ตอนที่ ๔
“โตขึ้นฉันจะเป็นหมอ จะกลับมาทำงานที่นี่ เธอกลับมาอีกครั้ง เราจะได้เจอกันอีกไง..”
สายฝนที่ผ่านมาในม่านสายตากับเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงกับพื้น สัมผัสเปียกชื้นที่สาดกระเด็นลงบนใบหน้า ทุกอย่างนี้มันกำลังเคาะ ความทรงจำเก่าๆให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
รัญชน์ยิ้มอย่างเศร้าๆกับความทรงจำอันแสนดีนั้น
มันเป็นรักแรกพบ..
ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่เหนือท้องฟ้าของกรุงเทพเมื่อสิบห้าปีก่อนและเป็นรักเดียวที่เขาปรารถนามาโดยตลอด..
เด็กผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวนัยน์ตาคมที่ได้พบกันโดยบังเอิญเพียงครั้งเดียว..ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทิ้งความทรงจำอันแสนหวานให้กับเขาจนไม่อาจลืมได้..
ทั้งที่เคยเฝ้าฝันให้ได้เจอกันอีกครั้ง..
แต่ก็ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่าจะได้เจอกันอีกทีอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
รัญชน์คงจะดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับกวินท์อีกครั้ง..
หากไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นพี่สาวที่มีต่อกวินท์
รัญชน์ยิ้มหยันให้กับความรู้สึกของตนเองในยามนี้ก่อนเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่ขมุกขมัวไม่ต่างอะไรกับความรู้สึก
จะทำอย่างไรดี..
จะค้นหาความรู้สึกนี้ต่อหรือไม่...
กวินท์เอง...จะรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า
คำพูดที่เคยบอกว่าจะรอเพื่อให้ได้พบกันอีกครั้ง กวินท์ยังจะจำมันได้ไหม...
รัญชน์จะคาดหวังเกินไปไหม...
ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่อีกฝ่ายกลับมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้..ก็เพราะอยากจะพบกันอีกครั้ง..ทั้งที่กวินท์อาจเพียงสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อก็เป็นได้
เขาอาจจะลืมไปแล้ว อาจไม่เคยใส่ใจอีกเลย
กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอีกคน...
ที่เคยได้จูบกันท่ามกลางสายฝนเมื่อสิบห้าปีก่อนอย่างรัญชน์...
สายฝนยังตกโปรยปรายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเวลาเลิกงานของกวินท์ สาเหตุก็คงเป็นเพราะลมมรสุมที่พัดผ่านเข้ามาจากทางทะเล กวินท์มองดูท้องฟ้าที่ดูมืดราวกับหัวค่ำแล้วก็ถอนหายใจช้าๆ
ศัลยแพทย์หนุ่มดึงเอาสายหูฟังจากคอของตัวเองไปแขวนไว้ที่ผนังอันเป็นที่ประจำของมันก่อนส่งแฟ้มของคนไข้รายสุดท้ายของวันนี้ให้กับนางพยาบาลที่เข้ามารับไปแล้วถึงเดินออกมาจากห้องตรวจ
เพราะคืนนี้เขาเป็นเวรต้องอยู่ต่อตอนหลังจากเที่ยงคืน กวินท์เลยเลือกที่จะขึ้นไปงีบบนห้องพักของเขาที่อยู่บนชั้นวีไอพีซึ่งเคยเป็นห้องพักของพ่อเขามาก่อนที่จะปลดเกษียณเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถฝ่าสายฝนกลับไปยังที่พักของเขาให้มันลำบากเสียเปล่าๆ
กวินท์ยิ้มรับคำทักทายจากทั้งนางพยาบาลและคนไข้ที่เดินสวนมาก่อนที่จะปลีกตัวเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยบันไดหนีไฟ
เขาเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ความคิดจมอยู่กับจี้ห้อยคอของคนไข้สาวที่เขาได้เห็นเมื่อเช้าอีกครั้ง
แต่กวินท์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อความคิดของเขาถูกรบกวนด้วยใบหน้าน่ารักกับสายตาขุ่นมัวของลูกชายคนสุดท้องของผ.อ.ยชญ์
พอพบว่าความคิดของตนเองมันไปหยุดอยู่ที่เด็กคนนั้นแล้ว กวินท์ก็ต้องส่ายหน้าให้กับตัวเอง อะไรบางอย่างในแววตาดื้อรั้นคู่นั้นมันทำให้กวินท์รู้สึกคุ้นเคยจนต้องเก็บมาคิดกันนะ..
ศัลยแพทย์หนุ่มเพียรนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียทีจนน่าโมโห
กวินท์ยังจมอยู่กับความสงสัยของตัวเองจนกระทั่งเดินขึ้นมาจนถึงชั้นวีไอพี
สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตาของศัลยแพทย์หนุ่มทันทีที่เปิดประตูออกไปตรงนอกระเบียงที่จะเป็นทางเข้าไปยังห้องพักด้านนอกของเขาทำให้สองขาหยุดชะงักลงอย่างสงสัย
แผ่นหลังเล็กสมส่วนของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนตากฝนอยู่ มันพาให้เขาเดินเข้าไปหาพร้อมกับคิ้วเรียวเข้มที่ขมวดขึ้นวงหน้าคมดูดุขึ้นราวกับไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น
“ทำไมคุณถึงมายืนตากฝนอยู่แบบนี้?”
พอเข้าไปใกล้แล้วดึงอีกฝ่ายให้เข้ามายังด้านในของระเบียงที่ไม่โดยฝนสาดแล้วกวินท์ถึงได้รู้ว่าเจ้าของแผ่นหลังเล็กนี้คือคนที่ตนเองกำลังคิดถึงอยู่ แม้รัญชน์จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาก็ตามที
กวินท์สะกดอารมณ์ของตัวเองที่อยู่ดีๆก็เริ่มใจเต้นขึ้นมาอีกครั้งยามมองใบหน้าใสของอีกฝ่ายที่ละอองฝนมันยังคงสาดกระทบเข้ามาเพราะแรงของลมกลางคืนบนชั้นที่สิบเก้านี้
รัญชน์นิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของศัลยแพทย์หนุ่ม
เขาเอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นไม้บนระเบียง น้ำฝนที่สาดเข้ามามันค่อยไหลลงไปตามร่องของระเบียงไม้ที่จัดไว้เป็นสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนนี้
รัญชน์มองมันทั้งที่รู้ว่ามองไปก็ไร้ประโยชน์แต่ก็ยังเลือกที่จะมองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองหน้าคู่สนทนาที่อยู่ๆก็มาปรากฏกายให้เขาทั้งรู้สึกยินดีและอึดอัดไปพร้อมๆกัน
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะ..”
ศัลยแพทย์หนุ่มบอกแล้วดึงแขนจะพาคนตัวเล็กให้กลับเข้าไปด้านในของตึก แต่รัญชน์กลับยืนนิ่งไม่ยอมเดินไปตามแรงดึงของเขา
กวินท์จึงหันมามองหน้ารัญชน์อีกครั้งทั้งที่มองไปก็เห็นแต่อีกฝ่ายก้มหน้าไม่ยอมเงยมามองเขา
ศัลยแพทย์หนุ่มพรูลมหายใจออกช้าๆก่อนจะดึงแขนให้รัญชน์เข้าไปในห้องพักของเขาที่อยู่ด้านในของระเบียง
รัญชน์ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินตามไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่หัวใจกำลังบงการ..
ภายในห้องพักของศัลยแพทย์หนุ่มดูสะอาดตาและเป็นระเบียบ ราวกับถอดรูปลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
รัญชน์ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูหลังจากเดินเข้าไปแล้วรู้สึกได้ว่าไม่อยากทำให้พื้นห้องที่เป็นไม้ปาร์เก้ต์สีเข้มนี่ต้องเปื้อนน้ำฝนที่ไหลหยดลงจากตัวของเขา
กวินท์หันมาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่
ค่ำวันนี้ลูกชายคนเล็กของผู้อำนวยการดูนิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าทุกครั้ง ใบหน้าที่ดูไม่ค่อยเหมือนเพศชายสักเท่าไหร่นักของรัญชน์มันระบายไปด้วยความกังวลใจที่กวินท์สัมผัสได้...
และก็รุนแรงมากพอที่ทำให้กวินท์ยื่นมือออกไปวางทาบกับศีรษะเล็กที่เปียกชุ่มนั่นอย่างอ่อนโยนดั่งผู้ใหญ่ที่ต้องการจะปลอบเด็กหลงทางให้หายหวั่นวิตก
รัญชน์ค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมามองร่างสูง เมื่อสบตากันแล้ว กวินท์ก็รู้สึกเหมือนบางอย่างมันกำลังทำให้เขาตัวชา
ถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว โครงหน้าของรัญชน์ที่กำลังสบตาเขาอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับรตาผู้เป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย ทั้งลักษณะดวงตาคู่สวยเหมือนลูกแก้ว สันจมูกเรียวสวยหรือริมฝีปากได้รูปสีชมพูอ่อนนั่นก็ด้วย
จะมีเพียงความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือแววตาที่ดูดื้อรั้นและหยิ่งทะนงตน ต่างจากผู้เป็นพี่สาวที่ดูมีจริตจะก้านอย่างหญิงสาว
แต่ที่ทำให้กวินท์รู้สึกตัวชานั้นก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาดื้อรั้นของเด็กหนุ่ม
ความเหงา...ความเดียวดาย มันถูกซ่อนไว้ลึกๆในความดื้อรั้นราวกับเป็นบาดแผลเก่าที่ไม่มีวันจางหาย...
ใช่แล้ว...
มันเหมือนกับแววตาของเด็กคนนั้น...
คนที่ได้ซุกอิงแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของกวินท์มานานกว่าสิบห้าปีคนนั้น...
เพราะแววตาคู่นั้นเอง มันทำให้กวินท์เลื่อนมือจากกลางกระหม่อมลงมาประคองแก้มของรัญชน์แทน
ทั้งสองยังคงสบตากันขณะที่รัญชน์ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างท้อแท้ที่จะคิดหาทางออกให้กับความรักของตนเอง
และความท้อแท้นั้นเองที่ทำให้รัญชน์เบี่ยงหน้าออกจากฝ่ามืออบอุ่นของศัลยแพทย์หนุ่ม พาให้กวินท์รู้สึกตัวจากภวังค์ที่เห็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักเมื่อสิบห้าปีก่อนทับซ้อนบนใบหน้าของรัญชน์ทันทีด้วยเช่นกัน
เขาสูดลมหายใจลึกๆและพยายามปัดสิ่งที่รบกวนจิตใจจนพาให้รู้สึกเก้อเขินที่จะมองหน้าเด็กหนุ่มออกไปด้วยการหันหลังให้
“จะไปเอาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้ามาให้”
รัญชน์ได้ยินเขาพึมพำแบบนั้นก่อนจะหายไปด้านในของห้องที่มีฉากกั้น รัญชน์ได้แต่ยืนนิ่งก้มหน้ามองดูหยดน้ำที่ไหลจากเรือนผมชุ่มชื้นของเขาโดยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
กวินท์เปิดประตูตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่วางตั้งเอาไว้อีกฝั่งของผนังซึ่งตรงกันข้ามกับเตียงนอนหลังเล็กที่เขาไว้ใช้พักผ่อนยามอยู่ระหว่างรอเข้าเวรซึ่งจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปยังคอนโดของเขา
สายตาคมดูเหม่อลอยเล็กน้อยยามเมื่อมองดูตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ กวินท์ยกมือขึ้นมาทุบหน้าผากตัวเอง เขาลืมไปแล้วว่าเมื่อวานเพิ่งจะขนเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ที่นี่เอากลับไปซักและก็ยังไม่ได้เอากลับมา
ยังเคราะห์ดีอยู่บ้างที่ยังเหลือผ้าขนหนูผืนใหญ่สองผืนวางพับเอาไว้
กวินท์หยิบมันมายื่นให้กับรัญชน์ พลางนึกกังวลใจที่เขาไม่มีเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเพื่อกำจัดเสื้อที่เปียกชุ่มซึ่งคนตัวเล็กสวมอยู่ในตอนนี้ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มซึ่งตั้งท่าจะไม่เป็นมิตรกับเขาสักเท่าไหร่จากอาการที่รัญชน์แสดงออกเมื่อเช้า
แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่านิสัยชอบช่วยเหลือคนอย่างมีเมตตาตามประสาคนที่ถูกปลูกฝังให้เติบโตมาเป็นหมอตั้งแต่เยาว์วัยหรือเพราะกวินท์ทนไม่ได้กับความเหงาที่ค้นพบในแววคู่นั้นของเด็กหนุ่มกันแน่ที่ทำให้อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหาและยื่นมือเข้าไปปลอบประโลม
“คุณเข้าไปอาบน้ำแล้วเป่าผมให้แห้งเถอะ ระหว่างนี้ผมจะให้แม่บ้านเอาเสื้อผ้าคุณไปซักแห้งให้”
รัญชน์ทำแค่เหลือบมองสีหน้าของกวินท์และรับเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวกลิ่นสะอาดมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาอย่างรำคาญใจหรือสักแต่ว่าจะช่วยเพราะเขาเป็นลูกของผู้อำนวยการ
“ขอบคุณ”
คราวนี้เป็นกวินท์บ้างที่ได้ยินเสียงพึมพำออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม เขากระตุกยิ้มจางๆที่มุมปากยามมองเจ้าของร่างเพรียวพาตนเองที่เปียกโชกเดินเข้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับประตูทางเข้า
“ถอดเสร็จแล้วส่งเสื้อมาให้ผมก่อนนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะแอบดูหรอก” รัญชน์ที่กำลังจะก้าวผ่านกรอบประตูห้องน้ำเข้าไปหันมาชำเลืองมองศัลยแพทย์หนุ่มอีกครั้ง
เขาพยักหน้าแทนการบอกว่ารับรู้แล้วก่อนเดินเข้าไปข้างใน กวินท์ยิ้มให้กับความว่าง่ายของเด็กหนุ่ม ไม่ถึงนาทีรัญชน์ก็เคาะประตูเบาๆและยื่นเสื้อผ้าออกมาให้กับเขา
“ชั้นในด้วย”
กวินท์ด้วยน้ำเสียงเรียบๆแม้ในใจจะนึกกระดากอายอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่ามีเพียงเสื้อกับกางเกงเท่านั้น
คนข้างในก็นึกเขินไม่แพ้กันที่ต้องยื่นเอาส่วนปกปิดสิ่งสำคัญของตัวเองออกไปให้คนที่ไม่คุ้นเคยกัน
รัญชน์หน้าร้อนตัวร้อนไปหมด และแน่ใจว่ามันไม่ใช่เพราะพิษไข้แน่ๆ เขารีบปิดประตูห้องน้ำทันทีเมื่อกวินท์รับชั้นในของเขาไป
เห็นปฏิกิริยานั้นแล้ว จากตอนแรกที่เก้อเขิน กวินท์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำออกมากับตัวเอง
ลึกๆ กวินท์อดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ว่าเขา..
กำลังต้องการจะรู้จักตัวตนของเด็กคนนี้ให้มากขึ้น
ศัลยแพทย์หนุ่มเอาเสื้อผ้าของรัญชน์ไปฝากให้แม่บ้านช่วยซักรีดให้ ในขณะที่ตัวเองนั้นเดินกลับเข้ามาในห้องและใช้เพียงแต่ผ้าขนหนูผืนที่เหลือซับน้ำออกจากเรือนผมและเสื้อผ้าของตัวเอง
เขาไม่ได้เปียกชุ่มทั้งตัวเหมือนกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นเมื่อแม่บ้านกลับมากดกริ่งอีกครั้ง กวินท์จึงดูดีกว่าตอนแรกมาก
ร่างสูงเดินก้าวยาวๆตัดผ่านระเบียงไปยังประตูทางเข้าตัวตึกอีกครั้งอย่างสงสัย
ยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำหลังจากที่เขาส่งเสื้อผ้าไปให้แม่บ้าน แม่บ้านไม่น่าจะซักแห้งได้ในเวลาสั้นๆขนาดนั้น
“คุณหมอลืมของไว้ในกระเป๋ากางเกงน่ะค่ะ ดูแล้วราคาน่าจะแพงเอาการเลยทีเดียว ฉันกลัวว่าจะทำหายเอาเสียก่อนเลยเอามาคืนให้ก่อน”
แม่บ้านยื่นมือออกไปและปล่อยให้ของที่เธอว่าร่วงลงบนมือของศัลยแพทย์หนุ่มคนเก่งประจำโรงพยาบาลก่อนที่จะเดินกลับไป
ทิ้งไว้แต่กวินท์ที่รู้สึกตัวชาเสียยิ่งกว่าตอนเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นในแววตาของลูกชายคนเล็กของยชญ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาแล้ว
บนฝ่ามือกว้างของเขามีสร้อยคอทองคำขาวเส้นงามที่ขาดออกจากกันวางอยู่ มันจะไม่ทำให้กวินท์หัวใจเต้นเลยแม้แต่น้อย หากตัวเรือนจี้ที่ประดับอยู่บนสร้อยเส้นที่ขาดนี้คือจี้ที่เขาตามหามาตลอดสิบห้าปี
จี้รูปหยดน้ำประดับพลอยสีฟ้า!
สร้อยคอของเด็กผู้หญิงคนนั้น!
คนที่ช่วงชิงความรักของเขาไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว!!
แรงลมที่พัดพาเอาละอองน้ำฝนมาถูกมันทำให้รู้สึกเย็นและหนาว แต่หัวใจของกวินท์กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกยามจ้องมองจี้บนมือของตัวเองที่อยู่ดีๆก็มาปรากฏตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด
กวินท์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนจะผลุนผลันกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองด้วยความใจร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาอาจจะจำพลาดไป
เขาอาจจะเข้าใจผิด เด็กคนนั้นอาจไม่ใช่เด็กผู้หญิงตั้งแต่แรก
กวินท์พยายามดึงเอาความทรงจำเมื่อสิบห้าปีก่อนของตนเองออกมา
รอยยิ้มสวยหวานปนเศร้านิดๆของเด็กคนนั้น..ใบหน้าน่ารักที่มีดวงตากลมโตกับริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มกับเรือนผมยาวเคลียไหล่..
ทั้งหมดนั่นมันอาจเป็นรัญชน์ก็เป็นได้
อาจเป็นเด็กผู้ชายตั้งแต่แรก เขาเพียงแต่เข้าใจผิดไปเองใช่ไหม!?
ทั้งหมดของคำถามที่รุมเร้าขึ้นมากระชากทึ้งจังหวะหัวใจของเขามันอยู่ภายในห้องนี้แล้ว
หากไม่ใช่รัญชน์..ก็อาจเป็นรตา
แต่ทำไมนะ..
ศัลยแพทย์หนุ่มถึงได้รู้สึกว่าคนที่เป็นเด็กคนนั้น จะต้องเป็นผู้เป็นน้อง ไม่ใช่พี่
รัญชน์อาบน้ำเสร็จแล้ว กวินท์ได้ยินเสียงเครื่องเป่าผมกำลังทำงานอยู่ในห้องน้ำ ศัลยแพทย์หนุ่มลังเลเล็กน้อยแต่ก้าวไปยังห้องน้ำนั้นเพราะไม่ต้องการที่จะรอคอยอีกต่อไป
เขาเคาะประตูสองสามครั้งและเปิดเข้าไป รัญชน์ที่กำลังเป่าผมอยู่ตรงหน้ากระจกสะดุ้ง
ร่างบางวางไดร์เป่าผมลงกับข้างอ่างและหันมามองกวินท์อย่างสงสัย แต่กวินท์ไม่สนใจกับสายตานั้น เขาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูห้องน้ำและยกสร้อยในมือขึ้นให้รัญชน์ดู
“สร้อยเส้นนี้ของคุณใช่ไหม?”
รัญชน์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสร้อยของตนอยู่ในมือของอีกฝ่าย
เขาเกือบจะพยักหน้ารับออกไปแล้ว
แต่บางอย่างในแววตาที่ต้องการคำตอบของกวินท์มันทำให้รัญชน์ต้องนิ่ง
สมองบอกให้เอ่ยคำปฏิเสธออกไป
ทว่าหัวใจกลับไม่ยอมทำตาม กวินท์จึงไม่ได้คำตอบใดๆทั้งสิ้นจากร่างเพรียวตรงหน้า
ในความเงียบที่แสนทรมาน กวินท์ได้ยินเพียงแต่หัวใจร่ำร้องถามซ้ำๆระหว่างรอคำตอบว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี...หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเด็กคนนั้นจริง
“คุณอยากรู้ไปทำไม?”
น้ำเสียงของรัญชน์ช่างราบเรียบและแผ่วเบา
กวินท์นิ่งและกำสายสร้อยไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะถูกกระชากออกไปจากมือเขาและไม่สามารถไขว่คว้ากลับมาได้
สิ่งที่เขารอคอยมาตลอดสิบห้าปีนี้
“เพราะสร้อยอันนี้...เป็นของเด็กที่ผมตามหาอยู่”
หัวใจของรัญชน์กระตุกกับคำตอบของกวินท์ ริมฝีปากบางเม้มช้าๆ นัยน์ตาจับจ้องอยู่กับจี้ที่คล้องอยู่บนสายสร้อยทองคำขาวโดยไม่ยอมมองหน้าคนถือ
จะทำอย่างไรดี..หากยอมรับว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเขา รัญชน์ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องทำให้พี่สาวเสียใจอย่างแน่นอน
แต่ถ้าปฏิเสธไป..ความรักของพี่สาวก็อาจจะมีหวังขึ้นมาและกลายเป็นรัญชน์เองนั่นแหละที่ต้องรับเอาความเสียใจนั้นเอาไว้
ทว่า..ท่ามกลางความสับสน
รัญชน์ดีใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่ากวินท์ยังจำเขาได้ ยังตามหาเขา..
การที่กวินท์มาเป็นศัลยแพทย์ที่นี่นั้นหมายความว่าเขากลับมารอรัญชน์ตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไรกัน”
รัญชน์ทำใจแข็งพูดออกไปและตีสีหน้าวางเฉย เขาพยายามสบตาเพื่อไม่ให้กวินท์จับพิรุธได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจึงเสเบี่ยงหลบสายตาลงกับพื้น
บรรยากาศภายในห้องน้ำมันช่างอึดอัด รัญชน์เลยตัดสินใจเดินสวนกวินท์จะออกจากห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวเดินผ่านไป มือของศัลยแพทย์หนุ่มก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้
ชั่ววินาทีที่รัญชน์หยุดเดินและหันมามองหน้า กวินท์ก็โน้มตัวลงมาประทับแนบริมฝีปากเพื่อจ้วงจูบ
เพราะเค้นเอาคำตอบจากปากเล็กนี้ไม่ได้ กวินท์จึงตัดสินใจที่จะหาคำตอบด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าเขาจะได้คำตอบจากการกระทำนี้อย่างแน่นอน
ริมฝีปากเล็กของรัญชน์มันอ่อนนุ่มจนกวินท์ไม่รู้สึกเลยว่าตนเองกำลังจูบอยู่กับผู้ชายด้วยกัน
ร่างเล็กขาวบางที่ผิวกายยังคงชื้นจากการอาบน้ำถูกรวบเข้าไปในอ้อมแขน
กวินท์ปล่อยมือจากสายสร้อยที่กำเอาไว้เมื่อแน่ใจว่าตนเองกำลังไขว่คว้าสิ่งที่สำคัญกว่าสร้อยอันนั้นหลายล้านเท่าได้แล้ว
เพียงแค่ริมฝีปากประทับแนบเข้าหากัน กวินท์ก็มั่นใจว่าคนที่ตัวเองกอดอยู่นี่คือเด็กคนนั้นอย่างแน่นอน
หัวใจของกวินท์อบอุ่นด้วยความยินดีที่มันทะลักล้นออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ
ไม่ต้องมีคำตอบใดๆออกมาเป็นคำพูดทั้งนั้น
กวินท์รู้ได้เองด้วยสัมผัสที่กำลังซึมซับนี้ว่ารัญชน์คือเด็กคนนั้น!
“คุณคือเด็กคนนั้น..”
กวินท์ได้ยินเสียงตัวเองพูดซ้ำๆแผ่วเบาราวกับกระซิบทั้งที่ริมฝีปากของเขายังคงคลอเคลียอยู่กับเรียวปากนุ่ม ร่างบางในอ้อมแขนพยายามเบือนหน้าหนี
แต่กวินท์ยังไม่ลดละที่จะตามติดไปจนท้ายที่สุดแล้วรัญชน์ก็หยุดนิ่งและมองสบตาเขา
กวินท์เห็นความไม่แน่ใจสะท้อนมองกลับมา
ศัลยแพทย์หนุ่มตระหนักได้ในนาทีนั้นว่าเขากำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่มันผุดขึ้นมายามมองดวงหน้าของอีกฝ่าย
สิบห้าปีนี้เขาอยู่ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับรักที่เขารอคอยอีกครั้ง
ความหวังที่ไม่เคยเหลือพื้นที่ของความเผื่อใจเอาไว้ว่าจะได้พบกับความผิดหวัง
“คุณลืมผมแล้ว?”
เสียงที่แผ่วเบาของเขามันแหบแห้งจนกวินท์ไม่แน่ใจว่าลำคอของเขามันเปล่งคำถามนั้นออกมาหรือเขาแค่ร้องถามอยู่ข้างในใจเท่านั้น
แต่ทันทีที่คำถามมันหลุดออกไป ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหนแต่กวินท์ก็เชื่อว่าร่างบางต้องได้ยินมันอย่างแน่นอน ดวงตาของรัญชน์มันสั่นไหวราวกับต้องการปกปิดอะไรบางอย่างที่กวินท์ไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร...สร้อยเส้นนั้น..”
รัญชน์สูดลมหายใจลึกๆ เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร กำลังจะพูดอะไรและกำลังจะเจ็บมากแค่ไหนกับคำพูดของตัวเอง
“..เป็นของพี่สาวผม”
กวินท์รู้สึกเหมือนมีหมัดที่มองไม่เห็นมันเหวี่ยงกระแทกเข้ากับกกหูของเขาเต็มแรงกับคำพูดนั้น
“อย่าโกหก...”
กวินท์บอกเสียงดุ ในใจของเขากำลังดื้อดึงอย่างเด็กเอาแต่ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาปฏิเสธคำพูดของรัญชน์เพราะเชื่อว่าความรู้สึกของตัวเองถูกต้อง แม้จะสับสนที่เห็นอีกฝ่ายเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เคยจำได้
แต่แววตาที่เห็นกับสัมผัสที่ได้พิสูจน์ทำให้กวินท์มั่นใจอย่างที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีวันเข้าใจผิดอย่างแน่นอน
“คุณคือเด็กคนนั้น..”
รัญชน์แทบจะร้องไห้ เขาทั้งรู้สึกยินดีและทุกข์ใจไปพร้อมๆกัน
ขอบตามันร้อนผ่าวเหลือเกินยามที่ต้องพยายามข่มใจให้เข้มแข็งพอที่จะมองตากวินท์กลับไปและแสดงทีท่าไม่เข้าใจคำพูดของกวินท์ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าศัลยแพทย์หนุ่มกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่
ถึงจะยินดีที่กวินท์จำเรื่องทั้งหมดได้ แต่เมื่อนึกถึงพี่สาวแล้ว รัญชน์ก็อยากให้กวินท์เชื่อในคำพูดที่เขาโกหกออกไป
เพื่อรตา...และเพื่อตัวกวินท์เอง..
“ไม่ใช่..” รัญชน์ปฏิเสธเสียงแผ่ว
“มองตาผมสิ...แล้วบอกอีกครั้งว่าสร้อยเส้นนั้นไม่ใช่ของคุณ คุณไม่ใช่เด็กคนนั้น..”
ในใจอยากย้ำคำพูดโกหกของตัวเองอีกครั้ง
แต่ยิ่งถูกสายตาผิดหวังของกวินท์มองมานานเท่าไหร่ รัญชน์ก็ไม่สามารถเอ่ยคำโกหกซ้ำออกไปได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่ไม่ยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อยของกวินท์
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจที่ทั้งสองต่างเงียบงัน
กวินท์ยังคงมองหน้าร่างบางอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดเขาก็คลายอ้อมกอดลงอย่างผิดหวัง เขาถอยห่างจากรัญชน์สองสามก้าวและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความผิดหวังและท้อแท้
“คุณคงลืมไปหมดแล้ว..นั่นสินะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อน มันก็คงเป็นแค่ความทรงจำที่ไร้ค่าสำหรับคุณ”
น้ำเสียงน้อยใจมันบาดลงลึกกับหัวใจของรัญชน์
ลืมอย่างนั้นหรือ...รัญชน์ไม่เคยลืมเลยสักนิด
ความอบอุ่น ความหอมหวาน ความละมุนละไมที่ช่วยปลอบประโลมเด็กที่กำลังอ้างว้างอย่างเขาในวันนั้น เขาไม่มีวันลืมเลยสักนิด
รัญชน์กัดริมฝีปากขบอาการสั่นเทาที่อยากจะสะอื้นออกมาเมื่อเห็นแววตาว่างเปล่าของกวินท์ในวินาทีที่อีกฝ่ายหันหลังเพื่อเดินหนีออกมา
รัญชน์ยกสองมือขึ้นลูบต้นแขนของตัวเอง
เขาก้มหน้าและสูดลมหายใจลึกๆอยู่สองสามหน ทบทวนความต้องการของจิตใจที่กำลังสับสนอยู่นี้ก่อนเงยหน้ามองดูแผ่นหลังห่องุ้มด้วยความผิดหวังของกวินท์
รัก...
คำนี้มันฝังรากลึกและซ่อนเร้นมานานกว่าสิบห้าปี มันเติบโตโดยมีเพียงคำว่ากาลเวลาเป็นตัวบำรุงมัน
รัก..โดยที่ไม่ต้องใกล้ชิด ไม่ต้องเรียนรู้จักกันและกัน
แต่ก็รักจนหมดใจ
รัญชน์วางทิ้งความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อพี่สาว ทั้งความรักและความรู้สึกผิดก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินไปหาผู้ชายที่ทั้งเขาและพี่สาวต่างก็รัก
ฝ่ามือเรียวแตะเข้าที่ไหล่กว้างอันห่องุ้ม กวินท์หันกลับมาช้าๆเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย
รัญชน์ค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมาสบและวินาทีจากนั้นเอง..ที่รัญชน์แทบไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาทำอะไรลงไปหลังจากนั้น
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันแจ่มชัดในใจที่เขาได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
เพียงแค่คืนนี้เท่านั้น...
รัญชน์อยากเป็นหนึ่งเดียวกับคนที่มอบใจให้ไปตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน
เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
ก่อนที่จะตัดใจจากความรักนี้...
เพื่อความหวังของพ่อ และเพื่อความรัก...ของพี่สาว...
-TBC-
อยู่กับแม่ก็ไม่ได้ อยู่กับพ่อพ่อก็ดันมาเกลียด มันจะอะไรนักหนาครอบครัวนี้สงสารรัญ (ชื่อ่านว่ายังไงคะ ช่วยเขียนเป็นคำอ่านให้หน่อย พอดีอยากรู้ค่ะ)
ชื่อน้องรัญชน์ของพี่หมออ่านว่า "รัน" ค่ะ
)