รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักSMของหนุ่มดอกไม้ ตอนที่ 59 (จบ) p.12 (26/04/2558)  (อ่าน 136033 ครั้ง)

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 22.1 
         
          ในขณะที่ด้านล่างกำลังง่วนอยู่กับการลงโทษคนโกหก ที่ห้องนอนชั้นสองที่มืดสลัวก็กำลังมีกิจกรรมที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพัก
          เดียร์ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เสียงร้องของตัวเองจะหลุดความสุขใจออกมาบ้างหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นว่าสิทธิ์นั้นมัวแต่สนใจอยู่กับเรื่องอื่น จึงทำให้เด็กหนุ่มเลิกกังวล และตั้งใจกับสิ่งที่ควรจดจ่อ
          ร่างบางกระตุกขึ้นเป็นจังหวะเมื่อโดนเร่งเร้าเข้าที่ส่วนอ่อนไหว แม้จะทำเป็นขืนหนี ก็ไม่อาจพ้นจากสิ่งที่คอยคุกคามเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน จนต้องปล่อยให้อารมณ์ที่สู้กักเก็บไว้ไหลรินออกมา
          สิทธิ์สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าเรียวที่ชื้นเหงื่อออกอาการเหมือนคนเพิ่งได้สติ ชายหนุ่มมุ่นคิ้วมองคนตรงหน้าที่มีทีท่าทรมานปนอับอาย ผิวเนียนขาวนั้นชอกช้ำไปด้วยรอยจ้ำแดง ดวงตากลมฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำใส เสียงร้องที่ดังครางอย่างอ่อนแรงเพราะร้องมานานจนแทบจะไม่เหลือพลังจะต้าน
          “เป็นไง ไม่โวยวายอีกหรือไง” ไม่รู้ผีห่าซาตานที่ไหนดลใจให้พูด ทั้งที่ลึกๆแอบนึกสงสารอยู่แท้ๆ แต่พอเห็นใบหน้าปานจะขาดใจนี่ กลับรู้สึกสะใจและอยากเยาะเย้ยขึ้นมาเสียได้
          แล้วมีหรือที่คนกำลังมีความสุขจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอย
          “เลวที่สุด” เสียงหวานที่สั่นระริกดังแผ่วขึ้นท่ามกลางความมืดสลัว ใบหน้านวลที่ขึ้นสีนั้นอาบไปด้วยความขึ้งแค้นอย่างแสนสาหัส “ทำเป็นแต่เรื่องสกปรกโสโครก”
          เขากะว่าถ้าอีกฝ่ายร้องไห้กระจองอแงอ้อนขอกันดีๆ ก็จะปล่อยแล้วแท้ๆ แต่ถ้าจะวอนหาเรื่องไม่เลิกแบบนี้ล่ะก็ จัดใส่อีกสักสามสี่รอบท่าจะดี
          เดียร์เหลือกตามองด้วยความตื่นเต้นว่าพ่อหมียักษ์จะจัดมหกรรมความบันเทิงใดให้อีก ก่อนหน้านี้ก็กรุณาฉุดกระชากลากขึ้นเตียง และเข้าข่มเหงกันแบบไม่มีการถามความสมัครใจ จากนั้นก็คอยกรอกคำพูดโหดร้ายใส่หูให้ฟังเป็นระยะจนอิ่มหนำ เล่นเอาเขาสุขล้นจนจะหมดแรงอยู่แล้ว
          “จะทำอะไรน่ะ” ผมจะได้เตรียมแรงเตรียมใจรอรับมือ
          “ไม่ต้องหนีหรอกน่า รับรองว่าเธอต้องชอบแน่” สิทธิ์ชักขาที่พยายามกระถดหนีลงมาแล้วใช้มือหนาลูบขึ้นตั้งแต่หน้าท้องราบจนถึงลำคอเรียวบาง นิ้วเรียวค่อยๆบีบรัดทีละน้อย จนคนตรงหน้าออกอาการอึดอัด
          กว่าที่เด็กหนุ่มจะออกอาการทรมานเพราะขาดอากาศและเจ็บปวดจากแรงบีบก็นานเสียจนสิทธิ์กลัวว่าเดียร์จะตายไปเสียแล้ว มือเล็กพยายามปัดป่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงเสียดแทรกผ่านลำคออย่างยากลำบาก ดวงตากลมเบิกกว้างเสียจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกจากเบ้า
          สิทธิ์รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไปเสียก่อน เขาเลื่อนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานของอีกฝ่าย และยิ้มบาง
          มือหนาเลื่อนลงมาขยี้จุดไวสัมผัสสีสวย และไล้โลมอย่างหิวกระหาย แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะดื่มด่ำไปเสียตั้งมาก หากแต่กลับไม่นึกพอเลยสักนิด แถมยิ่งกระทำย่ำยีไปมากเท่าไหร่ กลับยิ่งต้องการมากขึ้นจนแทบหยุดไม่อยู่
          อยากเห็นอีก อยากทำอีก…
          “อ๊า” เสียงหวานแผดลั่นอย่างสุขใจพร้อมกับปล่อยให้อารมณ์ปะทุออกมาอีกครั้งอย่างไม่นึกปกปิด มือบางเอื้อมลงไปอย่างเผลอตัว หวังจะปลดปล่อยความสุขนี้ออกให้สมใจอยาก แต่กลับโดนขัดเสียได้
          เด็กหนุ่มเผลอตวัดสายตาขึ้นมองสิทธิ์อย่างลืมตัว อีกฝ่ายเพียงแต่ยกยิ้มและเอียงคอมองกลับมาอย่างไม่หยี่ระ เล่นเอารู้สึกเจ็บใจจี๊ดขึ้นเพราะไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้
          อึก….อารมณ์ค้างแบบนี้ก็ทรมานไปอีกแบบแฮะ โอ้ว เพิ่งจะรู้ว่ายังมีหนทางการทรมานตนแบบไม่ต้องรุนแรงจนเลือดตกยางออกแบบนี้ด้วย
          “ฉันรู้ว่าคนร่านกระสันเซ็กแบบเธอคงไม่พอใจแค่นี้หรอก ใช่ไหม” แหม…อยากจะขัดเหลือเกินว่าไอ้ที่ชอบจริงๆน่ะ เป็นอย่างอื่น แต่เอาเถอะ โดนมองอย่างดูถูกแบบนี้มันก็สุขใจจนไม่อยากขัดเลยจริงๆ “ดูสิ ขนาดฉันประเคนให้ตั้งไม่รู้กี่รอบ ยังอยากจะลงมือด้วยตัวเองอีกนะ”
          “เพราะคุณมันไม่มีน้ำยาจนผมต้องลงมือเองต่างหาก” ถนัดนักแล ไอ้เรื่องยั่วโมโหชาวบ้านแบบตรงจุดเนี่ย “ผมว่าถ้าเป็นคุณพี่ฤทธิ์ คงจะถึงใจผมมากกว่าอีกนะ”
          ก็ไม่อยากจะอ้างชื่อคุณพี่เขาหรอก แต่ทำแบบนี้มันกระตุ้นอารมณ์ยัวะของคุณสิทธิ์มากกว่าแน่ๆ คงไม่มีเจ้านายที่ไหนจะปลื้มที่ตัวเองอ่อนด้อยกว่าลูกน้องหรอก โดยเฉพาะด้านนี้
          ได้ผลดีแบบไม่ต้องรอลุ้น จากที่ทำท่าว่าจะเลิกเพราะเริ่มล้าที่ตะลุยมาเกือบสามชั่วโมงบวกกับเริ่มเห็นใจเดียร์ เรี่ยวแรงและความเหี้ยมมันก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ และเจ้าตัวก็อยากจะปลดปล่อยแบบให้หมดก๊อกเสียจริงๆ
          “โอ๊ย นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” เสียงหวานร้องลั่นเมื่อโดนอีกฝ่ายกดร่างตนให้นอนคว่ำ แล้วดึงมือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงคล้ายกับสิทธิ์กำลังรื้อหาอุปกรณ์บางอย่างจากโต๊ะข้างเตียง ผิวสัมผัสที่ทาบเข้ารัดข้อมือทั้งสองข้างบอกให้เดียร์รู้ว่าสิ่งที่พันธนาการให้แขนทั้งสองแนบติดกันคือสายรัดข้อมือที่ทำจากหนังมันวาว ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกดีถึงแรงเสียดสีของมันกับผิวกายของตน สายหนังตรึงรัดเขาไว้จนแน่น เล่นเอาความรวดร้าวแล่นสะท้านไปทั้งตัว
          “แทนที่จะบอกว่าฉันไม่มีน้ำยา น่าจะเป็นเพราะเธอร่านจนแค่ฉันคงเดียวคงไม่พอมากกว่าล่ะมั้ง”
          เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีบางสิ่งล่วงล้ำเข้าร่าง แต่ขนาดและความอึดอัดที่เบาบางบอกให้รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะระบายความใคร่ไปกับเขาก่อนหน้า และจากการขยับที่เคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระบบ ทำให้เขาเดาว่าน่าจะเป็นนิ้วของสิทธิ์
          “อะไรกัน ขนาดทำไปตั้งนาน แต่ยังคับไม่เปลี่ยนเลยนะ แบบนี้หรือเปล่าที่ทำเอาคนอื่นมาหลงเธอนักต่อนัก” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างนุ่มนวลแต่กลับชวนให้รู้สึกระคายหู สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ฟังในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง “ดูสิ ตอดไม่หยุดเลยนะ คงอยากมากล่ะสิ อย่างเธอ แค่สามสี่รอบคงไม่พอหรอกเนอะ”
          แหม อันที่จริงผมทำเรื่องพรรค์นี้แบบสำเร็จลุล่วงก็กับคุณเป็นคนแรกเลยนะ คิดแล้วยังเขินและปลาบปลื้มไม่หายเลย~
          “อึก…อย่าพูดอะไรบ้าๆแบบนั้นนะ ผม…ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นสัก…หน่อย” เสียงหวานดังขาดห้วงเป็นระยะเนื่องจากทนความหวาบหวามที่รุกล้ำอย่างดุเดือดไม่ไหว ยิ่งนึกถึงคำประชดส่อเสียดไปคอยพร่ำกรอกใส่หูอยู่ตลอดกิจ ทำเอาอารมณ์ที่เพิ่งดับลงเริ่มปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป
          แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอม
          ความรู้สึกที่กำลังจะปะทุดับวูบลงเมื่ออีกฝ่ายหยุดมือ ใบหน้าหวานพยายามหันมองด้วยความสงสัยปนหงุดหงิด และสิ่งที่เห็นเล่นเอาเขาสะท้าน
          ใบหน้าดูถูกเหยียดหยามที่อยู่ในระดับสูงกว่านั้น อีกทั้งดวงตาที่ฉายแววเยาะเย้ยถากถางโดยไม่ต้องใช้น้ำเสียง ช่างสร้างความสุขให้แก่เด็กหนุ่มจนล้นเปี่ยม เล่นเอาเดียร์หยุดหายใจไปหลายวินาทีเลยทีเดียว มันเป็นสีหน้าที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ก็ชวนให้หลงไม่รู้ลืม
          แต่แน่นอนว่าคนมองในตอนนี้เห็นเพียงแค่ว่า เดียร์ตกใจกับสีหน้าเหนือกว่า และอึ้งกับความโหดร้ายใจดำของเขา…แค่นั้น…
          “ทำไม อารมณ์ค้างหรือ อยากได้ต่อหรือไง” สิทธิ์ก็แค่อยากจะพูดเพื่อข่มเหงอีกฝ่าย ไม่ได้เดาใจคนที่นอนคว่ำอยู่ตรงหน้าได้สักนิด แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เดียร์หน้าถอดสี แล้วดูเหมือนอายและช็อกที่โดนคนที่เกลียดเดาใจได้ “ไหนลองขอดีๆสิ แล้วฉันจะทำให้”
          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ ใครจะ…ขอกัน” เสียงหวานกรีดร้องสุดเสียง หัวเริ่มหมุนเพราะโดนความสุขรุมเร้า “พอซักที…”
          เพราะถ้ายังไม่พอ บางทีผมอาจจะตัดใจไม่ลงแล้ววางแผนลากคุณเข้าเส้นทางสายเอสอย่างไม่มีวันหวนกลับเลยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน…อ๊า…คุณจะเก่งเรื่องทรมานคนเกินไปแล้วนะ~~
          “อะไร อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย ปล่อยให้แข็งแค่ตรงนี้ก็พอ” สิทธิ์เยาะพลางเลื่อนมือลงจับแก่นกลางของอีกฝ่าย และด้วยความหมั่นไส้กับขนาด เลยแกล้งบีบเสียแรงจนผู้เป็นเจ้าของร้องเสียงหลง “ดูสิ ออกจะอยากทำต่อขนาดนี้ จะมาพูดว่าพอได้ยังไงกัน”
          แหม่ ถ้าไม่ติดว่ากลัวคุณรู้ความจริง ผมก็อยากจะครางเสียงกระเส่าบอกความในใจของผมให้คุณฟังจัง
          เดียร์ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ ร่างกายสั่นระริกเพราะอยากจะวอนขออีกฝ่ายใจจะขาด เสียแต่ไม่อาจทำตามใจได้ จึงได้แต่มีความสุขกับความทรมานอยู่เช่นนี้
          ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิ์เข้าใจตรงข้ามทุกอย่าง ก็ถ้าให้คนทั่วไปดู ไม่ว่าจะนั่งดูหรือตะแคงดูก็เห็นเพียงแค่เดียร์ตัวสั่นเพราะไม่อยากจะอยู่ในสภาพนี้เต็มทน แต่ก็ไม่อาจต่อต้านร่างกายที่ร่ำร้องวอนหาการปลดปล่อยจากตัณหาที่ไม่พึงปรารถนานี่ได้ หากแต่ศักดิ์ศรีและความทะนงตนมันค้ำคอ จึงได้แต่นิ่งทนอยู่แบบนี้
          “ไง พูดสิ อดกลั้นไว้มันไม่ดีนะ” ไม่ว่าเปล่ามีลูบไล้ให้ใจระส่ำ หวังให้อีกฝ่ายทรมานเจียนตาย ไม่ได้รู้อะไรเสียเลยว่าที่ทำๆอยู่ให้ผลตรงข้ามหมด
          บอกตรงๆ ผมไม่แน่ใจว่าตรงนี้ผมควรจะยอมขอด้วยความอับอายดีหรือเปล่าน่ะครับ กลัวมันจะดูกระสันเกินไปจนคุณสังเกตได้น่ะสิ
          เพราะมัวแต่ลังเลนานเกินไป สิทธิ์จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายทะนงเสียจนไม่ยอมปริปาก คิ้วหนามุ่นเข้าหาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
          “ได้ เธอรนหาที่เองนะ”
          เดียร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจระคนตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่างบางโดนพลิกกลับมานอนหงายอย่างแรง มือทั้งสองข้างที่ยังโดนมัดไพล่หลังโดนน้ำหนักของร่างกดทับอย่างแรง สร้างความเจ็บแสนสุขจนเดียร์เผลอครางเสียงหลง และยังไม่ทันได้เตรียมใจ มือหนาก็ตรงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวอย่างไม่มีการทะนุถนอม จนผู้เป็นเจ้าของกระตุกเกร็งร่างขึ้น เมื่อเดียร์พยายามแสร้งทำเป็นขืนหนี พ่อหมีแสนดีก็บีบท่อนเนื้อในมืออย่างไม่ปรานี จนเดียร์ได้แต่ยอมสยบแต่โดยดี
          “คะ…คุณจะทำอะไรน่ะ…” เสียงหวานร้องลั่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของร่างสูง
          “เดี๋ยวก็รู้” สิทธิ์เอ่ยเป็นนัย จากนั้นก็เอาสายหนังเส้นเล็กพันธนาการแก่นกลางเอาไว้จนแน่นพอที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่อาจไปถึงฝั่งฝันอย่างที่ควรเป็น “นี่ของดีเลยนะ ฤทธิ์เป็นคนเลือกให้กับมือเลยล่ะ ถูกใจไหม”
          อ๊าก ตอนนี้ผมอยากจะวิ่งไปกราบแทบเท้าคุณพี่เขาจะแย่อยู่แล้ว ซึ่งถ้าให้ดี ก็อยากจะลองโดนเท้าของคุณพี่เหยียบเข้ากลางหลังจังเลย
          “อย่ามาพูดแบบนั้นนะ คุณพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย เขาไม่มีทางซื้อของแบบนี้มาแน่!”
          “ทำไมจะไม่จริงล่ะ ก็ในเมื่อฤทธิ์เขาเกลียดนายจะตาย เขายังบอกอีกนะว่าของแบบนี้ เหมาะกับคนวิปริตอย่างเธอที่สุด”
          ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงเปลี่ยนเป้าหมายไปแล้วล่ะ…เอ๊ย ไม่ได้สิ ลืมไป เขามีเจ้าของแล้ว และผมก็กำลังปฏิบัติงานอยู่
          “คนที่มันวิปริตก็คือคุณที่เอาของทุเรศๆแบบนี้มาใช้ต่างหาก” เด็กหนุ่มร้องด้วยน้ำเสียงสั่นและแหบพร่า “พี่ฤทธิ์เขาไม่ได้เกลียดผมสักหน่อย อย่ามาโกหก…อึก”
          “ฉันจะโกหกไปทำไมกันล่ะ ลองไปถามดูสิ” เสียงทุ้มเย้ยหยัน “แต่ตอนนี้ฉันว่าเธอน่าจะห่วงตัวเองดีกว่านะ”
          ร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อโดนปลุกเร้าอีกครั้ง นิ้วชุ่มลื่นสอดแทรกเข้ามาภายในกายทีละน้อย ดวงตาเรียวมองใบหน้าเรียวที่ชื้นเหงื่อและขึ้นสีแดงระเรื่อ ท่าทางของเดียร์นั้นดูทรมานเสียจนน่าสงสาร
          หากแต่สิทธิ์กลับยิ้ม
          “อึก…พอสักที…” เสียงหวานวอนขออย่างสุดจะทน หลังจากเห็นเวลาบนนาฬิกาตั้งโต๊ะ ถึงจะนึกเสียดาย แต่ถ้ายืดเยื้อต่อไป มีหวังไม่สิทธิ์ก็เขานี่ล่ะ ที่จะได้นอนพังพาบไปทั้งวันเพราะความอ่อนเพลีย “ผมไม่ไหวแล้ว เอามันออกไปซักที!”
          “ถ้าอย่างนั้นก็พูดสิ พูดหวานๆ อ้อนกันดีๆ บางทีฉันอาจจะใจดีก็ได้” หลังจากเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับการเห็นเด็กหนุ่มทรมาน สิทธิ์ก็เพิ่งสำเหนียกได้ว่า เขาเองก็รุนแรงกับอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้เดียร์ยอมทำตามแต่โดยดีสักที เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็นึกไม่ออกว่าจะยอมปล่อยเดียร์ด้วยเหตุผลไหนดีโดยไม่ให้ดูเหมือนปล่อยเพราะสงสาร
          ใบหน้าหวานยังคงเต็มไปด้วยการต่อต้าน หากแต่ก็ไม่อาจฝืนทนกลั้นสิ่งเร้าที่ถาโถมเข้ามา ริมฝีปากบางขยับขึ้นลงอย่างสั่นไหว เสียงน้อยๆค่อยๆลอยออกมาจากลำคอเล็ก พร้อมกับท่าทีศิโรราบอย่างจำยอม
          “ได้โปรด ผมต้องการ…” พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เม้มปากแน่น เด็กหนุ่มเบี่ยงหน้าไปอีกทางราวกับไม่อาจฝืนทนความอับอายที่ต้องพูดถึงความต้องการภายในที่ตนไม่อาจต้านทานได้
          “ก็แค่นั้น ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้” สิทธิ์กระแทกเสียงใส่ทั้งที่ความจริงโล่งใจแทบตาย
          เดียร์สะดุ้งนิดหน่อย อีกฝ่ายไม่ได้ทำตามอย่างที่บอก แต่กลับแทรกตัวเข้ามาแทน เล่นเอาอารมณ์ที่ซัดเข้ามาเหมือนคลื่นอยู่แล้ว กลับยิ่งถาโถมเข้ามาดั่งสึนามิเลยทีเดียว
          “ฉันให้เธอเสร็จแน่ แต่ต้องหลังจากที่ฉันเสร็จด้วย” ชายหนุ่มเยาะ พร้อมกับขยับร่างอย่างเป็นจังหวะ “ทนเอาหน่อยละกัน ฉันจะพยายามรีบนะ”
          ปากก็บอกแบบนั้นแต่ใจจริงแล้วอยากจะขอต่อนานๆเสียเหลือเกิน แต่กลัวมันจะดูใจร้ายไปเลยต้องยอมตัดใจเสีย
          “อ๊ะ ไม่นะ…ผมไม่ไหวแล้ว” เสียงหวานร้องลั่น ร่างกายที่กระแทกเข้ามารุนแรงและร้อนเร่าราวกับจะฉีกตนออกเป็นชิ้นๆ ความรู้สึกที่คล้ายกับจะไปถึงฝั่งหากแต่ทำไม่ได้คอยรุมเร้าจนเขาแทบคลั่ง แต่สิ่งที่ตนทำได้กลับมีเพียงกรีดร้อง…อย่างมีความสุขกับความทรมานเจียนตายนี่
          สิทธิ์คลี่ยิ้มบางมองใบหน้าอีกฝ่าย เมื่ออารมณ์ของตนกำลังจะปะทุ เขาก็ทำตามที่ว่าไว้ทันที สัมผัสผิวของเด็กหนุ่มร้อนเหมือนไฟจนน่ากลัว ชายหนุ่มแกะสายรัดออกโดยไม่คิดจะถนอมอีกฝ่ายนัก และทันทีที่ปลดพันธนาการออก อารมณ์ที่ร่ำร้องอยู่ภายในร่างของเดียร์ก็ทะลักพรวดออกมาอย่างไม่รีรอ และเพียงไม่นานชายหนุ่มก็ตามอีกฝ่ายไปติดๆ
          ร่างสูงหอบเล็กน้อย รู้สึกเหนื่อยกว่าที่คิดเยอะโข อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าจะฮึดล่อไปเสียตั้งห้าครั้ง เลยทำเอาเกือบยืนไม่อยู่เลยทีเดียว สิทธิ์ลอบมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าเดียร์หลับไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาจนหมดปอด จากนั้นก็จัดแจงถอดอุปกรณ์เสริมออกจากร่างเล็กจนหมด ขยับให้เดียร์นอนดีๆแล้วก็ห่มผ้ามิดชิด ก่อนจะคลานไปยังที่นอนของตนอย่างอ่อนแรง
          ….
          …..
          แล้วทำไมเราต้องเป็นห่วงกลัวหมอนั่นจะเป็นหวัดหรือเจ็บที่ต้องโดนรัดด้วยวะ!!!

