#Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| Special ==When I was young [18/7/57] P.26
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ชอบใครที่สุดใน A BOY

น้องต้า
79 (41.6%)
วิคเตอร์
21 (11.1%)
พี่จิม
64 (33.7%)
หมอเซม
22 (11.6%)
แซมแฝดน้องพี่หมอ
4 (2.1%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 163

ผู้เขียน หัวข้อ: #Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| Special ==When I was young [18/7/57] P.26  (อ่าน 225455 ครั้ง)

ออฟไลน์ nomo9

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
อร๊ายยยย พี่จิมมาง้อน้องเด๋วนี้เลย
ส่วนน้องต้าค่ะ พี่ว่าการที่ให้อภัยคนที่เราไว้ใจได้มากที่สุดอย่างเตอร์ได้ ก็ควรที่จะให้อภัยความผิดอื่นเหมือนกันน้า ^^

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ขอโทษที่ให้รอนานน้าา  :hao5:
อัพตอนต่อไปภายในอาทิตย์นี้แน่ค่า 

:katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
รอน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

atcharayee

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่จะมา

ออฟไลน์ newyniniw

  • kiki >_<
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 คิดถึงพี่จิมกับน้องต้า
มาต่อน๊าาา จะรอๆ

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 37 ....60%


ท่ามกลางความมืดในห้วงราตรีกาลที่ทุกสรรพชีวิตกำลังลอยล่องในห้วงแห่งฝัน ผมรับรู้ได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รอบด้านเป็นสีดำสนิท มันดำมืดจนผมมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง

!!

และไม่กี่วินาทีถัดมา คล้ายกับร่างทั้งร่างถูกกระชากตกจากที่สูงก่อนผมจะสะดุ้งตื่น!

ผมยกมือขึ้นวางทาบหน้าอกข้างซ้ายแล้วกุมมันไว้ ใต้ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นรัว ดวงตาเบิกโพลงกรอกมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ครั้นเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่ได้อยู่ในที่แปลกตาอย่างที่นึกหวั่น อาการตระหนกก็ค่อยๆลดลงพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจจะค่อยๆเข้าสู่สภาวะปกติ

เมื่อคืนกว่าผมจะข่มตาหลับได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ครับ มันไม่ง่ายเลย

 

‘ทำไมยังไม่นอน’

 

..เพราะเสียงนี้ แค่หลับตามันก็ตามมาหลอกหลอน ดังวนซ้ำไปมาก้องในหู จนสุดท้ายมันก็ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมากลางดึก

ผมขยับกายเปลี่ยนเป็นนอนหงาย เบนสายตามองไปยังหน้าต่าง ท้องฟ้ายังมืดสนิทไร้วี่แววของแสงแรกยามตะวันดวงโตโผล่พ้นม่านฟ้า ผมหันหน้ากลับมายังโต๊ะหัวเตียง ยื่นมือไปกดนาฬิกาดิจิตอลเพื่อให้ไฟที่หน้าปัดสว่างเพื่อจะได้ดูเวลา ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อเห็นตัวเลขภายในกรอบสี่เหลี่ยมชัดๆ

03:40 AM.

ผมรู้ดีว่า ครั้งนี้ต่อให้ฝืนข่มตาหลับยังไงผมก็คงไม่หลับแน่ๆ

มือผละออกจากหน้าอกตัวเองแล้วลูบหน้าที่เย็นชืดจากไอเย็นของแอร์คอนดิชั่นก่อนพลิกตัวนอนตะแคงมองโทรศัพท์ ต้นเหตุที่ทำให้ตาค้างอยู่อย่างนี้

ผมมองมันเนิ่นนาน

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ถอดสายโทรศัพท์ออก เขาจะยังโทรเข้ามาอยู่หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าคนอย่างเขาไม่มีความพยายามมากขนาดที่จะตั้งหน้าตั้งตาโทรทั้งที่รู้ว่าต่อให้โทรสักกี่สิบรอบก็ไม่มีวันติดแน่ๆ

...ทว่าคิดเพียงแค่นั้น มือก็เผลอกำผ้าห่มผืนหนาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

.

.

เผลอเพียงครู่เดียวเสียงนกน้อยก็ดังมาให้ได้ยินแว่วๆพร้อมกับแสงแรกของอรุณที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่งผลให้ภายในห้องค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อย ผมหลับตาลงและปิดเปลือกตาค้างไว้อย่างนั้นก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า

คล้ายกับเส้นเลือดบริเวณขมับเต้นตุบๆ จนผมต้องใช้นิ้วมือนวดคลึงอยู่พักใหญ่ ร่างกายอ่อนเพลียเมื่อมันไม่ได้รับการพักผ่อนมากพออย่างที่ควรเป็น คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้นอนเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

หน้าปัดนาฬิกาตีบอกเวลา 06:00 AM. ..ยังเหลือเวลานอนอีกเล็กน้อย

น่าแปลกที่เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า จิตใจของผมก็รู้สึกสงบขึ้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา

ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว

.

.

ก๊อกๆ

โสตประสาทเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรบกวน ลูกตาขยับไหวทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท

“ต้าลูก”

ก๊อกๆๆ

“..อืมม” ผมพยายามตอบรับเสียงเรียกนั้น ทว่ามันก็ฟังดูเบาเกินกว่าที่คนที่อยู่หน้าห้องจะได้ยินได้

“ต้า ตื่นหรือยังลูก”

เป็นเสียงของแม่ ผมจำได้ดี ผมฝืนลืมตาตื่นขึ้นมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ข่มความเพลียแล้วยันกายลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหมุนลูกบิด ใช้มือเกาะขอบประตูค้ำร่างไว้ไม่ให้ฮวบลงพื้น

“ตื่นแล้วครับ” พูดตอบด้วยเสียงที่คิดว่าเป็นปกติ แต่มันกลับยานคางโดยไม่ตั้งใจ ผมยิ้มรับเมื่อมือนุ่มของแม่ยื่นมาลูบแก้มแผ่วเบาก่อนผมจะยกมือขึ้นวางทาบหลังมือนุ่มแล้วกุมแนบแก้มไว้

“เมื่อคืนนอนดึกล่ะสิท่า ยังเช้าอยู่ ไปนอนต่อสิเรา”

ผมส่ายหน้าไปมา แล้วถามกลับ

“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ตอนแรกแม่ว่าจะมาชวนเราไปจ่ายตลาด แต่สภาพอย่างนี้ไม่น่าจะไปไหว” เสียงนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนมือข้างนั้นจะตบแก้มผมเบาๆ ผมยู่หน้าแล้วเบนหลบ

“ต้าไปด้วย”

“ตาเนี่ยแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว ไปนอนต่อไป พรุ่งนี้ค่อยไปเป็นเพื่อนแม่ก็ได้”

“แม่ไปคนเดียวได้เหรอ”

แม่ยิ้มอ่อนใจ มือนุ่มขยี้ผมของผมไปมาก่อนจะไล่ให้ผมกลับไปนอนต่ออีกครั้ง

ผมมองตามแผ่นหลังบางของแม่ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ มองไปจนลับสายตาแล้วกลับเข้าไปในห้อง ก่อนทิ้งกายลงนอนบนตั่งเตียง ทั้งแขนและขาก่ายรัดหมอนข้าง หลับตาลงเตรียมเดินทางสู่ดินแดนความฝันอีกครั้ง

 

JIM Part

“ดูสิ สายโด่งขนาดนี้แล้ว เจ้าลูกคนนี้ก็ยังไม่ตื่นสักที”

เสียงบ่นรำพึงดังมาจากคนข้างตัวทำให้มือของผมที่กำลังล้างผักชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อหัวข้อสนทนาวกเข้ามาเกี่ยวข้องกับใครคนนั้น

“พ่อคะ ไปดูลูกให้แม่ที”

เธอเอี้ยวตัวหันไปหาชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะรับประทานอาหาร นัยน์ตาหลังกรอบแว่นของผู้เป็นสามีละจากหน้ากระดาษ ทว่าก่อนมือหนาจะทันได้รวบพับหนังสือพิมพ์เข้าหากันผมก็รีบพูดโพล่งออกไปก่อน

“ให้ผมไปปลุกให้เอาไหมครับ”

หญิงวัยกลางคนที่กำลังง่วนกับการหั่นผักผินหน้ามามองผม เพราะเธอมองมานิ่งๆเลยทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมองกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

ความเงียบคืบคลานผ่านเข้ามา มันเป็นเวลาไม่ถึงนาที แต่สำหรับผมแล้วช่วงเวลาที่รอคอยคำอนุญาตจากเธอมันนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ และแล้วคำตอบที่ผมรอคอยก็มาถึง..

“งั้นต้องพึ่งพ่อจิมแล้วล่ะ ส่วนผักแช่ไว้อย่างนั้น เดี๋ยวแม่ล้างต่อเอง” เธอพูดพลางเผยยิ้มละมุน ผมยิ้มตอบก่อนจะผละมือจากผักสีเขียวแล้วเช็ดมือกับผ้าที่เธอยื่นส่งให้ แล้วเดินไปยังบันไดที่มือเรียวชี้บอกทาง

ถ้าไม่ได้คุณอนุชิตผมคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ การที่ผมได้ช่วยเธอไว้จากการที่เธอโดนล้วงกระเป๋าสตางค์นั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ เรียกว่านั่นเป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ผมสร้างขึ้น

เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิธีเข้าใกล้มันยังไง เมื่อคุณอนุชิตเสนอทางเลือกนี้มา ผมจึงไม่ลังเลที่จะคว้าไว้ ก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่าที่สู้อุตส่าห์ให้คุณอนุชิตตามสะกดรอยคอยดูพฤติกรรมของหญิงวัยกลางคนทุกเช้าเย็น และหากไม่ลงมือวันนี้ โอกาสที่ผมจะได้เข้าใกล้มันคงไม่มีอีกต่อไป

ต้องวันนี้เท่านั้น

ผมชะงักฝีเท้าเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน สายตามองประตูห้องสองห้อง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าบานประตูที่มีป้ายไม้แขวนชื่อของคนที่ผมอยากเจอ ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วหมุนเปิด ..ในอกวูบพลันเต้นรัวเมื่อพบว่าประตูบานนี้ไม่ได้ลงกลอนอย่างที่นึกหวั่น

ผมค่อยๆหมุนลูกบิดและดันประตูเปิดเข้าไปอย่างเงียบเชียบที่สุด ไอเย็นของอากาศในห้องโฉบเข้าปะทะหน้า สายตามองกวาดเข้าไปเพื่อมองหาเป้าหมาย และเมื่อเจอผมก็หยุดสายตาไว้ที่ตรงนั้น ..บนตั่งเตียงที่มีร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับพริ้ม

คล้ายกับถูกแรงดึงดูด ..ผมเดินเข้าไปหาร่างนั้นโดยไม่ลืมปิดประตูขณะที่สายตาจ้องมองนิ่งไม่ผละไปไหน ทุกย่างก้าวแผ่วเบาราวกับกำลังเดินบนพื้นไม้ กลัวว่าเสียงฝีเท้าจะดังเกินไปจนปลุกร่างนั้นให้ผวาตื่น

ผมทิ้งกายนั่งลงยองๆอยู่บนพื้นข้างเตียง สายตามองใบหน้านวลที่กำลังหลับใหลนิ่งๆ อยากจะยื่นมือเข้าไปสัมผัส แต่ก็กลัวว่าหากแตะต้องเพียงนิดเดียว ร่างตรงหน้าจะหายวับไปกับตา

อดคิดไม่ได้ว่าหากนัยน์ตาคู่นั้นลืมตื่นขึ้นมาเห็นกัน มันจะทอประกายแบบไหน

อาจเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างที่ผมนึกหวั่น

ผมนั่งมองมันอย่างนั้น ไม่คิดปลุกมันอย่างที่ได้รับปากกับสองสามีภรรยาข้างล่าง ..อยากจะยืดเวลาที่ได้อยู่ใกล้มันแม้เพียงนาที ..ไม่ได้แตะ ขอเพียงแค่ได้มองก็ยังดี

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าริมฝีปากอิ่มของคนที่กำลังดำดิ่งในห้วงฝันเผยยิ้มละไม ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังฝันอะไร แต่เพราะรอยยิ้มนั้นทำให้ผมล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอกดเข้าแอพกล้องถ่ายรูป ผมมองหน้าจอที่ตอนนี้โฟกัสภาพคนตรงหน้าแล้วกดถ่ายภาพของมันไปเสียหลายภาพ

สายตามองภาพนิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์พลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้โคลงหน้าเรียวผ่านจอทัชสกีนด้วยความถวิลหา ทั้งที่มันอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ผมกลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะสัมผัสมัน

“อ อื้อ..”

เสียงครางเครือที่ดังลอดจากลำคอเพรียวดึงสายตาผมให้ละจากหน้าจอ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิม ด้วยกลัวว่าหากเปลือกตาสีน้ำนมเปิดปรือขึ้นมาแล้วเห็นว่าผมฉวยโอกาสตอนที่มันหลับแอบถ่ายรูปไว้ จะทำให้อีกคนโกรธเคืองถึงขั้นลบรูปทิ้ง

แพขนตาสีดำสนิทที่เรียงตัวหนาค่อยๆขยับไหวเล็กน้อยก่อนจะเปิดปรืออย่างเชื่องช้า หัวใจผมเริ่มเต้นผิดจังหวะด้วยความลุ้นระทึก

ไม่ช้านาน นัยน์ตาคู่นั้นก็ลืมตื่น มือขาวยกขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย ผมมองภาพนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากตัวเองกำลังขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ ดูท่าว่าอีกคนจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

“ตื่นสายแล้วยังขี้เซาอีกนะ” กว่าจะรู้ตัวก็เผลอพูดเย้ามันไปแล้ว ยังผลให้คนบนเตียงหยุดนิ่งทุกอิริยาบถก่อนใบหน้านวลจะตวัดหันมามองกัน นัยน์ตาคู่นั้นปราศจากความง่วงงุน มันค่อยๆเบิกกว้างขึ้นทีละน้อยและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

“...”

ปากอิ่มขยับพะงาบ ไร้เสียงที่เล็ดลอดออกมาคล้ายกับเจ้าตัวกำลังอึ้งและทำอะไรไม่ถูก ผมย้ายนิวาสถานตัวเองจากที่นั่งยองๆที่พื้น เคลื่อนไปทิ้งกายนั่งบนเตียงเดียวกับมันยังผลให้คนที่นอนแผ่เด้งกายลุกขึ้นนั่งแล้วกระถดตัวถอยหลังหนีเป็นพัลวัน

ผมไม่รุกไล่ตาม ทำเพียงมองเฉยๆ ในอกอดรู้สึกแปลบไม่ได้เมื่อเห็นการถอยหนีอย่างนั้น

“เข้ามาได้ยังไง”

มันเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง นัยน์ตากลมล่อกแล่กกวาดมองไปรอบห้อง ก่อนไถลตัวลงจากเตียงก้าวลงไปยืนบนพื้น มองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

ผมไม่สนใจที่จะตอบคำถามนั้น เคลื่อนตัวลงไปยืนบนพื้นไม้ปาเก้เต็มความสูง และเพียงแค่ผมหยัดยืน ร่างของอีกคนในห้องก็ดูจะเกร็งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวดและยิ่งก้าวถอยหลังหนีห่างออกไปทั้งที่ผมไม่ได้ขยับกายเดินเข้าใกล้เลยแม้แต่ก้าวเดียว

“คุณเข้ามาในบ้านผมได้ยังไง”

มันถามย้ำคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้

“ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นก็เข้ามาใกล้ๆพี่สิ” เลือกที่จะไม่พูดคำหยาบใส่มันเหมือนที่เคย และไม่เพียงมันจะเข้ามาใกล้ตามที่ผมบอก ขาเรียวกลับยิ่งถอยหลังมากกว่าเดิมจนบั้นท้ายชนกับโต๊ะเขียนหนังสือ ใบหน้ามนเหลียวหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อย มือขาวจับยึดโต๊ะออกแรงบีบจนผมสังเกตได้ว่าแขนเรียวกำลังเกร็งจนสั่น นัยน์ตากลมตวัดหันกลับมามองผมคล้ายกับสัตว์ตัวน้อยที่กำลังจ้องสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วยความระวังภัย

“ทำไมล่ะ? ไม่อยากรู้แล้วรึไง” ถามพลางเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ ยิ่งเห็นฟันขาวที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบขบกัดปากอิ่มจนห้อขาว ความอยากแกล้งก็พุ่งพล่านจนยากระงับ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรกระตุกหนวดแมวเพื่อไม่ให้แมวตัวน้อยยิ่งหงุดหงิดและพาลโกรธไปมากกว่านี้ แต่มันก็สะกดกลั้นอารมณ์ยากเต็มทน

ผมเดินไล่ต้อนอีกฝ่ายที่ได้แต่กรอกตามองอย่างไร้ทางหนีจวบจนยืนเผชิญหน้าห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว

“อย่าหนี” คำสองพยางค์หลุดออกจากปากพร้อมกับมือที่โฉบไปคว้าจับแขนเรียวไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะพุ่งตัวไปให้พ้นจากอาณาเขตที่ผมเอื้อมถึง ผมรั้งร่างนั้นเข้าหาตัวจนตอนนี้ระยะหดสั้น ใบหน้านวลแทบจะชิดติดอกผม

“ปล่อย” มันร้องพร้อมทั้งบิดแขนข้างที่ถูกผมจับ อีกมือยกขึ้นดันหน้าอกผมแล้วเบี่ยงตัวถอยหลัง ทิ้งระยะห่างมากกว่าเดิม

หากมันอยากออกห่าง ผมเองก็ไม่รั้งหรือดึงดันฝืนไว้ เพียงแต่มือที่จับแขนมัน ผมไม่คิดปล่อย

“จะคุยกับพี่ดีดีไม่ได้หรือไง”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”

“แต่พี่มี”

“ไม่คุย!”

“ต้า” พูดดุเมื่ออีกคนไม่มีทีท่าจะรับฟังกัน ไม่เพียงแต่มันไม่กลัว มันกลับแสดงท่าทีต่อต้านมากขึ้นโดยการพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุม

“ต้า!”

ผมขึ้นเสียง เผลอบีบต้นแขนอย่างแรงจนมันนิ่วหน้า เมื่อรู้ตัวว่าเผลอกระทำรุนแรงมือข้างนั้นจึงผ่อนปรนลง

.

.

TA Part

“สามนาที”

ที่หยิบยื่นโอกาสให้เขาไม่ใช่เพราะกลัวเสียงตวาด เพียงแค่ส่วนลึกในใจอยากรู้ว่าเขามาเพื่ออยากจะพูดอยากจะบอกอะไรกับผมกันแน่

“ผมให้เวลาคุณสามนาที พูดธุระของคุณมา หลังจากนั้นออกไปจากบ้านผม ...และออกไปจากชีวิตของผมซะ”

พูดเพิ่มเติมเมื่อเห็นว่าคิ้วเข้มของเขาเลิกสูงเป็นเชิงถาม ทันทีที่พูดจบ เขาก็ปล่อยแขนผมเป็นอิสระก่อนมือข้างนั้นจะตกอยู่ข้างลำตัวหนา ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดคอเมื่อผิวเนื้อที่เคยอุ่นร้อนจากอุณหภูมิของฝ่ามือหนาถูกแทนที่ด้วยอากาศเย็นเยือกที่ลอยวนรอบตัว

ผมลูบต้นแขนแผ่วเบา เรียกความอบอุ่นให้กลับมา..

“พี่ขอโทษ..”

ผมชะงักพลางลดมือลงข้างลำตัว พร้อมรับฟังทุกสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้

“พี่รู้ว่าต่อให้พูดคำว่าขอโทษมากสักกี่สิบกี่ร้อยครั้ง ต้าก็คงจะไม่ยกโทษให้ แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังอยากจะพูด ..พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา..”

ใบหน้าราบเรียบของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆบนริมฝีปาก ผมมองมันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขากำลังยิ้มอะไร แต่สงสัยได้ไม่นานเสียงทุ้มก็ค่อยๆเอื้อนเอ่ย

“..เรื่องนึงที่ต้าคงไม่รู้ แม้แต่ตัวพี่เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อมัน ... เรื่องความรักเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากสำหรับพี่ พี่ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีก จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าความรู้สึกนั้นกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งกับเด็กผู้ชายอย่างนาย ..จริงอยู่ที่ระยะเวลาไม่ถึงอาทิตย์ไม่น่าจะพอที่ทำให้เกิดความรักได้ แต่มันมากพอที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ตอนนี้คำจำกัดความของความรู้สึกนี้คืออะไรพี่เองก็ยังไม่แน่ใจ อาจตกหลุมรัก รัก ชอบ หรือว่าถูกใจก็ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเด็กอย่างนายคนเดียว และมันก็เพิ่มขึ้นทุกวัน จนพี่ไม่รู้ว่าควรจัดการกับมันยังไง..”

ราวกับถูกกระแทกด้วยลูกตุ้มยักษ์ใหญ่จนพาลให้ร่างกายนี้แทบเซซวน ถ้อยคำที่เขากำลังพูดวิ่งวนในหัว และมันกระชากหัวใจของผมให้เต้นผิดจังหวะเข้าไปทุกวินาที..

“ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าพี่จะยอมรับตัวเองได้ คนอายุ 27 ที่อีกไม่กี่ปีก็จะย่างเข้าเลข3 กับเด็กผู้ชายที่ตอนนั้นอายุเพียง 9 ขวบ มันทำให้พี่รู้สึกเหมือนพรากผู้เยาว์ไม่มีผิด” เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วในลำคอ ก่อนพูดต่อ “การยอมรับตัวเองมันไม่ง่ายจริงๆ และตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่ที่จะต้องมาพูดสิ่งที่คิดต่อหน้านาย ทั้งที่ที่ผ่านมาพี่ไม่จำเป็นต้องพูดพี่ก็ได้รับความรักมากมาย ต่างกับตอนนี้ที่ถึงพูดไป พี่ก็รู้ตัวดีว่าคงไม่ได้รับความรู้สึกนั้นตอบกลับมา”

หัวใจที่เต้นผิดจังหวะก่อนหน้านี้ค่อยๆผ่อนอัตราการเต้นให้ช้าลงๆ

“พี่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ทุกอย่างถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้านี้”

รับรู้ได้ว่าหัวคิ้วของตัวเองขมวดชนกันเมื่อความเจ็บแปลบแล่นวาบไปทั้งใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกอบกุมก้อนเนื้อแล้วบีบไว้แน่น

ความสับสนเริ่มก่อตัวไม่ต่างกับท้องฟ้าที่เริ่มปั่นป่วนก่อนฝนตก..

ผมตอนนี้ กับผมในตอนนั้น แบบไหนคือคนที่เขากำลังพูดถึง

“จี้ที่อยู่ที่คอนโดอยากได้คืนไหม?”

เป็นประโยคคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้ เพราะในหัวยังครุ่นคิดกับคำถามที่ตัวเองยังคาใจ

“อยากได้ตัวใหม่ไหม? จะตัวใหญ่กว่าเดิม หรืออยากได้อีกสักกี่สิบตัวพี่ก็จะซื้อให้”

นิ้วทั้งสิบเริ่มกำเข้าหากัน ปลายเล็บกดลงบนฝ่ามือตัวเองขณะฟังสิ่งที่เขาพูดเรื่อยๆ

“หรืออยากได้อย่างอื่น? พี่จะหามาให้ ไม่ว่าจะแพงเท่าไหร่หรือเป็นของหายากแค่ไหนก็ตาม ขอแค่บอกมา พี่จะซื้อให้ทุกอย่าง”

 “เพื่ออะไร” ถามแล้วมองคนตรงหน้านิ่งๆ เงินทองหรือสิ่งของที่เขาหวังจะประเคนให้มันไร้ความหมายสำหรับผม ผมไม่ได้ต้องการสิ่งของพวกนั้น

“เผื่อว่าพี่จะได้นายกลับคืนมาล่ะมั้ง”

ได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดจากปากหยัก หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย ผมเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเบนสายตามาที่เขาเหมือนเดิม

“หมดรึยังธุระของคุณ”

เมื่อเห็นเขาชะงัก ผมก็ไม่รีรอพูดต่อทันที

“ถ้าคุณพูดจบแล้วก็โปรดรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมด้วย” ผมพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้น ก่อนจะพูดต่อโดยเน้นชัดทุกถ้อยคำ

“ออกไปจากห้องผมซะ”

ผมยังคงยืนนิ่ง รอให้เขาเป็นฝ่ายเดินจากไป แต่จนแล้วจนรอดร่างนั้นก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน พลันหมุนกายหันหลังให้กับเขาและเลือกเป็นฝ่ายที่เดินออกจากห้องนี้แทน



ทุกย่างก้าวหนักอึ้งราวกับข้อเท้าถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่

รอยยิ้มบนริมฝีปากค่อยๆหายไปเมื่อรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไร้ความหมาย ยิ้มทำไม.. ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอยากยิ้มแม้แต่น้อย พลันเมื่อขาก้าวพ้นออกจากห้องก็คล้ายกับความเข้มแข็งทั้งมวลได้มลายหายไป ผมทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้อง.. ก้าวเดินต่อไปไม่ไหว

ผมไม่ได้ทำอะไรผิด

ผมไม่ได้เลือกอะไรผิด

..ผมแค่เลือกทางเดิมแบบที่ผมเลือกมาตั้งแต่แรก

ผมไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด…

และผมจะไม่เสียใจภายหลัง...

ผมได้แต่บอกตัวเองซ้ำไปมา

ผมไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมอ่อนแอ แต่ขาของผมก็ไม่มีแรงมากพอจะพาผมให้เดินไปไกลกว่านี้ ..ถ้าเขาเดินออกมา เขาก็จะมองเห็นผมได้โดยง่าย และเมื่อถึงเวลานั้น.. ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแรงเดินหนีหรือปฏิเสธเขาได้อย่างไร

ผมกดใบหน้าลงซบต้นแขนเมื่อสัมผัสได้ว่าขอบตาร้อนผ่าวและน้ำร้อนสีใสค่อยๆกลั่นตัวไหลออกมาช้าๆ

..ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเป็นอะไร ผมตอบไม่ได้

แค่รู้สึกว่า หลังจากวันนี้ไป ผมจะไม่ได้พบเขาอีก

ผมไม่เข้าใจตัวเอง ..ทั้งที่ผลักไสมาตลอด ทำไม ลึกๆในใจถึงไม่อยากให้เขาหายไป

.

.

เวลาเดินไปเรื่อย จากวินาที เป็นนาที..

จากหนึ่งนาที เป็นสอง สาม.. และหลายนาทีจนผมเริ่มเดาไม่ถูก แต่มันคงนาน เพราะขาของผมตอนนี้เริ่มชา และอีกไม่นานเหน็บคงจะกินจนลามไปทั้งขา ผมเงยหน้าจากแขนตัวเอง ใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดน้ำตาก่อนจะค่อยๆหยัดกายขึ้นยืน เหลียวมองประตูบานนั้นอีกครั้งก่อนริมฝีปากจะบิดยิ้มไร้ความหมาย สองขาก้าวเดินลงไปชั้นล่างที่มีพ่อและแม่รออยู่

ผมอาจเหนื่อย

ผมอาจหมดแรง

ผมอาจใจอ่อน

..แต่พักเพียงไม่นานพละกำลังของผมก็จะกลับมา นั่นทำให้ผมสามารถเดินต่อไปในเส้นทางเดิมที่เลือกไว้ได้อีกครั้ง

ไม่เป็นไร เพียงแค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ไม่เป็นไร..

 

 

JIM Part

ผมมองถนนเบื้องหน้าและปล่อยให้รถวิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว สายตาเหลือบมองกระจกมองหลังก่อนผละมามองพื้นลาดยางตรงหน้า

มันตัวเล็กเพียงแค่ไหล่ของผม แต่ใจกลับแข็งจนผมไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนมาทำให้มันใจอ่อนลงได้

คนอย่างผมไม่เคยง้อใคร ไม่เคยคิดหาวิธีอยากจะคืนดีกับใครมาก่อน.. ผมไม่เคยต้องไล่ตามใคร ไม่เคยต้องวิ่งเต้นไปตามเกมส์ที่ลวงขึ้นเพื่อให้ได้เข้าใกล้ใคร และไม่เคยต้องเป็นฝ่ายรอคอยอย่างนี้ ไม่เคยแม้แต่นั่งกดหมายเลขโทรศัพท์เดิมๆซ้ำๆเกือบค่อนคืนทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อให้โทรยังไงก็ไม่มีวันโทรติด

มัน เป็นเพียงคนเดียว

นับเป็นครั้งแรกที่ถูกเวลากดดัน.. เวลาที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันสั้นเกินไป

สั้นเกินกว่าจะทำให้อีกคนใจอ่อนได้


ยานยนต์สี่ล้อค่อยๆเคลื่อนห่างจากบ้านหลังนั้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ มือที่จับพวงมาลัยรถก็ยิ่งกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ความเจ็บปวดที่ผมเตรียมใจรับไว้ดูเหมือนจะมากกว่าที่คิด

ข้ออ้างที่หยิบยกมาใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย มีงานต้องเคลียร์เหรอ? ไม่มีหรอกครับ ผมทำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน ทุกอย่างต้องทำให้เสร็จเพื่อที่วันนี้ผมจะได้มีเวลาว่างมาหามัน..

ทั้งที่อยากจะนั่งกินข้าวกับมันตามที่พ่อและแม่ของมันเอ่ยชวน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ซ้ำร้าย หากผมดึงดันที่จะร่วมโต๊ะด้วย อาจทำให้มันกินข้าวไม่ลง ยิ่งวันนี้ได้มาเจอมาเห็นมันก็ทำให้ผมรู้ว่ามันผอมลงไปมาก ต่างจากเมื่ออาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง

แก้มที่เคยยุ้ยจนเรียกว่าป่อง ตอนนี้กลับตอบเห็นเป็นโครงหน้าชัดเจน

Trrrrrrr

ห้วงความคิดสะดุดลงเมื่อเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขัดขึ้น ผมล้วงหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า ปลายนิ้วก็สไลด์กดรับอย่างไม่ลังเล

“อยู่ไหน” ปลายสายถามขึ้น ก่อนที่ผมจะทันได้ส่งเสียงทักทาย

“กำลังกลับคอนโด”

“เป็นไงบ้าง”

“แย่มากเลยกานต์ น้องของพี่ถูกเมิน”

คิ้วย่นชนกันเมื่อแว่วได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย

“ขำอะไร” ถามเสียงขุ่นก็ทำให้อีกฝ่ายรีบปฏิเสธพัลวัน

“...” ผมเงียบใส่ และได้ยินเสียงกานต์กระแอมในลำคอก่อนพูดเปลี่ยนเรื่อง

“พรุ่งนี้พร้อมรึยัง เช็คของดูดีๆอย่าลืมอะไร”

“ถ้าผมลืมพี่ก็บินเอาไปให้ดิ แค่นี้คงไม่ลำบากพี่หรอก ใช่ไหม”

“หึ” ได้ยินแค่เสียงหัวเราะขึ้นจมูกที่ตอบกลับมา ผมขยับยิ้มมุมปากก่อนจะตบไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยบังคับให้รถเลี้ยวไปตามมุมโค้งของถนน

“แล้วได้บอกน้องมันรึยัง”

“ยัง”

หัวคิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย ความหน่วงในใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

“แล้วทำไมไม่บอก”

“...”

ไม่ใช่ว่าผมลืมบอกมัน ไม่ใช่หรอกครับ เพราะการที่ผมดั้นด้นมาหามันในวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อได้มายืนอยู่ต่อหน้า สิ่งที่จะพูดจะบอกกลับถูกกลืนลงคอ หัวสมองว่างเปล่าและคิดอะไรไม่ออก อีกทั้งหากบอกไป.. ผมกลัวที่จะเห็นใบหน้าราบเรียบที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรของมัน

เวลาสามปีจะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว

แต่สามปีต่อจากนี้ของผมคงไม่ต่างกับนรกบนดิน


ผมคุยโทรศัพท์กับกานต์ต่ออีกสักพัก แรกๆก็เป็นการคุยตอบโต้กันสองฝ่าย ไปๆมาๆกลับเป็นกานต์ที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวจนผมหูชาไปข้าง เกือบไม่มีสมาธิขับรถ

ตรู๊ด ตรู๊ด...

