมีเสียงใสทักเข้าข้างหู ดวงตากลมจ้องมองเจ้าของร้านดอกไม้อย่างหวาดๆ เพราะนอกจากเธอจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้ว ยังมีเสียงหัวเราะในลำคอแถมตามมาด้วย ไม่บอกเดียร์ก็รู้ได้ทันทีว่าน้อยกำลังคิดอะไรและอยากจะถามอะไรเขา

          “…อะไรหรือครับ ครั้งที่หกน่ะ” แม้จะอยากกลบเกลื่อน แต่เขาก็ไม่รู้จะเปลี่ยนหัวเรื่องอย่างไรดี จึงได้แต่ตามน้ำไปก่อน

          “ก็ถอนหายใจยังไงล่ะจ๊ะ อะไรกัน เรื่องเดิมยังคาราคาซังอยู่หรือไง ถ้ากลุ้มใจนักจะเล่าให้พี่ฟังก็ได้นะ พี่ยินดีปิดร้านเพื่อฟังเดียร์ปรับทุกข์เลยล่ะ”

          ลงทุนไปมั้งครับ…

          “อ๋อ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ มันไม่มีอะไรแล้ว” เดียร์รีบหยุดความคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่จะเตลิดจนกู่ไม่กลับ

          “แล้วเรื่องอะไรล่ะจ๊ะ ถึงได้ทำให้คนงามของพี่ถอนหายใจถึงหกครั้งในวันเดียวได้น่ะ” หญิงสาวคาดคั้นต่อ “เห็นก่อนหน้านั้นก็ไปเปิดตัวกับคุณสิทธิ์ตั้งหลายงานเลยนี่นา หรือทางบ้านคุณสิทธิ์เขาไม่ยอมรับกัน…หรือพี่เรากันล่ะ”

          เดียร์ปั้นหน้ายิ้มค้างเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่เจ็ด

          “คือ…จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก…” เมื่อโดนคาดคั้น บวกกับคิดคนเดียวยังไงก็คิดไม่ออก จึงยอมเปิดปากเพราะหวังว่าอาจจะช่วยคลายความคับข้องใจของตนได้ “คือการที่อยู่ๆเราทนมองหน้าใครสักคนนานๆไม่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังสามารถมองได้ปกตินี่ มันเป็นเพราะอะไรหรือครับ”

          น้อยดูจะตื่นกับคำถามนั่นพอสมควร แต่เพียงไม่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง

          “แล้วรู้สึกกระสับกระส่ายหรือใจเต้นแปลกๆบ้างไหมจ๊ะ”

          เด็กหนุ่มถึงกับตาโตที่อีกฝ่ายถามไถ่อาการแม่นอย่างกับตาเห็น

          “ใครจ๊ะ” ไม่ถามเปล่า มีซูมหน้าเข้ามาใกล้ทุกทีๆ จนเดียร์ชักเริ่มคิดแล้วว่าถ้ามีใครมาเห็นตอนนี้ คงเข้าใจผิดไปไกลมากๆแน่ “คุณสิทธิ์ใช่ไหมล่ะ”

          อันนี้เขาไม่แน่ใจว่าเดาแม่น หรือรู้จริงๆกันแน่

          “แหม ถ้าเป็นคุณสิทธิ์ก็ไม่แปลกหรอกจ้ะ แถมพี่ว่า เรานี่ความรู้สึกช้ามากกว่านะ” เธอหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย “ก็เป็นแฟนกันนี่นา จะมีความรู้สึกแบบนั้นก็ปกติอยู่แล้ว ไม่รู้สึกเลยนี่สิแปลก”

          เดียร์ยิ้มค้าง “ยังไงครับ”

          “เอ้า ก็แหม แบบนั้นเขาเรียกว่าเขินเวลามองคนที่รักไม่ใช่เหรอจ๊ะ…ว้าย!!” น้อยร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆเดียร์ก็ลงไปกองกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนจะเป็นลม “เดียร์ ไม่เป็นอะไรนะ ช่วงนี้พี่ไม่ได้ใช้งานอะไรเราหนักเลยนะ!”

          ไอ้นั่นก็ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากจะสลบนะ

          “คือ…พี่กำลังจะบอกว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผมรักคุณสิทธิ์หรือครับ”

          “อ้าว แล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ” คราวนี้หญิงสาวเริ่มงงแทนเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูจะสงสัยและไม่มีเค้าของความรักอยู่เลย

          “เอ้อ…ไม่ใช่แบบนั้นครับ แหม เป็นแฟนกันก็ต้องรักกันสิครับ ฮะๆ  แค่แบบ ไม่คิดว่าอาการแบบนี้จะเรียกว่ารักน่ะครับ” เด็กหนุ่มรีบตอบเสียงลน “แต่ ขอบคุณพี่มากเลยนะครับ ที่ช่วยไขข้อสงสัยให้ผม”

          “อะไรกัน อย่าบอกนะว่าที่กลุ้มคือเรื่องนี้ ทำไมล่ะ” คุณเจ๊ยังซักไซ้ไม่เลิก “หรือการที่รักกับคุณสิทธิ์เป็นเรื่องไม่ดีกันล่ะ"

          ก็ไม่ดีน่ะสิครับ!! ไอ้เรื่องไปรักกับหมีขี้แหย ไม่ชอบใช้ความรุนแรงพรรค์นั้นน่ะ ผมไม่คิดจะทรมานตัวเองไปทั้งชีวิตหรอกนะ!...คือผมก็ชอบอยู่หรอก ไอ้ความทรมานน่ะ แต่ไม่ใช่แบบนี้นะ!!!

          “ก็…แค่กลุ้มเรื่องพี่วินน่ะครับ” คำตอบนี้ทำเอาอีกฝ่ายชะงักงัน “ก็อย่างที่พี่บอก ผมแค่ไม่แน่ใจว่าตกลงคุณสิทธิ์รักผมหรือแค่ต้องการแกล้งพี่วินกันแน่น่ะ”

          ดูเหมือนเขาจะบอกเหตุผลที่ดูฟังขึ้นมากไปหน่อย น้อยถึงกับทำหน้าเสียใส่

          “อย่างนั้นหรือ…นั่นสินะ…” หญิงสาวเอ่ยเสียงค่อย ก่อนจะพยายามทำตัวร่าเริง “ตะ…แต่แหม พี่ว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ้ะ ใครมันจะลงทุนทำถึงขนาดนั้นกัน”

          เดียร์ไม่อยากจะคิดเลย ว่าน้อยจะมีสีหน้าอย่างไร ถ้ารู้ความจริงทั้งหมด

          “เชื่อเถอะจ้ะ คุณสิทธิ์น่ะ รักเราจริงๆน้า พี่สัมผัสได้” หลังจากตีหน้าเศร้าไม่ถึงห้านาทีก็กลับมายิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ไม่งั้นจะให้คนมารับมาส่งแบบนี้ทุกวันหรือจ้ะ”

          เขานึกค้านอยู่ในใจ แน่ล่ะ ก็พ่อหมียักษ์แกเป็นคนดีจะตาย คงทนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก ถ้ารู้อยู่แก่ใจว่าตนโดนลอบทำร้ายบ่อยๆแบบนี้น่ะ

          “แล้วอีกอย่าง จำเมื่อวันก่อนตอนที่เขามาซื้อช่อดอกกุหลาบกับเราได้ไหม วันนั้นเจ๊แอบถ่ายวีดีโอไว้ด้วยล่ะ ฮิๆ” น้อยเล่าต่อโดยไม่สนใบหน้าตื่นตระหนกปนแหยงของอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องพักพนักงานเพื่อเอากล้องออกมา “ลองดูแล้วคิดเองละกัน”

          เขาก็อยากจะเปิดออกมาดูให้รู้แล้วรู้รอดอยู่หรอก แต่ที่ชั่งใจอยู่นานเพราะโดนคุณเจ้านายมองด้วยสายตากะลิ่มกะเหลี่ยนั่นล่ะ

          หลังจากทำใจได้แล้ว เดียร์ก็เปิดวีดิโอดูโดยพยายามเมินสาวข้างตัว ซึ่งเป็นภาพตอนที่สิทธิ์มารับดอกไม้และตัวเขาเพื่อขอไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง มองผ่านๆแล้วก็เหมือนจะปกติอยู่ แต่เดียร์ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม

          สิทธิ์ไม่ได้แสร้งยิ้ม

          ทั้งที่ยิ้มเหมือนกันแต่เดียร์ก็รู้ได้ทันทีว่า สิทธิ์ไม่ได้ยิ้มเก้ๆกังๆเหมือนครั้งแรกๆที่เจอกันเลย มันเป็นยิ้มที่จริงใจและสว่างไสวชวนแสบตาและแทบจะแผดเผาคนมองให้มอดไหม้จนเป็นเถ้าถ่านมาก ทั้งคำพูดและสายตาที่มองมาก็ดูอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักจนชวนเลี่ยน เรียกได้ว่า สิทธิ์ทำทุกอย่างที่เดียร์รังเกียจเลยทีเดียว

          แต่วันนั้น เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกอยากอ้วกเลยแม้แต่นิดเดียว และแม้แต่มาเห็นความจริงตำตาแบบนี้ เดียร์เองก็ไม่รู้สึกพะอืดพะอมเหมือนแต่ก่อนด้วย

          นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!

          “เห็นมั้ยล่ะจ๊ะ ว่าคุณสิทธิ์เขารักเราออกจะตาย” หลังจากดูเสร็จก็ตีไหล่แล้วร้องกรี๊ดกร๊าดใส่ “แหม่ เห็นแล้วอิจฉาแทนเลย ทำไมสามีที่บ้านไม่หวานแบบนี้บ้างก็ไม่รู้”

          เดียร์เพียงแต่เงียบ เขาไม่มีอารมณ์แม้แต่จะหัวเราะกลับตามปกติด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนที่น้อยจะรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น สารถีก็เปิดประตูร้านเข้ามารับเสียก่อน และเดียร์เองก็ไม่รอช้า พุ่งเข้าไปหาทันที

          “เฮ้ย จะรีบลากฉันออกมาทำไมวะ” ก้องร้องเสียงหลงเมื่อโดนมือเล็กลากออกมาจากร้านจนถึงรถที่จอดอยู่อีกฝั่ง “…ว่าแต่แกเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”

          เดียร์ไม่ตอบคำถามนั้น แทบจะเมินเสียด้วยซ้ำ

          “พี่ช่วยตบผมหน่อยสิครับ”

          ก้องได้แต่นิ่วหน้า ก่อนจะทำตามอย่างรังเกียจ และก่อนที่จะได้ถามสาเหตุ เดียร์ก็แทรกก่อนด้วยคำขอร้องที่ทำให้ก้องถึงกับปิดอาการขยะแขยงไม่อยู่

          “ช่วยยิ้มและลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนหน่อยสิครับ…เร็วๆน่า”

          หนุ่มใหญ่ไม่แน่ใจว่ามือของตนจะใส่ความอ่อนโยนไปได้อย่างที่อีกฝ่ายต้องการหรือเปล่า แต่ก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ โดยนึกถึงหน้าฤทธิ์เอาไว้ในใจ

          “อ๊าก” เสียงหวานร้องดังในลำคอก่อนจะผลักอีกฝ่ายออก ใบหน้าหวานซีดเซียวเหมือนเพิ่งเจอสิ่งที่สะพรึงที่สุดในชีวิตมาก็ไม่ปาน “ไม่ไหว แหวะ”

          “ฉันมากกว่าที่อยากจะพูดแบบนั้น” ก้องแหววใส่อย่างอารมณ์เสีย “ว่าแต่แกน่ะ เป็นอะไรไม่ทราบ ให้ฉันทำอะไรพิลึกๆตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

          เดียร์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที ดวงตากลมจ้องมองพื้นถนน คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

          “พี่ปิดอะไรผมไว้”

          ก้องถึงกับเม้มปากแน่นอย่างลืมตัว

          “ว่าแล้ว” เด็กหนุ่มเดาะลิ้นใส่อย่างไม่พอใจ “ถึงพี่จะบอกว่าเพราะคุณสิทธิ์หงุดหงิดเลยมาทำร้ายผมก็เถอะ แต่ผมว่ามันชักไม่ใช่เท่าไหร่แล้วนะ ไอ้ทำร้ายน่ะเข้าใจ แต่ไอ้ท่าทีแปลกๆนั่นน่ะ มันอะไรกันแน่ หา”

          “ฉันจะไปรู้เรอะ เขาอาจจะรักแกเข้าแล้วก็ได้มั้ง”

          เขาก็แค่พูดลองใจดูเพราะสงสัยกับท่าทางเมื่อวาน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพียงแต่ก้องก็อดขนลุกไม่ได้ทุกทีกับท่าทางเหมือนคนปกติแบบนั้น

          เดียร์ยืนค้างมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ จากนั้นก็เริ่มยิ้มเฝื่อนเสียจนน่าขำ และส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาจนก้องไม่แน่ใจว่าควรจะดีใจดีหรือขยะแขยงดี

          “เฮะๆๆ ไม่เอาน่า พูดอะไรประๆ หลาดๆแบบนั้น” เดียร์เริ่มพูดไม่เป็นภาษา ก่อนจะเริ่มกลับมาตั้งหลักได้ “อีกอย่างนะ ผมไม่ชอบคนปกติอย่างเขาสักหน่อย ขืนต้องอยู่ด้วยกัน มีหวังผมบ้าตายก่อนแน่”

          “…ฉันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องจริงสักหน่อย ก็แค่เดา” หนุ่มใหญ่ตอบหน้านิ่ง “แต่ไอ้เรื่องหงุดหงิดน่ะ เรื่องจริงนะ ตอนนี้คงเพราะแผนมันลุล่วงคุณสิทธิ์เขาเลยดีใจล่ะมั้ง”

          “ไม่อะ ถ้าแค่นั้นไม่มีมาเปลี่ยนเวอร์ชั่นกันกลางอากาศแบบนี้หรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ” เดียร์ยังคงสงสัยไม่เลิก “แต่ว่าอะไรนี่สิ…”

          “ไม่ลองถามเจ้าตัวเองเลยล่ะ เรื่องหลอกถามมันงานถนัดนายอยู่แล้วนี่”

          เดียร์มองหน้าค้างอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถึงบางอ้อ

 

          สิทธิ์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อมีเสียงเคาะประตู ทีแรกเขานึกว่าเป็นก้องไม่ก็ฤทธิ์ แต่พอเปิดประตูมาก็ต้องสะพรึง เพราะดันเป็นคนที่ไม่น่าจะมาเคาะเพราะยังโกรธและระแวงเขาอยู่แบบนี้

          “ว่าไง…เอ๊ย มีอะไร” เนื่องจากดีใจมากเลยหลุดทักอย่างเป็นกันเอง แต่ก็รีบกลับลำแม้จะไม่ทันก็ตาม

          ดวงตากลมช้อนมองอย่างน่าเอ็นดูก่อนจะหลุบลงต่ำ สร้างความคึกคักให้คนมองเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นสิทธิ์ก็ต้องพยายามทำหน้านิ่งไว้ แม้ภายในจะลิงโลดแค่ไหนก็ตาม

          “ผมขอเข้าไปได้ไหม…”

          ถึงจะพยายามแล้ว แต่ก็อดตาโตไม่ได้อยู่ดี ก็ใครมันจะไปคิดว่าคนที่พยายามถอยห่างตนจะเป็นฝ่ายเข้ามาเสียเองแบบนี้

          สิทธิ์ไม่ได้พูดสิ่งใดนอกจากเปิดทางให้ ร่างบางเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเรียวหันมองไปมาราวกับกำลังระแวง และไม่รู้เพราะอยากให้อีกฝ่ายสบายใจหรืออย่างไร สิทธิ์จึงเลือกที่จะเปิดประตูทิ้งไว้เช่นนั้นแทน

          “ผมมีเรื่องจะถาม…” เสียงหวานดังขึ้นโดยยังคงหันหลังให้เจ้าของห้อง “ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับผม”

          ดูเหมือนจะถามกว้างไป หมีถึงได้เงียบจนเขาเผลอหันไปมองหน้าเอ๋อๆของอีกฝ่าย

          “…ผมหมายถึงทำไมถึงพูดจาหรือทำตัวประหลาดๆใส่ผม…ทั้งที่แค่จะแกล้งพี่วินไม่เห็นต้องทำแบบนั้นในบ้านหรือที่ๆพี่วินไม่เห็น…”

          สิทธิ์ไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่เด็กหนุ่มคาด ซ้ำกลับดูสงบนิ่งจนน่าแปลก ดวงตาเรียวที่จ้องมองมาทางตนนั้นราวกับกำลังมองทะลุตนนั้น ชวนให้รู้สึกใจเต้นแปลกๆอย่างไม่ควรเป็นเสียได้ ร่างสูงเขยิบเข้าหาจนห่างไม่ถึงฟุต จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของร่างกาย

          “ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามข้างหู “ก็ฉันอยากทำกับของๆฉันนี่”

          เพียงแค่นั้นหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นดังอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดียร์คงอยากอ้วกไปแล้ว

          “ผ…ผมก็แค่อยากรู้” ไม่รู้จะโล่งใจดีไหม เพราะไม่ต้องแอ๊บเลยไม่ต้องกลัวจะหลุดพิรุธอะไร ถึงแม้จะทำให้หายใจไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่ก็ตาม “อยู่ๆคุณก็เหมือนจะทำดีแต่ก็ร้ายกาจ ผมไม่เข้าใจ…”

          “ก็เพราะฉันรักเธอไง”

          แน่นอนว่าเดียร์ตาโตจนแทบถลน ซึ่งเป็นคำตอบที่ชวนช็อกเป็นที่สุด

          “ตะ…แต่ผมไม่ได้รักคุณสักหน่อย คนอย่างคุณน่ะ…” เด็กหนุ่มเบือนหน้าแดงออกไปทางอื่น ชักเริ่มงงๆว่าตกลงที่เป็นอยู่ตอนนี้แค่แสดงแล้วอินตามบทหรือเพราะเผลอรู้สึกแบบนั้นจริงๆกันแน่ “คนที่คิดร้ายกับพี่วินอย่างคุณ ผมไม่มีทางรักแน่”
         
          “ก็แค่ตอนนี้” แทนที่อีกฝ่ายจะหงอหรือเศร้ากับการโดนหักอก สิทธิ์กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ยังมีเวลาอีกเยอะแยะที่ฉันจะทำให้เธอรัก…ทุกอย่างที่เป็นฉัน ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็ไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอก”

          “มะ…ไม่มีทางหรอก” เสียงหวานสั่นระริก ใบหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นคนตรงหน้าเหยียดยิ้มอย่างคนเหนือกว่าใส่ “ไม่มีทาง!”

          ว่าจบก็รีบผลุนผลันหนีกลับเข้าห้องไป ปล่อยให้เจ้าของห้องได้แต่ยืนมองตามหลังอย่างเงียบๆ และแน่นอนว่าฉากเมื่อครู่ มีหรือจะพ้นสายตาและหูของลูกน้อง

          “ว้าวๆ แบบนี้มีลุ้นแน่” ฤทธิ์ที่ดูจะลุ้นสุดตัวจนถึงขนาดยอมหนีจากละครที่ดูประจำมาดูฉากนี้แทนถึงกับตื่นเต้นจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “โอ๊ย นึกไม่ออกเลยว่ามะรืนนี้จะเป็นยังไง”

          “นั่นสินะ” ก้องตอบตามตรง เพราะนึกไม่ออกจริงๆ “

          “อะไร ทำไมดูนายโล่งใจแทนล่ะ” ฤทธิ์นิ่วหน้ามองคนข้างๆ “ท่าทางอย่างกับไม่ดีใจเท่าไหร่เลยนะ”

          “ไอ้ดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอก…แต่นายนึกดูนะว่าถ้าคุณวัฒน์รู้เข้าแล้วจะเป็นยังไง”

          จากที่กำลังดี๊ด๊าถึงกับหน้าซีดลงทันควัน

          “แต่จบแบบนี้ก็ถือว่าดีไปหลายขุมล่ะ” ก้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่เหลือก็…แล้วแต่ความซวยของพวกเราละกันนะจ๊ะ”

          ถ้าเป็นปกติฤทธิ์คงชกไปแล้ว แต่พอนึกว่า วัฒน์จะรู้สึกอย่างไร ที่รู้ว่าสิทธิ์กลายเป็นแบบนี้ทั้งที่เขากับก้องคอยดูแลอยู่ มือไม้มันก็หมดเรี่ยวแรงอย่างไม่มีสาเหตุเสียได้

 

          บ้าอะไรวะ

          เดียร์นิ่วหน้านอนนิ่งอยู่บนเตียง ในหัวยังคงมีภาพตอนสิทธิ์เอ่ยคำรักวนไปวนมาอย่างกับภาพหลอนติดตาไม่หาย แม้จะพยายามสะบัดออกไปอย่างไรก็ตาม

          ก็เพราะฉันรักเธอไง

          แต่ที่รู้สึกแย่จนแทบบ้า ไม่ใช่เพราะรู้สึกขยะแขยงกับคำหวานที่ได้ยิน แต่เพราะดันใจเต้นไปกับมันทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี่ล่ะ

          ทำไมล่ะ ทีกับพี่ก้องเราก็ยังเป็น แต่ทำไมกับคุณสิทธิ์เรากลับรู้สึกแบบนี้กัน…รักบ้าบออะไร ไม่มีเหตุผลเลย ก่อนหน้านั้นเรายังขยะแขยงแล้วก็หงุดหงิดทุกทีเวลาคุณสิทธิ์ทำตัวดีนี่นา…ยิ่งทำตัวหงอด้วยนะ ยิ่งน่าโมโห…

          เดียร์กะพริบตามองเพดานปริบๆ…ใช่...เขาเองก็เคยเห็นคนที่ทำท่าแบบสิทธิ์มาก็เยอะ แต่ตนก็แค่รู้สึกขยะแขยงเท่านั้น ไม่เคยเลยที่จะหงุดหงิดใส่เลย เพราะไม่มีเหตุผลจะต้องไปหงุดหงิดใส่เลยนี่

          แต่…กับคุณสิทธิ์…เรา…

          อยู่ๆหน้าก็แดงอย่างไร้สาเหตุ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ยังไม่อยากจะเชื่อกับความคิดตัวเองเมื่อครู่ แต่เพียงไม่นานก็เกิดอาการกลัดกลุ้มและกังวลขึ้นมา

          ใช่…มันเป็นไปไม่ได้หรอก…จะให้อยู่กับคนธรรมดาแบบนั้นน่ะ เราคงทนไม่ได้หรอก…

          คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บในอกอย่างที่ไม่เคยเป็น…แต่อีกส่วนก็รู้สึกยินดีจนน่าแปลกกับความเจ็บปวดที่หาทางระบายไม่ได้นี่…อา…ช่างสับสนเหลือเกินว่าจะปล่อยให้คาใจแบบนี้ดี หรือแก้มันออกไปให้พ้นตัวดีกันนะ…ไม่ได้สิ เราไม่ควรจะลงเอยกับเขานี่หว่า…แต่เสียดายจัง…ถ้าพยายามขอร้องดีๆคุณสิทธิ์จะยอมกัดฟันเล่นเอสเอ็มกับเราหน่อยได้ไหมหว่า…อา…เครียดดีจังเลย…แต่เขาเป็นคนดีขนาดนั้น คงต้องปวดใจที่ทำแน่ๆ…แบบนั้นเราไม่เอาด้วยหรอก…

          เดียร์นอนนิ่ง…ใจจริงเขาก็คิดว่าไอ้ที่กำลังคิดมันก็ดีอยู่หรอก…ก็ในเมื่ออีกฝ่ายรักตน และตนก็รู้สึกแบบนั้นแล้วด้วย มันก็คุ้มที่จะลองดู

          ก็ลองเสี่ยงหน่อยละกัน


__________________________________

คู่นี้นี่กว่าจะให้รักกันได้นี่ เข็นยากเข็นเย็นจริงๆ =3=

ขอบคุณผู้อ่านและผู้เมนท์ทุกท่านก๊าบ >_<
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 44 (30/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 01-12-2014 01:04:39
เดียร์น่าร๊าาาาากอ่ะ :hao7: ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย
แต่ตอนนี้ขักจะคิดถึงชาแล้วอ่ะ เมื่อไรจะมีบท :mew2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 44 (30/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 01-12-2014 10:31:16
เริ่มมันส์แล้ว  :katai2-1:

ต่อเร็วๆนะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 44 (30/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: DuenTwinBII ที่ 01-12-2014 10:32:21
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 44 (30/11/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 01-12-2014 18:08:52
เดียร์นางเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางปกตินิดรึเปล่า?
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 45 (6/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 06-12-2014 23:42:08
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 45

          ชาถอนหายใจเดินแกร่วไปตามทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตาที่มีเพียงตึก ดวงตาคมเลื่อนมองท้องฟ้าสีม่วงอมแดงในเวลาพลบค่ำ ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย เพียงแต่เพราะจิตใจกำลังโหยหายสิ่งที่อยากได้มากกว่า แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางได้ในเร็วๆนี้ ถึงได้รู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะล้มลงนอนเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

          “ไอ้คุณเดียร์…” ชาได้แต่กัดฟันเอ่ยชื่อคนที่อยากจะตะบันหน้าเป็นที่สุด นอกจากจะกล้าใช้งานเขา ยังจะมีหน้ามายั่วโมโหกันอีก ถ้าไม่ติดว่าได้ผลประโยชน์ร่วม เขาไม่ทนเหงาอยู่แบบนี้หรอก

          เท้าที่เดินก้าวหยุดลง ความรู้สึกที่สู้อดทนมาชักเริ่มเก็บไว้ไม่ไหว และทำท่าจะทะลักเข้าทุกที ยิ่งเห็นคนใส่แว่นเดินผ่าน ก็ดันไปนึกถึงใครบางคนที่อยากวิ่งเข้าไปอ้อนบาทาเป็นที่สุด

          ดวงตาเรียวหรี่ลง อยากร้องไห้เสียเหลือเกิน ความเจ็บที่โดนเข้าใจผิดมันโหดร้ายเหลือเกิน…แต่ที่โหดร้ายกว่าก็คือตัวเองที่ดันไปมีความสุขกับความเจ็บนั้นจนร้องไห้ไม่ออกนี่แหละ ยิ่งพยายามก็ยิ่งทรมานจนหุบยิ้มไม่ลงแทน

          ร่างสูงมองภาพตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย นึกถึงวันเก่าๆที่ใช้ชีวิตมา…หากไม่ได้วิน เขาก็คงไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ และก็ไม่คงกลายเป็นพวกรสนิยมประหลาดที่ดันหลงไอ้คนติดน้องพรรค์นั้นด้วย…

 

          สมัยก่อน เขาเป็นแค่คนต่างด้าวธรรมดาที่หนีเข้าประเทศกับใครก็ไม่รู้ เพราะตัวเองก็โตมาโดยที่ไม่มีพ่อแม่ และด้วยความที่เบื่อกับชีวิตฉกชิงวิ่งราวไปวันๆกับการโดนทุบตีไม่หยุดหย่อน เลยคิดว่าการหนีเข้าประเทศนี้อาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งก็เปล่าเลย ไม่รู้เพราะดวงซวยแต่กำเนิดหรืออย่างไร ถึงได้ไปเจอพวกค้ามนุษย์แทนเสียนี่ และอยู่ดีไม่ว่าดี ไปหาเรื่องหนีบวกกับทุบไอ้คนคุมแขนหักไปหลายคน บทลงโทษสูงสุดคือก็โดนขายเครื่องในทอดตลาดมืด ซึ่งแน่นอนว่าหมาที่ไหนจะยอม แต่ก็นั่นล่ะ เด็กคนเดียวจะไปสู้อะไรผู้ใหญ่เป็นฝูงได้ล่ะ นอกจากจะทำให้ตัวเองเจ็บตัวก่อนตายอย่างเปล่าประโยชน์ก็เท่านั้น

          “อ้าว จะเอาหมอนั่นไปไหนน่ะ”

          ในตอนนี้วินก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กนิดเดียวที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นแค่คุณชายที่ดูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ซึ่งชอบมาเดินเล่นในโรงงานนรกของพ่อบ่อยๆ และยังไม่ใส่แว่น ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับวินเลยสักนิด สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือ เด็กต๊องๆที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนเพราะเกิดมาบนกองเงินกองทองของพ่อแม่เพียงเท่านั้น…

          “มันวอนหาเรื่อง ทำร้ายคนของเราไปหลายคนน่ะครับ เลยกะจะเชือดทิ้ง” ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นคนคุมโรงงานผลิตเสื้อแห่งนี้เอ่ยอย่างหัวเสีย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะพูดกับเด็กสิบขวบ “อ๊ะ…คือผมแค่จะลงโทษเขาที่ทำผิดกฎน่ะครับ”

          “กฎบ้ากฎบออะไร จะฆ่าฉันก็บอกไปตรงๆสิ” เพราะไม่เหลืออะไรให้พะวง ชาเลยพูดออกมาอย่างไม่แยแส ก่อนจะหันไปมองเด็กชาย “พวกนี้จะฆ่าควักเครื่องในฉันไปขายต่อ เข้าใจไหม คุณชาย”

          แต่แทนที่วินจะกลัว หรือโกรธที่โดนพูดด้วยน้ำเสียงหยามน้ำหน้า เขากลับหัวเราะแทน จนทั้งชาและลูกน้องคนอื่นต่างพากันงุนงงต่อพฤติกรรมของลูกเจ้านาย

          “นายนี่เพี้ยนดีนะ” หลังหัวเราะเสร็จยังมีหน้าไปว่าเขาอีก “นี่ ไม่ต้องฆ่าหรอก เดี๋ยวผมจะขอพ่อเลี้ยงไว้นะ”

          “จะบ้าเรอะ ฉันไม่ใช่หมานะ” เด็กหนุ่มแหวใส่ทันที จะเอาแต่ใจก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นลูกของคนที่ทำให้ตนต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้แล้ว ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่

          “เหรอ งั้นเลือกเอาละกันว่าจะเป็นหมากับตัวกลวง นายชอบแบบไหนล่ะ”

          ซึ่งแม้จะไม่ชอบทั้งสอง แต่ก็คงไม่ต้องเลือกนานนักหรอก

          “แต่…มันจะดีหรือครับ หมอนี่ทำร้ายคนของเราไปเยอะเลยนะครับ แล้วคุณท่านจะยอมหรือ”

          วินไม่ตอบกลับนอกจากชี้นิ้วไปด้านนอก และคนคุมก็ได้แต่ปั้นหน้าหวั่นก่อนจะสั่งให้คนคุมตัวชาพาออกไปข้างนอก ซึ่งมีรถรอจอดไว้อยู่แล้ว

          แน่ล่ะ ถึงจะกลัวแทบตาย แต่สุดท้าย พอได้จังหวะ ชาก็หาเรื่องสะบัดตัวหนีอีก และแน่นอนว่าถ้าหนีตัวเปล่าอีกก็คงโดนจับอีกเป็นแน่แท้ เหลือทางเดียวที่มองเห็นก็คือจับใครสักคนที่จะทำให้คนอื่นๆไม่กล้าเข้ามาและยอมให้ตนหนีแต่โดยดี

          แต่เขาคิดผิดอย่างแรง

          “ฮะๆ นายนี่มันแน่จริงๆ เจอขนาดนี้แล้วยังจะกล้ามาลองดีกับฉันอีกนะ คิดไม่ผิดจริงๆ” แม้คำพูดจะโอ้อวดเกินเด็ก แต่แรงที่กำลังบิดข้อมือของเด็กหนุ่ม บ่งบอกให้รู้ว่าตนนั้นอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทั้งที่วินเองก็สูงไม่ถึงไหล่ของชาด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถคว่ำร่างของเด็กหนุ่มลงกับพื้นแล้วจับนอนบิดแขนจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ “เอ้า จะยืนนิ่งกันทำไมล่ะ มัดไว้สิ อ้อ ผูกสายจูงคอไว้ให้ด้วยนะ จะได้ลากสะดวกหน่อย ฮะๆ”

          ช่างเป็นคำพูดที่ร้ายกาจไม่สมกับวัยดีแท้

          “ปล่อยนะเฮ้ย” ชากัดฟัดกรอด ที่โดนลากไปมาเหมือนกับสุนัข

          “เงียบๆน่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเผลอกระชากจนคอหักแล้วไม่รู้ด้วยนะ”

          และเพราะเจอฤทธิ์เดชมาแล้ว เลยหยุดทันควัน

          ชาได้แต่นั่งนิ่งมองเด็กชายที่นั่งข้างๆอย่างงุนงงบนเบาะหลังของรถที่กำลังวิ่งกลับบ้านของวิน ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ช่วยตนไว้แบบนี้ แม้ลึกๆจะนึกขอบคุณอยู่ แต่เพราะโดนดีจนระบม เลยไม่ค่อยอยากจะเอ่ยหรือซาบซึ้งมากนัก เพราะกลัวจะโดนหักแขนกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

          “หน้าฉันมีอะไรให้จ้องนักหรือ” คำถามของวินทำเอาชาที่หันมองคนนั่งข้างอยู่นานสองนานถึงกับสะดุ้ง

          เด็กหนุ่มนิ่วหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไรนอกจากหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง จนกระทั่งถึงที่หมาย ที่ทำให้ชารู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กบ้านี่หนักข้อ เขาก็รู้อยู่หรอกว่าพ่อมันรวย แต่พอมาเห็นบ้านโอ่อ่าอย่างกับปราสาท มีพื้นที่รอบบ้านราวสามสิบไร่ พร้อมสวนสวยที่ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งยังมีสระน้ำพุหน้าบ้านอีกต่างหาก ใครมันจะไม่อิจฉาริษยากันบ้าง

          “มาสิ” เด็กชายเอ่ยพร้อมกับกระตุกเชือกที่คล้องคอ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเก่งกว่าและโดนผูกคอแบบนี้ ชากระโดดถีบขาคู่ใส่ไปแล้ว

          เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายด้วยความที่เหนื่อยและกลัวเกินกว่าจะกล้าขัดขืน ณ ตอนนี้ ต่อให้ต้องกินข้าวหมาก็ยอม

          แน่นอนว่าทันทีที่เหล่าคนใช้เห็นต่างพากันตื่นตระหนกกันยกใหญ่ พร้อมทั้งวิ่งไปฟ้องมาริสาอีกต่างหาก แต่วินก็ไม่ได้สนใจนัก และเดินนำชาพาเข้าไปยังห้องนอนของตนทันที

          “จะดีหรือคะ…พาเขาเข้าห้องคุณหนูไปคนเดียวแบบนี้ พาบอดี้การ์ดเข้าไปด้วยสักคนสองคนน่าจะดีกว่านะคะ” สาวใช้เอ่ยอย่างหวาดวิตกเมื่อคุณชายของบ้านต้องการจะพาคนที่พยายามหนีและทำร้าย เข้าห้องนอนสองต่อสอง

          “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก จะเลี้ยงหมาก็ต้องฝึกเองสิครับ ไม่อย่างนั้นหมามันจะเชื่อฟังเหรอ จริงไหม” วินหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนเด็ก จนทำให้ชารู้สึกหมั่นไส้เข้าไปทุกที เขาได้แต่นึกหวังว่าไอ้เด็กบ้านี่มันจะพลาดให้เขาเตะกลับบ้างสักหน่อย จะได้หายแค้น “ไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก

          เมื่อไม่อาจห้ามได้ สาวใช้จึงได้แต่ยอมตามแต่โดยดีก่อนจะปิดประตูห้องออกไป

          “…แกคิดจะทำอะไรกันแน่ ฉันไม่ยอมเป็นหมาอย่างที่แกอยากหรอกนะ” ชาพูดทันทีหลังจากที่อยู่แค่สองคน “…เฮ้”

          ดูวินจะไม่ค่อยสนใจชาเท่าใดนัก เขาเดินไปสำรวจประตู เหมือนต้องการให้มั่นใจว่าไม่มีใครแอบฟังแน่ๆ จากนั้นก็เอ่ยคำที่ทำให้คนฟังได้แต่ค้าง

          “นายไม่เป็นอะไรนะ ขอโทษทีที่ทำรุนแรง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

          ชากะพริบตาปริบๆ สีหน้าและท่าทางอวดดีเมื่อครู่หายไปจนสิ้น เหลือไว้แต่เด็กชายที่ดูจะกังวลและเป็นห่วงตนเท่านั้น

          “เดี๋ยวสิ นายคิดจะทำอะไร” แต่เพราะยังไม่อาจเชื่อได้สนิทใจ จึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายแกะเชือกที่มัดร่างเอาไว้

          สีหน้าของวินดูจะยุ่งยากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา “ไอ้ที่พูดก่อนหน้านั้นมันก็แค่แสดงเท่านั้นล่ะ ฉันก็แค่อยากจะช่วยนายเอาไว้ก็เท่านั้น…แต่ทำไงได้ล่ะ ขืนขอดีๆ แค่เอานายไปปล่อย พวกลูกน้องคุณพ่อเขาไม่ยอมหรอก…แต่ฉันไม่ได้ช่วยเฉยๆหรอกนะ ฉันอยากให้นายช่วยฉัน”

          ชาเพียงแค่มอง

          “ฉันเกลียดไอ้โรงงานผลิตผ้าสับปะรังเคนั่น” เด็กชายเริ่มหัวข้อด้วยความฉุนเฉียว “ฉันเกลียดที่พ่อบังคับให้คนมาใช้เป็นทาสแบบนี้ ฉันอยากจะเลิกไอ้ของพรรค์นั้นให้หมด”

          เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะออกมาจากปากของผู้เป็นลูกชายเลยสักนิด

          “แล้วฉันจะช่วยอะไรนายได้ล่ะ ฉันก็แค่คนต่างด้าวหนีเข้าประเทศ หนังสือก็ไม่ได้เรียน” ชาถามกลับอย่างงุนงง

          “ฉันรู้นะว่านายฉลาด” วินเอ่ยชมอย่างเปิดเผย “ก่อนหน้าที่มาทำงานแรกๆ นายพูดไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วทั้งๆที่นายไม่ได้เรียนหนังสือ แต่นายกลับบวกเลขได้ ฉันเห็นนะ ว่านายแอบคำนวณทุกทีเวลามีของส่งเข้าโรงงาน แถมยังแอบฟังพวกลูกน้องพ่อคุยกันตลอด ทั้งที่พวกเขาก็พูดแต่เรื่องงานยากๆ”

          นั่นทำให้ชาตะลึงยิ่งกว่า เพราะตอนที่มาอยู่ประเทศนี้ใหม่ๆ มันก็เป็นเรื่องเมื่อสองสามปีก่อน แสดงว่าวินจำเขาได้ตั้งแต่ตอนนั้นน่ะสิ แต่เขากลับไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยเจอวินช่วงนั้นเลย

          “ที่สำคัญ นายเองก็เป็นคนดีด้วย ฉันเห็นนายชอบช่วยคนงานคนอื่นจนเจ็บตัวแทนตั้งหลายครั้ง” ยิ่งฟัง ชาก็ยิ่งสะพรึงและประหลาดใจกับการสังเกตของเด็กชาย ที่ทำโดยที่ตนไม่รู้ตัวสักนิด “เพราะงั้น ฉันเลยอยากให้นายช่วย”

          “ยังไง” แม้อย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “นายแค่ไปขอพ่อนายให้เลิกทำแบบนี้ก็ได้นี่”

          “จะบ้าเรอะ พูดง่ายนะ ต่อให้รักลูกยังไง ไอ้ของแบบนี้ไม่มีใครเขายอมกันหรอก ยิ่งกับพ่อฉันนี่ลืมไปได้เลย” น้ำเสียงช่วงท้ายฟังดูรังเกียจพ่อของตนเอาเรื่อง “แล้วฉันคนเดียวก็ทำไม่ได้หรอก เพราะงั้น ฉันถึงกำลังหาคนมาช่วยไง และนายเองก็เป็นตัวช่วยที่ดีและมีคุณสมบัติครบทุกอย่างด้วย ช่วยฉันก่อนเถอะนะ แล้วถ้าสำเร็จ หลังจากนั้นนายอยากจะใช้ชีวิตยังไง ฉันก็จะไม่ห้ามเลย”

          ชายังคงนิ่ง ถ้าเป็นเด็กคนอื่นเขาคงจะตอกหน้ากลับไปแล้วว่าเพ้อ แต่ลองว่าอีกฝ่ายสังเกตคนได้ละเอียด พูดจามีความคิด แถมยังมีข้อเสนอดียิ่งกว่าช่วงโปรโมชั่นแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าอาจจะโดนหลอก แต่ก็อดตอบรับไม่ได้อยู่ดี

          “ก็ได้…” เมื่อทางเลือกค่อนข้างจะเป็นประโยชน์กับตน ชาจึงเลือกจะตกลง และนั่นทำให้เขาต้องตกใจยิ่งกว่า

          “จริงหรือ เย้ ขอบใจนะ”

          ไม่ว่าเปล่ามีโผเข้ามากอดแบบไม่กลัวคราบเลือดและเหงื่อของชาเลยสักนิด ทำเอาเขาตกใจเลยทีเดียว…

          แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่แค่นั้นนี่น่ะสิ…

          “เออ เข้าใจแล้ว ปล่อยสักทีสิ” ชารีบสะบัดตัวหนีด้วยความหวาดหวั่น ไม่แน่ใจว่าสาเหตุเพราะอีกฝ่าย หรือเพราะตนกันแน่

          แล้วเมื่อกี้เราจะใจเต้นไปทำไมวะ แค่มันยิ้มน่ารักแล้วกอดใส่เนี่ยนะ ไหงงั้นล่ะ

          “อ๊ะ โทษทีนะ เผลอไปหน่อย กว่าจะหาคนยอมตกลงแบบนายมันยากน่ะ” วินบอก น้ำเสียงยังคงเปี่ยมสุขไม่เปลี่ยน “จริงสิ ฉันว่านายไปอาบน้ำก่อนก็ดีนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะให้คนเตรียมชุดใหม่ให้ ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะ ใช้ได้ตามใจชอบเลย”

          ว่าจบก็รีบแกะเชือกให้แล้วออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้คนแปลกหน้าอย่างชาอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียวเท่านั้น

          เดี๋ยวสิวะ มันจะหละหลวมไปหน่อยหรือเปล่า

          ใจจริงเขาก็ไม่แปลกใจนักหรอก ก็อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กสิบขวบเองนี่ หรือไม่คิดว่าเขาจะแอบหนีกันนะ ถึงจะใช้ทางประตูตรงๆไม่ได้ แต่พอเข้าไปสำรวจในห้องน้ำ ก็มีหน้าต่างระบายอากาศที่กว้างพอจะ…

          …หนีดีไหม

          ทั้งที่นั่นคือความตั้งใจแรกแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลังเลขึ้นมาเสียได้ ส่วนหนึ่งเขายอมรับว่า ต่อให้หนีไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดได้สักกี่น้ำ ในประเทศที่ตนแทบไม่เคยได้เห็นเลยนอกจากท่าเรือกับในโรงงาน อีกทั้งยังไม่มีความสามารถใดๆติดตัว ถ้าไม่ตายกลางทางก็คงกลับมาเป็นทาสแบบเดิมแน่นอน

          แต่อีกส่วนที่ไม่อยากจะยอมรับนักคือ ภาพรอยยิ้มของวินที่ทำให้เขาหยุดเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่าง ทำเอาอยากจะโขกหัวกับกำแพงเลยทีเดียว

          เกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ

          โอเค เขายอมรับว่าตัวเองไม่เคยสนใจผู้หญิงเลย แต่ก็ไม่เคยสนใจผู้ชายด้วยเหมือนกัน แล้วนี่อะไร เกิดมาใจสั่นกับเด็กผู้ชายสิบขวบได้อย่างไรกัน

          ก็แค่ดีใจที่รอดตายเท่านั้นล่ะวะ

 

          ชาสะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายเดินพรวดพราดเข้ามาพร้อมกับลูกน้องร่างถึกอีกสองคน เล่นเอาเขาซึ่งกำลังดื่มดำกับที่นอนแสนนุ่ม ถึงกับกระโดดออกมาราวกับติดสปริงก็ไม่ปาน

          “…โทษที แบบว่าอดใจไม่ได้” เขาไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดีหลังจากรู้ถึงสิ่งที่วินต้องการ เลยได้แต่บอกอ้อมแอ้มเหมือนคนสำนึกผิดไปแทน

          “หนอย ไอ้เด็กเวรนี่ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยเรอะ” ชายร่างถึกคนหนึ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะทำท่าเข้ามาเสยคางชา แต่โดนวินห้ามไว้ก่อน

          “น่าครับ หมาที่เพิ่งเก็บมาก็ตื่นเต้นแบบนี้ทุกตัวแหละ” ถ้าเป็นก่อนหน้านั้น ชาก็หงุดหงิดและสวนกลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาชักลังเล เลยกะว่าเก็บความโมโหนี้ไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีกันทีหลังแทน “เดี๋ยวหลังสอนมารยาทก็ดีขึ้นเอง อ้อ เสื้อผ้าวางไว้ตรงนั้นเลยครับ”

          วินชี้นิ้วไปยังโซฟาที่อยู่มุมห้อง เหล่าลูกน้องทั้งสองเพียงแค่มองชาอย่างไม่พอใจและไม่ไว้ใจนัก ก่อนจะทำตามคำสั่งเจ้านายอย่างเสียไม่ได้ และก่อนออกจากห้อง ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาให้อีก

          “โทษทีนะที่พูดแบบนั้นไป” และก่อนที่ชาจะได้ด่า อีกฝ่ายก็ชิงพูดขอโทษก่อนเสียอย่างนั้น “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบ แต่ช่วยอดทนหน่อยเถอะ จะให้เปลี่ยนมาพูดดีทันทีกับคนที่จะจับฉันเป็นตัวประกันมันคงไม่ได้หรอกนะ”

          “…ฉันรู้น่า” ชาตอบกระแทกเสียง

          “แต่ว่า ขอบใจนายมากนะ” หลังจากหยิบเสื้อผ้าให้ วินก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสา และก็ไม่รู้ทำไม มันถึงทำให้ชามองอีกฝ่ายนานๆไม่ค่อยจะได้

          “เรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ฉันตกลงล่ะก็ ไม่ต้องก็ได้ มันก็แค่มีผลประโยชน์ร่วมกับเท่านั้นล่ะ”

          “เปล่าสักหน่อย” เด็กชายรีบแย้ง “ฉันขอบใจเรื่องที่นายยอมอยู่ที่นี่ และไม่หนีไปตอนที่ฉันออกจากห้องต่างหาก”

          นั่นทำให้คนฟังผงะ…ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการลองใจตัวเองเลยสักนิด

          “นายไม่ใช่คนแรกสักหน่อยที่ฉันทำแบบนี้” วินบอกพลางเดินเข้าไปนั่งบนเตียง “ทั้งหมดแปดคนที่ฉันเคยทำแบบนี้ และมีคนยอมอยู่แค่คนเดียว ส่วนนายเป็นคนที่เก้าและเป็นคนที่สองที่ไม่หนี เพราะแบบนั้นฉันถึงขอบใจนายไงที่ไม่ทำลายความเชื่อใจฉัน”

          ชาเพียงแต่เงียบ เขายอมรับว่าทึ่งจริงๆ ไม่คิดว่าเด็กตัวแค่นี้จะคิดได้ถึงขนาดนี้

          บางทีอาจจะมีค่าพอให้เชื่อก็ได้…

          “ฉันดีใจนะ เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเห็นนายเป็นศพ ถึงจะไม่อยากก็เถอะ แต่คนที่หนีก็ไม่รอดทั้งนั้นหรอก ถึงตอนนั้นเองต่อให้เป็นฉัน ก็ห้ามไม่ได้ด้วย”

          โชคดีจริงๆที่เลือกเส้นทางที่สวยงามกว่า…


_______________________________________

รีเควสมาได้จังหวะมาก ฮา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 45 (6/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 07-12-2014 06:24:27
อยากอ่านคู่ชาวินมากๆค่ะ>< เราว่าคู่นี้ลุ้นกว่าคู่บ๊องพระเอกนายเอกตัวจริงซะอีก อันนั้นมันแนวสับสนในชีวิตละ
คู่นี้ลุ้นๆเมื่อไหร่มันจะได้ป๊ะหน้ากันสักที สงสารชาโหยหาความเอสของเจ้านาย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 45 (6/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 12-12-2014 00:40:02
ทำไมเราว่าชาน่ารักกกกก แอรรรรร แอบสงสารชาเบาๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 13-12-2014 16:46:27
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 46
         
          เอาเข้าจริงๆ สำหรับชามันไม่ใช่เรื่องยากนัก ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้ายอย่างที่ทำ ออกจะรู้สึกผิดและอึดอัดด้วยซ้ำ เขาเลยสามารถให้ความร่วมมือด้วยการแสดงบทบาทของผู้น้อยที่ยอมให้คนบ้าอำนาจกดหัวเพราะไม่มีทางเลือกได้อย่างสบายๆ ว่ากันตามตรง เขาละสงสารวินที่ต้องพยายามเอาเป็นเอาตายเพื่อให้คนเชื่อมากกว่า

          แต่ปัญหาหลักๆมันมาจากอะไรบางอย่างในตัวเขานี่ล่ะ ทีแรกเขาว่าตัวเองก็บ้าแล้วที่ดันไปใจเต้นกับเด็กสิบขวบ แต่อาการต่อมานี่ทำให้เขาปวดหัวหนักกว่าเดิม

          เมื่อก่อนตอนที่ยังทำงานในโรงงานนรก เขาก็โดนทุบตีอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่ากันตามตรง การทุบตีของอีกฝ่ายไม่ได้เจ็บปวดอะไรอย่างที่น่าจะเป็นนัก ออกจะสบายเสียด้วยซ้ำ เลยทำให้เขาเข้าใจว่าร่างกายตัวเองมันทนทานกว่าปกติ…แต่หลังจากที่ดันใจเต้นแปลกๆกับวิน และโดนวินจัดหนักจากการแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าวินจะใช้กำลังกับชาเพราะต้องการให้เขาสยบแต่โดยดี เลยทำให้เขารู้ตัว…

          “เป็นอะไรหรือเปล่า”

          ชาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองวิน ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านไปห้าปีได้แล้ว จากเด็กที่ท่าทางดูเอ๋อ ไม่คิดว่จะโตมาได้ขนาดนี้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ตัวเท่ากันกับเขาแล้ว

          “เปล่าครับ แค่เหม่อนิดหน่อย” ชายิ้มตอบระรื่น “นี่ก็จะสายแล้วนะครับ”

          “อ๊ะ นั่นสินะ” วินร้องเสียงตื่น ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านโดยที่ยังไม่ทันได้แตะอาหารเช้า

          ชา เพียงแต่ยิ้มส่ง ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนก็คือดูแลสวนของบ้านก่อนจะออกไปเรียน ซี่งไอ้สวนบ้านี่ก็กว้างแบบแกล้งคนดูแลเป็นยิ่งนัก ขนาดว่ามีคนสวนอยู่ตั้งสี่คน ยังทำงานกันหน้ามืดเลยทีเดียว

          แต่ ก็นั่นล่ะ คนมันเจออะไรโหดร้ายกว่านี้มาแล้ว แค่ทำสวนแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กมากทีเดียว นึกแล้วก็อยากขอบคุณชีวิตที่แสนเลวร้าย ที่ทำให้ตนกลายเป็นคนที่ทนทานต่อเรื่องแบบนี้ เสียจริง...ถึงแม้มันจะได้อะไรแปลกๆแถมมาด้วยก็ตามที...แม้จะเป็นแค่กับวินคนเดียวก็ตาม

          “เฮ้ย”

          เสียง ทุ้มของเพื่อนร่วมงานเรียกให้ชาต้องหันกลับไปมองที่ต้นเสียง เด็กชายตัวเล็กวัยขบเผาะเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าที่ไม่สดใสนัก และในตอนนั้นเขายังไม่เอะใจกับท่าทีแปลกๆของเดียร์เท่าใด เพราะความรู้สึกที่มีให้ในตอนนั้นคือรังเกียจ

          แน่ล่ะ ก็เดียร์เป็นลูกเมียน้อยเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ แถมคนที่พาเข้ามายังเป็น อาเขต ผู้เป็นพ่อของวินกับเดียร์นั่นเอง ใครต่อใครก็พากันคิดว่า การที่อาเขตพาเด็กคนนี้เข้าบ้าน เพราะหวังให้อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งกันทั้งนั้น ถึงจะเป็นเพราะแม่ของเดียร์เสียชีวิตหรืออะไรก็เถอะ แต่อาเขตไม่เคยทำกับลูกคนอื่นแบบนี้เลย แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไร อีกทั้งนั่นหมายความว่า อีกฝ่ายมีสิทธิ์ทำให้เป้าหมายของวินล้มเหลวด้วย...แม้ดูทรงแล้ว เดียร์จะสู้วินไม่ได้เลยก็ตาม

          แถม ที่สำคัญคือ เจ้าผู้ท้าชิงอีกคนที่มีแต้มต่อสูงกว่า ก็ดันรักไอ้น้องชายบ้านี่มากเสียจนน่ากลัว ขนาดริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว ชาได้ยินว่าแต่ก่อนตอนเดียร์เข้ามาที่นี่แรกๆวินยังเกลียดเข้าไส้อยู่เลยแท้ๆ แต่ไม่รู้เดียร์ไปวางยาอีท่าไหน จากที่เกลียดๆกลับมารักแบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยทีเดียว

          ยิ่งมารู้ทีหลังว่าที่วินอยากจะสืบทอดตำแหน่งต่อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้น้องชายที่ดูแสนดีมาทนทุกข์กับความโสมมของพ่อ ยิ่งทำให้เกลียดเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยร่วมวงไพบูลย์ไปกับการแกล้งเดียร์เลยสักครั้งเดียว เพราะสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญกว่าคือการหาทางสนับสนุนวิน และต่อให้ไม่ได้แกล้ง แค่ดูก็มีความสุขแล้ว

          แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม แถมยังเปลี่ยนชีวิตเขาไปจากเดิมอีกต่างหาก

          “เฮ้ย”

          เสียงทุ้มของวินทำเอาคนอื่นที่กำลังแกล้งเด็กกันอย่างเมามันส์พากันสะดุ้งหน้าซีดเป็นแถบ ใครจะไปคิดว่าวินที่เพิ่งไปโรงเรียนจะวกกลับมาแบบนี้กัน

          “นี่ถ้าฉันไม่ลืมสมุดการบ้านแล้ววกกลับมา ฉันก็คงไม่เห็นความจริงสินะ” แม้หน้าจะนิ่ง แต่รังสีสังหารที่แผ่ไปทั่วร่างบ่งบอกถึงชะตาชีวิตของคนที่กำลังจะโดดคาดโทษเป็นอย่างดี ยิ่งควงหมัดเดินเข้าไปแบบนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าจะต้องเจออะไรต่อ

          ชากลืนน้ำลายมองฉากสังหารหมู่ตรงหน้า ที่เขายืนตาค้างไม่ใช่เพราะกลัวกับความโหดร้ายของวินเลยสักนิด แต่เขากำลังอิจฉาอยู่ต่างหาก! นึกแล้วก็แสนจะเสียดายที่ตนไม่ตัดสินใจเข้าไปร่วมด้วยจริงๆ…แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากโดนวินเกลียดนักหรอก

          “อย่าให้ฉันเจออีกนะ ไม่งั้นไม่จบแค่นี้แน่” ไอ้แค่นี้ที่วินพูดนี่ แต่ละคนก็หน้าปูดกำเดาอาบกันทั้งคู่ “เดียร์ เป็นอะไรหรือเปล่า”

          เจ้าของชื่อตัวน้อยเพียงแต่ก้มหน้าแล้วส่ายหัว นั่นยิ่งทำให้วินหงุดหงิดหนักข้อ และหันกลับไปหมายจะลงมือระบายความแค้นให้สาแก่ใจ

          “ใจเย็นๆครับ เดี๋ยวพวกเขาก็ตายหรอก” หลังจากได้สติ ชาก็รีบเข้าไปห้ามเพราะไม่อยากเห็นภาพชวนน่าอิจฉาไปมากกว่านี้

          “อย่ามาห้าม ฉันจะฆ่าพวกมัน” วินโวยวายไม่พอยังเอาเท้าถีบใส่หน้าเท่าที่มีโอกาส ซึ่งก็ทำได้แค่เอาปลายเท้าเขี่ยหัวอีกฝ่ายเท่านั้น

          “ไม่นะครับพี่วิน อย่าทำไปมากกว่านี้เลย”

          เจ้าเด็กที่โดนรังแกและเอาแต่ก้มหน้าโดดเข้ามาห้ามด้วยการกอดเอวพี่ชายเข้าเต็มรัก และทั้งที่ดูแรงน้อยกว่าจม แต่กลับทำให้คนแรงควายอย่างวินยอมสงบลงได้ในทันที

          “แต่พวกมันรังแกนายนะ” วินร้องเสียงหลง

          “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่ถ้าพี่วินตะโกนจนคุณแม่มาริสาได้ยิน พี่จะแย่เอานะ”

          นั่นได้ผลยิ่งกว่าสิ่งใด จากที่กำลังโมโห ถึงกับอารมณ์ดับวูบ แน่ล่ะ ถ้ามาริสารู้ มันไม่มีทางจบลงแค่วินโดนดีอยู่คนเดียวแน่ เพราะมันจะทำให้ต้นเหตุอย่างเดียร์โดนไปด้วย…ซึ่งนึกแล้ว ชาก็อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ

          “เชอะ เอางั้นก็ได้ ถ้าพวกแกบอกแม่นะ ฉันจะเอาพวกแกถ่วงทะเล” วินข่มขู่ก่อนจะยอมถอยทั้งที่ไม่อยาก “แม่ง ทำเสื้อฉันเปื้อนด้วย ไอ้เวรเอ๊ย”

          อย่าไปโทษเลยครับ พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากจะให้เลือดตัวเองกระเด็นไปโดนเสื้อนักเรียนของคุณหรอก

          “ผมว่ารีบไปเปลี่ยนเสื้อดีกว่านะครับ นี่ก็ใกล้ได้เวลาที่คุณนายจะตื่นแล้ว” ชาแนะนำ “ไหนจะการบ้านของคุณอีก”

          “อ๊ะ นั่นสินะ” หนุ่มแว่นทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ จากนั้นก็หันไปหาเดียร์ “นายรีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่เข้าบ้านก่อนละกันนะ”

          “ครับ” เสียงหวานเอ่ยรับ แต่กลับไม่ทำตาม เพียงแค่ยืนมองพี่ชายเดินหายเข้าบ้านไป

          ชามองเด็กตัวเล็กด้วยความกังขา อีกฝ่ายไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด ดวงหน้าเรียวเล็กเงยมองขึ้นมา ทำให้ชาได้เห็นใบหน้าของเด็กชายได้อย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้เขาต้องแปลกใจ เพราะปกติเขามักจะเห็นเดียร์ทำสีหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้ เดียร์กำลังยิ้มให้ และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ชายอกสามศอกอย่างเขาถึงกับหวั่น...แน่นอนว่าไม่ใช่ เพราะความรู้สึกชวนจั๊กจี้เหมือนกับที่มีให้วิน...แต่มันเป็นอะไรที่ชวน สะพรึงกว่านั้น

          “คุณเป็นพวกมาโซคิสม์สินะ”

          ฟังแล้วชักกระตุกเลยทีเดียว

          “พูดอะไรของแก” ชาเผลอหลุดถามเสียงห้วน ซึ่งตามปกติเจ้าเด็กบ้านี่จะก้มหน้าลงด้วยความกลัวแท้ๆ แต่เดียร์กลับมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน กลายเป็นเขาเสียอีกที่รู้สึกไม่กล้ามองขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

          “ไม่ต้องปิดหรอกครับ ผมรู้แล้วล่ะ” เด็กชายพูดเสียงหวาน หากแต่กลับฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด “ผมสังเกตมานานแล้วล่ะตั้งแต่รู้จักกับคุณ ของแบบนี้มันปิดพวกเดียวกันไม่ได้หรอก”

          พวกเดียว…หรือว่า

          แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่จากรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขารู้ได้ทันที และนั่นทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้าง แสดงว่าที่ผ่านมาเจ้าเด็กนี่มันมีความสุขจากการโดนแกล้งมาตลอดอย่างนั้นน่ะสิ

          “พูดอะไรของแก ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง” ถึงอย่างนั้นแล้ว มีใครจะยอมรับกันบ้างล่ะ แถมยังเป็นเด็กที่เหม็นขี้หน้าอีกต่างหาก

          “หรือครับ แหม ผมรึ อุตส่าห์จะบอกวิธีทำให้พี่วินทุบคุณโดยที่เขาไม่เกลียดคุณสักหน่อย สงสัยคงคิดมาเสียเปล่า…”

          ถ้าไม่ใช่คนขี้ระแวงมาตั้งแต่แรก อาจจะเผลอโดดเข้าไปงับเหยื่อแล้วก็ได้

          “…เอาเถอะครับ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร” เดียร์ยิ้มกว้าง “แต่ถ้าอยากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ ผมยินดีทุกเมื่อ ยิ่งมีเพื่อนรสนิยมเดียวกันแบบนี้ผมดีใจเสียอีกนะ”

          ชาได้แต่นิ่งเงียบมองร่างเล็กที่กำลังเดินจากไป ตอนนี้ความรู้สึกมันตีกันยุ่งไปหมด เข้าทั้งแปลกใจ สงสัย ประหลาดใจ และหวาดกลัว

          ถึงจะไม่อยากเชื่อ แต่เห็นรอยยิ้มและสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ก็อดคิดเป็นแบบนั้นไม่ได้

          “อ้าว เป็นอะไรน่ะชา”

          เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มหันมองผู้เป็นนายที่ยืนมองตนด้วยความเป็นห่วง ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมหัวใจมันดันพองโตแปลกๆเสียได้นี่

          เขาก็รู้ตัวอยู่หรอก…แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันล่ะ อย่างน้อยที่สุด เขาก็เป็นแค่ลูกน้องที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แค่ได้มาอยู่ข้างกันแบบนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พยายามที่จะเดินก้าวไปในทางที่รู้ว่าไม่สมหวังมาตลอด…

          และทั้งที่รู้ว่าไม่สมหวัง แต่ไม่รู้เพราะตัดใจไม่ได้ หรือเพราะดันกลายเป็นคนที่มีความสุขกับเรื่องแปลกๆ ถึงได้ยังคงความรู้สึกนี้เอาไว้อยู่เรื่อยมา จนมันเริ่มจะเก็บไม่อยู่เข้าทุกที

          “เปล่าครับ ก็แค่…ยืนคิดนิดหน่อย” เขาว่าพร้อมกับเบี่ยงหน้าไปทางอื่น กลัวเหลือเกินที่จะหลุดความต้องการในใจออกมาให้อีกฝ่ายรู้

          วินนิ่วหน้ามองคล้ายกับไม่พอใจ ทำเอาชารู้สึกหวั่น และเขาก็หวั่นไม่เสียเที่ยว เพียงแค่ผิดเรื่องไปหน่อย

          เพราะโดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ทำหน้านิ่งเก่งอย่างไรก็เผลออดตาโตไม่ได้อยู่ดี

          “อ้าว ก็ไม่มีไข้นี่หว่า...อ้าว ไหงตัวเริ่มร้อนขึ้นแล้ว...”