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 22.2 
         
           “อ้าว คุณวินยังไม่กลับอีกหรือครับ”
          เจ้าของชื่อหันมองกลุ่มพนักงานชั้นผู้น้อยที่พากันเลิกคิ้วมาทางเขา เพราะเห็นประธานบริษัทการเงินกำลังเดินกลับเข้าบริษัทในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม
          “ยังเหลืองานค้างไว้น่ะ กว่าจะกลับก็คงดึกเหมือนเคย” ชายผู้หน้าบูดอยู่เป็นนิจยิ้มเจื่อนให้อย่างเป็นกันเอง
          “งั้นหรือครับ อย่าโหมงานหนักเข้าล่ะครับ เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลก่อนวัยอันควร เดี๋ยวพวกผมเหงาแย่”
          “ฮะๆๆ ฉันไม่ล้มหมอนนอนเสื่อง่ายๆแบบนั้นหรอกน่า”
          ชาเพียงแต่ยืนมองภาพการสนทนาของเจ้านายลูกน้องที่ดูสนิทสนมกันจนดูเหมือนเพื่อนร่วมงานกันเสียมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะลูกน้องของวินส่วนใหญ่ก็มีท่าทีเช่นนี้กับเจ้านายกันหมด อาจจะมีบ้างที่กลัวเพราะหน้าตาแสนเป็นมิตรของวิน แต่พออยู่นานๆรู้จักนิสัยกัน ก็จะสนิทไปโดยปริยาย
          ใช่…ปกติแล้วคุณชายเขาไม่เป็นมิตรแค่หน้าตาเท่านั้นล่ะ และปกติก็ไม่มีใครกลัวเวลาวินอารมณ์ไม่ดีหรอก แต่ถ้าเป็นคนที่หวังจะมีความสัมพันธ์เกินเลยกับเดียร์นี่ก็อีกเรื่อง อันนี้ต่อให้ยิ้มอยู่ก็เจอหมัดได้แน่นอน…สาเหตุจริงๆที่ใครต่อใครพากันหลีกหนีวินทุกครั้งที่พ่อแว่นหงุดหงิดก็คือคุณเลขาแสนดีข้างตัวนี่ล่ะ
          ถ้าไม่ใช่ศัตรูหรือชายที่มาจีบเดียร์ วินแทบไม่เคยใช้กำลังแก้ปัญหาหรอก ต่อให้เกลียดกันจะเป็นจะตายอย่างไร ถ้าอีกฝ่ายไม่ชกก่อน พ่อแว่นก็ไม่คิดจะลงมือ…เว้นก็แค่ชาเท่านั้นล่ะ ซึ่งนั่นเองก็เป็นสิ่งที่คุณเลขาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีเขาแค่คนเดียวที่ได้รับเท่านั้น
          “ชาโว้ย หลับในหรือไงวะ”
          อา…มันช่างรื่นหูเป็นที่สุด…
          “ขอโทษครับ” แม้จะโดนตะคอกในที่สาธารณะแต่ชายังคงยิ้มกลับให้อย่างสดใส จนชวนให้คู่สนทนารู้สึกหมั่นไส้อยากชกขึ้นมาตงิดๆ
          แต่วินก็ไม่ได้ทำอย่างที่ชาหวัง ซึ่งหนุ่มหน้านิ่งเองก็พอจะรู้ดี ตอนนี้ในสมองของคุณเจ้านายกำลังมีเรื่องของคุณน้องชายอยู่เต็มหัวเลยนี่
          หนุ่มแว่นเดินกลับเข้าบริษัทไปยังห้องประธาน ซึ่งในขณะนี้ไม่มีใครอยู่บนชั้นแม้แต่คนเดียว…ยกเว้นในห้องประธาน
          มือหนาเปิดประตูผางแล้วเดินไปหาสิ่งมีชีวิตที่โดนเชือกมัดไพล่หลังที่นั่งคุดคู้อยู่ข้างโต๊ะของตน ดวงตาคมที่แลดูหงุดหงิดตลอดเวลาจ้องเขม็งราวกับงูจ้องเหยื่อ แต่ไม่นานวินก็หลับตาลงและหายใจเข้าออกลึกๆเหมือนพยายามดับอารมณ์ที่ทำท่าจะปะทุยังไงยังงั้น
          ดร ผู้เป็นเหยื่อที่ว่าเกร็งตัวแข็ง เขาไม่อยากจะมองหน้าเจ้านายในตอนนี้เลย แต่ถ้าไม่มองก็กลัวว่าจะรับมือไม่ทันตอนที่วินเตะมา ครั้นจะหันไปขอความช่วยเหลือชา กลับโดนตอกกลับด้วยสายตามุ่งร้ายที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเลขาถึงได้โมโหใส่เขานัก
          แน่ล่ะ ไม่ให้โมโหได้ไง ขนาดฉันเองยังไม่เคยเล่นเชือกกับคุณวินเลยนี่ แกมันจะข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยแล้วนะ
          ซึ่งชาก็ได้แต่คิด และจ้องมอง…
          “เอาล่ะ ไหนช่วยบอกหน่อยสิ ว่าทำไมฉันโทรไปหาเดียร์ แต่กลับมีเสียงแกเล็ดรอดออกมาตามสายด้วยล่ะ หา”
          ไม่รู้วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของเขากัน ถึงได้ซวยไม่หยุดหย่อน
          เมื่อตอนเย็นเขาก็แค่ลองแวะไปดูว่าเดียร์อยู่ดีมีสุขหรือเปล่า พอเห็นเดียร์ไปกับฤทธิ์ในซอยเปลี่ยวก็เกิดสงสัยและรู้สึกไม่ดีแปลกๆขึ้น เลยตามไปดู แต่กลับไปจ๊ะเอ๋กับเหตุไม่คาดฝันสุดๆ เพราะแทนที่จะไปเจอแค่ฤทธิ์กับเดียร์ แต่กลับไปเจอฝูงลูกน้องของธานินทร์เข้าด้วยเสียได้ ไอ้เขาเองก็อยากจะหาเรื่องลูกน้องของธานินทร์อยู่หรอก แต่ปัญหาคือ เจ้าพวกของธานินทร์มันไปเพราะจะช่วยเดียร์กลับมาให้วิน แล้วเขาซึ่งเป็นลูกน้องวิน แทนที่จะช่วยฝั่งเดียวกัน แต่กลับเผลอไปต่อยเพราะห้ามใจไม่อยู่เสียได้ แต่ยังดีหน่อยที่ยังมีสติดีพอที่จะหาอะไรมาปกปิดใบหน้า…ซึ่งเขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าเป็นเพราะเห็นว่าเดียร์เองก็ไม่ยินยอมที่จะไปด้วยอยู่แล้ว และเขาเองก็สนับสนุนให้เดียร์ไปไกลๆวินด้วย จึงเลยตามเลยไปด้วยเหตุฉะนี้
          แต่ลองให้คุณเจ้านายรู้ดูสิ รับรองว่าเขาต้องโดนลงทัณฑ์แบบโหดเหี้ยมยิ่งกว่าที่ชามักจะโดนเป็นแน่
          “ว่าไง ใบ้กินเรอะ ฉันถามอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง” วินถามซ้ำเมื่อเห็นดรเอาแต่มองตนหน้าซีด
          “ผะ…ผม…” หนุ่มผิวเข้มไม่รู้จะตอบอย่างไรดี…
          ไม่สิ…ก็เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับไอ้เดียร์มันนี่หว่า แล้วจะกลัวคุณวินฆ่าทำไมวะเนี่ย
          “ใจเย็นๆก่อนนะครับ มันไม่ใช่อย่างที่คุณวินคิดเลยซักนิดเดียวเลยนะครับ คุณก็รู้นี่ว่าผมเกลียดเดียร์จะตาย” บอกว่าเกลียดวินเฉยๆ แต่ถ้าบอกว่าชอบ ตายแน่นอน
          “ใช่ แล้วทำไมนายที่เกลียดเดียร์จะเป็นจะตายถึงขนาดไม่อยากเจอหน้ากัน ถึงได้ไปอยู่กับเดียร์ล่ะ หา” วินคาดคั้นไม่เลิก หน้าตาตอนนี้เหมือนอสูรร้ายที่หลุดมาจากนรกก็มิปาน
          ที่มันพูดยากก็เพราะมีธานินทร์กับสิทธิ์มาเกี่ยวข้องนี่ล่ะ ลองบอกความจริงไปสิ ไม่แคล้วว่าวินต้องพุ่งไปกระโดดถีบสิทธิ์แล้วแย่งเดียร์กลับมาแน่ จากนั้นก็เริ่มสงครามกันอย่างเป็นทางการได้เลย แถมไม่วาย ธานินทร์ยังจะได้ความดีความชอบจากการที่พยายามส่งคนไปช่วยเดียร์อีก จากนั้นก็กลับมาคิดบัญชีกับเขาฐานให้ความร่วมมือกับสิทธิ์ และนั่นคงทำให้ชาอยากจะหาถังดรัมดีๆ กับปูนเนื้อแน่นมาเป็นอุปกรณ์รอถ่วงตนลงกลางอ่าวเป็นแน่
          แต่ถ้าไม่บอก เขาได้ตายตอนนี้จากหมัดของวินแน่
          “เพราะ…” ทั้งๆที่เป็นคำที่ไม่น่าจะพูดยากแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันไม่ยอมออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ไม่รู้ “เพราะแฟนผมเขาอยากได้ดอกไม้จากร้านที่เดียร์ทำงานครับ”
          อย่าว่าแต่วินเลย ชาเองยังเลิกคิ้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกนักหรอก เพราะปกติดรเอาแต่ทำงาน และก็ไม่เคยไปเที่ยวกับสาวที่ไหนให้เห็นเลยนี่
          “แกมีแฟนแล้วจริงดิ” แต่นี่ทำให้หนุ่มแว่นเปลี่ยนหัวข้อขึ้นมาได้ ทำเอาดรแทบอยากจะกระโดดไชโย “ฉันไม่เห็นรู้เลย ไปมีตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
          “คือ ตอนนี้เรายังดูใจกันอยู่น่ะครับ ฮะๆๆ เลยยังไม่อยากเปิดเผย แล้วผมเองก็ทำงานแบบนี้ จะให้คนอื่นรู้มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ เดี๋ยวเขาโดนทำร้ายเพราะผมล่ะแย่เลย ฮะๆๆๆ”
          หัวเราะมากไปมั้ง
          ชาค่อนข้างจะมั่นใจว่าดรกำลังโกหกอยู่แน่ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูกะทันหันเกิน อีกทั้งถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ คงพ่นออกมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว ไม่ทำหน้าตื่นวิ่งหนีจนต้องมาโดนมัดแบบนี้หรอก
          “อะไรวะ ถ้าเป็นแบบนั้นแต่แรกก็บอกมาดีๆก็ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องกักตัวนายไว้แบบนี้ หาเรื่องจริงๆ” วินร้องออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปบุ้ยใบ้ให้ชาแก้มัดให้ “ฉันก็นึกว่านายคิดอะไรกับเดียร์ซะอีก”
          หนุ่มผิวเข้มสะดุ้งโหยง “ไม่มีทางครับ! ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะครับ และถึงต่อให้โลกทั้งใบไร้ผู้หญิงจริงๆ ผมก็ไม่มีทางเอาไอ้เด็กนั่นเด็ดขาด ผมยอมกรีดข้อมือตายเสียยังจะดีกว่า”
          “ได้ยินแบบนั้นฉันก็วางใจล่ะนะ” และก็แสดงอาการโล่งใจออกมาอย่างจริงๆจังๆจนชาที่คอยลอบมองรู้สึกตงิดๆว่าโล่งใจในฐานะพี่ชายเท่านั้นจริงๆหรือเปล่า “เออๆ งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ไปเถอะ ขอโทษที่โมโหใส่นายนะ ไว้ฉันจะให้คนจ่ายเงินชดเชยให้”
          “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก ผมเข้าใจครับ แค่ไม่หักเงินเดือนผมก็ปลื้มแล้ว” ดรรีบส่ายหน้าปฏิเสธน้ำใจของเจ้านาย “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
          “เอ้อดร ฉันนึกได้ว่าลืมฝากเอกสารไปให้นพน่ะ เดี๋ยวช่วยมากับฉันก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมขอตัวสักครู่นะครับคุณวิน”
          ก่อนที่ดรจะได้ลี้ภัย พายุลูกใหม่ก็เร่งกำลังเข้ามาปะทะทันที และยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามถึงเอกสารที่ว่า ก็โดนชาดันออกไปนอกห้องเสียก่อน
          “จะ…ใจเย็นๆครับคุณชา ผมจะล้มแล้ว” ดรกระซิบบอกเสียงตื่น ขาก็พยายามสับให้ทันความเร็วของคนผลัก
          เมื่อเห็นว่าห่างจากห้องประธานและวินเองก็ไม่ได้สนใจกับทางตนแล้ว ชาก็หยุดดันร่างตรงหน้า และจ้อง ซึ่งดรก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด
          “คือ ผมแค่ไปหาหมอนั่นเพราะอยากรู้ว่าพวกคุณมาริสาหรือธานินทร์จะไปหาเรื่องเดียร์หรือเปล่า แค่นั้นจริงๆนะครับ”
          “ฉันไม่ได้อยากรู้จุดนั้น” ชากระซิบตอบเสียงกร้าว “ที่ฉันอยากรู้คือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มีใช่ไหมล่ะ อย่ามาโกหกฉันอีก ไม่อย่างนั้นเตรียมตัวเขียนพินัยกรรมไว้ได้เลย”
          “ครับๆ ผมก็ตั้งใจจะบอกคุณอยู่แล้วครับ” ดรรู้สึกเริ่มเปียกเป้ากางเกงขึ้นมา แต่ก็พยายามอดทนไม่ให้มันเปียกไปมากกว่านี้ “รับรองว่านี่อาจจะทำให้เราวางแผนตลบหลังไอ้นินได้เลยนะครับ”
          เปลี่ยนสีหน้ากันเลยทีเดียว
          ชาเหล่มองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครฟัง ก่อนจะกลับมามองคู่สนทนา “ว่ามา”
          ทีแรกชายหนุ่มก็ไม่คิดหรอกว่าเรื่องมันจะดีอย่างที่อีกฝ่ายโฆษณา แต่ทันทีที่ฟังจบเท่านั้นล่ะ ถึงกับยิ้มออก
          ถึงจะไม่อยากก็เหอะ แต่ก็ต้องบอกว่าแผนบ้าๆนี่มันได้ผลเกินคาดจริงๆนะ คุณเดียร์
          “ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้นายเลิกทำงานประจำไปก่อน แล้วแอบตามเดียร์ไป”
          “อ้าว ไม่ใช่ให้ตามไอ้นินมันหรือครับ”
          “ตามทางเดียร์ง่ายกว่า แล้วถ้าทางไอ้นินตามง่าย มันก็คงไม่เป็นหอกข้างแคร่แบบนี้หรอกน่า…เพราะงั้น นายก็ตามเดียร์เอา เผื่อว่าไอ้นินมันจะส่งลูกน้องไปจัดการ นายพยายามเก็บหลักฐานทางนั้นก็พอ เข้าใจนะ เรื่องเงินนายจะได้ตามจำนวนเท่ากับงานที่ทำอยู่ และถ้าได้หลักฐาน ฉันจะแถมโบนัสให้เป็นพิเศษด้วย”
          ไม่ต้องเฝ้าบ่อน ห้ามคนตีกัน เดินเสิร์ฟน้ำ เชียร์ลูกค้า ทำหน้าเหี้ยมใส่พวกที่หมดเงินแต่ยังทู่ซี้จะเล่น และยังไม่ต้องไปรองรับอารมณ์พวกลูกค้าวีไอพี แค่มานั่งๆมองๆเฝ้าคนโดยไม่ต้องทำอะไรมากเลย โดยที่ยังได้ค่าตอบแทนเหมือนเดิม แถมยังอาจจะได้มากขึ้นหากได้หลักฐาน คนบ้าที่ไหนมันจะไม่ทำกันล่ะครับคุณชา

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
จุใจหนูเดียร์อีกแล้วว ฮ้าาาาาาาาาา :hao7:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
คุณสิทธิ์นี่ทำอะไรเข้าทางเดียร์ตลอด  :hao6:

ออฟไลน์ beamintron

  • บีมๆ BMs / l3eamRessT
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ฮาแปป 5555555+

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
คุณพี่ผู้หวงน้องสุดใจขาดดิ้นคะ ตอนนี้มี จุด จุด จุด คาบไป .... เรียบร้อยแล้วค่ะ 

ออฟไลน์ †คุณเขียด

  • ♣ เป็นคนดีแล้วค่ะ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +376/-1
พ่อหมีเขาไม่รู้ตัวเลยสินะ o16 ว่าที่ทำไปน่ะ เด็กมันชอบ :haun5:

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เป็นเรื่องที่แปลกแหวกแนวจริงๆๆ กำลังทยอยอ่านที่ละตอนแต่มาเม้นท์ก่อน ให้กำลังใจคนแต่ง สู้ๆๆคะ
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 23 

         

          “ดูท่าทางจะไม่สำเร็จสินะ” ธานินทร์เอ่ยพลางมองเหล่าลูกน้องที่หน้าบวมช้ำกลับมาให้ตนได้ยล สีหน้าของชายหนุ่มดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เขาเดินเข้ามาใกล้มองดูสภาพของลูกน้องแต่ละคน พลางชี้นิ้วเหมือนกำลังนับ “กลับมากันครบด้วยสินะ”

          เหล่าลูกน้องพากันมองหน้าไปมา ก่อนที่คนที่อยู่หน้าสุดจะตอบด้วยอาการกระดากปาก “คะ…ครับ”

          “แล้วท่าทางของเดียร์เป็นยังไงบ้างล่ะ” คราวนี้ถามด้วยความสนใจใคร่รู้ “พวกนายได้บอกชื่อฉันออกมาใช่ไหม”

          “ครับ ทำตามที่คุณสั่งเลยครับ ว่าให้บอกว่าคุณส่งมา แล้วถ้าสู้ไม่ไหวให้รีบหนีทันที…ส่วนท่าทางของเดียร์ ดูเหมือนจะไม่ยอมมากับเรานะครับ ท่าทางคงจะรักกันดีกับคุณสิทธิ์ ออกอาการดื้อแพ่งมากครับ”

          “…งั้นหรือ งั้นก็แค่นี้ละกัน พวกแกเองก็ไปรักษาตัวก็แล้วกัน อย่าให้คุณวินรู้ล่ะ”

          หนึ่งในผู้ที่ไปตบตีกับฤทธิ์เลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะไม่แสดงอาการโมโหใดๆออกมาสักนิด

          “เอ่อ ขอโทษนะครับ แบบนี้จะดีหรือครับ” และก็อดถามไม่ได้

          ชายหนุ่มตาตกหันมองด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายคล้ายไม่อยากจะตอบเท่าใดนัก “มันก็ไม่ดีหรอก แต่ในเมื่อพวกแกทำไม่ได้ แล้วจะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ เอ้า เลิกถามแล้วก็ไปพักเถอะ ขอฉันอยู่คนเดียวหน่อย”

          พอเห็นเจ้านายโบกมือไล่ ก็ต่างพากันรีบออกไปด้วยความรู้สึกผิดกันหมด ซึ่งแน่นอนว่าธานินทร์ก็ตั้งใจให้ลูกน้องรู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาไม่ได้หวังให้คนของตนพาเดียร์กลับมาได้เลยก็ตาม

          ตกลงรักกันงั้นรึ ได้ไงวะ

          ธานินทร์แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าเดียร์กับสิทธิ์ไปรักกันตอนไหน…ตอนแรกเขาก็คิดว่าแบบนั้นอยู่หรอก แต่จากสายของอีกฝั่งก็ยืนยันแน่นอนว่าสิทธิ์เปลี่ยนแผนมาข่มขู่แทนแล้ว แต่ทำไมกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ไม่อาจเดาได้

          เอาเถอะ จะรักกันหรือโดนข่มขู่ ก็แค่ปรับแผนก็เท่านั้น

 

          ฤทธิ์ก็พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่พอได้เห็นอย่างที่คิดเอาไว้แล้ว มันก็อดรู้สึกอยากขำไม่ได้ เพียงแต่อีกฝ่ายดูห่อเหี่ยวเกินกว่าเขาจะกล้าขำ

          พ่อหมียักษ์นั่งคุดคู้ขวางประตูอย่างห่อเหี่ยว และไม่ทันได้สังเกตว่าฤทธิ์แทบจะยืนเหยียบหัวตนอยู่แล้ว

          “คุณสิทธิ์ครับ ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะครับ” หนุ่มตาตกทักอย่างไม่แน่ใจนัก ยิ่งเห็นขอบตาดำๆของเจ้านายแล้วอยากจะแนะให้กลับไปนอนมากกว่า “คุณสิทธิ์ครับ เอาจริงๆนะ ถ้าทำแล้วมันจะเสียสุขภาพขนาดนี้ ผมว่าเลิกดีกว่านะครับ”

          และที่ชวนให้ฤทธิ์แปลกใจคือ สิทธิ์แสดงอาการคัดค้านใส่ทันทีนี่ล่ะ ถึงจะแค่ครึ่งวินาทีก็เถอะ

          “ผมก็ไม่ได้อยากทำนะครับ แต่หมอนั่นมันกวนโมโหผมก่อนนี่นา”

          เพราะงั้นเลยไปปล้ำเดียร์มันน่ะหรือครับ ผมว่ามันแหม่งๆนะ…แล้วถ้าคิดว่ามันสมควรทำจริงๆ ก็อย่ามานั่งสำนึกผิดเอาทีหลังแบบนี้สิครับ

          “ช่างเถอะๆ ผมขอไปล้างหน้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะลงไป” ชายหนุ่มกระชากเสียง ดวงตาเรียวเหล่มองลูกน้องที่ยังคงยืนงงกับพฤติกรรมผีเข้าผีออกของเจ้านาย “เดียร์น่ะ เดี๋ยวผมปลุกเอง ตั้งแต่นี้ต่อไปพี่ไม่ต้องขึ้นมาปลุกให้แล้ว ถ้าหมอนั่นไม่ตื่นก็ช่าง ให้ไปทำงานสายนั่นล่ะ ดีแล้ว”

          ว่าจบก็ลุกพรวดกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็วโดยที่ฤทธิ์ไม่ทันแม้แต่จะได้อ้าปาก ชายหนุ่มได้แต่ยืนเบ้หน้าด้วยความเหนื่อยใจเพราะโดนเข้าใจผิดไปเต็มๆ ซึ่งก็ยังดีที่เป็นแค่เจ้านายคนเดียว ขืนเจ้าพ่อบ้านข้างล่างเป็นไปด้วยอีกคน มีหวังเขาได้สติแตกแน่

          สิทธิ์ไม่ได้ทำอย่างที่พูดเอาไว้ ร่างสูงยืนพิงประตูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าเมื่อครู่นี้ตนทำบ้าอะไรออกไป

          ทำไมเราต้องไปโมโหพี่ฤทธิ์ด้วยวะเนี่ย ไม่มีเหตุผลเลย

          มันก็ใช่ว่าจะไร้สาเหตุเสียทีเดียวหรอก เพียงแต่สาเหตุที่ว่านั่นมันดูไม่น่านำมาเป็นเรื่องที่ควรหงุดหงิดนี่ล่ะ ที่ทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องโหยหวน

          นึกถึงภาพเมื่อคืนแล้วมันก็อดใส่อารมณ์ไม่ได้

          ทำไมกันนะ…

          ร่างสูงหันมองคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ความทรงจำเมื่อคืนก็ไหลทะลักมาอย่างกับเขื่อนแตก ความรู้สึกผิดและสงสารถาโถมเข้ามาจนทำเอาจุกอก แต่ที่ทำให้รู้สึกแย่จนอยากจะวิ่งออกไปกระโดดหน้าต่างไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น

