Because you're my love. (UP! Special4 P.5) [10/02/2014]<< END ย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Because you're my love. (UP! Special4 P.5) [10/02/2014]<< END ย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 68269 ครั้ง)

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 36 P.3) [09/05/2013]
«ตอบ #90 เมื่อ09-05-2013 22:24:00 »

ตอนที่ 36  ข้อเสนอของเซน



เช้านี้พี่แทมินมาส่งผมถึงที่โรงเรียน  โดยบอกว่าเป็นห่วงผมไม่อยากให้ผมเดินมาคนเดียว  ส่วนขากลับพี่แทมินก็บอกให้ผมเดินกลับกับเซน  แต่ก็กำชับว่าให้ระวังตัวด้วยเวลาอยู่กับเซนสองต่อสอง
 

“หวัดดี”
 

เซนเดินเข้ามาในห้องเรียน  ใต้ตามีรอยบอมแดง  เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ
 

“นายเป็นอะไรรึเปล่า  ทำไมตานายเป็นแบบนั้นล่ะ”
 

“อ้อ  เมื่อคืนฉันดูหนังติดลมไปหน่อย  นี่ยังไม่ได้นอนเลยอ่ะ ^^”
 

เซนพูดโดยไม่สบตาผมเลย  ท่าทางแบบนี้ตัวผมที่เป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่เด็กทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าเขาโกหก  นี่เขากำลังโกหกผมอยู่อย่างนั้นเหรอ
 

“อืม  ถ้ามันเป็นอย่างที่ว่าพูดมาจริงก็คงจะดีนะ”


ผมพูดประชดเข้าให้  เซนจึงได้แต่หัวเราะกลบกลื่น
 

“ไผ่  ตั้งแต่นี้นายจะไปค้างบ้านพี่แทมินใช่ไหม”
 

“อืมใช่  นายรู้ได้ยังไง”
 

“ฮ่าๆ  ก็เมื่อคืนนายไม่ได้กลับบ้านนี่นา  แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ”
 

“นี่อย่าบอกนะว่านายอยู่คอยฉันน่ะ”
 

เซนมองหน้าผม  ทำท่าคิดอยู่เพียงครู่แล้วก็ผลักหัวผมเป็นเชิงหยอก


“เฮ้ย  จะบ้าเรอะ  ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันดูหนังอยู่  แค่ไม่มีเสียงเปิดประตูบ้านของนายหรอกนะที่ทำให้ฉันรู้น่ะ”
 
 
ไม่ว่าเวลามันจะผ่านมานานสักแค่ไหน  เซนก็ยังโกหกไม่เก่งเหมือนเดิม
 


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

เลิกเรียนแล้ว  ผู้ชายคนนั้น...เอฟ  ก็มายืนคอยผมอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนอีกแล้ว  ทันทีที่เขาเห็นผมเขาก็ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร
 

“สวัสดีไผ่  วันนี้ฉันก็มารอเธออีกแล้วล่ะ”
 

“เอ่อ  มารอผมนี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
 

“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม^^”
 

“....เอ่อ  ผมคิดว่าไม่...”
 

“ก็ดีนะครับ  ไปร้านค้อฟฟี่ช็อปที่คุณเคยพูดไว้ก็ได้  ผมเองก็ชักจะหิวน้ำแล้วด้วยสิ”  เซนเอ่ยตัดหน้าผมทันที  ทำให้เอฟหันมายิ้มให้เซน
 

“เป็นอันตกลงนะ  งั้นเราไปกันเถอะ”
 

เอฟเดินนำหน้าพวกผมไป  ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมเซนถึงไปตอบตกลงกับเขา  ก็เซนเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่น่าไว้ใจ
 

“ฉันไม่เข้าใจนายเลย  นายไปตอบตกลงกับเขาทำไม”
 

“ฉันคิดว่าถ้านายหลบเลี่ยงเขาอยู่แบบนี้เขาคงจะตื้อนายไม่เลิกแน่ๆ  สู้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า”
 

บางทีมันก็จริงอย่างที่เซนพูดนั่นแหล่ะ  แล้วพวกเราก็เดินมาถึงร้านค็อฟฟี่ช็อปที่อยู่ข้างโรงเรียนของผม  เมื่อเดินมานั่งที่โต๊ะ  เอฟก็ยิ้มให้ผม
 

“สั่งเลยนะ  ฉันเลี้ยงเอง”
 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  คุยธุระของคุณมาเถอะ”
 

เซนหยิบเมนูขึ้นมาดู  แล้วหันไปมองเอฟ
 

“คุณเลี้ยงใช่ไหม  งั้นผมไม่เกรงใจล่ะนะ^^”
 

“เซน.....”
 

แล้วเซนก็สั่งนู่นสั่งนี่สองสามอย่างรวมไปถึงสั่งเครื่องดื่มให้ผมด้วย
 

“เพื่อนของไผ่คนนี้ชื่อเซนอย่างนั้นเหรอ  ใจกล้าไม่เบาเลยนะ”
 

“ก็เพราะเพื่อนของผมคนนี้เขาไม่กล้านี่ครับ  ผมก็เลยต้องตามาด้วยไง”
 

“พูดแบบนี้  เธอจะบอกว่าเธอไม่ไว้ใจอย่างนั้นสินะ”
 

“ครับ  ผมไม่ไว้ใจคุณ^^”
 

เซนยิ้มเอฟ  เอฟเองก็ยิ้มตอบเซนเช่นกัน  แวบหนึ่งผมก็คิดว่ารอยยิ้มพวกนั้นมันช่างน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
 

“ไผ่  เธอเป็นอะไรกับแทมินงั้นเหรอ”
 

เอฟเปิดคำถามกับผม
 

“พี่แทมินก็เป็นลูกชายของนายจ้างที่ผมทำงานพิเศษอยู่ไงครับ”
 

“เข้าใจตอบนะไผ่  เรื่องนั้นน่ะฉันรู้แล้ว  แต่ที่ฉันต้องการน่ะ  หมายถึงความสัมพันธ์ของพวกเธอต่างหาก”
 

“คุณจะถามไปเพื่ออะไร  ต้องการอะไรกันแน่”
 

“หึหึ  ฉันก็แค่ต้องการข้อมูลก็เท่านั้นเอง”
 

“คุณต้องการจะทำอะไรพี่แทมินกันแน่  ผมรู้นะว่าคุณเคยเป็นอะไรกับพี่แทยอง  และเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง”
 

“งั้นเหรอ  พี่แทมินบอกเธองั้นสินะ”
 

 “ผมจะไม่ยอมให้คุณทำอะไรพี่แทมินทั้งนั้น”
 

“แหม  เธอนี่ฉลาดกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีกนะ  ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะทำอะไรแทมินเขาหรอก  ไม่ใช่ตอนนี้”
 

“คุณ!!”
 

“เอาเถอะ  ถึงเธอจะไม่บอกฉัน  แต่ดูจากท่าทางเป็นห่วงแทมินของเธอมันก็เดาได้ไม่ยากว่าพวกเธอเป็นอะไรกัน  หมดธุระแล้วล่ะ^^”
 

ธุระของเขามีแค่นี้งั้นเหรอ  แค่มาถามผมเท่านั้นเองว่าผมกับพี่แทมินเป็นอะไรกัน?
 

ในเมื่อหมดธุระผมก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่กับคนๆนี้แล้วเหมือนกัน
 

“กลับกันเถอะเซน”
 

ตลอดทางมีแต่ความเงียบงัน  ความต้องการของชายที่ชื่อเอฟทำเอาผมปวดหัว  เขาคนนั้นต้องการอะไรกันแน่  การที่เขามารอผมที่หน้าโรงเรียน  ก็เพื่อแค่นั้นเองน่ะเหรอ
 

“ถึงบ้านของพี่แทมินแล้ว  งั้นฉันกลับก่อนนะ”
 

เมื่อเซนปั่นจักรยานออกไป  ผมก็ต้องแปลกใจ  ก็ทางที่เซนไปน่ะมันไม่ใช่ทางกลับบ้านแต่มันเป็นทางไปโรงเรียนนี่นา
 


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 

ภายในร้านค็อฟฟี่ช็อป  เอฟนั่งกินขนมปังที่เซนสั่งเอาไว้แล้วก็ไปอย่างสบายใจ  ไม่นานประตูร้านก็ถูกเปิดออก  ร่างหนึ่งตรงมายังโต๊ะของเอฟ  ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเอฟก็ยิ้มให้
 

“เจอกันอีกแล้วนะ  เธอ...เซนใช่ไหม”
 

“ทานคนเดียวอร่อยไหมครับ^^”
 

“ก็นะ  ฉันคิดว่าทานสองคนคงจะสนุกกว่า  ถ้ายังไงมาทานด้วยกันไหม”
 

“แน่นอนครับ  ก็ของพวกนี้ผมเป็นคนสั่งเองนี่นา”
 

เซนนั่งลงฝั่งตรงข้ามตามคำชวนของเอฟ
 

“ว่าแต่ว่า  เซนกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
 

“แล้วผมกลับมาอีกไม่ได้เหรอครับ”
 

“ฉันก็ไม่ได้ห้ามเธอนี่”
 

“เลิกพูดเล่นกันดีกว่านะ  ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
 

“เรื่องอะไรล่ะ  ว่ามาสิ”
 

“อย่านึกว่าผมจะไม่รู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่  คุณต้องการจะใช้ไผ่เพื่อทำอะไรบ้างอย่างกับแทมินใช่ไหมล่ะ”
 

“ในเมื่อเธอถามมาตรงๆแบบนี้  ฉันก็จะตอบเธอตรงๆเลยก็แล้วกัน  ใช่  ฉันต้องการจะใช้ไผ่เป็นเครื่องมือในการล้างแค้นแทมิน”
 

“คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ผมแปลกใจ  คุณพูดมาแบบนี้ไม่กลัวว่าผมจะทำให้คุณเสียแผนบ้างรึไง”
 

เอฟอมยิ้มกับคำพูดของเซน
 

“เพราะฉันมั่นใจว่าคนอย่างเธอไม่มีทางทำให้ฉันเสียแผนได้น่ะสิ  ฉันถึงได้บอกเธอ”
 

“มั่นใจจังนะ  แต่ว่าผมคงยอมให้คุณทำอะไรไผ่ไม่ได้ทั้งนั้น  เข้าใจไหม”
 

“จากที่ฉันดูแล้วนะ  ฉันคิดว่าเธอคิดกับไผ่มากกว่าเพื่อนนะ  ฉันดูไม่ผิดใช่ไหมล่ะ^^”
 

“ดูคนเก่งจังเลยนะ  นับถือเลยล่ะ  ผมมีข้อเสนอ  คุณสนใจไหม”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้ากกกกกกก  พึ่งตามิ่านฮ่าาา   ชอบอ้ะ แต่อยากให้พี่น้องรักกันจัว  ขอฝากด้วยน้ะคนเขียน  คือแบบรับไม่ค่อยอยากเห็นเลยฮ่า คือมันรู้สึกเหมือนตัวเองเกิน แต่เราไม่มีแฝดนะแต่แบบ พ่อแม่ไม่สนใจเราเหมือนไผ่เยยยย
 แล้ะ อินมากกกก

ฝากตัวด้วยเช่นกันค่ะ  ตอนแต่งเรื่องนี้ แคนเองก็อินเหมือนกันค่ะ  อารมณ์ตอนนั้นคือน้อยใจ พ่อแม่ลืมวันเกิดของแคนบ้างล่ะ รักพี่ชายแคนมากกว่าบ้างล่ะ  แคนเลยแต่งนิยายอะไรที่แบบ พ่อแม่ไม่สนใจประชดชีวิต(ซะอย่างนั้น)  :mew2:

อ่านแล้วไม่รู้สึกสงสารเซนเลยซักกะจิ๊ดเดียว

แบบว่ามันโหดร้ายเกินไปอ่ะ พาเพื่อนมาทำแบบนั้น...เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแท้ๆ T^T

ตอนนี้ไม่สงสารเซน แต่อนาคตอาจจะสงสารก็ได้นะคะ  ชีวิตนังเซนนี่หนาช่างรันทด  :hao7:

เชนโคตรชั่ว กรรมตามทันและต้องมากกว่านี้

อ่านแล้วของขึ้น

โอ้ ใจเย็นๆค่ะ  บาปกรรมตามสนองเซนแน่นอน เผลอๆอาจจะรุนแรงกว่าที่คิดเสียด้วย (แอบสปอยซะงั้น)

:angry2: พี่เอฟบ้า!!! อย่าทำอะไรไผ่นะ!!!

ยิ่งห้ามก็ยิ่งยุค่ะ  เอฟทำไผ่แน่นอน  :katai5:

ไอ้พี่เอฟบ้าอย่าทำร้ายน้องไผ่นะ :m31:
เซนเค้าไม่ยกน้องไผ่ให้แล้วอย่า :pig4:มาง้อนะชิ

เซนอยากจะง้อใจจะขาด แต่ดูท่าทางง้อไปก็คงสู้แทมินไม่ได้แล้วล่ะมั้งแบบนี้
 

ออฟไลน์ loveaaa_somsak

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-3
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 36 P.4) [09/05/2013]
«ตอบ #91 เมื่อ09-05-2013 22:29:55 »

เรื่องนี้อ่านแล้วบีบหัวใจสุดๆ เสียน้ำตาไปหลายตอน

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 36 P.4) [09/05/2013]
«ตอบ #92 เมื่อ09-05-2013 22:50:21 »

ตอนที่ 37 จับตัว



วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมได้คุยกับเอฟ  ผมก็มาเรียนตามปกติ  ผมไม่ได้บอกเรื่องที่ได้คุยกับเอฟให้พี่แทมินรู้  เพราะกลัวว่าพี่แทมินจะไม่สบายใจ  ส่วนเซนที่แยกตัวกลับไปนั้น  ผมก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน   เอาไว้เจอเขาแล้วค่อยถามดีกว่า
 

เมื่อผมเดินเข้ามาในห้องเรียนผมก็ต้องแปลกใจเพราะเซนอยู่ในห้องแล้ว  นับเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่เซนมาถึงก่อนผม
 

“วันนี้มาเช้าจังเลยนะ”
 

“หวัดดี  นานๆทีฉันก็มาเช้าบ้างสิ”
 

“...เซน”
 

“หา?”
 

“นาย...ตาบวมมากกว่าเมื่อวานอีก  เป็นอะไรรึเปล่า”
 

เซนเอามือจับใต้ตาของตัวเอง  และหัวเราะกลบเกลื่อน
 

“ก็อย่างที่บอกนั่น  ฉันดูหนังติดลมอ่ะ  ซีรี่ย์เกาหลีไง  ไอ้เรื่องที่นางเอกเป็นลูคีเมียตายอ่ะ”
 

“=_=”
 

“แน่ะ  ทำหน้าไม่เชื่อเหรอ”
 

“อ่ะนะ  ให้มันจริงอย่างที่นายพูดก็แล้วกัน”
 

ประชดเข้าให้อีกหนึ่งดอก
 

ไม่นานหลังจากที่พวกผมเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จก็ได้เวลาเรียน  เซนนั่งเหม่อตลอดจนอาจารย์เริ่มไม่พอใจ  เซนเป็นอะไรไปนะ
 

“เซน  ฉันถามจริงๆเถอะ  นายเป็นอะไรรึเปล่า”
 

“ก็คนมันไม่ได้นอนนี่นา มันก็ต้องมีหลับในกันบ้างดิ”
 

“เรอะ =_=”
 

แม้แต่เวลาพักกลางวัน  เซนก็ใจลอยทานข้าวได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้น  ตลอดคาบเรียนช่วงบ่ายก็เหม่อเหมือนเดิม
 

“เซน”
 

“...”
 

“เฮ้ย เซน...”
 

“....”
 

“เซน!!”
 

“หะ  หา?”
 

ให้ตายเถอะ  กว่าจะรู้สึกตัว  ท่าจะอาการหนักแล้วนะ
 

“ฉันจะบอกนายว่า  เลิกเรียนแล้วนะ  เก็บกระเป๋าได้แล้ว”
 

“เอ๋  อะไร  เลิกเรียนแล้วเหรอ”
 

“- -^”
 

“ฮ่าๆๆ  สงสัยฉันจะหลับในเพลินไปหน่อยอ่ะ  เออนี่ไผ่”
 

“อะไรเหรอ”
 

“วันนี้ฉันดูแปลกมากเลยเหรอ”
 

“มาก =_=”
 

“-*-“
 

เมื่อเซนเก็บกระเป๋าเสร็จ  พวกเราก็เดินออกจากโรงเรียน  วันนี้ไม่มีชายชื่อเอฟมายืนรออยู่ที่หน้าโรงเรียนอีกแล้ว
 

“ไผ่”
 

“อะไร”
 

“ฉันน่ะ  จะชดใช้ให้ไผ่นะ”
 

“นายว่าไงนะ  ฉันไม่เข้าใจ”
 

“ฮ่าๆ  ช่างเถอะ  กลับบ้านกันดีกว่านะ^^”
 

หลังจากที่เซนมาส่งผมที่บ้านของพี่แทมินแล้ว  เซนก็แยกตัวกลับไปบ้าน  ด้วยสภาพเหม่อลอย  นี่ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรกับเขาก็คงจะดี -*-
 

“ไผ่  กลับมาแล้วเหรอ  รู้ไหมว่าฉันคิดถึงไผ่แค่ไหน”
 

พี่แทมินตรงเข้ามากอดผมเมื่อผมก้าวเข้ามาในบ้าน  ชักจะชินแล้วสิ
 

“เมื่อเช้าพี่แทมินก็มาส่งผมไม่ใช่เหรอ”
 

“แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอนี่นา  ทำไมไผ่ถึงไม่โทรหาฉันบ้างเลยล่ะ  มือถือฉันก็ให้ไผ่ไปแล้วนี่นา”
 

“คือ  ที่จริงผมก็อยากโทรนะครับ  แต่ว่าผมไม่มีเบอร์ของพี่แทมิน”
 
 
“เบอร์?  ฉันเมมเบอร์ของฉันให้ไผ่ไปแล้วนะ”
 
               
“คือ  ผมไม่เงิน...”
 
               
“เอ๋  ฉันจำได้ว่าฉันเติมให้ไผ่ไปสามร้อยเลยนะ  ไผ่ใช้หมดแล้วเหรอ  ใช้โทรหาใครกันน่ะ - -^”
 
               
“เอ่อ  คือ...”
 
               
“บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ - -^^^^”
 
               
“คือ  พี่อย่าหัวเราะผมนะ”
 
               
“แล้วอะไรล่ะ  ก็ว่ามาสิ”
 
               
“เอ่อ  ผม...ผมกดโทรออกไม่เป็นครับ”
 
               
“...”
 
               
“...”
 
               
“อุ้บ  ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
 
               
“บอกแล้วไงว่าอย่าหัวเราะ  มันตลกมากนักหรือไง”
 
               
“ฮ่าๆ  แบบว่านะไผ่  เด็กอนุบาลเขายังรู้เลยนะไผ่  แต่ไผ่ทำไมถึง  ฮ่าๆๆๆ”
 
               
“หัวเราะพอแล้วบอกนะ  ผมขอตัวก่อน”
 
               
ผมเดินเบียดจนชนพี่แทมินแล้วเดินขึ้นบันได  ไปอย่าโมโห  แค่นี้ทำไมต้องหัวเราะกันด้วยนะ  ก็คนมันไม่เคยมีโทรศัพท์นี่นา
 
               
ทันทีที่ผมเข้าห้อง  พี่แทมินก็ตามเข้ามาติดๆ  แล้วเข้ากอดผมจากข้างหลัง
 
               
“ไผ่เวลาโกรธนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะ  ชักอยากแกล้งมากกว่านี้ซะแล้วสิ^^”
 
               
“คนบ้า  โรคจิต  หยุดเลยนะ  เดี๋ยวผมต้องทำงานอีก”
 
               
พี่แทมินซุกหน้าลงบนซอกคอของผมแล้วจูบที่ต้นคอทำให้เกิดรอยคิสมาสที่คอของผมจนผมเริ่มอ่อนลงปล่อยให้เขาซุกไซร้ซอกคอของผมตามใจชอบ  เป็นแบบนี้ทุกทีเลย  คนขี้แกล้ง...
 
               
“ไผ่  แทมิน  อยู่บนนี้ใช่ไหม”
 
               
 เสียงเถ้าแก่ตะโกนมาจากชั้นล่าง  ทำให้ผมได้สติและดิ้นจนหลุดจากพันธนาการของคนขี้แกล้ง
 
               
 “เถ้าแก่เรียกแล้ว  รีบไปกันเถอะนะ”
 
               
พี่แทมินหัวเราะน้อยๆแล้วเอานิ้วชี้ที่คอของตัวเอง
 
               
“ตรงนี้น่ะ  เห็นชัดเลยนะรู้ไหม^^”
 
               
ผมรีบใช้มือปิดรอยจูบที่คอของตนทันที  ตอนนี้หน้าของผมร้อนผ่าวจนแดงขนาดไหนแล้วก็ไม่รู้สิ
 
               
“เอาไว้คืนนี้  เราค่อยมาต่อกันดีกว่านะ  คืนนี้ไผ่คงไม่ได้นอนแน่ๆ^^”
 
               
“ทะลึ่ง  โรคจิต...”
 
               
“แต่ตัวฉันที่เป็นแบบนี้  ไผ่ก็ชอบไม่ใช่เหรอ”
 
               
“>///<”
 
               
“ฉันรักไผ่นะ  ^^”
 
               
อา...ไม่ไหวเลย  หัวใจของผมเต้นแรงเหลือเกิน  อย่าเข้ามาใกล้ผมนักสิ  ผมยังไม่อยากให้พี่แทมินได้ยินเสียงหัวใจของผมนะ
 
               
พวกผมเดินลงไปชั้นล่างตามเสียงเรียกของเถ้าแก่
 
               
“มีอะไรรึพ่อ  กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เซ็งเลย”
 
               
“เดี๋ยวเถอะไอ้ลูกคนนี้  นี่มันจะเวลาทำงานของไผ่แล้วนะ  ถ้าจะทำก็เอาไว้เสร็จงานก่อนไม่ได้รึไง”
 
               
“แน่นอนพ่อ  เพราะงั้นวันนี้ช่วยให้ไผ่เลิกงานเร็วๆหน่อยได้ไหม^^”
 
               
“เดี๋ยวก็โดนทีนเลยไอ้ลูกเวรนี่  อยากให้เลิกเร็วๆก็มาช่วยพ่อทำงานสิ”
 
               
นี่พวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่  แล้วเถ้าแก่รู้แล้วงั้นเหรอว่าผมกับพี่แทมิน....
 
               
“เอ่อ  เถ้าแก่มีอะไรงั้นเหรอครับ”
 
               
“เออใช่  ลืมไปเลย  กิมจิมันหมดพอดีเลย  ไผ่กับแทมินช่วยไปซื้อให้หน่อยได้ไหม”
 
               
“ครับ”
 
               
ผมกับพี่แทมินจึงเดินไปยังร้านค้าในโคเรียทาวน์ที่อยู่ห่างไปจากร้านสักหน่อย  และระหว่างทางที่กำลังเดินทางกลับก็มีรถสปอร์ตปอเช่สีดำมาจอดขวางทางเอาไว้  และชายที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น  เอฟ...
 
               
เอฟลงจากลงและยิ้มทักทายพวกผม
 
               
“สวัสดีแทมิน  แล้วก็ไผ่ด้วยนะ^^”
 
               
พี่แทมินพยายามดันผมห้อยู่ข้างหลังเขา
 
               
“แก  มีธุระอะไร”
 
               
“ธุระน่ะมีแน่”
 
               
ไม่นานก็มีมือลึกลับข้างหนึ่งมีผ้าอยู่ในมือมาโป๊ะหน้าผมเอาไว้  ผมดิ้นจนพี่แทมินเห็นจึงพยายามเข้ามาช่วยแต่แล้วก็มีชายลึกลับอีกคนให้กำปั้นทุบลงที่หลังของพี่แทมินเข้าเต็มแรงจนพี่แทมินลงไปกองกับพื้น  เอฟที่มองเหตุการณ์ณ์ต่างๆด้วยรอยยิ้ม  ภาพต่างๆค่อยๆมืดลงจนในที่สุดผมก็สลบไป....
 
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 37 P.4) [09/05/2013]
«ตอบ #93 เมื่อ11-05-2013 17:10:34 »

ตอนที่ 38 แค่การฆ่าเวลา



ภายในห้องนอนที่ผ้าม่านได้ปิดบังแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ห้องนั้นมืดสนิท  แต่เจ้าของห้องก็ยังคงนั่งกอดเข่าก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างอย่างเงียบๆโดยไม่แม้แต่จะเดินไปเปิดผ้าม่านหรือเปิดแสงให้ห้องสว่างขึ้น
 
               
ภายในร้านค๊อฟฟี่ช็อปที่เขาเดินกลับมาหลังจากเดินไปส่งเพื่อนของเขาและบทสนทนาระหว่างเขากับชายที่ประสงค์ร้ายต่อเพื่อนของเขานั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
 
               
 ‘ข้อเสนอที่เธอว่ามานั้น  ฉันคงไม่เห็นด้วยหรอกนะ  ถ้าฉันตอบตกลงฉันจะได้อะไรงั้นเหรอ  ไหนลองบอกฉันมาหน่อยซิ^^’
 
           
เอฟปฏิเสธข้อเสนอของเขาและให้เขาชี้แจงถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ
 
               
 ‘ผมเองก็ไม่ทราบครับเพียงแต่ว่าผมไม่อยากให้คุณทำร้ายคนที่ผมรักก็เท่านั้น’
 
           
เอฟหัวเราะเล็กน้อย  ทำไมกัน...คำพูดของเขามันน่าขำถึงขนาดนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ
 
               
 ‘เซน  นายคงรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นสินะ  แล้วจะไม่มาร่วมมือกันฉันหน่อยรึไง’
 

‘…’
 

‘แทมินตาย  ไผ่ก็จะเป็นของเธอยังไงล่ะ’
 
           
ในวังวนของคำพูดนั้นทำให้เซนเจ็บปวด  มันจริงอย่างที่เอฟพูด  แต่จะมีอะไรยืนยันได้ล่ะว่าหากแทมินตายแล้วไผ่จะเป็นของเขาจริงๆ  ตัวเขาที่ทำร้ายไผ่ไว้มากขนาดนั้น....
 
               
“ไผ่...ฉันรักนาย...เพราะฉะนั้นฉัน...”

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
               
ยามเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา  หัวของผมช่างหนักอึ้ง  ภาพเบื้องหน้ามันทำให้ผมรู้ว่าตัวผมกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ทั้งบ้านของผม...ของเซน...หรือของพี่แทมิน....
 
               
“ในที่สุดเจ้าหญิงนิทราก็ตื่นจากบรรทมสักทีนะ  นึกว่าจะต้องใช้วิธีปลุกเหมือนในนิทานซะอีก^^”
 
               
เสียงนั้นทำให้ผมสะดุ้งและรีบหันไปมองที่มาของเสียง...เอฟ
 
               
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันหรอกนะ  แต่เป็นโรงแรมอะไรสักอย่าง  โทษทีนะที่ฉันลืมชื่อของมันไปแล้ว”
 
               
เอฟที่ไม่ว่าผมจะเจอเขากี่ครั้งก็มักจะเห็นแต่รอยยิ้ม  เขาต้องการอะไรกันแน่

 
“พาผมมาที่นี่ทำไม  ลักพาตัวงั้นเหรอ...หรือว่าเรียกค่าไถ่”
 

“ช่างเป็นความคิดที่น่ารักจริงนะ  สบายใจได้  ไอ้วิธีอย่างพวกเรียกค่าไถ่น่ะฉันไม่ทำหรอก  มันปัญญาอ่อน  และอีกอย่างบ้านฉันก็มีฐานะมากพอเกินกว่าจะทำอะไรที่งี่เง่าแบบนั้น”
 

“งั้นคุณต้องการอะไรกันแน่  แล้วพี่แทมินล่ะ  พี่แทมินอยู่ไหน”
 
               
 “ห่วงหากันเหลือเกินนะ  งั้นฉันจะให้เธอได้พบ”
 
               
เอฟหันไปพยักหน้ากับชายสูทดำร่างบึกบึนที่ยืนอยู่ด้านหลัง  ชายสูทดำเดินไปยังประตูอีกบานหนึ่ง  และเมื่อเขาเปิดมันออกผมก็เห็นพี่แทมินซึ่งถูกผ้ามัดปิดปากและผูกติดอยู่กับเก้าอี้ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้  ทันทีที่พี่แทมินเห็นผมก็ส่งเสียงอู้อี้เหมือนต้องการจะพูดอะไรบ้างอย่างและพยายามดิ้นไปมา
 
               
เอฟหัวเราะน้อยเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น
 
               
“รักกันดีเหลือเกินนะ ชักอิจฉาซะแล้วสิ”
 
               
เอฟเดินเข้ามาใกล้พี่แทมินและยิ้มให้อย่างผู้เหนือกว่า
 
               
“อยากจะพูดอะไรอย่างนั้นเหรอแทมิน”
 
               
พี่แทมินส่งเสียงและสายตาจับจ้องมองเอฟอย่างโกรธแค้น
 
               
“ถ้าทางจะลำบากแย่เลยนะ  ฉันแก้ผ้าปิดปากให้ก็ได้”
 
               
เอฟปลดผ้าปิดปากของพี่แทมินออก
 
               
“มึงต้องการอะไรกันแน่  ปล่อยพวกกูเดี๋ยวนี้นะ!”
 
               
“แก้มัดปุ๊บก็พูดอะไรไม่เข้าท่าเลยนะ  งั้นฉันก็จะขอตอบเลยว่า  ไม่-มี-ทาง  ฉันเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าการแก้แค้นของฉันมันยังไม่จบจนกว่า...แกจะตาย  หึหึ”
 
               
“จะแก้แค้นงั้นเรอะ  แล้วมึงเอาไผ่มาด้วยทำไม  เขาไม่เกี่ยว”
 
               
“ให้แกตายเฉยๆมันคงหน้าเบื่อแย่  ฉันอยากจะทรมาณแกให้สาสมกับความทรมาณที่ฉันได้รับ”
 
               
“มึง!  มึงฆ่าพี่กูไปคนหนึ่งแล้วมันยังไม่พออีกรึไงวะ”
 
               
“ก็คนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้ไม่ได้มีแต่พี่ของแกนี่  ตัวแกเองก็ด้วยไม่ใช่เหรอ  ตอบมาสิว่าใช่ไหม!”
 
               
บทสนทนาของทั้งสองที่มีแต่ความดุดันปานจะฆ่ากันนั้นมันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก  อย่าออกไปจากที่นี่แล้ว  ไม่อยากจะเผชิญกับบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ
 
               
“รักไผ่มากสินะ  ถ้าหากฉันทำอะไรสุดที่รักคนนี้ของแกเข้า  อยากจะรู้จังว่าแกจะทำหน้ายังไง”
 
               
ว่าแล้วเอฟก็มองหน้าชายสูทดำที่ยืนอยู่สามคนแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณอะไรบ้สงอย่างและชายเหล่านั้นก็พยักหน้ารับทราบ  หนึ่งในนั้นเข้ามายืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังพี่แทมิน  ใช้ผ้าผูกปากเอาไว้เหมือนเดิมและอีกสองคนก็จับแขนทั้งสองข้างของผมลงบนเตียงทำให้ผมไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจ  เอฟขึ้นคร่อมบนตัวผมแล้วส่งยิ้มที่ตัวผมตอนนี้รู้สึกหวาดระแวงเป็นที่สุด
 
               
“ดูจากรอยคิสมาคที่คอนี่แสดงว่ามันเพิ่งเกิดได้ไม่นาน”
 
               
แล้วเขาก็ปลดกางเกงของผมออกจนหมด  ตอนนี้ช่วงล่างของผมไม่มีอะไรปิดเอาไว้อีกแล้ว
 
               
เอฟจ้องหน้าชายสูทดำทั้งสองที่จับแขนผมกดแล้วพวกเขาทั้งสองก็ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่จับขาของผมยกและแยกออกเพื่อให้เอฟให้เห็นอย่างถนัดตา
 
               
“หืมมม  สีสวยใช้ได้เลยนะ”
 
               
แล้วเอฟก็ใช้นิ้วของเขาสอดเข้าไปในช่องทางของผม
 
           
“อ่ะ  อย่านะ  เอาออกไป  อึ่ก  อื้อ!”
 
               
พี่แทมินพยายามดิ้นทันทีที่เห็นการกระทำของเอฟแต่ก็พูดชายสูทดำที่ยืนอยู่ด้านหลังจับเอาไว้จึงทำได้แค่ส่งเสียงออกมาเท่านั้น
 
               
“ดูสิ  แปบเดียวก็เข้าไปได้สุดแล้ว  ไผ่  นี่เธออ้าขาให้แทมินกี่ครั้งแล้วล่ะ  มันถึงได้หลวมขนาดนี้”
 
               
จากหนึ่งนิ้วก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยจนถึงสี่นิ้ว  อีกมือหนึ่งของเขาเข้ากุมส่วนอ่อนไหวของผมและรูดขึ้นลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
 
               
“อื้อ  พอที...อ๊า!”
 
           
น้ำสีขาวขุ่นถูกปลดปล่อยออกมาและเอฟก็ชักนิ้วทั้งสี่ออกมา
 
               
“เป็นยังไงบ้างกับความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยจากมือของคนอื่นที่ไม่ใช่คนรัก”
 
               
เอฟหัวเราะให้กับผมที่หอบน้อยๆเพราะได้ปลดปล่อยออกมา...มันน่าขำมากนักหรือไงกันกับเรื่องแบบนี้  เขาสนุกใช่ไหมกับการกระทำที่เรียกได้ว่าข่มขืน!!
 
               
....
 
               
อา...จริงสินะ  ข่มขืน...
 
               
อีกแล้วเหรอ...
 
               
นี่ผมกำลังโดนขืนใจอีกแล้วใช่ไหม...ทำไมผมถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย  แถมยังต่อหน้าพี่แทมินอีก  ตัวมันยังสกปรกไม่พออีกหรือไง
 
               
หยดน้ำตาเริ่มไหลออกทางห่างตา  โชคชะตาที่โหดร้ายนี้จะต้องเกิดขึ้นไปต่อไปอีกนานแค่ไหนกัน...แล้วเมื่อไหร่เขาจะพบกับความสุขเสียที
 
               
เอฟโน้มตัวลงประทับรอยจูบตามตัวของผมและกัดยอดออกของผมอย่างแรงจนผมสะดุ้ง
 
               
“เจ็บ!!!”
 
               
แต่ถึงผมจะพูดเขาก็ยังคงกระทำต่อไป  จากข้างหนึ่งก็ย้ายมาอีกข้าง  ส่วนนิ้วมือของเขาก็ยังคงสอดแทรกเข้ามาในช่องทางนั้น...ขยะแขยงเหลือเกิน  ได้โปรดเถอะ  เอามันออกไปที  ปล่อยผมไปที!!!
 
               
แต่แล้วอยู่เอฟก็หยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมยันตัวขึ้น  ล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง  เมื่อมองมือถือในมือตัวเขาก็ยิ้มน้อยและรับสาย
 
               
“ว่าไง  ตัดสินใจได้แล้วสินะ”
 
               
“(....เสียงคู่สาย...)”
 
               
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเจอกันที่เดิมที่เราตกลงกันไว้ก็แล้วกัน”
 
               
เอฟกดวางสายและใส่มือถือเอาไว้ที่เดิมและส่งยิ้มให้ผม
 
               
“เอาล่ะหมดเวลาของการเล่นสนุกฆ่าเวลาแล้ว  ฉันจะปล่อยพวกเธอไป^^”
 
               
ทันทีที่เขาพูดจบ  ชายสูทดำทั้งสามก็ออกห่างจากตัวของผมและแก้มัดให้พี่แทมิน  พี่แทมินรีบตรงเข้ามาหาผมทันทีและส่งกางแกงของผมที่วางอยู่ข้างตัวให้
 
           
“นี่มึงกำลังเล่นตลกอะไรกันอยู่!”
 
               
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง  รีบไปซะสิก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจฆ่าแกทิ้ง”
 
               
ผมสวมกางเกงเสร็จก็จับแขนขแงพี่แทมินแล้วเขย่าเป็นเชิงให้รีบไปจากที่นี่
 
               
“ไปกันเถอะพี่แทมิน  ผมไม่อยากอยู่ที่นี่”
 
               
ผมพยายามพาพี่แทมินให้ออกมาจากที่นั่น  ไปให้ไกลที่สุด  กลับไปยังบ้านของพี่แทมิน
 
               
พวกผมเรียกแท็กซี่กลับ  เมื่อถึงบ้านเถ้าแก่ก็รีบออกมาจากบ้านทันที
 
               
“ให้ตายสิ  หายไปไหนกันมา  รู้ไหมนี่กี่โมงแล้ว  เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ  จะไปไหนก็บอกกันสิ  ฉันเป็นห่วง”
 
               
“พ่อ...”
 
               
“อะไร  มีอะไรจะแก้ตัว”
 
               
“พวกผมโดนไอ้เลวนั่นจับตัวไป”
 
               
“....อะไรนะ  แล้ว...แล้วมันทำอะไรบ้างรึเปล่า  แทมิน  ไผ่  ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
 
               
เถ้าแก่ดูร้อนรนแสดงอาการเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
 
               
“พ่อ  ขอผมกับไผ่เข้าห้องก่อนได้ไหมแล้วพรุ่งนี้ผมจะเล่าให้พ่อฟัง  ได้ไหม”
 
               
“อา...อืม  ไปเถอะ  ทำใจให้สบายนะ  มีอะไรก็เรียกพ่อก็แล้วกัน”
 
               
พี่แทมินพาผมเข้าไปในห้องของเขา  และให้ผมนั่งลงบนเตียง  พี่แทมินปลดกระดุมและถอดเสื้อผมออกเผยให้เป็นรอยแดงหลายรอยบริเวณอกและคอของผม  พี่แทมินมองและเข้ากอดผมพร้อมพูดด้วยเสียงสั่น
 
               
“ขอโทษนะไผ่  เพราะฉัน...เป็นเพราะฉันทำให้ไผ่ต้องเจอเรื่องแบบนี้”
 
               
ผมกอดเขาตอบ  และซบหน้าลงบนอกของเขา  ความกลัวในใจของผมค่อยหายไป  ตอนนี้ผมไม่อยากจะนึกถึงเรื่องนั้น  เพราะฉะนั้นอย่าพูดอีกเลย
 
               
“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย  อย่าคิดมากเลยนะครับ”
 
               
ผมจูบเขาเป็นการปลอบ
 
               
“ไผ่...ฉันจะลบรอยของไอ้เลวนั่นออกไปให้หมด  ฉันอยากร่างกายของไผ่มีแต่รอยของฉันเท่านั้น  ได้ไหม”
 
               
ผมจับเอาฝ่ามือของพี่แทมินขึ้นมาแตะที่แก้มของผม
 
               
“ผมเองก็ไม่ชอบที่จะต้องมีรอยของคนอื่นที่ไม่ใช่พี่แทมินอยู่บนตัวของผมเหมือนกัน  พี่ช่วยลบรอยพวกนั้นให้ผมหน่อยนะครับ”
 
               
พี่แทมินยิ้มให้ผมและช่วยลบรอยต่างๆนั้นตลอดค่ำคืน....
 
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องนี้อ่านแล้วบีบหัวใจสุดๆ เสียน้ำตาไปหลายตอน

อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วค่ะ(ไม่รวมตอนพิเศษนะ)  คงไม่มีอะไรให้เศร้าแล้ว(มั้ง?)

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 38 P.4) [11/05/2013]
«ตอบ #94 เมื่อ14-05-2013 20:02:23 »

อึดอัดโว้ยยยยยย สนุกมากจ้าาา เลือกสงสารใครดีละ เลือกไม่ถูกเลยยยยยย

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 39 P.4) [16/05/2013]
«ตอบ #95 เมื่อ16-05-2013 20:15:59 »

ตอนที่ 39  คำว่ารัก...ที่ไม่มีวันได้มา (Taemin talk)



“พี่แทมิน  พี่แทมินตื่นสิ”
 
               
เสียงปลุกในยามเช้าทำให้ผมลืมตาขึ้นตาเสียงนั้น  สิ่งแรกที่ผมเห็นคือสายตาของร่างในอ้อมกอดที่จับจ้องผมอยู่  น่ารักจัง...
 
               
“เช้าแล้วนะ  ปล่อยผมสิ  ผมจะได้ไปอาบน้ำ”
 
               
ผมกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
 
               
“จะรีบอาบไปไหนล่ะ  ขอนอนต่ออีกสักพักได้ไหม^^”
 
               
“ไม่เอา - -^”
 
               
“T^T”
 
               
เฮ้อ...สงสัยจะรู้สึกดีขึ้นแล้วสินะถึงได้พูดแบบนี้  ทั้งๆที่เมื่อคืนยังว่าง่ายเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆอยู่เลยแท้ๆ -*-
 
               
ไผ่ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้ว  เหลือเพียงผมที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง
 
               
ความสัมพันธ์ของพวกผมพัฒนาไปมาก  ไผ่เองก็ดูจะไม่เกรงอกเกรงใจผมมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว  มันก็ดีอ่ะนะ  แต่พอมาคิดๆดูแล้วเป็นแบบเมื่อก่อนก็น่ารักดี  ยอมผมแทบทุกอย่างเลย  แต่ว่าสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ...คำบอกรักจากปากของไผ่  จนถึงตอนนี้ไผ่ก็ยังไม่บอกคำว่ารักกับผมเลยสักคำ  ที่ผมบอกไปว่า  ถึงไผ่จะไม่รักก็ไม่เป็นไร  ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างในฐานะพี่ชายก็เพียงพอแล้ว  มาคิดดูตอนนี้มันชักจะไม่ดีซะแล้วสิ  ไผ่ไม่ได้ผิดหรอกที่ไม่ได้บอกรักผมเพราะไผ่ได้พูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบางทีอาจจะไม่สามารถรักใครได้อีก  แต่ตัวผมนี่สิ  ยิ่งนานวันความรู้สึกอยากครอบครองหัวใจของไผ่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  อยากได้ยินคำว่ารักจากปากของไผ่จังเลย...
 

"นี่ ไผ่"
 
               
ผมเรียกไผ่เมื่อไผ่เดินออกมาจากห้องน้ำ
 
               
"ครับ?"
 
               
"ตอนนี้ไผ่รู้สึกยังไงกับฉัน  บอกหน่อยได้ไหม"
 
               
"อืมมมม"
 
               
ไผ่ทำท่านึกอยู่สักพักก็ยิ้มให้ผม  นี่...รึว่า
 
               
"ผมก็ชอบพี่ไงครับ"
 
               
"-*-"
 
               
"อ้าว  ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ"
 
               
"อ่า  ป่าวๆ  ไม่มีอะไร"
 
               
เฮ้อ...จริงสินะ  ผมนี่แย่จริงๆ  รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังไปถามเขาอีก  แค่การที่ไผ่บอกว่าชอบนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว  ยังจะโลภอีกทำไมกัน
 
               
"ไผ่!  มีเพื่อนมาหา  ลงมาหน่อยสิ"
 
               
เสียงพ่อตะโกนมาจากชั้นล่าง
 
               
เพื่อนงั้นเหรอ...เซนล่ะมั้ง  ไผ่ลงไปตามคำเรียกของพ่อ  ส่วนผมเองด้วยความอยากรู้เลยตามลงไปด้วย  และผมก็คิดไว้ไม่ผิด  เซนมาหาไผ่จริงๆ
 
               
"หวัดดีไผ่^^"
 
               
"มีอะไรเหรอเซน"
 
               
"ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อยน่ะ"
 
               
แล้วเซนก็หันมามองหน้าผม
 
               
"ตามลำพัง^^"
 

"-*-"
 
               
เวรกรรม  เรื่องอะไรผมต้องไป  ก็ผมไม่ไว้ใจเจ้าเซนมันนี่นา
 
               
เมื่อไผ่เห็นว่าผมไม่มีท่าทีจะไปสักที  ไผ่ก็มองผมด้วยสายตาเย็นเฉียบที่ตัวเองถนัดใส่ผม
 
               
"ง่า...ไปก็ได้จ้าT^T"
 
               
ผมเดินคอตกกลับขึ้นไปบนห้อง  เดี๋ยวนี้ไผ่ไม่ค่อยจะเกรงใจผมแล้วจริงด้วย  อย่างสายตาเมื่อกี้ไผ่ก็ไม่เคยทำใส่ผมเลยสักครั้ง  ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี้ย
 
               
ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงและหันดูนาฬิกาตลอด  นี่มันปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ  ยังคุยกันไม่เสร็จอีกเหรอไงกัน  แล้วคุยอะไรกันนักหนานะ  อยากรู้เฟ้ย...ทนไม่ไหวแล้ว  ต่อให้ไผ่โกรธก็ยอมล่ะ
 
               
ผมออกจากห้องเดินลงไปชั้นล่างแต่ไม่มีใครอยู่...ไปไหนกันล่ะ  หรือว่าจะอยู่หน้าร้านผมเดินออกไปเกือบจะถึงหน้าร้านแต่ก็ไม่พบใครอยู่สักคน  หายไปไหนแล้วเนี้ย -*-
 
               
ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าทั้งสองคนอยู่ที่ไหน  ก็ได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆดังมาจากข้างร้านผมจึงเดินไปดู  และก็เห็นทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ข้างบ้านของผม
 
               
จะโดนหาว่าสอเสือใส่เกือกก็ช่างมันเถอะ  แต่มันคาใจจริงๆ  ผมยืนแอบอยู่ตรงพุ่มไม้หน้าบ้าน  เพื่อจะได้ยินทั้งสองคุยกันได้ชัดยิ่งขึ้น
 
               
แต่ว่าทำไมไผ่ถึงหน้าแดงล่ะ  ไม่สบายงั้นเหรอ  เหรอว่าเซนมันทำอะไรไผ่...แล้วไผ่ยิ้มให้เซนทำไมล่ะ
 
               
"ฉันขอบอกนายอีกครั้งนะไผ่  ฉันรักนาย"
 
               
เฮ้ยยยยย  อะไรกัน  มันเกิดอะไรขึ้น  เซนสารภาพรักกับไผ่!
 
               
"ฉันเองก็รักนายมาตลอดเลยนะ  รักมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
 
               
เหมือนมีไฟฟ้าช็อต  ตัวผมนิ่งสนิท ไผ่ตอบรับรักจากเซน...
 
               
คำว่ารักที่ผมต้องการมาโดยตลอดและไผ่เองก็ไม่เคยพูดถึงมัน  แต่คำๆนั้นเซนกลับได้ยินมันได้อย่างง่ายดาย...เจ็บจัง...เจ็บไปหมดแล้ว
 
               
มารู้สึกตัวอีกทีตัวผมก็มาอยู่ที่ห้องเสียแล้ว  ไม่อยากรับฟังอะไรอีก  เพียงแค่นั้นผมก็แทบจะทนมันไม่ไหวแล้ว  ยังไงซะคนที่ไผ่รักก็ยังคงเป็นเซนอยู่วันยังค่ำ  ไม่ว่าผมจะพยายามสักเท่าไหร่มันก็คงไม่มีความหมายอะไรเลยจริงๆ
 
               
เวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่แต่ตัวผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
 
               
ฮะๆ  ทำไมผมต้องนั่งเสียใจด้วยนะ  มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ  ในที่สุดไผ่ก็จะได้มีความสุขเสียทีกับคนที่ไผ่...รัก
 
               
สัมผัสเปียกหยดลงที่มือของผม  และหยดลงมาเรื่อยๆ  นี่ตัวผมกำลัง...ร้องไห้อย่างนั้นเหรอ  ไอ้บ้าเอ๊ย  แกจะร้องไห้ทำไม  มันต้องยิ้มสิ  ควรยินดีกับไผ่สิมันถึงจะถูก!
 
               
แต่ว่าแม้ผมจะคิดอย่างนั้นมันก็ไม่อาจจะหยุดหยดน้ำตานี้ได้เลย   ทำไมกันนะ...ทำไมความรักมันถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้...

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อึดอัดโว้ยยยยยย สนุกมากจ้าาา เลือกสงสารใครดีละ เลือกไม่ถูกเลยยยยยย


ใจเย็นๆจ้า  ยังมีเวลาให้คิดอีก 8 ตอน กว่าจะจบเรื่องนะคะ  ค่อยๆคิดแล้วกันว่าจะสงสารใคร  ไม่แน่ พอตอนหลังๆมาลง จากที่เคยคิดว่าควรสงสารใครอาจจะต้องเปลี่ยนใจก็ได้นะเออ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 40 P.4) [23/05/2013]
«ตอบ #96 เมื่อ23-05-2013 13:22:24 »

ตอนที่ 40 เพราะนายคือเพื่อนของฉัน....คำว่ารักที่โหยหา




“หวัดดีไผ่^^”
 
               
แปลกจัง  เซนมีเรื่องอะไรกันนะถึงได้มาหาผมตั้งแต่เช้า
 
               
 “มีอะไรเหรอเซน”
 
               
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อยน่ะ”
 
               
แล้วเซนก็หันไปมองพี่แทมินที่ยืนอยู่ข้างๆผม
 
               
“ตามลำพัง^^”
 
               
ได้ฟังดังนั้นผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันคงเป็นเรื่องที่สำคัญแน่ๆ  แต่รอแล้วรออีกพี่แทมินก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปเสียที  ทำแบบนี้มันเสียมารยาทนะรู้บ้างไหม  ผมเลยทำตาเขียวใส่พี่แทมินซะเลย
 
               
“ง่า  ไปก็ได้จ้า T^T”
 
               
ในที่สุดพี่แทมินก็ยอมไปเสียที  เมื่อมองดูเห็นว่าพี่แทมินขึ้นชั้นบนไปแล้วผมก็มาเริ่มบทสนทนากันต่อ
 
               
“ไปแล้วล่ะ  นายมีอะไรก็พูดมาสิ”
 
               
“คุยตรงนี้ไม่ค่อยดีหรอกนะเราไปคุยกันข้างนอกเถอะ  ใต้ต้นไม้ข้างร้านก็ได้”
 
               
“อืม”
 
               
แล้วพวกผมก็เดินออกไป  บอกตรงๆเลยว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ไว้ว่างใจเซนอยู่ดี  เซนทำอะไรกับผมเอาไว้  มันยังคงตราตรึงอยู่ในหัวผม  เพราะฉะนั้นผมจึงพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้  และดูเหมือนว่าเซนเองก็จะสังเกตเห็นเหมือนกัน
 
               
“ไม่ต้องไกลขนาดนั้นก็ได้  ฉันไม่กัดนายหรอกน่า”
 
               
“....”
 
               
“ฉัน...ขอโทษนะสำหรับเรื่องที่ผ่านมา”
 
               
“เข้าเรื่องเถอะ  นายต้องการจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ”
 
               
“ฮะๆ  จริงสินะ  สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ....”
 
               
เซนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก้มหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างแล้วหันมายิ้มให้ผม
 
           
“ฉันรักนายนะ”
 
               
หัวใจของผมกระตุกวูบเมื่อได้ยินคำๆนั้น  เซนรักผม...มันจะเป็นไปได้ยังไงกันก็ในเมื่อเซนรักคนๆนั้น
 
               
“ฉันนี่มันแย่จริงๆเลยนะ  ทั้งที่ฉันรักนายมาตั้งนานแล้วแท้ๆแต่กลับโกหกตัวเองอยู่ได้ตั้งนานว่าพวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน”
 
               
“โกหก...นายชอบทิวไม่ใช่เหรอ  นี่หรือว่านายมองฉันเป็นตัวแทนของทิวอีก”
 
               
เซนส่ายหน้า  สายตาของเซนเป็นสายตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน  เป็นชายตาที่มองแล้วชวนให้เศร้าไปด้วย
 
               
“ผิดแล้วล่ะ  ทิวต่างหากที่ฉันเห็นว่าเป็นตัวแทนของนาย”
 
               
“...”
 
               
“ตัวฉันที่โกหกความรู้ของตัวเองมาโดยตลอด  มองเห็นทิวซ้อนทับกับนาย  ความรักของฉันที่มีให้ทิวตั้งมากมายและความหึงหวงที่ทำร้ายได้แม้แต่นาย  ก็เพราะว่าฉันมองทิวเป็นนายไงล่ะ”
               

“ทำไมกัน  ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”
 

“เพราะฉันมันโง่ไงล่ะไผ่  เป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกเหมือนที่พวกเขาว่า  โง่ที่โกหกได้แม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง”
 

“....”
 

“มารู้ตัวเอาอีกทีก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันเปลี่ยนไป  คนเรานี่ก็แปลกเนอะ  จะเห็นคุณค่าของใครสักคนก็เมื่อสูญเสียเขาไปแล้ว”
 

ดวงตาที่เศร้าสร้อยของเซนที่มองมาที่ผม  ผมมองไม่ออกเลยจริงๆว่าเขากำลังโกหกอะไรผมหรือเปล่า  หรือที่เขาพูดมาคือความจริงจากใจของเขากันแน่นะ  ผมกลัวที่จะเชื่อเขา  กลัวจริงๆ
 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิไผ่  ถึงนายจะชอบทำหน้าตายเสมอๆแต่ตัวฉันที่เป็นเพื่อนกับนายมาตั้งแต่เด็กก็ดูออกนะว่านายกำลังลำบากใจ  นายกำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าฉันโกหก”
 

“...ขอโทษ”
 

“ไม่เป็นไรหรอก  คนผิดคือฉันต่างหาก ไผ่...มาถึงตอนนี้  ไม่ว่านายจะยกโทษให้หรือไม่  ฉันก็จะไม่ขอให้นายยกโทษให้ฉันอีกแล้ว  มันแล้วแต่นายนะ”
 

จบคำพูดนั้น  ทั้งผมและเซนต่างก็เงียบ  พวกผมเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วเซนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  จึงล้วงมือลงไปหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกง ตาสายที่เศร้าอยู่แล้วยิ่งเศร้าขึ้นไปอีกเมื่อมองเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา  เซนเก็บมือถือไว้ที่เดิม  แล้วหัวเราะแห้งๆให้ผมทุกครั้งที่เขามีเรื่องไม่สบาย
 

“ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
 

“ดูเหมือนนายจะมีความลับอะไรกับฉันอยู่นะ”
 

“อย่าไปสนใจเลย มันไม่สำคัญหรอก แต่ฉันยังยืนยันคำเดิมนะว่าฉันรักนาย”
 

ผมรู้สึกว่าเซนไม่ได้โกหกผมหรอก  ผมระแวงเขามากเกินไปต่างหากล่ะ  บางทีนี่อาจจะเป็นความจริงจากปากของเซน  แต่ว่านะตอนนี้...ตอนนี้ตัวผมน่ะ...
 

"ฉันขอบอกนายอีกครั้งนะไผ่  ฉันรักนาย"
 

"ฉันเองก็รักนายมาตลอดเลยนะ  รักมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
 

“เหรอ  แต่ฉันว่านายยังบอกฉันไม่หมดนะ^^”
 

“ว้า  รู้ทันซะแล้ว”
 

“พูดมาเถอะ  มันถึงเวลาแล้วล่ะที่พวกเราจะได้เข้าใจความรู้สึกกันจริงๆสักที”
 

“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรักเซนนะ  แต่ว่ามันไม่เหมือนเหมือนก่อนแล้วล่ะ”
 

“เหรอ  แล้วตอนนี้มันเป็นยังไงกันล่ะ^^”
 

“ฉันรักนายเพราะนายคือเพื่อนของฉันไง”

 
“^^”
 

เซนยังคงยิ้มให้ผม  แม้ว่าผมจะปฏิเสธความรักของเขาแล้วก็ตามที
 

“แล้วนายได้บอกรักพี่แทมินแล้วหรือยังล่ะ”
 

“เอ่อ...ก็....ยังเลย >///<”

 
“ฮ่ะๆๆ  อะไรกัน  นี่ยังไม่ได้บอกเขาอีกเหรอ  รีบไปบอกเถอะนะ  อย่าปล่อยให้พี่แทมินรอนานเลยเดี๋ยวจะไม่ดี”
 

“อืม..เซน”
 

“อะไรเหรอ”
 

“นายรู้ว่าตอนนี้ฉันรักใคร  นายไม่เสียใจใช่ไหม”
 

เซนยังคงยิ้มให้ผมเหมือนเดิมแม้ผมจะถามคำถามนั้น
 

“ฉันเคยคิดนะว่าความรักคือการได้ครอบครอง  ตอนนั้นแม้ฉันจะโกรธที่ทิวปฏิเสธฉันแต่ลึกๆแล้วฉันก็แค่ต้องการตัวของนาย  แต่ถ้าคิดว่าความรักคือการที่ได้ครอบครองมันก็คงจะมีปัญหาอีกต่อไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้นฉันขอเลือกที่จะได้เห็นนายมีความสุขจะดีกว่า”
 

“เซน....”
 

“การได้เห็นนายมีความสุข  ฉันเองก็จะมีความสุขนั่นล่ะคือความรักของฉัน  ไผ่...ไม่ว่าอะไรก็ตามที่สามารถทำให้นายมีความสุข  แม้มันจะเจ็บปวดแค่ไหนฉันก็จะทำ”
 

อีกแล้ว...สายตาที่เจ็บปวดนั้น  มันหมายความว่ายังไงกันแน่นะ
 

“ต้องไปจริงๆแล้วล่ะ”
 

เซนตัดบทแล้วดันหลังผมให้เดินไปที่ร้าน
 

“ไปบอกรักพี่แทมินเลยนะ  ตอนนี้เลย  เข้าใจไหม”
 

“เอ่อ  เดี๋ยวสิ  แล้วเซนล่ะ  นายจะกลับบ้านใช่ไหม”
 

“....”
 

“เซน”
 

“...ใช่  ฉันจะกลับบ้าน”
 

เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงกลับเข้าไปในร้านแต่โดยดี  โดยหันมาบอกกับเซนว่า
 

“แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะ”
 

“....อืม แล้วเจอกัน ^^”
 

เมื่อแน่ใจว่าไผ่อยู่ไกลกว่าที่จะได้ยินแล้วเซนก็รำพึงกับตัวเอง
 

“ความผิดของฉันทั้งหมด  ฉันจะชดใช้ให้นาย  เพราะฉะนั้นนายต้องมีความสุขมากๆนะ”
 

เมื่อไผ่เดินกลับเข้าไปในร้านแล้ว  เซนก็เดินออกมาจนถึงสี่แยกเล็กๆที่มีรถปอร์เช่สีดำจอดอยู่ข้างๆ
 

“มาช้าจัง  บอกลาเพื่อนเสร็จแล้วใช่ไหม ^^”
 

“พูดมากน่า”
 

“หึหึ  ฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้ายนะ  แน่ใจแล้วใช่ไหม”
 

“มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะถามอะไรอีก”
 

“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถสิ  ทันทีที่เธอก้าวขึ้นมารถรถคันนี้ฉันจะถือว่าเป็นการเริ่มพันธะสัญญาระหว่างเรา”
 

เซนก้าวขึ้นรถทันทีโดยไม่ลังเล  เอฟหัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ  แล้วขับรถออกไปจากตรงนั้น
 

ผมไม่รู้หรอกว่า  หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ผมจะไม่ได้เจอกับเซนอีก  เซนหายไปจากบ้าน  และไม่ไปโรงเรียน  คุณป้าเองก็แจ้งความและประกาศตามหาตามหน้าหนังสือพิมพ์  แต่ก็ไร้วี่แวว เซนได้หายสาบสูญไปจนกระทั้งอีก  2  ปีต่อมา กว่าผมจะได้เจอเขาอีกครั้งเขาก็...

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 

ผมเดินขึ้นไปชั้นบนเปิดประตูเข้าไปในห้องของพี่แทมิน  พี่แทมินนั่งอยู่บนเตียงนิ่งเลย เป็นอะไรรึเปล่านะ
 

“พี่แทมิน  ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”

 
พี่แทมินยังคงนั่งนิ่ง  อะไรกัน  กำลังเหม่ออะไรอยู่รึเปล่านะ
 

“พี่แทมิน....พี่แทมิน!”
 

พี่แทมินสะดุ้งเมื่อผมเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน
 

“อะ อะไร  อ่าว  ไผ่เองเหรอ”
 

“พี่เป็นอะไรไป  เห็นนั่งเหม่ออยู่ได้  หืม?  ทำไมพี่ตาแดงๆล่ะ”
 

“อ้อ เปล่า  ฝุ่นมันเข้าตาน่ะ”
 

พี่แทมินเอามือขยี้ที่ตา  ทันที
 

“ว่าแต่ไผ่เถอะ ดูอารมณ์ดีจังนะ  ได้คุยกับเซนแล้วเป็นยังไงบ้าง”
 

“ครับ  ก็รู้สึกดีมากๆเลยล่ะ”
 

“เหรอ....”
 

พี่แทมินมีสีหน้าเศร้าลงถนัดตา  วันนี้มันวันอะไรกันนะ  มีแต่คนทำหน้าเศร้า...  ไม่ได้แล้วแบบนี้ต้องทำให้พี่แทมินอารมณ์ดีขึ้น  ถ้าหากพี่แทมินได้ฟังคำๆนี้  ต้องยิ้มแน่ๆ
 

“พี่แทมิน  ผมมีเรื่องจะบอกพี่ด้วยล่ะ”
 

“อะไรล่ะ”
 

“ตอนนี้ผมน่ะ  เข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้วนะ  พี่อยากรู้ไหมว่าผมเข้าใจว่าอะไร”
 

“เรื่องที่ไผ่รักเซนน่ะเหรอ  ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องบอกฉันก็ได้  ฉันรู้ดีอยู่แล้ว”
 

ว่าแล้วพี่แทมินก็ทิ้งตัวลงนอนทันที  นี่มันอะไรกันเนี่ย
 

“เดี๋ยวสิพี่แทมิน  เข้าใจว่ายังไงกัน  ผมยังไม่ทันได้พูดเลยนะ”
 

“อยากจะบอกฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
 

“ครับ ผมอยากบอกพี่มากเลยล่ะ”
 

“ไผ่จะตอกย้ำฉันไปถึงไหนกัน!!!”
 

ผมแทบจะหยุดทุกคำพูดเมื่อพี่แทมินตะคอกใส่ผม  มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว  ผมไปทำอะไรให้พี่แทมินโกรธงั้นเหรอ  นึกไม่ออกเลยจริงๆ
 

“ฉัน...ฉันขอโทษนะ”
 

“พี่เป็นอะไรไปผมไปทำอะไรให้พี่โกรธงั้นเหรอ”
 

“เปล่าหรอก  ไผ่ไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น  คนที่ผิดมันฉันต่างหาก  ไม่ต้องคิดมากนะ”
 

พี่แทมินพูดกับผมโดยไม่มองหน้าผมเลย   แสดงว่าพี่พูดโกหกสินะ  ผมคงทำอะไรผิดไปสักอย่างแน่ๆพี่ถึงได้เป็นแบบนี้...
 

“ถ้าผมทำอะไรก็บอกผมมาเถอะครับ  อย่าเงียบไว้แบบนี้เลย  บอกผมมาสิ...”
 

“ไม่มีอะไรจริงๆ  ไม่มีอะไรทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นอย่าคิดมากเลย”
 

“แล้วทำไมพี่ต้องหลบตาผมด้วย  ขอร้องล่ะบอกผมมาเถอะ  พี่เงียบอยู่แบบนี้ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่”
 

“....คือฉัน  ได้ยินไผ่บอกว่ารักเซนเข้าน่ะ  มันก็เลย”
 

รึว่าที่พวกผมคุยกันเมื่อกี้....
 

“ฮะๆ  อะไรกัน  เรื่องนั้นเองน่ะเหรอ”
 

“ไม่ขำนะไผ่  รู้ไหมว่าฉันคิดยังไงที่ได้ยินคำพูดนั้น”
 

“แล้วยังไงล่ะครับ พี่ได้อยู่ฟังต่อรึเปล่าล่ะ”
 

“ก็...ฉันทนฟังต่อไปไม่ได้ก็เลยออกมาก่อน”
 

“ผมว่าถ้าพี่อยู่ฟังจนจบคงไม่มานั่งเหม่ออยู่แบบนี้หรอกนะครับ”
 

“ไผ่อยากจะบอกอะไรฉันงั้นเหรอ”
 

“พี่ยังจำได้ไหม  ตอนที่พี่บอกว่าชอบผมครั้งแรกและขอผมเป็นแฟน”
 

“อืม  จำได้ ฉันบอกไปว่าคำตอบยังไม่ต้องบอกก่อนก็ได้”
 

“แต่ตอนนี้ผมจะตอบ  ตั้งใจฟังนะครับ”
 

“....”
 

“ผมจะเป็นแฟนกับพี่”
 

“O_o!!”
 

“ผมรักพี่ครับ  พี่แทมิน”
 

“อะ..อะ...อะไรนะ  พูดใหม่  อิ อิ อีกที...ซิ”
 

พี่แทมินพูดติดอ่างขึ้นมาทันที  น่ารักจัง
 

“ผมบอกว่า  ผมรักพี่  ได้ยินชัดรึยัง”
 

“O_o!!!!!!”
 

“พี่แทมิน...ฟังอยู่รึเปล่า  นี่”
 

“นี่ฉัน...ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม  ใช่ไหมไผ่”
 

พี่แทมินจับไหล่ของผมแล้วเขย่าเบา  สายตาจับจ้องมาที่ผมเพื่อต้องการคำตอบ  ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้เขา
 

“ไม่ใช่ความฝันหรอกครับ  ผมรักพี่แทมิน และจะเป็นแฟนกับพี่ด้วย”
 

พี่แทมินเข้ากอดผมทันที หน้าของเขาซุกลงที่ไหล่ของผม
 

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”
 

ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นที่บริเวณไหล่ข้างที่พี่แทมินซุกลงมา  ผมกอดพี่แทมินตอบกลับ
 

“ขอโทษที่ปล่อยให้พี่คอยนานนะครับ”
 

ไม่นานพี่แทมินก็ละจากไหล่ของผมสีหน้าของเขาดีขึ้นมาก
 

“ไผ่  ตกลงเป็นแฟนฉันแล้วใช่ไหม”
 

ผมพยักหน้าตอบ
 

“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกเรียกฉันว่าพี่ได้แล้วนะ  ให้เรียกว่าแทมิน  ไหนลองเรียกซิ^^”
 

“...แท แทมิน”
 

พี่แทมินรีบเอามือปิดตาผมทันที  ยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่
 

“พี่  เอ่อ...แทมิน  ทำอะไรน่ะ  ปิดตาผมทำไม”
 

“อย่ามองนะ ฉันไม่อยากให้ไผ่เห็นหน้าของฉันตอนนี้”
 

“หน้า?”
 

“>///<”
 

“เอามือออกเถอะครับ  ผมอยากจะเห็นหน้าขอแทมินนะ”
 

ผมเอาจับเอามือของแทมินออก เมื่อเห็นหน้าของแทมินผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมคิดผิด!!!
 

“ทำหน้าหื่นจังนะครับ =_=”
 

“ก็ไผ่อยากน่ารักเองทำไมล่ะ”
 

“นี่ผมผิดรึครับ -*-“
 

“นี่ไผ่  พูดอีกครั้งได้ไหมฉันอยากฟังอีก นะ”
 

“ผมรักแทมินครับ ^^”
 

ทันทีที่ผมพูดจบ  แทมินก็ประกบปากลงทีปากของผมทันที  ลิ้นอุ่นๆของเข้าสอดแทรกเข้ามาในโพร่งปากของผม  และมือที่ซุกซนเที่ยวจับนู่นจับนี่(?)  ทำเอาขาของผมอ่อนยวบ
 

“ไผ่  ขอฉันกินนายเป็นมื้อเช้าได้ไหม”
 

“-*-“
 

“เงียบแบบนี้ แสดงว่าได้  งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ”
 

พี่แทมินจัดกันผลักผมให้นอนลงบนเตียงเสียอย่างงั้น
 

“พูดให้ฉันฟังอีกสิไผ่  พูดอีกเยอะๆเลยนะ  ฉันอยากได้ยินคำบอกรักจากปากของไผ่”
 

หลังจากนั้นพวกผมก็...(เชิญจิ้นเอาเองตามสบาย)
 
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 40 P.4) [23/05/2013]
«ตอบ #97 เมื่อ23-05-2013 14:15:15 »

ปตอนนี้สงสารเซน ถึงเวลาชดใช้ให้ไผ่แล้วหรอเนี่ยยย

เซนจะทำไรอ่าาา ตอนแรกแอบนึกว่าจะพลิก เอาเซนกลับมาเป็นพระเอกนะเนี่ยยยย

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 41 P.4) [27/05/2013]
«ตอบ #98 เมื่อ27-05-2013 19:45:26 »

ตอนที่ 41 สิ่งสำคัญที่ถูกลืมเลือน


               
ภายในบ้านที่ไร้ซึ่งแสงไฟ  รถยนต์คันหนึ่งเข้าจอดภายในบ้าน  สองสามีภรรยาก้าวขาลงจารถ  หยิบกุญแจในกระเป๋าเพื่อเปิดประตูบ้าน
 
           
วันนี้พวกเขากลับบ้านช้ากว่าทุกวันเพราะมีการประชุมที่ยาวนานกินเวลาเลิกงานไปหลายชั่วโมง  ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูบ้านเข้ามาปฏิบัติกิจวัตรประจำวันที่เหมือนเดิมทุกวันนั่นคืออาบน้ำและเข้านอน  โดยละจากการทานข้าวเย็นเพราะพวกเขาทานมาจากข้างนอกก่อนถึงบ้านแล้ว
 
               
“ตั้งแต่ทิวกลับไป  บ้านเราดูเงียบไปเลยนะคะคุณ”
 
               
ภรรยากล่าว  หล่อนพูดถูกแล้วตั้งแต่ทิวลูกชายของเธอกลับบ้านที่ต่างจังหวัด  บ้านหลังนี้ก็เงียบจริงๆ  แต่สิ่งที่เธอลืมไปนั้นคือหนึ่งชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี้โดยที่พวกเขาไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย...
 
               
“ผมเริ่มง่วงนอนแล้วล่ะ  รีบอาบน้ำแล้วนอนกันดีกว่านะ  พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานตั้งแต่เช้าอีก”
 
               
สามีเดินนำหน้าภรรยาไปหยิบผ้าขนหนูในห้องนอน  แต่แล้วสายตาก็พลันไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของพวกเขา
 
               
 ‘นั่นมันห้องอะไรกันนะ’  เขาคิด
 
               
“นี่คุณ  ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเรามันห้องอะไรเหรอ”
 
           
สามีตะโกนถามภรรยาที่อยู่ชั้นล่าง  ด้วยความสงสัยภรรยาจึงเดินขึ้นมาดู
 
               
“ห้องเก็บของรึเปล่าคะ”
 
               
“ไม่น่าจะใช่นะ  ก็ห้องเก็บของมันอยู่ชั้นล่างไม่ใช่เหรอ”
 
               
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เปิดเข้าไปดูเลยล่ะคะ  จะได้รู้”
 
               
สามีทำตามคำแนะนำของภรรยา  เขาจับลูกบิดและเปิดประตูออกไป  สิ่งที่เขาพบคือห้องที่มีโต๊ะอ่านหนังสือและเตียงเล็กๆตั้งอยู่  แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือห้องนี้เป็นห้องของใครกัน...
 
               
“นี่คุณ  บ้านเรามีห้องนอนอีกห้องหนึ่งด้วยเหรอ”
 
               
“มันจะไปมีได้ยังไงกันล่ะคะ  ตอนทิวมาทิวก็นอนกับเรานะคะ”
 
               
“ถ้าอย่างนั้นแล้วนี่มันห้องใครกันล่ะ”
 
               
ภรรยาเดินเข้ามาในห้อง  มองข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องทั้งหมด  แต่สิ่งที่มีนอกจากโต๊ะและเตียงนั้นมีเพียงกองหนังสือที่ตั้งอยู่และเสื้อผ้าน้อยชิ้นภายในตู้เท่านั้น
 
               
หล่อนเดินสำรวจโต๊ะเรียนหนังสือ  หยิบหนังสือเล่มต่างๆขึ้นมาดูหวังจะดูชื่อภายในหนังสือพวกนั้นและแล้วเธอก็ต้องพินิจกับชื่อเจ้าของหนังสือเล่มนี่  ชื่อนี้มันชวนให้เธอรู้สึกคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้...
 
               
“คุณคะ  คุณว่าชื่อนี้มันคุ้นๆไหมคะ  นามสกุลก็ของเรานะคะ”
 
               
ภรรยาส่งหนังสือให้สามีดู  สามีพิจารณาอยู่พักหนึ่ง  และก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี  ภรรยาจึงตัดสินใจสำรวจกองหนังสือต่อ  จนไปสะดุดตาเข้ากับอัลบั้มรูปที่ถูกวางซ้อนไว้ล่างสุดและมีฝุ่นจับ  หล่อนหยิบอัลบั้มเล่มนั้นขึ้นมาดู  สิ่งที่เห็นทำให้เธอต้องเอามือมาปิดปากด้วยความใจหาย
 
               
"มีอะไรเหรอ”
 
               
“คุณ...ห้องนี้เป็นห้องของไผ่ไงคะ...”
 
               
“ไผ่...จริงด้วยสิ  ห้องนี้มันห้องของไผ่นี่นา  แล้วไผ่ล่ะ  ไผ่ไปไหน  ทำไมจนป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้าน”
 
           
“ดูจากสภาพห้องที่มีฝุ่นแล้ว  ฉันคิดว่าไผ่คงไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้วล่ะค่ะ”
 
               
“แล้วไผ่หายไปไหนล่ะคุณ”
 
               
“ไผ่หายไปไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว  แต่พวกเราก็เพิ่งจะมารู้ตัวกันนะคะ...”
 
               
“นี่คุณหมายถึงอะไร”
 
               
ภรรยาไม่สนใจคำพูดของสามี  ยังคงเปิดดูอัลบั้มรูปต่อไป  รูปภายของทารกตัวน้อยสองคนถ่ายคู่กัน  ดูแล้วช่างน่ารักน่าเอ็นดู  เธอยิ้มเมื่อนึกถึงลูกตัวน้อยของเธอทั้งสองเมื่อครั้งที่เธออุ้มและมองดูเด็กทั้งสองหลับตาพริ้มในอ้อมอก  แต่ล่ะหน้าที่เปิดผ่านความทรงจำให้วันวานที่เคยลืมเลือนก็ค่อยๆกลับมาจนกระทั้งหน้าถัดไปเป็นเพียงความว่างเปล่า  ถัดจากภาพทารกก็ไม่มีรูปใดๆอีกแล้ว  เธอจึงสำรวจโต๊ะอีกครั้ง  แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจอีกจนกระทั้งเธอเปิดลิ้นชักล่างสุด  และพบกับกองเอกสารมากมาย  เธอหยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาพิจารนาดูแล้วจึงส่งให้สามีของเธอดูบ้าง  ส่วนเธอก็เอาแต่ก้มหน้า
 
               
“นี่มันใบเกรด  แล้วนี่ก็เอกสารประชุมผู้ปกครอง  ทำไมมันเยอะขนาดนี่ล่ะ”
 
               
“คุณคะ...ลูกของเราเรียนเก่งถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ...”
 
               
น้ำเสียงที่สั่นเครือของภรรยาเอ่ยพร้อมกับหยดน้ำตาที่เริ่มคล่อเบ้าตา
 
               
“พวกเราลืมสิ่งที่สำคัญมากไปได้ยังไงกันคะ  ทั้งฉันแล้วก็คุณ...พวกเราลืมได้ยังไงกันล่ะคะ”
 
               
เสียงที่สั่นมากขึ้นและหยดน้ำตาที่เริ่มจะกลั้นไว้ไม่อยู่เริ่มหลั่งไหล  สามีจึงได้แต่กอดเพื่อปลอบประโลมเท่านั้น
 
               
“นี่คุณ...”
 
               
ภรรยาเอ่ยเสียงถามสามีของเธอ
 
               
“ยังจำได้ไหม  ตอนที่ทิวมาที่บ้านแล้วพวกเราเซอร์ไพรวันเกิดให้ทิวน่ะ”
 
               
“จำได้สิ  แล้ววันนั้นก็เป็นวันเกิดของไผ่ด้วยแต่พวกเราก็ลืมไปเสียสนิทเลย”
 
               
“ทั้งที่ๆพวกลูกเป็นฝาแฝดกันแท้ๆ  แต่ทำไมฉันถึงลืมได้นะ  ฉันนี่มันแย่จริงๆเลย  เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย  ฮึ่ก..ฮือ”
 
               
“อย่าร้องสิ  ใจเย็นๆนะ  ทำใจให้สบาย”
 
               
“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาล่ะคะ  ไผ่จะเป็นยังไง  ก็พวกเราน่ะ  ไม่เคย...จัดงานวันเกิดให้แกเลยสักครั้ง  ไม่เคยให้ของขวัญเลยสักชิ้น...ไผ่จะรู้สึกยังไงล่ะคะ”
 
               
“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลยนะคุณ  ไว้ปีหน้าพวกเราค่อยจัดกันใหม่ก็ได้นี่  อย่าร้องไห้เลยนะ”
 
               
สามีพยายามกล่อมให้ภรรยาใจเย็นขึ้นแต่แล้วเธอก็ผละตัวออกมาจากอ้อมอกของคนรัก
 
               
“ปีหน้ารึคะ  คุณบอกว่าปีหน้า  แต่ตอนนี้ไผ่อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้รึคะ...”
 
               
“พรุ่งนี้เราค่อยไปหาที่โรงเรียนเอาก็ได้นี่  ไม่เป็นไรหรอกนะ”
 
               
“โรงเรียน...แล้วไผ่อยู่โรงเรียนอะไรล่ะคะ  แล้ว...แล้วเขาเรียนอยู่ชั้นไหนกันแล้วคะ  แม้แต่ชื่อจริงของลูกฉันยังจำไม่ได้เลย”
 
               
“ในใบเอกสารพวกนี่ก็มีนี่  นี่ไงใบเกรดก็มีชื่อโรงเรียน  ไว้พวกเราไปหาลูกกันนะ”
 
               
สามีพยายามปลอบประโลมภรรยา  พาเธอกลับไปที่ห้องนอนเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์เอาไว้  ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ทุกข์ร้อนกับการหายตัวไปของลูกชาย  เขาก็กังวลไม่แพ้กัน  หากแต่ว่าถ้าเขามีอาการลนลานไปด้วยอีกคนคงไม่ใช่เรื่องแน่ๆ
 
               
ค่ำคืนนั้นสองสามีภรรยาได้คิดถึงสิ่งสำคัญที่พวกเขาลืมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  เหตุใดกันนะ  พวกเขาถึงได้ลืมลูกชายอีกคนหนึ่งไป  แต่ลูกชายที่พลัดพรากกลับจำได้แม่นยำ  เฝ้าคิดถึงและหวงหาอยู่ตลอดเวลา
 
               
ภรรยาที่เอาแต่ร้องไห้ไม่นานก็เหนื่อยและผล็อยหลับไปเอง  แต่สามีได้แต่คิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา  เขายังจำได้ดีเมื่อครั้นตอนที่เจ้าลูกชายตัวน้อยอยู่รอพวกเขาไม่หลับไม่นอนอยู่รอพวกเขาเพียงเพื่ออยากบอกสิ่งที่อยากทานในตอนเช้า  และเสียงร้องไห้ในยามนั้น   หลังจากวันนั้นเขาก็แทบจะไม่ได้พบหน้าลูกชายของเขาเลย  เด็กคนนั้นโตขึ้นถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...
 
               
บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไปพบทิวลูกชายอีกคนอยู่บ่อยครั้งทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตถึงการเติบโตของไผ่  เพราะทั้งสองเหมือนกัน...เพราะทั้งสองคือฝาแฝดกันจึงทำให้เขาไม่ได้สนใจ  บ้านของแม่ที่ทิวได้ไปอาศัย  เต็มไปด้วยรูปถ่ายครอบครัวที่พวกเขาถ่ายด้วยกันสามคนอย่างมีความสุข  แต่บ้านหลังนี้กลับไม่มีรูปถ่ายที่เรียกได้ว่าครอบครัวเลยสักใบ...
 
               
แล้วไหนจะเรื่องโรงเรียนอีก  ไผ่ไม่เคยรบกวนพวกเขาเลย  จะมีก็แต่ใบค่าเทอมที่วางอยู่บนโต๊ะรอให้พวกเขาวางเงินไว้ให้แต่ว่าช่วงสามปีที่ผ่านมาก็ไม่มีใบค่าเทอมพวกนั้นอีกแล้ว  ลูกชายของเขาไปเอาเงินจากไหนจ่ายค่าเทอมกัน  แล้วไหนจะเรื่องเงินค่าขนมไปโรงเรียนอีก  มันนานเสียจนจำไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องวางเงินจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะทุกเช้าก่อนไปทำงาน  นานเสียจนลืมไปแล้วจริงๆว่านั่นคือเงินค่าขนมของไผ่  เรื่องเอกสารพวกนั้นก็ด้วย  เอกสารประชุมผู้ปกครองและเอกสารขออนุญาตเข้าค่าย...ไผ่ไม่เคยให้เอกสารพวกนี้แก่เขาเลย  ไม่เคยเลยจริงๆ...
 
               
 ‘คุณคะ...ลูกของเราเรียนเก่งถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ...’
 
           
คำพูดของภรรยายังคงวนเวียน  นั่นสินะ...ลูกชายของเขาเรียนเก่งถึงขนาดนี้เชียวเหรอ  เกรดสี่จุดศูนย์เป็นเกรดที่พวกเด็กๆภูมิใจและพากันอวดให้พ่อแม่ของพวกเขาดู  แต่ไผ่ไม่...  ไผ่ไม่แม้แต่จะส่งหรือวางบนโต๊ะให้พวกเขาดู...

               
ทำไมน่ะเหรอ...
 
               
ก็เพราะรู้น่ะสิว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมายินดีหรือดีใจไปกับคะแนนของเขา  ไม่มีใครอยู่ชื่นชมเขาเลย  เพราะพวกเขาเอาแต่ยุ่งกันงานมาตลอดเกือบทั้งชีวิต...
 
               
หยดน้ำตาของผู้เป็นพ่อเริ่มรินไหล  ทั้งๆที่พยายามอดกลั้นมาโดยตลอด  แต่ตอนนี้มันถึงที่สุดเสียแล้วเมื่อได้คิดถึงเรื่องราวต่างๆของลูกชายที่ถูกพวกเขาลืม...
 
               
ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ไผ่...ลูกชายของเขาเป็นอย่างไรบ้างนะ.....
 
               
วันเกิดทุกปีที่ผ่านมา  ไผ่จะคิดอย่างไรนะ....
 
               
หากค่ำคืนไหนที่ฝันร้าย  ไผ่จะร้องไห้ไหมนะ...
 
               
ในยามที่เหงา  ไผ่จะร้องเรียกหาพวกเขาบ้างไหมนะ....
 
               
แล้วเสื้อผ้าล่ะ  ใครเป็นคนซื้อให้ไผ่ใส่  ใครพาไปล่ะ  แล้วไผ่เอาเงินจากไหนไปซื้อกันนะ...
 

แล้วอาหารล่ะ  ตอนเย็นไผ่ทานอะไรบ้าง  ใครเป็นคนทำให้ไผ่กัน  หรือว่าไผ่จะทำเองกันแน่...
 

แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะ  ใครเป็นคนจัดการให้  ใครเป็นคนพาไผ่เข้าเรียนในชั้นประถมและชั้นมัธยมกันนะ...
 

เวลาเขาอยู่ที่โรงเรียน  มีเพื่อนไหม  จะโดนเพื่อนรังแกรึเปล่านะ....
 

แล้วตอนนี้....

               
ไผ่อยู่ที่ไหนกันนะ.....
 
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จบตอนเวิ่นเว่อ ที่แสนจะหาความเป็นจริงไม่เจอ... :katai5:

ปตอนนี้สงสารเซน ถึงเวลาชดใช้ให้ไผ่แล้วหรอเนี่ยยย

เซนจะทำไรอ่าาา ตอนแรกแอบนึกว่าจะพลิก เอาเซนกลับมาเป็นพระเอกนะเนี่ยยยย

เซนจะทำอะไร  อีกไม่กี่ตอนข้างหน้า มีคำตอบแน่นอนค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 41 P.4) [27/05/2013]
«ตอบ #99 เมื่อ28-05-2013 11:32:28 »

พ่อแม่กว่าจะสำนึกได้ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งสงสารไผ่ ใจร้ายกันเกินไปรึเปล่า

ไม่รับรู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งคอยอยู่ที่บ้าน คำขอสุดท้ายคือ ตอนเช้าอยากกินอะไร

คนนึงอยู่ไกล แต่มีพ่อแม่ที่รักเสมอ คนที่อยู่กลับถูกลืมเลือนไปหมดหัวใจ ใจร้าย พ่อแม่แบบนี้ก็มีด้วย

ไม่อยากจะคิดไม่ดีเลย อยากให้พ่อแม่เจ็บปวดกับการกระทำของตัวเองให้มากกว่านี้

ละเลยคนที่อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ลืมกันขนาดนี้ อยากให้เจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ แลดูอกตัญญู

แต่เราอยากให้เค้านึกถึงไผ่มากกว่านี้จริงๆ กลัวว่าเจ็บนิดๆ อภัยง่ายๆ เด๋วก็เป็นเหมือนเดิมม

รอเรื่องเซนอยู่นะจ๊ะ :katai1:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 41 P.4) [27/05/2013]
« ตอบ #99 เมื่อ: 28-05-2013 11:32:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 41 P.4) [27/05/2013]
«ตอบ #100 เมื่อ28-05-2013 22:27:54 »

 :hao5: ไผ่กับแทมินมีความสุขสักที

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 42 P.4) [30/05/2013]
«ตอบ #101 เมื่อ30-05-2013 20:19:38 »

ตอนที่ 42  ข่าวสารของทิว

            “กลับมาแล้วเหรอไผ่^^”
 
            เสียงเอ่ยทักทุกครั้งที่ผมกลับมาจากโรงเรียนของคนที่บัดนี้ได้เป็นสถานะจากพี่ชายเป็นคนรักฟังดูแล้วยังคงอบอุ่นอยู่เสมอ...ไม่สิ  อบอุ่นมากกว่าเดิมเสียอีก
 
                “กลับมาแล้วครับ  แทมิน”
 
                “ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจัง  หืม?  ทำไมทำหน้าไม่ค่อยดีเลยล่ะ  เกิดอะไรขึ้นรึไผ่”
 
                “เซนครับ...วันนี้เซนไม่มาเรียน”
 
                “อาจจะไม่สบายก็ได้มั้ง”
 
                “คงงั้นมั้งครับ  แล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น  วันนี้พวกเขา...มาหาผมที่โรงเรียน”
 
                “พวกเขา?  เขาไหนล่ะไผ่  หรือว่า  ไอ้เลวนั่น!”
 
                ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
 
                “ไม่ใช่คนๆนั้นหรอกครับ  คนที่ผมเคยเรียกว่าพ่อกับแม่ต่างหาก”
 
            “แล้วไผ่ได้ไปพบพวกเขารึเปล่า”
 
                “ผมไม่อยากเจอก็เลยโดดเรียนกลับมาที่นี่...”
 
                “โดดเรียนเหรอ - -^^^”
 
                “>.<!!”
 
                แทมินที่ทำหน้าเหมือนจะเอาเรื่องที่ผมโดดเรียนนี่น่ากลัวจังเลย...แต่แล้วฝ่ามือที่อบอุ่นของเขาก็เอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆ
 
                “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ  เข้าใจไหม”
 
                “...ครับ”
 
                “เอาล่ะ  พวกเราออกไปเดทกันเถอะ^^”
 
                “เอ่ะ  เดท?”
 
                “ก็พวกเราเป็นแฟนกันแล้วนี่  ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ  ฉันจะรออยู่ข้างล่าง”
 
                ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่แทมินบอก
 
                เดทงั้นเหรอ...พวกผมเพิ่งเริ่มเป็นแฟนกันเมื่อวานนี้เองนี่นา   >///<
 
            หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็ลงมาหาแทมินที่นั่งรออยู่ที่ม้านั่งหน้าร้าน
 
                “เราจะไปไหนกันดีล่ะครับ”
 
                “อืมมม  อีกไม่นานก็ได้เวลาทำงานของไผ่แล้วนี่นา  เอาเป็นว่าพวกเราเดินเล่นกันแถวนี้ก่อนก็แล้วกัน  แล้ววันหลังค่อยพาไปที่ๆไกลกว่านี้ ^^”
 
                แทมินจับมือผมและพาเดินเข้าไปในบริเวณโคเรียทาวน์  มาคิดๆดูแล้วมันก็น่าแปลกเหมือนกัน  ผมกับแทมินมักเดินมาที่ตลาดในโคเรียทาวน์หลายครั้งแล้วแต่ว่าครั้งนี้กลับรู้สึกแตกต่างไปจากที่ผ่านๆมา  หรือจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของพวกผมกันนะ
 
                “ไผ่”
 
                “ครับ”
 
                “วันเสาร์นี้ไปทะเลกันเถอะ  ฉันอยากเล่นน้ำทะเลแล้วก็เดินตามชายหาดกับไผ่  ดีไหม”
 
                “ดีครับ  ผมยังไม่เคยไปทะเลมาก่อนเลย  อยากจะไปดูสักครั้งเหมือนกัน”
 
                “O_o!!!”
 
                “-*-“
 
                “นี่ไผ่ยังไม่เคยไปทะเลงั้นเหรอ”
 
                “ครับ  ก็ตั้งแต่เด็กพวกเขาเอาแต่ทำงานก็เลยไม่เคยพาผมไปเที่ยวที่ไหนเลย  นอกจากเส้นทางจากบ้านถึงโรงเรียน  บ้านของแทมิน  แล้วก็ตอนไปบ้านญาติของเซนที่นครปฐมเท่านั้นเอง”
 
                แทมินกระชับกุมมือของผมแน่นขึ้นและหยุดเดินหันมามองตาผม
 
                “ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นคนพาไปเอง  ไม่ว่าจะเป็นทะเล  หรือที่ไหนๆ  แค่เพียงไผ่ต้องการ”
 
                “แต่ผมไม่อยากรบกวน...”
 
                “ไม่มีคำว่ารบกวนอะไรทั้งนั้น  ไผ่เป็นทั้งคนในครอบครัวและเป็นแฟนของฉัน  เพราะฉะนั้นเลิกพูดคำๆนี้อีกนะ”
 
                ผมพยักหน้ารับรู้คำพูดของเขา  ผมควรจะปรับปรุงตัวเองเสียทีตอนนี้แทมินไม่ใช่คนอื่นสำหรับผมอีกแล้ว....
 
                ผมกับแทมินเดินดูสินค้าในตลาดก็มีชายหนุ่มวัยกลางคนผิวคล้ำคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเหมือนชาวไร่ในมือถือกระดาษใบเล็กสีขาวเที่ยวถามคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้น  จนกระทั้งพวกผมเดินเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่ชายคนนั้นยืนอยู่  เขาก็ตกใจทันทีที่เห็นหน้าของผม
 
                “ไอ้ทิว!  ไซมึงมาอยู่นี่ได้”
 
                ทิว...ชื่อที่ผมไม่ได้ยินเสียนาน  แต่ตอนนี้ก็ได้ยินมันอีกครั้ง
 
                “ขอโทษนะครับ  ผมไม่ได้ชื่อทิว”
 
                ชายคนนั้นพิจารณามองผมอีกครั้ง  เขาก็รีบยกมือไหว้ขอโทษผม
 
                “โทษนะครับ  ลุงคงทักคนผิด  แต่คุณเหมือนคนที่ลุงรู้จักมากเลยครับ  เอ่อ...ว่าแต่คุณรู้จักที่อยู่ในกระดาษนี่ไหมครับ”
 
                เขายืนกระดาษใบนั้นให้ผมดู  และผมก็เดาไม่ผิด  นั่นเป็นที่อยู่บ้านผมเอง....
 
                “คุณลุงมีธุระอะไรกับคนบ้านนั้นเหรอครับ  ดูๆไปแล้วคุณลุงก็ไม่ใช่คนแถวนี้นะครับ”
 
                “อ้อ  คือลูกชายบ้านนั้นเขาป่วยอยู่ที่โรงบาล  ว่าจะติดต่อพ่อแม่มัน  แต่มันก็ไม่ยอมบอกเบอร์โทรศัพท์  ย่ามันก็เลยฝากลุงให้มาบอกแทน”
 
                ป่วย...คนชื่อทิวกำลังป่วยงั้นเหรอ
 
                “ไผ่...”
 
            แทมินเอ่ยเมื่อเห็นผมกำลุงครุ่นคิดเรื่องของทิว
 
                “ครับ”
 
                “ไผ่จะทำยังไงก็แล้วแต่ไผ่นะ”
 
                นั่นสินะ  เรื่องของคนชื่อทิวนั่นน่ะ  มันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่นา  แต่ว่า...
 
                “งั้นผมจะช่วยพาลุงไปที่บ้านในแผนที่ก็แล้วกันนะครับ”
 
                เมื่อได้ฟังดังนั้น  ชายหนุ่มก็ขอบอกขอบใจผมเป็นการใหญ่  คนชื่อทิว....คนที่ผมคิดว่าคงจะไม่ได้ยินชื่อนั้นอีกแล้วก็ยังต้องได้ยินอีกจนได้
                ผมเดินพาเขาจนมาถึงสถานที่ที่ผมเคยเรียกว่าบ้าน
 
                “หลังนี้แหล่ะครับลุง  แต่ว่าตอนนี้เจ้าของบ้านเขาไม่อยู่  กว่าจะกลับมาก็ตอนเย็น”
 
                “ขอบใจมานะพ่อหนุ่ม  ลุงเป็นหนี้คุณแล้ว”
 
                “เอ่อ  ไม่ต้องถึงขนาดเป็นหนี้กันเลยครับ  ลุงครับ  ลุงไม่ต้องบอกคนบ้านนั้นนะครับว่าเจอผม  คนที่หน้าเหมือนคนที่ลุงพูดน่ะครับ”
 
                คุณลุงเริ่มทำหน้างง
 
                “อ้าว  ทำไมล่ะ”
 
                “ถือว่าผมขอร้องก็แล้วกัน”
 
                “ถ้าคุณอย่างนั้นก็เอาตามนั้นล่ะกัน  งั้นลุงคงต้องรอเขาอยู่หน้าบ้านนี่แระ  ขอบใจจริงๆนะ”
 
                บอกว่าจะรอ  ก็คงต้องรอไปอีกหลายชั่วโมงเลย  แต่ลุงคนนั้นก็ยังรอ...
 
                ผมรีบพาแทมินออกจากสถานที่แห่งนั้นทันที
 
            “ไผ่...แบบนี้มันจะดีเหรอ”
 
                “แทมินหมายถึงอะไรครับ  คุณลุงคนนั้นหรือว่าคนชื่อทิว...”
 
                “ก็ทั้งสองคนนั้นล่ะ  อีกตั้งหลายชั่วโมงเลยนี่กว่าพ่อแม่ของไผ่จะกลับมา  แล้วไหนเรื่องที่ทิวป่วยอีก  แล้วทำไมไผ่ถึงไม่บอกลุงคนนั้นไปเลยล่ะว่าไผ่เป็นใคร”
 
                “...กลับกันเถอะครับ”
 
                ผมพยายามเลี่ยงการตอบคำถามของแทมินและเดินนำหน้าเพื่อกลับไปยังบ้านของเถ้าแก่  แต่แทมินก็จับมือยื้อผมเอาไว้
 
                “ไผ่จะหนีแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
 
                “ทำไมผมจะต้องหนีด้วยล่ะครับ”
 
                “แล้วที่ทำอยู่นี่ไม่ได้เรียกว่าหนีหรือไง  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไผ่มีปัญหาอะไรกับที่บ้านแต่ว่าไผ่จะหลบหน้าอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก”
 
                “แล้วพี่อยากจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
 
                “ถ้าตอนนี้ไผ่ยังไม่อยากพบหน้าคนที่บ้าน  งั้นเราก็แอบฟังเขาก็ได้นี่นา  จะได้รู้ว่าทิวเป็นอะไรไงล่ะ  ฉันรู้นะว่าไผ่ไม่ชอบทิว”
 
                “ในเมื่อแทมินรู้  แล้วทำไมถึงยังทำแบบนี้อีกล่ะ”
 
                “ฉันเป็นคนนอกคงจะพูดอะไรได้ไม่มากนักหรอก  แต่ว่า...การมีพี่น้องน่ะมันดีจริงๆนะ  เป็นความผูกพันธ์ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตัดมันไม่ขาด  ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปก็จะรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย  เหมือนฉันกับฮยองล่ะมั้ง”
 
                “ถ้าหากพวกผมอยู่ด้วยกันมาตลอดเหมือนแทมินกับพี่แทยองผมก็คงไม่เต้องคิดมากถึงขนาดนี้หรอกครับ  สำหรับผมแล้วคนชื่อทิวเป็นเหมือนกับคนนอก”
 
                “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ไม่ใช่ซะสิ  มันยังไม่สายไม่ใช่เหรอที่จะเริ่มต้นกันใหม่  ไม่ว่าไผ่จะโกรธทิวเรื่องอะไร  พี่น้องกันก็ต้องให้อภัยกันนะเพราะบางครั้งนั่นอาจจะเป็นความผิดที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นมาก็ได้”
 
                ผมถอนหัวใจออกมาเฮือกหนึ่ง  แทมินก็ยิ้มและเอามือวางบนหัวผม
 
                “ไผ่ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้เรื่องมันค้างคาอยู่แบบนี้ใช่ไหม^^”
 
                “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”
 
                เห็นทีมันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องหันหน้าเข้าสู้กับปัญหาที่ผมหนีมันมาตลอดแล้วก็ได้  แต่ว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกับที่ผ่านมา  ตัวผมไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว  มีคนที่คอยให้กำลังใจและจะคอยอยู่เคียงข้างผมแล้วนี่นา...
 
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



พ่อแม่กว่าจะสำนึกได้ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งสงสารไผ่ ใจร้ายกันเกินไปรึเปล่า

ไม่รับรู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งคอยอยู่ที่บ้าน คำขอสุดท้ายคือ ตอนเช้าอยากกินอะไร

คนนึงอยู่ไกล แต่มีพ่อแม่ที่รักเสมอ คนที่อยู่กลับถูกลืมเลือนไปหมดหัวใจ ใจร้าย พ่อแม่แบบนี้ก็มีด้วย

ไม่อยากจะคิดไม่ดีเลย อยากให้พ่อแม่เจ็บปวดกับการกระทำของตัวเองให้มากกว่านี้

ละเลยคนที่อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ลืมกันขนาดนี้ อยากให้เจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ แลดูอกตัญญู

แต่เราอยากให้เค้านึกถึงไผ่มากกว่านี้จริงๆ กลัวว่าเจ็บนิดๆ อภัยง่ายๆ เด๋วก็เป็นเหมือนเดิมม

รอเรื่องเซนอยู่นะจ๊ะ :katai1:

อารมณ์น้อยใจพ่อแม่ของแคน พาให้เขียนดราม่าเกินความจริงได้ขนาดนี้เชียว  แคนเองก็แอบตกใจเหมือนกันนะเนี่ย

เซนจะโผล่มาตอนสุดท้ายแน่นอน  โผล่มาในสภาพ??????   มะบอก  ทายดูๆ
 
ก.      เป็นเจ้าสาวของเอฟ
ข.      เป็นบ้า
ค.      เป็นศพ(จะโดนตื้บมะเนี้ย-*-)
ง.      เป็นปกติ  มะมีไรเกิดขึ้น
จ.      เป็นโรคร้าย (เอดส์! มะเร็ง!)
ฉ.      มะมีข้อถูก เอิ้กๆ
ช.      ถูกทุกข้ิอ..เอ้ะ ยังไง?


:hao5: ไผ่กับแทมินมีความสุขสักที

ผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะ  ถึงเวลาที่ทั้งสองจะมีความสุขกันสักที  :hao5:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 41 P.4) [27/05/2013]
«ตอบ #102 เมื่อ31-05-2013 18:46:49 »

ไผ่สู้ๆนะ ต้องผ่านไปให้ได้ ถ้ามีอะไรค้างคาจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้นะจ๊ะ

เราน้อยใจพ่อแม่ไผ่จริงๆนะ  TT TT

ไม่อยากเดาสภาพเซนเลยยยยย ขอตอบไม่มีข้อถูกกกก 55555

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 43 P.4) [07/06/2013]
«ตอบ #103 เมื่อ07-06-2013 19:29:23 »

ตอนที่ 43 อาการป่วยของทิว



เดทครั้งแรกของผมกับแทมิน  จากที่เคยตกลงว่าจะเดินเดินในโคเรียทาวน์กลับกลายเป็นการซุ่มแอบอยู่ใกล้ๆบ้านของผมเอง -*-
 

พี่แทมินโทรไปหาเถ้าแก่เพื่อบอกว่าเย็นนี้พวกผมทั้งสองคงมะได้ไปช่วยงาน  แน่นอนว่าเถ้าแก่โวยวายมาทางโทรศัพท์ยกใหญ่จนแทมินต้องถือโทรศัพท์ให้ไกลจากหูพอสมควร =_=”
 
               
พวกผมนั่งคอยจนแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า  คุณลุงคนนั้นก็ยังคงคอยอยู่หน้าบ้านของผมเช่นเดิม  ผมมาคิดๆดูแล้ว  คุณลุงคนนั้นเป็นอะไรกะคนชื่อทิวกันนะ  ทำไมถึงได้ลงทุนมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะแจ้งข่าวของคนชื่อทิว  แล้วทำไมคนชื่อทิวถึงไม่ยอมบอกเรื่องที่ตนเองเข้าโรงพยาบาลกับพวกเขา  แค่เพียงคนชื่อทิวบอกมาเท่านั้นพวกเขาก็คงละทิ้งงานทุกอย่างเพื่อไปเยี่ยมแน่ๆ  แต่ก็ไม่ทำ
 
               
ขนาดที่ผมกำลังครุ่นคิดแทมินก็สะกิดผมแล้วชี้ไปที่บ้านของผม  รถของพวกเขาได้เข้ามาจอดในบ้านแล้ว  นี่ผมมั่วแต่คิดมากไปจนไม่ทันเห็นเลยอย่างนั้นเหรอ
 

“เข้าไปกันเถอะ  ถึงจะเสียมารยาทแต่คงต้องแอบฟังกันล่ะ  ^^”
 
               
พวกผมเปิดประตูรั้วอย่างเงียบที่สุดและแอบย่องมายังหน้าต่างบริเวณห้องรับแขก  ให้ตายสิ  นี่ก็บ้านของผมเหมือนกันนะถึงจะไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไหร่ก็เถอะ  แต่การแบบย่องเข้าบ้านตัวเองนี่มัน...- -*
 
               
“นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็พี่พลนี่เอง  มาเที่ยวรึครับ”
 
               
เสียงนี้เป็นของคนที่ผมเคยเรียกเขาว่าพ่อ  ลุงคนนั้นชื่อพลงั้นเหรอ
 
               
“ม่าย  ที่พี่มาหามึงก็เพราะพี่มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับไอ้บ่าวทิวลูกมึงมาให้มึงรู้ไว้”
 
               
สำเนียงที่บ่งบอกว่าไม่ใช่คนภาคกลางแต่ผมก็พอจะจับใจความได้  (พวกคุณพี่คงพอจะเดากานออกเนอะ  แคนมะมีซับให้น้า  คริๆ)
 

               
“ทิว  ทิวเป็นอะไรคะพี่พล”
 
               
“ไอ้ทิวมันเข้าโรงบาล”
 
               
“โรงพยาบาล?  ทิวเป็นอะไรคะ  แล้ว...แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
 
               
น้ำเสียงของผู้ที่เคยเป็นแม่ดูจะสั่นเครือ  ถ้าเป็นเรื่องของทิวพวกเขาก็พร้อมที่จะให้ความสำคัญอย่างนั้นสินะ
 
               
“เห็นหมอแหลงว่าไอ้ทิวมันเป็นโรคไต”
 
               
“โรคไต!!!”
 
               
“ก็แม่เฒ่ามันน่ะสิ  ชอบทำแต่ของเค็มๆให้มันกิน  ปลาเค็มบ้างล่ะ  หอยเสียบบ้างล่ะ  แกงพุงปลาบ้างล่ะ  เค็มๆทั้งนั้นพี่ก็เคยเตือนไปตั้งหลายครั้งแล้ว  สุดท้ายมันก็ไม่พ้นคำพี่จนได้”
 
               
“คุณคะ  เราต้องไปหาลูกนะคะ  ฉันอยากเจอลูกทิว  ฉันเป็นห่วงลูกทิวเหลือเกิน”
 
               
“ผมเองก็เป็นห่วงทิว  แต่ไผ่เราก็ยังหากันไม่เจอเลยนะ”
 
               
 แล้วฝ่ายภรรยาก็เริ่มร้องไห้  ทิวเธอก็ห่วง  แต่ไผ่ก็ยังหาตัวไม่เจอ  แล้วจะทำยังไงดี
 
               
“ไผ่  ไผ่ไหนอีกล่ะ”
 
               
เสียงของลุงที่ชื่อพลเอ่ยถาม  อย่างนี้เห็นทีเรื่องที่ผมเจอกับลุงพลมันคงปิดเป็นความลับไม่ได้แล้วแน่ๆ
 
               
“ไผ่เป็นลูกของผมครับ  เป็นน้องชายฝาแฝดกับทิว”
 
               
“ฝาแฝด!  หมายความว่าไผ่คนนั้นหน้าตาเหมือนกับไอ้ทิวงั้นรึ  ถ้าอย่างนั้นบางทีพ่อหนุ่มคนนั้นก็....”
 
               
“พ่อหนุ่มอะไรครับ   หรือว่าพี่พบไผ่!”
 
               
คนเป็นพ่อพยายามเค้นถามลุงพล  แต่ว่าคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นมันทำให้เขาลำบากใจที่จะพูด
 
           
 ‘ลุงไม่ต้องบอกคนบ้านนั้นนะครับว่าเจอผม  คนที่หน้าเหมือนคนที่ลุงพูดน่ะครับ’
 
           
“เอ่อ คือ...”
 
               
“พี่พลครับ  ถ้าพี่รู้อะไรก็บอกมาเถอะครับ  ไผ่หายตัวออกจากบ้านไป  พวกผมตามหาแต่ยังไม่เจอตัวเลย  พวกผมเป็นห่วงลูกจริงๆนะครับ”
 
               
ได้ยินดังนั้นมันทำให้เขาเริ่มหนักใจ  แต่เห็นทีเขาคงจะรักษาคำพูดไม่ได้อีกแล้ว  ถ้านั่นจะสามารถช่วยให้บุคคลตรงหน้านี้คลายกังวล
 
               
“คือว่า  พี่เจอคนที่หน้าเหมือนไอ้ทิวตรงแถวๆที่มันมีคนเกาหลีเยอะๆน่ะ  แถวนั้นเรียกว่าอะไรวะ  อะไรทาวๆนี่ล่ะ”
 
               
“โคเรียทาวน์รึคะ”
 
               
“หมัน!”
 
               
“คุณคะ  ลูกไผ่  ลูกไผ่ยังอยู่ใกล้ๆเราค่ะ  พวกเราไปหาไผ่กันนะคะ”
 
               
ผู้เป็นสามีพยักหน้ารับ
 
               
 “งั้นเราไปตามหาไผ่กันก่อน  แล้วค่อยไปหาทิวที่นครพร้อมกัน”
 
               
เมื่อพวกเขาคิดได้ดังนั้นก็เตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปตามหาลูกชายโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าลูกชายที่ตามหานั้นอยู่ใกล้พวกเขาแค่ปลายจมูก
 
               
นี่พวกเขากำลังตามหาผมอยู่อย่างนั้นเหรอ  ทั้งๆที่ผมออกมาจากบ้านนั้นตั้งนานแล้วเนี้ยนะ!!
 
               
“ไผ่  ดูท่าว่าพ่อกับแม่ของไผ่จะเป็นห่วงไผ่มากเลยนะ”
 
               
“........”
 
               
“แล้วไผ่จะเอายังไงต่อ”
 
               
“ผม....ผมจะไปหาทิวครับ”
 
               
 “^^ ถ้าอย่างนั้นไปเถอะ  ฉันจะไปกับไผ่ด้วย”
 
               
“แล้วเรื่องมหาลัยล่ะครับ”
 
               
“ของแบบนี้ไม่เห็นยากเลย  ก็โดดไง ^^”
 
               
 “นั่นสินะ  ผมเองก็ด้วย”
 
               
 “งั้นเราไปจองตั๋วกันดีกว่านะ  ถ้าให้ดีก็ออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้าเลยดีไหม”
 
               
“ครับ”
 
           
 คนชื่อทิว...พี่ชายที่ผมไม่คิดที่จะยอมรับ  จนถึงตอนนี้ผมก็ยังเกลียดเขา  แต่ว่ามันก็รู้สึกใจหายที่ได้ยินว่าเขาเป็นอะไร  โรคไต...ถ้าไม่ใส่ไตเทียมแล้วล่ะก็  คนๆนั้นก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้  แต่ถึงจะมีไตเทียมแล้วมันก็แค่พยุงชีวิตให้ยืนยาวขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง  นี่ผมกำลังเป็นห่วงคนชื่อทิวอย่างนั้นเหรอ.....
 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไผ่สู้ๆนะ ต้องผ่านไปให้ได้ ถ้ามีอะไรค้างคาจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้นะจ๊ะ

เราน้อยใจพ่อแม่ไผ่จริงๆนะ  TT TT

ไม่อยากเดาสภาพเซนเลยยยยย ขอตอบไม่มีข้อถูกกกก 55555

โดนแทมินโน้วน้าวมากๆเข้าก็เริ่มใจอ่อนไปหาทิวจนได้  ส่วนสภาพของเซนจะเป็นยังไงอีกไม่นานรู้ผลค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 43 P.4) [07/06/2013]
«ตอบ #104 เมื่อ07-06-2013 19:43:42 »

เค้ารอเรื่องเซนอยู่น้าาาา  :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 43 P.4) [07/06/2013]
«ตอบ #105 เมื่อ07-06-2013 21:20:33 »

น้องไผ่ยอมไปหาทิวแล้ววว รอเรื่องเซนเช่นกันจ้า

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 43 P.4) [07/06/2013]
«ตอบ #106 เมื่อ09-06-2013 13:26:12 »

ตอนที่ 44 ตัดสินใจ



“ว่ายังไงนะคะหมอ”

 

เสียงของหญิงผู้ซึ่งเป็นแม่ของตนดังแว่วออกมาจากห้องพักหมอเจ้าของไข้ของลูกชายหล่อน  น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นเครือแสดงถึงความตื่นตกใจจากสิ่งที่ได้ยิน

 

“นี่คุณหมอจะบอกว่าลูกชายดิฉันต้องตัดไตอย่างนั้นเหรอคะ”

 

“ครับ  วิธีรักษาโรคนี้ก็คือต้องเปลี่ยนให้คนไข้ใช้ไตเทียมหรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องทำการปลูกถ่ายไตนะครับ”

 

คุณหมอพยายามอธิบายให้มารดาของคนไข้เข้าใจ  แต่ดูท่าทางหล่อนจะช็อกมากจนสามีของหล่อนที่นั่งอยู่ข้างๆประคองไหล่ด้วยความเป็นห่วง

 

“ไตเทียม....ถ้าอย่างนั้นลูกชายของดิฉันก็ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อฟอกไตใช่ไหมคะ  แล้วก็คงอยู่ได้อีกไม่นานใช่ไหมคะ”

 

“คือมันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะครับ  ถ้าดูแลรักษาตัวเองดีๆก็อยู่ได้นานครับ”

 

เมื่อเห็นว่ามารดาของคนไข้เริ่มมีน้ำตาหลั่งไหล  บุคคลตรงหน้าจึงอธิบายถึงรายละเอียดเพื่อให้เจ้าหล่อนสบายใจขึ้นแต่มันกลับส่งผลตรงกันข้าม  หล่อนยิ่งกังวลหนักขึ้นไปอีก  นั่นหมายความว่าทิวจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลไปชั่วชีวิตอย่างนั้นเหรอ....

 

“แล้วการปลูกถ่ายไตล่ะครับ  ทิวจะหายไหม”

 

คนเป็นพ่อเริ่มถามต่อเมื่อเห็นว่าภรรยาของตนเริ่มจะรับสิ่งต่างๆไม่ไหว

 

“หายครับ  แต่ว่าอาจจะต้องรอจนกว่าจะมีผู้บริจาคไต  เพราะตอนนี้ไตที่มีอยู่ร่างกายของคนไข้ไม่สามารถรับได้ครับ”

 

“ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ล่ะครับ  เมื่อไหร่ถึงจะมีคนมาบริจาคอีก”

 

“เรื่องนี้ผมไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนได้ครับ”

 

เมื่อได้ฟังดังนั้นคนเป็นแม่ยิ่งทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีก

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”

 

“มันมีหลายสาเหตุนะครับ  คือการที่ผู้บริจาคมาบริจาคไตให้นั้นมันไม่ได้หมายความว่าจะใช้กับคนไข้ได้ทุกราย  ถึงแม้ว่าจะเป็นกรุ๊ปเลือดเดียวกันแต่ถ้าร่างกายของคนไข้ไม่รับไตที่ทางเราได้ปลูกถ่ายเข้าไปมันก็ไม่มีความหมายนะครับ”

 

“ แล้วถ้าเป็นไตของผมล่ะ  เป็นไตของผมแทนได้ไหม”

 

หมอส่ายหน้า

 

“ทางเราลองตรวจดูแล้วนะครับ  ไตของพวกคุณซึ่งแม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันก็จริงแต่ร่างกายของคนไข้ก็ไม่สามารถรับได้ครับ”

 

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะหมอ  บอกหน่อยสิคะ อึก...ฮือ  ฮือ”

 

“ก็คงต้องให้คนไข้ใส่ไตเทียมและรอการบริจาคเท่านั้นล่ะครับ”

 

แม้จะไม่อยากตอบแบบนั้น  แม้จะไม่อยากเห็นสีหน้าที่เศร้าเสียใจยังไงแต่ก็คงทำไมได้  เขาชินเสียแล้วล่ะกับภาพแบบนี้...

 

ผมได้ยินหมดทุกอย่าง...ทุกการสนทนาของพวกเขา  ทุกกริยาที่พวกเขาแสดงออก  และทุกความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้จากพวกเขา  คนชื่อทิวกำลังจะตายอย่างนั้นสินะถ้าการรอคอยอะไรนั้นไม่เป็นดังที่คาดหวัง

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะออกจากห้องผมจึงรีบหลบไปก่อนที่พวกเขาจะพบผม

 

“ไผ่...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

แทมินเอ่ยถาม  นี่ผมคงต้องทำหน้าไม่ดีอยู่แน่ๆแทมินถึงได้ถามแบบนั้น
 

“ไม่เป็นไรครับ  ผมสบายดี”

 

“ไผ่...ทำในสิ่งที่ไผ่อยากทำนะ  ทำในสิ่งที่ไผ่คิดว่าจะต้องไม่เสียใจภายหลัง  ฉันเคารพในการตัดสินใจของไผ่”

 

แทมินยิ้มให้ผมเหมือนทุกๆครั้ง  สิ่งที่ผมอยากจะทำในตอนนี้  นั่นสินะ.....

 

ประตูห้องของหมอถูกเปิดออก  ผู้ที่ย่างเท้าก้าวเข้ามาทำให้หมอถึงกับตกใจ

 

“เธอ....ทำไมถึง”

 

“ในเมื่อไตของพวกเขาใช้ไม่ได้  แล้วของผมล่ะครับ”

 

หมอทำหน้างงในสิ่งที่ผมพูด...นี่ผมกับคนชื่อทิวเหมือนกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ

 

“ไตของผมที่เป็นน้องชายฝาแฝดของเขา  ไม่ว่ายังไงร่างกายก็คงจะยอมรับใช่ไหมครับ คุณหมอ”

 

สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำลงไปนั้น  จะไม่มีคำว่าเสียใจอย่างแน่นอน  เพราะถึงผมจะเกลียดคนชื่อทิวยังไงผมก็คงจะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนๆนั้นตายไปโดยที่ตัวผมเองสามารถช่วยเขาได้  มันคงจะกลายเป็น...ตราบาปที่ติดตัวของผมไปชั่วชีวิต

 

                ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

“อะไรนะครับ  มีคนบริจาคไตให้ผมอย่างนั้นเหรอ”

 

ทิวเอ่ยเมื่อได้ยินมารดาของตนบอกด้วยความดีใจ

 

“จ้ะ  คุณหมอเขาพึ่งมาบอกแม่เมื่อกี้นี้เอง  แต่น่าเสียดายจังนะที่เขาไม่ยอมเปิดเผยตัวน่ะ  แล้วแม่จะไปขอบคุณเขายังไงกันนะ”

 

“เดี๋ยวสิครับ  แล้วไตของคนๆนั้นมันจะเขากับผมได้อย่างนั้นเหรอ”

 

“ได้สิ  หมอเขารับรองเลยนะว่าไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน”

 

ใครกันนะที่ทำแบบนั้น  แต่ว่าคงต้องขอขอบคุณจริงๆอย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ได้เห็นแม่ของเขาสบายใจขึ้นมาบ้าง  ไผ่จะรู้ไหมนะว่าตอนนี้เขาเป็นอะไร  แต่ว่าคงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนี่  เพราะเขาสามารถมีชีวิตที่จะปรับความเข้าใจกับไผ่ได้อีกครั้ง...คราวนี้เขาจะไม่ยอมแพ้แน่นอน  จะต้องโดนไผ่เกลียดสักเท่าไหร่เขาก็จะไม่ยอมแพ้  ครอบครัวที่แสนสุขและอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเขาจะต้องทำให้มันเป็นจริงให้ได้

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 
“คิดแบบนี้  ไม่เสียใจใช่ไหม”

 

แทมินถามผมหลังจากที่ผมตัดสินใจที่จะช่วยทิว

 

“การที่ผมนิ่งเฉยปล่อยให้คนๆนั้นต้องตายต่างหากล่ะครับที่ทำให้ผมเสียใจ  ถึงผมจะเกลียดเขายังไงผมก็คงปล่อยเขาไว้ไม่ได้”

 

แทมินเอามือมาวางบนหัวผมแล้วยีหัวผมจนยุ่งไปหมดแต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาหรอก  ผมชอบที่จะให้เขาทำแบบนั้น

 

“บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่แทมินพูดก็ได้...”

 

“?”

 

“ความผูกพันธ์ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตัดมันไม่ขาด  ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปก็จะรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย”

 
“ถ้าคิดได้แบบนั้นก็ทำใจให้สบาย  พอทิวหายก็หันหน้าปรับความเข้าใจกันซะทีนะ”

 

“อันนั้น....จะพยายามครับ”

 

“ไม่ต้องรีบก็ได้  ค่อยเป็นค่อยไป  หากเราตัดสินใจไปแล้ว  ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอก  ^^”

 

“ครับ”

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

และแล้วก็ถึงวันผ่าตัด  ยาสลบที่เริ่มออกฤทธิ์ทำให้ให้ผมค่อยๆง่วงมากขึ้น  อีกไม่นานคนๆนั้นก็จะหายดีแล้วสินะ  ส่วนหนึ่งในร่างกายของผมจะไปอยู่กับคนๆนั้น  ไม่สิ...ก็พวกเราน่ะ  เคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา

 

...

 

...

 

...

 

ปลายนิ้วที่ขยับเขยื้อนและตาที่ค่อยๆปรือตาลืมขึ้นมาทำให้มารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงรับรู้ถึงการตื่นของบุตรชาย

 

“ทิว...ลูกทิวฟื้นแล้ว”

 

ฟื้น?...อา  จริงสิ  เขาเข้ารับการฝ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายไตนี่นา

 

“คุณแม่...น้ำ”

 

“จ๊ะ  รอแปบนะ”

 
ผู้เป็นแม่รีบหยิบน้ำในขวดรินใส่แก้วและใส่หยอดเพื่อให้ทิวดื่มสะดวกแล้วส่งให้ทิว  เมื่อดื่มน้ำเสร็จหล่อนจึงประคองให้ลูกชายลงนอน

 

“การผ่าตัด  เป็นยังไงบ้างครับ”

 

“ผ่านไปได้ด้วยดีเลยนะ  แม่จะโทรตามพ่อเราก่อน  รอแปบนะ”

 

ว่าแล้วหล่อนก็เดินออกจากห้องไปเพื่อโทรหาสามี

 

ณ เวลาเดียวกันในห้องอีกห้องหนึ่งแทมินยังคงนั่งคุมมือของคนที่ตนรักและเฝ้ารอให้ไผ่ลืมตาตื่นขึ้นมา  และเขาก็รอได้ไม่นาน  ร่างเล็กตรงหน้าก็ขยับมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณ

 

“ไผ่...”

 

“แทมิน  นี่ผม...”

 

“หลับไปหนึ่งวันเต็มๆเลยนะ  ^^”

 

“คนๆนั้นล่ะครับ”

 

“การผ่าตัดสำเร็จไม่มีปัญหาอะไรเพราะฉะนั้นสบายใจได้”
 

เมื่อได้ฟังดังนั้นผมก็โล่งใจขึ้นทันที   ดีแล้วล่ะ  แค่นั้นผมก็สบายใจแล้ว

 
“แทมิน  ผมอยากกลับแล้ว  ไม่ชอบโรงพยาบาล”

 

“อ่า....อันนี้เห็นทีคงจะไม่ได้นะ  ต้องอยู่รักษาตัวก่อนสิ”

 

“T^T”

 

“รีบๆรักษาตัวให้หาย  ขาดเรียนนานๆคงไม่ดีแน่ๆ”

 

“...เข้าใจแล้วครับ”

 

“แล้วก็คงทำเรื่องอย่างว่าไม่ได้ด้วย ^^”

 

“ง่ะ...O_o!!!!”

 

ให้ตายสิ  นี่ขนาดผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จยังพูดเรื่องแบบนี้อีก

 

“คนอะไร  หื่นชะมัด”

 

“ถึงฉันเป็นแบบนี้  ไผ่ก็ยังรักฉันใช่ไหม^^”

 

“>////<”

 

ผมไม่รู้ว่าผมหน้าแดงไปมากแค่ไหน  ผมรู้แต่เพียงสัมผัสที่อบอุ่นจากริมฝีปากของเขา  จูบที่อ่อนโยนทำให้ผมอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้  แต่มันคงไม่เป็นดังที่ผมหวังเมื่อแทมินถอนจูบออก

 

“เอาเป็นว่าจนกว่าจะหายดี  ฉันจะจูบไผ่ทุกวันเลยดีไหม”

 

“.......เอ่อ”

 

ถึงผมจะสบายดี  แทมินก็จูบผมทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ !!!!!

 

“ว่าไงนะ  ไม่ได้ยินเลย^^”

 

“...ดีครับ”

 

ครับผม  จะจูบให้ทุกเวลาที่ไผ่ต้องการและไม่ต้องการเลย  ^^”

 

“O [] O!!!!”

 

แล้วจะถามเพื่อ!!!!!!

 

และแล้วแทมินก็ก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง....


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เค้ารอเรื่องเซนอยู่น้าาาา  :mew4: :mew4:

แม้ตอนนี้ยังดองอยู่...แต่จะพยายามเข็นค่ะ  :mew2:

น้องไผ่ยอมไปหาทิวแล้ววว รอเรื่องเซนเช่นกันจ้า

ไอ๋หยา  เซน ยังแต่งไม่จบเลยค่ะ กำลังเค็มได้ที่  :a5:

 

 


bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 45 P.4) [13/06/2013]
«ตอบ #107 เมื่อ13-06-2013 20:05:06 »

ตอนที่ 45 เด็กน้อยกับกระจกเงา  (Tiew talk)




                เด็กน้อยคนหนึ่งมักจะยืนอยู่หน้ากระจกเงาอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน  เฝ้ามองดูเงาของตนเองในกระจกบานนั้นอย่างไม่ว่างตา  มองบุคคลในกระจกที่เป็นภาพสะท้อนเงาของตนเอง  เด็กน้อยพยายามที่จะพูดคุยกับเงาของตนเองแต่สิ่งที่ได้กลับคือความว่างเปล่า  บุคคลในกระจกคือบุคคลที่เด็กน้อยไม่สามารถเอื้อมมือไปถึงได้…ตลอดกาล…
 

 

 

 
 
                หลังจากการผ่าตัดนี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์กว่าๆแล้ว  หมอบอกว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้  ผมอยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆจัง  ผมอยากไปหาคนที่อยากเจอที่สุดในเวลานี้…ไผ่
 
                “คุณแม่ครับ  ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
 
                คุณแม่ของผมมีท่าทีกังวลใจเมื่อผมบอกท่านไปว่าผมอยากนั่งรถเข็นออกไปสูดอากาศข้างนอก  ผมก็เข้าใจนะว่าท่านเป็นห่วง  แต่ที่นี่พวกพยาบาลกับหมอก็เดินไ ปเดินมาตั้งเยอะ  ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆก็คงจะสบายใจได้  ส่วนคุณพ่อตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพเพื่อตามหาไผ่…ผมเพิ่งรู้หลังจากฟื้นได้ไม่กี่วันว่าไผ่ได้หายออกไปจากบ้าน  ผมโมโหและโกรธคุณพ่อกับคุณแม่มาก  แต่ผมก็ไม่พูดออกมา  ตอนนี้ผมเป็นห่วงไผ่เหลือเกินว่าไผ่จะเป็นอะไรรึเปล่า  แล้วความรู้สึกของไผ่ในตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ…
 
                “เดี๋ยวผมกลับมานะครับ  คุณแม่ไม่ต้องตามผมออกมาหรอก”
 
                ผมใช้มือทั้งสองข้างเข็นไปเรื่อยๆตามทางที่มีผูคนมากมายเดินผ่านไปผ่านมา  ผมอยากกลับบ้านแต่ก็คงทำไมได้  เพียงแค่ทนอีกไม่กี่วันผมก็จะได้กลับบ้านแล้ว  ในขณะที่ผมไปอย่างเชื่องช้าสายตาผมก็หันไปเห็นคนๆหนึ่งที่ผมรู้จักเดินออกมาจากห้องที่อยู่ถัดจากผมไปอีกไม่กี่ห้อง  คนๆนั้น…แทมิน
 
                เขามาทำอะไรที่นี่  ผมคงไม่ได้ตาฝาดมองคนผิดใช่ไหม  ผมไม่รู้ว่าเขาเดินไปไหนแต่ที่ผมสนใจคือห้องที่เขาเดินออกมามากกว่า  ผมตรงไปยังห้องๆนั้น  ชื่อผู้ป่วยที่ติดอยู่ตรงประตูนั้นทำให้ผมใจหาย…ชื่อของไผ่
 
                ผมเปิดประตูอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้สึกตัว  และหากผมเข้าใจผิดไปเองก็คงจะออกมาได้ทัน  บุคคลที่นอนหลับอย่าบนเตียงนั้นคือคนที่ผมคิดไว้จริงๆ  แล้วทำไมไผ่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…คุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
 
                ผมพยายามเอื้อมไปไปสัมผัสกับมือของไผ่ที่นอนหลับอยู่ตรงนั้นแต่แล้วประตูก็ถูกเปิดออกทำให้ผมหันไปมองคนๆนั้นซึ่งก็คือแทมิน…
 
                “ทิว…”
 
                แทมินเรียกชื่อผมด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย  แล้วเขาก็ตรงมาเข็นรถของผมออกมาจากห้องของไผ่
 
                “ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้ไผ่อย่างนั้นเหรอ”
 
                “เปล่า  ก็แค่อยากจะคุยกับทิวเท่านั้น  เพียงแต่ว่าถ้าคุยกันข้างในไผ่อาจจะตื่นก็ได้”
 
                “แทมินมีอะไรจะพูดกับผมล่ะ”
 
                “นายคิดยังไงกับไผ่”
 
                “ไผ่เป็นน้องชายฝาแฝดที่ผมรักที่สุด  และผมก็ปรารถนาว่าสักวันผมกับเขาจะรักและเข้าใจกันเหมือนกับพี่น้องคู่อื่นๆ”
 
                ไม่ใช่แค่เหมือน…แต่อยากให้เป็นมากกว่านั้น
 
                “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของนายกับไผ่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา”
 
                “เอ๋”
 
                หมายความว่ายังไง  แทมินต้องการจะสื่ออะไรกับผมกันแน่
 
                “ไผ่ห้ามไม่ให้หมอบอกแต่ว่าไผ่ไม่ได้ห้ามฉันเพราะฉะนั้นฉันก็จะบอกนายว่าคนที่บริจาคไตให้กับนายก็คือไผ่”
 
                คำพูดของเขาทำให้ผมแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง  ไผ่น่ะเหรอคือคนที่บริจาคไตอีกข้างให้ผม…ไผ่เกลียดผมไม่ใช่เหรอ  เขาอยากให้ผมหายไปจากชีวิตของเขาไม่ใช่เหรอ  แล้วเขาทำแบบนี้ทำไม  ทำไมเพื่ออะไร!
 
                “ทำหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ ^^”
 
                “ผมไม่เข้าใจ  ก็ในเมื่อ..”
 
                “เกลียดสินะ”
 
                ใช่…ไผ่เกลียดผม  นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ  อะไรกันที่ทำให้ไผ่ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้
 
                “ไผ่น่ะเป็นคนใจดีนะ  เขาบอกกับฉันว่าถึงเขาจะเกลียดทิวแค่ไหนก็คงปล่อยให้ตายไม่ได้”
 
                สิ่งที่แทมินพูดให้ผมฟังยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก  ถ้าหากไม่มีผมสักคน  คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะ…
 
                “ถ้าหากขาดใครสักคนหนึ่งไปก็จะรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย  ไผ่เขาว่าอย่างนั้น”
 
                นั่นคือความรู้สึกของไผ่อย่างนั้นเหรอ  เป็นของไผ่จริงๆใช่ไหม  คนๆนี้คงไม่ได้โกหกให้ผมดีใจเล่นใช่ไหม
 
                “แทมิน  ขอผมอยู่กับไผ่สักครู่ได้ไหม”
 
                อยากเจอไผ่  อยากเห็นหน้าไผ่  อยาก..อยู่ด้วยกัน
 
                “ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงจะต้องขอตัวไปซื้อของแถวโรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน  คงอีกสักพักกว่าจะกลับ  ยังไงก็ฝากดูแลไผ่ให้ด้วยล่ะ^^”
 
                แทมินไปแล้ว  ผมจึงเข้าไปในห้องของไผ่อีกครั้ง  ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของผมพองโตเมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นมันทำให้ผมแทบจะหุบยิ้มไม่ได้  ทุกคำพูดที่แทมินได้พูดออกมา  หากนั่นเป็นความรู้สึกของไผ่จริงๆ  ความฝันของผมก็คงจะเป็นจริงได้ในไม่ช้า
 
                ไผ่ที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในชุดคนไข้ที่เหมือนกับผม  ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่ผมมักจะมองกระจกอยู่เสมอเพื่อพบกับบุคคลที่ผมอยากเจอมาตลอด  บุคคลที่อยู่ในกระจกเงา…บุคคลที่ทำได้เพียงแค่เห็น  ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้  บุคคลที่ไม่สามารถสัมผัสได้  บุคคลที่ไม่สามารถ…เอื้อมมือไปไคว่คว้าได้
 
                ผมลุกจากรถเข็น  แขนยึดกับขอบเตียงของไผ่เพื่อช่วยพยุงตัวจนทำให้สามารถยืนดูและเห็นหน้าของไผ่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
 
                “ไผ่  พี่…”
 
                ผมก้มหน้าลงสัมผัสกับริมฝีปากของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายของตนเองอย่างแผ่วเบา  เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นผมก็ถอนริมฝีปากออกแล้วมองมาที่ไผ่อีกครั้ง
 
                “พี่รักไผ่…”
 
                ไผ่ก็เหมือนกับเงาในกระจกที่ถึงแม้ตอนนี้จะสามารถมองเห็นและพูดคุยด้วยได้แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสและคิดเกินเลยมากว่าคำว่าพี่น้องได้  ผมไม่ใจกล้าพอที่จะฝ่าฝืนกฎข้อนั้นได้  จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มและยินดีให้กับแทมินซึ่งเป็นคนรักของไผ่
 
                ผมมองไปยังน้องชายที่ผมรักที่สุดที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา  ไผ่จะต้องไม่รู้เรื่องนี้  ผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ทำให้ไผ่ลำบากใจแน่นอน  มันจะต้องกลายเป็นความลับตลอดไป  และตายไปพร้อมกับผมนี่แหล่ะ
 
                ไผ่…ผมอยากเห็นไผ่มีความสุข  เพราะอย่างนั้นผมถึงได้ปฏิเสธความรักจากเซน  ผมรู้ดีว่าเซนน่ะไม่ได้รักผมหรอก  แม้ท่าทางเขาจะบ่งบอกและสายตาของเขาไม่ใช่  สายตาที่เซนมองผมกับไผ่นั้นแตกต่างกัน  แต่ว่านั่นกลับทำให้ไผ่เกลียดผมมากขึ้นไปอีก  ผมถึงได้ติดสินใจที่จะกลับมาอยู่ที่นี่เพื่อความสุขของไผ่  แต่แล้วสิ่งที่ไผ่ทำก็ทำให้ผมมีความหวัง  ถึงจะไม่สามารถเป็นคนรักได้  แต่ก็เป็นพี่ชายได้  ไผ่…พี่ยังหวังได้ใช่ไหม  สักวันพวกเราจะเข้าใจกันได้ใช่ไหม
 
                ทำไมกันนะ  ทำไมถึงต้องสร้างให้พวกผมต้องแยกจากกันด้วยนะ  ทั้งๆที่พวกเราเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน  ถ้าหากไม่แยกพวกเราออกมา  ไผ่ก็คงไม่ต้องเจ็บปวด  และผมก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความรู้สึกที่น่ารังเกียจนี้เลย…
 
                ผมจ้องมองไผ่อย่างเนินนานในความรู้สึกของผม  และแล้วประตˆก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับคนรักของไผ่ที่ถือของมากมายเขามาในห้อง
               
                “ผมว่าผมคงต้องกลับห้องแล้วล่ะ  เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง…แล้ว  อยากจะให้ผมบอกไหมว่าไผ่อยู่ที่นี่”
 
                “ฉันว่าไผ่คงไม่ต้องการอย่างนั้นหรอก  และคิดว่าถ้าหากไผ่เขาอยากบอกก็คงจะบอกด้วยตัวเอง”
 
                “นั่นสินะ”
 
                ผมเข็นรถออกจากอย่างเชื่องช้าไม่วายที่จะเหลียวหลังกับมามองไผ่อีกครั้ง  แทมินนี่นั่งลงข้างไผ่และจับมือของไผ่มาแนบไว้ข้างแก้มทำให้ผมต้องยิ้มให้กับตัวเอง  การกระทำที่ผมไม่สามารถทำได้…
 

 

 

 
                เด็กน้อยคนหนึ่งมักจะยืนอยู่หน้ากระจกเงาอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน  เฝ้ามองดูเงาของตนเองในกระจกบานนั้นอย่างไม่ว่างตา  มองบุคคลในกระจกที่เป็นภาพสะท้อนเงาของตนเอง  เด็กน้อยพยายามที่จะพูดคุยกับเงาของตนเองแต่สิ่งที่ได้กลับคือความว่างเปล่า  สิ่งที่เด็กน้อยเฝ้ามองอยู่ทุกวัน  เงาของตนในกระจกได้แปรเปลี่ยนเป็นหลงใหล  อยากสัมผัส  อยากทำมากกว่าการเฝ้ามอง  จนกระทั้งกลายเป็นความรักต้องห้ามที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจ  บุคคลที่อยู่ในกระจกคือบุคคลที่เด็กน้อยไม่สามารถเอื้อมไปถึงได้ตลอดกาล  หากเพียงแค่เด็กน้อยมีความกล้าแม้เพียงสักนิด  กล้าที่จะทุบกระจกที่เป็นสิ่งขวางกันระหว่างเขากับเงาได้  เด็กน้อยก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความความรู้สึกที่สกปรกของเขาเลย  เด็กน้อยคงจะมีความความสุขเป็นแน่  แต่เด็กน้อยก็ยัง…ไม่กล้า
 
 
                -------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
...ไหงออกแนวนาซิสซัสล่ะเนี่ย  :mew5:

ออฟไลน์ daboo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 45 P.4) [13/06/2013]
«ตอบ #108 เมื่อ13-06-2013 21:21:32 »

รอติดตามต่อนะครับ



แล้วก้เปนกำลังใจให้คนแต่งนะครับผม



^^

ออฟไลน์ daboo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 45 P.4) [13/06/2013]
«ตอบ #109 เมื่อ13-06-2013 21:22:08 »

อยากรู้จัง   





ว่าเซน  ในอีก  2 ปี  ที่ไผ่เจอ  เค้าเป็นยังไง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 45 P.4) [13/06/2013]
« ตอบ #109 เมื่อ: 13-06-2013 21:22:08 »





bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 46 P.4) [17/06/2013]
«ตอบ #110 เมื่อ17-06-2013 20:12:30 »

ตอนที่ 46  เหตุผลของแต่ล่ะคน



วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที  เอาแต่นั่งๆนอนๆจนผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว  อาจจะเป็นเพราะผมต้องทำงานมาตลอดก็เป็นได้  พออยู่ว่างๆก็เลยรู้สึกเบื่อ
 

“กลับกันเถอะแทมิน”
 
               
ผมหันไปทางคนรักที่กำลังจัดกระเป๋าเป้อยู่ข้างๆผม
 
           
“คือว่านะไผ่  ตั๋วที่จะกลับกรุงเทพของวันนี้มันเต็ม  มีแต่ของวันมะรืนนี้แทน =_=”
 
               
“แล้วกว่าจะถึงวันนี้เราจะไปพักกันที่ไหนล่ะ  โรงแรมงั้นเรอะ - -*”
 
               
“>w<~!”
 
               
พวกผมเราคิดถึงสถานที่พักในอีกสองวันที่เหลือนี้  และแล้วประตูก็ถูกเปิดออก  บุคคลที่ก้าวเข้ามาทำให้ผมแทบพูดอะไรไม่ออก
 
               
“จะกลับแล้วเหรอไผ่”
 
               
คนชื่อทิวก้าวเข้ามาในห้อง  เขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่  ผมรีบหันไปมองแทมินทันที  และก็เป็นไปตามที่คาด  เป็นแทมินจริงๆด้วย
 
               
“ก็อยากจะกลับอยู่หรอกนะแต่บังเอิญว่าตั๋วมันเต็มก็เลยต้องกลับมะรืนนี้  ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะค้างกันที่ไหนดี”
 
               
“ค้างที่บ้านของผมก็ได้^^”
 
               
“ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว  ไผ่ล่ะว่าไง”
 
           
ว่าแล้วก็หันมาทางผม
 
               
“อยากทำอะไรก็เชิญ”
 
               
“งั้นเป็นอันว่าตกลงก็แล้วกันนะ^^”
 
               
กลายเป็นว่าผมต้องไปอยู่กับพวกเขาอย่างนั้นสินะ  ทั้งๆที่ยังไม่อยากเจอตอนนี้สักหน่อย
 
               
 “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ  พี่คิดว่าแม่…เอ่อ คุณย่าก็คงอยากเจอไผ่มากๆเลยล่ะ  คุณพ่อกับคุณแม่ก็ด้วย  ตอนนี้พวกท่านรออยู่ที่แผนกจ่ายยา”
 
               
คนชื่อทิวเดินนำพวกผมออกมาจากห้อง  ในระหว่างทางคนชื่อทิวก็เดินช้าลงให้เท่ากับผม
 
               
“ทำไมถึงหนีออกจากบ้านล่ะ  รู้ไหมว่าคุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วง”
 
               
“ที่แบบนั้นน่ะ  เขาไม่เรียกว่าบ้านหรอก”
 
               
“…ขอโทษ”
 
               
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะตึงเครียด  แทมินก็รีบชวนผมคุยด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
 
               
“แหม  วันนี้อากาศดีเนอะไผ่”
 
               
“ครับ  ดีมากเลย  เมฆครึ้มตั้งแต่เช้าแล้ว - -*”
 
               
“T^T”
 
               
เมื่อเดินไปถึงที่ๆพวกเขารออยู่  พวกเขาเห็นผมดูเหมือนว่าจะตกใจไม่น้อย  คงจะคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าผมจะอยู่ที่นี่ด้วย
 
               
“ไผ่….หายไปไหนมาลูก  รู้ไหมว่าแม่กับพ่อเป็นห่วงมากแค่ไหน”
 
               
“ไม่รู้  และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย”
 
               
คำตอบของผมทำให้ผู้หญิงคนนั้นเอามือกุมกับมือสามีของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ
 
               
“ไผ่  อย่าพูดแบบนั้นกับแม่เขาสิ  ไว้กลับไปกรุงเทพแล้ว  ไผ่กลับมาอยู่ที่บ้านนะลูก”
 
               
“….”
 
               
พอสักที  เลิกพูดแสดงท่าทีห่วงใยผมเถอะ  อย่าแสแสร้งอีกเลย…
 
               
“เอ่อ  ผมว่ารีบไปกันเถอะครับ  ผมอยากเจอแม่เฒ่าแล้ว  คิดถึงจะแย่”
 
               
คนชื่อทิวพูดทำลายบรรยากาศแย่ๆนี้  ดีเหมือนกัน  ผมเองก็อึดอัดไม่อยากยืนตรงนี้นานนัก  พวกผมเดินตรงไปยั่งลานจอดรถ  นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถของคนที่เคยเป็นอดีตพ่อและแม่ของตนเองในขนาดที่คนชื่อทิวคงจะนั่งบ่อยครั้งจนจำไม่ได้ว่านั่งไปกี่ครั้งแล้ว
 
               
ภาพวิวทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างที่ค่อยๆเปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่องเป็นสวนยางพาราและทุ่งนาทั้งสองข้างทาง  จนกระทั้งรถได้เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ  ขับไปเรื่อยๆ  จนไปจอดยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง
 
               
“ถึงแล้วล่ะไผ่  ลงมาสิ”
 
               
คนชื่อทิวเอ่ยชวนผม  เมื่อผมก้าวลงจากรถก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งค่อยๆเดินตรงมาทางพวกผม
 
               
“หลบกันมาแล้วเหรอ  ไอ้ทิวมึงเป็นพันพรือบ้าง  ยังเจ็บตรงไหนเหลยม้าย”
 
               
หญิงชราถามไถ่อาการของคนชื่อทิวด้วยความเป็นห่วง
 
               
“ผมบายดีครับแม่เฒ่า  วันนี้ผมพาคนที่แม่เฒ่าอยากเจอมาด้วยนะครับ”
 
               
“มึงหมายถึงใคร”
 
           
คนชื่อทิวชี้นิ้วมาทางผม  เมื่อหญิงชราหันมามองก็ถึงกับนิ่งงันและเดินมาหาผมอย่างเชื่องช้า
 
               
“มึง..มึงคือไผ่ใช่ไหม”
 
               
“ครับ  คุณคือ…”
 
               
ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ  หญิงชราก็เข้ามากอดผมเอาไว้  ผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณที่หญิงชราซุกหน้าลงมา
 
               
“ในที่สุด  ก็ได้เจอ…ย่าอยากเจอมึงมาตลอดเลยนะ”
 
               
ย่า…คนๆนี้คือ ย่าของผมงั้นเหรอ…
 
               
หญิงชราที่มีศักดิ์เป็นย่าของผมค่อยๆเอื้อมมือขึ้นมาลูบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา
 
               
“เป็นพันพรือบ้าง  พ่อกับแม่มึงดูแลมึงดีไหม  เหงารึเปล่า  แล้ว…แล้วทำไมมือของมึงถึงได้หยาบแบบนี้”
 
               
หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยอย่างที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อและแม่ของตัวเอง  แล้วลูบคลำมือของผมด้วยความสงสัย
 
               
“ไม่ต้องสนใจก็ได้…ครับ”
 
               
ท่าทางจริงใจของคนๆนี้ทำให้คำพูดที่ผมตั้งใจจะพูดห้วนๆก็ไม่สามารถทำได้  อบอุ่นจังเลย..
 
               
“แม่เฒ่าครับ  ไผ่จะมาค้างอยู่ที่นี่ด้วยนะ  ตั้งสองวันแน่ะ^^”
 
               
คนชื่อทิวพูดด้วยน้ำเสียงสดใส  หันมายิ้มหวานให้ผม  แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับไปคือความว่างเปล่า….
 
               
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่านะ”
 
               
บุคคลที่เคยเป็นพ่อของผมเอ่ยชักชวนกันให้เข้าไปในบ้าน  คุณย่าของผมก็จับมือผมพาเข้าไปในบ้าน
 
               
“มึงชอบกินอะไรล่ะ  เดี๋ยวย่าทำให้”
 
               
“ไม่มีเป็นพิเศษครับ  อะไรก็ได้”
 
               
ใช่แล้ว  ผมไม่มีของที่ชอบ  ไม่ว่าอะไรก็กินได้ทั้งนั้น
 
               
“วะ!  มึงอยู่มาได้ยังไงไม่มีของที่ชอบ  เอาพันนี้หว่า  ตอนนี้มึงอยากกินอะไร  แค่ของที่อยากกินคงจะตอบได้ใช่ไหม”
 
               
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นผมขอไข่เจียวก็พอ”
 
               
“ได้สิ  เดี๋ยวย่าจะทำแกงพริกให้ด้วยดีไหม  คงไม่เคยกินสินะ  รับรองว่ามึงต้องชอบแน่ๆ”
 
           
เมื่อเข้ามาถึงตัวบ้านแล้ว  คุณย่าก็เข้าไปทำอาหารอยู่ในครัวโดนมีคนชื่อทิวเป็นลูกมือคอยช่วยด้วย  ดังนั้นจึงเหลือผม  แทมิน  และพวกเขา…..
 
               
 “ไผ่…ลูกไปอยู่ที่ไหนมา”
 
               
คนที่เคยเป็นแม่ของผมเอ่ยขึ้น  แทมินหันมาสบตากับผมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน  เขาคงรู้ว่านี่เป็นปัญหาภายในครอบครัวของผม  ที่ผมจะต้องจัดการด้วยตนเอง
 
               
“ผมจะไปอยู่ที่ไหนพวกคุณเคยสนใจด้วยเหรอ”
 
               
“ไผ่  อย่าพูดแบบนั้นสิลูก  ที่ผ่านมาแม่ขอโทษนะ  ไผ่กลับมาอยู่บ้านนะ  เรามาเริ่มต้นกันใหม่…นะ”
 
               
ขอโทษงั้นเหรอ  เริ่มต้นใหม่งั้นเรอะ
 
               
“มันจะไม่ง่ายไปหน่อยรึไงครับ  พวกคุณปล่อยให้ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด  แล้วอยู่ๆจะมาบอกให้เริ่มต้นกันใหม่เอาตอนนี้  มันไม่สายเกินไปหน่อยรึไงครับ!!!”
 
               
ยอมรับว่าตอนนี้ผมโมโห  พวกเขาทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ  ถ้าหากมันง่ายขนาดนั้น  แล้วตลอดชีวิตของผมที่ต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดล่ะ  มันก็สามารถลืมได้ง่ายๆเหมือนกันอย่างนั้นสินะ
 
           
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแล้วง่ายเกินไป  แต่ให้โอกาสอีกครั้งได้ไหมไผ่  คราวนี้พ่อกับแม่จะดูแลเอาใจใส่ลูกให้มากๆ  จะไม่ให้ลูกต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
 
               
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ  เพราะตอนนี้ผมชินกับมันเสียแล้ว…”
 
               
ทันทีที่ผมพูดจบ  ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้  แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
 
               
“คุณจะมารู้สึกผิดอะไรเอาป่านนี้ล่ะครับ”
 
               
“ไผ่…ทำไมเรียกแม่อย่างล่ะ  ทำไมถึงเรียกแม่ว่า ‘คุณ’ ล่ะ  แม่เป็นแม่ของไผ่นะ”
 
               
“เหรอครับ  ผมเพิ่งรู้นะครับว่าคุณเป็นแม่ของผม  เป็นแม่ที่ไม่เคยสนใจอะไรผมเลย…วันเกิดของลูกตัวเองก็ดันลืมซะได้  แต่กลับไม่ลืมของอีกคนหนึ่ง  แล้วตอนนี้จะมาบอกว่าคุณเป็นแม่ของผมอย่างนั้นเรอะ!”
 
               
“ฮือ  แม่ขอโทษ  ขอโทษ  ไผ่อย่าโกรธแม่เลยนะ”
 
           
“บอกผมหน่อยได้ไหมครับ…ทำไมถึงลืมผม…ผมคือลูกที่พวกคุณไม่ต้องการใช่ไหม  ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่ฆ่าผมให้ตายไปซะ  ให้ผมเกิดมาทำไม  ทำไม…”
 
               
 เจ็บไปหมดในความรู้สึกนี้  อดีตอันเดียวดายของตัวเองค่อยๆแล่นผ่านหัวเหมือนกับเครื่องฉายหนัง  ทำไมถึงทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวล่ะครับ  ทั้งๆที่ผมเหงาแค่ไหน  กลัวแค่ไหนกับการที่จะต้องอยู่คนเดียว…
 
               
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพ่อเอง  พ่อผิดเอง…ที่ตัดสินใจเอาทิวไปฝากไว้กับแม่ของพ่อ…ที่นี่  ทั้งๆที่แม่เขาเพิ่งคลอดพวกลูกได้ไม่นาน  แต่เพราะฐานะของพวกเราในตอนนั้นไม่ดี  เลยเลี้ยงพวกลูกพร้อมกันทั้งสองคนไม่ได้”
 
               
“แล้วไงครับ  เลี้ยงพร้อมกันไม่ได้  ทั้งๆที่เอาทิวไปฝากไว้กับย่า  แล้วทำไม…ทำไมถึงดูแลแต่ทิวล่ะครับ  แล้วผมล่ะ…ลืมผมไปแล้วใช่ไหม…”
 
               
 รู้ได้ทันทีว่าเสียงของผมนั้นสั่นแค่ไหน  สัมผัสอุ่นที่รอบดวงตานั้นแสดงว่าผมเริ่มจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
 
               
 “เพราะว่าพวกเรานำทิวไปฝากเอาไว้   ทำให้แม่เขาเสียใจมาก  พ่อไม่อยากเห็นแม่ทุกข์ใจ  พวกเราเลยตั้งใจที่จะทำงานเก็บเงินให้ได้มากๆ  เพื่อที่จะได้รับทิวกลับมา  และแวะเวียนไปหาทิวเพื่อให้แม่เขาคลายคิดถึง  มันอาจจะฟังดูงี่เง่า  แต่มันเหมือนกับการสะกดจิตตัวเอง  เฝ้าคิดถึงทิว  และทำงานเพื่อทิว  เพื่อเต็มเต็มคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์…จนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่…ลืมไผ่”
 
               
“….”
 
               
“พ่อ...ขอโทษจริงๆ”
 
               
“!!”
 
               
ไม่เพียงคำว่าขอโทษ  ผู้ชายคนนั้นคุกเขาก้มหัวขอโทษผมอีก...มันทำให้ผมตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก...
 
               
“พอเถอะครับ...อย่าทำแบบนี้เลย”
 
               
 “พ่อไม่รู้จะขอให้ลูกยกโทษให้พ่อกับแม่ได้ยังไง  ขอโทษ...”
 
               
ความรู้สึกผิดเล็กๆได้ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของผม  ทำไมกันนะ...ทั้งๆที่ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดแท้ๆ  ทั้งๆที่คิดว่าโกรธจนไม่อยากเรียกพวกเขาว่าพ่อกับแม่อีกแล้ว  ทั้งๆที่คิดแบบนั้น...
 
               
“ไม่ต้องขอโทษแล้วล่ะครับ  ผม...ยกโทษให้”
 
               
เริ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเอง  ไม่เข้าใจที่ทำไมถึงยอมยกโทษให้พวกเขาได้ง่ายๆ  ระยะเวลาที่ต้องทนเหงาอยู่เพียงลำพังของผม  มันจบลงง่ายๆด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเองเหรอ...ชักจะเกลียดความใจดีของตัวเองซะแล้วสิ
 
               
 “จริงเหรอ...ถ้าอย่างนั้น  กลับไปอยู่ที่บ้านของเรานะ  พ่อสัญญาว่าจะรักและดูแลลูกให้มากทดแทนกับช่วงเวลาที่เสียไป”
 
               
“ใช่จ๊ะไผ่  เพราะฉะนั้น  กลับบ้านเถอะนะลูก”
 
               
กลับบ้านอย่างนั้นเหรอ....
 
               
“ขอโทษนะครับ  ขอผมอยู่คนเดียวอีกสักพักได้ไหม....”
 
               
“ทำไมล่ะจ๊ะ  หรือว่าลูกยังโกรธแม่อยู่”
 
               
นั่นก็ส่วนหนึ่ง  จู่ๆจะให้ทำใจยอมรับว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมันทำให้ผมปรับตัวไม่ทัน  และอีกหนึ่งเหตุผล....
 
               
“ผมยังไม่ชินน่ะครับ  ผมชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า  และก็...ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆกับคนสำคัญ...”
 
               
“เข้าใจแล้ว  ถ้าไผ่ว่าแบบนั้น  พ่อก็ไม่ห้ามหรอกนะ  แต่ยังไงก็กลับมาที่บ้านบ้างล่ะ  พ่อกับแม่ยังอยู่ตรงนี้”
 
               
“...ครับ”
 
               
การปรับความเข้าใจที่ใช้เวลาเพียงไม่นาน  แม้จะดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะจบลงด้วยดี  ทุกคนเข้าใจกันแล้วก็เถอะ  แต่ว่ายังไงซะ...ผมก็ไม่คิดที่จะยกโทษให้พวกเขาทั้งหมดหรอก  ขอเวลาให้ผมอีกสักหน่อย  เวลาที่จะเยียวยาบาดแผลที่สั่งสมมาเป็นเวลานานกับคนสำคัญของผม...แทมิน
 
               
“กับข้าวเสร็จแล้ว  มากินกันได้เถอะครับ^^”
 
               
คนชื่อทิวเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับจานหลายใบ  คุณย่าถือถ้วยแกงร้อนๆส่งกลิ่นหอมจนผมรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆแล้วสิ
 
               
“เอ้า  ไผ่  กินเยอะๆเลย  ดูสิผอมนะมึง  ดูอย่างไอ้ทิวมันสิ กินเอาๆจนอ้วนเลย”
 
               
 คุณย่าตักกับข้าวหลายอย่างมาใส่ให้จนพูนจานเลยก็ว่าได้  แทมินถึงกับขำกับท่าทีที่ทำอะไรไม่ถูกของผม  แน่ล่ะ  ถึงเถ่าแก่จะเคยทำแบบนี้กับผม  แต่ผมก็สนิทและคุ้นเคยกับเถ้าแก่มากกว่าคุณย่าที่รู้จักกันได้ไม่ถึงสามชั่วโมง
 
               
“ว่าผมแบบนี้ได้ไงอ่ะ  ไม่รักแล้ว >.<~!”
 
               
คนชื่อทิวว่าพลางวางช้อนกลางลงพร้อมทำแก้มป๋อง
 
               
“วะ ไอ้นี่  รึมึงจะบอกว่ามันไม่จริง  ไม่กินก็อย่ากินมัน”
 
               
“โธ่  แม่เฒ่าอ่ะ”
 
               
บรรกาศที่ดูอบอุ่นและสนุกสนาน  สิ่งที่ผมไม่เคยได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมา  คำว่าครอบครัว…คำว่าความอบอุ่น…และคำว่าความสุข…ผมไม่รู้เลยว่าคำเหล่านั้นที่ผมกำลังได้รับอยู่ตอนนี้มันทำให้ผมมีความสุขมากมายแค่ไหน  ถึงแม้อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้  แต่ก็คงอีกไม่นานที่ผมจะยกโทษให้พวกเขาและเปิดใจรับสิ่งที่พวกเขาหยิบยื่นมาให้…
 
               
หลังจากมื้ออาหารมื้อนั้นผมออกมานั่งสูดอากาศที่ม้านั่งใต้ต้นชมพู่ต้นใหญ่หน้าบ้านของคุณย่า  ความเงียบสงบของที่แห่งนี้มันทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  ชักจะชอบที่นี่…ซะแล้วสิ
 
               
“นั่งคิดอะไรอยู่เหรอไผ่”
 
               
คนชื่อทิวว่าพลางนั่งลงข้างผม  นี่คิดถูกรึเปล่านะที่ช่วยคนๆนี้  ทำให้เขายังคงมีชีวิตมายุ่งย่ามกับผมอีก
 
               
“….”
 
               
“ขอบใจมากนะ  ถ้าไม่ได้ไผ่พี่คงจะแย่”
 
               
“…”
 
               
“ไผ่  เกลียดพี่มากไหม”
 
               
“มาก”
 
               
ในเมื่อรู้อยู่แล้วจะถามทำไม
 
               
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้ช่วยพี่ล่ะ  ปล่อยให้พี่ตายไปซะ  ไม่ดีกว่ารึไง”
 
               
“ก็แค่ไม่อยากให้ตายก็เท่านั้น”
 
               
“ได้ยินจากปากของไผ่  แค่นี้พี่ก็สบายใจแล้วล่ะ”
 
               
สบายใจ….ทำไมกันนะ  ทำไม
 
               
“ทำไม  คุณถึงต้องยึดติดกับผมด้วย  ในเมื่อผมเกลียดคุณ  คุณจะทำไม่สนใจก็ได้ไม่ใช่รึไง”
 
               
 คนชื่อทิวเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับผมเท่านั้น
 
               
“ทุกคนต่างก็มีเหตุผมของตัวเอง  ไผ่มีเหตุผลที่ทำให้เกลียด  พี่เองก็มีเหตุผลที่ทำให้ยึดติด  ก็เท่านั้น…”
 
               
คนทุกคนต่างก็มีเหตุผล  พวกเขามีเหตุผลที่ทำให้ลืมผมไป  คนชื่อทิวมีเหตุผลที่ทำให้เขายึดติดกับผม  และผมเองก็มีเหตุผลที่จะเกลียดเขา  ตอนนี้พอได้แล้วหรือยังนะ  ลบเหตุผลบ้าๆพวกนี้ออกไปซะ  แล้วมา…เริ่มต้นกันใหม่
 
               
“นี่….”
 
               
ผมเรียกคนชื่อทิวหลังจากที่เงียบไปนาน
 
               
"มันยังไม่สายเกินไปใช่ไหม  ถ้าพวกเราจะมาเริ่มต้นกันใหม่”
 
               
เมื่อได้ฟังดังนั้น  คนชื่อทิวก็หันมายิ้มกว้างให้กับผม
 
               
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปนี่นาหากไผ่คิดจะเริ่มต้นใหม่  ยังไงพี่ก็ตั้งใจจะรออยู่แล้ว  ^^”
 
               
“อาจจะต้องใช้เวลา  คุณ…ทิวรอได้ใช่ไหม”
 
               
ทิว  ชื่อของคนๆนั้นที่ผมเอ่ยเรียกเขาเป็นครั้งแรก  ทำให้ทิวเอามือมากอดคอผมอย่างตีซี้ -*-
 
               
“นานแค่ไหน  พี่คนนี้ก็จะรอนะไอ้น้องชาย ^^”
 
           
เรื่องทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง  ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อและแม่ ความสัมพันธ์กับทิวเองก็เช่นกัน  หากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่ความฝัน  ผมก็อยากจะขอให้ทุกๆอย่างนั้นผ่านไปได้ด้วยดี  อย่าให้มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องเสียใจไปมากกว่านี้อีกเลย…
 
“จะเหน็บหนาวเท่าไหร่  ไม่กลัว  จะเปียกฝนเท่าไหร่ก็ยอม…”
 
               
ง่ะ  ทำไมอยู่ถึงมีเสียงเพลงมาดังแถวนี้ได้ล่ะ…
 

“ฉันหวังแค่ให้มีคนที่ฉันรัก ยืนคอยตรงนั้นก็ชื่นใจ”
 
               
แน่ะ  ยังไม่หยุดอีก  ใครเปิดเพลงเนี่ย
 
               
“ไผ่  พี่ว่ามือถือของไผ่ดังนะ”
 
               
 …จริงดิ้
 
               
ผมหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ถึงมีก็แทบจะไม่ค่อยได้ใช้งาน(ก็อยู่ด้วยกันทุกวันจะโทรคุยกันเพื่อ?) ขึ้นมาดู  เออ..จริง  ว่าแต่เบอร์ใครก็ไม่รู้  โทรผิดรึเปล่า  ผมจำไม่ได้ว่าเคยให้เบอร์คนอื่นนะเพราะผมยังจำเบอร์ของตัวเองไม่ได้เลย  ผมกดรับสายอย่างทุลักทุเล  ถ้าจำไม่ผิดแทมินบอกว่าให้กดปุ่มเขียวสินะ  -*-
 
               
 “ฮัลโหล..”
 
               
 “โหยยยย  กว่าจะรับ  ผลิตมือถืออยู่รึไง”
 
               
เสียงนี้มัน….
 
               
“เซน!  นั่นเซนใช่ไหม  นายอยู่ที่ไหน  ทำไมไม่มาเรียน”
 
               
“ฮะๆๆ  เอาน่าๆ  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉัน…ฉันสบายดี”
 
               
“แล้วนี่นายรู้เบอร์ของฉันได้ไง”
 
               
“วะ  ดูถูก  ตอนนายวางมือถือเอาไว้ฉันก็หยิบขึ้นมาเม้นเบอร์ไงวะ”
 
               
อ่าวเหรอ  ทำแบบนั้นได้ด้วยเรอะ -*-
 
               
“ไผ่  ถ้าคนที่บ้านฉันถามหาฉัน  บอกไปนะว่าฉันสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง”
 
               
“หมายความว่ายังไง  นี่นายไม่ได้อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ”
 
               
“ฉันมีเหตุผลนิดหน่อย  เลยทำให้กลับบ้านไม่ได้…ไผ่  ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”
 
               
“เรื่องอะไรเหรอ”
 
               
“ไผ่กับพี่แทมินยังรักกันดีอยู่ไหม”
 
               
“ก็ดีนะ  ทำไมเหรอ”
 
               
“เปล่า  แค่อยากถามดู ไผ่  ถ้าฉันรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้และรับความรักจากนาย  นายคิดว่าตอนนี้เราสองคนจะเป็นยังไง”
 
               
“ถามอะไรแปลกๆนะเซน  นั่นสิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  พวกเราอาจจะรักกันมากและคงมีความสุขมากด้วยล่ะมั้ง” ก็ได้แต่คาดเดา เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นจริง...
 
               
“งั้นเหรอ  ฮะๆ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ  ไผ่…ฉัน  โอ๊ย!!!”
 
               
“เซน…เซน!  เป็นอะไรไป  เซน!”
 
               
ตุ้บ!!
 
               
เหมือนกับโทรศัพท์จากปลายทางกระแทกกับอะไรสักอย่าง  บางทีอาจจะเป็นเสียงโทรศัพท์ตกลงพื้นก็เป็นได้
 
               
“ปล่อยนะ  ผมเจ็บ  อย่า!!!”
 
               
ได้ยินของเซนแต่เหมือนกับเสียงนั่นอยู่ไกลจากโทรศัพท์  มันเกิดอะไรขึ้นกับเซน  ใครทำไรเซน!
 
               
“อ่ะ  หยุดนะ  อา อ๊า…อื้ออออ”
 
               
“เซน….”
 
               
“อะ  อ้ะ  พอ..ที อ๊าาา”
 
               
เสียงจากปลายทางนั้นทำให้ผมสับสนไปหมด  เสียงแบบนี้มัน….เซน  ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันแน่  เกิดอะไรขึ้นกัน…ผมถือสายอยู่นาน แน่นอนว่าได้ยินเสียงครวญครางของเซนอย่างชัดเจน

จนกระทั้งเสียงของเซนนั้นเงียบไป  และมีเสียงเบาๆเหมือนมีคนเก็บโทรศัพท์นั้นขึ้นมา
 
               
“ถ้ายังฟังอยู่ล่ะก็รู้ไว้นะ  ว่าฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาดักฟังตอนฉันกำลังสนุกกับของเล่นชิ้นนี้สักเท่าไหร่”
 
               
สิ้นเสียงสายก็ขาดไป  เสียงนั่นไม่ใช่เสียงของเซน  แต่เป็นเสียงที่ผมรู้สึกคุ้นอย่างแปลกๆ  แต่ก็นึกไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงของใครกันแน่  ผมพยายามกดหาเซนอีกหลายครั้งแต่สิ่งที่ได้รับคือเสียงที่แสดงว่าอีกฝ่ายได้ปิดมือถือไปแล้ว
 
               
“เกิดอะไรขึ้นรึไผ่”
 
               
ทิวทักเมื่อเห็นผมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง
 
               
“ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”
 
               
และแล้วเมื่อกลับถึงกรุงเทพ  ผมถึงได้รู้ว่าเซนได้หายสาบสูญไป  คุณน้าภาที่กลับมาจากการไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้แจ้งตำรวจเพื่อตามหาเซนแต่ว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ  ผมเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเมื่อน้าภามาถามผม  ก็ผมไม่รู้จริงๆนี่นาว่าเซนอยู่ที่ไหน  และหากผมบอกเรื่องโทรศัพท์ไปก็ยิ่งทำให้กลุ้มใจมากกว่าเดิมเป็นแน่
 
               
ชั้นบนของบ้านใกล้เคียงที่เคยสว่าง  บัดนี้กลับมืดสนิท  โต๊ะเรียนข้างๆที่มักจะมีคนฟุบหลับในคาบเรียนที่น่าเบื่อกลับว่างเปล่า  เสียงร้องอุทานเมื่อลืมเครื่องเขียนบัดนี้กลับเงียบงัน  เซน…นายอยู่ที่ไหนกัน
 
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


รอติดตามต่อนะครับ



แล้วก้เปนกำลังใจให้คนแต่งนะครับผม



^^

ขอบคุณที่ยังติดตามและขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ  :mew1:

อยากรู้จัง   





ว่าเซน  ในอีก  2 ปี  ที่ไผ่เจอ  เค้าเป็นยังไง

ตอนมี เซนโผล่มาให้หายคิดถึง แม้จะมาแต่เสียงก็ตาม(?)   


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนหน้าตอนจบแล้วนะคะ  แล้วก็มีตอนพิเศษอีก 3 ตอนปิดท้ายค่ะ 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
 

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 46 P.4) [17/06/2013]
«ตอบ #111 เมื่อ17-06-2013 22:26:48 »

เซนเป็นเมียเอฟไปแล้วรึ :katai5:

ขอให้เป็นครอบครัวที่เรียกได้ว่าครอบครัวจริงๆสักทีเน้อออ

ออฟไลน์ daboo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 46 P.4) [17/06/2013]
«ตอบ #112 เมื่อ18-06-2013 10:13:48 »

ในตอนต่อๆไป  จะมีเรื่องราวของเซนให้รู้บ้างมั๊ย


เพราะไผ่มาทิ้งให้ผมสงสัย ในเรื่องของเซนอีก 2 ปีข้างหน้า

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 46 P.4) [17/06/2013]
«ตอบ #113 เมื่อ18-06-2013 13:58:29 »

ไผ่ ยกโทษให้ง่ายจังนะ

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 46 P.4) [17/06/2013]
«ตอบ #114 เมื่อ28-06-2013 21:52:35 »

ตอนที่ 47 The end : Because you're my love



                ตอนนี้ที่หน้าบอร์ดประกาศข่าวของโรงเรียนเนื่องแน่นไปด้วยเหล่านักเรียนที่มาดูผลการสอบตรงเข้ามหาลัยมหิดล  แน่นอนว่ารวมถึงตัวของผมด้วย  เหล่ากระดาษที่แปะเรียงรายอยู่ถึงสี่ห้าแผนแต่ตัวอักษรรายชื่อกลับเล็กนิดเดียว…ปวดตา  -*-
 
                จำนวนเด็กนักเรียนคอยๆลดลง  มีทั้งคนที่เสียใจและคนที่ดีใจ  พวกคุณคิดว่าผมควรเป็นพวกหน้าหรือพวกหลังดีล่ะครับ
 

 

 

 
                หมดเวลาคิดแล้วนะ  ใครที่ทายว่าผมจะเป็นเหมือนพวกแรกก็ขอให้กลับไปอ่านเนื้อเรื่องใหม่อีกรอบนะครับ  เพราะในเรื่องก็ได้บอกไปแล้วว่าผมฉลาด  >w<~!  (แคน: เฮ้ย  นี่มะใช่ไผ่แระ  มะช่ายนิสัยนู๋ไผ่แน่ๆ  แต่นี่คือนู๋ไผ่ -*-  จริงๆน้า)
 
                ในที่สุดรายชื่อของผมที่ปรากฏอยู่ในนั้นมันทำให้ผมดีใจจนยิ้มแก้มปริ  ผมสอบเข้ามหิดลได้แล้วครับ  ความฝันของผมมันกำลังจะกลายเป็นความจริง  ผมเริ่มกดเบอร์เพื่อโทรไปบอกข่าวดีนี้กับแทมินเป็นคนแรก (ตอนหลังนี้ผมเริ่มจะใช้มือถือเป็นแล้วนะ ^^)
 
                “ว่าไงคร้าบที่รัก”
 
                เสียงรับสายที่ทำให้ผมหน้าแดงเพราะความไม่เคยชิน  แย่จัง ผมเขินนะ!
 
                “แทมิน  ผมสอบผ่านแล้วนะ  ผมเข้ามหิดลได้แล้ว”
 
                “จริงเหรอ  มินดีใจด้วยนะ  เดี๋ยวคืนนี้จะให้รางวัลสองเท่า^^”
 
                “บ้า…ไม่คุยด้วยแล้ว”
 
                ความสัมพันธ์ของพวกผมพัฒนาไปมาก  แทมินเริ่มแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘มิน’  เพื่อที่จะทำให้ดูสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น  และผมเองก็เริ่มที่จะเอาแต่ใจ  =_=”
 
                “โอ๋ๆ  ขอโทษ  หยอกเล่นนิดเดียวเอง  ดีกันน้า”
 
                “ให้แค่สองเท่าได้ไง  น้อยไป”
 
                น่าน!!
 
                “O [] O!!!!”
 
                นี่ผมพูดออกไปได้ยังไงเนี้ย  ชักจะอายตัวเองซะแล้วสิ…=////=
 
            “พูดงี้  กระผมคิดว่าโต้รุ่งเลยดีไหมขอรับ^^”
 
            “>/////<”
 
                “ ฮ่าๆๆ  งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันที่บ้านนะ  อาจารย์เข้าสอนแล้ว”
 
                “ครับ  ตั้งใจเรียนนะ”
 
                “คร้าบผม ไผ่ด้วยนะ  บะบาย^^”
 
                แทมินวางสายไปแล้ว  บ้าจริงๆเลยคุยกับแทมินทีไร  ผมเป็นต้องเขินทุกที  คนอะไรก็ไม่รู้  หื่นได้ทุกเวลาจนตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าผมจะติดโรคหื่นๆมาจากเขาแล้ว
 
                ผมกลับมายังห้องเรียน  สายตาผมหยุดอยู่ที่โต๊ะเรียนข้างโต๊ะเรียนของผมที่ว่างเปล่ามานานหลายเดือนแล้ว  ตั้งแต่วันนั้นเซนก็ไม่ติดต่อมาหาผมอีกเลย  และผมเองก็ติดต่อหาเซนก็ไม่ได้อีกเช่นกัน  ผมเองก็อยากจะบอกเขาว่าตอนนี้ผมสอบผ่านแล้วนะ  แต่เซนล่ะ….เซนที่หยุดเรียนไปนานขนาดนี้  นายจะเข้าเรียนที่ไหนได้  หรือว่านายอาจจะไม่ได้เรียนอีกแล้ว  ผมไม่รู้เลยจริงๆ
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
                “ยอดเลย  ไผ่เข้ามหิดลได้แล้วรึเนี้ย”
 
                “แน่นอนอยู่แล้ว  ว่าแต่ทิวเถอะ  ไปสอบตรงที่ไหนบ้างแล้วรึยัง  หรือว่าจะรอแอดมิชชั่น”
 
                ผมโทรไปหาทิวที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่อีกที่หนึ่ง  ตลอดหลายเดือนมานี้ทิวกับผมเริ่มติดต่อกับบ่อยขึ้นจนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเราสนิทกัน
 
                “ยังไม่รู้เลยอ่ะ  พี่ไม่ได้ฉลาดเหมือนไผ่นี่นา  จะเอายังไงกับอนาคตดีว้า”
 
                “แล้วทิวอยากจะมาอยู่ที่กรุงเทพหรือว่าจะอยู่ใกล้ๆเท่านั้นกันล่ะ”
 
                “นั่นสิ  ใจหนึ่งพี่ก็เป็นห่วงแม่เฒ่านะ  ท่านแก่แล้วพี่ก็ไม่อยากจะไปอยู่ไกลๆ  หรือว่าพี่จะกล่อมให้ท่านมาอยู่ที่กรุงเทพดีนะ”
 
                ไม่นานบทสนทนาของผมกับทิวก็จบลง  ตอนนี้ทิวยังไม่รู้อนาคตของตัวเองว่าอยากจะทำอะไรกันแน่  แต่ผมมีเป้าหมาย  ผมอยากเป็นหมอ  อยากทำตามความฝันของตัวเอง…
 

 

 

 

 
                สองปีต่อมา (ไวไปแล้วมั้ง?)
 
                “รอนานไหม^^”
 
                ทิวเอ่ยทักผมหลังจากที่เดินลงมาจากอาคารเรียนพร้อมหนังสือเล่มหนา
               
            “ไม่นานหรอก  ไผ่เองก็เพิ่งมาถึง”
 
                ทิววางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม
 
                “ฮิ้วววว  คู่แฝดจ๋า  วันนี้ก็ยังน่ารักเหมือนเคยนะ  พอจะว่างไปกินเหล้าปั่นกับเราป่าว”
 
                เสียงของใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่คิดจะสนใจดังมาแต่ไกล  ผมเลยหันไปมองด้วยสีหน้าที่คิดว่าเย็นชาที่สุด
 
                “ง่ะ…ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรจ้า”
 
                แล้วคนๆนั้นก็หลบหายไปไหนอันนี้ไม่ทราบ  แต่ผมล่ะโคตรจะรำคาญเลย - -*
 
                “ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่นา น่ากลัวออก ^^” “
 
                ทิวว่าด้วยหน้ายิ้มๆ  ทิวมักจะยิ้มให้คนเขาไปทั่วไม่ว่าจะคนทั่วไปหรือคนที่ชอบแซว  ผิดกับผมที่ชอบทำหน้าเย็นชาใส่คนพวกหลัง
 
                “ก็มันน่ารำคาญนี่  ทิวไม่เบื่อบ้างรึไง  แซวอยู่ได้  ไผ่ล่ะเซ็งสุดๆ”
 
                ว่าแล้วทิวก็หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ  เหลือเชื่อมากเลยที่ผมมารู้ทีหลังว่าทิวเองก็แอดมิชชั่นผ่านเข้ามหิดลเหมือนกัน  แต่เป็นคนล่ะคณะกับผม  ทิวเขาอยู่คณะวิทยาศาสตร์  สาขาภาควิชาพฤกษศาสตร์  ส่วนผมอยู่คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  สาขาภาควิชากุมารเวชศาสตร์  ตอนที่เข้ามาใหม่ๆก็กลายเป็นที่เฮฮาทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน  ไปๆมาๆเลยกลายเป็นว่าทั้งผมและทิวกลายเป็นเดือนคณะที่ตนเองสังกัดอยู่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   แต่ได้ยินพวกรุ่นพี่กระซิบมาว่าที่จริงอยากให้พวกผมเป็นดาวคณะมากกว่าแต่คงเป็นไปไม่ได้ -*-
 
                “ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีกนะ”
 
                ว่าพลางมองดูนาฬิกาข้อมือที่แทมินเคยให้เป็นของขวัญวันเกิดของผมอย่างหงุดหงิด  จนกระทั่งเห็นรถของคนที่ผมเพิ่งบ่นไปไม่ครู่มาถึง
 
“มาช้า!”
 
                ผมเอ่ยทันทีที่แทมินจอดรถฮอนด้าสีดำที่เพิ่งถอยใหม่เมื่อไม่นาน
 
                “ขอโทษ  พอดีลูกค้ากับเจ้าหน้าที่มีปัญหา  มินก็เลยต้องอยู่ต่อ  T^T”
 
                ตอนนี้แทมินได้ทำงานอยู่ในบริบัทของต่างประเทศแห่งหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาให้ลูกค้าชาวเกาหลีกับพนักงานคนไทย  ซึ่งมีบ่อยครั้งที่แทมินจะมาบ่นหรือเหล่าเรื่องตลกในทำงานให้ผมฟัง
 
                “ไม่ต้องเลย  รู้ไหมว่าผมต้องคอยนานตั้งสิบนาที”
 
                “โห  แค่สิบนาทีเนี้ยนะ  พ่อนักษาศึกษาแพทย์”
 
                “ล้อเล่นน่า  ผมเพิ่งเรียนเสร็จเมื่อกี้นี้เอง^^”
 
                “อ่ะนะ  เดี๋ยวนี้หัดมีล้อเล่นแล้วนะเรา”
 
            ว่าแล้ว  มือใหญ่ที่แสนอบอุ่นก็เอื้อมมยีหัวผมเหมือนทุกครั้ง
 
                “อ่าว  ก็แทมินพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้เลิกเกรงใจ  รึว่าไม่ชอบ”
 
                “เอาน่าๆ  เอาเป็นว่าพวกเราไปกันเถอะ”
 
                ทิวคงอยากให้สงครามเล็กๆที่แสนไร้สาระของผมจบเลยเอ่ยตัดบท
 
                “นั่นสินะ  เดี๋ยวเซนคอยแย่เลย  เพราะแทมินนะรู้ไว้ด้วย”
 
                ไม่วายแขวะคนรักต่อ  ตอนนี้ผู้อ่านทั้งหลายคงจะรู้สึกตัวแล้วสินะครับว่านิสัยของผมเปลี่ยนไป!!!  อย่างที่พวกคุณคิดนั่นแหล่ะครับ  นิสัยของผมเปลี่ยนไปจริงๆ  ผมเริ่มกลายเป็นตัวของตัวเองรึจะพูดให้ถูกนี่ก็คือนิสัยจริงๆของผมที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้เพราะเหตุการณ์ที่แสนเลวร้ายจึงทำให้ผมต้องกลายเป็นคนเงียบๆ ว่าง่ายและเกรงใจคนอื่น  และไม่เมื่อไม่มีอะไรที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นแบบนั้นแล้ว  นิสัยจริงๆของผมก็เลยค่อยๆปรากฎออกมา  แน่นอนว่าผมเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน
 
                “คร้าบผม  ผมผิดไปแล้ว  สุดที่รักยกโทษให้ผมด้วยน้า”
 
                “ถ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว  รีบไปเถอะ  ผมอยากเจอเซน  ไม่ได้ไปเยี่ยมเซนตั้งหลายวัน  คิดถึงจะแย่”
 
                “ไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้  หึงนะ =_=*”
 
                “ไม่รู้ไม่ชี้ ^^~”
 
                “T [] T”
 
                ทิวที่ยืนเงียบอยู่ก็ดันหลังผมให้ขึ้นรถเมื่อเห็นว่าบทสนทนาแบบข้าถูกเสมอของผมทำเอาแทมินเริ่มเข้าสู่โหมดซึมเศร้า
 
                                สองปีหลังจากวันนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปรวมถึงเซนด้วย  ตำรวจที่ค้นหามาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่พบเซนจนต้องล้มเลิกการตามหา  แต่น้าภาไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจนั้นเลย  น้าภาได้ลงประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์และในอินเตอร์เน็ท  ถึงแม้จะมีข้อความแจ้งเบาะแสมาก็จริงแต่ว่าเมื่อไปพบพวกเขากลับบอกว่า  จำคนผิดบ้าง  แค่ล้อเล่นบ้าง  จนน้าภาไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากคอยเก็บกวาดห้องของเซนเพื่อรอวันที่เซนจะกลับมา  จนกระทั้งเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนในขนาดที่น้าภาเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปทำธุระข้างนอกจู่ๆก็มีคนมาบอกน้าภาว่าเขาพาเซนมาส่ง  และก็จริงอย่างที่เขาว่า  เซนนั่งอยู่ในรถของคนๆนั้นจริงๆแต่ถามว่าเขาเจอเซนได้อย่างไรกลับไม่ได้รับคำตอบ  และน้าภาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนอกจากลูกชายของเธอเท่านั้น
 
                รถของแทมินเข้าจอดที่หน้าบ้านของผมตอนนี้ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ยังไม่กลับจากที่ทำงาน  เพราะไม่เห็นรถที่จอดอยู่ในบ้าน  ผมเดินตรงเข้าไปยังบ้านของเซนพร้อมกดกริ่ง
 
                “อ้าว  หนูไผ่หนูทิวแล้วก็คุณแทมินนี่เอง  มาเยี่ยมเซนรึจ๊ะ”
 
                น้าภาออกมาจากบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเชิญให้พวกผมเข้ามาในบ้าน
 
                “เซนอยู่ในห้องรึครับคุณน้า”
 
                “อ้อ เปล่าหรอกจ๊ะ  คุณเอฟเขาพาเซนออกไปสูดอากาศที่สวนหลังบ้าน  ไปก่อนเลยจ๊ะเดี๋ยวน้าจะยกน้ำตามไปให้”
 
                เอฟ….ผู้ชายคนนั้น  คนที่เป็นศัตรูกับแทมิน  ผมไม่ได้พบเขาอีกเลยจนกระทั่งเจอเขาอีกครั้งเมื่อตอนที่ผมทราบข่าวของเซน  เขานั่นเองที่เป็นคนพาเซนกลับมา…
 
                เมื่อพวกผมมาถึงบริเวณหลังบ้าน  ภาพที่พวกผมเห็นคือเซนที่นั่งอยู่รถเข็นและเอฟที่นั่งยองข้างๆรถเข็น  มือของเขากุมมือของเซนขึ้นมาแนบกับแก้มของตัวเองพร้อมพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถได้ยิน  สายตาของเขาที่จ้องมองเซนดูแตกต่างไปจากครั้งแรกที่ผมได้พบเขา  เป็นสายตาที่แสนอ่อนโยนปราศจากความแค้นแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเหมือนสายตาที่ใช้จ้องมองคนรัก
 
                เมื่อพวกผมเดินเข้าไปใกล้  เขาก็รู้สึกตัวและวางมือของเซนไว้ที่เดิม
 
                “มาเยี่ยมเซนสินะ  ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวเข้าไปในบ้านก่อนก็แล้วกัน”
 
                พูดจบเอฟก็เดินเข้าไปในบ้านทันที  เอฟได้ย้ายเข้ามาอาศัยที่บ้านหลังนี้  เห็นน้าภาบอกว่าเขาอยากจะดูแลเซน  ซึ่งน้าภาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร  กลับดีเสียอีกที่มีคนคอยดูแลในช่วงที่เธอออกไปทำงาน
 
                “ไผ่  เดี๋ยวพี่กับพี่แทมินไปช่วยคุณน้าก็แล้วกันนะ  ไผ่อยู่เป็นเพื่อนเซนก็แล้วกัน”
 
                “อืม”
 
                ทิวกับแทมินเข้าไปในบ้าน  ตอนนี้เหลือเพียงผมกับเซนเพียงสองคนเท่านั้น
 
                “เป็นยังไงบ้างเซน  ช่วงที่ฉันไม่อยู่  นายเหงารึเปล่า^^”
 
                “…”
 
                ความเงียบเป็นคำตอบ
 
                “ขอโทษทีนะที่ไม่ได้มาเยี่ยม  แต่นายอย่าเพิ่งโกรธฉันนะ  เซนรู้ไหมว่าอาจารย์โคตรจะให้การบ้านมากเลยล่ะ  ไม่รู้จะให้อะไรนักหนา  ทิวเองก็บ่นๆเหมือนกันนะว่าคณะของเขาเรียนยาก  แต่ฉันว่านะอย่างทิวน่ะต้องผ่านสบายๆอยู่แล้ว”
 
                “….”
 
                “แล้วก็นะ  วันนี้มีคนแซวฉันด้วยล่ะ  งี่เง่าชะมัด  ฉันเซ็งมากก็เลยทำหน้าที่คิดว่าแสนจะเย็นชาไปให้  นายรู้ไหมเจ้าหมอนั่นนะกลัวจนต้องรีบถอยเลยล่ะ  ถ้าเซนได้เห็นหน้าเจ้านั่นตอนนั้นโคตรจะตลกเลยล่ะ  ฮะๆ….”
 
                “…”
 
“นี่  พูดกับฉันหน่อยสิ”
 
                เซน…ตอนนี้เซนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  สายตาของเซนเหม่อลอยเหมือนจ้องมองไปที่ไหนสักแห่ง  น้าภาได้พาเซนไปหาหมอมาแล้ว  ซึ่งหมอบอกว่านี่ผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทหลอนประสาทมากเกินขนาดและเป็นระยะเวลาติดต่อกันเป็นเวลานาน  ซึ่งอาการของมันก็คล้ายๆกับคนเสียสติแต่ว่าสำหรับกรณีของเซนนั่นได้ผ่านขั้นเสียสติมาแล้ว  จากประวัติการรักษาของเซนได้บ่งบอกว่าเซนได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแผนกจิตเวช  พูดง่ายๆก็คือเซนได้กลายเป็นคนเสียสติรึก็คือคนบ้านั่นเอง  แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรทำให้ร่างกายของเซนได้รับสารเสพติดตัวเดิมแต่ในปริมาณที่แรงกว่า  เลยทำให้ตอนนี้เซนกลายเป็นอย่างที่เห็น  ไม่พูดไม่จา  สายตาที่ไม่รู้ว่ามองไปที่ไหน  เหมือนกับเขาได้ปิดกั้นจิตใจจากทุกสิ่งเพื่อหนีอะไรบางอย่างที่โหดร้าย
 
                “นายน่ะ  จะอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน”
 
                “…”
 
                “นายจะทิ้งทุกคนไว้ข้างหลังอย่างนั้นเหรอ  จะทิ้งน้าภาและฉันไว้ข้างหลังใช่ไหม”
 
                “…”
 
                “น้าภาเขาไม่เหลือใครแล้วนะ  นอกจากนาย…”
 
                “…”
 
                “กลับมาเถอะนะ…”
 
                สัมผัสอุ่นที่บริเวณรอบดวงตาค่อยๆเอ่อล้นออกมาอย่างช้าๆ  ได้โปรดเถอะเซน  กลับมาเถอะนะ..
 
                “กลับมาหาน้าภานะ…กลับมาหา….ฉัน…”
 
                ปฏิกิริยาของบุคคลที่นั่งอยู่บนรถเข็นยังคงนิ่งเฉย  ไร้การตอบรับใดๆทั้งสิ้น
 
                “นายใจร้ายมากเลยรู้ไหมเซน…”
 
                “…”
 
                “ในเมื่อนายทำแบบนี้กับฉัน  ฉันก็จะมาหานายบ่อยๆ  จะมาเล่าเรื่องสนุกๆของฉันในมหาลัยให้นายฟัง  ฉันจะทำให้นายอิจฉาจนอยากจะออกมาสู่โลกภายนอก…ฉันไม่มีทางปล่อยนายไว้อย่างนี้หรอกนะ  เพราะว่านายคือเพื่อนของฉัน…เพื่อนที่ฉัน…รักมากที่สุด”
 
            น้าภาแล้วพวกทิวออกมาจากในบ้านเพื่อเรียกให้ผมไปดื่มน้ำข้างในบ้าน  ส่วนเอฟก็เดินออกมาเข็นรถพาเซนเข้าบ้านเมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มเย็น
 
                …
 
                …
 
                …
 
                ภายในห้องนอนของคนที่เขารัก  เอฟได้อุ้มร่างของเซนวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล  และนำน้ำอุ่นที่เตรียมไว้มาวางใกล้ๆเพื่อที่จะเช็ดตัวให้เซน  เขาบรรจงถอดเสื้อผ้าออกและเริ่มลงมือเช็ดตัวให้
 
                “วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง  ไผ่มาเยี่ยมเซนด้วยนี่  ดีใจใช่ไหมล่ะ”
 
                แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากบุคคลตรงหน้า
 
                “ไผ่นี่เป็นเพื่อนที่ดีนะ  พี่ชักจะรู้สึกผิดซะแล้วสิที่เคยทำเรื่องที่ไม่ดีกับเขาเอาไว้  ไม่รู้ว่าเขาจะยกโทษให้พี่รึเปล่า”
 
                เขาค่อยๆเช็ดตามใบหน้าของเซนอย่างช้าๆ  ก่อนที่จะมอบรสจูบที่ไม่รู้ว่าร่างตรงหน้าจะรับรู้รึเปล่าอย่างอ่อนโยน
 
                “แล้วเซนล่ะ…จะยอมยกโทษให้พี่ไหม”
 
                สองมือกุมมือที่ดูเล็กสำหรับเขาขึ้นมาแนบอกเพื่อหวังจะให้เซนได้รับรู้ถึงเสียงหัวใจของเขา
 
                “เซนจะให้โอกาสพี่ไหม  ให้พี่ได้แก้ตัวใหม่อีกครั้ง…ได้ไหม”
 
                “…”
 
                “พี่รักเซนนะ…”
 
                ……
 
                …..
 
                ….
 
                หลังจากที่ทิวแยกตัวกลับเข้าไปในบ้าน  พวกผมก็กลับไปยังอพาร์ทเมนท์ที่ผมกับแทมินได้เช่าเอาไว้   ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงานที่ร้านของเถ้าแก่แล้วเพราะระยะทางทำให้ลำบากต่อการเดินทาง  รวมถึงแทมินที่อยู่ห่างไกลจากสถานที่ทำงาน แต่เหตุผลที่แท้จริงคือการที่ผมได้ออกมาอยู่ด้วยกันกับแทมิน
 
                “วันนี้อาการของเซนเป็นยังไงบ้าง”
 
                “ก็ยังเหมือนเดิม…”
 
                ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่เซนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม…
 
                “พูดก็พูดเถอะนะ  รู้ตัวไหมว่าวันนี้ไผ่ทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย - -*”
 
                ผมหันควับมามองหน้าแทมินทันที
 
                “แต่ถึงเป็นยั่งงั้นแทมินก็รักผมไม่ใช่เหรอ ^^”
 
                น่าน  โดนย้อนด้วยคำพูดที่แทมินเคยพูดกับผมเมื่อตอนเวลาหื่นเข้าไป  เป็นไงล่ะ  ฮะๆๆ พูดไม่ออกเลยล่ะสิ
 
                วงแขนที่อบอุ่นได้คว้าตัวผมเข้าไปโอบกอดไว้แนบแน่น
 
                “ใช่  รักมากเลยล่ะ”
 
                “ผมเองก็รักแทมิน”
 
                “ไผ่…ทำไมไผ่ถึงรักฉันล่ะ  บอกหน่อยได้ไหม”
 
            วันนี้มาแปลกนะ  ที่มาถามแบบนี้
 
                “คำตอบก็ง่ายๆ  เพราะแทมินคือคนที่ผมรักน่ะสิ ^^”
 
                “กวนนะ  - -^”
 
                “กวนตรงไหน  ผมรักแทมินก็เพราะแทมินคือคนที่ผมรัก  ตรงไหนกันที่ว่ากวน”
 
                “-*-“
 
                “นั่นไง  ตอบไม่ได้ใช่มะ  >.<~!”
 
                รสจูบที่แสนหวานทาบทับลงมาทันทีโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว  เรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาคว้านหาความหวานของเขาทำเอาผมแทบเข่าอ่อน
 
                “ทำโทษที่พูดกวนนะ^^”
 
                “=///=”
 
                “มินรักไผ่นะ  รักมาก มากๆๆๆ เลย”
 
                “ครับ  ผมรู้แล้ว  ผมก็รักแทมินมากไม่แพ้กันหรอกนะ  ^^”
 
            “>////<”
 
                ตอนนี้ชีวิตของผมก็มีความสุขอย่างที่ผมต้องการแล้ว  ครอบครัวที่ถึงแม้ว่าผมยังไม่พร้อมที่จะกลับไปแต่พวกเขายังโทรมาหามาคุยกับผมอยู่เสมอ  กับทิวตอนนี้ไม่มีคำว่าเกลียดอีกแล้วสำหรับผม  เซนที่ตอนนี้ยังคงเป็นแบบนั้นแต่ผมก็เชื่อว่าสักวันเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  เป็นเพื่อนที่แสนดีที่สุดและเขา  แทมินคนที่รักและคอยอยู่เคียงข้างผมตลอดมาไม่ว่าจะในยามสุขหรือยามทุกข์  คอยเป็นกำลังใจ  คอยห่วงใยและดูแลไม่เคยห่าง  ผมรักเขาเหลือเกิน….Because,you're my love.
 

 

 

 
End.
 
 
ยังมีตอนพิเศษอีก 4 ตอนสั้นๆนะคะ   จะมาอัพให้ทีหลังค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 47 P.4) [28/06/2013]
«ตอบ #115 เมื่อ28-06-2013 22:15:01 »

เอฟนี่ก็แปลกเนอะะ พอตอนที่เซนดีๆก็ไม่สนใจ
ที่ตอนนี่มาขอให้ๆอภัย น่าเตะจริงงๆ  :z6:

bjinkn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Because you're my love. (UP! ตอนที่ 47 P.4) [28/06/2013]
«ตอบ #116 เมื่อ09-08-2013 20:29:36 »

Special 3 : การทะเลาะกันของคู่รัก (1)


                เท่าที่ผมจำได้  ผมได้นั่งอยู่ตรงนี้มาสี่ชั่วโมงแล้ว  ทั้งๆที่เวลาเลิกงานโดยปกติของแทมินคือห้าโมงเย็นแต่นี่มันสามทุ่มแล้วเว้ย!!!!!!!!  ทำไมยังไม่กลับมาอีก  ให้ตายสิ  ผมไม่อยากคิดในทางที่ไม่ดีหรอกนะ  แต่ว่าโทรไปเท่าไหร่ก็ปิดเครื่อง  แถมยังไม่โทรมาบอกอะไรผมสักคำ  ตอนนี้ผมกังวลสุดๆแล้วนะ
 
                แกร๊ก
 
                เสียงไขกุญแจดังขึ้นทำให้ผมรีบหันไปทางประตู  คนรักของผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง  ผมจึงรีบวิ่งไปหาเขา
 
                “ทำไมถึงมาช้าจัง”
 
                ผมถามหลังจากที่เขาถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นเก็บ
 
                “ทำโอทีน่ะ  โทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อน”
 
                “งั้นเหรอ  แล้วกินข้าวรึยัง  ผมทำกับข้าวไว้แล้วนะ  เดี๋ยวจะไปอุ่นให้”
 
                ไม่ทันที่ผมจะหันหลังไป  แทมินก็แย้งขึ้นมา
 
                “ไม่ต้องหรอก  มินกินมาจากข้างนอกแล้ว”
 
                “…อืม”
               
                ทานมาจากข้างนอกแล้ว?  นี่แสดงว่าผมรอเขาเก้อใช่ไหม  ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้กินพร้อมกันแท้ๆ…
 
                จ้อก…
 
                เวร..ท้องเจ้ากรรมดันร้องขึ้นมาตอนนี้อีก  ฮ่วย!!!!!!!
 
            แทมินทำตาโตแล้วมองมาที่ผมเมื่อได้ยินเสียงท้องร้อง  แล้วเขาที่ขำเล็กน้อยแล้วเอามือมายีหัวผม
 
                “นี่ไผ่รอมินเหรอ  ขอโทษนะ  ที่จริงไผ่กินไปก่อนก็ได้  ไม่ต้องรอมินหรอก  เดี๋ยวจะเป็นโรงกระเพาะเอา”
 
                “…ก็ไม่ยอมโทรมาบอกก่อนนี่นา”
 
                “คร้าบ~  ต่อไปจะโทรมาบอกนะ  งั้นมินขอตัวไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน”
 
                และแล้วก็กลายเป็นว่าผมต้องกินข้าวคนเดียว….-*-
 
                เมื่อแทมินเดินออกมาจากห้องน้ำ  ผมที่นอนเล่นอยู่บนเตียงก็หันไปมองเขา  หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายและผมที่เปียกน้ำนั้น….ชักจะอยากแล้วสิ
 
                ผมลุกจากเตียงแล้วเข้ากอดแทมินจากข้างหลัง
 
                “ไผ่  มินใส่เสื้อไม่ได้นะแบบนี้”
 
                “แทมิน…ทำกันเถอะ”
 
                ไม่อยากจะบอกเลยครับว่าช่วงหลังๆมานี้  ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเกือบจะทุกครั้งเลย  ตกลงว่านี่ผมกลายเป็นคนหื่นกามไปแล้วใช่ไหมเนี้ย
 
                “แต่มินง่วงแล้วอ่ะ”
 
                “นะๆ  ทำกันเถอะ  น้า~”
 
                “โทษทีนะ  มินรู้สึกเหนื่อยๆยังไงก็ไม่รู้  ไว้คราวหลังก็แล้วกัน^^”
 
                “เอางั้นก็ได้  คืนนี้ขอนอนกอดแทมินก็แล้วกัน”
 
                “ได้เสมอเลยคร้าบ”
 
                กลายเป็นว่าคืนนั้นผมจึงทำได้แค่นอนกอดแทมินเท่านั้นเอง….
 
            และไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้นนะครับ  จนถึงตอนนี้มันหนึ่งอาทิตย์แล้วครับ…ที่แทมินทำโอทีและกลับดึก  และยังเว้นจากการทำเรื่องอย่างว่าด้วย -*-
 
                “กลับมาดึกอีกแล้วนะ  นี่มันจะห้าทุ่มแล้วรู้ไหม”
 
                ผมพูดกับแทมินเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา  และก็ได้คำตอบเดิมกลับมา
 
                “ก็มินอยู่ทำโอทีนี่นา”
 
                โอทีอีกแล้ว  มันทำให้ผมแทบคลั่งกับคำๆนี้
 
                “โอทีๆๆๆๆ  อะไรๆก็โอที  แทมินจะทำทำไมนักหนาเนี่ย!  นานๆทำครั้งผมก็ไม่ว่าหรอก  แต่นี่มันทุกคืนเลยไม่ใช่เหรอ”
 
                “ใจเย็นๆก่อนสิไผ่  มินไปอาบน้ำก่อนดีกว่า  ร้อนจะแย่”
 
                ผมได้แต่รอให้แทมินอาบน้ำเสร็จ  วันนี้ผมจะต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง  ไม่อย่างนั้นผมจะต้องคลั่งตายแน่ๆกับคำว่าโอที -*-  แต่ไม่ทันที่ผมจะรีบบทสนทนา  ผมก็เกิดอารมณขึ้นมาอีกซะแล้ว….ก็ไม่ได้ทำมาหลายวันแล้วนี่  มันก็ต้องสตาร์ทติดง่ายเป็นธรรมดา เหอๆ (นายเป็นครายยยย นู๋ไผ่ที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของแคนอยู่ที่หน่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย)
 
                “แทมิน…”
 
                ผมเรียกชื่อของเขาพร้อมปลดกระดุมของตัวเอง  เป็นไงเป็นกัน  วันนี้ผมจะต้องอึ้บกับแทมินให้ได้!!
 
                “ผมอยากแล้ว  มาทำกันนะ”
 
                “ไว้วันหลังนะ  มินเพลียน่ะ”
 
                เมื่อได้ยินดังนั้น  ความอดทนของผมก็ขาดผึ่งทันที  อะไรกันวะเนี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
 
ผมจัดการผลักแทมินลงบนเตียงและขึ้นคร่อมเขาซะเลย
 
                “วันหลังอีกแล้ว  วันหลังทุกทีเลย  ผมต้องการเดี๋ยวนี้นี่นา”
 
                “มินขอนะไผ่  มินเหนื่อยจริงๆ”
 
                แทมินค่อยๆดันผมออกแล้วลุกขึ้นมานั่ง
 
                “ไม่  ไม่ยอม  ผมอดทนมาหลายวันแล้วนะ  แล้วแทมินจะให้ผมทนไปอีกนานแค่ไหนกัน”
 
                “ไผ่ก็ช่วยตัวเองไปก่อนไม่ได้เหรอ”
 
                “- -^”
 
                “ขืนทำ  เดี๋ยวมินก็ไม่มีแรงไปทำงานกันพอดี”
 
            “นี่  ทำนะ  นะๆๆๆ น้า”
 
                “ไผ่…อย่าเอาแต่ใจสิ  โตๆกันแล้วนะ”
 
                “ผมไม่ชอบแบบนี้เลย  ทำไมแทมินต้องทำโอที!  ทำไมต้องกลับดึก!  แล้วมันไมถึงมีอะไรกันไม่ได้!  ทำไม!!!”
 
                ผมเริ่มโวยวาย  มันน่าหงุดหงิดจริงๆที่ต้องเป็นแบบนี้  ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่ได้ดั่งใจของผมเลย
 
                “หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม!”
 
                ผมนิ่งงัน  แทมินขึ้นเสียงกับผม  การขึ้นเสียงครั้งแรกหลังจากที่พวกเราได้คบกัน  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา  ไม่ว่าผมจะเอาแต่ใจสักแค่ไหน  แทมินก็ไม่เคยทำแบบนี้
 
                “แทมิน…ว่าผมเหรอ”
 
                “ใช่!  หลายวันมานี้ไผ่เป็นอะไร  เอาแต่ใจตลอดเลย”
 
                “ก็เพราะแทมินนั่นแหล่ะ! แล้วแทมินล่ะเป็นอะไร  ทำถึงต้องทำโอทีทุกวัน  หรือว่าต้องการจะปกปิดอะไรกันแน่”
 
                “ไม่ได้ปกปิดอะไรทั้งนั้น  นี่อย่าบอกนะว่าไผ่ไม่ไว้ใจฉัน”
 
                สรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไป…ถ้าไม่ได้ปกปิดอะไรเอาไว้แล้วทำไมจะต้องโมโหด้วยล่ะ
 
                “ก็แล้วแทมินทำตัวให้น่าสงสัยเองทำไมล่ะ  มีอะไรก็พูดมาตรงๆเลยสิ!”
 
                “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะบอก  ที่ฉันทำงานโอที  ก็เพราะอยากจะเก็บเงินให้ได้เยอะๆ  เพื่ออนาคตของเรายังไงล่ะ  ทีนี้เข้าใจหรือยัง!”
 
‘ที่พ่อกับแม่พยายามทำงานหนักก็เพื่อครอบครัวของเรานะไผ่’
 
            ไม่รู้ทำไม  คำพูดที่เคยตอกย้ำผมมาตั้งแต่วัยเด็กก็ดังขึ้นในหัว  เหตุการณ์มันเหมือนกันไม่มีผิดเลยไม่ใช่เหรอ…
 
                “เพื่ออนาคตของเรา…เพื่ออนาคตของเราอะไรกัน!  ถ้าเพื่อของแบบนั้นแล้วทำให้แทมินต้องกลายเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ต้องการหรอก!!”
 
                “เลิกเอาแต่ใจตัวเองสักที!  ไผ่รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันลำบากใจ!”
 
                “แทมินจะลำบากใจยังไงผมไม่รู้!  แต่ผมอยากให้แทมินเลิกทำแบบนี้..นะ  ผมขอร้อง”
 
                ไม่อยากกลับไปเหมือนเมื่อก่อน…อีกแล้ว
 
                “ทั้งๆที่ฉันทำเพื่อไผ่เนี่ยนะ!  ถ้าทนไม่ได้ก็เลิกกันไปเลยดีกว่าไหม!!”
 
                “เอ้ะ  มะ  เมื่อกี้…”
 
                ไม่นะ  ผมคงจะหูฝาดไปใช่ไหม  ใช่ไหม!  บอกมาสิ ว่า…
 
                “ถ้าแค่นี้ไผ่ยังทนไม่ได้  แล้วฉันจะทนไผ่ไปเพื่ออะไร!  สู้เลิกไปซะเลยไม่ดีกว่ารึไง!”
 
                “แทมิน  จะเลิกกับผม…เหรอ”
 
                “ได้ยินไม่ผิดหรอก  พอที!  ฉันกลับบ้านดีกว่า”
 
                พูดเสร็จแทมินก็เดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูเสียงดังสนั่น เหลือเพียงผมที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม  หยดน้ำตามากมายที่ไม่ได้หลั่งไหลมาเสียนานเริ่มนองหน้า  มันเจ็บ…เจ็บไปหมดทั้งหัวใจ
 
                ผมหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อโทรหาใครสักคน  หากผมจะต้องอยู่คนเดียวในสภาพแบบนี้ผมคงทนไม่ไหวแน่ๆ  แต่จะโทรหาใครได้ล่ะ  เซนงั้นเหรอ  เซนกลายเป็นแบบนั้นไปแล้วเขาจะมาช่วยผมได้ยังไงกัน…นิ้วของผมกดไปยังเบอร์ของพี่ชายที่ไม่รู้ว่าตอนนี้นอนไปแล้วหรือยัง  เสียงรอสายที่ฟังดูแล้วเนิ่นนานในความคิดของผม  และแล้วเขาก็รับสาย
 
                “ว่าไงพ่อน้องชาย  ดทรมาซะดึกเลยนะ”
 
                “ฮึก..ทิว  ไผ่ไม่ไหวแล้ว..ฮือ”
 
                “ไผ่….ไผ่เป็นอะไร  เกิดอะไรขึ้น”
 
                “ทิว…ไม่อยากอยู่คนเดียว  ฮือ   มาหาที”
 
            ช่วงเวลาเพียงยี่สิบนาทีที่ทิวมาหาผม  ทำไมผมถึงรู้สึกนานหลายชั่วโมงนะ
 
                “ไผ่!”
 
            ทิวเปิดประตูวิ่งเข้ามาหาผมในห้องนอน  ทันทีที่ผมเห็นทิวผมก็โผเข้ากอดและร้องไห้อย่างลืมอาย
 
                “ทิว..ทิว  แทมินไปแล้ว  ฮือ”
 
                “ใจเย็นๆนะไผ่  แทมินทำอะไรไผ่  บอกพี่มาสิ”
 
                “แทมิน…ฮึก  บอกเลิกกับไผ่แล้ว”
 
                ไร้คำพูดตอบกลับจากพี่ชาย  มีเพียงแขนที่โอบกอดผมตอบกลับอย่างอ่อนโยน  มันยิ่งทำให้ผมยิ่งปล่อยโฮหนักขึ้นไปอีก  เหมือนจิตใจแตกสลาย  แทมินบอกเลิกกับผมไปแล้ว  เพราะนิสัยของผมอย่างนั้นเหรอ  เพราะแทมินไม่ชอบนิสัยที่แท้จริงของผมอย่างนั้นสินะ  หากตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นที่น่ารังเกียจ…ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง  ผมก็คงต้องใส่หน้ากากต่อไป  หน้ากากที่ปกปิดความอ่อนแอและตัวตน…ของตัวเอง
 
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดอง  1 เดือน ได้เวลากลับลง ตอนพิเศษที่เหลือแล้วจ้า

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: Because you're my love. (UP! Special3 P.4) [09/08/2013]
«ตอบ #117 เมื่อ09-08-2013 20:44:58 »

อ่านตอนเซนทีไหร นึกถึงตอนทีเซนนั่งอยู่บนรถเข็นทุกทีเลยยย สงสารร
คนแต่งสู้น่ะจ๊ะ ไว้จะตามไปอ่านเน้อออออ  :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ nasa_risa

  • ไว้มีแล้วจะบอก
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Because you're my love. (UP! Special3 P.4) [09/08/2013]
«ตอบ #118 เมื่อ02-12-2013 00:45:25 »

เราพึ่งเคยโพสต์เป็นครั้งแรกที่จริงก็กะจะเก็บเวอร์จิ้นนี้ไว้  :oo1: แต่เพื่อสนองความต้องการของตัวเองเเล้วนั้นไซร้ ต้องโพสต์เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบมากจริง ๆ (เราสมัครสามชิกมมานานเเล้วแต่ไม่เคยคิดจะโพสต์) และที่สำคัญอยากรู้ว่ามีเรื่องของเซนแยกต่างหากไหม ?? ถ้ามีขอลิ้งค์หน่อย  :mew2:  แต่ถ้าไม่มี  :o12:  เราก็ขอให้คนเขียนมาเขียนต่อเร็ว ๆ ด้วยน่ะ :katai4: 
เราจะรอ... :katai5:

ออฟไลน์ freesia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Because you're my love. (UP! Special3 P.4) [09/08/2013]
«ตอบ #119 เมื่อ07-12-2013 03:04:31 »

กลับมาต่อเถอะนะคะTwT

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด