-20-
Yellow
http://www.youtube.com/v/yKNxeF4KMsY?hl=en_US&version=3บ้านที่เคยเป็นที่พักพิงอยู่ในระยะสายตาใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว...
ช่วงสามสี่ทุ่มแบบนี้รถที่มีบนถนนเบาบาง ผมขับรถเอื่อยเฉื่อย กินลม มองข้างทาง ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนบอกให้ทะเลกลับบ้านแต่การกระทำกลับสวนทางกับคำพูด ผมคิดว่าตอนนี้น้าวิทย์กับน้าเพลงคงต้องเริ่มเป็นห่วงบ้างแล้ว อาทิตย์กว่าๆที่ผ่านมานี้มันยาวเกินกว่าปกติที่ทะเลไปเที่ยวกับเพื่อนครั้งไหนๆ ต่อให้แกล้งทำเป็นลืมไม่อยากให้ทะเลกลับไปก็หนีความเป็นจริงไม่ได้อยู่ดี
หน้าบ้านเปิดไฟส่องสว่างเอาไว้ราวกับกำลังรอคอยคนที่จะกลับมา พอเราไปถึงผมก็จอดรถแล้วดับเครื่อง ทะเลลงมายืนอยู่ตรงหน้ายังไม่เดินเข้าบ้านและมองผมอย่างสังเกตท่าที
“ไว้อีกวันสองวันเลจะไปหาใหม่นะ" ผมพยักหน้า ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะใจหายไปทำไมกับการจากลาแค่ชั่วคราว
“จะรอ" ทะเลยิ้มรับคำพูดผม ถอยหลังไปจนถึงประตูบ้านแล้วค่อยหันหลังเปิดเข้าไป
...จะรอ...
เป็นคำที่ผมบอกทะเลทิ้งท้ายเอาไว้ และหมายความตามนั้นตลอดอีกหลายปีต่อมา...
...
ช่วงที่ทะเลเพิ่งกลับไปผมก็กลับมาสอนและอยู่กับเพื่อนซะส่วนใหญ่ ทั้งซ้อมเพลงใหม่และไปไหนๆกับพวกมันบ้าง ผมไม่ได้คิดอะไรมากที่ทะเลไม่ได้มาหาอีกเป็นอาทิตย์หลังจากนั้น แม้จะคิดถึงหรืออยากเจอแต่ผมก็อดทนรอ ผมเลิกคิดแง่ร้าย เหม่อลอยหรือซึมเซาเหมือนแต่ก่อนเวลาที่ไม่มีทะเล ผมคิดว่าความเชื่อใจนั้นช่วยได้ รอยสักบนนิ้วนั้นก็ช่วยได้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีกันและกันอยู่ตลอดโดยไม่ได้พบหน้า ทำให้อุ่นใจทุกครั้งที่ผมคิดถึงทะเล
“มีเด็กมาถามหามึงเยอะนะช่วงนี้" อยู่ดีๆร็อคก็พูดขึ้นขณะที่เรามานั่งสูบบุหรี่หน้าตึก เป็นช่วงต้นชั่วโมงที่ต่างคนต่างรอนักเรียนของตัวเอง
“เด็กที่ไหน"
“ก็ทั้งเด็กที่กูสอนแล้วก็เด็กป็อป ตั้งแต่กลับมาหน้าตามึงรับแขกกว่าแต่ก่อน มีแต่เด็กมากรี๊ดจนบางทีกูก็อิจฉานะ" ผมฟังแล้วได้แต่หัวเราะกับคำพูดของมัน
“จะอิจฉาทำไม ตูนไม่ได้มากรี๊ดกูด้วยซะหน่อย"
“ทำเป็นเล่นไป ผู้ชายแอบมองมึงอยู่เงียบๆก็มี กูเห็น"
“เพ้อเจ้อ" ผมว่า มันมองหน้าผมยิ้มๆแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“เหมือนกูไม่ได้เจอเลนานแล้ว ฝากบอกหน่อยว่าคิดถึง" ผมเหล่มองมันแล้วก็ถอยหายใจ พอมันพูดถึงทะเลผมก็นึกอยากเจอเหมือนกัน
“กูก็ไม่ได้เจอมาเป็นอาทิตย์แล้ว บอกจะมาหาแล้วก็ปล่อยให้รอ..."
“มึงก็ไปหาเองสิ บ้านอยู่แค่นี้"
“.....”
“ทำไมวะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอีกใช่ไหม"
“ไม่มีหรอก คิดว่าวันสองวันนี้ไม่มาเดี๋ยวกูก็คงไปหา" ผมพูดเพื่อให้มันและตัวเองสบายใจ ผมดูออกว่าร็อคเป็นห่วง ถ้อยคำหยอกเล่นของมันมักทำให้ผมผ่อนคลายสบายใจที่จะเล่าเรื่องของตัวเองแบบนี้เสมอ
“นึกว่าหายไปไหน" ผมกับร็อคหันไปมองตามเสียงเห็นป็อปที่เดินออกมา "เด็กมึงสองคนเพิ่งโทรมาลา" ป็อปบอกแล้วนั่งลงข้างๆ
“ว่างเหมือนกันเหรอ" ป็อปพยักหน้าตอบคำถามผมแล้วขอบุหรี่จากเราสองคนบ้าง
หมดจากชั่วโมงนี้เราทุกคนก็ไม่มีสอนแล้ว วันนี้เป็นวันพุธที่มีเด็กเรียนน้อยและก็ไม่ต้องไปเล่นที่ร้านต่อเราเลยนั่งคุยกันไปเรื่อย ไปๆมาๆป็อปมันก็ถามถึงเรื่องเจ็ทสกี เพราะรู้ว่าผมรักมันไม่แพ้ดนตรีที่คลุกคลีอยู่ทุกวันมันถึงแปลกใจที่ไม่ได้เห็นผมขลุกตัวอยู่ที่หาดขี่เจ็ทสกีทั้งวันอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
“ไม่ได้ขี่ตั้งแต่ออกจากบ้าน นานมากแล้ว ถ้าจะเล่นจริงๆก็ต้องไปเช่า"
“ไปไหมล่ะ ตอนนี้เลยก็ได้" ป็อปชวน ผมมองควันลอยอ้อยอิ่งยังไม่ได้ตอบอะไร มันสองคนก็มันได้เร่งรัดให้ผมพูด ทิ้งเวลาให้ผมคิด เจ็ทสกีไม่ใช่แค่การไปเล่นสนุกธรรมดาทั่วไปสำหรับผม ที่ไม่ได้กลับไปเล่นเพราะผมยังคิดถึงเจ็ทสกีคู่ใจทั้งสองลำ ผมมองไม่เห็นว่ามีทางไหนที่จะได้ขี่มันอีกครั้งหากความสัมพันธ์กับน้าวิทย์ยังคงเป็นแบบนี้ มองไม่เห็นว่าจะได้กลับไปแข่งอีกได้ไหมหากไม่มีมัน หรือว่าสุดท้ายแล้วผมต้องตัดใจจากทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด
ป่วยการที่จะคิดมาก...
ในที่สุดผมก็ลุกขึ้นแทนคำตอบ
“ไปรถมึงนะ ยืมชุดไว้เปลี่ยนด้วย" ผมบอกไอ้ร็อค มันยิ้มกวนตีนเหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมจะไป
เราสามคนกลับมาที่ชายหาดซึ่งเป็นที่ประจำของเราหลังจากห่างหายไป ผมเลือกเช่าเจ็ทสกีกับพี่ที่รู้จักกันดีที่อยู่แถวนั้นโดยไม่ได้ตอบอะไรเมื่อเขาถามถึงเจ็ทสกีของผม พอได้ลองขี่จริงๆแล้วมีความแตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยในความรู้สึกแต่ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดไว้ ยังไงการได้เร่งความเร็วและความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยมันก็ทำให้ผมเป็นสุขได้มากกว่าที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งใด
ป็อปกับร็อคที่เป็นคนชวนแค่มานั่งจิบเบียร์อยู่เป็นเพื่อนมองดูผมที่เป็นจุดเล็กๆอยู่กลางทะเลเพียงเท่านั้นก็ถือเป็นการผ่อนคลายของพวกมันแล้ว ผมใช้เวลาอยู่บนทะเลได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน สองเท้าของตัวเองได้แต่จำใจเดินขึ้นฝั่งมานั่งจิบเบียร์กับพวกมันก่อนที่เราจะกลับ ยามนี้รู้สึกดีที่มีเพื่อนทั้งสองที่ยังคงอยู่กับผมไม่ไปไหน เราสามคนและที่นี่เกือบทุกอย่างให้ความรู้สึกเหมือนตอนเราอายุสิบเจ็ด เหมือนตอนที่เราได้รู้จักกันใหม่ๆ แต่ในความเหมือนนั้นก็มีความต่าง อะไรที่ผ่านมาไม่อาจทำให้ผมเป็นผมคนนั้นตอนอายุสิบเจ็ด เราทุกคนไม่เหมือนตัวเองในอดีต เราเติบโตมาด้วยกัน เปลี่ยนไปด้วยกัน แต่ก็ยังคงอยู่ด้วยกัน เป็นความสำคัญของเพื่อนที่น้อยครั้งนักที่ผมจะนึกถึง...
“กูกับร็อคว่าจะถามมึงนานแล้ว...แต่ยังไม่มีจังหวะเหมาะ” ป็อปหันมาพูดกับผม สีหน้าบอกบ่งบอกความสำคัญของคำถาม ร็อคเองก็มองทั้งผมและป็อปอย่างรอคอยอะไรบางอย่าง
"บลู ถ้ากูขอให้มึงมาทำเพลงจริงจังกับพวกกู จะมีทางเป็นไปได้ไหมวะ"
ผมเงียบ ยังไม่ได้ตอบอะไรไปในทันที ความหมายของทั้งสองคนผมเข้าใจมันดี ที่พวกมันถามอย่างจริงจังขนาดนี้คือพวกมันตัดสินใจแล้วว่าจะผลักดันวงของเราไปสู่อีกจุดหนึ่ง ซึ่งจุดนั้นถึงเราจะเคยคุยกันบ้างแต่ผมก็ยังไม่เคยคิดถึงขนาดนั้นจริงๆจังๆมาก่อน แม้จะเข้าใจ แต่ผมก็ต้องใช้เวลาคิดถึงความต้องการของตัวเอง
“คิดไปก่อน ยังไม่ต้องรีบตอบก็ได้ มันเป็นความฝันของกู แต่อาจไม่ใช่ฝันของมึง..."
"แต่ถ้าหากว่ามันใช่กูก็จะดีใจมาก" ร็อคพูดเสริมพี่มัน อีกครั้งที่คำพูดของมันทำให้ผมยิ้ม
“มึงถามตูนเรื่องนี้รึยัง"
“ถามแล้ว แต่มันก็เหมือนมึง ยังไม่ได้ตอบ" ผมพยักหน้า ผมกับตูนเรียนด้วยกัน คณะเดียวกันย่อมเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเรียนอยู่เป็นการเรียนรู้เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับอนาคต หากเปรียนเทียบกับผมแล้วการตัดสินใจของตูนน่าเป็นห่วงกว่าผมอยู่มาก เพราะสิ่งที่ผมเรียนอยู่ผมก็รักมันเท่ากับดนตรี เลือกทางใดทางหนึ่งผมก็รักมันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผมจะเลือกทางไหนก็เท่านั้นเอง
“จริงๆแล้วความฝันของกู…ไม่เหมือนพวกมึงหรอก" ผมพูดออกมาตามความรู้สึก ณ เวลานั้น พอผมบอกพวกมันก็มองหน้าผมเหมือนกลัวว่าผมจะปฏิเสธ คงไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดมันคนละเรื่องกัน เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจ เรื่องที่ผมไม่เคยบอกพวกมันหรือบอกใครมาก่อน ผมสูดหายใจเข้าลึกหรี่ตาเพ่งมองอะไรที่อยู่แถวนั้นก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ตอนเด็กๆกูมีความหลังฝังใจ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีตัวตนในสายตาของคนอื่น กูไม่มีแรงผลักดันในการใช้ชีวิต อยู่ก็เพราะต้องอยู่ อยู่ทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่เพื่ออะไร กูถามตัวเอง คำถามมันผุดขึ้นมาทุกครั้งที่เจ็บ ทุกครั้งที่เหงา แต่กูก็เด็กเกินไปที่จะรู้คำตอบ…มันก็เลยกลายเป็นความฝัน…ฝันของกูไม่เหมือนคนอื่น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยถ้าเอาไปเปรียบเทียบกัน กูแค่อยากรู้ว่ากูเกิดมาเพื่ออะไร นั่นแหละฝันของกู…มีแค่นั้นเอง…”
ป็อปกับร็อคนิ่งเงียบรับฟังสิ่งที่ผมพูด จริงอยู่ว่าพวกมันไม่เคยถาม หลายครั้งที่มีท่าทีสงสัย แต่มันก็เว้นพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้ พอผมบอกเล่าเรื่องราวออกมาเองเพียงเล็กน้อยทั้งสองคนจึงมองผมด้วยสีหน้าและแววตาบอกความรู้สึกที่เหมือนกัน
“กูคิดว่ามึงน่าจะเจอคำตอบแล้ว” หลังจากที่เงียบมานานป็อปก็พูดประโยคนี้ ผมมองที่ป็อป แต่ป็อปไม่ได้มองที่ผม สายตามองตรงไปที่ใดสักแห่ง
“อืม” ผมตอบรับ ละสายตาจากเพื่อนก้มมองกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือ
ไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบ
…
สองวันผ่านพ้น ทะเลก็ยังไม่ได้มาหา ผมเริ่มคิดถึงเหตุผลว่าอะไรทำให้ทะเลออกมาไม่ได้ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม และเหตุผลเดียวที่ผมคิดออกก็คือน้าวิทย์…
ผมตัดสินใจไปหาทะเลตอนกลางคืนอีกครั้งเมื่อไม่สามารถสงบจิตใจได้อีกต่อไป ผมรู้สึกอัดอัดกับคำถามที่ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าทำไมและเริ่มฟุ้งซ่านขึ้นทุกทีเมื่อหานั้นคำตอบไม่ได้
ที่หน้าบ้านปิดไฟมืดและเงียบ มีแค่เสียงรถผมที่ทำลายความเงียบเหล่านั้น
ผมรอ
จากนาที เป็นชั่วโมง
รู้สึกทรมานร้อนรนขึ้นทุกที
ทะเลหลับ ไม่อยู่ โดนห้าม หรือทะเลไม่อยากลงมาหา คำถามที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วน ทั้งรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ
สุดท้ายผมก็กลับมาพร้อมความรู้สึกนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ อะไรที่สำคัญ วันเวลาเดิมๆกลับมาอีกครั้งและครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัสกว่าเก่า ผมไปบ้านทะเลอีกหลายวันหลังจากนั้นแต่ก็เป็นเหมือนเดิม ทุกๆคืนไฟจะปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ไม่มีความเคลื่อนไหวในความมืด โลกเหมือนหยุดนิ่งระหว่างที่ผมเฝ้ารอ รู้สึกตัวอีกทีก็เกือบเช้า
ตอนนี้ผมอยากเจอทะเลแทบบ้าแล้ว ความรู้สึกนี้มันทำให้ผมเลือกที่จะไปเผชิญหน้ากับน้าวิทย์ มันเป็นวิธีเดียวที่ผมคิดได้ เป็นวิธีเดียวที่จะได้คำตอบ แค่ใช้ความกล้าเดินเข้าไปหา ขอแค่ได้เจอ ให้รู้ว่าทะเลไม่ได้เป็นอะไร แค่ได้คำตอบ แค่รู้สาเหตุ ถึงจะเป็นเรื่องไม่น่าฟังก็ยังดีกว่าไม่รู้อยู่แบบนี้
ผมเอาเวลาว่างตอนบ่ายวันหนึ่งไปที่บ้าน พี่ๆที่อู่มองผมอย่างแปลกใจแต่ก็ทักทายเป็นกันเองไม่ผิดไปจากเมื่อก่อน พอผมถามหาน้าวิทย์พี่มดกลับบอกว่าไม่อยู่ ไม่มีใครอยู่นอกจากช่างเพราะน้าวิทย์ น้าเพลง และทะเลไปกรุงเทพ อีกสองสามวันนี้น่าจะกลับ ผมรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินแบบนั้น ตัดความกังวลบางส่วนเกี่ยวกับทะเลออกไป ผมตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็จะมาที่นี่อีก อยากมาคุยกับน้าวิทย์ ไม่อยากหลบๆซ่อนๆอีกทั้งที่น้าวิทย์ก็น่าจะรู้เรื่องของเรา
พี่มดพูดคุยเล่าเรื่องราวตั้งแต่ผมไม่อยู่ให้ฟังว่าปฏิกิริยาที่น้าวิทย์กับทะเลมีต่อกันเป็นอย่างไร ทะเลาะกันบ่อยแค่ไหนกว่าทะเลจะออกจากบ้านแต่ละครั้ง ทั้งสองยังคงมึนตึงใส่กัน และน้าวิทย์ก็ดูเครียดกับเรื่องของผมกับทะเลมากจนเดี๋ยวนี้พวกช่างชอบเกี่ยงกันไม่อยากเข้าหา
ระหว่างที่พี่มดเล่าผมมองไปที่เจ็ทสกีของผมที่จอดอยู่ด้านใน เห็นมันยังจอดอยู่ที่เดิมของมันไม่ได้หายไปไหนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังคงอยู่ที่นี่
“พี่เห็นเฮียดูแลมันแทนบลูอยู่บ่อยๆ บางทีก็ไปลูบๆคลำๆ เห็นแล้วก็เศร้าว่ะ” พี่มดพยักพเยิดไปที่เจ็ทสกีของผมแล้วว่า
ผมรับฟังพร้อมๆกับความเสียใจ กลับออกมาจากที่นั่นพร้อมกับความรู้สึกผิด ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็สร้างรอยร้าวเอาไว้กับครอบครัวของผม ผมรู้ว่าน้าวิทย์รักทะเล และน้าวิทย์ก็รักผม ผมไม่เคยนึกถึงความรู้สึกน้าวิทย์ให้ลึกซึ้งเลยว่าการที่เขาไล่ผมออกจากบ้านไม่เพียงแต่จะทำให้ผมเสียใจ แต่คนที่เอ่ยปากไล่ก็เสียใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ผมไปที่บ้านตอนกลางวันแทนที่จะเป็นตอนกลางคืนตลอดอาทิตย์จากวันนั้นแต่ก็ยังไม่มีใครกลับมา น้าวิทย์โทรมาสั่งงานทุกวันจากคำบอกเล่าของพี่มดแต่ก็ไม่ได้บอกอยู่ดีว่าจะกลับวันไหน
ผมรอด้วนความอดทน
จนในที่สุดพวกเขาก็กลับมา
น้าวิทย์กับน้าเพลงกลับมา…แต่ทะเลไม่ได้กลับมา
น้าวิทย์กับน้าเพลงมาถึงในเช้าวันหนึ่ง ผมไปถึงตอนเย็นวันนั้นจึงได้พบกับทั้งสอง เมื่อได้เผชิญหน้ากันน้าวิทย์ก็มองผมอย่างสำรวจตรวจตราแล้วบอกให้ผมเข้าไปคุยกันในบ้าน ผมแปลกใจ มองหาทะเลด้วยความรู้สึกร้อนรนอยากเจอ
น้าเพลงเข้ามาหาถามความเป็นอยู่ของผมด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เจอหน้า เราสามคนขึ้นมาที่ชั้นบน คนที่ผมคิดว่าจะได้เจอก็ไม่อยู่บนนี้ น้าวิทย์กับน้าเพลงดูมีเรื่องที่จะคุยกับผมจริงจังยิ่งทำให้นึกหวั่นใจ เรื่องเดียวที่ต้องคุยกันเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องของทะเล
“เลอยู่ไหนครับ” ผมทนไม่ไหวถามคำถามที่อยากรู้ที่สุดออกไป
“กรุงเทพ” น้าเพลงบอก ไม่ได้ขยายความเพิ่มเติมแล้วหันไปมองน้าวิทย์
“เลจะอยู่ที่นั่น ไม่กลับมาแล้ว” ผมใจหาย เจ็บเสียดด้วยความไม่เข้าใจว่าอะไรคือไม่กลับมาแล้ว “น้าให้เลย้ายไปเรียน ไปอยู่กับป้าที่นั่นจนกว่าจะเรียนจบ” น้าวิทย์หยุดดูท่าทีของผมก่อนจะพูดต่อ
“บลู…น้าตกลงกับเลแล้ว และน้าก็จะขอร้องบลูเหมือนกับที่น้าขอเล…” ผมสบตากับน้าวิทย์ เห็นชัดๆเต็มตาถึงความเหนื่อยล้า และความลำบากใจกับสิ่งที่เขาจะบอก
“น้าอยากให้บลูกับเลห่างจากกันจนกว่าเลจะเรียนจบ บลูทำให้น้าได้ไหม”
ไม่ได้ เป็นคำตอบแรกที่เข้ามาในหัว แต่ผมก็ไม่ได้พูด
“ในสายตาน้าเลยังเด็ก น้าอยากให้เลโตพอที่น้าจะเชื่อในการตัดสินใจเรื่องของบลู”น้าวิทย์อธิบายด้วยเหตุผล ไม่เหมือนกับคราวที่แล้วที่ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องของเรา ผมรับฟัง เข้าใจและเจ็บปวดเพราะรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธ
“หลังจากเลเรียนจบ ถ้าผมกับเลยังรู้สึกเหมือนเดิม…น้าวิทย์จะยอมรับเรื่องของเราใช่ไหมครับ...”
น้าวิทย์มองผม เว้นระยะเล็กน้อยเหมือนลังเลใจ แต่ที่สุดแล้วก็ตอบออกมา
“ใช่”
หนทางที่จะให้น้าวิทย์ยอมรับเรื่องของเราตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าผมในแบบที่ไม่คาดคิด นับจากนี้ไปจนถึงวันที่ทะเลเรียนจบคือเวลาห้าปี มันคือเงื่อนไขของเวลา และผมไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจ ทะเลก็คงจะปฏิเสธมันไม่ได้เหมือนๆกัน น้าวิทย์เลือกหนทางนั้นให้ผมกับทะเลแล้ว...
ถึงจะเข้าใจแต่ผมก็เจ็บเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอคนที่ผมรัก คนที่เป็นโลกทั้งใบสำหรับผม
ผมพยักหน้าตอบรับกับสิ่งที่น้าวิทย์ขอแล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ พยายามเก็บกลั้นอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ผมนั่งอยู่แบบนั้นไม่รับรู้สิ่งใดๆรอบตัว ไม่ได้มีใครพูดอะไรอีก เวลาผ่านไปในความเงียบ ผมสัมผัสได้ว่ามีมือมาลูบหลังของผมอย่างปลอบโยน สัมผัสอบอุ่นที่ผมจำได้นั้นทำให้ผมร้องไห้ ผมสะอื้นเหมือนครั้งแรกที่น้าเพลงจับมือผม ผมครวญครางอย่างเจ็บปวดเหมือนครั้งแรกที่น้าเพลงกอดผม
“น้าเพลง...” ผมกอดน้าเพลงแน่น หวังว่ามันจะบรรเทาความเจ็บปวดของอนาคตนับจากนี้
“บลูรักน้องไหม"
“รัก...ผมรักทะเล...”
“น้องก็รักบลู ร้องไห้เหมือนบลู น้ารู้ว่ามันเจ็บแต่ถ้าบลูกับเลผ่านมันไปได้ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เจ็บอีก...เวลาไม่กี่ปีน้าเชื่อว่าบลูจะโตขึ้น อยู่ด้วยตัวเองได้...ดูแลน้องได้...แล้วน้าก็จะไม่ห่วง"
น้าเพลงกอดตอบผม พูดปลุกปลอบใจผมที่อีกครั้งมันเจ็บร้าว น้าเพลงไม่สนใจที่จะลุกขึ้นไปเปิดไฟทั้งที่รอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดเพียงแต่นั่งอยู่กับผม น้าวิทย์ไปจากตรงนี้นานแล้วหลังจากที่ผมตอบตกลงแต่โดยดี
“บลูต้องเข้าใจน้าวิทย์นะ ต้องเข้าใจว่ามันยาก"
“ผมรู้ ผมขอโทษ...”
น้าเพลงส่ายหน้ายิ้มให้ผม และพูดคำพูดที่ผมอยากได้ยินจากน้าวิทย์กับน้าเพลงที่สุด
"บลูไม่ได้ทำอะไรผิด...ความรักของบลูไม่ใช่เรื่องผิดนะลูก...”
...
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าวงของเรามีเป้าหมายเดียวกัน เมื่อผมกับตูนตอบตกลงกับคำชวนก็สร้างความสุขให้พวกมันเป็นอย่างมากราวกับว่าความฝันเป็นจริงแล้วทั้งที่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
ผมเดินหน้าต่อไปโดยใช้วงของเราเป็นจุดเริ่มต้นกลับมาลุกขึ้นยืนหลังจากที่พายุผ่านไป ผมไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะมีเพื่อนแต่ก็ยังรู้สึกเหงาเมื่ออยู่ลำพังในห้องเล็กๆของตัวเอง
วันนั้นหลังจากกลับมาผมซุกกายบนเตียงที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นของทะเล พยายามเก็บกอดจดจำไว้ เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ไปไหนเป็นเวลาหลายวันจนเป็นไข้ สร้างความลำบากให้เพื่อนต้องดูแลยามผมอ่อนแอทุรนทุรายเหมือนจะตายไปต่อหน้าต่อตาพวกมัน ผมพูดพร่ำถึงความหลังอันเจ็บปวดเมื่อไม่ได้สติ บางครั้งเรียกร้องไม่ให้ใครทิ้งผมไป แต่บางครั้งก็ผลักไสเหมือนเห็นผู้คนที่ทรมานผม ทำร้ายผมในอดีต
ผมเจ็บเหมือนจะตาย แต่ก็ผ่านมันมาได้
ทุกความเจ็บปวดที่ผ่านมาทำร้ายผม...ความรักที่ว่าสวยงามก็ทำร้ายผม...แต่ไม่ได้ฆ่า คนเราไม่ได้ตายง่ายดายถึงเพียงนั้น
ในเวลาต่อมาเมื่อความเสียใจเจือจางผมก็เลือกใช้ชีวิตต่อไปด้วยความหวังและเฝ้ารอ
ผมเรียน ในขณะเดียวกันก็ทำเพลง ทำงานไปด้วย ผมกลับไปหาน้าวิทย์กับน้าเพลงบ่อยๆซึมซับความรู้สึกเดิมๆเป็นครั้งคราว นานๆทีน้าวิทย์หรือน้าเพลงจะเล่าให้ผมฟังบ้างว่าทะเลเป็นยังไงบ้าง ผมรู้สึกว่าน้าวิทย์กำลังเฝ้าดูความรักของเราด้วยความรู้สึกที่ค่อยๆเปลี่ยนไปตามระยะเวลาและเห็นสายตาอ่อนโยนบางครั้งที่ทอดมอง
เกือบสามปีผ่านไป มีแค่ความรู้สึกของผมที่มีต่อทะเลยังคงเดิมในขณะที่ทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลง ทันทีที่ผมกับตูนเรียนจบฝันของป็อปกับร็อคก็เป็นความจริง
เราได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงค่ายหนึ่งทำให้ชีวิตผมหลังจากนั้นไม่เหมือนเดิม พวกเราเริ่มเป็นที่รู้จักซึ่งไม่เป็นที่คุ้นชินกับผมอย่างมาก คนที่เข้าหามีมากมายแต่ผมก็เว้นระยะห่างกับพวกเขาเอาไว้ โลกส่วนตัวผมเริ่มถอนร่นเข้ามาจนเหลือแค่ห้องของตัวเองที่ให้ความเป็นส่วนตัวกับผมอย่างแท้จริง
จากวันที่ทะเลไม่อยู่ห้องของผมที่ทะเลตกแต่งเอาไว้ก็ยังเหมือนเดิม ผมปล่อยไว้แบบนั้นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนทะเลยังคงอยู่กับผม ผมจะนึกถึงทะเลที่นอนข้างๆเมื่อผมนอนบนเตียง จะนึกถึงช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวกันเมื่อมองภาพบนฝาผนัง นึกถึงเสียงกีตาร์เมื่อผมอ่านหนังสือ รายละเอียดทุกอย่างผมจดจำได้หมดกระทั่งเสียงบอกรักของทะเลที่ยังก้องอยู่ในความทรงจำ
ตอนนี้ทุกครั้งที่ผมคิดถึงทะเลมันทำให้ผมยิ้มได้
ผมไม่ได้บอกคำตอบกับเพื่อนตอนที่คุยกันเรื่องความฝันของผม...เพราะคิดว่ามันรู้...
คำถามที่ว่าเกิดมาเพื่ออะไร...ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่เจอคำตอบ
คนบางคนวิ่งวนแหวกว่ายอย่างน่าเจ็บปวดอยู่กับความว่างเปล่า ผมพบเจอด้านมืดในจิตใจมนุษย์และรู้ว่าเมื่อเขาทำสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่ความสุข แต่เพียงแค่ปลดปล่อยความทุกข์ของตัวเอง
ผมเคยแหวกว่ายอยู่ในความเจ็บปวดเช่นเดียวกันแต่ในขณะเดียวกันผมก็เรียนรู้...เราไม่ใช่แค่เกิดมาเพื่ออะไร...แต่สามารถเกิดมาเพื่อใครได้เช่นกัน
ไม่ว่าทะเลจะรู้หรือไม่แต่ผมคิดว่าทะเลเกิดมาเพื่อผม...เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ให้ความรักที่คนอย่างผมโหยหา และเมื่อผมโตขึ้นผมถึงได้ตอบตัวเองว่าผมก็เกิดมาเพื่อทะเล
ผมอยากทำให้ทะเลมีความสุข อยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนๆนี้โดยไม่ได้หวังอะไรนอกจากรอยยิ้ม อยากเป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายได้รับ
ผมอยากจะอยู่เพื่อคนๆนั้น...เพื่อทะเลของผม
.
.
.
.
ในวันที่น้าวิทย์กับน้าเพลงยื่นเงื่อนไขให้กับผม ผมกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง เป็นกระดาษที่น้าเพลงยื่นให้ก่อนจาก...กระดาษที่เขียนข้อความของทะเลที่ฝากถึงผม ตอนนี้มันแปะอยู่ที่หัวเตียง อยู่ท่ามกลางภาพของเรา
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ที่มีเพียงแค่สั้นๆ และใช้ชีวิตทุกๆวันอยู่กับปัจจุบัน
'รอเลนะ เลรักพี่บลู' -END-
Song Titles : Yellow
Artist : Coldplay
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็จบจนได้
เขียนนิยายนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ นับถือคนที่เขียนนิยายแล้วมาต่อได้อย่างสม่ำเสมอมาก เรากว่าจะเขียนได้แต่ละตอนนี่สาหัสสุดๆ
ขอบคุณมากเลยนะคะที่อ่านจนมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าตอนจบจะถูกใจกันไหม แต่เราคิดว่ามันจบแบบที่เราต้องการมากที่สุดแล้ว
เขียนๆเรื่องนี้บางทีก็ร้องไห้ เราตกใจมากที่มันเป็นไปได้ ไม่เคยรู้เลยนอกจากอ่านเรื่องของคนอื่นแล้วตอนเขียนเองก็ร้องไห้ได้เหมือนกัน เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
ขอยกรายชื่อเพื่อขอบคุณนักอ่านที่ให้กำลังใจเราตรงนี้เป็นการพิเศษ แค่เล็กๆน้อยๆแต่มีความหมายสำหรับมากเราค่ะ
igaga , BBChin JungBB , แมวดำ , -Blackcloud- , Jthida , fuku , Ellette , janamanza , phakajira ,
bulldog17 , didi , MEME_B , Syntyche , iforgive , indy❣zaka , sin , irksome , Alyssa , mujika_keita,
chisarachi , kwangun , Millet , krappom , กุหลาบเดียวดาย , berlyn,pharm , Tasaitatsu , Blurry,
♥lvl♀‘O’Deal2♥ , Kaewkaew , vipkava , mamimew , ka[ze]na , papangki , Fujoshi , yayee2,
Skell_Xiao , uknowvry , Lovecartoon1996 , wargroup , Windyne ,poppycake , nicedog,
tumprom , smmikie , เมล่อนคอซอง , 111223 , suck_love , kwangkoyha , sweetbasil , Minnie~Moo,
pockypocky , myd3ar , honey honey drop , อายทำไม
และขอขอบคุณนักอ่านขาประจำที่เม้นให้เกือบทุกตอน อยากบอกว่าบางคนตอนไหนไม่เจอแอบใจหาย คนอ่านยิ่งน้อยๆอยู่ 555
drasil , Sofa , AGALIGO , นางฟ้า , nunnan , 1wariya1 , aloney , 403 , candynosugar+ ,
oaw_eang , ammamooty , -west- , soluna , Starry
, iamew , malula , BeeRY , Theomen
ขอบคุณสำหรับนักอ่านที่ตามอ่านเงียบๆด้วย คิดว่าน่าจะมีอยู่บ้าง
ตั้งแต่ต้นมีแพลนไว้ว่าจะทำเรื่องนี้เป็นหนังสือ ใฝ่ฝันมานานอยากมีหนังสือบ้าง คิดว่าคงจะเป็นแค่เล่มเล็กๆดูจากจำนวนหน้าแล้ว แต่เดี๋ยวไปจัดการเขียนตอนพิเศษก่อนแล้วไว้มาบอกรายละเอียดอีกที นักอ่านคนไหนสนใจก็บอกกันหน่อยนะคะ(เหมือนสำรวจคร่าวๆให้รู้ว่ามีบ้างไหม) น่าจะเขียนเรื่องของทะเลเพิ่ม แล้วก็มีเรื่องของป็อปกับร็อค บางตอนอาจเอาลงที่นี่ด้วย
สุดท้ายขอบคุณที่ติดตามและหวังว่าจะได้เจอกันอีกในเรื่องหน้านะคะ
สักวัน