          แต่เป็นเพราะตัวเองที่สนุกสนานไปกับการทรมานเดียร์ต่างหาก ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกอะไรพิเรนทร์แบบนี้กับคู่นอนคนไหนมาก่อน ทีแรกเขาก็พยายามหลอกตัวเองไปว่าเป็นเพราะเดียร์เป็นน้องของวิน เขาถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ยิ่งทำไปมากเข้า สิ่งที่ต้องการจากเบื้องลึกของจิตใจ ไม่ใช่การได้แก้แค้นวิน

          ใช่…ถ้าแค่แก้แค้น ไม่เห็นจะต้องมีครั้งที่สองเลย แค่ครั้งเดียวมันก็เป็นตราบาปติดตัวเดียร์ไปแล้ว แต่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ กลับไม่อาจห้ามตัวเองให้หลงไปกับความรู้สึกพวกนั้น

          นี่เราเป็นอะไรไปแล้ววะ

          ชายหนุ่มหลุดออกมาจากภวังค์เมื่อร่างบนเตียงขยับไหว และก่อนที่เดียร์จะได้ลุกขึ้นมา สิทธิ์ก็หลบเข้าไปในห้องน้ำด้วยความไวแสง แล้วเปิดฝักบัวกลบเกลื่อนทันที

          ดวงตากลมปรือมองด้วยความสงสัยกับเสียงประหลาดเมื่อครู่ แต่ก็ไม่คิดจะใส่ใจนัก เด็กหนุ่มยืดตัวบิดขี้เกียจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื้อยลงมาบนเตียง เมื่อพบว่าตนอยู่ในห้องเพียงคนเดียว ก็ระบายยิ้มที่สดใสออกมา ต้อนรับกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่แสนสดใส

          ฟินจริงๆเลยพับผ่า

          นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกกระชุ่มกระชวยใบหน้าผ่องใสแบบนี้ เด็กหนุ่มแต่งตัวแล้วเดินออกจากห้องเมื่อเห็นว่าห้องน้ำยังไม่ว่างใช้ หวังลงไปกินข้าวเช้ารอ

          “อ้าว ว่าไงเดียร์” เสียงทุ้มของหนุ่มตาตกทักขึ้น

          “สวัสดีครับพี่ฤทธิ์ พี่ก้อง…มีอะไรหรือครับพี่ฤทธิ์” พอโดนจ้องหน้าเขม็งก็อดถามขึ้นไม่ได้

          “เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” เนื่องจากสภาพของแต่ละคนดูต่างกันราวฟ้ากับนรก หนุ่มตาตกเลยสงสัยเป็นอย่างยิ่ง คนหนึ่งมาซะเริงร่าเหมือนเพิ่งหลุดมาจากโลกแห่งความฝันอันสวยงาม ส่วนอีกคนเหมือนเพิ่งหนีมาจากนรกขุมที่สิบแปดได้อย่างหวุดหวิดเสียอย่างนั้น

          ตามเรื่องตามราวเดียร์ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าต้องตอบอะไร เสียตรงที่ดันยิ้มทักอีกฝ่ายไปแล้วนี่สิ

          ก้องอยากจะบอกเด็กหนุ่มเสียจริงๆ ว่าน่าจะเปลี่ยนจากอาชีพขายดอกไม้ไปเป็นนักแสดงท่าทางจะรุ่งกว่าเยอะ ขนาดเขาที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ภาพตรงหน้ามันเป็นเรื่องลวง แต่ก็เผลอสงสารขึ้นมาทุกที

          “ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน…มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกครับ” เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบาระคนความเศร้าเคล้าออกมา รับกับใบหน้าที่หมองลงจนน่าตกใจ แต่เพียงไม่นานก็กลับมายิ้มออก ยิ้มที่ดูเหมือนฝืนออกมา “แต่แค่ได้อยู่กับคุณสิทธิ์ ผมก็ดีใจมากแล้ว”

          ตอแหลได้โล่มาก พ่อคุณ

          “นายเนี่ยนะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปยั่วโมโหเขานักสิ คุณสิทธิ์น่ะ ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารอะไรสักหน่อย”

          “แต่ผมไม่ชอบที่เขาดูถูกผมกับพี่นี่ครับ แล้วดูท่าทางเขาจะเกลียดที่ผมเคยมีแฟนมาก่อนด้วย ผมก็พยายามอธิบายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไม่คิดเลยนะครับว่าเขาจะเป็นคนขี้หึงขนาดนี้”

          “ไม่นะ ปกติคุณสิทธิ์ไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” ฤทธิ์แย้งหน้าตื่น “บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณวินมากกว่าละมั้ง”

          ใบหน้างอนกลายเป็นหวาดหวั่นทันควัน จนก้องล่ะอยากเสนอชื่อเดียร์ชิงรางวัลตุ๊กตาทองเป็นที่สุด

          “นั่นสินะครับ บางทีถ้าเรารู้จักกันโดยไม่มีเรื่องของพี่วิน ก็คงจะดีกว่านี้…”

          “เอ้อ นายรีบไปทำงานไม่ใช่หรือ รีบกินแล้วก็รีบๆไปอาบน้ำซะสิ” เนื่องจากไม่อยากเห็นบทสนทนาชวนเลี่ยนแปลกๆ ก้องเลยตัดบทสั่งให้เดียร์รีบๆไปให้พ้นหูพ้นตาตนสักที ก่อนที่เขานี่แหละ ที่จะทนไม่ได้แล้วความจริงมันจะแตกออกจากปากก่อน

          เดียร์เลิกคิ้วมองคนไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิ้มหวานเหมือนกับไม่ได้ติดใจอะไร “นั่นสินะครับ”

          คนอื่นเห็นก็คงรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนางฟ้านั่น แต่ก้องนั้นกลับเห็นเป็นปีกมารร้ายขยับไหวอยู่ด้านหลังของเดียร์ซะมากกว่า

          “…นายนี่ท่าทางสนิทกับเดียร์จริงๆด้วยแฮะ”

          จากที่กำลังหงุดหงิดก็เปลี่ยนเป็นดีใจแต่ต้องอดกลั้นทันที เพราะคิดว่าจะโดนแรงหึงกระหน่ำ แต่พอเห็นอาการของฤทธิ์แล้วกลับไม่ใช่

          “ทำไม…คิดแบบนั้นล่ะ…” โอเค เขาก็ยอมรับอยู่หรอกว่าถ้าให้เทียบกับบรรดาคนที่รู้จักทั้งหมดที่ฤทธิ์เองก็รู้จักด้วย เดียร์เป็นคนที่ดูสนิทที่สุด เพราะรสนิยมต้องกันนี่ล่ะ แต่ก็แค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องนิสัยนี่เขาขอผ่าน

          ใบหน้านิ่งบึ้งใส่อย่างที่รอ “ช่างเถอะ ฉันง่วงแล้ว ไปนอนล่ะ”

          พูดให้สงสัยแล้วก็เดินจากไปโดยไม่รอให้ก้องมีโอกาสจะได้ถาม แต่ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือจากนี้ไปสองวัน คงโดนฤทธิ์กระแทกอารมณ์ใส่แน่นอน

 

          อันที่จริง ชาก็รู้อยู่หรอกว่าธานินทร์เองก็ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกับตน ไม่ว่าจะเลี่ยงอย่างไรก็ต้องเห็นหน้ากันอยู่ดี เพียงแต่ปกติรายนั้นทำงานอยู่ที่ชั้นสี่ และไม่ค่อยจะได้ขึ้นมาเดินเล่นที่ชั้นหกสักเท่าไหร่ เพราะลำพังผู้บริหารฝ่ายบัญชี ก็ไม่มีเวลาจะมาทำให้ตนต้องระเคืองสายตานักหรอก

          แต่วันนี้มันเล่นโผล่หัวมาให้เห็นตั้งสามรอบ เวลารวมสิบสี่นาที นับจากตอนแปดโมงยันสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วนะ

          แน่นอนว่ามันผิดปกติและน่าสงสัยมาก เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังมองหาใครบางคน ซึ่งไม่ใช่ตนและวิน และนั่นทำให้ชาต้องจับตามอง ว่าธานินทร์คิดจะวางแผนร้ายอะไรอีก
         
          “ไง คุณชา ว่างงานมากหรือไงครับ ถึงได้มายืนเฝ้าผมเนี่ย”

          ยังจะกล้าปากหมาใส่ก่อนอีก

          “เมายาดองตั้งแต่เช้าหรือไงครับ ผมก็ทำงานอยู่ของผม เห็นยังไงว่าผมว่างกันน่ะ หรือคุณจะแอบอู้มาดูผมตลอดตั้งแต่เช้ากันล่ะ”

          เหล่าพนักงานบริเวณใกล้เคียงพากันถอยห่างพลางทำงานอย่างรู้ดี ถึงจะไม่ได้ทะเลาะต่อยตีกันตรงๆ แต่ไอ้ลูกหลงที่บินออกมามันก็น่ากลัวเสียจนพวกเขาไม่อยากจะเสี่ยง ครั้งล่าสุดหลังจากทั้งสองพูดจาแดกดันใส่ จากนั้นก็ไม่รู้ทำไมตู้เก็บเอกสารที่อยู่ใกล้ๆดันล้มลงมาเสียได้ เล่นเอาพนักงานที่จำเป็นต้องจัดเอกสารอยู่แถวนั้นโดนเข้าไปเต็มๆ ได้นอนพักขาหักอยู่เกือบเดือนเลยทีเดียว

          ธานินทร์เพียงแต่ยักไหล่และยิ้มให้อย่างกวนอารมณ์ ก่อนจะเดินลงกลับชั้นล่างไป ปล่อยให้หนุ่มหน้านิ่งได้แต่ยืนสาปแช่งอยู่ในใจ

          คิดจะทำอะไรของมัน
         
          “อ้าวชา”

          เสียงแหลมสูงที่คุ้นเคย หากแต่ครานี้สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจตามสไตล์ของผู้อยู่ในตำแหน่งสูงดังขึ้นไม่ห่าง และคนหน้านิ่งถึงกับผงะ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับคุณรองประธานที่นี่ เพราะปกติแล้ว คนๆนี้จะไม่เข้าบริษัทบ่อยนัก

          “สวัสดีครับคุณนาย วันนี้มีประชุมหรือครับ” ชาทักทายด้วยรอยยิ้มพลางนึกสงสัย เพราะถ้ามีประชุมถึงขนาดที่มาริสาต้องเข้าร่วม เขาที่เป็นเลขาประธานก็ต้องรู้อยู่แล้ว

          “เปล่าหรอก แค่มาตรวจงาน” หญิงวัยกลางคนยิ้มกริ่ม “เห็นว่าวันนี้มีประชุมหัวหน้าฝ่าย ว่าจะเข้าไปดูด้วยสักหน่อย”

          รู้สึกสงสารพวกหัวหน้าฝ่ายขึ้นมาทันที ก็มาริสาน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องเข้มงวดกับงานจะตาย ต่อให้เป็นเรื่องที่ยิบย่อยหรือเล็กน้อยแค่ไหน เธอก็ไม่คิดจะปล่อยผ่าน มีหวังพวกหัวหน้าฝ่ายที่ไม่ได้เตรียมทางแก้เอาไว้ ได้โดนเทศนาจนหูบานเป็นแน่แท้

          “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อตัวปัญหาไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้จะยืนอู้ไปทำไม จึงรีบลากลับไปทำงานต่อ ก่อนที่งานจะเข้า

          “เดี๋ยวชา ฉันมีเรื่องจะถาม”

          แล้วก็โดนจนได้

          “ช่วงนี้ตาวินแอบแว้บไปหาไอ้ลูกแมวขโมยนั่นบ้างหรือเปล่า”

          “เปล่าครับ” โชคดีเหลือเกินที่เขายอมน้ำตาร่วงห้ามพ่อแว่นเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคงพูดออกมาได้ไม่หนักแน่นแบบนี้หรอก

          “หรือ งั้นก็ดี” คงเพราะผลงานจากไอ้ลูกแมวขโมยที่ว่า ถึงทำให้ชาได้รับความน่าเชื่อถือจากมาริสาขึ้นจม “ฝากดูอย่าให้ตาวินไปตามก้นไอ้เด็กเวรนั่นล่ะ ฉันไปล่ะ”

          ว่าจบก็กระแทกส้นลงพื้นเล็กน้อยเหมือนต้องการจะระบายอารมณ์ ชาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน เพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

          ซะเมื่อไหร่ล่ะ…

          “อ้าวคุณนาย สวัสดีครับ”

          มาริสาเลิกคิ้วให้เล็กน้อยเมื่ออยู่ๆธานินทร์เข้ามาทักในห้องประชุม

          “มาทำอะไรที่นี่น่ะ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมนี้นี่” ดวงตาคมหรี่มองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก

          “ผมไม่ได้มาเข้าประชุมหรอกครับ แต่ผมมีธุระจะคุยกับคุณนายน่ะครับ” ธานินทร์กลอกตามองซ้ายขวา ก่อนจะหรี่เสียงลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เกี่ยวกับเรื่องคุณเดียร์น่ะครับ”

          สำหรับเธอ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แค่มีชื่อไอ้ลูกเมียน้อยนั่นก็ทำเอาไมเกรนรับประทานได้แล้ว

          “ศิวะ เข้าฟังประชุมแทนฉันทีละกัน” มาริสาหันไปบอกคนข้างกาย ก่อนจะพยักหน้าให้ธานินทร์ตามตนไปยังสถานที่ๆรองประธานสามารถวีนเหวี่ยงได้แบบไม่ต้องรบกวนพนักงาน ซึ่งก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ห้องประชุมเล็กที่อยู่ใกล้ๆกันนี่เอง “เอ้า พูดมา ฉันจะพยายามใจเย็น”

          เห็นท่าทางในการพยายามใจเย็นของหญิงสูงวัยแล้วหนุ่มตาตกเลยต้องเตรียมตัวอุดหูเอาไว้ เผื่อในกรณีที่ความพยายามนั้นล้มเหลว

          “เออ ผมว่ามันน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคุณนายนะครับ” ธานินทร์รีบบอกไว้ก่อน กลัวมาริสาจะโจมตีด้วยพลังเสียงใส่โดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาพูดจนจบ “คุณรู้หรือเปล่าครับว่าเดียร์เขามีแฟนแล้ว…เอ้อ เป็นผู้ชายนะครับ”

          “อ้าว ก็ถูกแล้วนี่…เอ๊ย…ไม่ใช่สิ…ไอ้เด็กนั่นมันก็เป็นผู้ชายนี่นา” แม้แต่คนที่อยู่ร่วมกันมาเป็นสิบปียังเกือบลืม “เดี๋ยวก่อนนะ…ถ้ามันเป็นกะเทย งี้ตาวินก็แย่สิยะ ยิ่งซื่อๆไม่ทันเล่ห์ผู้หญิง มารยากะเทยอยู่ด้วย มีหวังไอ้เด็กนั่นคงยั่วตาวินจนโงหัวไม่ขึ้นน่ะสิ แล้วแบบนี้มันต้องหลอกเอาสมบัติตาวินแน่ๆ แล้วจากนั้น…”

          “เดี๋ยวครับๆๆ” หนุ่มตาตกรีบห้ามเสียงตื่น ก่อนที่จะเพ้อหนักและงานจะเข้า “เขามีแฟนแล้วครับ ผมถึงได้บอกไงว่าเป็นข่าวดี”

          มาริสากลับนิ่วหน้าให้ ไม่มีเค้าลางของความยินดีออกมาให้เห็นเลยสักนิด “ใคร”

          “คุณสิทธิ์ครับ”

          “เจ้าหนูที่ตาวินเกลียดนักเกลียดหนาน่ะหรือ” เธอไม่อยากจะเชื่อว่าโลกมันจะกลมได้อย่างน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ “แบบนี้ก็ไม่ดีน่ะสิ”

          “ทำไมล่ะครับ” ทีแรกเขาคิดว่ารองประธานจะดีใจเสียอีก ที่มารหัวขนจะได้ไปจากชีวิตของลูกชายตนเสียที

          “ตราบใดที่มันยังมีโอกาสมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตาวิน มันก็ไม่ดีสำหรับฉันทั้งนั้นล่ะย่ะ” เสียงแหลมสูงพุ่งเข้าโจมตีโสตประสาทแบบไม่ทันตั้งตัว “ยกเว้นว่ามันจะไม่ได้ยืนบนแผ่นดินเดียวกับฉัน!!!”

          “แล้วทำไมไม่ฆ่าไปซะเลยล่ะครับ” นึกแล้วชายหนุ่มก็อดถามไม่ได้ เพราะที่จริง ลูกที่ไข่ทิ้งไว้ไม่ได้มีแค่เดียร์เสียหน่อย แต่มาริสาก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรขนาดนี้ จะมีก็แต่เดียร์นี่ล่ะ ที่กลั่นแกล้งใส่สารพัดสารพัน จนแม้แต่เขายังแอบรู้สึกสงสารเล็กๆ และธานินทร์ก็ต้องเสียใจที่ถาม

          “จะบ้าหรือยะ ทำไมฉันต้องลงทุนทำขนาดนั้นกับลูกนังแมวขี้ขโมยนั่นด้วยไม่ทราบ ไม่เห็นจะคุ้ม” ดอกนี้ เล่นเอาธานินทร์สลบทั้งยืนไปสามวินาที “ที่สำคัญ ตายไปง่ายๆมันก็สบายไปน่ะสิยะ ฉันอยากจะเห็นมันมีชีวิตอย่างทรมานเจียนตายมากกว่า จะได้สะใจกับที่แม่มันมาแย่งผัวฉัน!”

          “งะ…งั้นหรือครับ” หนุ่มตาตกหลุดเสียงสั่นออกมา “ผมก็แค่มาบอก หวังว่าจะเป็นข่าวดีของคุณนาย แค่นั้นล่ะครับ…”

          มาริสาหรี่ตาจ้องหน้าเขม็ง ทำเอาธานินทร์รู้สึกหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคต่อมา เขาก็โล่งใจ “แล้วตาวินรู้เรื่องนี้หรือยัง”

          “ยังครับ ผมเกรงว่าถ้าบอกไป คงจะมีเรื่องแน่ๆเลย” อันที่จริง เขาอยากบอกจะตาย แต่เสียตรงที่ว่า ถ้าไม่มีสิ่งยืนยันแน่ๆ เดี๋ยวจะหน้าแตกเหมือนคราวก่อนอีก

          “นั่นไงว่าแล้ว” หญิงวัยกลางคนร้อง ก่อนจะกลอกตาแล้วถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “ถึงไอ้เด็กเวรนั่นจะไม่มา แต่ตาลูกบ้าคงไปหาอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามันรู้ว่าไอ้เดียร์ได้กับสิทธิ์ มีหวังตาวินคงวิ่งไปฟัดกับทางโน้นเหมือนแมวช่วงติดสัดจนเสียงานเสียการหมดแน่ ฉันไม่ยอมหรอกนะ แค่นี้ก็หาเรื่องแว้บไปแว้บมา จนงานเดินช้ากว่ากำหนดตั้งสองวันแล้วนะยะ…แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ฉันไม่อยากเห็นไอ้เด็กนั่นมันได้ดีย่ะ!!”

          ตอนนี้ หูของชายหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว


________________________________

เอารูปตัวละครที่วาดไว้มาลง แต่ถ้าใครชอบจิ้นเอง ข้ามได้นะก๊าบ เผื่อไม่ตรงอิมเมจ>3<

รูปตัวละคร

________________________________


อ่า....ช่วงนี้ระวังตัวกันด้วยนะงับ สถานการณ์บ้านเมืองไม่ใคร่จะสู้ดีนัก =_= ตอนนี้คนเขียนก็หวาดเสียวอยู่หน่อยๆ เพราะอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเรื่องเท่าไหร่นัก

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ยัยคุณหญิงนี่ยังไงกัน  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
พลังSในตัวสิทธิ์เริ่มตื่นขึ้นแล้วซินะ555
ส่วนเดียร์นี่แสดงได้เนียนจริงๆ มอบรางวัลตุ๊กตาทอง 555

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 24 
         
          ฤทธิ์หรี่ตามองแดดยามเช้าที่ค่อยๆทอแสงแรงกล้า ชายหนุ่มสำรวจไปรอบบ้านอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีใครคิดมาทำร้ายสิทธิ์แล้วเป็นแน่ จึงตัดสินใจจะกลับเข้าไปในบ้าน

          “เอ้อ…อั่ก!!”

