DOUBLE-FACED: เสแสร้งแกล้งรักChapter 03: I live on raw emotion baby (ฉันใช้ชีวิตแบบดิบๆ น่ะที่รัก)
HIM: PRIK
“หันขวาหน่อยพริก เงยหน้าขึ้นอีกนิดหนึ่งด้วย” พี่ไมค์ตากล้องมือหนึ่งของที่นี่บอกผม ผมขยับตาที่พี่เขาบอก พี่เขายิ้มอย่างพอใจก่อนจะยกกล้องขึ้นแล้วก็กดชัดเตอร์
“เอา เปลี่ยนชุดได้” เมื่อพี่ไมค์สั่ง ผมก็เดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องลองชุด
วันนี้ผมต้องถ่ายทั้งหมดหกชุด ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร และต้องถ่ายในสตูดิโอทั้งหมด เวลาสี่ชั่วโมงผ่านไปตั้งแต่ผมมาถึง และผมก็มาสาย -_- เพราะมาโคคนเดียวแท้ๆ เขาทำให้ผมหาอะไรรองท้องไม่ทัน นี่ก็ปาเข้าไปหกโมงกว่าแล้ว ท้องผมร้องมาหลายครั้งแล้ว แต่ในเมื่องานยังไม่เสร็จผมก็ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้
ปกติแล้วผมมักจะอาศัยช่วงพักเปลี่ยนเสื้อผ้าหาอะไรลงท้อง แต่ต้องไม่ใช่วันที่ผมมาสายไปสี่สิบกว่านาทีอย่างนี้ ผมต้องเอ่ยขอโทษพี่ๆเป็นสิบๆ แต่ละคนเขามีการมีงานต้องทำทั้งนั้น และการให้ผู้ใหญ่มารอไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างผมควรทำเลยสักนิด
กว่างานจะเสร็จก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากะว่าจะหาอะไรกิน แล้วกะว่าจะรีบหนีก่อนที่พี่จีจี้จะยัดถุงเสื้อผ้าจำนวนมากให้ผมอีก แล้ววันนี้ผมก็ทำสำเร็จ ผมแอบออกมาถึงลานจอดรถได้อย่างหวิดหวิวโดยที่พี่จีจี้ไม่ทันสังเกตุ
ทำไงได้ เสื้อผ้าผมล้นตู้แล้ว ถ้าขืนยังรับเสื้อผ้าใหม่มาอีก ผมคงต้องไปซื้อตู้มาใหม่ นี่กะว่าจะโล๊ะเสื้อผ้าที่ใส่มากกว่าสองครั้ง (มันเยอะครับ T^T) เอาไปบริจาคที่ต่างจังหวัด แต่ผมยังหาเวลาว่างและสถานที่ที่จะไปไม่ได้เลย
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนครับ ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่ต้องเคลียร์อีกครั้ง
เน้นว่าอีกครั้ง
“ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากคุณจะเป็นนายแบบแล้ว คุณยังเป็นสโตกเกอร์อีกด้วยสินะ” คราวนี้เขาไม่ได้ยืนพิงรถตัวเองนะ แต่ยืนพิงตรงประตูฝั่งคนขับรถผมเลยต่างหาก กะว่าไม่ให้ผมหนีขึ้นรถขับออกไปไหนได้เลย
“เรียกพี่สิ ฉันยังไม่แก่ถึงขนาดจะให้นายมาเรียกว่าคุณ” เขาโยนบุหรี่ที่สูบไปไม่ถึงครึ่งมวลทิ้งกับพื้นแล้วใช้ปรายเทาขยี้มัน
ผมควรบอกเขาดีไหมว่าผมไม่ชอบคนสูบบุหรี่
แต่คิดอีกที อย่าดีกว่า ถ้าเขาชอบผมจริงๆ เขาควรจะรู้ด้วยตัวเอง
“ครับ พี่มาโค” ผมรับปาก ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่เรียกแบบนี้แล้วผมว่ามันแปลกๆยังไงไม่รู้
“เรียกฉันว่าพี่มาร์คดีกว่า” ดูท่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนกัน ผมพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วพี่มาที่นี่ทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่าคือผมรีบ”
จะรีบไปหาอะไรลงท้องครับ ตอนนี้น้องพยาธิประท้วงกันใหญ่แล้ว ขืนช้ากว่านี้ผมอาจเป็นลมล้มพับเพราะหิวข้าวได้
“มีสิ ฉันจะพานายไปเที่ยว” เขาเอ่ยชวน
“เที่ยว? ตอนนี้เนี่ยนะครับ” เที่ยวในเวลาแบบนี้มันเที่ยวอะไรที่ไหนกัน คงไม่ใช่จะพาผมไม่ผับหรอกนะ แค่ครั้งก่อนก็เข็ดแล้ว ตื่นเช้ามาอ้วกแตกอ้วกแตน ลำบากโอชินที่ต้องคอยดูแลผมจนผมหายเมาค้าง =_=!