          มันจะร้อนขึ้นเรื่อยๆอีกครับ ถ้าคุณยังไม่เอาหน้าผากของคุณออกไปจากหน้าผากของผม

          “ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ยืนเหม่อ” ชาพยายามทำเสียงให้ติดหงุดหงิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกลบเกลื่อนความความเขินที่พยายามจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ “ผมว่าคุณรีบไปโรงเรียนดีกว่านะ ผมเองก็ต้องรีบไปแล้วด้วย”

          ว่าจบก็พยายามเดินหนีไป แต่ไอ้คุณชายกลับรั้งมือไว้เสียอย่างนั้น และพอจะหันไปหมายจะต่อว่า ปากที่อ้าไว้กลับไร้เสียงออกมา เพราะไม่คิดว่าจะเห็นสีหน้าเป็นห่วงของอีกฝ่าย

          “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายกลุ้มเรื่องอะไร ถ้าไม่อยากบอกฉันก็จะไม่ถามหรอกนะ เพียงแต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฉันยินดีจะช่วย เข้าใจไหม”

          ชาค้างไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าให้

          “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนจริงๆล่ะ” วินยิ้มระรื่นเมื่อได้คำตอบที่ตนพอใจ ก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ชาเอาแต่ยืนมองทั้งที่ตัวเองก็บอกว่ารีบแท้ๆ

          บ้าจริง!

          ชายหนุ่มจับข้อมือตรงที่วินจับก่อนหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงเพราะกลัวใครจะมาเห็นสีหน้าของตนที่ตอนนี้คงแดงจนไปถึงหู

          “ทำแบบนี้ผมก็เลิกชอบคุณไม่ได้สิ...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงแล้วหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเข้าที่

          เขายอมรับว่ารู้สึกดีมากจริงๆ แต่ทั้งอย่างนั้น บางส่วนในใจกลับร่ำร้องสิ่งอื่นอีก...สิ่งที่เขาไม่ได้รับจากวินมาเกือบสี่ปีแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่จากนี้ไปก็คงไม่มีทางได้มาแน่ๆ ถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป

          เพราะไอ้เด็กบ้านั่นมันพูดขึ้นมา ถึงทำให้เรารู้สึกแบบนี้...

 

          “วันนี้เป็นอะไรเนี่ยชา” อาจารย์สอนยูโดถามชาที่ดูเหม่อๆจนโดนคู่ที่สู้ด้วย ทุ่มเอาๆจนท่าทางน่าจะช้ำไปหมดแล้ว “ปกติเราไม่ได้เหยาะแหยะแบบนี้นี่ แล้วนี่อะไร จับคู่กับใครก็แพ้เอาๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ครูจะไม่ให้เธอซ้อมต่อแล้วนะ”

          ผมอยากเจ็บตัวครับ...จะให้พูดแบบนี้ได้เรอะ บ้าสิ

          “ขอโทษครับ” ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ก่อนจะเริ่มตั้งใจเพราะกลัวจะโดนให้เลิกซ้อมจริงๆ

          ‘ถ้าอยากเมื่อไหร่ก็มาหาผมก็ได้ครับ’

          คำพูดของเด็กชายตัวน้อยแล่นผ่านหัว ความรู้สึกสับสนจนถึงเมื่อครู่หายวับ และเปลี่ยนเป็นความโกรธแทน ทำไมเขาจะต้องยอมจำนนต่อเจ้าเด็กนั่นด้วยล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งกับวินอีก ยิ่งไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเข้าไปใหญ่

          แต่พอยิ่งนึกต่อต้าน ความต้องการของร่างกายก็ยิ่งร่ำร้องจนชวนปวดหัว จะให้เขายอมโดนคนอื่นทำร้ายแบบอ้อมๆอย่างที่ทำอยู่ก็ไม่สามารถทำได้ตลอดด้วย อีกทั้ง แม้จะอิ่มเอม แต่ก็ไม่ได้เติมเต็มอย่างที่เคยได้รับจากวินเลยสักนิด

          แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี

 

          อย่าง ที่รู้กันว่าการจะไปสู่จุดมุ่งหมายที่สูง อุปสรรคขวากหนามก็เยอะตาม ยิ่งมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเป็นกระบุง ทั้งลูกน้อง ทั้งกิจการมืดและมืดมาก ทั้งวางแผนจะล้างกิจการที่ว่าอีก ไหนจะเรื่องเรียนที่ต้องเรียนหนักกว่าเด็กคนอื่นอีกเป็นเท่าตัว ต่อให้เก่งอย่างไรก็ถือเป็นการที่หนักหนาสาหัสสำหรับเด็กอยู่ดี

          “ไง”

          แม้จะทำน้ำเสียงหรือสีหน้าให้ร่าเริงมากแค่ไหน แต่คนที่อยู่กันมานานและแอบชอบมาตั้งนานอย่างชา มีหรือที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังย่ำแย่มากแค่ไหน อย่างน้อยๆขอบตาที่ดำเป็นหมีแพนด้านั่นก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าอีกฝ่ายนอนไม่พอมานานแค่ไหน

          “ดูแย่มากเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทักหลังจากอีกฝ่ายกลับมาจากโรงเรียน ซึ่งทำท่าเหมือนจะเลื้อยมากกว่าเดิน

          “อะไรกัน แค่นี้เอง ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าของลูกน้อง “นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

          “จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะครับ สภาพอย่างกับผีตายซากแบบนี้” ชาอดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณน่าจะลดงานลงบ้าง อย่างน้อยก็พอให้มีเวลานอนได้สักห้าหกชั่วโมงก็ยังดี”

          “ก็นอนตั้งสี่ชั่วโมงแล้วไง ไม่เป็นอะไรหรอก” พูดไปเซไปอย่างกับคนเมา ใครเขาจะเชื่อ

          “ผมว่าลดภาระตัวเองลงไปหน่อยก็ดีนะครับ ให้ผมช่วยก็ได้” หนุ่มหน้านิ่งอดเสนอตัวไม่ได้

          “ไม่ต้องหรอก นายเองก็มีงานของนายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ก็พอๆกับฉันนี่” เด็กหนุ่มโบกมือ “แถมนายเองก็มีเรื่องกลุ้มของนายอยู่ไม่ใช่หรือไง ไว้จัดการให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วค่อยมาช่วยฉัน”

          ชาได้แต่นิ่ง เขาจะไปจัดการไอ้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ จะให้พูดหรือไงว่า ‘ผมชอบคุณ ได้โปรดคบกับผมแล้วใช้แรงกายทั้งหมดของคุณโถมเข้าหาผมที’ เรอะ อย่างกับมันจะง่ายอย่างนั้นล่ะ

          “เฮ้อ” วินถอนหายใจเสียงดัง “เอาเถอะ ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันมีวิธีระบายความเครียดของฉันอยู่แล้วล่ะน่า”

          “อะไรครับ”

          ไม่รู้ว่าเพราะชาใช้น้ำเสียงกระสันมากไปหรือเปล่า เด็กหนุ่มถึงได้มองด้วยความหวาดระแวงปนลำบากใจจะตอบ

          “...สัญญาหรือเปล่าว่าถ้าบอกแล้วนายจะไม่เอาไปฟ้องแม่ฉัน”

          “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ” ลองกำชับให้เขาเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ เขานึกออกอยู่แค่สองเรื่องคือเกี่ยวกับเดียร์ ไม่ก็ไปทำตัวสำมะเลเทเมา ซึ่งอย่างหลังเขาไม่เคยเห็นว่าวินจะทำ เพราะแค่เวลานอนก็จะไม่มีอยู่แล้ว “แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงยังไง ผมก็ไม่บอกใครหรอกครับถ้าคุณสั่ง ผมเป็นลูกน้องคุณนี่ครับ ไม่ได้เป็นลูกน้องของคุณมาริสาสักหน่อย”

          ผมจะรักษายิ่งชีพแม้ว่าจะโดนทรมานมากแค่ไหนก็ตาม นั่นมันความสุขของผมเลยล่ะครับ

          ดูวินจะลังเลอยู่พอควร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอก “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เที่ยงคืน นายไปรอฉันที่ประตูหลังบ้านก็แล้วกันนะ”

          นี่ขนาดคิดว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่นะ แต่หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นระรัว แถมยังตื่นเต้นจนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่เลยทีเดียว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่มันไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เดท’ แท้ๆ


____________________________
บ้านใครหนาวแล้วบ้าง บ้านคนเขียน....ร้อนมากเลย =_=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: real port ที่ 13-12-2014 19:42:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 13-12-2014 22:00:42
แนวร่วมรสนิยมเดียวกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเชียวนะเดียร์
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 13-12-2014 22:52:15
เดียร์นี่เด็ดแต่เด็ก

ปล.บ้านคนอ่านก็ร้อนจ้า
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 13-12-2014 23:00:35
ความลับไรง่ะ  :hao4:
ที่ชาอดมาตลอด 4 ปีนี้คือ วินไม่ไม่แสดงบทโหดใช่เปล่า ชาเลยอดอยาก o22
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 15-12-2014 10:30:07
ตอนแรกวินก็ดูดีนี่ ไหงมาโหดซะได้  :ruready
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 46 (13/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 16-12-2014 14:59:56
โอ๊วว.ว.ว..ววรอตอนต่อไป อยากอ่านคู่2คนนี้ตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 47 (21/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 21-12-2014 00:03:31
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 47
         
          ชาหันมองไปรอบๆตัว ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่แสนจะเงียบสงัด ตรงบริเวณหลังโรงเรียนของวิน ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างที่มีหญ้าคาขึ้นเป็นหย่อมๆ กับสิ่งก่อสร้างที่วางทิ้งไว้ด้านข้าง เสาไฟที่มีเพียงสองดวงช่วยส่องให้เห็นพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน และในตอนนี้มีเพียงเขากับวินอยู่กันสองคนเท่านั้น

          “นายไปแอบอยู่หลังเสาคอนกรีตแถวนั้นแล้วห้ามออกมาเด็ดขาดเลยนะ ดูอย่างเดียวพอ เข้าใจไหม” วินสั่งพลางชี้ไปยังกองเสาที่วางนอนเป็นพะเนิน “ห้ามส่งเสียงด้วย”

          คนฟังได้แต่เลิกคิ้วและพยักหน้ารับ ทำตามแล้วรออยู่ไม่นาน ชาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาหาจากอีกฝั่ง ดูจากรูปร่างหน้าตา น่าจะอายุพอๆกับวิน แต่ละคนหน้าตาท่าทางหาเรื่องกันมาแต่ไกลเลยทีเดียว

          “ไอ้คุณชายสี่ตา กล้ามากนะที่บังอาจแย่งน้องเอ๋ไปจากฉัน” คนที่เดินนำแถวมาเอ่ยเสียงกระโชกโฮกฮากพลางชี้หน้าวิน เล่นเอาชาเกือบจะลุกออกไป แต่ยั้งทันเพราะจำคำสั่งได้ “วันนี้ไม่สั่งสอนรุ่นน้องอย่างแกให้รู้สำนึก ฉันไม่เลิกเฟ้ย”

          “โถ ผู้หญิงเขาไม่รักแกเองแล้วมาโทษฉันได้ไง” วินเอ่ยยียวน ซึ่งเป็นท่าทีที่ชาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย “แล้วคิดหรือว่าพาพวกมาแค่นั้นจะทำอะไรฉันได้”

          “ปากวอนตีนไม่เลิกนะแก” คนเดิมว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อยากได้นัก จัดให้โว้ย”

          ด้วยความที่มักจะรักษาคำสั่งยิ่งชีพ เขาจึงไม่ทำอะไรนอกจากมอง อีกทั้งเขาเองก็รู้ดีว่าแค่หกเจ็ดคน ไม่คณามือพ่อแว่นแรงควายของเขาหรอก

          แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาหวนนึกถึงใบหน้าของวินตอนที่จับตนทุ่มเสียอยู่หมัดได้ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำจนกระทั่งได้มาเห็นอีก

          “ฮ่าๆ แค่เนี้ย อ่อนเป็นบ้า” วินหัวเราะพร้อมกับชกสวนอีกฝ่ายเข้าเบ้าหน้าอย่างจัง ส่งผลให้อีกฝ่ายหงายล้มลงไปกองกับพื้น “เอ้า อย่ามัวแต่นอน แค่นี้มันไม่พอหรอกนะ”

          ชาตาค้างมองความโหดเหี้ยมของเจ้านายที่ถึงขนาดอีกฝ่ายลุกไม่ไหวแล้วยังจะลาก ขึ้นมาซ้ำแบบกะให้ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย และทั้งที่ทำเรื่องโหดร้ายอยู่แท้ๆ แต่ใบหน้าของวินกลับดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

          ....

          ชายหนุ่มขย้ำเสื้อตรงอกแน่น ความรู้สึกบางอย่างทำท่าจะระเบิดออกมารอมร่อ แต่ก็ต้องทนและพยายามไม่มองสิ่งที่เกิดขึ้น…ขืนมองของก็ขึ้นกันแถวนี้พอดี

          อยากโดนทำเป็นบ้า โอ๊ย

          กินเวลาไม่นาน ฉากฆาตกรรหมู่ก็จบลง เหลือเพียงคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากคนสลบ รอยยิ้มเย็ยเหยียดกว้างกับผลงานตรงหน้า นี่ถ้าอาบเลือดอีกหน่อยคงเหมือนฆาตกรโรคจิตเป็นแน่

          “นี่หรือครับ วิธีระบายความเครียดของคุณ”

          เหมือนวินจะลืมไปเสียแล้วว่าชาอยู่ด้วย ท่าทางกระอักกระอ่วนเหมือนทำตัวไม่ค่อยถูกนัก อีกทั้งยังดูรู้สึกผิดนิดหน่อยด้วย

          “อืม” เด็กหนุ่มตอบรับสั้นๆ “ไอ้ให้ทำตัวดีๆ อดทนนานๆ มันก็อดไม่ได้บ้างนี่นา ต่อให้ซ้อมตอนเรียนวิชาต่อสู้มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีนี่”

          “…แต่คุณก็มีลูกน้องตั้งเยอะ เอาสักคนมาเป็นที่ระบายอารมณ์ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นจะต้องออกมาเสี่ยงทำแบบนี้เลย” เช่นผมเป็นต้น

          “ฉันไม่ทำหรอก” วินเอ่ยเสียงเฉียบ “ไม่ว่าจะเพราะอะไร ฉันไม่มีวันจะทำร้ายลูกน้องตัวเองเด็ดขาด”

          ชาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังซึ้ง หรือกำลังเสียใจอยู่กันแน่

          “อีกอย่าง ฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน นายก็รู้ เรื่องให้ไปใช้กำลังก่อนน่ะ ฉันไม่เอาหรอก…ยกเว้นถ้าอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องก่อนน่ะนะ…” ไม่ว่าเปล่ามีฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ให้คนมองใจระทวยเล่น “ถึงนานๆจะมาสักที แต่ก็หายเครียดไปเยอะเลยล่ะ…เพราะงั้นนายห้ามบอกแม่นะ ไม่งั้นโดนห้ามแน่ๆ มีหวังฉันเครียดตาย”

          ชายหนุ่มจ้องมองเจ้านายที่กำชับด้วยท่าทีหวาดผวา ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างเก้ๆกังๆ

          “ขอบใจนะ ฮะๆ ฉันคิดอยู่แล้วว่าถ้าเป็นนายล่ะก็ต้องเชื่อได้แน่” วินกลับมาเริงร่าเป็นคนเดิมอีกครั้งก่อนจะตบหลังชาเสียแรง “เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ยังไงฉันก็หาทางให้ตัวเองได้อยู่แล้ว นายก็จัดการเรื่องของนายไปเถอะ”

          ถ้ามันง่ายแบบคุณก็ดีสิครับ…

          ดวงตาเรียวมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำกลับบ้าน อย่างน้อยเขาก็ได้รู้เรื่องดีๆแล้วว่าวินมีวิธีระบายความเครียดด้วยสิ่งที่เขาอยากได้รับ ติดแค่ว่าวินคงไม่มีทางนำมาใช้กับเขาแน่นอนแล้วนี่น่ะสิ

          บ้าจริง…

 

          “ไงฮะ ทนไมได้แล้วเหรอ”

          ชาชักสีหน้าใส่ แม้จะไม่พอใจอย่างไรก็ไม่อาจต้านความต้องการเอาไว้ได้ แต่กว่าจะหาทางติดต่อเดียร์และคุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แม้เดียร์จะอยู่บ้านเดียวกับวินก็จริง แต่เพราะคนอื่นล้วนแต่จับตามองในฐานะลูกเมียน้อยที่อาเขตรักกว่าใครเพื่อน อีกทั้งตัวชาเองก็อยู่ในบ้านพักส่วนของคนใช้ คนในบ้านนี้เองก็ไม่ใช่น้อยๆ จะติดต่อให้ลับหูลับตาคนนับว่าลำบากเอาเรื่อง เพราะอย่างนั้น ชาถึงลงทุนนัดเดียร์ในวันไปเรียนแบบนี้แทน

          “คงลำบากน่าดูเลยสินะครับ กว่าจะเอาจดหมายมาให้ผมได้” เด็กชายเอ่ยพลางหยิบจดหมายนัดที่ชาแอบส่งให้ ขึ้นมาคืนเจ้าของ “นี่ถ้าผมไม่โดนแกล้งแล้วกระเป๋าไปตกอยู่ที่เท้าคุณ คุณก็คงส่งจดหมายนี่ให้ผมไม่ได้แน่”

          “เลิกนอกเรื่องได้แล้ว” ชาพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ “นายต้องการอะไรถึงจะช่วยฉัน แล้วไอ้ช่วยที่ว่า มันจะทำได้จริงๆเรอะ”

          “เดี๋ยวสิครับ” เดียร์ค้านเสียงเฉียบ “เรื่องช่วยน่ะ ผมช่วยแน่ แต่ก่อนอื่น ผมอยากจะให้คุณเข้าใจก่อน”

          คนฟังนิ่วหน้า “อะไร”

          “ที่ผมทำแบบนี้เพราะอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ” ซึ่งนั่นเป็นประโยคที่ทำให้เขาถึงกับหน้าเบี้ยว “ก็คนที่ชอบแบบนี้มันไม่มีเลยนี่นา”

          ใครมันจะผิดปกติแต่เด็กเหมือนอย่างแกกันล่ะ...แต่จะไปว่ามันก็เหมือนโดนตัวเองด้วยแฮะ...

          “แล้วก็บอกไว้ก่อนเลยว่า ไอ้เรื่องตำแหน่งผู้นำของบ้านอะไรนั่น ผมก็ไม่คิดจะเอาหรอก สบายใจได้เลย” เด็กชายพูดต่อราวกับอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ “ขืนเป็นผู้นำ ผมก็อดใช้ชีวิตแบบลำบากยากเข็ญพอดีสิ”

          ใจจริงเขาก็ไม่อยากจะเชื่อนัก แต่ตอนนี้ชักสองจิตสองใจ เพราะไอ้คนพูดมันดูมีอินเนอร์ดีเหลือเกิน

          “และผมก็ไม่คิดจะแย่งพี่วินไปจากคุณด้วย” คราวนี้คนฟังถึงกับหน้าเหวอ “ถ้าพี่เขารังแกผมก็ว่าไปอย่าง...แต่ไอ้บ้านั่นแม่งเลี้ยงดูปูเสื่อผมซะดิบดี ผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่เกิดกินอะไรผิดสำแดงมา แต่ที่แน่ๆ ผมขยะแขยงมากๆ...แต่ถึงพี่วินจะรุนแรงจริงๆ ผมก็ไม่คิดกับเขาเกินนั้นหรอก ก็แค่เครื่องมือทรมานตัวเองที่แสนสะดวกและได้อารมณ์ก็เท่านั้น”

          ชาไม่แน่ใจว่าตนควรจะโกรธเรื่องที่เดียร์เรียกวินว่าไอ้บ้า หรือควรจะสยองกับคำพูดและสีหน้าที่ดูจะอยากโดนทำร้ายเข้าถึงจิตของเดียร์ดี

          “...นี่นายเป็นมาโซคิสม์จริงๆเรอะ” แม้จะแสดงออกมาขนาดนี้ แต่ชาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี

          “นี่ผมยังพิสูจน์ให้เห็นไม่พออีกหรือครับ” เด็กชายถามกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ถ้าคิดว่าผมโกหกก็ซัดผมให้เต็มแรงเลยสิ”

          “พูดง่ายนะ” ถึงจะอยากทำจริง แต่ให้ทำในที่สาธารณะที่มีคนเดินกันขวักไขว่ มีหวังได้โดนรุมประชาทันฑ์ข้อหาทำร้ายเด็กเป็นแน่

          “เอาเป็นว่าไอ้เรื่องพิสูจน์น่ะช่างมันเถอะ” เด็กชายโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องข้อตกลงของเราล่ะครับ”

          ชายหนุ่มจ้องหน้าเด็กตัวน้อย ว่ากันตามตรงตอนนี้เขาชักเริ่มกลัวอีกฝ่ายมากกว่า เพราะสายตาของเดียร์ในตอนนี้ไม่ใช่สายตาของคนอ่อนต่อโลกและไม่กล้าสู้คนอย่างที่มักเป็น แต่เป็นสายตาของสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องเหยื่ออยู่ต่างหาก แถมยังเป็นการมองเหมือนต้องการหยอกเล่นเสียด้วย

          “ฉันตกลง” เสียงทุ้มดังอย่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ๆเด็กชายก็ลุกขึ้นออกจากม้านั่งในสวนสาธารณะ “ฉันไม่เข้าใจ นายจะอยากมีเพื่อนไปทำไม…”

          เด็กชายทำหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อในคำพูดเท่าใดนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา เล่นเอาคนมองเกือบของขึ้น

          “ผมเองก็อึดอัดเป็นเหมือนกันนะครับ ถึงจะชอบก็เถอะ” เดียร์เอ่ยคำฟังดูลักลั่นย้อนแย้งกันเอง “ผมอยากจะมีเพื่อนคุยในเรื่องที่เราคุยกันได้ทุกเรื่องนี่นา ไม่ว่าจะเป็นความสุขจากการโดนพูดเหยียดหยามพร้อมโดนทำร้าย เวลาโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่เจ็บปวดหรือรังเกียจมันชวนให้ตื่นเต้นมากแค่ไหน แล้วถ้าได้แบ่งปันความสุขนี้ให้คนอื่นฟังได้ด้วย มันคงจะดีจนหาใดเปรียบเลยล่ะครับ”

          ถ้าเป็นคนธรรมดาอาจจะอยากถอยห่างไอ้เด็กบ้านี่ไปแล้ว เสียแต่ชากลับรู้สึกเห็นด้วยนี่ล่ะ

          “ก็จริงของนาย” แม้กระนั้น น้ำเสียงกลับไม่บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างที่พูดนัก เพราะยังนึกระแวงไม่เลิก “แล้วไง ฉันยอมเป็นเพื่อนนายแล้ว เรื่องที่ตกลงล่ะ”

          “ใจเย็นๆสิครับ” เสียงหวานบอกอย่างใจเย็น “ขืนผมบอกตอนนี้ คุณก็อาจจะไม่ทำตามสัญญาผมในทันทีก็ได้นี่จริงไหม”

          ชาได้แต่กัดฟัน

          “เอาเป็นว่า อย่างน้อยเราก็มาทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นดีกว่านะครับ” เดียร์ว่าพลางยื่นมือเล็กออกมา ทำเอาชาต้องมองแล้วมองอีกเพราะไม่แน่ใจว่านี่มันมือเด็กผู้ชายจริงหรือเปล่า “แล้วรับรองว่าของตอบแทนคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม”

          ซึ่งเขาก็ไม่คิดหรอก ว่ามันจะคุ้มจนกระอักขนาดนี้...

 

          ความคิดพลันหยุดลงเมื่อมาถึงตรงช่วงนี้ หากเป็นเมื่อตอนที่มีวินอยู่ข้างกาย เขาอาจจะไม่กลัวที่จะต้องคิดต่อ ความรู้สึกโหยหามันล้นปรี่จนทรมานและมีความสุขจนมั่วไปหมด แต่เพราะรู้สึกคิดถึงเสียมากกว่า จึงไม่กล้าจะคิดต่อ เพราะกลัวจะเป็นบ้าไปเพราะอยากจนลงแดงนี่ล่ะ

          อีกทั้งเพราะแค้นไอ้ต้นเรื่องสุดกำลังแบบไม่สามารถหาทางระบายได้ด้วยนี่ล่ะ คิดแล้วก็ยังแค้นไม่หายเลย...บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมถึงกล้าทำกันแบบนี้ได้นะ

          ชายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของตน พอมาย้อนคิดดูก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะสามารถเดินมาถึงตรงที่หวังได้ แม้ตอนนี้มันจะถอยกลับจนน่ากลัวก็ตาม

          ดวงตาเรียวเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย การต้องอดทนอย่างไม่รู้จุดจบมันชวนให้ทรมานยิ่งนัก เมื่อใดกันที่จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างเก่า...กลับไปหาคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ...

          ไอ้เจ็บน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เหงานี่สิ...แย่กว่ากันเยอะ ถ้าต้องมีชีวิตอยู่คนเดียวแบบนี้ ยอมโดนเกลียดเพื่อให้อยู่กับคุณตลอดไปยังจะดีกว่า…หรือไม่โดนทำร้ายก็ยอม เอ้า นี่ต่อรองแบบขาดทุนสุดๆเลยนะ!

          “บ้าจริง” ชายหนุ่มด่าตัวเองเสียงค่อย ยิ่งทำร้ายตัวเองก็มีแต่จะส่งผลตรงข้าม “ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ต่อให้มาอ่อนโยนหรือทำดีด้วยผมก็ยอมอยู่หรอกนะ…”

          “งั้นหรือ”

          ก่อนที่จะยื่นบัตรไปเปิดประตูอพาร์ตเมนต์ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดึงมือของชาเอาไว้เสียก่อน และพอหันไปเห็นก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่า ถึงกับขยี้ตาตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบเพราะไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง

          “...จะขยี้อีกนานไหม ถ้านานฉันจะได้กลับ”

          “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ชาร้องเสียงหลงพร้อมกับโดดเข้าไปตะปบไหล่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว และทันทีที่เห็นสายตาคมที่จ้องกลับมา ก็เล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือที่จับก็เด้งกลับอย่างรวดเร็วเหมือนโดนไฟลวก “ข…ขอโทษครับ”

          วินเพียงแต่นิ่งมอง ไม่ได้ว่าอะไรที่อีกฝ่ายทำตัวตื่นแม้แต่น้อย ทำเอาคนที่หวังจะโดนดีสักนิดถึงกับปิดอาการผิดหวังไม่มิด

          “มีอะไรอย่างนั้นหรือครับถึงได้มาที่นี่” เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ชาจึงเอ่ยถามออกมาเพราะทนไม่ได้ ดวงตาเรียวเลื่อนลงต่ำหลบอีกฝ่าย ไม่อยากจะมองนานๆเนื่องด้วยยังงอนเรื่องก่อนหน้า บวกกับถ้ามอง ไอ้ที่โกรธๆคงหายหมด แล้วเปลี่ยนเป็นอยากจะสไลด์เข้าไปแทบเท้าเป็นแน่

          “มีธุระนิดหน่อยที่โรงงาน” เสียงทุ้มตอบห้วนๆ ฟังดูเย็นชาและไร้อารมณ์ “เลยมาหานายเป็นของแถม”

          ใครฟังแล้วคิดยังไงไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้ความโกรธมันเริ่มจะมลายหายไปทุกที...บ้าจริง อย่าพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้สิครับ ผมยังโกรธคุณอยู่นะ!

          “ดูท่าทางจะสบายดีนี่” หลังจากเงียบกันไปอีกพักใหญ่ คราวนี้วินก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น และเป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังถึงกับงอนออกนอกหน้า

          “ดูตรงไหนหรือครับถึงเห็นว่ายังสบายดี” ชาสวนกลับเสียงขุ่น อยากจะร้องไห้ใส่เสียเหลือเกิน เสียแต่ตอนนี้ดันดีใจที่ได้เจอหน้าจนร้องไห้ไม่ออกนี่แหละ แถมยังต้องสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้โผเข้าหาอีกฝ่ายด้วย “ผมว่าผมเข้าใจว่าคุณแค่สายตาสั้นเสียอีก”

          แต่ไอ้เรื่องกวนบาทานี่ ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว ก็ขอสักหน่อยเหอะ

          วินชักสีหน้า อ้าปากหมายจะด่า แต่กลับไม่มีการบรรเลงเพลงหวานให้ชาได้สมใจหวัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ใจเย็น ชาก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมหนุ่มแว่นถึงเอาแต่อดทนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดไม่ทันจบก็โดนตบบ้องหูเข้าแล้ว

          แต่นี่อะไร เอาแต่ยืนนิ่งแล้วจ้องหน้ากันเนี่ยนะ...ถึงจะจ้องด้วยสีหน้าไม่พอใจก็เถอะ แค่นี้มันจะไปได้อารมณ์ที่ไหนกันล่ะ

          “อะไร นี่นอกจากสายตาจะแย่แล้วหูยังแย่ลงด้วยหรือ นี่ก็ยังไม่ทันจะถึงเลขสามเลยนะครับ หูตาฝ้าฟางอย่างกับคนแก่ไปได้” ชาเริ่มทำการยั่วโมโหแบบไม่ติดเบรค

          แต่ขนาดนั้นแล้วยังจะเงียบ จนคนด่าเริ่มกลับเป็นฝ่ายโมโหแทน

          “ทำไมถึงเอาแต่เงียบอยู่ได้!” ชาเริ่มขึ้นเสียงอย่างเหลืออด กระนั้นก็ยังกดเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป “คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ถึงมาหาผมแบบนี้กันน่ะ แค่จะมายืนนิ่งเป็นรูปปั้นมองผมอยู่อย่างนี้งั้นหรือไง...พูดอะไรบ้างสิ! ลืมพกปากมาหรือไง หา ไอ้แว่น!”

          ชายหนุ่มยืนหอบมองเจ้านายที่ยังไม่มีการเปลี่ยนสีหน้า วินยังคงนิ่ง แต่ชาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังระงับอารมณ์เอาไว้อยู่ และนั่นยิ่งทำให้คนมองโมโหหนัก แซวก็แล้ว ด่าก็แล้ว พ่อคุณแกก็ไม่ทำอะไรเลย คนที่อุตส่าห์หวังว่าจะได้รับความรุนแรงบ้างถึงกับเศร้าแบบไม่ปิดบังเลยทีเดียว

          ตอนที่เห็นวินขยับตัว ความหวังก็ก่อเกิดขึ้นบนใบหน้า แต่หนุ่มแว่นไม่ได้ทุบ ตบ เตะ หรือแม้กระทั่งหยิกอย่างที่ชาหวัง อีกฝ่ายเพียงแต่ชี้หน้าวินด้วยท่าทีเหนือกว่าเท่านั้น

          “จบเรื่องทั้งหมดเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาเคลียร์กับนายทั้งต้นทั้งดอกเลย...รวมถึงที่ด่าฉันเมื่อกี้ด้วย”

          บางทีอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ ถ้าหน้าเดียร์ไม่ลอยแว้บมาพร้อมกับคำพูดนั่น

          ไม่ว่าเมื่อไหร่ คุณก็เห็นเขาเป็นที่หนึ่งตลอดสินะ...

          “…คุณไม่คิดว่าตัวเองจะผิดบ้างหรือครับ” ด้วยความน้อยอกน้อยใจเหลือทน เลยอดพูดออกมาไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่า

          “สำหรับนาย ฉันไม่เคยผิดอยู่แล้วว่ะ” วินว่าหน้านิ่ง ก่อนจะส่งเสียงเดาะลิ้นใส่ “อย่าคิดว่าฉันจะทิ้งหมาที่ตัวเองเก็บมาง่ายๆนะ ลองว่าตัดสินใจเก็บมาแล้ว ฉันก็เลี้ยงจนกว่ามันจะตายกันไปข้างนั่นล่ะ”

          ชาเพียงแต่เงียบ ฟังผ่านๆอาจจะดูเหมือนดูถูกเหยียดหยาม แต่สำหรับเขามันไม่ต่างจากขอแต่งงานเลยสักนิด แล้วจะไม่ให้รู้สึกเขินจนอยากจะบ่ายหน้าหนีได้อย่างไร แต่ดวงตาคมที่จ้องกลับมาสะกดให้เขาขยับตัวไม่ได้ มันช่างชวนให้รู้สึกโหยหาและคิดถึงยิ่งกว่าสิ่งใด จนนึกเสียดายหากจะหลบตา

          “คุณนี่มันขี้โกงจริงๆ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาจนแทบจะละลายไปกับสายลม “คิดว่าพูดแค่นั้นแล้วผมจะยอมหรือไง”

          แต่เอาจริงๆนะ บ้าเอ๊ย! ยอมตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว

          “ทำไมฉันต้องสนด้วยว่าหมาของฉันมันจะยอมหรือไม่ยอมวะ ฉันเป็นเจ้าของ จะทำอะไรกับแกก็ได้โว้ย” ยิ่งฟัง ชาก็เริ่มระทวยแปลกๆ “...สรุปแล้วนายชอบเดียร์หรือเปล่า”

          หมดอารมณ์กันเลยทีเดียว จะให้ซึ้งให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้

          “เปล่าครับ” ชาตอบอย่างอ่อนใจ “ผมเห็นเขาเป็นเพื่อน ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วครับ”

          แต่ตอนนี้ลดขั้นมันไปเยอะละ...ไอ้เด็กผีนั่น มีโอกาสเมื่อไหร่จะชำระแค้นบ้าง คอยดู!

          “แล้วทำไมนายถึงสนับสนุนให้เดียร์รักกับสิทธิ์ ทั้งที่นายก็รู้ว่าฉันเกลียดมัน”

          “ผมไม่ได้สนับสนุนครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุดจะทน ความน้อยใจพุ่งทะยานออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ อาจเพราะอดทนไว้นานแล้ว พอมาเห็นหน้าเจ้าตัว เขื่อนมันเลยทะลักโดยที่ไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ “ไม่สิ ว่ากันตามตรง ผมก็อยากจะให้คุณเดียร์ไปจากชีวิตคุณเหมือนกันนั่นล่ะ จะไปกับใครยังไงก็ได้ อย่างน้อยก็ให้ห่างจากคุณ!”

          หนุ่มแว่นเบิกตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อหูนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยต่อว่าต่อขานอะไรเมื่อเห็นสีหน้าของชาที่ดูเจ็บปวดเหลือเกิน

          “ไม่ว่าเมื่อไหร่ คุณก็เห็นคุณเดียร์มาก่อนเสมอ...ไม่เคยหันมามองผมบ้างเลย...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยตัดพ้อ ในตอนนี้เขาไม่อยากจะมองหน้าวินนัก สิ่งเดียวที่อยู่สมองตอนนี้คืออยากจะระบายออกมาให้หมด “ผมก็แค่รักคุณ...ผมไม่ได้หวังว่าจะได้รับความรักตอบ แค่อยากให้คุณเชื่อใจผมบ้าง สนใจผมสักครึ่งของที่คุณสนใจเดียร์บ้างสิครับ ผมเป็นหมาของคุณไม่ใช่หรือไง ไม่มีหมาตัวไหนมันทรยศความเชื่อใจของเจ้านายหรอกนะครับ”

          ว่าจบก็ก้มหน้าหอบหายใจและหลับตาปี๋ พอระบายออกมาหมดก็ชักเริ่มกลัวและอยากจะสาปส่งตัวเองขึ้นมา ไอ้อันนี้มันแย่กว่าตอนหลอกด่าวินไปหลายขุม นี่ก็ดันพล่ามออกไปหมดเปลือก แถมยังใส่อารมณ์เสียเต็มที่ จะมากลับลำบอกว่าล้อเล่นก็คงไม่ทันแล้ว

          “นายบอกว่ารักฉันหรือ”

          คนพลั้งปากก่อนถึงกับกระตุก ใบหน้าแดงวูบกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แค่คำปฏิเสธเท่านั้นที่เขาไม่อยากได้ยิน

          “ฉันถามว่า แกรักฉันเรอะ หา!”

          “คะ...ครับ!” เนื่องจากอายจนทนไม่ได้ แม้จะไม่อยากตอบก็ต้องตอบ เพราะไม่อย่างนั้น มีหวังคุณชายแกคงตะเบ็งเสียงดังกว่าเดิม คราวนี้ละ ได้อายกว่าเดิมอีก...ถึงมันจะชวนให้รู้สึกดีนิดๆก็ตามเถอะนะ...

          วินทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนัก หนุ่มแว่นอ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นเสียงถอนหายใจแทน

          “ที่เที่ยวทำตัวกวนโมโหฉัน เที่ยวคุยกับเดียร์แบบสนิทสนมออกนอกหน้าทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนมาทำกับน้องชายฉัน เพราะอยากให้ฉันสนใจนาย...เพราะนายรักฉัน...อย่างงั้นเรอะ”

          สิ่งเดียวที่ชาทำได้ในตอนนี้คือพยักหน้า ตอนนี้อายจนร้อนไปหมด แต่พอได้ยินเสียงถอนหายใจของวินอีกครั้ง ใจมันก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

          กลัวที่จะโดนเกลียด...แต่กลัวยิ่งกว่าคือการโดนปฏิเสธ

          เขาหวังไว้แค่ว่าอย่างมาก วินก็จะแค่รังเกียจในสิ่งที่เขาทำ ไอ้เรื่องมาหวังให้วินมารักเนี่ย แทบจะไม่เคยคิด...ก็ลองมีอุปสรรคตัวโตอย่างเดียร์ ใครมันจะไปกล้าหวัง

          “ฉันถามใหม่นะ แค่นั้นจริงๆหรือเปล่า”

          คำถามนี้ทำเอาเผลอเงยหน้ามอง ดูท่าทางวินจะดูหงุดหงิดไม่น้อย นั่นทำให้คนมองตัวสั่น และรีบพยักหน้าตอบรับไป...แต่วินกลับหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิมจนชาเริ่มสงสัยแทน

          “แค่นั้นจริงๆเรอะ” คราวนี้มีกำหมัดแน่นเหมือนขู่ ซึ่งชาก็รู้และในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากให้โกรธสักนิด แต่เขายอมรับว่าอดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้จริงๆ “ฉันให้โอกาสอีกครั้ง”

          “ครับ...ผมรักคุณ...จริงๆนะครับ ไม่ได้โกหกสักหน่อย” ด้วยความที่เข้าใจว่า อีกฝ่ายคงจะไม่เชื่อ ว่าลูกน้องที่อยู่กันมานานแถมยังเป็นผู้ชายจะมาเอ่ยสารภาพรัก ชาจึงยอมรวบรวมความกล้าตอบออกไปอีกครั้ง

          แต่ดูเหมือนเขาจะเดาใจคุณชายแกผิดอีก วินถึงได้หงุดหงิดจนหน้าเบี้ยว

          “คนอย่างแกนี่มัน...” เห็นหมัดที่ยกขึ้นมาถึงกับเผลอยิ้มทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นการยั่วโมโหอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับทำให้ชาถึงกับผงะ

          เพราะแทนที่จะได้รับแรกกระแทกจากหมัดแสนรัก กลับโดนลูบหัวแทน เท่านั้นยังไม่พอ คนที่ออกอาการโมโหจนถึงเมื่อครู่ได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เพียงพ่อแว่นที่ยิ้มได้สดใสและชวนแสบตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

          “นายนี่มันน่ารักเหลือเกินนะ”

          อยากได้คำชมนะ แต่ถ้ามาอย่างนี้ล่ะก็....สยองโว้ย!!

          “ฮ่าๆๆ นั่นล่ะที่ฉันอยากเห็นมาตั้งนาน โอ๊ย” วินหัวเราะด้วยความสะใจเมื่อเห็นชาทำท่าจะเป็นจะตายเหมือนเพิ่งเห็นของแสลงที่สุดในชีวิตมาหมาดๆ “ก็เป็นซะอย่างนี้นี่นะ”

          “...หมายความว่าไงครับ” หลังจากพยายามลบภาพเมื่อครู่ออกจากหัวจนสำเร็จ ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยสุดขีด

          วินไม่ตอบ เขาเพียงแต่ตีหน้าหน่ายใส่ ก่อนจะถอนหายใจอีก

          “นายน่ะ เลิกแกล้งทำเป็นยั่วโมโหฉันได้แล้ว” แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ “ถ้าอยากให้สนใจหรือทำอะไร ก็บอกตรงๆสิวะ มัวแต่ทำอ้อมโลกแล้วใครมันจะไปตรัสรู้ได้กันล่ะ”

          “ของแบบนี้จะให้พูดกันง่ายๆได้ยังไงล่ะครับ” ชาว่าเสียงสั่น ก่อนจะออกอาการเศร้า “ถ้าพูดแล้วความสัมพันธ์ในตอนนี้จะหายไป ใครมันจะกล้า ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนคุณนะ...”

          เงียบไปพักใหญ่ ทีแรกชาคิดว่าจะโดนด่ากลับเสียแล้ว แต่วินกลับไม่มีคัดค้านแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะแสดงอาการไม่พอใจให้เห็นด้วย ยิ่งทำให้ชาเริ่มเป็นห่วงวินขึ้นมาแทน

          “ก็จริงของนาย” คราวนี้กลับเห็นด้วยอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นนัก เล่นเอาชาถึงกับหน้าเหวอ “เอาเป็นว่าหลังจากนี้ ถ้าอยากให้สนใจก็บอก แล้วฉันจะทำเท่าที่นายต้องการเลย”

          มันไม่พอ...จะให้พูดแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!

          “อย่ามาโกหกผมเสียให้ยากเลยครับ เดี๋ยวถึงเวลาคุณก็สนใจแต่เดียร์อยู่ดี” เพราะโดนมานานเลยอดน้อยใจใส่ต่อไม่ได้ “อย่างผม คุณก็ดีแค่ทำร้ายใส่เท่านั้นล่ะ”

          “อ้าว ไม่ใช่ว่าชอบอยู่แล้วหรอกเรอะ เห็นง้อหมัดง้อเท้าฉันประจำ”

          คราวนี้ถึงตื่นตระหนกแบบเก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว




___________________________________________
XD
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 47 (21/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 21-12-2014 09:44:25
อิอิ แสดงว่าวินรู้ทันชามาตลอดสินะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 47 (21/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 21-12-2014 12:27:05
วินพูดเล่นหรือรู้ว่าชอบจริงกันแน่เนี่ย 55+
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 47 (21/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 21-12-2014 13:52:33
ว้ายยยยยยคุณชาาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 47 (21/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 21-12-2014 15:07:44
วินเนียนอะรู้ทั้งรู้ทำเนียน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 48 (30/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 30-12-2014 20:48:49
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 48

          มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ...อย่างเขาน่ะหรือจะรู้

          ชาจ้องมองร่างสูงตรงหน้าด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งอย่างที่มักเป็น แม้ในใจจะลุกเป็นไฟก็ตาม แต่อีกฝ่ายเองก็นิ่งพอกันจนเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อครู่นี้ พูดจริงหรือแสร้งทำว่ารู้กันแน่

          “ฮะๆ พูดอะไรของคุณน่ะ ที่ผมทำไปเพราะแค่อยากให้คุณสนใจผมเท่านั้นเอง...มะ...ไม่ได้ชอบสัก หน่อย...คนบ้าที่ไหนเขาจะชอบโดนทำร้ายกันละครับ” ชารีบแก้ตัวเสียงขุ่นด้วยความกลัวและเผลอตัว แต่พอเห็นวินทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มทนพร้อมถอนหายใจออกมาเสียดัง คนฟังก็เริ่มใจคอไม่ดีแปลกๆ

          “ไม่ชอบจริงๆเรอะ”

          ตอนนี้หนุ่มหน้านิ่งชักเริ่มลังเล ใจจริงก็อยากพูด แต่อีกใจก็กลัวอย่างบอกไม่ถูก แม้ท่าทีของวินในตอนนี้จะไม่มีอาการขยะแขยงหรือแสดงอาการหวาดกลัวเลยก็ตาม

          “ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อมพะนำ หนุ่มแว่นจึงเป็นฝ่ายพูดก่อนอย่างอ่อนแรง “ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้เป็นต้นไปฉันจะเลิกใช้กำลังกับนายตลอดชีวิต...”

          “ไม่นะครับ!” ชาปิดปากตัวเอง ใบหน้าถอดสีเมื่อเผลอหลุดปากออกไป และนั่นทำให้หนุ่มแว่นเผยยิ้มชั่วร้ายออกมา

          “อ้าว ทำไมล่ะ ในเมื่อนายใจกล้าบอกรักฉัน แล้วจะให้ฉันทำร้ายคนที่บอกรักตัวเองลงได้ยังไงกันเล่า” วินพูดอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเลิกคิ้วและเงยหน้ามอง “ถ้าชอบโดนเตะก็ว่าไปอย่าง”

          “ชอบครับ!” ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเพราะอีกฝ่ายหลอกให้พูดหรือไม่ แต่ถ้าต้องโดนเหมือนก่อนหน้าไปตลอดชีวิต เขายอมกัดลิ้นตายดีกว่า “ผม...ผมชอบครับ...โดยเฉพาะเวลาโดนคุณทำร้าย...”

          วินไม่ได้ตอบกลับอะไรออกมา นั่นทำให้ใจของชายหนุ่มพะว้าพะวงหนักข้อ จนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า…

          “ฮะๆๆ”

          แต่เสียงหัวเราะนั่น ทำเอาเผลอมองขึ้นมาอย่างงงงวย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเอาเป็นเอาตาย ยิ่งทำให้ชาลนลานจนทำตัวไม่ถูก

          “ให้ตาย กว่าจะยอมพูดออกมานะ ต้องให้ฉันพูดอยู่ตั้งนาน” หลังจากขำจนสาแก่ใจ ก็เอ่ยคำที่ทำให้ชางงเป็นที่สุด “เป็นไงบ้างล่ะ หลังจากสารภาพบาปที่อัดอั้นมานานแล้ว”

          ชาเบิกตามอง...พูดแบบนั้นเหมือนกับรู้อยู่นานแล้วเลยสิ

          “ให้ตายสิ นี่เห็นฉันโง่มากนักหรือไง” วินขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจออกมา “นึกว่าฉันไม่รู้ล่ะสิว่าที่แกเที่ยวกวนโมโหฉันเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เรียกร้องความสนใจหรอก จริงไหม”

          ตอนนี้คนฟังได้แต่ใบ้กิน แน่ล่ะ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วกันล่ะ ก็ไม่เห็นจะแสดงท่าทางเหมือนรู้เลยนี่ แต่จากสีหน้าที่หงุดหงิดและเบื่อหน่ายสุดกำลัง บ่งบอกให้ชารู้ว่าวินพูดความจริงแน่นอน

          “...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...”

          หนุ่มแว่นนิ่วหน้าคล้ายไม่อยากจะพูดเท่าใดนัก “…นายจำครั้งแรกที่ฉันทำร้ายนายได้ไหม”

          “ตอนที่ทุ่มผมน่ะหรือครับ”

          “ไม่ๆ ไม่ใช่ตอนนั้น” หนุ่มแว่นรีบโบกมือปฏิเสธ “เอ่อ…หมายถึง ช่วงตอนที่นายเริ่มสนิทสนมกับเดียร์น่ะ”

          พูดถึงก็สะพรึงขึ้นมาทันที ก็นั่นเป็นช่วงที่เขาหยุดรำลึกความหลังเพราะมันกระตุ้นต่อมมาโซฯขึ้นมานี่ล่ะ

          “เดี๋ยวสิ…คุณจะบอกว่าคุณรู้…ตั้งแต่แรก…”

          “เออ” วินกระแทกเสียงใส่ “นายก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันเกลียดการทำร้ายลูกน้องตัวเองมากแค่ไหน ตอนที่ฉันพลั้งมือไปชกนายครั้งแรก แล้วนายวิ่งหนี…พอดีฉันตามนายไปด้วยน่ะ…ทีแรกฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นนายยิ้มหลังจากโดนฉันชกเสียอีก…ก็เลยแอบดูจนแน่ใจ...”