          ผู้มาเยือนไม่ทันจะทักได้จบความก็โดนคว้าเข้าที่คออย่างแรงจนสำลัก หนุ่มตาตกเพ่งมองคนที่ใกล้จะสลบคามือของตนตรงหน้า เมื่อดูท่าทางแล้วว่าไม่น่าจะใช่ศัตรู เลยปล่อยมือออกก่อนที่อีกฝ่ายจะสิ้นใจ

          “มีอะไรหรือครับ” ฤทธิ์ทักด้วยใบหน้านิ่งปนสงสัย และไม่คิดจะเอ่ยคำขอโทษเลยสักนิด

          ผู้มาเยือนได้แต่ทำปากพะงาบๆแต่เมื่อโดนสายตาคมที่จ้องมาราวกับเสือกำลังจ้องกระต่าย เขาก็ต้องเก็บคำด่ากลับลงคอ และเอ่ยธุระออกมาอย่างรวดเร็ว

          “ผมก็แค่จะ…อ่อก” และฤทธิ์ก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจนจบความ เมื่อเห็นมือของคนตรงหน้าล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพราะคิดว่ากำลังจะล้วงปืนขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ จึงปล่อยไปอีกครั้ง จนคราวนี้ผู้มาเยือนชักเริ่มสยอง ว่าตนอาจจะมีอันเป็นไปก่อนได้พูดธุระจบ “สำรวจร่างกายผมก่อนเลยมั้ย ผมไม่ได้จะมาทำร้ายกันสักหน่อยนะครับ”

          เนื่องจากอีกฝ่ายค่อนข้างหน้าตาดีตรงสเป็คเลยจัดให้อย่างที่ท้าแบบทุกซอกทุกมุม

          “ทีนี้ผมพูดธุระได้แล้วสินะครับ…” ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงค่อย รู้สึกเหมือนเพิ่งโดนพรากสิ่งที่สำคัญไปแล้วอย่างไรก็ไม่รู้ “ผมแค่มีเรื่องจะฝากคุณถึงเดียร์น่ะครับ”

          “แล้วนายเป็นอะไรกับเขาล่ะ”

          “แฟนเขาครับ”

          พูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียจนคนฟังเผลอเลิกคิ้ว

          “เห็นพักนี้เขาไม่มาหาผมหลายวันแล้วเลยเป็นห่วง” ชายตรงหน้าพูดต่อ ทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องเลยว่าตอนนี้คุณเดียร์กำลังอยู่ในสภาวะใด “ยังไงก็ช่วยฝากบอกเขาทีนะครับ แล้วก็ฝากจดหมายนี้ไปให้เขาด้วย”

          “เขายังอยู่ ทำไมนายไม่ไปบอกเขาเองเลยล่ะ”

          ยิ้มค้างไปสามวินาที “พอดีผมต้องรีบไปทำงานน่ะครับ เดี๋ยวถ้าเจอหน้าเขา ผมคงต้องเผลอคุยด้วยยาวแน่ๆ ฝากทีนะครับ”

          พอโยนจดหมายใส่มือได้ก็รีบใส่เกียร์หมาโกยแบบไม่มีการเหลียวหลังเหมือนกลัวจะโดนฤทธิ์กระชากคออีก

          หลังจากเหตุการณ์ประหลาดได้จบไป สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของชายหนุ่มคือ ‘แผนร้ายของใครสักคน’ และยิ่งเปิดอ่านเนื้อความในจดหมาย ก็ยิ่งชัดเจนจนคิดได้แค่ว่า ต้องมีใครสักคนวางแผนนี้ขึ้นมาแน่แต่เขาไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นแผนใคร

          เมื่อคิดคนเดียวไม่ได้คำตอบ ก็ต้องไปหาสมองมาเพิ่มเติม

          “แล้วนายจำหน้าคนที่เอาจดหมายนี่มาได้หรือเปล่า”หลังจากอ่านจดหมายชวนเลี่ยนจบ ก้องก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

          ฤทธิ์นิ่งไปพักใหญ่ “ก็…จำได้อยู่หรอก แต่ดันลืมถามชื่อนี่สิ”

          แสดงว่าหน้าตาโดนใจจนเบลอเชอะ

          “งั้นเอาเป็นว่า อย่าให้คุณสิทธิ์เห็นจดหมายนี่ละกัน” เมื่อไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวไปได้มากไปกว่านี้ ฤทธิ์ก็รีบสรุปความตัดบทอีกเพราะรู้ตัวนิดๆว่าเป็นความผิดพลาดของใคร

          “เดี๋ยวก่อน ฉันว่าถ้าเป็นเดียร์อาจจะรู้ก็ได้นะ” ก้องห้ามก่อนที่อีกฝ่ายจะฉีกจดหมายทิ้ง

          “แค่บอกก็ได้ ไม่เห็นต้องให้อ่านนี่” หนุ่มตาตกเบ้หน้าเพราะเขาคิดว่าถึงอ่านข้อความหวานเลี่ยนในนี้ก็คงไม่ช่วยให้รู้ถึงตัวการนักหรอก และเกิดคนที่ไม่ควรจะอ่านดันมารู้ มันอาจจะยุ่งไปกันใหญ่

          “ก็เผื่อจะคุ้นกับลายมือไง จริงไหมล่ะ”ไม่ว่าเปล่า เขายังรีบดึงจดหมายมาเหมือนกลัวอีกฝ่ายจะไม่เห็นด้วย “ตามนี้ละกัน นายไปนอนเถอะ”

          แม้จะยังติดใจสงสัย แต่ด้วยความง่วงที่รุมเร้า เลยได้แต่ยอมอย่างเสียมิได้

          ทันทีที่ฤทธิ์หายขึ้นไปข้างบน สิ่งแรกที่ก้องทำคือ นำจดหมาย ไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร แบบที่สิทธิ์สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด จากนั้นก็จัดแจงทำอาหารเช้า และเตรียมสำลีอุดหูเผื่อไว้เล็กน้อย ซึ่งจากการคำนวณ ฤทธิ์น่าจะหลับลึกจนเสียงเหี้ยมๆของสิทธิ์ดังลั่นแค่ไหนก็ไม่ตื่น ซึ่งโชคดีเข้าไปอีก เมื่อเดียร์เป็นคนตื่นขึ้นก่อน

          “ผมคิดว่าคงเป็นธานินทร์นั่นล่ะ เพราะตอนนี้มีหมอนั่นคนเดียวที่เข้าใจว่าผมกับคุณสิทธิ์รักกันหวานชื่น…แต่ผมไม่เข้าใจแฮะ ว่าจะมาทำให้แยกกันทำไม” หลังจากอ่านจบ ก็เซไปที่กำแพงด้วยใบหน้าซีดเซียว “…แต่ที่แน่ๆ มันหาเรื่องทำร้ายผมได้ดีมาก…แหวะ…อ่อก…อยากจะอ้วก เขียนมาได้ชวนหวานเลี่ยนจนฆ่าผมได้เลย…”

          “ถ้างั้น ก็ไม่ได้เรื่องอะไรงั้นสิ” ก้องเอ่ยด้วยความเสียดาย ไม่นึกอยากจะเข้าไปช่วยพยุงคนที่ทำท่าใกล้ตายตรงหน้าเลยสักนิด

          ใบหน้าเรียวนิ่งคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ เด็กหนุ่มหยิบมือถือของตนขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในครัว “ฝากดูต้นทางทีนะครับ ถ้าคุณสิทธิ์มาก็บอกผมนะ”

          แล้วก็หายไปราวสิบนาที ก่อนจะเดินกลับออกมาด้วยใบหน้าผ่องใสจนชวนสยอง

          “ผมพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าฝีมือใคร หลักๆก็ธานินทร์นั่นล่ะครับ” เสียงหวานเอ่ยระรื่น “แต่แผนนี้คงเป็นของคุณแม่มาริสา แม่เลี้ยงของผมน่ะครับคิดว่าธานินทร์ไปคุยกับคุณแม่ คงเอาเรื่องที่ผมกับคุณสิทธิ์หวานชื่นกันอยู่ไปบอกละมั้งครับ”

          ได้ยินแล้วหนุ่มใหญ่ก็ถึงบางอ้อ เขาหันไปมองนอกบ้านอย่างระแวดระวัง “ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้แล้วสินะ…”

          “อ้อ แต่คนนั้นไม่ใช่คนของธานินทร์หรอกครับ พวกเดียวกันๆ” เดียร์รีบโบกมือ กลัวก้องจะวิ่งไปฉะใส่ดรก่อนจากนั้นก็นำจดหมายกลับไปวางที่เดิม “ผมว่า มันจะใกล้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับคุณสิทธิ์กับพี่วินนั่นล่ะ”

          ก้องเพียงแต่จ้องหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย

          “ผมคิดว่าตอนนี้ ไม่พี่วิน ก็คุณสิทธิ์ น่าจะเคลื่อนไหวบ้างแล้ว แต่นี่อะไร พี่วินก็เอาแต่โทรมา ทั้งที่ปกติต้องมาหาผมบ้าง ส่วนคุณสิทธิ์ยิ่งแล้วใหญ่ ไหนว่าจะใช้ผมมาหยุดไม่ให้พี่วินหาเรื่อง แต่ทั้งอย่างนั้นกลับไม่ไปบอกพี่วินให้ชัดๆไปเลยว่าตอนนี้ผมกับเขาเป็นแฟนกัน ไม่รู้รออะไรกันอยู่…ถึงผมจะได้ประโยชน์ก็เถอะ หึๆ”
         
          “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีน่ะสิ” แน่นอนว่า ทั้งเรื่องที่แผนดำเนินการช้า และเรื่องที่ต้องปล่อยให้เจ้านายอยู่กับไอ้เด็กสายเอ็มนี่นานๆ กลัวเหลือเกิน ว่าสิทธิ์จะหลงเข้าเส้นทางนี้จนกู่ไม่กลับ

          “ผมก็ช่วยเร่งเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ แต่สองคนนั่นไม่ยอมเคลื่อนไหวเองนี่นา ไม่อย่างนั้นก็คงรอทำตามแผนธานินทร์นั่นล่ะ” เดียร์ถอนใจ ดวงตากลมเลื่อนมองไปยังจดหมายที่วางไว้บนโต๊ะแล้วยิ้มพราย “แต่ตอนนี้ผมพอจะมีแผนช่วยเร่งให้คุณสิทธิ์ตัดสินใจเร็วขึ้นแล้วล่ะ”

          แผนเร่งที่ว่านี่ แกคงได้ประโยชน์จากมันเยอะเลยล่ะสิ หน้าแกมันฟ้อง

 

          เสียงแก้วที่แตกลั่นบ้านปลุกฤทธิ์ที่กำลังฝันดีสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มเร่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ มือที่กำหมัดแน่นชะงักค้าง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คู่อริบุกเข้าบ้าน แต่เป็นเจ้านายกับหนุ่มน้อยที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ ด้วยบรรยากาศกดดันที่ชวนอึดอัดอย่างน่าประหลาด

          หนุ่มตาตกเพียงแต่หันไปมองแฟน และก็ได้รับคำตอบไปตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังกระดาษหน้าตาคุ้นเคยในมือของสิทธิ์

          “ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่อง” เสียงหวานตะคอกดัง ดวงตากลมรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส แขนบางพยายามฉุดหนีออกจากมือของอีกฝ่าย แต่กลับไร้ผลอย่างที่รู้กัน

          “ไม่รู้เรื่อง?แล้วไอ้จดหมายนี่มันอะไร” สิทธิ์สวนกลับพร้อมกับดึงร่างบางเข้ามาหาหวังจะเค้นความจริง…เพียงเท่านั้น….จริงๆ…หาได้อยากมองใบหน้าหวานที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดแบบใกล้ๆแต่อย่างใด “พอห่างสายตาหน่อยก็ออกลายไปหาเศษหาเลยนะ หรือลืมไปแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน”

          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อยที่ว่าเป็นคนรักกันก็แค่ในนามไม่ใช่หรือไงผมจะไปทำอะไรก็เรื่องของผมนี่” เดียร์ยังคงพยายามดึงตัวเองออกจากร่างสูงตรงหน้าไม่เลิก “ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!”

          “ทำไม รังเกียจฉันมากนักหรือไงคุยกับฉันมันจะเป็นจะตายงั้นสิทีตอนอยู่บนเตียงไม่เห็นจะรังเกียจกันเลยนี่ เห็นร้องครางเสียงหลงเชียวนะ!”

          “อย่ามาพูดบ้าๆนะ ใครเขาจะคิดแบบนั้นกัน” มือบางพยายามทุบตีอีกฝ่าย ใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำเพราะอารมณ์พลุ่งพล่าน “คุณมันน่ารังเกียจที่สุดผมเกลียดคุณ!! ผมเกลียดคุณได้ยินมั้ย!!”

          “งั้นเหรอ”

          ฤทธิ์ได้แต่ตาค้างมองเรื่องเหลือเชื่อที่อยู่ตรงหน้า โอเค เขารู้ว่า ได้กันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาแสดงออกกันต่อหน้าชาวบ้านสักหน่อย ขนาดเขากับก้องเองยังไม่เล่นกันถึงขนาดนี้เลย

          ร่างบางกระตุกเมื่อโดนอีกฝ่ายโถมเข้าหาซอกคอของตนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อพยายามจะถอยหนี กลับโดนแขนแกร่งโอบเอวไว้ เด็กหนุ่มทั้งทุบทั้งตีร่างตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด สิทธิ์ยังคงเก็บเกี่ยวความหอมหวานตรงหน้าจนพอใจ ก่อนจะผละออกมาหวังดูหน้าเดียร์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่หวัง ใบหน้าเล็กชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อและหยาดน้ำตา แก้มนิ่มแดงระเรื่อและร้อนผ่าว ดวงตากลมจับจ้องมองมาด้วยความเจ็บใจและคั่งแค้น ช่างชวนให้คนมองรู้สึกสมใจเป็นอย่างยิ่ง…

          แต่ก็วูบหายไปทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าเหวอแตกของฤทธิ์

          “เฮอะ เธอเองก็น่ารังเกียจไม่แพ้พี่ตัวเองหรอก” มือหนาผลักร่างเล็กออกอย่างไม่ไยดี จนเดียร์เกือบล้ม แต่หนุ่มตาตกคืนสติได้ทันและรีบลงไปรับเดียร์เอาไว้เสียก่อนแล้วจากนั้นสิทธิ์ก็ผลุนผลันกระทืบเท้าตึงตังขึ้นชั้นสองไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองกลับมาที่ร่างบางสักนิด

          “…ไม่เป็นไรนะ” ฤทธิ์มองอย่างไม่แน่ใจนัก แม้จะดูไม่เป็นอะไรมาก แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นดูแย่มาก แขนเล็กทั้งสองข้างมีรอยปื้นแดงเห่อขึ้นเป็นรอยมือจนน่ากลัว

          เดียร์หลุบตาก้มหน้ามองต่ำ เพียงแค่สะบัดหัวให้ “ผม…ขอขึ้นห้องก่อนนะครับ…ผมเดินไหว ไม่เป็นไร…”

          ก้องนิ่วหน้ามองร่างเล็กที่เดินโซซัดโซเซขึ้นไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็คงเห็นเพียงแค่ว่า คนตรงหน้ากำลังบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอันมาก เพราะต้องมาโดนคนที่รักเข้าใจผิดและเอ่ยวาจาร้ายกาจใส่ช่างน่าสงสารเหลือเกิน…ถ้าเป็นคนธรรมดาน่ะนะ…

          ต่อให้ก้องอ่านใจไม่ออก ก็รู้เหตุผลที่ไอ้เด็กบ้านั่นเดินไม่ตรงทางเป็นอย่างดี ท่าทางคงเสียใจเอาการ อุตส่าห์แสดงบทผู้โดนกระทำตั้งนาน แต่ดันโดนรวบรับตัดฉากทรมานเสียได้คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสิทธิ์จะยอมหยุดเพียงเพราะเห็นฤทธิ์

          แต่เขาไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งคือ ไอ้เหตุการณ์เมื่อครู่มันจะช่วยให้สิทธิ์ตัดสินใจรีบไปบอกข่าวดีให้วินรู้ได้อย่างไรนี่ล่ะ

          “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เสียงทุ้มของแฟนหนุ่มปลุกให้ก้องหลุดจากภวังค์ “นี่นายไม่ได้เอาจดหมายไปทิ้งหรือ"

          เวร ตรงนี้มันไม่ได้เตี๊ยมให้ตู

          “มะ…ไม่รู้สิ ฉันเอาให้เดียร์ไป ก็บอกแล้วนะว่าให้ทิ้ง สงสัยคงลืมมั้ง…” ดีที่สถานการณ์ก่อนหน้ามันรุนแรงเอาเรื่อง ฤทธิ์เลยไม่ทันได้ติดใจเสียงตะกุกตะกักของหนุ่มแว่น “ตะ…แต่ว่าก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันแรงสักหน่อย”

          “บ้าเรอะ มองยังไงของนายน่ะลืมไปแล้วหรือไงว่าเดียร์เขาคิดยังไงกับคุณสิทธิ์น่ะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังได้เข้าหน้ากันไม่ติดหรอก” ไม่ด่าเปล่า มีตบเรียกสติซึ่งเป็นเรื่องปกติของฤทธิ์ “บ้าเอ๊ย”

          ก็ดีสิ ฉันไม่อยากเห็นหัวหน้าโดนล่อลวงเข้าสู่ทางเอสเอ็ม…ถึงตอนนี้ดูๆแล้วจะก้าวไปลึกเอาเรื่องแล้วก็เถอะ

          “เดี๋ยว นั่นนายจะไปไหนน่ะ” ก้องเรียกเสียงตื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินขึ้นบันไดไป

          ดวงตาตกที่ตวัดกลับมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “จะอะไรซะอีกล่ะ ฉันก็จะไปพูดให้คุณสิทธิ์รีบๆจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไง”

          ว่าแล้วก็หายขึ้นไปอย่างทันท่วงที ในขณะที่คนฟังได้แต่ยืนนิ่ง…นิ่ง…และนิ่ง…

          ……

          และก็เพิ่งรู้สึกตัว ด้วยอารมณ์ช็อคสุดๆ

          ที่แกทำแบบนี้เพราะหวังให้ฤทธิ์เป็นคนไปพูดกับคุณสิทธิ์งั้นเรอะ ไอ้เดียร์!! ฉันก็สงสัยอยู่แล้วว่า ทำไมตอนคุณสิทธิ์อ่านจดหมาย แกถึงรีบไปคว้าแก้วน้ำนี่เรอะที่แกไม่ยอมบอกแผนของแกให้ฉันฟัง! ไอ้เด็กบ้า~~~~~~



__________________________________________________
          ช่วงนี้หนาวมาก รักษาสุขภาพกันด้วยเน้อ หนาวแบบนี้ ชวนขี้เกียจมากมาย -_-

          ใครไปเที่ยวขอให้เดินทางปลอดภัยและสนุกกับการเที่ยวเน้อ ช่วงนี้เครียดกันเยอะ ต้องไปพักผ่อนกันมั่ง =w=

ออฟไลน์ †คุณเขียด

  • ♣ เป็นคนดีแล้วค่ะ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +376/-1
อุต๊ะ!! :z1:

พลังSในตัวสิทธิ์นับวันยิ่งประทุรุนแรง :laugh:

จะสงสารเดียร์ดีไหม(ไม่น่าสงสาร เพราะลักษณธน้องแกจะชอบ :haun5:)

รอนะจ๊ะ :mew1:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
 :oo1: มาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
ไม่รอดแน่สิทธิ์พลังสายSในตัวเริ่มประทุแล้ว555

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ปลูกพลังS ในตัวคุณ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 25 
         
          ฤทธิ์ผลุนผลันพังประตูเข้ามาด้วยความร้อนรน ทีแรกเขาคิดว่าตอนเข้าไปคงจะโดนสิทธิ์หันมาตวาดใส่เป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ เข้าไปแล้วกลับไม่เจอเจ้านายเสียนี่

          “…พี่ฤทธิ์หรือครับ…”

          หนุ่มตาตกสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอื่อยลอยเข้ามา ชายหนุ่มหันไปก็พบร่างสูงกำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้หลบอยู่ข้างเตียงของอีกฝั่ง ด้วยสภาพเหมือนคนที่เพิ่งรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปสารภาพรัก แต่กลับกินแห้วยังไงยังงั้น และทันทีที่สิทธิ์เห็นฤทธิ์เข้ามา เขาก็รีบปั้นหน้านิ่งใส่ทันควัน

          “เอ่อ…ไม่เป็นไรนะครับ” ฤทธิ์เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าจะเข้าประเด็นเลยดี หรือจะถามไถ่อาการเมื่อครู่ดี แต่ละอันน่าเป็นห่วงทั้งนั้น

          “มะ…ไม่เป็นไรครับ มะ…มีอะไรหรือครับ” สิทธิ์รีบลุกพรวดขึ้นมาทำหน้าขึงขังใส่ แต่ดูเหมือนจะยังเก็บอาการไม่อยู่เท่าไหร่ เลยหลุดความกังวลออกมาให้เห็นเป็นพักๆ

          “ถ้าอย่างนั้น ผมขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะครับ” เมื่ออีกฝ่ายยืนยัน เขาก็ไม่คิดจะรีรอ “ผมว่าคุณสิทธิ์ควรจะจบเรื่องบ้าๆนี่ได้แล้วนะครับ ยิ่งยื้อไว้นานก็เสียเวลาเปล่าๆ หรือถ้าลำบากใจยังไง จะให้ผมจัดการแทนก็ได้”

          สิทธิ์ออกอาการเหวอมาก และจากที่ฤทธิ์คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเถียงอะไรออกมาสักคำ แต่สิ่งที่สิทธิ์ทำคือ หน้าซีด และออกอาการตกใจสุดขีดแทน

          “…เอ่อ…ไม่เป็นอะไรนะครับ” เขาก็ว่าจะไม่ถามแล้วนะ แต่เล่นทำท่าเหมือนโลกกำลังจะแตกแบบนี้ ใครจะอดทนไหว

          “…มะ…ไม่เป็นไรครับ…ผมแค่เพิ่งนึกเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้” สิทธิ์เอ่ยเสียงอ่อย ก่อนจะมองกลับมาด้วยแววตามุ่งมั่นมาก…มากเสียจนฤทธิ์รู้สึกแปลกใจ “แต่เรื่องนี้ ผมจัดการเองได้ พี่ไม่ต้องทำแทนผมหรอกครับ ที่ผมยังไม่ลงมือเพราะมันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก”

          “เวลา? เวลาอะไรกันครับ นี่คุณก็ทำกับเดียร์ถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องรออะไรอีกล่ะครับ” เสียงทุ้มร้องขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็เห็นกันอยู่ว่าทั้ง ข่มขู่และลากขึ้นเตียงไปแล้ว แถมยังตั้งสองรอบ แล้วยังจะต้องทำอะไรอีกล่ะ

          “ก็…ผมว่าที่ทำไปมันยังไม่พอนี่…หมายถึง ยังไม่พอที่จะทำให้เดียร์ยอมทำตามที่ผมพูดนะครับ” สิทธิ์รีบพูดต่ออย่างรวดเร็วตอนที่โดนอีกฝ่ายถลึงตาใส่ “พี่ก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือไงว่าเขายังดื้อไม่หยุด เกิดเขาหลุดว่าที่จริง เขากับผมไม่ได้เป็นแฟนกันต่อหน้าไอ้วิน มีหวังทุกอย่างก็เจ๊งเลยนะครับ”

          ฤทธิ์อ้าปากค้าง หมายจะพูดความจริงที่(โดนเดียร์เป่าหู)ว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ เพราะความจริงแล้ว เดียร์เองก็ชอบ(ในความรุนแรงของ)สิทธิ์เหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่า หากพูดออกไป อาจจะทำให้เด็กหนุ่มต้องลำบากไปมากกว่านี้เพียงเพราะความต้องการแก้แค้นของเจ้านาย เขาจึงได้แต่เงียบ

          “ก็ได้ ถ้าคุณสิทธิ์ว่าอย่างนั้น” เมื่อเห็นลูกน้องเอ่ยยอมแพ้ สิทธิ์เกือบจะกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ “แต่ผมบอกไว้เลยว่า ทั้งหมดที่คุณทำลงไป มันมีแต่จะทำให้คุณสิทธิ์เสียใจทีหลัง แค่นั้นล่ะครับ”

          ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก่อนจะจากไป…เขาทำดีที่สุดแล้วนี่…

          สิทธิ์เดินไปดูที่ประตู เมื่อมั่นใจว่าประตูไม่ได้พังอย่างที่คิด ก็ล็อกประตู แล้วถอนหายใจออกยาวเหยียด หากต้องต่อความยาวมากกว่านี้ มีหวังเขาต้องหลุดความในใจออกมาเป็นแน่

          รอเรอะ…อันที่จริงมันไม่มีอะไรต้องรอแล้วหรอก อยากจะไปเย้ยไอ้วินมันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เดียร์แล้ว…

          แต่…ทั้งที่คิดไว้อย่างนั้น! ทั้งที่อยากจะเห็นสีหน้าปานโลกแตกของวินใจจะขาดแท้ๆ! กลับนึกกลัวขึ้นมา….

          กลัวจะไม่มีเวลามาทำเรื่องอย่างว่ากับเดียร์อีก…

          นี่ตูคิดเข้าไปได้ยังไงวะเนี่ย!!!

          เขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักหรอก ว่าสมองมันจะคิดแบบนั้นไปได้ ทั้งแปลกใจ ทั้งอยากจะกระอักต่อความคิดบ้าๆนี่ เพราะฉะนั้น ต่อให้ตายยังไงก็ไม่มีทางบอกความจริงที่น่าอดสูนี่ได้หรอก…แม้ว่าจะรู้สึกข้องใจแทบตายแค่ไหนก็ตาม!!

          “บ้าเอ๊ย” สิทธิ์สบถขึ้นมาอย่างหัวเสีย ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี อยากจะจบเรื่องให้เร็วๆ จะได้ไม่ต้องมาทำเรื่องชวนปวดใจแบบนี้…

          แต่…ถึงจะจบเรื่องแล้ว…อีกฝ่ายคงไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่ทำลงไปหรอก…

          ดวงตาเรียวเพ่งมองไปยังประตูห้องตรงหน้า ก่อนจะเบนกลับมายังบนเตียงแห่งความทรงจำ ภาพของร่างบางที่แสดงอาการเจ็บปวดยังคงสะท้อนออกมาให้เห็น ดวงตากลมที่ฉ่ำด้วยหยาดน้ำใสที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้น…

          ทั้งที่รู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ไม่อาจห้ามความรู้สึกลึกๆในใจที่อยากจะเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าเช่นนั้นอีก เขาถึงรู้สึกอึดอัดและทรมานจนแทบคลั่ง อยากจะหยุดความรู้สึกแปลกๆเช่นนี้เหลือเกิน

          ผมเกลียดคุณ!