สัญญาณโทรศัพท์ที่ดังเข้าโสตประสาทเป็นการบอกว่าอีกฝ่ายได้วางสายไปแล้ว แต่ดูเหมือนสติสตังของผมจะยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ในหัวมีแต่เสียงของกานต์รีเพลย์ซ้ำไปมา

 

‘มึงโง่หรือว่าโง่วะ บทจะดื้อก็ดื้อด้านยิ่งกว่าลา บทจะเชื่องก็เชื่องฉิบหาย

กับแค่น้องไล่กลับมามึงก็ยอมง่ายๆหรือไง ตื๊อๆหน่อยไอ้จิม

บทสรุปจะเป็นยังไงกูไม่รู้ น้องจะยอมยกโทษคืนดีให้มึงไหมกูก็ไม่กล้ารับประกัน

แต่การจากกันโดยไม่บอกลาน่ะมันน่าเศร้านะ

ตอนทำเลวน่ะทำได้ พอจะทำดีเสือกคิดมาก เกิดเป็นน้องกูได้ไงวะ

กล้าๆหน่อย กับเด็กผู้ชายคนเดียวมึงจะกลัวอะไร?’

 


 

 

______________________

TALK :: มาแล้วววววววว รอกันนานไหม (ยังกล้าถาม) 5555
ช่วงนี้เป็นฤดูงานทับถมค่ะ หมดฤดูนี้ก็จะเข้าฤดูสอบ เย่ สู้ๆนะคะ ขอให้สอบได้ มั่วถูก 55555
เฮ้อ! นึกถึงตอนน้องต้าเป็นเด็กจริงๆ!! รู้สึกช่วงนั้นเป็นช่วงที่แต่งง่ายและไหลปรื๊ดมาก
ฉากหน่วงๆ ดราม่าๆ นี่มันยากจริงๆ รู้สึกหมดพลังงาน แต่งๆแก้ๆปรับๆพาร์ทนี้มาจนจำได้หมด จนคำผิดไม่มีแล้วมั้งน่ะ 555
ส่วนที่เหลือจะตามมาในเร็ววันค่ะ หากเรารู้สึกว่ามันโอเคแล้ว 555 (ตอนนี้มันยังไม่โออออ T^T)
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกการรอคอยมากน้า จ้วบบบ รักเลยยยยยย
ไว้เจอกันใหม่ค่ะ : )
PS. พาร์ทนี้ยืดไปไหม แอบรู้สึกว่าน้ำเยอะ แต่อย่างน้อยคงเห็นความชัดเจนในตัวพี่จิมกับน้องต้าขึ้นมาติ๊ดนึง  :hao5:
 

ออฟไลน์ zelesz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ใช่ กล้าๆหน่อยจิม

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ตอนแรกเกลียดอิจิมมากๆนะ แต่ตอนนี้แม่งโคตรสงสารเลยอะ! ฮือออ ทั้งๆที่ตอนแรกชอบหมอเซมมากๆ ตอนนี้หายเข้ากลีบเมฆ น้องต้าใจอ่อนเร็ววๆจิ :hao5:

ออฟไลน์ mro

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
สนุกมากกก โอยยยไม่ไหวแล่ววววว
ใจอ่อนเถอะพลีสสสสส คนอ่านหน่วงกัวใจไปหมดแล้วฮิอๆ
นักเขียนสู้ๆนะคะ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีทั้งสองฤดูกาล 555

ออฟไลน์ fahhee_zeze

  • Love you...YAOI~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
 o22  :a5: มาทีก็หน่วงเลยเชียว....อ่านเรื่องนี้มากเกินไปสินะเรา....//พึมพำ
เพราะอ่านเรื่องนี้และอินมากเกินไปทำให้ เวลาอ่านเรื่องของคนอื่นเชียร์อยากให้นิยายเรื่องนั้นๆ หน่วงตามเรื่องนี้จริงๆ.... เพลียใจ 555555 มาต่ออีกไวๆนะจ๊ะ!! :pig4:  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| ---ตอนที่ 37 {60%} [22/02/57] P.23
« ตอบ #669 เมื่อ: 23-02-2014 03:02:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ไม่ยืดเลย พี่จิมจะไปแล้วหรอ บอกน้องเถอะ น้องจะรู้สึกไม่รู้สึกให้น้องตัดสินใจเองเถอะนะ

แต่บอกน้องเถอะ โหดร้ายอ่ะ ถึงน้องจะเกลียด น้องก็อาจจะอยากรับรู้นะ

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้แต่ไม่กล้าที่จะลงมือทำ
แต่คนที่มองอยู่ข้างนอกเนี่ย เขาคิดได้ แต่ลงมือทำไม่ได้ เอ๊ะ!
แล้วมาต่ออีกนะคะ กำลังลุ้นเลย

ปล.กล้าๆหน่อยสิพี่จิม

atcharayee

  • บุคคลทั่วไป
ก่อนอื่น คงต้องขอบคุณนักเขียนนะค่ะ ที่เขียนเรื่องสนุกๆๆให้อ่าน สู้ๆๆต่อไปนะค่ะ  :a2: ใกล้จะจบแล้ว รู้สึกใจหาย   :m15:

เข้าเรื่องนิยายกันดีกว่า  o8
คือไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหนนะค่ะ  :mew2:  แต่ก็ไม่อยากให้เศร้า อยากให้จิมง้อน้องให้สำเร็จ  อยากให้ต้าใจอ่อน ให้โอกาสจิมสักครั้ง รู้ว่าเรื่องมันเลวร้ายเกินกว่าที่จะให้อภัย แต่ จิมก็รู้สึกผิดแล้ว  :mew2: แล้วอีกอย่างคือ จิมต้องไปต่างประเทศ ตั้งสามปีเลย มันนานนะ กว่าจะกลับมาก็ไม่รู้อะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง อยากให้ต้ารู้ใจตัวเองเร็วๆ

รู้ว่ารักจิมหนะ   :m23:  ฮ่าๆๆๆๆๆ

จบแบบ Happy End เถอะ  :m5: ple.

ออฟไลน์ diduek

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
    • http://diduek-san.exteen.com/
อย่าดราม่าน้าาาาา ขอแฮปปี้เอ็นเถอะะะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
หน่วงอีกแล้ว

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
พี่จิมมมมมมมมม

 :katai1:

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
เตอร์เลวมากสุดอ่ะ ยังไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรให้ได้พอจะอภัยให้เลย
เหมือนทำเพื่อตัวเองอย่างที่ต้าบอกเลย ถ้าเรื่องนี้ตอนจบแล้วต้าอภัยให้เนี่ย
เราว่ามันไม่สาสมนะ ต้องทำให้เห็นไปเลยว่ามันต้องจมกับความผิดไปจนตาย
จริงๆอยากเห็นกรรมที่เตอร์ได้รับอย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ใช่เพียงรู้สึกผิด
ถ้าตอนจบเราขอแบบไม่แฮปปี้อ่ะ ไม่อยากให้ต้ายกโทษให้ทั้งจิมและเตอร์
แบบแหวกกระแสดี อิๆๆๆ

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
อร๊ายยย ค้าง  :hao5:

ออฟไลน์ Cockroach

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทัน ฮือออ ค้างๆ

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
โอยยย
อยากอ่านต่อ
ซึมเลยอะ..
บอกสิ เชื่อว่าต้ายกโทษให้อยู่แล้ว(มั้ง)
แต่พี่ชายต้าละ(ลืมชื่อกระทันหัน ฟฟ) จะเป้นอย่างไร ได้คู่ใหม่ไหม อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Drama,SM |||||||||| A BOY |||||||||| ---ตอนที่ 37 {60%} [22/02/57] P.23
« ตอบ #679 เมื่อ: 08-03-2014 22:35:15 »





ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
100%



TA Part

“ไปรู้จักมักจี่กันได้ยังไงล่ะหืม กับพ่อหนุ่มคนนั้นน่ะ” เสียงของพ่อถามขึ้นขณะที่เราสามคนพ่อแม่ลูกกำลังร่วมรับประทานอาหารมื้อสาย มือที่กำลังเขี่ยข้าวในจานชะงักไปครู่หนึ่ง ผมเหลือบตามองพ่อก่อนจะหลุบมองเม็ดขาวที่เรียงตัวสวยในจาน

“เขาบอกกับพ่อแม่ว่ายังไงอะ”

“เห็นว่าเป็นเพื่อนหมอเซม” เป็นแม่ที่ตอบคำถาม

“อื้ม ก็ตามนั้นล่ะครับ” ตอบปัดพลางตักข้าวเข้าปากแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “ถั่วลันเตาผัดกุ้งอร่อยอะแม่ กุ้งสด ต้าชอบ ไว้แม่ทำให้ต้ากินอีกนะ” บอกพลางยิ้มประจบ ปากเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ พลันยิ่งยิ้มตาหยีมากกว่าเดิมเมื่อเห็นแม่ส่งสายตาดุๆมาให้

บ้านผมไม่เคร่งมารยาทการกินมากหรอก ก็แค่ควรต้องทำตามกฎพื้นฐานที่ว่า เวลากินห้ามพูด ครั้งนี้ที่พูดขณะที่อาหารเต็มปากก็ใช่ว่าลืมตัว การกระทำบางอย่างเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานานมันก็จะกลายเป็นความเคยชิน และทำออกมาได้เองโดยไม่ฝืนทนอะไร เพียงแต่ครั้งนี้ ผมต้องการเลี่ยง ไม่พูดเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขา

“แม่ได้โทรหาเตอร์บ้างไหม” เบี่ยงประเด็นพุ่งไปหาพี่ชายที่ตอนนี้ไปค่ายซะไกลถึงพิษณุโลก และดูเหมือนการหยิบยกเตอร์ขึ้นมาเป็นหัวข้อหลักของบทสนทนาดูจะได้ผลดีทีเดียว เพราะแม่หันมาให้ความสนใจและลืมเรื่องเก่าที่ยังคุยไม่จบเสียสนิท

“พี่ชายเราเพิ่งโทรมาเมื่อกี้นี้เอง เห็นว่าสบายดี ติดจะสนุกซะด้วยซ้ำรายนั้นน่ะ” ท้ายเสียงของแม่สะบัดเล็กน้อยออกอาการงอนลูกคนโตที่สนุกจนลืมตัวเอง ผมหัวเราะเบาๆ แต่ก็ต้องรีบกลืนเสียงหัวเราะลงคอแทบไม่ทันเมื่อเจอคมค้อนคมๆของแม่พุ่งหลาวแสกกลางหน้า

“จะกินข้าวอิ่มทุกมื้อไหมก็ไม่รู้ รายนั้นยิ่งกินยากๆอยู่” แม่บ่นออกมาอีก ฟังดูก็รู้ว่าท่านกำลังห่วง พี่ชายของผมคนนี้กินยากครับ ถ้าชอบก็จะกิน ไม่ชอบก็ไม่กินเลย

“เตอร์เลือกไม่ได้หรอก ไม่กินก็อดตาย”