          ยิ่งฟัง ชาก็ยิ่งอยากจะมุดดินหนี

          “ถ…ถ้ารู้ตั้งแต่แรกทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ” ชายหนุ่มถามเสียงสั่น ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ารู้สึกอาย หรือมีความสุขกันแน่

          “ก็ฉันนึกว่านายอาจจะชอบเดียร์จนไม่สนว่าจะเจ็บตัวนี่หว่า ใครมันจะไปกล้าคิดว่าแกมันจะชอบโดนทำร้ายกันเล่า” วินชักเริ่มเบื่อมากขึ้นทุกที “ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ต้องมาหงุดหงิดที่แกเอาแต่ทำตัวครึ่งๆกลางๆกับเดียร์หรอก แล้วก็ไม่ต้องมาอดทนด้วย”

          ยังไม่ทันจะได้ถามว่าสิ่งที่วินอดทนคืออะไร ชาก็ต้องบ่ายหน้าหนีจากดวงตาคมที่จ้องมองมา มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแปลกๆ อีกทั้งยังร้อนไปทั้งตัวเหมือนมีใครมาจุดไฟแถวๆหน้าด้วย

          แต่หนีได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนมือหนาจับคางให้หันกลับมาเสียอย่างนั้น

          “อย่าหัน” พอทำหน้าจะสะบัดหนีก็เจอคำสั่งที่ไม่อาจขัด…และทั้งที่เขินใจจะขาด แต่กลับไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้…ไอ้อะไรๆที่เก็บเอาไปก็เริ่มพุ่งออกมาจนทะลัก “ชอบไม่ใช่หรือไง โดนบังคับแบบนี้น่ะ”

          “คุณ…มันขี้โกง” ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่สีหน้ากลับปลื้มปริ่มเหลือคณาประดุจได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเสียอย่างนั้น

          “แค่กับนายเท่านั้นล่ะ” เสียงทุ้มบอกอย่างแผ่วเบา เล่นเอาคนฟังหัวใจจะละลาย ยิ่งอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ชาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นของเหลวเข้าทุกที “กับคนอื่นฉันไม่ทำหรอกนะ”

          ชาได้นิ่งเงียบ ส่วนหนึ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้ในหัวมันหมุนติ้วไปหมด ยิ่งดวงตาคมที่จ้องมองมาตรงๆยิ่งทำให้อารมณ์ภายในมันตีกันไปหมด แถมในตอนนี้อีกฝ่ายก็ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเหมือนกับจะจูบ

          “ดะ...เดี๋ยวสิครับ...นี่มันข้างนอกนะ เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก” ถึงตอนนี้จะไม่มีใคร แต่ชาก็มั่นใจว่าลุงยามที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าทางเข้าก็ยังอยู่แน่ เผลอๆอาจจะกำลังมองอยู่ด้วย

          “ฉันไม่สนหรอกนะ แต่นายน่ะ สนด้วยหรือไง” คำพูดยอกย้อนนั้นเต็มไปด้วยความดูถูก แต่คนฟังกลับใจสั่นจนแทบเข่าอ่อน “ไม่ใช่ว่ามันยิ่งทำให้ได้มีอารมณ์หรอกเหรอ”

          ไม่ว่าเปล่ามีมาพิสูจน์กันซึ่งๆหน้า ทำเอาชาสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าโจมตีจุดนั้นแบบไม่สนใจชาวบ้านกันขนาดนี้ และจากที่พยายามข่มอารมณ์ มันก็เลยทะลักออกมาทั้งที่ไม่อยาก ทำเอาซาบซ่านกับความสุขไปทั้งกาย

          “นั่นไง ทำเป็นเล่นตัวไปได้ ใจจริงก็อยากมานานแล้วไม่ใช่หรือไง” วินเยาะ โดยที่มือก็ยังคงอยู่ที่เดิม “ถ้าอยากให้หยุดก็พูดสิ ว่าไม่ชอบ แล้วฉันจะหยุด”

          “...พูดง่ายนะครับ…” เสียงทุ้มดังแหบพร่า ใบหน้าเรียวแดงระเรื่อ เสียงลมหายใจดังติดๆขัดๆ และสะดุ้งเมื่อโดนมือของอีกฝ่ายบีบแน่น “ผมจะกล้าห้ามคุณ...ได้ยังไงกันล่ะ”

          วินเพียงแต่เลิกคิ้วให้ ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ยิ่งขึ้น จนชาได้ยินเสียงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ไออุ่นจากอีกฝ่ายที่กระทบเข้าใบหน้าทำเอาตัวเองร้อนไปด้วย จนถึงที่สุดแล้ว ชาก็หลับตาเพราะทนมองไม่ไหวอีกต่อไป…และไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว…

          .....

          ความรู้สึกที่โดนปลุกปั่นจนเกือบจะถึงที่สุดโดนปล่อยเสียเฉยๆ ทำเอาชาเผลอลืมตามองด้วยความประหลาดใจ และยิ่งประหลาดใจกว่าเมื่อเห็นวินถอยห่างออกไป

          “ฉันบอกแล้วไงว่าไว้จบเรื่องก่อนแล้วจะมาสะสางกับนายทีหลัง” วินยิ้มให้อย่างคนมีชัย ท่าทางจะสะใจเหลือคณาที่ได้เอาคืน “เพราะงั้น ก็ทนไปก่อนละกัน”

          ชาได้แต่อึ้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้ได้ ยิ่งทำให้ใจที่เต้นรัวๆอยู่แล้ว ยิ่งแทบจะทะลักออกมาจากอกเลยทีเดียว...ก็ถ้าจะทรมานให้ค้างคากันแบบนี้ มาโซฯที่ไหนจะไม่ปลื้มกันบ้างเล่า!

          “อีกไม่นานแล้วล่ะ เพราะงั้น เตรียมใจรอไว้ได้เลย รับรองว่าเจอทั้งต้นทั้งดอกแน่” วินบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปโดยไม่รอให้ชาได้เอ่ยลา ปล่อยให้ยืนเมาความสุขที่ค้างคาอยู่เช่นนั้น

          “บ้าจริง” ชาเอ่ยเสียงเบา อยากจะทรุดลงไปกองกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขาก็ดันแข็งแรงเกินเสียอีก เลยเผ่นหนีขึ้นห้องแทนเพราะเห็นแล้วว่าลุงยามประจำอพาร์ตเมนตกำลังมองมา ด้วยสายตาที่อึ้งตะลึงงัน “อึก...”

          กว่าจะสงบสติอารมณ์และร่างกายได้ ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอใจเย็นและตั้งสติได้แล้วก็รีบจัดการหยิบมือถือขึ้นมา

          “เรื่องที่ให้ตามไปถึงไหนแล้ว...ฉันไม่ได้จะลงโทษนายสักหน่อย ถามความคืบหน้าเฉยๆ” ชาถามโดยพยายามทำให้เสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนจะนิ่งไปหน่อยจนดูเหมือนกำลังโมโหแทน เลยทำให้คนในสายปากสั่นใส่

          “กะ...ก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ เขาบอกว่าอยากจะให้ทำเมื่อไหร่ก็บอกมาได้เลย พร้อมเสมอ เขาเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว” ดรตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก “ว่าแต่นะครับ ทำแบบนี้จะดีหรือครับ เราจะทำไปทำไมหรือครับ ผมยังอยากมีชีวิตอยู่นานๆนะ”

          ชาไม่ได้ตอบในทันที ยิ่งทำให้หนุ่มผิวเข้มกังวลหนัก แต่หากดรมาเห็นสีหน้าของชา เขาคงไม่ต้องวิตกจริตโดยใช่เหตุก็เป็นได้ เพราะคำตอบของชานั้น ไม่ได้ช่วยให้คนฟังโล่งใจเลยสักนิด

          “มีโอกาสได้จับทั้งเสือทั้งมังกร แล้วทำไมจะไม่ดีล่ะ”

 

          “ไง เรียบร้อยดีใช่ไหม” วินเอ่ยถามคนที่รอตนอยู่ตรงรถที่จอดไว้อีกฝั่ง แม้จะเพิ่งอิ่มเอมกับการแกล้งคนมา แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะกลัวมารดาแสนดีจะรู้ว่าตนแอบดอดมาที่นี่ เพื่อทำสิ่งที่บ้าที่สุด และอาจจะโดนมาริสาพิโรธจนบิดหูหลุดด้วย

          “เรียบร้อยครับ วันนี้ลูกน้องที่ตามคุณเป็นคนสนิทของผมพอดี เพราะงั้นสบายใจได้เลย เรื่องที่คุณมาที่นี่ ไม่มีทางถึงหูคุณมาริสาแน่” ธานินทร์ตอบเสียงระรื่น “ว่าแต่ ไปเยี่ยมคุณชาเป็นยังไงบ้างครับ เขาสบายดีใช่ไหม สรุปแล้วที่เขาทำไปเพราะอะไรกันแน่หรือครับ ไม่ใช่อย่างที่ผมหรือคุณวินเข้าใจหรอกหรือ”

          ธานินทร์ถามรัวพร้อมกับทำหน้าเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ถ้าเขาไม่มั่นใจจริง ไม่มีทางเดินแผนนี่หรอก เดี๋ยวหาข้ออ้างเวลาจวนตัวไม่ได้กันพอดี

          “เอาเป็นว่ามันเป็นแค่ความเข้าใจผิดกันเฉยๆน่ะ” วินเลี่ยงที่จะตอบความจริง เพราะขี้เกียจอธิบายยาว “แล้วเรื่องที่เราจะทำกันน่ะ จัดการได้เร็วที่สุดเท่าไหร่”

          ธานินทร์ยิ้มกว้าง สิ่งที่รอมานานกำลังจะสำเร็จลงสักที

          “ทันทีที่ต้องการเลยครับ”

 

          แม้จะตั้งใจไว้แล้ว แต่ตอนที่รู้ว่าต้องออกไปเที่ยวข้างนอกนั้น เดียร์ก็อดรู้สึกหวั่นไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าเดทของคุณชายจะเหมือนเมื่อก่อนตอนเจอกันแรกๆ ถ้าวกกลับไปเป็นแบบนี้อีก ต่อให้นึกรักยังไงก็อดตีหน้ายี้ใส่ไม่ได้อยู่ดี

          ไอ้รักก็ส่วนรัก แต่ของไม่ชอบ จะให้ทำใจชอบก็คงไม่ได้อยู่ดี…เพราะฉะนั้น ครึ่งทางนี่แหละ ดีแล้ว

          เดียร์จ้องมองเสื้อผ้าตรงหน้า ซึ่งตัวหนึ่งเป็นชุดของผู้ชาย ส่วนอีกตัวเป็นแบบระบุเพศไม่ได้ คิ้วบางมุ่นเข้าหาอย่างเคร่งเครียด เพราะกำลังคิดไม่ตกว่าจะใส่ตัวไหนไปดี…และก็ต้องประหลาดใจกับตัวเองสุดตัวที่มานั่งคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

          “อย่างกับคนบ้าเลยแฮะ”

          ทั้งอย่างนั้นกลับหุบยิ้มไม่ลง…แม้แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะนึกถึงตอนใบหน้าของสิทธิ์ที่เคยนึกหงุดหงิดก็กลับไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว…ยิ่งถ้าถือแส้ร่วมด้วยยิ่งหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว

          ในขณะที่กำลังแช่มชื่นอยู่กับความสุขกับตัวเอง เสียงข้อความเข้าก็ดังขัดอารมณ์ขึ้นมาเสียก่อน แต่ทันทีที่เห็นข้อความและผู้ส่ง ริมฝีปากสีหวานก็ฉีกกว้างกว่าเดิม นิ้วเรียวเล็กกดปุ่มกลับด้วยความเร็วแสง และส่งกลับไปหาอีกฝ่ายทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับเร็วเสียจนเดียร์ยังไม่ได้วางมือถือลง ข้อความในคราวนี้ทำเอาเด็กหนุ่มนิ่วหน้า และหมายจะโทรกลับไป

          ก๊อกๆ

          แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้เสียแล้ว

          “...มีอะไรครับ” หลังจากโยนมือถือลงเตียงเพราะตกใจกับเสียงเปิดประตูทั้งที่ตนยังไม่ได้อนุญาต เดียร์ก็ถามสิทธิ์เสียงหวั่น...ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตนกำลังดีใจ หรือเพราะยังพะวงกับธุระที่ค้างคาเมื่อครู่

          สิทธิ์ไม่ตอบคำถาม ดวงตาเรียวกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดลงตรงชุดที่วางไว้บนเตียง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ และแสดงอาการดั่งผู้มีชัยจนคนมองรู้สึกตื่นเต้นตาม

          “นี่บ้านฉัน ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉันนี่ จริงไหม” เสียงทุ้มเยาะใส่ ทั้งยังสืบเท้ารุกเข้าหาจนร่างเล็กถอยหนีอย่างตื่นกลัว แต่สิทธิ์ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองแบบเหลือบตาลงมา “ดูท่าทางจะอยากไปเที่ยวกับฉันมากเลยล่ะสิ”

          “พูดอะไรของคุณ” อย่ามาอ่านใจด้วยสายตาดูถูกแบบนั้นกันสิครับ เดี๋ยวผมก็แอ๊บแตกกันพอดี อ๊า~~ “ผมก็แค่เลือกเสื้อตามปกติของผม ไม่ได้คิดอะไรถึงคุณสักหน่อย”

          “เหรอ” สิทธิ์ย้อนถามเสียงสูง “ถ้างั้น ก็ใส่ชุดนี้ละกัน แล้วพรุ่งนี้ไม่ลงมาก่อนแปดโมง ฉันจะเข้ามาลากเธอไปอาบน้ำเอง”

          ทำสิครับ ทำเลย!! เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะปิดมือถือและถอดถ่านนาฬิกาให้หมดเลย!!!

          “วะ...ไว้เตือนตัวเองเถอะ” เดียร์กระชากเสียงใส่ก่อนจะก้มหน้าและหันหลังใส่ เกิดอีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่เก็บอาการดีใจนี้ไว้ไม่อยู่ มีหวังโดนรู้ความจริงเข้าพอดี “ผมน่ะตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว คุณต่างหาก จะลุกออกจากเตียงไหวหรือเปล่าเถอะ”

          “เฮอะ เดี๋ยวก็รู้” เสียงทุ้มตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีสบายๆเหมือนต้องการยั่วอารมณ์อีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ…

          และทันทีที่ประตูห้องปิด เดียร์ก็ต้องปิดปากเพราะกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่

          บ้าเอ๊ย อยากกระโดดเข้าไปให้ตบจัง อ๊ากก อยากโดนมองด้วยสายตาเมื่อกี้อีกนานๆจัง!!!

          ซึ่งแน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่หลังประตูเองก็มีอาการไม่ต่างจากตนเลยสักนิด ทันทีที่ปิดประตูออกมา สิทธิ์ถึงกับทรุดลงตรงนั้นพร้อมกับเอาหน้าซุกกับเข่าของตัวเองจนตัวแทบจะ ม้วนเป็นวงกลม

          บ้าเอ๊ย พูดอะไรของเราออกไปวะ น่าอายชะมัด

          ถึงจะคิดแบบนี้ แต่อาการตื่นเต้นกลับพุ่งจนทำให้เวียนหัว และยังแอบนึกเสียดายนิดๆที่ไม่ได้เข้าไปกลั่นแกล้งอีกฝ่ายให้พอเป็นพิธี แต่ขืนทำไปมากกว่านี้สิ มีหวังเก็บกิเลศที่อยากจะลงมือให้หนำใจเอาไว้ไม่ได้กันพอดี

          เมื่อไหร่ถึงจะสามารถทำตามใจได้อย่างสบายใจกันสักทีนะ...

 

          ทั้งที่ตั้งใจจะตื่นให้สายแล้วแท้ๆ แต่คงเพราะตื่นเต้นมากไป เลยทำให้สะดุ้งตื่นเอาเสียตอนตีห้า และทั้งที่พยายามจะข่มตาหลับ ในหัวก็คิดสารพัดถึงเรื่องเดทที่กำลังจะมาถึง ยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ ท้ายที่สุด ก็เลยได้แต่ตื่นมาแช่น้ำและแต่งตัวอย่างเอื่อยเฉื่อยแทน...และทั้งที่ทำตัว อืดอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คู่เดทกลับไม่เห็นจะมาหาตามที่นัดไว้เลย

          เดียร์มองนาฬิกาในมือถือที่บอกเวลาแปดโมงสิบนาที ใจจริงเขาก็คิดว่าพ่อหมีแกไม่น่าจะตื่นทันอย่างที่ว่าไว้นักหรอก แต่อีกใจก็นึกหวั่นกลัวจะอดเที่ยว เขารึอุตส่าห์ตั้งตารอว่าสิทธิ์คิดจะทำอะไรเซอร์ไพรส์ตน ถ้าอดไป คงรู้สึกเสียดายเป็นที่สุด

          แต่จะให้พุ่งออกไปดูอีกฝ่าย มันก็เหมือนกับว่าเขาอยากไปน่ะสิ...โอเค เขาอยากไป แต่ด้วยสถานการณ์ ขืนเขาทำแบบนี้ก็ดูแปลกกันพอดีสิ เพราะฉะนั้น เขาจึงได้แต่ทนรอ...รอ....และรอ...จนเกือบจะเก้าโมง

          “คุณสิทธิ์...”

          อย่างน้อย เดียร์ก็เห็นว่ามันนานพอที่เขาควรจะสงสัย อีกทั้งพอลงไปถามก้องกับฤทธิ์ ทั้งสองกลับบอกให้เขาเป็นคนไปเรียกเอง แสดงว่านี่คงเป็นแผนตาหมียักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย...และเขาก็เลิกสงสัยทันทีที่เปิดประตู หลังจากเรียกอีกฝ่ายอยู่นานแล้วไม่ตอบ

          สิทธิ์นอนตะแคงหันมาทางประตู จากสีหน้าบ่งบอกว่าตื่นนานแล้ว แต่ยังใส่กางเกงนอนอยู่ และเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่แน่นทึบพร้อมหน้าท้องที่แม้จะไม่ได้มีซิกแพ็คชัดเจน แต่ก็ดูน่าลูบชวนมองเป็นยิ่งนัก ดวงตาคมเป็นประกายคล้ายกับกำลังส่งสัญญาณบางอย่าง ที่ทำให้คนมองเผลอใจเต้น

          ใครมันจะไปคิดว่าจะทำเซอร์ไพรซ์กันตั้งแต่ห้องนอนเล่า!!

          “พอดีฉันขี้เกียจลุก” คุณชายเอ่ยอิดออด เหมือนไม่อยากจะไปเต็มทนทั้งที่เดทนี้ตัวเองเป็นคนเริ่ม “มาฉุดฉันขึ้นไปหน่อย”

          เดียร์ได้แต่อ้าปากค้างและถอยหนี เพราะกลัวจะเผลอเข้าไปหาอย่างที่โดนสั่ง ร่างบางสั่นระริกเพราะต้องอดทนต่อความต้องการในใจ

          “ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย” เดียร์กดเสียงต่ำแล้วหันหน้าเปี่ยมสุขไปอีกทาง “ลุกเองสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไป”

          “เหรอ ถ้างั้นไม่ไปก็ได้” อีกฝ่ายตอบรับง่ายจนต้องหันขวับ “ก็นอนอยู่บนเตียงกันทั้งวันเลยล่ะกัน”

          จริงๆฟังแล้วก็ดูธรรมดาอยู่หรอก ยกเว้นว่าสิทธิ์เอามือตบเตียงเหมือนเป็นการบอกกลายๆว่าเดียร์ต้องไปนอนด้วย

          เดียร์ปั้นหน้านิ่ง การไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อนั้นเป็นเรื่องที่ชวนระทึกมาก เด็กหนุ่มขยำชายเสื้อแน่น เขารู้ว่าถ้าเข้าไปฉุดจะต้องมีหลุมขุดรออยู่แน่ แต่การอยู่เฉยๆก็มีหลุมดักรอเหมือนกัน เสียแต่เขาต้องมาลุ้นว่าหลุมไหนมันน่าลงกว่านี่ล่ะ

          แต่ดูเหมือนเวลาการเลือกจะมีไม่นานนัก...หรืออันที่จริงพ่อหมียักษ์แกมีตัวเลือกอยู่ในใจอยู่แล้วมากกว่ากระมัง

          “เพราะเธอเอาแต่เงียบนั่นล่ะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นกระชากร่างเล็กเข้ามาหา แล้วใช้ทั้งมือและปากซุกไซ้ไล่เรียงไปทั่วอย่างกับคนอดอยากยังไงยังงั้น

          “ดะ...เดี๋ยวสิ” เด็กหนุ่มร้องเสียงตื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่โดนมือปลาหมึก แต่เพราะแรงบีบของมือกับการกระทำที่ไม่มียั้งแรงเหมือนจะขยี้ให้เขาแหลกคามือ ทำเอาอารมณ์ที่พยายามสะกดพุ่งกระฉูด...ซึ่งถ้ามากกว่านี้ล่ะก็ มีหวังไม่ต้องออกไปจริงๆแน่ “ผมก็จะไปฉุดคุณอยู่แล้วไง ปล่อยนะ”

          แน่นอนว่าสิทธิ์ไม่ได้ทำตามในทันที เขายังคงใช้มือบีบสะโพกอีกฝ่ายแน่น จากนั้นก็บรรจงกัดลงตรงซอกคอขาวเต็มแรงสลับกับไล้เลียผิวกายด้วยริมฝีปากอุ่น จนเสียงหวานดังเครืออยู่ในลำคอด้วยความเจ็บปนหฤหรรษ์ แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะทุบอีกฝ่ายเป็นการประท้วง แม้ว่าอันที่จริงอยากจะเปลี่ยนเป็นกอดรัดและร้องขอให้มากกว่านี้ก็ตาม

          “เดี๋ยวฉันมา” พอได้อย่างที่พอใจก็ผละไปห้องน้ำเสียดื้อๆ ปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าประตู โดยไม่สนใจแม้แต่จะมอง

          เดียร์ เอามือปิดปากตัวเอง แม้ไม่ต้องมองกระจก เขาก็รู้ดีว่าในตอนนี้ใบหน้าของตัวเองแดงก่ำแค่ไหน มือบางลูบไปยังต้นคอของตนที่โดนอีกฝ่ายกัด ซึ่งเกิดเป็นรอยฟันบางๆ ความร้อนผ่าวและแรงกัดก่อนหน้ายังคงติดตรึงไม่หาย แรงกระหายนั้นทำให้เกิดรอยจ้ำขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเป็นการตีตราแสดงความเป็นเจ้าของให้ใครที่มาเห็นได้รับรู้

          “บ้าจริง เดี๋ยวก็ดีแตกจริงๆหรอก” เด็กหนุ่มบ่นก่อนจะมองรอยจ้ำที่คอในกระจก ท่าทางต่อให้ใส่เสื้อคอปกก็คงจะปิดรอยนี้ไม่ได้อยู่ดี ก็พ่อหมีแกเล่นทำคิสมาร์คซะสูงเหมือนจงใจโชว์ขนาดนี้นี่ “เฮ้อ”

          ดวงตากลมมองตัวเองในกระจก สีหน้าของตนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากการโดนเอาเฆี่ยนฟาดหลังเลยชัดๆ เล่นเอานึกประหลาดใจตัวเองที่จะยังมีความรู้สึกดีกับเรื่องแบบนี้ได้

          “มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่แฮะ”

 

          แน่นอนว่าในขณะเดียวกัน สิทธิ์ได้แต่โหยหวนอยู่ในใจ เขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าไอ้ที่ทำไปน่ะ อินเนอร์ล้วนๆ แต่ไม่คิดว่าจะเตลิดไปถึงขั้นลวนลามยามเช้าเลยสักนิด นี่ถ้าห้ามใจเอาตัวไม่อยู่ มีหวังได้นอนเตียงทั้งวันอย่างที่บอกอีกฝ่ายไปแล้ว

          “บ้าจริง” ชายหนุ่มนั่งด่าตัวเองอยู่บนพื้นห้องน้ำ พลางมองสองมือที่ใช้ขย้ำขยี้อีกฝ่ายเสียหนำใจ ทีแรกเขากะแค่ว่าจะดึงอีกฝ่ายเข้ามารัด แล้วแกล้งทำเป็นจูบเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ แต่พอเห็นใบหน้าหวานดูทรมานคล้ายกับจะร้องไห้ ก็ไม่รู้ผีห่าซาตานอะไรเข้าสิง ยังดีที่ไล่ผีออกจากร่างทัน ก่อนที่จะเผลอกินลูกกวางน้อยไปทั้งตัว

          แต่พอนึกถึงสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ซึ่งแม้ดูแล้วจะยังหวาดหวั่นกับสิ่งที่ตนทำ แต่ก็ไม่แสดงอาการรังเกียจเท่าเมื่อก่อน(?) ทั้งยังใบหน้าเขินอายที่ตนแอบเห็นเพียงแว้บๆนั่นก็ช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ว่าแผนของตัวเองได้ผลดีอย่างที่หวัง

          คงอีกไม่นานแล้วสินะ…



______________________________

หมดบทตาชาแล้ว ลาก่อย~~ (โดนตบ)

อัพส่งท้ายปีเก่า ฮาๆ ทีแรกว่าจะอัพตั้งกะวันอาทิตย์แล้วงับ แต่พอดีไปเที่ยวมายังไม่ได้แก้อะไรเลย แถมยังไม่ว่างด้วย เลยล่วงมาถึงวันนี้ ;w;

ปิดปีใหม่แล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีมีชัยในปีใหม่ ขอให้เรื่องร้ายๆหายไปกับปีเก่า มีความสุขกันในปีใหม่ตลอดทั้งปี ไปเที่ยวที่ไหนก็ขอให้เดินทางปลอดภัยงับ =w=

ส่วนทางนี้ก็ไม่ได้ไปไหนหรอก ;w; พอดีรีบทำปฏิทินแจกอยู่ ไม่รู้จะทันไหม ไหนจะต้องเตรียมรวมเล่มด้วย...สรุปทำงานข้ามปีใหม่นี่ล่ะ =_=
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 48 (30/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Maiiz Ellfiez ที่ 30-12-2014 22:16:26
งั้นสิ  วินรู้มานานแล้วด้วย  สมใจเลยสิชา

ส่วนคู่เอกเราก็แน่มากกกก  อ่านไปยิ้มไปเลย ฮ่า ฮ่า  กำลังดึงสิทธิ์เข้าสู่ทางสายเอสอย่างสมบูรณ์
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 48 (30/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 30-12-2014 23:50:37
หึๆๆ พระเอกไม่รอดแล้วละ หนทางเเห่ง S รอคุณอยู่ 55555 ส่วนชานางฟินแล้วสินะ :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 48 (30/12/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 31-12-2014 01:48:33
รู้สึกใกล้ได้เสพความฟิน sm แบบจัดเต็ม ฮิ้ววววว~~~~  :mc4:


ปล.สวัสดีปีใหม่คนเขียนเช่นกันนะค๊าาาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 49 (11/01/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 11-01-2015 12:59:08
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 49

          “นายว่ามันแปลกๆหรือเปล่า”

          ก้องหันมองเจ้าของเสียงที่กำลังครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดบนโต๊ะทานอาหาร โดยไม่ยอมแตะแพนเค้กช็อกโกแลตตรงหน้าเลยสักนิด ซึ่งเขาก็ไม่แปลกใจนัก ถ้าเขาจำไม่ผิด ฤทธิ์น่าจะไม่ได้นอนมาสองวันได้แล้ว เพราะช่วงนี้มีศัตรูจากไหนก็ไม่รู้กรูกันมาไม่ขาดสาย ถึงจะไม่ได้มากันเยอะหรือพกอาวุธหนักอะไร แต่ก็มากันทั้งวันทั้งคืนจนฤทธิ์แทบจะไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ กระนั้นแล้วแรงก็ยังดีไม่มีตก แถมยังเผื่อแผ่มาถึงก้องอีกด้วย แต่ท่าทางเหมือนหงุดหงิดจนอยากหาที่ระบายมากกว่าจะสนองความต้องการของก้อง

          “ก็คงจะเป็นคนจากทางฝั่งของคุณวินละมั้ง” ก้องบอกความจริงออกไป “คุณวินแกคงทนไม่ไหว อยากได้น้องชายคืนใจจะขาดแล้วละมั้ง”

          “หวา” หนุ่มตาตกส่งเสียงประหลาด ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เบื่อๆๆๆ ฉันอยากกลับไปทำงานที่บาร์แล้วอะ หมกตัวตั้งรับแบบนี้น่าเบื่อจะตายชัก อยากไปเหล่หนุ่มว้อย”

          ก้องเกือบกลั้นหัวเราะไม่ทัน ปากบอกแบบนั้น แต่เห็นหาเรื่องลวนลามพวกที่บุกเข้ามาในบ้านไปซะทุกคนที่โดนใจเลยทีเดียว ถึงหนุ่มแว่นจะไม่แน่ใจว่าที่ฤทธิ์ทำเพราะเบื่อจริงๆ หรือแค่อยากให้เขาหึงกันแน่ก็ตามที

          “เอาน่าๆ จบเรื่องนี้เมื่อไหร่เราก็กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขแล้วไง…แล้วเราก็จะได้มีเวลาให้กันยิ่งกว่าเดิมด้วย ใช่ไหมล่ะ” ก้องปลอบแฟนเสียงหวาน ก่อนจะเข้าไปกอดคออีกฝ่ายจากด้านหลัง “…ถ้าคุณวัฒน์แกไม่คิดอะไรกับเรื่องที่คุณสิทธิ์ทำอยู่น่ะนะ…”

          จากที่กำลังซึ้ง ถึงกับหน้าเบี้ยวเลยทีเดียว

          เสียงตึงตังจากชั้นสองดังขัดจังหวะการทุบตีขึ้น สิทธิ์ลงมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบแต่แก้มชมพูระเรื่อบ่งบอกว่ากำลังแช่มชื่น ส่วนเดียร์ที่โดนลากลงมาด้วยนั้นแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน...แต่หน้าก็แดงไม่แพ้กัน

          “ช้าจังเลยนะครับ” ก้องทักพลางสำรวจเจ้าเด็กมาโซอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ถึงปกติจะทำท่าทางแบบนั้น แต่เขาก็พอจะดูออกว่าอย่างไหนแกล้ง อย่างไหนจริง และนั่นทำเอาเขาอมยิ้มออกมา...ซึ่งหลักๆคือสะใจเสียมากกว่าดีใจกับเจ้านาย

          “คนมีปัญหาก็ช้าแบบนี้ล่ะครับ” สิทธิ์ว่าด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะเบนสายตากลับไปดูปฏิกิริยาของเหยื่อในมือ “ต้องให้ลงมือ”

          ซึ่งก็ลงมือเสียเป็นดวงแดงชัดเจนบนคอเลยทีเดียว

          เดียร์เอามือยกปิดคอ ใบหน้าแดงหนักกว่าเมื่อครู่ ดวงตากลมเหลือบมองอย่างไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าใส่อีกฝ่าย...เพราะปลาบปลื้มจนทำหน้านิ่งไม่ไหว ซึ่งดูเหมือนจะหันช้าไปนิด สิทธิ์ถึงยิ้มออกเสียกว้าง

          “ถ้าจะไปก็รีบไปสักที ผมเบื่อแล้วนะ” เสียงหวานสั่นเครือในลำคอและเบาจนแทบจะหายไปกับอากาศ กระนั้นคนฟังก็ได้ยินชัดทุกคำ

          “อย่าเพิ่งรีบเบื่อสิจ๊ะที่รัก ยังต้องอยู่กันอีกนานเลยนะ” รายนี้ก็รับมุกเก่งขึ้นเสียจนก้องขนลุก “ยังมีของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอตั้งเยอะแยะเลยนะ”

          จากการที่ฤทธิ์ถึงกับสำลัก ท่าทางไอ้ของขวัญที่ว่าคงจะไม่พ้นอุปกรณ์เล่นเสียวแบบเฉพาะทางเป็นแน่

          “พูดบ้าๆ” เดียร์สะบัดเสียงใส่แล้วดึงมือตัวเองออก แต่ทำไม่ได้ “คนลามก”

          ณ จุดนี้ ฉันว่าแกควรจะใช้คำว่า โรคจิตมากกว่านะ...แต่คงกระทบตัวเองด้วยล่ะสิ...เออ ก็กระทบกันหมดนั่นละ

          “เห็นอย่างนี้ฉันก็เลือกนะ ถ้าไม่รักไม่ทำด้วยหรอก” ไม่วายยังหยอดคำหวานใส่พร้อมกับใช้มือบีบแขนเล็กแน่น เท่านั้นยังไม่พอ มีการดึงเข้ามากัดอีก

          “อึก”

          คราวนี้เด็กหนุ่มกระชากมือออกสำเร็จ...ซึ่งว่ากันตามตรงก็ควรจะดึงออกก่อนที่จะโดนกัดแล้วแท้ๆ แต่คงหวังจะโดนแบบนี้เสียมากกว่า กว่าจะรู้สึกตัวนี่ ปล่อยให้สิทธิ์กัดจนเป็นรอยชัดเชียว

          “เอ้อ…นี่ก็สายมากแล้ว ผมว่าเราน่าจะรีบกันหน่อยดีกว่าไหมครับ” ใจจริงก็ขี้เกียจจะขัด แต่เพราะเบื่อจะดูภาพบาดตา ก้องเลยเร่งเจ้านาย ซึ่งสิทธิ์เองก็ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ ถึงได้ซัดอาหารเช้าเสียไวจนเกือบติดคอ

 

          สถานที่เดทในวันนี้ไม่ใช่ที่สวยงามหรูหราอย่างที่ควรจะเป็นหรือมักจะเป็น ก้องจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่คือเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆคือ ถ้าอายุปูนนี้แล้ว คงไม่มากับแฟนหรอก คงจะมากับลูกหรือไม่ก็หลานมากกว่า

          เดียร์ถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นป้ายทางเข้าสวนสัตว์ในตัวเมือง คือมันไม่ใช่สถานที่แย่ แต่มันก็ไม่ใช่ที่ๆคนเป็นแฟนในวัยประมาณเขาจะมาเที่ยวกันเลยสักนิด ถ้าเป็นนักเรียนมัธยมก็ว่าไปอย่าง ทำอย่างนี้เหมือนกับหลอกด่ากลายๆว่าอย่างเดียร์ ก็เหมาะกับอะไรเด็กๆแบบนี้ยังไงยังงั้น

          “ยืนเหม่ออะไร เข้าไปสิ” สิทธิ์ผลักหลังเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินนำและลากคนตัวเล็กเข้าไปอย่างไม่สนว่าอีกฝ่ายจะสมัครใจหรือไม่ “ทำหน้าแบบนั้น อยากไปที่ที่ดีกว่านี้หรือไง”

          เดียร์เกือบจะดีใจจนเกือบไม่ทันสงสัยกับเรื่องแปลกๆแล้ว

          “ไหนคุณบอกว่ารักผม...แล้วทำไมถึงพูดแบบนั้น...” ถ้าอยากทำให้เขาประทับใจจริง ตามปกติก็น่าจะพาไปที่ดีๆกว่านี้สิ

          “นั่นมันรางวัลตอนทำตัวดีกว่านี้สิ” ฟังแล้วเดียร์รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง “ถ้าอยากไปนัก วันนี้ก็ลองทำให้ฉันพอใจสิ”

          แหม พูดให้เหมือนกับว่าตัวผมเองเป็นคนอยากไปกับคุณเสียเองแบบนี้ มันจี๊ดได้ใจจริงๆ!

          “คะ...ใครอยากจะไปกันเล่า...ยิ่งกับคุณด้วยแล้ว...” ผมคิดว่าน่าจะไปคลับSM ไม่ก็แหล่งทรมานผมจะเวิร์คกว่าครับ!!

          “เหรอ” ไม่ว่าเปล่ามีโอบเอวเข้ามากอด จนเดียร์สะดุ้ง “กลัวอะไรล่ะ เราเป็นแฟนกันนี่ จริงไหม...”

          “บ้าอะไรของคุณ...หยุดนะ...หยุด...” หยุดออมมือแล้วปล่อยมาเต็มแรงเลยครับ! นั่นล่ะๆ! “อื๊อ”

          เด็กหนุ่มรีบปิดปากตนทันทีที่เผลอครางออกมา ดวงตากลมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างตื่นกลัว แต่สิทธิ์แค่ดูประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้น ก่อนจะยิ้มพรายชวนใจเต้นระส่ำ และยิ่งเต้นโครมครามหนัก

          “ชอบล่ะสิ อยากให้ทำแรงกว่านี้ไหมล่ะ”

          เชี่ย!!!! ทำไมทำตาเยิ้มแบบนี้ฟะ!! มันหมายความว่าอะร้ายยยยย

          เพิ่งจะมีคราวนี้ที่รู้สึกสับสนอย่างหนัก แน่นอนว่าอยากตอบรับใจจะขาด แต่ครึ่งหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะแค่พูดเพื่อกลั่นแกล้ง หากเผลอหลุดบอกความจริงออกไป สิทธิ์อาจจะนึกขยาดก็เป็นได้ แม้จะหวังลึกๆว่าพ่อหมียักษ์อาจจะเริ่มชอบใช้ความรุนแรงขึ้นมาบ้างแล้วก็ตามที แต่เดียร์ก็ไม่คิดว่าสิทธิ์จะข้ามขั้นไปสู่ระดับอาชีพเอาทันทีหรอก

          “ไม่อยากสินะ”

          ว่าจบก็ปล่อยร่างบางออกไปทันที จากนั้นก็เดินเข้าไปต่อราวกับไม่สนใจเด็กหนุ่มเลยสักนิด

          อะไรกัน...

          ดวงตากลมมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทิ้งกันแบบนี้ ความรู้สึกโหวงเหวงปนเสียดายก่อตัวขึ้นในใจ และกว่าจะรู้สึกตัว ร่างกายก็เคลื่อนไหวเองตามใจชอบเสียแล้ว

          “เดี๋ยวสิ”

          ร่างสูงหันมามองคนด้านหลังที่ดึงชายเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าของตน ใบหน้าหวานแดงระเรื่อคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก มือเล็กเด้งกลับหาเจ้าของ ก่อนที่สติจะเริ่มกลับมาเข้าที่

          “พาผมมาแล้วจะทิ้งกันแบบนี้ได้ยังไงล่ะ...” เสียงหวานดังขึ้นอย่างแผ่วเบา คล้ายกับจะร้องไห้ ซึ่งกลับทำให้คนฟังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

          “ใครมันจะคิดทิ้งของเล่นแสนรักของตัวเองได้ล่ะ” สิทธิ์เอ่ยด้วยใบหน้าเหมือนคนมีชัย ยิ่งทำให้เดียร์ใจเต้นรัว “ไหนลองอ้อนวอนขอโทษที่ไม่ยอมตอบฉันเมื่อกี้ดีๆหน่อยสิ ฉันอาจจะยอมยกโทษให้ก็ได้นะ”

          ถ้าเป็นเมื่อก่อน เดียร์ก็คงดื้อแพ่งเพื่อรางวัลที่อยากได้มากกว่าอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้กลับไม่กล้าทำเสียอย่างนั้น คล้ายกับว่าถ้าไปฮุบเบ็ดอันแรก เขาอาจจะต้องเสียเหยื่อที่ดีกว่าก็เป็นได้

          เด็กหนุ่มยื่นทื่อหน้าแดงระเรื่อ ไอ้เรื่องเอ่ยคำขอโทษนี่มันไม่ใช่เรื่องยากนัก เพียงแต่จะต้องทำเหมือนไม่อยากขอโทษ แต่ก็ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้นี่แหละที่มันยาก เลยต้องบิ๊วอารมณ์ให้น้ำตาคลอหน่วย พร้อมกับเม้มปากแน่นใส่ ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง

          “ขอโทษครับ...”

          “ขอโทษเรื่องอะไร”

          เดียร์ชักเริ่มหอบกระเส่า “เรื่อง...ที่ผมไม่ตอบคุณ...”

          “ไหน ขออีกทีสิ” ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คล้ายกับจะจูบ “อีกที”

          ถ้าไม่ติดว่ากลัวคุณจะหนีผมไป ผมคงก้มไปเกาะขาคุณตรงนี้แล้วล่ะ

          “ผมขอโทษเรื่องที่ผมไม่ตอบคุณ” คราวนี้พูดรวดเดียวจบเหมือนไม่อยากจะพูดซ้ำ ซึ่งเดียร์ก็ไม่อยากจะพูดซ้ำจริงๆ เพราะถ้ามากไปกว่านี้ มีหวังความดันขึ้นจนเป็นลมแน่

          “ก็แค่นั้น” โชคดีที่อีกฝ่ายพอใจ จึงจบการทรมานแสนหวานเพียงแค่เท่านี้ “งั้นก็ตามมา แล้วอย่าคิดปล่อยมือล่ะ”

          เดียร์มองมือหนาที่ยื่นเข้ามา ดวงตากลมรู้สึกดีใจและเสียดายอย่างน่าประหลาด แต่ก็ต้องกดอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้ ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกพ่ายแพ้ และยื่นมือไปจับอย่างสั่นไหว

          และก็อย่างที่บอกว่า เมื่อมาเที่ยวสวนสัตว์ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินชมสิงสาราสัตว์ ยิ่งตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาโชว์การแสดง ก็ได้แต่เดินเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อยเท่านั้น…เพียงแต่สิทธิ์ดูจะมีเป้าหมายในการเดินอย่างน่าแปลก หลังจากเดินเข้ามาได้สักพัก อยู่ๆก็ฉุดมาดูโซนลิงเสียอย่างนั้น

          “ดูสิ ชะนี”

          จากนั้นก็พาไปแถวบ่อสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ…

          “ดูสิ แรด”

          เลือกมาดูเหมือนจงใจอย่างไรชอบกล แถมยังพาไปดู เสือ เก้ง และกวางต่อแบบครบจบกระบวนความ เหมือนต้องการจะสื่ออะไรทางอ้อมเลยยังไงยังงั้น

          “…นี่คุณจงใจหรือเปล่า…” เดียร์ก็ค่อนข้างจะมั่นใจอยู่หรอก แถมคนที่จูงมือตนก็หยุดยืนนิ่งอยู่หน้ากรงเก้งตั้งนานแสนนานอีกต่างหาก

          “จงใจอะไร้ ไม่มี้” เสียงสูงปรี๊ดกันเลยทีเดียว “ไง สนุกไหม”

          น้ำเสียงนั้นห้วนและดูไม่แยแส แต่แน่นอนว่าคนฟังก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำราวกับโดนกระซิบอย่างอ่อนโยนที่ข้างหู และแถมงับทิ้งท้ายแสดงความกระหายมาให้ด้วย

          “…ส…สนุกบ้าอะไร…” เด็กหนุ่มพูดติดขัด หายใจหอบกระเส่าอย่างกับเพิ่งโดบจูบแบบไม่ให้พักเป็นเวลาห้านาที “ผม…ไม่ใช่เด็กนะ ที่จะมาสนุกกับอะไรแบบนี้…”

          “จริงหรือ” แรงบีบที่มือรุนแรงขึ้น แต่โทนเสียงกลับหวาบหวามชวนปลุกอารมณ์ที่ไม่ควรกระทำในกลางแจ้ง “แล้วอะไรที่สนุกสำหรับเธอหรือ”

          แล้วจะให้บอกเรอะว่าช่วยเอาเชือกมาจูงคอ แล้วสั่งให้ผมเดินสี่ขารอบสวนสัตว์น่ะ…แฮ่กๆ อย่างน้อย เอารอบบ้านก่อนก็ได้~

          เดียร์เพียงแต่หันหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความอยากบนใบหน้า แต่กลับโดนมือหนารั้งไม่ยอมให้ขยับ จนเดียร์ได้แต่กัดฟันและอดทนเท่าที่จะทำได้ ซึ่งโชคดีที่สิทธิ์บีบหน้าอยู่ เลยทำให้อารมณ์บนใบหน้ากลมกลืนไปกับรอยย่นจนไม่ต้องพยายามปกปิดให้เหนื่อยนัก

          “จะหนีทำไม แค่ถามธรรมดา จะกลัวอะไร” สิทธิ์ยิ้มเยาะ “ว่าไง ถ้าไม่ตอบเอง เดี๋ยวฉันจะทำตามใจชอบนะ”

          ทำอะไรหรือครับ ตามใจชอบที่ว่าเนี่ย ถึงได้เอาอีกมือมาเลื้อยไปเลื้อยมาทั่วตัวผมน่ะ…โอ้ว

          “อ๊ะ ทำบ้าอะไรของคุณ” อยู่ๆก็โดนหยิกจนสะดุ้งและเผลอทำหน้าตื่นใส่ นึกว่าพ่อคุณแกจะหื่นในที่สาธารณะอย่างเดียวเสียอีก

          “เรียกสติไง เห็นเคลิ้มเชียวนะ” ไม่ว่าจะพูดจริงหรือไม่ คนฟังก็สะดุ้งเพราะเมื่อครู่ลืมตัวจริงๆ “ชอบเหรอ”

          เดียร์ยอมรับว่าเขาไม่แน่ใจจริงๆว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ ทั้งที่เมื่อก่อนละดูง่ายจนแทบไม่ต้องใช้สมองและพลังงานให้เปลืองแบบนี้เลยแท้ๆ

          “จะบ้าหรือ…ใครจะชอบกันเล่า” แต่สุดท้ายก็ตอบไปอย่างที่คนปกติควรจะตอบ ก่อนจะผละร่างออกจากอีกฝ่าย ซึ่งก็ห่างเท่าที่ช่วงแขนจะอำนวย เพราะสิทธิ์ยังคงจับมือเขาแน่นไม่เปลี่ยน…

          แต่แทนที่จะทำสีหน้าเหนือกว่า คราวนี้กลับดูนิ่งชอบกล

          ทำไมล่ะ เราทำอะไรผิดกัน?

          ก่อนที่จะได้คิดต่อ เสียงใสของเด็กหญิงตัวน้อยก็แล่นผ่านโสตประสาทชวนให้รื่นหู เมื่อหันไปดูก็พบสาเหตุที่ทำให้เด็กน้อยร้องไห้จ้า ก็คงเป็นลูกโป่งที่ลอยไปติดอยู่บนต้นไม้ กับการที่เธออยู่เพียงลำพังไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วยเลย

          เดียร์รู้สึกเหมือนโดนฉีก เพราะเจ้าหมียักษ์แกเล่นกระชากเขาเข้าไปหาเด็กหญิงอย่างลืมตัว ซึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่า ที่แม้สิทธิ์ต้องการจะช่วยคนอื่นมากแค่ไหน ก็ยังไม่ลืมเขาไปเสียทีเดียวเนี่ย

          “เอ้า ไม่ร้องนะคะ” ใบหน้าที่มักเคยเห็นในอดีตผุดออกมา พร้อมกับยื่นลูกโป่งรูปกระต่ายสีชมพูให้หนูน้อย หากไม่รู้นิสัยจริงกันมาก่อน เดียร์คงไม่คิดหรอก ว่าสิทธิ์จะยิ้มได้อ่อนโยนขนาดนี้ แม้จะทำให้เขารู้สึกคันคะเยอเหมือนเป็นลมพิษเมื่อได้เห็นก็ตาม “พ่อแม่หนูไปไหนแล้วล่ะคะ”

          เด็กหญิงมองทั้งสองก่อนจะรับลูกโป่งมา ก่อนจะเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

          “พ่อ...แม่หาย...ฮือ...”

          “โอ๋ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่ชายจะช่วยหาแม่ให้นะคะ” ชายหนุ่มปลอบเสียงนุ่ม “ชื่ออะไรหรือจ๊ะเรา”

          “น...นัทค่ะ” เด็กตัวน้อยบอกเสียงสะอื้นพลางปาดน้ำตา ดูจากความสูงแล้ว เธอน่าจะอายุราวสี่ห้าขวบได้ “พี่ชายกับพี่สาวจะช่วยหาพ่อกับแม่ให้จริงๆหรือคะ”

          เดียร์ไม่แปลกใจสักนิดที่สิทธิ์หลุดหัวเราะออกมา

          “…จริงสิจ๊ะ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย” ท่าทางพ่อหมียักษ์จะรับมือกับเด็กได้ดีอย่างน่าประหลาด “ถ้างั้นไปหาพ่อแม่กับพี่กันนะ”

          ว่าแล้วก็อุ้มเด็กหญิงขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเด็กหญิงตัวเบา หรือเพราะไม่อยากปล่อยมือจากเดียร์กันแน่ แต่เด็กหนุ่มคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า…ก็ดูสิ ทั้งที่อุ้มเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับใช้สายตาเร่าร้อนปรายมองมาเป็นระยะ เหมือนกำลังสังเกตการณ์ตนอยู่ยังไงยังงั้น

          แน่นอนว่าเดียร์ก็รู้ดีว่าสายตานั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือการกระทำที่สวนทางกันนี่สิ ถึงเขาอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างไร ก็ทำใจคิดไม่ได้หรอกว่าสิทธิ์จะเปลี่ยนกันไวแบบนี้หรอก

          ถ้าคุณเป็นอย่างที่ผมหวัง มันอาจจะดีสำหรับเราทั้งคู่ก็ได้

          ตามหลักเมื่อเจอเด็กหลงทาง แน่นอนว่าก็ต้องพาไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศหาผู้ปกครองอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือ ทั้งที่ประกาศไปตั้งสามสี่รอบ และรออยู่ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววของผู้ปกครองของนัทเลยแม้แต่เงา ทำเอาทั้งสิทธิ์กับเดียร์และพนักงานสาวเริ่มอึกอักหวั่นใจ และที่แย่กว่าคือ เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มบ่อน้ำตาแตกอีกแล้ว

          “โอ๋ ไม่ร้องนะๆ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็มาแล้วน้า” สิทธิ์พูดประโยคนี้เป็นรอบที่ยี่สิบสอง และท่าทางมันจะใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว

          “พ่อกับแม่…ทิ้งนัทใช่ไหมคะ…”

          “ไม่ได้ทิ้งหรอกจ้ะ” เมื่อเห็นพ่อหมียักษ์หมดมุก บวกกับทนเห็นสภาพสมเพชของสิทธิ์ไม่ได้ เดียร์เลยช่วยปลอบใจเด็กหญิงอีกแรง “ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะทิ้งเด็กน่ารักอย่างหนูลงหรอก บางทีพ่อกับแม่อาจจะไม่ได้ยินเสียงประกาศก็ได้นะ”

          พูดจบ พนักงานก็สะดุ้งเหมือนโดนเข็มจิ้มก้น และเริ่มประกาศอีกครั้งทันที

          “นั่นสิ อย่าคิดแบบนั้นเลยนะ” สิทธิ์ช่วยเสริม “จริงสิ อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่ชายซื้อให้”

          นัทมองหน้า แล้วปาดน้ำตาตัวเอง “ไอติม”

          “จ้า” พ่อหมียักษ์รับเสียงใส ก่อนจะหันมาหาเดียร์ด้วยสีหน้ากังวล และทำท่ากระอักกระอ่วนจนเดียร์เลิกคิ้ว แต่เพียงไม่นานเขาก็เก็ท “ฝากดูเขาที…แล้วอย่าหนีไปไหนนะ”

          แหม เอาจริงๆก็กลัวผมจะหนีล่ะสิ

          “ผมไม่มีทางทิ้งเด็กเอาไว้แบบนี้หรอกครับ” เด็กหนุ่มอดหลุดขำออกมาไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควร “คุณไปเถอะครับ…รีบไปละกัน ผมไม่ทิ้งเด็กก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ตรงนี้จนกว่าพ่อแม่เข้าจะมาหรอกนะ”

          นี่ไม่ได้แกล้งนะ แค่ทำเป็นขู่ให้ดูเหมือนไม่เต็มใจเท่านั้นเอง


_______________________________________
ต้องขอโทษที่เว้นไปอาทิตย์นึงงับ พอดีเดือนนี้ไม่ว่างอย่างแรง ;w; หลังจากลงตอนนี้แล้วอาจจะลงอีกทีไม่สิ้นเดือนก็ต้นเดือนกุมภาเลยนะงับ  TT[]TT
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 49 (11/01/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 11-01-2015 20:00:07
โว้ว...ว.ว......แดดิ้น  :z3: คู่นั้นก็ดี คู่นี้ก็แจ๋ว  :hao6: นักเขียนรีบมาต่อนะคะ ฮุฮุ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 49 (11/01/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 11-01-2015 23:29:27
สิทธิ์เอ้ย ความเป็นsในตัวนายมันคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ เนียนไปกับนิสัยละนี่
เดียร์นี่ไม่รู้จะพูดยังไง ยิ่งอ่านยิ่งฮาปนสงสารนาง สับสนละสิเทอ
นิยายเรื่องนี้อ่านทีไรมันฮาแตกทุกที
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 49 (11/01/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 14-01-2015 18:10:54
อ่านเเล้วฮาาาาา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 01-02-2015 13:18:55
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 50

          เดียร์มองคนที่รีบร้อนออกไปซื้อไอศกรีมราวกับเป็นเรื่องฉุกเฉินแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลัวเขาหนีขนาดนั้น ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาที่เห็นตัวเองดูสำคัญสำหรับอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน

          ที่เป็นแบบนี้ เพราะรักอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ

          นึกแล้วก็อดประหลาดใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่มีใครเห็นความสำคัญของตัวเอง ความรู้สึกแรกที่พุ่งออกปากคือขยะแขยงแสลงใจแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือความรู้สึกนั้นเอาไว้เลยสักนิด กลับกัน อยากจะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ…และถ้าให้ดีมาพร้อมกับโซ่ แส้ กุญแจมือด้วยล่ะยิ่งแจ่ม!!!...แต่ถ้าไม่มี…ถ้าเป็นเขาก็คงไม่เป็นไรมั้ง…

          เด็กหนุ่มสะดุดกึกกับความคิดของตัวเอง พอคิดว่าถ้าต้องมีชีวิตต่อไปโดยไม่ได้รับความรุนแรงอีกก็ชวนให้ใจหายวาบ ถึงเมื่อครู่จะเผลอนึกไปก็จริง แต่เดียร์มั่นใจว่า ไม่เกินสามเดือน เขาต้องออกอาการลงแดงแน่นอน ความกลัวที่แทรกขึ้นมาในใจนั้นเป็นหลักฐานอย่างนี้ ของแบบนี้ใช่ว่าจะเลิกกันได้ง่ายๆเสียหน่อย ยิ่งสำหรับเขาที่อยู่กับความเจ็บปวดมาตั้งแต่จำความได้ ถ้าอยู่ๆให้เลิกเลย มันก็ไม่ต่างอะไรจากให้หยุดหายใจหรอก

          แต่พอนึกว่าจากนี้ไปจะไม่มีสิทธิ์ในชีวิต มันก็รู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าแปลก…จะให้ตัดใจไปก็ทำไม่ลง..

          ถ้าเขารู้ เขาต้องรับไม่ได้อยู่แล้ว...แน่ล่ะคนธรรมดาจะมารับกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ

          ความรู้สึกเจ็บแปลบจี้ขึ้นในอก ความขมขื่นปนสุขสมปนกันอยู่ในใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เด็กหนุ่มรู้สึกแย่มากกว่าดี...ถึงตอนนี้ใบหน้าจะยิ้มเพราะเหตุประจำอยู่ก็ตาม

          ไม่คิดเลยว่าการมีความรักมันจะมีความรู้สึกแย่ปนมาด้วยแบบนี้

          “พี่สาวเป็นแฟนกับพี่ชายหรือคะ”

          เด็กหนุ่มหลุดจากห้วงคิดเมื่อมีเสียงใสกระทบเข้าโสตประสาท เดียร์มองเด็กตัวน้อยที่มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะก้มลงไปลูบหัวอย่างเอ็นดู

          “ทำไมคิดแบบนั้นละจ๊ะ”

          เด็กหญิงทำแก้มป่อง “ก็พี่ชายกับพี่สาวดูรักกันเหมือนพ่อกับแม่ของหนูนี่คะ”

          ฟังคำตอบแล้วถึงกับกระตุก เพราะเอาเข้าจริงๆ เขาดูไม่ค่อยออกหรอกว่าสิทธิ์รักตนจริงหรือเปล่า แต่ที่ช็อกยิ่งกว่าคือ การที่ตนแสดงออกจนเด็กรู้สึกได้ด้วยนี่สิ

          นี่เรารักคุณสิทธิ์จนขนาดเก็บอาการไม่อยู่เลยหรือ…

          ความรู้สึกกลัวก่อเกิดขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วแท้ๆว่า หากสิทธิ์กับตนไม่อาจร่วมทางตะปูหนามกันได้ ก็คงต้องแยกทางอย่างเสียมิได้

          ไม่หรอก เขาเองก็ออกจะใช้ความแรงรุนได้ดีขนาดนี้ เราจะกลัวไปทำไม ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว บางทีเขาอาจจะติดใจก็ได้…

          แต่ถ้าไม่ล่ะ?

