สวัสดีค่ะ
ขอโทษที่หายไปหลายวันค่ะ
วันนี้เอาตอนใหม่มาให้อ่านกันต่อแล้วค่ะ
เหลืออีกประมาณสิบตอนคงจะจบแล้วนะค่ะสำหรับเรื่องนี้
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างเข้ามา
ยังไงก็เอาใจช่วยบ้านจอมกันด้วยนะค่ะ
จุบุๆ

บทที่ 22
[/b][/size]
...ทำไม...
...ทำไมพลอยถึงมาอยู่ที่นี่ได้...
“อ้าวมาเร็วดีจัง” เสียงทุ้มของบิดายังคงฟังดูใจดีไม่เปลี่ยน หนุ่มใหญ่พยักพเยิดไปที่หญิงสาวที่จอมราชันไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตกับการกระทำของเธอ “จำได้หรือเปล่า...ว่าพ่อเจอใคร”
หญิงสาวที่เขาเจอเมื่อไม่กี่วันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวกับกางเกงทำงานผู้หญิงดูเรียบร้อย ดูดีเป็นผู้ใหญ่
...หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดแบบนั้น...
“สวัสดีค่ะคุณจอมราชัน” เธอทักผม แต่หากนายจอมไตรดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับคำแรกสักเท่าไรเพราะหนุ่มใหญ่ขัดว่า
“คุณเคินอะไรกัน เรียกราชันเหมือนเดิมสิ เป็นเพื่อนกันอยู่หนิ” ครอบครัวรู้เพียงว่าเขากับพลอยจากกันด้วยดีและเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่
ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นเรื่องโกหกเพื่อไม่ให้ที่บ้านต้องมารับรู้อะไรทุเรศบัดซบกับชีวิตคู่ของเขาด้วย เขาสงสารบิดามารดา หากรู้ว่าหลานของท่านจากไปตั้งแต่ยังเป็นเพียงก้อนเนื้อเล็กเท่านั้น
ร่างสูงยืนกำหมัดแน่น หนุ่มอารมณ์เย็นชาแทบเป็นน้ำแข็งของลูกน้องตอนนี้แทบจะกลายเป็นภูเขาไฟลูกย่อมๆที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อเพียงแค่ถูกกระตุ้น เขาไม่ได้โกรธพ่อที่พาหญิงสาวเข้ามา แต่หากโกรธผู้หญิงคนนี้ที่ยังกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับคนในครอบครัวเขาอีก
...น่าไม่อายจริงๆ...
“ค่ะ”
“ลุงได้ข่าวว่าหนูไปอยู่เมืองนอกหนิ ตอนนี้กลับมาชั่วคราวหรือถาวรละ?” ท่านประธานถาม
“พลอยกลับมาอยู่ถาวรเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน แต่หากชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงที่สุด “กลับมาอยู่ที่บ้าน
เดิมค่ะ”
หนุ่มใหญ่หัวเราะยินดี “ดีๆ งั้นเย็นไปกินข้าวที่บ้านลุงสิ จะได้คุยกันตามประสานะ” แล้วหันกลับที่ลูกชายคนโตที่ยืนสะกดกลั้นอารมณ์ “ดีไหมราชัน?”
ร่างสูงแทบอยากจะปฏิเสธเดี๋ยวนั้น แต่หากไม่ต้องการให้บิดามารับรู้เรื่องที่ปิดบังจึงแสร้งทำเป็นหน้าเรียบเฉย “ผมแล้วแต่พ่อครับ”
“แหม...ไอ้ลูกคนนี้วันนี้ดูท่าอารมณ์บูดแหะ” หยอกลูกชายเล็กน้อย แล้วหันไปหาหญิงสาวคนเดียวในห้อง “งั้นเย็นนี้มานะหนูพลอย เดี๋ยวให้ราชันไปรับที่ไหนดีละ?”
