At first sight...ว่าจะไม่รัก (ปริญเฟิร์ส) 2 By Bluevember
เด็กอะไร ดื้อ ไม่เถียงแต่ก็ไม่คิดจะทำตาม ยิ่งดวงตากลมโตสีน้ำตาลนั้นอีก จากที่ปริญเห็นเด็กคนนี้ชัดๆ ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาว ดวงตากลมโต ดูยังไงก็ไม่เหมือนลักษณะของผู้ชายทั่วไปซักหนิด ตัวนี้ก็บางยังกับผู้หญิง คงไม่เคยออกกำลังกายละซิท่า อายุก็คงจะไม่เกิน 21 คงจะห่างกันเขาสักสิบปีได้ ยังเด็กอยู่ ไม่น่าถึงได้ดูดื้อแบบนี้
ชายหนุ่มร่างใหญ่คิดในใจพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำส่วนตัว ถอดเสื้อยืดตัวเก่าที่ขาดออก ขาดขนาดนี้ สงสัยโดนต้นไม้เกี่ยวตอนปีนผา เมื่อตอนกลางวันเขาปีนผากับคนงานเพื่อป้องกันรังนกจากพายุที่กำลังพัดเข้ามาในวันรุ่งขึ้นตามการคำนวนทิศทางลม แต่จู่ๆลมก็เกิดเปลี่ยนทิศกระทันหันทำจนทั้งเขาและคนงานเกือบจะป้องกันความเสียหายไม่ทัน
นึกถึงแรงลมที่ปะทะเข้าที่หน้า ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินเสียทีกับความน่ากลัวของท้องทะเล
ปริญอาบน้ำเสร็จก็ใส่เสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกเลกลางเก่ากลางใหม่สีเข้ม หน้าคมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เมื่อลงมาเห็นเด็กดื้อคนเดิมยืนปากซีดตัวสั่นอยู่ ปริญสายหน้าน้อยๆก่อนจะเดินผ่านคนตัวขาวเข้าไปยังห้องครัวเล็กๆใกล้ๆกัน
เฟิร์สมองตามอย่างระแวดระวัง บ้านทั้งหลังมีแค่เขากับคนป่าหน้าดุนี้อยู่ ปลอดภัยที่ไหน หน้าตายิ่งไว้ใจไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นลูกเจ้าของเกาะแต่ให้มองยังไงก็เหมือนคนงานเสียมากกว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะดูถูกอะไร แต่คนนี้ขอละไว้ละกัน ไม่ชอบ
"อ่ะ กินซะ" เสียงทุ้มติดเย็นชายื่นแผงยาแก้ไข้ให้ก่อนจะยืมน้ำตามมา เฟิร์สเงยหน้ามองอย่างตกใจนิดๆ เพราะไม่คิดว่าคนๆนี้จะเดินไปเอายามาให้
ก็ไม่ใช่คนไม่มีมารยาทอะไรนี้หน่า แล้วทำไมต้องเอาแต่สั่งกันด้วย
"ขอบคุณ" หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบกันไปอย่างไม่รู้จักพูดอะไรกันต่อ เฟิร์สลอบสังเกตคนตัวโตข้างๆ ถ้าตัดหนวดตัดเคราออกก็คงจะดูไม่เลว แต่ติดที่บรรยากาศบางอย่างรอบๆตัวผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เฟิร์สไม่ไว้ใจ ดูน่ากลัวเกินไป คนๆนี้เคยผ่อนคลายตัวเองบ้างมั้ยนะ ดูเหมือนคนที่คอยระวังภัยให้ตัวเองตลอดเวลา
"อ้าวนาย อาบน้ำเสร็จแล้วหรอคะ" เสียงสำเนียงใต้แทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบพาเอาเฟิร์สสะดุ้งอย่างตกใจ เหมือนจะเห็นว่าคนตัวใหญ่ข้างๆอมยิ้มน้อยๆกับปฏิกิริยาของเขา สายตาที่มองมาก็เหมือนมองเด็กไม่รู้เดียงสาตลอดพาเอาเฟิร์สไม่ชอบเสียจริง ก็แค่ไม่ชอบให้ใครทำตัวเหมือนรู้ทันกว่าตัวเขา ป้าแม่บ้านคนที่เอาเสื้อผ้ามาให้เดินถือถาดอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ ข้างต้มปลาส่งกลิ่มหอมอวลไปทั่วห้อง
"อืม แล้วนี้พวกนักท่องเที่ยวคนอื่นเป็นไงบ้าง"
"ป้าให้ไอ้เลเอาอาหารและยาไปให้เรียบร้อยแล้วคะ"
"พรุ่งนี้เช้าถ้าฟ้าเปิดก็รีบให้เขากลับกันไปซะ ก่อนที่จะไม่ได้กลับ"
"คะ"
"หมายความว่ายังไง ก่อนที่จะไม่ได้กลับ"
"ถ้าพายุมาอีกลูก เธอได้อยู่ที่นี้ยาวแน่ และชั้นก็ไม่ได้ยินดีต้อนรับพวกเธออยู่แล้ว" คำพูดของคนๆนี้พาลให้เฟิร์สหงุดหงิดขึ้นยิ่งกวาเดิม คำพูดคำจานอกจากจะไม่รักษาน้ำใจคน ยังดูไม่แคร์คนรอบข้างอีก เคยเข้าสังคมกับใครเขามั้ยนั้น หรือเอาแต่อยู่บนเกาะ ใช้อำนาจจนเคยตัว
"หนูก็ทานข้าวซะนะ หน้าซีดเชียว เดี๋ยวป้าเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้มั้ย"
"ไม่เป็นไรครับป้า รบกวนเปล่าๆ"
"ป้าน้อมเอามาให้เขาด้วยละกัน"
"ผมบอกว่าไม่ป็นไรไง ไม่ต้องเป็นห่วง"
"ไม่ได้ห่วงแต่ถ้าปอดบวมกินขึ้นมามันเป็นภาระเข้าใจมั้ย"
โอเค ตอนนี้เฟิร์สเข้าใจแล้วว่า คนตรงหน้านอกจากจะใช้อำนาจจนเคยตัวแล้ว ยังเป็นคนปากจัดอีก พูดมาแต่ละคำ เหมือนเขาเป็นแค่ภาระชิ้นหนึ่งของตัวเองที่น่ารำคาญ ได้ข่าวว่าเขาไม่ได้เป็นคนขอตามมาค้างคืนที่นี้นะ
"อยากพูดอะไรก็พูด ไม่ใช่มาจ้องหน้าตาแข็งแบบนี้" ปริญพูดเสียงหน่ายหลังจากหันไปเห็นหน้าเจ้าตัวที่เหมือนแมวพองขนมากกว่าเดิม
"ถามจริง เคยมีคนบอกมั้ยว่าคุณปากไม่ดี"
"..."
"ช่างเถอะ ยังไงผมก็ทนฟังคุณแค่คืนเดียวเท่านั้น" เฟิร์สพูดตัดบทเมื่อเห็นดวงตาคมดุตวัดมามองเขาอย่างเย็นชา น่ากลัวชะมัด
"กินข้าวกินยาเสร็จแล้วก็ไปนอนซะ ไม่ได้เตรียมห้องไว้ฝุ่นมันจับ หวังว่าคงไม่คุณหนูถึงขั้นนอนโซฟาไม่ได้นะ" คำพูดจากสอดเสียดพาเอาเฟิร์สมุมปากกระตุก ความจริงตัวเขาก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร เคยนอนตรงพื้นที่คณะมาแล้วด้วยซ้ำตอนเผางาน แต่ท่าทางคำพูดคำจาของคนป่าคนนี้มันพาให้อยากมีเรื่องด้วยจริงๆ
"นอนได้"
"ดี" สายตาสีดำเข้มมองมาที่เฟิร์สอย่างเดาไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ เสียงฟ้าร้องด้านนอกพร้อมเสียงคลื่นลมหวีดหวิวพาเอาใจคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆจริงๆ
ทั้งสองคนทานข้าวจนเสร็จเฟิร์สก็เดินลงมานั่งที่โซฟา บ้านไม้สักหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ หันหน้าตรงไปยังท้องทะเลอันแปรปรวนด้านหน้า ท้องฟ้าดำมืดด้วยพระอาทิตย์ล่วงลับไปแล้ว คลื่นน้ำที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านล่าง เฟิร์สไม่รู้ว่ามันมีอะไรน่ามองแต่เขารู้เพียงแค่ว่า บางทีความรู้สึกข้างในลึกๆของเขาอาจจะเป็นเหมือนท้องทะเลเบื้องหน้าก็ได้
ปริญมองคนตัวบางที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงหน้า ราวกับคนละคนกับที่เถียงเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนเป็นคนหลายบุคลิค หรือทีจริงเป็นเพียงเกราะกำบังที่สร้างมาเพื่อป้องกันตัวเองกันแน่นะ เด็กดื้อ
เวลาผ่านไปนานจนเข็มนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มเฟิร์สถึงได้รู้สึกตัวว่าเขานั่งจ้องทะเลมานานร่วมสองชั่วโมงแล้ว เขาก้มหน้าเอามือจับต้นคออย่างเหนื่อยล้า ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นที่ความรู้สึก คิดกี่ทีก็ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องของเขากับต้นจะมาลงเอยแบบนี้ ภาพความทรงจำดีๆต่างๆที่เคยมีร่วมกันมาค่อยๆฉายทีละภาพราวกับหนังสั้นหลายตอน ยิ่งนึกก็ยิ่งขันตัวเองกับความเด็กทั้งเรื่องรักและความไว้ใจ
เพระเคยคิดว่าต้นคือคนที่เข้ามาเติ่มเต็มให้ตัวเอง เข้ามาทำให้ความเหงาที่มีหายไป ถึงแม้ความรักของครอบครัวจะมากมาย แต่ยังไงมนุษย์เราก็ยังโลภที่จะไขว่คว้าความรักในอีกรูปแบบ ตัดสินใจคบกันในงานโรงเรียน ต้นที่วิ่งถือถ้วยรางวัลมา ยิ้มจนเขาอดยิ้มตามไม่ได้ คำบอกรักที่ต้นพูดออกมาพร้อมกับคำสัญญาที่มีคำว่าตลอดไปเป็นตัวมอมเมา และแล้วก็ตกหลุมลงไปจนได้ ทั้งที่ยังไม่มั่นใจว่าในตอนนั้นมันคือรักหรือเปล่า แต่รู้แค่ว่าอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกดี รู้สึกสำคัญสำหรับใครบางคน
สุดท้ายจากวันเป็นเดือนเป็นปี ทุกๆครั้งที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้มันเหมือนเป็นเพียงความผูกพันธ์มากกว่ารัก ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ยิ่งพอเห็นต้นเดินควงกับรุ่นน้องต่างคณะ ต่างสถาบัน จากที่ตอนแรกเป็นความไม่พอใจจนถึงขั้นเสียใจ ทุกครั้งที่ต้นมาสาย คือทุกครั้งที่ต้นเพิ่งไปกับใครอีกคน ทุกครั้งที่โทรศัพท์เข้า คือทุกครั้งที่ต้นบอกคำหวานให้คนอื่น บางครั้งก็สงสารตัวเอง แต่พอมาลองย้อนมองดีๆแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกว่าต้นคือคนของเขา อาการที่แสดงออกมาคือการหวงแหนสิ่งที่เป็นของตัวเอง แต่พอนานๆครั้งไปมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย
วิ่งตาม เขาก็ยิ่งหนี
หยุดเฉย เขาก็ถอยห่าง
ไม่ว่าจะทำ หรือ ไม่ทำ คนที่เหนื่อย คนที่เจ็บก็คือเรา
การที่เขาเป็นคนบอกเลิกกับต้นก่อน ในตอนนั้นเขาไม่รู้สึกอะไรสักนิด เพราะมันเสียความรู้สึกไปแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้น้ำตาถึงไหลออกมา ไม่เข้าใจว่าเขาเสียใจจนถึงขึ้นสะอื้นไห้เลยหรอ หรือเป็นเพราะพระจันทร์ หรือเป็นเพราะดาว หรือเป็นเพราะความมืดมิดของท้องทะเล ที่มันกัดกินจิตใจเขาให้อ่อนแอได้ขนาดนี้
"อ่ะ" สัมผัสอุ่นหนักบนหัวพาเอาเฟิร์สเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ หันไปก็เห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าคมเข้ม สายตาเย็นชาที่ดูอ่อนแสงลง กำลังจ้องมองมาที่เขา
"ไม่เป็นไรนะ" เสียงทุ้มแผ่นเบาแต่กลับก้องกังวาลในใจเขา เฟิร์สั่นหัวน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ กัดปากจนแตกเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นน่าสมเพส
ปริญมองร่างโปร่งก้มหน้ากอดตัวเองร้องไห้อย่างเป็นห่วง ความห่วงหาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เกิดขึ้นกับคนตรงหน้า คนที่แม้แต่ชื่อเขาก็ยังไม่รู้จัก คนที่พูดคุยกันโดยไร้ซึ้งคำแนะนำตัว
ปริญลูบหัวทุยๆนั้นสองสามครั้งก่อนจะเดินออกไป ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นเราอ่อนแอ แต่ในบางครั้งคนอื่นอย่างเขาก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากปกป้องคนตรงหน้าแบบนี้
ตื่นมาตอนเช้า พายุก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบ เฟิร์สเกาะขอบหน้าต่างมองแล้วลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่รู้ป่านนี้ที่บ้านจะเป็นยังไงบ้าง ตั้งใจว่าจะติดต่อไปตั้งแต่เมื่อวานเมื่อถึงฝั่ง แต่สุดท้ายจนตอนนี้ก็ยังหาสัญญานมือถือไม่เจอ จุดยิ้มบางเมื่อนึกถึงน้องคนเล็ก คงร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ ติดต่อเขาไม่ได้แบบนี้ ยิ่งชอบคิดมากอยู่ด้วยแต่วาคงหาวิธีมาหลอกล่อจัดการน้องเอได้เหมือนเดิม
"เฮ้อ ถ้าเฮียเอกอยู่ก็คงดี" คิดถึงพี่ชายคนโตของบ้าน ก่อนมาเขาบอกกับเฮียเอกคนเดียวว่าจะลงใต้ ขอให้ฮียเอกอย่าเพิ่งบอกใคร เพราะถ้าคนอื่นรู้ ไม่พ้นโดนถามโน้นนี้และจบลงที่ทำไมเขาถึงได้อยากลงมาเที่ยวทะเลคนเดียว
"ตื่นแล้วหรอ" สะดุ้งตกใจกับเสียงใหม่ที่เข้ามาทำลายความเงียบ หันหน้าไปหาเจ้าของเสียงที่อยู่ในเสื้อกล้ามกางเกงเลตัวใหม่ เจ้าของตัวตาคมดุมองมาเหมือนรอคำตอบจนเฟิร์สทำตัวไม่ถูก
ก็เมื่อคืนหลังจากที่คนนี้ลูบหัวเขาและเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำอุ่นยื่นมาให้เขา และบอกให้เอาโปะตาเอาไว้
'ถ้าจะร้องก็ร้องไป แต่เอานี้วางไว้ที่ตา ตาจะได้ไม่บวม'
เสียงทุ้มที่พูดกับเขาเมื่อคืนนั้น เขายังจำได้ดีว่ามันทั้งอ่อนโยน และ นุ่มนวลขนาดนั้น ราวกับคนละคนกับที่เขาเจอมา
"อืม...เอ่อ ครับ"
"ฝนยังตกอยู่สินะ" ปริญเดินมายืนข้างเด็กขี้แย ตามองผ่านกระจกบานใหญ่ไปยังท้องทะเลสีครามที่ยังแปรปรวนจากลมพายุอยู่ มองหน้าคนด้านข้างผ่านเงาสะท้อนของกระจก ตาบวมนิดๆ นี้สงสัยคงร้องไห้ทั้งคืน
"แบบนี้จะเดินเรือขึ้นฝั่งได้มั้ย"
"เดินได้แต่อันตรายเกินไป คลื่นสูงแบบนี้ไม่มีใครเขาเสี่ยงเอาชีวิตไปทิ้งหรอก"
"งั้นผมจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน" ขืนเขาอยู่นานกว่านี้ที่บ้านคงเป็นห่วง
"ก็จนกว่าพายุจะไป"
"เมื่อไรละ"
"ถ้ากลางวันยังไม่ซาก็คงวันพรุ่งนี้" เฟิร์สพยักหน้ารับรู้ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเป็นกังวล ปริญลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆก็พาลหงุดหงิด ทำเหมือนการที่อยู่ที่นี้มันเป็นเรื่องหนักใจ นี้คงอยากกลับไปหาคนที่ชื่อเอกละซิ
"แล้วเมื่อคืนนั่งร้องไห้ อกหักมาหรือไง"
"ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ" เฟิร์สตะวัดตามองอย่างไม่พอใจ ไม่พอใจทั้งเรื่องที่ถามเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ชอบใจที่น้ำเสียงที่ถามนั้นช่างดูแคลน
"ถ้าไม่ใช่เรื่องของชั้นก็อย่ามาสำออยร้องไห้ให้คนอื่นเห็น"
"ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้นิ่"
"เฮ้อ...พอละ ชั้นไม่เถียงกับเธอละ เสียเวลา"
"แล้วใครเป็นคนเริ่มละ"
"เดี๋ยวจะให้คนเอาอาหารเช้ามาให้ ทานซะแล้วอย่าเดินเพ่นพ่านละ"
"ผมขอกลับไปบังกะโลได้มั้ย"
"ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"
"ทำไม จะให้ผมอยู่นี้เป็นภาระคุณทำไม"
"ก็ไม่ใช่ว่าเธอสำคัญอะไรจนไม่อยากให้ไปหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่มีคนงานว่างพาเธอกลับ เข้าใจมั้ย"
"นี้ถามจริงๆ คุณไม่ชอบอะไรผมนักหรอ พูดกับผมทีถึงได้จิกกัดกันทุกคำแบบนี้" อดรนทนไม่ได้ ขอถามให้หายคาใจหน่อยเถอะ รู้จักกันวันเดียวชื่อก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ลักษณะการพูดกับเขานี้ดูยัไงมันก็เลยคำว่า คนแปลกหน้าไปมากโข
"ชั้นก็ไม่ได้ชอบ หรือ ไม่ชอบอะไรเธอ แต่รู้สึกว่าเธอมันดื้อ ชอบต่อปากต่อคำแค่นั้นเอง"
"ห่ะ ดื้อ" รี่ตามองคนตัวใหญ่อย่างไม่พอใจ กัดปากขมวดคิ้วมองตาคนตรงหน้านิ่งๆอยู่ไม่นานจนคนปากจัดส่ายหัวเบาๆ ถ้ามองไม่ผิดเหมือนเห็นคนป่ายิ้มมุมปากด้วยนะ
"พอละ ชั้นไม่มีเวลามาคุยกับเธอละ ไว้กลับมาค่อยมาเถียงชั้นต่อ....อีกอย่าง ยานะกินซะด้วยนะ" พูดเสร็จก็เดินออกจากบ้านไปเมื่อเห็นลูกน้องหน้าตาน่ากลัวสามคนยืนรออยู่ข้างนอก
"ไม่ชอบเลยให้ตาย" เสยผมอย่างหงุดหงิด เกิดมาไม่เคยมีเคยบอกว่าเขาดื้อมาก่อน แต่กับคนป่านี้ สาระพัดคำจะเอามาตินิสัยเขา ฮึ้ย เจอกันครั้งเดียวเกินพอ ยังคงคิดแบบนั้น
To Be con
Blue Talk
โอ้ย คู่นี้ฮารดครอ คนละแบบกับเอวาเลย บอกก่อนน้า นิสัยพี่เฟิร์สตอนนี้ ก็เป็นเด็กมหาลัยทั่วไป เพราะฉะนั้น พี่เฟิร์สในตอนของ เอวา จะเป็นผู้ใหญ่กว่าในตอนของพี่เขาเอง ตามอายุที่เพิ่มขึ้นจ้า
ขอโทษที่มาต่อช้าน้า เราอาจจะมาช้าจนทุกให้คนอ่านรอจนเหนื่อย แต่เราก็ขอบคุณเช่นกันจ้าที่เข้าใจ และ ยังคงตามอ่านจนถึงตอนนี้แต่เราสัญญาเลย คริสมาส มหาลัยหยุด กรี้ด ดีใจ ช่วงนั้นจะรีบปั่นมาอย่าให้เสียเวลาเลยทีเดียว อารมณ์หิมะตก เราคงไม่มีปัญญาแซะตัวเองออกจากห้อง ฮาๆๆ ตอนนี้อากาศที่อังกฤษหนาวมาก -1 องศา เบาๆ ไม่อยากคิดถึงธันวา T_T