“อืม” เขาเดินเข้ามาจับที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้ผมเดินตาม ผมมองที่มือของมาโคพลางหันไปมองรถตัวเองงงๆ กว่าจะรู้สึกตัวก็ถูกจับยัดเข้าไปในรถสปอร์ตคันหรูนามว่าแลมโบกินี่ คนละคันกับเมื่อตอนกลางวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวสิพี่ แล้วรถผมล่ะ” ผมถาม อย่าบอกนะว่าผมต้องทิ้งรถตัวเองไว้ที่นี่อีก คราวก่อนโอชินเป็นคนเอารถจากผับกลับไปให้ นั่นเพราะเขาเป็นคนรับปากว่าจะมาเอาให้ แต่ครั้งนี้ล่ะ ที่ทำงานกับคอนโดผมมันอยู่คนละฝากฝั่งเลยนะ ผมต้องเสียเวลาย้อนกลับมาเอาแล้วค่อยย้อนกลับไปมหาลัยหรือไงเนี่ย
“ทิ้งไว้นี่แหละ” มาโคตอบสั้นๆ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมกับรถที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมาโคถึงเอารถคันนี้ออกมาใช้ในตอนกลางคืน เพราะรถที่ผลิตออกมาให้เป็นรถแข่ง ถ้าเอามาวิ่งเป็นเต่าคลานในช่วงเวลากลางวันจะทำให้ประสิทธิภาพของรถเสีย เพราะอย่างนั้นตอนนี้มาโคเลยเหยียบเสียมิด ขับปาดซ้ายปาดขวาในแบบที่ผมไม่เคยคิดจะทำ
ชีวิตยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ผมยังไม่พร้อมตายตอนนี้ อย่างน้อยๆก่อนตายก็ขอเจอหน้าพ่ออีกครั้งก่อนครับ อ่อ ขอใช้หนี้คุณไวน์ให้หมดก่อนด้วย ขี้เกียจตามไปใช้คืนชาติหน้า >_<
“ขับช้าๆก็ได้มั้งพี่” ตัวผมเกร็งแข็ง มือบีบเข้าหากันแน่น ใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ามันท้าทายดี
“หึหึ ไม่ได้หรอก เครื่องมันแรง” เขาขำในลำคอ แถมยังเร่งความเร็วขึ้นไปอีก
จะยังไงก็แล้วแต่ ผมคิดว่าผมควรบอกเรื่องสำคัญให้เขาได้รับรู้
“พี่มาร์ค”
“อะไร” มาโคถามกลับมา แต่ตาเขาจ้องถนนเขม่ง ซึ่งผมดีใจมากที่เขาไม่ให้ความสนใจกับผมในตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะควักลูกตาเขาออกไปติดที่กระจกหน้าเลยเถอะ เขามองรถที่ขับผ่านไปคันแล้วคันเล่าทันได้ยังไงนะ
“ก่อนจะพาผมไปไหน ช่วยพาผมไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ ผมหิวมาก ยังไม่...เฮ้ยยยย!!!”
เอี๊ยดดดด!!!
ปึก!
หัวผมกระแทรกกับคอนโซลรถอย่างจัง ผมใช้ฝ่ามือกดที่บริเวณหน้าผาก เจ็บครับ กระแทกอย่างแรงเลย
“พี่ขับรถบ้าอะไรของพี่เนี่ย!” ผมหันไปโวยใส่ เมื่อกี้ผมยังพูดไม่จบ มาโคก็หันพวงมาลัยเข้าข้างทางอย่างรวดเร็วแล้วก็เหยียบเบรคสุดแรงไม่มีผ่อนหนักผ่อนเบาเลยสักนิด
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามีรถตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างจากที่เขาขับ เราทั้งคู่จะเป็นยังไง ไม่แคล้วได้ลงไปอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์แน่ๆ T-T
“ขับประสาฉันเนี่ยแหละ นายต้องทำตัวทำใจให้ชินเขาไว้” มาโคยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ผมเอนตัวหนีไปข้างหลัง แต่หลังกลับติดประตูรถ ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ผมกรอกตามองซ้ายขวา เพราะไม่กล้าสบตาเรียวคมนั่นในระยะชิดแบบนี้ เพราะอาจจะทำให้ผมหัวใจวายตายได้
“พี่...ถอยออกไปครับ” ผมร้องห้ามเมื่อใบหน้าคมยังคงเลื่อนเข้ามาใกล้ จนตอนนี้จมูกโด่งๆของเขาแทบจะชนกับจมูกที่โด่งไม่แพ้กันของผม
ดวงตาร้องแรงหลุบมองต่ำลง จดจ้องอยู่ที่ริมฝีปากผมอย่างหมายมาด ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร พอมาโคเคลื่อนเข้าเข้ามาใกล้อีกนิด รสจูบที่เร่าร้อนในคืนนั้นแวบขึ้นมาในความรู้สึก ทำให้ผมอยากลองอีกครั้ง แต่ผมกลับรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่ริมฝีปากเขาจะประทับลงมาที่ริมฝีปากผม แต่มันไปอยู่บนแก้มแทนเนี่ยสิ
ตั้งแต่รู้จักกับเขาผมเปลืองตัวไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย
โอเค ผมเป็นผู้ชายผมไม่เสียหาย แต่มันเป็นเรื่องปกติเหรอครับที่ผมจะต้องมาถูกผู้ชายกอดจูบลูบคลำเนี่ย T^T แม้ว่าเขาจะหน้าตาดีจนบางทีกแอบเผลอเคลิ้มไปบ้างก็ตาม
“อย่าครับ” ผมร้องห้ามเมื่อจมูกโด่งนั่นคลอเคลียอยู่ที่แก้มผม
“ทำไม” มาโค ดึงหน้ากลับ จ้องผมนิ่งราวกับราชสีห์ที่กำลังจ้องเหยื่อที่กำลังจนมุม และเหยื่อตัวนั้นก็คือผม
“จูบไม่ได้ครับ ห้ามจูบ” ผมใช้มือดันตัวมาโคกลับไปที่เดิม
“ทำไม” มาโคถามย้ำอีกครั้ง เหมือนเขาจะไม่เข้าใจเพราะคิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากินเป็นปม
“ถ้ายังไม่ใช่แฟนก็จูบไม่ได้” เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องเข้าใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าการแสดงความรักมันต้องไว้ทำกับคนที่เรารักเท่านั้น
จะมีอีกประเภทก็คือ ไว้ทำกับคู่นอนหรือคู่ควง ที่ทำเพราะอารมณ์ ไม่ได้ทำเพราะรัก
ถ้าเขาเห็นผมเป็นที่ทำกับเด็กในฮาเร็มของเขาแบบนั้น ผมจะเสียความรู้สึกมากๆ
“แต่ครั้งก่อนฉันก็จูบกับนายไปแล้ว นายอย่ามาประสาทได้ไหม”
“ครั้งนั้นผมไม่นับ ผมพลาดเอง ผมขอร้องว่าอย่าทำกับผมเหมือนผมเป็นเด็กในสังกัดของพี่ดีกว่า ผมไม่ชอบเป็นของเล่นของใคร”
“ฉันเปล่า ฉันบอกให้นายมาเป็นแฟนฉันแล้ว นายก็ไม่ยอม”
“ขอแบบนี้มันต้องใช้เวลานี่นา อีกอย่างผมยังไม่รู้จักพี่ดีเลยด้วยซ้ำ”
“หึ นายอยากรู้จักฉันงั้นเหรอ ได้ คืนนี้ฉันจะทำให้นายรู้จักฉันทั้งคืน!”
นี่เขาตีความหายผมไปแบบนั้นเหรอ ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาคิดแบบนั้นเลยนะ
“พี่คง...ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม” แต่แค่ดูจากหน้าก็รู้แล้วว่าไม่น่าไว้ใจ
“แบบไหนที่ไม่ดีล่ะ หนูพริก เอาล่ะลงไปได้แล้ว หิวไม่ใช่เหรอ” มาโคกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจที่ทำให้ผมหวาดกลัวเขาได้
“เอ่อ...ครับ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก เริ่มรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาแล้ว
“งั้นก็กินให้เยอะๆนะ เพราะคืนนี้เราต้องใช้แรงกันอีกเยอะ”
O-O!
แล้วคืนนี้ผมต้องเจอกับอะไรเบ้างเนี่ย!!!
ที่ๆมาโคบอกว่าจะพาผมมาเที่ยวมันคือ...สนามแข่งรถ เคยดูแต่ในหนังว่าสุดยอดแล้ว พอได้มาเห็นของจริงแบบนี้มันเหนือคาดมากๆ ผมไม่คิดว่าที่ประเทศไทยจะมีอะไรแบบนี้ด้วย
ถนนนอกเมืองถูกเปลี่ยนเป็นสนามแข่งรถขนาดใหญ่ ด้านหน้ามีรถนับร้อยคันได้ที่จอดเรียงรายอยู่ และไม่ใช่รถกระจอกนะครับ ยี่ห้อแพงๆทั้งนั้น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก้องคำรามราวกับจะทะยานได้อย่างนั้น มาโคหันมามองหน้าผมเหมือนช่างใจก่อนจะเปิดประตูลงรถ ผมก็ลงตามด้วย อยู่ในรถว่าเสียงด้านนอกดังแล้ว ออกมายืนข้างนอกนี่ยิ่งดังกว่า
แก้วหูจะแตก!
“เป็นยังไง น่าสนใจไหมชีวิตฉัน” สองมือของมาโคล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนกำลังยืนอยู่ในสวนดอกไม้ไม่ใช่สนามแข่งรถ
“ก็ดี...มั้งครับ”
มาโค...คนๆนี้เป็นคนยังไงกันแน่ เขาดูเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ แต่ก็ไม่เลย และเขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนร่างเริง เพราะไม่ได้ยิ่มหรือหัวเราะพร่ำเพรื่อ บางครั้งเขาก็ดูหงุดหงิดง่ายเหลือเกิน นี่มันยิ่งกว่าดูหนังสามมิติเสียอีก สมจริง แต่ก็หลอกลวง ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น คงเป็นเพราะผมไม่สามารถหาความจริงได้จากคนตรงหน้าเลย แค่นิสัยพื้นฐานของเขาผมยังดูเขาไม่ออกเลย
“นายนี่เด็กน้อยจังนะ นายควรจะพูดว่ามันสุดยอดต่างหาก” มาโคปรายตามองผมเซ็งๆที่ผมดูไม่ตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็น ใครมาไม่ตกใจ แต่มันก็ต้องเก็บอาการหน่อย จะทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงได้ไง
“เผอิญผมชอบใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หวือหวา” ผมตอบ สายตามองไปเรื่อยๆ หญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ทำให้ผมอดกังวลไม่ได้ว่าเธอนะหนาวหรือเปล่า
“แต่อีกไม่นานนายอาจจะชอบชีวิตแบบดิบๆก็ได้นะ” สายตาที่เขามองมาที่ผมมันสื่อความหมายล้ำลึกจนผมต้องเบนสายตาหนี เขามันตัวอันตราย ผมพยายามจะเตือนตัวเอง แต่ผมคงจะลืมไปว่าอะไรที่อันตรายมักจะล่อลวงเราได้ง่ายกว่าสิ่งที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ทั้งๆที่รู้ว่าเล่นกับไฟแล้วจะต้องโดนไฟแผดเผาจนมอดไหม้
แต่ร้อยทั้งร้อยก็อยากจะกระโดนเข้าไปลองพิษสงของไฟที่เร่าร้อนกันทั้งนั้น
“ไงมาโค วันนี้จะลงไหม ไอ้ดีนมันลงรอบสุดท้าย” ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตบบ่ามาโคอย่างแรง เขาหันมามองผมก่อนจะฉีกยิ้มให้แล้วก็เดินเข้ามาหาผม ผู้ชายอีกคนที่เดินตามมาเพียงแค่หยุดยืนข้างๆมาโคแล้วมองผมนิ่ง สีหน้าเย็นชาจนน่ากลัว
“อืม แล้วมึงจะไปยืนจ้องหน้าพริกมันทำไมไอ้ออกัส” เป็นอย่างที่มาโคพูดไม่ผิดเลยครับ ‘ออกัส’ ชื่อคนที่เดินมายืนจ้องหน้าผมพลางยิ้มกระลิ่มกระเหลี่ยใส่ผม ผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้เรายืนใกล้กันเกินไป
“นี่มาโค ถ้าแกเบื่อแล้วฉันขอได้ไหม น่ารักชะมัดเลยวะ”
ห๊ะ! อะไรนะ ขออะไรวะครับ!
“ออกมาให้ห่างเลยนะมึง คนนี้ของกู!” มาโคเดินมาหิ้วคอเสื้อเพื่อนให้ห่างผม เขาเหวี่ยงเพื่อนตัวเองไปทางผู้ชายหน้านิ่งที่ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร เขาเพียงแค่มองดูพวกเรานิ่งๆ แทบจะไม่ขยับด้วยซ้ำ ถ้าเขายืนท่าเดิมอีกสิบนาทีผมอาจจะคิดว่าเขาเป็นรูปปั้นก็ได้นะ
“เฮ้!” ผมร้องประท้วงเมื่อมาโคดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น คนรอบข้างหันมามองอย่างสนใจ ก็แหงล่ะ นายแบบหนุ่มสุดฮอตอย่างเขามายืนกอดผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ จะไม่มีคนสนใจได้ยังไง ชีวิตผมคงจะไม่สงบสุขอีกต่อไป สังเกตุได้จากแววตาเชือดเฉือนของหญิงสาวทั้งหลายแหล่และชายหนุ่มหน้าหวานอีกหลายคน
อืม...เป็นคนที่มีแรงดึงดูดทางเพศในทุกเพศจริงๆ
“ปล่อยผม” ผมกระซิบเสียงเบา
“ไม่!” เสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย
ในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อย ผมก็ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“โอ๊ยยย!” ผมกระทืบเท้าเหยียบลงบนเท้าเขาเต็มแรง คนโดนเหยียบสะดุ้งโหยงปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ ผมบอกให้เขาปล่อยผมดีๆแล้วนะ เขาไม่ฟังเอง ช่วยไม่ได้
“อย่าล้ำเล้นสิครับสุดหล่อ พี่ยังไม่ได้เป็นอะไรกับผมสักหน่อย” ผมเดินเลี่ยงไปยืนอยู่ข้างๆพี่หน้านิ่ง ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน
มาโคสะบัดปลายเท้าตัวเองเพื่อคลายเจ็บ ดวงตาจับจ้องผมอย่างแข็งกร้าว กรามที่ขบกันแน่นจนสังเกตุเห็นได้
“ฤทธิ์เยอะนักนะ! สาบานเลยว่าจะจะปราบพยศนายให้ได้!!!”
อืม น่ากลัวชะมัดเลย
นี่ผมพูดจริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่นหรือประชดเลยสักนิด =_=
“ฮ่าๆๆ โคตรจี้เลยวะมาโค อะไรวะ แค่นี้ก็โดนเด็กเล่นงานเสียแล้ว” พี่ออกกัสขำลั่นเหมือนสะใจมากๆที่ผมทำมาโคเจ็บได้
“เงียบปากไปไอ้ออกัส!!” มาโคตวาดกร้าวก่อนจะตวัดสายตาโหดร้ายมาจ้องผม ผมก็ได้แต่หลบตามองโน่นมองนี่ ทำเป็นไม่สนใจมาโคที่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่
“เฮ้!!!!” เสียงเฮดังลั่นบริเวณ พี่ออกัสยกนาฬิกาขึ้นดู สีหน้าเขาเปลี่ยนไป ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเมื่อกี้
“ได้เวลาของฉันแล้ว วันนี้ฉันจะขยี้ไอ้มิลให้เละไปเลย โทษฐานกวนส้นเท้า” พี่ออกัสพูดออกแนวโรตจิตหน่อยๆก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าจากไป เหตุผลพี่แกสุดยอดมากเลยครับ
จากนั้นพี่หน้านิ่งก็เดินตามไป อืม เป็นคนที่นิ่งจริงๆ
“ไปเลยไอ้ตัวดี แสบนักนะ” มาโคโอบไหล่ผมแน่นแล้วเดินตามสองคนนั้นไป ผมปรายตาลงมองมือเขาที่กุมหัวไหล่ผมอยู่ เหมือนเข้าจะรู้ เลยบีบแน่นเข้าไปอีก
“ผมเจ็บนะ” ผมบอกหน้างอ ผมยังต้องใช้ร่างกายทำมาหากินนะ ช้ำขึ้นมาเป็นเรื่องแน่
“ก็อย่าดื้อสิ ถ้าไม่ดื้อก็ไม่เจ็บตัว”
“...”
“...”
“ก็ได้ ผมจะไม่ดื้อก็ได้ เลิกบีบไหล่ผมได้แล้ว” ผมพูดอย่างเหนื่อยใจ แรงที่บีบตรงหัวไล่ผ่อนเบาลงจนเหมือนแต่จับเอาไว้เบาๆ
เรามายืนอยู่ตรงจุดสตาร์ท กลางถนนใหญ่มีรถห้าคันจอดคอยท่าเตรียมตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้า เสียงเครื่องยนต์แข่งเร่งทำให้เสียงกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ถ้าตำรวจวิ่งมาตรวจนี่จะทำยังไงกัน นี่ไม่ใช่ในหนัง Fast & Furious นะ บ้าดีเดือดกันเกินไปแล้วคนพวกนี้
“Are you ready?!”
“เฮ!!!”
“Ready! Goooooo!!!!”
บรื้นนนน!!!
หลังสิ้นเสียงสัญญาณรถทุกครั้งก็ออกตัวอย่างเร็วจนน่าตกใจ ผมมองตาหลังรถที่วิ่งออกไปอย่างตะลึงงัน
“เป็นยังไง อยากลองบ้างไหม” เสียงกระซิบข้างหูดึงความสนใจของผม คราวนี้มาโคไม่ได้มีท่าทีจ้องจะลวนลามผม เพียงแต่เสียงรอบข้างมันดังเกินไปจนต้องกระซิบก็แค่นั้น
“ไม่ล่ะ ผมขอดูอย่างเดียวดีกว่า” ผมบอก ยังไงชีวิตก็ยังมีค่าครับ ผมยังเรียนไปจบ พ่อยังมีให้เลี้ยง >_<!
“เด็กน้อยเอ้ย” ผมช้อนตาขึ้นมองคนที่ส่ายหน้าเหมือนผมเป็นเด็กๆ
“ก็ดีกว่าคนแก่อย่างพี่แล้วกัน” จุกสิครับ หน้านี่หงิกเลยทีเดียว
“เฮอะ! แล้วรู้อะไรไหม คนแก่อย่างฉันแรงดีนะ อยากลองไหม”
เข้าเรื่องนี้ตลอดสินะ วันๆเขาเคยคิดเรื่องที่มันสร้างสรรกว่านี้บ้างไหม อยากจะลองผ่าสมองของออกมาดูจริงๆว่าบรรจุอะไรไว้บ้าง
ผมไม่พูดอะไรต่อ พูดก็มีแต่เข้าตัว เสียงหัวเราะในลำคอแกร่งมันน่าหมั่นไส้นัก ผมยืนมองที่จุดเส้นชัย จุดเดียวกับจุดสตาร์ทนั่นแหละ ไม่นานรถคันแรกก็เข้าเส้นชัย และเป็นใครไม่ได้...พี่ออกัส
เสียงเฮดังลั่น คนขับยิ่มร่าลงมาจากรถ ก่อนจะเดินไปหารถที่เข้ามาเป็นคันที่สอง ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่าเอาเป็นเอาตาย ไม่มีใครยอมใคร ผมว่าผมจำผู้ชายคนนั้นได้ คนที่จ้องผมที่งานแฟชั่นโชว์ มิล...
และตอนนี้เขาหันมาสบตากลับผม ดวงตาเขาเบิกกว้างเหมือนจะอึ้งที่เห็นผม มันน่าแปลกพอๆกับแรงบีบที่หัวไหล่ผมแน่นขึ้น
“พี่...”
“อย่าไปมองมัน มองแค่ฉันคนเดียวพอ” มาโคจับปลายคางผมให้หันไปมองเขา เหมือนต้องการให้ผมมองแค่เขาไม่ให้มองคนอื่น และในสายตาของผมก็มีแค่เขาจริงๆ
ไม่รู้ว่าใครแข่งกับใครบ้าง เพราะผมเอาแต่เหม่อลอยคิดถึงแต่เรื่องของคนที่ยืนโอบไหล่ผมอยู่ ผมอยากจะบอกนะว่าไม่ต้องโอบขนาดนี้ก็ได้ ผมไม่หายไปไหนหรอก ทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ
จนถึงเวลาที่มาโคเขาต้องแข่ง เขาคุยอะไรสักอย่างกับพี่หน้านิ่ง ผมไม่ได้ยินเพราะเขาคุยกันเบามาก ก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าผม
“อยู่กับไอ้ธันไปก่อน อย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเท่านั้น” เขาสั่งเสียงเครียด
“ธัน?” ผมทวนชื่อที่เขาบอก
“ไอ้ธันเดอร์ มันจะดูแลนายได้ เข้าใจที่พูดไหม”
“ผมดูแลตัวเองได้” ผมก็ผู้ชายนะ มีอะไรให้น่าเป็นห่วงกัน
“ทำตามที่ฉันบอกก็พอ ถ้ายังอยากรักษาบริสุทธิ์เอาไว้ให้ฉันอยู่” คำพูดของเขาทำให้ผมหน้าร้อนฉ่า ผมกัดปากมองหน้ามาโคอย่างหาเรื่อง เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะประทับจูบบนหน้าผากผมเบาๆ
“ขอกำลังใจหน่อย” ผมพูดชิดติดใบหน้าผม หน้าผมคงต้องแดงมากแน่ๆ หัวใจเต็นแรงจนน่ากลัว ทำไมเขาชอบมาเล่นกับใจคนอื่นนักนะ เขาจะรู้บ้างไหมว่าการกระทำของเขามันกำลังทำร้ายร่างกายผม คงต้องแวะไปตรวจโรคหัวใจที่โรงพยาบาลสักหน่อยแล้ว พักนี้มันทำงานหนักเกินไปจนไม่น่าไว้วางใจ
“ฝากด้วยไอ้ธัน” เพราะมัวแต่ตกใจเลยไม่ทันรู้ตัวว่าถูกมาโคลากมายืนใกล้ๆธันเรียบร้อยแล้ว
“อืม เอาให้ชนะนะ” โอ้โห พูดได้ด้วยแหะ ผมคิดว่าพี่เขาเป็นใบ้เสียอีก
“ขอบใจ เป็นเด็กดีล่ะหนูพริก” ยังครับ ยังไม่วายจะว่าผมก่อนไป แล้วทำไมต้องเรียกผมแบบนั้นด้วย หนูเหนออะไรกัน!
ผมผ่อนลมหายใจเบาๆ อาการเกร็งเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นเบาบางลง
“ไง เกร็งขนาดนั้นเชียว” ผมเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าพี่ธันจะชวนผมคุย”
“ก็นะ เพื่อนพี่เหมือนคนอื่นที่ไหน” ดูเหมือนพี่ธันจะเข้าใจที่ผมพูด มุมปากเขาถึงได้ยกขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะเห็นด้วย
ผมมองไปที่มาโคที่กำลังยืนประจันหน้ากับผู้ชายอีกคน ไม่รู้ทำไมรอบนี้ถึงมีแค่สองคันเท่านั้น คือมาโค กับอีกคนที่ตอนนี้มาโคยืนจ้องหน้ากันเหมือนจะฆ่ากันก็มิปาน งั้นคนนี้ก็เป็นอริกับมาโคสินะ ทั้งสองคนพูดอะไรสักอย่างที่คงจะเคร่งเครียดไม่น้อย ดูได้จากใบหน้าของมาโคที่บึ้งตึงอย่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่แทนที่มาโคจะเดินขึ้นรถ เขากลับเดินมาท่างผมอย่างหัวเสีย เกิดอะไรขึ้นหรือไง
“มีอะไรวะ” พี่ธันถามเสียงนิ่งเหมือนเดิม
“เปลี่ยนกติกานิดหน่อย Damn it!!! ไอ้ดีน! จบงานเมื่อไหร่มันได้เจอดีแน่!!!” มาโคฟาดงวงฟาดงา ผมต้องจับแขนเขาไว้ไม่ให้เผลอเหวี่ยงไปชกใครเข้า >.<
ดีนะที่เขายอมหยุดอยู่นิ่งๆ
“มันว่าไง” พี่ธันถามอีกรอบ
“Shit! มันจะเปลี่ยนของเดิมพัน” เขาพูดแล้วสายตาดุดันคู่นั่นก็มาหยุดอยู่ที่ผม อย่าบอกนะว่า...
“พริกสินะ” พี่ธันเป็นคนเฉลยให้ผมได้กระจ่าง แต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยสักนิด ถึงผมจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเสี่ยงแบบนี้ แต่ไม่ใช่จะไม่รู้เสียหน่อยว่าไอ้ของเดิมพันที่ว่าต้องทำอะไรบ้าง ถ้ามาโคชนะผมก็คงรอด แต่ถ้าไม่ ผมก็คงตกเป็นของฝ่ายตรงข้าม
ผมไปทำเวรทำกรรมอะไรให้คนพวกนี้หรือไงวะ ถึงได้มายุ่งกับผมจังเลย
ฟัคยูเอ้ยยย!!!
…………………………………………..
#
คำเตือน : สิ่งที่คุณเห็นอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิด! 5555 ดูมีอะไรขึ้นมาทันตา
# มาโคแกก็รุกน้องหนักเกิน เดี๋ยวน้องก็ช็อคตายก่อนหรอก ทำใจดีๆไว้นะหนูพริกของพี่
# มาคอยลุ้นกันสิว่าตอนนี้มาโคจะเอาชนะดีนได้ไหม หนูพริกเราแซ่บใช้ได้เลยนะ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ
# ช่วงนี้เรื่องนี้อาจจะมาลงช้าหน่อยนะคะ เพราะเปิดเทอมแล้ว ริริต้องเตรียมทำนู่นนี่นั่นหลายอย่าง หลังจากที่ทุกอย่างลงตัว คงเป็นหลังจากวันที่ 15 ตามกำหนดการในเพจ ก็จะมาลงให้ถี่ๆนะคะ ^^ เพราะตอนนี้กำลังลงอยู่ 3 เรื่อง
และลงทุกเรื่องไม่มีเรื่องไหนดองหรือไม่มาต่อ ก็เลยอาจจะช้านิดหนึ่ง ยังไงก็อยากให้ติดตามกันต่อนะคะ
# ขอบคุณคนอ่านทุกคนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ทั้งที่คุ้นเคยกันดีและไม่คุ้นเคยที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นต์ให้ค่ะ รักจังเลยยยยยย ^^