“เดี๋ยวพลอยขับรถไปเองก็ได้ค่ะ” พูดตอบเสร็จ ก็หันไปยิ้มหวานหยดให้กับชายหนุ่มร่างสูง แต่หากก็ต้องหน้าเจื่อนไปเมื่อชายหนุ่มไม่แม้แต่จะชายตามอง ร่างสูงใหญ่บอกลาบิดาก่อนเดินหุนหันออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะล่ำลาหญิงสาวอีกคน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงเที่ยงของวันทำงาน โรงอาหารของบริษัทที่กำลังเนืองแน่นไปด้วยพนักงานที่กำลังพักมาทานอาหารกลางวัน บัดนี้มีร่างสูงๆไล่เลี่ยกันของชายหนุ่มสามคนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ หากแต่...แทบไม่มีใครเข้าหน้ารองประธานหนุ่มติดสักคนเดียว หน้าหล่อเย็นชาจนคนอื่นหวาดผวากันไปหมด ไม่รู้ว่าท่านรองไปกินรังแตนมาจากไหน หน้านี่บูดได้อีก
“เฮ้ย...เป็นอะไรของแกวะ” ชินกฤตตบบ่าเพื่อนรักไม่เบานัก
“นั่นดิ แกนั่งหน้างอมานานแล้วนะ” คราวนี้จักรภพเสริมขึ้นบ้าง
“หรือแกไม่อยากกินข้าวที่นี่” ชินแซวเพราะส่วนใหญ่รองประธานหนุ่มไม่ค่อยได้ลงมากินข้าวกลางวันที่โรงอาหารเท่าไรนัก ส่วน
มากจะให้คนซื้อใส่กล่องขึ้นไปให้ที่ห้อง ไม่ใช่ว่าเพราะหรู ไม่อยากมานั่งให้เสียภาพพจน์ แต่เป็นเพราะท่านรองประธานของบริษัทพรอพรอตี้นั่นแทบไม่อยากจะเสียเวลากระดิกกระเดี้ยตัวออกจากโต๊ะทำงาน ด้วยเหตุผล กลัวงานไม่เสร็จ
...คนอะไร บ้างานสุดโต่งจริงๆ...
ในที่สุดจอมราชันก็ยอมเปิดปากบอกเพื่อน “วันนี้ผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่”
เพื่อนสองคนทำหน้างง “หะ?”
“พลอยมาที่นี่” พี่ใหญ่เลยต้องเจาะจงไปเลย คราวนี้คนฟังเบิกตาค้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเท่าไร
“ว่าไงนะ??? พลอยมาที่นี่??” จักรภพเอ่ยถามทวนอีกครั้ง เผื่อเมื่อกี้เขากับเพื่อนจะหูเพี้ยนไปชั่วขณะ
จอมราชันเพิ่มความมั่นใจให้เพื่อนโดยการพยักหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มรวบช้อนลงทั้งๆที่อาหารในจานยังพร่องไปไม่ถึงครึ่ง การเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นทำให้ความอยากอาหารที่แทบจะไม่มีอยู่แล้วนั้นหมดไปอย่างสิ้นเชิง
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ แกก็แค่ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา” ชินเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ และรู้สึกว่าคำพูดปลอบใจของเขาดูงี่เง่าขึ้นมาทันทีเมื่อเพื่อนรักถอนหายใจหนัก
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่คิดอะไรตื้นๆ เขากลับมาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแน่ๆ”
...และจุดประสงค์นั้นคือ?... ทั้งสามต่อประโยคในใจ
หลังจากมื้อกลางวันสิ้นสุดลงทั้งสามก็แยกทางกัน จอมราชันกลับไปโหมทำงานหนักตามประสา ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนมีแค่งานที่ต้องออกไปติดต่อลูกค้าในช่วงบ่าย ชินกฤตกับจักรภพเดินคุยเล่นกันจนมาถึงลานจอดรถในบริษัท
“วันนี้เลิกงานเร็ว ไปหาอะไรกระแทกปากแถวรัชดากันดีกว่าว่ะ” จักรภพเอ่ยชวนขณะที่ชินกฤตกำลังค้นของในกระโปรงท้ายรถ ชินกฤตส่งเสียงเห็นด้วยก่อนจะเรียกเพื่อนมาช่วยหาของที่ตนค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที
“ไปอยู่ตรงไหนวะ เมื่อเช้าก็จำได้ว่าโยนเข้ามาในนี้นี่หว่า” ชินกฤตบ่น
