Hour#24 -Friendship-
"มาทำอะไรที่นี้หรอกาย" ลุกขึ้นยืนคุยกับคนมาใหม่ในท่าที่ถนัดกว่าเพราะก่อนหน้าไอ้เพื่อนสองตัวข้างๆพยายามเอาตัวมาบังผมออกจากกายอย่างเต็มที่พร้อมส่งเสียขู่กรอดในลำคอราวกับเป็นหมาจ่าฝูง
"พอดีมารับชุดครุยให้ลุงรหัสนะครับ บังเอิญจังไม่คิดว่าพี่เอก็อยู่นี้" ก้มหน้าคุยกับผมยิ้มๆตามนิสัยก่อนจะเห็นสายตากายเหลือบไปมองเพื่อนสองคนของผมอย่างดูเชิง นี้จะมีสักครั้งมั้ยที่เจอกันแล้วจะไม่กัดกันเนี้ย
"แน่ใจว่าบังเอิญ" ภูมิเป็นคนแรกที่เริ่มเปิดประเด็นให้ผมทำตัวไม่ถูก หันไปมองฟากัสที่ส่งต่อกันเป็นลูกคู่อย่างเหนื่อยใจ
"นั้นสิ ผมว่าคุณตั้งใจมากกว่า"
"ภูมิ ฟากัส....พอดีพี่มาดูวาลองชุดนะนี้ก็เสร็จแล้ว รอวาเปลี่ยนชุดอยู่" ผมรีบปรามเพื่อนสองคนข้างหลังไว้อย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้จะอะไรกับกายกันนักหนาสองคนนี้
"อ้อ หรอครับ" ผมคิดไปเองมั้ยว่าไอ้คำว่าหรอครับของกายมันดูทะแม่งๆยังไงไม่รู้ "เออ แล้ววัน ศุกร์ตกลงพี่เอว่างมั้ยครับ ที่คุยกันไว้ว่าอยากให้ช่วยดูหนังสือให้น้องผมหน่อย" กายถามมาผมถึงนึกได้ว่าเมื่อวานกายเข้ามาขอให้ผมช่วยดูหนังสือเตรียมสอบความถนัดทางสถาปัตเห็นว่าน้องชายเพิ่งขึ้น ม ปลาย อยากจะเตรียมตัวไว้แต่เริ่มๆ
"อ้อ ศุกร์นี้นะหรอก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ"
"แต่กูมีปัญหา มึงลืมหรอไงที่นัดกันเอาไว้ว่าจะไปดูหนังอะ"
"ห่ะ หนังไรวะ" เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าผมเลยครับ จำได้ว่าไม่มีนัดอะไรที่ใกล้เคียงคำว่าดูหนังกับสองคนนี้เลยนะ
"แมร่ง ไอ้ภูมิมึงดูเพื่อนมึงนะ"
"ก็ที่กัสมันบอกว่าหนังภาคต่อที่เคยดูกันเข้าโรง แล้วมึงก็สัญญากับมันไปแล้วอะว่าจะไป" ผมเนี้ยนะ สงสัยหน้าผมคงจะแสดงเครื่องหมายคำถามชัดเจนไปหน่อยฟากัสมันถึงได้ทำตาถลนพลางขยิบตาใส่ไม่หยุด
"อ้อหรอ กูสัญญาหรอ ทำไมกูจำไม่ได้ว่ะ"
"ถ้างั้นพอดีเลยงั้นถ้างั้นผมไปดูหนัพร้อมพวกพี่เอ แล้วเราไปร้านหนังสือด้วยกัน วันนั้นผมว่างทั้งวันอยู่แล้ว" กายแทรกเข้ามาอย่างที่ผมรู้สึกว่าได้จังหวะมากๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปหรือเพื่อนสองคนได้ขัดคอกาย เสียงของวาก็ดังขึ้นด้านหลังพร้อมสัมผัสอุ่นรอบเอว
"เอ เสร็จแล้ว"
"อ้าว ทำไมเปลี่ยนชุดนานจัง" เอามือจับๆมือวาทีโอบรอบเอวผมบางเบาก่อนที่วาจะยิ้มมุมปากแล้วลากสัมผัสผ่านแผ่นหลังออกไป
"แกะกระดุมเงินอยู่นะ"
"พี่วาโย สวัสดีครับ"
" ไม่ได้เจอกันนานนะกาย เหมือนเดิมทุกอย่างเลย" วาทักทายกายตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันครับ พอดีสายรหัสกายเป็นเพื่อนกับวาเขา เห็นมีบางครั้งเหมือนกันที่วากับกายไปยืนคุยอะไรกันไม่รู้สองคน ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