          เสียงหวานที่เอ่ยคำพูดนั้น ยังสะท้อนก้องอยู่ภายในใจ และคอยตอกย้ำเขาให้สำนึก ว่าตนไม่มีทางกลับไปยังวันแรกๆที่เจอกับเด็กหนุ่มได้อีกแล้ว…

          ไม่มีวัน!

          เหมือนบางสิ่งบางอย่างในจิตใจมันขาดสะบั้น ใบหน้าที่กลัดกลุ้มและสับสนก่อนหน้ามลายหายไป คงไว้แต่ใบหน้าที่นิ่งแต่กลับดูเหี้ยมเกรียม

          ยังไงซะ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางยกโทษให้อยู่แล้วนี่…ถ้าอย่างนั้น เราก็ทำตามใจตัวเองดีกว่า

 

          ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าพอมีความสุขทีไรแล้วสมองมันจะหยุดคิดทุกที แต่สุดท้ายก็เผลอตัวอยู่ร่ำไป…ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่กำลังจะโดนคุณเจ้านายแสนดีมอบความรักทั้งมือเท้ามาให้ตอนกำลังเครียดๆ เล่นเอาคิดอะไรไม่ออก นอกจากพยายามรับแรงกระแทกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “โว้ยยย” หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งด้วยภาพลักษณ์สุขุมสมกับเป็นประธานตั้งแต่เก้าโมงถึงหกโมงครึ่ง หนุ่มแว่นก็ลุกขึ้นแล้วปัดเอกสารออกจากโต๊ะเสียเละเทะ แล้วเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของชาที่เพิ่งนำเอกสารเข้ามาให้อีกหนึ่งกอง จากนั้นก็ผลักออกไปเสียจนปลิวไปกระแทกกับกำแพง “ไอ้หมาสิทธิ์ อ๊ากกกก”

          และก็ตามด้วยหมัดรัวใส่ชาอย่างกับกำลังชกกระสอบทรายก็ไม่ปาน ส่วนคนโดนกระทำก็ได้แต่ยิ้มโล่งใจเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียดในหัว

          “เป็นอะไรไปหรือครับ” หลังจากวินระบายอารมณ์จนสาแก่ใจ ชาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ทีแรกเขาก็เข้าใจว่าหงุดหงิดที่ไม่ได้เจอเดียร์มาพักใหญ่ แต่เมื่อวานเห็นโทรคุยกับเดียร์ก็ยังร่าเริงอยู่แท้ๆ

          หนุ่มแว่นปรายตามอง ก่อนจะกลับไปกระแทกตัวลงเก้าอี้ “ฉันกำลังคิดว่า ไอ้สิทธิ์ต้องวางแผนชั่วๆเพื่ื่อหาเรื่องเล่นงานฉันอยู่แน่ๆ"

          ชาถึงกับสะดุ้ง เพราะความจริงมันเลยคำว่าวางแผนไปไกลโขแล้ว “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”

          “ก็เพราะฉันไม่เห็นมันมาที่ผับของมีนมาสองอาทิตย์แล้วน่ะสิ!” หมัดหนาทุบลงโต๊ะดังโครม ซึ่งโชคดีที่คุณประธานรู้จักเวลาพอที่จะใช้กำลังกับเขาตอนที่พนักงานกลับบ้านกันหมดแล้ว “ที่ผ่านมา มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ยกเว้นว่าจะมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีเหตุที่ว่านั่นให้ฉันได้ยินซักนิด ลูกน้องหรือญาติมันก็ไม่มีใครอยู่โรงพยาบาลซักคน แถมตอนนี้เห็นว่าให้อาวัฒน์ทำหน้าที่เป็นประธานแทนมันอยู่ด้วยนี่ พอถามว่ามันไปไหน ทางโน้นเขาก็อ้อมๆแอ้มๆไม่ยอมตอบกัน แล้วแกจะให้ฉันคิดยังไงวะ”

          เพิ่งจะมีครั้งนี้นี่แหละ ที่ชารู้สึกว่าการที่เจ้านายสนิทสนมกับลูกน้องของอีกฝ่ายเป็นมหันตภัยอย่างใหญ่หลวง

          "เขา…อาจจะไปพักร้อนก็ได้นี่ครับ…”

          “พักร้อนแล้วพวกมีนไม่กล้าตอบเรอะ ก่อนหน้านั้นตอนมันไปเที่ยวเวียดนาม มีนยังบอกเลย แถมหลังจากเที่ยว อาวัฒน์กับป้านางยังเล่าให้ฟังเลยว่ามันไปเที่ยวตรงไหนบ้าง แถมอาวัฒน์ยังซื้อของฝากมาให้ฉันอีกต่างหาก”

          เอาเถอะ…ก่อนหน้านั้นทางนี้เองก็ซื้อของฝากแจกฝั่งโน้นเหมือนกัน…จะไปตำหนิอะไรได้

          “เพราะงั้น ฉันมั่นใจ ว่ามันต้องวางแผนชั่วอะไรอยู่แน่” หลังจากออกอาการกระฟัดกระเฟียด ก็เปลี่ยนเป็นกังวลทันควัน “บ้าเอ๊ย แม่ก็จะเกลียดอะไรเดียร์นักหนาก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องกลุ้มให้เสียเวลาแบบนี้หรอก…ป่านนี้คงได้ไปเช็คดูเรียบร้อยแล้ว ว่าเดียร์ยังอยู่ดีไม่โดนไอ้หอยดองนั่นมันรังควานน่ะ”

          เอาจริงๆนะครับ…คนที่มีปัญหาตอนนี้น่าจะเป็นไอ้หอยดองที่ว่ามากกว่า…

          “แต่คุณก็โทรไปหาคุณเดียร์เกือบทุกวันนี่ครับ ถ้ามีปัญหาอะไร คุณเดียร์เขาก็คงบอกคุณอยู่แล้ว” ชาพยายามกล่อม แม้ใจจริงจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันรังแต่จะทำให้เรื่องราวมันช้าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แต่ถ้าเลือกได้ เขาไม่อยากเห็นวินอยู่ในสภาพเหมือนผีตายซากน่ะสิ

          แต่เขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด…และไม่รู้ว่าถ้าลองร้องไห้อีกหน คุณเจ้านายจะยอมเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่านี่สิ แถมเวลาโดนกอดยังรู้สึกประหลาดชอบกลอีก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบหรอกนะ…

          วินยืนนิ่งไปพักใหญ่ราวกับกำลังใช้ความคิดในเรื่องที่คิดไม่ตก จากนั้นก็กัดฟันกรอด ขยี้หัวตัวเองเหมือนคนบ้า ทุบโต๊ะไปสองสามที จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา

          “เดียร์ คุยได้หรือเปล่า…อ๋อ เปล่าหรอก พี่ก็แค่เป็นห่วงเราน่ะ ช่วงนี้สบายดีใช่ไหม…หรือ…อย่างนั้นหรือ…ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว…หืม...ก็อยู่ตรงนี้นั่นล่ะ มีอะไรหรือ…ได้”

          ชาสะดุ้งเมื่ออยู่ๆคุณชายก็ยื่นโทรศัพท์ให้ตรงหน้าตนด้วยอาการเหมือนอยากกระโดดถีบตน ซึ่งสาเหตุเขาแทบไม่ต้องนึกสงสัยด้วยซ้ำ

          “…ฮัลโหลครับ…” ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หูโทรศัพท์ด่าทอสารพัดเท่าที่จะนึกออกให้รู้แล้วรู้รอด จนปลอดโปร่งหัวใจแล้ว ถ้าไม่ติดว่าวินยืนอยู่ล่ะก็นะ

          “ผมล่ะนับถือจริงๆเลยนะครับ ไม่คิดว่าคุณจะกล่อมให้พี่ยอมทำตามคุณได้นานขนาดนี้”

          คนฟังก็ได้แต่กำมืออีกข้างแบบไม่ให้หนุ่มแว่นเห็น แม้อันที่จริงอยากจะบี้โทรศัพท์ให้แหลกเละมากแค่ไหนก็ตาม

          “คุณชาน่าจะรู้เรื่องที่มีคนแปลกหน้าเอาจดหมายมาให้ผมแล้วสินะครับ” เสียงหวานพูดต่ออย่างระรื่น

          “…ครับ แต่ไม่เยอะหรอกครับ” ชาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงและใช้คำพูดที่กำกวมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาโดนวินถามว่าคุยอะไรจะได้โกหกไม่ยาก “ทำไมหรือครับ”

          “ผมอยากจะให้คุณเตรียมใจ ว่าอีกไม่นาน เรื่องที่คุณไม่อยากจะให้มันเกิด กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ น่ะครับ แค่นี้แหละ บ๊ายบาย”

          แล้วมันก็วางหูใส่ด้วยความไวแสง ปล่อยให้เขาได้แต่ระงับอารมณ์แทบบ้า

          “เดียร์คุยอะไรกับนาย”

          ถึงจะหงุดหงิดที่ไอ้เด็กผีนั่นวางแผนรับมือได้เสียทุกอย่าง อีกทั้งยังคาใจกับคำพูดเมื่อครู่มาก แต่พอต้องมาเก็บอารมณ์ต่อหน้าวิน ไอ้ความหงุดหงิดเมื่อครู่ถึงกับปลิวหายกับสายลมทันที

          “…เขาแค่ถามว่าช่วงนี้คุณงานเยอะหรือเปล่า เขาแค่เป็นห่วงน่ะครับ” ชายิ้มตอบอย่างลืมตัว และลืมเรื่องที่โกรธเดียร์ไปเสียสนิท

          “ถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง ทำไมเขาไม่ถามฉันเลยล่ะ จะถามนายทำซากอะไร”

          “ก็เขาคิดว่าคุณอาจจะปิดบังไว้ไม่ให้เขาห่วง เลยมาถามผมไงครับ” ถ้าเป็นเรื่องการแสดงความรักของน้องต่อพี่ ต่อให้ติดใจสงสัยอะไรพ่อคุณก็ปล่อยทิ้งได้หมด

          วินบึ้งหน้าให้ ก่อนจะคว้ามือถือของตนกลับมา “ถ้าไม่ติดเรื่องแม่ ฉันจะไปหาเดียร์ทุกวันเลย”

          โอ๊ย อย่าไปเลยครับ เขาเองก็รำคาญคุณจะแย่…อยากจะบอกความจริงเหลือเกิน แต่เดี๋ยวคุณจิตตกแน่ๆ ผมไม่เอาด้วยหรอก

          “หมดเรื่องแล้วก็ไปทำงานต่อเถอะ”

          หนุ่มแว่นโบกมือด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกลับไปยังโต๊ะทำงาน ส่วนชาเองก็เช่นกัน…

          และหนุ่มหน้านิ่งก็กลับมากลัดกลุ้มกับข้อความชวนหงุดหงิดปนสงสัยของเดียร์อีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่…อันที่จริงก็รู้อยู่หรอก แต่ปัญหาคือ อย่างไรนี่แหละ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องลงมือจริงๆ เขากลับรู้สึกกลัว

          ไม่อยากเห็นเลย…ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆหรือ…ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ…
         
          “เฮ้!!”

          ชาสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงดังเข้าตรงหน้า และก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ในห้องประธานดันมาอยู่ตรงหน้า…ด้วยระยะที่ห่างกับใบหน้าของเขาเพียงไม่ถึงยี่สิบเซ็น

          “เฮ้ย!!” วินร้องอีกครั้งเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายกระโจนออกจากเก้าอี้ และถอยไปชนกับชั้นวางแฟ้มข้างหลังเข้าโครมใหญ่ “ระวัง!”

          เสียงอึกทึกดังลั่น ทีแรกชาคิดว่าชั้นคงจะหล่นมาทับเขาแล้ว แต่สิ่งที่ทับมากลับนิ่มๆปนแข็งๆ ไม่เหมือนโลหะแข็งๆเลยสักนิด

          “….คุณวิน?”

          เขายอมรับอยู่หรอก ว่าตนเหม่อจนประมาท แต่ไอ้เรื่องโดนเจ้านายมาช่วยรับแรงกระแทกจากตู้แทนแบบนี้ โคตรจะอยู่เหนือความคาดหมายของเขาสุดๆ....แน่ล่ะ ปกติทุบตีเขาทุกเช้าเย็นเป็นงานอดิเรก ใครจะไปคิดว่าจะยอมพลีชีพปกป้องตนกัน

          “เป็นอะไรหรือเปล่า”

          แถมยังไถ่ถามอาการอีกต่างหาก บอกตรงๆ เขารู้สึกขนลุกมากกว่าประทับใจเยอะ

          “…คิดว่าไม่น่าจะเป็นนะครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นไหวคล้ายกับจะร้องไห้…ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเรื่องโดนตู้ล้มทับแน่นอน “คุณมากกว่า…ที่เป็น…เป็นแน่ๆเลยใช่ไหมครับ…โดนตู้กระแทกหัวใช่ไหมครับ”

          “พูดงี้หมายความว่าไงวะ มันใช่เวลามายั่วโมโหฉันรึไง” วินกระแทกเสียงใส่ “หุบปากแล้วช่วยดันตู้เข้าสักทีสิว้อย อยากจะอยู่แบบนี้รึไง หนักจะแย่อยู่แล้ว”

          แหม ก็น่าสนเอาเรื่องอยู่นะครับ คิดดูสิครับ ต้องโดนกดทับโดยมีคุณอยู่ระหว่างกลางแบบนี้ ผมสุดแสนจะสุขใจหาใดเทียม

          ชายิ้มบางๆก่อนจะทำตามอย่างว่าง่ายแม้จะแอบเสียดายอยู่นิดๆ พอวินหลุดออกจากใต้ตู้ ชายหนุ่มก็ช่วยยกตู้แสนหนักกลับเข้าที่ขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยตัวคนเดียว ส่วนลูกน้องที่ลุกขึ้นมาทีหลังก็ได้แต่ยืนมอง และยังคงข้องใจไม่หาย

          “อะไร” พอโดนมองด้วยสายตาประดุจคนที่เพิ่งได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของชา วินก็อดฉุนไม่ได้

          “ผมก็แค่แปลกใจ…ก็ปกติคุณชอบทำร้ายผมนี่ครับ นึกยังไงกลับมาช่วยผมแทนล่ะครับ คุณจะปล่อยให้ตู้ล้มทับผมก็ได้นี่ ให้เจ้านายอย่างคุณมาเจ็บเพราะผมแล้วมันแปลกๆน่ะครับ” ถึงอันที่จริงแล้วผมยินดีมากกว่าถ้าได้รับความเสียหายเต็มๆก็เถอะครับ

          วินทำหน้าเหมือนคิดไม่ตกอยู่ครู่ใหญ่ และอยู่ๆก็พุ่งมือเข้ามากระแทกใส่หน้าผากชาเต็มรัก

          “ฉันลืมตัว ผิดหรือไง” หนุ่มแว่นว้ากใส่ “ก็เรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหันขนาดนั้น ฉันก็ตกใจ เลยเผลอออกไปช่วยต่างหาก มันก็เป็นเรื่องปกตินี่นา ฉันไม่ใช่คนใจร้ายที่จะเที่ยวยืนมองลูกน้องตัวเองโดนตู้ทับตายไปต่อหน้าได้นะโว้ย”

          ถ้าเป็นคนอื่นที่หวังอยากเป็นคนพิเศษกว่าใครเขา ฟังแล้วมันก็ชวนสลดอยู่หรอก…แต่ถึงจะสลดก็อดไม่ได้ที่จะสุขใจไปกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเกินเลยนี้เสียจริงๆ

          “และที่สำคัญ นายไม่มีสิทธิ์เจ็บ ถ้าฉันไม่ต้องการ เข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้วก็เก็บเอกสารพวกนี้ให้เสร็จด้วย ฉันไปทำงานต่อล่ะ แล้วอย่าเหม่ออีกนะโว้ย คราวนี้ฉันจะตบกะโหลกให้คว่ำเลย”

          ว่าจบก็หยิบเอกสารที่ต้องการบนโต๊ะแล้วกลับเข้าห้องประธานไป ปล่อยให้คุณเลขาได้แต่ยืนประมวลผลกับคำพูดเมื่อครู่เพียงคนเดียว

          “อึก…”

          ชาทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น คำพูดที่ฟังดูเผินๆเหมือนว่าวินเผด็จการถึงชีวิตของตน มันช่างชวนให้ใจหวั่นไหวจนยืนไม่อยู่

          ผมน่ะพยายามอดทนเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่คิดหวังอะไรให้มากอยู่นะครับ เล่นมาพูดแบบนี้แล้วผมจะทนไหวได้ยังไงกันล่ะ…

          ผมน่ะ…อยากเป็นคนพิเศษของคุณนะ…อยากเป็นคนเดียวที่คุณคิดถึง…อยากโดนคุณมองด้วยสายตาเหยียดหยามคั่งแค้น…อยากโดนคุณทำร้ายให้บอบช้ำไม่ว่าจะด้วยทางกายหรือคำพูด…มีแค่คุณเท่านั้นที่ผมต้องการ…

          …ทั้งอย่างนั้นคุณกลับเอาแต่ตามก้นไอ้น้องชายวายร้ายนั่นอยู่ได้…โอ๊ยเจ็บ แต่มีความสุข…ไม่สิ…นั่นไม่ใช่ประเด็น…ที่สำคัญคือในฐานะคนคุ้มกันคุณและผมก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายคุณด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย…

          …แต่ถ้ามัวแต่กลัวแล้วเมื่อไหร่เรื่องมันจะจบกัน…

          และเราก็ไม่มีเวลาให้กลัวแล้วด้วย!

          ปัง

          วินสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆเลขาก็ผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทีแรกเขาก็คิดว่างานพลาดหรืออะไรสักอย่าง แต่อยู่ๆคนใต้อาณัติกลับเพียงแค่เข้ามาวางมือบนโต๊ะ และจ้อง…หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ สำรวจเสียมากกว่า

          “อะไรวะเฮ้ย!!” เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ทำอะไรเลยนอกจากจ้อง จนวินรู้สึกอึดอัดทนไม่ไหว หนุ่มแว่นจึงลุกขึ้นและเสยคางอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง

          “คุณวิน ชกผมอีกได้ไหมครับ”

          จากที่ว่ากำลังจะประเคนใส่เขาอีกหมัดพลันต้องหยุดชะงักเพราะคำขอพิลึกนั่น หนุ่มแว่นนิ่วหน้าค้างหมัดไว้ก่อนจะถึงแก้มชา

          “ช่วยชกผมทีครับ ได้โปรด” นี่เป็นคำที่ชาอยากจะพูดมานานแสนนาน หากแต่ไม่กล้าเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่จะได้มาไม่ใช่สิ่งที่ขอแน่ แต่เป็นใบหน้าเหวอๆของวินที่กำลังแสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้นี่ล่ะ “มีแต่คุณเท่านั้นที่จะช่วยผมได้”

          ได้ยินอย่างนั้นแล้ววินยิ่งทำหน้าเหวอหนักกว่าเก่า “นี่ฉันระบายอารมณ์ใส่นายมากไปจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ…”

          “เปล่านะครับ…คือตอนนี้ผมกำลังกลุ้มมากๆ….ลองมันทุกอย่างแล้ว…แต่ก็คิดอะไรไม่ออก…” ชาพยายามหาเหตุผลที่มันดูเข้าทีที่สุด…ซึ่งเขาก็กำลังกลุ้มจริงๆนั่นล่ะ “ผมก็แค่คิดว่าถ้าโดนคุณชกสักทีสองที มันอาจจะช่วยให้ผมคิดอะไรออกขึ้นมา…”

          แต่กระนั้นพ่อคุณชายแสนดีกลับทำแค่ใบ้กิน เขาก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าวินจะนึกลังเล คนปกติคงไม่ยินดีกับการทำตามคำขอประหลาดนี่ให้ทันทีหรอก

          วินยืนมองด้วยใบหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความกังขา ชายหนุ่มเดินเก้ๆกังๆไปยังตรงหน้าของชา แล้วยกมือขึ้น

          “ต้องสุดแรงหรือเปล่า”

          ปกติคุณก็แทบจะทุ่มกำลังทั้งหมดใส่ผมอยู่แล้วนี่ครับ มาตอนนี้จะถามผมด้วยความเป็นห่วงทำไมล่ะ

          “ถ้ารู้ว่าคุณป๊อดนัก ผมไม่น่าเสียเวลามาขอคุณเลย…”

          นั่นล่ะครับ ไอ้ที่ซัดเข้ามาเต็มลิ้นปี่ผมนั่นล่ะครับ เจ็บได้ใจผมจริงๆ

          “แกว่าใครป๊อดวะ ไอ้ตี๋หน้าตายนี่” แน่นอนว่าหมัดเดียวไม่เคยพอ ต้องแถมด้วยเตะ ศอก เข่า เอาให้ครบทุกกระบวนท่าและวิทยายุทธ “ไง โล่งเลยมั้ย หรือยังไม่พอ ฉันจะได้จัดให้อีกรอบ”

          และก็ลงมือโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้อ้าปากขออีกรอบ ด้วยเหตุผลสั้นๆง่ายๆว่า หน้าชากวนอารมณ์เขา

          เนื่องจากออกแรงจนเกินตัว วินเลยหอบอยู่นานกว่าที่เรี่ยวแรงจะกลับมาเป็นปกติ ดวงตาคมมองเจ้าคนที่ยังคงทำหน้าเปี่ยมสุขจนดูไม่เหมือนคนกำลังกลุ้มใจที่นั่งพิงกำแพง ถ้าทำได้ก็อยากจะกระทืบอีกสักรอบ เสียแต่ถ้าลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้ เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียก่อน และเขาเองก็ซัดจนเหนื่อยแล้วด้วย

          “ขอบคุณมากครับ” นอกจากจะไม่ออกอาการเจ็บปวด ยังลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าสดใสสุดๆอย่างที่คนเพิ่งโดนซ้อมไม่น่าจะทำได้ “ผมโล่งขึ้นแล้วล่ะครับ”

          หนุ่มแว่นเบิกตามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะแบะปากกลับมาเหมือนเดิม และตบท้ายด้วยการทุบไหล่

          “ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาทำหน้าเหี่ยวแอบถอนใจอีก”

          ชากระตุกเล็กน้อย เขาว่าตนก็ทำตัวตามปกติแล้วนะ “รู้…ด้วยหรือครับ…”

          “ทำไมจะไม่รู้ ก็เห็นหน้าเป็นชวนกวนโมโหของแกอยู่ทุกวัน ฉันก็ต้องแยกออกอยู่แล้วว่าวันไหนแกกวนฉันเป็นปกติ หรือมีอะไรปิดบังอยู่”

          เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มันจุกขึ้นมาคืออะไรกันแน่ เพราะปกติสุขใจกับการโดนด่า เลยลืมวิถีชีวิตของปุถุชนคนธรรมดาเสียสนิท จะว่าชอบก็เหมือนจะชอบ แต่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงเพราะไม่คุ้นเคยชอบกล ถ้าให้เลือก ขอโดนด่าประชดประชันใส่ยังจะรื่นหูกว่า

          “ไม่ยักรู้ว่าคุณรู้ใจผมขนาดนี้เลยนะครับ ผมล่ะซาบซึ้งจริงๆ” แต่ก็พูดออกไปตามที่คนทั่วไปน่าจะพูด และกวนเสริมตามประสา ซึ่งแน่นอนว่าก็โดนถองกลับอย่างที่มักเป็น