“แฟ้มงานนะไม่ใช่รองเท้า ทำไมไม่วางไว้ที่เบาะหลังวะ” จักรภพว่าก่อนจะถอยตัวออกมาเมื่อเห็นขาเรียวสวยกับรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ใกล้ๆ
“เอ้อ...พลอย” ชายหนุ่มยิ้มรับรอยยิ้มหวานแบบฝืนๆ ชินกฤตที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาก็ทำหน้าไม่ต่างจากเขาเท่าไรนัก
“ว่าไง ชิน จักร เลิกงานกันแล้วเหรอ” ร่างบางเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ในสายตาชินกฤตและจักรภพที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังดีอยู่แล้วนั้น ท่าทางใสซื่อของพลอยกลับทำให้พวกเขาแทบฝืนยิ้มไม่ออก
“มีคุยงานกับลูกค้าน่ะ เอ่อ...แล้วพลอย มาทำอะไรที่นี่เหรอ” จักรภพเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่มาพร้อมกับหญิงสาวผู้นี้
“พลอยมาหาคุณลุงน่ะ” รอยยิ้มยังคงไม่เลือนหายไปจากใบหน้าผู้พูด หากดวงตาคู่สวยกลับกวาดมองสองหนุ่มอย่างประเมินค่า ชินกฤตและจักรภพที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยและเน็กไทถูกดึงออกหลวมๆ รู้สึกเหมือนตนกำลังถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ดีใจแทนราชันจังที่มีทั้งเพื่อนและลูกน้องที่ขยันทำงานแบบนี้” เสียงหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว “ราชันเป็นคนเอาการเอางาน ถ้ามีลูกน้องที่ชอบเอาเวลางานไปหาความสุขส่วนตัว เขาก็คงไม่ปล่อยเอาไว้จนถึงวันนี้หรอก จริงไหม”
หญิงสาวทิ้งท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มหวานจับใจก่อนจะขอตัวแล้วเดินจากไป ชินกฤตกับจักรภพได้แต่สบตากันนิ่งๆ ประโยคอันเชือดเฉือนเมื่อครู่ดังก้องอยู่ในหัวพวกเขา ไม่แปลกใจเลยถ้าจะรู้ว่าพลอยแอบฟังพวกเขาคุยกันก่อนที่เธอจะมาปรากฏตัวให้เห็น
...พวกเขาแค่จะไปหาความสุขส่วนตัวกันแค่นี้ มันหนักส่วนไหนของเธอกัน!...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวลาล่วงเลยเข้ามาถึงช่วงเย็น ร่างสูงของจอมราชันแทบไม่อยากจะพาตัวเองกลับบ้านเลยสักนิดเดียว แต่ไม่กลับก็ไม่ได้ จอมราชันถอนหายใจเฮือก นิ้วเรียวยาวนวดคลึงที่ขมับเบาๆอย่างเหนื่อยล้า เขาบอกตามตรงเลยว่ายังเดาไม่ออกเลยว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหนกับเขาอีกกันแน่ ตอนนี้รู้สึกว่าเหนื่อยกว่าปกติหลายเท่านัก
รถยนต์สีควันบุหรี่แล่นมาจนถึงหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ รถเก๋งคันแปลกตาที่จอดรออยู่ก่อนแล้วไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจเท่าไรนัก เมื่อเจ้าของรถคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับนางนวลอนงค์ จอมราชันเดินออกมาจากโรงรถ เสียงฝีเท้าของเขาดึงความสนใจของสาวทั้งสอง
“อ้าว...กลับมาแล้วหรือ?” มารดาของชายหนุ่มเอ่ยทักด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็ยิ้มให้ หากชายหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้มารดาตนเท่านั้น
“สวัสดีครับแม่”
“เราไม่เห็นบอกแม่เลยว่าหนูพลอยกลับมาจากเมืองนอกแล้ว” คุณหญิงค้อนเล็กอย่างไม่จริงจังนัก “แม่ตกใจหมดตอนที่เจอหนูพลอยขับรถเข้ามาในบ้าน”
แม้ว่าจะเลิกรากับชายหนุ่มไปแล้ว แต่ว่าคนในบ้านยังไม่ได้เมินเฉยต่อเธอ จอมราชันทำเพียงแค่นยิ้มออกมาเท่านั้นแล้วขอตัวเลี่ยงออกไปทันที
ทางฝ่ายนางนวลอนงค์แม้ยังสงสัยท่าทีขอบุตรชายที่มีต่อคนรักเก่าแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา เดาเอาว่าคงจะยังเขินๆกันๆกันอยู่เพราะไม่ได้เจอกันมานาน
ด้านชายหนุ่มที่เดินเคร่งเครียดขึ้นมาที่ห้องของตนเอง แต่เจอกับร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันของน้องชายคนที่สามที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆ หน้าตาหล่อเหลาคล้ายคลึงกันกับของเขานั้นแลดูเหนื่อยล้า ใต้ตาขึ้นสีน้ำตาลคล้ำวงเล็กๆ ท่าทางเจ้าตัวจะอดนอนปั่นงานทั้งคืนเป็นแน่แท้
“อดหลับอดนอนอีกแล้วเจ้าทัพ” จอมราชันถามขึ้น อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆก่อนหาวหวอด
“ลูกค้าเร่งงานมานะสิ” เสียงทุ้มแหบตอบ พี่ใหญ่อดไมได้ที่จะตบบ่ากว้างเบาๆ
“อย่าหักโหมมากสิ” ต่อให้น้องชายโตแค่ไหนเขาก็ยังเห็นทุกคนเป็นเด็กตัวเล็กที่วิ่งเล่นไล่ตามเขามาตั้งแต่เด็กๆอยู่เรื่อยไป จอมทัพพยักให้ก่อนจะขอตัวไปล้างหน้าล้างตาหาอะไรรองท้องก่อนถึงอาหารเย็นในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า
ลับร่างน้องชายไป ร่างสูงก็รีบเข้าห้องจัดการกับตัวเอง ก่อนจะกลับลงไปชั้นล่าง
“อ้าวลงมาแล้วหรือ?” คุณหญิงทักหลังจากบุตรชายหายไปชั้นบนนาน ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างมารดาโดยมีหญิงสาวนั่งฝั่งตรงข้าม
บรรยากาศเริ่มตึงๆหลังจากจอมราชันไม่มีท่าทีจะชวนอีกฝ่ายสนทนา ด้านมารดาเห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนแบบนี้จึงเข้าใจผิด นึกว่าตนมานั่งอยู่เป็นก้างขวางคอสองหนุ่มสาว นางจึงรีบเอ่ยขอตัว
“เดี๋ยวแม่ไปดูกับข้าวในครัวก่อนนะจ้ะ ไม่รู้ว่าเสร็จแล้วหรือยัง หนูพลอยคุยกับราชันไปก่อนนะ”
คล้อยหลังมารดา หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องนั่งเล่นก็ฉีกยิ้มก่อนจะเริ่มบทสนทนา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีมั้ย”
“ก็ดี” จอมราชันตอบเสียงเรียบ เขาดีใจที่หยิบแฟ้มงานติดมือมาด้วย ร่างสูงก้มหน้าจดจ่ออยู่กับตัวอักษรบนกระดาษ ไม่สนใจจะสานต่อบทสนทนาที่หญิงสาวเป็นฝ่ายเริ่ม
“พลอยไม่อยู่ตั้งหลายปี บ้านหลังนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย” หญิงสาวว่าพลางมองไปรอบตัว แล้วกลับมาหยุดลงตรงภาพชายหนุ่มเบื้องหน้า “แต่คนในบ้านนี้เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
จอมราชันไม่สนใจ เขาพลิกเอกสารอ่านต่อไปราวกับว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงอากาศธาตุ แต่ท่าทางแบบนั้นกลับยิ่งเข้าทางพลอย เธอขยับขาเป็นท่านั่งไขว่ห้าง แล้วพูดต่อไป
“ราชันยังโกรธพลอยอยู่หรือ?” เธอยังคงถามต่อไปโดยไม่นำพาถึงความตึงเครียด
“ผมจะไปโกรธคุณเรื่องอะไร...” เสียงเย็นชาถามกลับ “เราเลยจุดนั้นมานานแล้ว...” มือใหญ่กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว จะพูดว่าไม่โกรธไม่แค้นใจก็คงไม่ได้แต่นั่นไม่ใช่เพราะเลิกกับพลอยแต่หากโกรธตัวเองที่ไม่สามารถกระชากหน้ากากของหญิงใจมารผู้นี้ได้และสงสารเด็กน้อยที่ต้องตายด้วยน้ำมือของมารดา
“ถ้าอย่างนั้นพลอยก็ดีใจที่เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่” รอยยิ้มหวานเคลือบความขมถูกส่งมาให้
ทั้งสองคนที่กำลังเข้าสู่ภาวะอึมครึมอย่างเต็มรูปแบบ มารู้ตัวอีกทีตอนที่ท่านประธานกลับมาจากการดูงานนอกสถานที่พอดิบพอดี
“อ้าว...หนูพลอยมาแล้วหรือ?” ร่างสูงสมส่วนของหนุ่มใหญ่ถามอย่างยินดี
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้
นายจอมไตรยิ้มหัวเราะ ประจวบเหมาะกับที่คุณหญิงของบ้านเดินมาเรียกสมาชิกในบ้านว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว
มื้อเย็นวันนี้มีผู้ร่วมโต๊ะคือ ท่านประธานใหญ่ คุณหญิง จอมราชันและจอมเวทย์ รวมถึงแขกผู้มาใหม่เท่านั้น
บรรยากาศของมื้ออาหารวันนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีท่ามกลางความอึดอัดของชายหนุ่มร่างสูงเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลังจากมื้อเย็นจบลง เจ้าของบ้านก็ชวนให้แขกหญิงสาวของบ้านอยู่ต่อ
“ชีวิตที่นู่นเป็นอย่างไรบ้าง?” คุณหญิงเปิดฉากการสนทนา
“ก็ดีค่ะ แต่ว่าอยู่บ้านเรายังไงก็อบอุ่นกว่าค่ะ”
สนทนาไปได้สักพักเสียงเครื่องมือสื่อสารของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน พลอยขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก
คล้อยหลังร่างบางนั้น มารดาก็หันมาหาบุตรชายที่ยังนั่งเอาแต่อ่านเอกสารไม่สนใจใครทั้งสิ้น ทั้งที่ชายหนุ่มไม่ใช่คนเสียมารยาทขนาดวันนี้
“เป็นอะไรของเรานะราชัน?”
เสียงทักทำให้คนที่อยู่ในภวังค์เงยหน้าขึ้นมาสบตามารดาที่มองมาอย่างตำหนิเล็กๆ “เปล่าครับ”
“แล้วทำไมไม่ชวนหนูพลอยเขาคุยหน่อยละ”
“เปล่าครับ” พูดจบก็ก้มหน้าลงไปใหม่ราวกับเป็นการปิดบทสนทนาบทนั้นลงทันที ทำเอานางนวลอนงค์ถอนหายใจ
เธอรู้ว่าบุตรชายมีเรื่องไม่สบายใจแต่หากด้วยนิสัยของเจ้าตัวแล้วต่อให้เอาคีมเหล็กมาง้างปากก็ไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย รอให้ถึงเวลาที่เจ้าตัวพร้อม
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เจ้าหนูน้อยของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากมหาลัยอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมกับพี่ชายคนที่สี่ที่อุตส่าห์อยู่โยงนั่งรอน้องชายทำแลปโปรแกรมมิ่งที่กินเวลาล่วงเลยมาถึงเกือบสามทุ่ม
เจ้าลูกหมูรู้สึกผิดที่ทำให้พี่ชายที่ต้องมานั่งรออย่างเสียเวลา
“ใจขอทานะพี่เวทย์ที่ทำให้รอนานมากๆ” เอ่ยเสียงอ่อย ใบหน้ากลมใสก้มลงอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรๆ” มือใหญ่ๆขยี้เรือนผมนุ่มๆ “ไปอาบน้ำที่บ้านได้แล้วเจ้าจ้ำม่ำ...แล้วค่อยมากินข้าวด้วยกัน”
จอมเวทย์ยิ้ม เขาไม่ได้โมโหแต่อย่างใดที่ต้องรอหลายชั่วโมง มันดีกว่าให้น้องกลับบ้านเองมืดค่ำ นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้วยังหารถโดยสารจากมหาลัยยากมากอีกด้วย
ร่างกลมๆพยักหน้าแล้ววิ่งไปอีกฝั่งเพื่อข้ามประตู แต่หากยังไม่ถึงประตูบานเล็กดีหูก็ได้ยินเสียงดังมาจากความมืดสลัวๆ จอมใจ
ชะงักกึก
“ค่ะ...ตอนนี้มันกำลังไปได้สวยค่ะ...”
...???...
“ตามที่วางแผนไว้ทุกอย่างค่ะ...ไม่ต้องห่วง...หึ...อีกไม่นานเท่านั้น!” เสียงนั้นฟังดูน่าขนลุกซู่ ร่างกลมหนาวสะท้านอย่างไม่รู้สาเหตุ
เขาไม่รู้เสียงนั้นคือใคร? เข้ามาในบ้านเขาได้อย่างไร? แล้วที่พูดมานั่นมันคืออะไร?
TBC
เจอกันตอนหน้าค่ะ