พูดจบก็รีบก้มหน้างุดตักข้าวเข้าปากท่ามกลางเสียงหัวเราะร่วนของพ่อเมื่อแม่ฟาดค้อนส่งมาให้อีกคำรบ

ผมเปล่าพูดอะไรผิดสักหน่อย ไปค่ายลำบากจะตาย ถ้ามัวแต่เลือกกินก็หิวตายนั่นล่ะ เผลอๆเตอร์กลับมาจะเป็นคนไม่เลือกกินด้วยซ้ำ

 “แล้วเรื่องเรียนต่อน่ะ ตกลงว่าเราจะเข้ามหา’ลัยเดียวกับพี่เขาใช่ไหม” พ่อถามขึ้นหลังจากที่หยุดหัวเราะแล้ว ผมนิ่งคิดไปครู่ก่อนพยักหน้ารับ

“อื้อ เรียนที่เดียวกับเตอร์ก็ดีนะพ่อ อีกอย่างต้าก็ได้คณะที่อยากเรียนแล้วด้วย ไอ้นุมันก็ติดที่นี่ เหลือก็แต่ไอ้เบียร์ น้ำ แล้วก็ไอ้แบงค์ ถ้าได้เรียนด้วยกันอีกก็คงจะดี” ผมระบายสิ่งที่คิดพลันในอกก็หน่วงๆกลัวว่าจะต้องแยกกับเพื่อน และดูเหมือนพ่อจะรู้ทัน

“อย่าไปคาดหวังมาก เผื่อใจไว้บ้างก็ดี เรายังต้องพบเจอกับคนใหม่ๆอีกมาก” พ่อพูดพลางตักปลากะพงทอดมาวางบนข้าวสวย ผมยิ้มกว้างพลางใช้ช้อนกับส้อมตักข้าวกับปลาพอดีคำเตรียมไว้ในช้อน

“ต้าเองก็ไม่ได้ยึดติดกับเพื่อนเก่าขนาดนั้น แค่คิดว่า ถ้าได้เรียนที่เดียวกันคงจะดี ชีวิตในมหา’ลัยคงจะสนุกขึ้น” สิ้นคำก็ตักข้าวเข้าปากคำโต

“ตกลงจะไปเรียนหรือไปเล่นหืม” แม่พูดพลางตักผัดผักให้พ่อ หวานกันตลอดล่ะครับคู่นี้ ไม่แน่ผมอาจจะได้น้องในเร็ววัน ฮา

“ก็ไปเรียนบ้างเล่นบ้าง เอ้อ พ่อ แม่ ตกลงเย็นพรุ่งนี้ต้าอยู่งานเลี้ยงต้อนรับนิกซ์มันนะ”

“งั้นพ่อกับแม่ก็ได้มีเวลาอยู่กันสองต่อสองตามลำพังสิ” แม่พูดยิ้มๆก่อนจะหันไปหาพ่อ “พ่อคะ พรุ่งนี้เราทำกุ้งแช่น้ำปลา ผัดกระเพราะไข่เยี่ยวม้า กับต้มยำน้ำข้นกันไหม”

ผมหน้าหงิก ก็เมนูที่แม่จะทำของชอบผมทั้งนั้นเลย

“ทำไมต้องทำพรุ่งนี้ด้วย” ผมบ่นหน้ายุ่ง

“แล้วทำไมทำพรุ่งนี้ไม่ได้ล่ะหืม” พ่อก็เป็นไปอีกคน นัยน์ตาพราวระยับราวกับกำลังสนุกที่ได้แหย่ผม

“ก็ต้าอยากกิน” ปากยื่นออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เห็นแม่ยิ้มขำก่อนจะตักข้าวเข้าปากเรื่อยๆ เห็นอย่างนั้นก็ทำให้ผมรู้แล้วว่าท่านแค่หยอกเล่น รอยยิ้มบนริมฝีปากของผมค่อยๆระบายออกมาและกว้างขึ้นจนหลุดเป็นเสียงหัวเราะ

ไม่รู้ว่าขำอะไร คงจะขำตัวเองที่ทำอะไรเป็นเด็กไม่รู้จักโต

แต่ก็แค่กับพ่อแม่เท่านั้นล่ะที่ผมอยากจะเป็นเด็กไปเรื่อยๆ

.

.

.

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว เสียงจิ้งหรีดเรไรดังอยู่หลังบ้านเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย

ผมปิดประตูรถเมื่อลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยก่อนจะร้องบอกให้พ่อเปิดท้ายรถเพื่อจะได้หอบหิ้วบรรดาถุงพลาสติกนำไปเก็บไว้ในบ้าน

“แม่ เปิดประตูบ้านให้ต้าหน่อย” ร้องบอกขณะที่สองมือรวบถุงมาถือไว้แล้วเดินมาหยุดหน้าประตู รอให้แม่เดินมาเปิดให้

“เอ้า ถือไหวมั้ยน่ะ วางลงๆ เดี๋ยวแม่ช่วยถือ”

“ไม่หนักหรอกน่า แต่ถ้าแม่ยังพูดแล้วไม่ไขประตูอะ มันจะหนักกว่านี้” ผมพูดขำๆ กระชับถุงในมือ แม่ส่ายหัวไปมาก่อนรีบไขปลดล็อก

เมื่อประตูบ้านถูกดันออกกว้าง ผมก็ไม่รอช้า อาศัยความเคยชินคลำทางเดินเข้าไปข้างในท่ามกลางความมืด เมื่อวางถุงพลาสติกลงบนโต๊ะกินข้าวก็พอดีกับที่ไฟในบ้านเปิดพรึ่บ หันไปมองก็เห็นแม่ที่ยืนอยู่ตรงบริเวณสวิตไฟ มือค่อยๆลดลงอยู่ข้างลำตัว เมื่อบ้านสว่างก็ทำให้การก้าวเดินเป็นไปโดยง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะชนอะไรบ้าง ผมเดินสวนแม่ตรงไปยังโรงจอดรถ เพื่อไปหยิบถุงที่เหลือเข้ามาเก็บ แต่ก็พบว่าทุกใบที่เหลืออยู่ในมือของพ่อที่กำลังเดินมาทางนี้

“ออกมาทำไมอีกหืม จะไปเที่ยวไหน”

“ต้าลืมไปว่านัดเพื่อนไว้ งั้นต้าไปแล้วนะ” เล่นมาก็เล่นกลับ และผมเกือบจะได้ออกไปจริงๆซะแล้วหากพ่อไม่ดึงคอเสื้อทางด้านหลังของผมไว้

“จะหนีเที่ยวกันต่อหน้าต่อตาเลยเหรอไงหืม”

ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ หมุนกายกลับมาแล้วฉวยรวบถุงในมือพ่อทั้งหมดมาถือไว้เองแล้วเดินฉิวเข้าบ้านไปวางถุงไว้กับกองแรกบนโต๊ะ

วันนี้ฤกษ์ดี ของในตู้เย็นหมดเกือบหมด พวกซอสปรุงรสก็หมดเหมือนกันแม่เลยชวนไปห้างฯ แล้วก็เลยเลยไปกินอาหารเย็นกันนอกบ้าน อร่อยดีครับ นานๆออกไปกินกันที เพราะปกติไม่แม่ก็พ่อมักจะทำอาหารกินกันเองประจำ คราวนี้ก็อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งบรรยากาศกันไปถ้วนหน้า

เสียดายที่เตอร์ไม่อยู่ด้วย

 “มีอะไรให้ต้าช่วยไหม” เอ่ยถามหวังจะช่วยเมื่อเห็นแม่กำลังเอาของออกจากถุง ถุงพลาสติกหลายสิบใบแม่ก็ไม่ทิ้งให้เสียเปล่า จัดการพับจนเหลือใบเล็กนิดเดียวเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ครั้งต่อไป

แม่เงยหน้าขึ้นมาขณะที่มือก็จับนู่นจับนี่ไม่หยุด

“ไปอาบน้ำนอนไป ดึกแล้ว”

อดเหลือบมองนาฬิกาไม่ได้จริงๆ ดึกของแม่นี่เพิ่งจะ 3 ทุ่ม บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจผู้ใหญ่เท่าไหร่ อย่างตอนนี้ที่ผมเสนอตัวจะช่วยแม่ก็ดันไม่ให้ช่วย แต่พอผมอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร แม่ก็บ่นผมอีกว่าวันๆไม่ทำอะไรเอาแต่นั่งๆนอนๆ

ใครว่าเด็กเข้าใจยาก ผู้ใหญ่นั่นล่ะ เข้าใจยากกว่าเยอะ

“งั้นต้าขึ้นห้องแล้วนะ” พูดขึ้นอีกครั้งป้องกันการโดนบ่นหากผมจะลอยโฉบขึ้นห้องก่อน

แม่ไม่พูดว่าอะไร แต่กลับโบกมือไล่ผมแล้วเรียกพ่อให้มาช่วยแทนซะงั้น

“พ่อ มาช่วยแม่จัดของเข้าตู้เย็นที”

“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้า”

ได้ยินเสียงตอบรับหวานหยดผมก็รีบหันหลังอมยิ้มเต็มสีหน้าเดินขึ้นห้องแทบไม่ทัน ท่าทางผมจะได้เป็นพี่ชายคนในเร็ววันแน่ๆ ขยันหวานกันตลอดเวลาขนาดนี้

 

เข้าห้องมาได้ก็คว้าผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำ จัดการปิดประตูกันอุจาดตา แขวนผ้าขนหนูก่อนเปลื้องผ้าตัวเองทั้งบนและล่างอย่างรวดเร็วแล้วพาตัวเองไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว ทันทีที่น้ำกระทบร่างกายผมก็สะดุ้งเฮือกก้าวถอยหลังหมุนปิดก็อกทันควัน

ยังไม่เข้าหน้าหนาวก็จริงอยู่ แต่น้ำก็เย็นไม่ใช่ย่อย ผมเปิดเครื่องทำน้ำอุ่น หมุนปรับอุณหภูมิให้มันอุ่นนิดๆ ก่อนจะเปิดน้ำอีกครั้งแล้วใช้มือรองน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิ เมื่อพอใจก็กลับเข้ามายืนใต้ฝักบัวต่อ ริมฝีปากอมยิ้มบางๆกับสายน้ำที่รินรดตัว

เคยไหมครับ ร่างกายกับสมองทำงานไม่ประสานกัน ทั้งที่ยื่นมือออกไปหมายจะกดสบู่เหลวแต่ดันกดแชมพูมาแทน ผมมองมันเล็กน้อยแล้วละเลงแชมพูลงบนศีรษะ ขยี้ให้เกิดฟองอย่างไม่คิดอะไรมาก ไหนๆก็กดแล้ว สระผมซะเลยสิ้นเรื่องสิ้นราว