          “ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าโล่งแล้วก็รีบๆกลับไปทำงานได้แล้ว” วินโบกมือไล่อย่างรำคาญเต็มทน

          “อ้อ ยังมีอีกเรื่องครับ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมกะว่าจะลองหาทางให้คุณได้พบกับคุณเดียร์โดยที่ไม่ให้คุณมาริสารู้…”

          “ได้เหรอ ดีเลย ได้เมื่อไหร่บอกทันทีเลยนะ” วินตอบออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจบ สีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่หายวับจนเหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก ก่อนที่ดวงตาคมจะฉายความระแวง “นายไม่ได้วางแผนอะไรใช่ไหม เห็นก่อนหน้านั้นห้ามฉันจะเป็นจะตาย พอคราวนี้กลับเสนอจะให้ฉันไปเจอเฉย”

          “ผมก็แค่กลัวคุณจะขาดใจตายเสียก่อนน่ะครับ” อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ ผมเห็นอาการเหมือนผีตายซากที่หลุดออกมาเป็นพักๆแล้วผมโคตรเป็นห่วงบวกหงุดหงิดมากๆเลยล่ะครับ “เดี๋ยวมันจะเสียถึงงานด้วย มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะครับ”

          หนุ่มแว่นเพียงแต่นิ่วหน้ามอง ก่อนจะสะบัดเสียงใส่ “น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว รู้งี้ ฉันซัดแกให้เต็มเหนี่ยวดีกว่า ไม่น่าเสียเวลาเป็นห่วงแกเลย”

          นี่คือเหตุผลที่พักนี้คุณไม่ค่อยจะลงไม้ลงมือกับผมอย่างนั้นหรือครับ…ท่าทางผมคงต้องไปฝึกทำหน้าให้นิ่งกว่านี้แล้วล่ะ…

          “ว่าแต่ พูดจริงหรือเปล่าเรื่องเดียร์ ถ้าพลิกลิ้น นายโดนกระทืบไส้ปลิ้นแน่” เสียงทุ้มข่มขู่ด้วยคำพูดเกินจริง

          “พูดจริงสิครับ ผมไม่เคยโกหกคุณหรอกครับ”

          สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเสียงพ่นลมในลำคอ ก่อนจะโดนไล่ออกจากห้อง

          ชากลับมาทำหน้าเครียดอีกครั้ง เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ทำลงไปจะดีหรือเปล่า แต่ถึงเขาไม่ทำ เจ้าเด็กหน้าหวานนั่นกับธานินทร์ก็ไม่คิดจะรอให้เขาได้ทำใจนักหรอก สู้เป็นฝ่ายตัดสินใจเองยังจะดีเสียกว่า

          อะไรจะเกิดก็คงต้องให้มันเกิดแล้วล่ะนะ…


_____________________________________________________

เนื่องจากเพจมีคนไลค์เกิน250 เลยอยากจะจัดกิจกรรมแจกอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามีคนสนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจยังไงโพสลงชื่อไว้ที่นี่หรือจะไปกดไลค์ไว้ตรงโพสปักหมุดก็ได้นะงับ

ถ้าเกินสิบคนก็เล่นเลย XD

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
"นายไม่มีสิทธิ์เจ็บ ถ้าฉันไม่ต้องการ" กรี๊ดกับประโยคนี้ อร๊ายยย :hao7:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
กำลังจะได้เรื่องแล้ว มาต่อเร็วๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 26
         
          จริงอยู่ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน และตัวก้องเองก็ได้เตรียมการตามที่คุณชายหน้าหวานสั่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ที่มันอยู่เหนือความคาดหมายก็คือเจ้านายของตัวเองนี่แหละ อย่าว่าแต่เขาเลย ฤทธิ์เองก็ยังแปลกใจกับพฤติกรรมของสิทธิ์เหมือนกัน

          สิทธิ์ตื่นเช้า…

          ฟังแล้วมันก็เหมือนเป็นพฤติกรรมสามัญที่ชาวบ้านทั่วไปพึงกระทำอยู่หรอก เพียงแต่ปกติคุณชายเขาไม่เคยตื่นก่อนเที่ยงเลย หากไม่มีงานเร่งด่วนจริงๆ ซึ่งตอนนี้สิทธิ์เองก็ทำเรื่องขอพักร้อนยาวแบบไม่มีกำหนดแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ไอ้การที่ชายหนุ่มตื่นก่อนเจ็ดโมงครึ่ง แถมยังอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมกับลงมานั่งอยู่บนโต๊ะรออาหารเช้าแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่ประหลาดเป็นที่สุด

          “…นี่ฉันง่วงจนเบลอ…ใช่ไหม” ฤทธิ์กระซิบถามหนุ่มแว่นด้วยอาการผวาสุดขีด “หรือฉันกำลังฝันอยู่”

          “จูบฉันสิ จะได้รู้ว่าฝันอยู่หรือเปล่า” ก้องเอ่ยโดยที่ไม่ได้มองคู่สนทนา และก็ได้รับศอกถองเข้าลิ้นปี่เสียเต็มรัก

          “อ้าว พี่ฤทธิ์ยังไม่นอนอีกหรือครับ” ก่อนที่หนุ่มตาตกจะเดินเข้าไปหมายจะทักถามถึงความผิดปกติ สิทธิ์ก็ชิงทักกลับเสียก่อน ด้วยสีหน้าสดใสเสียจนชวนสยอง “วันนี้อากาศดีนะครับ”

          จริงๆช่วงนี้มันก็อากาศดีทุกวันอยู่นะครับ…แต่ผมชักรู้สึกว่า เดี๋ยวอากาศวันนี้มันน่าจะไม่ดีแล้วมั้ง ดูจากท่าทางพิลึกของคุณนั่นล่ะ

          “วันนี้มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ ตื่นเสียเช้าเชียว” ฤทธิ์พยายามเมินท่าทีสดใสเกินเหตุของเจ้านายแล้วเอ่ยทักด้วยอาการปกติ เผื่อว่าความจริงอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่พวกเขากังวลก็ได้

          แต่ไอ้สีหน้ายิ้มค้างนั่น…เห็นแล้วยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่

          “อะ…อะไรกันครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่นอนเร็วตื่นเช้า ก็แค่นั้นเองครับ” แถมเสียงยังสั่นอีกต่างหาก บ่งบอกถึงความผิดปกติสุดๆ “ไม่มี้”

          ยิ่งเน้นยิ่งน่าสงสัยสุดๆ

          “ว่าแต่ วันนี้พี่ก้องทำอะไรหรือครับ กลิ่นหอมดีจัง” สิทธิ์เปลี่ยนเรื่องด้วยการถามหาของกิน

          “…ข้าวต้มกุ้งครับ รับเลยไหมครับ”

          “อ้อ ผมไม่รีบครับ รอให้สมาชิกในบ้านอยู่กันครบก่อนดีกว่าครับ” ว่าจบก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่เหน็บไว้ในกระเป๋าหลังขึ้นมาอ่านทันที

          ทั้งสองเริ่มพอจะรู้เลาๆแล้วว่าความผิดปกติของเจ้านายมีสาเหตุมาจากอะไร

          “เฮ้ยๆ แบบนี้ท่าทางจะแย่แล้วมั้ง เอาไงดีเนี่ย” ฤทธิ์ออกอาการตื่นตระหนก ในขณะที่ก้องทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาสุดๆ

          “…นายไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หนุ่มแว่นเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูสุขุมเป็นที่สุด “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          ไม่รู้เป็นเพราะง่วงจนไม่อยากเอาภาระมาใส่หัวเพิ่ม หรือเพราะน้ำเสียงทุ่มลุ่มลึก กับท่าทีที่เยือกเย็นของก้องหรือเปล่า ฟังแล้วรู้สึกพึ่งพาได้อย่างน่าประหลาด แถมยังทำให้ใจระส่ำผิดเวลาอีกต่างหาก

          ก้องรอจนกระทั่งฤทธิ์หายขึ้นไปด้านบนจนได้ยินเสียงปิดประตู หนุ่มแว่นก็หายใจเข้าออกลึกๆอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทำใจต่อสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้ จากนั้นก็เดินไปหยิบนมในตู้เย็นมาใส่แก้ว แล้วยกมาให้คนที่กำลังนั่งหน้านิ่งจ้องหนังสือพิมพ์ หนุ่มแว่นหรี่ตา เม้มปากคล้ายไม่อยากจะถาม แต่สุดท้ายก็ฝืนใจเอ่ยออกไป

          “จริงสิครับคุณสิทธิ์ ฤทธิ์ได้บอกเรื่องเมื่อวันก่อนหรือเปล่าครับ”

          ชายหนุ่มเงยหน้ามองแล้วมุ่นคิ้วให้เป็นเชิงถาม

          “…ที่จริง มีพวกที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาจะทำร้ายเดียร์น่ะครับ…”

          จบประโยค คนฟังถึงกับลุกขึ้นอย่างลืมตัว สีหน้าออกอาการเป็นห่วงมาก

          “แต่ก็ปลอดภัยอย่างที่เห็น ไม่มีอะไรที่คุณสิทธิ์ต้องกังวลหรอกครับ เพียงแต่ผมคิดว่าควรจะรายงานให้คุณรู้เอาไว้น่ะครับ” ทั้งที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก้องกลับออกอาการเคร่งเครียด

          “แล้ว…ได้ถามเดียร์หรือเปล่าว่าพอจะรู้ไหมว่าพวกนั้นเป็นใคร”

          ก้องยิ่งทำหน้าเครียดหนักเข้าไปอีก “ถามแล้วครับ แต่เดียร์เองก็ไม่รู้…ผมก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะกลับมาอีกหรือเปล่านะครับ…แต่ก็ช่างมันเถอะ…”

          “ช่างได้ไงล่ะครับ เกิดเดียร์เป็นอะไรเข้าก็แย่สิ!” เสียงทุ้มดังลั่น ก่อนที่สิทธิ์จะชะงัก “ถะ…ถ้าเกิดเดียร์ไม่อยู่ ก็เสียแผนเอาน่ะสิครับ…ผม…ผมเปล่าคิดอย่างอื่นนะครับ”

          “ครับ…ถ้าอย่างนั้นจะเอายังไงหรือครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปเดี๋ยวผมจะไปส่งเดียร์เอง”

          “ให้ฤทธิ์ก็ได้นี่ครับ เพราะให้คุณไปส่ง ไม่ผมหรือฤทธิ์ก็ต้องตามไปคุ้มกันคุณด้วยอยู่ดี”

          “ก็เผื่อว่าผม…ผมอาจจะรู้จักพวกที่มาหาเรื่องเดียร์ไงครับ เอาน่า เอาตามนี้ละกันนะครับ” หลังจากออกอาการคิดไม่ตกอยู่นานก็พ่นพรวดใส่อย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มกระอั่กกระอ่วน

          ที่จริง ก้องก็โดนใบสั่งจากเบื้องบนมาแล้วล่ะ ว่าต้องกล่อมให้สิทธิ์ตั้งใจไปส่งเดียร์ในวันนี้ให้ได้ แต่เหตุผลที่เดียร์จะให้บอกสิทธิ์คือ เรื่องที่ว่าวันนี้วินจะมาหาที่ร้านต่างหาก

          แต่เพราะความข้องใจในท่าทีของเจ้านาย ถ้าแค่กักตัวไว้ทำตามแผน ทำไมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอนเห็นเดียร์เดินกับฤทธิ์ หรือตอนที่ได้รับจดหมายรักจอมปลอมนั่น หนุ่มแว่นเลยลองเชิงเพราะอยากจะแน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิด

          “คุณสิทธิ์ชอบเดียร์หรือเปล่าครับ”

          “ไม่!!!”

          คนฟังแก้วหูเกือบแตกเลยทีเดียว

          “ทำไมผมต้องชอบคนพรรค์นั้นด้วย ที่สำคัญหมอนั่นเป็นน้องไอ้แว่นนั่น ผมไม่มีทางรักมันเด็ดขาด ไม่มี…ไม่มีเลยยย ไม่มี”

          ตึก

          ก้องกะพริบตามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า รู้สึกเหมือนฉากละครหลังข่าวมันหลุดออกมาจากทีวีก็มิปาน

สิทธิ์หน้าซีดเมื่อได้ยินเสียงจากบันได และก็ออกอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นร่างบางที่ยืนอยู่ และมีสีหน้าไม่ต่างกับตน

          “มะ…” ก่อนที่จะได้พูดออกไปว่า ‘ไม่ใช่นะ’ ชายหนุ่มก็สำเหนียกขึ้นได้เสียก่อน ในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย แล้วจะปฏิเสธไปทำไม ร่างสูงจึงทำหน้านิ่ง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาได้สักที”

          เดียร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าหวานบ่ายหนีไปอีกทาง ร่างที่สั่นระริกค่อยๆเดินลงมาทีละน้อย และผ่านสิทธิ์ตรงไปยังโต๊ะอาหาร ทำท่าราวกับเหมือนมีสิ่งที่อยากจะพูด แต่เพราะได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เลยเสียใจจนพูดไม่ออก และยิ่งโดนสิทธิ์ทำเย็นชาใส่ เลยได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่อาจต่อต้านอะไรได้

          แน่นอนว่าก้องรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เด็กบ้านั่นมันได้ยินทุกคำที่สิทธิ์พูดอยู่แล้ว ก็ตำแหน่งที่เขายืนอยู่หันหน้าไปทางบันไดนี่ เพราะฉะนั้น เขาจึงเห็นหน้าปลาบปลื้มจนชวนสยองของเดียร์อย่างเต็มตา ก่อนที่มันจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่อสิทธิ์จะหันไปหา

          สิทธิ์ออกอาการสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตีหน้าขรึม แล้วตามกลับไปนั่งที่ของตน ทำเอาคนที่นั่งก่อนสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เดียร์จะหันหน้าหนี

          “ทำไม รังเกียจจนไม่อยากจะมองหน้าเลยหรือไง หือ” เสียงทุ้มเยาะใส่ และเมื่ออีกฝ่ายยังคงทำเมิน ชายหนุ่มก็รุกคืบต่อด้วยความต้องการจะเอาชนะ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่อยากมอง แต่เดี๋ยวคืนนี้ ไม่อยากมองก็ต้องมอง”

          ซึ่งได้ผล ใบหน้าบึ้งขึ้งเครียดตวัดหันมาหา ดวงตากลมใสดูคล้ายกับจะร้องไห้ ก่อนจะหลุบลงต่ำ “คุณ…มันทุเรศที่สุด…”

          สิทธิ์เพียงแต่ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ และก่อนที่จะต่อปากต่อคำ ก้องก็ยกข้าวต้มออกมาเสียก่อน เลยต้องเก็บคำพูดลงคอด้วยความเสียดาย

          “ให้ผมไปสตาร์ทรถรอเลยไหมครับ” เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก บวกกับมองชามข้าวต้มของเดียร์ที่กำลังจะหมด ก้องก็เอ่ยถามขึ้น

          “ดีเลยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” เสียงทุ้มเยาะขึ้นอย่างมีเลศนัย หากแต่คนที่นั่งฟังอีกคนรู้หมดพุงตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว “รีบๆกินเข้าสิ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้”

          “…ผมไปเองได้” เสียงหวานพยายามสั่นให้ดูเหมือนกลัว…แม้ที่จริงจะปลาบปลื้มใจจะขาดเมื่อได้ฟังเสียงทุ้มเอ่ยด้วยอารมณ์ดูถูกดูแคลนใส่ก็ตาม…อา…มันช่างบาดหูกระทบถึงใจเป็นอย่างยิ่ง…

          “ถ้าฉันจะไปส่งแล้วจะทำไม” สิทธิ์สวนกลับ “หรือนัดผัวเก่าคนไหนไว้ล่ะ ถึงไม่อยากให้ฉันไปเจอ”

          คิ้วบางมุ่นเข้าหาเล็กน้อย เอ่ยคำที่เขาคิดว่าคนทั่วไปน่าจะเอ่ยเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ “ถึงไม่ได้นัดผมก็ไม่อยากจะนั่งรถคันเดียวกับคุณ”

          “แล้วไง ถ้าฉันอยากจะให้นั่ง เธอก็ต้องนั่ง หรือลืมข้อตกลงของเราไปแล้ว” สิทธิ์ขู่เสียงเหี้ยม “จะไม่ทำตามฉันก็ไม่ว่านะ”

          ใบหน้าหวานบึ้งตึงใส่ ก่อนจะหลบสายตาโดยไม่พูดอะไร ร่างบางลุกพรวดขึ้น ยืนนิ่งอยู่นาน กว่าจะเอ่ยออกมา “ผมจะไปรอที่รถ”

          ดวงตาเรียวปรายตามองร่างที่วิ่งตัวปลิวออกไปนอกบ้าน ชายหนุ่มเหยียดยิ้มออกมาและหัวเราะในลำคอ ก่อนจะลุกตามออกไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้คนที่วิ่งออกไปก่อนก็มีสีหน้าไม่ต่างจากตนเลยสักนิดเดียว

          และคนที่ตามไปทีหลังสุดก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้องแทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้าสิทธิ์รู้ความจริงขึ้นมาแล้วจะรู้สึกยังไง

 

          “หา หมายความว่าไง ที่ว่าเดียร์ย้ายออกไปแล้ว เมื่อไหร่”

          เสียงทุ้มดังลั่นไปทั่วห้องประชาสัมพันธ์ใต้ตึกอพาร์ทเม้นท์ จนคนที่อยู่แถวนั้นพากันมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว และแน่นอนว่าเจ้าตัวก็ไม่คิดใส่ใจแม้แต่น้อย

          “คะ…ค่ะ ออกไปแล้ว…เอ่อ…รู้สึกจะเมื่อเกือบสามอาทิตย์ก่อนน่ะค่ะ…” พนักงานสาวเอ่ยเสียงสั่น กลัววินจะกระโดดพังกระจกเคาท์เตอร์เข้ามาหาเธอเสียจริงๆ

          “แล้วเขาย้ายไปที่ไหน ได้บอกหรือเปล่า” หนุ่มแว่นร้องถามอย่างร้อนรน แต่คงร้อนจัดไปหน่อย บวกกับใบหน้าที่ขึ้งเครียดกว่าเหตุ แถมท้ายด้วยใบหน้าที่โหดกว่าคนธรรมดาไปนิด เลยทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขู่ฆ่า “ว่าไงล่ะ”

          “ค่ะๆๆ ขอโทษค่ะ จะบอกแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกละล่ำละลัก “คือ…คือ…เขา…เขาไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ…ฮึก…ขอโทษค่ะ อย่าฆ่าหนูเลย…หนูมีแม่ต้องเลี้ยง…”

          วินผงะเมื่ออีกฝ่ายเขื่อนแตกใส่ ชายหนุ่มหันไปหาชาที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นเชิงถาม ซึ่งชาก็ได้แต่เพียงชี้ที่หน้าเพื่อบอกเป็นนัยอย่างหน่ายใจ เพราะที่จริงคุณเจ้านายน่าจะรู้ตัวตั้งนานแล้ว ว่าหน้าตัวเองก็เหี้ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วยิ่งแสดงอารมณ์รุนแรง ก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

          “เอ่อ…ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ…เอ่อ…อย่าร้องสิครับ ผมไม่ทำอะไรหรอก แค่ถามเรื่องน้องชายเฉยๆ พอดีช่วงนี้มีคนปองร้ายเขา ผมเลยร้อนรนน่ะครับ แค่นั้นจริงๆนะ ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณนะ ผมขอโทษ” พอรู้ตัวก็รีบปลอบเป็นการใหญ่ “อย่าร้องไห้เลยครับ”

          ชาอยากจะถามเหลือเกิน กับอีแค่ปลอบสาวแปลกหน้าให้หยุดร้องไห้ ก็ไม่เห็นจะต้องทำหน้าล่ะห้อยเสียงอ่อยขนาดนั้นสักหน่อย ถึงมันจะได้ผลก็เถอะ แต่มันจะได้อย่างอื่นแถมมาด้วยนี่สิ อย่างน้อยใบหน้าอาบน้ำตาที่เริ่มแดงเรื่อนั่น ชาก็พอจะดูออกว่ามันแดงเพราะอะไร

          “อ๊ะ…ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉัน…ฉันนี่แย่จริงๆ” เสียงใสเอ่ยตะกุกตะกัก ซึ่งไม่ว่าจะตะแคงมองท่าไหน ก็ดูเหมือนคุณเธอจะออกอาการเขินอายมากกว่าหวาดกลัว “แต่…คุณอัษฎาน้องชายคุณไม่ได้บอกเรื่องที่อยู่ใหม่ให้เลยน่ะค่ะ…”

          “คุณวิน ผมว่าป่านนี้เดียร์น่าจะไปถึงร้านแล้วล่ะครับ เราไปหาเขาที่โน่นทีเดียวเลยดีกว่านะครับ” และก่อนที่หญิงสาวจะอ้าปากพูดต่อ ชาก็รีบตัดบท เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา “จะได้ไปถามกับเจ้าตัวเลยว่าย้ายไปที่ไหน”

          “นั่นสินะ…ถ้างั้นผมไปก่อนละกัน ขอบคุณมากนะครับ” แม้จะรีบ แต่ก็ยังไม่ลืมจะเอ่ยลาสาวน้อยตาฉ่ำด้วยท่าทีที่สุภาพกว่าปกติ

          ไม่รู้เพราะถนนว่าง หรือเพราะวินรีบเสียจนยอมมาขับรถเอง หรือที่จริงแล้ว ระยะทางจากที่อยู่เก่ากับที่ร้านขายดอกไม้มันใกล้นิดเดียว จึงมาถึงได้โดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที

          “เดียร์!” ออกจากรถปุ๊บก็ตะโกนกลางถนนแบบไม่อายสายตาชาวบ้านทันที ใบหน้าที่หม่นหมองเบิกบานราวกับคนหลงอยู่ในทะเลทรายแล้วเห็นโอเอซิสอยู่ตรงหน้าก็มิปาน วินสาวเท้าก้าวเข้าร้านดอกไม้อย่างรวดเร็ว และก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจเมื่อเห็นคนที่อยากเจอหน้ามานานยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์กับเจ้าของร้าน

          แค่นั้น?

          ชาได้แต่ส่งสายตามองเจ้าเด็กมาโซฯตรงหน้าด้วยความกังขา เพราะที่ตกลงไว้ก็คือ ตอนที่วินมา จะต้องมีสิทธิ์อยู่ด้วย และเมื่อดูจากคิ้วกับดวงตาที่ออกอาการเคร่งเครียดแต่กลับต้องยิ้มเพื่ออำพรางพี่ชาย ก็บอกให้หนุ่มหน้านิ่งรู้ได้ว่า เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง แต่เหตุอะไรนั้นเขาก็ไม่สามารถพอที่จะรู้ได้

          “อะ…อ้าวพี่วิน” เด็กหนุ่มร้องทักและออกอาการเหมือนกับว่าไม่คิดว่าพี่ชายจะมาหา “มี…มีธุระอะไรหรือครับ”

          การที่เดียร์พูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ก็ทำให้ชายิ่งมั่นใจว่าต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นเป็นแน่ เพราะปกติ ไอ้เด็กตรงหน้ามันเฟคเก่งจะตาย แถมคุณเจ้าของร้านเองก็มีสีหน้าวิตกกังวลปนหวาดหวั่นเสียจนชัดแจ้งขนาดนั้น เมื่อนำมารวมกับแผนที่เดียร์วางไว้ ทำให้เขาคิดได้อยู่อย่างเดียว

          สิทธิ์ยังอยู่ที่นี่…แต่ที่ไหนกันล่ะ?


________________________________________________________________
แฮ่ๆ ช่วงนี้ติดเขียนเรื่องสั้นให้สนพ บวกเป็นหวัด เลยมึนๆเมาๆอืดๆ ต้องขอโทษด้วยจริงๆงับ =3=
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ค้างอ่ะ มาต่อไวๆนะ :call:

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ดูแลตัวเองด้วยนะค้า :กอด1:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
อย่าหายไปนานรีบมาอัพนะจ้ะ ฟินมากมาย

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อั่ก ค้างอ่า นี่มันไตล์แมกซ์แล้ว อยากรู้จริงไรจริงว่าอะไรจะเกิด

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 27
         
          ถ้าทำได้ เดียร์ก็อยากจะถามเหมือนกัน ว่าทำไมสถานการณ์ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อพี่ชายยืนอยู่ เจ้าของร้านก็ยืนอยู่ และคนที่เขาต้องการจะถาม ก็ดันชิ่งหนีไปกับสิทธิ์ด้วย…หรือถ้าพูดให้ถูกคือโดนสิทธิ์ลากไปด้วยมากกว่า สิ่งที่เขาต้องทำเลยมีเพียงแต่ทำเป็นฝืนยิ้มให้สมกับเป็นคนที่กำลังหวั่นใจว่าระเบิดจะลงร้าน ทั้งที่ใจจริงอยากจะเดินไปลากไอ้ตัวการออกมาให้รู้แล้วรู้รอด จะได้เดินเรื่องเร็วๆ ให้ทุกอย่างมันจบสักที

          แล้วจะหนีทำบ้าอะไรวะ

          ก็ในเมื่อตามแผนพ่อหมี คือการได้พบกับวินด้วยฐานะที่เหนือกว่าคือเป็นคนรักกับน้องชาย โดยที่วินนั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายคนรักของน้องได้ เพราะเดียร์จะเป็นคนห้าม ซึ่งนั่นจะทำให้วินเข้าใจว่าเดียร์รักสิทธิ์ม้ากมาก แม้ว่าความเป็นจริงจะไม่ใช่อย่างที่วินเห็น และก็ไม่ได้เป็นอย่างที่สิทธิ์คิดก็ตาม

          ทั้งอย่างนั้นเจ้าหมียักษ์กลับหนีไปจำศีลในห้องพักพนักงานด้านในทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของวินเสียอย่างนั้น ทำตัวอย่างกับคนรักที่ต้องรีบหนีเพราะกลัวพ่อตาสุดหวงจะมายิงกบาลก็ไม่ปาน แถมยังทิ้งท้ายด้วยการพูดจาทำร้ายจิตใจเดียร์เป็นการใหญ่อีกต่างหาก เล่นเอาเด็กหนุ่มหน้าซีดปากสั่นด้วยความวิตกแบบไม่ต้องพยายามแอ๊บ…แม้ว่าตามที่น้อยเห็นมันคือการขอร้องจะเป็นจะตายเสียมากกว่า

          หรือว่าคุณสิทธิ์อยากจะเล่นเอสเอ็มกับเราอีก…

          เด็กหนุ่มต้องรีบหยุดความคิดนี้โดยพลันพร้อมกับขำตัวเองอยู่ในใจ เขายอมรับว่าอยากให้สิทธิ์มาเป็นคู่ซาดิสม์ของตนอยู่หรอก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาที่มาเล่นบทเอสด้วยเหตุจำเป็นแค่นั้น มันไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นไปได้แน่ แม้เดียร์จะเสียดายสุดกู่ก็เถอะ

          แต่ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ช่าง ตอนนี้เขาต้องหาทางให้วินเจอสิทธิ์ โดยที่ตัวเองจะต้องทำให้เป็นเรื่องบังเอิญให้ได้

          “ที่จริง พี่ก็แค่อยากมาเจอหน้าเราเท่านั้นล่ะ งั้นพี่ไปล่ะ”

          เฮ้ย เดี๋ยวเด่ะ!!

          “งะ…งั้นหรือครับ” เดียร์เกือบจะหลุดปากรั้งอีกฝ่ายไว้แล้ว ถ้าทำแบบนั้นล่ะก็ มีหวังน้อยได้หันกลับมาจ้องตาเขม็งแน่ ก็นะ อย่างน้อยๆเจ้าของร้านเขาก็กำลังคิดว่าลูกน้องเองก็ต้องไม่อยากให้เกิดสงครามกลางร้านขึ้นมาแน่ๆนี่ เพราะฉะนั้น ยิ่งรั้งวินก็เหมือนหาเรื่องให้ระเบิดลงเสียมากกว่า ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงได้แต่พยายามทำเหมือนกับต้องการให้วินออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด และก็หันไปพึ่งกับตัวช่วยอื่นแทน

          ชาสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ดวงตาหวานที่เต็มไปด้วยความร้อนรนเพ่งเข้ามาหา ชายหนุ่มได้แต่งงกับสีหน้าประหลาดของอีกฝ่ายอยู่นาน กว่าจะเข้าใจ โชคดีหน่อย เมื่อท้องฟ้าที่ดูสดใสตั้งแต่เช้า อยู่ๆก็โดนปกคลุมด้วยเมฆหนาและเทฝนลงมาอย่างกับน้ำตกเหมือนตั้งใจรั้งให้วินได้อยู่ที่นี่ก็มิปาน

          “อะไรวะเนี่ย อยู่ๆก็ตกลงมาได้” วินสบถอย่างหัวเสีย ถ้าก้าวเร็วไปอีกนิด มีหวังเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ “บ้าเอ๊ย คนยิ่งรีบๆอยู่”

          ซึ่งแน่นอนว่าวินไม่ได้รีบเพราะกลัวไปทำงานสายหรอก แต่เพราะชาหลอกไปว่าถ้าอยู่นานแล้วสายของมาริสาอาจจะมาเห็นเข้าต่างหาก ซึ่งจริงๆก็ไม่มีสายของมาริสาแอบมาเฝ้าอยู่แถวนี้อยู่แล้ว

          “ไว้รอให้ฝนซาหน่อยแล้วค่อยไปก็ได้ครับ ตากฝนไปเดี๋ยวได้เป็นหวัดหรอก” เมื่อได้โอกาส เดียร์ก็รีบทำทีเป็นห่วงอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อช่วยรั้งตัวอีกแรง เพราะถ้าไล่ให้รีบๆไปในเวลาแบบนี้ คงดูน่าแปลกกว่าเยอะ

          ซึ่งอันที่จริงและนั่นก็เป็นการซื้อเวลาให้ชาได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับสีหน้าประหลาดของเดียร์ด้วย ซึ่งกว่าจะถึงบางอ้อก็ล่อไปเกือบฝนหยุด เล่นเอาเดียร์เกือบจะต้องใช้แผนสำรองแล้ว

          “คุณวินครับ” ชาพยายามกระซิบรั้งวินด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมด้วยกระตุกไหล่ให้อีกฝ่ายพองามให้ดูเหมือนกำลังร้อนรน “ดูนั่นสิครับ”

          ดวงตาคมมองไปยังอีกฝั่งของถนนอย่างงงๆ และเมื่อสะดุดเข้ากับรถสีคุ้นตาตรงที่จอดรถ วินก็เผลอกัดฟันอย่างลืมตัว

          เดียร์แอบโล่งใจเมื่อเห็นพี่ชายวิ่งไปหารถคันนั้น และกลับมาด้วยสีหน้าราวกับยักษ์มาร ดูท่าทางคงจะจำได้ดีว่ารถคันนั้นเป็นของสิทธิ์ นี่ถ้าทำลายข้าวของแถวนี้ได้คงทำไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้เลยได้แต่ถองชาระบายความหงุดหงิดแทน

          “พี่ตัดสินใจแล้ว ว่าจะอยู่แถวนี้” น้อยทำท่าจะเป็นลมตอนที่ได้ยิน “ไอ้หมาลอบกัดนั่นมันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ พี่ว่ามันต้องตั้งใจมาล่อลวงเดียร์แน่ๆ เพราะงั้น พี่จะอยู่เฝ้าเราให้ละกัน”

          ชาไม่อยากจะนึกเลย หากวินรู้ว่าที่จริงสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ มันสายเกินไปหลายขุม หนุ่มแว่นจะออกอาการยังไง แต่ที่รู้แน่ๆคือ เขาจะต้องหาทางเข้าไปเก็บเกี่ยวความรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากวินชนิดไม่ให้พลาดแม้แต่น้อยแน่นอน

          “เอ๋…มัน…มันจะดีหรือครับ” เสียงถามสั่น เพราะพยายามที่จะสะกดกลั้นความลิงโลดในใจ “ผมว่า…พี่…พี่ไม่ต้องทำหรอกครับ ผมไม่เห็นคุณสิทธิ์สักหน่อย…”

          “เดียร์ไม่รู้อะไร พี่จำรถมันได้ทุกคันนั่นล่ะ แล้วไอ้ที่จอดอยู่ตรงนั้นก็รถมัน ถ้ามันไม่ขับรถออกไปก่อน พี่ก็จะไม่ยอมไปไหนแน่”

          ซึ่งทำไม่ได้หรอก ก็เจ้าของรถกำลังแอบหลบอยู่ในห้องพักพนักงานนี่นา

          “…แล้วทำไมเราต้องหลบด้วยล่ะครับคุณสิทธิ์” สิ้นเสียงประกาศลั่นของวิน ก้องก็กระซิบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจเต็มทน หนุ่มใหญ่มองเจ้านายที่ยืนร้อนรนมองหาทางหนีจากห้องพักพนักงานแห่งนี้ไม่หยุดตั้งแต่เข้ามา ท่าทางจะไม่ได้ยินที่ก้องถามสักนิด “คุณสิทธิ์!”

          เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันมองหน้าตื่น เมื่อเห็นประตูยังปิดดี ก็ถอนหายใจออกเสียยาวเหยียด ทีแรกชายหนุ่มตั้งใจจะเอ่ยถามแต่เมื่อเห็นสีหน้าของก้องก็พอจะเข้าใจ “ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม โอเคนะ”

          “ยังไงเดี๋ยวเวลานี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ต้องรอหรอก” เพราะอยากจะให้ทุกอย่างจบให้เร็วที่สุด ก้องจึงเร่งโดยไม่คิดจะรออีกต่อไป แค่เห็นอาการที่มีต่อเดียร์ หนุ่มใหญ่ก็สยองเกินพอแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ มีหวังเขาดึงสิทธิ์ออกจากหลุมดำไม่ได้แน่ “ผมจะไปข้างนอก”

          โครม!

          คนที่อยู่หน้าร้านพากันสะดุ้งจนตัวลอยเมื่อมีเสียงดังมาจากในห้องพักพนักงาน แต่คนที่หน้าซีดกลับมีเพียงคนเดียว

          “อะไรน่ะ” วินซึ่งไม่รู้เรื่องราวกว่าใครเพื่อนออกอาการประหลาดใจ ก่อนจะพูดเรื่องที่น้อยไม่อยากจะฟัง “ไม่เข้าไปดูกันหรือไง”

          เจ้าของร้านได้แต่ยืนกระอักกระอ่วน “อ่า…สงสัย…สงสัยคงมีแมว…ละมั้งคะ”

          เดียร์แทบจะกระโดดด้วยความดีใจกับคำแก้ตัวที่ยอดเยี่ยมของหญิงสาว รับรองว่านอกจากวินจะไม่เชื่อ ยังทำให้คุณพี่ชายอยากเข้าห้องนั้นขึ้นไปอีก

          “แมว? แมวมันเข้าไปได้ไงล่ะ แล้วถ้ามันเข้าไป คุณจะไม่ไปไล่มันเลยหรือ” หนุ่มแว่นถามด้วยความสงสัยตามประสา “เดี๋ยวมันก็ทำลายข้าวของเสียหายหมดหรอก”

          “มะ…ไม่เป็นไรหรอกค่า….ข้างในไม่มีอะไรมีค่าหรอกค่า”

          ใครว่าล่ะ อย่างน้อยตู้เซฟที่เก็บเงิน บัญชีรายรับรายจ่าย คอมพิวเตอร์ ไหนจะกล่องที่เก็บอุปกรณ์สำหรับประดับดอกไม้ที่ต้องเก็บไว้อย่างดี เช่นกระดาษสา กระดาษแก้ว แล้วก็ดอกไม้ปลอม แมวเข้าไปนี่ถือเป็นหายนะเลยทีเดียว

          แต่เสียง ตึง! โครม! และ ‘โอ๊ย’ ที่ตามมาเมื่อกี้ คงไม่ทำให้คนฟังคิดว่าเป็นแมวแล้วแน่

          วินผลุนผลันเข้าไปด้านในทันทีโดยที่น้อยไม่มีโอกาสจะได้ร้องห้าม ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่เตรียมใจรอดำเนินแผนต่อไป…

          “ไหนวะ ไม่เห็นมี”

          เดียร์ถึงกับวิ่งตามเข้าไปด้วยความไวแสง เขาเห็นด้านในที่มีเพียงกล่องกระดาษลังสามสี่กล่องที่หล่นมาจากชั้นวางด้านในข้างล็อคเกอร์เหล็กเพียงเท่านั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นตัวทำเสียงอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

          คนที่เข้ามาทีหลังทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน แต่น้อยออกอาการดีใจร่วมด้วย อย่างน้อยเธอก็สบายใจว่าสิ่งที่เธอกลัวคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

          “เอ่อ คงเป็นแมวละมั้งคะ ห้องน้ำด้านหลังมีหน้าต่างอยู่ มันคงจะเข้ามาทางนั้นล่ะค่ะ”

          “แมวที่ไหนร้อง ‘โอ๊ย’ ล่ะครับ” วินค้านด้วยใบหน้าที่ดูขึ้งเครียดกว่าเมื่อครู่ “แล้วที่สำคัญ ผมจำเสียงงี่เง่าๆนั่นได้ เสียงไอ้หมาสิทธิ์ไม่ผิดแน่”

          ‘ว่าใครงี่เง่าวะ ไอ้แว่น’ สิทธิ์กระซิบด่าอย่างหัวเสีย ดวงตาเรียวลอบมองผ่านช่องว่างของล็อคเกอร์ที่ตัวเองแอบอยู่ และยิ่งหัวเสียหนักกว่าคือการที่ต้องมาซ่อนอยู่ในล็อคเกอร์เหม็นอับและคับแคบ แถมยังต้องเบียดกับก้องอีกต่างหาก

          “…เบาๆสิครับ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” ใจจริงหนุ่มแว่นก็อยากทำเป็นเสียการทรงตัวแล้วออกจากตู้ล็อคเกอร์นี้จะแย่ แต่มันดันสบายกว่าที่คิด อีกทั้งในตู้นี่ก็ดันกว้างเกินจนเขาไม่สามารถอ้างว่ายืนไม่อยู่ได้ แถมที่สำคัญคือคุณเจ้านายก็เกาะเขาเสียแน่นเหมือนกลัวว่าหนุ่มแว่นจะล้มออกไปด้วยนี่ล่ะ

          สิทธิ์หันกลับมามองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเล็กน้อย “…อยู่แบบนี้พี่คงไม่ได้คิดอะไรกับผมใช่ไหม”

          นี่ขนาดเครียด ยังมีอารมณ์มาเล่นมุกกับผมอีกหรือครับ ไม่ติดว่ามีแฟนแล้วบวกกับคุณไม่ใช่สเป็คผมก็คงจะเล่นด้วยอยู่หรอก “ผมว่าสนข้างนอกดีกว่านะครับ ถ้ายังเสียงดัง เดี๋ยวได้โดนวินจับได้แน่”

          ก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ เอาจริงๆก็ต้องหาทางทำให้โดนจับได้ก่อนที่แผนจะเสียอยู่แล้วแต่เจ้านายเขาน่ะ แรงควายจะตาย จะไปสู้อะไรได้ แถมตอนนี้เขาก็นึกแผนดีๆที่จะทำเป็นหลุดออกจากล็อคเกอร์โดยบังเอิญไม่ได้ด้วย

          “ผมว่าพี่หูแว่วไปเองมากกว่ามั้งครับ” อันที่จริงเดียร์ก็ได้ยินเต็มสองรูหูอยู่หรอก แต่ลองโพล่งออกมาตรงๆมีหวังน้อยได้รู้กันพอดี

          “ไม่ๆ พี่ว่าพี่ได้ยินแน่ๆ แกก็ได้ยินใช่ไหม” วินหันกลับมาถามลูกน้องของตน ซึ่งแน่นอนว่าชาต้องพยักหน้าไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม “เห็นไหมล่ะ ไอ้หมาสิทธิ์มันต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ พี่ไม่มีทางพลาดหรอก…บางทีมันอาจจะยังหลบอยู่แถวนี้ก็ได้”

          น้อยแทบหัวใจจะวายตอนที่เห็นวินวิ่งไปเปิดตู้เก็บของด้านข้าง และก็แทบอยากจะกระโดดเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น

          “เอาไงดีล่ะครับ อีหรอบนี้จะโดนเจอเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ” ก้องบอกโดยไม่แสดงอาการใดๆ ในขณะที่สิทธิ์ลุกลี้ลุกลนเมื่อโดนไฟเผาก้น

          “บ้าเอ๊ย เอาไงดีวะ” ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองออกไปด้านนอก ไม่รู้จะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไรดี “อี๋”

          สิทธิ์ผละออกจากประตูตู้อย่างรวดเร็วเมื่อสบเข้ากับสายตาคมที่มองทีไรก็ขยะแขยงแฝงความหมั่นไส้ไปทุกที เสียงประตูที่กำลังจะเปิดทำเอาคนในตู้ลืมยัวะ เพราะนั่นหมายถึงความจริงที่กำลังจะเปิดเผย

          เอาวะ ตายเป็นตายยยย

          “อ๊า หนู!!! กรี๊ดดดด”

          สิ่งที่ทำให้เดียร์หันไปด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะตนกลัวหนู แต่เพราะคนที่กรี๊ดน่ะ ไม่เคยกลัวหนูให้เห็นเลยต่างหาก ขนาดแมลงสาบที่ว่าแน่ ยังโดนบี้คาส้นเท้ามานักต่อนักแล้ว กับหนูน่ะ แทบจะโดนจับขว้างใส่ถังขยะเป็นว่าเล่นด้วยซ้ำ

          แต่เสียงร้องของน้อยก็ดึงความสนใจคนอื่นได้ดี วินถึงกับเดินออกจากตู้ล็อคเกอร์ และนั่นคือโอกาส

          “ไหนหนู” หนุ่มแว่นก้มลงหาพร้อมกับเข้าไปปกป้องน้องชายอย่างลืมตัว ทั้งที่เดียร์หาได้กลัวหนูแม้แต่น้อย

          “นะ…นั่นไงคะนั่น! มันวิ่งอยู่ตรงนั้น” น้อยชี้ไปที่ประตูทางไปหน้าร้านโดยพยายามทำตัวให้ดูกลัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ นึกแล้วอยากขอบคุณเจ้าหนูตัวเขื่องนี่เหลือเกิน

          ในขณะที่คนอื่นกำลังวุ่นอยู่กับหนู สิทธิ์ก็ค่อยๆเปิดประตูล็อคเกอร์ออก แล้วรีบลากลูกน้องไปยังประตูที่อยู่ใกล้ๆทันที

          เดียร์ซึ่งรู้สึกตัวก่อนใครเพื่อนเนื่องจากสังเกตเห็นสายตาของน้อย เขารีบหันกลับไปมองด้านหลัง เมื่อเห็นตู้ล็อคเกอร์ตู้สุดท้ายที่เปิดคาไว้ เขาก็เข้าใจทันที

          แกรก

          เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้วินเลิกสนใจหนู และนึกถึงสิ่งที่ตนตั้งใจมาหาตั้งแต่ทีแรกออก และโชคดีที่มีความจำดีพอที่จะรู้ถึงความผิดปกติของล็อคเกอร์ตู้สุดท้ายนั่น

          หนุ่มแว่นก้าวเข้าหาประตูด้านในอย่างไม่รีรอแต่ก็ยังระวังตัว ในมือกำหมัดแน่น พร้อมกระหน่ำใส่ใครก็ตามที่ตนเจอด้านใน ด้วยสีหน้าที่มั่นใจว่าต้องเจอใครสักคนแน่ๆ

          “ทำไงดีๆ โอ๊ย ทำไงดี” น้อยได้แต่กระซิบเสียงตื่นพลางตะกุยหลังลูกน้องคนงาม เธอแทบไม่อยากจะจินตนาการถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย

          “ไม่เป็นไรนะครับพี่น้อย อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดครับ” ปากก็บอกแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับไม่ติดสั่นเลยสักนิด และถ้าน้อยฟังดีๆ ก็จะพบว่าเสียงของเดียร์มันฟังดูดีใจเสียมากกว่าด้วย

          แต่เข้าไปกว่าห้านาทีก็ไม่เกิดเสียงใดๆขึ้นเลย

          เดียร์ได้แต่ส่งสายตามองชาด้วยความสงสัย แต่เพียงไม่นานพี่ชายก็ออกมา ด้วยสีหน้าที่ข้องใจไม่แพ้กัน วินไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินออกจากห้องพักไปยังหน้าร้าน

          “…มีอะไรหรือพี่วิน” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงค่อย และเมื่อมองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เดียร์ก็อ้าปากค้าง

          รถของสิทธิ์หายไปแล้ว

          ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ เด็กหนุ่มรีบเดินกลับเข้าไปยังประตูด้านใน เข้าไปยังห้องน้ำทันที และเขาก็ได้เห็นหน้าต่างบานเล็กในห้องน้ำที่เปิดทิ้งไว้ ยิ่งตอกย้ำกับสิ่งที่เขาคาด

          คุณไม่อยากเจอหน้าพี่วินถึงขนาดลงทุนลอดหน้าต่างขนาดเท่าหมาลอดนี่ออกไปเลยงั้นเรอะ!!

_______________________

ปิดเทอมกันยังหว่า XD ขอให้โชคเอกันทุกคนนะงับ

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
อ๊า แผนเจ๊งซะแล้ว  :serius2:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
กลัวว่าที่(??)พี่เขยเขาจะรู้ขนาดนั้นเลยเรอะ ตอนแรกนายตั้งใจเอาไว้ว่าไงน่ะสิทธิ์ เหอเหอ วงเวียนอยู่ในรักSMไปแล้วแหงแซะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
เซ็งเลย เมื่อไหร่จะเป็นไปตามแผนซะทีเนี่ย ลุ้นมากกกกก
รอคอยพลังเอสของคุณสิทธิ์ตื่น

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
รักSMของหนุ่มดอกไม้ โดย Zore

ตอนที่ 28
         
          สีหน้าวินดูจะไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เขาพยายามจะอ้าปากพูด แต่ก็กลืนกลับลงคอไป ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้น้องชาย

          “บางทีพี่อาจจะคิดมากไปเองมั้ง”

          ผมรู้ว่าจริงๆพี่ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก หน้าพี่มันฟ้อง กะจะไปจัดการเองโดยไม่ให้ผมรู้ล่ะสิ โอ๊ย ขัดใจจริงๆ

          “แหม คุณวินคะ ถ้ามีใครเข้ามาในนี้ พวกฉันก็ต้องรู้สิคะ จริงไหม…” ไม่ใช่แค่พูดเปล่าๆ แต่ยังส่งสายตาที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานบางอย่างที่แรงกล้าใส่เดียร์อีกด้วย

          “เอ่อ…ครับ” ทำไงได้ล่ะครับ ในเมื่อคุณสิทธิ์ก็ดันชิ่งหนีไปแล้วด้วย ต่อให้บอกไป ก็ไม่ได้ปะทะกันตรงๆแล้วด้วย ที่เหลือคงต้องส่งหน้าที่กระตุ้นให้คนสนิทไปก่อน

          และชาก็รู้หน้าที่ดีโดยที่เดียร์ไม่ต้องเสียเวลาบอก

          “ผมว่า วันนี้เรารีบกลับกันก่อนดีกว่าครับ” หลังจากสบตาเดียร์ หนุ่มหน้านิ่งก็กระซิบบอกด้วยสีหน้าระแวง “ผมว่าเรื่องนี้คงต้องระวังหน่อยดีกว่านะครับ ลองว่าคุณสิทธิ์มาจอดอยู่แบบนี้ บางทีเป้าหมายอาจจะอยู่ที่คุณเดียร์จริงๆก็ได้นะครับ”

          วินหน้าบูดใส่ “เออ ฉันรู้น่า เรื่องนี้ฉันไม่วางมือง่ายๆหรอก แกเองก็หาทางจัดการเรื่องแม่ให้ด้วยแล้วกัน ฉันจะได้มาหาเดียร์ง่ายๆ”

          ถึงไม่อยากแต่ผมก็ต้องจัดการล่ะครับ

 

          “เฮ้อ….เกือบไปแล้วไหมล่ะ” น้อยถึงกับทรุดลงไปดมยาดมอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์ “ดีนะที่คุณสิทธิ์กับคุณก้องหนีออกไปได้ ไม่อย่างนั้น…ไม่อยากจะคิดเลย”

          เขาก็พยายามแล้วนะ แต่ก็อดแสดงความหงุดหงิดออกทางสีหน้าไม่ได้ แต่ก็ทำตอนที่น้อยไม่ทันมองเท่านั้นล่ะ

          “นั่นสินะครับ โชคดีจริงๆ” เดียร์บอกพร้อมกับถอนใจด้วยความเสียดาย นึกแล้วก็ยังสงสัยไม่หาย ว่าทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

          “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้เนี่ย”

          ก้องถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ เล่นเอาคนพูดที่นั่งอยู่เบาะหลังถึงกับสะดุ้ง

          “มันควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ” ด้วยความสุดจะทน หนุ่มใหญ่เลยอดบ่นไม่ได้ “ในเมื่อถึงขนาดนี้แล้ว ผมไม่เห็นว่าคุณจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนขนาดนี้เลย ก็เจอกันไปตรงๆจะได้จบๆเรื่องไป จะหนีไปทำไมกัน”

          “ผมไม่ได้หนีนะ” สิทธิ์ค้านเสียงแข็ง “ก็…ก็แค่คิดว่ายังไม่ถึงเว…”

          ก่อนที่จะได้แก้ตัวจบก็ต้องหยุดเสียก่อนเพราะอยู่ๆคนขับก็เหยียบเบรกสุดเท้าจนคนนั่งหลังหัวทิ่มเบาะหน้า และยังไม่ทันจะได้อ้าปากต่อว่าก็ต้องชะงัก เมื่อเจอเข้ากับใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่าย

          “ที่บอกว่ายังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลาน่ะ ไม่ใช่เพราะที่จริงคุณอยากซื้อเวลาหาเรื่องทรมานไอ้เด็กนั่นหรอกนะครับ”

          ที่จริงก้องก็แค่อยากจะประชดแล้วให้อีกฝ่ายสารภาพออกมาตรงๆว่าชอบเดียร์ก็เท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ช่างเกินคาดเสียจนอารมณ์โกรธโดนความกลัวซัดเสียปลิว เพราะแทนที่สิทธิ์จะค้านด้วยความตกใจอย่างที่น่าจะเป็น กลับอ้าปากค้าง หน้าซีดเป็นกระดาษแทน

          “พะ พะ พะ พะ พี่…พี่พูด อะ อะ อะ…อะไรแบบนั้นกัน….คะ…ครับ ผมจะไป…ไปอยากทำแบบนั้นได้ยังไง้”

          เป็นการโกหกที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลยครับ…ค้านเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนผมถามว่าชอบเดียร์ไหม ยังจะดูดีเสียกว่า

          “…โอเค ผมยอมรับก็ได้” เมื่อโดนหนุ่มแว่นจ้องกลับด้วยแววตาที่เอ่อล้นไปด้วยความสมเพช สิทธิ์ก็ยอมกลั้นใจสารภาพออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม “ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

          ก็เพราะคุณโดนไอ้เด็กเวรนั่นมันเสี้ยมโดยไม่รู้ตัวยังไงล่ะครับ “บางทีที่เป็นแบบนั้น คงเพราะคุณสะใจที่ได้แกล้งเดียร์ซึ่งเป็นน้องคุณวินมั้งครับ”

          “แต่ตอนผมทำ ผมลืมเรื่องไอ้แว่นนรกนั่นเหี้ยนเลยนะครับ…”

          โอเค นี่มันเกินมือเขาแล้ว

          “คุณสิทธิ์ครับ ฟังให้ดีๆนะครับ นี่ผมพูดด้วยความเป็นห่วงจริงๆนะครับ คุณต้องหยุดทำร้ายเดียร์เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็ตาม หยุดทั้งหมดเลย”

          “หา” จะไม่ให้ร้องได้ไง ก็คนอุตส่าห์ตัดสินใจไปแล้วว่าจะแกล้งเดียร์ให้ตามใจอยากเลยนี่ “ตะ…”

          “ไม่ต้องมาแต่เลยครับ ทั้งหมดก็เพื่อคุณนะ” ก้องชิงตัดบทไม่ให้เจ้านายได้โต้แย้ง “ถ้าคุณยังไม่หยุด ต่อไปคุณจะหยุดไม่ได้แน่ครับ ไอ้แบบนี้น่ะ พอๆกับยาเสพติดเลยนะครับ”

          นี่เอามาจากประสบการณ์จริงเลยนะครับ แค่สลับบทกันแทน แต่ผมเชื่อว่ามันก็ไม่ต่างกันนักหรอก

          “อะไรจะขนาดนั้น…ผมว่า พอจบเรื่องก็ไม่มีอะไรหรอก…”

          ก้องหรี่ตามองคนที่พูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายหัวดื้อพอตัว

          “ถ้าคิดแบบนั้นจริงๆ งั้นคุณก็ต้องหยุดตอนนี้ได้สิครับ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังเข้ามานั้นฟังดูหนักแน่นและน่าสะพรึงอย่างบอกไม่ถูก “ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วนี่ครับ จริงไหม”

          สิทธิ์อ้าปากพะงาบ เพราะคิดไม่ออกว่าจะแย้งกลับอย่างไรดี และก้องก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้คิดนัก

          “เรื่องกลัวว่าเดียร์จะไม่ทำตามก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ ถ้าเด็กนั่นคิดแข็งข้อจริงๆ วันนี้หมอนั่นคงฟ้องพี่มันไปนานแล้ว คิดหรือว่าเขาจะเห็นใจกับคำขอร้องแทบตายของคนที่ไปข่มขืนตัวเองน่ะ ถ้าเขาไม่กลัวคุณจริงๆ ใช่ไหมล่ะครับ…เพราะฉะนั้น เหตุผลเดียวที่คุณจะค้านได้ตอนนี้ก็คือ คุณกระสันอยากเล่นซาดิสม์กับเดียร์จนทนไม่ได้เท่านั้นล่ะครับ”

          ซึ่งจริงจนพูดไม่ออกหนักกว่าเดิม

          “ผ…ผมไม่ได้เป็นขนาดนั้น…” ทั้งที่ปากบอกแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงก็แอบกลัวจะเป็นอย่างที่ก้องว่าเอาไว้อยู่เหมือนกัน “มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่กังวลก็ได้นี่นา”

          “แค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะครับ ต่อไปคุณจะเริ่มอยากทำเรื่อยๆไม่หยุด แล้วถึงตอนนั้นจะหยุด คุณก็ทำไม่ได้แล้ว” ก้องกัดฟัน ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว “ผมเองก็เป็น”

          จากที่กำลังจะค้าน สิทธิ์ถึงกับผงะต่อคำสารภาพสายฟ้าแล่บนั่นจนตั้งตัวไม่ทัน

          “ฮะๆๆ พี่ล้อเล่นผมแรงไปแล้วนะครับ…” สิทธิ์หัวเราะเสียงแห้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มแว่นที่ยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขาก็ชักเริ่มหัวเราะไม่ออก “เอ่อ…จริงๆหรือครับ…นี่พี่พูดจริงๆ…หรือครับ”

          “ครับ จริงแท้แน่นอน แต่ผมเป็นฝ่ายชอบโดนกระทำน่ะครับ…อยากพิสูจน์ไหม” ไม่พูดเปล่ามียิ้มที่มุมปากชวนให้คนมองขนพองสยองเกล้า เผลอส่ายหน้าเสียเร็ว “แต่ถือว่าเรื่องนี้รู้กันสองคนนะครับ ที่ผมยอมบอกคุณก็เพราะเป็นห่วงว่าคุณจะหลุดเข้ามาทางนี้นะครับ มันเข้าแล้วออกยากนะครับ”

          “งะ…งั้นหรือครับ” ท่าทีของสิทธิ์ยังคงไม่อยากจะเชื่อนัก แต่น้ำเสียงสั่นเสียจนน่าขัน

          “ยังไม่เชื่อล่ะสิครับ ผมเข้าใจ ผมจะให้คุณเห็นเอง”

          ว่าจบหนุ่มใหญ่ก็รีบขับรถกลับบ้านทันที ด้วยความที่ระยะทางก็ใกล้อยู่แล้ว เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านโดยที่คนนั่งหลังยังคงนั่งอึ้งกับคำพูดเมื่อครู่

          “หา เห หะ…เห็นอะไรครับ” หลังจากตั้งหลักได้ สิทธิ์ก็ร้องถาม พร้อมกับออกจากรถแล้วตามอีกฝ่ายไปติดๆ “เอ๋ พี่จะไปไหน”

          ก้องไม่ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่เดินไปยังหน้าห้องนอนของตน แล้วยกมือเป็นสัญญาณให้ผู้เป็นนายหยุดอยู่ห่างๆ

          “ดูสิ่งที่ฤทธิ์จะทำต่อไปนี้ให้ดีๆละกันนะครับ นั่นล่ะ สิ่งที่คุณกำลังจะเป็น”

          ก่อนที่สิทธิ์จะได้ถาม ก้องก็เปิดประตูผางเสียงดังลั่นไม่เกรงใจคนกำลังนอนฝันดี เสียงเท้ากระทืบพื้นดังตึงตังอย่างจงใจและสร้างความรำคาญให้แก่โสตประสาทของคนที่อยู่บนเตียงมาก และยังไม่ทันที่หนุ่มแว่นจะเดินไปถึงเตียง ฤทธิ์ก็ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าหงุดหงิดสุดขีด

          “ทำบ้าอะไรของแกวะ คนจะหลับจะนอนโว้ย!”

          สิทธิ์อ้าปากค้างพร้อมกับถอยหนีอย่างรวดเร็ว ร่างของก้องปลิวละลิ่วตามแรงผลักจนออกมาจากห้อง กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ซึ่งแน่นอนว่าฤทธิ์ไม่มีทางหยุดอยู่แค่นั้น หนุ่มตาตกเดินหน้าบูดเข้ามาหาแฟนอันเป็นที่รักแล้วตบหน้าแบบไม่มีการถนอมแม้แต่น้อย จนแว่นทรงกลมบินข้ามไหล่สิทธิ์ที่ยังคงอึ้งตะลึงกับภาพตรงหน้า

          “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาปลุกฉัน รู้หรือเปล่าว่ากว่าจะนอนหลับสนิทได้ ฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหน!!!” ด่าจบก็ประเคนหมัดเสยคาง แก้มซ้ายแก้มขวา ตีเข่าเข้าลิ้นปี่ ก่อนจะจบด้วยการผลักอีกฝ่ายทิ้งลงพื้น “ถ้าเข้ามาอีก ไม่จบแค่นี้แน่”

          ฤทธิ์ปิดประตูปังกลับเข้าห้องโดยไม่ได้สังเกตเห็นสิทธิ์ที่ยืนดูฉากโหดเหี้ยม ผู้เป็นนายได้แต่อึ้งกับพฤติกรรมยามโดนปลุกของลูกน้องแสนดี และที่ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งคือเจ้าคนที่เพิ่งโดนยำมานั่นแหละ นอนยิ้มพริ้มพรายอย่างมีความสุขเสียจนเหมือนเพิ่งไปทำสปามายังไงยังงั้น แถมไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับกำลังแสร้งทำเลยสักนิด

          “…ก็อย่างที่เห็นละครับ” เมื่อหลุดออกมาจากความสุขได้ ก้องก็กลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม จนคนมองปรับอารมณ์ตามไม่ค่อยจะทัน “แต่ถ้ายังไม่เชื่อ เดี๋ยวให้ผมไปปลุกฤทธิ์อีกทีก็ได้นะครับ”

          “พอแล้วครับ พอแล้วๆๆ ผมเชื่อแล้ว” ส่วนหนึ่งสิทธิ์กลัวว่าก้องจะตายคาเท้าฤทธิ์จริงๆ แต่อีกส่วน เขารู้สึกสยองขวัญพิกล “นี่พี่ฤทธิ์เอง…ก็เป็นด้วยหรือครับ…”

          “ถ้าเป็นจริงๆก็ดีสิครับ” น้ำเสียงของหนุ่มแว่นหงอยลง สิทธิ์นิ่วหน้ามองอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่ได้นึกประหลาดใจกับน้ำเสียงนั่น แต่เพราะข้องใจกับสภาพของก้องที่ดูปรกติสุขทุกอย่างทั้งที่เพิ่งจะผ่านการโดนยำมาหมาดๆ “ผมจะได้ไม่ต้องกลัวที่จะโดนฤทธิ์หนีไปจากผมเพราะรับกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้…”

          “พี่ก้อง…” ได้ยินเหตุผล สิทธิ์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาด้วย

          นั่นสิ…ใครจะอยากอยู่กับคนชอบใช้ความรุนแรงกันล่ะ…บางทีถ้าเรายังไม่หยุด…เราอาจจะเหมือนกับพี่ก้องก็ได้…แล้วถึงตอนนั้น…

          สิทธิ์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าคิดเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเข้าไปเสียแล้ว

          แล้วทำไมเราต้องกลัวเดียร์จะหนีไปจากเราด้วยวะ ก็ไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นสักหน่อยนี่…

          คิดเองก็ยังไม่แน่ใจเอง ทีแรกเขาก็คิดอยู่หรอกว่าไม่ได้คิดอะไรนอกจากเห็นเดียร์เป็นแค่หมากที่เอาไว้ดักคอวิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไม ใจมันระส่ำอย่างที่ไม่ควรเป็นเสียได้

          แต่จะให้คิดว่าไปหลงชอบ คิดว่ารู้สึกผิดยังจะเป็นไปได้เสียกว่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายถึงขนาดนั้น…

          มั้งนะ…

          “มันลำบากนะครับ ที่จะต้องมีความลับกับคนที่รักน่ะ…ถึงสำหรับผมมันจะรู้สึกมีความสุขไปด้วยก็เถอะ” ก้องพูดด้วยน้ำเสียงเครียด หากแต่คนฟังไม่แน่ใจว่าควรจะเครียดตาม หรือจะสยองกับประโยคหลังดี “เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากให้คุณต้องมารู้สึกแย่แบบนี้นะครับ”

          ซึ่งถ้าเป็นเขา คงไม่นึกมีความสุขร่วมด้วยแน่ ทุกข์เพียวๆไม่มีสุขเข้ามาเอี่ยวแม้แต่นิดเดียว

          “ผมเข้าใจแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะเลิก” แม้ใจจะนึกเสียดายแทบตาย แต่พอนึกว่าจะต้องกลายเป็นสายเอสอย่างไม่มีวันหวนกลับเขาก็ไม่อยากเหมือนกัน “…แล้วพี่คิดว่าถ้าอยู่ๆผมจะกลับไปทำตัวเหมือนเดิมแล้วเขาจะแปลกใจหรือเปล่า”

          แปลกแน่นอน และปัญหาคือมันจะมาบีบคอผมด้วยนี่ล่ะ “ก็แค่ไม่ต้องหาเรื่องทำร้ายหมอนั่นก็พอครับ แต่จะทำเมินๆก็ได้ จะได้ไม่ดูแปลกเกินไป”

          สีหน้าของชายหนุ่มดูจะยังลังเล แต่ท้ายที่สุดก็ยอมพยักหน้ารับให้คนแก่กว่าสบายใจขึ้นมาจนได้

          “ตกลงชอบไอ้เดียร์มันจริงๆหรือครับ”

          “ชอ…เอ๊ย ใครชอบกันล่ะครับ ผะ…ผมเปล่านะ ไอ้ที่ชอบน่ะ ชอบทรมานเขาเฉยๆต่างหาก ไม่ได้รักอะไรแบบนั้นสักหน่อย” สิทธิ์พูดรัวเร็วเสียเกือบกัดลิ้นตัวเอง “ถึงเขาจะน่ารัก ยิ้มสวย ตอนร้องไห้ก็น่ามอง ตอนทรมานก็เซ็กซี่ ตัวก็นุ่มนิ่มน่าจับ ผมก็นิ่มสลวย หอมกลิ่นอ่อนๆ ส่วนนิสัยอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ทั้งอย่างนั้นกลับดูน่ารักน่าแกล้งดี…”

          ถ้าจะตรงใจขนาดนั้น จัดงานแต่งเลยมั้ยครับ…ว่าแต่ ตกลงไม่คิดอะไรเรื่องที่มันเป็นผู้ชายงั้นแล้วสินะ…

          “แต่ผมก็แค่คิดแค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นสักหน่อย จบเรื่องก็จบกันนั่นแหละ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสังเวชของหนุ่มแว่น สิทธิ์ก็รีบพ่นเหตุผลมากลบเกลื่อนใบหน้าที่แอบแดงเล็กๆทันที

          ให้มันจริงเหอะครับ เพราะถ้าคุณกระโดดลงเหวไปเอง ต่อให้ผมเก่งแค่ไหนก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ

          “ครับ ส่วนเรื่องแผนของคุณ…” ก้องพูดค้างไปและจ้องหน้าเขม็งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเบ้ปาก “ก็รีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โอเคนะครับ แต่ถ้าคุณอยากจะเป็นพวกซาดิสม์จริงๆ ผมก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ ดีเสียอีกมีเพื่อนรวมอุดมการณ์น่ะ”

          “ครับ ผมจะรีบเดี๋ยวนี้แหละ”

          รีบตอบน่ะ ผมก็ดีใจอยู่หรอกครับ แต่ตอบเสียงสั่นหน้าซีดแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจนิดๆแฮะ จริงๆทางนี้มันก็ดีอยู่หรอกนะครับ แค่มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากจะยอมรับก็เท่านั้นเอง…

 

          “นี่ครับคุณธานินทร์”

          เจ้าของชื่อรับซองขนาดเอสี่สีน้ำตาลมาจากลูกน้อง ชายหนุ่มหยิบรูปปึกใหญ่ออกมาจากซอง แล้วมองดูด้วยใบหน้าเฉยเมย จนคนที่ยืนอยู่เกิดอาการอีหลักอีเหลื่อเพราะไม่รู้ว่าเจ้านายพอใจกับผลงานหรือไม่

          “ผะ…ผมตามถ่ายตั้งแต่ออกจากบ้านเลยนะครับ แต่ที่ไม่ได้รูปชัดๆเพราะมีไอ้ดรมันมาขวางนี่แหละ”

          ประโยคนั้นเรียกความสนใจของธานินทร์มากกว่ารูปตรงหน้า จนคนพูดเริ่มออกอาการเหมือนโดนบีบคอ ทั้งที่เจ้านายเพียงแค่มองด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบ

          “คือที่คุณธานินทร์ให้ผมตามไปถ่ายหารูปที่ดูว่าคุณสิทธิ์กับเดียร์รักกันนั้น พอดีผมเห็นคุณวินไปที่ร้านด้วย ผมเลยถ่ายมาเผื่อเอาไว้ เผื่อว่ามันจะมีประโยชน์อะไรบ้าง…”

          และสิ่งที่ได้รับคือใบหน้าครุ่นคิดโดยไม่มีการตอบกลับใดๆแม้แต่นิดเดียว

          “อ้อ โทษที พอดีฉันกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ นายทำได้ดีแล้ว ขอบใจมากเลยนะ” เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังทำให้ลูกน้องลำบากใจ ธานินทร์ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องรางวัล อยากได้เท่าไหร่ล่ะ บอกมาเลย”

          “เอ๋ ไม่ต้องหรอกครับ มันเป็นหน้าที่เฉยๆเอง ผมยินดีทำอยู่แล้วครับ” ผู้เป็นลูกน้องรีบปฏิเสธทันควัน

          “อะไรกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก รับไว้เถอะ ถือเป็นค่าเสียเวลา ค่าล้างรูปพวกนี้เองก็หลายบาทอยู่นี่” ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ ก่อนจะหยิบใบเช็คมาเขียนจำนวนเงินที่ทำเอาคนรับตาโต “เห็นว่าช่วงนี้มีปัญหาเรื่องค่าเทอมลูกนี่ รับๆไปเถอะน่า จะได้เอาไปฉลองครบรอบแต่งงานด้วยไง”

          เจอแบบนี้แล้วจะไม่ให้ประทับใจได้ยังไง ขนาดคนฟังยังลืมไปแล้วเลย แต่ก็เพราะธานินทร์ใส่ใจเรื่องของลูกน้องทุกคนนั่นแหละ ถึงทำให้คนรอบตัวลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนร้ายกับวินอยู่

          หลังจากอยู่ในห้องเพียงคนเดียวแล้ว ธานินทร์ก็หยิบรูปขึ้นมาดูต่อ รูปเหล่านั้นมีตั้งแต่ตอนที่เดียร์กับสิทธิ์ออกมาจากบ้านด้วยกันจนไปถึงร้าน มีกระทั่งรูปตอนที่สิทธิ์หนีเข้าห้องพักพนักงานเพื่อหลบวินด้วย เรียกว่า ไม่ต้องฟังก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดได้จากการดูรูปพวกนี้ก็พอ

          แต่ก็รู้เท่าที่เห็นนี่ล่ะ ซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็คิดได้แค่ว่า คู่รักแสนหวานที่จี๋จ๋ากันถึงที่ทำงานอยู่ดีๆพี่ชายสุดหวงก็ดันมาขัดจังหวะเหมือนรู้งาน สิทธิ์เลยต้องหิ้วลูกน้องหนีวินออกมาได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่เรื่องที่แอบคบกันจะแตกเสียก่อน

          ทันทีที่ดูรูปเหล่านั้นจบ รอยยิ้มพรายก็ผุดขึ้นบนใบหน้า เพราะสิ่งที่ได้มานั้นมากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้

          “ที่จริง ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรนายหรอกนะ แต่ถ้าไม่มีนายอยู่ งานฉันมันจะเดินง่ายกว่าน่ะนะ”



________________________________________________________


อา.....ร้อนเนอะ.....ยิ่งอยู่หน้าคอมแล้วเหมือนจะละลายเลย......

ออฟไลน์ Cockroach

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :z13: :z13: :z13: อย่าหายไปไหนนานนะคนเขียน  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด