ตอนที่ 46 เหตุผลของแต่ล่ะคน
วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที เอาแต่นั่งๆนอนๆจนผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะผมต้องทำงานมาตลอดก็เป็นได้ พออยู่ว่างๆก็เลยรู้สึกเบื่อ
“กลับกันเถอะแทมิน”
ผมหันไปทางคนรักที่กำลังจัดกระเป๋าเป้อยู่ข้างๆผม
“คือว่านะไผ่ ตั๋วที่จะกลับกรุงเทพของวันนี้มันเต็ม มีแต่ของวันมะรืนนี้แทน =_=”
“แล้วกว่าจะถึงวันนี้เราจะไปพักกันที่ไหนล่ะ โรงแรมงั้นเรอะ - -*”
“>w<~!”
พวกผมเราคิดถึงสถานที่พักในอีกสองวันที่เหลือนี้ และแล้วประตูก็ถูกเปิดออก บุคคลที่ก้าวเข้ามาทำให้ผมแทบพูดอะไรไม่ออก
“จะกลับแล้วเหรอไผ่”
คนชื่อทิวก้าวเข้ามาในห้อง เขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ ผมรีบหันไปมองแทมินทันที และก็เป็นไปตามที่คาด เป็นแทมินจริงๆด้วย
“ก็อยากจะกลับอยู่หรอกนะแต่บังเอิญว่าตั๋วมันเต็มก็เลยต้องกลับมะรืนนี้ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะค้างกันที่ไหนดี”
“ค้างที่บ้านของผมก็ได้^^”
“ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ไผ่ล่ะว่าไง”
ว่าแล้วก็หันมาทางผม
“อยากทำอะไรก็เชิญ”
“งั้นเป็นอันว่าตกลงก็แล้วกันนะ^^”
กลายเป็นว่าผมต้องไปอยู่กับพวกเขาอย่างนั้นสินะ ทั้งๆที่ยังไม่อยากเจอตอนนี้สักหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ พี่คิดว่าแม่…เอ่อ คุณย่าก็คงอยากเจอไผ่มากๆเลยล่ะ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ด้วย ตอนนี้พวกท่านรออยู่ที่แผนกจ่ายยา”
คนชื่อทิวเดินนำพวกผมออกมาจากห้อง ในระหว่างทางคนชื่อทิวก็เดินช้าลงให้เท่ากับผม
“ทำไมถึงหนีออกจากบ้านล่ะ รู้ไหมว่าคุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วง”
“ที่แบบนั้นน่ะ เขาไม่เรียกว่าบ้านหรอก”
“…ขอโทษ”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะตึงเครียด แทมินก็รีบชวนผมคุยด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“แหม วันนี้อากาศดีเนอะไผ่”
“ครับ ดีมากเลย เมฆครึ้มตั้งแต่เช้าแล้ว - -*”
“T^T”
เมื่อเดินไปถึงที่ๆพวกเขารออยู่ พวกเขาเห็นผมดูเหมือนว่าจะตกใจไม่น้อย คงจะคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าผมจะอยู่ที่นี่ด้วย
“ไผ่….หายไปไหนมาลูก รู้ไหมว่าแม่กับพ่อเป็นห่วงมากแค่ไหน”
“ไม่รู้ และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย”
คำตอบของผมทำให้ผู้หญิงคนนั้นเอามือกุมกับมือสามีของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไผ่ อย่าพูดแบบนั้นกับแม่เขาสิ ไว้กลับไปกรุงเทพแล้ว ไผ่กลับมาอยู่ที่บ้านนะลูก”
“….”
พอสักที เลิกพูดแสดงท่าทีห่วงใยผมเถอะ อย่าแสแสร้งอีกเลย…
“เอ่อ ผมว่ารีบไปกันเถอะครับ ผมอยากเจอแม่เฒ่าแล้ว คิดถึงจะแย่”
คนชื่อทิวพูดทำลายบรรยากาศแย่ๆนี้ ดีเหมือนกัน ผมเองก็อึดอัดไม่อยากยืนตรงนี้นานนัก พวกผมเดินตรงไปยั่งลานจอดรถ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถของคนที่เคยเป็นอดีตพ่อและแม่ของตนเองในขนาดที่คนชื่อทิวคงจะนั่งบ่อยครั้งจนจำไม่ได้ว่านั่งไปกี่ครั้งแล้ว
ภาพวิวทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างที่ค่อยๆเปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่องเป็นสวนยางพาราและทุ่งนาทั้งสองข้างทาง จนกระทั้งรถได้เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ขับไปเรื่อยๆ จนไปจอดยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง
“ถึงแล้วล่ะไผ่ ลงมาสิ”
คนชื่อทิวเอ่ยชวนผม เมื่อผมก้าวลงจากรถก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งค่อยๆเดินตรงมาทางพวกผม
“หลบกันมาแล้วเหรอ ไอ้ทิวมึงเป็นพันพรือบ้าง ยังเจ็บตรงไหนเหลยม้าย”
หญิงชราถามไถ่อาการของคนชื่อทิวด้วยความเป็นห่วง
“ผมบายดีครับแม่เฒ่า วันนี้ผมพาคนที่แม่เฒ่าอยากเจอมาด้วยนะครับ”
“มึงหมายถึงใคร”
คนชื่อทิวชี้นิ้วมาทางผม เมื่อหญิงชราหันมามองก็ถึงกับนิ่งงันและเดินมาหาผมอย่างเชื่องช้า
“มึง..มึงคือไผ่ใช่ไหม”
“ครับ คุณคือ…”
ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ หญิงชราก็เข้ามากอดผมเอาไว้ ผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณที่หญิงชราซุกหน้าลงมา
“ในที่สุด ก็ได้เจอ…ย่าอยากเจอมึงมาตลอดเลยนะ”
ย่า…คนๆนี้คือ ย่าของผมงั้นเหรอ…
หญิงชราที่มีศักดิ์เป็นย่าของผมค่อยๆเอื้อมมือขึ้นมาลูบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา
“เป็นพันพรือบ้าง พ่อกับแม่มึงดูแลมึงดีไหม เหงารึเปล่า แล้ว…แล้วทำไมมือของมึงถึงได้หยาบแบบนี้”
หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยอย่างที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อและแม่ของตัวเอง แล้วลูบคลำมือของผมด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องสนใจก็ได้…ครับ”
ท่าทางจริงใจของคนๆนี้ทำให้คำพูดที่ผมตั้งใจจะพูดห้วนๆก็ไม่สามารถทำได้ อบอุ่นจังเลย..
“แม่เฒ่าครับ ไผ่จะมาค้างอยู่ที่นี่ด้วยนะ ตั้งสองวันแน่ะ^^”
คนชื่อทิวพูดด้วยน้ำเสียงสดใส หันมายิ้มหวานให้ผม แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับไปคือความว่างเปล่า….
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่านะ”
บุคคลที่เคยเป็นพ่อของผมเอ่ยชักชวนกันให้เข้าไปในบ้าน คุณย่าของผมก็จับมือผมพาเข้าไปในบ้าน
“มึงชอบกินอะไรล่ะ เดี๋ยวย่าทำให้”
“ไม่มีเป็นพิเศษครับ อะไรก็ได้”
ใช่แล้ว ผมไม่มีของที่ชอบ ไม่ว่าอะไรก็กินได้ทั้งนั้น
“วะ! มึงอยู่มาได้ยังไงไม่มีของที่ชอบ เอาพันนี้หว่า ตอนนี้มึงอยากกินอะไร แค่ของที่อยากกินคงจะตอบได้ใช่ไหม”
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นผมขอไข่เจียวก็พอ”
“ได้สิ เดี๋ยวย่าจะทำแกงพริกให้ด้วยดีไหม คงไม่เคยกินสินะ รับรองว่ามึงต้องชอบแน่ๆ”
เมื่อเข้ามาถึงตัวบ้านแล้ว คุณย่าก็เข้าไปทำอาหารอยู่ในครัวโดนมีคนชื่อทิวเป็นลูกมือคอยช่วยด้วย ดังนั้นจึงเหลือผม แทมิน และพวกเขา…..
“ไผ่…ลูกไปอยู่ที่ไหนมา”
คนที่เคยเป็นแม่ของผมเอ่ยขึ้น แทมินหันมาสบตากับผมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน เขาคงรู้ว่านี่เป็นปัญหาภายในครอบครัวของผม ที่ผมจะต้องจัดการด้วยตนเอง
“ผมจะไปอยู่ที่ไหนพวกคุณเคยสนใจด้วยเหรอ”
“ไผ่ อย่าพูดแบบนั้นสิลูก ที่ผ่านมาแม่ขอโทษนะ ไผ่กลับมาอยู่บ้านนะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่…นะ”
ขอโทษงั้นเหรอ เริ่มต้นใหม่งั้นเรอะ
“มันจะไม่ง่ายไปหน่อยรึไงครับ พวกคุณปล่อยให้ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แล้วอยู่ๆจะมาบอกให้เริ่มต้นกันใหม่เอาตอนนี้ มันไม่สายเกินไปหน่อยรึไงครับ!!!”
ยอมรับว่าตอนนี้ผมโมโห พวกเขาทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าหากมันง่ายขนาดนั้น แล้วตลอดชีวิตของผมที่ต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดล่ะ มันก็สามารถลืมได้ง่ายๆเหมือนกันอย่างนั้นสินะ
“พ่อรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแล้วง่ายเกินไป แต่ให้โอกาสอีกครั้งได้ไหมไผ่ คราวนี้พ่อกับแม่จะดูแลเอาใจใส่ลูกให้มากๆ จะไม่ให้ลูกต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมชินกับมันเสียแล้ว…”
ทันทีที่ผมพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มร้องไห้ แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
“คุณจะมารู้สึกผิดอะไรเอาป่านนี้ล่ะครับ”
“ไผ่…ทำไมเรียกแม่อย่างล่ะ ทำไมถึงเรียกแม่ว่า ‘คุณ’ ล่ะ แม่เป็นแม่ของไผ่นะ”
“เหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะครับว่าคุณเป็นแม่ของผม เป็นแม่ที่ไม่เคยสนใจอะไรผมเลย…วันเกิดของลูกตัวเองก็ดันลืมซะได้ แต่กลับไม่ลืมของอีกคนหนึ่ง แล้วตอนนี้จะมาบอกว่าคุณเป็นแม่ของผมอย่างนั้นเรอะ!”
“ฮือ แม่ขอโทษ ขอโทษ ไผ่อย่าโกรธแม่เลยนะ”
“บอกผมหน่อยได้ไหมครับ…ทำไมถึงลืมผม…ผมคือลูกที่พวกคุณไม่ต้องการใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่ฆ่าผมให้ตายไปซะ ให้ผมเกิดมาทำไม ทำไม…”
เจ็บไปหมดในความรู้สึกนี้ อดีตอันเดียวดายของตัวเองค่อยๆแล่นผ่านหัวเหมือนกับเครื่องฉายหนัง ทำไมถึงทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวล่ะครับ ทั้งๆที่ผมเหงาแค่ไหน กลัวแค่ไหนกับการที่จะต้องอยู่คนเดียว…
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพ่อเอง พ่อผิดเอง…ที่ตัดสินใจเอาทิวไปฝากไว้กับแม่ของพ่อ…ที่นี่ ทั้งๆที่แม่เขาเพิ่งคลอดพวกลูกได้ไม่นาน แต่เพราะฐานะของพวกเราในตอนนั้นไม่ดี เลยเลี้ยงพวกลูกพร้อมกันทั้งสองคนไม่ได้”
“แล้วไงครับ เลี้ยงพร้อมกันไม่ได้ ทั้งๆที่เอาทิวไปฝากไว้กับย่า แล้วทำไม…ทำไมถึงดูแลแต่ทิวล่ะครับ แล้วผมล่ะ…ลืมผมไปแล้วใช่ไหม…”
รู้ได้ทันทีว่าเสียงของผมนั้นสั่นแค่ไหน สัมผัสอุ่นที่รอบดวงตานั้นแสดงว่าผมเริ่มจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“เพราะว่าพวกเรานำทิวไปฝากเอาไว้ ทำให้แม่เขาเสียใจมาก พ่อไม่อยากเห็นแม่ทุกข์ใจ พวกเราเลยตั้งใจที่จะทำงานเก็บเงินให้ได้มากๆ เพื่อที่จะได้รับทิวกลับมา และแวะเวียนไปหาทิวเพื่อให้แม่เขาคลายคิดถึง มันอาจจะฟังดูงี่เง่า แต่มันเหมือนกับการสะกดจิตตัวเอง เฝ้าคิดถึงทิว และทำงานเพื่อทิว เพื่อเต็มเต็มคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์…จนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่…ลืมไผ่”
“….”
“พ่อ...ขอโทษจริงๆ”
“!!”
ไม่เพียงคำว่าขอโทษ ผู้ชายคนนั้นคุกเขาก้มหัวขอโทษผมอีก...มันทำให้ผมตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก...
“พอเถอะครับ...อย่าทำแบบนี้เลย”
“พ่อไม่รู้จะขอให้ลูกยกโทษให้พ่อกับแม่ได้ยังไง ขอโทษ...”
ความรู้สึกผิดเล็กๆได้ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของผม ทำไมกันนะ...ทั้งๆที่ผมต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดแท้ๆ ทั้งๆที่คิดว่าโกรธจนไม่อยากเรียกพวกเขาว่าพ่อกับแม่อีกแล้ว ทั้งๆที่คิดแบบนั้น...
“ไม่ต้องขอโทษแล้วล่ะครับ ผม...ยกโทษให้”
เริ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจที่ทำไมถึงยอมยกโทษให้พวกเขาได้ง่ายๆ ระยะเวลาที่ต้องทนเหงาอยู่เพียงลำพังของผม มันจบลงง่ายๆด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเองเหรอ...ชักจะเกลียดความใจดีของตัวเองซะแล้วสิ
“จริงเหรอ...ถ้าอย่างนั้น กลับไปอยู่ที่บ้านของเรานะ พ่อสัญญาว่าจะรักและดูแลลูกให้มากทดแทนกับช่วงเวลาที่เสียไป”
“ใช่จ๊ะไผ่ เพราะฉะนั้น กลับบ้านเถอะนะลูก”
กลับบ้านอย่างนั้นเหรอ....
“ขอโทษนะครับ ขอผมอยู่คนเดียวอีกสักพักได้ไหม....”
“ทำไมล่ะจ๊ะ หรือว่าลูกยังโกรธแม่อยู่”
นั่นก็ส่วนหนึ่ง จู่ๆจะให้ทำใจยอมรับว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมันทำให้ผมปรับตัวไม่ทัน และอีกหนึ่งเหตุผล....
“ผมยังไม่ชินน่ะครับ ผมชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า และก็...ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆกับคนสำคัญ...”
“เข้าใจแล้ว ถ้าไผ่ว่าแบบนั้น พ่อก็ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ยังไงก็กลับมาที่บ้านบ้างล่ะ พ่อกับแม่ยังอยู่ตรงนี้”
“...ครับ”
การปรับความเข้าใจที่ใช้เวลาเพียงไม่นาน แม้จะดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะจบลงด้วยดี ทุกคนเข้าใจกันแล้วก็เถอะ แต่ว่ายังไงซะ...ผมก็ไม่คิดที่จะยกโทษให้พวกเขาทั้งหมดหรอก ขอเวลาให้ผมอีกสักหน่อย เวลาที่จะเยียวยาบาดแผลที่สั่งสมมาเป็นเวลานานกับคนสำคัญของผม...แทมิน
“กับข้าวเสร็จแล้ว มากินกันได้เถอะครับ^^”
คนชื่อทิวเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับจานหลายใบ คุณย่าถือถ้วยแกงร้อนๆส่งกลิ่นหอมจนผมรู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆแล้วสิ
“เอ้า ไผ่ กินเยอะๆเลย ดูสิผอมนะมึง ดูอย่างไอ้ทิวมันสิ กินเอาๆจนอ้วนเลย”
คุณย่าตักกับข้าวหลายอย่างมาใส่ให้จนพูนจานเลยก็ว่าได้ แทมินถึงกับขำกับท่าทีที่ทำอะไรไม่ถูกของผม แน่ล่ะ ถึงเถ่าแก่จะเคยทำแบบนี้กับผม แต่ผมก็สนิทและคุ้นเคยกับเถ้าแก่มากกว่าคุณย่าที่รู้จักกันได้ไม่ถึงสามชั่วโมง
“ว่าผมแบบนี้ได้ไงอ่ะ ไม่รักแล้ว >.<~!”
คนชื่อทิวว่าพลางวางช้อนกลางลงพร้อมทำแก้มป๋อง
“วะ ไอ้นี่ รึมึงจะบอกว่ามันไม่จริง ไม่กินก็อย่ากินมัน”
“โธ่ แม่เฒ่าอ่ะ”
บรรกาศที่ดูอบอุ่นและสนุกสนาน สิ่งที่ผมไม่เคยได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมา คำว่าครอบครัว…คำว่าความอบอุ่น…และคำว่าความสุข…ผมไม่รู้เลยว่าคำเหล่านั้นที่ผมกำลังได้รับอยู่ตอนนี้มันทำให้ผมมีความสุขมากมายแค่ไหน ถึงแม้อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ก็คงอีกไม่นานที่ผมจะยกโทษให้พวกเขาและเปิดใจรับสิ่งที่พวกเขาหยิบยื่นมาให้…
หลังจากมื้ออาหารมื้อนั้นผมออกมานั่งสูดอากาศที่ม้านั่งใต้ต้นชมพู่ต้นใหญ่หน้าบ้านของคุณย่า ความเงียบสงบของที่แห่งนี้มันทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ชักจะชอบที่นี่…ซะแล้วสิ
“นั่งคิดอะไรอยู่เหรอไผ่”
คนชื่อทิวว่าพลางนั่งลงข้างผม นี่คิดถูกรึเปล่านะที่ช่วยคนๆนี้ ทำให้เขายังคงมีชีวิตมายุ่งย่ามกับผมอีก
“….”
“ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้ไผ่พี่คงจะแย่”
“…”
“ไผ่ เกลียดพี่มากไหม”
“มาก”
ในเมื่อรู้อยู่แล้วจะถามทำไม
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้ช่วยพี่ล่ะ ปล่อยให้พี่ตายไปซะ ไม่ดีกว่ารึไง”
“ก็แค่ไม่อยากให้ตายก็เท่านั้น”
“ได้ยินจากปากของไผ่ แค่นี้พี่ก็สบายใจแล้วล่ะ”
สบายใจ….ทำไมกันนะ ทำไม
“ทำไม คุณถึงต้องยึดติดกับผมด้วย ในเมื่อผมเกลียดคุณ คุณจะทำไม่สนใจก็ได้ไม่ใช่รึไง”
คนชื่อทิวเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับผมเท่านั้น
“ทุกคนต่างก็มีเหตุผมของตัวเอง ไผ่มีเหตุผลที่ทำให้เกลียด พี่เองก็มีเหตุผลที่ทำให้ยึดติด ก็เท่านั้น…”
คนทุกคนต่างก็มีเหตุผล พวกเขามีเหตุผลที่ทำให้ลืมผมไป คนชื่อทิวมีเหตุผลที่ทำให้เขายึดติดกับผม และผมเองก็มีเหตุผลที่จะเกลียดเขา ตอนนี้พอได้แล้วหรือยังนะ ลบเหตุผลบ้าๆพวกนี้ออกไปซะ แล้วมา…เริ่มต้นกันใหม่
“นี่….”
ผมเรียกคนชื่อทิวหลังจากที่เงียบไปนาน
"มันยังไม่สายเกินไปใช่ไหม ถ้าพวกเราจะมาเริ่มต้นกันใหม่”
เมื่อได้ฟังดังนั้น คนชื่อทิวก็หันมายิ้มกว้างให้กับผม
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปนี่นาหากไผ่คิดจะเริ่มต้นใหม่ ยังไงพี่ก็ตั้งใจจะรออยู่แล้ว ^^”
“อาจจะต้องใช้เวลา คุณ…ทิวรอได้ใช่ไหม”
ทิว ชื่อของคนๆนั้นที่ผมเอ่ยเรียกเขาเป็นครั้งแรก ทำให้ทิวเอามือมากอดคอผมอย่างตีซี้ -*-
“นานแค่ไหน พี่คนนี้ก็จะรอนะไอ้น้องชาย ^^”
เรื่องทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อและแม่ ความสัมพันธ์กับทิวเองก็เช่นกัน หากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่ความฝัน ผมก็อยากจะขอให้ทุกๆอย่างนั้นผ่านไปได้ด้วยดี อย่าให้มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องเสียใจไปมากกว่านี้อีกเลย…
“จะเหน็บหนาวเท่าไหร่ ไม่กลัว จะเปียกฝนเท่าไหร่ก็ยอม…”
ง่ะ ทำไมอยู่ถึงมีเสียงเพลงมาดังแถวนี้ได้ล่ะ…
“ฉันหวังแค่ให้มีคนที่ฉันรัก ยืนคอยตรงนั้นก็ชื่นใจ”
แน่ะ ยังไม่หยุดอีก ใครเปิดเพลงเนี่ย
“ไผ่ พี่ว่ามือถือของไผ่ดังนะ”
…จริงดิ้
ผมหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ถึงมีก็แทบจะไม่ค่อยได้ใช้งาน(ก็อยู่ด้วยกันทุกวันจะโทรคุยกันเพื่อ?) ขึ้นมาดู เออ..จริง ว่าแต่เบอร์ใครก็ไม่รู้ โทรผิดรึเปล่า ผมจำไม่ได้ว่าเคยให้เบอร์คนอื่นนะเพราะผมยังจำเบอร์ของตัวเองไม่ได้เลย ผมกดรับสายอย่างทุลักทุเล ถ้าจำไม่ผิดแทมินบอกว่าให้กดปุ่มเขียวสินะ -*-
“ฮัลโหล..”
“โหยยยย กว่าจะรับ ผลิตมือถืออยู่รึไง”
เสียงนี้มัน….
“เซน! นั่นเซนใช่ไหม นายอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาเรียน”
“ฮะๆๆ เอาน่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉัน…ฉันสบายดี”
“แล้วนี่นายรู้เบอร์ของฉันได้ไง”
“วะ ดูถูก ตอนนายวางมือถือเอาไว้ฉันก็หยิบขึ้นมาเม้นเบอร์ไงวะ”
อ่าวเหรอ ทำแบบนั้นได้ด้วยเรอะ -*-
“ไผ่ ถ้าคนที่บ้านฉันถามหาฉัน บอกไปนะว่าฉันสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง”
“หมายความว่ายังไง นี่นายไม่ได้อยู่ที่บ้านงั้นเหรอ”
“ฉันมีเหตุผลนิดหน่อย เลยทำให้กลับบ้านไม่ได้…ไผ่ ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ไผ่กับพี่แทมินยังรักกันดีอยู่ไหม”
“ก็ดีนะ ทำไมเหรอ”
“เปล่า แค่อยากถามดู ไผ่ ถ้าฉันรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้และรับความรักจากนาย นายคิดว่าตอนนี้เราสองคนจะเป็นยังไง”
“ถามอะไรแปลกๆนะเซน นั่นสิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราอาจจะรักกันมากและคงมีความสุขมากด้วยล่ะมั้ง” ก็ได้แต่คาดเดา เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นจริง...
“งั้นเหรอ ฮะๆ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ ไผ่…ฉัน โอ๊ย!!!”
“เซน…เซน! เป็นอะไรไป เซน!”
ตุ้บ!!
เหมือนกับโทรศัพท์จากปลายทางกระแทกกับอะไรสักอย่าง บางทีอาจจะเป็นเสียงโทรศัพท์ตกลงพื้นก็เป็นได้
“ปล่อยนะ ผมเจ็บ อย่า!!!”
ได้ยินของเซนแต่เหมือนกับเสียงนั่นอยู่ไกลจากโทรศัพท์ มันเกิดอะไรขึ้นกับเซน ใครทำไรเซน!
“อ่ะ หยุดนะ อา อ๊า…อื้ออออ”
“เซน….”
“อะ อ้ะ พอ..ที อ๊าาา”
เสียงจากปลายทางนั้นทำให้ผมสับสนไปหมด เสียงแบบนี้มัน….เซน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกัน…ผมถือสายอยู่นาน แน่นอนว่าได้ยินเสียงครวญครางของเซนอย่างชัดเจน
จนกระทั้งเสียงของเซนนั้นเงียบไป และมีเสียงเบาๆเหมือนมีคนเก็บโทรศัพท์นั้นขึ้นมา
“ถ้ายังฟังอยู่ล่ะก็รู้ไว้นะ ว่าฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาดักฟังตอนฉันกำลังสนุกกับของเล่นชิ้นนี้สักเท่าไหร่”
สิ้นเสียงสายก็ขาดไป เสียงนั่นไม่ใช่เสียงของเซน แต่เป็นเสียงที่ผมรู้สึกคุ้นอย่างแปลกๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงของใครกันแน่ ผมพยายามกดหาเซนอีกหลายครั้งแต่สิ่งที่ได้รับคือเสียงที่แสดงว่าอีกฝ่ายได้ปิดมือถือไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นรึไผ่”
ทิวทักเมื่อเห็นผมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง
“ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”
และแล้วเมื่อกลับถึงกรุงเทพ ผมถึงได้รู้ว่าเซนได้หายสาบสูญไป คุณน้าภาที่กลับมาจากการไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้แจ้งตำรวจเพื่อตามหาเซนแต่ว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ผมเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเมื่อน้าภามาถามผม ก็ผมไม่รู้จริงๆนี่นาว่าเซนอยู่ที่ไหน และหากผมบอกเรื่องโทรศัพท์ไปก็ยิ่งทำให้กลุ้มใจมากกว่าเดิมเป็นแน่
ชั้นบนของบ้านใกล้เคียงที่เคยสว่าง บัดนี้กลับมืดสนิท โต๊ะเรียนข้างๆที่มักจะมีคนฟุบหลับในคาบเรียนที่น่าเบื่อกลับว่างเปล่า เสียงร้องอุทานเมื่อลืมเครื่องเขียนบัดนี้กลับเงียบงัน เซน…นายอยู่ที่ไหนกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รอติดตามต่อนะครับ
แล้วก้เปนกำลังใจให้คนแต่งนะครับผม
^^
ขอบคุณที่ยังติดตามและขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
อยากรู้จัง
ว่าเซน ในอีก 2 ปี ที่ไผ่เจอ เค้าเป็นยังไง
ตอนมี เซนโผล่มาให้หายคิดถึง แม้จะมาแต่เสียงก็ตาม(?)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนหน้าตอนจบแล้วนะคะ แล้วก็มีตอนพิเศษอีก 3 ตอนปิดท้ายค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