สระเสร็จ ก็เปิดน้ำล้างฟอง ยืนหลับตามือขยี้ผมจนสะอาด ล้างเนื้อล้างตัวอีกเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี ปิดน้ำอีกครั้งก่อนจะดึงผ้าขนหนูมาซับน้ำตามตัวไม่ให้มันหยดติ๋ง พันผ้าไว้รอบเอวก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อนอนย้วยๆกับกางเกงขาสั้นมาใส่ เมื่อเสร็จก็กลับมาทิ้งกายนั่งบนเตียงพลางยื่นมือข้างหนึ่งกดปุ่มพัดลมเพื่อเป่าผมให้แห้ง

อากาศในห้องที่เย็นอยู่แล้วจากแอร์คอนดิชั่นก็เย็นมากขึ้นไปอีกเมื่อมีพัดลมจ่ออยู่ตรงหน้า ต่อให้ชอบอากาศเย็นขนาดไหน ผมก็คงไม่สามารถทนต่อความหนาวขนาดนี้ได้ แม่งหนาวจนหน้าชา

ผมเอี้ยวตัวไปด้านหลัง ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างจนมิดก่อนจะก้มหัวลงเป่าผมพลางหันซ้ายหันขวาเล็กน้อย ปรับมุมองศาให้ลมโดนผมอย่างทั่วถึงเพื่อที่มันจะได้แห้งเร็วๆ

ความอุ่น นุ่มและกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มจากผ้านวมที่คลุมตัวอยู่ทำให้ผมอยากจะเอนกายลงนอนเกลือกกลิ้งแล้วซุกตัวอยู่ข้างใต้เร็วๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมของผมก็เริ่มแห้งแต่ยังชื้นอยู่นิดหน่อย ผมเอื้อมตัวกดเลขศูนย์บนฐานพัดลมแล้วดีดตัวเด้งไปด้านหลัง ทิ้งกายนอนโดยมีผ้าห่มห่มทับถึงหน้าอกโดยที่ในมือมีโทรศัพท์เครื่องใหม่ถืออยู่ ไหนๆมีโอกาสไปห้างแล้วก็เลยอ้อนพ่อกับแม่ให้ซื้อเครื่องใหม่ให้ซะเลย ชีวิตที่ไม่มีโทรศัพท์ถ้าถามว่าดีไหม มันก็เงียบสงบดีนะครับ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่างๆและขาดการติดต่อกับเพื่อนๆไปบ้าง

หลังจากที่โหลดแอพพลิเคชั่นลงเครื่องเสร็จ ไอ้เบียร์ก็ทักแชทเฟสผมมาก่อนเพื่อน เร็วฉิบหาย

Beer : ทำไรอยู่วะไม่หลับไม่นอน

            เห้ย แล้วนี่ได้โทรศัพท์ใหม่แล้วเหรอวะ มันขึ้นว่ามึงออนโฟน

TA :     เออ เพิ่งได้ใหม่วันนี้

            เพราะมึงทักกูมาไงเลยทำให้กูไม่ได้นอน

Beer :  โทษกูซะงั้น งั้นกูไม่คุยกับมึงละ

 

ผมอ่านข้อความนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ซ้ำยังกดปุ่มโฮมให้มันกลับเข้าสู่หน้าจอหลักด้วยซ้ำ

 

Beer :  ....

 

หึ ผมกระตุกยิ้มเมื่อเสียงเตือนข้อความดังขึ้น กดเปิดเข้าไปอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบเหมือนเดิม

 

Beer : โห่ยยย ไรวะ

TA :     อะไรของมึงอีก กูจะนอน

มึงไม่หยุดพิมพ์มันก็เด้งอยู่อย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่กูจะได้นอนหะ

Beer : มึงก็ไม่ต้องนอน 555

TA :     กวนตีนละ -_-

            พรุ่งนี้ไอ้นิกซ์จะมาถึงกี่โมง?

Beer :  กี่โมงวะ กูลืม =__=

            กูเปลี่ยนใจไม่ไปละ ให้แม่งมาเอง

TA :     กวนตีน -___-

Beer :  55555 ไอ้หมานิกซ์มันไม่หลงหรอก มันรู้ทางบ้านกู

 

ไอ้ห่านี่ก็ตลกจริง จริงอยู่ที่ไอ้นิกซ์มันรู้ทาง แต่นั่นมันเมื่อสามปีก่อนไม่ใช่เหรอวะ?

กึกๆ ก่อก.. กึก!

ผมหันขวับมองไปยังระเบียงที่มีม่านยาวปิดถึงพื้นทันทีที่ได้ยินเสียงแปลกปลอมดังขึ้นในความเงียบ ...ผมมองในทิศทางเดิมนิ่งๆแต่แล้วเสียงที่ได้ยินกลับเงียบหายไป ใจผมเริ่มแกว่ง.. หันกลับมามองหน้าจอโทรศัพท์ พลันเสียงดังกึกๆก็ดังขึ้นอีกครั้ง! หัวคิ้วของผมเริ่มขมวดชนกัน ใจเริ่มเต้นตุบๆ

มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ชะงักค้าง มันสั่นอยู่ในมือและเสียงเตือนข้อความเข้าก็ยังคงดังต่อเนื่อง ผมรีบพุ่งความสนใจไปที่วัตถุสี่เหลี่ยมเพื่อจะได้ไม่สนใจสิ่งรอบตัว

กึก กึก!

เสียงกุกกักจากด้านนอกระเบียงยังคงดังไม่หยุด ผมเม้มปากแน่น เปิดหน้าสนทนาก่อนจะพิมพ์รัวผิดๆถูกๆส่งไปโดยไม่ได้อ่านข้อความก่อนหน้านี้ที่ไอ้เบียร์พิมพ์ส่งมา

TA :     ไอ้เบีย ...เชี่ย เสียงเหี้ยไมไม่รู้ ดังอยู๋นอกระเบียงหห้องกู

 

ข้อความขึ้นว่าถูกอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับ

 

TA :     ไอ้เบียยยย!!!

 

ผมเบะปากพิมพ์เรียกมัน

 

Beer :  ปอดเหรอวะ มึงก็ออกไปดูดิ

TA :     ไม่!

Beer :  ปอดว่ะน้องต้า 555

TA :     เออ กูปอด

Beer : ไป ออกไปดูเร็ว ไม่มีอะไรหรอกเชื่อกูดิ ถ้ามึงไม่ออกไปมึงก็จะกลัวอยู่อย่างนี้

 

เอาไงดีวะ?

ผมอ่านข้อความนั้นชั่งใจกับตัวเอง ตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วพิมพ์บอกอีกคนในโทรศัพท์

 

TA :     มึงอย่าเพิ่งนอนนะเว้ย อยู่เป็นเพื่อนกูก่อน

Beer :  เออ

 

ผมกำโทรศัพท์ในมือราวกับมันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว มุ่งหน้าไปยังประตูกระจกแล้วแหวกม่าน ก่อนจะปลดล็อกแล้วเลื่อนเปิด

!!!

ผมนิ่งค้างอยู่กับที่ มือกำโทรศัพท์แน่นกว่าเดิม!

..ในความมืดสลัวผมเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่ผมเพิ่งพบเมื่อตอนกลางวันวันนี้โผล่ขึ้นมาจากราวระเบียงห้อง!

“เฮ้ย!!” เสียงร้องอุทานดังลอดจากริมฝีปากพร้อมกับใจที่กระตุกวาบเมื่อร่างใหญ่ที่กำลังปีนระเบียงหายวูบไปจากสายตา!! ผมรีบพุ่งกายเข้าไปใกล้ มือหนึ่งเกาะราวระเบียง อีกมือโฉบต่ำเอื้อมลงไปด้านล่างโดยไม่รู้ตัว มันเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่อยู่เหนือการไตร่ตรอง! ก่อนริมฝีปากจะลอบพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหลังจากที่คว้าแขนหนาไว้ได้ทัน

วินาทีที่ผมกับเขาสบตากัน ความลังเลผุดเข้ามาในหัวสมอง หากแต่ปฏิกิริยาของร่างกายกลับไม่เป็นอย่างนั้น มือสองข้างจับแขนหนาไว้แน่น แล้วดึงเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี

เมื่อเห็นว่าเขาสามารถทรงตัวเองได้ หัวใจก็ค่อยๆผ่อนอัตราการเต้นให้ช้าลง ก่อนผละจากร่างหนาโดยการก้าวถอยหลังรักษาระยะห่างพลางมองขายาวตวัดข้ามราวระเบียงลงมาเหยียบบนพื้นด้านใน ที่เดียวกับที่ผมยืนอยู่

สองมือของผมที่ปล่อยแขนหนามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่น่าแปลกที่ใจกลางฝ่ามือยังคงรับรู้ได้ถึงเนื้อตัวของอีกฝ่าย.. มันทำให้ผมรู้สึกเก้อๆ และรู้สึกว่ามือสองข้างนี้ช่างเกะกะ ผมจึงซ่อนมันให้พ้นจากนัยน์ตาคมที่สะท้อนแสงจันทร์โดยจับประสานมันไว้ที่ด้านหลัง

ความเงียบคืบคลานเข้ามามีอิทธิพล ผมลอบกลืนน้ำลาย ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่กระจัดกระจายเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือถามอะไรก่อนดี

เขามาทำไมดึกๆดื่นๆ?

แล้ว..ปีนห้องผมทำไม?

เพื่ออะไร?

ทว่าความคิดที่ว้าวุ่นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้น

“อย่าเพิ่งไล่พี่กลับไป”

โทนเสียงที่ใช้พูดไม่ได้แข็งและไม่ได้ราบเรียบ ใบหน้าคมคายก็ไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่เห็นเป็นนิจ นัยน์ตาคู่นั้นก็อ่อนแสงลงจนอ่อนโยน...

อาจเพราะสายตาคู่นั้นที่กำลังมองมา ..สายตาที่เจือแววหวานและเป็นประกายราวกำลังดีใจ มันทำให้ผมรีบหาเหตุผลมาค้ำจุนการกระทำที่ผมทำไปเองเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว

ที่ผมเอื้อมไปจับแขนเขาไว้ มันไม่ใช่เพราะผมห่วงเขา.. ผมไม่ได้เป็นห่วงเขาแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึก

ผมเพียงกลัวเขาตกลงไป.. ถ้าเขาตกลงไป ผมก็จะเดือดร้อนต้องพาเขาส่งโรงพยาบาล และเรื่องจะยิ่งวุ่นวาย..หากพ่อกับแม่รู้ว่าเขาบุกมาบ้านดึกๆดื่นๆด้วยวิธีไม่ปกติ

ไม่มีคนปกติคนไหน เที่ยวปีนบ้านคนอื่นอย่างนี้ ยิ่งคนอย่างเขาที่ผมพอรู้จัก.. ยิ่งไม่ปกติ คนอย่างเขาน่ะเหรอจะปีนบ้านผม..

นอกจากความสับสน ไม่เข้าใจแล้วหนึ่งในความรู้สึกที่เด่นชัดและผมไม่อยากยอมรับมันคือ ผมกำลังดีใจ..