          “มาแล้วจ้า”

          เด็กหญิงตาโตกับไอศกรีมโคนรสวนิลาในมือของสิทธิ์ เดียร์เองก็เผลอนิ่วหน้าเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ซื้อมาแค่อันเดียว

          “ค่อยๆกินนะ” สิทธิ์บอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้วงซะเลอะรอบปาก ก่อนจะลอบถอนใจเมื่อเห็นหนูน้อยร่าเริงขึ้น

          “ขอบคุณค่ะพี่ชาย” นัทเอ่ยขอบคุณก่อนจะก้มลงกินอย่างเอร็ดอร่อย

          เมื่อเด็กหญิงสนใจอยู่กับไอศกรีม สิทธิ์ก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นมิตร กลับมาเหยียดยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวดูคล้ายกับกำลังมองเห็นของเล่นยังไงยังงั้น

          “เอ้ากินสิจ๊ะ” ว่าแล้วก็ยื่นไอศกรีมรสเดียวกับของนัทมาจ่อปากเดียร์ “ไม่ต้องเขินหรอก กินเลยๆ”

          และสิทธิ์ก็ไม่รอฟังคำตอบแต่อย่างใด จิ้มแปะจมูกเลยทีเดียว

          “คุณนี่!” เดียร์แววใส่ ก่อนจะถอยหนี “เล่นเป็นเด็กๆไปได้”

          “ฮะๆๆ” แลดูจะสะใจเสียเหลือเกิน ถึงได้หัวเราะออกนอกหน้าขนาดนี้ “เห็นทำหน้ากลุ้มมาแต่ไกลนี่”

          ร่างบางกระตุกเล็กน้อยเมื่อโดนทัก สีหน้าแสร้งหงุดหงิดหายไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่น จนทำเอาคนแกล้งหน้าเสียและลืมตัว

          “เป็นอะไรหรือเปล่า” เพราะกลัวอีกฝ่ายจะทนรับกับการแกล้งไม่ไหว เลยลนลานถามไปอย่างลืมเก็กเลยทีเดียว “ฉะ…ฉันขอโทษนะ แค่ได้ใจมากไปหน่อย…”
         
          ใบหน้าขาวนวลเงยมองขึ้นมา คนมองถึงกับเจ็บในอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลยสักนิด

          นั่นสินะ…ถึงยังไง ไอ้เรื่องจะให้อีกฝ่ายมีรสนิยมเข้ากับเราเลยน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก…

          ดวงตากลมตกเบิกกว้างเมื่อเห็นท่าทีของร่างสูง ริมฝีปากบางอ้ากว้างหมายจะพูด แต่บางอย่างในใจกลับดึงคำที่อยากจะบอกกลับลงคอจนสิ้น

          “…ไม่เป็นไร…” เสียงหวานเบาจนแทบจะกลืนไปกับอากาศ เดียร์ก้มลงหลุบต่ำเพราะทนมองไม่ไหว โชคดีเหลือเกินที่นัทยังคงสนใจไอศกรีมอยู่ จึงไม่เห็นใบหน้ากลัดกลุ้มของเดียร์

          ก่อนจะมีใครได้พูดต่อ เสียงวิ่งที่ดังเข้ามาก็ดึงความสนใจของพวกเขาเสียก่อน และนั่นทำให้เด็กน้อยถึงกับยิ้มกว้าง
         
          “พ่อจ๋า แม่จ๋า” เสียงใสร้องดังก่อนจะโผเข้ากอดแม่และปล่อยโฮลั่น อีกฝ่ายเองก็กอดกลับโดยไม่สนว่าไอศกรีมและน้ำมูกน้ำตาของเด็กหญิงจะเลอะหน้าหรือเสื้อผ้าแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่อยู่บนใบหน้าคือความปิติที่ได้พบกับลูกอีกครั้ง

          “นัท แม่ขอโทษนะลูก” หญิงสาววัยสามสิบต้นๆบอกเสียงสั่น “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

          ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังสำรวจสวัสดิภาพของลูกสาว คนพ่อที่เพิ่งโล่งใจจากการพบลูกก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองมาทางสิทธิ์ ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกออก

          “อ้าว ไอ้สิทธิ์นี่”

          เดียร์เผลอเลิกคิ้ว... ‘ไอ้’ เลยหรือ

          สิทธิ์ดูจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ท่าทางเหมือนจะนึกไม่ออกว่าคนตรงหน้าเป็นใครอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแสดงอาการไม่ต่างจากอีกฝ่ายนัก

          “อ้าวพี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ” ดูท่าทางจะเป็นคนรู้จักในทางบวก และสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะสิทธิ์ถึงกันตบไหล่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน เล่นเอาคู่สนทนาเซไปกับแรงควายที่เข้ามาอย่างกะทันหัน “เป็นไงบ้างล่ะพี่ ไอ้หน้าตายนั่นสบายดีหรือเปล่า”

          “ฮ่าๆ ก็เรื่อยๆล่ะ ลองไปเยี่ยมมันสิ แล้วแกจะสะพรึง รู้หรือเปล่าว่ามันมีแฟนแล้วนา”

          “หา จริงง่ะ ยังมีผู้หญิงที่ไหนตาบอดไปชอบมันด้วยหรือ ฮะๆๆ…”

          เดียร์มองอีกฝ่ายที่คุยกันอย่างเป็นมิตรและสนุกสนาน จนเขากลายเป็นส่วนเกิน แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกโหวงเหวงไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น แต่เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งจะสำนึกได้เมื่อเห็นภาพตรงหน้าต่างหาก

          นั่นสินะ...ก็เขาน่ะ...

 

          “อ้าว ว่าแต่นั่นแฟนใหม่แกเหรอ” หลังจากคุยย้อนความหลังกันจนสมใจอยาก ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อของนัทก็เอ่ยทักทายเดียร์ขึ้นมา แต่พอเห็นใบหน้าหมองของหนุ่มหน้าหวาน น้ำเสียงต่อมาจึงเจื่อนลงอย่างชัดเจน “เอ่อ...เป็นอะไรหรือเปล่า”

          สิทธิ์เองก็หันกลับมามองเดียร์ ความรู้สึกกดดันก่อนหน้าคุขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงรู้สึกแย่จากการแกล้งของตนเมื่อครู่แน่

          “เอ่อ เขาไม่ค่อยสบายนิดหน่อย...ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนละกันนะครับ เที่ยวให้สนุกนะ” เนื่องจากไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วงนัก พ่อหมียักษ์จึงรีบโกหกและพาตัวเดียร์ออกไปอย่างรวดเร็ว “...ไม่เป็นอะไรนะ”

          ทีแรกเขาคิดว่าจะต้องโดนต่อว่ากลับอย่างที่มักเป็น แต่คราวนี้กลับไม่ใช่เลยสักนิด ยิ่งเห็นสีหน้าสลดของอีกฝ่าย ความกลัวก็ยิ่งเพิ่มพูนจนเริ่มสั่น

          “ฮึก”

          และถึงกับกระโดดถอยหนีทันทีเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มเดียร์

          “เฮ้ย เป็นอะไรกัน ถ้าเป็นเรื่องเมื่อกี้ล่ะก็ฉันขอโทษนะ” สิทธิ์ร้องเสียงหลงและเข้ามาปลอบอย่างกระวนกระวาย

          เด็กหนุ่มเงยมองสีหน้ากลัดกลุ้มของร่างสูง เขาไม่คิดแม้แต่จะเช็ดน้ำตาออกจากแก้มของตนแม้แต่น้อย ริมฝีปากสีหวานเผยยิ้มบาง มันดูดีใจแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าเหลือคณา

          “แบบนี้สิถึงจะเป็นคุณ” ได้ยินเสียงหวานทัก หมียักษ์ถึงกับสะดุ้งโหยง “ทำไมถึงชอบฝืนทำทั้งที่ไม่ชอบด้วยล่ะ”

          “มะ...ไม่ใช่สักหน่อย...ฉันชอบจะตาย...” สิทธิ์พยายามจะค้าน แต่กลับโดนอีกฝ่ายยกมือห้าม

          “ชอบ แต่ถ้าไม่ใช่ศัตรูก็ไม่ทำใช่ไหมล่ะครับ” คำนั้นเล่นเอาคนฟังใบ้กิน “หรือคุณเห็นผมเป็นศัตรูกันละ”

          “ไม่ใช่เลยนะ ฉันรักเธอต่างหากล่ะ” พูดแล้วก็ต้องด่าตัวเองในใจ เพราะนั่นทำให้คำแก้ตัวที่ว่า เขาทำรุนแรงแค่กับเดียร์เพราะชอบตกไปอย่างเป็นทางการ

          “ใช่ไหมล่ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งเป็นสิ่งที่สิทธิ์อยากฟังมานานเหลือเกิน เสียแต่ในตอนนี้ เขากลับไม่อยากได้ยินมันเลยสักนิด ยิ่งฟัง เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บในอก “คุณน่ะ เหมือนพี่วินจะตาย”

          ซึ่งนั่นเบรกความรู้สึกเจ็บของสิทธิ์ ชนิดหัวทิ่มเลยทีเดียว

          “ถึงคุณจะไม่ยอมรับยังไง คุณกับพี่วินก็นิสัยเหมือนกันมากเลยนะ...” เดียร์เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา “กับศัตรู ร้ายมายังไงก็ร้ายกลับอย่างนั้น แต่จะทำเพื่อพวกพ้องจนเกินตัวเลยใช่ไหมล่ะ”

          ตรงเสียจนเถียงไม่ออก

          “ไม่...เอ๊ย ใช่สิ ฉันน่ะเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่กับเธอมันไม่เหมือนกันนะ” สิทธิ์ค้านเสียงสั่น ก่อนจะจับไหล่อีกฝ่ายแน่น ราวกับกลัวจะสูญเสียไป “ฉันเป็นแบบนี้แค่กับเธอคนเดียวเท่านั้นล่ะ”

          ดวงตากลมเบิกกว้างมอง ก่อนจะหรี่หลับลง และเข้าใจไปว่าสิทธิ์หมายถึงเขารักตนคนเดียว “ผมรู้...แต่เรารักกันไม่ได้หรอกครับ แค่ความรักมันไม่อาจผูกให้เราอยู่ด้วยกันได้ตลอดไปหรอกครับ ผมกับคุณต่างกันเกินไป”

          “ไม่นะ เรื่องนั้นมันไม่จริงสักหน่อย...” สิทธิ์ชะงักไปเล็กน้อย และเริ่มเอะใจในประโยคสุดท้ายของเดียร์

          หรือเขาจะรู้เรื่องที่เราเป็นพวกซาดิสม์...

          สิทธิ์ถึงกับหน้าเสีย ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะรอให้อีกฝ่ายนึกชอบก่อนแท้ๆ แต่ในเมื่อรู้ไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือเดินหน้าต่อเท่านั้น

          “แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้สักหน่อย” สิทธิ์ว่าต่อเสียงขุ่น ไม่เคยเลยที่จะต้องมาคาดคั้นขอความรักจากคนอื่นแบบนี้ “ใจจริงฉันก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้สักหน่อย แต่มันรักไปแล้วนี่นา ทำยังไงได้ล่ะ ถึงฉันจะพยายามยังไง มันก็ทำไม่ได้...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง...หรือเรื่องที่ต้องเลิกรักเธอ”

          เดียร์รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่คอ ปากเล็กทำได้เพียงแค่อ้าค้าง ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา ความกลัวเกิดรุมเร้าขึ้นภายในใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้

          พูดแบบนั้น...เขารู้เรื่องที่เราเป็นมาโซฯหรือ

          จะให้คิดเป็นอย่างอื่นในตอนนี้ก็คิดไม่ค่อยจะออก นอกจากว่าสิทธิ์พยายามทำตัวเป็นชาวซาดิสม์เพื่อให้เข้ากับตน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ และจะให้เลิกรักก็ทำไม่ได้

          น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ทะลักเขื่อนจนได้ เด็กหนุ่มทั้งดีใจและเสียใจปะปนกัน เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนรักตนถึงขนาดพยายามเปลี่ยนรสนิยมเพื่อเข้ากับเขาแบบนี้ แต่อีกใจก็รู้สึกแย่เหลือกำลัง...เพราะเขาทำให้สิทธิ์ต้องรู้สึกทรมานเพราะ ความชอบของเขา

          ถึงเริ่มแรกทุกอย่างจะเป็นเพราะอีกฝ่าย แต่หากไม่ใช่เพราะความกระสันอยากโดนทำร้ายของตน มีหรือที่สิทธิ์จะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้

          “ผมขอโทษ...” ในขณะที่สิทธิ์กำลังช็อกกับน้ำตาที่ไหลเป็นสาย เสียงหวานก็ดังขึ้นอย่างเบาบางและสั่นเครือ มันแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดมากเสียจนคนฟังยังรู้สึกไปด้วย “แต่คุณไม่ควรจะทำแบบนี้...มันแย่เกินไปแล้ว...”

          แน่นอนว่าเป็นใครก็คิดได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายปฏิเสธตน

          “อย่าพยายามอีกต่อไปเลยครับ” เสียงหวานเอ่ยคำขาด “ผมไม่อยากให้คุณทำแบบนี้เพื่อผม...มัน...ไม่ดีต่อทั้งผมและคุณเลย...”

          “ไม่เอานะ! ฉันน่ะ...ฉันไม่อยากให้เราจบกันนะ...” สิทธิ์รู้สึกเหมือนมีใครมาทุบหัว แม้จะพยายามคิดหาทางพูดกล่อมอีกฝ่ายแทบเป็นแทบตายอย่างไรก็ไม่ออก มีเพียงความดื้อดึงเท่านั้นที่คอยกระตุ้นให้เขาเอ่ยรั้งสุดชีวิต “ฉันรักเธอนะ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็รักเธอ...”

          ฟังแล้วยิ่งทำให้น้ำตาแห่งความปิติหลั่งไหลไม่หยุด แต่ความรู้สึกผิดในใจก็คอยเตือนสติให้ห้ามตนยื่นมือไปหาความรักที่แสนจะบริสุทธิ์(?)นั้น ถึงจะชอบมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องทำให้คนที่รักนั้นทรมานไปตลอดชีวิต ใจเขาก็ทนไม่ได้เช่นกัน ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ไม่อยากให้คนอื่นเจ็บกว่าตัวเองเพราะรู้สึกแย่ ไม่ใช่เพราะความอิจฉาแบบนี้

          “อย่าฝืนตัวเองเลยครับ” น้ำเสียงนั้นเหมือนคนจะขาดใจ แน่นอนว่าคนฟังก็เช่นกัน แต่คนละสาเหตุ “ผมดีใจนะ แต่ผมคงทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก”

          “อะไรนะ? เดี๋ยวสิ” แม้จะงงกับคำพูดในช่วงท้าย แต่ความตื่นตระหนกก็กลบความสงสัยไปเสียหมดเมื่อเห็นร่างเล็กวิ่งหนีไปด้วยความเร็วแบบไม่เคยพบเคยเห็น สิทธิ์พยายามวิ่งตามไป แต่ทั้งที่พยายามวิ่งสุดแรง ระยะห่างกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย “เฮ้!”

          ชายหนุ่มถึงกับร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายหนีไปยังประตูทางออก และพอตามออกไป เขาก็เผลอหน้าเบี้ยว เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแบบพอดิบพอดี

          ไม่นะ!

 

          “ว่าแต่นะ เราไม่ตามไปจะดีหรือ”

          ก้องมองหน้าคนสะลึมสะลือ แต่มือก็จ้วงข้าวตรงหน้าไม่หยุด จนไม่แน่ใจว่ากำลังง่วงหรือหิวมากกว่ากันแน่ แต่ดูอาการแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

          “ไม่ต้องหรอก แถวนี้ไม่มีอันตรายอยู่แล้ว ใครมันจะกล้ามาตีกันแถวนี้ล่ะจริงไหม” หนุ่มแว่นบอกเสียงเรียบ ซึ่งโชคดีที่ฤทธิ์เองก็ง่วงจะแย่อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยจะดื้อดึงหรือมีสติมากพอจะสงสัย “ฉันว่าทำใจให้สบายผ่อนคลายกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะหาที่นอนก็ได้ ฉันเอาเสื่อมาด้วยนะ”

          “โถ่ ให้มาสวนสัตว์ มีแต่สัตว์ ไม่เห็นจะมีหนุ่มโสดสักคน” ฤทธิ์บ่นพลางมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ครอบครัวที่มีลูกเล็กเต็มไปหมด ก่อนจะเหล่กลับมายังคนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้เต็มทน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายดูอารมณ์ดีแบบนี้ด้วยแล้ว ก็รู้สึกคันไม้คันมือตงิดๆ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด

          “ถึงหนุ่มโสดจะไม่มี แต่ก็มีหนุ่มหน้าตาดีที่รักนายอยู่ตรงนี้น้า”

          ถ้าเป็นตามปกติ เขาคงหัวเราะใส่หน้าก้องไปแล้ว เสียแต่วันนี้หนุ่มแว่นไม่ได้มาในสภาพอย่างที่เคยเป็นนี่น่ะสิ ถึงจะใส่แว่นอยู่ก็จริง แต่ไม่รู้วันนี้ผีอะไรเข้าสิง ถึงได้โกนหนวดหวีผมเสียดิบดี แถมยังใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่รีดเรียบอย่างที่ถ้าไม่ถึงเวลาสำคัญจริงๆจะไม่มีทางใส่เด็ดขาดอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ มีการพรมน้ำหอมได้อย่างพอดิบพอดีจนกระตุ้นอารมณ์มืดในใจจนอยากจะกระโดดปล้ำเสียตรงนี้เลยทีเดียว

          “เชอะ ขี้โกงนี่หว่า แบบนี้ฉันจะไปกล้าชกนายได้ไงเล่า”

          ก้องได้แต่หัวเราะในใจ ก่อนจะปลอบอีกฝ่ายที่ฟุบลงไปงอแงกับโต๊ะอย่างไม่สมอายุเลยสักนิด...ซึ่งถ้าให้ดี เขาอยากให้ฤทธิ์ฟุบหลับไปเลยเสียด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องมากังวลกลัวแผนจะเสียเอาตอนสำคัญแบบนี้…และคราวนี้ก็ดูเหมือนจะราบรื่นไร้กังวลเสียทีเมื่อเห็นหน้าจอมือถือของตนแสดงชื่อของเจ้านายขึ้น

          “แย่แล้วครับ มีคนจับเดียร์ไป”



___________________________________________


หายไปนานมาถึงก็ดราม่า(?) กันเลยทีเดียว ฮา ช่วงนี้คนเขียนยังเป็นหวัด หน้ามืดตามัว อากาศก็เปลี่ยนแปลงไปมา รักษาสุขภาพกันด้วยเน้อ ^^
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 01-02-2015 14:32:32
เดียร์โดนจับตัวซะแล้ว รีบมาต่อนะคุณนักเขียน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 01-02-2015 15:46:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 01-02-2015 17:08:13
เข้าใจไปคนละทางเล้ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-02-2015 11:22:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: nonnon04 ที่ 02-02-2015 12:56:15
 :katai1: โอ๊ย เมื่อไหร่จะรู้กันซักกะที ว่าเข้ากันได้สุดๆ  อยากได้ฉาก SM แบบรู้กัน  :z1: 
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 50 (1/02/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 02-02-2015 14:06:35
รสนิยมตรงกันแท้ๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 08-02-2015 20:01:14
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 51

          “อารายนะ” ฤทธิ์ร้องถามทั้งที่ยังไม่ตื่นดี ก่อนจะแย่งโทรศัพท์ออกมาจากมือก้อง ทำเอาหนุ่มแว่นแอบแปลกใจ ทั้งที่เขาไม่ได้เปิดลำโพงแท้ๆ แถมยังง่วงจนจะฟุบได้ทุกเมื่อ แต่กลับหูผีจนน่ากลัว “คุณสิทธิ์ว่าอะไรนะ”

          ก้องเพียงแต่มองสีหน้าของอีกฝ่าย ซึ่งท่าทางคุณเจ้านายจะตื่นตระหนกจนพูดอะไรไม่ถูก เพราะดูฤทธิ์จะไม่เข้าใจเลยสักนิด

          “เอ่อ ใจเย็นๆนะครับ ค่อยๆคิด ค่อยๆเรียบเรียง ค่อยๆพูดนะครับ” ฤทธิ์กล่อมอีกฝ่ายพลางขยี้ตา และดูท่าทางจะตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินเรื่องราวอย่างชัดเจน “อะไรนะ จริงหรือครับ เดี๋ยวสิๆ เมื่อไหร่…แล้วคุณอยู่ที่ไหนตอนนี้…เข้าใจล่ะ”

          เข้าใจอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่พอวางสายปุ๊บก็ลากคอก้องออกไปแบบไม่ถามไถ่สุขภาพและความสมัครใจสักคำ แต่แน่นอนว่าคนโดนกระทำนั้นแสนจะสุขใจจนยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว

          สิทธิ์ยืนหน้าเสียอยู่ที่หน้าทางเข้าสวนสัตว์ พอเห็นหน้าลูกน้องทั้งสอง ก็รีบปรี่เข้ามาด้วย ความเร็วหมายจะเขย่าใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุด และฤทธิ์ก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายโดนแน่ เพราะอย่างนั้นจึงรีบเหวี่ยงแฟนตัวเองไปเป็นเหยื่อแทน...ซึ่งเอาจริงๆก็วินๆ ทั้งสามฝ่าย

          “ทำไงดีล่ะครับ อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้จับตัวเดียร์แล้วก็ขึ้นรถตู้หนีไปเลย ผมจะตามไปแต่ก็ไม่ทัน ทะเบียนรถมันก็ไม่มี ไอ้คนจับมันก็ใส่โม่งไว้อีก โอ๊ย” ชายหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย เขย่าไหล่ก้องอย่างลืมตัว “รอบคอบขนาดนี้ มันต้องวางแผนมาอย่างดีแน่”

          ก้องไม่อยากจะแซวเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีจริงๆที่อีกฝ่ายรอบคอบ ไม่อย่างนั้นอะไรที่ต้องเกิด ก็คงไม่ได้เกิดพอดี

          “เดี๋ยวก่อนสิครับ จะไปไหนน่ะ” ฤทธิ์รีบรั้งพ่อหมียักษ์ที่ทำท่าจะพุ่งออกไป “ตามไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรแล้วล่ะครับ ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อีกฝ่ายก็ไม่พ้นโจทย์ของคุณสิทธิ์...หรือไม่อย่างนั้นก็ของพี่ชายเขา...”

          ฤทธิ์ไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่ที่แน่ๆ สิทธิ์กลับมาพิโรธได้น่ากลัวจนฤทธิ์ถึงกับสั่น

          “ต้องเป็นไอ้หมาสี่ตานั่นแน่ๆ!” ข้อสันนิษฐานที่ออกจากปากของเจ้านาย ทำเอาหนุ่มแว่นแอบสะดุ้ง “จะมีใครอีกล่ะที่ไม่อยากให้ผมกับเดียร์อยู่ด้วยกัน”

          ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากดรัวๆ จากนั้นก็กัดฟันแน่น

          “นั่นไง ไอ้หมานั่นมันไม่อยู่บ้าน พี่พิมพ์ไลน์มาบอกเองเลย”

          ก้องได้แต่นิ่วหน้า...ไม่คิดเลยว่าสาวใช้บ้านวินจะเล่นไลน์กับเขาด้วย แล้วยังจะแอดเจ้านายตนเป็นเพื่อนอีกต่างหาก

          “ถ้าอย่างนั้นผมว่าใจเย็นๆก่อนนะครับ อย่างน้อยถ้าเป็นคุณวิน เราก็มั่นใจได้ว่าเดียร์ต้องปลอดภัยแน่ๆ” ก้องพยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็น แต่กลับไม่เป็นผลเลยสักนิด

          “จะให้ใจเย็นได้ไงล่ะครับ พี่พิมพ์บอกผมว่า ไอ้แว่นนั่นไม่กลับบ้านมาสามวันแล้ว...” สิทธิ์เว้นช่วงกลับไปพิมพ์ในมือถืออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แถมพี่ศิวะเองก็บอกว่ามันไม่เข้าบริษัทมาเหมือนกัน มันต้องวางแผนเพื่อทำเรื่องนี้แน่!”

          และยังสงสัยได้ไม่เท่าไหร่ เสียงเตือนของไลน์ก็ดังขึ้น พอเห็นข้อความแล้วก็ยิ่งทำให้สิทธิ์หน้าเบี้ยวกว่าเดิม เพราะมันเป็นข้อความจากธานินทร์

          ‘ขอโทษนะครับคุณสิทธิ์ คุณวินให้มาบอกคุณว่าตอนนี้เดียร์อยู่กับพวกเราแล้วน่ะครับ’

          ตอนเห็นชื่อคนส่ง ก้องถึงกับนิ่วหน้า แน่ล่ะ ใครจะไปคิดว่าเจ้าต้นเรื่องตัวจริงมันจะมาเป็นคนบอกกันล่ะ

          “แล้วจะเอายังไงล่ะครับ จะบอกคุณมาริสาดีหรือเปล่า”

          ก้องแทบจะกระอักเลือดตอนที่ได้ยินคำแนะนำของฤทธิ์ ลองทำแบบนั้นดูสิ แค่คำว่าแผนล่ม ยังน้อยไปด้วยซ้ำ...แต่จะให้ห้ามก็ทำไม่ได้อีก

          สิทธิ์ยืนชั่งใจอยู่นานมาก ก่อนจะส่ายหน้าให้ เล่นเอาก้องเกือบจะถอนหายใจออกมา

          “ถึงจะบอกน้ามาริสา เรื่องก็คงไม่จบหรอกครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเด็ดขาด “ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาด เรื่องแบบนี้ก็คงไม่จบหรอกครับ”

          คนฟังได้แต่เงียบและมองหน้ากัน ซึ่งก้องก็พยายามทำสีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาล่ะนึกไม่ออกเลยว่าถ้าความมันแดงขึ้นมาแล้วจะโดนอะไรบ้าง...ถึงลึกๆแล้วจะอยากโดนก็เถอะ

          “แล้วคุณธานินทร์บอกว่ายังไงต่อล่ะครับ” ก้องถามต่อโดยพยายามทำน้ำเสียงให้ตื่นเต้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย การที่โดนฤทธิ์จ้องมองด้วยความสงสัยก็ทำให้หนุ่มแว่นแสดงอาการออกมาได้สมจริงทีเดียว

          “...ดูเหมือนเดียร์จะปลอดภัย” ทั้งที่พูดแบบนั้น แต่สีหน้ากลับดูเคร่งเครียด “เขาบอกว่าให้รอก่อน แล้วไอ้วินจะติดต่อกลับไปเอง ไม่ต้องเป็นห่วง...โธ่เว้ย จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไงเล่า!”

          “เอ่อ...ใจเย็นๆนะครับ ถึงตอนนี้จะร้อนใจขึ้นมาก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ” ฤทธิ์พยายามปลอบไปหาวไป “ถ้ายังไง เรากลับกันก่อนดีกว่าไหม”

          “เอ้อ...แล้วต้องบอกคนอื่นด้วยหรือเปล่าครับ” ซึ่งใจจริงก้องก็ไม่ได้อยากให้บอกนักหรอก แต่ถ้าเงียบอย่างเดียวมันก็ดูไม่เข้าทีเท่าไหร่ด้วย

          “...อย่าเลยครับ” สิทธิ์ตอบเสียงเครียด ก่อนจะกำหมัดแน่น “ในเมื่อมันต้องการตัดสินแค่กับผม ก็อย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยวด้วยเลย...ยิ่งถ้าอาวัฒน์กับไอ้เนรู้นะ มีหวังเรื่องใหญ่โตกันพอดี อย่าให้มันถึงขั้นนั้นเลยครับ”

          จากที่ฤทธิ์ตั้งท่าจะค้าน พอได้ยินชื่อวัฒน์เข้าไปเท่านั้นล่ะ ถึงกับรีบเม้มปากเลยทีเดียว



          วินนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นในบ้านพักของตน พอมองเวลาแล้วก็ทำเอานั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาเดินวนไปวนมา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้ช่วยให้ความกังวลหายไปจากใจเลยสักนิดเดียว

          “ใจเย็นๆเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั้นก็พาคุณเดียร์มาแล้ว” ธานินทร์ว่าเมื่อเริ่มตาลายเพราะมองอีกฝ่ายเดินวน

          “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” เสียงทุ้มว่าอย่างเป็นกังวลและหวาดกลัว “เดียร์จะโกรธฉันไหม”

          คนฟังเกือบจะหลุดหัวเราะ

          “แหม มันก็ต้องมีกันบ้างละครับ แต่อย่าห่วงไปเลย รับรองว่าคุณเดียร์จะต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณทำครับ” ธานินทร์พยายามปลอบเสียงสั่น “คุณน่ะต้องใจแข็งเข้าไว้นะครับ ไม่อย่างนั้นคุณได้น้องเขยเป็นคนๆนั้นแน่”

          จากที่กำลังกลุ้มๆ ถึงกับหงุดหงิดจนหน้าเบี้ยวเลยทีเดียว

          “มาแล้วครับ”

          เสียงลูกน้องที่ดังมาจากประตูทางเข้าทำเอาหนุ่มแว่นหันไปหาทันที ทีแรกเขาก็ตีหน้านิ่งค่อนไปทางเหี้ยมและเตรียมใจโดนน้องชายแสนรักดุด่าต่อว่าแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางเหงาหงอยและสงบนิ่งของอีกฝ่าย ก็เริ่มสงสัยและหาตัวการ

          “พ...พวกผมเปล่าทำอะไรรุนแรงหรือแกล้งอะไรเลยนะครับ คุณเดียร์เขาเป็นของเขาอยู่แล้วนะ” คนที่จับไหล่เดียร์เอาไว้ถึงกับรีบดึงมือออกแล้วร้องบอกเสียงสั่นเหมือนกลับจะโดนคุณชายกัดหัว “ช...ใช่ไหมครับ...”

          ทั้งที่หวังว่าเด็กหนุ่มจะช่วย แต่สุดท้ายเดียร์ก็ทำแค่นิ่งราวกับไม่ได้ยินคำถามนั้น และนั่นทำให้เงามรณะเริ่มถามหาลูกน้องแสนดี

          “เขาไม่ได้ทำอะไรผมหรอกครับ” ก่อนที่วินจะอ้าปาก เดียร์ก็รั้งเรียกด้วยเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยเสียเต็มประดา “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอคุยกับพี่แค่สองคนได้ไหม”

          วินหน้าบึ้งมองน้องชาย ความรู้สึกสงสารระคนคับแค้นเอ่อล้นจนท่วมอก ไม่ว่าจะมองอย่างไรในตอนนี้เขาก็เห็นเพียงแค่ว่า เดียร์กำลังเสียใจกับเรื่องที่ตนทำ

          “ถ้าอย่างนั้นตามพี่มาสิ” หนุ่มแว่นบอกเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องนอนด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังเดินไปแท่นประหาร

          หลังจากปิดประตู วินก็เหลือบไปมองน้องชายด้วยหางตา เมื่อเห็นเดียร์ยังคงมีอาการเหมือนก่อนหน้า ชายหนุ่มก็เริ่มกลัวขึ้นมา เขาพยายามนึกถึงคำพูดของธานินทร์ก่อนหน้า แล้วทำใจแข็ง หันไปหาน้องด้วยใบหน้าที่ดูโกรธที่สุดเท่าที่จะกล้าทำ

          “ที่พี่ทำไปก็เพื่อตัวนายเองนะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “หมอนั่นน่ะไม่ใช่คนดีเลยนะ งานการก็ทำเรื่องสกปรก นายกับหมอนั่นไปกันไม่ได้หรอก”

          “แล้วงานที่พี่วินทำๆอยู่นี่ ดีกว่าเขาตรงไหนหรือครับ”

          ย้อนแบบนี้แล้วจุกเลยทีเดียว

          “พะ...พี่ ก็ไม่ได้อยากทำนะ แต่นายก็รู้ว่าพี่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆก็จะเดือนร้อนกันหมดนี่...แต่พี่ก็พยายามทำให้มันดีขึ้นแล้วนะ อย่างน้อยก็ทำให้มันถูกต้องเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่มันได้แค่นี้จริงๆนี่”

          “...ผมได้ยินจากลูกน้องคุณสิทธิ์ว่า ทางโน้นเองก็พยายามทำให้งานเบื้องหลังมันสะอาดเท่าที่จะทำได้ หรืออย่างมากก็ให้มันเป็นสีเทา...”

          วินได้แต่อ้าปากค้าง ถึงจะคิดแล้วว่าเดียร์น่าจะรู้เรื่องการงานของสิทธิ์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้ลึกรู้จริงขนาดนี้ นึกแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าลูกน้องคนไหนของเจ้าหมียักษ์เป็นคนบอกกัน

          “พี่กับเขาก็เหมือนกันนั่นล่ะ ทั้งเหตุผลที่ต้องสืบทอดงานสกปรกจากพ่อตัวเอง ทั้งเรื่องนิสัย”

          “ไม่จริง!” หนุ่มแว่นเผลอขึ้นเสียงใส่เมื่อได้ยินช่วงท้ายสุด “พี่กับไอ้บ้านั่นไม่เหมือนกันสักหน่อย”

          “ไม่หรอก เหมือนกันจนน่าขำเลยล่ะ” และแม้จะมีเสียงหัวเราะออกมาจากริมฝีปากบาง แต่กระนั้นใบหน้ากลับดูเศร้าและชวนให้คนมองปวดใจเหลือเกิน “พี่เองก็รู้ตัวถึงได้ไม่ชอบใจเขาขนาดนั้นนี่”

          วินกัดฟัน เขาไม่อยากยอมรับเลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลดีๆมาค้านได้เลย แถมยิ่งคิดก็ดันมีแต่เรื่องที่สนับสนุนคำพูดของน้องชายเสียงมากกว่าอีก

          “ตะ...แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนายตอนนี้ ก็เพราะหมอนั่นต้องการแก้แค้นฉันเท่านั้นนะ มันไม่ได้รักนายสักหน่อย” เพราะอย่างนั้นแล้ว เลยต้องเอาเรื่องอื่นมาอ้างแทน “เดียร์อย่าไปรักมันเลยนะ”

          “ถ้าทำแบบนั้นได้ง่ายๆก็ดีสิครับ”

          จากที่กำลังจะสรรหาคำด่าทอต่อถึงกับชะงัก เพราะไม่คิดว่าเดียร์จะเห็นด้วยโดยดีเสียขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ายังดื้อแพ่งไม่ยอมจนถึงที่สุดแท้ๆ และวินก็ต้องช็อกยิ่งกว่า เมื่อได้เห็นน้ำตาของคนตรงหน้า

          “บ้าจังเลยนะ...ทั้งที่ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้แท้ๆ...” เสียงหวานดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือ ใบหน้าหวานเอ่อล้นไปด้วยความเศร้าอย่างยากจะหยั่งถึง “ถ้าเขาไม่มารักคนอย่างผมก็คงจะดี...”

          วินได้แต่ใบ้กิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่น่าจะโดนกระทำถึงได้พูดเหมือนเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น แต่ถึงขั้นร้องไห้ออกมามากมายขนาดนี้ ถ้าไม่รักจริงคงไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่

          “...ว่าแต่พี่กับคุณชาเป็นยังไงบ้างละครับ”

          คนฟังถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่อง แถมยังเป็นเรื่องที่ตอนนี้เขาไม่ค่อยจะอยากให้ใครรู้เท่าไหร่ด้วย

          “ถึงยังไงเขาก็เป็นเพื่อนผมนะครับ” เมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าซีดปากสั่น เด็กหนุ่มก็เอ่ยออกมา “...เขาน่ะ รักพี่มากนะ”

          วินอ้าปากค้างคล้ายกับอยากจะพูด แต่สุดท้ายก็สะบัดหัวแล้วถอนหายใจสุดแรง

          “...ก็เข้าใจแล้วล่ะ...” หนุ่มแว่นตอบด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “เอาน่า พี่ไม่ได้โกรธเจ้านั่นแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          “แล้วรักไหม”

          ไอ้นี่แหละที่เขาไม่อยากตอบ...แต่ถ้าจะเล่นช้อนตากลมๆที่เอ่อไปด้วยน้ำตาแล้วมองมาแบบนี้ล่ะก็...จะให้แข็งใจไหวได้อย่างไรกันเล่า!

          “ไม่ใช่แบบเจ้านายลูกน้อง หรือเพื่อนนะครับ” เดียร์เอ่ยดักคอพี่ชาย และนั่นทำให้วินออกอาการอ้ำอึ้งหนักกว่าเก่า “แบบเหมือนของผมกับคุณสิทธิ์น่ะ”

          “พี่...” เสียงทุ้มดังเพียงแค่นั้นแล้วก็หายไป ส่วนหนึ่งเขายอมรับว่าเขิน แต่อีกเหตุผลที่ไม่ตอบเพราะมันมีผลต่อเหตุการณ์ในตอนนี้สุดๆเลยนี่ล่ะ

          “งั้นหรือครับ...น่าเสียดายแทนคุณชานะครับ บางทีเขาคงไม่อยากฟังจากปากของพี่...”

          “เออ พี่รักมัน!”

          จริงๆ ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะตอบหรอก แต่พอเห็นน้องชายคนดีหยิบมือถือขึ้นมา เขาก็ลืมตัวตะโกนใส่และรีบคว้ามือถือของอีกฝ่ายทันที ทำเอาวินหน้าแดงออกมาทั้งที่พยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์

          “แล้วถ้าคุณแม่มาริสาเขาไม่ยอมล่ะครับ”

          หนุ่มแว่นได้แต่โทษตัวเองที่พ่ายแพ้กับความกลัวจนหลุดปากแล้วมาเจอกับคำถามที่อุตส่าห์เลี่ยง ตอบก็แย่ไม่ตอบก็แย่...ทางไหนก็แย่ทั้งนั้น

          “มันไม่เหมือนกันสักหน่อย” ท้ายที่สุดก็ได้แต่เลี่ยง

          “เหมือนสิครับ” เดียร์สวนกลับเสียงเรียบ “คุณชาเขารักพี่ ส่วนคุณสิทธิ์เขารักผม ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร...มันต่างกันตรงไหนล่ะครับ...อย่าบอกว่าเพราะคุณสิทธิ์ อยากแก้แค้นมากกว่านะครับ ถ้าแค่นั้นพี่ก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องถึงขนาดป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ก็ได้...ไม่ต้องมาทำเป็นคนรักกันด้วยซ้ำ”

          ถ้าจะดักคอกันหมดเสียอย่างนั้น แล้วจะให้เถียงกลับยังไงล่ะนี่

          “ก...ก็ ฉันไม่รู้นี่ว่ามันรักนายจริงๆหรือแค่เพราะเรื่องความแค้น” วินชักเริ่มมึนหัว จะเดินไปทางไหนก็โดนดักได้หมดทุกที “ถ้ามันรักจริงๆนั่นก็อีกเรื่อง...”

          ตอนหลุดปาก วินนึกว่าน้องชายจะร่าเริงขึ้นมาแล้ว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

          “แต่ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น...” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะขาดใจให้ได้ “ผมไม่อยากให้เขาฝืนเปลี่ยนแปลงหรือฝืนทำเพื่อผมแล้ว...”

          เสียงหวานขาดหายไป แทนที่ด้วยเสียงสะอื้น หนุ่มแว่นรีบเข้าไปจับไหล่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้เห็นใบหน้าของน้องชาย คำปลอบประโลมที่หมายจะพูดถูกกลืนกลับลงไปเสียสิ้น

          “นายไม่รักหมอนั่นแล้วหรือ”

          ทั้งที่ตัวเองเกลียดไอ้บ้านั่นใจจะขาด และหวังให้น้องชายอยู่ห่างจากสิทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอเห็นเดียร์ต้องมาเป็นแบบนี้แล้ว เขาแทบจะลืมเรื่องที่ตนเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายเสียสิ้น...ในตอนนี้ขอแค่ความสุขของน้องชาย ที่เหลือจะเป็นยังไงก็ช่างแล้ว

          “รักสิครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา ท่าทางคล้ายกับจะแหลกเหลวคามือวิน “แต่ถ้ารักแล้วต้องทำให้เขาทรมาน...ผมก็ทนไม่ได้หรอก...ไม่ใช่แค่เพื่อเขา...แต่ก็เพื่อผมด้วย...”

          แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่น้องชายพูดนัก แต่ตอนนี้วินก็นึกอะไรไม่ออกเท่าไหร่อยู่แล้ว การที่ต้องเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดแบบนี้ มันทรมานเสียยิ่งกว่าโดนมีดกรีดเสียอีก

          “แต่ผมก็ดีใจนะครับ...แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่การได้รักกับเขาก็เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ...และมันก็จะเป็นสิ่งที่ดีตลอดไปในใจผมด้วย”

          แน่นอนว่าเดียร์ไม่บอกต่อหรอก ว่ามันดีตลอดไปเพราะอะไร...

          “ไม่นะ! ฉันไม่ยอมหรอก” ตอนนี้ลืมมันทุกอย่างแล้ว ความแค้นอะไรนั่น “นายรักหมอนั่นไม่ใช่หรือไง ก็อย่ายอมแพ้ง่ายๆสิ ลองปรับความเข้าใจกันแล้วช่วยกันไม่ดีกว่าหรือ”

          “ผมลองแล้ว...แต่ไม่ไหวหรอก ถ้าจะต้องทำให้เขาต้องเปลี่ยนไปแค่เพราะความเห็นแก่ตัวของผม...” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “หึ...แปลกดีนะ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมยังอยากให้เขาเปลี่ยนเพื่อผมแท้ๆ...แต่พอมาตอนนี้กลับรังเกียจความคิดนั้นเหลือเกิน...”

          “ทำไมล่ะ ทำไมต้องเกลียดด้วย” ลองว่าถ้าวินรู้เหตุผลจริงๆ เขาอาจจะพูดไม่ออกเลยก็ได้ “ก็มันรักไปแล้วนี่ จะให้ทำยังไงล่ะ แล้วหมอนั่น...มันก็รักนายด้วยใช่ไหมล่ะ ต่อให้คิดว่าผิดแต่มันก็ทำให้ความรู้สึกกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว มันมีแค่ทางเดียวคือเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วผลจะเป็นยังไงก็ค่อยกว่ากันอีกทีสิ หมอนั่นบอกแล้วหรือว่าฝืนใจน่ะ! อย่าเพิ่งยอมแพ้อะไรง่ายๆเพียงแค่เพราะหมอนั่นจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบสิ ทำไมนายไม่ให้โอกาสหมอนั่นลองพยายามดูก่อนล่ะ”

          ดวงตากลมจ้องมองพี่ชาย หยาดน้ำใสไหลรินลงอีกครั้ง สีหน้าของเดียร์เต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น แต่กระนั้นก็ยังคงมีความหวังเจือจางอยู่ด้วย

          “แต่...มันจะดีหรือครับ”

          “จะดีหรือไม่ดี ก็ให้หมอนั่นเป็นคนตัดสินใจสิ” ในตอนนี้ วินลืมไปแล้วว่ากำลังพูดถึงใคร “นายไปตัดสินใจแทนไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้น ทั้งนายและหมอนั่นก็จะเสียใจทั้งคู่นะ”

          เดียร์ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก...นั่นสินะ...ในเมื่อถลำลึกมาถึงขนาดนี้ จะมานึกถอนใจเพราะเสียใจต่อความผิดของตัวเองมันก็คงสายไปหลายขุมแล้ว...ในเมื่อรักกันแล้ว...เขาก็ควรจะให้โอกาสทั้งกับสิทธิ์และตนก่อน...ไม่ใช่หนีออกมาแบบนี้

          “...ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ พี่ก็ช่วยปลอบผมหน่อยนะ...”

          วินทำท่าจะยิ้ม แต่พอนึกได้ว่าไอ้คนรักของน้องชายเป็นคนที่ตัวเองเกลียดที่สุดก็กลับมาหน้าบูดอีกครั้ง และแม้อยากจะกลับลำแทบตาย แต่ก็ดันพูดไปเสียขนาดนั้นแล้ว แถมพอได้เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของเดียร์ เขาก็ได้แต่กัดลิ้นด้วยความแค้นต่อความบ้าของตัวเอง

          “ตะ...แต่นั่นหมายถึงว่าเรื่องที่หมอนั่นรักนายเป็นเรื่องจริงเท่านั้นนะ” วินพยายามทำน้ำเสียงดุใส่ “อย่างน้อยมันก็ต้องทำให้พี่เห็นก่อนว่ารักนายจริง ไม่อย่างนั้น ให้ตายก็ไม่ยอมหรอก”

          ดวงตากลมจ้องมองพี่ชาย...และพยายามแสดงสีหน้าให้ดูสงสัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...แม้จะรู้หมดไส้หมดพุงอยู่แล้วก็ตาม

          เอาเถอะ ถึงใจจริงก็ไม่ได้หวังเอาแผนนี้มาใช้แบบนี้ แต่ก็ถือว่าผลพลอยได้ละกัน…


_____________________________

>,.<  ช่วงนี้ก็คงไม่หายไปไหนแล้ว  ถ้าไม่เจองานเข้าหรือหวัดกินอีกนะ ฮา กำลังคิดว่าอากาศจะร้อนขึ้นละ ข่าวก็บอกว่าเย็นลงอีก...ก็แอบดีอยู่นะ ปกติเข้าเดือนกุมภาแล้วไม่ค่อยได้หนาวเท่าไหร่เลย =3=

หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: nonnon04 ที่ 08-02-2015 21:05:03
เดียร์จ๊ะ อารมณ์นั้นคุณน้องยังอุตส่าห์มีแผนได้อีกนะ สุดยอดดดด
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 08-02-2015 21:31:50
แหมวินแนะนำซะดิบดี ถ้ารู้ความจริงจะเป็นไงเนี้ย :z2:
 :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 08-02-2015 22:42:22
มาแล้ววว :hao7:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-02-2015 23:12:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 12-02-2015 19:44:20
วินเริ่มยอมรับแล้วใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 51 (8/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 13-02-2015 19:03:29
แหม่ๆๆๆ ยอมรับใจตัวเองซักทีนะ ที่นี้ก็เหลือเรื่องเคลียร์ปัญหาล่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 15-02-2015 19:10:43
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 52

          “อ้าว คุณสิทธิ์ล่ะ”

          หลังจากหลับไปได้พักใหญ่แล้วออกมาจากห้องอย่างเบลอๆ ฤทธิ์ก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อพบว่ามีก้องคนเดียวที่อยู่ในห้องนั่งเล่น และเริ่มแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มแว่นที่ดูเคร่งเครียดปนเหนื่อยแปลกๆ

          “ฉันรู้นะว่ามันน่าเบื่อ...แต่ช่วยทีเถอะ ฉันยอมแพ้แล้ว” ก้องเอ่ยเสียงอ่อนแล้วเลื้อยไปอ้อนอีกฝ่าย...เหมือนจะน่าเอ็นดูแต่ไม่รู้ทำไมฤทธิ์กลับอยากถีบแทน “คุณสิทธิ์ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆกลับมาก็จิตตกแล้วหมกตัวอยู่ในห้องซะงั้น”

          จากที่กำลังเมาขี้ตาถึงกับหายง่วงทันที

          “อะไรอีกวะ” จากที่กำลังอารมณ์เสียอยู่แล้ว ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิมจนถึงกับสบถออกมา “ทำไมถึงมาจิตตกอะไรเอาตอนนี้อีกวะ ก็เห็นเมื่อเช้ายังดูดีๆอยู่เลยนี่ แล้วนายได้ถามหรือยังว่าเป็นอะไร”

          พอเห็นก้องส่ายหน้าอย่างชื่นมื่นเท่านั้นละ ถึงกับปล่อยหมัดตรงใส่เลยทีเดียว

          “แกนี่ จริงจังหน่อยสิวะ ถ้าอยากนักก็ไว้ทีหลังสิ” ฤทธิ์โวยใส่ก่อนจะลากอีกฝ่ายขึ้นชั้นสองไปอย่างไม่มีปรานี “คุณสิทธิ์ครับ”

          เสียงเคาะประตูดังรัวตามประสาคนอารมณ์เสีย แต่ทั้งที่เคาะจนหนวกหู กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆออกมาเลยสักนิด จนฤทธิ์หมดความอดทนเปิดประตูเข้าไปทันที

          หนุ่มตาตกนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะไม่เห็นใครในห้องเลย แต่พอเหลือบไปมองตรงขอบเตียงก็พบหัวของเจ้านายโผล่แพลมออกมา ชายหนุ่มกระทืบเท้าเข้าไปอย่างมีอารมณ์แม้คุณเจ้านายแกจะนิ่งสนิทเลยก็ตาม

          “...” จากที่กำลังจะอ้าปากด่า พอเห็นสภาพห่อเหี่ยวหม่นหมองของสิทธิ์ ฤทธิ์ถึงกับค้างไปพักใหญ่ “...คุณสิทธิ์...”

          ใบหน้าซีดเซียวและดูเหมือนคนใกล้ตายเงยขึ้นมามอง เล่นเอาทั้งฤทธิ์ทั้งก้องพากันสยอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงยังดูดีอยู่แท้ๆ...

          “เป็นอะไรไปอีกล่ะครับ” แต่ด้วยความหงุดหงิดมากกว่า ฤทธิ์จึงเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะนึกเห็นใจนัก

          สิทธิ์มองค้างไปพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปก้มหน้างุด ทำเอาฤทธิ์เริ่มออกอาการหงุดหงิด จนก้องเผลอกอดขาไว้เพราะกลัวคุณแฟนแกจะวิ่งไปตะบันหน้าเจ้านาย

          “มันจะดีจริงๆหรือครับ...”

          “ดีครับ” ฤทธิ์ไม่รอให้สิทธิ์พูดจบด้วยซ้ำ แถมยังส่งเสียงเดาะลิ้นใส่อีกต่างหาก “ขอเหอะครับ มาถึงขนาดนี้แล้ว จะมาป๊อดอะไรอีก”

          “ผมไม่ได้ป๊อดนะ” หมียักษ์หันมาคำรามเสียงอ่อยจนไม่ชวนให้กลัวแม้แต่เสี้ยวเดียว ยิ่งสีหน้าห่อเหี่ยวนั่น ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกสังเวชปนเหนื่อยใจแทน “...ก็เขาร้องไห้เสียขนาดนั้นนี่”

          ก้องถึงกับนิ่วหน้า “ร้องไห้...เรื่องอะไรครับ”

          “เขา...ไม่ชอบที่ผมทำ...” สิทธิ์ค้างไปเมื่อหนุ่มแว่นสำลักใส่ แต่เพราะกำลังเศร้า เลยไม่มีอารมณ์จะถามนัก “ทั้งที่เขาเจ็บปวด...ทนไม่ได้จนร้องไห้...แล้วจะให้ผมทนทำต่อได้ยังไงล่ะครับ...แบบนั้นมันจะเรียกว่ารักได้ยังไงกัน”

          สิ้นเสียงจนเหลือเพียงแต่ความเงียบ ก้องได้แต่สงสัยสุดๆ...แน่ล่ะ เขารู้อยู่แก่ใจว่านั่นต้องไม่ใช่สาเหตุจริงๆแน่...แต่ปัญหาคือเจ้าเด็กบ้านั่นมันคิดอะไรถึงได้ร้องไห้ใส่สิทธิ์นี่ล่ะ...ทั้งที่ดูออกจะไปด้วยกันได้ดีแล้วแท้ๆ ทำแบบนี้ก็เท่ากับเสียผลประโยชน์ทั้งคู่นั่นล่ะ...แต่จะโทรไปถามตอนนี้ก็ไม่ได้อีก เลยได้แต่ข้องใจอยู่แบบนี้แทน

          แต่ดูฤทธิ์จะไม่เห็นใจสิทธิ์เลย...แบบโหดร้ายด้วย

          ก้องเผลอเบิกตามองภาพตรงหน้าที่ไม่คิดว่าจะเกิด ฤทธิ์เดินดุ่ยเข้าไปตบสิทธิ์เสียเต็มฉาดใหญ่จนแม้แต่สิทธิ์เองก็ยังมึนๆงงๆ

          “ถ้ายังไม่ได้สติ จะเอาอีกสองฉาดไหมครับ” ฤทธิ์ว่าพลางสะบัดมือไปมาพร้อมจะรัวมือมากกว่าสองที จนสิทธิ์ถึงกับส่ายหน้าตอบอย่างไว “คุณจะบ้าหรือไงครับ นี่คุณยังกล้าพูดได้อีกหรือว่ารักเขา เจอแค่นี้ก็ถอยแล้วเนี่ยนะ จะไม่ให้ด่าว่าป๊อดได้ไงละครับ”

          “ตะ...แต่ว่าเขา...ร้องไห้นี่ครับ...” ชายหนุ่มยังคงอ้างเหตุผลเดิม แต่ก็ต้องเงียบปากและเตรียมหลบมือที่ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามา

          “แล้วคุณก็ยอมเนี่ยนะ” ฤทธิ์ย้อมถามเสียงขุ่น “ถ้างั้นก็เลิกๆไปเถอะครับ ลืมๆเจ้าหนูนั่นไปแล้วไปหาใหม่เลย ผมรู้จักเยอะ ให้พาไปหาตอนนี้เลยก็ยังได้”

          ก้องถึงกับสะดุ้งโหยง...ขืนมาเลิกตอนนี้นี่ไม่ใช่แค่เจ๊งธรรมดา แต่เป็นเจ๊งระดับพระกาฬแน่ คิดแล้วก็อดแค้นเจ้าต้นเรื่องที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ทำให้เรื่องมันยุ่งยากแบบนี้เสียได้

          สีหน้าของสิทธิ์คัดค้านอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นกลับไม่มีเสียงค้านออกมาแต่อย่างใด พอเห็นเจ้านายนั่งนิ่ง ก้องก็กลัวว่าฤทธิ์จะเสิร์ฟลูกตบอีกรอบ แต่หนุ่มตาตกก็ทำเพียงแต่แสดงอาการไม่พอใจเท่านั้น

          “ถ้าตัดใจไม่ได้ ก็อย่ามาล้มเลิกง่ายๆแบบนี้สิครับ คุณไม่ใช่คนแบบนี้นี่” ฤทธิ์ว่าแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “...อย่างน้อยเขาก็ยังร้องไห้ไม่ใช่หรือไงครับ...”

          สิทธิ์เงยหน้ามองเป็นเชิงถาม

          “ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณ เขาไม่มีทางเสียใจให้เห็นหรอกครับ กลับกันซะด้วยซ้ำ” เมื่อบื้อเสียเหลือเกิน ฤทธิ์จึงจำยอมตอบอย่างเสียไม่ได้ “ถ้าต้องเลิกหรือหนีห่างจากคนที่เกลียด ใครเขาจะร้องไห้กันบ้างล่ะครับ ถ้าเป็นผมนะ ปิดซอยฉลองไปเลยจะบอกให้”

          กระนั้นแล้วก็ยังค้างเหมือนคิดไม่ออก...แต่ดูๆไปแล้วเหมือนจะยังไม่อยากเชื่อเสียมากกว่า

          “คุณเองก็รู้สึกไม่ใช่หรือไงครับ ถึงได้รุกเอาๆน่ะ” ฤทธิ์ย้ำต่อด้วยท่าทางคาดคั้น “เลิกคิดเล็กคิดน้อยเป็นห่วงจิตใจคนอื่นสักทีเถอะครับ...โอเค มันก็เป็นข้อดีของคุณ...แต่ไอ้เรื่องความรักน่ะ หัดเห็นแก่ตัวซะบ้างเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณได้โสดยันลงโลงแน่”

          ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงหรือเพราะคำพูด สิทธิ์ถึงได้ออกอาการหวาดหวั่นเสียขนาดนั้น

          “กว่าจะเจอคนที่รักน่ะ มันยากนะครับ แล้วยังคิดจะปล่อยไปง่ายๆได้ยังไงกันล่ะ” หลังจากตบหัวทิ่ม ฤทธิ์ก็ลูบหลังต่อ “ช่วยรู้จักรักษาสิ่งที่สำคัญของตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยสิครับ...โอเคความรักของคุณมันอาจจะดูเหมือนไม่รักษาของเท่าไหร่...แต่ก็ช่วยหวงมันหน่อยเถอะครับ”

          สิทธิ์มองฤทธิ์ตาแป๋ว ซึ่งคนมองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่พอก้องเห็นฤทธิ์หน้าแดงแปลกๆ หนุ่มแว่นก็เริ่มผวา

          ก่อนที่ก้องจะเอ่ยห้าม หรือสิทธิ์จะพูดขึ้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน พอเห็นชื่อคนโทรเท่านั้นละ สีหน้าหมาหงอยของสิทธิ์ก็ละลายหายเกลี้ยงเปลี่ยนเป็นความแค้นโดยพลัน

          “ไอ้ชั่ว ไอ้สัมภเวสี ไอ้หมีควายหน้าหม้อ ไอ้พ่อทิ้ง ไม่มีปัญญาหาผู้หญิงแล้วหรือไงวะ ถึงได้มาเอาน้องชายฉันน่ะ หา ไอ้#@&!%_%@!_”

          มาถึงก็ด่าเอาๆจนสิทธิ์ถึงกับยกไอโฟนหนีทันที ถึงจะเสียงทุ้ม แต่วินเล่นตะโกนใส่เต็มแปดหลอด ทำเอาสิทธิ์หูชา

          “ไอ้สัตว์ หยุดได้แล้วโว้ย แกก็โดนพ่อทิ้งเหมือนกับฉันนั่นละวะ!” สิทธิ์ตะโกนกลับด้วยระดับเสียงที่ลั่นพอกัน จนฤทธิ์ถึงกับปิดหู ในขณะที่ก้องไม่แสดงอาการสะทกสะท้านสักนิด “ถ้าจะแค่โทรมาด่า ฉันจะวางนะโว้ย”

          “เดี๋ยว” คนในสายเอ่ยเสียงเฉียบ “ฉันจะคุยเรื่องเดียร์”

          “ก็ว่ามาสิ...หนอย แกนี่มันมารหัวขนจริงๆเลยว่ะ คนเขารักกันดีๆ มาหาเรื่องแยกกัน แกยังมีความเป็นคนอยู่มั้ยวะ ไอ้แว่นสี่ตาชิงหมาเกิด”

          ไปๆ มาๆก็ดันเป็นฝ่ายด่าเขาฉอดๆแทนเสียอย่างนั้น แถมยังทำอย่างกับว่าลงเอยกันเรียบร้อยแล้วเสียได้...ทั้งที่ก่อนหน้ายังปอดแหกกลัวเดียร์ไม่รักอยู่เลย

          “เฮอะ อย่ามาอวดเก่งไปหน่อยเลย เดียร์น่ะไม่ได้รักแกหรอก” เจอวินปล่อยไม้ตายทีเดียวถึงกับสะอึก “เลิกยุ่งกับเดียร์ได้แล้ว ฉันไม่ยอมมีน้องเขยเลวทรามหน้าหมีอย่างแกหรอก ไปเอาคนอื่นเลยไป”

          “ไม่มีทาง” สิทธิ์สวนลั่น “ฉันไม่มีวันรักใครนอกจากเดียร์”

          ปลายสายเงียบไปนานมาก กว่าจะตอบกลับ

          “ฉันไม่เชื่อหรอกโว้ย อย่างแกก็แค่เหงา อยากหาใครก็ได้เท่านั้นละวะ” วินกระแทกเสียงใส่

          “แกจะไปรู้ได้ยังไง เป็นฉันเรอะ” หมียักษ์เถียงกลับอย่างไม่ลดละ “เออ ทีแรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกว่ะ แต่มันรักไปแล้วนี่หว่า ฉันตัดใจไม่ได้หรอกว้อย”

          ฤทธิ์เกือบสำลักแล้วตอนที่ได้ยิน แต่ก้องนี่ถึงกับตัวสั่นเพราะต้องกลั้นหัวเราะ

          “...แกรักเดียร์จริงๆเรอะ...”

          “ก็เออสิวะ ย้ำอะไรนักหนา ไปบอกตรงหน้าแกเมื่อวันก่อนยังไม่พออีกเรอะ ฉันรักเดียร์ ชัดมั้ย ถ้าไม่พอฉันจะไปตะโกนที่หน้าแกอีกรอบเลยดีมั้ย แล้วเดี๋ยวจะแสดงหลักฐานให้เห็นมากกว่าวันนั้นอีก เอาไหม”

          “แม่ง พอเลยไอ้สัตว์” วินรีบห้ามเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาอีกแล้ว “ได้ ถ้าแกรักเดียร์จริง วันเสาร์ตอนสองทุ่ม แกมาหาฉัน...มาคนเดียวนะว้อย แต่มาหาที่ไหนเดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ไปอีกที ถ้าตุกติกล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้เจอเดียร์อีกเป็นครั้งที่สองเลย”

          ว่าจบก็กดตัดสายใส่เลย ปล่อยให้สิทธิ์ได้แต่อ้าปากค้างเพราะด่าไม่ทัน

          “ไอ้เวรเอ๊ย” สิทธิ์สบถใส่มือถือก่อนจะปาลงบนที่นอน “อย่างกับฉันอยากจะนับญาติกับแกอย่างนั้นล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเดียร์ ฉันก็ไม่ยอมหรอกโว้ย”

          “เหรอครับ”

          หมียักษ์สะดุ้งเหมือนโดนผึ้งต่อยก่อนจะยิ้มเจื่อนให้ลูกน้องของตน

          “ดูท่าพวกผมจะเป็นห่วงเสียเปล่านะครับ” ฤทธิ์ยิ้มกลับ แต่ใบหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน “เอาเถอะ แล้วจะเอายังไงต่อละครับ ยังไงก็ไม่มีวันยอมพรากไปจากเดียร์อยู่แล้วนี่”

          ไม่วายยังหาเรื่องกัดไม่เลิกจนสิทธิ์เริ่มน้ำตาคลอเบ้า

          “หมอนั่นบอกให้ผมไปหามันวันเสาร์นี้...คนเดียว...”

          “ไม่นะ” คราวนี้ฤทธิ์โวยหนักกว่าเดิม “ผมรู้ว่าคุณจัดการได้ แต่ถ้าคุณวัฒน์รู้ว่าพวกผมปล่อยให้คุณไปเสี่ยงคนเดียว พวกผมได้ตายจริงๆแน่”

          “อา...นั่นสิครับ” ใจจริงก้องก็อยากจะโวยแรงๆ แต่เพราะตามแผนมันไม่ใช่ เลยออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ออกมาแทน “ผมว่า...คุณให้พวกผมแอบตามไปดีกว่า...”

          “ไม่ได้หรอกครับ” สิทธิ์ตอบขัดความสงสัยของฤทธิ์ ซึ่งถ้าช้ากว่านี้ก้องคงโดนซักเรื่องท่าทีประหลาดออกมาแล้วเป็นแน่ “ไอ้เรื่องอันตรายมันก็อีกเรื่อง แต่ถ้าผมเล่นตุกติก ไอ้แว่นนั่นคงไม่มีทางเห็นว่าผมจริงใจกับเดียร์หรอก”

          ฤทธิ์ถึงกับหน้าเบี้ยว เพราะไม่ติดวัฒน์แล้ว เขาไม่อยากจะเอ่ยห้ามเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาคิดถึงสวัสดิภาพของตัวเองแล้วก็อดผวาไม่ได้จริงๆ

          “น่า ก็นายบอกให้เขาเห็นแก่ตัวเพื่อความรักเองไม่ใช่เหรอ ก็ยอมๆหน่อยละกัน” ก้องปลอบเมื่อเห็นฤทธิ์เอาแต่คิดไม่ตก “ไม่ต้องห่วง ไม่ได้มีนายคนเดียวที่โดนฝังทั้งเป็นหรอก”

          นั่นไม่ได้ช่วยให้คนฟังตัดสินใจง่ายขึ้นเลยสักนิด

 

          วินนิ่วหน้ามองมือถือที่ตนเพิ่งปาใส่ที่นอนไปอย่างเจ็บแค้น ถึงจะพยายามใจเย็นแล้วแต่พอได้ยินเสียงมันก็พานนึกถึงหน้าของหมียักษ์ แล้วไม่วายลามไปถึงตอนที่มันกล้าลวนลามน้องชายต่อหน้าตน จนกระทั่งเรื่องที่วินโดนต่อยอีก จะไม่ให้ของขึ้นได้อย่างไรไหว

          “เป็นไงบ้างครับ”

          แต่เสียงใสที่ดังอย่างมีความหวังดับอารมณ์ร้อนลงเสียสิ้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนขอบเตียงเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กระนั้นก็ปะปนไปด้วยความหวาดกลัวที่จะต้องรับฟัง

          “มันบอกว่าจะมา...” วินกัดฟันพูด แต่พอเห็นน้องชายดูอาการไม่ค่อยสู้ดีก็อดถามไม่ได้ “...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

          “คิดว่าไม่เป็นมั้งครับ...” เดียร์ส่ายหน้าให้ แต่มีหรือที่พี่ชายจะไม่รู้

          “เลิกกังวลได้แล้วน่า” หนุ่มแว่นร้อง “ก็บอกแล้วไง ถ้าเกิดผลมัน...เอ่อ...ไม่เป็นอย่างที่หวัง...พี่ไม่มีทางทิ้งนายแน่ แล้วก็จะอัดไอ้หมีควายนั่นให้น่วมเลย”

          เด็กหนุ่มยกยิ้ม หากแต่ความเศร้ากลับยังไม่จางหาย แม้จะรู้ว่านั่นจะทำให้พี่ชายยิ่งเป็นห่วง แต่ในตอนนี้เขาฝืนปั้นหน้ายิ้มไม่ออก อยากจะมีความสุขกับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวว่าอาจจะไม่ได้รู้สึกอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว

          “ว่าแต่...งานนี้คุณแม่ไม่รู้เรื่องเลยเหรอครับ”

          วินหน้าซีดปากสั่นทันที

          “ขืนรู้ ป่านนี้ฉันไม่มีทางได้อยู่ที่นี่หรอก” หนุ่มแว่นว่า ยังตัวสั่นไม่เลิก “เห็นพี่ศิวะบอกว่าแม่ดันไปรู้เรื่องเมียน้อยคนอื่นของพ่อเข้า...ก็คนเก่าๆเดิมๆ แต่ที่แม่ยังไม่รู้นั่นล่ะ เลยไม่ว่างมาสนใจทางฉันเท่าไหร่ คนที่แม่ให้มาตามดูฉันก็เป็นคนของพี่นินทร์ด้วย ก็ถือว่าโชคดีมากเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน...แต่ก็แปลกดีนะ ฉันคิดว่าแม่ไม่น่ารู้เรื่องเมียน้อยที่เหลือของพ่อแล้วซะอีก เรื่องมันก็ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ...”

          “งั้นหรือครับ” ต้นเหตุทั้งหมดเอ่ยถามดั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

          “นี่ ถามจริง นายอยากให้มันเป็นยังไงกันแน่”

          เดียร์มองหน้าพี่ชายที่มานั่งลงตรงข้างตน ก่อนจะก้มลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มนั่งคิดอยู่นานมาก กว่าจะเอ่ยออกมา

          “ถ้าเขาเป็นในแบบที่ผมชอบตั้งแต่แรก บางทีเรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้...” ใบหน้านั้นดูนิ่ง หากแต่น้ำเสียงกลับดูเศร้าและอึดอัด “ถ้าเขาต้องกลายมาเป็นแบบที่ผมชอบจริงๆ…มันก็ดีอยู่ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น…ผมกลัวว่าถ้าเขาเปลี่ยนไป...มันอาจจะทำให้คนอื่นที่อยู่รอบตัวเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย...”

          “...นายจะบอกว่า ถ้าหมอนั่นมันเปลี่ยนนิสัย มันจะทำแบบนั้นกับคนอื่นหรือ” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่วินก็จับใจความได้ประมาณนี้ เมื่อเห็นน้องชายพยักหน้าให้ จากที่กำลังกลุ้มๆ ถึงกับยิ้มกว้าง...แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดปนมาด้วย “เฮ้ย ไม่เอาน่า หมอนั่นมันไม่เป็นแบบนั้นหรอก...”

          ว่าแค่นั้นก็เงียบไปเหมือนไม่อยากพูดต่อ แต่แน่นอนว่าเดียร์ไม่มีทางยอมหรอก

          “อ่า...เอ่อ... โอเค ถึงพี่จะเกลียดมันโคตรๆ แต่เพราะรู้จักกับมันมานาน พี่รู้ดีว่าสันดานมันเป็นยังไง เพราะงั้นเชื่อพี่เถอะ มันอาจจะเปลี่ยนไปเพื่อนาย แต่รับรองว่ากับคนอื่นมันก็ยังเหมือนเดิมนั่นล่ะน่า” วินบอกอย่างขัดเขินปนรำคาญใจที่จะต้องเอ่ยถึงคนที่แค่เศษเล็บก็ยังไม่อยากจะมอง “นายบอกว่ามันเหมือนกับพี่นี่ ถ้างั้นนายก็รู้ใช่ไหมว่าถึงพี่จะโวยวายทำร้ายไอ้ชามัน แต่พี่ก็ไม่เคย แล้วก็ไม่ชอบทำร้ายลูกน้องหรือคนอื่นๆที่ไม่ใช่ศัตรูสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ ก็มีแค่มันนั่นล่ะที่พี่จะทำแบบนั้นด้วยอย่างเต็มใจ...”

          ดวงตากลมช้อนมองพี่ชาย ทำเอาวินชักหวั่นๆกลัวน้องจะไม่เชื่อ ยิ่งถึงกับน้ำตาไหล หนุ่มแว่นแทบจะยืนไม่อยู่

          “นั่นสินะครับ พี่กับเขาเหมือนกันมากเลยล่ะ” เสียงหวานหัวเราะออกมา “...ในเรื่องน่ารำคาญด้วย...”

          “อะไรนะ”

          “เปล่าครับ ผมแค่สะอื้น” เดียร์ยิ้มให้ทั้งน้ำตา “ว่าแต่พี่ชอบทำร้ายคุณชาเขาหรือ ถึงทำแค่แต่กับเขา...แต่พี่บอกว่ารักเขานี่ครับ”

          วินตัวแข็งค้างไปในบันดล

          “ทำไมล่ะครับ...ทำแบบนั้นแล้วคุณชาไม่เสียใจแย่หรือครับ” เด็กหนุ่มถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็อยากจะให้อีกฝ่ายสารภาพออกจากปากเอง

          ใจจริงเขาก็ไม่ได้ชอบดูคนทรมานนักหรอก แต่ใบหน้าของวินในตอนนี้มันตลกจนเดียร์หยุดแกล้งไม่ได้จริงๆ

          “คือ...มันออกจะเป็นเรื่องที่อธิบายยาก...” คนฟังได้แต่ทำหน้านิ่งเพราะพยายามกลั้นขำสุดชีวิต “แต่นายรับรองว่าที่ฉันทำไป มันมีความสุขแน่...สุขแบบสุดๆเลยล่ะ”

          โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว~~~~~~~ ฮ่าๆๆๆๆๆ

          “...หรือครับ...” เสียงหวานสั่นเครือแต่ใบหน้านิ่งและก้มต่ำทำให้คนมองเข้าใจเป็นอย่างอื่นแทน “เอาเถอะครับ ผมไม่ถามต่อแล้ว จะรอจนกว่าพี่วินจะพร้อมบอกผมก็แล้วกันครับ”

          ฟังแล้วก็โล่งอก แต่อีกใจก็รู้สึกหวั่นแปลกๆ เพราะเหมือนโดนคาดคั้นกลายๆ

          “แต่ขอบคุณนะครับที่ช่วยปลอบผม” เด็กหนุ่มกลับมาตีหน้าเศร้าอีกครั้ง ยิ่งทำให้วินเข้าใจผิดคิดว่าเดียร์เสียใจที่พี่ชายไม่ยอมบอกเหตุผลที่ทำร้ายชา “ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่พี่บอกก็คงจะดี...”

          แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องของตัวเองอย่างเดียวหรอก

          วินบึ้งหน้า ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากจะให้มันจบอีกอย่างแท้ๆ แต่ลองมาซะขนาดนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ทำใจยอมรับที่จะต้องนับญาติกับเจ้าหมีนั่นอย่างเดียวแล้ว


___________________________

อา...คุณพี่ชายถึงจะไม่อยากยอมรับก็ได้แต่กัดฟันยอมล่ะนะ...เพื่อน้องชายสุดที่รัก (ก็คงกัดฟันจนเลือดอาบกันเลยทีเดียว อารมณ์พ่อตากับลูกเขยก็มิปาน XD
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2015 19:22:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: nonnon04 ที่ 15-02-2015 19:57:16
โอ๊ย ทั้งอยากให้เข้าใจกัน และก็อยากให้เข้าใจผิดไปเรื่อย (จะได้ฮาอีก)
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 15-02-2015 20:49:56
วินสารภาพมาซะขนานนี้แล้ว อยากให้ชามีบทแล้วอ่ะ :serius2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 15-02-2015 22:01:29
กำลังเข้มข้นเลยอ่ะ  :call:

ต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 52 (15/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 18-02-2015 08:53:21
เข้ามาสวัสดีวันตรุษจีนงับ XD ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้จ้า ใครรอรับอั่งเปาก็ขอให้ได้กันเยอะๆเน้อ ส่วนใครต้องแจกแล้วก็ขอให้มีเงินมาแจกเยอะๆนะงับ ฮา

และขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านมากงับ จากนี้ไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยงับ >v<


เผารูปเดียร์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ฮา


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 22-02-2015 21:54:30
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 53

          ธานินทร์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อเสียงมือถือของตนดัง ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มและขอตัวออกจากห้องนั่งเล่นของบ้านพักไปนอกบ้าน เขาหันมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีลูกน้องของวินอยู่แถวนั้น ถึงรับโทรศัพท์ขึ้น

          “แปลกนะครับที่คุณเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเองเนี่ย คิดถึงจัง” ธานินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท “เอ๋ อะไรกันครับ มากล่าวหาผมได้ยังไง คุณวินเขาก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่เลยนะ...หมายถึงตอนนี้น่ะนะ”

          ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุข นึกแล้วอยากจะเห็นอาการของคนในปลายสายเสียจริงๆ ในตอนนี้คงจะคลั่งไม่ต่างจากน้ำเสียงแล้ว

          “แหม มีหลักฐานอะไรว่าผมจะทำแบบนั้นล่ะครับ ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้นเอง ก็ทำงานแบบนี้จะเสี่ยงอันตรายทุกวันก็ไม่แปลกนี่นา” เขาพูดทั้งที่ตัวเองก็ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่ตนทำทั้งหมดแท้ๆ “หมอนั่นอาจจะโกหกคุณก็ได้นี่นา คุณก็รู้ว่าคนที่เกลียดผมก็มีเยอะพอๆกับที่เกลียดคุณเดียร์นั่นล่ะ”

          ธานินทร์ยื่นไอโฟนออกจากหูเพราะอีกฝ่ายด่าใส่รัวๆ

          “ผมไม่เคยสัญญาแบบนั้นกับคุณ อย่าเมาไปหน่อยเลย คุณทึกทักเอาเองทั้งนั้น” หนุ่มตาตกยังคงย้อนอย่างไม่ยี่หระ “...คิดว่าผมจะยอมอยู่ให้คุณมาริสาจิกหัวใช้แบบนี้ตลอดไปหรือครับ ยิ่งกับคุณวินยิ่งแล้วใหญ่เลย ผมรอโอกาสนี้มานานแล้ว ยิ่งคุณอยู่ห่างขนาดนี้ด้วย ผมไม่ลงมือก็บ้าแล้วเนอะ”

          ว่าจบก็กดตัดสายเสียดื้อๆแล้วปิดเครื่องทันที ชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้จะขลุกขลักในทีแรกไปบ้าง แต่ในที่สุดแผนก็ดำเนินลุล่วงมาได้ดีอย่างที่หวัง อีกแค่ไม่นานเท่านั้น สิ่งที่เขาเฝ้ารอมานานก็จะประสบผล เหลือก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น...

          “พี่ธานินทร์ครับ”

          เจ้าของชื่อถึงกับกระโดดจนตัวลอยเมื่อมีเสียงหวานทักมาจากด้านหลัง พอเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มซึ่งดูเหมือนเด็กสาวเสียมากกว่า ชายหนุ่มถึงกับหน้าซีด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินมาโดยที่ตนไม่รู้ตัวเสียได้

          “อะ...มีอะไรหรือครับคุณเดียร์...” ธานินทร์เอ่ยพลางกลบอาการตื่นตระหนกด้วยรอยยิ้ม “แปลกนะครับ อยู่ๆคุณมาเรียกผมว่าพี่เนี่ย”

          “มันจะได้ฟังดูไม่ห่างเหินยังไงล่ะครับ” แม้น้ำเสียงจะร่าเริง แต่การก้มมองพื้นนั้นทำให้คนมองเห็นตรงกันข้ามแทน “พี่เองก็ไม่จำเป็นต้องเรียกผมสุภาพแบบนั้นก็ได้ มันฟังดูเขินๆน่ะครับ”

          “อ้อ...อย่างนั้นหรือครับ...แต่ผมเรียกจนชินแล้วล่ะครับ อย่าสนใจเลย...ว่าแต่ทำไมออกมาข้างนอกล่ะครับ เดี๋ยวคุณวินก็เป็นห่วงหรอก” ธานินทร์พยายามกลับเข้าเรื่องเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีที่จะยอมตอบนัก

          “เห็นคุณไม่อยู่เลยเป็นห่วงนะครับ” ฟังคำตอบแล้วยิ่งงงกว่า แน่ล่ะ คุยกันแทบจะนับครั้งได้ จะมาเป็นห่วงอะไรกันตอนนี้ล่ะ “แล้วก็อยากขอบคุณกับขอโทษด้วย”

          คราวนี้ความสงสัยถึงกับพุ่งออกทางสีหน้าเลยทีเดียว

          “ก็ทั้งที่ถ้าคุณแม่รู้เข้า พี่ต้องตายแน่ๆ” และคำว่า ‘ตาย’ ของเดียร์นั้นก็ไม่ใช่ความหมายโดยนัยด้วย “แต่ก็ยังยอมช่วยพี่เพื่อผม ทั้งที่คุณก็ไม่ได้อะไรตอบแทนเลยแท้ๆ...ต้องขอบคุณจริงๆนะครับ...แล้วก็ขอโทษด้วยที่พี่กับผมทำให้คุณเดือดร้อน”

          “ฮะๆ อย่างนั้นหรือครับ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” ธานินทร์แอบโล่งใจ แต่ก็แอบรู้สึกผิดไปด้วย...ยิ่งเห็นดวงตาที่ดูใสซื่อนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึก เหมือนมีอะไรมาจุกคอ

          “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนละกันครับ หายไปนานคงจะไม่ดี ตอนนี้พี่วินเองก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”

          ธานินทร์ เพียงแต่พยักหน้าให้ เขามองด้านหลังของอีกฝ่ายจนหายเข้าบ้านไป ใจจริงแล้วธานินทร์ก็รู้สึกไม่ดีเท่าใดนักที่ดึงเดียร์เข้ามาเอี่ยวด้วย แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่มีทางเลือกมากเท่าไหร่ เขาจึงได้แต่นึกขอโทษเด็กหนุ่มอยู่ในใจแทน

          สถานที่นัดหมายคือโกดังเก่าของวินที่อยู่แถวชานเมืองของชลบุรี ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นโรงงานนรกทำเสื้อผ้าควบเปิดบ่อนไปในตัว แต่เพราะวินเลิกทำกิจการนี้แล้ว เลยเหลือแต่บ่อนที่เปิดไว้ แต่เพราะวันนี้จำเป็นต้องใช้สถานที่ เลยปิดบ่อนชั่วคราวเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นในวันนี้จึงไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยนอกจากพวกของวินเท่านั้น

          วินออกอาการหงุดหงิดเหมือนจะขวิดใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆ ยิ่งมองเวลาที่ใกล้จะถึงตามนัดเข้าทุกที แต่ยังไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ยิ่งหงุดหงิดหนักจนลูกน้องที่เหลือพากันถอยห่างเพราะกลัวจะโดนลูกหลง มีเพียงเดียร์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ใกล้ๆพี่ชายด้วยเหตุผลที่ว่าเขาโดนมัดไว้อยู่กับเก้าอี้ และพร้อมเต็มใจรับลูกหลงที่ว่าอยู่แล้ว

          “น่าครับ บางทีเขาอาจจะหาว่าเราอยู่โกดังไหนก็ได้” เนื่องจากมีโกดังหลายสิบหลัง อีกทั้งยังกินพื้นที่กว่าสิบไร่ แล้วโกดังที่วินอยู่ก็เลือกเสียกลางๆจนลึก เหมือนไม่อยากจะให้หาเจอ ก็ไม่แปลกถ้าสิทธิ์จะมาช้าเพราะมัวแต่หา “พี่เองก็ผิดที่ไม่ยอมบอกเขาว่าเราอยู่โกดังหลังไหนนะครับ”

          “ไม่ได้บอกที่ไหน พี่บอกไปแล้วไงว่าโกดังหลังคาแดงตรงกลางๆ” ซึ่ง ทุกหลังล้วนหลังคาสีแดง และกลางๆที่พี่ชายว่าก็สุดแสนจะจำเพาะเจาะจง แถมยังนัดมาซะตอนมืด ไฟตามทางข้างนอกเองก็มีน้อยจนมองเห็นแค่สลัวๆ น่ากลัวกว่าซอยเปลี่ยวเยอะ “ไอ้หมอนั่นต่างหากที่ผิด ถ้ามันรักนายจริง มันก็ควรจะมาก่อนสิ ฉันเองก็บอกมันก่อนตั้งหลายชั่วโมง

          ‘หลาย’ ที่คุณพี่ชายว่าคือแค่สองชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดนะครับ แค่ขับรถมาจากกรุงเทพก็หนึ่งชั่วโมงแล้ว ไหนจะต้องขับออกมาทางชานเมืองมายังโกดังอีก ก็เหลือเวลาให้หาว่าอยู่โกดังหลังไหนก็ราวๆครึ่งชั่วโมงต่อโกดังห้าสิบสองหลังในที่มืดสลัวก็เท่านั้นเอง

          ในที่สุดก็สองทุ่มแล้ว ไม่มีแม้แต่วี่แววของหมี วินเผลอยิ้มออกมา เพราะทีแรกก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้เดียร์เห็นว่าสิทธิ์ไม่มาเพราะไม่ได้รักเดียร์ แต่พอเหลือบไปมองน้องชายที่ทำท่าเหมือนกับโลกจะสลาย ใจก็ร่วงลงมาอยู่กับตาตุ่มแทน

          “มะ...ไม่เอาน่า นายก็บอกเองไม่ใช่หรือไงว่ามันอาจจะเสียเวลาหาอยู่ มันอาจจะกำลังใกล้มาถึงแล้วก็ได้” แทนที่จะได้ประกาศก้องเพื่อย้ำสิ่งที่น้องชายคิด คุณชายกลับปลอบแทนจนเหล่าลูกน้องเองก็ชักงงๆว่าตกลงที่ลักพาตัวเดียร์มานี่ อยากเห็นว่าสิทธิ์ไม่รักเดียร์ หรือกลับกันมากกว่า “หมอนั่นมันรักนายจริงๆนะ...”

          “ไม่ต้องปลอบหรอกครับ...แค่นี้ก็เกินพอแล้ว” ซึ่งส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเสียใจจริงๆ แต่ไอ้ความสุขแปลกๆที่แทรกเข้ามานี่ ทำเอาน้ำตาไม่ยอมไหลออกมาเสียนี่ เลยได้แต่ปั้นหน้ามึนตึงใส่ตัวเองแทน “บางที...จบแบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้...”

          “ไม่มีทาง”

          วินไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรตอนได้ยินเสียงของสิทธิ์ แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมดีใจให้อีกฝ่ายเห็นหรอก

          สิทธิ์ยืนหอบอยู่ตรงหน้าทางเข้าโกดังซึ่งเปิดทิ้งไว้เพื่อรอรับแขก ร่างของชายหนุ่มเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจนเหมือนตกน้ำมาเสียมากกว่า ใบหน้าเรียวแดงก่ำจนน่ากลัว แต่เพียงไม่นานก็กลับมาหายใจเป็นปกติ แล้วเดินเข้าไปลำพังอย่างไม่เกรงกลัว

          “ไง ฉันมาแล้ว มาคนเดียวด้วย” หมียักษ์คำรามลั่น “คืนเดียร์ให้ฉันได้หรือยัง”

          เดียร์แทบอยากจะด่าตัวเอง แค่น้ำเสียงดุดันนั่นก็ทำเอาระทวยแล้ว ยิ่งจ้องมองมาทางนี้ด้วยสายตาแรงกล้าแล้วก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกดีใจที่กดเอาไว้อยู่ภายในทะลักล้นออกมาทางหน้า แต่เพราะยังคงรู้สึกผิด จึงไม่กล้าจะให้อีกฝ่ายเห็นความรู้สึกของตน

          สิทธิ์เม้มปากแน่น ถ้าทำได้ก็อยากจะเดินไปฉุดกระชากลากถู ถามซักไซ้ให้รู้ความไปเสียเลย ยิ่งเห็นใบหน้าคล้ายกับดีใจแต่สุดท้ายก็เสียใจแบบนั้น เขาก็ยิ่งคาใจเป็นที่สุด

          เธอรักฉันจริงๆหรือเปล่า...

          ประโยคที่ได้แต่เก็บงำเอาไว้ในใจ ไม่กล้าจะเอ่ยถามเพราะกลัวคำตอบจะไม่เป็นดังหวัง แต่ในตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้านั่น ชายหนุ่มแทบจะไม่สนสิ่งใดนอกจากความจริงจากปากของอีกฝ่ายแล้ว

          “แล้วคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆเรอะ” วินคะตอกสวนกลับเรียกสติด้วยความหงุดหงิดที่น้องชายกับนายหมีเอาแต่ทำซึ้งกัน แบบไม่สนใจชาวบ้าน ก่อนจะหักนิ้วเสียงดัง แล้วหันไปหาลูกน้อง “ไปดูว่ามันมาคนเดียวจริงหรือเปล่า”

          ลูกน้องสี่ห้าคนเดินหายออกไปด้านนอก ก่อนที่จะกลับมาหาวินเพียงคนเดียวเพื่อให้คำตอบที่ตรงกับคำพูดของสิทธิ์

          “ไง จะเอาอะไรอีก จะดูด้วยไหมว่าฉันพกอาวุธมาหรือเปล่า เอาเลย” ว่าจบก็ถอดเสื้อเปียกๆแล้วโยนลงไปคลุกฝุ่นที่พื้น “หรือต้องให้ถอดกางเกงด้วย”

          “อย่านะเฮ้ย! พอเลย” วินร้องเสียงหลงพร้อมออกอาการขยะแขยงเต็มทน เมื่อเห็นคนตรงหน้าตั้งท่าจะปลด “แม่งไม่อายก็กลัวคนอื่นจะเป็นตากุ้งยิงหน่อยเหอะว่ะ”

          “แล้วตกลงแกจะว่ายังไงล่ะ จะคืนเดียร์มาให้หรือยัง”

          หนุ่มแว่นเพียงแต่บึ้งหน้าใส่ ก่อนจะเดินเข้าไปหา เหล่าลูกน้องที่เหลือทำท่าจะเข้าไปสมทบหากแต่วินยกมือห้ามเอาไว้

          “นี่ จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันจะทำด้วยความตั้งใจของฉัน” วินว่าพลางถอดแว่นฝากไว้กับลูกน้องใกล้ตัว “ก่อนหน้านั้นเพราะเดียร์เข้ามาขวางเลยยังไม่รู้ผล แต่คราวนี้มาต่อให้รู้กันไปเลย”

          เดียร์สะดุ้งสุดตัว...อย่าบอกนะ...

          สิทธิ์เบิกตามองอย่างสงสัยนิดหน่อย ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูด

          “ดี ฉันเองก็อยากจะรู้มานานแล้ว ว่าแกจะทนมือฉันได้ในกี่นาทีกัน”

          “เก็บปากหมาๆนั่นไว้หยอดน้ำข้าวต้มเหอะ”

          “ไม่นะ” เสียงหวานร้องลั่น...ถึงเขาจะเดาเอาไว้แล้วว่าอาจจะเกิดเหตุแบบนี้...แต่ถ้าจะให้ นั่งขอบเวทีดูคนทำร้ายกันแบบนี้ล่ะก็ ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า!

          แน่นอนว่าทั้งสองไม่ฟังเสียงห้ามนั่น สำหรับพวกเขาแม้จะรู้ว่าเดียร์ไม่ต้องการให้เกิดเหตุแบบนี้ แต่ถ้าไม่ตัดสินให้รู้ดำรู้แดง เรื่องทุกอย่างก็คงไม่จบ

          เหล่าลูกน้องพากันมองเด็กหนุ่มที่โดนมัด ท่าทางของเดียร์เหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ชวนให้รู้สึกเห็นใจขึ้นมานิดๆ...หากแต่เพราะคำสั่งของเจ้านาย จึงได้แต่ทำใจดำเมินอาการเหล่านั้นแทน

          “พอเถอะ หยุดสักที!” เดียร์ พยายามร้องห้ามสุดเสียง แต่ไม่มีใครฟังเลยสักนิด...นี่มันโหดร้ายเกินกว่าเขาจะทนมองไหว ร่างเล็กพยายามดิ้นหนีออกจากเชือดสุดตัว แต่เชือกนั้นก็รัดแน่นเกินไปทำให้เขาได้แต่ดิ้นไปมาอย่างไร้ประโยชน์ “ไม่นะ...หยุดเถอะ...”

          ไอ้เรื่องอยากไปยืนเป็นกระสอบทรายแทนจนตัวสั่นน่ะมันแน่อยู่แล้ว...เพียงแต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ...

          ความปวดร้าวที่ไม่อาจทานทนเอ่อล้นทุกคราที่เห็นสิทธิ์เจ็บตัว มันทรมานเกินกว่าจะทนมองไหว และชวนให้เจ็บปวดมากจนเหมือนโดนกรีดหัวใจ...

          ไม่นะ...คุณไม่สมควรจะเจ็บปวดแบบนี้เลย...มันต้องเป็นผมสิ...คุณไม่ได้ชอบโดนกระทำนี่...จะมาเจ็บตัวเพื่อผมทำไมกัน...ผมชอบความเจ็บปวด แต่ผมเกลียดการเห็นคนมาเจ็บปวดตรงหน้าผมนะ...ยิ่งพอเป็นคุณ...มันเจ็บปวดเหลือเกิน...

          เดียร์เหลือบมองภาพตรงหน้าอย่างอ่อนแรง...เขาจะต้องทนดูภาพนี้อีกนานเท่าไหร่กันนะ...

          กินเวลาเกือบยี่สิบนาทีที่สิทธิ์กับวินยืนแลกหมัดกันอย่างไม่ลดละ และไม่มีการหลบหมัดของกันและกันแต่อย่างใด กระนั้นสภาพของทั้งคู่ก็ไม่ได้เละเทะอย่างที่น่าจะเป็นมากนัก...ถึงตอนนี้จะตาปูดแก้มเขียวกรามเบี้ยวไปนิดๆก็ตาม แต่เหล่าคนดูก็รู้ดีว่าถ้าเป็นคนปกติ คงยืนทนหมัดพวกนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งยกแน่ ทั้งอย่างนั้นทั้งสองต่างพากันแลกหมัดได้ตั้งนานสองนานโดยไม่มีใครยอมใครสักคน

          “เฮอะ”

          วินถ่มเลือดในปากออกมา ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง สิทธิ์เองก็ทั้งปากทั้งหางคิ้วแตก สภาพไม่ต่างจากตนนัก กระนั้นสีหน้าของหมียักษ์กลับไม่มีท่าทีจะยอมแพ้เลยสักนิด กลับกันยิ่งดูดุดันและฮึกเหิมกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้ม...อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน

          เด็กหนุ่มก้มหน้างุด คอยภาวหน้าให้เรื่องตรงหน้าจบลงสักที...ดูจากเวลาก็ควรจะจบได้แล้ว จะครบชั่วโมงแล้วโว้ยยยย พวกคุณเอ็งจะอึดอะไรกันนักหนาฟะ! มาลงที่ฉันนี่!!! ไม่ก็ไปลงกับคุณชาโน่น จะมาตีกันเองให้เสียเปล่าทำบ้าอะไรเล่า!!!

          “เลิกเถอะครับ คุณสิทธิ์! ยังไงผมกับคุณก็ไปด้วยกันไม่ได้หรอก” เมื่อไม่จบสักที เดียร์ก็หมดความอดทนแล้ว เลยตะโกนความในใจออกไปสุดเสียง “ผมรู้ว่าคุณรักผม...แต่เลิกเถอะครับ...อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”

          คราวนี้ทั้งคู่หยุดชะงัก สิทธิ์มองมาคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อหู แต่เมื่อเห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มก็นึกถึงคำพูดของลูกน้อง จากนั้นก็กัดฟันแน่น

          “เธอไม่รักฉันเลยหรือ”

          เด็กหนุ่มค้างนิ่ง ไม่คิดว่าจะเจอคำถามนี้ตอกกลับมา

          “ตอบสิ...ถ้าเธอตอบ ฉันจะหยุด” สิทธิ์ถามอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่อมพะนำ “ว่าไง ไม่อยากนั้นฉันจะต่อยพี่เธอต่อนะ”

          “หนอย ไอ้หอยหลอด อย่างกับฉันจะยอมเรอะ” แม้จะรู้ตัวว่าขัดจังหวะแต่ก็อดโมโหใส่ไม่ได้อยู่ดี

          “รักสิครับ”

          จากที่หมัดของพี่ชายจะไปประทับบนใบหน้าก็หยุดเฉียดปลายจมูกทันที แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่เอาเข้าจริงวินก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย แต่ก็ได้แต่เจ็บใจเงียบๆ แล้วถอนหมัดออกจากสิทธิ์แทน...ถึงแม้ว่าหมียักษ์จะทำหน้าชื่นบานน่าหมั่นไส้ยังไง วินก็ได้แต่กัดฟันทน

          “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราต้องเลิกกันล่ะ” สิทธิ์รู้สึกเหมือนหัวใจจะเต้นออกมาข้างนอก “ถ้าเธอไม่ชอบในสิ่งที่ฉันทำล่ะก็...ฉันเลิกก็ได้นะ”

          “ชอบสิครับ!”

          ในขณะที่วินได้แต่งง คนตอบกับคนถามได้แต่อึ้งกับประโยคก่อนหน้า

          “...มาถึงขนาดนี้แล้ว คุณเองก็รู้ไปแล้ว...ผมเองก็ไม่อยากจะปิดบังเหมือนกัน” เดียร์หัวเราะอย่างอ่อนแรงเต็มทน การต้องทนมองคนโดนทำร้ายมันหนักหนาเกินกว่าเขาจะรับไหว “...ผมชอบมานานแล้วครับ...ไม่ใช่แค่เพิ่งมาชอบเอาตอนที่คุณทำกับผมหรอกนะ...”

          และแน่นอนว่าก็ยังคงปล่อยให้วินงงต่อไป ในขณะที่สิทธิ์ได้แต่อ้าปากค้างจนแมลงวันสามารถเข้าไปบินเล่นได้สามตลบ

          “ผมดีใจนะที่คุณทำแบบนั้น...เพียงแต่...ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้เพราะผม...” ใบหน้าหวานก้มต่ำ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นความเสียใจของตนอีกต่อไป “ผมไม่อยากให้คุณฝืนใจ...”

          “ฉันเปล่านะ!”

          ซึ่งวินก็ยังเป็นคนดีที่งงและเงียบต่อไปเพราะไม่อยากจะขัดคนรักคุยกัน แม้จะสงสัยเป็นที่สุดก็ตามว่าเจ้าน้องชายกับนายหมีกำลังพูดถึงอะไรอยู่กันแน่

          “...ฉันยอมรับว่าแรกๆฉันไม่ชอบเลย...” น้ำเสียงทุ้มฟังดูเจ็บปวดเหลือทน ใบหน้าคล้ายกับไม่อยากจะพูด หากแต่ยังคงลังเล สิ่งที่อยากคว้าไว้มีหวังได้หลุดมือเป็นแน่ “แต่...ฉันก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มชอบทำแบบนั้น...และเมื่อไหร่ก็ตามที่ทำลงไป…ฉันชอบ…จนหยุดตัวเองไม่ได้…”

          “ไม่จริง” เสียงหวานสั่นระริก “ผม...ผมทำให้คุณเป็นแบบนี้...ทั้งที่คุณไม่ชอบแท้ๆ...เป็นความผิดของผม...”

          “แต่มันไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ตอนนี้ฉันชอบแล้วนี่นา ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกกันแล้วนี่” สิทธิ์พยายามเว้าวอน “ฉันรักเธอ แล้วก็เป็นอย่างที่เธอต้องการแล้วไง”

          “เพราะอย่างนั้นไงละครับ ที่ผมกลัว!” เดียร์สวนลั่น “ผมชอบที่คุณทำกับผม...แต่ถ้ามันทำให้คนรอบตัวคุณต้องโดนไปด้วย...ผมคงทนไม่ได้...ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนแล้วก็มองคุณเปลี่ยนไป...”

          สิทธิ์อ้าปากค้างไปพักใหญ่ก่อนจะกัดฟัดแน่น ร่างสูงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างไม่สนใจเจ้าพี่ชายที่เอาแต่ยืนอึ้ง และทำในสิ่งที่เรียกสติวินเหมือนเอาน้ำมาฉีดใส่หน้า...ก็ใครมันจะไป คิดว่าอยู่ๆไอ้หมีบ้านั่นมันจะเข้าไปจูบปากน้องชายตัวเองกันเล่า!

          ค้างไปนานทีเดียวจนวินอยากจะตะโกนด่า แต่อีกส่วนก็ไม่อยากจะขัดความสุขน้องชายเท่าไหร่นัก เลยได้แต่เลี่ยงภาพบาดตาด้วยการมองไปทางอื่นแทน

          เดียร์ยังคงอึ้งตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนความ ดวงตากลมค้างมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย และหัวใจระส่ำ

          “สำหรับฉัน ของแบบนี้...หรือแบบนั้นที่ทำกับเธอประจำ...ก็เอาไปทำกับใครไม่ได้หรอก นะ...ถ้าไม่ใช่เธอ” เสียงทุ้มดังแผ่วก่อนจะเข้าสวมกอดแน่นจนเดียร์หายใจไม่ออก “บ้าเอ๊ย เธอนี่มันจริงๆเลยนะ...ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นแบบนี้แล้ว กังวลอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ”

          “คุณ...” เสียงร้องห้ามในลำคอเหือดหายไป อยากจะให้เวลาในตอนนี้หยุดเสียเหลือเกิน... “มันเป็นแบบนี้แล้วคุณรับได้หรือครับ”

          “ก็รักไปแล้วนี่นา รับไม่ได้ก็ต้องรับให้ได้นั่นล่ะ” สิทธิ์ว่าแล้วกอดแน่นยิ่งขึ้น “เธอล่ะ รับฉันที่เป็นแบบนี้ได้หรือเปล่า”

          น้ำตาที่หยุดไหลเจิ่งนองอีกครั้ง “ก็เห็นๆกันอยู่นี่นา”

          ซึ่งแม้วินอยากจะขัดใจเพราะความสงสัยและหงุดหงิดจะขาด แต่พอเห็นเดียร์ดูมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มก็ได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจ และเรียกลูกน้องให้ออกจากโกดังไปหวังจะให้ทั้งสองอยู่เพียงลำพัง แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกไปก็เกิดเสียงระเบิดดังลั่นขึ้น และมันใกล้มากจนหูแทบหนวก อีกทั้งพื้นดินก็สั่นสะเทือนจนเกือบยืนไม่อยู่

          “เฮ้ย!”

          และกว่าจะรู้สึกตัว ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว


________________________


หลังตรุษจีนปุ๊บ หวัดกินปั๊บรับปีใหม่สุดๆ =3= ตอนปีใหม่สากลก็เป็น T^T รักษาสุขภาพกันด้วยนะงับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-02-2015 15:51:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-02-2015 18:08:40
อีตาธานินทร์จะฮุบกิจการหรอคะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 23-02-2015 19:31:08
เข้าใจกันแล้วในที่สุดดดดด
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 25-02-2015 13:05:27
อ๊าก!!! ตัดฉับ   ทรมาณคนอ่านแบบนี้ ต่อให้เป็น M ก็ใช่ว่าจะชอบนะค๊า.....
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 53 (22/02/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 15-03-2015 17:10:19
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 54



          ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย…

 

          ธานินทร์เดินมองโกดังหลายสิบหลังอยู่ด้านนอก ดวงคาตกคุไปด้วยความตื่นเต้น แม้ในตอนแรกจะขลุกขลักไปหน่อย อีกทั้งใช้เวลาเสียนานจนเกือบจะถอดใจไปแล้ว แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนทั้งหมด อีกไม่นานสิ่งที่รอมานานก็ประสบผลสักที ชายหนุ่มเลื่อนมองมือถือที่ดังไม่หยุดเกือบชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็ยอมรับขึ้นมา

          “ผมว่าผมบอกคุณแล้วนะครับว่าให้มาตรงเวลา นี่แสดงว่าคุณวินกับคุณเดียร์จะเป็นยังไงก็ช่างสินะ...” และพูดไม่ทันจบความก็ต้องรีบยกหูหนีเสียงด่าลั่น ก่อนจะพูดต่อหลังจากอีกฝ่ายด่าจบ “ผมไม่เคยขู่ใครหรอกครับ ผมทำจริงตลอด...”

          “ฉันไม่เชื่อแกหรอก”

          ธานินทร์นิ่งไปหลังจากฟังประโยคที่ปลายสายพ่นกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย

          “นั่นสินะ คุณก็เป็นคนแบบนี้เสมอ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ถ้าไม่เชื่อ ผมก็ไม่มีเหตุผลจะต่อรองกับคุณแล้วนี่เนอะ”

          สิ้นเสียง เขาก็หยิบรีโมทระเบิดออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้กด เสียงซ่อกแซ่กของต้นไม้รอบๆก็หยุดเขาเอาไว้ และไม่ทันจะได้ตั้งตัว ชายฉกรรจ์สามสี่คนก็เข้ามาทำร้ายเพื่อแย่งรีโมทและจับตัวเขาอย่างรวดเร็ว ธานินทร์พยายามจะขืนตัวหนี แต่เข่าที่พุ่งเข้าลิ้นปี่เล่นเอาเขาถึงกับสำลัก แข้งขาอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่

          “กล้าดียังไงถึงคิดว่าคนอย่างแกจะมาต่อรองกับฉัน” เสียงทุ้มของชายชราดังขึ้นจากด้านหน้าของตน ธานินทร์เงยหน้ามองชายสูงวัยตรงหน้าที่แม้จะดูนิ่ง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธจัดแค่ไหน และถึงอายุจะล่วงเลยจนเข้าสู่วัยชรา แต่ร่างกายของคนตรงหน้ากับยังดูดีและแข็งแรงจนแทบดูไม่ออกว่าจะอายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้ว “นึกหรือว่าฉันจะยอมให้แกมาขู่ฉันน่ะ”

          หนุ่มตาตกยิ้มยกมุมปากทั้งที่ตอนนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เพียงไม่นานก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะโดนชายอีกคนชกเข้าที่ลิ้นปี่เต็มแรง

          “สภาพแบบนี้แล้วยังจะทำอวดเก่งไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชายสูงวัยคนนั้นเอ่ย พลางหยิบบุหรี่จากสูทสีกรมท่าขึ้นมาสูบ แล้วพ่นควันใส่หน้าธานินทร์ “คิดหรือว่าแผนตื้นๆของแกจะทำอะไรฉันได้”

          กระนั้นแล้ว ธานินทร์ก็ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน และออกจะดูสะใจเสียเหลือเกิน

          “แล้วคิดว่าคนอย่างผมมีปัญญาแค่นั้นหรือไง”

          จบประโยคก็บังเกิดระเบิดดังขึ้น เสียงดังสนั่นจนหูแทบหนวก พื้นที่ยืนก็พากันสั่นสะเทือนแม้จะยืนอยู่หากจากจุดที่เกิดระเบิดค่อนข้างไกล ระเบิดยังคงดังต่อเนื่องทำลายโกดังตรงหน้าเสียจนจมไปกับทะเลเพลิง ทำเอาชายชราและลูกน้องของเขาพากันตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า

          “รีบไปสิวะ” ชายคนนั้นสั่งเสียงเหี้ยม แต่ยังไม่ทันที่คนของเขาจะออกไป เสียงหัวเราะของหนุ่มตาตกก็รั้งเอาไว้เสียก่อน

          “ฮะๆ ไม่ทันแล้วโว้ย” ธานินทร์หัวเราะลั่น ก่อนจะเหยียดยิ้มกว้าง “นึกว่าผมจะใจดียอมให้สองคนนั้นรอดง่ายๆเพียงแค่คุณทำตามสัญญาหรือ คิดผิดแล้วล่ะครับ คุณอาเขต”

          คราวนี้เจ้าของชื่อชกเข้าที่หน้าของหนุ่มตาตกเสียเต็มแรงจนหน้าหัน เลือดกำเดาไหลอาบลงคางจนน่ากลัว กระนั้นอาเขตก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังคงชกอีกฝ่ายต่อเรื่อยๆจนลูกน้องต้องห้ามไว้แทน เพราะไม่เช่นนั้นธานินทร์คงตายคามือชายแก่เป็นแน่

          “หึ” แม้จะเจ็บตัวแทบตาย ก็ยังแค่นหัวเราะออกมา “รู้สึกยังไงบ้างละครับที่โดนตลบหลังเอาแบบนี้”

          “ยังจะมีหน้ามาพูดอีกเรอะ” ใบหน้าของชายชราแดงก่ำด้วยความโกรธ “ฉันอุตส่าห์ชุบเลี้ยงแกมาขนาดนี้ แกยังกล้ามาหักหลังฉัน...กล้าฆ่าสองคนนั่น อย่าหวังว่าฉันจะไว้ชีวิตแกเลย”

          “ไว้พูดกับตัวเองดีกว่าไหม...” ธานินทร์สวนกลับ “คนที่จะไม่รอดคือคุณต่างหาก”

          แม้คำพูดนั้นจะแฝงไปด้วยความนัย แต่ปฏิกิริยาของอาเขตกลับไม่เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาด เพราะแทนที่อาเขตจะแปลกใจหรือตกใจเพราะรู้ว่าตนหมายสิ่งใด ชายชรากลับหัวเราะออกมาแทน

          “คิดว่าฉันจะไม่รู้เลยหรือว่าที่แกทำไปทั้งหมดเพราะอะไร ไม่ใช่แค่อยากฆ่าสองคนนั้นหรอก...แต่เป้าหมายจริงๆของแกคือฉันใช่ไหมล่ะ” อาเขตถามเสียงห้วน “ฉันจัดการทำลายแผนของแกก่อนที่ฉันจะมาที่นี่แล้ว”

          กลายเป็นธานินทร์เสียเองที่ประหลาดใจกับคำพูดเหล่านั้น และยังสงสัยไม่เท่าไหร่ อาเขตก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ลูกน้องที่เหลือนำคนของธานินทร์ทั้งหมดออกมา เล่นเอาหนุ่มตาตกถึงกับหน้าซีด

          “ต้องให้บอกอีกไหมว่า คนที่แกกำลังจะรอให้มาน่ะ เขาไม่มาแล้ว...ถึงจริงๆแล้วถ้าเขามาแกก็คงจะไม่รอดเหมือนกับฉันด้วยก็เถอะ” อาเขตเยาะ “ป่านนี้คงไปคนละทางแล้ว กว่าจะมาถึงที่นี่ ตอนนี้ฉันมีเวลาทรมานแกก่อนจะฆ่าทิ้งถมถืด”

          ธานินทร์เพียงแต่กัดฟันกรอด ไม่คิดว่าจะโดนตลบหลังกลับจนแพ้ราบคาบจนแทบจะหมดแรง

          ทั้งที่รอมานาน...ทั้งที่เตรียมการไว้ตั้งมาก...แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า...

          “อยากจะสั่งเสียอะไรก่อนตายไหม” อาเขตว่าก่อนจะขอปืนจุดสามแปดจากลูกน้องข้างตัว “เพราเป็นแกนะ ฉันถึงให้โอกาสสั่งเสีย”

          หนุ่มตาตกเพียงแต่จ้องหน้าชายชราด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่ขาอีกฝ่าย ซึ่งน่าจะเรียกว่าถ่มเลือดใส่มากกว่า ทำเอาลูกน้องของอาเขตเกือบจะเข้าไปซัดแล้ว แต่กลับโดนหัวหน้าห้ามเอาไว้

          “หึ ก็มีแต่เรื่องใจเด็ดนี่ล่ะที่ฉันอยากชม” อาเขตว่าพลางยกปืนใส่อีกฝ่ายอย่างช้าๆ “ฉันเสียใจจริงๆนะที่ต้องทำแบบนี้กับแก แต่สิ่งที่แกทำมันเกินกว่าฉันจะให้อภัยได้”

          ธานินทร์เหลือกมองปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่ตรงกลางหน้าผากของตน ก่อนจะหลับตา...

          จบแล้วสินะ...

          “แต่ผมอยากจะชมเขาเรื่องอื่นมากกว่านะ”

          อีกเสียงทุ้มที่สอดเข้ามา เล่นเอาคนฟังพากันหันมองหาอย่างตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันได้มองหาเจ้าของเสียง อาเขตและคนอื่นต่างก็โดนกลุ่มคนมากมายราวห้าสิบกว่าคนเล็งปืนใส่พวกตนเอาไว้ แล้ว

          “จะยอมแพ้ดีๆ หรือจะต้องให้ลงไม้ลงมือก่อนละครับ....แต่ผมไม่รับประกันเรื่องความปลอดภัยเท่าไหร่นะ” คนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอาเขตคือศิวะ เลขาของมาริสา นั่นทำเอาใบหน้าหมดหวังของธานินทร์เหือดหายไป แม้ใจจริงจะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาที่นี่ได้ เพราะอาเขตเองก็น่าจะไม่พลาดท่าง่ายๆให้ศิวะรู้ตัวเช่นกัน

          “แกกล้าทำร้ายฉันเรอะ” อาเขตเอ่ยเสียงกร้าวก่อนจะพยายามหันปืนไปหาอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้เล็งก็โดนศิวะแจกให้ก่อนหนึ่งนัดเฉียดเท้าไปนิดเดียว

          “อยากลองมากกว่านี้ไหมครับ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะเลื่อนปลายปืนไปยังช่วงขาของอีกฝ่าย “เผื่ออาจจะยังไม่เชื่อ”

          ชายชรากัดฟันแน่น “...แกมาที่นี่ได้ยังไง แกไม่น่าจะรู้...แล้วมาริสา...”

          “ไงจ๊ะ ไม่ได้เจอกันน้านนานเลยนะ คิดถึงคุณมากเลย...”

          เสียงต่อมาที่ฟังแล้วชวนสะพรึงใจเป็นที่สุดดังขึ้นจากข้างหลังของศิวะ ยิ่งเห็นใบหน้าของหญิงสาววัยกลางคนที่ดูเปี่ยมสุขและฉีกยิ้มกว้างนั่นแล้ว อาเขตถึงกับทิ้งปืนลงแทบไม่ทัน

          “ไม่จริง...ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้” อาเขตถามเสียงสั่น “ก็ฉันสั่งให้ลูกน้อง...”

          “มาบอกว่าตาวินโดนไอ้ลูกแมวขโมยนั่นพาเข้าโรงแรม...ไม่ได้มาพลอดรักกันที่นี่...ใช่ไหม” มาริสาทวนเสียงสูงปรี๊ด ท่าทางจะเอาเรื่องอย่างจริงๆจังๆจนทำเอาหนุ่มอกสามศอกแอบหวั่นกันเป็นแถบ โดยเฉพาะอาเขตที่เป็นเป้าหมายของเธอ “ก็เกือบไปแล้วล่ะ ถ้าพวกเขาไม่มาบอกฉันก่อน”

          อาเขตมอง ‘พวกเขา’ ที่มาริสาชี้ซึ่งอยู่ข้างตัวเธอ ชายชราถึงกับระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่

          “ฉันถึงไม่อยากให้ไอ้วินมันเลี้ยงแกตั้งแต่แรก...แกก็อีกคนไอ้ดร ไอ้พวกเนรคุณ เลี้ยงเสียข้าวสุก!”

          “พูดผิดไปนะครับ เจ้านายผมน่ะมีแค่คุณวินคนเดียว...และก็จะไม่มีคนอื่นอีกแล้วล่ะครับ” ชาบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ในขณะที่ดรแอบอยู่หลังชาเพราะกลัวอาเขตจนจะยืนไม่ค่อยจะอยู่เท่าไหร่แล้ว
         
          “เฮอะ พูดออกมาได้ แล้วที่แกทำมันเรียกว่าภักดีกับไอ้วินยังไง ร่วมมือกับธานินทร์ฆ่าวินเนี่ยนะ” ด้วยความโกรธกึ่งอยากเอาตัวรอด อาเขตจึงย้อนอย่างไม่ลดละ ซึ่งนั่นก็ได้ผล จากที่กำลังเล็งเหยื่อมาทางตน มาริสาก็หันไปหาชาเป็นเชิงคาดคั้นแทนแล้ว

          แต่กระนั้นเจ้าตัวกลับยิ้มออกมาแทน จนชายชราได้แต่แปลกใจ

          “เหวอ แม่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

          เสียงที่ไม่น่าจะได้ยินอีกแล้วดังขึ้นมาจากด้านหลังของมาริสา หญิงวัยกลางคนถึงกับปรี่เข้าไปดูลูกชายที่มีสภาพสะบักสะบอมเหมือนเพิ่งไปลุยป่าฝ่าดงมาสามวัน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน มาริสาถึงกับกอดวินแน่น จนหนุ่มแว่นซึ่งกำลังหวั่นๆถึงกับงงๆและกอดกลับด้วยความโล่งใจนิดๆที่ไม่โดนคาดโทษเรื่องที่ตนมาทำอะไรบ้าๆกับเดียร์
         
          “แกนี่มันชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อย!” เสียงแหลมสั่นเครือจนน่าใจหาย เพราะน้อยครั้งมากที่วินจะได้ยินเสียงแบบนี้จากแม่ “ถ้าแกทำแบบนี้อีกนะ แม่จะบิดหูแกให้ยานมาถึงบ่าเลย”

          จากที่กำลังห่วงแม่ ถึงกับเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน

          และก่อนที่จะถามถึงสาเหตุการมาของมาริสา วินก็สังเกตเห็นว่าแม่พาลูกน้องมามากกว่าปกติ และก็ต้องแปลกใจกว่าเมื่อเห็นพ่อของตนซึ่งกำลังโดนลูกน้องของแม่เล็งปืนใส่

          “พ่อ?” แม้จะประหลาดใจ แต่น้ำเสียงก็แฝงความไม่พอใจเอาไว้ด้วย “มาได้ไงวะ”

          เหล่าลูกน้องพากันสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นวินกระทืบเท้าเข้าไปหมายจะอัดหน้าคุณพ่อบังเกิดเกล้า เคราะห์ดีที่โดนรั้งตัวไว้ก่อนที่หนุ่มแว่นจะได้ประทับรอยหมัดไว้บนหน้าอาเขต

          “ขอสักทีเหอะน่า จะบาปหนาบาปเยอะอะไรก็ช่างแม่ง” วินโวยวายก่อนจะสะบัดอีกฝ่ายออกไป แต่คนรั้งกลับเหนียวหนึบเกินคาดทั้งที่รั้งเขาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ “...”

          จากที่กำลังจะหันหน้ามาสั่งถึงกับค้างนิ่งเพราะเจ้าคนที่เกาะอยู่ข้างหลังตนคือชานั่นเอง

          “น่าครับ อย่าเลย” หนุ่มหน้านิ่งยิ้มกริ่มราวกับมีความสุขเสียเหลือเกิน แถมยังกอดเหมือนมีจุดประสงค์แอบแฝงอีกต่างหาก ก่อนจะแอบกระซิบเสียงเบาข้างหู “ถ้าอยากระบายก็มาที่ผมเถอะ”

          ถึงกับหมดแรงกำมือเลยทีเดียว

          “นั่นสิครับ อย่าทำร้ายพ่อเลย” คราวนี้เป็นเดียร์ซึ่งตามหลังวินมาติดๆช่วยเสริมอีกแรงแบบได้จังหวะจนชาได้แต่นึกอยากถีบอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะวินตั้งท่าจะว่าชาอยู่พอดี “ผมว่าให้แม่กับพ่อเขาเคลียร์กันเองดีกว่านะ”

          ในขณะที่มาริสายิ้มกว้าง อาเขตทำหน้าเหมือนเห็นลานประหาร

          “หึ มีครั้งนี้เท่านั้นล่ะที่ฉันอยากจะชมแก” มาริสากระแทกเสียงใส่ กระนั้นใบหน้าก็ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน “แต่ที่ต้องชมที่สุดก็คงเป็นเธอละนะชา โทษทีละกันที่ฉันเข้าใจผิดไป ไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้เพื่อฉัน”

          คนที่ทำหน้าเหมือนเห็นผีมากที่สุดก็คงไม่พ้นธานินทร์ที่เป็นต้นเรื่องตัวจริง

          “เดี๋ยวสิ...นาย...นายรู้?” ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยถามเพราะทนสงสัยไม่ได้ “นายรู้เรื่องที่ฉันทำอย่างนั้นหรือ...”

          “ไม่หรอกครับ ทีแรกคุณชาเขาไม่รู้เหตุผลจริงๆที่พี่ธานินทร์ทำหรอกครับ ดีที่มีคนมาบอกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงแย่ไปแล้ว” แต่ก่อนที่ชาจะได้ตอบ เดียร์ก็อธิบายให้เสร็จสรรพด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานน่าหลงใหล แต่ความคิดข้างในใจร้ายสุดกู่ “ผมเองก็ร่วมมือเพื่อการนี้นี่ล่ะครับ”

          ธานินทร์นิ่วหน้าอ้าปากค้าง ก่อนจะหันมองไปทั่วเหมือนมองหาใครสักคน จากนั้นก็คอตกแล้วหัวเราะเสียงเบาเหมือนปลงตกอยู่กับพื้น

          “เดี๋ยวนะ ทำอะไร ทำเพื่อแม่ทำไมยังไง ฉันไม่เข้าใจ” วินขัดขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปหาชาเป็นเชิงคาดคั้น

          “คือเรื่องมันค่อนข้างจะยาวและซับซ้อนมากน่ะครับ ผมว่าเราน่าจะจัดการไฟที่ไหม้โกดังกับพาคุณธานินทร์ไปโรงพยาบาลก่อนดีไหม”

          และกว่าจะนึกได้ ก็เหมือนโกดังจะไหม้ไปหลายหลังแล้ว

 

          โชคยังดีที่แถวโกดังร้างผู้คนและไม่มีต้นไม้อยู่ใกล้ๆ เพลิงจึงไม่ลุกลามบานปลายนัก แต่โกดังก็เสียหายไปจนเหลือไม่กี่หลัง กระนั้นวินก็ไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนเท่าไหร่นัก เพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะเก็บที่นี่ไว้เท่าใดนัก เพียงแต่ไอ้กิจการที่ยังดำเนินอยู่ จะเลิกก็เลิกไม่ได้ พอเจอแบบนี้เลยได้โอกาสทิ้งๆไปเสียที แต่เพราะไม่อยากจะให้เรื่องมันดังนัก เลยมอบสินน้ำใจเล็กน้อยเพื่อให้เรื่องนี้ลงแค่ข่าวเล็กๆว่าทุกอย่างเป็นเพราะอุบัติเหตุเท่านั้น

          “เอาล่ะ...จะเริ่มบอกได้หรือยัง”

          ธานินทร์ สะดุ้งนิดหน่อยหลังจากเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เมื่อเห็นวินยืนตระหง่านด้วยใบหน้าเป็นเชิงถาม โดยมีสิทธิ์ เดียร์ และชานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกำแพง

          “เอ๋ ทำไมต้องรอผมด้วยละครับ คุณชาก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่...” ธานินทร์ถามเสียงสั่นก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังมองหาใครสักคน

          “ก็ไอ้บ้านี่มันไม่ยอมบอกจนกว่าพี่จะพูดก่อนน่ะสิ...แล้วถ้าหาพี่ศิวะหรือไอ้ดรล่ะก็ พวกเขาไปจ่ายเงินค่ายาให้พี่อยู่” วินบอกเสียงนิ่ง “บอกมาเลยว่าไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันเพราะอะไรยังไงกันแน่ ฉันงงไปหมดแล้ว”

          ไม่ว่าเปล่ามีเข้าไปเขย่าคอจนธานินทร์รู้สึกเหมือนคอจะหักก่อนได้เล่า

          “อ่า...ใจเย็นๆครับ” ดีที่หนุ่มแว่นรู้ตัว เลยปล่อยคออีกฝ่ายก่อนที่คนเจ็บจะได้ไปปรภพจริงๆ “...คือก่อนอื่นเลยผมอยากจะขอโทษทุกๆคนที่ต้องมาเดือดร้อนกับผมก่อนก็แล้วกันนะครับ...เอ้อ...มันต้องทุกๆคนจริงๆน่ะครับ โดยเฉพาะพวกคุณสามคน...”

          ชายหนุ่มย้ำเพราะวินจ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ และหนุ่มตาตกก็ไม่แปลกใจเลยเพราะคนที่เขาขอโทษมีสิทธิ์อยู่ด้วย

          “ผมต้องการล่อให้คุณอาเขตโผล่มาให้คุณมาริสาจัดการ เลยใช้ประโยชน์จากการที่คุณกับคุณสิทธิ์ไม่ถูกกันเพื่อล่อให้คุณทำเรื่องบ้าๆอย่างลักพาตัวคุณเดียร์ไปที่โกดัง เพื่อจะขู่คุณอาเขตว่าผมจะฆ่าคุณน่ะครับ”

          “แต่ก็ไม่ได้ฆ่าจริงๆ” ก่อนที่วินจะอ้าปาก ชาก็พูดต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่ดูแล้วเหมือนจะเบื่อหน่ายเต็มทน “คุณวางระเบิดไว้แค่โกดังรอบนอกห่างจากโกดังที่คุณวินอยู่มาก แล้วยังเหลือทางหนีให้อีกใช่ไหมละครับ”

          “เผื่อหลงก็เลยให้ลูกน้องอีกคนไปอยู่กับคุณวินช่วยนำทางให้ด้วย” ธานินทร์เสริมพลางยักไหล่ ดวงตาตกปรายมองชาก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ผมไม่กล้าฆ่าคุณวินจริงๆหรอกนะครับ”

          แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ชาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้อยู่ดี

          “เดี๋ยว นะ...พี่ไปหลอกพ่อว่าจะฆ่าพวกผม ไม่กลัวจะโดนพ่อฆ่าซะเองเรอะ” วินเลิกคิ้วมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่เห็นจะต้องลงทุนเอาชีวิตไปแลกกับตาแก่ตัณหากลับนั่นเลย”

          “เรื่องที่เขาทำกับผมมันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆนี่ครับ...” ธานินทร์หัวเราะเสียงแห้ง “ไม่คิดจะฆ่าก็ดีเท่าไหร่แล้ว...แต่ดูเอาละกันว่าแค่หลอกว่าจะฆ่าคุณ เขาก็เอาปืนมาจ่อหัวผมง่ายๆเลย”

          วินกับเดียร์มองหน้ากัน...เอาจริงๆแล้ว ระหว่างฆ่าทิ้งไปเลยกับส่งตัวให้มาริสา ทางเลือกอันแรกน่าจะสบายกว่ากันเยอะ

          “ผมหวังกับแผนนี้ไว้นานมาก...จัดการทุกอย่างไม่ให้พลาด ทั้งทำตัวเหมือนหวังจะหักหลังคุณวินเพื่อที่สายของคุณอาเขตจะได้เอาไปรายงานให้ระแวงผม ทั้งเรื่องยุคุณให้มีเรื่องกับคุณสิทธิ์...หรือกระทั่งเอาเดียร์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ด้วย” ธานินทร์เล่าต่อด้วยน้ำเสียงปลงตก “แต่น่าเสียดาย สุดท้ายก็ยังแพ้ไอ้แก่นั่นจนได้...ดีนะที่คุณชามาพลิกแผนให้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำก็คงล้มเหลวไม่เป็นท่า”

          ไม่ว่าเปล่ามีมาจับมือเขย่าพร้อมยิ้มกว้าง แน่นอนว่าต่อให้ไม่เกลียดกันมาตั้งแต่แรก ชาก็ขยะแขยงอยู่ดี

          “...สรุปคือ...พี่ใช้ผมกับไอ้หอยดองนี่เพื่อแก้แค้นพ่อ...ใช่ไหม” วินมองหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะขยี้หัวตัวเอง “ที่อยู่ๆพี่ทำตัวประจบประแจงใส่ผมเพราะแบบนี้เรอะ”

          ธานินทร์ยิ้มค้างและพยักหน้า เพราะไม่คิดว่าพ่อคุณชายแกจะรู้ตัว “ไอ้เรื่องที่คุณสิทธิ์ทำไม่ดีกับฝั่งพวกเราก็...ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ”

          “โธ่เอ๊ย ให้ตายสิ” หลังจากอ้าปากค้างไปสามวิ หนุ่มแว่นก็ร้องแบบไม่เกรงใจคนในโรงพยาบาลก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งเก้าอี้ที่ยังว่าง “อย่างกับไอ้โง่เลยฉัน...ทำไมถึงดูไม่ออกนะว่าหนังหน้าอย่างไอ้หมีควายนี่จะคิดแผนซับซ้อนจนฉันหาหลักฐานไม่ได้แบบนี้”

          “จะด่าหรือจะชมเอาให้แน่สิวะ ไอ้สี่ตา” หลังจากเงียบอยู่นานมาสิทธิ์ก็โพล่งขึ้นอย่างลืมตัว ก่อนจะถามขึ้นมาบ้าง “...แล้วเรื่องที่พวกผมโดนทำร้าย...เพราะคุณด้วยหรือ...”

          “โอ๊ะ ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่คุณวินด้วย” ถึงแม้จะแค่เป็นพันมิตรชั่วคราวด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว ธานินทร์ก็ไม่อยากจะบอกเท่าไหร่ว่าคนที่ทำร้ายสิทธิ์ก็เป็นคนใกล้ตัวสิทธิ์นั่นล่ะ “คงเป็นโจทย์คนอื่นละมั้งครับ ผมแค่ใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นเฉยๆ”

          และสิทธิ์ก็ออกอาการเดียวกับวินเป๊ะๆ

          “ผมไม่ขอให้พวกคุณยกโทษให้หรอกนะครับ เพราะผมก็เตรียมใจจะตายไว้แล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่าแผนจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม” หลังจากคุณหัวหน้าพากันหมดแรงเพราะเพิ่งรู้ความจริงที่โหดร้าย ธานินทร์ก็เอ่ยต่อโดยไม่มีน้ำเสียงขอร้องแม้แต่น้อย “ที่ผมทำมันก็ร้ายแรงพอที่คุณจะฆ่าผมด้วยซ้ำ”

          วินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความยุ่งยากใจก่อนจะขยี้หัวตัวเองรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ชายหนุ่มยืนประชันหน้าคนเจ็บด้วยท่าทางถมึงทึง ซึ่งธานินทร์คิดว่าจะโดนขู่ให้เดินออกไปหาลานประหารเหมาะๆเป็นแน่...แต่กลาย เป็นว่าวินกลับดีดมะกอกใส่หน้าผากเข้าเต็มๆแทน...ซึ่งแม้จะดูเล็กน้อย แต่พ่อแรงควายก็ดีดเต็มที่ เล่นเอาธานินทร์ที่บาดเจ็บอยู่แล้ว ถึงกับร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกับกุมหัวแน่น

          “คนที่จะโดนโทษฆ่ามีแค่คนที่ทรยศหรือคิดจะฆ่าฉันจริงๆเท่านั้น” วินว่าเสียงกร้าว “พี่ทำอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”

          ธานินทร์เงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แต่ผมหลอกคุณนะ มันก็เหมือนกับทรยศคุณกลายๆนั่นล่ะครับ”

          “แต่ก็ไม่ใช่ ใช่ไหมล่ะ” วินว่าต่อด้วยท่าทีที่ไม่แยแสกับความผิดของอีกฝ่ายนัก “แล้วที่สำคัญ ผมฆ่าพี่ชายตัวเองไม่ได้หรอกไม่ว่ายังไงก็ตาม”

          นอกจากเดียร์ที่แกล้งทำ ทุกคนต่างพากันตาค้างกับความจริงจากปากของวิน โดยเฉพาะธานินทร์ที่ดูจะตกใจกว่าเพื่อน

          “ให้ตายเถอะ ทำไมมีแต่คนเห็นฉันโง่นักวะ” วินถึงกับร้องอย่างเหนื่อยหน่าย “ถึงฉันจะเชื่อคนง่าย แต่ก็ไม่ได้โง่ไปซะทุกเรื่องนะเฟ้ย”

          “คุณ...รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่...ละ…แล้วรู้ได้ยังไงกัน” ธานินทร์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก

          วินทำหน้ายุ่งยากใจ...รู้สึกเหมือนเดจาวูตงิดๆ “ก็สักปีสองปีหลังจากพี่มาทำงานด้วยละมั้ง ผมน่ะรู้หมดนั่นล่ะว่าในพวกเรามีใครเป็นลูกลับๆของพ่อบ้าง ที่ไม่พูดก็เพราะเป็นห่วงกลัวแม่จะทำเหมือนที่ทำกับเดียร์หรอกนะ ส่วนที่ว่ารู้ได้ไง…แค่พ่อเป็นคนรับเข้ากลุ่มมาแล้วให้อยู่ในตำแหน่งกลางๆจนเกือบสูงกว่าปกติโดยที่ยังไม่มีผลงานเลย ผมก็สงสัยไว้ก่อนแล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อน คนรู้จักของพ่อ ก็ต้องเป็นพี่น้องคนละแม่ผมทั้งนั้นละ”

          ชายหนุ่มยังคงค้างนิ่งก่อนจะเริ่มหัวเราะเหมือนคนบ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

          “คุณนี่มัน...ดูถูกไม่ได้จริงๆเลยนะครับ” ธานินทร์ยิ้มเจื่อน “ท่าทางผมคงต้องมองคุณใหม่แล้วล่ะ”

          แต่ท่าทางวินจะไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจก่อนจะหันไปทางชาเพราะต้องการรู้เรื่องทั้งหมดนี้มากกว่า

          “…ทีแรกผมก็คิดว่าที่…คุณธานินทร์ทำเพราะอยากจะกำจัดคุณ…” แม้จะรู้แล้วแต่จะให้เปลี่ยนท่าทีเลย ชาก็ยังกระดากใจไม่หาย แค่จะเรียกให้สุภาพก็ยากแล้ว “แต่พอสะกิดใจเรื่องแปลกๆตอนที่ตำรวจมาจับบ่อนเราหลังจากที่คุณออกไปไม่นาน ถ้าคุณธานินทร์จะทำลายคุณวินจริงๆ น่าจะให้ตำรวจมาตอนที่คุณวินยังอยู่ในบ่อนมากกว่า…แถมเรื่องระเบิดที่โกดังอีก...ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ดูเหมือนจะหาทางฆ่าคุณวินถึงทำอะไรแบบนี้…”

          “คุณชาก็เลยไปสืบถึงได้รู้ว่าจริงๆพี่ธานินทร์วางแผนล่อพ่อออกมา…แล้วก็ได้รู้อีกว่าพี่ธานินทร์เป็นพี่น้องคนละแม่ของพวกผมน่ะครับ” เดียร์เสริมต่อโดยที่ชาไม่ต้องส่งสายตามาให้

          ธานินทร์นิ่งมองชาก่อนจะหันไปมองเดียร์ หนุ่มน้อยเพียงแต่ยิ้มหวาน แต่นั่นกลับทำให้ธานินทร์อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจสุดๆ เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นแล้วหัวเราะออกมาแทน

          “ฮะๆ แพ้หมดรูปจริงๆแฮะ” หนุ่มตาตกถอนหายใจ กระนั้นใบหน้ากลับยิ้มราวกับดีใจเสียมากกว่า “เอาเป็นว่าชาคิด แล้วเธอร่วมมือสินะเดียร์”

          วินอาจจะไม่รู้ แต่เดียร์รู้ดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจสาเหตุที่เขายิ้มให้

          “ผมก็แค่อยากช่วยให้คุณชาเลิกเครียดแล้วก็สมหวังในหลายๆอย่างสักทีน่ะครับ” เด็กหนุ่มบอกทั้งที่รู้ว่าธานินทร์ไม่เชื่อที่เขาพูดจริงๆหรอก

          “ตั้งแต่แรกเลยสินะ” พี่ชายคนละแม่หัวเราะในลำคอ “เอาเถอะ ยังไงก็ต้องขอบใจพวกนายมากนะ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงแย่จริงๆนั่นล่ะ”

          “…หมายความว่าเรื่องที่เธอยอมอยู่กับฉันทั้งที่ฉันทำแบบนั้นกับเธอมันก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนด้วยหรือ”

          ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเหือดหายไปทันทีที่ได้ยินเสียงของสิทธิ์ ดวงตากลมเลื่อนมองสิทธิ์ที่นั่งนิ่งและจ้องกลับมาเหมือนกัน เพียงแต่สายตาที่มองมานั้นทำเอาเดียร์รู้สึกเจ็บจริงแบบไม่มีความสุขเลย

          “ที่ฉันคิดว่าเธอชอบฉันมันก็เป็นเรื่องที่ฉันคิดไปเองด้วยใช่ไหม”




_______________________________

รอบนี้ช้าแบบไม่แก้ตัว ;w; พออากาศร้อนแล้วคิดอะไรไม่ค่อยออก ตันๆตึงๆยังไงก็ไม่รู้ แถมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เออีก (ซึ่งก่อนหน้านั้นก็หวัดธรรมดาไปแล้ว) ปีนี้ป่วยบ่อยจริงๆ ;w;

ช่วงนี้เขาว่าไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก ระวังสุขภาพกันด้วยเน้อ คนเขียนเจอค่าหมอจากไข้หวัดใหญ่ไปทีเดียว แข้งอ่อนเลยข่า TT_TT แถมยังโดนเจาะเลือดจนมือเขียวด้วย ฮือๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 54 (15/03/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-03-2015 18:56:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 54 (15/03/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 15-03-2015 20:31:16
โห..ป่วยบ่อยๆแบบนี้ไปทำบุญซักหน่อยก็ดีนะคะ เผื่ออะไรจะทำขึ้น คงไม่ใช่ปีชง ใช่ใหม?
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 54 (15/03/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 15-03-2015 21:58:35
เอาแล้ว เดียร์รีบง้อด่วนๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 55 (29/03/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 29-03-2015 18:52:19
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 55


          “ไม่ใช่นะครับ” เด็กหนุ่มร้องอย่างตื่นตระหนก ความกลัวที่รุมเร้าอยู่ในใจทำเอาน้ำเสียงสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ “ผมอาจจะอยู่กับคุณเพราะแผน…แต่ผมรักคุณจริงๆนะครับ”

          แต่ท่าทางของสิทธิ์ดูจะไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธออกมาแต่อย่างใด กลับกัน ดูจะเสียใจเสียมากกว่า

          “ไม่หรอก…จริงๆมันก็สมควรแล้ว” รอยยิ้มของสิทธิ์นั้นดูเจ็บปวด “ฉันเองก็คิดจะใช้เธอแก้แค้นไอ้วินมันตั้งแต่แรกเหมือนกัน…จะโดนแบบนี้มันก็สมควร…”

          เดียร์อ้าปากคล้ายต้องการจะพูด แต่กลับโดนบางสิ่งจุกไว้ที่คอ แม้จะพยายามมากแค่ไหน แต่คำพูดที่อัดแน่นอยู่ในหัวกลับไม่ยอมออกมาแม้แต่น้อย…ใช่ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ยกเว้นเรื่องเดียว…

          “แต่ผมรักคุณจริงๆนะครับ” เดียร์ได้แต่เอ่ยคำนี้ ไม่อาจหาเหตุผลใดๆออกมาหว่านล้อมอีกฝ่ายได้เลย ทั้งที่นั่นเป็นเรื่องที่ตนถนัดแท้ๆ “ผมรักคุณจริงๆนะ…”

          “ฉันรู้…ที่จริง…ฉันเองก็สมควรจะโดนเธอโกรธเหมือนกัน…เพราะฉันเองก็ใช้เธอเพื่อจะแก้แค้นวิน…” น้ำเสียงของหมียักษ์ฟังดูรู้สึกผิดเต็มทน “แต่…ขอเวลาฉันสักเดี๋ยว…ให้ฉันทำใจ…”

          ก่อนที่สิทธิ์จะได้จากลาหรือเดียร์จะได้รั้ง วินก็เดินเข้ามาแทรกด้วยสีหน้าเหยียดหยามและหงุดหงิดมาก

          “เฮอะ อย่ามาสำออยไปหน่อยเลย เดียร์เองก็เจ็บไม่ต่างจากแกหรอกน่า” หนุ่มแว่นกระแทกเสียงใส่อย่างดูแคลนเต็มทน “ทำไม หรือแค่นี้แกทนไม่ได้แล้ว โธ่เอ๊ย แล้วแต่ไปจะรักกันได้เรอะ ฉันไม่ยอมยกน้องฉันให้คนปวกเปียกหรอกนะโว้ย”

          รอบนี้สิทธิ์ไม่เถียงกลับ แถมยังตีหน้าเศร้าใส่อีก เล่นเอาวินที่กำลังสรรหาคำด่าต่อถึงกับชะงัก

          “โทษทีนะ”

          เจอแบบนี้วินทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยทีเดียว

          เดียร์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อสิทธิ์มองมาด้วยสายตาที่ยังคงเจ็บปวดไม่เปลี่ยน แม้มันอาจจะเป็นการคิดไปเอง แต่เดียร์ก็รู้สึกเหมือนกับอีกฝ่ายเองก็ไม่ต้องการจะเดินจากเขาไปเหมือนกัน แต่เพราะไม่อาจทนกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้นี้ได้ สิทธิ์จึงได้แต่หันหลังให้เดียร์และเดินจากไปโดยไม่มีการเหลียวหลังเลย
         
          “…อะไรวะ…” หนุ่มแว่นได้แต่สบถ ก่อนที่อารมณ์แรงจะดับลงเพราะเห็นใบหน้าของน้องชาย “ไม่เป็นไรใช่ไหม...”

          “เป็นครับ” เด็กหนุ่มตอบตามตรงก่อนจะทรุดลงกับเก้าอี้ ทั้งที่เสียใจมาก แต่ตอนนี้กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักนิด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาได้แต่โกรธตัวเองที่ดันไปยินดีกับความเจ็บปวดนี่น่ะสิ...เสียอย่างเดียวคือเขาไม่ชอบใจเลยที่สิทธิ์เองก็เสียใจเหมือนกันนี่ล่ะ “ผมควรจะทำยังไงดี...”

          วินเม้มปากแน่น ใจหนึ่งอยากจะปลอบให้น้องชายหลุดจากห้วงแห่งความเศร้า แต่พอคิดถึงสิทธิ์แล้ว ไอ้ที่อยากจะปลอบก็ฝ่อลงคอไปหมด

          “ผูกเองก็แก้เองสิครับ” ชาโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงสะใจสุดขีด เล่นเอาวินเผลอถลึงตาใส่ แน่นอนว่าชาไม่สะทกสะท้านสักนิด “เขาก็แค่ขอเวลาทำใจไม่ใช่หรือครับ ถ้ารักจริงก็ตื๊อๆเข้าหน่อยสิ จะได้ชดใช้กับที่คุณทำเขาไว้เสียเยอะไง”

          “แต่ไอ้หอยหลอดนั่นมันก็หลอกเดียร์นะ” หนุ่มแว่นค้าน

          “ก็ทั้งคู่นั่นละครับ ก็ไปจัดการกันเองเถอะ” แน่นอนว่าชารู้อยู่แก่ใจว่างานนี้ใครสมควรโดนที่สุด...ก็ดูเอาเถอะ ขนาดปากว่าเสียใจ หน้ามันกลับแดงระเรื่อเสียอย่างนั้น อยากจะถีบแต่เดี๋ยวก็เข้าทางมันอีก “มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็มีความรับผิดชอบมากพอจะไม่หนีจากสิ่งที่ทำกันหรอก”

          เดียร์ได้แต่ทำหน้านิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะย้อนเสียเจ็บจี๊ดโดนใจขนาดนี้ แต่ด้วยความที่คิดถึงสิทธิ์ เลยพยายามรู้สึกผิดให้มากกว่าสุข

          นั่นสิ...ในเมื่อเรากับเขาเองก็ทั้งใจและรสนิยมตรงกันแล้วนี่...

 
          “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกจะพูดแบบนี้...ไหนเดียร์ว่าเป็นเพื่อนกับแก” หลังจากพาน้องชายเข้าห้องไป วินก็กลับเข้าห้องมาต่อว่าลูกน้องในห้องนอนของตนอย่างอารมณ์เสีย...และอารมณ์เสียยิ่งกว่าเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่สะทกสะท้านต่อคำว่าของตนเลย...หรือเอาจริงๆ ท่าทางจะฟินเสียเหลือเกินจนน่าหมั่นไส้

          “ก็เพราะเป็นเพื่อนยังไงละครับ ถึงพูดแบบนั้น” ท่าทางของชาดูจะปลาบปลื้มกว่าเดิม “เรื่องหลอกคุณสิทธิ์เขาก็ทำไปด้วยความสมัครใจเอง ถ้าคุณเดียร์เขาไม่แสดงความจริงใจให้คุณสิทธิ์ด้วยตัวของเขาเอง แล้วมันจะทำให้คุณสิทธิ์ยอมรับหรือครับ”

          แต่อีกส่วนก็สมน้ำหน้ามันน่ะครับ แกล้งชาวบ้านไว้เยอะ โดนเองซะบ้างเถอะ...ถึงเอาจริงๆท่าทางจะดูมีความสุขกว่าน่ะนะ...

          สีหน้าของวินคัดค้านอย่างชัดเจน แต่ด้วยความที่คิดถึงมานาน บวกกับเบื่อจะพูดเรื่องคนอื่นเต็มทน...และไหนๆก็ไม่มีอะไรจะปิดแล้ว ชาจึงไม่ยอมจะเสียเวลาในตอนนี้แม้แต่นาทีเดียว

          “แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็จบแล้วนะครับ” แน่นอนว่าชาไม่ได้หมายถึงเรื่องเดียร์ “คุณสัญญาอะไรไว้ ผมจำได้ทุกอย่างนะ”
จำได้อย่างเดียวไม่เท่าไหร่ ทำหน้ากระสันใส่นี่รับไม่ได้อย่างแรง...

          “นี่สรุปแล้ว...นายวางแผนไว้ทุกอย่างเรอะ...” ด้วยความที่ยังไม่อยากจะเชื่อนัก เลยอดถามไม่ได้ “ทั้งเรื่องที่คอยห้ามฉันไม่ให้หาเดียร์จนร้องไห้ออกมา...ทั้งเรื่องที่ทำให้ฉันเข้าใจว่านายเป็นพ่อสื่อให้เดียร์จนฉันไล่นายมาที่ชลบุรีนี่...”

          เอาเข้าจริงๆชาก็อยากจะค้านใจจะขาด แต่ลองบอกความจริงไปใครมันจะเชื่อ อีกทั้งนี่ก็เป็นโอกาสดีงามขนาดนี้ เรื่องอะไรจะปล่อยให้เป็นความชอบของคนอื่นง่ายๆกัน

          “เพราะงั้น ห้ามผิดสัญญานะครับ”

          วินปั้นหน้านิ่ง ท่าทางเหมือนคิดไม่ตก ก่อนจะเริ่มออกอาการอีหลักอีเหลื่อ และยิ่งเหงื่อแตกเมื่อเจ้าหมาตรงหน้ามันหลับตาพริ้มเหมือนกำลังรอเซอร์ไพรส์ ทำเอาหนุ่มแว่นกลัดกลุ้ม...แน่ล่ะ ถ้าเป็นคนธรรมดาเขาก็ไม่คิดมากหรอก แต่ไอ้บ้านี่มันดันเป็นมาโซฯนี่สิ

          ...

          ใช่ว่าชาจะไม่ชอบ เขาเองก็อยากได้อยู่ เพียงแต่ไม่คิดว่าวินจะจูบก่อนเลย ทั้งที่กะว่าอย่างน้อยน่าจะโดนเล่นงานอะไรบ้าง แต่จะให้ห้ามก็เสียดาย เลยได้แต่ตอบรับจูบอันอ่อนโยนนี้...ซึ่งมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้รับจากคนที่บอกว่าจะลงโทษตน
โป๊ก!

          ...ถ้าถามว่าเจ็บไหม สำหรับชาแล้วมันก็ใช่ เพียงแต่ออกจะสุขสมเสียมากกว่าจนเจ็บไม่ออก ในขณะที่คนโขกหัวจับหน้าผากแน่น ท่าทางทรมานเหมือนจะตายเสียให้ได้

          “บ้าเอ๊ย ชอบเข้าไปได้ยังไงวะ” วินว่าก่อนจะกลับมาสวมแว่นดังเดิม “นี่แกไม่เจ็บเลยเรอะ”

          “...ก็นิดหน่อย...ขออีกทีได้ไหมล่ะครับ” ท่าทางจะยังอึ้งไม่หาย แต่เพราะยิ้มออกมา เลยทำให้วินไม่ลังเลกับคำขอนั้น เพียงแต่รอบนี้ใช้หมัดแทนหน้าผากตัวเอง “ไม่เจ็บเลยครับ”

          จากที่จะใส่อีกหมัด เจอรอยยิ้มที่มีความสุขเสียเหลือเกินนั่น...ถึงกับหมดแรง

          “ให้ตาย” วินถอนใจก่อนจะล้มตัวลงบนโซฟา ดวงตาคมมองเจ้าคนที่โดนโขกซึ่งยังคงยิ้มร่าและไม่ยอมนั่ง “บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ได้เป็นพวกซาดิสม์นะโว้ย แค่ทำเพราะเห็นแกชอบกับระบายอารมณ์ตัวเองก็เท่านั้น”

          “แค่นั้นก็เกินพอแล้วครับ” แม้จะแอบเสียดายนิดๆ แต่ชาก็ยังตอบกลับทั้งรอยยิ้มได้ “ผมเองก็ไม่ได้มาโซฯขนาดที่ว่าตอนมีเซ็กซ์แล้วยังต้องโดนทำร้ายหรอกนะ”

          วินถึงกับสำลัก

          “แต่ถ้านิดๆหน่อยๆเผื่อคุณวินอยากลองผมก็ยินดีนะครับ หรือจะเล่นแบบขั้นโซ่แส้กุญแจมือผมก็โอเค” น้ำเสียงร่าเริงแต่เรื่องที่พ่นออกมาไม่น่าฟังเลยสักนิด “ถ้าเป็นคุณ ต่อให้แค่แบบธรรมดาหรือไม่ได้มีอะไรกัน แค่อยู่กับคุณผมก็มีความสุขแล้วล่ะครับ”

          “...เอ่อ...เหรอ” หนุ่มแว่นไม่แน่ใจว่าจะรับมุกยังไงดีเลยได้แต่ตอบรับเสียงแผ่ว แต่พอเห็นชาทำหน้าเหมือนจะกังวล ชายหนุ่มก็โบกมือ “ฉันแค่ยังตามความคิดนายไม่ค่อยจะทัน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก...”

          พออยู่ๆโดนจ้องหน้ากันตรงๆ จากที่กำลังมีความสุขก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อตอนอยู่ใต้หอพักเมื่อคราวก่อนอีก เล่นเอาอายจนต้องบ่ายหน้าหนีเลยทีเดียว

          “เออ ถ้าแบบนี้ค่อยน่าแกล้งหน่อย” วินอดเหยียดยิ้มออกมาไม่ได้ที่อยู่ๆเจ้าบ้าตรงหน้าเพิ่งมาเขินเอากับเรื่องที่ไม่น่าจะเขิน “ถ้าลองทำตัวแบบนี้ ฉันอาจจะยอมแกล้งให้ทั้งวันก็ได้”

          ใจจริงอยากจะยิ้มรับอยู่หรอก เสียแต่เขินจนยิ้มไม่ออกนี่ละ

          “ไหนว่าไม่ได้เป็นพวกซาดิสม์ไงละครับ” เมื่อโดนจ้องไม่เลิก โดยที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ชาก็ได้แต่ท้วงหวังจะให้อีกฝ่ายเลิกมองเสียที...ถึงจะแอบรู้สึกเสียดายอยู่ก็ตาม

          “ก็ไม่ได้เป็น” เสียงทุ้มตอบอย่างฉะฉาน “แต่ถ้าไม่ชอบ จะยอมให้ฉันโอ๋นายไหมล่ะ เหมือนอย่างคราวก่อนไง ท่าทางจะโดนใจมากกว่านี่...หืม?...ที่รักจ๊ะ”

          ไม่ต้องเสียเวลาเลือกด้วยซ้ำ

          “คุณนี่มันขี้โกงชะมัด” จากที่กำลังเขินจนเกือบละลาย เจอคำสรรพนามหวานบาดใจนั่น เล่นเอากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแทบไม่ทัน

          “ฉันน่ะยังไงก็ได้อยู่แล้ว” วินยักไหล่ “...แต่ก่อนหน้านั้นต้องจัดการกับนายเรื่องที่ด่าฉันก่อน...แถมยังห้ามให้ฉันเบี้ยวสัญญาอีกนี่นะ...”

          ทีแรกไม่ทันคิดอะไรแต่พออีกฝ่ายลากเสียงยาวๆแบบนี้ ชาชักเริ่มหวั่นแล้วว่าบทลงโทษที่ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เขารอคอย

          “ขึ้นชื่อว่าลงโทษ มันก็ต้องไม่โสภากับคนโดนสิ ใช่ไหมคุณชา” น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มนวลจนผิดหูที่เรียกชื่อของตนทำเอาชาขนลุกไปหมด ขาทั้งสองเผลอถอยหนีคนตรงหน้า แต่มีหรือที่วินจะยอม “อ้าว มากลัวอะไรตอนนี้กันละ ฉันไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก มันไม่ใช่นิสัยฉัน นายก็รู้”

          โอ๊ย ป่านนี้แล้วอมพระมากี่องค์ผมก็ไม่เชื่อหรอก!!! ผมพิสูจน์มาสิบกว่าปีแล้ว ให้ตายก็ไม่เชื่อ...แล้วไหนบอกว่าไม่ได้เป็นพวกซาดิสม์ไงล่ะครับ แต่นี่เล่นเอามาโซฯอย่างผมผวาเลยนะ!!!

          “ห้ามหลบนะ” พอเห็นคนอายุมากกว่าจะหลบตาก็สั่งเสียงเข้ม “จะหลบทำไมล่ะ…หรือนายยังมีความลับอะไรกับฉันกัน หืม”

          ไม่ว่าเปล่ามียื่นมือมาแนบหน้าทำเหมือนกับกำลังทะนุถนอม เล่นเอาชาถึงกับขนลุก แต่จะหนีก็ไม่ได้เพราะโดนอีกฝ่ายโอบคอเอาไว้อยู่ ช่างเป็นการรั้งที่ไร้ความรุนแรงสิ้นดี จนชาได้แต่ยืนแข็งเป็นหินอยู่เช่นนั้น

          “ผมเขินนี่ครับ” เมื่อไม่อาจทนไหว ชายหนุ่มจึงสารภาพออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ทำท่าเหมือนหายใจไม่ทัน หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นรัวๆจนทำเอาเจ้าของจะหน้ามืดอยู่รอมร่อแล้ว “ผมอาจจะชอบความเจ็บปวด แต่ผมไม่ได้หน้าด้านนะครับ…”

          ตอบเสร็จก็กลับมาความดันขึ้นต่อเพราะพ่อแว่นแกจ้องตาไม่กะพริบ แถมยังหน้านิ่งจนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่เลยสักนิด ทำเอาชาเหมือนจะเป็นโรคหัวใจขึ้นมาจริงๆจังๆแล้ว

          “หรือไม่อยากให้ฉันมองนายกันละ”

          คนฟังเม้มปากแน่น…เขาอยากให้วินมองมาที่เขาคนเดียวก็จริง แต่ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย!!

          “คุณนี่มันขี้โกงที่สุด ผมจะไปพูดแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ” ท้ายที่สุดชาก็ได้แต่เอ่ยคำนี้โดยที่ไม่อาจหนีสายตาคมที่หลงมานมนานได้

          วินเพียงแต่ยักคิ้วให้ก่อนจะถอดแว่นของตัวเองออก ยิ่งทำให้ชารู้สึกร้อนไปทั้งตัวที่โดนมองโดยไม่ผ่านแว่นแบบนี้

          “อย่าหลบตา” วินสั่งอีกครั้งเมื่อชาพยายามจะบ่ายหน้าหนี ในตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกัน

          “คะ…คุณทำเป็นหรือครับ…” ด้วยความที่อายจนหัวหมุน เลยหลุดปากถามออกไปแบบไม่ทันได้คิด และนั่นก็ทำให้วินเผลอบีบหน้าอีกฝ่ายแบบไม่ทันคิดเช่นกัน

          “จะดูถูกฉันก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ” วินกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะเลื่อนไปจับไหล่ชา “เป็นไม่เป็น ก็พิสูจน์เอาสิ”

          ตอนนี้จะเข้าทางหรือไม่ วินก็ไม่สนใจแล้ว ชายหนุ่มดันลูกน้องไปทางเตียงด้วยความหงุดหงิด ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับโซฟาที่เขานั่งก่อนหน้าพอดี

          “เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิครับ” หลังจากโดนรุกล้ำจนเกือบจะถึงหน้าประตูเมือง ชาก็ร้องห้ามลั่น จนวินเริ่มหงุดหงิด “ผมไม่ได้จะไม่ทำ…แต่…มันจะดีหรือครับ…คือคุณธานินทร์กับคุณศิวะก็อยู่ข้างล่างนะครับ”

          วินเลิกคิ้วแล้วคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

          “ไม่เป็นไรหรอก กำแพงมันหนา”

          พูดจบก็ปิดปากอีกฝ่ายอย่างรำคาญปนกลัวว่าจะโดนขัดอีก และทั้งที่วินก็ไม่ได้จูบอะไรรุนแรง แต่ชากลับส่งเสียงประท้วงในลำคอเหมือนจะขาดใจ แต่ทั้งอย่างนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนฝืนหนีแต่อย่างใด ก็ยอมให้เขาจูบอย่างอ่อนโยนแต่โดยดี

          แล้วมันก็ชวนให้นึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก จนเผลออ้อยอิ่งนิ่งมองเจ้าลูกน้องที่หลับตาหน้าแดงเป็นลูกตำลึงตรงหน้าเสียเพลิน…จากทีกำลังลังเลว่าจะต้องรุนแรงสนองความต้องการอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมบ้าง กลายเป็นว่าชักอยากจะแกล้งให้ชักตายไปเลยเสียมากกว่า

          ชาถึงกับสั่นระริกกับรสจูบที่แสนหวาน ยิ่งปรือตามาเห็นว่ากำลังโดนจ้อง เขาก็อยากจะมุดเตียงหนีให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริง แต่เพราะทำไม่ได้จึงทำแค่เพียงหลับตาหนี…ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะทำแบบนั้นหรือเปล่า เลยยิ่งโดนประโคมความหวานและอ่อนโยนเสียจนแทบสำลัก

          “ไง พอจะไหวไหมครับ” เสียงทุ้มกระซิบถามอย่างแผ่วเบาข้างหู แต่ทำเอาคนฟังทรมานแทบขาดใจในหลายๆความหมาย “หรือถ้ารุนแรงไป ผมจะได้ทำให้อ่อนโยนกว่านี้”

          ไม่ซาดิสม์เล้ย พ่อคุณ!

          วินยกยิ้มเมื่อเห็นชาเพียงแต่ส่งสายตาเจ็บใจมาให้หลังจากเขาผละออกมา นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มชักอยากแกล้งเล่นมากว่าเดิม แม้อันที่จริงการเห็นผู้ชายที่รูปร่างไม่ต่างจากตนมาแสดงความอ่อนแอให้เห็นแบบนี้จะทำให้วินรู้สึกสมเพชเสียมากกว่า…แต่ในตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารักน่าแกล้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหลือเกิน…หรือไม่ก็คงอยากแก้แค้นคืนมานานแล้วกระมัง…ก็มันเล่นกวนประสาทใส่มาตั้งหลายปี เพิ่งจะได้เอาคืนแบบสะใจจริงๆจังๆก็คราวนี้ล่ะ

          เพราะรักน่ะหรือ

          เขาอดหัวเราะตัวเองไม่ได้ ถึงจะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว เขาก็ไม่ใส่ใจจะไปสงสัยถึงช่วงเวลา เพราะสิ่งที่สำคัญกว่ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว…และเขาเองก็เริ่มจะอดใจไม่ไหวแล้วด้วย

          “อ๊ะ…เดี๋ยวสิครับ…” ชาร้องเสียงหลงเมื่อวินทำท่าจะถอดเสื้อของตน “ผมว่าผมไปอาบ…น้ำก่อนดีไหม…วะ…วันนี้ทั้งวันเราก็ไปบุกน้ำลุยไฟมาตั้งเยอะ…ผมว่าถ้าทำเลยมันคงจะไม่ดี…”

          แต่สีหน้าของวินคัดค้านอย่างชัดเจน

          “โอ๊ย อยู่กันมาตั้งนาน ได้กลิ่นจนชินแล้วล่ะน่า” วินว่าโดยที่มือก็ยังปลดเสื้อเชิ้ตสีเทาลายสก็อตของชาไม่หยุดมือ “หรือนายรังเกียจฉันกันล่ะ”

          ใช่ก็บ้าแล้ว

          เมื่อชาเอาแต่ค้าง วินก็เพียงแต่ยักไหล่และใช้มือทาบลงบนแผงอกที่หนาไม่ต่างจากตน…ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่พอเห็นชาทำท่าเหมือนจะระเบิด เขาก็อดลูบไม่ได้ แน่นอนว่าอย่างอ่อนโยนที่สุด…แล้วดูสิ ทั้งที่ไม่ได้รุนแรงแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหมือนจะทนไม่ได้เสียแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าความรู้สึกไว หรือเพราะมันเป็นของแสลงที่ไม่คุ้นเคยกันแน่นะ

          “อะไร ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ” วินเยาะ เมื่อเห็นชาพร้อมจะวิ่งเข้าเส้นชัยเสียแล้ว “จะทิ้งกันแล้วหรือ ไหนว่ารักกันไง”

          “…มันเกี่ยวที่ไหนกันละครับ” ชาย้อนเสียงขุ่น ก็ยังดีที่วินไม่แกล้งเขาด้วยห้ามเอามือปิดปากตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นมีหวังเสียงที่ไม่อยากจะให้วินฟังคงหลุดออกมาได้หนึ่งซิงเกิ้ลแล้ว “ผมไม่ได้ปวกเปียกขนาดแค่ครั้งสองครั้งแล้วจะหมอบนะครับ”

          ยังยั่วไม่เลิก

          “โฮ่ พูดแบบนี้จะบอกว่าให้ทำกี่รอบก็ได้สินะ” วินถามเสียงสูง ยิ่งเห็นชาท้ากลับด้วยสายตา ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้าง “ดี แต่ตอนนี้ฉันไม่อนุญาตให้นายเสร็จก่อนหรอกนะ”

          ถึงกับหน้าเบี้ยวทันควัน “แล้วจะให้ผมยังไงล่ะครับ”

          “จะไปรู้เรอะ ก็จับไว้สิ อย่าให้มันออกมา” วินบอกติดตลก แล้วจับมือชาลงมาหาภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ “เอ้า จับไว้ หลุดออกมานี่ฉันจะพูดกับนายด้วยคำพูดหวานๆไปสองอาทิตย์เลย”

          หนาวไปถึงกระดูกเลยทีเดียว

          เห็นคนอายุมากกว่าพยายามห้ามอารมณ์ที่จะพุ่งออกมาอยู่รอมร่ออย่างเอาเป็นเอาตาย วินก็อดยิ้มไม่ได้ และถึงจะสนุกก็ไม่อยากจะแกล้งนานเพราะสงสารเหมือนกัน ยังไงเสียจากนี้ไปก็มีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะได้แกล้งอยู่แล้ว

          ร่างตรงหน้าสั่นระริกเมื่อวินค่อยๆรุกล้ำเข้าไปหา มือทั้งสองก็พยายามประคองอารมณ์ของตัวเองสุดชีวิต ใบหน้าที่บิดเบี้ยวคล้ายกับทรมานสะบัดไปมาเหมือนกำลังสู้กับบางสิ่งบางอย่างสุดตัว

          “จะว่าไปก็ง่ายกว่าที่คิดนะ” วินหยอกคนที่เอาแต่หลับตาปี๋เพราะหนีสายตาของตน “หรือจริงๆเคยไปทำแบบนี้กับคนอื่นมาก่อน”
          “เปล่าสักหน่อยครับ…” เสียงทุ้มที่ตอบกลับแหบพร่า

          “ไม่จริงอะ ฉันว่าปกติมันไม่น่าจะเข้าง่ายขนาดนี้นะ” วินยังคงเซ้าซี้ไม่เลิก เห็นคนตรงหน้าจะบ้าตายเพราะคำถามตัวเองแล้วสนุกอย่างบอกไม่ถูก “เคยไปทำกับคนอื่นก็บอกมาสิ ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

          ดวงตาเรียวปรือมองทั้งที่ออกอาการจะระเบิดทุกขณะที่โดนจ้องตา ท้ายที่สุดก็ได้แต่เบี่ยงหน้าไปทางอื่น

          “ก็ทำเองนั่นล่ะครับ…” ถ้าหนีไปได้เสียเดี๋ยวนี้ก็คงดี เพียงแต่ตัวเองก็มั่นใจว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่รั้ง เขาก็ไม่หนีหรอก “ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสแบบนี้…เลยพยายามหาอะไรที่มันใหญ่พอๆกับของคุณมาใช้…”

          วินค้างนิ่ง…ไม่แน่ใจว่ากำลังดีใจหรือแปลกใจที่เจ้าหมานี่มันแอบมารู้ไซส์ตัวเองได้ยังไง แต่ยังไงเสียในเมื่อชมกันขนาดนี้ ใครจะไม่ดีใจบ้าง

          “อ๊ะ…ดะ…เดี๋ยวสิครับ…” ก่อนที่วินจะดำเนินการไปมากกว่านี้ ชาก็ร้องห้ามเสียงเครือ “ถ้าคุณรีบเข้ามาขนาดนี้ ผมทนต่อไปไม่ไหวแน่ๆ”
          “หรือจ๊ะที่รัก”

          จากที่กำลังโดนคลื่นตีเขื่อนเกือบแตก ถึงกับอารมณ์หดลงไปเกือบครึ่ง

          “สงสารหรอกนะ ถึงช่วย” แม้จะฟังเหมือนดูถูก แต่เสียงทุ้มแสนหวานที่กระซิบดังอยู่ข้างหู ทำให้ชาไม่รู้สึกดีอย่างที่ควร ซึ่งนั่นก็ถือว่าดี เพราะไม่อย่างนั้น ภูเขาไฟคงระเบิดไปแล้วแน่ๆ “อย่าลืมนะว่าถ้าทนไม่ได้จะเจออะไร”

          “...คุณจะให้ผมตายหรือไงครับ...อึก...” ชาประท้วงได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดไปเพราะเจ้าคนขี้แกล้งรุกเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัว           “คุณ!...”

          วินเพียงแต่ยิ้มให้อย่างไม่แยแส แล้วจัดการโดยไม่สนใจคำทักท้วงนั่น จนชาได้แต่เก็บคำพูดลงคอก่อนจะพยายามห้ามความต้องการของตัวเองสุดความสามารถ ซึ่งคำขู่ของวินก่อนหน้าก็ช่วยระงับอารมณ์ได้อย่างดี...ถ้าต้องเจอแบบนั้นไปสองอาทิตย์ เขาต้องแสลงใจตายก่อนแน่ ขนาดก่อนหน้าโดนแค่สองสามนาทียังสยองเกือบตายเลย

          คนอายุน้อยกว่ามองอีกฝ่ายที่หน้าแดงก่ำ ท่าทางของชาทรมานเหมือนจะตายเสียให้ได้ และไม่ได้ใส่ใจจะมองตนเลย เพราะมัวแต่ไปพะวงกับเบื้องล่างที่ไม่ยอมฟังคำสั่งเจ้าของและพร้อมจะออกมาได้ทุกขณะ จนถึงกับต้องใช้มือบีบไว้เสียแน่น ชวนให้สงสารแต่ไม่รู้ทำไมวินกลับหุบยิ้มไม่ลง ยิ่งเห็นสายตาเจ็บแค้นเสียเต็มประดาที่แอบเหลือบมองตนเป็นระยะ กลับทำให้นึกเอ็นดูกว่าเดิมอีก

          “อ๊ะ...” ชา เผลอร้องเมื่ออยู่ๆมีอีกมือมาร่วมจับเบื้องล่างของตนจนชายหนุ่มเผลอเงยหน้า มอง แต่เพียงไม่นานก็ต้องหนีกลับด้วยความเขินเพราะโดนสายตาคมจ้องซะเหมือนจะเอาให้ทะลุร่าง “คุณ...”

          “พอได้แล้ว” เสียงทุ้มบอกอย่างแผ่วเบาและติดสั่น ใบหน้าชื้นเหงื่อของวินโน้มเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงหายใจอย่างชัดเจน “ฉันใกล้แล้ว...”

          “ไม่นะครับ!”

          เพียงแค่ดึงมือที่ขวางความสุขออก เขื่อนก็แตกทันที แต่วินก็ไม่ได้หยุดเพราะไม่อยากให้ไฟอารมณ์ของตัวเองดับมอดเอาดื้อๆ จึงใส่ต่ออย่างไม่สนใจเสียงร้องครวญครางเพื่อให้มันจบเสียก่อน

          “อึก...” เสียงครางแผ่วลงเมื่ออีกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาเรียวที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำตามองคนตรงหน้าที่หอบหายใจรุนแรง แต่เพียงไม่นานก็หลบหนีเมื่อวินมองกลับมา

          ทีแรกวินว่าจะแซวสักหน่อย แต่พอได้เห็นใบหน้ากลัวความผิดของชาที่ท่าทางจะกลัวจัดจนถึงกับสั่น วินก็เลือกที่จะหัวเราะออกมาแทน
“ถามจริง กลัวโดนโอ๋ขนาดนั้นเลยเหรอ...ไหนว่าต่อให้ฉันทำดีกับนายตลอดไปก็ยอมไง” เขาถามโดยที่ยังอยู่ในท่าเดิม ไม่คิดจะถอนตัวออกมาแต่อย่างใด ทั้งยังขยับเป็นพักๆเพื่อกระตุ้นอารมณ์และเร่งให้อีกฝ่ายตอบคำถามตน

          ชาเพียงแต่บึ้งหน้าใส่อย่างคนจนหนทาง ยิ่งโดนลูบหัวเสียเบามืออีก ยิ่งทำให้อยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปให้รู้แล้วรู้รอดที่ดันเผลอพูดเรื่องบ้าๆพรรค์นั้นให้อีกฝ่ายได้ยิน

          “รอบนี้ไม่นับ ไม่ต้องห่วง” เมื่อเห็นชาทำท่าจะร้องไห้วินก็ปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็น...เพียงแต่ท่าทางจะอ่อนโยนไปนิด ถึงได้สั่นไม่เลิก เลยต้องใช้ไม้แข็งปลอบแทน...ซึ่งหยุดทันทีจนน่าโมโห

          “มะ...ไม่นับ...จริงๆนะครับ...” หลังจากสะดุ้งที่โดนงับซอกคอเข้าเต็มเขี้ยว ชาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเพราะยังไม่เชื่อใจเท่าใดนัก

          “เออ ไม่นับ” วินแอบยิ้ม...ก็ใครใช้ให้น่าเอ็นดูเสียขนาดนี้กัน “เดี๋ยวเป็นอะไรไปฉันก็เหงามือแย่สิ ไม่มีใครเป็นกระสอบทรายรองมือรองเท้าฉันได้ดีเท่านายแล้ว”

          และคนพูดก็ไม่แปลกใจสักนิดที่อีกฝ่ายดูจะปลื้มกับประโยคเมื่อครู่เสียเหลือเกิน


____________________________________

โห..ป่วยบ่อยๆแบบนี้ไปทำบุญซักหน่อยก็ดีนะคะ เผื่ออะไรจะทำขึ้น คงไม่ใช่ปีชง ใช่ใหม?
ของเรานี่ชงปีหน้างับ แต่เหมือนแม่บอกว่าเป็นที่ราศีน่ะงับ เห็นว่าหกเดือนแรกของปีนี้จะโชคร้าย...เราก็ไม่คิดอะไรนะ แต่เริ่มมาก็หวัด เว้น หวัด ภูมิแพ้ขึ้นบ้าง ไข้หวัดใหญ่ตามมา แถมยังต่อด้วยโรคบางอย่างที่ชื่อโรคชวนคิดสองแค่สามง่ามแต่มันเกิดเพราะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ (ฮา) ยัง...ยังไม่พอ ยังเป็นโรคปากนกกระจอกอีก =_= ยั้งงงง ยังมีอีกกก อาทิตย์ก่อน เดินๆ อยู่ๆก็ตกร่องพื้นตื้นๆ ขาแพลงอีก...เจอแบบรวมมิตรมาก ฮาๆ ;w;

//อิดิทเว้นวรรค
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 55 (29/03/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 29-03-2015 22:04:19
กร๊ดๆๆๆๆๆๆๆ ไม่คิดว่าจะเจออีเว้นท์นี้เลยค่ะ ชากับวิน วินกับชา อร๊ายย.ย.ย.
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 56 (11/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 11-04-2015 21:55:56
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 56

          “เอาหน่อยไหม”

          ธานินทร์เงยหน้ามองกระป๋องเบียร์ที่เกือบจะโดนหน้าของตน ก่อนจะรับมาอย่างทุลักทุเล เพราะมือยังระบมไม่หาย

          “โอย เจ็บชะมัด” หลังจากจิบไปได้นิดหน่อย หนุ่มตาตกก็โอดโอยพลางวางกระป๋องเบียร์ไว้บนโต๊ะข้างโซฟายาวที่ตนนั่งอยู่ “เล่นซะหน้าปูดหมดเลย ไอ้แก่นั่น”

          “ก็ยังดีที่แค่เจ็บ นอกจากซี่โครงร้าวทุกอย่างก็โอเคนี่” ศิวะพูดเสียงเรียบก่อนจะลงมานั่งบนโซฟาด้านข้าง และซดเบียร์จนหมดกระป๋อง “นายคิดว่าคุณมาริสาจะจัดการเขายังไง”

          ธานินทร์เลิกคิ้วแล้วเหลือบมองอีกฝ่าย “คงแค่ปางตายมั้ง ไม่น่าจะถึงขนาดฆ่าแกงกันหรอก เกลียดยังไงก็เป็นสามีมาก่อนนี่นา...มั้ง...”

          แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วตัวเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก ว่ากันตามตรงมาริสาเองก็โหดไม่เบาเหมือนกันนั่นล่ะ ไม่อย่างนั้นเสือสุดโหดที่เจ้าชู้ไข่ทิ้งไปทั่วอย่างอาเขตคงไม่กลัวถึงขนาดหนีไปนอกประเทศแบบให้ตามตัวไม่เจอเป็นหลายปีแบบนี้หรอก

          ใบหน้าที่มักนิ่งแสดงความอาฆาตออกมาอย่างไม่ปกปิด ซึ่งธานินทร์ก็ไม่แปลกใจนัก

          “ไม่เอาน่าพี่ ต่อให้ไอ้แก่นั่นตายจริง ไอ้ที่พี่หวังมันออกจะ...เอ่อ...ยากอยู่นะ” เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะปลอบต่อดีไหม เพราะยิ่งพูด เหมือนเป้าหมายระบายอารมณ์จะตกลงมาที่ตนแทน “ทะ...ที่สำคัญ พี่ไม่เคยบอก แล้วคุณมาริสาจะรู้หรือ...”

          “ให้ตาแก่นั่นมันตายก่อนแล้วฉันถึงจะบอก” ว่าแล้วก็เปิดอีกกระป๋องที่พกแถมมาซดโฮก “ถ้าต้องโดนปฏิเสธทั้งที่ก้างอยู่ มันจะไปมีความหวังได้ยังไงล่ะ”

          ธานินทร์เพียงแต่ยิ้มเจื่อน...ถึงจะไม่เข้าใจความชอบของอีกฝ่าย แต่ลองกล้าไปเป็นผู้ช่วยให้ทั้งที่งานโหดหินขนาดนั้น แถมมาริสาเองก็ยังจุกจิกจู้จี้และเข้มงวดจะตาย ถ้าไม่ชอบจริงคงทนอยู่มาเป็นสิบปีไม่ได้หรอก

          “ว่าแต่นายเถอะ ฝั่งเราน่ะเรียบร้อย แต่อีกฝั่งที่นายไปติดต่อด้วยล่ะ” ศิวะเปลี่ยนเรื่องคุยท่าทางยังหงุดหงิดไม่หาย “ได้ข่าวว่าทางนั้นหวังฆ่าคุณสิทธิ์จริงๆจังๆเลยนี่ ไปร่วมมือกับคนแบบนั้นมันจะดีหรือ”

          “ก็กลัวอยู่นิดหน่อยนะ” ธานินทร์ว่า “แต่...ยังไงดีล่ะ...ไอ้ผลประโยชน์มันก็เรื่องนึง แต่ดูเหมือนเป้าหมายจะไม่ใช่คุณสิทธิ์ยังไงก็ไม่รู้ ตอนช่วงที่คุณวินรู้เรื่องที่คุณสิทธิ์คบกับเดียร์ ก็ไม่เห็นจะสนใจอะไรเลยนะ”

          “ขนาดว่าเล่นงานจนแทบแย่เมื่อคราวนั้นน่ะนะ?”

          “จะไปรู้หรือ...เอาน่า ยังไงเขาก็ไม่ยุ่งกับคุณวินหรอก หรือต่อให้ทำจริง ฉันก็ไม่ยอมอยู่แล้ว...”

          พูดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆแทรกเข้ามาเป็นระยะ พอฟังดูให้ดีๆ ทั้งสองก็ถึงบางอ้อและศิวะก็รีบเปิดทีวีเพื่อกลบเสียงตึงตังนั่น

          “ฮะๆ ให้ตายเถอะ ยังทำอะไรไม่เกรงใจชาวบ้านเหมือนเคย” ธานินทร์หัวเราะเสียงแห้ง ไม่อยากจะนึกถึงต้นเสียงเลยสักนิด

          “ขนาดตอนที่คุณมาริสาอยู่ห้องตรงข้าม เจ้าวินมันยังกล้าหิ้วสาวมานอนในห้องตัวเองเลย” ศิวะบอกอย่างเบื่อหน่ายไม่แพ้กัน “อยากรู้ว่าวินจะบอกคุณมาริสายังไงมากกว่า”

          ธานินทร์ถึงกับหัวเราะพรืด

          “ไม่เป็นไรหรอกน่า หมอนั่นมันฉลาดจะตาย...ถึงจะเชื่อคนง่ายก็เถอะ...ฮะๆ” หนุ่มตาตกหัวเราะไม่เลิก “ขนาดผมยังไม่รู้เลยว่าเขารู้เรื่องที่ผมหรือพี่เป็นพี่น้องต่างแม่กับเขา กับคุณมาริสาก็คงปิดไม่ยากหรอกน่า”

          “ก็จริงของนาย” อีกฝ่ายเห็นด้วย ท่าทางสงบลงจนธานินทร์ใจชื้น

          “แต่ที่ทำให้ผมอยากช็อกกว่าก็เดียร์นั่นล่ะ” ธานินทร์หาเรื่องคุย เพราะเงียบเมื่อไหร่ก็จะได้ยินเสียงตึงตังแว่วเข้าหูไม่เลิก “เอาจริงๆนะ...ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเดียร์จะเป็นคนวางแผนตลบหลังทั้งหมดนี่ ให้ตายสิ เห็นหน้าตาท่าทางแบบนั้น ร้ายชะมัด”

          “แล้วถ้าฉันไม่รีบบอกเดียร์เรื่องแผนนาย ป่านนี้นายอาจจะโดนฝังอยู่แถวๆโกดังไปแล้วล่ะ”

          “อ้าว พี่ก็รู้ว่าเดียร์มันวางแผนซ้อนผมเหรอ ทำไมไม่บอกกันเล่า”

          “ก็มันน่าสนุกดี” พูดทั้งที่หน้านิ่งแบบนั้นทำเอาคนฟังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างที่พูด จริงหรือเปล่า “เห็นแกหมดท่าแบบนี้แล้วขำดีนะ”

          พูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมาแม้แต่นิดเดียว

          “เอ้อ เอาเถอะ ยังไงผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่ต้องการแล้วล่ะนะ” ธานินทร์เอยพลางเงยหน้ามองเพดาน...มันจะทำกันถึงเมื่อไหร่นะ ... “กลายเป็นว่าน้องสาวเรานี่ร้ายสุดเลยสินะ”

          และศิวะก็เงียบไม่ยอมแก้คำผิดในประโยคของธานินทร์เลย

 

          ดรกลืนน้ำลายมองประตูห้องตรงหน้าด้วยอาการกลัดกลุ้มปนหนักใจกับการกระทำและ ความคิดของตน แม้รู้สึกจะอยากเดินลงไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ขากลับก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ครั้นจะเคาะประตู จิตใจส่วนหนึ่งก็คอยห้ามและกรอกความคิดที่ว่าตนเคยเกลียดเดียร์แค่ไหนจนหนักหัว แต่ทั้งอย่างนั้นกลับไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายเอาไว้ลำพังได้

          “ไม่ๆ...เรา ไม่ได้คิดแบบนั้น” หนุ่มผิวเข้มพยายามปลอบตัวเอง “ที่เราทำเราไม่ได้เป็นห่วง...ใช่ๆ...ถ้าหมอนั่นไปได้ด้วยดีกับคุณสิทธิ์ คุณวินก็จะได้ไม่ต้องมีเห็บมาเกาะอีก...ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย...”

          “พี่ดรครับ”

          ถึงกับกระโดดจนเกือบจนเพดาน

          “มะ...มาไม่ให้สุ้มให้เสียงทำไมล่ะเฮ้ย” ดรโวยวายกลบเกลื่อน แต่หน้าแดงเสียชัดเจน

          “เอ่อ...ผมได้ยินเสียงพี่อยู่หน้าประตู เลยออกมาดู” เดียร์บอกอย่างไม่แน่ใจนัก “พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

          ดรเม้มปากแน่น พยายามท่องนโมอยู่หลายรอบเพื่อที่จะได้ทำใจพูดโดยไม่แสดงอาการโมโหใส่...โมโหจริงๆนะ!!

          “เห็นนายเงียบๆฉันเลยเป็นห่วง...ถ้าเกิดแกเลิกกับคุณสิทธิ์ฉันก็แย่สิ ฉันล่ะอยากให้แกไปไกลๆจากคุณวินจะตาย” แล้วไม่รู้ทำไมพูดเองแล้วมันจี๊ดใจแปลกๆ

          สีหน้าของคนตัวเล็กกว่าดูนิ่งเสียจนเดาทางไม่ถูก แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมา ทำเอาสมองดรหยุดทำงานไปชั่วคราว

          “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เป็นห่วงคนอย่างผม...”

          และทั้งที่สมองหยุดทำงาน แต่ไม่รู้ทำไมมือเจ้ากรรมกลับดึงแขนอีกฝ่ายเข้ามากอดหมับเสียอย่างนั้น อย่าว่าแต่เดียร์เลย แม้แต่เจ้าตัวยังตกใจและงงสุดขีดกับการกระทำของตัวเองเลย

          “เอ่อ...ขอโทษ” ดรรีบผละออกมาอย่างลนลาน ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี “เห็นนายเป็นแบบนี้ ฉันก็เลยเผลอ...บ้าเอ๊ย อย่ามาหลอกใช้ความใจดีของฉันนะเฟ้ย ฉันไม่หลงกลหรอก”

          มีหรือเด็กหนุ่มจะเชื่อเหตุผลกับท่าทางเมาๆพรรค์นั้น

          “งั้นหรือครับ” ซึ่งก็ได้แต่ตามน้ำไปเพราะไม่อยากให้ไก่ตื่น ที่สำคัญคือเดียร์เองก็ไม่มีอารมณ์จะแกล้งเท่าใดนัก และอยากจะให้เรื่องนี้มันจบก่อนจะได้เริ่มด้วย “ขอบคุณนะครับ...ทำเอาผมนึกถึงคุณสิทธิ์เลย...”

          จากที่หน้ากำลังแดงก็ซีดเป็นกระดาษเชียว

          “พี่ดรว่าผมจะไปง้อคุณสิทธิ์ยังไงดีครับ” หลังจากปล่อยหมัดแย้บ ก็ต่อด้วยฮุคซ้ายฮุคขวาเข้าลิ้นปี่ “ผมไม่อยากจะเสียเขาไปเลย เขาคงเป็นคนเดียวที่ผมจะรักสุดหัวใจ...ไม่มีใครดีเท่าเขาอีกแล้ว”

          ตอนนี้คู่ต่อสู้เริ่มโดนซัดจนแข้งขาอ่อนแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยหมัดขวาตรงเพื่อน็อคเอาท์แบบไม่ต้องเสียเวลานับ

          “ถ้าไม่ได้รักกับเขา ผมคงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่”

          เขาก็พูดเรื่องจริงนะ แต่ไม่รู้เพราะแอคติ้งท์ดีไปหรือเพราะใจคนเวลามีความรักมันบอบบาง สภาพของดรในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับทิชชู่แช่น้ำที่โดนฉีกเลย

          “...งั้นหรือ” สภาพของคนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงทำเอาเดียร์ร้าวรานเพราะความอิจฉา “นะ...นั่นสินะ...ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันนั่นล่ะ เพราะงั้นแกต้องรีบๆคืนดีกับคุณสิทธิ์ซะ แล้วออกไปห่างๆคุณวินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย...ถ้าให้ดีไม่ต้องกลับมาให้เห็นด้วย”

          เดียร์ไม่แน่ใจว่าประโยคสุดท้ายดรพูดเพื่อวินหรือใครกันแน่...แต่ก็เอาเถอะ เจ็บก่อนดีกว่ามาเจ็บเอาทีหลัง เขาเองก็ไม่ชอบให้ใครมาเจ็บเพราะตัวเองเท่าไหร่ด้วย มันน่าหมั่นไส้

 

          ฤทธิ์ตาค้างนิดหน่อยตอนเปิดประตูมาเห็นสภาพของเจ้านาย ส่วนหนึ่งเพราะหงุดหงิดที่เห็นสิทธิ์กลับมาคนเดียว แต่อีกส่วนเพราะคุณเจ้านายทำเหมือนหมดอาลัยตายอยากนี่ล่ะ

          “พี่ว่าผมโง่ไหม”

          “นิดหน่อยครับ” ตอบเสร็จก็ปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน แม้จะสายไปหลายขุมก็ตาม “เอ่อ...ถ้าพูดเรื่องงานก็ฉลาดนะครับ มีไม่กี่คนหรอกที่อายุเท่าคุณแล้วเป็นเจ้าของกิจการตั้งมากมายแถมยังบริหารจัดการได้ดี...แต่ก็แย่ตรงเชื่อคนง่ายไปหน่อยละมั้งครับ บวกกับพอโกรธมากก็ชอบใช้อารมณ์ก่อนเหตุผล...”

          ฤทธิ์หยุดพูดเมื่อเห็นสิทธิ์ทำท่าจะยืนไม่อยู่ ชักงงและหวั่นเข้าทุกทีว่าตกลงเจ้านายไปเจออะไรกันแน่

          “นั่นสินะ” เสียงทุ้มตอบรับอย่างระโหยโรยแรง ก่อนจะค่อยๆลากสังขารตัวเองเข้าบ้าน “ไหนๆก็จบเรื่องแล้ว เดี๋ยวผมคงจะกลับบ้านเลย พี่กับพี่ก้องจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะให้อาวัฒน์ทำเรื่องเลิกสัญญาเช่าตอนสิ้นเดือนนี้”

          คนฟังยิ่งงงใหญ่ “หาจบ? หมายความว่ายังไงครับ”

          “ก็จบตามนั้นล่ะครับ แผนของผมน่ะ” สิทธิ์โบกมือให้แล้วหายขึ้นห้องไปโดยไม่ใส่ใจจะตอบคำถามอื่นของฤทธิ์อีก

          “อะไรวะเฮ้ย” ฤทธิ์ร้องอย่างหงุดหงิดก่อนจะเผ่นไปหาก้องที่อยู่ในห้องนอน “เฮ้ย อย่ามัวแต่เล่นมือถือสิวะ คุณสิทธิ์เป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ อยู่ๆก็กลับมาหน้าเหี่ยว แถมยังพูดจาแปลกๆว่าแผนจบแล้วอีก”

          “หา” และถึงจะรู้ความหมาย ก้องก็ได้แต่ทำเป็นตกใจไว้ก่อน “จบ? หมายถึงจบเรื่องที่คุณสิทธิ์จะแก้แค้นคุณวินน่ะหรือ”

          ฤทธิ์ชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ “...สงสัย จะอย่างนั้นมั้ง เห็นบอกว่าจะกลับบ้านด้วย...แต่เอ๊ย เขากลับมาคนเดียว หมายความว่าเดียร์ไม่โอเคกับเขาหรือ...หรือว่าเดียร์รู้ว่าโดนใช้เป็นหมาก แก้แค้นคุณวินเลยรับไม่ได้ เห็นอยู่ๆคุณสิทธิ์ก็ด่าตัวเองว่าโง่ซะงั้น”

          คราวนี้ก้องประหลาดใจจริงๆ แต่พอมาคิดว่าสิทธิ์พูดแบบนั้นแล้ว...น่าจะกลับกันมากกว่า

          “เอาไงดีวะเนี่ย” ฤทธิ์บ่นอย่างเหนื่อยหน่าย แต่พอเห็นก้องดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็อดอารมณ์เสียใส่ไม่ได้ “อะไรของนาย ใจเย็นอยู่ได้” 

          “เอาน่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่...คุณสิทธิ์ทำเองนะ เขาก็ควรจะแก้เองสิ” แม้หนุ่มแว่นอยากจะหัวเราะใส่เดียร์เสียมากกว่า แต่ก็รู้ดีว่าการทำแบบนั้นรังแต่จะทำให้ตัวเองหงุดหงิดแทน “ยังไงเราก็ไม่มีทางช่วยพวกเขาได้ตลอดไปอยู่แล้วนี่จริงไหม ถ้าตอนนี้ยังทำไม่ได้ ต่อไปจะรักกันยังไงไหวละจริงไหม”

          แต่เอาตรงๆนะ...สะใจว่ะ...ฮะฮ่า สมน้ำหน้าไอ้เดียร์มัน~
         
          “...แต่ก็อุตส่าห์รักกันแล้วนี่หว่า ฉันเบื่อจะมาเชียร์คุณสิทธิ์อีกแล้วนะ ยิ่งเข็นๆยากอยู่” ฤทธิ์ยังโวยวายไม่เลิก

          “เอาน่า คิดอีกแง่สิ ฉันว่าถ้าเลิกกันก็อาจจะดีกว่าก็ได้” ได้ยินแบบนั้นถึงกับหันเขี้ยวใส่ “ก็ถ้าเลิกกัน อย่างน้อยคุณวัฒน์จะได้ไม่ต้องโทษพวกเราเรื่องที่ตามใจคุณสิทธิ์ไง”

          ฤทธิ์บึ้งหน้าท่าทางจะยังไม่พอใจเท่าใดนัก แต่เพราะชื่อสยองขวัญทำให้ความโกรธลดลงมาครึ่งหนึ่ง “ให้ตายเถอะ ก็มันน่าหงุดหงิดนี่หว่า เสียเวลาปลอบจะตาย...”

          และยังบ่นได้ไม่เท่าไหร่ก็เงียบไปเพราะโดนอีกฝ่ายดึงตัวเข้าไปกอดเสียแน่น

          “น่าๆ จากนี้ไปก็จะมีเวลาแค่พวกเราแล้วไง” น้ำเสียงทุ้มที่กระซิบดังข้างหูฟังดูดีใจเสียเต็มประดา เล่นเอาคนฟังลืมความกลุ้มก่อนหน้าไปครู่หนึ่ง “ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบไม่มีใครด้วยมานานแล้วน้า ฉันคิดถึงเป็นบ้าเลย...”

          ฤทธิ์นิ่งเงียบจนก้องไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเห็นดีกับที่ตนพูดหรือเปล่า แต่พอจะคลายกอด กลับโดนกอดกลับเสียอย่างนั้น แถมยังกอดแน่นเสียจนเผลอส่งเสียงประท้วงในลำคอออกมา

          “เออเนอะ ไหนๆก็ไหนๆ เลิกคิดเรื่องคนอื่นตอนนี้เลยละกัน”

 

          น้อยนิ่วหน้ามองพนักงานหนุ่มของตนด้วยความกังขาสุดใจ หลังจากลาพักร้อนไปหนึ่งสัปดาห์ แทนที่จะกลับมาร่าเริงกว่าเก่าอย่างที่เธอคาด กลายเป็นว่าสภาพของเดียร์ไม่ต่างจากซอมบี้เลย ผิดหน่อยตรงที่จะออกอาการระรื่นเป็นพักๆ ก่อนจะกลับไปห่อเหี่ยวให้ชวนงงเล่นก็เท่านั้น...แต่กระนั้นก็ยังทำงานได้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่องจนไม่แน่ใจว่าเพราะยังเที่ยวไม่สะใจเลยเสียดาย หรือเพราะมีปัญหาอย่างอื่นกันแน่

          “เดียร์จ๊ะ...เอ่อ ไม่เป็นไรนะ” หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจที่ดังคล้ายกับจงใจ น้อยก็อดถามไม่ได้

          “เป็นครับ” ฟังแล้วถึงกับตาลุกวาวแต่ก็ต้องเก็บอาการเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมองว่าตน สนใจความทุกข์ของคนอื่นจนออกนอกหน้า “ทำยังไงดีล่ะครับ คุณสิทธิ์เขาผิดหวังในตัวผม...”

          “เอ่อ เรื่องอะไรหรือจ๊ะ” เมื่อไม่เก็ทก็ต้องถามต่อโดยพยายามห้ามใจและน้ำเสียงตัวเองให้ไม่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปนัก

          “มัน...ออกจะพูดยากหน่อยน่ะครับ” และก็ยาวจนต่อให้สรุปก็ยังยาวอยู่ดี เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะเลี่ยงหาทางพูดอย่างอื่นแทน “คือ...ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้น่ะครับ...ที่จริงเขาก็ทำตามที่ผมคาดหวังไม่ได้เหมือนกัน...เขาเองก็เข้าใจ...แต่ทำใจไม่ได้น่ะครับ”

          และคุณเจ้าของร้านก็คิดไปไกลมาก...จนเดียร์ไม่แน่ใจว่าจะได้ความหรือเปล่า ครั้นจะไปถามคนอื่นที่สนิทพอ เดียร์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกนั้นไม่ยอมบอกกันหรอก ไม่พอจะทำตัวมีความสุขใส่ให้หมั่นไส้เล่นอีกเสียมากกว่า...ก็รอยำเขากันตั้งนานขนาดนั้นแล้วนี่นะ

          “แหม เรื่องแบบนี้มันช่วยไม่ได้นี่จ๊ะ ของมันเคยๆ” ซึ่งฟังแล้วท่าจะเสียเปล่ายังไงชอบกล “ตอนนี้อาจจะทำใจไม่ได้ แต่เรื่องแบบนี้มันต้องรีบพูดให้ไวเข้าไว้นะจ๊ะ ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องที่พูดยาก แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย เราก็จะไม่เข้าใจกัน แล้วมันจะทำให้ไม่มีความสุขนะ”

          ถึงจะคนละเรื่องแต่กลับช่วยได้อย่างน่าประหลาด

          “ที่สำคัญ ปล่อยไว้นานๆเดี๋ยวมันจะแย่นะจ๊ะ อย่าปล่อยให้คนดีๆอย่างคุณสิทธิ์หลุดมือไปง่ายๆสิ แบบนี้หายากแล้วนะ”

          ซึ่งก็จริง...แต่ไม่ใช่ในความหมายนั้นน่ะนะ

          “...นั่นสิครับ...” เดียร์เอ่ยรับเสียงเบาและฟังดูเหงาจนน่าใจหายสำหรับน้อย “ขอบคุณที่แนะนำนะครับ”

          หญิงสาวได้แต่กลุ้มแทน...ถ้าโอเอซิสของเธอหายไปคงจะแย่...ถึงจะเป็นห่วงจิตใจของอีกฝ่ายจริงๆก็เถอะ

___________________________________________
ใกล้จบแล้ว ฮาๆ
ตอนนี้คนเขียนมีแผนจะรวมเล่ม เลยมาสอบถามว่า ระหว่างพวงกุญแจกับคอมมิคเปเปอร์ราวๆห้าหน้า อยากได้อะไรมากกว่ากันงับ


   
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 56 (11/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 15-04-2015 20:23:12
ว้าวๆ ใกล้จบแล้ว จะรวมเล่มรอคะ อยากเห็นน่าปกจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 56 (11/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimkibog ที่ 20-04-2015 20:15:54
วั้ยยยยย เรื่องนี้มันโดนใจเรามากจนหยุเอ่านไม่ได้เลย 55555  :hao7:
คุณสิทธิ์นี่แรกๆดูไม่ทันเดียร์เลยนะ เดียร์พอเข้าแผนตัวเองก็ฟินไม่หยุดเลยดิ  :hao6:
สนุกมากเลยค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-04-2015 12:20:28
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 57

          ปัญหาต่อมาของเดียร์ก็คือการติดต่อสิทธิ์ ซึ่งทั้งที่จริงมันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำ แต่โทรเข้าเบอร์มือถือก็ไม่รับ ซ้ำยังปิดเครื่องหนีอีก พอไปถามก้องดันเอาแต่อมพะนำบอกว่าสิทธิ์ยังไม่อยากคุยด้วย กับฤทธิ์เองก็คอยบอกปัดทั้งยังเลี่ยงเขาอีก พอจะถามพี่ชาย วินก็ไม่อยากตอบเป็นทุนเดิมและบังคับให้สิทธิ์เป็นฝ่ายมาง้อตนก่อน ยิ่งกับชายิ่งแล้วใหญ่ ถึงกับหัวเราะใส่หน้าอย่างไม่เก็บอาการเลยทีเดียว...สงสัยจะแค้นจริงอะไรจริง...ดี เดี๋ยววันหลังจะบอกให้พี่โอ๋ให้หนักกว่านี้...หึๆ

          “ครับ?”

          เดียร์ค้างไปเล็กน้อยเมื่อพบคนที่นึกไม่ถึงสุดๆยืนอยู่หน้าห้องของตน...แน่ล่ะ เขาพูดจาทำร้ายจิตใจเสียขนาดนั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าดรยังจะกล้าบากหน้ามาหาเขาได้ ทั้งที่ยืนต่อหน้าตนก็ไม่ค่อยจะอยู่แล้วแท้ๆ

          “เอ่อ...มีอะไรหรือครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นิ่ง เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน พลางสำรวจมองอย่างสงสัย

          “ฉันไม่เข้าใจ...นายมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่ไปคืนดีกับคุณสิทธิ์สักที”

          ถึงกับเลิกคิ้วเลยทีเดียว

          “ไม่ใช่ไม่ไปคืนดี แต่เขาไม่ยอมคุยกับผมต่างหากล่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ...เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆว่าทำไมอีกฝ่ายถึงออกอาการกระอักกระอ่วนเหลือเกิน “ผมพยายามติดต่อเขาแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะเลี่ยงไม่ยอมเจอผมน่ะครับ...เลยไม่มีโอกาสได้คุยกันสักที”

          ถึงจะแค่แว้บเดียว แต่เดียร์ก็เห็นอาการดีใจบนใบหน้าของดร...ยังไม่เข็ดอีกเรอะ

          “ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยนาย”

          จากที่กำลังหาวิธีให้อีกฝ่ายตัดใจเพลินๆ เจอประโยคนั้นเข้าไปถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ จนดรต้องเรียกชื่อถึงสามรอบกว่าจะได้สติคืนมา

          “บอกไว้ก่อนเลยว่าที่ช่วยเพราะอยากให้แกไปพ้นๆเท่านั้น” แต่สีหน้าดูเสียดายมาก “ฉันไม่อยากให้แกมาเที่ยวเกาะคุณวินแล้ว แค่นั้นเท่านั้น”

          “ครับ...” ไม่ต้องย้ำก็ได้ครับ ผมจะพยายามเชื่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าช่วยได้เยอะเลยล่ะครับ”

          เขาก็แค่ยิ้มไปตามมารยาท แต่ท่าทางจะไปสะกิดต่อมความหวังแทนเสียอย่างนั้น

          “ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงหรือครับว่าผมยังไม่ได้คืนดีกับคุณสิทธิ์”

          ดรทำท่าเหมือนไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก “ก็เห็นคุณชาพูดเรื่องนี้ท่าทางอารมณ์ดีน่ะสิ”

          ฮึ่ม...สะใจไม่เลิกเลยนะ

          “คุณชาอาจจะยินดีที่แกไม่ต้องคบกับคนที่คุณวินไม่ชอบ แต่ฉันไม่ยอมหรอกนะ” ดรผู้เข้าใจชาผิดไปไกลเริ่มทำหน้าที่ลูกน้องแสนดีแบบเกินหน้าที่ไปหน่อย “เพราะงั้นฉันจะมาช่วยจนกว่าแกกับคุณสิทธิ์จะคืนดีกัน”

          โอ้โห อ้อยเข้าปากช้างชัดๆ

          “ได้แบบนั้นก็ดีสิครับ...แต่พี่จะช่วยผมยังไงหรือครับ” ต่อให้อีกฝ่ายจะมีแผนอะไรเขาก็ไม่ใส่ใจเท่าจะได้หาทางติดต่อสิทธิ์ง่ายขึ้น

          “หึ เห็นอย่างนี้ฉันก็มีเบอร์คุณสิทธิ์เหมือนกันนะ” อันนี้นี่ทำเอาเดียร์แอบอึ้งจริงๆ “อย่าว่าแต่คุณสิทธิ์เลย อย่างน้อยๆลูกน้องคนสนิทของคุณสิทธิ์ฉันก็รู้จักเป็นสิบ แค่จะติดต่อน่ะ ง่ายนิดเดียว”

          “จริงหรือครับ” และเพราะดีใจไปหน่อยเลยเผลอจับมืออีกฝ่าย...แต่ก็รีบฉุดมือกลับทันที แม้จะสายไปนิดหน่อยก็ตาม “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นช่วยทีได้ไหมครับ...”

          “ตอนนี้เลยหรือ?”

          เอ้า ไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะรอตอนไหนฟะ

          “ตอนนี้เลยสิครับ” เสียงหวานดังขึ้นอย่างร้อนรนปนน่ารักอย่างเคยตัว “ผมอยากเจอคุณสิทธิ์ใจจะขาดแล้ว”

          อา...ทั้งอยากเจอหน้าทั้งอยากโดนจัดหนักเลย โอ๊ย นี่ก็เริ่มจะลงแดงแล้วนะ!

          “ระ...รู้แล้วน่าอย่าเร่งสิฟะ” ดรบอกเสียงสั่น...ซึ่งบอกไม่ได้ว่ากำลังลนลานตามเดียร์ หรือเพราะแอบเสียใจอยู่กันแน่ ชายหนุ่มเริ่มกดมือถือ...ซึ่งสายแรกน่าจะเป็นของสิทธิ์เพราะโทรไม่ติด “ไงศาสตร์ ว่างคุยไหม...อืม...นายพอจะรู้ไหมว่าตอนนี้คุณสิทธิ์อยู่ที่ไหน...อ่า...งั้นหรือ...เข้าใจแล้ว”

          “ว่าไงครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายวางสายก็รีบซักอย่างอดรนทนไม่ไหว

          “...เห็นว่าคุณสิทธิ์จะไปที่ผับแถวแยก พ.9 น่ะ...” ดรตอบด้วยท่าทางห่อเหี่ยว “แต่เขาไปกับคุณวัฒน์...ฉันไม่รู้ว่านายรู้จักหรือเปล่านะ แต่คนติดตามคนนั้นน่ะโหดมาก ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้นายเข้าไปหาคุณสิทธิ์ไหมนะ”

          “ไม่เป็นไรครับแค่นั้นก็เกินพอแล้ว” เด็กหนุ่มตอบรับเสียงใสอย่างคนมีความหวัง ก่อนจะเริ่มช้อนตาให้อีกฝ่าย “แต่ผมไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่แถวไหน...พี่ดรช่วยพาผมไปได้ไหมครับ ตอนนี้เลย”

          “หา? ทำไมฉันต้อง...”

          “นะครับ เพื่อความรักของผมไง”

          ในตอนนี้เขาไม่สนหรอกว่าใครจะเจ็บจะช้ำเพราะตนแค่ไหน แค่ที่แน่ๆ เขาอยากเจอหน้าสิทธิ์จะตายอยู่แล้ว

 

          “อา....อา...อา...”

          ฤทธิ์มองเจ้าผู้จัดการร้านหน้าแว่นที่เอาแต่ส่งเสียงร้องแปลกๆอยู่หน้าบาร์ตั้งแต่เมื่อครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปเขกหัวเพราะทนไม่ไหว

          “เลิกส่งเสียงแปลกๆได้แล้ว” ว่าจบก็ตบหัวก้องทิ่มลงเคาท์เตอร์ จนลูกน้องพากันสะดุ้งโหยงที่ผู้ช่วยกล้าทำร้ายผู้จัดการร้านได้อย่างหน้าตาเฉย...ถึงแม้อันที่จริงนี่จะเป็นภาพที่น่าจะชินตาได้แล้วแท้ๆ แต่เพราะพักหลังนี้ฤทธิ์ไม่ยั้งมือเลย จนชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าก้องอาจจะตายคามือฤทธิ์เข้าสักวัน

          “ก็คนมันมีความสุขนี่นา” เสียงทุ้มลอยระรื่น ไม่ใส่ใจกับบาดแผลของตนเลยสัก “ฉันละคิดถึงชีวิตแบบนี้จริงจริ๊ง”

          หนุ่มตาตกเลิกคิ้ว...ไอ้ที่ว่าคิดถึงคือได้นอนขี้เกียจหรืออะไรกันแน่ เห็นตั้งแต่กลับมาก็เอาแต่นอนอืดอยู่นั่นล่ะ

          “แล้วนายไม่มีความสุขหรือไง” ก้องถามก่อนจะเข้ามาออเซาะคนที่ยืนอยู่ข้างตัวแล้วช้อนตามอง “ได้อยู่กันนายแบบไม่ต้องมานั่งกังวลโน่นนี่ ไม่ต้องมีกขค.แบบนี้น่ะ...”

          ฤทธิ์มองอยู่พักหนึ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอานิ้วจิ้มอกตัวเองไปเรื่อย ก่อนจะเขกหัวอีกรอบ เท่านั้นไม่พอยังมีจิกหัวกลับขึ้นมาอีก เล่นเอาเหล่าลูกน้องพากันหวาดหวั่น แต่กระนั้นก็ไม่กล้าห้ามเพราะกลัวโดนลูกหลง

          “อย่ามาแหลเลย อยู่โน่นเราก็อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรอะ” หนุ่มตาตกกัดฟัน ก่อนจะเปลี่ยนจากจิกหัวเป็นกระชากเสื้อเข้ามาใกล้ “ทำเป็นบอกว่าไม่อยากมีกขค. ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่กลับมา เราก็ไม่ได้ทำอะไรกันเลยนะว้อย”

          “แหม ใจเย็นสิจ๊ะ” ก้องก็พูดไปตามปกติ แม้จะรู้ว่ายิ่งทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ขึ้นก็ตาม “ของแบบนี้มันต้องอดทนรอจนกว่าจะได้ที่สิ ไม่งั้นรสชาติมันจะออกมาดีหรือไง”

          คนฟังนิ่วหน้ามอง หนุ่มแว่นเพียงแต่ยักคิ้วหลิ่วตาให้

          “อ้อ...” เสียงทุ้มดังเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ได้...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างฉันกับนายใครจะทนกว่ากัน”

          “โฮ่ มาท้าทายผิดคนแล้วมั้งครับ” ก้องย้อนเสียงเยาะ “ผมนี่ติดอันดับต้นๆเลยนะ เรื่องความอดทนน่ะ”

          ส่วนแชมป์นี่ยกให้ไอ้เดียร์ไปละกัน

          “เฮอะ นึกว่าฉันไม่มีปัญญาหรือไง แค่ทำให้คนหมดความอดทนน่ะ ไม่เห็นจะยาก”

          “แต่อย่าทำตอนเวลางานละกัน”

          ทั้งสองพากันสะดุ้งโหยงเมื่อมีอีกเสียงที่แสนจะคุ้นเคยแทรกเข้ามา ยิ่งหันไปเห็นวัฒน์ที่กำลังยืนมองด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิท จากที่กำลังนัวเนีย ถึงกับพากันพร้อมใจถอยห่างไปเกือบเมตร

          “คุ...คุณวัฒน์มาได้ยังไงหรือครับ” ฤทธิ์ถามเสียงสั่น และยังเว้นระยะเหมือนกลัวโดนอีกฝ่ายตะปบ “แล้วคุณสิทธิ์ล่ะครับ”

          “อยู่ตรงโน้น” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างนัก “ฉันมาหาก็เพราะเรื่องนี้ ตั้งแต่กลับมา คุณสิทธิ์ก็เป็นแบบนี้ตลอด พวกนายรู้อะไรหรือเปล่า”

          ยิ่งกว่ารู้เสียอีก

          “เขา...เอ่อ...มีปัญหากับเดียร์นิดหน่อยน่ะครับ” ฤทธิ์ตอบอึกอัก “อาจจะยังช็อคอยู่ก็เลยเป็นแบบนี้”

          หนุ่มใหญ่เพียงแต่เบิกตากว้างออกเล็กน้อย

          “แล้วอีกฝ่ายล่ะ” กว่าจะยอมเอ่ยปากถาม ก็กินเวลาไปห้านาทีกว่า

          “คือมันออกจะพูดยาก” ก้องที่ได้สติเร็วกว่ารีบบอกลนลาน “เดียร์เขาอาจจะตัดใจจากคุณสิทธิ์แล้วมั้งครับ”

          และเป้าหมายในการจ้องก็ตกเป็นของก้องต่อ

          “คือ...ถ้าสมมติว่าเขารักกันจริงๆ คุณวัฒน์ยอมได้หรือครับ” เมื่อทนไม่ไหวเลยเอ่ยใจจริงออกไป เล่นเอาฤทธิ์ถึงกับผวา “ผมก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่เขาเป็นน้องคุณวินนี่ครับ ใช่ไหมล่ะ”

          ก็ยังเงียบได้อีก

          “นั่นเป็นสิ่งที่คุณสิทธิ์ต้องตัดสินใจเอง” กว่าจะพูดต่อเล่นเอาลุ้นจนลืมหายใจ “พวกนายก็ช่วยหาทางให้คุณสิทธิ์ลืมคุณเดียร์เขาให้ได้ละกัน”

          คราวนี้คนฟังประหลาดใจยิ่งกว่า “แล้วมันจะง่ายแบบนั้นหรือครับ”

          “ถ้าตัดใจง่ายขนาดนั้น คุณสิทธิ์คงไม่ออกอาการแบบนี้หรอก” วัฒน์สวนเสียงเรียบ “ถ้าทำให้ตัดใจไม่ได้ ก็ช่วยไปกระตุ้นให้รู้ตัวหน่อย คุณสิทธิ์เขาไม่ยอมบอกอะไรฉัน กับพวกนายอาจจะยอมฟังก็ได้”

          ทั้งสองเพียงแต่มองหน้ากัน ก่อนที่ก้องจะร่อนไปหาสิทธิ์ที่นั่งห่อเหี่ยวอยู่บนเก้าอี้แสนนุ่ม เพราะเขาก็เดาเอาไว้แล้วล่ะว่าสิทธิ์เองก็คงจะตัดใจไม่ได้ง่ายๆหรอก

          “ไงครับคุณสิทธิ์หน้าหม่นหมองมาเลยนะ” มาถึงก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง หากแต่คู่สนทนากลับไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น จนเนที่นั่งอยู่อีกฝั่งได้แต่ออกอาการกระอักกระอ่วน “แต่อย่าได้เศร้าไปเลยครับ วันนี้ร้านผมมีเด็กใหม่ ภูมิใจนำเสนอสุดๆ เอ้า! ไปเรียกน้องขวัญมาหน่อยสิ”

          ว่าจบก็กวักมือกับลูกน้องที่รอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล เพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมกับสาววัยรุ่นตอนปลายที่ทำเอาสิทธิ์เผลอหันไปมอง เพราะหญิงสาวคนนี้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนที่คิดถึงคะนึงหาตั้งแต่จากมาเสียเหลือเกิน

          “ไง ใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะครับ” เมื่อเห็นเจ้านายถึงกับมองไม่วางตา ก้องก็เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน “เอ้า ขวัญ มารับรองเจ้าสัวหน่อยสิ เต็มที่เลย ทำดีรับรองทิปตรึม”

          สิทธิ์ดูจะไม่สนใจคำแซวของก้องแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวยังคงจับจ้องไปยังเด็กสาวที่เข้ามานั่งข้าง แม้ความสูงของเธอจะน้อยกว่าคนที่ตนคิดถึงเยอะ แต่ใบหน้านั้นช่างชวนให้หวนนึกถึงวันวานที่เคยได้ใช้ร่วมกับเดียร์เสียเหลือเกิน

          “สวัสดีค่าคุณสิทธิ์ เรียกขวัญ หรืออยากจะเรียกที่รักก็ได้นะค้า” หญิงสาวเอ่ยแซวอย่างทีเล่นทีจริงตามคำสั่งผู้จัดการ “จ้องหนูไม่วางตาเลย หลงรักเข้าแล้วหรือไงคะ”

          “คงงั้นล่ะที่รัก”

          คนแซวถึงกับค้าง ยิ่งพูดด้วยท่าทางนิ่งแล้วยังจ้องไม่เลิก ใครเล่าจะทนไหว แถมยังมีเชยคางตนแล้วโน้มหน้าเข้าหาอย่างใกล้ชิดเสียจนเกือบจะจูบอีก

          “ทิป ทิป ทิป”

          ทีแรกขวัญจะถอยหนีแล้ว แต่เสียงมารกระซิบจากคุณผู้จัดการทำเอาลังเล อีกฝ่ายเองก็เป็นถึงเจ้าของกิจการ หน้าตาก็ดี แถมในตอนนี้ก็ดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหลชวนใจละลายเหลือเกิน...

          “โอ๊ย”

          เคลิบเคลิ้มไม่เท่าไหร่ก็โดนความเจ็บที่คางกระชากกลับสู่ความจริง หญิงสาวถึงกับร้องลั่นเมื่อโดนบีบคางเสียเต็มแรง และแม้เธอจะดิ้นหนี เจ้าคนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกตัวและยังคงจ้องเธอด้วยท่าทีเหมือนเมื่อครู่ ราวกับแรงขัดขืนของเธอไม่อาจทำอะไรกับอีกฝ่ายได้เลย

          “คุณสิทธิ์ครับ!!” เนร้องปลุกเจ้านาย ก่อนจะรีบเข้าไปแยกก่อนใคร “คุณสิทธิ์ ใจเย็นๆก่อนครับ เดี๋ยวเขาก็ตายกันพอดี”

          “อ๊ะ” หมียักษ์สะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะปล่อยมือ เล่นเอาหญิงสาวถึงกับถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว พอสิทธิ์ยกมือเข้าหาเธอหวังจะดูอาการ ขวัญถึงกับตกใจกลัวจนหนีไปหลบหลังเนเลยทีเดียว “ขอโทษนะ…”

          แลดูสาวเจ้าจะยังไม่ไว้ใจนัก แต่เห็นท่าทางสำนึกผิดเสียเต็มประดาของเจ้านาย เธอก็อดสงสารไม่ได้…แม้จะยังกลัวๆอยู่ก็ตาม

          “มัน…ไม่ไหวจริงๆนั่นล่ะครับ…” หลังจากขอโทษขอโพยเรียบร้อยและให้หญิงสาวออกไป สิทธิ์ก็เอ่ยอย่างคนจะขาดใจตาย “ของแบบนี้มันใช่ว่าจะทำกับใครก็ได้นี่นา…ผมชอบทำนะ…แต่ถ้าต้องเห็นท่าทางเมื่อกี้ล่ะก็ ผมไม่เอาด้วยหรอก”

          ก้องได้แต่มองอย่างหน่ายใจ “ถ้างั้นผมแนะนำที่ดีๆที่ช่วยระบายความอึดอัดให้เอาไหมครับ”

          “ผมไปมาแล้ว” ฟังแล้วถึงกับสะพรึง “มันก็ช่วยให้ผมหายเครียดอยู่หรอกครับ แต่ก็แค่แป๊บเดียว…มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ…”

          “แล้วทำไมไม่ไปหาสิ่งที่ต้องการเสียทีละครับ” ฤทธิ์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังบอกด้วยความเบื่อหน่ายปนหวาดหวั่นเต็มทน…ถ้าไม่ติดว่าวัฒน์มองอยู่จากเคาท์เตอร์ เขาคงบ้องหูเรียกสติเจ้านายไปแล้ว “จะหนีหน้ากันทำไมก็ไม่รู้”

          “ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน…” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อน “ที่จริง…ผมอยากจะไปหาเขา…อยากจะรักเขาเหมือนอย่างที่ผ่านมา…ไม่สิ อาจจะมากกว่านี้อีก…”

          ซึ่งก้องกับฤทธิ์รู้ดีว่าความรักที่อีกฝ่ายพูดถึง ไม่ใช่ของปกติทั่วไปอย่างที่ใครเข้าใจแน่นอน

          “รับไม่ได้ที่โดนอีกฝ่ายหลอกขนาดนั้นเลยหรือครับ” เพราะเอาแต่เงียบ ฤทธิ์เลยถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ทั้งที่คุณก็หลอกเขาเหมือนกันน่ะนะ”

          “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ…เอ่อ…ที่จริงมันก็มีส่วน…” ท่าทางคนพูดดูสับสนไม่น้อย “แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามไปหาเขานะครับ แต่พอตัดสินใจไป อยู่ๆก็เกิดไม่กล้าไปเจอหน้าเขา…”

          “คุณสิทธิ์…”

          ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ระบายความในต่อ เสียงหวานที่อยากฟังเป็นที่สุดก็ดังแว่วขึ้นจากด้านหลัง และทั้งที่อยากเห็นหน้าใจจะขาด แต่ร่างกายกลับไม่ทำตามเสียอย่างนั้น

          ทำไมล่ะ…

          เดียร์ผงะนิดหน่อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูนิ่งจนเหมือนไม่ได้ยินเสียงของตน แต่พอเห็นก้องผงกหัวให้มาหาอย่างเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ แม้ใจจะไม่สู้ดีเท่าไหร่ก็ตาม

          “อย่าเข้ามานะ!” แต่เดินไปได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องชะงักเมื่อเสียงทุ้มตะโกนสั่ง “ได้โปรด…”

          “เอ้า เขาอุตส่าห์มาแล้ว จะอะไรอีกละครับ” คนความอดทนต่ำวีนก่อนใคร ส่วนหนึ่งเพราะฤทธิ์จะประสาทกินที่โดนวัฒน์กดดันด้วยสายตาไม่เลิก “จะรักจะเลิกก็รีบๆพูดเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”

          “ใช่ครับ รีบๆตัดสินใจ ผมกับเดียร์จะได้ตกลงปลงใจสักที”

          อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เดียร์ที่มาด้วยยังเผลอหันไปมองเจ้าคนที่มาพาตนมาที่นี่ ซึ่งกำลังทำสีหน้าจริงจังมากหลังจากพูดประโยคก่อนหน้าออกไป ซ้ำยังมีมาบีบไหล่เขาเสียแน่นอีก

          นี่แผนของพี่เรอะ!

_____________________________
รัวๆ รัวววววว
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-04-2015 12:40:09
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 58

          พูดบ้าอะไรของคุณเอ็งวะ

          ใจจริงก็อยากจะโพล่งถามเสียเดี๋ยวนี้เลย ติดแค่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะพูดง่ายๆเท่าไหร่ ใครต่อใครก็พากันมองตนเป็นตาเดียว ยิ่งโดยเฉพาะคนที่อยากให้หันมามองที่สุดก็อุตส่าห์ยอมหันมาแล้วด้วย อย่างน้อยก็จะพูดจะจาก็ต้องแอ๊บกันหน่อย

          “…พี่พูดอะไรของพี่น่ะครับ” เสียงหวานกระซิบถามอย่างแปลกใจ ยังคงแอบเชื่ออยู่เล็กๆว่าดรคงไม่ได้คิดอะไรอย่างที่พูดหรอก

          “ฉันก็แค่พูดกระตุ้นให้คุณสิทธิ์เขารีบรับรักแกสักทีต่างหาก” ฟังเสียงกระซิบนั่นแล้วดูน่าเชื่อถือ แต่น้ำเสียงนี่สั่นแปลกๆจนไม่ชวนให้คนฟังมั่นใจเอาเสียเลย “ไม่คิดอะไรกับแกทั้งนั้น”

          ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเลิกพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ หน้าแดงๆแล้วหลบตาผมได้ไหมล่ะครับ

          แต่อย่างน้อยนั่นก็ทำให้สิทธิ์ถึงกับอึ้ง สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ยอมอย่างชัดแจ้ง ร่างสูงทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไปกลับชะงักค้างเอาไว้เสียอย่างนั้น

          “หมายความว่าไง…ที่พูดเมื่อกี้…” ประโยคคำถามที่ออกมาจากสีหน้าที่เหี้ยมโหดมาก จนดรเริ่มสั่นเพราะกลัวจะโดนกินหัว

          “…กะ…กะ…ก็หมาย…หมายความตามนั้นนั่นล่ะครับ!”

          เดียร์ไม่รู้จะเรียกว่าใจดีสู้เสือหรือฉวยโอกาสดี เพราะนอกจากจะพูดท้าทายแล้ว ดรยังเข้ามากอดตนจากด้านหลังอีก เรียกได้ว่าแนบแน่นแบบบ่งบอกให้รู้ถึงความสัมพันธ์เกินเลยมาก…เสียแต่ว่ามันไม่ชวนให้อึดอัดพอจะให้เดียร์รู้สึกดีนี่สิ

          “มากไปแล้วครับ…” เสียงหวานกระซิบอย่างร้อนรน เพราะรู้สึกขยะแขยงจนเริ่มอยากอ้วก

          “เดี๋ยวไม่สมจริงไง”

          โถ ต่อให้อมพระมาทั้งวัดผมก็ไม่เชื่อหรอก

          “ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องนี้ผมคงยอมคุณไม่ได้หรอกนะ” เห็นท่าทีของสิทธิ์กลับมาเป็นอย่างที่เคยเป็นกับตน เดียร์ถึงกับมองไม่วางตา

          “ละ…แล้วจะหนีหน้าเดียร์ทำไมล่ะครับ” ดรสวนกลับเสียงสั่น “คุณรู้หรือเปล่าว่าเดียร์พยายามติดต่อคุณมากแค่ไหน ถ้าคุณไม่สนใจหรือแค่เล่นๆก็บอกเดียร์เขาไปตรงๆสิครับ อย่าให้เขาต้องมาหวังอะไรลมๆแล้งๆจากคุณสิ”

          ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองนะ…แต่พี่ดรพูดเหมือนเชียร์ให้คุณสิทธิ์บอกเลิกกับผมเลย…เดี๋ยวปั๊ดเอาแส้เฆี่ยนหลังเลยนี่

          แปลกตรงที่สิทธิ์ไม่มาแย่งตนจากดรอย่างที่หวัง ชายหนุ่มยังคงปั้นหน้ามึนตึงยืนนิ่งไม่ขยับ แต่หมัดนั้นกำแน่นพร้อมจะพุ่งเข้าเป้าหมาย ทำเอาดรถึงกับถอยอย่างลืมตัว แต่คนในอ้อมแขนกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลย

          “ทำไมไม่เข้ามาละครับ” เมื่อทนไม่ได้ เดียร์จึงเอ่ยถามอย่างคับข้องใจเต็มทน “หรือคุณจะยังโกรธเรื่องนั้นอยู่”

          ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่น นั่นก็ทำให้ความสงสัยกระจ่างชัด

          “…จะให้ผมทำอะไรก็ได้นะครับ…ขอแค่คุณจะให้อภัยผม…” ด้วยความที่อดอยากมานานเกินทน และคิดถึงใจจะขาด เด็กหนุ่มจึงเอ่ยงอนง้อ “…หรืออย่างน้อย ถ้าคุณอยากจะเลิกกับผม…ก็อยากจะให้บอกกันตรงๆ…”

          “ไม่ใช่นะ!!!”

          เสียงทุ้มดังลั่น จนทุกคนพากันสะดุ้ง ดวงตากลมจ้องมองท่าทีดึงดังนั้นไม่วางตา ในใจได้แต่สงสัย ทำไมถึงได้ออกอาการลังเลขนาดนั้น ทั้งที่ไม่ว่าจะดูยังไง ก็เหมือนจะยังมีเยื่อไยให้กันแท้ๆ

          “คุณสิทธิ์…” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกอีกฝ่าย ใบหน้าเรียวดูจะตื่นตระหนกอย่างน่าประหลาด แต่ทำให้ใจของคนเรียกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก “ผมถามแค่คำถามเดียวนะครับ คุณยังรักผมอยู่หรือเปล่า”

          “รักสิ” นั่นทำเอาหัวใจห่อเหี่ยวของเดียร์เบ่งบานทันที แม้สีหน้าคนตอบจะดูอมทุกข์เหมือนกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าโลงศพบุพการีก็ตาม “แต่ฉัน…”

          พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ท่าทางของหมียักษ์ดูหวาดกลัวมาก ร่างกายก็สั่นอย่างกับเจ้าเข้า จนเหล่าลูกน้องพากันกลัวว่าเจ้านายตนจะลมใส่เสียเหลือเกิน

          “ถ้าอย่างนั้นยังจะกลัวอะไรอีกละครับ” แต่แน่นอนว่าเดียร์ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อีกแล้ว “ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็รับได้อยู่แล้ว หรือต่อให้คุณโกรธมากแค่ไหนผมก็ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้คุณหายโกรธ คุณก็รู้”

          ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหายวับราวกับโดนพัด ท่าทางของสิทธิ์เหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

          “แม้ว่ามันจะเป็นการเอาแต่ใจของฉันน่ะหรือ...”

          เดียร์ไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่ดูจริงใจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

          ชายหนุ่มค้างนิ่ง แล้วก้มหน้าลงอย่างหม่นหมอง ราวกับรู้สึกผิดเสียเต็มประดา

          “นั่นสินะ...”

          ดรสะดุ้งโหยงตอนที่สิทธิ์เดินเข้ามาสีหน้าถมึงทึง ยิ่งอีกฝ่ายจับไหล่ของตนแน่น เขาก็นึกว่าตนจะได้ไปปรภพก่อนวัยอันควรเสียแล้ว

          “ขอบคุณนะครับ”

          พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ลากเดียร์ออกไปเสียเฉยๆ ปล่อยให้เหล่าลูกน้องได้แต่ยืนมึนกับการกระทำผีเข้าผีออกบอกจุดประสงค์ไม่ได้อยู่อย่างนั้น

          “เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของวัฒน์ดังขึ้น ทำเอาลูกน้องคนอื่นๆพากันได้สติและรีบสลายตัวไปทำหน้าที่กันอย่างแข็งขัน เจ้าของเสียงลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย แล้วหันไปทางบาร์เทนเดอร์ “ขออะไรที่ไม่มีแอลกอฮอล์มาหน่อย”

          และคนได้รับคำสั่งทำตามให้อย่างทันควัน

          “...เอ่อ...จะไม่ตามไปหรือครับ” เมื่อเห็นหนุ่มใหญ่ดูไม่เป็นห่วงสิทธิ์เลย ก้องจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้

          “เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกนี่” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างราบเรียบ หลังจากกระดกน้ำมะนาวลงคอ “แถมยังจบด้วยดีแล้ว มีอะไรให้เป็นห่วงอีก”

          คนถามยืนนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะถึงบางอ้อ...ทางที่สิทธิ์ไปเมื่อครู่เป็นทางไปห้องพักพนักงานนั่นเอง

          “ดะ...เดี๋ยวสิ คุณวัฒน์ ง่ายๆแบบนี้เลยหรือครับ” ผู้จัดการร้านถามเสียงตื่น

          “นายอยากให้ยากหรือไง”

          “เอ่อ...ไม่ใช่ครับ” ก้องทำท่าเหมือนจะเป็นลม “คือ...เรื่องมันลงแบบนี้...คุณวัฒน์รับได้หรือครับ”

          ดวงตาเรียวเลื่อนมองไปยังทางไปห้องพักพนักงานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาหาคู่สนทนา ซึ่งทำเอาก้องขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เพราะนอกจากลูกตาที่เคลื่อนไหว ส่วนอื่นกลับนิ่งหมดอย่างกับตุ๊กตา

          “แล้วคิดว่าห้ามได้แล้วหรือ ถลำลึกมาขนาดนี้แล้วนี่ ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยแล้ว” วัฒน์บอกโดยที่น้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาสักนิด “สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือปล่อยให้มันเป็นไป ก็เท่านั้น”

          แม้ใจจริงเลยก้องก็ไม่ค่อยจะอยากยอมรับนักหรอก แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่สิทธิ์เลือกแล้ว ทั้งวัฒน์เองก็ไม่ได้ห้าม แล้วเขาจะไปค้านอะไรได้ล่ะ…แม้จะแอบเจ็บใจอยู่นิดๆก็ตาม

          “...เอาเป็นว่า ถ้าจะพักกัน พวกนายก็ใช้ห้องครัวไม่ก็หลังร้านไปก่อนละกัน” หนุ่มแว่นบอกอ้อมแอ้มก่อนจะบอกลูกน้องทุกคน “...”

          ก้องค้างไปนิดหน่อยเมื่อเห็นดรยังคงยืนอยู่ที่เดิม ด้วยใบหน้าเหมือนจะดีใจแต่น้ำตาคลอเบ้า

          “มัน...เป็นแบบนี้ดีแล้วสินะครับ” ว่าแล้วก็หันมาถามหนุ่มแว่นด้วยเสียงสั่นๆ...ซึ่งถ้าปล่อยโฮได้คงทำไปแล้ว

          “อืม” เขาตบบ่า ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิ ไหนๆก็มาแล้ว ฉันมีคนอยากให้นายรู้จักนะ...นี่ๆ ไปเรียกขวัญกลับมาหน่อยสิ...บอกด้วยว่าคราวนี้ไม่ใช่คุณสิทธิ์นะที่อยากให้เจอน่ะ”

          ดรได้แต่งุนงง แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจ และอ้าปากค้าง

 

          เดียร์มองแผ่นหลังที่ลากตนมาอย่างไม่มีทะนุถนอม หัวใจภายในเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ความเจ็บปวดที่โดนมือหนากุมแขนแน่นทำเอาความทรงจำอันดีงามหวนกลับมา และเริ่มเก็บงำความต้องการภายในเอาไว้ไม่อยู่

          “อ๊า” เนื่องจากไม่ต้องแอ๊บแล้ว ทันทีที่โดนเหวี่ยงเข้ากระแทกกับกำแพง เด็กหนุ่มจึงร้องออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขอย่างไม่นึกปิดบัง

          ร่างสูงบดเบียดเข้าหาอย่างแนบแน่นและชวนอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กระนั้นคนตัวเล็กกว่ากลับไม่แสดงอาการต่อต้านหรือประท้วงออกมาแม้แต่น้อย จูบอันหนักหน่วงและรุนแรงถาโถมเข้าหาราวกับพายุคลั่ง ไม่มีการเห็นใจใดๆหรือความอ่อนโยนเลยสักนิด มีเพียงความป่าเถื่อนจาบจ้วงและความกระหายประดุจสัตว์ร้ายที่แล่นเข้ามาภายในเพียงเท่านั้น...เสียเมื่อไหร่

          ความพยศแล่นเข้าร่างอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอากระตุกวูบ ดวงตาเรียวเบิกมองด้วยความแข็งกร้าว ก่อนจะสวนกลับด้วยแรงที่มากกว่าเพื่อชิงตำแหน่งคนคุมเกมกลับมา กระนั้นยิ่งโถมแรงกลับโดนแรงที่ค่อยๆตีตื้นเข้ามาทีละน้อยใส่เหมือนต้องการท้าทาย นั่นยิ่งไปกระตุ้นต่อมอยากเอาชนะจนหมีหนุ่มทุ่มสุดแรงทีเดียว

          หลังจากได้ชัยชนะก็ตักตวงน้ำหวานอย่างตะกละตะกรามจนสาแก่ใจ ยิ่งดิ้นรนก็รังแต่จะเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นน่าลิ้มรสกว่าเดิม กระนั้นเดียร์ก็ยังต่อต้านเหมือนกับต้องการความรุนแรงกว่าเดิมก็ไม่ปาน...และถ้าเป็นเมื่อก่อน สิทธิ์ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นแน่

          เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะถอนความต้องการออกจากอีกฝ่าย กระนั้นคนที่หอบจนเกือบตายกลับเป็นสิทธิ์ที่ตะบี้ตะบันจะเอาชนะอีกฝ่ายเสีย ให้ได้ ในขณะที่เดียร์ซึ่งแม้จะหอบเหมือนกันแต่ไม่มากเท่า ทั้งยังดูอิ่มเอมเสียเหลือเกิน จนไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ใครเป็นฝ่ายโดนกระทำกันแน่

          “คุณสิทธิ์...” เสียงหวานเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันไร ก็โดนอีกฝ่ายสวมกอดแน่น

          “ฉันขอโทษ”

          คำแรกที่ออกจากปากทำเอาเด็กหนุ่มเลิกคิ้ว

          “ทำไมล่ะครับ...ผมต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น...” เดียร์เอ่ยด้วยความประหลาดใจ

          “แต่ฉันเองก็ผิดนี่” เสียงทุ้มกระซิบอย่างแผ่วเบาเข้าข้างหู “อย่างน้อยๆ ฉันก็ควรขอโทษเธอเหมือนกัน”

          ซึ่งว่ากับตามตรง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตอนฟังคำนั้น ตนรู้สึกดีหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง

          “แล้วตกลง คุณหนีหน้าผมทำไมหรือครับ” หลังจากอาการของหมียักษ์สงบลง เดียร์ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความคาใจ “คุณรู้ไหมว่าผมทรมานแค่ไหนที่ไม่ได้เจอคุณ...”

          ว่าแล้วก็กอดกลับแน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีกครั้ง ทำเอาอาการกระอักกระอ่วนที่จะให้คำตอบของสิทธิ์หายไป เหลือไว้แต่ความเห็นใจอีกฝ่ายแทน

          “ที่จริง...มันอาจจะเป็นสิ่งที่เธอชอบ...เพียงแต่...คงเป็นเพราะฉันรู้สึกผิดละมั้ง” สิทธิ์ว่าเสียงสั่น “ที่โกรธเธอจนอยากจะรังแกให้สาแก่ใจ...”

          ซึ่งเขาก็คิดอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าเดียร์จะถลึงตาใส่ทันทีที่ตนพูดจบ แถมยังทำหน้าเหมือนจะกินหัวกันอีกต่างหาก

          “ฉันก็พอจะรู้ว่าเธอน่าจะชอบ...ฉันเองก็ชอบ...แต่ว่าฉันรู้สึกผิดด้วยนี่นา” สิทธิ์ร้อง ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะทำหน้าจูออนไปมากกว่านี้ “แถมฉันเองก็ไม่รู้ตัวว่าคิดแบบนั้น จนกระทั่งเธอบอกว่ารับกับความเห็นแก่ตัวของฉันได้นั่นล่ะ”

          เดียร์นิ่งมองด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ ก่อนจะถอนหายใจยาวที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ จากนั้นก็โขกหัวเข้ากับอกหนาของอีกฝ่าย

          “คุณนี่มันเป็นคนดีจริงๆเลยนะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ “ถ้าใจร้ายสักนิด ผมเองก็คงไม่ต้องรู้สึกผิดที่รักคุณแท้ๆ”

          ก่อนที่หมียักษ์จะได้แก้ตัว ก็โดนริมฝีปากบางปิดเข้าเสียก่อน จูบในครานี้ผิดกว่าครั้งไหนๆ เพราะมันอ่อนโยน และนิ่มนวลกว่าก่อนหน้าโข

          “แต่เอาเถอะครับ ถือว่าเราก็เจ๊ากันไปละกันนะ” รอยยิ้มบางกับความหวานจากรสจูบทำเอาคนตัวสูงกว่าค้างไม่เลิก “จากนี้ไปเราก็ค่อยทำความเข้าใจกันไปเรื่อยๆทีละนิดละหน่อย จะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิดกันไงล่ะครับ ดีไหม”

          สิทธิ์มองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หมายความว่าเธอ...ยอม...”

          นิ้วเรียวแตะปากที่กำลังจะพูดต่อให้หยุด

          “ถ้าไม่ยอมแล้วผมจะมาง้อคุณถึงนี่หรือ” เดียร์หัวเราะ ก่อนจะไล้นิ้วไล่ลงมาเรื่อยจากปากจนหยุดตรงที่แผงอกกว้าง “มาง้อไม่พอ มารอให้คุณลงโทษเลยนะครับ”

          หมียักษ์ทำหน้าเหมือนโดนผึ้งต่อย “แม้ว่าจะตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยนะหรือ”

          “ให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณด้วยเลยไหมล่ะครับ”

          เสียงหอบกระเส่านั้นเพิ่มความน่าเชื่อถือยิ่งกว่าสิ่งใด ใบหน้าที่แสดงความกระสันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเงยมองราวกับกำลังเว้าวอน ขอในสิ่งที่ตนรอมานาน

          แน่นอนว่า ถ้าเป็นคนปกติ เห็นแบบนี้คงสยองจนอยากถอยไปแล้ว แต่สิทธิ์กลับรู้สึกร้อนผ่าว ทั้งยังกระตุ้นบางสิ่งบางอย่างภายในที่พยายามเก็บเอาไว้ให้ระเบิดออกมา และลบล้างความรู้สึกผิดต่อความต้องการเฉพาะทางของตนออกไปเสียสิ้น

          ฟันขาวเข้าขย้ำคออันแสนบอบบางเต็มแรง เสียงหวานร้องดังด้วยความเจ็บปวด กระนั้นกลับฟังดูมีความสุขเสียมากกว่า มือเล็กขยำเสื้ออีกฝ่ายแน่น ความเจ็บที่แล่นเข้าร่างทำเอาแทบคลุ้มคลั่ง ยิ่งไม่ต้องเก็บกดความพึงพอใจเอาไว้ เขาจึงปลดปล่อยความต้องการภายในออกมาอย่างเต็มที่

          “บะ...แบบนั้นเลยครับ...ได้โปรด...” เดียร์คร่ำครวญเอ่ยขออย่างหิวกระหาย “อึก...”

          ร่างเล็กทรุดลงกองบนพื้นเพียงแค่เจอการกัดเข้าไปทีเดียว ดวงตากลมที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติเงยมองคนที่ยืนค้ำหัวด้วยความสงสัย อีกฝ่ายไม่ได้มองตนอย่างที่เข้าใจ หากแต่กำลังมองไปยังประตู

          “จะไปไหนหรือครับ” มือเล็กรั้งขากางเกงเอาไว้เมื่อร่างสูงทำท่าเหมือนจะเดินออกไป

          “ฉันไม่ได้หนีไปดื้อๆหรอก” เสียงเว้าวอนนั่นทำเอาอยากลงไปขย้ำเหยื่อเสียเดี๋ยวนี้ “แต่...ประตูมันปิดไม่สนิท...ฉันเลยจะไปปิดก่อน”

          กระนั้นคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็ยังคงดึงชายหนุ่มไว้ไม่เปลี่ยน ทั้งยังเผยยิ้มบางที่ดูทั้งน่ารักและชั่วร้ายในคราวเดียวกันให้อีก

          “กลัวหรือไงครับ”

          ยิ่งโดนมองด้วยสายตาท้าทายแบบนั้น ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเสียเวลาลังเลด้วยซ้ำ

          “คนที่เป็นมาโซฯเนี่ย เขาเป็นแบบเธอกันทุกคนหรือเปล่า...” สิทธิ์ถามขึ้นพลางมองคนตรงหน้าที่ดูไม่สะทกสะท้านหรือแสดงอาการหวาดหวั่นหรือเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด ทั้งที่เมื่อครู่ เขาก็ว่าตัวเองกระชากร่างตรงหน้าเต็มแรงแล้วนะ แต่ท่าทางของอีกฝ่ายกลับดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

          “ก็แล้วแต่รสนิยมกับระดับครับ พอดีว่าผมมันโลภ” เสียงหวานตอบพลางหอบกระเส่าหลังจากถอนจากจูบที่รุนแรง “ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงแบบไหนเมื่อไหร่ ผมก็ชอบทั้งนั้น...เพียงแต่ว่า...”

          ว่าจบก็เว้นช่วงไว้เล็กน้อยเหมือนจงใจจนคนที่ง่วนอยู่กับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเดียร์ออกต้องเงยหน้ากลับมาจ้องด้วยความแปลกใจ มือเล็กยกขึ้นลูบใบหน้าเรียวอย่างเบามือ ความนุ่มที่ไม่น่าจะมีในมือของผู้ชายทำเอาสิทธิ์เผลอเคลิ้ม ยิ่งเห็นดวงตากลมที่กำลังมองกลับมาทางตนด้วยความหิวกระหายไม่แพ้กัน ยิ่งทำให้คนฟังไม่อยากจะรั้งรอให้เสียเวลาเลยสักนิด แต่อีกใจก็คิดเสียดายหากจะปล่อยให้ความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ

          “คนที่ทำรุนแรงถึงขนาดให้ผมมีอารมณ์อย่างว่าไปด้วยก็มีแต่คุณนั่นล่ะครับ...”

          สิทธิ์เผลอหน้าแดงใส่แล้วกัดฟันกรอด ก่อนจะระบายความหมั่นเขี้ยวซ้ำลงตรงจุดเดิมที่แดงเห่อและเป็นรอยกัด เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครา ฟังดูเจ็บปวดหากแต่กลับมีความสุขสมปนเข้ามา มือหนาที่สัมผัสไปตามร่างบางหนักหน่วงและรุนแรงจนชวนให้ชอกช้ำ กระนั้นคนโดนกระทำกลับส่งเสียงราวกับร้องเรียกมากกว่าเดิมแทน

          “รอบนี้...ฉันขอแบบปกติก่อนนะ...” ด้วยความที่อะไรๆก็ไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไหร่ อีกทั้งยังกังวลกลัวจะทำไม่ถึงใจอีกฝ่าย สิทธิ์จึงออกตัวก่อนจะดำเนินการถึงจุดไคลแมกซ์

          คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะ เล่นเอาคนที่เครียดถึงกับถลึงตาใส่

          “แหม ก็มันขำจริงๆนี่ครับ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะกังวลขนาดนี้ ก็ยังทำได้ถึงใจผมแท้ๆ” เสียงหวานยังคงกลั้วเสียงหัวเราะไม่หยุด “เอ หรือผมต้องช่วยพูดกระตุ้นอารมณ์ด้วยล่ะครับ คุณจะได้ไม่เครียด”

          สิทธิ์นิ่วหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถึงบางอ้อ

          “ที่ผ่านมาตอนเรามีอะไรกัน เธอพูดเพราะล่อให้ฉันรุนแรงกับเธอหรอกเหรอ” ชายหนุ่มมองหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก

          “ก็คุณมันใจดี ขืนไม่ยั่วโมโห แล้วคุณจะกล้าทำหรือครับ” มือเล็กยกขึ้นโอบคอ แล้วโน้มหน้าเข้าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจชัดเจน “โดนผมแกล้งได้ขนาดนี้ คุณนี่มันเด็กจริงๆเลยเนอะ”

          และไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตั้งใจหรืออย่างไร อย่างน้อยมันก็ได้ผล

          “อ๊ะ” เสียงหวีดร้องดังขึ้นอย่างเผลอตัวเมื่ออยู่ๆก็โดนขยำเข้าส่วนอ่อนไหว เด็กหนุ่มมองคนที่ไม่เหลือเค้าความกังวลตรงหน้า แล้วเหยียดยิ้มให้คล้ายกับนึกดูถูก นั่นยิ่งทำให้แรงบีบแรงกว่าเดิม ความเจ็บที่โถมเข้ามาดั่งพายุทำเอาใบหน้าเนียนบิดเบี้ยวไปด้วยความทรมาน และในครั้งนี้ แม้จะร้องครวญครางแค่ไหน คนกระทำก็ไม่คิดจะเบามือลงเลยสักนิด

          “ชอบล่ะสิ” ชายหนุ่มกระซิบเข้าข้างหู และไม่รอฟังคำตอบ เขาก็กัดเข้าที่ติ่งหู ลิ้นอุ่นหยอกเย้ากับส่วนเนื้อที่ขบกัดไปมา ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงหวีดร้องและแรงขัดขืนที่ไม่แน่ใจว่าแสดงหรือเป็นเรื่องจริงเลยสักนิด ในตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องจะจัดการคนตรงหน้าอย่างให้ไรสาแก่ใจและปลดเปลื้อง ความหม่นหมองที่ดองอยู่ในใจให้หายไปจนหมดเสียที

          “ชอบครับ...” เสียงหวานตอบอย่างระทดระทวย “ยิ่งเพราะคุณเป็นคนทำ...ผมยิ่งชอบจนแทบคลั่งอยู่แล้ว...อึก”

          ดวงตากลมเลื่อนมองไปยังเบื้องล่างที่โดนพันธนาการเอาไว้เสียแน่น แรงบีบนั้นกลับทำเอาอารมณ์ที่ปกติไม่ควรจะเกิดพุ่งสูงจนพยายามต่อต้านแรงบีบเต็มกำลัง แรงรั้งจากมือที่พยายามจะบีบให้อารมณ์ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ สร้างความเจ็บปวดให้เป็นอันมาก กระนั้นความสุขและความเสียวซ่านกลับแล่นไปทั่วร่างไม่แพ้กับความร้าวรานเลยสักนิด

          เมื่อสิทธิ์เองก็ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มจึงจัดการแทรกตัวเข้าไปอย่างไม่มีพิธีรีตรองหรือการบอกกล่าวให้เตรียมใจแต่อย่างใด เสียงร้องดังลั่นสลับกับเสียงหอบ ร่างสูงตรงหน้าไม่แม้แต่จะหยุดนิ่งให้เตรียมใจ เขาสาดอารมณ์รักใส่ไม่ยั้ง จนคนที่รองรับอารมณ์ได้แต่ระบายความสุขสมและความเจ็บปวดออกมาด้วยเสียงแทน

          “คุณสิทธิ์...” เสียงหวานที่ดังแหบพร่าดังขึ้น “ผมรักคุณ...จริงๆนะครับ...”

          ดวงตาเรียวจ้องมองคนตรงหน้า ความรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อครู่ไม่รู้ว่าปลิวหายไปตั้งแต่เมื่อใด และในตอนนี้หัวใจยิ่งพองโตกว่าเดิม เพราะนอกจากคำรัก ร่างเล็กตรงหน้ายังเข้าสวมกอดตนแน่นทั้งที่เขากระทำรุนแรงแท้ๆ

          ชายหนุ่มไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไป เขาเพียงแต่ดำเนินกิจกรรมที่ค้างคาให้เสร็จสมอารมณ์หมาย เสียงร้องคราญยังคงดังต่อเนื่องจนกระทั่งสิทธิ์หยุดเคลื่อนไหว เขามองเด็กหนุ่มที่เปรอะไปด้วยอารมณ์ทั้งของเขาและของตัวเอง และทั้งที่เพิ่งจะเสร็จไปแท้ๆ แต่กลับมีอารมณ์ขึ้นมาทันทีเพียงเพราะอยากจะขย้ำคนตรงหน้าให้ยับเยินกว่าเดิม

          “แล้วจะรออะไรล่ะครับ”

          ร่างสูงกระตุกไปกับคำพูดที่เหมือนกับอ่านใจได้ เดียร์ปรือตามองคล้ายกับอ่อนแรง เด็กหนุ่มปาดสิ่งที่เลอะท้องน้อยของตนขึ้นมาป้ายใส่หน้าอีกฝ่าย รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นนั้นดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ หากแต่แววตากลับตรงกันข้าม

          สิทธิ์เลิกคิ้วมองคนที่ยั่วอารมณ์ตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดความกังวลและลังเลทิ้งไปในบันดล
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: musddmp ที่ 26-04-2015 12:50:34
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore
         
ตอนที่ 59 (จบ)
          “เธอรู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนหรือ”

          ดวงตากลมเพียงแต่หันมองคนที่เพิ่งสุขสมอารมณ์หมายที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ข้างตน ท่าทีดูผ่องใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน...ก็แน่ล่ะ จัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก ไม่มีเกรงใจไปเสียหลายรอบ แถมยังดูกระชุ่มกระช่วยกว่าก่อนหน้าเสียอีก

          “หมายถึงเรื่องไหนหรือครับ ที่คุณตั้งใจเข้าหาผมเพื่อแกล้งพี่ หรือเรื่องที่ผมเป็นมาโซฯ”

          “ระ...เรื่องแรกสิ” สิทธิ์เกือบสำลัก แม้ใจจริงจะแอบนึกอยากรู้อยู่หน่อยๆก็ตาม

          “ตั้งแต่ตอนที่คุณมาชวนผมไปกินข้าวที่ร้านน่ะครับ”

          ที่จริงคนฟังก็พอจะเดาๆได้ว่าน่าจะเป็นช่วงแรกๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะตั้งแต่ตอนนั้นเลย ยิ่งเห็นรอยยิ้มกว้างอันเจิดจ้านั่น เล่นเอาสิทธิ์อายจนแทบอยากมุดดินหนีเลยทีเดียว

          “ที่จริง...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ” ชายหนุ่มแก้ตัวเสียงอ่อยพลางซุกหน้าเข้ากับเข่าของตน

          “อันนั้นผมก็รู้ครับ” สิทธิ์ถึงกับหันขวับมองหน้าคนที่ยังยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ตนพูดเมื่อครู่ “ผมรู้ว่าคุณตั้งใจจะมาตีสนิทกับผมแบบปกติ แต่ผมทำให้มันเป็นแบบโซ่แส้กุญแจมือเองล่ะครับ ฮะๆ”

          ยิ่งหัวเราะเหมือนกับเรื่องที่พูดเป็นเรื่องธรรมดา ชายหนุ่มก็แทบจะอ้าปากจนแมลงวันบินเข้าไปตีลังกาเล่นได้หลายตลบ

          “เธอนี่มัน...ไม่อยากจะเชื่อเลย...” สิทธิ์ว่าก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “นี่สรุปฉันเดินตามเกมเธอทุกอย่างเลยอย่างนั้นสิ”

          เด็กหนุ่มพยักหน้าให้ “ใจจริงผมก็ทำไปเพียงแค่ชอบความรุนแรงของคุณ...” พูดเพียงแค่นั้นก็กลับมาทำสีหน้าเขินอายสะกดคนมอง “แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบคุณได้ยังไง หรือตอนไหน...รู้ตัวอีกที ก็ชอบจนขาดไม่ได้แล้ว...”

          สิทธิ์รู้สึกเหมือนร้อนๆที่หน้า ก่อนจะหันไปมองอีกทางด้วยความเขินอาย ยิ่งตอนนี้คนพูดไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะให้ชาวบ้านชาวช่องเห็นได้ ยิ่งทำเอาอารมณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหวนกลับคืนมาอีก แต่เพราะไม่อยากจะให้เสียโอกาสคุยกัน จึงได้แต่ท่องสูตรคูณข่มความต้องการภายในเอาไว้แทน

          “ผมไม่คิดเลยนะครับว่านอกจากจะเผลอไปรักคุณ ยังทำให้คุณชอบความรุนแรงไปด้วย” เสียงหวานเอ่ยออกมาคล้ายสำนึกผิด หากแต่หน้ากลับดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “คุณต้องให้ผมชดใช้ให้สาสมกับความผิดที่ผมทำไปนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดจนตายแน่ๆ”

          ชายหนุ่มแสดงอาการไม่แน่ใจนัก แม้ในตอนนี้จะรู้อยู่แล้วว่านั่นเป็นเรื่องน่ายินดีของอีกฝ่ายก็ตาม

          “ฉันต้องให้เธอชดใช้แน่” เสียงทุ้มฟังดูไม่เด็ดขาดนักจนเดียร์หน้างอ “อะไรกันล่ะ อย่างน้อยมันก็ต้องเป็นในแบบของฉันสิ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าลงโทษหรือไงล่ะ จริงไหม”

          เดียร์ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อนัก

          “ไม่ว่ายังไงฉันก็จะถามเธอก่อนลงมือ ตกลงนะ” คำประกาศกร้าวนั่นทำเอาคนฟังแสดงอาการเหมือนพนักงานโดนลดเงินเดือน “อย่างน้อยๆฉันก็อยากจะทำอย่างสบายใจนี่นา”

          “ครับๆ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อน “ก็คุณมันมือใหม่นี่นา ก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆสอนกันเนอะ ยังไงเราก็มีเวลากันทั้งชีวิตอยู่แล้วนี่นา แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้อย่างที่ผมต้องการหน่อยละกัน บอกไว้ก่อนว่าผมมันโลภมากนะ”

          มาถึงก็เริ่มทดสอบความสามารถกันทันทีเลย แต่สิทธิ์ก็ไม่ได้ตอบสนองตามที่อีกฝ่ายต้องการ เขาเพียงแต่ทำหน้านิ่งแล้วเชยคางเล็กคนตรงหน้า และยิ้มให้แต่เพียงปาก

          “ไม่ต้องห่วง อย่างน้อยก็ผ่านความต้องการขั้นต่ำของเธอแน่”

 

          ใจจริงวินก็เข้าใจความรู้สึกอยู่หรอก เพียงแต่ในขณะที่ตนกำลังยุ่งจนหัวหมุน ไอ้ผู้ช่วยแสนดีกลับทำหน้าระรื่นทั้งที่งานของมันก็เยอะไม่ต่างจากตนเลยสักนิด ทำเอาหงุดหงิดขึ้นมาทั้งที่ไม่อยากเสียจริงๆ

          “เลิกยิ้มหน้าบานสักทีได้ไหมวะ” พอเดินเข้ามาวินก็บ่นใส่ทันที “เดี๋ยวฉันก็ชกหรอก”

          ดูมัน...ยังจะมายื่นหน้าให้อีก

          “จะให้คนอื่นเขาเข้าใจว่าฉันเป็นพวกใช้กำลังแบบไม่มีเหตุผลหรือไงวะ” วินเริ่มโวยวาย

          “มากลัวอะไรเอาป่านนี้ละครับ คนอื่นเขาเข้าใจแบบนั้นกันทั้งบางแล้วล่ะ” คำตอบของคนหน้าบานทำเอาหนุ่มแว่นเบิกตา “แต่เขาก็เข้าใจว่าคุณไม่มีเหตุผลแค่กับผมเท่านั้นนะครับ ไม่ต้องห่วง”

          วินทำท่าเหมือนอยากจะด่า แต่ท้ายที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแทน

          “โธ่ ก็ผมมีความสุขนี่ครับ จะให้ทำหน้าบึ้งหรือไง” เมื่อเห็นประธานหนุ่มเอาแต่เซ็งไม่เลิก ชาก็สารภาพออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขจนคนฟังรู้สึกเลี่ยน “หรือคุณไม่มีความสุขล่ะครับ”

          “เออ มี” น้ำเสียงนั้นสุดแสนจะเบื่อหน่ายเต็มทน ก่อนจะเริ่มยิ้มพราย “ได้อยู่กับที่รักทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ใครมันจะไม่มีความสุขกันบ้างละครับ”

          ถึงกับหน้าซีดทันควัน

          “อ้าว ชอบให้แกล้งไม่ใช่หรือไงจ๊ะ” วินยังหยอกไม่เลิก นึกเสียดายที่กำแพงเป็นกระจกเหลือเกิน ไม่อย่างนั้นคงจะแกล้งให้หนักกว่านี้อีก “ยังไงเราก็เป็น ‘คนรัก’ กันแล้วนี่ จะมีโมเมนท์แบบนี้บ้างมันจะแปลกอะไรล่ะ หรือนายไม่ชอบ”

          เลขาหนุ่มยังคงยืนหน้าแดงไม่เลิก...ซึ่งไม่รู้ว่าวินคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มคบมา เหมือนเขาจะเห็นชาทำสีหน้าแบบที่ไม่เคยเห็นเยอะเป็นกอง ชวนให้แปลกใจและอยากขุดคุ้ยให้มากขึ้นไปอีกเสียเหลือเกิน

          “คุณนี่มันขี้โกงจริงๆนะครับ...” เสียงทุ้มนั้นติดขัดจนคนฟังต้องกลั้นหัวเราะ “ผมอุตส่าห์ได้โดนคุณแกล้งอย่างเปิดเผยได้ขนาดนี้ แถมยังได้คบกับคุณอีก แล้วจะให้ผมอดทนทำหน้านิ่งได้ยังไงล่ะครับ แค่นี้ก็จะตายเพราะความสุขจุกอกจะแย่อยู่แล้ว”

          จากที่กำลังนึกหาเรื่องแกล้งเพลินๆ ถึงกับเกือบตกเก้าอี้

          “เออๆ งั้นก็ไปทำงานได้แล้ว” วินโบกมือไล่แล้วหันไปทางอื่น “ไปสิ ฉันยุ่ง ไม่ว่างมาคุยกับนายทั้งวันหรอกนะ”

          แม้จะแอบสงสัยว่าทำไมต้องหลบหน้า แต่เพราะเข้าใจว่าคงเบื่อจะเถียงด้วย ชาเลยจากไปแต่โดยดี ไม่รู้เลยว่าตอนนี้หน้าของเจ้านายตนนั้นแดงมากแค่ไหน

 

          ฤทธิ์มองคนที่นอนนิ่งเหมือนศพอยู่บนเคาท์เตอร์บาร์ในร้านอย่างหงุดหงิด ในตอนนี้แทบจะเรียกว่านี่เป็นภาพคุ้นเคยที่จะได้เห็นกันทุกคนก่อนเปิดและปิดร้านเป็นประจำ และสร้างความโกรธาให้แก่ผู้ช่วยผู้จัดการเสมอ...ซึ่งแม้จะไม่มาก แต่ตอนนี้มันก็สะสมมาไว้นานจนจะเต็มลิมิตแล้ว

          และก็ไม่ทนให้เสียสุขภาพจิตนานนัก ฤทธิ์เดินเข้าไปเขกหัวคนนอนเต็มแรง จนเหล่าลูกน้องพากันกระตุกยกใหญ่ ในขณะที่คนโดนทำร้ายกลับแค่ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียเท่านั้น และตื่นเต็มตาทันทีที่โดนตบเข้าข้างแก้มหนึ่งฉาด

          “...เป็นอะไร คุณฉัตรแกล้งนายมาหรือไง” กระทั้งท่าทีของหนุ่มแว่นกลับดูปกติเหมือนความรุนแรงก่อนหน้าไม่ได้ส่งผลกระทบเลยสักนิด

          คำถามนั้นก็ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดอยู่แล้ว โมโหร้ายยิ่งกว่าเดิม

          “ก็นายนั่นล่ะ” ไม่ว่าเปล่ามีตบเข้าอีกฉาด “ก่อนหน้านั้นทำเป็นบอกว่าอยากมีเวลาอยู่ด้วยกันลำพัง...แล้วนี่เรอะ ที่แกอยาก วันๆเอาแต่นอนๆๆๆ กลับบ้านก็นอน อยู่ที่นี่ก็นอน เนี่ยนะอยู่ด้วยกัน...ถ้าอยากนอนนัก ฉันจะให้นายนอนไปตลอดชีวิตเลยดีไหม”

          ก้องนั่งหน้ามึนไปพักใหญ่ ก่อนจะขยับแว่นที่เบี้ยวเพราะโดนลูกตบกลับมาเข้าที่

          “ก็มันสบายใจนี่นา เลยง่วงเอาๆ” เหตุผลทำเอาเส้นเลือดตรงขมับหนุ่มตาตกปูดกว่าเดิม “หรือนายจะเหงามือที่ฉันไม่ไปนอกใจกันล่ะ หืม...แต่ตอนนี้จะอยากตบตีฉันเมื่อไหร่ก็ได้แล้วนี่นา...หรือจริงๆอยากให้ฉันไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น...”

          “ไม่ว้อย” ฤทธิ์ร้องลั่นพร้อมกับชกออกไปอย่างลืมตัว ใบหน้าเรียวนั้นขึ้นสี แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะสาเหตุใดกันแน่ “ก็นายบอกว่าคิดถึงอย่างโน้น เหงาอย่างนี้ ไอ้ฉันก็คิดว่าคงมีอะไรบ้างนี่ ไม่ใช่นั่งๆนอนๆ ทำงานอืดๆแบบนี้สักหน่อย”

          สรุปคืองอนนี่เอง

          “เมื่อก่อนก็ยังจะดีซะกว่า...แต่อย่ากลับไปทำอีกนะว้อย” ตัดพ้อไม่ทันจบดี ก็ขู่ขัดเสียก่อนราวกับกลัวจริงๆจังๆว่าพ่อแว่นแกจะกระโดดไปคว้าใครก็ตามแถวนี้แทบจะทันที “อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไปเพราะอยากให้หึง...แต่ดูตอนนี้สิ ทำเหมือนไม่ใช่แฟนกัน”

          ก้องอ้าปากหมายจะพูด แต่พอเห็นท่าทีที่ดูน้อยใจเสียเหลือเกินก็หยุดไป ก่อนจะลูบหัวอีกฝ่ายที่ซุกหน้าลงบนเคาท์เตอร์แทน เล่นเอาฤทธิ์ถึงกับนิ่วหน้ามองด้วยความงงงวย

          “ถึงฉันจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ฉันก็รักนายนา” ก้องว่าโดยที่ยังลูบหัวอีกฝ่ายไม่เลิก “ไม่อย่างนั้นจะลงทุนไปช่วยนายจากไอ้ปลิงนั่นหรือ”

          ฤทธิ์ค้างไปพักใหญ่ ก่อนจะออกอาการลุกลี้ลุกลน

          “ที่สำคัญคือ...” เนื่องจากไม่อยากจะแกล้งนักเลยตัดบทพูดต่อ “ฉันไม่ถนัดไล่ตามเท่าไหร่เนี่ยน่ะสิ ถนัดเป็นฝ่ายโดนไล่มากกว่านี่นา”

          “ก็แค่แสดงออกมาอะไรสักอย่างก็ได้นี่นา” หนุ่มตาตกโวย “...จะบอกรักสักคำยังไม่มี...”

          “รักนะ”

          เมื่อครู่เขาแค่กระซิบบ่นกับตัวเองแท้ๆ ไอ้บ้านี่กลับหูผีเสียนี่

          “รักนะ” โดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวในครั้งแรกก็ทำเอาหน้าแดงไปหมด ยิ่งเจอมันปล่อยก๊อกสองด้วยใบหน้านิ่งๆ รอยยิ้มดูอบอุ่นสมวัย ยิ่งทำเอาใจเต้นรัว เท่านั้นยังไม่พอ มีฉวยมือเขาขึ้นไปจูบแล้วช้อนตามองอีก “ฉันรักนายมากนะ”

          คนฟังใช้มือที่ยังว่างอยู่จับหน้าอกตัวเองจนเสื้อยับ ท่าทางเหมือนคนหัวใจจะวาย

          และยังไม่ทันที่ก้องจะได้ถาม เขาก็โดนคนตรงหน้าคว้าตัวเข้าไปจูบแทน

          “ก็แค่เนี้ย ทำได้ก็ไม่รู้จักทำ” หลังจากถอนตัวออกมาก็บ่นอุบแบบไม่สนใจลูกน้องแต่อย่างใด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสนใจกับภาพชินตาอยู่แล้ว

          “ก็มันเขินนี่นา” ปากบอกว่าเขิน แต่ดูไม่เหมือนเลยสักนิด “อีกอย่าง...ฉันไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้ตรงๆเท่าไหร่นี่น่ะสิ...มันเขินจริงๆนะ...”

          พอเห็นอีกฝ่ายออกอาการเหมือนดั่งที่พูดสักที ใจที่สู้อุตส่าห์ระงับเอาไว้แล้วก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้งจนได้

          “พอ” ฤทธิ์ลุกขึ้นทุบเคาท์เตอร์เสียดังจนทุกคนพากันสะดุ้ง ชายหนุ่มกระชากร่างผู้จัดการหน้าแว่นไปยังห้องพักพนักงาน แล้วก็โยนเข้าไปด้านในแบบไม่มีเห็นใจกันเลยสักนิด

          “ขอพักครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไรคอขาดบาดตาย ก็ทิ้งเรื่องเอาไว้ก่อน”

          หลังจากบอกกับลูกน้องจบก็หายเข้าไปด้านในทันที พวกเขาต่างมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ เพราะรู้ดีว่าแค่ครึ่งชั่วโมงน่ะ มันไม่พอหรอก

 

          เดียร์สะดุ้งเมื่ออยู่ๆก็มีมือปริศนาเข้าขย้ำเอวทั้งสองข้างของตัวเองเต็มแรง เด็กหนุ่มหันขวับไปมองน้อยที่ยิ้มให้ตัวเองก่อนจะลงมือแกล้งเขาอีกครั้ง

          “โอ๊ย พอเถอะครับ” เด็กหนุ่มขอปนเสียงหัวเราะ “เดี๋ยวผมก็ขาดใจตายหรอก”

          “แหม หมั่นไส้ๆ” เจ้าของร้านว่าพร้อมกับแกล้งอีกดอกสุดท้ายก่อนจะยอมเลิกรา “แหมๆ ไปฮันนีมูนกับคุณสิทธิ์แค่ไม่กี่วัน ก็ตกลงปลงใจเข้าหอกันเลยนะจ๊ะ”

          ยังครับ ยังไม่ได้ไปขั้นนั้น

          “แหม แต่พี่ก็ดีใจกับเธอจริงๆนะ” เธอว่าพลางวางช่อดอกไม้เข้าตู้แช่ “ถึงจะทำงานกันแค่สี่ปี แต่พี่ก็รู้ว่าเธอเป็นคนดีมาก สมควรจะเจอเรื่องดีๆแล้วล่ะ”

          เดียร์ได้แต่ยิ้มค้าง...ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีจริงๆนั่นล่ะ...เสียแต่ไอ้เรื่องที่เขาเป็นคนดีนี่มันไม่เฉียดความจริงแม้แต่ผิวเลยน่ะสิ

          “แล้วนี่จะลาออกหรือเปล่าเนี่ย เห็นคุณสิทธิ์เองก็ดูจะอยากให้เธอออกเหมือนกันนี่” หลังจากหน้าบานเป็นกระด้ง ก็กลับมาห่อเหี่ยวพร้อมกับถามเรื่องเครียด

          “ยังไงผมก็ไม่ออกง่ายๆหรอกครับ ไม่ต้องห่วง” คำตอบของพนักงานแสนดีทำเอาเจ้าของร้านตัวลอย “ผมชอบทำงานเลี้ยงตัวเองมากกว่า ไม่ค่อยถนัดเรื่องพึ่งคนอื่นเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย...แถมจะให้ไปนั่งๆนอนๆ อยู่นิ่งๆมันไม่ใช่นิสัยผมน่ะครับ”

          “แหม ขยันจริงนะเรา แต่พี่ก็ชอบ~” น้อยว่าพลางตบหลังเดียร์ “แล้วแต่งเมื่อไหร่อย่าลืมบอกพี่ด้วยนะ รับรองว่าพี่จะไปใส่ซองให้เธอแน่ๆ”

          ทีแรกเดียร์ก็คิดว่าไอ้งานแต่งมันคงไม่มีหรอก แต่หลังจากตกลงคบกัน เห็นสิทธิ์ไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับงานแต่งมาหลายเล่ม เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าจะได้สมใจหัวหน้าของตนหรือเปล่า

          “แต่ถ้าได้แต่งจริง ผมก็อยากให้พี่น้อยมาช่วยจัดงานให้ผมนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงอ้อนปนแซว

          “แหม แน่อยู่แล้วล่ะ รับรองว่าจะใช้กุหลาบของชอบเธอเป็นเมนหลักในงานแน่นอน” เจ้าของร้านว่าพลางหยิบกุหลาบออกมาจากแจกันขึ้นมา “เรานี่ก็โรแมนติกใช่เล่นเลยนะ ชอบกุหลาบเนี่ย”

          เดียร์ได้แต่ยิ้มรับ แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาชอบกุหลาบไม่ใช่เรื่องหวานแหววอย่างที่ใครเขาเข้าใจหรอก…ก็ดูหนามมันสิ…

          การสนทนาจบลงเมื่อเสียงกริ่งของประตูดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของชายทั้งสองที่คุ้นเคยเดินเข้ามาตามปกติอย่างที่มักเป็น เว้นเสียแต่ว่ารอบนี้วินไม่ได้ทำท่าหลุกหลิกเหมือนกลัวใครจะมาเห็นเข้าก็เท่านั้น

          เด็กหนุ่มก็ไม่แปลกใจนักหรอก หลังจากมาริสาได้แก้แค้นสมใจ และเข้าใจว่าเขาเป็นคนช่วยให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ดูหญิงวัยกลางคนจะเริ่มลดความเกลียดชังที่มีต่อตัวเขาลงไปมาก อย่างน้อยเธอก็เลิกกีดกันวินมาเจอกับตนไปเลย จนคุณพี่ชายถึงกับดี๊ด๊าออกหน้าออกตา เทียวไปเทียวมาหาตนทุกเช้าเย็นแทน...ซึ่งนั่นทำให้ชาหงุดหงิดขึ้นมาแทน

          “เดียร์จ๋า” หนุ่มแว่นทักเสียงระรื่นพร้อมเข้าไปกอดร่างเล็กแน่น จนคนที่ตามมาข้างหลังออกอาการเส้นเลือดปูด “สบายดีไหม”

          “ครับ” ซึ่งก็ไม่รู้จะถามอะไรมากมายเสียขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจหรือเบื่อหน่ายแต่อย่างใด “แล้วพี่ล่ะครับ ผมคิดถึงพี่มากเลย...”

          แน่นอนว่าใจจริงก็ไม่ได้คิดถึงมากขนาดนั้นหรอก แค่อยากแกล้งไอ้คนข้างหลังวินก็เท่านั้น

          “นี่ตกลงนายคิดดีจริงๆแล้วใช่ไหม” หลังจากแสดงความรักกันจนคุณเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์เริ่มเก็บอาการฟินไม่อยู่ วินก็เอ่ยถามน้องชายออกมาด้วยความกังวล และนั่นทำเอาน้อยต้องหนีลงไปใต้เคาท์เตอร์เพื่อกรี๊ดในใจ “กับไอ้หมานั่นน่ะ...”

          “ครับ” เสียงหวานตอบอย่างหนักแน่น ทั้งรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความสุข ทำเอาคนค้านจุก “อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมเข้าใจว่าพี่เป็นห่วง แต่พี่เองก็ต้องมีชีวิตของพี่ ผมเองก็ต้องมีชีวิตของผม อย่างน้อย นี่ก็เป็นทางที่ผมตั้งใจเลือก ต่อให้ต้องเสียใจทีหลัง ผมก็พอใจครับ...พี่เองน่าจะกังวลเรื่องของพี่มากกว่านะ”

          วินทำท่าเหมือนจะอาเจียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเจื่อน “อ่า...นั่นสินะ...ฉันยอมก็ได้”

          ก็พูดแบบนี้ทุกที แล้วพอวันต่อมาก็กลับมาพูดใหม่อย่างกับเล่นเทปซ้ำเสียอย่างนั้น

          “นั่นสิครับ ผมว่าคุณเลิกเป็นห่วงคุณเดียร์ได้แล้วล่ะครับ เขาน่ะ มีความสุขสุดๆแน่นอนอยู่แล้ว” ชาเสริมขึ้นมาอย่างหงุดหงิดทั้งยังส่งสายตาอาฆาตใส่ นี่ถ้าไม่เกรงใจคงจะไปคว้าแขนวินออกมาแล้ว

          ที่จริง เขาก็ไม่ได้อยากจะขัดขวางความสุขใครหรอกนะ แต่หมั่นไส้ ทำไงได้

          “ไม่หรอกครับ ผมดีใจที่พี่วินเป็นห่วงนะ” ไม่ว่าเปล่ามีเข้ามากอดแขนแน่น จนชาเผลอกัดปาก ยิ่งเห็นเจ้าเด็กตัวเล็กกว่ามันไซ้แขนพี่ชายจนดูเกินเลยแล้วยิ่งอยากจะเข้า ไปยันมันให้หงายเสียเหลือเกิน “เมื่อก่อนเราพบกันบ่อยไม่ได้ ตอนนี้คุณแม่เองก็ไม่ว่าอะไรแล้ว ถ้าไม่ลำบาก พี่จะมาหาผมทุกวันเหมือนที่เป็นอยู่แบบนี้ได้ใช่ไหม”

          ฮะๆ ที่จริงก็ไม่ค่อยชอบแกล้งชาวบ้านเท่าไหร่หรอกนะ แต่เว้นคุณชาไว้สักคนละกัน

 

          เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินยาวในอพาร์ตเมนต์ที่เดิมที่แสนคุ้นเคย สภาพของที่นี่ก็ยังดูขลังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไฟรายทางติดๆดับๆตามสภาพการใช้งานและการดูแล สีผนังซีดทึมเก่าแก่ไร้ซึ่งการทาทับใหม่เป็นสิบปี ยังดีหน่อยที่รักษาความสะอาดได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งค่าเช่าก็ถูกแสนถูกต่อความกว้างห้องที่พอรับได้ จึงทำให้อพาร์ตเมนท์แห่งนี้อยู่มาได้ถึงสามสิบปี

          เดียร์เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อประตูห้องของตนไม่ได้ล็อกไว้อย่างที่ควรเป็น และยังไม่ทันจะได้เอื้อมมือไปจับลูกบิด บานประตูก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กโดนคนด้านในดึงพรวดเข้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัว คว้าเข้าไปกอดเสียแน่น

          “คุณสิทธิ์มาได้ยังไงครับเนี่ย” เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจและเป็นปกติ แม้อีกฝ่ายจะกอดตนเต็มแรงจนกระดูกแทบหักก็ตาม “อย่างน้อยก็น่าจะบอกก่อน”

          “ฉันคิดถึงนี่” ทั้งที่เป็นอารมณ์เดียวกับของพี่ชายแท้ๆ แต่เสียงทุ้มที่รดเข้าหูนี้กลับทำเอารู้สึกหวาบหวามกว่าเยอะ “แล้วนี่เมื่อไหร่จะย้ายออกสักทีละ ไหนสัญญาว่าถ้าฉันยอมให้เธอทำงานที่ร้านพี่น้อยต่อ เธอจะยอมมาอยู่กับฉันไง”

          “แหม ใจเย็นๆสิครับ ผมอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี มีความทรงจำดีๆก็ตั้งเยอะ เลยเสียดายที่จะย้ายออกไปนี่นา” เสียงหวานเอ่ยอ้อนพลางซบหน้าเข้ากับแผงอกกว้าง “อย่างน้อยก็อยากจะอยู่กับมันจนกว่าจะหมดสัญญานะครับ”

          สีหน้าของหมียักษ์ดูคัดค้านอย่างเห็นได้ชัด “ก็ไปสร้างความทรงจำใหม่ที่บ้านฉันเลยไง ที่ๆไม่มีความทรงจำของฉันด้วยน่ะ ทิ้งๆมันไปเถอะ...”

          พอเห็นสิทธิ์ชะงักไปเล็กน้อย เดียร์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

          “พักนี้ชักจะทำตัวซาดิสม์เป็นธรรมชาติมากขึ้นแล้วนะครับ” เดียร์ว่ายังคงยิ้มไม่หุบ “นี่คงไม่ได้เอาไปใช้กับคนอื่นใช่ไหม”

          “หึงหรือไง” พูดเองชายหนุ่มก็อายเองเสียอย่างนั้น “ตะ..แต่ฉันไม่ได้เอาไปใช้กับใครหรอกน่า ก็แค่กับเธอคนเดียวเท่านั้นล่ะ”

          ริมฝีปากบางยิ้มกว้างอย่างพอใจ ก่อนจะยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มอีกฝ่าย สัมผัสนุ่มนิ่มเข้าข้างแก้มทำเอาคนตัวสูงกว่าหน้าขึ้นสี ชายหนุ่มจูบกลับตรงซอกคอ เพียงแต่แถมท้ายด้วยการกัดเพราะเขินปนหมั่นเขี้ยว

          “เหมือนฝันไปเลย...” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะกอดร่างเล็กตรงหน้าแน่นขึ้น “ฉันไม่คิดเลยว่าเกิดเรื่องตั้งขนาดนั้น สุดท้ายกลับมามีความสุขได้มากขนาดนี้...”

          “นั่นเป็นเพราะผมไงละครับ” เดียร์ยิ้มร่า “ถ้าเป็นคนอื่น จบไม่สวยแบบนี้หรอก”

          สิทธิ์ได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง

          “แต่ถ้ากลัวว่ามันจะเป็นฝัน ผมแนะนำให้กอดผมไว้แน่นๆครับ อย่างที่เขาว่าถ้าเป็นความฝันมันจะไม่เจ็บไง เพราะงั้นก็กอดแรงๆจนผมรู้สึกเจ็บสิครับ จะได้รู้ไงว่าไม่ใช่ฝัน...หรือถ้ายังไงจะทำมากกว่ากอดก็ได้นะครับ”

          หมียักษ์มองหน้ามารตัวน้อยที่ยิ้มอย่างใสซื่อให้ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ และกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

          แม้จะอึดอัด แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกดีจนไม่อยากให้อีกฝ่ายผละออกไปเลย แขนเล็กโอบรัดคนตรงหน้าแน่น เพราะแม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ตัวเขาเองก็หวั่นกลัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอีกฝ่ายเลย

          ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้…

          วันที่ได้เจอใครสักคนที่ยังคงอยู่กับเรา…

          แม้จะรู้ข้อเสียของเราก็ตาม…


_____________________________
          TT^TT จบแล้วนะฮับ สำหรับเรื่องนี้ ที่เป็นแนวไม่เครียดแท้ๆ แต่เขียนยากชะมัด (ฮา) คงเพราะตัวละครแต่ละตัวล้วนแล้วแต่ชอบทำตามใจชอบ ไม่สนคนเขียนเอาเสียเลย(โบ้ยซะงั้น) กว่าจะจบได้นี่ก็มาไกลกว่าที่คาดไว้อีกแล้วเหมือนเดิม XD
          จบเรื่องนี้ คนเขียนมีแพลนต่อละ คิดว่าไม่นานก็คงลงต่อ หลังจากจัดการรวมเล่มเรื่องนี้ลงตัวแล้ว โดยเรื่องจะเชื่อมกับเรื่องนี้ (คาดว่าบางคนอาจจะเดาได้) และยาวกว่าเรื่องนี้...เผลอๆจะยาวกว่ารักทั้งทีฯ =_= แต่ยังคงเป็นแนวเดิมคือ หื่น+ตลก 555
          อย่างไรก็ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ตามมาจนถึงตอนนี้มากเลยงับ แม้จะอ่านอย่างเดียวไม่เมนท์ หรือมาเมนท์ให้ทุกตอน เรามีความสุขและมีกำลังใจทุกครั้งที่ได้อ่านเมนท์คนอ่าน หรือได้เห็นวิวขยับ XD
แล้วเจอกันเมื่อชะตาพาเรามาพบกันฮับ ><

          ตอนนี้เริ่มเปิดจองแล้ว ส่วนรายละเอียดจะอัพเดตทางเพจอีกทีงับ *0*


เรื่องต่อไปที่เขียน
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46623.0)
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: waterlily ที่ 27-04-2015 04:10:55
จบแล้วเรื่องนี้ อ่านแล้วรู้สึกดี๊ดี สนุกไปกับครอบครัวหนูเดียร์และการชิงไหวพริบระหว่างพี่ และ น้อง ของบ้านนี้

Ps. จะรอเรื่องต่อไปของนักเขียนนะคะ เพราะเรื่องนี้สนุกมาก  :hao5: :-[ :call: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 27-04-2015 05:39:51
สนุกมากกก >//<
ฟินไปกับเดียร์ที่ในที่สุดก็ไม่ต้องแอ๊บอีกต่อไป 555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 27-04-2015 16:55:07
สนุกมากค่ะ ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเลยค่ะ^^
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimkibog ที่ 28-04-2015 23:53:36
เราชอบสไตล์การเขียนของคุณมากๆ (แถมความซี๊ดซ๊าดมาด้วย  :jul1: )
ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายเรื่องนี้ เราอ่านแล้วมีความสุขมาก ทั้งฟินทั้งเลือดสาด  :pighaun:
ต่อไปเดียร์ไม่ต้องแอ๊บอีกแล้ว 55555555
จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-04-2015 23:41:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 30-04-2015 16:25:47
สนุกมาก ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 02-06-2015 20:22:37
เป็นSM ที่ทั้งฮาและลุ้นระทึกไปพร้อมกัน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 03-06-2015 10:13:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: llmup ที่ 04-06-2015 15:40:19
 :o8: เรื่องนี้เกินความคาดหมายไปมากทีเดียว555555
นายเอกตลกอะ5555 เล่นเนีบยเกินเอาซะพระเอกรู้สึกผิดตลอด
แต่คนเรากว่าจะเจอคู่แท้ยากเนอะ รักษาไว้ให้ดีๆค่ะ อิอิ เขินๆ  :z10:

ฟาดฉันสิที่รัก 555 ตอนอ่านเราเปิดเพลง ฟิฟตี้เฉดไปด้วย โอ้ยยยฟินแรง
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 04-06-2015 19:42:27
 o13 สนุกมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 28-06-2015 12:41:59
จบแล้ว กรี๊ดดด วางแผนจะใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือทั้งคู่
แต่ก็ดันห้ามใจตัวเองไม่ให้ตกหลุมรักของอีกฝ่าย
วินวินทั้งคู่ เดียร์จอมวางแผนแสบมากทุกคู่ป่วน
เพราะเดียร์เลย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: gwaiplay ที่ 28-06-2015 13:16:07
 o13
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 01-07-2015 12:17:20
สุดยอดมาก เอาซะอยากเดินสาย s เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: hczmtp ที่ 02-07-2015 20:39:50
เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก อ่านจบแล้ว แทบวิ่งไปซื้อแส้มา 55555555555
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 04-07-2015 11:56:51
เรื่องนี้55555 โอ๊ย คนพวกนี้
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 07-07-2015 22:26:35
 :z1: :m25: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-07-2015 17:15:14
เป็น sm ที่ฮามาก
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 09-07-2015 20:15:02
ชอบมากมาย
ฮามาก ยิ่งตอนแรกที่นางอยากโดนแต่มีเรื่องมาขัดได้จังหวะทุกทีนึ่ :laugh:

 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 19-07-2015 15:20:58
เป็นSM ที่สนุกมากๆๆๆๆๆๆเลยค่าาา.  :mew3:   :oo1:

 ชอบทุกคู่และทุกตัวละครเลย  :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 29-07-2015 11:00:05
ขำมากเลยเรื่องนี้  :laugh3:

สงสารสิทธิ์ แต่ก็เอาเถอะ ดูมีความสุขดีนะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 29-08-2015 14:01:04
 :pig4: เป็นsmที่เรื่องราววุ่นวายดีแท้ สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 31-03-2016 01:55:28
สนุกๆมากๆค่ะ เป็น sm ที่ฮามากแล้วก็ลุ้นมาก ขอบคุณกับเรื่องนี้ค่ะ ยิ่งชอบมากเป็นพิเศษที่คุณสิทธิ์เป็น s ตั้งแต่ตอนโรงพยาบาล อะไรจะดิบเถื่อนรุนแรงแต่อ่อนโยนขนาดนั้น กรี๊ดค่ะโดนใจสุดๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 04-10-2016 11:07:35
 o13 สุดยอดเลย สนุกมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 08-01-2017 21:04:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 13-01-2017 23:19:29
สนุกมากค่ะ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 17-01-2017 22:59:52
 :pighaun:สนุกมากค่ะ ขอบคุณนะค่าาาา
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 27-05-2017 08:29:37
ชอบมากเลย คิดถึงเลยย้อนกลับมาอ่ายใหม่
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 20-07-2017 15:10:45
สนุกมากกกกกก เป็นแนวที่หาได้ยากจริงๆ sm สายฮา 5555555 ไม่สงสารนยเอกเลยักนิด เชียร์ให้โดนจัดหนักตลอด เอิ้กๆๆ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 07-09-2017 19:07:02
โอ๊ยอึดอัดแทนเดียร์  ขัดใจจิงๆ เมื่อไหร่จะโดนโว้ยยยย :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 17-09-2017 09:33:21
_ :pig4: :pig4:อ่านจบแล้วจะมาโซตามเดียร์มั้้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 18-10-2017 18:00:53
สนุกมาก ฮามาก
ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องแลัวนึกว่าจะดราม่า
ไม่มีเลยจ้า ฮาๆ ใสๆ? วางแผน
ชอบที่บอกว่าน้องสาวเราร้ายที่สุด
เดียร์เป็นงั้นจริงๆ 55555
ไม่รู้จะสงสารใครในเรื่องดี
ทุกคนดูมีความสุขมาก
ขอบคุณที่เอามาลงจนจบนะคะ
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 09-04-2018 06:51:57
กลับมาอ่านรอบที่เม่าไหร่ก็ไม่รู้ ฟินนนน  :z1:
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 02-06-2018 19:45:17
มาอ่านอีกรอบ สนุกสุดยอดเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 15-08-2019 12:52:56
 :hao3: เดี่ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 16-08-2020 22:06:21
สุดยอดเลย :hao5: