สูญเสีย
“เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป” จื่อเทาเอ่ยถามร่างอวบเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังใส่ยาให้คนสนิทเขาอยู่ ถึงจะแปลกใจไปบ้างที่เห็นเจ้าอ้วนกับคนหน้านิ่ง ดูห่วงใยกันเกิน “เชลยกับเจ้านาย” ไปสักหน่อยแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาควรใส่ใจกับการยุติสงครามสองแคว้นมากกว่า
“ข้าไม่รู้ แต่ที่รู้คือ เรากำลังลำบากเพราะ พี่ใหญ่โกรธมาก และข้าว่าอีกไม่เกิน 3 วัน สงครามเกิดแน่” เอ่ยบอกเสียงเครียด
“แล้วเราไม่มีทาง หยุดสงครามได้เลยหรือ” เฉินเอ่ยถามกับร่างอวบที่กำลังใส่ยาให้ตน
“ไม่มีทาง พี่ชายข้าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่มีวันถอย ยิ่งพี่ใหญ่โกรธมากยิ่งน่ากลัว” ซิ่วหมิ่นเอ่ยเสียงเบา ไม่ใช่เขาไม่คิดหาทางออก แต่ด้วยความที่เป็นพี่น้อง เขาย่อมรู้ดีว่าพี่ชายตนเป็นคนเช่นไร การจะเปลี่ยนใจพี่ใหญ่ได้ ยากกว่าบังคับหิมะให้ตกในฤดูร้อนเสียอีก
“หรือเราจะลอบส่งข่าวให้ อ๋องเย่วรู้ดี แล้วค่อยมาหาทางแก้ไขกัน” ซิ่วหมิ่นเสนอ
“ไม่ได้หรอก พ่อของข้ากับพี่ของเจ้าก็ไม่ต่างกัน ท่านพ่อไม่มีทางยอมก้มหัวหรือยอมเจรจากับแคว้นอู๋ อย่างแน่นอน ข้ารู้ดี” ร่าง
เพรียวเอ่ยอย่างหนักใจ เขาเหนื่อยเหลือเกินกับชีวิตที่มีแต่สงครามและการแก่งแย่ง ชีวิที่ต้องแควนอยู่บนความเป็นความตายตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเขาห่วงตนเอง แต่เขาเป็นห่วงประชาชนรวมทั้งทหารที่ร่วมรบ พวกเขายังมี พ่อแม่ ลูกเมียที่ต้องดูแล สงครามและความแค้นมันไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย เขารักแคว้น รักพ่อ แต่เขาไม่อยากใช้การแก้ปัญหาโดยการใช้สงครามเข้าตัดสิน
“เฮ้อ / เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของสองร่างทำเอาเฉิน ต้องลอบถอนหายใจอย่างยากเย็น ในฐานะทหารเขาย่อมรู้ดีว่าเมื่อ มีสงครามก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย
3 วันต่อมา
ร่างสูงในอาภรณ์สีดำนั่งหน้าเครียดในกระโจมสำหรับแม่ทัพ ข้างกายองครักษ์คนสนิทกำลังปรึกษากลศึกอยู่อย่างเคร่งเครียด
“เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยเห็นว่าการศึกครั้งนี้เราไม่ควรบุ่มบ่าม เพราะจากรูปการแล้ว ดูเหมือนว่าทางแค้วนเย่วก็กำลังเตรียมรับมือเราอยู่เหมือนกัน” อี้ชิงบอกกับผู้เป็นนาย
“หึ ข้าไม่ใช่ อู้อี้ฟานคนเดิมนะ อี้ชิง ข้าไม่มีทางยอมถูกหลอกอีกเป็นแน่”
“แต่ข้าน้อยอยากให้ท่านอ๋อง ระวังตัวด้วย คนๆนี้ไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆนะขอรับ ” อี้ชิงเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ข้ารู้ เจ้าอย่าห่วงเลย วันนี้ความบาดหมางระหว่างสองแคว้นมันต้องจบ!! เอาเป็นว่าเจ้าไปเชิญ อ๋องน้อยมาก็แล้วกัน” ร่างสูงบอกพลางยกยิ้มที่แม้แต่คนสนิทอย่างอี้ชิงยังไม่กล้าแม้แต่จะคาดเดาว่า ร่างสูงกำลังคิดสิ่งใด
“ข้าน้อยรับบัญชา”
อี้ชิงเอ่ยก่อนจะออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
เสียงกลองรบที่ดังลั่นทำให้ร่างเพรียวต้องขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สิ่งที่เขากลัวมันกำลังเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ คนผู้นั้นต้องการอะไร การพาเขามาในค่ายนั้นมีจุดประสงค์อะไร หรือ อู๋อ๋องจะใช้เขาเป็นข้อต่อรองกับท่านพ่อกันแน่นะ
“อ๋องน้อย มาแล้วขอรับ” อี้ชิงเอ่ยก่อนจะพาร่างเพรียวเข้าไปในกระโจมแม่ทัพ
“มาแล้วหรือ อ๋องน้อย” เสียงนิ่งที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงเย้ยอยู่ในทีทำให้ร่างเพรียวได้แต่กำหมัดแน่น ท่าทางของคนผู้นี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนกำลังแพ้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ปรารถนาจะมี
“เจ้าต้องการอะไร” ร่างเพรียวเอ่ยถาม
“หึ เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร กลับไปพักผ่อนซะ พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้เจ้าตกใจอีกมาก เด็กน้อย”
“เชิญขอรับ อ๋องน้อย” อี้ชิงเอ่ยพลางผายมือให้ร่างเพรียวออกจากกระโจม
จื่อเทาเดินออกจากกระโจมแม่ทัพด้วยความสับสนและจิตใจที่เป็นกังวล เขาไม่รู้ว่าร่างสูงกำลังคิดจะทำอะไร สายตาคมที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และความโกรธแค้นนั่น ทำให้เขากลัว อู๋อ๋องเป็นคนที่ยากจะคาดเดา เขารู้ เขาจะทำอย่างไร สงครามถึงจะไม่เกิดขึ้น
“อ๋องน้อย ขอรับ” เสียงของคนสนิทเอ่ยเรียกที่หน้ากระโจมก่อนที่เฉินจะเข้ามาภายใน
“เฉินเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง นี่มันค่ายของแคว้นอู๋นะ”
“ข้าน้อยเป็นห่วงท่าน ข้าน้อยคงไม่อาจข่มตาหลับได้หากว่าท่านยังคงอยู่ในมือของ คนผู้นั้น” เฉินบอกเสียงเรียบ เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่า เรื่องร้ายๆกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อาจจะปล่อยอ๋องน้อยไว้เพียงลำพังได้
“แล้วซิ่วหมิ่นล่ะ”
“ท่านชายมาไม่ได้ขอรับ ต้องอยู่ในจวนเพื่อสะสางงานแทน อู๋อ๋องน่ะขอรับ” เฉินตอบเสียงเรียบ แต่มีหรือคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตอย่างจื่อเทาจะดูไม่ออกว่าคนสนิทกำลังมีเรื่องปิดบัง และคงหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยของร่างอวบนั่นสินะ
“ดูท่า เจ้ากับท่านชายแคว้นอู๋ จะสนิทสนมกันพอสมควรสินะ”
“เอ่อ ข้าน้อย..”
“แล้วไปเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากไปขัดขวางความรักของใคร แต่ข้าเพียงอยากจะเตือนเจ้าไว้อย่างนะเฉิน ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าความแค้นระหว่างความ อู๋และเยว่ จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบากใจหากต้องเลือก”
“ข้าน้อยเป็นคนแคว้นเย่ว ต่อให้ต้องตายก็จะเป็นผีแคว้นเยว่ ไม่มีทางจะเปลี่ยนเป็นอื่น ขออ๋องน้อยโปรดวางใจ ” คนสนิทบอกอย่างหนักแน่น ร่างเพรียวทำได้เพียงถอนหายใจอย่างแรง เรื่องอนาคต ยากนักจะคาดเดา
ร่างสูงของอู๋อ๋อง เหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอย่างเลื่อนลอย พลางคิดถึงแววตาเด็ดเดี่ยวของใครคนนั้น ดวงตาคมที่ทำให้คนที่ไม่เคยลังเลอย่างอู๋อ๋อง ไม่สามารถลงดาบปั่นคอเรียวนั้นได้ ดวงตาที่แม้สบเพียงเสี้ยวนาทีแต่กลับทำให้น้ำแข็งในใจเขาค่อยๆละลายอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกคุ้น คุ้นเคยกับแววตานั้น แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน
“เฮ้อ” ร่างสูงถอนหายใจเสียงดัง เพื่อระบายความสับสนในจิตใจ
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยบังอาจเรียนถามท่านข้อหนึ่งได้หรือไม่” อี้ชิงเอ่ยเป็นเชิงขออนุญาตจากนายเหนือหัว
“ว่ามาสิ”
“พรุ่งนี้ท่านอ๋อง จะทำอย่างไรกับเยว่อ๋อง”
“หึ เจ้าก็น่าจะรู้ ว่าข้ากับเจ้าคนหลอกลวงนั่น ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ ”ร่างสูง เอ่ยเสียงเรียบ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสับสนแต่เพราะทิฐิ ทำให้เลือกที่จะละเลย แววตาคมที่รบกวนจิตใจนั่นออกไป
อี้ชิงได้แต่ลอบมอง ท่านอ๋อง ด้วยแววตาที่เป็นห่วง เขาอยู่กับท่านอ๋องมาทั้งชีวิต เหตุใดจะไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องกำลังลังเล เขาไม่อาจรู้ว่าภายในใจของท่านอ๋องตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ที่รู้ สาเหตุที่ทำให้อู๋อ๋องผู้ไม่เคยลังเล กำลังคิดไม่ตก คงหนีไม่พ้น เชลยผู้สูงศักดิ์คนนั้นเป็นแน่
เสียงกลองรบดังกึกก้องไปทั่วทุ่งกว้าง ที่เป็นสมรภูมิรบระหว่างสองแคว้น เหล่าทหารนับหมื่นนับแสนเตรียมอาวุธในมืออย่างพร้อมพรั่ง หากว่าเมื่อมีสัญญาณเมื่อไหร่สองฝ่ายต่างพร้อมจักเข้าประหัตประหารกันทันที แม้ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดแต่นี่คือสงคราม หากไม่ฆ่าก็คงต้องถูกเขาฆ่า
“ในที่สุด ก็พบกันอีกจนได้นะ อู๋อ๋อง ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะที่แผงไปน้ำเสียงเยาะเย้ยนั้นทำให้ อี้ฟานกำหมัดแน่น
“หึ นั่นสิ เยว่อ๋อง ในที่สุดก็ได้พบกันสักที ” ร่างสูงในอาภรณ์สีดำเอ่ย เสียงทุ้มที่แฝงด้วยอำนาจนั้นช่างดูน่าเกรงขามจนแม้แต่เยว่อ๋องยังอดหวั่นใจมิได้
“ข้าเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ว่าหากวันใดที่ท่านยังรุกรานแคว้นอู้ วันนั้นคือวันที่ อ๋องน้อยจะสิ้นลมหายใจ”
“หึ หากว่าข้ากลัวท่าน ข้าคงไม่กล้ายกทัพมาหรอก คนอย่างเยว่อ๋องไม่เคยกลัวคำขู่ของใคร โดยเฉพาะคนที่เคยพ่ายแพ้ต่อข้ามา
ก่อน ฮ่าๆๆๆ” เยว่อ๋องหัวเราะร่วน พลางจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างดูถูก
“หึ ดี …อี้ชิง เชิญเชลยของเราออกมาได้แล้ว”
อี้ชิงพาร่างเพรียวออกมาหลังจากที่เสียงทุ้มเอ่ย จื่อเทาได้แต่มองด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าผู้ที่นำทัพแคว้นเยว่คือใคร
“ท่านพ่อ”
“จื่อเทา เจ้าทำให้พ่อผิดหวังมากรู้ตัวบ้างหรือไม่ ”
“ลูก ลูก ผิดไปแล้วท่านพ่อ ลูกช่างอ่อนแอนักที่ปล่อยให้ศัตรูจับได้”
“เจ้าสำนึกผิดก็ดีแล้ว จื่อเทา หากว่ากลับแค้นเยว่เมื่อไหร่เจ้าคงรู้นะ ว่าต้องทำเช่นไร” เยว่อ๋องบอกอย่างเย็นชา
ร่างสูงมองดูสองพ่อลูก ด้วยความขัดใจ ความไม่พอใจ กำลังแล่นพลิ้วอยู่ในอกอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่คาดคิดว่าคนเป็นพ่อจะเย็นชากับลูกชายของตนเองได้มากขนาดนี้
“หมดเวลา พูดคุยกันแล้วล่ะเย่วอ๋อง”
“ได้ ” ร่างหนาของเยว่อ๋องแค่นยิ้ม ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารเตรียมพร้อมรบ
“ช้าก่อน หากท่านเป็นชายชาตรีพอ ข้าในฐานะของผู้ปกครองแคว้นอู๋ ขอท้าท่านประลองกับข้าได้หรือไม่ ความแค้นของเราสอง
คนไม่ควรให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อน” ร่างสูงกล่าวก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า
“ย่อมได้ ๆ แต่ท่านคงต้องเตรียมใจ เพราะครั้งนี้มันก็คงไม่ต่างจาก เมื่อก่อนหรอก ฮ่าๆๆ”
สองร่างต่างประจับหน้ากันอยู่บนลานกลางที่สร้างเป็นเวทีประลองชั่วคราว ทั้งสองต่างกระชับอาวุธคู่กายไว้แน่น โดยทียังคงไร้การเคลื่อนไหว
พรึบ!!!!
ร่างหนาของเยว่อ๋องเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน กระบี่คู่กายแล่นพลิ้วใส่อีกร่างอย่างรวดเร็วแต่คนที่คอยตั้งรับก็ยังมิพลาดพลั้ง
“หึ คราวนี้ข้าคงต้องเอาจริงแล้วสินะ” อู๋อ๋องสบถ ก่อนจะซัดกระบี่เข้าใส่อีกฝ่ายบ้าง
ทั้งสองต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่นาน เพราะฝีมือการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือทั้งคู่ ร่างเพรียวได้แต่มองตามด้วยความ
เป็นห่วง แต่กลับไม่สามารถบอกว่าห่วงใครกันแน่ ทำไม อะไรบางอย่างในใจ จึงสั่งให้เขาเป็นห่วงร่างสูงของศัตรูได้นะ จื่อเทาไม่เข้าใจสักนิด
ฉึก!!
เสียงของกระบี่ที่บาดเนื้อทำให้ร่างเพรียวเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เมื่อร่างสูงของอู๋อ๋องถูกคมดาบที่แขนซ้ายจนได้รับบาดเจ็บ
“หึ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครจะชนะ” เยว่อ๋องเอ่ย
“มันยังเร็วเกินไป” อู๋อ๋องสบถก่อนจะโถมเข้าใส่อีกฝ่าย ทั้งสองต่างสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกกระบวนท่า ทุกคมกระบี่ต่างหมายเอาชีวิต อย่างไม่มีใครยอมใคร
ฉึก!!!
“ท่านพ่อ!!!” ร่างเพรียวตะโกนลั่น เมื่อคมกระบี่ของคนตัวสูง ทะลุผ่านร่างหนาของเยว่อ๋อง ตรงตำแหน่งหัวใจอย่างเหมาะเจาะ ร่างนั้นสิ้นลมลง ไม่มีแม้แต่โอกาสจะรู้ตัว
“ท่านพ่อ!!!” ร่างเพรียวตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งไปประคองร่างหนาที่นอนนิ่ง ร่างกายเย็นเฉียบ จนแทบไม่มีแรงยืนน้ำตามากมาย
ไหลจากดวงตาคมไม่ขาดสาย
“ท่านพ่อ!!” เสียงร้องไห้ของร่างเพรียวตรงหน้าทำให้ อู๋อ๋องต้องเบือนหน้าออกไปอีกทาง เขาไม่ชอบเลย ไม่ชอบน้ำตาที่ไหลออกมาจากแววตาคมนั้นเลย ทำไมเขาถึงได้รู้สึก เป็นห่วง “ลูกของศัตรู” ได้มากขนาดนี้ มันไม่ถูกต้องเลยสักนิด ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย
“ตั้งแต่นี้ต่อไป แคว้นเยว่ คือ เมืองขึ้นของแคว้นอู๋ และอ๋องน้อยของพวกเจ้าต้องเป็นตัวประกันไปตลอดกาล”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบก่อนที่ ร่างสูงจะเดินออกจากลานประลองไป
.....................TBC.....................
มันเหมือนจะม่า แต่มันไม่ม่า หรอก ฮ่าๆๆ