"ครับ แต่พี่วาเปลี่ยนไปเยอะนะครับ พอทำงานแล้วดูเปลี่ยนไปเรื่อยๆ"
"หึหึ ก็คงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามหน้าที่การงานนะ แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกันหรอ" ในใจวาคงอยากจะถามว่าเถียงอะไรกันมากกว่าเพราะเพื่อนสองคนของผมมันยืนกอดอกไม่พูดจาซักคำ
"พอดีผมจะชวนพี่เอไปช่วยเลือกหนังสือให้น้องผมนะครับ เห็นว่ามีนัดไปดูหนังกับพี่ฟากัสอยู่แล้วเลยถือโอกาศไปด้วยเลย"
"วันไหนหรอ เอ" วาหันมาถามพลางกดเสียงเรียกชื่อผมหนักๆยังไงชอบกล
"วันศุกร์นะ พอดีไม่มีเรียน"
"อืม หรอ" ตอบสั้นได้อีกอะวาโย ตกลงนี้กูกำลังทำอะไรผิดอยู่เปล่าวะ
"ถ้าพี่เอไม่สะดวกให้ผมไปด้วยก็ไม่เป็นไรนะครับ เข้าใจว่าผมเป็นคนนอก" กายเอามือลูบคอพลางก้มหน้าอย่างเกรงใจปนลำบากใจจนผมรู้สึกแย่ที่ทำให้กายคิดมากแบบนี้
"เฮ้ย คิดมากหน่ากาย"
"เออ รู้ตำแหน่งตัวเองก็ออกไปได้แล้ว"
"ฟากัส อะไรกับน้องมันหนักหนาว่ะ เอางี้วันศุกร์ไปด้วยกันหมดนี้แหละ ไปดูหนังกับพวกพี่และพวกมึงพอดูหนังเสร็จก็ไปร้านหนังสือกับกู แค่นี้แหละ จบ" ผมตัดบทหาข้อยุติก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปกว่าเดิม จะอะไรมากมายกับอีแค่ไปดูหนังและซื้อหนังสือมันจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรหนักหนาว่ะ
"โอเคครับ งั้นไว้ผมโทรหาพี่เออีกทีนะครับ" กายยิ้มร่าก้มหัวขอบคุณก่อนจะเดินออกไปจากร้าน
"อ้าวกาย....แปลกจริงไหนบอกมาเอาชุดให้ลุงรหัส" เท่าที่จำได้ตั้งแต่กายเข้ามาในร้านยังไม่ได้เอาชุดอะไรออกไปตามที่เจ้าตัวบอกไว้แต่แรกเลย สงสัยจะลืม
"กูบอกแล้วว่าไอ้เด็กนั้นมันตั้งใจมาหามึง" ภูมิบอกเสียงนิ่งก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าพร้อมขนมถุงเล็กถุงน้อยขึ้นมาและเดินออกจากร้านไป
"อะไรของพวกมึงเนี้ย พูดมาเดี๋ยววาเข้าใจผิดหมดหรอก แล้วนี้ยืนนิ่ง อย่าบอกว่าคิดมากตามที่สองตัวนั้นพูด หึงกูอะดิ่" เห็นวายืนนิ่งแววตาวูบไหวเหมือนคิดอะไรอยู่เลยย่อตัวยื่นหน้าเข้าไปหาพลางส่งยิ้มล้อเลียนคนตัวสูงกว่า
"เปล่าคิดมาก นิสัยเอเป็นยังไงวารู้ดี เชื่อใจเอจะตายอีกอย่างนะ"
"อะไร"
"ไม่หึงหรอก แต่......หวง" ก้มลงกระซิบเสียงเบาริมกกหู ริมฝีปากอุ่นจัดเฉียดเข้าที่แก้มเขาแผ่วเบาก่อนจะพละออกไป ตีหน้าเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าไม่นับแววตาที่พราวระยับอย่างเจ้าเลห์คู่นั้นอะนะ
"เอ่อ ไปกินข้าวกันดีกว่า" จะหน้าด้านเกินไปแล้วนะวาโย นี้กลางร้านเลยนะ ฮึ้ยย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนะ ฮาๆๆ
"โอ้ยอะไรของพวกมึงเนี้ย จู่ๆจะมาเปลี่ยนที่นัดได้ยังไง นัดกายเขาไว้แล้วเนี้ย" ผมโวยวายขึ้นมาเมื่อฟากัสหักพวกมาลัยรถผ่านสถานที่นัดเอาไว้ตอนแรกไป
"ก็โรงนี้คนมันเยอะอะ กูเบื่อความวุ่นวาย เซเล็ปอย่างกูต้องการความเป็นส่วนตัวเข้าใจป่ะ"
"เซเล็ปบ้านมึงดิ่หน้าตาแบบนี้ไอ้กัส แล้วนี้จะยังไงจะไปที่ไหนกูจะได้บอกกายเขา" หยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะต่อสายหาคนที่โทรมาเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วว่ายืนรออยู่หน้าโรงหนังอย่างกังวลใจ คือผมไม่ชอบให้ใครมาผิดนัดผมแบบนี้ คิดว่าถ้าตัวเองเจอแบบนี้บ้างคงจะโกรธปนผิดหวังไม่น้อย นัดกันแล้วว่าจะเจอกัน นัดกันแล้วว่าเวลานี้ ที่นี้ แต่อีกฝ่ายกับมาผิดนัดนาทีสุดท้าย มันเป็นความรูสึกที่ไม่ดีมากๆเลยในความคิดผม
"ไม่ต้องไปบอกแมร่งหรอก ทิ้งมันไว้อย่างงั้นแหละ"
"ฟากัส อย่ามาทำนิสัยเสียแบบนี้ ไม่รู้อะ ถ้าไม่บอกกายงั้นเดี๋ยวกูนั่งรถไปหากายที่นั้น ส่วนมึงสองคนก็ไปดูหนังกันเองที่อื่น"
"นี้พวกกูพยายามกันท่ามึงออกจากกายขนาดนี้แล้วมึงยังรนหาที่อีกนะ" ฟากัสพูดกึ่งตะคอกจนผมอดที่จะไม่พอใจขึ้นมาไม่ได้ นี้มันอะไรกันว่ะ
"แล้วมันยังไงละ น้องเขาให้กูไปช่วยเลือกหนังสือให้ มันจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรกันนักหนา" เมื่อเช้าก่อนวาออกไปทำงานผมก็ได้ย้ำกับวาไปอีกทีว่าวันนี้จะออกไปข้างนอกกับสองคนนี้และกาย วาก็ไม่เห็นจะว่าอะไรแค่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะออกจากห้องไป ประเด็นคือแฟนผมมันยังไม่เจ้ากี้เจ้าการอะไรกับนัดครั้งนี้เลย แล้วฟากัสมันจะมาเดือดร้อนอะไรเนี้ย
"ต้องให้กูย้ำกันมึงอีกกี่ครั้งว่าเด็กนั้นมันชอบมึง หวังจะฟันมึงมาหลายรอบแล้ว"
"มึงก็พูดแรงไปฟากัส เอาเป็นว่าพวกกูไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับกายมัน มันไม่ได้เป็นเด็กนิสัยดีอย่างที่มึงเห็นหรอกนะ" ภูมิที่นั่งเงียบมานานจับไหล่ฟากัส บีบเบาๆให้คนที่เร่งความเร็วรถขึ้นตามแรงอารมณ์ใจเย็นก่อนจะหันมาบอกผมเสียงนิ่ง
"ถึงน้องเขาจะชอบกูจริงแล้วยังไงวะ ในเมื่อกูไม่ได้ชอบเขาซะหน่อย แค่ไปเจอ ไปช่วยเลือกหนังสือให้เหมือนที่กูทำกับน้องรหัสตัวเองมันแปลกตรงไหน"
"ก็ตรงที่ยิ่งมึงเข้าใกล้มันเท่าไร มันก็จะยิ่งได้ใจและคิดว่ามึงให้ความหวังมันไง เรื่องของความรัก ถึงใครจะบอกว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่อย่าลืมว่าคนบางคนมันสามารถคิดไปไกล และบังคับเอามืออีกข้างของมึงมาตบกับมันได้ก็แล้วกัน" ฟากัสเหลือบมองตาผมผ่านกระจกหลังพลางขมวดคิ้วอย่างที่มันชอบทำเวลามีอะไรมาขัดใจ
"ไปกันใหญ่แล้วนะพวกมึง"
"ตกลงไม่เชื่อพวกกูใช่มั้ย" ภูมิถามเสียงเบาพลางถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ เพราะเราเถียงเรื่องนี้กันมานานมากพอแล้ว
"เออ ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตานะมึง แล้วอย่าหาว่าพวกกูสองคนไม่เตือนมึง แต่เอ คนเรามันมีหลายมุม กูเองก็มีตัวตนอีกแบบเวลาไม่ได้อยู่กับมึง ปรับเปลี่ยนไปให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ กายก็เหมือนกัน นิสัยของคนๆนั้นที่มึงเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาสร้างมาเพื่อให้มึงเห็น ให้มึงพอใจ หน้ากากที่เขาสวมใส่เพื่อให้มึงตายใจ กูแค่อยากจะเตือนเอาไว้ว่าดูหน้ากากของคนๆนั้นไว้ดีๆ เพราะถ้าถึงวันที่หน้ากากนั้นหลุดขึ้นมาเมื่อไร กูแค่อยากให้มึงเอาตัวรอดออกมาจากมันได้"
"ถ้าแบบนั้นแล้วพวกมึงละ มึงกับภูมิที่กูเห็นเป็นตัวตนจริงๆของพวกมึง หรือหน้ากากที่มึงสร้างขึ้นมาเวลาอยู่กับกูแค่นั้น" หลุดปากพูดออกไปจนได้ ถึงจะรู้ว่าเพื่อนผมสองคนนี้ไม่มีทางที่จะคิดร้ายกับผม หรือ แสแสร้งใส่ผมแต่อารมณ์โกรธปนไม่พอใจก็ทำให้ผมหลุดปากพูดออกไป รู้สึกผิดแต่ความอยากเอาชนะมันมีมากกว่า นี้เป็นอีกนิสัยที่ไม่ดีของผมที่ไม่ว่าจะแก้ยังไงก็ไม่หายซักที
"ไอ้เอ!!"
"ใจเย็นมึง....เอกูไม่อยากจะพูดอะไรมากถ้ามึงจะคิดแบบนั้นกับพวกกูจริงๆ แต่ลองคิดดูให้ดีๆว่าเรารู้จักกันมากี่ปี ถ้าพวกกูต้องมาคอยใส่หน้ากากใส่มึงทุกวัน มันคงจะทั้งเหนื่อยและน่ารำคาญมาก ถ้ามันจะลำบากขนาดนั้นพวกเราเลิกเป็นเพื่อนกันไม่ง่ายกว่าหรอ"
"ภูมิมึง กูไม่ได้ตั้งใจ"
"กูรู้ว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ แต่ให้ตายเหอะเอ กับพวกกูที่เป็นเพื่อนมึงมานานยังต้องมาทะเลาะกับมึงเพราะกายเนี้ยนะ" ผมจุกไปกับคำพูดของภูมิและเสียงหัวเราะเหยียดๆในลำคอของฟากัส ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเรื่องมันไปไกลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
"แต่กายเขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ" นั้นคือสิ่งที่ผมคิด กายเขายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างให้ผมรู้สึกไม่ได้หรือไม่ปลอดภัยอะไร ทุกอย่างที่กายทำก็เหมือนรุ่นน้องคนหนึ่งในมหาลัยที่เข้ามาแวะเวียนพูดคุยด้วยเอาขนมมาฝากตามประสา แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วง
"ยังไม่มีโอกาศทำมากกว่า" ฟากัสพูดด้วยน้ำเสียงที่ผมเดาออกว่ามันกำลังพยายามกลั้นอารมณ์ไม่ให้ขึ้นเสียงใส่ผมอีกครั้งขนาดไหน
"พวกมึง จริงจังไปเปล่าวะ พูดแบบนี้เอาซะกูกลัวเลย"
"เออ รู้จักกลัวก็ดี จะได้รู้ว่าโลกเราไม่ได้แบ่งเป็นแค่ คนดี กับ คนเลว มันปะปนกันไปหมดแล้วแต่ว่าเขาจะเข้ามาในรูปแบบไหน คนแบบมึงหายากนะเอ และก็อยู่รอดยากมากจริงๆในสังคม เหลืออีกแค่ปีเดียวเองนะเว้ย ที่พวกจะได้เรียนด้วยกัน อยู่ในสังคมเดียวกัน พอเราเรียนจบไปทำงาน มึงจะรู้ว่าโลกเราไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครเขาวาดเอาไว้ โลกในมหาลัยที่มึงเจอ หรือ สังคมต่างๆที่มึงผ่านมา กูบอกได้เลยว่ามับแคบมากจริงๆ"
"ที่พูดมาทั้งหมด มันจบลงที่คำว่า เป็นห่วง มึงเข้าใจมั้ย" ภูมิหันมามองผมด้วยสายตาจริงจัง ผมหันไปมองฟากัสก็เห็นเจ้าตัวมองออกไปยังท้องถนนไม่หันมาสบตาผมสักนิดทั้งที่ผมมั่นใจว่าฟากัสรู้ว่าผมมองอยู่
"อืม"
"เข้าใจก็ดีแล้ว ไปดูหนังกัน ไปที่เดิมนั้นแหละ พวกกูจะไม่ห้ามอะไรมึงแล้ว" ภูมิหันไปมองท้องถนนตามเดิมเป็นเวลาเดียวกันที่มีสายเรียกเข้ามาจากคนที่รออยู่ ผมมองฟากัสผ่านทางกระจกมองหลังอีกครั้งก่อนจะกดสายรับพร้อมบอกว่าผมไม่ว่างที่จะไปเจอเขาแล้ว
"อืม แล้วสุดท้ายเอก็ไม่ได้ไปหากายหรอ" วานั่งเช็ดผมให้ผมอยู่ตรงโซฟาตัวใหญ่โดยมีผมนั่งหน้าหงอยอยู่ตรงพื้นพรม ตั้งแต่บอกปัดกายไปพวกเราก็ไม่ได้ไปดูหนังกันอย่างที่ตั้งใจไว้ แค่กินข้าวในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดที่สุดเท่าที่เคยเป็นจนผมอดจิตตกกลับมาบ้านไม่ได้
"ใช่"
"แล้วกายเขาว่าไง"
"เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ไว้ครั้งหน้าก็ได้ แต่เอยิ่งรู้สึกผิดอะวา แบบนัดเขาไว้แล้วไม่ไปตามนัด กายเขาก้ซื้อตุ๋วหนังรอไว้แล้วด้วย แบบมันแย่อะถึงกายจะบอกว่าดูคนเดียวได้ก็เถอะ" นี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ยอมรับว่ากวนใจผมอยู่ไม่น้อยครับ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะชวนวาไปร้านหนังสือแถวห้องดูหนังสือให้กายและเอาไปให้วันจันทร์แทน ถือเป็นการขอโทษที่ผิดนัดและปล่อยให้กายเสียเงินค่าตั๋วหนังฟรี
"อืม วาเข้าใจ"
"แต่แบบ เอก็ไม่เข้าใจอะ ว่าทำไมภูมิกับฟากัสต้องแสดงท่าทีไม่พอใจทุกครั้งที่กายเข้ามา วันนี้ก็เลยถามไป"
"อืม" วาละมือจะศรีษะเมื่อผมหมาดดีแล้ว ผมพลิกตัวเงยหน้าเกาะเข่าวาที่ก้มมองผมอยู่ตลอด
"แล้วพวกมันก็บอกว่ากายชอบเอ แบบ ชอบแบบอยากได้ไรงี้ แต่เอไม่เป็นว่ากายจะแสดงท่าทีอะไรแบบนั้นออกมาเลยนะ" รีบออกตัวก่อนเมื่อเห็นสีหน้าวาเริ่มขยับเล็กน้อยก่อนจะกลับกระตุกยิ้มมุมปากพูดเสียงเรียบ
"เพราะไม่มีโอกาสแสดงอะไรมากกว่า"
"หื้ม ทำไมพูดเหมือนฟากัสเลย"
"หรอ แล้วนี้ยังไงตกลงทะเลาะกับสองคนนั้นหรอ"
"เฮ้อ ไม่เชิง กับภูมินี้ไม่มีอะไรแล้ว แต่ฟากัสเนี้ยดิ่ยังไม่ยอมคุยกับเอเลย เครียดอ่ะ" พูดจบก็เอาคางกดเข่าขึ้นลงเบาๆสองสามที ตอนนี้สมองผมรวนไปหมดแล้วตั้งแต่แยกจากเพื่อนสองคนมา
"อย่าเครียดน่า เดี๋ยวหน้าผากก็ยิ่งกว้างหรอก" วาเอื้อมเอามือมาแนบหน้าผากของผมพลางยิ้มขันเมื่อผมปีดมือวาออกและทำปากบู้
"งื้อ ใช่เวลามั้ยเนี้ยคนยิ่งกังวลๆอยู่"
"อ้าว เหวี่ยงๆ ทะเลาะกับเพื่อนแล้วมาเหวี่ยงใส่แฟนนะ"
"ง่า ไม่ได้เหวี่ยงพูดเฉยๆ" ผมเปล่าลืมตัวสะบัดเสียงใส่น้า จริงๆ
"แต่เอนี้นะ ตลอดอะแก้ไม่หายไอ้นิสัยปากไวเนี้ย จะพูดจะจาอะไรคิดถึงใจคนฟังบ้าง บอกกี่รอบแล้ว"
"ก็ตอนนั้นอามรณ์มันขึ้นอะ"
"แล้วจะต้องให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลทุกครั้งเลยหรือไง"
"นั้นไงมาแล้ว เริ่มทำตัวเหมือนผู้หญิงแล้วนะวาโย"
"ยังไง"
"ไอ้นิสัยชอบเอาเรื่องเก่าๆมาพูดเนี้ย โอ้ยยย จมูกนะไม่ใช่ลูกบิด" คล่ำจมูกตัวเองปอยๆเมื่อคนที่อยู่สูงกว่าบิดจมูกผมไปมาอย่างแรง
"เอามาพูดให้คิด ไม่ได้เอามาหาเรื่อง แค่อยากให้รู้ตัวบ้างว่าทำแบบนี้มากี่รอบแล้ว"
"งื้อ นั้นแหละ เอผิดก็ได้ว่ะ"
"อะไรคือผิดก็ได้"
"ง่ะ เอผิดเองครับ พอใจยัง ช่วยคิดหน่อยง้อกัสมันยังไงดี" ซบหน้าเข้ากับตักวาพลางสไลด์มือถือเปิดไลน์กลุ่มที่ตอนนี้เงียบผิดปกติ เพราะทุกครั้งฟากัสจะเป็นคนเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาพูดในกลุ่ม เปิดประด็นที่ทำให้ทุกคนสนุกสนาน
"ขอโทษฟากัสไปเดี๋ยวมันก็หาย"
"ไม่กล้าอะ หน้ามันโหดมาเลยนะ มึงต้องได้เห็น ตานี้จิกซะ" ฟากัสตามันโตและคมตามเชื้อลูกครึ่งอิตาลีของมัน เคยเห็นแต่เวลามันโกรธใส่คนอื่นไม่คิดว่าพอมาโดนเองจะเอาซะผมไม่กล้าพูดอะไรด้วย
"หึหึ โหดขนาดไหน"
"โหดกว่ามึงอีก"
"จริง?"
"อื้ม จริงๆ ฟากัสนะมึนโหด แต่มึงอะ ทั้งโหดทั้งดุเลย แฟนใครไม่รู้" ด้วยความที่วามันมีน้ำหนักส่งผมต่อจิตใจผมเป็นพิเศษจึงห้ามไม่ได้ที่เวลาวาดุผมที่ไร ผมจะทำตัวเป็นคนขี้สำออย นิดหน่อยก็ร้องไห้บีบน้ำตาไปแล้ว
"ไม่รู้จริงอะว่าแฟนใคร"
"อืม ไม่รู้แฟนใครน้า ขอโทษนะครับ มีแฟนหรือยังเอ่ยคนนี้" ผมลุกขึ้นปีนไปนั่งข้างวาบนโซฟาตัวเดียวกันก่อนจะกำมือเป็นไมค์จ่อปากคนตรงหน้า
"หึหึ เล่นอะไร" วาส่ายหน้าหัวเราะขำเมื่อผมทำตาปริบๆใส่ก่อนจะถามคำถามเดิมซ้ำอีกรอบ
"เร็ว ตอบเร็วครับมีแฟนหรือยัง ถ้าไม่มีนี้ขอจีบได้มั้ยเอ่ย"
"มีแล้วครับ แต่จีบได้"
"อ้าว ไหงพูดงี้อะ" วางมือลงข้างตัวก่อนจะขมวดคิ้วใส่เมื่อได้รับคำตอบที่ชวนขัดใจเป็นที่สุด
"ก็ถ้าคนถามจะเป็นคนจีบผมก็ไม่ได้ห้ามอะไร แฟนผมเขาเข้าใจ"
"เข้าใจว่า"
"เข้าใจว่านอกจากวาจะโดนเอขอเป็นแฟนก่อนแล้ว เอก็ยังอยากจะกลับมาจีบวาใหม่ไง"
"อย่ามามั่วใครเขาอยากจีบมึงกัน" ถ้ามึงจะมั่นใจในตัวเองขนาดนี้เพียงเพราะกูเป็นฝ่ายร้องไห้ขอมึงเป็นแฟนก่อนแบบนี้นะ
"ก็หลายคนอยู่" วายิ้มยั่วก่อนจะเงยหน้าหลุบตาขึ้นด้านขวาราวกับกำลังใช้ความคิด
"ใคร"
"ก็มีที่พี่ที่ทำงานสองคน รุ่นน้องที่มหาลัยที่ผ่านๆมาก็เยอะอยู่นะ"
"วาโย ที่ทำงานอะไร ยังไง เล่าดิ่"
"ก็เข้ามาถามมีแฟนหรือยัง"
"แล้วตอบไปว่าไง" กลั้นใจกับคำตอบของวาทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะกังวลทำไมเพราะไม่ว่ายังไงวาก็ไม่ใช่คนที่จะชอบปิดบังอะไรในเรื่องนี้
"ตอบไปว่าแฟนไม่มี"
"วาโย!!" กระชากเสียงใส่วาอย่างลืมตัวก่อนจะโดนตกใจกว่าเดิมเมื่อโดนเจ้าของชื่อโน้มตัวเข้ามาใกล้และผลักร่างของผมให้แนบชิบกับโซฟาตั่วนุ่ม ยังไม่ทันที่จะได้แปร่งเสียงขัดขืนออกมาถ้อยคำทั้งหมดก็ถูกกลืนกินโดยผู้ชายเจ้าของดวงตาคมดุตรงหน้าที่มองตาผมในระยะที่ใกล้จนหวั่นไหว สายตาคมฉายประกายยอกเย้าจนผมเป็นฝ่ายแพ้ยอมหลับตาลงรับสัมผัสที่ค่อยๆร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สัมผัสนุ่มชื้นที่ค่อยๆละเลียดชิมทั่วโพร่งปากพาเอาผมไม่สามารถควบคุมจังหวะลมหายใจได้ ได้แค่ปล่อยให้เจ้าของอ้อมแขนแกร่งที่กำลังประคองผมไว้เป็นฝ่ายชักนำ ลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ้อยอิ่งที่ริมฝีปากล่างก็สบเข้ากับดวงตาสีดำขลับที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว วาขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างของผมก่อนจะเอาหน้าผากของตัวเองแนบกับหน้าผากของผมไว้ เป็นระยะเวลาชั่วครู่กว่าผมจะปรับลมหายใจให้กลับสู่ปกติได้ สบตาวาที่จ้องไม่หยุดจนอดที่จะเขินไม่ได้
ใกล้กันจนเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของวา
ใกล้กันจนอดใจไม่ได้ที่จะเอื้อมนิ้วไปปัดขนตางอนยาวของวา
ใกล้กันจนรู้สึกถึงไออุ่นข้างแก้มของวาผ่านมือของผมที่วาดึงแนบไว้
ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำคุ้นหูในลำคอของวา
ใกล้กันจนสัมผัสลมหายใจของวาที่คลอเคลียอยู่ตรงซอกคอ
ใกล้กันจนรับรู้ถึงสัมผัสหนักแน่นข้างขมับที่ขยับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
"แฟนไม่มี แต่มีคนที่อยากรัก และ อยากดูแลไปตลอดแล้ว" กระซิบเสียงทุ้มเบาบางอยู่ริมหูแต่ส่งตรงไปสลักแน่นอยู่ในใจ ความรู้สึกอุ่นวาบตรงหัวใจและวูบไหวตรงช่วงท้องน้อยตีขึ้นมาพร้อมกันจนกลั้นยิ้มไม่อยู่
"แล้ววันหลังเวลาใครพูดอะไรฟังให้จบเข้าใจมั้ย เหม่ง"
โอเคเกือบจะดีแล้วถ้าผมจะทำเป็นไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายของวาโยเขาน่ะนะ
TO BE CON
-Blue Talk- งานเยอะมาก พูดเลย เฮ้อ