มือที่จับกันด้านหลังเผลอบิดเนื้อตัวเองแรงๆ เผื่อว่าผมฝันไปจะได้ตื่นขึ้นมา ทว่าความเจ็บที่แล่นปราดเป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่านี่ไม่ใช่ภาพฝัน

“คุณปีนขึ้นมาทำไม”

“ถ้าพี่บอกว่าอยากเห็นหน้านายก่อนนอนล่ะ”

“...”

ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป ร่างตรงหน้าถึงได้กระตุกยิ้มมุมปากอย่างนั้น

“ถ้าพี่ไม่ปีนขึ้นมา พี่จะได้เจอนาย ได้พูดคุยกับนายอย่างนี้ไหม?”

“...”

“ถ้าพี่กดกริ่งนายจะยอมเปิดประตูให้พี่ไหม?”

“...”

“นั่นล่ะ คือคำตอบว่าทำไมพี่ถึงปีนเข้ามา”

มือที่จับประสานไว้ข้างหลังเผลอบีบกันแน่น ผมเสตามองไปทางอื่นครู่หนึ่งก่อนจะเบนกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง

“คุณมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเร็วๆ ผมง่วงแล้ว จะนอน”

เป็นการบอกปัด เร่งให้เขาพูดธุระมาเร็วๆ ไม่ใช่ว่าง่วงอย่างที่ปากบอก ประสาททุกส่วนในร่างกายมันตื่นจนลืมง่วงตั้งแต่ได้ยินเสียงดังกึกๆนั่นแล้ว

และเขาเริ่มต้นถามคำถามอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

“ระยะเวลาสามปีนายคิดว่านานไหม?”

“...”

“ถ้าพรุ่งนี้นายไม่เห็นหน้าพี่ นายจะรู้สึกยังไง?”

“...”

“ถ้าวันต่อๆไป พี่ไม่มารบกวนนาย นายจะรู้สึกยังไง?”

“ต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” ผมพูดแทรก ไม่ชอบการที่เขาพูดจาอ้อมค้อมอย่างนี้

“พรุ่งนี้พี่ต้องบินไปอเมริกา ไม่รู้ว่าต้องไปอยู่นานเท่าไหร่ อาจจะสองปีหรือสามปี”

ทันทีที่สิ้นเสียงทุ้มก็ราวกับหัวใจของผมได้ปลิดปลิวไปกับสายลมที่พัดเส้นผมให้ปลิวปรกหน้า เผลอจิกเล็บลงกับหลังมืออย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ

บอกทำไม..

มาบอกผมทำไม..

“พรุ่งนี้ห้าโมงเย็น พี่จะรออยู่ที่..”

“หยุด ผมไม่อยากรับรู้” คิ้วขมวดชนกัน เอ่ยแทรกกลางครัน

..ผมไม่อยากรู้ ถ้าไม่รู้ก็จะไม่รู้สึกอะไร ถ้าไม่รู้ว่าเขารออยู่ที่ไหน ก็จะไม่เจอกัน.. จะไม่เกิดความรู้สึกกระวนกระวายที่ต้องเจอให้ได้.. ความคิดนี้อาจฟังดูตื้นเขิน แต่ผมคิดได้เท่านี้จริงๆ

“...”

ผมมองสบกับนัยน์ตาคมตรงๆ

“แค่นี้ใช่ไหม ธุระของคุณ”

“...”

เมื่อเขานิ่งเงียบผมก็ไม่รีรอปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพูดต่อ

“กลับไปซะ”

“พี่ไม่กลับจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”

“...” เป็นผมที่โยนความเงียบคั่นกลางระหว่างผมกับเขา

“พี่ไม่มีเวลาแล้ว ต้าเข้าใจพี่ไหม เวลาของพี่มันมีแค่คืนนี้ อย่าเพิ่งไล่พี่กลับเลย พี่ขอร้อง” ราวกับเห็นนัยน์ตาคู่นั้นทอประกายเจ็บปวด ผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อร่างหนาเดินเข้าใกล้..

“พี่ต้องทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ ..พี่ไม่เคยง้อใคร ไม่เคยต้องลงทุนทำอะไรแบบนี้ บอกพี่สิ ถ้าทำได้พี่จะทำ”

“ผมจะยกโทษให้ถ้าคุณยอมกลับไปตอนนี้” ริมฝีปากบิดยิ้มบางๆ มองเขาด้วยสายตาท้าทายในที

“ยกเว้นเรื่องนี้ที่พี่ทำไม่ได้”

“เหอะ ไหนว่าจะทำตามที่ผมต้องการไง คุณมันก็ดีแต่พูด” ผมมองเขาที่ยืนกำมือจนเส้นเลือดปูนนูนตามลำแขนด้วยสายตานิ่งๆ ราวกับเขากำลังไม่พอใจที่โดนผมสบประมาท

“เรื่องง่ายๆแค่นี้ที่คุณสามารถทำได้คุณยังทำให้ผมไม่ได้.. ก่อนหน้านี้ที่คุณเคยรับปากว่าจะไม่ทำร้ายผมอีก สุดท้ายแล้วเป็นยังไง หึ! มันทำให้ผมรู้ว่า คำพูดที่หลุดออกมาจากปากคุณ มันเชื่อถืออะไรไม่ได้เลย”

“มันคนละเรื่องกัน”

“มันเรื่องเดียวกัน!”

“ต้ามีเหตุผลหน่อย”

“คุณนั่นล่ะที่ไม่มีเหตุผล!”

สองมือผลักอกหนาออกอย่างแรงเมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้เกินระยะที่ผมกำหนด

“สิ่งที่ผมต้องการคือให้คุณกลับไปซะ แต่สิ่งที่คุณต้องการคือได้ยินว่าผมร้องขอไม่ให้คุณกลับไป ใช่มั้ย!?”

“ถ้าผมพูดว่า อย่ากลับ ไม่ให้กลับ คุณก็จะไม่ไป อย่างนั้นใช่หรือเปล่า?” เมื่อไม่มีเสียงสวนตอบกลับ มันก็ทำให้ผมแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตากรอกขึ้นมองฟ้าก่อนจะมองใบหน้าคมคายตรงๆ “คุณไม่เคยฟังใคร เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ต้องการให้คนอื่นทำตามอย่างที่คุณต้องการ”

“แล้วยังไง! การที่กูอยากอยู่กับมึงมันผิดมากนักเหรอ!”

“มันผิดเหรอไงที่กูไม่อยากจากมึง!”

ผมกำมือจนเล็บจิกกลางฝ่ามือ ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง

“ต้า กูถามจริงๆ มึงอยากให้กูหายไปจากชีวิตของมึงใช่ไหม.. ในใจลึกๆของมึง เคยมีความรู้สึกดีดีต่อกูบ้างไหม”

“...”

กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็มองภาพตรงหน้าไม่รู้เรื่องแล้ว.. มันใกล้จนมองไม่เห็นอะไร เห็นแต่ลาดไหล่แกร่ง ครั้นจะผงะออกห่างก็ทำไม่ได้เมื่อมือหนาวางทาบลงบั้นเอวแล้วรั้งตัวให้เข้าใกล้จนใบหน้าแทบชิดติดแผ่นอกหนา

...ผมยืนตัวแข็งทื่อ หัวสมองขาวโพลน ไม่รู้ว่าควรต่อต้าน หรือจะยืนนิ่งๆอย่างนี้ดี ..อยากจะยกมือดันอีกคนให้ออกห่าง หากแต่หัวใจที่เต้นรัวในอกก็ทำให้มือสองข้างไม่มีแรงแม้แต่จะยกขึ้น ..ผมไม่ได้อึดอัดในอ้อมกอดนี้.. กลับกัน มันกลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น คุ้นเคย และโหยหา..

“ว่าไงครับ บอกพี่ได้ไหม..”

“...”

ความเงียบคือคำตอบที่ผมให้เขา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปจนล่วงเป็นนาทีๆ ผมก็ยังคงเงียบ

คล้ายกับหาเส้นเสียงไม่เจอ คล้ายกับลืมวิธีการเปล่งเสียงพูด ..

ปากมันหนักจนถ่วงใจ ไม่อยากยอมรับความจริง

ไม่อยากให้ไปแล้วยังไง...?

รู้สึกดีแล้วยังไง?

สุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี

“ทำไมถึงใจแข็งขนาดนี้หืม” นัยน์ตาคู่คมกำลังตัดพ้อกลายๆ ผมเอียงหน้าหนีเมื่อปลายนิ้วเรียวของเขายกขึ้นไล้แก้มผมแผ่วเบา ..ปฏิกิริยาของผมทำให้เขาลดมือลง ร่างหนาลอบถอนหายใจก่อนจะพร่างพรูคำพูดออกมา

“อย่าเงียบแบบนี้ได้ไหม ..จะมีทางไหนบ้างที่ทำให้พี่กับต้ากลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยเป็น ไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ เพียงแค่นายมองพี่ด้วยสายตาแบบเดิม ยิ้มและหัวเราะให้พี่บ้าง.. คุยกับพี่ด้วยถ้อยคำแบบเดิม เรียกพี่ว่าจิมเหมือนที่นายเคยเรียก..”

“บอกพี่สิ ว่าพี่ต้องทำยังไง..”


ออฟไลน์ NNEW33

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ผมกัดปากตัวเองแน่นจนรู้สึกเจ็บ การฝืนทนมันทรมาน

ผมตอบตัวเองไม่ได้ ว่าผมรู้สึกกับเขาแบบไหน ชอบเขาหรือเปล่า ไม่รู้ ผมตอบไม่ได้

และผมไม่รู้ ว่าผมคนไหนคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วย.. ก่อนหน้านี้ หรือว่าผมคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา

ผมสับสน ผม..

ผมไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนที่มือยื่นออกไปกำชายเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่น

ผมกำลังชั่งใจกับตัวเอง

ถ้าเขาทำตามที่ผมขอได้ ผมจะลองให้โอกาสเขาอีกครั้ง เพราะผมเองก็ไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังรุมเร้าอยู่ตอนนี้ มันทรมานและแสบร้อนในอกไปหมด

ผมมองสบตากับเขาตรงๆ ก่อนจะเปล่งเสียงพูดออกมา

“ถ้าผมบอกว่าอย่าไป..”

...

มือที่กำชายเสื้อเขาไว้ยิ่งกำแน่นมากกว่าเดิมเมื่อสิ่งที่เรียกว่าความเงียบเข้าแทรกกลาง

ความเงียบที่ไร้รูปร่าง เป็นเพียงนามธรรมแต่ส่งผลต่อความรู้สึกของผมมากมายนัก มันทำให้ผมรู้สึกว่า เขาที่ยืนห่างกับผมเพียงไม่กี่เซนต์ ค่อยๆห่างออกไปจนผมเอื้อมไม่ถึง

..เงียบทำไม

ไม่ได้ยินหรือทำไม่ได้...

ผมกำลังเจ็บ.. เจ็บหนักจนสายตาเริ่มพล่ามัว

ผมไม่ชอบความกดดัน ไม่ชอบการรอคอย ไม่ชอบ..

...

...เนิ่นนานทีเดียวกว่าเขาจะตอบกลับมา

“..พี่ขอโทษ”

สิ้นเสียงทุ้ม มือที่กำชายเสื้อของเขาไว้ก็พลันหมดแรง กลั้นใจดันร่างตรงหน้าออกห่าง ซึ่งเขาก็ยอมผละออกแต่โดยดี

“ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไร.. หมดธุระของคุณแล้วใช่ไหม”

มือที่เมื่อครู่ผลักไสเข้าออกห่างกำลังหนาวเหน็บราวถูกเกร็ดน้ำแข็งเกาะและกัดเซาะจนเจ็บแปลบ

“พี่เลือกไม่ได้ พี่ผิดคำพูดไม่ได้ ต้าเข้าใจพี่ สามปี..รอได้ไหม สามปี”

“ผมกับคุณเราเป็นอะไรกัน รอทำไม รอเพื่ออะไร”

ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องรอ

สามปี นานเกินไป..

“ถ้างั้นไปกับพี่ ไปด้วยกัน ..พี่ไปทำงาน นายไปเรียน”

“พูดอะไรง่ายๆ” ผมเหยียดยิ้มพร้อมทั้งเดินถอยหลังทิ้งระยะให้ห่างจากเขามากกว่าเดิม “ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น คำพูดง่ายๆแค่นี้หวังว่าคุณจะฟังเข้าใจ”

“เรื่องที่ผ่านมา ผมจะไม่ถือสาหาความอีก ถ้าการให้อภัยคือสิ่งที่คุณต้องการ ผมยกโทษให้”

“พรุ่งนี้ ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย”

ผมมองหน้าจิมนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มให้ ยิ้มที่ไม่แอบแฝงความรู้สึกใดใด ยิ้มอย่างที่เขาอยากได้

ยิ้มทั้งที่หัวใจของผมกำลังร้าวราน..

ริมฝีปากหยักของเขาขยับ ท่าทางอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ยังไม่ทันได้เปล่งเสียง เสียงโทรศัพท์แปลกๆก็ดังขัดขึ้น ไม่กี่วินาทีถัดมาผมก็นึกออกว่านั่นคงเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมแน่ๆ เพราะเพิ่งซื้อใหม่ เลยยังไม่ได้ปรับแต่งลูกเล่นใดใด ผมหันซ้ายหันขวา เมื่อมองเห็นแสงสว่างวาบของหน้าจอก็ไม่รอช้ารีบเดินไปแล้วก้มเก็บมือถือที่ตกอยู่บนพื้นตรงราวระเบียง

มันคงจะตกตอนที่ผมเอื้อมคว้าแขนเขาไว้

เบอร์ที่ปรากฏเป็นเบอร์แปลก แต่เมื่อมองดีๆ ผมก็จำได้ว่านี่เบอร์ใคร

“รับสักที! เป็นไง เจออะไรไหมวะ”

เป็นเบียร์ที่โทรมา ผมรู้สึกขอบคุณมันที่โทรมาได้จังหวะพอดี ผมกำมือถือแน่นก่อนจะกรอกเสียงพูดตอบกลับ

“ไม่มีอะไร”

“เออ ดีละ แล้วทำไมไม่ตอบเฟสกู”

“ก็ไม่ได้หยิบมาอ่าน จะให้ตอบยังไง” พูดพลางหัวเราะราวกำลังมีความสุข

“กูอุตส่าห์เป็นห่วง รู้งี้กูไม่ห่วงมึงหรอก”

“อะไร นี่กำลังงอนเหรอ”

พูดพลางหมุนกายหันกลับเข้าหาประตูห้อง ก่อนจะเลิกคิ้วให้กับอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อเห็นเขามองไม่วางตา

“สัส กูไม่ได้งอน”

“งอนก็ยอมรับมา จะได้ง้อถูก” พูดพลางผละสายตาจากเขาแล้วยิ้มกับโทรศัพท์ หัวใจเต้นตึกตัก มืออีกข้างที่ยังจับราวระเบียงไว้กำแน่น

“มึงเนี่ยนะจะง้อกู” อีกฝ่ายทำน้ำเสียงไม่เชื่อ แน่ล่ะ ปกติผมเคยง้อมันที่ไหน ผมน่ะถูกเสมอ

“อื้ม แต่ไม่ง้อวันนี้นะ พรุ่งนี้เจอกันค่อยง้อต่อหน้า”

“หะ อะไรนะ?”

“เบียร์จะนอนรึยัง” ผมเปลี่ยนประเด็นไม่รอให้มันยิงคำถามใดใด

“มึงเป็นเชี่ยไรเนี่ย”

“เบียร์อย่าเพิ่งนอนนะ คืนนี้คุยโทรศัพท์เป็นเพื่อนจนกว่าต้าจะหลับได้ไหม”

ผมเหลือบมองเขาอีกครั้ง เห็นร่างหนาขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ..ความเจ็บปวดที่เผื่อแผ่มาถึงผม

ผมผละมือออกจากราวระเบียงเย็นชืด เดินผ่านหน้าเขาแล้วเปิดประตูบานเลื่อนก่อนจะเดินเข้าห้อง โดยไม่ลืมล็อกประตูจากด้านใน ทิ้งให้ร่างหนายืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง หลบพ้นจากนัยน์ตาคมคู่นั้น ผมก็พูดบอกกับปลายสาย..

“เบียร์ แค่นี้นะ พรุ่งนี้เจอกัน”

พูดจบก็ไม่รอให้มันตอบกลับ ผมกดวางสายก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะแล้วทิ้งกายลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง

สายตามองม่านยาวที่ปิดกั้นการมองเห็นนิ่งๆ

หัวใจกระวนกระวาย ไม่เป็นสุข

ได้แต่ถามตัวเอง ..แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม

...

เสียงแอร์คอนดิชั่นที่ปกติไม่เคยนึกหนวกหูหรือคิดว่ามันเสียงดัง หากแต่วันนี้เสียงนั้นกลับดังเกินไป ผมกดปิดการทำงานและปิดไฟในห้องปล่อยให้ทั้งห้องจมอยู่กับความมืดและความเงียบ..

เงียบเพื่อที่จะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนอกประตูกระจก

แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม..

ผมเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ผมรอไม่ได้..

การรอคอยที่มองไม่เห็นจุดหมาย มันทรมานเกินไป

เพียงแต่ถ้าเขาบอกว่าเขาจะไม่ไป ..ถ้าคำตอบมันเป็นแบบนั้น ผมคงจะปล่อยให้เขาไปโดยที่ผมจะรออยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่ารอทำไม รู้เพียงแต่จะรอ..

นั่นไม่ใช่คำขอที่ต้องการให้เขาทำจริงๆ

มันเป็นเพียงคำขอเพื่อหยั่งเชิงและวัดความสำคัญของตัวเองเท่านั้น

เจ็บสิ้นดีกับคำตอบที่ได้รับ

ผมค่อยๆเอนกายนอนลงบนตั่งเตียง สายตายังคงไม่ละออกจากจุดๆเดิม

 

มองไม่เห็น แต่รับรู้ว่าเขายังยืนอยู่ตรงนั้น

 

ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้น่ะ ดีแล้ว...

 



 
__________________________________________________

TALK :: มาเต็มๆแล้วกับพาร์ท 37 กว่าจะครบ รอกันเกือบเดือนทีเดียว ขอโทษในความล่าช้าค่า T_T
เป็นอีกพาร์ทที่แต่งๆ ลบๆ แก้ๆ แถมยังเจอไฟล์หาย ผึ้งต่อยนิ้วอีก ขุ่นพระ สุดยอดเลย แจ๊กพ็อตสุดๆ

* ตอนนี้อาจไม่ใช่ตอนที่แต่งได้ดีที่สุด แต่อยากให้มันดี ตอนที่แต่งก็คิดว่าดีแล้ว พอมาย้อนอ่านอีกรอบและอีกรอบ ก็รู้สึกแปลกๆ อยากให้คนอ่านช่วยตัดสิน และชี้แนะหน่อยค่ะ ถ้าเห็นว่าควรเพิ่มอะไรตรงไหนรบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ TT___TT
เอาล่ะ พาร์ทหน้าจะเป็นยังไงต่อ อย่าลืมติดตามกันน้า จุ้บบ

** ช่วงนี้พยายามโลกสวย อยากจะร้อง โดนไวรัสฟาดข้อมูลในแฟลตไดซ์  ตอนแรกก็คิดว่าคงมีสำรองในคอม มันมีจริง แต่แค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น ได้แต่ปลอบใจตัวเอง มันหายไปก็ช่างมัน แต่งใหม่เผื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ(?) TT___TT

*** ปิดเทอมแล้ว เราคงจะได้ป๊ะหน้ากันบ่อยขึ้น ทั้งกับอะบอยเอง หรือรีเว้น หรือซิน เย้ คงจะลุยแต่งได้เต็มตัวอีกครั้งหลังจากกลับค่าย วันที่ 22 นี้จะไปค่ายแหละตัววว -…- ครั้งแรกเลยกับค่ายสร้างแบบนี้ ตื่นเต้น 555

สุดท้าย ขอโทษที่ให้รอนาน และขอบคุณที่ยังรอคอยกันอยู่นะคะ

รักนักอ่าน.

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ : )

ออฟไลน์ Lonelyนู๋โรนลี่

  • ฉุด กระชาก ลากถู พาเข้า.....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-2
รอมานานในที่สุดก็คลอดออกมาจนจบ เย่ๆ
ตอนอ่านก็อยากให้มันจบแบบตอนนี้ละ แต่พอได้จบแบบนี้ๆจริงๆ รู้สึกโหวงๆ
แล้วพี่เตอร์ แน่ใจว่ามีความสุขจริง... หวังว่าพี่แกจะเจอคู่ใหม่(ขอให้เจอเมะนะ ให้เตอร์เคะ//พี่น้องบ้านนี้เคะไรงี้555+)
แล้วสามปี...จะทำยังไงต่อไปละเนี่ย เฮ้อ อ่านแล้วหน่วงใจแรงๆ

ออฟไลน์ yut1402

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาต่อเร็วๆ นะ คนอ่านใจจะขาด  :katai5:

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6

ออฟไลน์ mro

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
อ้ากกกกก หน่วงไปอี้กกกก

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
สงสารทั้งคู่เลย T^T

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ทำไมมันบีบคั้นหัวใจอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ :hao5:

ออฟไลน์ zaszaq

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
 :mew6:  :mew6:  :mew6:  :mew6:  :mew6:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เฮ้ยยยยยย น้องต้า การรอมันอาจจะเจ็บปวดนะ แต่ถ้าเรารัก เราจะรอเค๊าแบบที่เราไม่รู้ตัว

ไม่มีใครมาสั่งให้รอด้วย ถึงน้องต้าบอกว่าไม่รอ เชื่อเถอะ น้องต้าก็แอบรอแถมทรมานโคตรด้วย

ตอนหน้า พี่จิมจะไปเมกาแล้วหรอคะ น้องต้าไปต่อเมกาเถอะ จะได้ไม่ต้องรอไง


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด