[Shade of Season] When It Rains เพียงเพราะรัก - Ch.14 จบแล้วค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Shade of Season] When It Rains เพียงเพราะรัก - Ch.14 จบแล้วค่ะ  (อ่าน 188843 ครั้ง)

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

---------------------------------------------------------


[Shade of Season] When It Rains เพียงเพราะรัก (กวินท์ & รัญชน์)

:: สารบัญ ::
 อารัมภบท Update : 13/1212
 บทที่ 1 Update : 15/12/12
 บทที่ 2 Update : 4/3/13
 บทที่ 3 Update : 7/3/13
 บทที่ 4 Update : 8/3/13
 บทที่ 5 Update : 9/3/13
 บทที่ 6 Update : 10/3/13
 บทที่ 7 Update : 10/3/13
 บทที่ 8 Update : 11/3/13
 บทที่ 9 Update : 12/3/13
 บทที่ 10 Update : 13/3/13
 บทที่ 11 Update : 16/3/13
 บทที่ 12 Update : 17/3/13
 บทที่ 13 Update : 18/3/13
 บทที่ 14 (จบ) Update : 22/3/13



:: ผลงานเรื่องอื่นๆ ::
 Make Love วุ่นรัก ป่วนใจ (เร็น x ซัทสึกิ)
 Passionate Game เกมรัก..ร่านร้าย (เซย์จิxไคริ) (Warning SM)
To Be Continue

ติดต่อพูดคุยกันได้ที่
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2013 16:19:35 โดย zynestras »

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
แนะนำตัวละคร

กวินท์ ::
ศัลยแพทย์หนุ่มวัย 28 เป็นคนฉลาด มากความสามารถ  มีรักแรกและรักเดียวคือเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิง ที่ได้พบเมื่อสิบห้าปีก่อน มาเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลซึ่งพ่อเป็นรองผู้อำนวยการอยู่เพราะสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กคนนั้น

รัญชน์ :: ชายหนุ่มวัย 24 เป็นคนที่ภายนอกดูดื้อรั้น แต่ภายในเป็นคนอ้างว้างและโดดเดี่ยวที่กลัวคนรอบข้างเกลียดตนเอง ผลพวงเพราะการที่บิดาและมารดาแยกทางกันในตอนเด็กและตนเองเข้ากับครอบครัวใหม่ของมารดาไม่ได้ มีรักแรกและรักเดียวคือกวินท์ เด็กผู้ชายที่จูบกับเขาท่ามกลางฝนตกเมื่อสิบห้าปีก่อน

อารัมภบท


                เมฆฝนเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาครอบคลุมพื้นที่ของกรุงเทพตั้งแต่รุ่งเช้า บรรยากาศมันช่างชวนหดหู่ไม่น้อยสำหรับการเริ่มต้นวันที่ต้องแยกจากผู้เป็นพ่อและพี่สาวอย่างเด็กน้อยวัยเก้าขวบอย่างรัญชน์


                “ทำไมเราต้องไปอเมริกากันด้วยล่ะฮะ?”


เด็กน้อยถามผู้เป็นแม่ที่เดินจูงเขาเข้ามาในโรงพยาบาลของพ่อก่อนที่พวกเขาจะไปสนามบินเพื่อเดินทางไปสู่อีกซีกโลกหนึ่งซึ่งเด็กน้อยรับรู้ว่ามันจะเป็นสถานที่ที่จะกลายเป็นบ้านของเขาแทนที่กรุงเทพแห่งนี้


ผู้เป็นแม่ไม่ตอบคำถามที่รัญชน์ถามออกไป...เธอจูงเขาเดินมายังริมระเบียงและพาเขามานั่งที่ม้านั่งตัวยาวที่จัดวางเอาไว้


“ลูกรอแม่อยู่ที่นี่นะรัญชน์ แล้วก็ถ้าฝนตก..ลูกก็เข้ามาหลบฝนข้างในแต่อย่าไปไหนไกลนะ เข้าใจไหม?”


ศีรษะเล็กพยักหงึกหงักรับคำอย่างเด็กว่าง่าย ดวงตาคู่ใสไร้เดียงสาติดจะดื้อรั้นเล็กๆตามประสาเด็กที่ถูกเอาใจเสมอๆของเด็กน้อยมองไปยังสีหน้าอมทุกข์ของมารดาและตัดสินใจไม่ถามอะไรออกไปอีก


ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะของเขาแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในของตึก...


รัญชน์รู้...รู้ว่าแม่คงจะไปหาพ่อที่อยู่บนชั้นบนสุดของโรงพยาบาลเพื่อบอกลา...แต่รัญชน์ไม่เข้าใจสักนิด..ว่าทำไมแม่กับเขาถึงต้องย้ายไปอยู่อเมริกา..


ทำไมแม่ไม่พารัญชน์ขึ้นไปหาพ่อด้วย...รัญชน์ไม่ได้เจอหน้าพ่อมานับเดือนแล้ว พ่อไม่ยอมกลับบ้านเอาแต่ค้างอยู่ที่โรงพยาบาลนี่...รตาผู้เป็นพี่สาวของเขาด้วยเช่นกัน พ่อส่งพี่สาวที่กำลังปิดเทอมไปอยู่กับคุณย่าที่ลอนดอน รัญชน์ไม่เจอทั้งพ่อกับพี่สาวอีกเลย..นับตั้งแต่วันที่รัญชน์ได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันตอนกลางดึก มันเป็นการทะเลาะกันที่สร้างความตื่นตระหนกให้เขากับพี่สาวไม่น้อย เพราะครอบครัวของเขาไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงเช่นนี้มาก่อน


สุดท้ายแล้ว...แม่ก็ร้องไห้ เอาแต่ร้องไห้สะอื้นจนรัญชน์กับรตาต้องเดินเข้าไปกอดปลอบ แต่พ่อก็มาดึงพี่สาวของรัญชน์ไป พ่อจูงพี่รตาขึ้นรถไปโดยไม่สนใจรัญชน์และขับรถออกจากบ้านกลางดึกวันนั้น ตั้งแต่นั้นรัญชน์ก็ไม่เคยเจอพ่อกับพี่สาวอีกเลย..


ที่บ้านเหลือรัญชน์อยู่กับแม่ตามลำพังกับพวกคนรับใช้...แม่ที่มีสีหน้าอมทุกข์และดูเหมือนจะยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับคนที่แม่บอกให้รัญชน์เรียกว่าคุณลุงทนายตลอดเวลา..


เด็กน้อยเหงา....


เด็กน้อยว้าเหว่...


เด็กน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น…


รัญชน์รู้แต่ว่ารัญชน์ไม่อยากไปอเมริกา...รัญชน์อยากจะอยู่กับพ่อ รัญชน์อยากจะอยู่กับพี่รตา รัญชน์อยากจะให้ครอบครัวกลับมาเป็นแบบเดิม อยากให้แม่หันมายิ้มสวยๆให้รัญชน์เหมือนเมื่อก่อน..


แต่อะไรบางอย่าง...ก็บอกให้เด็กวัยเก้าขวบอย่างรัญชน์รู้สึกได้ว่า ทุกสิ่งที่เปลี่ยนไปนั้น..จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
ครอบครัวแสนสุขของรัญชน์..มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว...


เด็กน้อยแสนเหงาและว้าเหว่...กับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไป..


เด็กน้อยนั่งอยู่กับความเหงาของตัวเอง สายตาทอดมองออกไปนอกระเบียง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่ช่วงเช้าก็เริ่มที่จะมีฝนโปรยปรายลงมา ก่อนจะเทกระหน่ำลงมาเป็นฝนเม็ดใหญ่ แต่เด็กน้อยก็ไม่ได้ขยับหนี..รัญชน์นั่งอยู่ตรงนั้น ตรงที่เดิมที่แม่จูงมานั่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบจากดวงตาและกลืนหายไปกับสายฝนที่สาดเข้ามาปะทะกับใบหน้า


อีกด้านหนึ่ง..เด็กชายร่างผอมสูงขยับลุกจากเตียงเล็กที่ตัวเองกำลังเอนนอนอยู่ในห้องพักของผู้เป็นพ่อเมื่อสายฝนที่ตกลงมามันสาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เขาเปิดทิ้งเอาไว้ กวินท์กระโจนเพียงสองก้าวก็มาถึงหน้าต่าง เด็กชายมุ่ยหน้ากับตัวเองเมื่อเห็นสายฝนมันสาดเข้ามาเปียกพื้นภายในห้องและเครื่องเรือนบางส่วน แต่ก็ต้องปัดมันทิ้งไปจากใจและหันไปปิดหน้าต่างอีกด้าน


แล้วกวินท์ก็ต้องนั่งค้างมือที่จับบานหน้าต่างนั้นไว้ เมื่อสายตาของเขาพบกับร่างเล็กๆของเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งด้านนอก เด็กคนนั้นนั่งอยู่ท่ามกลางสายฝน ไม่ยอมขยับลุกไปไหน กวินท์ดึงหน้าต่างปิดเข้ามาแล้วก้าวยาวๆไปทางประตู เขาเดินออกไปข้างนอก ไปหาเด็กคนนั้น


“นี่เธอ..ฝนตกอยู่นะ ทำไมมานั่งตากฝนแบบนี้ล่ะ?”


เด็กตัวเล็กที่นั่งตากฝน เงยหน้าขึ้นมามองเขา แววตาดูดื้อรั้นแต่เต็มไปด้วยความเหงาที่กวินท์สัมผัสได้ เด็กคนนั้นไม่ยอมพูดกับเขา กวินท์เลยดึงมือของเด็กคนนั้นแล้วจูงให้ลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง เดินกลับมายังห้องพัก


“ตัวเปียกไปหมดแล้ว รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะเอาผ้าขนหนูมาให้เช็ดผม”


เด็กชายว่าแล้วเดินหายไปยังด้านหลังของฉากบังตา รัญชน์มองตามไปแล้วก้มหน้าลง มือเล็กยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ เด็กน้อยพยายามเช็ดน้ำตาให้หมดไปจากใบหน้าของตนเอง หยดน้ำจากฝนที่พาให้ร่างเล็กๆเปียกปอนและสั่นหนาวมันหยดไหลไปนองอยู่บนพื้นห้อง แต่กวินท์ก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกมา เด็กชายกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่


“ขยี้ตาแบบนั้นเดี๋ยวตาก็ช้ำหมดหรอก เงยหน้าสิ”


รัญชน์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เด็กชายแปลกหน้าที่ดูเหมือนพี่ชายใจดีส่งยิ้มมาให้แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ค่อยๆซับน้ำออกจากหน้าของรัญชน์


“หนาวหรอ?”


กวินท์ถามขึ้นขณะที่สองมือก็ใช้ผ้าซับน้ำออกจากเรือนผมที่ยาวละต้นคอของอีกฝ่าย บางสิ่งที่กวินท์รับรู้ได้เมื่อเห็นแววตาของเด็กคนนี้ ทำให้กวินท์รู้สึกอยากดูแล อยากจะเป็นเพื่อนด้วย อีกฝ่ายตัวเล็ก..และสูงเพียงแค่ปลายจมูกของกวินท์เท่านั้น ดวงตากลมโต ผิวขาวจัด ใบหน้าสะสวยชนิดที่กวินท์บอกได้เลยว่าเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนของเขาไม่มีใครสวยและน่ารักได้เท่านี้


“อือ”


รัญชน์ยกสองมือขึ้นมากอดตัวเอง แล้วลูบต้นแขนไปมา กวินท์โผกลับไปหยิบผ้าขนหนูมาอีกผืนและเอามาห่มให้ ก่อนจะย่อตัวลงไปเช็ดสองขาของรัญชน์ที่เปียกปอนไปหมด


“ฉันไม่มีชุดให้เธอเปลี่ยนด้วยสิ มานั่งตรงนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเอาผ้าขนหนูมาให้อีก”


กวินท์จับเพื่อนใหม่ไปนั่งที่เก้าอี้ปลายเตียงและเดินกลับไปหยิบผ้าขนหนูมาให้ กวินท์เอาผ้าขนหนูห่มไปให้เพื่อนใหม่อีกสองผืน รัญชน์ขดขาขึ้นมามากอดเข่าเอาไว้แล้วหันมองออกไปทางนอกหน้าต่าง เหม่อมองดูม้านั่งตัวเดิมที่ตัวเองนั่งเมื่อสักครู่ แม้ว่าบัดนี้ฝนจะสาดเข้ามาจนแทบจะมองฝ่าออกไปไม่เห็นอะไรก็ตามที


“ทำไมเธอถึงมานั่งตรงนั้นคนเดียวอย่างนั้นล่ะ?”


“....รอแม่น่ะ....”


เพื่อนใหม่ของกวินท์ตอบสั้นๆโดยที่ไม่หันมามองหน้าเขาแล้วก็เงียบไป แต่เพราะอะไรไม่รู้ แค่ได้มองหน้าเด็กคนนี้ กวินท์ก็รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองมันดังตึกตักขึ้นมาชอบกล


เด็กชายยิ้มกับตัวเองน้อยๆ เด็กชายขยับเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อีกฝ่ายนั่งแล้วก็มองใบหน้าน่ารักอยู่อย่างนั้นจนรัญชน์หันกลับมา


แววตาเล็กที่ทั้งดื้อรั้นและแสนเหงาดึงดูดกวินท์ไว้จนเด็กชายไม่อาจละสายตาได้ ยิ่งได้มองใกล้ๆ กวินท์ก็รู้สึกติดใจเสียยิ่งกว่าหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ที่ตัวเองแสนจะชื่นชอบเสียอีก


กวินท์นั่งมองคนตัวเล็กไปอยู่อีกพักใหญ่จนกระทั่งฝนตกไม่แรงเท่าตอนแรกแล้ว เพื่อนใหม่ตัวเล็กที่ไม่ค่อยพูดของเขายังนั่งอยู่ท่าเดิม กวินท์ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆแล้วมองออกไปทางเดียวกับที่รัญชน์มองอยู่


“ชอบฝนหรอ?” เด็กชายพยายามชวนคุย เพื่อนใหม่ตัวน้อยของเขาส่ายหน้าจนเรือนผมยาวเคลียไหล่สะบัดไปมา กวินท์สังเกตเห็นสร้อยสีเงินคล้องกับจี้รูปหยดน้ำดีไซน์แปลกตาประดับพลอยสีฟ้าที่อีกฝ่ายสวมอยู่ที่คอในช่วงเวลานั้น


“ไม่ชอบหรอก?”


“ทำไมล่ะ?”


“มันเหงาจะตาย...”


น้ำเสียงเหงาหงอยของเพื่อนใหม่ทำให้กวินท์ต้องเอียงศีรษะเล็กน้อย เด็กชายหันมองไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ตอนนี้เริ่มใสมากขึ้นเมื่อพระอาทิตย์คลายแสงออกมา ถึงจะยังคงมีฝนตกลงมา แต่กวินท์กลับคิดว่ามันดูสวยและไม่ได้เหงาอย่างที่อีกฝ่ายว่า


“โรแมนติกดีออก?” รัญชน์ตัวน้อยเอียงคออย่างไม่เข้าใจคำที่อีกฝ่ายพูดสักเท่าไหร่


“เคยมีคนบอกว่า... ถ้าได้จูบกับใครสักคนท่ามกลางสายฝนแบบนี้มันโรแมนติกที่สุดเลยนะ” กวินท์พูดไปแล้วก็เกิดอาการหัวใจเต้นตึกตักขึ้นมา แถมใบหน้ายังมาร้อนผ่าวๆให้รู้สึกแปลกประหลาดเสียอีก


“ถ้าอย่างนั้น...ลองมาจูบกันดูไหมล่ะ?”


กวินท์ตกใจเล็กน้อยที่เพื่อนใหม่ตัวเล็กบอกมาอย่างนั้น จากที่หัวใจมันแค่เต้นตึกตักเมื่อสักครู่..คราวนี้กวินท์สัมผัสได้ว่าหัวใจของตัวเองมันเต้นกระหน่ำแรงมากแค่ไหน เด็กชายมองดูเพื่อนตัวเล็กเงยหน้าแล้วหลับตาลง นาทีที่จ้องใบหน้าขาวน่ารักนั้น กวินท์ก็ต้องยิ้มออกมาตามประสาเด็กที่กำลังดีใจแล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้


กวินท์ในวัยสิบสามขวบนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของการจูบสักเท่าไหร่และนี่มันก็เป็นจูบแรกของเขา..


จูบแรกกับเพื่อนใหม่ที่เขาคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่น่ารัก..


ขณะที่กวินท์ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของการจูบสักเท่าไหร่นัก รัญชน์วัยเก้าขวบเองก็เช่นเดียวกัน


เด็กสองคนที่ยังคงไร้เดียงสาและไม่เข้าใจความหมายสิ่งที่ทำกันอยู่สักเท่าไหร่ แต่เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่มันสัมผัสซึ่งกันและกัน ความรู้สึกบางอย่างมันก็พัดฟุ้งพาเด็กทั้งสองให้เข้าไปอยู่ในโลกที่มีเพียงกันและกัน


ความเหงา..ความทุกข์ที่ห้อมล้อมรัญชน์อยู่มันค่อยๆเลือนหายไป เด็กน้อยเผยอปากเล็กๆและเบียดริมฝีปากกลับไปหาคนจูบอย่างไม่รู้ประสา มือที่กอดเข่าอยู่เมื่อสักครู่มันคลายลง รัญชน์จิกหน้าขาของตัวเองเมื่อรู้สึกหัวใจมันเต้นตูมตามอย่างบอกไม่ถูก
เช่นเดียวกับกวินท์ที่รู้สึกแบบเดียวกันไม่มีผิด


“จูบอีกได้ไหม?” กวินท์ถามขึ้นอย่างเขินๆ หลังจากที่พวกเขาผละจูบจากกัน ก่อนจะกลับมาอมยิ้มอีกครั้งเมื่อรัญชน์พยักหน้าให้
รสชาติความหอมหวานของจูบแรกท่ามกลางสายฝนมันกำลังตราตรึงเด็กสองคนให้เกิดความรู้สึกที่ยากแก่การจะลืมเลือน โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยสักนิดว่ามันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของตัวเองและอีกฝ่ายในอนาคต..


“เรา...เป็นเพื่อนกันได้ไหม?” กวินท์รวบรวมความกล้าแล้วถามออกไป แต่คนถูกถามกลับมีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด


“ก็ได้...แต่ว่า...” เพื่อนใหม่ของกวินท์หันมองกลับไปยังจุดเดิมด้านนอกอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาพูดเสียงเบา


“ฉันกับแม่ต้องไปอเมริกาแล้ววันนี้..” เป็นครั้งแรกที่เด็กชายกวินท์ได้รู้จักกับความรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายนิ่งเงียบไปอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยอีกครั้ง


“แล้วเธอจะกลับมาเมื่อไหร่หรอ?” รัญชน์ส่ายหน้าช้าๆ เด็กน้อยไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่กัน จึงให้คำตอบแก่เพื่อนใหม่ของตนไม่ได้


“ฉันไม่รู้เหมือนกัน..แม่บอกว่าถ้าฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อาจจะได้กลับมา” กวินท์ฟังแล้วก็เม้มริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล แต่สุดท้ายตัดสินใจพูดมันออกไป


“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าเธอกลับมาเมื่อไหร่ เรามาเป็นแฟนกันนะ..ฉันจะกลับมาเป็นหมอที่นี่ เธอกลับมาอีกครั้ง...เราจะได้เจอกันยังไงล่ะ”


รัญชน์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ รอยยิ้มของเพื่อนใหม่ทำให้กวินท์ต้องยิ้มตาม เขายกนิ้วก้อยขึ้นมาชูให้ รัญชน์ยื่นนิ้วก้อยเล็กๆของตัวเองไปเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของกวินท์


“อื้อ..”


รัญชน์ยิ้มเต็มแก้มก่อนจะหันขวับไปทางด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูออกมาทางนอกระเบียง


คนที่ออกมาตรงระเบียงก็คือแม่ของเขาที่หันมองไปรอบๆเพื่อหาลูกชายของเธอ รัญชน์ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพาให้กวินท์ตกใจ


“แม่ฉันมาแล้ว ฉันต้องไปแล้วล่ะ” รัญชน์บอกพลางดึงเอาผ้าขนหนูที่กวินท์เอามาห่มไว้ออก กวินท์เสียดายไม่น้อยที่เพื่อนตัวน้อยต้องไปเสียแล้ว เขาจับมือของรัญชน์ที่กำลังจะเดินออกไว้


“ฉันชื่อกวินท์นะ..กวินท์...เธอจำชื่อของฉันไว้นะ”


“อืม..จะไม่มีวันลืมเลย” รัญชน์บอกแล้วเขย่งขาไปจูบเบาๆที่ปากของกวินท์ก่อนจะวิ่งออกไปหาแม่ข้างนอก


กวินท์ได้แต่ยืนมองดูรัญชน์ถูกแม่จูงเดินจากเขาไปท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกพรำ..


เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ใส่เอี๊ยมขาสั้นและมีสร้อยคอห้อยจี้รูปหยดน้ำประดับพลอยสีฟ้าดีไซน์แปลกตานั้น...กลายมาเป็นรักแรกของเขาไปเสียแล้ว
 


“รัญชน์ลูกเข้าไปทำอะไรในห้องนั้นหรอ?” รศนาถามลูกชายของเธอขณะเดินจูงรัญชน์เข้าไปในลิฟต์


“กวินท์ให้ผมไปหลบฝนในห้องนั้นน่ะฮะ” รัญชน์บอกแล้วอมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงเพื่อนใหม่ของเขาที่สอนให้รู้จักกับการจูบเป็นครั้งแรก ขณะที่รศนากลอกตาไปมาก่อนจะเอียงคอกลับมาถามลูกชาย


“กวินท์? ลูกชายของคุณอากสิณใช่ไหม?” เด็กน้อยเอียงคอไปมาก่อนก่อนจะเงยหน้าสบตาคนเป็นแม่


“ไม่รู้สิฮะ...อาจจะใช่ก็ได้มั้ง แต่เราเป็นเพื่อนกันแล้วด้วยนะฮะ”


“หรอ...ดีแล้วล่ะ” รศนาลูบศีรษะของลูกชายแผ่วเบา พลางถอนหายใจช้าๆ..เธอรู้ดีว่ารัญชน์จะไม่ได้เป็นเพื่อนกับกวินท์อย่างที่ลูกชายพูด เพราะความร้าวฉานในครอบครัวที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเธอ ทำให้รัญชน์ต้องย้ายไปอยู่อเมริกากับเธอ..


ชีวิตของรัญชน์ที่ไทยนี่...มันจบลงแล้ว...


 -TBC-

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอ๊ะ
เข้ามาเจิมเรื่องใหม่ค่ะ
น่าสนใจดีจัง
รอตามต่อนะคะ

+1 บวกเป็ดค่า

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
บทที่ 1

ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายไปทั่วเมืองนิวยอร์ก..ชายหนุ่มร่างเล็กสัญชาติเอเชียคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าสายฝนมาอย่างรีบร้อน รัญชน์ในวัยยี่สิบสี่เอื้อมมือไปดึงฮู้ดสีเทาที่สวมทับอยู่บนศีรษะให้ขยับมาข้างหน้าอีกเล็กน้อยพลางประคองกล่องเลม่อนสปันจ์เค้กที่ตัวเองเพิ่งจะซื้อมาจากร้านเมื่อสักครู่ไว้ ก่อนก้าวเดินไวๆไปยังรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถ

แต่กว่าจะก้าวขึ้นรถได้ ทั่วทั้งร่างของรัญชน์ก็เปียกชุ่มไปทุกตารางนิ้ว

ชายหนุ่มวางกล่องเค้กไว้ที่เบาะข้างๆอย่างทะนุถนอม รัญชน์ปรับอุณหภูมิในรถให้อุ่นขึ้นก่อนที่จะเสยฮู้ดที่คลุมศีรษะอยู่ให้หล่นไปด้านหลัง เขาหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่ติดรถไว้มาซับน้ำออกจากหน้าและศีรษะขณะที่สายตาเหม่อมองดูสายฝนที่ตกกระทบกับกระจกรถตรงหน้า

ความคิดถูกดึงไปยังความทรงจำในวัยเด็ก รัญชน์สะบัดศีรษะเล็กน้อยเมื่อภาพของเด็กผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อกวินท์นั้นแวบเข้ามาในหัว เขายิ้มเล็กน้อยที่มุมปากก่อนจะขยับไปจับพวงมาลัยและแล่นรถออกมาจากลานจอดรถแห่งนั้น

รัญชน์ขับรถออกจากบรูคลินมุ่งหน้าไปยังฟิลาเดลเฟียด้วยความรู้สึกแปลกๆกับตนเอง มันเป็นความรู้สึกว้าเหว่และจนถึงขั้นสมเพชตัวเอง

กว่าสองชั่วโมงต่อมา รัญชน์ก็มาถึงที่หมาย ชายหนุ่มจอดรถเอาไว้ที่และนั่งครุ่นคิดอย่างลังเลใจอยู่นานจนกระทั่งความมืดมันโปรยลงมาครอบคลุมท้องฟ้า รัญชน์ถอนหายใจช้าๆ เรียกความมั่นใจของตัวเองออกมาก่อนหันไปประคองกล่องเค้กที่เขาตั้งใจซื้อมาไว้แล้วเปิดรถเดินลงไป

ยิ่งเข้าไปใกล้ที่หมาย รัญชน์ก็ได้ยินเสียงเพลงที่เปิดคลอไว้ของบ้านหลังนั้น แสงไฟสีนวลส่องผ่านออกมาจากหน้าต่างของบ้าน รัญชน์หยุดยืนมองเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น

ครอบครัวนั้นกำลังจัดปาร์ตี้เล็กๆอยู่ รัญชน์ยืนมองดูผู้ชายสูงวัยชาวไทยยกเอาเค้กก้อนใหญ่ที่จุดเทียนสว่างมาวางเอาไว้เบื้องหน้าผู้หญิงสัญชาติเดียวกัน โดยมีเด็กผู้ชายตัวสูงกว่าวัยกำลังปิดตาคนเป็นแม่เอาไว้ แม้จะอยู่ข้างนอกรั้ว แต่รัญชน์ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งสามอย่างชัดเจน ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเธอเปิดตาแล้วพบกับเซอร์ไพร์สของสามี รัญชน์ยืนนิ่งมองดูเธอยกมือขึ้นมาประสานขอพรและเป่าเทียนบนเค้กก้อนนั้นจนหมดก่อนหันไปจูบแก้มสามีกับลูกชายของเธอ

ครอบครัวที่อบอุ่น...

ครอบครัวที่มีแต่ความสุขเติมเต็มให้กัน...ความสุขที่ไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกินอย่างรัญชน์...

ใช่แล้ว...ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเขา...แม่ของเขากับสามีใหม่และลูกชายของเธอ..

รัญชน์เม้มริมฝีปากเล็กน้อย รู้สึกถึงความว้าเหว่และโดดเดี่ยวมากกว่าที่เคยมี รัญชน์ก้มมองดูกล่องเค้กในมือก่อนจะเหยียดยิ้มสมเพชตัวเองที่ไปซื้อมันมาและถ่อสังขารขับรถมาถึงฟิลาเดลเฟียเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับตนเองมากกว่าเดิม

ร่างบางหลับตาลง สะกดกั้นห้วงอารมณ์ที่มืดมนของตัวเองและลืมตามองผู้เป็นแม่อีกครั้ง

“สุขสันต์วันเกิด...นะฮะแม่”

รัญชน์กระซิบแผ่วเบาก่อนหันหลังให้กับครอบครัวแสนสุขของแม่และเดินกลับไปตามทางของตนเอง

 

กว่าสิบห้าปีแล้วที่รัญชน์จากไทยมา จากที่เคยมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม..รัญชน์กลายเป็นเด็กที่ครอบครัวแตกแยก แม่ของเขาหย่าขาดจากผู้เป็นพ่อ พาเขามาอยู่ที่อเมริกา เธอเริ่มต้นชีวิตที่นี่ด้วยการแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น..ภวัต...ผู้ชายไทยที่มีอายุอานามใกล้เคียงกับพ่อของรัญชน์ รัญชน์เกลียดผู้ชายคนนี้จับใจ

“ต่อจากนี้ไปคุณภวัตจะเป็นพ่อของรัญชน์นะลูก”

“ไม่!! พ่อของผมมีแต่พ่อยชญ์คนเดียวเท่านั้น!!”

รัญชน์วัยเก้าขวบไม่สามารถที่จะยอมรับผู้ชายคนใหม่ของแม่ได้ ยิ่งคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นสาเหตุให้พ่อกับแม่หย่าร้างและเขาถูกพรากจากพ่อแล้วก็พี่สาวที่เขารักมากแล้ว รัญชน์ก็ยิ่งชิงชังผู้ชายคนนี้จับใจ

รัญชน์ไม่ยอมรับภวัตเป็นพ่อใหม่ ไม่ยอมรับครอบครัวของแม่ และไม่ยอมรับแม้กระทั่งน้องชายที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา จากเด็กที่อมทุกข์อยู่แล้วก็กลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว รัญชน์จำได้ดีว่าตอนนั้นตัวเองทำไม่ดีออกไปกับแม่และพ่อเลี้ยงมากแค่ไหน

จนกระทั่งวันหนึ่งที่แสนจะเลวร้ายมันก็มาถึง

แม่ดุที่รัญชน์กล่าวผรุสวาทใส่สามีใหม่ของเธอ เมื่อผู้ชายคนนั้นพยายามตื้อให้รัญชน์ออกไปเที่ยวด้วยกันกับเขาและแม่ รัญชน์ไม่พอใจที่แม่ดุก็เลยตะคอกใส่แม่..มันเป็นถ้อยคำที่รุนแรงจนรัญชน์ตกใจตัวเองที่ใช้มันพูดกับแม่ไปแบบนั้น

เด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะแก้ไขกับพฤติกรรมของตนเองที่ได้หลุดไปอย่างนั้นก็หันหลังให้แม่ ทว่ามือของแม่ก็คว้าแขนของรัญชน์เอาไว้ ด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจมันทำให้เขาสะบัดแขนอย่างแรง..นาทีนั้นเองที่แม่เสียหลักล้มลงกระแทกกับขั้นบันไดที่อยู่ด้านหลัง

เขาได้ยินเสียงแม่กรีดร้อง...เขาได้ยินเสียงสามีของแม่ที่อุทานอย่างตกใจและรีบถลาเข้ามาอุ้มเธอไปต่อหน้ารัญชน์...

นาทีต่อจากนั้น..รัญชน์ยืนอยู่กับคราบเลือดของแม่ที่นองอยู่เต็มพื้น สามีของแม่รีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล

รัญชน์ทรุดลงกับพื้นอย่างเข่าอ่อน เด็กชายตัวน้อยคู้เข่าขึ้นมาแล้วสะอื้นอยู่ตรงหน้ากองเลือดของแม่

รัญชน์ไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด....ไม่ได้ตั้งใจเลยที่จะทำร้ายแม่อย่างนั้น...

รัญชน์ร้องไห้จนหมดแรงและหลับไปอยู่หน้ากองเลือดของแม่ มารู้ตัวอีกทีก็รุ่งเช้าที่บ้านแสนจะเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ แต่เมื่อเดินลงมาแล้ว..รัญชน์ก็พบกับสามีของแม่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทานข้าว บนโต๊ะมีอาหารเช้าวางไว้ มันเป็นมื้อเช้าสำหรับรัญชน์ รัญชน์ไม่กล้าเงยหน้ามองสบตากับสามีแม่ แต่ก็สังเกตเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของภวัตอยู่ เด็กน้อยยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าเข้าไปข้างในถึงแม้ท้องจะหิวมากแค่ไหน ไม่กล้าแม้แต่จะถามถึงแม่แม้จะอยากรู้มากเพียงใด

“มาทานสิ..”

รัญชน์เดินเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาอยากให้ภวัตดุเขาที่ทำตัวไม่ดีเสียมากกว่าจะนิ่งเฉยอย่างนี้

“ฉันเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว อยู่ในตู้เย็น รัญชน์อุ่นเองได้ใช่ไหม? ฉันแปะโน้ตวิธีการอุ่นด้วยไมโครเวฟไว้ให้ทุกห่อแล้วว่าต้องใช้ไฟเท่าไหร่กับอุ่นกี่นาที...”

รัญชน์ที่ก้าวเข้ามานั่งลงตรงหน้านิ่งเงียบและก้มหน้า เขาได้ยินเสียงพ่อเลี้ยงถอนหายใจช้าๆ

“แม่ของเธอคงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกพักหนึ่ง...ฉันคงต้องไปคอยอยู่ดูแล ระหว่างนี้รัญชน์อยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม? ถ้าขาดเหลืออะไร ฉันเอาเงินใส่ลิ้นชักไว้ให้แล้ว แล้วก็..ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรไปหาฉันก็แล้วกัน”

พ่อเลี้ยงของเขาทิ้งเบอร์โทรเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป

รัญชน์ได้ยินเสียงรถสตาร์ท เด็กชายวิ่งไปเกาะที่บานหน้าต่าง เขาเห็นพ่อเลี้ยงถอยรถออกมาจากที่จอด พ่อเลี้ยงของเขาหันมามองทางที่รัญชน์ยืนอยู่ก่อนจะหันกลับไป รัญชน์วิ่งออกจากห้องทานอาหารที่ตัวเองยืนอยู่เมื่อสักครู่..แต่มันก็สายไปแล้ว พ่อเลี้ยงของเขาขับรถจากไปแล้ว

เด็กชายยืนเคว้งคว้างอยู่กลางถนน

น้ำตามันไหลลงมาอีกครั้ง...

รัญชน์เสียใจ...

 

หลังจากวันนั้น..แม่ที่เกือบเสียน้องในท้องไป ก็ตัดสินใจส่งรัญชน์เข้าเรียนโรงเรียนประจำในบรูคลิน นับตั้งแต่นั้น..รัญชน์ก็ใช้ชีวิตอย่างอ้างว้าง เขาเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้...เด็กชายได้แต่นับวันรอที่จะได้กลับบ้าน แต่ทว่าแม่ก็ไม่เคยมารับรัญชน์กลับไป แม้จะส่งเสียเงินมาให้ใช้ แต่รัญชน์ก็ไม่เคยต้องการมันมากเท่ากับการได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น

พออายุได้สิบหก..รัญชน์ก็ปฏิเสธเงินของแม่และเริ่มหางานพิเศษทำ ด้วยความสามารถทางด้านศิลปะ รัญชน์ใช้มันหาเงินด้วยการเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ที่โรงเรียน อาจารย์ที่เห็นพรสวรรค์เขาช่วยส่งเสริม ทำให้รัญชน์ได้เงินจากการประกวดและขายภาพของตนเองจนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

พออายุได้ยี่สิบปี..รัญชน์ก็มีเงินจำนวนมากจากการขายวาดภาพให้กับแกลอรี่ดังของบรูคลินและมีเงินมากพอที่จะส่งตัวเองเรียนจบปริญญาด้านศิลปะ รัญชน์สร้างตัวเองขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว เขามีทุกอย่างที่หลายๆคนอยากได้ ไม่ว่าจะชื่อเสียง ที่อยู่สุดหรูในย่านคนรวยหรือรถยนต์คันงาม แต่มีเพียงแต่ครอบครัวกับรอยยิ้มเท่านั้น..ที่เงินซึ่งรัญชน์หามานั้น..ซื้อไม่ได้

-----ไม่สิ...ยังมีความรักอีกอย่างหนึ่ง-----

สิบห้าปีแล้วที่เขาสัญญากับเด็กผู้ชายคนนั้นว่าจะถ้าได้กลับไปไทยก็จะยอมเป็นแฟนด้วย

สัญญาของเด็กๆแต่กลับผูกมัดรัญชน์เอาไว้จนไม่สามารถที่จะเริ่มต้นความรักกับใครได้..ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือกับผู้ชายคนไหน

ผู้หญิงหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิตโดยที่รัญชน์ไม่ได้ยินดีนัก พยายามแสดงท่าทีให้รู้ว่าชอบพอในตัวเขา แต่รัญชน์ก็ไม่ได้นึกใคร่อยากผูกสัมพันธ์กับใคร ด้วยรู้ตัวดีกว่าตัวเองนั้นคงจะไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่จะพูดว่าตัวเองนั้นชอบพอผู้ชาย..รัญชน์ก็รับมันไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่ใช่แค่เพียงแต่ผู้หญิงที่พยายามพาตัวเข้ามาในชีวิตเขา ผู้ชายเองก็เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นได้เท่ากับเด็กผู้ชายคนนั้น..

“กวินท์..”

รัญชน์พึมพำชื่อของเด็กผู้ชายที่เป็นรักแรกคนนั้นแผ่วเบา เขากลับมาถึงที่พักของตัวเองในแมนชั่นใจกลางเมืองบรูคลินเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และพาตัวเองมานั่งอยู่ที่โซฟาข้างกระจกหน้าต่างท่ามกลางห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่าห้าชั่วโมง แต่ในบรูคลินยังคงมีฝนตกพรำๆอยู่ รัญชน์ยกมือขึ้นมาไล้ไปตามกระจก สายฝนทำให้กระจกนั้นเย็นเฉียบ แต่รัญชน์ก็ต้องคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงความทรงจำในอดีตที่แสนหวานของตนเอง

มันเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ชโลมให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของเขาได้มีกำลังใจจะใช้ชีวิตในวันต่อไป รัญชน์มักจะคิดถึงมันเสมอเมื่อเขารู้สึกว้าเหว่..มันช่วยให้รัญชน์หายรู้สึกอย่างนั้นได้ทุกครั้ง

รัญชน์ยิ้มหมองๆ ก่อนหันไปมองเค้กก่อนสวยที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยข้างกาย...เขาถอนหายใจช้าๆก่อนจะขยับขาที่กอดเข่าอยู่มาทางโต๊ะและดึงเค้กที่เขาซื้อมาด้วยความตั้งใจว่าจะเอาไปอวยพรวันเกิดให้กับคนเป็นแม่และเอ่ยคำขอโทษที่ช้าไปสิบห้าปีแต่ก็ล้มเหลวเข้ามาใกล้ เขาบรรจงปักเทียนทีละเล่มและจุดมันขึ้น

“ไว้สักวันนะฮะ...ผมจะไปขอโทษแม่ให้ได้..”

รัญชน์บอกเสียงเบากับเค้กก่อนสวยก่อนจะเป่าเทียนแทนแม่ของตัวเอง

น้ำตาแห่งความเหงามันเรื้อรินขึ้นมา รัญชน์สูดลมหายใจลึกๆก่อนจะปาดมันออกไป พอดีกับที่มือถือซึ่งวางอยู่ข้างกล่องเค้กมันสั่นขึ้นพร้อมกับเมโลดี้เรียกเข้า แสงของมันส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืด

รัญชน์หยิบมันมาอย่างรวดเร็ว คนที่โทรเข้ามานั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ร่วมงานหรือเจ้าของแกลอรี่ที่รัญชน์ทำงานให้ก็จะเป็นพี่สาวของตนเองหรือธันย์ซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของเขา

คนที่โทรมาคือคนหลังที่มักจะโทรมาคุยถามสารทุกข์สุกดิบของรัญชน์ประมาณอาทิตย์ละครั้ง แต่ครั้งสุดท้ายที่พี่ธันย์โทรมามันก็เมื่อวานนี้เอง รัญชน์ขมวดคิ้วก่อนจะกดรับ...

โดยที่ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ที่ธันย์โทรมาหาเขาในค่ำคืนนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา...

 

 
ก่อนหน้านั้นประมาณห้าชั่วโมงที่กรุงเทพ กวินท์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นภายในห้องพักของเขาที่โรงพยาบาล กวินท์ลุกขึ้นพร้อมฉวยเอาเสื้อกาวน์ที่แขวนไว้มาสวมด้วยรู้ดีว่าโทรศัพท์ที่ดังขึ้นปลุกเขาระหว่างพักเวรอย่างนี้ก็คงหนีไม่พ้นเคสฉุกเฉินที่เข้ามากะทันหัน และก็เป็นจริงอย่างที่คาดเอาไว้ ทันทีที่เขารับสาย เจ้าหน้าที่ประจำห้องฉุกเฉินก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“เคสด่วนครับ ลูกสาวท่านผ.อ.ยชญ์รถชน เพิ่งถูกส่งมาถึงโรงพยาบาลเมื่อสักครู่ ท่านผ.อ.ยชญ์บอกให้ตามคุณหมอลงมาด่วนเลยครับ”

“เข้าใจแล้ว ผมจะรีบลงไป”

กวินท์ว่าแล้ววางสายไปก่อนจะวิ่งออกจากห้องพักของตนเอง ตรงไปทางบันไดหนีไฟ กวินท์วิ่งลงไปถึงห้องฉุกเฉิน

แต่พอลงไปถึงและได้ตรวจดูอาการของคนไข้สาวแล้ว กวินท์ก็พบว่าคนไข้สาวนั้นกระดูกข้อมือหักและมีความจำเป็นที่ต้องผ่าตัดเพื่อใส่ลวดดามกระดูกให้กับเธอ

“แต่จริงๆแล้วเคสแบบนี้ให้ทางคุณหมอโกเมศจัดการจะชำนาญกว่าผมนี่นา”

กวินท์เปรยกับผู้ช่วยของเขาขณะที่ล้างมือฆ่าเชื้อเตรียมการผ่าตัด ผู้ช่วยของเขาหัวเราะในลำคอขณะที่หยิบแปรงมาขัดมือตัวเอง

“เมื่อครู่ผมเห็นคุณหมอโกเมศพูดอยู่นะครับว่าโล่งอกที่ผ.อ.ยชญ์เรียกคุณมา ใครๆก็รู้ว่าคุณรตาเธอเป็นลูกสาวสุดที่รักของท่านผ.อ. ขืนผ่าตัดผิดพลาดอะไรมีหวังโดนเด็ดหัวแน่ๆ ถึงจะเป็นการผ่าตัดง่ายๆก็เถอะ..”

“ผ.อ.ยชญ์นี่เขามีลูกสาวคนเดียวหรอคะ? ฉันไม่ค่อยเห็นมีใครพูดถึงครอบครัวของเขาเลย”

นางพยาบาลประจำห้องผ่าตัดที่เดินเข้ามาพร้อมกับถุงมือที่นำมาสวมให้กวินท์หลังจากล้างมือเสร็จแล้วถามขึ้นอย่างใคร่รู้ กวินท์นิ่งเงียบไปเพราะไม่อยากจะเป็นคนพูดไป ด้วยรู้ว่าผ.อ.ยชญ์ที่เป็นเพื่อนของพ่อเขานั้น ไม่ชอบให้ใครพูดถึงลับหลังสักเท่าไหร่ แต่ผู้ช่วยของเขาก็เป็นคนตอบแทนให้

“เห็นว่ามีลูกชายอีกคน แต่อยู่กับอดีตภรรยาที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วน่ะ น้อยคนจะเคยเห็นหน้านะ เพราะผ.อ.ยชญ์กับอดีตภรรยาก็แยกทางกันมาเป็นสิบปีแล้ว”

“หรอคะนี่..ฉันเพิ่งรู้”

นางพยาบาลครางเสียงเบา น้ำเสียงดูเหมือนอยากใคร่รู้ กวินท์เหล่มองดูและเห็นเหมือนกับว่าคนถูกนินทากำลังจะเข้ามา

“ผมว่ามีเรื่องที่คุณควรจะรู้มากกว่านี้อีก ผ.อ.ยชญ์น่ะไม่ชอบให้คนพูดถึงเขากับเรื่องส่วนตัวของเขา แล้วเขาก็กำลังจะเข้ามาแล้วด้วย”

นางพยาบาลกับผู้ช่วยของเขาสะดุ้งและหันกลับไปมองด้านหลังก่อนจะรีบก้มหน้าและหลีกทางให้เมื่อเห็นว่าผ.อ.ยชญ์เดินตรงมาหากวินท์

“กำลังจะเข้าผ่าตัดแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

“ลุงเชื่อในฝีมือเธอนะ..ฝากรตาด้วยก็แล้วกัน”

กวินท์ค้อมศีรษะให้กับอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปยังห้องผ่าตัด พลางปัดความคิดบางอย่างที่มันผุดขึ้นมาหลังจากได้ยินคำฝากที่เหมือนแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้...

-To Be Continue-

Rafael
ขอบคุณมากค่ะ ^^~  :กอด1:

superr

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากกกก
เนื้อเรื่องน่าติดตาม o13

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
นี่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตสินะ รัญชย์ จะกลับไทยเพราะพี่สาวเกิดอุบัติเหตุใช่ไหมเนี่ยแล้วก็จะมาพบกับหมอกวิน ตามสัญญา ว่าแต่จะเป็นยังไงหนอถ้ากวินรู้ว่า รัญชย์เป็นผู้ชาย  :impress2: :impress2: :-[ :-[ :-[

toey-jiraporn

  • บุคคลทั่วไป
น่าติดตามมากๆเลย รีบๆมาต่อนะคะ  :m5:

Mio

  • บุคคลทั่วไป
ต่อๆๆๆ สนุกกกกกกกกกกกกกก  :กอด1:
สามคำ>>>เร็ว เร็ว เร็ว  :z3:

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ติดตามตอนต่อไปจ้า  :mc4:

ออฟไลน์ Maprang_W

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
บทที่ 2

การผ่าตัดนั้นสำเร็จลงไปได้ด้วยดี กวินท์ที่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัดก็เดินมาหายชญ์ที่นั่งรออยู่

“อาการของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก แต่หลังจากนี้ต้องให้เธอหมั่นทำกายภาพบำบัดทุกวัน ให้กลับไปทำเองที่บ้านก็ได้นะครับ แล้วก็ตรวจซ้ำอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ดูจากลักษณะแล้ว...ผมว่าไม่เกินห้าเดือนกระดูกเธอจะติดสนิทเหมือนเดิม”

“ลุงว่าจะให้พักอยู่ที่นี่สักระยะ กลับไปบ้านก็มีแต่พวกคนใช้ที่จะคอยดูแล สู้อยู่ที่นี่มีพยาบาลมีนักกายภาพคอยดูแลดีกว่า ที่สำคัญหลานเองก็คงแวะมาดูแลน้องสะดวกขึ้น พรุ่งนี้ลุงต้องไปร่วมสัมมนาแพทย์ที่ภูเก็ตด้วย ยังไงก็คงต้องฝากให้กวินท์ช่วยดูแลน้องด้วยนะ”

สุ่มเสียงและคำพูดที่ดูเหมือนจะเกินกว่าความคาดหวังที่ญาติคนไข้จะฝากให้นายแพทย์เจ้าของไข้ดูแลนั้นทำให้กวินท์หนักใจพอสมควร แต่ก็จำต้องค้อมศีรษะน้อยๆและเอ่ยรับคำไป

“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”

รอยยิ้มพึงพอใจวาดขึ้นบนใบหน้าของชายสูงวัย ยชญ์ตบบ่าของเขาเบาๆก่อนจะเดินไปดูอาการของลูกสาว

ทิ้งกวินท์ให้ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นตามลำพัง...

ก็ใช่ว่ากวินท์จะไม่รู้ความต้องการของยชญ์...นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากอังกฤษหลังเรียนจบและกลายเป็นศัลยแพทย์ที่มีอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ยชญ์ก็แสดงท่าทางให้รู้ว่าชื่นชมในตัวเขามากแค่ไหน แต่ในความชื่นชมที่เพื่อนสนิทของพ่อมีให้กับเขามันก็ออกจะทำให้กวินท์ลำบากใจไม่น้อย

เพราะยชญ์มักแสดงทีท่าอยากให้เขาสนิทชิดเชื้อกับผู้เป็นลูกสาวอยู่บ่อยครั้ง

ถึงแม้ว่ารตาจะเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมคนหนึ่งไม่ว่าจะทั้งหน้าตา การศึกษา ชาติตระกูล..และยังมีทีท่าว่าจะชอบพอในตัวเขาเช่นกันแต่กวินท์ก็รู้ดีว่าเธอไม่ใช่บุคคลที่เขาปรารถนาจะอยู่เคียงข้างด้วยตลอดไป..

อาจเป็นเพราะหัวใจของเขา...มีใครบางคนแอบซุกซ่อนเอาไว้ภายใน..

กวินท์เก็บความรักนี้ไว้เป็นความลับไม่เคยบอกใคร...

เขารักเด็กคนหนึ่ง...

เด็กที่ได้เจอกันเพียงชั่วระยะเวลาแสนสั้น...

แต่เด็กคนนั้นก็ได้ครอบครองหัวใจของกวินท์ไว้แสนนาน..

กวินท์ปฏิเสธตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองเรียนจบ มุ่งหน้ากลับมายังไทยเพื่อทำงานเป็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลที่พ่อของตนเองเป็นรองผู้อำนวยการ....

ที่โรงพยาบาลแห่งนี้...

สถานที่ที่เขาได้เคยสัญญาไว้กับรักแรก..

ว่าจะมาพบกันอีกครั้ง....

แม้จะเลือนราง... แต่กวินท์ก็รอคอยด้วยความหวังมาเสมอ

 

หลังจากผ่าตัดแล้ว...รตาก็มาได้สติในวันรุ่งขึ้น หญิงสาวรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาภายในห้องพักฟื้นเวลาเดียวกับที่กวินท์นั้นเข้ามาตรวจตอนเช้าพอดี ศัลยแพทย์หนุ่มพับแฟ้มที่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสักครู่ หันไปสนใจรตาที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมา

“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”

น้ำเสียงทุ้มของคนที่ไม่คาดคิดไว้ว่าจะฟื้นขึ้นมาพบทำให้รตาต้องกระพริบตาเบาๆอีกครั้งก่อนจะลืมตามองกวินท์อย่างงุนงง

“ปวดข้อมือไหมครับ?”

กวินท์ถามแล้วเลื่อนสายตาจากใบหน้าของคนไข้สาวมายังข้อมือที่เขาเป็นคนผ่าตัดให้เมื่อวาน

“ปวด..ค่ะ”

รตาบอกกลับไปอย่างอ่อนแรง ดวงตาของเธอหรี่ลงอีกครั้งและคล้ายว่าจะหลับไปอีกรอบ กวินท์มองเธอแล้วก็เลื่อนแฟ้มกลับมาเขียน เขาสั่งยาให้เธอและกำชับการดูแลหญิงสาวกับนางพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง และพอเขาจะออกไป คนที่สนิทกันดีอย่างธันย์ก็เดินเข้ามาในห้องพอดี

“แวะมาตรวจรตาก่อนเข้าเวรหรอ?”

กวินท์พยักหน้าแล้วหันไปมองคนไข้สาวที่หลับไปอีกครั้งก่อนหันมามองหน้าธันย์

“รตาฟื้นแล้วหรือยัง?”

“เมื่อครู่เธอรู้สึกตัวมาแปบเดียวแล้วก็หลับไปอีก พี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ธันย์เป็นทั้งญาติห่างๆกับรตาและก็เป็นรุ่นพี่เขาที่มหาวิทยาลัย ในช่วงแรกๆที่เขาไปเรียนต่อนั้น กวินท์ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้เพราะได้ยชญ์แนะนำให้ กวินท์เลยได้ไปพักอยู่กับธันย์กว่าสองปีกว่าจนกระทั่งธันย์เรียนจบปริญญาตรีและไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา กวินท์ถึงได้ออกไปหาห้องพักที่เล็กลงสำหรับอยู่คนเดียว

แต่ช่วงเวลาสองปีก็สร้างความสนิทสนมให้กับเขากับธันย์ที่นิสัยคล้ายๆกันได้ไม่น้อย เพียงแต่เพื่อนรุ่นพี่คนนี้ของเขาออกจะเป็นคนอารมณ์ดีและร่าเริงมากกว่าคนที่เงียบขรึมอย่างเขาเท่านั้น

“อืม..ก็เพิ่งกลับมาถึงเมื่อตอนตีห้า พอได้ยินข่าวก็เลยรีบมา เห็นว่าต้องผ่าตัดด้วย แต่ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงใช่ไหม?”

กวินท์ฟังแล้วก็ลอบสังเกตเห็นความอิดโรยมันแทรกซึมอยู่ในใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนรุ่นพี่อยู่ถึงมันจะน้อยกว่าความเป็นห่วงก็ตามที

“กระดูกข้อมือเธอหักน่ะ ผมผ่าดามลวดไว้ให้ ไม่เกินห้าหกเดือนก็คงจะหายดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหมั่นทำกายภาพบำบัดของเธอด้วย”

ธันย์พยักหน้าแล้วยกมือตบไหล่กวินท์สองสามที

“ยังไงก็ช่วยดูแลรตาด้วยก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปตรวจคนไข้ต่อเถอะคุณหมอ”

ธันย์ว่าแล้วหลิ่วตาให้กับกวินท์ก่อนจะเดินเข้าไปหารตาที่ยังคงนอนอยู่ที่เตียง...กวินท์ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็นึกอะไรขึ้นได้เลยหันกลับไปหาอีกครั้ง

“วันนี้พี่จะอยู่เฝ้าคุณรตาหรือเปล่า?”

“ก็คงจะอย่างนั้น”

ธันย์ตอบกลับมาอย่างไม่ปิดบัง

“วันนี้อย่าเพิ่งให้เธอดื่มน้ำหรือทานอะไรก็แล้วกันนะ ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะ”

กวินท์บอกและย้ำด้วยสีหน้าจริงจังจนธันย์พยักหน้ารับคำ

“อือ..เข้าใจแล้ว”

และก่อนที่จะออกจากห้องไปศัลยแพทย์หนุ่มก็ยืนมองภาพรุ่นพี่คนสนิทที่เอื้อมมือไปลูบแก้มคนไข้สาวที่นอนอยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวาดยิ้มน้อยๆบนริมฝีปาก..

ถึงธันย์จะไม่เคยพูด...แต่กวินท์คิดว่าเขารู้ดีว่ารุ่นพี่คนสนิทคนนี้รู้สึกยังไงกับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั่น

 

รตามาได้สติเต็มที่ในราวๆตอนสายของวัน ธันย์ที่นั่งเฝ้าอยู่ก็ลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงครางอือๆแผ่วเบาในลำคอจากคนที่นอนอยู่บนเตียง

“เป็นยังไงบ้าง”

ธันย์ถามอย่างห่วงใย มือใหญ่วางลูบแก้มรตาเบาๆ

“ปวด..ไปหมด...เลย”

หญิงสาวบอกเสียงแผ่วและแหบแห้ง ดวงตาที่มองมาแม้จะดูอิดโรยแต่มันก็ทำให้ธันย์โล่งใจได้มากขึ้น

“พี่..ฉัน..หิวน้ำ..”

ธันย์มองเธอด้วยความรู้สึกผิด เขาลูบแก้มที่ยังคงมีรอยแผลเล็กๆและรอยฟกซ้ำก่อนเอ่ย

“เธอยังดื่มน้ำหรือกินอะไรไม่ได้นะ..อดทนไว้ก่อนได้ไหม?”

“อือ...แย่จัง...”

รตาครางเบาๆแล้วหลับตาลง...ทั่วทั้งร่างมันอุทรต่ออาการเจ็บปวดทางร่างกายมากกว่าที่คิดเอาไว้ หัวคิ้วขมวดมุ่นจนธันย์อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน

“อดทนหน่อยนะ...เอางี้ ระหว่างนี้พี่จะตามใจเธอทุกอย่างเลย โอเคไหม?”

ธันย์ยื่นข้อเสนออย่างหลอกล่อเพราะรู้ว่าหญิงสาวชอบคนที่ตามใจเธอ พอเขาพูดไปอย่างนั้นแล้ว ริมฝีปากของรตาก็กระตุกยิ้มน้อยๆ เธอพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย..

“สัญญา..นะ”

“อืม..สัญญา ด้วยเกียรติของพี่เลย!”

รตาพยักหน้าเล็กน้อยเท่าที่เธอจะพอทำได้ก่อนที่เงียบเสียงไป...เพียงไม่นานเธอก็หลับไปอีกครั้งหลังจากครางบ่นเบาๆว่าปวดบ้างหรือเจ็บบ้างอยู่สองสามหน

ธันย์ยังคงมองเธออย่างห่วงใย มือหนาลูบศีรษะของหญิงสาวช้าๆ และโดยที่ไม่รู้ตัว..ธันย์ก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากเนียน..ประทับความรู้สึกเป็นห่วงไว้เนิ่นนานก่อนที่จะยืดตัวขึ้นยืน...

มันกิริยาอ่อนโยนที่ธันย์ไม่เคยแสดงกับรตามาก่อน

และไม่คิดจะทำตอนที่รตามีสติด้วยเช่นกัน...

เพราะธันย์รู้ดี...ว่าสำหรับรตาแล้ว...

เขาก็เป็นเพียงแค่ญาติผู้พี่คนสนิทเท่านั้น

 

หลายวันต่อมา..อาการของรตาดีขึ้นตามลำดับ จากที่ดูซีดเซียวก็ค่อยสดใสขึ้นมาบ้าง กวินท์ยังคงแวะมาตรวจดูอาการของเธอทุกวัน เช่นเดียวกับธันย์ที่พอมีเวลาว่างก็จะแวะมาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อน

เช่นเดียวกับในวันนี้ที่ธันย์มาเยี่ยมตั้งแต่ช่วงเช้า ชายหนุ่มบรรจงป้อนอาหารเช้ามื้อแรกที่รตาได้รับอนุญาตให้ทานได้ทีละคำๆจนหมดชาม

“ปกติฉันไม่ชอบกินอาหารจืดๆแบบนี้เลยนะรู้ไหม...นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่มานั่งป้อนให้..ฉันก็คงไม่กินหรอก”

รตาว่าแล้วมุ่ยหน้าไปยังชามที่ธันย์ยกออกไปก่อนยกแก้วน้ำอุ่นมาป้อนให้เธอดื่ม อาหารหน้าตาจืดชืดไม่ผิดกับรสชาติแบบนี้ไม่เคยถูกปากเธอเลยตั้งแต่เล็ก แต่ก็ต้องยอมทานเพราะธันย์คอยป้อนให้ทีละคำ

“เอาน่า...พอหายแล้วจะพาไปกินของอร่อยๆก็แล้วกัน”

ธันย์ว่าแล้วยิ้มอย่างปลอบใจ รตาทำเสียงอือๆในลำคอก่อนจะเอนหลังพิงหัวเตียงที่ธันย์ยกสูงไว้ตั้งแต่แรกตอนประคองให้ลุกขึ้นมานั่งทานอาหาร เธอเอียงคอมามองร่างสูงโปร่งที่ขยับเดินเข้ามาหาหลังจากเข็นโต๊ะที่ใช้ทานอาหารออกไปไว้มุมห้องแล้ว

“สัญญาแล้วนะ..ว่าแต่ระหว่างนี้พี่บอกจะตามใจฉันทุกอย่างใช่ไหม?” รตาทวงสัญญาด้วยรอยยิ้มและเพราะรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้ธันย์ไม่อาจปฏิเสธได้ลง ชายหนุ่มพยักหน้า

“อยากได้อะไรล่ะ?” รตาอมยิ้ม ดวงตาพราวระยับน้อยๆ เธอยกมือข้างที่ไม่เจ็บชูขึ้นมาสองนิ้ว

“ฉันมีอยู่สองเรื่องที่อยากให้พี่ช่วยล่ะ”

“เรื่องอะไรบ้างล่ะ?”

“ข้อหนึ่งเลยนะ..” รตาเริ่มพูดด้วยรอยยิ้ม เธอเปลี่ยนมาชูนิ้วหนึ่งนิ้วแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ฉันอยากให้พี่ช่วยตามรัญชน์กลับมาที่นี่หน่อย”

พอบอกไปแล้วธันย์ก็ต้องขมวดคิ้วนิดหน่อย สีหน้าดูลำบากใจไม่น้อย

“ข้อนี้น่ะยากนะ..รัญชน์จะยอมกลับมาหรอ?”

ธันย์บอกไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่ารัญชน์มีทีท่าไม่ค่อยอยากกลับมาที่ไทยสักเท่าไหร่ เขากับรตาพยายามชวนมาให้กลับไทยมาหลายครั้งแล้ว แต่รัญชน์ก็ปฏิเสธไปทุกที

“โถ่..พี่ก็พยายามหน่อยสิ บอกรัญชน์ไปก็ได้ว่าฉันถูกรถชน อาการโคม่า สมองกระทบกระเทือน แขนหัก ขาขาด ตับแตกอะไรก็ว่าไป”

รตาบอกพลางทำหน้ามุ่ยก่อนแสร้งถอนหายใจแล้วทำหน้าตาหงอยๆเรียกร้องความสงสารจากญาติคนสนิทของเธอ

“นะ...พี่ธันย์นะ นี่มันโอกาสดีไม่ใช่หรอ ที่จะให้รัญชน์กลับมาตอนนี้ อย่างน้อยถ้ารัญชน์กลับมาแล้วได้มีโอกาสคุยกับพ่อสักนิด รัญชน์กับพ่อน่าจะเข้าใจกันมากขึ้นไม่ใช่หรอ?”

“โอเค..เข้าใจล่ะ จะพยายามก็แล้วกัน”

ธันย์พูดพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาเองก็อยากให้ญาติผู้น้องที่น่าสงสารซึ่งอยู่ตามลำพังในต่างแดนได้มีโอกาสที่จะกลับมามีอยู่กับครอบครัวเช่นกัน

“แล้วข้อสองล่ะ?”

“ข้อสองน่ะหรอ...”

สองแก้มของรตามันแดงขึ้นน้อยๆ เธออมยิ้มด้วยท่าทางเขินอายอยู่นิดหน่อยก่อนตัดสินใจพูดออกมา

“พี่สนิทกับคุณหมอกวินท์ใช่ไหม? เล่าเรื่องของคุณหมอให้ฉันฟังบ้างสิ”

ความรู้สึกหน่วงๆมันเกิดขึ้นในใจของชายหนุ่ม ธันย์กลบเกลื่อนมันด้วยการแสดงสีหน้าสงสัยออกไป

“เธออยากรู้เรื่องของกวินท์ไปทำไมล่ะ?”

รตาเม้มริมฝีปากอยู่สองสามทีก่อนจะยิ้มเขินพลางพูดเสียงเบา

“ฉันคิดว่า...ฉันชอบคุณหมอล่ะ ก็เลยอยากรู้เรื่องของเขาให้มากขึ้น นะ...พี่เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ คุณหมอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พี่ต้องรู้แน่ๆเลยใช่ไหมล่ะ?”

น้ำเสียงอ้อนๆกับรอยยิ้มเขินๆที่เห็นแล้วก็รู้ว่าถ้าปฏิเสธไป คงจะทำให้รตาผิดหวังไม่น้อย ธันย์เลยถอนหายใจในอกแล้วส่งยิ้มกลับไปให้เธอถึงจะหน่วงในใจแค่ไหนก็ตาม

“ก็ได้ๆ จริงๆเลยนะเรา”

ธันย์ว่าก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของกวินท์ให้กับรตาที่นั่งฟังด้วยความกระตือรือร้น โดยไม่รู้เลยสักนิดว่ารอยยิ้มของเธอที่นั่งฟังอย่างตั้งใจนั้น จะทำให้คนเล่ารู้สึกน้อยใจมากแค่ไหนกับการที่เธอมองข้ามความรู้สึกของเขาไป...

บางที...อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขามันคงจะสื่อไปไม่ถึงใจของเธอก็ได้ล่ะมั้ง...

ธันย์คิดเช่นนั้น

 

“ขอหนูทำนะคะป้าสร้อย”

รตาเอ่ยขึ้นพลางขยับเดินมาหาสร้อยซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่ที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็ก สร้อยหันมามองอย่างห่วงใยแต่ก็ยอมส่งช้อนกาแฟไปให้คุณหนูของเธอ

“ถ้าทำได้ก็อยากทำเองทั้งหมดนะคะ แต่สภาพแบบนี้อย่างน้อยแค่ชงกาแฟก็อยากทำเองน่ะค่ะ”

รตาบอกยิ้มๆ ตรงหน้าของเธอคือตะกร้าใบย่อมที่มีกล่องพลาสติกใส่พายชิ้นเล็กน่าตาน่าทานที่สร้อยทำมาเอาไว้ แม่บ้านที่แสนใจดีกำลังยืนชงกาแฟอยู่ในตอนที่เธอเดินเข้ามาหา

สร้อยได้แต่ยิ้มๆและยืนช่วยคุณหนูของเธอจนกระทั่งรตาชงกาแฟเสร็จ เธอเลยหยิบเอาถ้วยเก็บความร้อนมาเทกาแฟใส่และปิดฝาให้แน่นก่อนวางมันลงไปในตะกร้าที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ..หนูเดินได้”

รตาบอกยิ้มๆ เธอใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บขยับคาร์ดิแกนที่คลุมทับไหล่ไว้ให้กระชับขึ้นก่อนจะลากเสาน้ำเกลือเดินออกมาพร้อมกัน

รตาพาแม่บ้านของเธอเดินไปยังระเบียงที่จะเป็นห้องพักของกวินท์ สร้อยวางตะกร้าไว้ตรงโต๊ะที่อยู่ด้านนอก หญิงสูงวัยหยิบเอาอาหารว่างออกมาจัดวางบนก่อนจะเดินกลับออกไปรอภายในอาคาร ส่วนคุณหนูของเธอนั้นก็เดินไปยังห้องพักของกวินท์ รตาเดินเกร่อยู่หน้าห้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเคาะประตูเมื่อแน่ใจว่าคนที่อยู่ภายในห้องนั้นไม่ได้หลับ

“คุณรตา? มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

กวินท์ถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนไข้สาว รตาส่งรอยยิ้มมาให้เขาก่อนจะหันไปชี้ที่โต๊ะซึ่งพอมองไปแล้วก็หามีอาหารว่างวางจัดเอาไว้

“พอดีได้ยินจากพยาบาลที่มาวัดไข้เมื่อเย็นน่ะค่ะ ว่าคุณหมอมีเข้าเวรตอนดึก เลยให้คุณป้าแม่บ้านจัดของว่างมาให้ทานก่อนลงไปเข้าเวร ทานสักหน่อยนะคะ”

“เอ่อ..ขอบคุณครับ รบกวนคุณจริงๆ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ได้คุณหมอช่วยรักษา ก็เลยอยากตอบแทนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที”

กวินท์ไม่ได้ตอบอะไรเธอไปอีกแต่ก็ปิดประตูและเอื้อมมือมาจับเสาน้ำเกลือของคนไข้สาวเพื่อลากให้ ทั้งสองเดินกลับไปที่โต๊ะ

กวินท์ออกจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นพายแอปเปิ้ลชิ้นเล็กกับกาแฟสีเข้มบนโต๊ะนั้น

“ได้ยินมาจากพี่จองซูว่าคุณหมอชอบทานพายแอปเปิ้ลกับอเมริกาโน่ใช่ไหมคะ..แต่ไม่รู้กาแฟที่ฉันชงว่าจะถูกปากคุณหมอหรือเปล่า”

น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความคาดหวังของหญิงสาวทำให้กวินท์ออกจะอึดอัดใจไม่น้อย เขาประคองเธอให้นั่งลงก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม ศัลยแพทย์หนุ่มยกกาแฟขึ้นมาจิบช้าๆ

“รสชาติดีมากครับ”

คำชมของกวินท์ทำให้รตาต้องยิ้มออกมาอย่างดีใจ กวินท์ที่รู้สึกอึดอัดกับรอยยิ้มและสายตาของเธอเลยหันไปหยิบพายแอปเปิ้ลที่ทำเป็นชิ้นเล็กๆขึ้นมากัดทาน

“คุณหมอนี่ชอบอะไรคล้ายๆน้องชายของฉันเลยนะคะ”

กวินท์ชะงัก แววตาสงสัยมองหญิงสาวที่ยิ้มๆ รตาเลยพูดต่อ

“ตารัญชน์น่ะค่ะ ชอบทั้งพายแอปเปิ้ลแล้วก็อเมริกาโน่เหมือนกับคุณหมอเลยล่ะค่ะ”

ตอนแรกที่ได้ฟังจากธันย์ที่เล่าให้ฟังเมื่อช่วงเช้า รตาก็นึกประหลาดใจไม่น้อย

“แถมยังชอบทำเองด้วยนะคะ ตารัญชน์น่ะทำพายแอปเปิ้ลอร่อยมากเลย ที่จริงพายที่คุณหมอทาน ฉันให้คุณป้าแม่บ้านเป็นคนทำให้จากสูตรของตารัญชน์นี่แหละค่ะ แต่ดูเหมือนว่าทำยังไงก็ยังอร่อยสู้ที่ตารัญชน์ทำไม่ได้เลยค่ะ”

รตาพูดแล้วหัวเราะอย่างสดใส จากทั้งน้ำเสียงและประกายในดวงตาของเธอเวลาที่พูดทำให้กวินท์รู้สึกได้ถึงความรักและเอ็นดูที่เธอมาให้น้องชายไม่น้อย

“ดูคุณกับน้องชายจะเป็นพี่น้องที่รักกันดีจังเลยนะครับ”

“ก็ฉันมีน้องชายแค่คนเดียวนี่คะ..จริงๆก็มีน้องชายต่างพ่ออีกคน แต่ก็ไม่สนิทกันหรอกค่ะ”

รตาบอก และเลื่อนกล่องพลาสติกที่มีพายแอปเปิ้ลอยู่เข้าไปใกล้กวินท์มากขึ้น

“เก็บไว้ทานนะคะคุณหมอ”

“ขอบคุณมากครับ..”

กวินท์บอกแล้วก้มลงมองพายแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือของตนเอง..

ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆในใจเมื่อได้ยินว่ามีใครอีกคนที่ชอบในสิ่งที่เหมือนกับตัวเองแบบนี้กันนะ..

-TBC-

230

  • บุคคลทั่วไป
มาต่ออีกนะคับ o13

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com


กว่าสิบห้าปีแล้วที่ไม่ได้เหยียบแผ่นดินไทย หากไม่ใช่เพราะพี่สาวเพียงคนเดียวประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสแล้วล่ะก็..รัญชน์ก็คงจะยืดเวลากลับมาให้ไกลออกไปอีก

ร่างบางลากกระเป๋าเดินออกมาจากตัวอาคารและเตรียมจะเรียกแท็กซี่เพื่อให้มาส่งที่โรงพยาบาลอยู่แล้วในจังหวะที่ธันย์โผเข้ามาดึงแขนเอาไว้

“พี่กะแล้วว่ารัญชน์ต้องมาไฟล์ทนี้ ก็เลยมารอรับ มาสิ..ของมีแค่นี้ใช่ไหม?”

ธันย์แย่งเอากระเป๋าใบย่อมของรัญชน์ไปลากเสียเอง เขาพารัญชน์เดินมาขึ้นรถที่จอดเอาไว้และขับมุ่งหน้าตรงมายังโรงพยาบาลเมื่อรัญชน์ปฏิเสธที่จะกลับไปที่บ้านหรือไปยังที่พักของตน

“ไม่ได้กลับมาตั้งสิบห้าปี คิดถึงกรุงเทพบ้างหรือเปล่า?”

ธันย์เอ่ยถามคล้ายจะเย้ากัน แต่คนฟังดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์จะหยอกเล่นด้วย

รัญชน์ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ธันย์จึงได้แต่มองญาติผู้น้อยแล้วยิ้มอ่อนๆ ไม่ถือสาอะไรที่รัญชน์เสียมารยาทด้วยการไม่พูดตอบเขา ด้วยรู้ดีว่ารัญชน์มีนิสัยอย่างไร...

ญาติผู้น้องที่น่าสงสารของเขา...

ฝ่ายรัญชน์นั้น..ใจหนึ่งก็กำลังพะวงเรื่องพี่สาวที่ประสบอุบัติเหตุ

อีกใจก็กำลังนึกกลัวว่าการกลับมาไทยครั้งนี้ของเขาจะพาเอาความเจ็บปวดกลับมาให้

รัญชน์จำได้ว่าตอนเล็กๆเขาพยายามโทรกลับมาหาพ่อกับพี่สาวที่ไทย บางครั้งโชคดีหน่อยก็จะได้คุยกับรตาผู้เป็นพี่ แต่ถ้าโชคร้ายก็จะถูกพ่อตัดสายไปโดยไม่ยอมพูดอะไรกับเขาสักคำ

ซึ่งนั่นมันทำให้รัญชน์ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเป็นเพราะอะไรกัน

พอโตขึ้นมาอีกหน่อย..การติดต่อระหว่างเขากับพี่สาวก็ง่ายขึ้นมาก เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและก็ได้ธันย์คอยช่วยเหลือให้เขากับพี่ติดต่อกันโดยที่พ่อไม่รู้

“พี่รตาเป็นยังไงบ้าง?”

อยู่ๆรัญชน์ก็โพล่งถามมันออกมา ร่างบางถามออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดที่เจ็บปวดมากเกินไป ธันย์เลิกคิ้วเล็กน้อย

“อืม..ไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่านะ”

หัวใจของรัญชน์มันหน่วงขึ้นมาทันที ความคิดมันมุ่งไปแนวด้านร้ายเสียมากกว่าจะเป็นด้านดี ร่างบางเงียบลงอีกครั้ง สีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีนักจนธันย์ต้องเอื้อมมือมาวางไว้ที่ศีรษะเบาๆอย่างปลอบโยน

“ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกน่า...เชื่อสิ”

ใช่...มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้เลย หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ธันย์พูดอย่างนั้น รัญชน์ก็มาพบกับความจริงที่เป็นเช่นนั้นด้วยสายตาของตนเอง

พี่สาวของเขายิ้มร่าเริงโบกมือมาให้จากทางเตียงทันทีเมื่อเขาเดินเข้าประตูห้องมา

“รัญชน์!~ มาแล้วหรอ?”

รัญชน์ชะงักไปทันที น้ำเสียงของพี่สาวดูสดใสร่าเริง สีหน้าไม่มีร่องรอยของอาการป่วยอย่างที่คิดไว้ จะมีก็แต่ที่แขนข้างซ้ายของเธอมีเฝือกใส่เอาไว้ รัญชน์มองดูพี่สาวแล้วหันกลับมามองหน้าคนที่โทรไปตามเขามาจากบรูคลิน

“ไหนพี่บอกว่าพี่รตาอาการสาหัส หัวแตก กระดูกข้อมือร้าว ซี่โครงหัก อาการโคม่าไง?”

น้ำเสียงและแววตาของรัญชน์ที่กำลังหันมาเอาเรื่องเขา ทำให้ธันย์ต้องหัวเราะเสียงแห้งในลำคอ

“ก็นะ..”

“รัญชน์เดินทางมาไกลเลยน้า..หิวหรือเปล่า พี่ธันย์ลงไปซื้ออะไรมาให้รัญชน์รองท้องหน่อยสิคะ ในตู้เย็นเหมือนจะไม่มีของกินเลย เดี๋ยวเที่ยงป้าสร้อยคงเอามื้อเที่ยงมาให้เหมือนเดิม ซื้อแค่ขนมกับเครื่องดื่มขึ้นมาก็พอค่ะ”

รตาหันไปบอกให้กับญาติผู้พี่คนสนิท ที่พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปอย่างเข้าใจในความนัยในแฝงมากับสายตายิ้มๆของเธอ ธันย์ตบบ่ารัญชน์เบาๆก่อนจะเดินออกไปข้างนอก

ทันทีที่ธันย์เดินออกจากห้องไป รัญชน์ก็ถอนหายใจหนักๆแล้วเดินมาหาพี่สาวที่นอนอยู่บนเตียง

ครั้งสุดท้ายที่รัญชน์ได้เจอกับรตามันก็เมื่อปลายปีที่แล้ว พี่สาวของเขาอ้างกับพ่อว่าไปเที่ยวแคนาดากับเพื่อนแต่จริงๆแล้วบินไปหาเขาที่บรูคลินพร้อมกับธันย์

“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”

รัญชน์ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ก็แฝงไว้ห่วงใยถึงแม้ว่าสีหน้ายังคงจะบึ้งตึงอยู่บ้างกับการที่ถูกหลอกให้กลับมาไทยกะทันหันเช่นนี้

“นิดหน่อย..แต่ไม่เป็นไรมากหรอก”

รตายิ้มสวยให้น้องชายที่มีใบหน้าถอดมาจากผู้เป็นแม่

ยิ่งโตรัญชน์ก็มีเค้าใบหน้าที่สวยงามเสียยิ่งกว่าที่ผู้ชายควรจะมี จนบางทีพี่สาวอย่างเธอยังนึกอิจฉา เพราะถึงแม้ว่าเธอกับรัญชน์จะมีเค้าโครงหน้าที่เหมือนกัน แต่ทุกสิ่งที่ประกอบเป็นเครื่องหน้าของรัญชน์นั้นมันช่างวิเศษสุด

ดวงตาเรียวสวยของรัญชน์มันมีเสน่ห์แฝงเอาไว้ชนิดที่ใครได้มองก็ไม่อาจละสายตาไปได้

อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ชอบเก็บตัวกับความเหงาของน้องชายนั่นก็ได้ล่ะมั้งที่หยุดสายตาคนมองเอาไว้ ไหนจะจมูกโด่งกับริมฝีปากบางได้รูปที่เป็นสีชมพูอ่อนอย่างไม่ต้องพึ่งพาลิปกลอสแต่อย่างใด แล้วก็ผิวเนียนขาวอย่างคนสุขภาพดีนั่นก็ด้วย...

มองน้องชายของตัวเองแล้วรตาก็ต้องแอบอมยิ้มอย่างภูมิใจ รัญชน์ที่ทั้งดูดีเหนือใคร น้องชายที่มากความสามารถของเธอ ถ้าหากมีใครสักคนได้มาอยู่เคียงข้างและลบความเหงา ความโดดเดี่ยวไปได้ก็คงดี..

หากเพียงแต่ใครสักคนจะยอมทำให้รัญชน์เปิดใจยอมรับให้มาอยู่เคียงข้างได้...รตาคิดว่าตนเองคงจะนึกยินดีไม่น้อย

“ยิ้มอะไรน่ะ?” รัญชน์ถามออกไปเมื่อเห็นพี่สาวเอาแต่มองหน้าแล้วก็ยิ้มไม่พูด

“เปล่า แค่ดีใจที่ได้เห็นรัญชน์ในกรุงเทพอีกครั้ง”

รัญชน์ชะงักไปกับคำพูดของพี่สาว สีหน้ามีความเจ็บปวดทอประกายเอาไว้อย่างที่คนมองจับสังเกตได้

“ถ้าอยากให้กลับก็บอกกันดีๆสิ อย่าโกหกกันอย่างนี้ ผมไม่ชอบ!”

รัญชน์เผลอตัวเสียงดังออกไป แต่รตาก็ไม่ถือโทษโกรธน้องชายของเธอ หญิงสาวเอื้อมมือข้างที่ไม่เจ็บมาจับมือรัญชน์ที่วางอยู่บนราวกั้นข้างเตียง

“ก็รัญชน์เอาแต่บอกว่างานยุ่งยังกลับมาไม่ได้ตลอดนี่นา...กลับมาคราวนี้แล้วก็อยู่นานๆหน่อยนะ อย่างน้อยพี่ก็อยากให้เธอปรับความเข้าใจกับพ่อสักหน่อย”

พอรตาพูดจบรัญชน์ก็ทำเสียงหัวเราะขื่นๆในลำคอ เขาสูดลมหายใจยาวๆขณะมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง

“พี่หวังสูงเกินไปมั้ง..”

“เรื่องที่จะให้เธออยู่ไทยนานๆหรือว่าเรื่องคุณพ่อ?”

“ก็เรื่องของพ่อน่ะสิ! พี่ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไงกัน!”

รัญชน์เผลอตัวเสียงดังออกไปอีกครั้ง พอเห็นสีหน้าที่หมองลงของพี่สาวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด รัญชน์ถอนหายใจช้าๆแล้วยกอีกมือมาจับมือของพี่สาวที่บีบมือเขาอยู่

“แต่ยังไงก็จะลองพยายามดูแล้วกัน”

“อืม..”

รตายิ้มออกมาได้อีกครั้ง เธอมองน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู มือเรียวออกแรงบีบมือน้องชายเบาๆ

“ยังไงพี่ก็อยากให้รัญชน์กลับมาอยู่ที่นี่นะ อย่างน้อยพี่ก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนเธอยังไงล่ะ”

รัญชน์พยักหน้า...เขาเข้าใจในความเป็นห่วงของพี่สาวเป็นอย่างดี เพราะทุกครั้งที่รตาไปหาเขาที่บรูคลิน หรือโทรศัพท์คุยกันก็มักจะพูดบ่นว่าอยากให้เขาหาใครสักคนมาเป็นแฟน จะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยกันไม่เหงาหรือมีคนดูแล แต่ทุกครั้งรัญชน์ก็ปฏิเสธไป

เพราะคิดว่าตัวเองไม่พร้อมจะรักใคร...ในขณะที่หัวใจมันยังเอาแต่นึกถึงรักแรกของตัวเองโดยที่ไม่อาจลืมได้อยู่แบบนี้

รัญชน์คิดเสมอว่าการที่เขาจะรักใครสักคน และคนนั้นไม่ใช่กวินท์ที่เป็นรักแรกของเขา มันคงจะทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย...

รู้สึกผิดทั้งกับกวินท์ที่เขาเคยสัญญาว่าถ้าหากได้กลับมาก็จะมาเป็นคนรักกัน

รู้สึกผิดกับคนใหม่..ที่เขาไม่อาจลืมรักแรกได้..

แต่ทั้งที่เขาอยากจะรักกับกวินท์แค่ไหน..รัญชน์ก็รู้ตัวดีว่าอีกด้านหนึ่งของจิตใจมันแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว

เขาเลื่อนเวลาที่จะกลับไทยมาหลายปีทั้งที่รตาเซ้าซี้อยากให้กลับมาโดยตลอด...มันมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากการหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ...

รัญชน์กลัว...

กลัวว่ากลับมาแล้วจะต้องพบกับความผิดหวัง...กลัวว่ากลับมาแล้วจะหากวินท์ไม่พบ...

หรือ...ต้องกลับมาพบว่ากวินท์มีคนรักอื่น..

สิบห้าปี..มันเนิ่นนานมากเสียจนรัญชน์ไม่แน่ใจว่ากวินท์จะยังยึดมั่นในสัญญานั้นเหมือนกันไหม กับเด็กผู้ชายอีกคนที่ได้พบกันเพียงครั้งเดียว ในช่วงระยะเวลาที่แสนสั้น..กวินท์จะรู้สึกรักและผูกพันจนเรียกได้ว่ารักฝังใจอย่างรัญชน์หรือเปล่า

ถ้าต้องกลับมาแล้วพบกับความผิดหวัง...สู้อยู่อย่างเหงาๆแต่มี ความทรงจำที่งดงามนั่นคอยอยู่เป็นเพื่อนในบรูคลินตามลำพังเสียดีกว่า

รัญชน์คิดเช่นนั้น...

แล้วห้วงความคิดของรัญชน์ก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างของนายแพทย์คนหนึ่งที่เดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับพยาบาล ผู้ชายตัวสูงนัยน์ตาคมผู้เป็นแพทย์นั้นหันมามองหน้าเขา

นาทีที่สบตากัน..รัญชน์ก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่อพบว่าสายตานั้นออกจะตำหนิเขาอยู่ไม่น้อย

รัญชน์ไม่ชอบ...

ไม่ชอบการถูกตำหนิ...ไม่ว่าจะจากใครก็ตาม

โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกแบบนี้ รัญชน์ก็ยิ่งไม่ชอบใจนัก..ถึงขั้นเรียกได้ว่าไม่ถูกชะตาเลยก็ว่าได้เลยตัดสินใจเดินออกจากห้องมาหลังจากที่ยืนมองนายแพทย์คนนั้นตรวจดูอาการของพี่สาวได้เพียงครู่เดียว

“อ๊ะ! ขอโทษครับ”

รัญชน์อุทานออกมาเมื่อประตูที่เขาเปิดออกมาเกือบจะชนกับใครบางคน แต่แล้วรัญชน์ก็ต้องตัวชาเมื่อเงยหน้ามองดูผู้ชาย คนนั้นแล้วก็พบว่าเป็นพ่อของตนเอง

“พ่อ..”

ชายสูงวัยเองก็มีทีท่าตกใจด้วยเช่นกัน แต่เพียงครู่เดียวมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ยชญ์เม้มริมฝีปากแน่นจนมันกลายเป็นเส้นบางๆประดับอยู่บนใบหน้าแสดงถึงอาการไม่พอใจที่ได้เห็นลูกชายอย่างรัญชน์มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า

“แกมาที่นี่ได้ยังไง?”

“ผม...มาเยี่ยมพี่รตา”

รัญชน์ตอบเสียงเบาอย่างรู้สึกขมขื่นในใจ

พ่อที่ไม่ได้เจอกันร่วมสิบห้าปี ไม่มีแม้แต่คำทักทายที่แสดงถึงความคิดถึงและห่วงใยกัน แม้แต่อ้อมกอดที่พ่อเคยมีให้เสมอๆในสมัยก่อนก็คงไม่มีอีกแล้วด้วยเช่นกัน พ่อทำเหมือนกับเขาและแม่เป็นศัตรูของพ่อไม่มีผิด

“รตาไม่เป็นอะไรแล้ว เยี่ยมเสร็จแล้วก็กลับไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกล่ะ”

ผู้เป็นพ่อพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินสวนเข้าไปในห้องโดยไม่มองหน้ารัญชน์เลยสักนิด

ความอ่อนแอมันเหมือนแทรกซึมออกมาจากกำแพงที่รัญชน์สร้างไว้เพื่อปกป้องตัวเอง ขอบตามันร้อนผ่าวเสียจนน่ากลัวว่าความอ่อนแอมันจะปรากฏออกมาในรูปแบบของน้ำตา

รัญชน์เงยหน้าขึ้นแล้วสูดลมหายใจลึกๆเพื่อเก็บอารมณ์ที่อ่อนแอเอาไว้ข้างใน

ดวงตาแสนเศร้าของรัญชน์มันทำให้ธันย์ที่ยืนมองอยู่อีกด้านต้องนึกสงสารญาติผู้น้องคนนี้จับใจ เขาก้าวเดินเข้าไปหาและพยายามกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“รัญชน์...เหนื่อยหรือเปล่า เอาของกลับไปเก็บที่ห้องแล้วนอนพักสักหน่อยดีไหม แล้วตอนเย็นๆเราค่อยมาหารตาอีกรอบกัน”

รัญชน์เงยหน้าขึ้นมามองญาติผู้พี่แล้วพยายามฝืนส่งยิ้มไปให้ ในใจนึกรู้เหตุผลของธันย์ดีว่าอีกฝ่ายนั้นคงจะเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่และพยายามจะพาเขาออกจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้เลยพยักหน้าไป

ธันย์มองสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของคนตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง เขาขยับเข้ามาลูบศีรษะรัญชน์เบาๆแทนการปลอบประโลมแล้วโอบมือขึ้นมากอดรัญชน์ไว้

กวินท์ที่เพิ่งจะออกมาจากห้องพักฟื้นของรตาได้มองภาพที่เพื่อนรุ่นพี่คนสนิทกอดผู้ชายรูปร่างผอมบางที่เขารู้ว่าเป็นลูกชายของผู้อำนวยการยชญ์ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ

ความรู้สึกที่มันซับซ้อนเกินกว่าที่กวินท์จะเข้าใจตัวเองได้ว่าความรู้สึกนั้น...มันคืออะไรกัน

 

การที่ได้เห็นลูกชายคนเล็กมาปรากฏตัวต่อหน้าโดยที่ไม่คาดคิดเอาไว้ทำให้อารมณ์ของยชญ์ขุ่นมัวเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งจะเห็นหน้า กวินท์ซึ่งเขาคาดหวังที่จะได้มาเป็นลูกเขยอยู่ภายในห้องพักฟื้นของรตาก็มิอาจดับอารมณ์ขุ่นมัวที่มีได้

เขายืนนิ่งเงียบอยู่ห่างๆจนกระทั่งศัลยแพทย์หนุ่มขอตัวออกจากห้องไป ยชญ์ถึงได้ขยับเข้ามาที่ข้างเตียง

“ไอ้เด็กนั่นมันกลับมาทำไม?”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของผู้เป็นพ่อจะนิ่งเรียบ แต่แววตาขุ่นเคืองก็บอกอารมณ์ในตอนนี้ของพ่อได้เป็นอย่างดี

“หนูตามน้องกลับมาเองแหละค่ะ พ่อไม่ดีใจหรอคะที่รัญชน์กลับมา?”

รตาตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ใจเย็นถึงแม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะทำให้คนเป็นพ่อชักสีหน้าอย่างไม่พอใจมากขึ้นก็ตามที

“หนูไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมพ่อถึงทำท่าเกลียดรัญชน์แบบนั้น แต่ยังไงรัญชน์ก็กลับมาแล้ว พ่อน่าจะหาโอกาสคุยกับรัญชน์บ้างนะคะ”

“ฉันจะคุยกับมันหรือไม่คุยก็ไม่เกี่ยวกับแก ว่าแต่แกเองเถอะ เป็นยังไงบ้าง?”

ยชญ์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะคุยเรื่องลูกชายคนเล็กอีก รตาถอนหายใจน้อยๆแล้วยิ้มออกไปอย่างปลงตกกับความหัวแข็งของพ่อก่อนจะเอ่ยเล่าอาการของตัวเองที่ดีขึ้นแล้วให้พ่อฟัง

เสียงของรตาที่เอ่ยเล่าให้ฟังมันไหลผ่านหูของยชญ์ไปโดยที่เขาไม่ได้รับฟังเลยแม้แต่น้อย ห้วงความคิดยังคงจมอยู่กับลูกชายคนเล็กอย่างรัญชน์

สำหรับยชญ์แล้ว มันมีบางอย่างที่เขาเก็บเอาไว้เป็นความลับที่ไม่เคยเอ่ยบอกใคร ไม่ใช่เพราะกลัวที่จะทำร้ายจิตใจของคนที่เกี่ยวข้อง แต่เพราะไม่อยากให้ความลับนั้นมาทำลายตัวเองเสียมากกว่า

ศักดิ์ศรีมันค้ำคอจนยชญ์ยอมที่จะเก็บงำมันเอาไว้กับตนเองและจำทนรับบทบาทที่ต้องแสดงต่อไป

โดยบางครั้งสิ่งที่คิดว่าฝืนทนเก็บงำเอาไว้มันได้ลบเลือนเอาความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งเขาเก็บซ่อนลึกไว้ภายใน

ลึกเสียจนตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้สึกถึงมัน...

 

อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพ ธันย์ขับรถพารัญชน์มายังแมนชั่นของตนเองที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก รัญชน์เดินไปที่หน้าต่างและเปิดผ้าม่านออก สายตากวาดมองไปยังข้างนอก วิวของกรุงเทพจากชั้นที่สี่สิบดูแปลกตาของรัญชน์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในบรูคลินจนเคยชินไม่น้อย

“ห้องนี้พี่ซื้อทิ้งไว้เมื่อสองปีก่อน ปกติแล้วให้พวกต่างชาติเช่าอยู่ แต่พอดีเมื่อเดือนก่อนคนเช่ารายสุดท้ายเขากลับไปญี่ปุ่นแล้ว และก็ยังไม่มีใครเช่าต่อ พี่คิดว่าให้รัญชน์มาอยู่ที่นี่น่าจะสะดวกกว่าไปอยู่โรงแรมนะ แถมยังอยู่ใกล้โรงพยาบาลด้วย”

ธันย์เดินเข้ามาใกล้และเอ่ยบอก รัญชน์หันมายิ้มน้อยๆอย่างขอบคุณให้กับญาติผู้พี่

“อ่ะ แล้วก็นี่กุญแจรถ เผื่อรัญชน์จะไปไหนเอง ในรถมีจีพีเอสอยู่แล้ว ใช้ได้ตามสบายเลยนะ”

“ขอบคุณครับ”

รัญชน์บอกแล้วรับกุญแจมา ธันย์มองสีหน้าหมองๆแล้วก็นึกเห็นใจไม่น้อย

“อยากได้อะไรอีกไหม? พี่จะได้หามาให้”

รัญชน์ส่ายหน้าช้าๆ ธันย์ยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะรัญชน์ไว้แล้วพยักพเยิดไปยังห้องนอน

“งั้นไปนอนพักก่อนเถอะ ตื่นมาจะได้สดใส เดี๋ยวพี่จะเข้าสำนักงานเสียหน่อย สักสี่โมงเย็นจะแวะมาหาก็แล้วกัน แล้วเราค่อยไปหารตาพร้อมกัน โอเคไหม?”

ธันย์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาให้ รัญชน์ฝืนยิ้มแล้วยกนิ้วเกี่ยวก้อยไว้ก่อนจะพยักหน้ารับ

ภายนอก..เมฆฝนที่มืดครึ้มตั้งแต่ตอนที่ธันย์พารัญชน์ออกมาจากโรงพยาบาลก็ทิ้งสายฝนลงมาโปรยปรายเหนือกรุงเทพ

กว่าจะเลิกงานก็เย็นค่ำมากแล้ว กวินท์ที่เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดยิ้มให้กับพยาบาลที่ทักทายขณะเดินสวนกัน บรรยากาศภายในโรงพยาบาลยามค่ำเงียบเหงากว่าตอนช่วงกลางวัน

กวินท์เดินอย่างไม่รีบร้อนแวะทักทายคนไข้บ้างเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลบ้างจนกระทั่งไปถึงลานจอดรถ

ปกติแล้วเวลาพักผ่อนของกวินท์มีไม่มากสักเท่าไหร่นัก อย่างในวันนี้ที่ได้หยุดพักตั้งแต่สองทุ่มถึงเจ็ดโมงเช้าก็ถือว่ามากกว่าหลายๆวันที่ผ่านมาแล้ว แต่ยิ่งทำงานหนักเท่าไหร่ ก็หมายความว่าทุกนาที ทุกชั่วโมงที่อยู่ในห้องผ่าตัดนั้น เขาได้ช่วยชีวิตคนไข้ให้มีชีวิตอยู่รอดมากยิ่งขึ้น

การเป็นแพทย์นั้นคืออาชีพที่กวินท์รักและอุทิศชีวิตให้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกวินท์ได้เห็นตัวอย่างจากพ่อซึ่งเป็นศัลยแพทย์ที่ประเสริฐที่สุดเท่าที่กวินท์เคยได้เห็นมา

ไม่ใช่เพียงแต่การเป็นแพทย์ของพ่อเท่านั้นที่กวินท์นับถือ

แต่ในด้านของครอบครัวและผู้ชายคนหนึ่ง กวินท์ก็นับถือพ่อมากที่สุด พ่อที่ทั้งใจดีและเข้าใจทุกคนรอบข้าง พ่อที่รักครอบครัว และแบ่งหน้าที่ของการเป็นแพทย์เพื่อช่วยรักษาชีวิตคน เป็นพ่อที่คอยสั่งสอนและดูแลเขา และเป็นสามีที่คอยเป็นคู่ชีวิตของแม่

เช่นเดียวกับแม่ที่เป็นทั้งแม่และภรรยาที่ดีที่สุด ทุกอย่างนี้กวินท์ยึดเอาเป็นแบบอย่างทั้งสิ้น

ทุกครั้งที่หลายคนบอกว่าเขาเป็นคนดีเหมือนพ่อ กวินท์จะยิ้มรับด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจและดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่

กวินท์อยากเป็นอย่างพ่อและอยากมีคู่ชีวิตที่รักและเข้าใจกัน พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างด้วยกันตลอดไป

แต่กวินท์ก็รู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นไม่เคยคิดที่จะขวนขวายหาความรักจากใครแม้ว่าตัวเองจะอยู่เป็นโสดมาตลอดก็ตามที นั่นเป็นเพราะเขามีใครบางคนที่แอบซ่อนเอาไว้ในใจมานานกว่าสิบห้าปี

ใครบางคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด ที่จะได้พบกันอีกครั้ง
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2013 22:26:03 โดย zynestras »

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
กวินท์คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งกลับถึงห้องพัก เขาเปิดไฟในห้องขึ้น ทุกอย่างภายในห้องถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดตาอย่างที่เป็นวิสัยปกติของเขา แต่มันก็เป็นห้องที่ไร้สีสันและดูแห้งแล้งไม่มีชีวิตชีวาด้วยเช่นกัน

กวินท์ถอดเสื้อโค้ทที่สวมไว้ไปแขวนก่อนจะเดินเข้าไปเปิดเพลงให้ห้องมันหายเงียบ เสียงเพลงพอจะคลายความเหงาให้จางหายลงไปได้บ้าง กวินท์ยิ้มอ่อนๆที่มุมปากขณะมองไปยังรูปวาดจี้สีฟ้าที่วางอยู่ตรงข้างชั้นสเตอริโอ

พอมองแล้วก็ให้นึกถึงรักแรกที่มอบใจให้ไป เป็นสิ่งที่ทำให้กวินท์หายเหงาได้ทุกครั้งที่นึกถึง

ป่านนี้...ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะยังคงมีแววตาที่ทั้งเศร้าและดื้อรั้นอยู่อีกไหม และเมื่อใด..ถึงจะกลับมาไทย...

กลับมาพบกับเขาตามที่เธอเคยให้สัญญาเอาไว้

แววตาที่ทั้งเศร้าและดื้อรั้น?

คำๆนี้ทำให้ใบหน้าของใครบางคนที่ได้พบกันในระยะเวลาสั้นๆเมื่อวานนี้ลอยเด่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...หัวใจของกวินท์เต้นผิดจังหวะอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่จะส่ายหน้าให้กับความคิดของตนเอง

คนๆนั้นเป็นผู้ชาย...คงไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา

กวินท์บอกตัวเองเช่นนั้นก่อนเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง หยาดน้ำฝนที่หยุดตกไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วยังคงเกาะอยู่บนบานกระจก

ศัลยแพทย์หนุ่มขยับเข้าไปใกล้บานกระจกและยกมือขึ้นมาแตะกระจกเอาไว้ หยาดน้ำค่อยๆไหลลงมาด้านล่าง แสงไฟสะท้อนเข้ามาพราวระยับเหมือนประกายอัญมณี

กว่าสิบห้าปีแล้วที่กวินท์เฝ้ามองดูน้ำฝนหยาดร่วงลงจากฟ้าท่ามกลางการรอคอยรักแรกของเขา

“เมื่อไหร่..ผมจะได้พบกับคุณกันนะ...”

กวินท์อยากรู้นัก..ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มีจี้พลอยสีฟ้าที่ชิงเอาหัวใจของเขาไปนั้น..

จะยังจำเขาได้หรือเปล่า...

คิดแล้วกวินท์ก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เขาฮัมเพลงตามเสียงเมโลดี้ของเพลงที่ดังอยู่ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไป น้ำอุ่นช่วยให้เขาผ่อนคลายได้เสมอๆ กวินท์เปิดน้ำให้ไหลวนลงไปในอ่างขณะที่ถอดเสื้อผ้าออกและลงไปแช่ เสียงเพลงในห้องนอนยังคงดังเข้ามาให้ได้ยิน

I know you're there
A breath away's not far
To where you are

ตื่นเช้ามาฝนก็กำลังตกอีกครั้ง..เหนือฟากฟ้าของกรุงเทพมันมืดครึ้มด้วยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวมาได้สามสี่วันแล้ว บรรยากาศเปียกชื้นมันพาให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าที่ควรนัก

เวลาพักผ่อนที่หาได้ยากของกวินท์มันกำลังจะหมดลงและกำลังเริ่มต้นเข้าสู่วันใหม่ที่กวินท์มุ่งมั่นที่จะตั้งใจทำงานเช่นเคย

หน่วยตาคมทอดมองออกไปข้างนอกตัวรถที่กำลังขับเคลื่อนไปตามท้องถนนอย่างช้าๆเพราะความแออัดบนเส้นทางจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนของวันทำงานที่ทุกคนก็ต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของตนเอง

ทุกครั้งที่ฝนตก ความรู้สึกและความทรงจำในช่วงเวลานั้นก็มักจะย้อนกลับมาอย่างแจ่มชัด สัมผัสชั่ววินาทีที่แผ่วเบา อ่อนหวานและซาบซึ้งเข้าไปถึงข้างในจิตใจ ทั้งยังตราตรึงไม่จางหายแม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตามที

รอยยิ้มวาดขึ้นมุมปากของร่างสูงขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้า
ไปในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของตนเอง ทิ้งเอาม่านสายฝนที่ปลุกความทรงจำแสนหวานให้หวนกลับคืนมาไว้เบื้องหลังเพื่อเผชิญหน้ากับหน้าที่ๆต้องทำในวันนี้ต่อไปอีกแปดชั่วโมง หนึ่งในนั้นคือการไปตรวจดูอาการของคุณหนูรตาลูกสาวของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา

นึกถึงรตาแล้วต้องให้นึกถึงน้องชายของเธออีกครั้ง

ยังจะอยู่หรือเปล่านะ..

ขณะเดียวกัน รัญชน์ที่อยู่ค้างคืนที่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานตอนที่มาหาพี่สาวอีกครั้งพร้อมกับธันย์ในช่วงเย็นกำลังยืนคุยกับพี่สาวอยู่ ประเด็นของการพูดคุยก็หนีไม่พ้นของชิ้นเล็กๆที่เป็นของสำคัญของพี่สาว

“มันขาดตอนวันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุน่ะ รัญชน์คิดว่าจะซ่อมได้ไหม?” รตาถามอย่างเป็นกังวล สายตาเฝ้ามองดูน้องชายของเธอพลิกดูสร้อยคอที่อยู่ในมือ

“ก็น่าจะได้นะ ยังไงเดี๋ยวผมเอาไปส่งซ่อมให้ ระหว่างนี้เอาของผมไปแทนก่อนก็แล้วกัน”

รัญชน์ว่าแล้วเอื้อมมือมาปลดสร้อยที่ตนเองสวมอยู่ออก จี้สีฟ้าที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อสะท้อนเป็นประกายกับแสงไฟที่เปิดไว้ตรงหัวเตียง รัญชน์จัดการเปลี่ยนสร้อยของพี่สาวที่ขาดให้เป็นสร้อยของตนเองแทน

“สำหรับพี่อาจจะยาวไปหน่อยมั้ง แต่ไว้ซ่อมเสร็จแล้วค่อยมาเปลี่ยนกลับไปก็แล้วกัน”

“อื้อ ขอบใจนะ”

รตาส่งยิ้มอย่างขอบคุณให้น้องชายที่จัดการเก็บสร้อยคอพร้อมจี้อันสำคัญของเธอลงกล่องคืนมาให้

“แล้วระวังอย่าให้ขาดอีกเส้นล่ะ”

รัญชน์ว่ายิ้มๆแล้วเก็บเอาจี้ของตัวเองพร้อมสร้อยที่ขาดของพี่สาวใส่กระเป๋ากางเกงไว้ พอดีกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น รัญชน์เบ้หน้าน้อยๆเมื่อเห็นหน้าแพทย์ที่เข้ามาตรวจดูอาการของพี่สาว

เห็นออกการทางสีหน้าของน้องชายแล้ว รตาก็อดไม่ได้ที่จะตีแขนขาวและส่ายหน้าอย่างนึกขำกับกิริยาของน้องชายที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนักก่อนหันไปทักทายคนที่เข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณหมอ”

“สวัสดีครับ”

กวินท์ตอบกลับมาอย่างสุภาพ เขาเหลือบมองใบหน้าดื้อรั้นของคนที่ถอยห่างออกไปยืนดูอยู่ใกล้ๆก่อนหันกลับมาหาคนไข้สาวที่ยิ้มแย้มให้อย่างสดใสแล้วเริ่มไตร่ถามถึงอาการอย่างที่เคยทุกวัน

รอยยิ้มแย้มบนใบหน้าของพี่สาวขณะตอบคำถามของศัลยแพทย์หนุ่มกับน้ำเสียงทุ้มที่ไตร่ถามอาการสลับกับเสียงลากปากกาเพื่อจัดบันทึกลงในแผ่นแฟ้ม มองดูยังไงก็ขัดหูขัดตาจนคนที่กอดอกอยู่แสดงทีท่าฮึดฮัดออกมาก่อนจะกระแทกส้นเท้าเดินปึงปังออกจากห้องพักฟื้นของพี่สาวออกไปด้านนอก

“ขอโทษนะคะที่ตารัญชน์ทำเสียมารยาทแบบนี้”

ร่างสูงในชุดกาวน์คลี่ยิ้มอ่อนๆก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่เป็นไรครับ”

กวินท์พับแฟ้มในมือลงก่อนจะยื่นให้กับพยาบาลรับไป

รอยยิ้มสวยหวานของคุณหนูรตาบางครั้งก็ทำให้เขานึกอึดอัดใจไม่น้อยระหว่างที่รับหน้าที่รักษาเธอเช่นนี้พอๆกับความคาดหวังของผู้เป็นบิดาของเธอ แต่เพราะต้องรักษามารยาทเอาไว้ร่างสูงจึงยิ้มให้เธออย่างสุภาพ

“ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วตอนเย็นจะมาใหม่อีกครั้ง”

ดวงตาของหญิงสาวบ่งบอกความเสียดายให้กวินท์รู้สึกอึดอัดใจหนักขึ้นไปอีก

เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกไป แต่มือของเธอก็เอื้อมมาดึงชายเสื้อเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนค่ะ..อ๊ะ!”

บางสิ่งที่กวินท์ไม่ทันสังเกตในตอนแรกเพราะหญิงสาววางมือทับมันเอาไว้กลิ้งตกจากเตียงเนื่องจากรตาปัดมันหล่น

กล่องเล็กๆนั้นตกกระแทกพื้นจนฝามันเปิดออก ของที่อยู่ในนั้นหล่นออกมากองอยู่กับพื้น ศัลยแพทย์หนุ่มที่ถูกรั้งไว้ก็ย่อตัวลงมาเก็บให้กับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง

กวินท์เลิกคิ้วเมื่อเห็นสิ่งที่ตกอยู่ มันเป็นสร้อยทองคำขาวที่มีจี้รูปหยดน้ำประดับพลอยคล้องเอาไว้ รูปแบบของจี้ที่กวินท์ปรารถนาที่จะได้เห็นอีกครั้งมีโดยตลอดมันหยุดสายตาของเขาไว้

ศัลยแพทย์หนุ่มหยิบมันขึ้นมาพินิจมองด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เขาหยิบมันขึ้นมาและลุกขึ้นยืนมองหน้าของคนไข้สาว

“ของคุณหรอครับ?”

“ค่ะ”

รตายิ้มให้เขาและยื่นมือไปรับมันมา ประกายสีชมพูอ่อนบนพลอยเม็ดใสยังสะท้อนอยู่ในดวงตาคมที่จับจ้องมองอยู่

“สวยดีนะครับ แบบแปลกตาดี ผมไม่เคยเห็นจี้แบบนี้มาก่อน”

กวินท์เอ่ยอย่างลองเชิงดู เขาเคยตามหาจี้แบบนี้มาหลายหนจนเริ่มท้อ แต่อยู่ๆมันก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

เพียงแต่สิ่งเดียวที่เขาติดใจ..ก็คือสีชมพูที่สะท้อนอยู่กับประกายของพลอยเม็ดโตนั้น กวินท์ยังจำได้ดีถึงภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆซึ่งสวมสร้อยคอที่ห้อยจี้แบบนี้โดยมีม่านน้ำฝนเป็นฉากหลัง

และประกายของพลอยเม็ดนั้น มันเป็นสีฟ้าไม่ใช่สีชมพูเช่นนี้

“เป็นจี้ที่คุณแม่ของฉันออกแบบเองค่ะ ไม่มีขายทั่วไป ท่านให้ตอนวันเกิดอายุสิบขวบของฉัน คุณหมอชอบหรอคะ?”

รตาถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ เธอมองดูจี้ในมือของตัวเองสลับกับใบหน้าหล่อคมของคุณหมอที่ยังคงจับจ้องไปที่สร้อยเส้นสำคัญของเธออย่างไม่วางตา

“เห็นว่าแบบมันสวยดีน่ะครับ ยังไงผมก็ขอตัวก่อนนะครับ”

ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยลาอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากห้องของเธอ กวินท์ยังรู้สึกว่าหัวใจยังคงเต้นรัวอยู่ไม่น้อยที่ได้เห็นสร้อยเส้นนั้น

โดยไม่รู้เลยว่าจี้พลอยสีฟ้าที่เขาตามหาอยู่นั้น..อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมของเขาเลย

พอเห็นศัลยแพทย์หนุ่มเดินออกมาแล้ว รัญชน์ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงริมระเบียงด้านนอกก็เมินหน้าหนี กวินท์ที่เดินออกมาเจอว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่นั้นก็นิ่วหน้าก่อนจะเปรยขึ้นมา

“ที่นี่คือโรงพยาบาล ผมว่าคุณไม่ควรจะสูบบุหรี่นะครับ”

น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยสำเนียงตำหนิทำให้รัญชน์ต้องชักสีหน้า

ร่างบางกดบุหรี่ลงกับที่ตลับเขี่ยแล้วเดินกระแทกส้นเท้ากลับเข้าไปในห้อง โดยทิ้งสายตาไม่พอใจที่ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยตำหนิไว้ตอนที่เดินสวนกัน

กวินท์มองตามไล่หลังไปก่อนจะส่ายหน้าช้าๆกับกิริยาที่ไม่น่ารักของอีกฝ่าย ได้เจอหน้าลูกชายคนเล็กของผู้อำนวยการมาสองครั้ง กวินท์ก็สัมผัสได้แต่ความดื้อรั้นของอีกฝ่าย

ไม่สิ...บางอย่างในแววตาคู่สวยที่แสนดึงดูดนั่น ไม่ได้มีแค่ความดื้อรั้น..มันมีความเหงาและความอ้างว้างซ่อนเอาไว้อย่างที่เจ้าตัวคงไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้เห็นด้วย ถึงได้ดึงเอาความดื้อรั้นออกมากลบเกลื่อนเอาไว้

มันเป็นเพราะอะไรกันนะ...

คิดแล้วกวินท์ก็ต้องยิ้มขำตัวเองขณะเดินนำนางพยาบาลออกไป แต่รอยยิ้มนั้นกลับสะดุดคนที่เดินสวนมาจนต้องเอ่ยถาม

“กวินท์มีเรื่องอะไรดีๆหรือไง ถึงได้เดินไปยิ้มไปน่ะหืม?”

กวินท์ชะงักเท้าก่อนเงยหน้าขึ้นมาคนที่เอ่ยทัก ธันย์ที่หิ้วอาหารเช้ามาให้รัญชน์ส่งรอยยิ้มสดใสมาให้เขา กวินท์หันไปพยักหน้าให้พยาบาลล่วงหน้าไปยังห้องคนไข้รายต่อไปก่อน

“ขำญาติของพี่น่ะสิ”

“รตาน่ะหรอ?” ธันย์ถามพลางเลิกคิ้ว กวินท์เลยส่ายหน้า

“ไม่ใช่ คนน้องน่ะ”

“รัญชน์น่ะหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”

“ชื่อรัญชน์อย่างนั้นหรอ ชื่อน่ารักดีนะ” ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยชมก่อนจะเล่าเรื่องให้ฟัง

“เขาคงไม่พอใจผมอะไรสักอย่าง เลยเดินออกจากห้องมายืนสูบบุหรี่อยู่ตรงริมหน้าต่าง พอผมเตือนเขาก็ชักสีหน้าใส่ผมเดินกระแทกเท้ากลับเข้าห้องไป ดูท่าคงจะเกลียดขี้หน้าผมแล้วล่ะ”

ธันย์ฟังแล้วก็หัวเราะก่อนจะตบบ่าของเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทไปสองสามที

“รัญชน์น่ะอาจจะดูเป็นเด็กดื้อ แต่จริงๆเป็นเด็กดีนะ แค่ออกจะมีโลกส่วนตัวสูงไปหน่อยเท่านั้นแหละ ไว้เย็นนี้เลิกงานแล้วขึ้นมาสิ จะแนะนำให้รู้จัก รัญชน์กับกวินท์มีอะไรหลายอย่างที่ชอบเหมือนๆกัน ได้คุยกันบ้างน่าจะถูกคอนะ”

กวินท์พยักหน้ารับทั้งที่รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของธันย์ไม่น้อย

เขากับรัญชน์ชอบอะไรหลายอย่างเหมือนๆกันอย่างนั้นหรอ?

กวินท์นึกแล้วก็อดคิดไปถึงหลายวันก่อนที่รตาเอาของว่างมาให้เขาตอนกลางคืนก่อนเขาเข้าเวรดึกไม่ได้

วันนั้นหญิงสาวบอกเขาว่าเขาชอบพายแอปเปิ้ลกับอเมริกาโน่เหมือนกับน้องชายของเธอ วันนี้ธันย์ก็มาพูดอีกว่าเขากับรัญชน์ชอบอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกัน

ศัลยแพทย์หนุ่มอดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่ายังจะมีอะไรนอกเหนือพายแอปเปิ้ลกับอเมริกาโน่อีกที่รัญชน์ชอบเหมือนกับเขา

อีกด้านภายในห้องพักฟื้นของรตา รัญชน์เดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปหาพี่สาว ใบหน้าชวนมองของเขายังคงบึ้งตึงจนคนเป็นพี่อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและยกมือขึ้นมาหยิกไหล่น้องชาย

“มารยาทไม่ดีเลยนะรัญชน์ ทำกิริยาแบบนั้นกับคุณหมอกวินท์ได้ยังไงกัน”

กวินท์!?

“พี่บอกว่าหมอคนนั้นชื่ออะไรนะ? กวินท์อย่างนั้นหรอ!?”

ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของพี่สาวทำให้หัวใจของรัญชน์เต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง ทั้งกายเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมา ทั้งความช็อกและความดีใจมันวิ่งพล่านไปทั่ว

“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า?”

รตาถามอย่างงุนงงกับปฏิกิริยาของน้องชาย

แต่รัญชน์ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เขาผลุนผลันออกจากห้องไปอีกครั้ง

กวินท์ยืนอยู่ตรงสุดปลายทางเดินนั่น แต่ขาของรัญชน์กลับก้าวต่อไปไม่ออก เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องของพี่สาว ดวงตาจ้องมองไปยังรักแรกของตนด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่โถมเข้ามาพาให้สับสน

ทั้งนึกกลัวและไม่กล้าที่จะเข้าไปหาเพราะคาดเดาไม่ถูกว่ากวินท์จะมีปฏิกิริยายังไงเมื่อได้พบเขา

จะจำได้ไหม..กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พบกันเมื่อสิบห้าปีก่อน

จะยังจำคำสัญญาที่เคยพูดออกมาได้หรือเปล่า

และกวินท์จะจำรัญชน์คนนี้ได้หรือเปล่านะ..

หรือจะลืมกันไปแล้ว ในเมื่อเวลามันก็ผ่านไปเกือบสิบห้าปีแล้ว ขนาดหน้าตา..รัญชน์ยังจำไม่ได้เลย

สิ่งที่ยังคงจำได้..มันก็เป็นเพียงรสจูบแผ่วหวานท่ามกลางเสียงฝนที่ตกลงมากระทบพื้นไม้เท่านั้น...

รสจูบที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดมา

พอนึกถึงแล้ว..รัญชน์ก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาแตะกับริมฝีปากของตนเอง ใบหน้าน่ารักนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เพราะมัวแต่ลังเลและรีรออยู่นั้นเอง กวินท์ที่คุยกับธันย์เสร็จแล้วก็หันหลังเดินเข้าไปในลิฟต์เสียก่อน

รัญชน์ถอนหายใจด้วยความเสียดายกับความไม่กล้าของตนเองและต้องรีบปรับสีหน้าของตนเองเมื่อธันย์เดินเข้ามาหา

“ว่าไงเรา จะออกมาหาเรื่องกวินท์หรือไง?”

ชื่อของกวินท์ดังออกมาจากปากของญาติผู้พี่มันเหมือนกระชากหัวใจรัญชน์ให้เต้นแรงอีกรอบ

ร่างบางเม้มริมฝีปากสะกดความตื่นเต้นข้างใน

แต่อากัปกิริยานั้นพาให้ธันย์เข้าใจไปว่ารัญชน์กำลังขุ่นเคืองอะไรศัลยแพทย์หนุ่มอยู่ เขาตั้งท่าจะเปลี่ยนเรื่องแต่รัญชน์ก็โพล่งถามขึ้นมาก่อน

“หมอคนนั้น..ชื่อกวินท์อย่างนั้นหรอ?”

คำถามนี้ต้องทำให้ธันย์ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะพยักหน้าทั้งที่ยังคงสงสัยอยู่

“ใช่ คุณหมอกวินท์..กวินท์น่ะ รัญชน์อาจจะไม่คุ้น แต่เป็นลูกชายคนเดียวของคุณอากสิณไง มีอะไรหรือเปล่า?”

รัญชน์สั่นศีรษะให้กับคำถามที่ย้อนถามกลับมา หัวใจที่เต้นแรงมันกำลังบีบรัดอยู่ในอกของรัญชน์ คงจะเป็นกวินท์เดียวกันกับที่เป็นรักแรกของเขาแน่ๆ รัญชน์ยังคงจำคำถามที่ผู้เป็นแม่ย้อนถามกลับมาหลังจากที่รัญชน์ได้พบกับกวินท์ได้เป็นอย่างดี

‘กวินท์? ลูกชายของคุณอากสิณใช่ไหม?’

“ว่าแต่รัญชน์ถามทำไมหรอ?” ธันย์ถามอย่างไม่หายสงสัย รัญชน์สะดุ้งอย่างมีพิรุธ

“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พี่สนิทกับเขาหรอ? เห็นยืนคุยเหมือนสนิทกันเลย”

“อืม กวินท์น่ะเคยเป็นรูมเมทกับพี่ตอนสมัยเรียนที่ลอนดอนเมื่อหลายปีก่อนน่ะ หมอนี่น่ะเรียนเก่งมากเลยนะ ฝีมือการผ่าตัดก็เป็นเลิศ คุณลุงถึงได้เรียกให้กวินท์มารับผิดชอบเคสผ่าตัดของรตาไง”

ธันย์พูดอย่างภูมิใจในตัวเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทที่แสนเก่งของเขา โดยไม่ทันสังเกตอาการของรัญชน์ที่รับฟังอยู่ว่าดูจะสนใจในข้อมูลที่ได้ยินมากแค่ไหน

“เขา..เป็นศัลยแพทย์อย่างนั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว มือหนึ่งของที่นี่เลยล่ะ เพิ่งจะเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกศัลยแพทย์เมื่อต้นปีนี้เอง ดูท่าทางแล้วคุณลุงจะคาดหวังเอาไว้มาก ทั้งเรื่องโรงพยาบาลที่จะให้สานต่อแล้วก็เรื่องแต่งงานกับรตา”

สิ่งที่ธันย์พูดทำให้รัญชน์ตกตะลึงจนลืมสังเกตว่าญาติผู้พี่นั้นมีน้ำเสียงและแววตาหม่นหมองมากเพียงใด

รัญชน์มองหน้าธันย์แต่ในใจมีแต่ประโยคที่ธันย์บอกว่าพ่อของเขาต้องการให้รักแรกของเขาแต่งงานกับพี่สาวซ้ำไปซ้ำมาราวกับมีใครอัดเทปมาเปิดซ้ำๆให้ฟัง

“พ่ออยากให้เขาแต่งงานกับพี่รตาอย่างนั้นหรอ?”

“ใช่..แล้วดูท่า รตาเองก็มีใจให้กวินท์ด้วยอยู่เหมือนกัน”

ธันย์พูดออกไปโดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่ามันไม่ได้ทำร้ายหัวใจของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่กับญาติผู้น้องที่ยืนนิ่งเงียบไปนั้นก็ถูกทำร้ายด้วยเช่นกัน

“เขาเป็นคนดีใช่ไหม?"

รัญชน์ถามออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง เขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงสิบนาที น้ำเสียงที่เอ่ยตักเตือนเขาไม่ให้สูบบุหรี่มันยังคงก้องอยู่ที่หูจนรัญชน์นึกเสียใจที่ทำกิริยาไม่ดีไปให้กวินท์ได้เห็นเช่นนั้น

"อืม เป็นผู้ชายที่นิสัยดีมากเลยล่ะ"

ถ้าอย่างนั้นเขาควรจะดีใจสินะ ที่พี่สาวของเขาจะมีคู่ครองที่เหมาะสมและเป็นคนดีอย่างกวินท์

ทว่า..ภายในหัวใจมันเจ็บแปลบ ราวกับเกิดบาดแผลที่มองไม่เห็นขึ้นบนก้อนเนื้อที่กำลังเต้นช้าลง รัญชน์ฝืนยิ้มให้กับญาติผู้พี่

"ว่าแต่พี่เอาอะไรมาบ้าง? ผมหิวแล้วล่ะ"

"พี่ซื้อมาหลายอย่างเลยล่ะ แต่เป็นอาหารไทยมั้งนั้นเลยนะ คิดว่ารัญชน์น่าจะคิดถึงรสชาติไทยดั้งเดิมน่ะ"

รัญชน์พยักหน้าทั้งที่ยังคงฝืนยิ้มให้ กล้ำกลืนเอาความเจ็บปวดที่เคยคิดกลัวลงไปซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ธันย์รู้

"ดีเลย งั้นเข้าไปทานกันดีกว่า พี่เองก็ยังไม่ทานมาใช่ไหมล่ะ"

รัญชน์ว่าอย่างรู้ดีในนิสัยของพี่ชาย ตอนที่ธันย์ไปเรียนต่อโทที่นิวยอร์กและอาศัยอยู่ในแมนฮัตตันก็มักจะมาหารัญชน์ที่บรูคลินอยู่เสมอๆ

มาแล้วก็ไม่มามือเปล่า มักจะหิ้วอาหารมาด้วยซึ่งก็หนีไม่พ้นอาหารไทยเกือบทุกครั้ง มีทั้งที่ธันย์ลงมือทำเองและซื้อมาจากเจ้าประจำ บางครั้งก็ซื้อของสดมาทำที่แมนชั่นเขาก็มี

"ก็แน่นอนอยู่แล้ว มากินกับนายดีกว่านั่งกินคนเดียวแล้วมานั่งมองนายกินนี่นา"

รัญชน์พยักหน้าเข้าใจก่อนดันไหล่พี่ชายที่แสนใจดีให้เดินเข้าไปในห้องที่เขาหันไปเปิดประตูให้ แต่ก่อนจะเดินตามเข้าห้องไป รัญชน์ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังลิฟต์อีกครั้งอย่างคาดหวังว่าจะได้พบกับกวินท์อีกรอบ

ทว่าคนที่ออกมาจากลิฟต์ซึ่งขึ้นมาถึงชั้นพอดีนั้นกลับไม่ใช่กวินท์

แต่เป็นพ่อของเขาเองที่ชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา

รัญชน์ละมือจากบานประตู เขาก้มหน้าลงเพราะไม่อยากสบตากับผู้เป็นพ่อ ไม่อยากเห็นแววตาชิงชังที่รัญชน์ได้แต่เดาว่ามันเป็นเพราะตัวเขาทำให้พ่อคิดถึงแม่ที่ทรยศหนีไปแต่งงานใหม่กับภวัต

"แกยังไม่กลับไปอเมริกาอีกหรือ?"

น้ำเสียงของพ่อลดความดุดันลงจากเมื่อวาน แต่ก็ยังแสดงชัดถึงความห่างเหิน

"ผมคงจะอยู่อีกสองสามวันก็จะกลับไปครับ พ่อ..สบายดีนะครับ?"

รัญชน์กลั้นใจถามออกไป เขาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น มองหน้าพ่อที่เขาคิดถึงมาตลอดและได้เห็นแววตาห่างเหินอย่างถือตัวจากพ่อที่เคยรักและใจดีของเขา

"ก็สบายแต่ตัว ส่วนใจน่ะ อาจจะสบายขึ้นถ้าแกกลับไปอยู่กับแม่ของแกที่อเมริกา ฉันไม่อยากมีปัญหากับแม่แก เข้าใจไหม?"

น้ำเสียงบังคับเป็นกลายๆว่าให้เขารีบกลับไปอเมริกา หรือไปให้พ้นหน้าเสียตั้งแต่ตรงน้ำ รัญชน์เม้มริมฝีปากอย่างขมขื่นก่อนพยายามฝืนยิ้ม

"พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ จะไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น ผมรับรอง"

"ก็ดี"

ยชญ์พูดสั้นๆก่อนเดินผ่านรัญชน์เข้าไปในห้อง ทิ้งรัญชน์ให้อยู่กับความเจ็บปวดของการที่กลายเป็นลูกที่พ่อไม่รัก น้ำตามันเรื้อรินขึ้นมาบนหน่วยตาคู่งาม รัญชน์สูดลมหายใจเข้าลึกๆและแหงนหน้าขึ้น

เขา..ไม่อยากเสียน้ำตาให้กับความอ่อนแอที่แสนจะเคยชินของตนเอง

-TBC-

ออฟไลน์ Maprang_W

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
อยู่กับแม่ก็ไม่ได้ อยู่กับพ่อพ่อก็ดันมาเกลียด มันจะอะไรนักหนาครอบครัวนี้สงสารรัญ (ชื่อ่านว่ายังไงคะ ช่วยเขียนเป็นคำอ่านให้หน่อย พอดีอยากรู้ค่ะ)

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com


  ตอนที่ ๔

 

“โตขึ้นฉันจะเป็นหมอ จะกลับมาทำงานที่นี่ เธอกลับมาอีกครั้ง เราจะได้เจอกันอีกไง..”

สายฝนที่ผ่านมาในม่านสายตากับเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงกับพื้น สัมผัสเปียกชื้นที่สาดกระเด็นลงบนใบหน้า ทุกอย่างนี้มันกำลังเคาะ ความทรงจำเก่าๆให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

รัญชน์ยิ้มอย่างเศร้าๆกับความทรงจำอันแสนดีนั้น

มันเป็นรักแรกพบ..

ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่เหนือท้องฟ้าของกรุงเทพเมื่อสิบห้าปีก่อนและเป็นรักเดียวที่เขาปรารถนามาโดยตลอด..

เด็กผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวนัยน์ตาคมที่ได้พบกันโดยบังเอิญเพียงครั้งเดียว..ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทิ้งความทรงจำอันแสนหวานให้กับเขาจนไม่อาจลืมได้..

ทั้งที่เคยเฝ้าฝันให้ได้เจอกันอีกครั้ง..

แต่ก็ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่าจะได้เจอกันอีกทีอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้

รัญชน์คงจะดีใจไม่น้อยที่ได้พบกับกวินท์อีกครั้ง..

หากไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นพี่สาวที่มีต่อกวินท์

รัญชน์ยิ้มหยันให้กับความรู้สึกของตนเองในยามนี้ก่อนเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่ขมุกขมัวไม่ต่างอะไรกับความรู้สึก

จะทำอย่างไรดี..

จะค้นหาความรู้สึกนี้ต่อหรือไม่...

กวินท์เอง...จะรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า

คำพูดที่เคยบอกว่าจะรอเพื่อให้ได้พบกันอีกครั้ง กวินท์ยังจะจำมันได้ไหม...

รัญชน์จะคาดหวังเกินไปไหม...

ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่อีกฝ่ายกลับมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้..ก็เพราะอยากจะพบกันอีกครั้ง..ทั้งที่กวินท์อาจเพียงสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อก็เป็นได้

เขาอาจจะลืมไปแล้ว อาจไม่เคยใส่ใจอีกเลย

กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอีกคน...

ที่เคยได้จูบกันท่ามกลางสายฝนเมื่อสิบห้าปีก่อนอย่างรัญชน์...

สายฝนยังตกโปรยปรายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเวลาเลิกงานของกวินท์ สาเหตุก็คงเป็นเพราะลมมรสุมที่พัดผ่านเข้ามาจากทางทะเล กวินท์มองดูท้องฟ้าที่ดูมืดราวกับหัวค่ำแล้วก็ถอนหายใจช้าๆ

ศัลยแพทย์หนุ่มดึงเอาสายหูฟังจากคอของตัวเองไปแขวนไว้ที่ผนังอันเป็นที่ประจำของมันก่อนส่งแฟ้มของคนไข้รายสุดท้ายของวันนี้ให้กับนางพยาบาลที่เข้ามารับไปแล้วถึงเดินออกมาจากห้องตรวจ

เพราะคืนนี้เขาเป็นเวรต้องอยู่ต่อตอนหลังจากเที่ยงคืน กวินท์เลยเลือกที่จะขึ้นไปงีบบนห้องพักของเขาที่อยู่บนชั้นวีไอพีซึ่งเคยเป็นห้องพักของพ่อเขามาก่อนที่จะปลดเกษียณเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถฝ่าสายฝนกลับไปยังที่พักของเขาให้มันลำบากเสียเปล่าๆ

กวินท์ยิ้มรับคำทักทายจากทั้งนางพยาบาลและคนไข้ที่เดินสวนมาก่อนที่จะปลีกตัวเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยบันไดหนีไฟ

เขาเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ความคิดจมอยู่กับจี้ห้อยคอของคนไข้สาวที่เขาได้เห็นเมื่อเช้าอีกครั้ง

แต่กวินท์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อความคิดของเขาถูกรบกวนด้วยใบหน้าน่ารักกับสายตาขุ่นมัวของลูกชายคนสุดท้องของผ.อ.ยชญ์

พอพบว่าความคิดของตนเองมันไปหยุดอยู่ที่เด็กคนนั้นแล้ว กวินท์ก็ต้องส่ายหน้าให้กับตัวเอง อะไรบางอย่างในแววตาดื้อรั้นคู่นั้นมันทำให้กวินท์รู้สึกคุ้นเคยจนต้องเก็บมาคิดกันนะ..

ศัลยแพทย์หนุ่มเพียรนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียทีจนน่าโมโห

กวินท์ยังจมอยู่กับความสงสัยของตัวเองจนกระทั่งเดินขึ้นมาจนถึงชั้นวีไอพี

สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตาของศัลยแพทย์หนุ่มทันทีที่เปิดประตูออกไปตรงนอกระเบียงที่จะเป็นทางเข้าไปยังห้องพักด้านนอกของเขาทำให้สองขาหยุดชะงักลงอย่างสงสัย

แผ่นหลังเล็กสมส่วนของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนตากฝนอยู่ มันพาให้เขาเดินเข้าไปหาพร้อมกับคิ้วเรียวเข้มที่ขมวดขึ้นวงหน้าคมดูดุขึ้นราวกับไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น

“ทำไมคุณถึงมายืนตากฝนอยู่แบบนี้?”

พอเข้าไปใกล้แล้วดึงอีกฝ่ายให้เข้ามายังด้านในของระเบียงที่ไม่โดยฝนสาดแล้วกวินท์ถึงได้รู้ว่าเจ้าของแผ่นหลังเล็กนี้คือคนที่ตนเองกำลังคิดถึงอยู่ แม้รัญชน์จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาก็ตามที

กวินท์สะกดอารมณ์ของตัวเองที่อยู่ดีๆก็เริ่มใจเต้นขึ้นมาอีกครั้งยามมองใบหน้าใสของอีกฝ่ายที่ละอองฝนมันยังคงสาดกระทบเข้ามาเพราะแรงของลมกลางคืนบนชั้นที่สิบเก้านี้

รัญชน์นิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของศัลยแพทย์หนุ่ม

เขาเอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นไม้บนระเบียง น้ำฝนที่สาดเข้ามามันค่อยไหลลงไปตามร่องของระเบียงไม้ที่จัดไว้เป็นสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนนี้

รัญชน์มองมันทั้งที่รู้ว่ามองไปก็ไร้ประโยชน์แต่ก็ยังเลือกที่จะมองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองหน้าคู่สนทนาที่อยู่ๆก็มาปรากฏกายให้เขาทั้งรู้สึกยินดีและอึดอัดไปพร้อมๆกัน

“เข้าไปข้างในก่อนเถอะ..”

ศัลยแพทย์หนุ่มบอกแล้วดึงแขนจะพาคนตัวเล็กให้กลับเข้าไปด้านในของตึก แต่รัญชน์กลับยืนนิ่งไม่ยอมเดินไปตามแรงดึงของเขา

กวินท์จึงหันมามองหน้ารัญชน์อีกครั้งทั้งที่มองไปก็เห็นแต่อีกฝ่ายก้มหน้าไม่ยอมเงยมามองเขา

ศัลยแพทย์หนุ่มพรูลมหายใจออกช้าๆก่อนจะดึงแขนให้รัญชน์เข้าไปในห้องพักของเขาที่อยู่ด้านในของระเบียง

รัญชน์ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินตามไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่หัวใจกำลังบงการ..

ภายในห้องพักของศัลยแพทย์หนุ่มดูสะอาดตาและเป็นระเบียบ ราวกับถอดรูปลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

รัญชน์ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูหลังจากเดินเข้าไปแล้วรู้สึกได้ว่าไม่อยากทำให้พื้นห้องที่เป็นไม้ปาร์เก้ต์สีเข้มนี่ต้องเปื้อนน้ำฝนที่ไหลหยดลงจากตัวของเขา

กวินท์หันมาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่

ค่ำวันนี้ลูกชายคนเล็กของผู้อำนวยการดูนิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าทุกครั้ง ใบหน้าที่ดูไม่ค่อยเหมือนเพศชายสักเท่าไหร่นักของรัญชน์มันระบายไปด้วยความกังวลใจที่กวินท์สัมผัสได้...

และก็รุนแรงมากพอที่ทำให้กวินท์ยื่นมือออกไปวางทาบกับศีรษะเล็กที่เปียกชุ่มนั่นอย่างอ่อนโยนดั่งผู้ใหญ่ที่ต้องการจะปลอบเด็กหลงทางให้หายหวั่นวิตก

รัญชน์ค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมามองร่างสูง เมื่อสบตากันแล้ว กวินท์ก็รู้สึกเหมือนบางอย่างมันกำลังทำให้เขาตัวชา

ถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว โครงหน้าของรัญชน์ที่กำลังสบตาเขาอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับรตาผู้เป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย ทั้งลักษณะดวงตาคู่สวยเหมือนลูกแก้ว สันจมูกเรียวสวยหรือริมฝีปากได้รูปสีชมพูอ่อนนั่นก็ด้วย

จะมีเพียงความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือแววตาที่ดูดื้อรั้นและหยิ่งทะนงตน ต่างจากผู้เป็นพี่สาวที่ดูมีจริตจะก้านอย่างหญิงสาว

แต่ที่ทำให้กวินท์รู้สึกตัวชานั้นก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาดื้อรั้นของเด็กหนุ่ม

ความเหงา...ความเดียวดาย มันถูกซ่อนไว้ลึกๆในความดื้อรั้นราวกับเป็นบาดแผลเก่าที่ไม่มีวันจางหาย...

ใช่แล้ว...

มันเหมือนกับแววตาของเด็กคนนั้น...

คนที่ได้ซุกอิงแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของกวินท์มานานกว่าสิบห้าปีคนนั้น...

เพราะแววตาคู่นั้นเอง มันทำให้กวินท์เลื่อนมือจากกลางกระหม่อมลงมาประคองแก้มของรัญชน์แทน

ทั้งสองยังคงสบตากันขณะที่รัญชน์ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างท้อแท้ที่จะคิดหาทางออกให้กับความรักของตนเอง

และความท้อแท้นั้นเองที่ทำให้รัญชน์เบี่ยงหน้าออกจากฝ่ามืออบอุ่นของศัลยแพทย์หนุ่ม พาให้กวินท์รู้สึกตัวจากภวังค์ที่เห็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักเมื่อสิบห้าปีก่อนทับซ้อนบนใบหน้าของรัญชน์ทันทีด้วยเช่นกัน

เขาสูดลมหายใจลึกๆและพยายามปัดสิ่งที่รบกวนจิตใจจนพาให้รู้สึกเก้อเขินที่จะมองหน้าเด็กหนุ่มออกไปด้วยการหันหลังให้

“จะไปเอาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้ามาให้”

รัญชน์ได้ยินเขาพึมพำแบบนั้นก่อนจะหายไปด้านในของห้องที่มีฉากกั้น รัญชน์ได้แต่ยืนนิ่งก้มหน้ามองดูหยดน้ำที่ไหลจากเรือนผมชุ่มชื้นของเขาโดยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี

กวินท์เปิดประตูตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่วางตั้งเอาไว้อีกฝั่งของผนังซึ่งตรงกันข้ามกับเตียงนอนหลังเล็กที่เขาไว้ใช้พักผ่อนยามอยู่ระหว่างรอเข้าเวรซึ่งจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปยังคอนโดของเขา

สายตาคมดูเหม่อลอยเล็กน้อยยามเมื่อมองดูตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ กวินท์ยกมือขึ้นมาทุบหน้าผากตัวเอง เขาลืมไปแล้วว่าเมื่อวานเพิ่งจะขนเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ที่นี่เอากลับไปซักและก็ยังไม่ได้เอากลับมา

ยังเคราะห์ดีอยู่บ้างที่ยังเหลือผ้าขนหนูผืนใหญ่สองผืนวางพับเอาไว้

กวินท์หยิบมันมายื่นให้กับรัญชน์ พลางนึกกังวลใจที่เขาไม่มีเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเพื่อกำจัดเสื้อที่เปียกชุ่มซึ่งคนตัวเล็กสวมอยู่ในตอนนี้ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มซึ่งตั้งท่าจะไม่เป็นมิตรกับเขาสักเท่าไหร่จากอาการที่รัญชน์แสดงออกเมื่อเช้า

แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่านิสัยชอบช่วยเหลือคนอย่างมีเมตตาตามประสาคนที่ถูกปลูกฝังให้เติบโตมาเป็นหมอตั้งแต่เยาว์วัยหรือเพราะกวินท์ทนไม่ได้กับความเหงาที่ค้นพบในแววคู่นั้นของเด็กหนุ่มกันแน่ที่ทำให้อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปหาและยื่นมือเข้าไปปลอบประโลม

“คุณเข้าไปอาบน้ำแล้วเป่าผมให้แห้งเถอะ ระหว่างนี้ผมจะให้แม่บ้านเอาเสื้อผ้าคุณไปซักแห้งให้”

รัญชน์ทำแค่เหลือบมองสีหน้าของกวินท์และรับเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวกลิ่นสะอาดมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาอย่างรำคาญใจหรือสักแต่ว่าจะช่วยเพราะเขาเป็นลูกของผู้อำนวยการ

“ขอบคุณ”

คราวนี้เป็นกวินท์บ้างที่ได้ยินเสียงพึมพำออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่ม เขากระตุกยิ้มจางๆที่มุมปากยามมองเจ้าของร่างเพรียวพาตนเองที่เปียกโชกเดินเข้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับประตูทางเข้า

“ถอดเสร็จแล้วส่งเสื้อมาให้ผมก่อนนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะแอบดูหรอก” รัญชน์ที่กำลังจะก้าวผ่านกรอบประตูห้องน้ำเข้าไปหันมาชำเลืองมองศัลยแพทย์หนุ่มอีกครั้ง

เขาพยักหน้าแทนการบอกว่ารับรู้แล้วก่อนเดินเข้าไปข้างใน กวินท์ยิ้มให้กับความว่าง่ายของเด็กหนุ่ม ไม่ถึงนาทีรัญชน์ก็เคาะประตูเบาๆและยื่นเสื้อผ้าออกมาให้กับเขา

“ชั้นในด้วย”

กวินท์ด้วยน้ำเสียงเรียบๆแม้ในใจจะนึกกระดากอายอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่ามีเพียงเสื้อกับกางเกงเท่านั้น

คนข้างในก็นึกเขินไม่แพ้กันที่ต้องยื่นเอาส่วนปกปิดสิ่งสำคัญของตัวเองออกไปให้คนที่ไม่คุ้นเคยกัน

รัญชน์หน้าร้อนตัวร้อนไปหมด และแน่ใจว่ามันไม่ใช่เพราะพิษไข้แน่ๆ เขารีบปิดประตูห้องน้ำทันทีเมื่อกวินท์รับชั้นในของเขาไป

เห็นปฏิกิริยานั้นแล้ว จากตอนแรกที่เก้อเขิน กวินท์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำออกมากับตัวเอง

ลึกๆ กวินท์อดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ว่าเขา..

กำลังต้องการจะรู้จักตัวตนของเด็กคนนี้ให้มากขึ้น

ศัลยแพทย์หนุ่มเอาเสื้อผ้าของรัญชน์ไปฝากให้แม่บ้านช่วยซักรีดให้ ในขณะที่ตัวเองนั้นเดินกลับเข้ามาในห้องและใช้เพียงแต่ผ้าขนหนูผืนที่เหลือซับน้ำออกจากเรือนผมและเสื้อผ้าของตัวเอง

เขาไม่ได้เปียกชุ่มทั้งตัวเหมือนกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นเมื่อแม่บ้านกลับมากดกริ่งอีกครั้ง กวินท์จึงดูดีกว่าตอนแรกมาก

ร่างสูงเดินก้าวยาวๆตัดผ่านระเบียงไปยังประตูทางเข้าตัวตึกอีกครั้งอย่างสงสัย

ยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำหลังจากที่เขาส่งเสื้อผ้าไปให้แม่บ้าน แม่บ้านไม่น่าจะซักแห้งได้ในเวลาสั้นๆขนาดนั้น

“คุณหมอลืมของไว้ในกระเป๋ากางเกงน่ะค่ะ ดูแล้วราคาน่าจะแพงเอาการเลยทีเดียว ฉันกลัวว่าจะทำหายเอาเสียก่อนเลยเอามาคืนให้ก่อน”

แม่บ้านยื่นมือออกไปและปล่อยให้ของที่เธอว่าร่วงลงบนมือของศัลยแพทย์หนุ่มคนเก่งประจำโรงพยาบาลก่อนที่จะเดินกลับไป

ทิ้งไว้แต่กวินท์ที่รู้สึกตัวชาเสียยิ่งกว่าตอนเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นในแววตาของลูกชายคนเล็กของยชญ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาแล้ว

บนฝ่ามือกว้างของเขามีสร้อยคอทองคำขาวเส้นงามที่ขาดออกจากกันวางอยู่ มันจะไม่ทำให้กวินท์หัวใจเต้นเลยแม้แต่น้อย หากตัวเรือนจี้ที่ประดับอยู่บนสร้อยเส้นที่ขาดนี้คือจี้ที่เขาตามหามาตลอดสิบห้าปี

จี้รูปหยดน้ำประดับพลอยสีฟ้า!

สร้อยคอของเด็กผู้หญิงคนนั้น!

คนที่ช่วงชิงความรักของเขาไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว!!

แรงลมที่พัดพาเอาละอองน้ำฝนมาถูกมันทำให้รู้สึกเย็นและหนาว แต่หัวใจของกวินท์กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกยามจ้องมองจี้บนมือของตัวเองที่อยู่ดีๆก็มาปรากฏตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด

กวินท์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนจะผลุนผลันกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองด้วยความใจร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาอาจจะจำพลาดไป

เขาอาจจะเข้าใจผิด เด็กคนนั้นอาจไม่ใช่เด็กผู้หญิงตั้งแต่แรก

กวินท์พยายามดึงเอาความทรงจำเมื่อสิบห้าปีก่อนของตนเองออกมา

รอยยิ้มสวยหวานปนเศร้านิดๆของเด็กคนนั้น..ใบหน้าน่ารักที่มีดวงตากลมโตกับริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มกับเรือนผมยาวเคลียไหล่..

ทั้งหมดนั่นมันอาจเป็นรัญชน์ก็เป็นได้

อาจเป็นเด็กผู้ชายตั้งแต่แรก เขาเพียงแต่เข้าใจผิดไปเองใช่ไหม!?

ทั้งหมดของคำถามที่รุมเร้าขึ้นมากระชากทึ้งจังหวะหัวใจของเขามันอยู่ภายในห้องนี้แล้ว

หากไม่ใช่รัญชน์..ก็อาจเป็นรตา

แต่ทำไมนะ..

ศัลยแพทย์หนุ่มถึงได้รู้สึกว่าคนที่เป็นเด็กคนนั้น จะต้องเป็นผู้เป็นน้อง ไม่ใช่พี่

รัญชน์อาบน้ำเสร็จแล้ว กวินท์ได้ยินเสียงเครื่องเป่าผมกำลังทำงานอยู่ในห้องน้ำ ศัลยแพทย์หนุ่มลังเลเล็กน้อยแต่ก้าวไปยังห้องน้ำนั้นเพราะไม่ต้องการที่จะรอคอยอีกต่อไป

เขาเคาะประตูสองสามครั้งและเปิดเข้าไป รัญชน์ที่กำลังเป่าผมอยู่ตรงหน้ากระจกสะดุ้ง

ร่างบางวางไดร์เป่าผมลงกับข้างอ่างและหันมามองกวินท์อย่างสงสัย แต่กวินท์ไม่สนใจกับสายตานั้น เขาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูห้องน้ำและยกสร้อยในมือขึ้นให้รัญชน์ดู

“สร้อยเส้นนี้ของคุณใช่ไหม?”

รัญชน์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสร้อยของตนอยู่ในมือของอีกฝ่าย

เขาเกือบจะพยักหน้ารับออกไปแล้ว

แต่บางอย่างในแววตาที่ต้องการคำตอบของกวินท์มันทำให้รัญชน์ต้องนิ่ง

สมองบอกให้เอ่ยคำปฏิเสธออกไป

ทว่าหัวใจกลับไม่ยอมทำตาม กวินท์จึงไม่ได้คำตอบใดๆทั้งสิ้นจากร่างเพรียวตรงหน้า

ในความเงียบที่แสนทรมาน กวินท์ได้ยินเพียงแต่หัวใจร่ำร้องถามซ้ำๆระหว่างรอคำตอบว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี...หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเด็กคนนั้นจริง

“คุณอยากรู้ไปทำไม?”

น้ำเสียงของรัญชน์ช่างราบเรียบและแผ่วเบา

กวินท์นิ่งและกำสายสร้อยไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะถูกกระชากออกไปจากมือเขาและไม่สามารถไขว่คว้ากลับมาได้

สิ่งที่เขารอคอยมาตลอดสิบห้าปีนี้

“เพราะสร้อยอันนี้...เป็นของเด็กที่ผมตามหาอยู่”

หัวใจของรัญชน์กระตุกกับคำตอบของกวินท์ ริมฝีปากบางเม้มช้าๆ นัยน์ตาจับจ้องอยู่กับจี้ที่คล้องอยู่บนสายสร้อยทองคำขาวโดยไม่ยอมมองหน้าคนถือ

จะทำอย่างไรดี..หากยอมรับว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเขา รัญชน์ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องทำให้พี่สาวเสียใจอย่างแน่นอน

แต่ถ้าปฏิเสธไป..ความรักของพี่สาวก็อาจจะมีหวังขึ้นมาและกลายเป็นรัญชน์เองนั่นแหละที่ต้องรับเอาความเสียใจนั้นเอาไว้

ทว่า..ท่ามกลางความสับสน

รัญชน์ดีใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่ากวินท์ยังจำเขาได้ ยังตามหาเขา..

การที่กวินท์มาเป็นศัลยแพทย์ที่นี่นั้นหมายความว่าเขากลับมารอรัญชน์ตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไรกัน”

รัญชน์ทำใจแข็งพูดออกไปและตีสีหน้าวางเฉย เขาพยายามสบตาเพื่อไม่ให้กวินท์จับพิรุธได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจึงเสเบี่ยงหลบสายตาลงกับพื้น

บรรยากาศภายในห้องน้ำมันช่างอึดอัด รัญชน์เลยตัดสินใจเดินสวนกวินท์จะออกจากห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวเดินผ่านไป มือของศัลยแพทย์หนุ่มก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้

ชั่ววินาทีที่รัญชน์หยุดเดินและหันมามองหน้า กวินท์ก็โน้มตัวลงมาประทับแนบริมฝีปากเพื่อจ้วงจูบ

เพราะเค้นเอาคำตอบจากปากเล็กนี้ไม่ได้ กวินท์จึงตัดสินใจที่จะหาคำตอบด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าเขาจะได้คำตอบจากการกระทำนี้อย่างแน่นอน

ริมฝีปากเล็กของรัญชน์มันอ่อนนุ่มจนกวินท์ไม่รู้สึกเลยว่าตนเองกำลังจูบอยู่กับผู้ชายด้วยกัน

ร่างเล็กขาวบางที่ผิวกายยังคงชื้นจากการอาบน้ำถูกรวบเข้าไปในอ้อมแขน

กวินท์ปล่อยมือจากสายสร้อยที่กำเอาไว้เมื่อแน่ใจว่าตนเองกำลังไขว่คว้าสิ่งที่สำคัญกว่าสร้อยอันนั้นหลายล้านเท่าได้แล้ว

เพียงแค่ริมฝีปากประทับแนบเข้าหากัน กวินท์ก็มั่นใจว่าคนที่ตัวเองกอดอยู่นี่คือเด็กคนนั้นอย่างแน่นอน

หัวใจของกวินท์อบอุ่นด้วยความยินดีที่มันทะลักล้นออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ

ไม่ต้องมีคำตอบใดๆออกมาเป็นคำพูดทั้งนั้น

กวินท์รู้ได้เองด้วยสัมผัสที่กำลังซึมซับนี้ว่ารัญชน์คือเด็กคนนั้น!

“คุณคือเด็กคนนั้น..”

กวินท์ได้ยินเสียงตัวเองพูดซ้ำๆแผ่วเบาราวกับกระซิบทั้งที่ริมฝีปากของเขายังคงคลอเคลียอยู่กับเรียวปากนุ่ม ร่างบางในอ้อมแขนพยายามเบือนหน้าหนี

แต่กวินท์ยังไม่ลดละที่จะตามติดไปจนท้ายที่สุดแล้วรัญชน์ก็หยุดนิ่งและมองสบตาเขา

กวินท์เห็นความไม่แน่ใจสะท้อนมองกลับมา

ศัลยแพทย์หนุ่มตระหนักได้ในนาทีนั้นว่าเขากำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่มันผุดขึ้นมายามมองดวงหน้าของอีกฝ่าย

สิบห้าปีนี้เขาอยู่ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับรักที่เขารอคอยอีกครั้ง

ความหวังที่ไม่เคยเหลือพื้นที่ของความเผื่อใจเอาไว้ว่าจะได้พบกับความผิดหวัง

“คุณลืมผมแล้ว?”

เสียงที่แผ่วเบาของเขามันแหบแห้งจนกวินท์ไม่แน่ใจว่าลำคอของเขามันเปล่งคำถามนั้นออกมาหรือเขาแค่ร้องถามอยู่ข้างในใจเท่านั้น

แต่ทันทีที่คำถามมันหลุดออกไป ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหนแต่กวินท์ก็เชื่อว่าร่างบางต้องได้ยินมันอย่างแน่นอน ดวงตาของรัญชน์มันสั่นไหวราวกับต้องการปกปิดอะไรบางอย่างที่กวินท์ไม่เข้าใจเลยสักนิด

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร...สร้อยเส้นนั้น..”

รัญชน์สูดลมหายใจลึกๆ เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร กำลังจะพูดอะไรและกำลังจะเจ็บมากแค่ไหนกับคำพูดของตัวเอง

“..เป็นของพี่สาวผม”

กวินท์รู้สึกเหมือนมีหมัดที่มองไม่เห็นมันเหวี่ยงกระแทกเข้ากับกกหูของเขาเต็มแรงกับคำพูดนั้น

“อย่าโกหก...”

กวินท์บอกเสียงดุ ในใจของเขากำลังดื้อดึงอย่างเด็กเอาแต่ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาปฏิเสธคำพูดของรัญชน์เพราะเชื่อว่าความรู้สึกของตัวเองถูกต้อง แม้จะสับสนที่เห็นอีกฝ่ายเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เคยจำได้

แต่แววตาที่เห็นกับสัมผัสที่ได้พิสูจน์ทำให้กวินท์มั่นใจอย่างที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีวันเข้าใจผิดอย่างแน่นอน

“คุณคือเด็กคนนั้น..”

รัญชน์แทบจะร้องไห้ เขาทั้งรู้สึกยินดีและทุกข์ใจไปพร้อมๆกัน

ขอบตามันร้อนผ่าวเหลือเกินยามที่ต้องพยายามข่มใจให้เข้มแข็งพอที่จะมองตากวินท์กลับไปและแสดงทีท่าไม่เข้าใจคำพูดของกวินท์ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าศัลยแพทย์หนุ่มกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่

ถึงจะยินดีที่กวินท์จำเรื่องทั้งหมดได้ แต่เมื่อนึกถึงพี่สาวแล้ว รัญชน์ก็อยากให้กวินท์เชื่อในคำพูดที่เขาโกหกออกไป

เพื่อรตา...และเพื่อตัวกวินท์เอง..

“ไม่ใช่..” รัญชน์ปฏิเสธเสียงแผ่ว

“มองตาผมสิ...แล้วบอกอีกครั้งว่าสร้อยเส้นนั้นไม่ใช่ของคุณ คุณไม่ใช่เด็กคนนั้น..”

ในใจอยากย้ำคำพูดโกหกของตัวเองอีกครั้ง

แต่ยิ่งถูกสายตาผิดหวังของกวินท์มองมานานเท่าไหร่ รัญชน์ก็ไม่สามารถเอ่ยคำโกหกซ้ำออกไปได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่ไม่ยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อยของกวินท์

เวลาผ่านไปชั่วอึดใจที่ทั้งสองต่างเงียบงัน

กวินท์ยังคงมองหน้าร่างบางอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดเขาก็คลายอ้อมกอดลงอย่างผิดหวัง เขาถอยห่างจากรัญชน์สองสามก้าวและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความผิดหวังและท้อแท้

“คุณคงลืมไปหมดแล้ว..นั่นสินะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อน มันก็คงเป็นแค่ความทรงจำที่ไร้ค่าสำหรับคุณ”

น้ำเสียงน้อยใจมันบาดลงลึกกับหัวใจของรัญชน์

ลืมอย่างนั้นหรือ...รัญชน์ไม่เคยลืมเลยสักนิด

ความอบอุ่น ความหอมหวาน ความละมุนละไมที่ช่วยปลอบประโลมเด็กที่กำลังอ้างว้างอย่างเขาในวันนั้น เขาไม่มีวันลืมเลยสักนิด

รัญชน์กัดริมฝีปากขบอาการสั่นเทาที่อยากจะสะอื้นออกมาเมื่อเห็นแววตาว่างเปล่าของกวินท์ในวินาทีที่อีกฝ่ายหันหลังเพื่อเดินหนีออกมา

รัญชน์ยกสองมือขึ้นลูบต้นแขนของตัวเอง

เขาก้มหน้าและสูดลมหายใจลึกๆอยู่สองสามหน ทบทวนความต้องการของจิตใจที่กำลังสับสนอยู่นี้ก่อนเงยหน้ามองดูแผ่นหลังห่องุ้มด้วยความผิดหวังของกวินท์

รัก...

คำนี้มันฝังรากลึกและซ่อนเร้นมานานกว่าสิบห้าปี มันเติบโตโดยมีเพียงคำว่ากาลเวลาเป็นตัวบำรุงมัน

รัก..โดยที่ไม่ต้องใกล้ชิด ไม่ต้องเรียนรู้จักกันและกัน

แต่ก็รักจนหมดใจ

รัญชน์วางทิ้งความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อพี่สาว ทั้งความรักและความรู้สึกผิดก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินไปหาผู้ชายที่ทั้งเขาและพี่สาวต่างก็รัก

ฝ่ามือเรียวแตะเข้าที่ไหล่กว้างอันห่องุ้ม กวินท์หันกลับมาช้าๆเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย

รัญชน์ค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมาสบและวินาทีจากนั้นเอง..ที่รัญชน์แทบไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาทำอะไรลงไปหลังจากนั้น

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันแจ่มชัดในใจที่เขาได้ตัดสินใจลงไปแล้ว

เพียงแค่คืนนี้เท่านั้น...

รัญชน์อยากเป็นหนึ่งเดียวกับคนที่มอบใจให้ไปตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน

เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น...

ก่อนที่จะตัดใจจากความรักนี้...

เพื่อความหวังของพ่อ และเพื่อความรัก...ของพี่สาว...

-TBC-

อยู่กับแม่ก็ไม่ได้ อยู่กับพ่อพ่อก็ดันมาเกลียด มันจะอะไรนักหนาครอบครัวนี้สงสารรัญ (ชื่อ่านว่ายังไงคะ ช่วยเขียนเป็นคำอ่านให้หน่อย พอดีอยากรู้ค่ะ)

ชื่อน้องรัญชน์ของพี่หมออ่านว่า "รัน" ค่ะ :))
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2013 19:50:07 โดย zynestras »

230

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจจให้คน เขียนนะคับ o13

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ไวดี ต่อๆๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
เชื่อมั้ยว่าไม่รู้ทำไมเราอ่านแล้วบีบหัวใจมากโคตรลุ้นว่าคุณหมอจะเชื่อรัญชน์มั้ยหรือจะเชื่อเซนส์ตัวเองแล้วก็โคตรเปรมเลยตอนที่รัญชน์ทำตามใจตัวเองแต่ก็มาหงายตรงที่บอกแค่ครั้งเดียว โธ่เอ้ย.....หาความสุขให้ตัวเองบ้างก็ได้นะรัญชน์
คุณหมอช่วยตะครุบนายเอกจอมดื้อคนนี้ทีค่ะ คือจริงๆนะลุ้นอะ

ละพ่อก็ใจร้ายมาก ไม่คิดจะลดทิฐิเลยทีเดียว
สนุกมากเลยค่ะติดตามนะคะ^^

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เศร้าอึมครึมมากเลยค่ะ
สนุกมาก o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com

 ตอนที่ ๕

 
ทุกอย่างเริ่มต้นราวกับพายุฝน มันโหมกระหน่ำทุกความรู้สึกด้วยสิ่งที่เก็บกักไว้ในใจของทั้งสองคนมานานกว่าสิบห้าปี สัมผัสแลกเปลี่ยนสัมผัสกันอย่างโหยหา

ท่ามกลางเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำยิ่งกว่าทั้งวันที่ผ่านมา

รัญชน์ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิดของตนเอง ความรักของพี่สาว หรือแม้กระทั่งความเป็นเพศเดียวกันระหว่างเขากับกวินท์

รัญชน์ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของกวินท์ที่กำลังมองเขาอย่างช้าๆ ลากปลายนิ้วสัมผัสไปทุกส่วนบนใบหน้าคมเหมือนกับที่กวินท์กำลังทำเช่นเดียวกันกับเขา ตั้งใจจดจำทุกสัมผัสและทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เหมือนกับที่เคยตั้งใจจดจำรสจูบในวันนั้นเมื่อสิบห้าปีก่อน

“คุณคือเด็กคนนั้น...”

กวินท์กระซิบอีกครั้งก่อนจะประทับแนบริมฝีปากลงกับเรียวปากของรัญชน์

รสจูบมันทั้งหวานซึ้งและหนักหน่วงจนรัญชน์อดคิดไม่ได้ว่าเพราะกวินท์กลัวว่าเขาจะเอ่ยปฏิเสธอีกหรืออย่างไรกันแน่

รัญชน์จึงจำได้แต่โอบแขนกอดร่างสูงเอาไว้และปล่อยตัวไปให้กับสัมผัสชิดเชื้อที่กวินท์มอบให้เขาด้วยความรู้สึกอ่อนหวานและคำว่ารักที่ลอยล่องอยู่ในความรู้สึก

เขาไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจให้กับคนอื่นมากเท่านี้มาก่อน

ความไร้เดียงสาในสัมผัสทางเพศทำให้ร่างกายของรัญชน์สั่นเทาเมื่อกวินท์เอื้อมมือมาลูบเบาๆที่สีข้างด้านซ้ายและต่ำลงไปจนเกี่ยวเอาผ้าเช็ดตัวที่เขานุ่งอยู่ให้คลายออก

ศัลยแพทย์หนุ่มกดจูบหนักๆลงกับหน้าผากราวกับจะปลอบโยนทั้งรัญชน์และตนเอง

ร่างสูงสัมผัสแผ่วเบา เขาแตะต้องรัญชน์ด้วยความถนอมเท่าที่จิตใจของเขาจะห้ามปรามได้

กระนั้น..ทุกความรู้สึกมันกำลังหลอมเป็นไฟ เขาจูบอีกครั้งลงกับปากนุ่มของรัญชน์ จูบ..และจูบอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อ ทั้งยังเอื้อมมือไปจับมือเล็กของรัญชน์ลากให้มาสัมผัสเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำ

“ถอดให้ผมสิ..”

กวินท์ออดเสียงทุ้มที่ข้างหู ใจของรัญชน์สั่นรัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้อนนั้น

ร่างบางบังคับให้มือเล็กที่สั่นเทาของตัวเองปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของกวินท์ทีละเม็ดๆ จนกระทั่งปลายนิ้วไปหยุดอยู่ที่ขอบกางเกงของอีกฝ่าย เมื่อสบตากัน รัญชน์จึงสูดหายใจลึกๆและเริ่มต้นปลดกางเกงของศัลยแพทย์หนุ่มที่โน้มลงมาจูบแผ่วหวานให้รางวัลกับเขา

ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นนี่คือโชคชะตาที่กำลังเล่นตลกใช่ไหม

รัญชน์ถามตัวเองซ้ำๆอย่างไม่ได้คำตอบ เขาจึงหยุดคิดและซึมซับเอาความรักที่กวินท์ถ่ายทอดมาให้ผ่านทางสัมผัสของร่างกาย

ริมฝีปากร้อนของกวินท์มันประทับลงมาตีตราที่ฐานลำคอและลากไล้ลงไปยังแผ่นอกขาว

กวินท์จูบเนิ่นนานที่อกข้างซ้ายซึ่งกำลังเต้นแรงเขาเม้มริมฝีปากเบาๆจนทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้และพึงพอใจเมื่อรัญชน์ไม่ขัดขืน

ความยินดีมันปิติไปทั้งหัวใจของกวินท์ที่รัญชน์ยอมให้เขาแสดงความเป็นเจ้าของเช่นนี้

“เป็นของผมนะ..”

ราวกับเป็นคำขออนุญาต กวินท์ช้อนมือเล็กขึ้นมาจูบแผ่วเบาแล้วขยับทิ้งน้ำหนักลงทาบทับกายขาวเขาดึงเอาผ้าเช็ดตัวที่เป็นปราการขวางทั้งสองออกเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ

หน้าของรัญชน์ร้อนผ่าวเมื่อสิ่งสำคัญของทั้งสองสัมผัสกัน

เขายกหลังมือขึ้นมาปิดหน้า รัญชน์ไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้สักเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขารู้สึกดีมากกว่าจะรู้สึกแย่

แต่ทั้งหมดนี้..เป็นเพราะในเวลานี้รัญชน์ไม่ได้เผื่อความรู้สึกไปนึกถึงพี่สาวที่กำลังนอนอยู่ห่างออกไปอีกฝั่งหนึ่งของตึกเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

เห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้ว กวินท์ก็เอื้อมมือไปทาบกับมือเล็กนั้นและดึงให้รัญชน์เปิดใบหน้าอีกครั้ง

สีหน้าแดงระเรื่อที่ได้พบทำให้กวินท์ต้องยิ้มจางๆ เขาจูบลงที่ปลายจมูกโด่งและเลื่อนไปจูบทับเปลือกตาของรัญชน์ขณะที่ละมือมารั้งแยกเรียวขาให้แยกออกกว้าง

เขาสัมผัสที่ต้นขาด้านในของรัญชน์ช้าๆแล้วลากมือมายังแกนกายน่ารักที่เบียดอยู่กับส่วนของเขา..

แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์แต่สัญชาตญาณก็บอกให้รู้ว่าควรจะทำเช่นไรในสถานการณ์เช่นนี้

กวินท์กอบกุมรัญชน์เอาไว้ ชักพามือไปตามความยาวนั้น เร่งเร้าปลุกอารมณ์ให้รัญชน์ต้องครางเสียงแผ่วอยู่ใต้ร่าง

รัญชน์จิกมือลงกับไหล่กว้างเมื่อความเสียวซ่านมันตีขึ้นมาเป็นระลอกเข้าใส่เขาทั้งร่างมันอ่อนระทวยไปหมดเมื่อกวินท์สร้างความต้องการให้แก่เขา

สัมผัส...มันแสนละมุนละไม

นี่น่ะหรือ...สัมผัสของความรัก

รัญชน์ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อความคิดนี้มันแทรกผ่านเข้ามาในชั่ววูบ

และเพราะความรู้สึกนี้เอง ทำให้รัญชน์กล้าที่จะยกมือขึ้นโอบกอดกายอุ่นของศัลยแพทย์หนุ่มไว้อย่างแนบแน่นแล้วเชื้อเชิญให้กวินท์ครอบครองร่างกายของเขาด้วยการแยกเรียวขาออกกว้างขึ้นพร้อมทั้งบิดสะโพกเร้าอย่างเชิญชวน

“..ทำให้ผม...”

รัญชน์กระซิบเสียงแผ่วเบาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด มือเขาเอื้อมไปจับให้มือของกวินท์เลื่อนลงไปด้านล่าง

ภายใต้สิ่งสำคัญของเขา..ส่วนที่ซ่อนเร้นเอาไว้เบื้องหลัง แล้วกระซิบต่อคำพูดที่ค้างเอาไว้ด้วยใจสั่นเทา...

“...เป็นของคุณสิ”

ด้วยคำพูดของรัญชน์ กวินท์ลังเลอยู่เล็กน้อย

เขาไม่เคยกอดผู้ชายมาก่อน...และจากทางกายภาพแล้ว เขาคิดว่ารัญชน์คงไม่สามารถรับตัวตนของเขาได้ในตอนนี้แน่

ถึงแม้ว่าความต้องการของเขามันจะผลักดันให้ความเป็นชายมันแข็งขึงจนปวดร้าวมากเพียงใด แต่กวินท์ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้ความต้องการของตนทำความบาดเจ็บให้กับคนที่ตนรัก

ศัลยแพทย์หนุ่มขยับตัวเล็กน้อยไปเอื้อมหยิบเอาโลชั่นมาจากลิ้นชักโต๊ะ รัญชน์ขยับตัวพลิกขึ้นมานั่งและมองกวินท์อย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่

“นี่คงจะช่วยทำให้คุณไม่เจ็บได้บ้าง”

กวินท์อธิบายและดันให้รัญชน์เอนกลับลงไปนอนช้าๆ

ร่างบางเอนนอนตะแคงแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ความรู้สึกมันเย็นวูบวาบตรงบั้นท้ายเมื่อกวินท์บีบเอาครีมโลชั่นทาผิวที่ใช้แทนเจลหล่อลื่นเทไปตามซอกหนั่นเนื้อและลูบไล้เบาๆ นิ้วหัวแม่มือกดคลึงอยู่กับปากทางที่จะรับเอาความรักของกวินท์ฝังลึกเข้าไปในกายของรัญชน์

กวินท์รั้งรออยู่หลายนาทีกว่าที่จะขยับมือกลับไปลูบไล้แกนกายเล็กของรัญชน์อีกครั้ง เขารั้งให้รัญชน์กลับมานอนหงายแล้วดึงให้สะโพกนุ่มมือของรัญชน์ขึ้นมาเกยบนตัก

ความต้องการของกวินท์ผลักชิดจ่อกับช่องทางรักของรัญชน์ แค่เขาดุนดันอยู่กับปากทางที่อ่อนนุ่มลง รัญชน์ก็กอดเขาแน่นขึ้น

ทั้งสองต่างก็ตื่นเต้นระคนหวั่นกลัวกับสิ่งที่กำลังจะทำ..

“ผมพร้อมแล้ว..”

รัญชน์สูดลมหายใจลึกๆและเอ่ยออกไป เขาเลื่อนมือขึ้นมาโอบคอของกวินท์ให้โน้มลงมาจูบกับเขาอีกครั้งและยกสะโพกตอบรับการสอดใส่ที่กวินท์กำลังดันเข้ามา

ความเป็นชายของกวินท์ค่อยๆสอดแทรกลึกเข้าไปในกายเล็กอย่างช้าๆ สะโพกขาวของรัญชน์สั่นระริกและตอดรัดเขาไว้แน่นจน กวินท์ไม่อาจขยับกายได้

ทั้งสองประคองกอดซึ่งกันและกันเอาไว้ยามที่ขยับกายให้สอดรับไปในจังหวะรักที่โหมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆไม่ต่างอะไรกับพายุฝนที่กำลังพัดกระหน่ำอยู่ด้านนอก...

“ผมรักคุณ...”

“รักมาสิบห้าปีแล้ว..”

ท่ามกลางเสียงสายฝน..รัญชน์ได้ยินคำพูดที่ด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างอ่อนโยนจากปากของร่างสูงเช่นนั้น...

 

มองดูสายฝนที่เริ่มซาลงแล้ว รตาก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง ถึงแม้จะปวดแผลที่เพิ่งผ่าตัดไปบ้าง แต่เพราะมีกำลังใจจากสิ่งที่กำลังทำเลยพาให้หญิงสาวยิ้มออกมาได้ขณะที่เดินไปหาแม่บ้านที่เตรียมเอาอาหารมื้อดึกมาให้

อาหารมื้อนี้ไม่ใช่ของรตาเอง หญิงสาวสั่งให้แม่บ้านจัดหามาให้เพราะรู้ว่าคืนนี้กวินท์จะลงเวรดึกตอนเที่ยงคืน เธอเลยถือวิสาสะเตรียมเอาไว้ให้เพื่อให้ศัลยแพทย์หนุ่มได้ทานอะไรรองท้องก่อนลงไปอยู่เวรอีกเช่นเคย

สีหน้ายิ้มแย้มของคุณหนูใหญ่ที่ถึงแม้จะยังซีดอยู่บ้างแต่ก็ดูแจ่มใสดีทำให้แม่บ้านแอบลอบยิ้มขณะที่ถือตะกร้าอาหารเดินตามไป

“จากตรงนี้ หนูถือเข้าไปเองก็ได้ค่ะคุณป้า”

รตาหันมาบอกแล้วดึงเอาตะกร้ามาถือไว้เองก่อนจะหลิ่วตาให้กับแม่บ้านที่เลี้ยงเธอมา แม่บ้านยิ้มรับอย่างเข้าใจในคำพูดของเธอ แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

“ตะกร้ามันหนักนะคะคุณหนู แล้วพื้นก็ลื่นด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง”

แม่บ้านวัยกลางคนยิ้มให้กับความเข้มแข็งและร่าเริงของคุณหนูก่อนจะยอมปล่อยตะกร้าให้คุณหนูเดินถือเข้าไป เธอรีบกุลีกุจอเปิดประตูให้และยืนคอยอยู่ข้างนอกอย่างห่วงใยและโล่งอกเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณหนูวางตะกร้าลงกับโต๊ะม้านั่งที่อยู่ด้านในแล้วเรียบร้อย

รตาหยิบกล่องอาหารที่ยังคงอุ่นอยู่ออกจากตะกร้ามาวางไว้ก่อนที่เธอจะก้าวเดินไปยังห้องพักของกวินท์ที่อยู่ด้านในอย่างระมัดระวัง

แต่เมื่อเข้าไปใกล้ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆจางหายไป ตัวของเธอเริ่มชาเมื่อได้ยินเสียงครางครึมของคนสองคนรอดผ่านเข้ามา เธอหยุดยืนอยู่ห่างจากบานหน้าต่างราวหนึ่งเมตรและลังเลที่จะก้าวเดินต่อรวมทั้งถอยกลับด้วยเช่นกัน

แต่ในที่สุด...ความอยากรู้ก็ผลักดันให้เธอก้าวต่อไปข้างหน้า..

และพบกับสิ่งที่บาดหัวใจของเธอจนแตกร้าว

รตามองผ่านหน้าต่างไปยังร่างของคนสองคนที่ตระกองกอดกันอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

เธอรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ทัน ลมหายใจที่สูดเข้าปอดมันติดขัดจนคล้ายคนเป็นหอบ ริมฝีปากมันสั่นเทาไปหมด

คนที่อยู่บนเตียงและกำลังแนบชิดอยู่กับคนที่เธอหลงรักคือน้องชายเพียงคนเดียวของเธอ!

รัญชน์กำลังนั่งอยู่บนตักของกวินท์ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน น้องชายของเธอกำลังแหงนหน้าหันกลับไปรับจูบจากร่างสูงและขยับโยกร่างกายไปด้วย

มือของกวินท์กำลังลูบไล้อยู่กับแผ่นอกและหว่างขาของรัญชน์

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอกำลังมองมันบาดใจจนอยากจะหลับตาเพื่อไม่ต้องเห็น แต่รตาก็ยังคงยืนมองภาพนั้นรวมทั้งฟังชื่อของทั้งสองที่ต่างฝ่ายต่างก็ครางเรียกออกมาเป็นเสียงกระเส่าแผ่วเบาเหมือนละอองน้ำฝนหลังจากที่หยุดตกไป...

รตากัดริมฝีปากตัวเองแน่น...

เธอทั้งสับสนและมึนงง..

รตาบอกได้เลยว่าภาพที่เห็นตรงหน้า..มันทำให้เธอรู้สึกถึงความเสน่หาไม่ใช่แค่ความพิศวาสที่ทั้งสองมีให้แก่กันเท่านั้น..

มีเพียงคำถามเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนี้

ความสัมพันธ์ของรัญชน์กับคุณหมอกวินท์เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!?

 

รัญชน์รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ค่อยอ่อนไหวและอ่อนหวานสักเท่าไหร่นัก แทบจะเรียกได้ว่าเขาไม่สนใจอะไรที่มันลึกซึ้งทางอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

สิ่งเดียวที่ตราตรึงในความรู้สึกของเขานับตั้งแต่จำความได้ ก็มีแต่เพียงความทรงจำของครอบครัวที่อบอุ่นกับรสจูบแสนอ่อนหวานที่ได้จาก กวินท์เมื่อสิบห้าปีก่อนเท่านั้น

ร่างบางไม่เคยเข้าใจเลยสักนิดถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มนุษย์จะมอบให้แก่กัน

แต่ในวันนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าทำไมมนุษย์ถึงโหยหามันอย่างนั้น ทั้งความรู้สึกรักและอิ่มเอมใจยามได้เป็นของกันและกันเช่นนี้

กวินท์ได้สอนให้เขารับรู้แล้วในค่ำคืนนี้..

หยาดของเหลวอุ่นร้อนที่ไม่ได้มาจากอารมณ์เผลอไผลแต่มาจากความรักนั้นกำลังไหลหยดจากซอกสะโพกที่ยังคงมีร่างกายของศัลยแพทย์หนุ่มเชื่อมโยงไว้อยู่ลงเปื้อนกับผ้าปูที่นอนสีขาว ช่องทางเล็กที่คลายความขึงเครียดแล้วยังคงโอบอุ้มร่างกายของกวินท์เอาไว้

มือที่จับมีดผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วนยังคงกอบกุมอยู่กับส่วนอ่อนไหวที่เริ่มอ่อนตัวลงของร่างบาง แผ่นอกของทั้งสองยังสะท้านสั่นจากลมหายใจที่หอบหนักจากสิ่งที่ได้ทำร่วมกัน

แม้ทุกอย่างจะหยุดนิ่ง แต่รัญชน์ก็รู้ดีว่ามันไม่ได้สิ้นสุดลงแต่อย่างใด

มันก็แค่เหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นแรงแล้วก็กลับมาเต้นเป็นปกติเท่านั้น เพียงแต่จังหวะหัวใจของรัญชน์ตอนนี้มันเต้นในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเท่านั้น

เขา..ไม่รู้ว่าตัวเองจะรู้สึกเช่นไรดีในตอนนี้..ความรู้สึกยินดีมันปะปนกับความรู้สึกผิดจนทำให้เขารังเกียจตัวเองไม่น้อย

ร่างบางซุกหน้าลงกับหมอนและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

กวินท์พรมจูบที่กลางกระหม่อมก่อนจะยันตัวลุกขึ้น เขาโน้มมาจูบ ตรงท้ายทอยของร่างบางอีกหนแล้วค่อยๆถอนกายออกมา

ความรักของเขามันไหล่ทะลักออกมา มันไหลไปสมทบกับคราบที่เปื้อนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วรัญชน์ขยับกายจะลุกขึ้นทันทีหลังจากนั้น แต่เขาก็ถูกรวบกอดเอาไว้

ร่างบางพยายามไม่มองหน้าหรือพูดอะไรออกมาเพราะกลัวว่ากวินท์จะสังเกตเห็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาและน้ำเสียงของตน

แต่กระนั้น..ทุกสิ่งก็ทำให้ศัลยแพทย์หนุ่มตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยมือจากเขา กวินท์เอื้อมมือไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหัวเตียง

รัญชน์เหลือบมองดูเมื่อได้ยินเสียงเขากดแป้นโทรศัพท์ก่อนจะยอมเงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองอยู่อย่างสงสัยกวินท์จูบทับเปลือกตาแทนคำอธิบายระหว่างรอให้คนทางปลายสายรับ

ความรู้สึกที่อยากลุกไปจากเตียงของรัญชน์หายไปแทบจะในทันทีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มพูดกับคนปลายสาย

“ขอโทษครับ นี่ผมกวินท์นะ คืนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ คงไม่ได้ลงไปอยู่เวรคืนนี้ แต่ถ้าหากมีเคสฉุกเฉินเข้ามา คุณตามตัวผมได้เลย คืนนี้ผมพักอยู่ข้างบนนี้”

กวินท์พูดกับใครสักคนที่รัญชน์เดาเอาว่าอาจจะเป็นพยาบาลประจำแผนกศัลยกรรมก็เป็นได้

พอวางหูไปแล้ว แขนของกวินท์ก็โอบกอดกระชับร่างเปลือยของรัญชน์เอาไว้ เขาวางคางลงกับไหล่เล็กและบรรจงจูบเบาๆที่ข้างแก้มซ้ำๆอยู่หลายครั้งจนให้ความรู้สึกคล้ายกับลูกแมวที่กำลังคลอเคลียเจ้าของ

รัญชน์อ่อนยวบไปกับสัมผัสนั้นจนยอมที่จะหันกลับมารับจูบหวานๆที่พาให้สัมผัสเร่าร้อนมันปะทุอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังเปียกชื้นหลังจากพายุฝน

รตาอยู่ในห้วงของความสับสน ภาพที่เห็นมันยังคงสะท้อนติดอยู่ในมโนสำนึกจนเหมือนเครื่องฉายที่ถูกกรอซ้ำไปซ้ำมา

ความตกตะลึงงันทำให้ตัวของเธอชาไม่หาย

จากที่เธอเดินโซซัดโซเซให้คุณแม่บ้านประคองกลับมายังห้องพักจนถึงเวลานี้เธอก็ยังสลัดภาพที่น้องชายของตนเองกำลังร่วมรักกับศัลยแพทย์หนุ่มออกไปไม่ได้ อยากจะร้องไห้ อยากจะกรีดร้องโวยวาย หรือยิ้มรับกับเรื่องนี้เธอก็ทำไม่ได้ด้วยเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นหรอคะคุณหนู?”

คุณแม่บ้านถามขึ้นอย่างห่วงใยเมื่อประคองให้คุณหนูของเธอเอนนอนลงกับเตียงแล้ว เธอหยิบเอาผ้าห่มมาคลี่ห่มให้คุณหนูแล้วจับมือเรียวเอาไว้

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...คุณป้ากลับไปก่อนเถอะค่ะ คืนนี้หนูอยู่คนเดียวได้”

รตาเอ่ยปากก่อนจะพลิกหน้าหันไปมองทางหน้าต่าง

รอยหยดน้ำจากฝนยังคงเกาะพราวอยู่บนหน้าต่างใสสะอาด

สายตาของเธอจับจ้องอยู่กับน้ำฝนหยดหนึ่งที่ค่อยๆไหลไปรวมกับเม็ดข้างๆจนทิ้งตัวตกลงมาเป็นทางคล้ายกับหยาดน้ำตาของคนที่ไหลลงอาบแก้ม รตารู้สึกเหมือนกับน้ำตาของเธอกำลังจะไหลลงมาด้วยเช่นกัน

“แต่คุณหนู...ให้ป้าอยู่ด้วยไม่ดีกว่าหรอคะ?”

รตาผ่อนลมหายใจยาว เธอรู้ดีว่าคุณป้าแม่บ้านที่เลี้ยงเธอมานั้นห่วงใยมากเพียงใด แต่เธอไม่ต้องการให้ใครมาเห็นช่วงเวลาที่น่าสมเพชของเธอ..

“ขอหนู..อยู่คนเดียวนะคะ”

คำพูดที่แสนแผ่วเบาแต่ดูเหินห่างนั้นทำให้แม่บ้านวัยกลางคนยอมกลับออกไปแต่โดยดี เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงแล้ว รตาก็ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับห้วงความคิดที่มันทั้งสับสนและเจ็บปวด

 

ในที่สุดค่ำคืนที่มีทั้งความสุขและความเจ็บปวดดำเนินไปเคียงคู่กันก็หมดลง รัญชน์กะพริบตาเบาๆและพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาภายในห้องพักของ กวินท์ตอนยามเช้า

เสียงนกสองตัวหยอกเย้ากันอยู่ตรงข้างหน้าต่างทำให้รัญชน์ต้องยิ้มน้อยๆขณะที่ขยับลุกขึ้นไปมองมันสองตัวผลัดกันไซร้ขนให้แก่กัน

“คุณตื่นแล้วหรอ?”

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยเข้ามาพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาหา รัญชน์หันไปรับแก้วกาแฟที่ศัลยแพทย์หนุ่มยื่นมาให้

พอดื่มกาแฟรสกลมกล่อมแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงยามเช้านั้นมาถึงแล้วจริงๆ รัญชน์จิบไปอีกสองอึกใหญ่ก่อนจะลดแก้วลงมาประคองไว้กับตักก่อนหันไปหาคนที่เอื้อมมือมาเขี่ยแก้มของเขาเบาๆ

“ผมไปเอาเสื้อผ้าของคุณมาให้แล้วนะ เดี๋ยวสองโมงเช้าผมต้อง ลงไปอยู่เวรแทนคนที่มาอยู่เมื่อคืนนี้ คงต้องอยู่เวรถึงบ่ายสาม ระหว่างนี้คุณจะไปไหนหรอ?”

รัญชน์ชะงักไปกับคำถามนั้น เขายกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งอย่างอึดอัดใจ พอเห็นกวินท์ยังคงมองมาอย่างต้องการคำตอบ รัญชน์เลยลดแก้วกาแฟลงอีกครั้ง

“ก็อาจจะไปหาพี่รตาล่ะมั้ง..”

ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่รัญชน์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทนไหวกับการเผชิญหน้ากับพี่สาวของตนเองหรือเปล่าในตอนนี้...

แม้ว่ารตาจะไม่ได้ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขากับกวินท์ แต่ใจของรัญชน์มันก็รู้สึกผิดกับพี่สาวไปไม่น้อยเสียแล้ว

“อย่างนั้น...บ่ายสามคุณมาหาผมที่นี่นะ..”

รัญชน์ไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรออกมา กวินท์จึงหอมแก้มซ้ำอีกครั้งก่อนจูบลงกับกลางกระหม่อมของรัญชน์ที่เอาแต่มองดูกาแฟในแก้ว

“ไม่อย่างนั้น..ให้ผมไปรับคุณดีไหม?”

รัญชน์ส่ายหน้าแทบจะในทันที หากกวินท์ไปรับเขาที่ห้องของรตาก็เท่ากับเป็นการป่าวประกาศให้พี่สาวของเขารู้ถึงความสัมพันธ์นี้ชัดๆ

“ไม่ต้องหรอก..เดี๋ยวผมจะมาหาคุณก็แล้วกัน”

ร่างบางบอกก่อนจะหันไปมองนกสองตัวที่อยู่ข้างนอก..

แต่มันเหลือเพียงตัวเดียวเสียแล้ว..

เจ้านกน้อยอีกตัวที่อยู่ด้วยกัน..มันโผบินไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

หลังจากแยกจากกวินท์ที่ลงไปทำงานแล้ว รัญชน์ก็ยืนเหม่ออยู่ตรงระเบียงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปหาพี่สาวที่ห้องพักของเธอ

“คุณหนูใหญ่บอกไม่อยากพบใครนะคะ ดูเธออารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าคุณหนูจะเข้าไปก็ระวังหน่อยนะคะ”

รัญชน์เลิกคิ้วกับคำเตือนของคุณแม่บ้าน เขาหันไปมองดูประตูห้องที่รตานอนอยู่ก่อนหันกลับมามองหน้าแม่บ้านอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ..?”

คุณแม่บ้านวัยกลางคนเม้มปากอยู่สองสามครั้งสายตาของเธอดูทั้งกังวลและเป็นห่วง รัญชน์ยืนมองดูเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจบอกออกมา

“เมื่อคืนตอนประมาณก่อนเที่ยงคืน...คุณหนูใหญ่เธอไปหาคุณหมอกวินท์ค่ะ”

รัญชน์สะดุ้งวาบกับคำพูดของคุณแม่บ้าน เขายืนนิ่งและรู้สึกชาไปทั้งร่าง หายใจเต้นอย่างตื่นตระหนก

“ป้าไม่ทราบหรอกนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น ป้ารออยู่ข้างนอก แต่พอคุณหนูใหญ่เดินไปที่ห้องพักของคุณหมอ เธอยืนมองเข้าไปในหน้าต่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินกลับออกมา หลังจากนั้นเธอก็บอกว่าอยากอยู่คนเดียว ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ไม่ดีค้างมาตั้งแต่คืนจนถึงเช้านี้ล่ะค่ะ.. อาหารเช้าเธอก็ไม่ยอมทาน นี่เพิ่งไล่ให้ป้ายกออกมาเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ”

รัญชน์พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาเดินเข้าไปจับถาดอาหารที่คุณแม่บ้านยกออกมา

“ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยเช้านี้ ยังไงรบกวนคุณป้าหาอาหารเช้าให้ผมสักหน่อยได้ไหมครับ ส่วนเรื่องของพี่รตาผมจัดการเองครับ”

คุณแม่บ้านมองเขาก่อนจะพยักหน้ารับ และช่วยจัดการเปิดประตูให้รัญชน์ถือถาดเข้าไปด้านใน รัญชน์ประคองถาดเข้าไปถึงแม้ใจจะสั่นมากแค่ไหน..

รตาไม่หันมาแม้แต่น้อยเมื่อรัญชน์ก้าวเข้าไปในห้อง

รัญชน์วางถาดอาหารลงกับโต๊ะและเข็นโต๊ะเข้าไปที่ข้างเตียงของเธอ ใบหน้าของพี่สาวดูนิ่งเฉยจนเดาอารมณ์ไม่ถูก แต่จากคำพูดของคุณแม่บ้านทำให้รัญชน์รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง...

“ทานอะไรสักหน่อยสิ...พี่ยังไม่ได้กินยาหลังอาหารเช้าเลยไม่ใช่หรอ?”

รตาหันมองมาด้วยสายตาเย็นชา เธอมองอยู่อย่างนั้นจนรัญชน์ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาแทน รตาลดสายตามองดูเสื้อผ้าของน้องชายที่ยังอยู่ในชุดของเมื่อวาน

“พี่นั่งภาวนาอยู่ทั้งคืน..”

ใจของรัญชน์มันกำลังบีบรัดเมื่อพี่สาวเริ่มต้นพูดอย่างช้าๆ สายตาตำหนิและผิดหวังชัดเจนทำให้เขาหน้าชาไม่น้อย รัญชน์จิกมือลงกับขอบโต๊ะ มันอึดอัดไปหมดยามรอฟัง

“พี่ภาวนาให้สิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืน...มันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือความฝันเท่านั้น...แต่ดูจากสภาพของนายแล้ว ยังไง...มันก็เป็นความจริงสินะ”

น้ำเสียงห่างเหินยิ่งทำให้รัญชน์รู้สึกผิด

“นาย..คือรัญชน์...น้องชายของฉันจริงๆน่ะหรอ?”

“พี่...” รัญชน์รู้สึกเหมือนมีคำพูดหลายอย่างที่อยากพูดออกไป

อยากเล่าเรื่อง อยากอธิบายให้ผู้เป็นพี่สาวฟัง

แต่คำพูดเหล่านั้นก็ได้แต่ไหลผ่านความคิดของเขาไปเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าพูดออกไปมันก็เหมือนกับเป็นการแก้ตัวเสียเปล่าๆ รัญชน์ไม่คิดว่าจะมีคนเชื่อได้ว่าเขาจะรักกับกวินท์ได้ ก็ในเมื่อเคยเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อสิบห้าปีก่อน...แม้กระทั่งพี่สาวของเขาก็ตามที

เห็นน้องชายเงียบไปแล้ว รตาก็เมินหน้าหนีไปอีกทาง

“ออกไปซะ..พี่ยังไม่อยากเห็นหน้านายตอนนี้”

เพราะคำไล่นั้น...ทำให้รัญชน์ยอมที่จะก้าวกลับออกไปจากห้องพักของพี่สาว แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเดินออกไป..รัญชน์หันกลับมาอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา...

“ถ้าพี่ไม่อยากเห็นหน้าผม..ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับอเมริกาก็แล้วกัน”

รตาหันมาอีกครั้ง แต่คนเป็นน้องก็เดินจากไปเสียแล้ว...

หญิงสาวกำมือแน่นและเริ่มต้นถามตัวเองอีกครั้ง ด้วยคำถามที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งคืน

เธอควรจะโกรธน้องชายดีหรือเปล่า...?

ควรจะเก็บปวดกับสิ่งที่น้องชายของเธอทำใช่ไหม..?

ควรจะตัดใจจากคุณหมอกวินท์ใช่ไหม..?

หรือจะโกรธตัวเอง...ที่ทำใจยอมรับความสัมพันธ์ของน้องชายไม่ได้ดี..?

แต่ถ้าถามว่ารตาเกลียดผู้เป็นน้องหรือไม่กับสิ่งที่เกิดขึ้น

หญิงสาวบอกได้เลยว่าไม่

เธอเพียงแต่เจ็บเท่านั้น

เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหลังจึงไม่อยากแม้แต่จะมองหน้ารัญชน์ในตอนนี้ เธออยากได้เวลาทำใจ..ที่จะยอมรับความสัมพันธ์ของคนที่เธอรักกับผู้เป็นน้องชาย

รตาตะแคงหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดยามเช้าทำให้เธอตาพร่าไปไม่น้อย...

มีเพียงนกน้อยตัวหนึ่งที่โผบินมาเกาะอยู่ข้างหน้าต่างเท่านั้น ที่รู้ว่าหญิงสาวภายในห้องกำลังร้องไห้อยู่อย่างอัดอั้นใจ...

 -TBC-

Mio

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดอิฉัน เอ้ย ทั้งสอง ก็มีวันนี้  :z1:  อิอิ 
คุณพี่สาวก็ทำใจเหอะค่า ปล่อยให้น้องชายได้มีความสุขบ้างเหอะ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
รตาไม่มีสิทธิ์โกรธรัญชน์สักนิด เพราะตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณหมอ แล้วคุณหมอก็ไม่ได้พิศวาสหล่อน
มีแต่หล่อนที่ชอบเค้าอยู่ฝ่ายเดียว
จะโกรธน้องลงอีกหรอไม่สงสารรัญชน์บ้างหรออออออออชีวิตฮีไม่เคยมีความสุขเลยนะ

ออฟไลน์ So_Da_Za

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
แค่รักกันก้อผิดเหรอ
เฮ้อ!!!

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
         ตอนที่ ๖

 

มันเป็นช่วงเวลาโดดเดี่ยวเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าพ่อ กับแม่กำลังจะแยกทางกันแล้วต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัวใหม่

รัญชน์ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความเจ็บปวด...

ความอ้างว้างที่มีในตอนนั้น เขายังมีความรักของพี่สาวอยู่..

แต่ในวันนี้..รัญชน์รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป

เขาเป็นทั้งคนเห็นแก่ตัวและคนเลว...

ชีวิตจริงมันไม่ง่ายเหมือนในนิยายหรือละครเลยสักนิด..

เขายังคงต้องการความรักจากพี่สาวและยังต้องการเพียงแค่ค่ำคืนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นของกวินท์ แต่ว่านั่นมันคือการหักหลังกับความรู้สึกของพี่สาวที่รัญชน์เองก็รู้แก่ใจดี

น้ำตาไหลจากหางตาของรัญชน์ที่กำลังสับสนอย่างเงียบๆ..

จากสิ่งที่เขาทำลงไป..พี่สาวคงไม่เหลือความรักไว้ให้กับเขาอีกแล้ว และจะให้ไขว่คว้าความรักจากกวินท์ รัญชน์ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เขาไม่อยากทำให้พี่สาวกับพ่อเสียใจและผิดหวังในตัวเขาไปมากกว่านี้..

ไม่อยาก...จะถูกเกลียดไปมากกว่านี้

รัญชน์เหยียดริมฝีปากเย้ยหยันตัวเองอย่างสมเพช..

ทำไม..วิถีชีวิตของคนเรา..มันถึงได้ยุ่งยากแบบนี้กันนะ..

 

กว่ากวินท์จะตรวจคนไข้ในวันนี้เสร็จก็เลยเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ศัลยแพทย์หนุ่มพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาด้วยความร้อนใจ

เขาเลือกที่จะวิ่งขึ้นไปทางบันไดแทนการไปยืนคอยลิฟต์ซึ่งตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้ป่วยและญาติที่ต่อคิวรอกันอยู่เป็นจำนวนมาก

กวินท์กลับขึ้นไปยังห้องพักด้วยจิตใจเบิกบานเมื่อนึกถึงใบหน้าน่ารักชวนมองของคนที่จะรอเขาอยู่ด้านบน

ความสุขใจที่มีทำให้กวินท์ไม่ได้เผื่อใจไว้เลยสักนิดว่าจะรู้สึกผิดมากแค่ไหนเมื่อเขาเจอแต่ห้องที่ว่างเปล่า..

“รัญชน์?..”

ไม่มีแม้แต่เงา...ไม่มีแม้กระทั่งโน้ตอะไรทั้งสิ้น

กวินท์ตัดสินใจถอยกลับออกมาและเดินไปยังห้องพักของรตาที่อยู่อีกฟากของชั้นเดียวกัน เห็นหน้าศัลยแพทย์หนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อนแล้ว รตาก็ต้องเบือนหน้าหนี พอจะรู้ดีถึงจุดประสงค์ของการมาในเวลานี้

กวินท์ไม่ได้มาตรวจเยี่ยมเธอ แต่คงมาถามหาผู้เป็นน้องชายกับเธอเสียมากกว่า ชั่ววูบนั้นเอง..ที่รตารู้สึกได้ว่าเธอเกลียดเขา

เกลียดที่เขาใจดีจนทำให้เธอหลงรัก...

เกลียดความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับน้องชายของตัวเอง

เกลียดที่เธอไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

และสุดท้าย...เธอกำลังเกลียด..

ที่เขาจะแย่งความรักของน้องชายไปจากเธอ..

พรวดพราดเข้ามาในห้องของคนไข้สาวแล้ว กวินท์ก็ถึงได้คิดว่าเขาไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงกับเธอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามาแล้วไม่พบกับรัญชน์อยู่ในห้องนี้

การจะถามหาผู้เป็นน้องชายที่เขาเพิ่งได้พบหน้าเพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อวานจากผู้เป็นพี่สาวแบบนี้ มันจะดูผิดวิสัยไปหรือเปล่า..

กวินท์คิดอย่างอึดอัดใจ เขาไม่รู้ว่ารัญชน์จะยินดีหรือไม่ที่จะให้ครอบครัวล่วงรู้ความสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขา ดังนั้นกวินท์จึงได้แต่หยุดยืนค้างอยู่ที่กรอบประตูอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งรตาหันกลับมาอีกครั้ง

“มาหา..รัญชน์สินะคะ” น้ำเสียงของเธอดูห่างเหินและเย็นชา

คำพูดนั้นก็ดูเหมือนไม่ใช่คำถาม แต่เป็นประโยคที่บ่งบอกถึงจุดประสงค์ของศัลยแพทย์หนุ่มที่เธอมองออก

กวินท์ตัดสินใจก้าวเดินเข้าไปหาเธอและปิดประตูลง ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่เปลี่ยนไป ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าเธอคงรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วอย่างแน่นอน

“ครับ...ตอนนี้เขาอยู่ไหนหรอครับ?” ถามออกไปแล้ว กวินท์ก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจออกแรงๆคล้ายไม่พอใจของเธอ

“แล้วคุณหมอคิดว่าฉันสมควรบอกหรือเปล่าล่ะคะว่าตอนนี้น้องชายของฉันอยู่ไหน?” คำพูดที่ย้อนกลับมาทำให้กวินท์ต้องขมวดคิ้วทันที

เขาเห็นอุปสรรควางขวางกั้นอยู่ลางๆตรงหน้าเอาเสียแล้ว และนี่คงเป็นเหตุผลที่รัญชน์ไม่อยู่ในห้องพักของเขาทั้งที่นัดกันเอาไว้แล้วแน่ๆ

“คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

คิ้วของกวินท์เริ่มขมวดเข้าหากันจนเป็นร่องจางๆสองสามรอยระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง สายตาคมมองอย่างประเมินคำพูดอีกฝ่าย

รตายังคงจ้องมองมาด้วยสายตาที่บอกถึงความไม่พอใจในตัวเขาเป็นอย่างดี

“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเรื่องเมื่อคืนระหว่างคุณหมอกับน้องชายของฉันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

คำพูดของเธอชัดเจนเป็นอย่างยิ่งจนกวินท์เริ่มมองเห็นเค้าลางเอาเสียแล้วว่าอุปสรรคชิ้นใหญ่ของเขาคือหญิงสาวตรงหน้าอย่างแน่นอน

ศัลยแพทย์หนุ่มระบายลมหายใจออกช้าๆและควบคุมอารมณ์ร้อนของตนเองไว้เพื่อพูดกับเธอ

เมื่อเขาเจอความรักที่ตามหาแล้ว..กวินท์ไม่มีทางยอมปล่อยให้มันหลุดลอยไปอีกครั้งอย่างแน่นอน

“ได้โปรดเถอะครับ...รัญชน์อยู่ที่ไหน?”

กวินท์พยายามควบคุมโทนเสียงของตนให้ดูไม่ดุดันและก้าวร้าวเกินไป สองขมับของเขาบีบรัดเข้าหากันจนมันเริ่มปวดร้าว

กวินท์แปลกใจตัวเองไม่น้อยที่อารมณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเขา

ที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรที่ทำให้คนที่ควบคุมอารมณ์ได้เก่งพอสมควรอย่างเขารู้สึกสติแตกแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาถามหาน้องชายของฉัน” รตาสะบัดเสียงใส่เขา ทั้งความผิดหวังจากความรักที่มีให้ศัลยแพทย์หนุ่มและความกลัวว่าจะสูญเสียน้องชายไปมันผสมรวมกันเป็นอารมณ์ที่รุนแรง

“คุณเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับความรักของผมกับน้องชายของคุณเหมือนกัน!!” เหลือที่จะอดทนแล้วกวินท์จึงตวาดใส่เธอที่หันมามองอย่างตกตะลึง กวินท์มองสีหน้าเธอแล้วก็รู้สึกผิดในใจ เขาไม่เคยตวาดใส่ใครมาก่อนและคิดว่าตัวหญิงสาวเองก็คงไม่เคยถูกใครตวาดใส่มาก่อนด้วยเช่นกัน

“ความรัก..ระหว่างคุณกับน้องชายของฉัน...อย่างนั้นหรอ?”

รตาทวนคำเสียงเยาะ ความไม่เชื่อมันปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของเธอที่กำลังเผชิญหน้ากับกวินท์ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าสองมือของเธอกำลังจิกผ้าห่มสีขาวไว้แน่น

“คุณกล้าใช้คำว่ารักเลยหรอคะคุณหมอ...คุณกับรัญชน์เพิ่งจะได้พบกันเมื่อวานซืนนี้ไม่ใช่หรือยังไงกัน อย่ามาใช้คำว่ารักกับน้องชายของฉันให้มันตลกหน่อยเลย!” หญิงสาวตะคอกออกมาด้วยอารมณ์ที่มันอัดอั้นอยู่ในใจที่กำลังสั่นเทา เธอโกรธไปหมดทุกอย่างจนไม่รู้ว่าความหวงน้องชายหรือความผิดหวังที่ชายหนุ่มเลือกน้องชายของเธอจะมีมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆคือทั้งสองอย่างมันผสมกันอยู่

“ไม่ใช่เมื่อวานซืน..” รตาชะงักกับคำพูดเรียบๆของกวินท์

มันเป็นประโยคคำพูดเรียบๆแต่ที่เธอสะดุดคือน้ำเสียงอ่อนโยนของเขายามพูดถึง รวมทั้งแววตาที่อ่อนลง

พอเห็นเธอสงบลงแล้ว...กวินท์จึงได้พูดขึ้นอีกครั้ง

“ผมกับน้องชายคุณ...เราเคยเจอมาก่อนเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว”

แววตาของรตาบ่งบอกชัดเจนถึงความไม่เข้าใจ

“ผมกับน้องชายของคุณเจอกันที่โรงพยาบาลนี้เมื่อสิบห้าปีก่อน การที่ผมมาเป็นแพทย์ที่นี่ก็เพราะเราให้สัญญากันไว้ว่าจะต้องพบกันอีกครั้งเมื่อเขากลับมาที่ไทย” ความหึงหวงและความผิดหวังมันถูกปล่อยออกไปราวกับลูกโป่งที่โดนปล่อยลม รตาอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้

“คุณหมออยากให้ฉันเชื่อคำพูดลอยๆอันนี้ของคุณอย่างนั้นหรอคะ?” มนุษย์มักจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เช่นเดียวกับที่จะปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเชื่อ รตาก็เช่นเดียวกัน

“แล้วถึงเรื่องที่คุณพูดมาจะเป็นเรื่องจริง แต่คุณกับน้องชายของฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมารักกันหรอกนะ” รตาพูดเสียงสั่น..เธอยังคงไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถึงแม้ลึกๆแล้วจะรู้ตัวดีว่าตัวเธอเองเป็นส่วนเกินของทั้งสองคนแล้วจริงๆ..กวินท์ถอนหายใจยาว

“ขอร้องล่ะครับ คุณจะเชื่อหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของคุณ และเรื่องที่ผมกับน้องชายของคุณสมควรจะรักกันหรือไม่ ขอให้เราสองคนได้ตัดสินใจกันเอง น้องชายของคุณคือรักแรกและรักเดียวที่ผมตามหามาตลอดสิบห้าปี คุณเองก็เป็นผู้หญิงที่ดี อย่าให้ความรู้สึกของคุณมาเป็นตัวทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจด้วยการกีดกันผมกับน้องชายของคุณจากกันเลย”

รตาหน้าชากับคำพูดของศัลยแพทย์หนุ่มไม่น้อย

คำพูดที่กวินท์เอ่ยมาทำให้เธอเริ่มรู้สึกตัวเช่นเดียวกันว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เธอรู้เรื่องมันทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจอย่างที่ กวินท์ว่าจริงๆ...

เธอเป็นพี่สาว...ก็ควรจะยินดีกับความรักของน้องชายไม่ใช่หรืออย่างไรกัน..ถึงความรักของน้องชายนั้น...มันจะเกิดขึ้นกับเพศเดียวกันก็ตาม

และก็เป็นตัวเธอเองไม่ใช่หรือ ที่เคยคาดหวังอยากให้ผู้เป็นน้องชายมีใครสักคนที่เป็นที่รักและเข้ามาอยู่เคียงข้าง

แต่ทำไมพอถึงวันที่น้องชายจะมีความรัก จิตใจของเธอถึงยอมรับในความรักของน้องชายไม่ได้เช่นนี้

“ผมขอโทษที่พูดแบบนี้ แต่ถ้าคุณไม่คิดจะช่วย ก็อย่ามาขัดขวาง เพราะผมยอมที่จะสูญเสียทุกอย่าง แต่ผมยอมไม่ได้ที่จะต้องเสียน้องคุณไป”

กวินท์พูดทิ้งท้ายก่อนจะทิ้งให้เธออยู่ในห้องตามลำพังกับความรู้สึกสับสน

ท่ามกลางห้องที่เงียบสงบ..รตายกมือขึ้นแตะสร้อยบนคอของเธออย่างเหม่อลอย..พอกวินท์ออกไปแล้วเธอถึงได้กลับมาค่อยๆคิดอีกครั้งถึงความทรงจำเมื่อสองปีก่อนระหว่างที่เธอไปเยี่ยมรัญชน์ที่บรูคลิน

“อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เหงาหรอ? ไม่หาแฟนสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนล่ะ?”

“ไม่ล่ะ”

“ทำไมล่ะ มีแฟนสักคนจะได้ไม่เหงาไง”

“ไม่ได้หรอก..สัญญากับใครบางคนไว้ ว่าถ้ากลับไปไทยเมื่อไหร่...จะยอมเป็นแฟนด้วยน่ะ”

“แหน่ะๆ..แอบไปสัญญากับใครไว้จ้ะ พี่รู้จักหรือเปล่า?”

รัญชน์ในวันนั้นได้แต่อมยิ้มและไม่ยอมบอกอะไรกับเธอสักอย่าง

คนที่น้องชายของเธอสัญญาเอาไว้...ก็คงจะเป็นกวินท์สินะ

รตาหลับตาลง คำตอบมันค่อยๆชัดเจนขึ้นมาแล้วว่าหลังจากนี้เธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี...

เพื่อน้องชายของเธอ

 

ออกจากห้องพักของรตาแล้ว กวินท์ก็กลับไปยังห้องพักของตนเองอีกครั้ง แต่ก็เช่นเคย ภายในห้องมันไร้ซึ่งเงาของรัญชน์ แต่ก่อนจะออกจากห้องไป กวินท์ก็หันไปเห็นสร้อยคอของรัญชน์เอาเสียก่อน

เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาและเก็บใส่กระเป๋าของตนไป

ตอนออกจากห้องนี้ไปรัญชน์คงจะไม่ทันเห็นมันสินะ บางทีอาจจะมีอะไรรบกวนจิตใจของรัญชน์อยู่ ถึงได้หลงลืมของสำคัญชิ้นนี้เอาไว้ ปล่อยให้มันถูกทิ้งไว้อย่างเดียวดาย เหมือนกับความรักของกวินท์

หลังจากนั้นกวินท์ก็วิ่งไปทั่วโรงพยาบาลเพื่อตามหารัญชน์

ศัลยแพทย์หนุ่มหวังว่าจะได้เห็นร่างเล็กของรัญชน์ยืนอยู่ที่ไหนสักที่ที่เขาจะคว้ามากอดไว้ได้ ทั้งที่ในใจลึกๆกำลังรู้สึกว่ามันเหมือนช่วงเวลาเมื่อสิบห้าปีก่อนตอนที่แม่ของรัญชน์เดินมาตามลูกชายของเธอเพื่อออกเดินทางไปอเมริกาไม่มีผิด

ความรู้สึกที่บอกว่ารัญชน์กำลังจะจากเขาไปอยู่ในที่ห่างไกลแบบนั้น ทำยังไงกวินท์ก็ยอมรับไม่ได้ รัญชน์เป็นของเขาแล้ว เขาไม่อยากจะสูญเสียรัญชน์ไปอีก ถึงแม้ว่าจะมีคนไม่ยอมรับความรักของเขาก็ตามที

แต่หลังจากวิ่งไปทั่วและถามหารัญชน์เอากับทุกคนที่น่าจะรู้จักแล้ว กวินท์ก็แทบจะทรุดขาลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง เมื่อรปภ.ของโรงพยาบาลที่จำรัญชน์ได้นั้น บอกว่ารัญชน์ออกไปจากโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าและยังไม่ได้กลับเข้ามาอีก..

กวินท์เดินเซไปพิงรถของตัวเอง

ใจหนึ่งอยากจะไปถามเอากับยชญ์ผู้เป็นพ่อของรัญชน์ แต่ก็นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าผอ.ลีไม่ค่อยให้ใครยุ่งเรื่องครอบครัวเขาสักเท่าไหร่

โดยเฉพาะเรื่องลูกชายคนเล็กที่ไปอยู่เมืองนอก ถึงกวินท์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อลูกแต่ก็ไม่อยากไปยุ่งด้วยมากนัก

ศัลยแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นมาทุบหน้าผากตัวเองซ้ำๆอย่างหงุดหงิดใจ เขาโมโหตัวเองมากกว่าใครที่ไม่ถามที่อยู่หรือช่องทางติดต่อกับรัญชน์เอาไว้ ความดีใจมันทำให้เขาหลงลืมทุกสิ่ง..

บ้าชะมัด..

อย่างน้อยถ้ารตายอมช่วยเหลือ...เขาก็อาจจะพอมีทางหารัญชน์เจอได้บ้าง แต่จากที่คุยกันเมื่อสักครู่ เขาก็ไม่อยากคาดหวังอะไรนัก ถ้ารู้เรื่องที่เขาวิ่งวุ่นไปทั่วโรงพยาบาลเพื่อตามหาน้องชายของเธอ บางทีหญิงสาวอาจจะนั่งหัวเราะเยาะเขาอยู่ก็เป็นได้

กวินท์เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง แต่เขาก็ไม่ได้ขับรถออกจากโรงพยาบาลไป เขายังคงนั่งรออยู่ด้วยความหวังว่าจะได้พบรถสักคันเลี้ยวเข้ามาจอดและคนที่ลงมาจากรถนั้นก็คือรัญชน์

รถแล่นผ่านไปคันแล้วคันเล่า..

สองชั่วโมงกว่าจากที่มองตามรถทุกคัน กวินท์ก้มหัวลงซุกหน้ากับพวงมาลัย เขาไม่อยากยอมรับว่าจะต้องสูญเสียรัญชน์ไป ไม่อยากเชื่อว่าความรักที่เขาได้สัมผัสมันกำลังจะหลุดลอยไปจริงๆ

“โธ่เว้ย!” กวินท์ระบายอารมณ์ออกมาด้วยการทุบพวงมาลัยรถแรงๆอย่างหัวเสียก่อนที่จะสูดลมหายใจลึกๆ ระงับสติอารมณ์ของตนเองให้กลับคืนมาอย่างยากลำบากในเวลาเดียวกับที่เสียงมือถือของเขาดังขึ้น

เบอร์โทรที่ไม่คุ้นสักเท่าไหร่ทำให้เขารีบกดรับด้วยความหวังว่าจะเป็นรัญชน์โทรมา แต่ปลายสายนั้นกลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่กวินท์เพิ่งจะเดินจากมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว

“คุณรักน้องชายของฉันจริงหรอคะ?” รตายิงคำถามนี้ทันทีเมื่อกวินท์รับสาย และโพล่งอีกคำถามทันทีก่อนที่กวินท์จะทันตอบ

“คุณสาบานได้ไหมว่าจะรักรัญชน์ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะรักและดูแลเด็กคนนั้นอย่างดีที่สุด”

ถึงรตาจะดูแข็งกร้าวคล้ายคนไม่ยอมฟังอะไรเมื่อสักครู่ แต่จากคำถามและน้ำเสียงของเธอในตอนนี้ กวินท์เริ่มเห็นความหวังกลับคืนมาแล้ว

“ผมสาบาน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะรักน้องคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น” กวินท์บอกอย่างมั่นใจในความรักของตนเอง..

เขารักรัญชน์มาสิบห้าปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรืออยู่ข้างกันเขาก็รักหมดทั้งหัวใจ และเชื่อว่าตนเองจะรักรัญชน์มากขึ้นไปอีก ถ้าได้อยู่เคียงข้างกัน ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกลับมา

“ถ้าอย่างนั้น...คุณหมอช่วยขึ้นมาหาฉันหน่อยแล้วกันนะคะ”

สายถูกตัดไปก่อนที่กวินท์จะได้ทันรับคำอะไร

ศัลยแพทย์หนุ่มมองหน้าจอมือถืออีกครั้งก่อนจะรีบร้อนลงจากรถและตรงไปหารตาทันทีอย่างไม่สนใจคำทักทายของใครทั้งสิ้น

ถึงจะพอแน่ใจว่าขึ้นไปก็คงไม่ได้พบกับรัญชน์ในทันที แต่การขึ้นไปหารตานี่แหละคงเป็นก้าวแรกที่เขาจะได้เจอกับรัญชน์อีกครั้ง

รตากำลังเคาะปลายปากกาลงกับกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าของเธออย่างเหม่อลอยตอนที่กวินท์เปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เธอมองมาที่ศัลยแพทย์หนุ่มก่อนจะวางปากกาลงและหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาพับ กวินท์เองก็มองไปที่กระดาษแผ่นนั้น แต่รตาไม่ได้ยื่นมาให้เขา กวินท์จึงทำได้แค่ยืนคอยดูว่าเธอจะทำอะไรกันแน่

“คุณหมอ..คุณคงจะรู้มาบ้างว่าฉันกับรัญชน์เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเก่าของผ.อ.ยชญ์..” กวินท์พยักหน้ารับและไม่ได้เอ่ยขัดอะไรทั้งที่เริ่มรู้สึกสงสัยว่ารตาต้องการพูดเรื่องอะไรกันแน่

แต่น้ำเสียงและแววตาที่อ่อนลงของเธอ ทำให้เขาพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างในตอนนี้ กวินท์เองก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่หากต้องเผชิญหน้ากันด้วยอารมณ์โมโหรุนแรงแบบเมื่อสักครู่อีกครั้ง

“พอพ่อกับแม่หย่ากัน เราสองคนพี่น้องก็ถูกแยกจากกัน ฉันอยู่กับพ่อที่ไทย แม่พารัญชน์ไปอยู่ที่อเมริกาด้วย แต่แม่เอง..ก็มีสามีใหม่ เด็กหัวรั้นอย่างรัญชน์จึงกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัวใหม่ของแม่ในที่สุด สุดท้ายแล้ว..แม่ก็ส่งรัญชน์เข้าเรียนโรงเรียนประจำที่นั่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัญชน์ต้องอยู่คนเดียวมาตลอด”

รตาเล่าไปเสียงก็สั่นเทาไปด้วยความสงสารผู้เป็นน้องที่ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวตลอดมา และนี่เองก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

“ถึงจะดูเป็นเด็กที่เข้มแข็งแต่จริงๆแล้วภายในของรัญชน์อ้างว้างและโดดเดี่ยวอยู่ตลอดเวลา คุณพอจะเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อหรือเปล่าคะ?...”

หญิงสาวหันมาพยายามยิ้มให้กับกวินท์ เค้าโครงหน้าที่เหมือนกันแต่แตกต่างกันที่แววตานั้นทำให้กวินท์นึกถึงรัญชน์ทันที..

เขารู้สาเหตุแล้วว่าทำไมรัญชน์ถึงได้มีแววตาอ้างว้างแบบนั้น

ถึงจะแสดงออกว่าเป็นเด็กหัวรั้นแต่ภายในแล้วรัญชน์ก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่ยังต้องการความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวรวมถึงคนรอบข้างด้วยเช่นเดียวกัน

ได้ยินเรื่องเล่าจากปากของผู้เป็นพี่สาวแล้ว กวินท์ก็นึกเสียใจที่เขาไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างคนที่เขารักในยามว้าเหว่ ยามที่รัญชน์ไม่มีใครตอนนั้น ทำไมโชคชะตาถึงไม่ให้โอกาสเขาได้อยู่ข้างรัญชน์กันนะ

กวินท์ขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวและจับมือของเธอไว้

“ทุกสิ่งที่น้องคุณขาดไป..ผมจะทดแทนด้วยความรักของผม ผมจะไม่มีวันปล่อยให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ผมจะดูแลเขาเอง”

ศัลยแพทย์หนุ่มเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลจากดวงตาของเธอยามที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาและยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้

“ที่อยู่ของรัญชน์กับเบอร์โทรติดต่อ ทั้งในกรุงเทพและบรูคลิน ฉันช่วยคุณได้แค่นี้นะคะ ฉันไม่แน่ใจว่าตอนนี้รัญชน์ยังจะอยู่ในกรุงเทพไหม เด็กคนนั้นบอกว่าจะกลับอเมริกา แล้วเด็กคนนั้นก็เป็นคนพูดจริงทำจริงด้วย”

รตาบอกแล้วก้มศีรษะลงให้กับศัลยแพทย์หนุ่ม

“ฉันขอโทษนะคะที่เข้ามายุ่งทำให้เรื่องมันวุ่นวาย และก็..ฝากรัญชน์ด้วยนะคะ”

“ขอบคุณนะครับ”

กวินท์รับคำสั้นๆก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้น รตามองตามแผ่นหลังของศัลยแพทย์หนุ่มไปด้วยดวงตาที่ฝ้าฟาง

เธอเริ่มสะอื้นอีกครั้งแต่รอยยิ้มยังคงระบายบนใบหน้า ถึงจะเจ็บเพียงใด แต่เพื่อน้องชายที่น่าสงสารของเธอแล้ว เธอก็สมควรหลีกทางให้

เธอสะอื้นอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่ประตูจะเปิดเข้ามาอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองและหันมองไปนอกหน้าต่าง เจ้านกน้อยที่เมื่อเช้ามีเพียงตัวเดียว ตอนนี้กลับมาอยู่สองตัวและกำลังมองเข้ามาภายในห้องที่ผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาตรงเตียงคนไข้

“อืม..เหมือนจะได้ยินใครกันนะกำลังร้องไห้อยู่” มืออบอุ่นวางลงบนกลางกระหม่อมของเธอ รตาสูดจมูกเบาๆแล้วหันมามองค้อนใส่คนพูด

“ถ้าจะมาหัวเราะเยาะกันล่ะก็ ไม่ต้องเลยนะ”

ธันย์แค่ยิ้มเท่านั้นกับคำพูดของเธอก่อนเลื่อนมือที่วางอยู่กลางศีรษะลงมาประคองแก้มเอาไว้ ปลายนิ้วหัวแม่มือของเขาไล้เอาคราบน้ำตาที่ยังคงเปื้อนแก้มของเธอออกไปอย่างทะนุถนอม

“พี่จะหัวเราะเธอได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อเธอทำไปเมื่อกี้มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดเลยนินา”

ชายหนุ่มบอกก่อนที่จะทรุดนั่งลงบนเตียงข้างๆแล้วรั้งให้เธอเอนมาซุกกับไหล่ของเขา อ้อมกอดของธันย์ถึงไม่ใช่สิ่งที่รตาฝันถึง แต่มันก็อบอุ่นจนทำให้เธอยอมอิงหัวลงกับบ่าของเขา

“เจ็บไม่นานหรอก..เดี๋ยวก็หาย” รตาได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยอยู่ข้างหูเช่นนั้น เธอครางรับคำในลำคอเบาๆก่อนจะขยับแขนกอดเอวของธันย์ไว้อย่างต้องการที่พักพิง และชายหนุ่มก็ยินดีเป็นที่พักพิงให้แก่เธอ

บางที..จุมพิตเบาๆกลางกระหม่อมของเธอกับอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้...อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรักครั้งใหม่ก็เป็นได้...

 

ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจากรตาแล้ว กวินท์ก็รู้สึกว่าตัวเองจะปล่อยรัญชน์ไปไม่ได้เด็ดขาด เขาอยากจะอยู่ข้างๆ คอยปลอบโยนเวลารัญชน์ทุกข์ คอยหัวเราะด้วยกันยามที่มีความสุขและทำทุกอย่างให้ดวงตาคู่เหงานั้นเปลี่ยนเป็นดวงตาที่สดใสให้ได้

พอตั้งปณิธานกับตัวเองได้แล้ว กวินท์ก็รีบไปยังที่อยู่ของรัญชน์ที่ รตาเขียนไว้ให้ ที่อยู่ในกรุงเทพนั้นอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลสักเท่าไหร่ อันที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้กับคอนโดของกวินท์ไม่น้อย

แต่กวินท์ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อทราบจากเจ้าหน้าที่ของคอนโดว่ารัญชน์นั้นออกไปข้างนอกแล้วพร้อมกับกระเป๋าเดินทางเมื่อสามชั่วโมงก่อน

กวินท์กลับมาที่รถของตนเอง เขาหยิบกระดาษขึ้นมาดูอีกครั้งและลองโทรเข้าเบอร์มือถือของรัญชน์อีกรอบ แต่เสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นเพียงแค่ระบบฝากข้อความเหมือนกับที่กวินท์ได้ฟังมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

ชายหนุ่มลดกระดาษลงในมือ เขากรอกเสียงทุ้มลงฝากข้อความไว้

“ถ้าคุณได้ยินข้อความนี้แล้ว..โทรกลับมาหาผมนะรัญชน์..ได้โปรด อย่าหนีไปแบบนี้...”

มือที่ถือโทรศัพท์มือถือมันสั่น กวินท์ก้มหน้าลงไปเอาหน้าผากกดกับพวงมาลัยรถก่อนจะกรอกประโยคที่ใจเขาร้องบอก..

“อย่าเดินหนีจากความรักของเรา...ได้ไหม..”

ดูเหมือนว่า..กำแพงที่ใหญ่ที่สุดที่เขาต้องข้ามไปให้ได้ ไม่ใช่รตาเสียแล้ว..แต่เป็นหัวใจของรัญชน์เองต่างหาก

กวินท์พรูลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะกดวางสายไป

เขาลดสายตามองดูที่อยู่อีกหนึ่งที่ในแผ่นกระดาษแล้วตัดสินใจกดมือถือโทรออกอีกครั้ง

“ผมจะไปบรูคลินสักสิบวัน ช่วยทำเรื่องลาพักร้อนให้ผมด้วย แล้วคิวผ่าตัดช่วงนี้ไม่ฉุกเฉินนักยังไงก็รบกวนคุณช่วยแจ้งเลื่อนให้กับคนไข้ด้วยก็แล้วกัน”

กวินท์นึกขอบคุณในใจที่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีคิวผ่าตัดสักเท่าไหร่นัก หลังจากที่ฝากคิวให้ศัลยแพทย์คนอื่นมาดูแลคนไข้ที่พักฟื้นช่วงนี้ให้เรียบร้อยแล้ว กวินท์จึงขับรถกลับที่พักของตนเองท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา

ศัลยแพทย์หนุ่มมองหยดน้ำที่ตกลงกระทบกับกระจกข้างหน้าแล้วก็อดนึกถึงรัญชน์ไม่ได้ เขาหยิบเอาสร้อยของรัญชน์ที่เขาเก็บมาหลังจากขึ้นไปห้องพักที่โรงพยาบาลแล้วไม่พบกับรัญชน์ขึ้นมาอีกครั้งและลูบไปตามจี้นั้นอย่างโหยหา

ไม่ว่าจะยังไง..เขาก็ต้องตามหาเจ้าของจี้อันนี้จนเจอให้ได้

-TBC-

230

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
อัพตอน6แล้วววววววววววเอ้ะคนแต่งลืมแก้หัวเรื่องรึเปล่าคะ?
อย่าลืมมาแก้น้าแล้วเอาคำว่าดราม่าออกด้วยนะเห็นแล้วใจหายฮ่าๆ
เชื่อว่ารตาจะพบเจอความรักที่ดีแล้วก็ดีใจแต่ได้พบกับธันย์
เอาใจช่วยคุณหมอออออออตามหารัญชน์ให้เจอนะ
อยากอ่านฉากหวานๆของสองคนนี้บ้าง
ไม่ใช่หากันไปหนีกันมาแบบฉากในหนังอินเดียก๊ากกกกกกก็เปรียบไปเรื่อย
ขอให้กวินท์ปกป้องรัญชน์เรื่องพ่อด้วยนะ
ดูรายนี้จะหนักหนากว่าใครเลย

ออฟไลน์ zynestras

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • Zynestras.com
         ตอนที่ ๗

 

ที่บรูคลินเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สีเหลืองทองของใบไม้ที่เริ่มร่วงหล่นจากต้นไม้รอบๆ มันสร้างความรู้สึกหงอยเหงาเสียยิ่งกว่าทุกครั้ง รัญชน์ที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าถอนหายใจช้าๆก่อนจะเก็บเอาอุปกรณ์วาดภาพลงใส่กระเป๋า เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งและปัดเศษหญ้าออกจากกางเกงก่อนหยิบเอากระดานวาดรูปหนีบติดแขนเดินกลับออกมาจากสวนสาธารณะ

ร่างบางเดินอย่างเหม่อลอยกลับไปทางที่พักของตนเอง...

ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดีที่เขามาถึงบรูคลินนี้ ถึงจะรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง แต่จิตใจที่ว้าวุ่นไม่สงบมันก็พาให้รัญชน์ต้องหาอะไรทำสักอย่าง เขาเลยหยิบกระดานวาดรูปออกมานั่งสเก็ตภาพตั้งแต่ช่วงเช้า แต่นั่งมาจนถึงเกือบเย็น ภาพรูปปั้นตรงกลางลานน้ำพุที่เขาตั้งใจจะวาดนั้น..กลับกลายเป็นภาพสเก็ตของศัลยแพทย์หนุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รัญชน์มารู้สึกตัวเอาอีกทีก็ตอนตั้งใจลากดินสอแรเงานัยน์ตาคมเข้มของกวินท์นั่นเอง..

ร่างบางเดินลากขากลับไปยังที่พักของตนเองอย่างไม่กระตือรือร้นสักเท่าไหร่ ระหว่างทางรัญชน์แวะซื้อเค้กกลับมาด้วยก้อนหนึ่ง..วันนี้เป็นวันเกิดของเขา และมันก็คงเป็นวันเกิดที่เดียวดายเหมือนกับทุกๆปีสินะ...

เพราะการได้พบกับกวินท์อีกครั้งและเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้จะเป็นเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น แต่มันก็ทำให้รัญชน์ไม่สามารถดึงเอาความรู้สึกเคยชินที่ต้องอยู่คนเดียวออกมาได้

รัญชน์หยุดยืนอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลที่ใบของมันกลายเป็นสีส้มแดงไปหมดทั้งต้นและเริ่มร่วงหล่นกระจายอยู่เต็มใต้ต้นของมัน

อยู่ดีๆก็เหมือนกับโลกทั้งใบมันหยุดหมุน แม้ทุกคนกำลังจะเดินสวนไปมาหรือรถจะวิ่งผ่านไป แต่รัญชน์ก็ไม่รู้สึกถึงทุกสิ่งรอบกาย นอกจากสิ่งที่เต้นอยู่ใต้อก

หัวใจ..มันกำลังเต้นช้าลงทุกที

กล่องเค้กและกระดานวาดรูปมันตกลงกับพื้น คนที่เดินสวนไปมาได้แต่มองไปที่ร่างเล็กของผู้ชายสัญชาติเอเชียคนหนึ่งที่ย่อตัวลงและร้องไห้สะอื้นอย่างโดดเดี่ยวตรงใต้ต้นเมเปิ้ลริมถนนนั้น

กว่าจะเดินมาถึงที่พักมันก็ค่ำแล้ว ที่รออยู่ไม่ใช่เพียงแต่ห้องที่ให้ความรู้สึกหงอยเหงาเท่านั้น แต่ยังมีร่างสูงของใครบางคนในแจ็คเก็ตสีเทาดูแปลกตายืนรออยู่ตรงหน้าประตู

“กวินท์...” รัญชน์ครางชื่อของศัลยแพทย์หนุ่มแผ่วเบา

กวินท์กำลังมองไปทางทิศตรงข้ามกับที่รัญชน์ยืนอยู่ เสี้ยวหน้าคมที่สะท้อนกับแสงไฟสีส้มตรงรั้วริมถนนนั้นสะกดให้รัญชน์รู้สึกเหมือนกับสองขาของตัวเองมันถลาเข้าไปหาแล้วทั้งที่เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม

แม้จะคิดถึงและโหยหามากแค่ไหน แต่รัญชน์ก็ยังลังเลที่จะไขว่คว้าความรักไว้ ร่างบางตัดสินใจที่จะเดินหนี ทว่าก่อนที่จะได้ทำอย่างที่ใจต้องการ กวินท์ก็หันมาและเห็นเขาเข้าเสียก่อน

รัญชน์หันหลังกลับทันทีและเดินหนีฝ่ากลุ่มคนที่เดินสวนมาไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่กวินท์ยืนอยู่ ร่างเล็กๆที่กำลังเดินหนีไกลออกไปทำให้กวินท์นึกปวดใจไม่น้อยแต่กวินท์ก็ไม่นึกยอมแพ้

“รัญชน์...รัญชน์!”

กวินท์รีบวิ่งฝ่ากลุ่มคนไปหารัญชน์และคว้าต้นแขนรัญชน์เอาไว้ได้ เขาออกแรงดึงคนที่รักไว้ในอ้อมแขน กระดานวาดรูปและกล่องเค้กตกลงกับพื้น รัญชน์ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนของเขาก่อนจะหยุดยืนนิ่งในที่สุด

“อย่าหนีเลยนะ...อย่าหนีผมอีกเลยได้ไหม..” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออยู่ข้างหู รัญชน์ที่ขืนตัวเองในตอนแรกก็ค่อยๆอ่อนลง

หัวใจมันพ่ายแพ้เหลือเกินกับคนที่มีอิทธิพลกับหัวใจคนนี้

“ผมมารับคุณกลับไปด้วยกัน..”

กวินท์ยกมือจับสองไหล่ของรัญชน์และหมุนให้หันมาเผชิญหน้ากัน

แต่คนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยมองสบตา กวินท์กอดร่างบางเอาไว้ อ้อมกอดมันแนบแน่นจนรัญชน์ไม่อาจสะบัดหลุดได้

“รักกันนะรัญชน์..ให้ผมดูแลคุณตลอดไปได้ไหม?”

รัญชน์เงยหน้าขึ้นมาเขาอย่างไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่รอยยิ้มอบอุ่นของศัลยแพทย์หนุ่มคือคำยืนยัน

มันเป็นคำเว้าวอนที่รัญชน์ไม่เคยฝันถึงมาก่อนว่าจะได้ยิน แต่กระนั้นรัญชน์ก็ยังคงรู้สึกสับสนอยู่ในใจ ร่างบางเอียงหน้ามองถนน รถคันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไป กวินท์เริ่มรู้สึกใจไม่ดีสักเท่าไหร่ที่เห็นรัญชน์นิ่งเงียบไม่ยอมตอบอะไรเขา

“หรือคุณไม่รักผมเลย..” คำพ้อของกวินท์ทำให้รัญชน์ต้องหันมามองสบตาอีกหนแล้วส่ายหน้าช้าๆ

สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่รัญชน์กำลังคิดอยู่ เขาเพียงแต่กำลังคิดถึงพี่สาวเท่านั้น รัญชน์อยากรู้ว่ารตาจะรู้สึกอย่างไรถ้าหากเขากับกวินท์รักกัน

“ผมรักคุณ...” กวินท์ยิ้มได้กับคำพูดนั้น เขาอิงแก้มลงกับหน้าผากเล็ก กอดรัญชน์ไว้แนบอก

“แต่คนเรา..ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเพื่อรักกันหรอกนะ ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน..ก็ยังรักกันได้”

รัญชน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองไม่ต่างอะไรกับแววตา เขาคลี่ยิ้มให้กับกวินท์ สองมือโอบกอดกวินท์เอาไว้แน่นเท่ากับที่กวินท์กอดเขา แต่มันเป็นทั้งรอยยิ้มและอ้อมกอดที่แสนเศร้า รัญชน์แนบริมฝีปากของตนเองมอบจูบแผ่วเบาให้กับกวินท์แล้วกระซิบ

“แค่รู้ว่าคุณรักผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว..”

คำพูดนั้นทำให้กวินท์ตัวชาไปหมด เขากอดร่างเล็กของรัญชน์ไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย

“ไม่..อย่าพูดแบบนี้..” สองมือประคองแก้มรัญชน์ให้เงยสบตาและได้เห็นว่าดวงตาคู่สวยกำลังมีหยาดน้ำตาที่กำลังใกล้จะไหลอาบแก้มคลออยู่ กวินท์พรมจูบที่เปลือกตานั้นอย่างอ่อนโยน

“ผมรู้ว่าคุณกำลังนึกถึงพี่สาวของคุณ...แต่เธอยอมรับความรักของเราแล้ว” รัญชน์มองกวินท์ด้วยความประหลาดใจ

“พี่รตา...ยอมรับเรื่องของผมกับคุณ..อย่างนั้นหรอ?”

“ใช่..พี่สาวของคุณยอมรับความรักของเรา...”

“รัญชน์..ได้โปรด...อย่าทิ้งความรักของเราเลยนะ ให้ผมได้รักคุณนะครับ” กวินท์เอ่ยและยิ้มให้กับรัญชน์ รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและเต็มเปี่ยมด้วยความรัก เขาพยักหน้าช้าๆก่อนโน้มหน้าลงไปหารัญชน์

“เธอฝากให้ผม..ดูแลน้องชายของเธอ”

คำพูดนั้นสร้างความตื้นตันในอก รัญชน์รู้สึกว่าขอบตาตัวเองมันร้อนผ่าวขณะที่เอ่ยถามกลับไปเพื่อย้ำความมั่นใจอีกหน

“เรารักกันได้ใช่ไหม?” รัญชน์ถามด้วยความตื้นตัน เขายิ้มให้กวินท์พร้อมกับน้ำตาของความดีใจที่ไหลลงมา สองมือโอบกอดรอบคอของกวินท์เอาไว้ขณะที่ถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมา

“ได้สิ..ตราบเท่าที่คุณจะยอมให้เราได้รักกัน”

รัญชน์ยิ้มสวยให้คนรัก มือเรียวประคองใบหน้าคมเอาไว้และมอบจุมพิตแสนหวานกลางบรูคลินให้กับคนรักของเขาหลังจากกระซิบตอบแผ่วเบาที่พาให้ความสุขมันอาบซ่านไปทั่วร่างของทั้งคู่..

“ผมยอม..”

จากค่ำคืนนี้ไป..รัญชน์คงไม่ต้องทนกับความเดียวดายอีกต่อไปแล้ว เขามีกวินท์ที่พร้อมจะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน แบ่งปันเสียงหัวเราะและความสุขที่มีให้แก่กัน..

ด้วยความรักที่เรามีให้กัน..

ทั้งที่เมื่อวานฝนยังคงตกไปทั่วบรูคลินเลยแท้ๆ แต่วันนี้รัญชน์ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่สดใส ร่างบางกะพริบตาเบาๆเมื่อแสงแดดมันส่องผ่านผ้าม่านสีครีมที่อยู่ทางซ้ายมากระทบกับตาของเขา

ฝันไปหรือเปล่านะ..สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

ที่กวินท์มาหาและบอกรักนั้น..เป็นเพียงความฝันที่เพ้อเจ้อของรัญชน์เองหรือเปล่า รัญชน์ครุ่นคิดโดยที่ยังไม่กล้าลืมตา กลัวว่าจะตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตนของกวินท์

แต่แล้วอ้อมแขนอบอุ่นที่ขยับกอดเขาแน่นขึ้นก็ต้องทำให้รัญชน์ลืมตาขึ้นมาในที่สุด ใบหน้าหล่อคมของผู้ชายที่นอนข้างกันส่งยิ้มอบอุ่นที่ไม่แพ้อ้อมกอดมาให้เขา

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

รัญชน์ยิ้มตอบก่อนจะหลับตาลงเมื่อใบหน้าของคนรักเคลื่อนเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของทั้งสองแนบกัน อาจเรียกได้ว่าเป็นเช้าวันแรกของช่วงเวลาหลายปีที่รัญชน์ตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มและความรู้สึกเป็นสุขในใจ

เขากอดตอบกวินท์เอาไว้ กอดผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักและคนที่จะมาเติมเต็มความอ้างว้างในหัวใจ

“ผมนึกว่าคุณเป็นแค่ความฝัน ที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะหายไปเสียอีก” รัญชน์บอกเสียงเบา กวินท์กอดคนรักแน่นขึ้นและกดจูบลงกับหน้าผากเนียน

“ผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้ว และจะอยู่กับคุณตลอดไป..”

สิ่งที่กวินท์พูด มันไม่ใช่คำหวานที่พร่ำเพ้อออกมาให้คนฟังหลงใหล แต่เป็นคำมั่นที่ศัลยแพทย์หนุ่มตั้งใจมอบให้กับคนรัก

คำมั่นสำหรับคนสำคัญที่อยากใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไป

แสงแดดอ่อนๆ ท้องฟ้าสีฟ้าครามที่ต่างจากเมื่อวานมันทำให้ กวินท์อดไม่ได้ที่จะชวนคนรักให้ออกมาข้างนอก ในตอนนี้กวินท์กับรัญชน์เลยเดินทอดน่องอยู่ในบรูคลินอย่างสบายอารมณ์

“รัญชน์..เมื่อวานเป็นวันเกิดของคุณ ผมยังไม่ได้ให้อะไรคุณเลย บอกผมสิว่าคุณอยากได้อะไร?” กวินท์เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เขาสองคนเดินเล่นด้วยกันมาได้ครู่ใหญ่

ศัลยแพทย์หนุ่มหันมองหน้าคนรักและขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะจับมือเล็กขาวเอาไว้ รัญชน์ชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มและส่ายหน้าช้าๆ เขาบีบมือใหญ่ของกวินท์แล้วจับกระชับไว้พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ

“แค่มีคุณ..ก็พอแล้ว”

สำหรับรัญชน์แล้ว แค่มีกวินท์อยู่ข้างกายก็ถือได้ว่าเป็นของขวัญที่แสนพิเศษสุดในชีวิตแล้วก็ว่าได้

กวินท์ยิ้มน้อยๆกับคำตอบของคนรัก เขาจับมือของรัญชน์แน่นขึ้น จังหวะหัวใจมันเต้นอย่างอบอุ่นเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสามารถไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในชีวิตมาไว้ได้แล้ว

หลายนาทีต่อมา...ทั้งสองคนพากันมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ลานน้ำพุภายในสวนสาธารณะ ตรงจุดเดิมที่รัญชน์มานั่งสเก็ตภาพเมื่อวาน รัญชน์มองไปที่รูปปั้นแล้วก็ยิ้มขำตัวเองออกมา

“ผมชอบเวลาคุณยิ้มจัง”

กวินท์ที่มองหน้าคนรักอยู่เอ่ยออกมา รัญชน์ยิ้มเขินๆ ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันแบบนั้น แม้บทสนทนาจะน้อยนิด แต่ความสุขมันกับแผ่ซ่านไปทั่วใจ

“นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ คุณเบื่อหรือเปล่า?” กวินท์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ รัญชน์หันมาเหลือบมองคนรักแล้วส่ายหน้า

“ไม่หรอก แค่รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย”

“ทำไมล่ะ?” กวินท์ละสายตาจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่กำลังหัดขี่จักรยานอยู่ในสวนสาธารณะโดยมีเด็กผู้ชายที่วัยไล่เลี่ยกันสอนให้มามองหน้าคนรัก รัญชน์ยิ้มนิดๆที่มุมปากก่อนจะบอกมาด้วยสีหน้าเขินๆ

“ปกติผมมักจะมานั่งสเก็ตรูปเล่นที่นี่น่ะ แต่พอไม่ได้ทำมันเลยรู้สึกแปลกๆ”

“ผมเห็นรูปที่อยู่ในห้องคุณแล้ว สวยทุกรูปเลย คุณวาดเองทั้งหมดเลยใช่ไหม? งานอดิเรกหรอ?”

รัญชน์ยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อได้รับคำชมจากคนรักอีกครั้ง มันเป็นคำชมที่มีค่าเสียยิ่งกว่านักวิจารณ์ชื่อดังเอ่ยชมรูปวาดของเขาเสียอีก

“มันเป็นทั้งงานอดิเรกแล้วก็อาชีพของผม คุณอยากเห็นรูปวาดของผมอีกไหม? สิบโมงแบบนี้ที่แกลอรี่เพิ่งเปิด เราไปกันดูไหม?”

กวินท์พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นและยื่นมือมาให้คนรักจับ รัญชน์ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับมือกวินท์ไว้ก่อนจะลุกขึ้นมา

ทั้งสองเดินออกจากสวนสาธารณะมุ่งหน้าไปยังแกลอรี่ที่อยู่ห่างออกไปสองบล็อก ระหว่างทาง รัญชน์ก็เล่าเรื่องของตนเองให้กวินท์ได้ฟังไปพลางๆ

“ผมเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของที่นี่ตั้งแต่เกรดเจ็ด อยู่ที่นี่มาตลอดก็เลยรู้สึกผูกพันธ์กับเมืองนี้ แล้วผมก็ชอบวาดรูปมาก ตอนเกรดสิบก็เลยวาดรูปเมืองนี้ขึ้นมาจากวิวที่มองเห็นบนดาดฟ้าของอาคารเรียน...

อาจารย์ศิลปะเห็นแววผมก็เลยให้ผมไปช่วยงานบ่อยๆ และก็ผลักดันให้ผมส่งงานเข้าประกวดอยู่เรื่อยๆจนได้มาหลายรางวัล

จนพอผมจบไฮสคูล อาจารย์ก็แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่คีตะที่เป็นเจ้าของแกลอรี่ที่ผมจะพาคุณไป ผมกับพี่คีตะก็เลยได้ร่วมงานกันตั้งแต่ตอนนั้น มันก็เลยกลายเป็นอาชีพถาวรที่ทำเงินให้ผมมีกินมีใช้มาจนถึงวันนี้”

“แค่มีกินมีใช้ที่ไหน ระดับอย่างนายน่ะมีทิ้งมีขว้างเลยด้วยซ้ำ”

รัญชน์กับกวินท์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงดังแทรกขึ้นมาข้างหลัง

ผู้ชายสัญชาติไทยที่สูงพอๆกับกวินท์และท่าทางเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารส่งยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีมาให้

“เห็นแบบนี้ แต่หมอนี่น่ะเป็นอาร์สติสชื่อดังเลยนะจะบอกให้ ภาพเขียนของรัญชน์น่ะ ขายได้ทีเป็นแสนเหรียญเลย บางภาพเป็นล้านเลยด้วยซ้ำ” กวินท์อดตกใจไม่ได้กับความเก่งของคนรัก เขาทำหน้าประหลาดใจอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนเมื่อหันมองหน้ารัญชน์ที่หันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรุ่นพี่ที่พูดมากเกินไป

“พี่ก็พูดเกินไป”

“พูดเกินไปที่ไหน ที่พูดมาน่ะเรื่องจริงทั้งนั้น นี่ไม่อยากคุยนะ แต่ขนาดประธานาธิบดียังมาซื้อภาพเขียนของรัญชน์ไปติดผนังห้องตัวเองในไวท์เฮ้าส์เลยด้วยซ้ำ”

“พี่คีตะ หยุดพูดได้แล้วน่ะ”

รัญชน์เรียกย้ำชื่ออีกฝ่ายแล้วขึงตาใส่ แต่สองแก้มนั้นแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังเขินที่ถูกเผาต่อหน้าคนรัก

“โอเค เลิกพูดแล้วก็ได้ ว่าแต่นี่จะไม่แนะนำเพื่อนให้พี่รู้จักหน่อยหรือไง” กวินท์อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นระคนกดดันว่ารัญชน์จะแนะนำเขาให้ อีกฝ่ายรู้จักยังไง จะเปิดเผยไหมว่าเขาคือคนรัก หรือจะปกปิดไว้ไม่ยอมบอก

แต่กวินท์ก็คิดว่าตัวเองพร้อมทั้งนั้นไม่ว่ารัญชน์จะเปิดเผยความรักของพวกเขาให้คนอื่นรักรู้หรือจะปิดไว้เป็นความลับระหว่างกัน

รัญชน์หันมองหน้ากวินท์อย่างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วจับมือของกวินท์ไว้

“นี่คุณหมอกวินท์ เป็นคนรักของผม”

คีตวิชญ์เบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังพลางตบไหล่รัญชน์อย่างร่าเริง

“นึกว่าชาตินี้จะไม่เห็นนายมีแฟนแล้วซะอีก ยินดีด้วยนะ”

คีตวิชญ์ว่าแล้วหันมายื่นมือให้กวินท์ด้วยรอยยิ้ม

“ผมคีตวิชญ์ เรียกคีตะก็ได้ เป็นเจ้านายของรัญชน์ เป็นเจ้าของแกลอรี่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

กวินท์ตอบกลับแล้วยื่นมือไปจับ รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าคีตวิชญ์ไม่ได้มีปฏิกิริยาในแง่ลบกับความรักของพวกเขา เช่นเดียวกับรัญชน์ที่หันมายิ้มให้ตอนที่หันไปสบตากัน

 

ภาพของรัญชน์ที่จัดแสดงอยู่ในแกลอรี่นั้นมีทั้งความสวยงามและเอกลักษณ์ในตนเอง กวินท์ไล่มองทีละภาพอย่างพิจารณาและซึมซับในอารมณ์ที่รัญชน์ถ่ายทอดไว้บนแต่ละภาพนั้นช้าๆจนกระทั่งสายตาหันไปพบกับภาพหนึ่งที่ประดับเอาไว้ตรงกลางห้อง

ฉับพลันความรู้สึกอบอุ่นมันก็แผ่ซ่านเข้ามาในใจของกวินท์ที่เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงภาพนั้น รัญชน์ก้มหน้าเล็กน้อยซ่อนใบหน้าที่เขินอายเอาไว้ขณะที่กวินท์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ เขายกมือขึ้นแตะรูปใบนั้น

มันเป็นรูปเด็กผู้ชายสองคนที่กำลังจูบกันอยู่โดยมีฉากหลังเป็นม่านน้ำฝน ภาพนี้ต่างจากทุกภาพที่กวินท์สัมผัสได้

มันมีความรู้สึกรักและความหวังแฝงเอาไว้ แขนของกวินท์ขยับโอบคนรักไว้โดยไม่รู้ตัว

คีตวิชญ์มองทั้งสองแล้วยิ้มๆก่อนจะเดินออกไปเพื่อให้ทั้งสองมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว

“ผมชอบภาพนี้จัง ถ้าจะขอซื้อ คุณจะขายไหม?”

“ภาพนี้แพงที่สุดเลยนะ...แล้วผมก็ไม่รับเป็นเงินด้วย”

รัญชน์แกล้งบอกแล้วอมยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับน่ามอง

“แล้วคุณอยากได้อะไรล่ะ?”

รัญชน์ไม่ตอบแต่หันไปปลดภาพนั้นลงมาจากผนัง กวินท์ขยับเข้าไปช่วยจนยกภาพนั้นลงมาวางกับพื้นได้ รัญชน์จับกรอบด้านบนไว้และจับมือคนรักให้มาจับที่ภาพแล้วมองสบตา

“คุณจ่ายมันมาให้ผมครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งผมต้องขอดูไปก่อน ถ้าคุณจ่ายมันไม่ครบ ผมก็จะขอภาพนี้คืนจากคุณ”

กวินท์มองสบตากับคนรักอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก

รัญชน์ยิ้มกว้างและโน้มหน้าไปหา กระซิบข้างหูเบาๆให้กวินท์ ได้ยินแต่เพียงคนเดียวเพราะในแกลอรี่เริ่มมีคนเข้าชมบ้างแล้ว

“ความรักของคุณไง...ผมขอไม่มากหรอก แค่ทั้งชีวิตนี้เอง คุณคิดว่าคุณจ่ายไหวหรือเปล่าล่ะ?”

กวินท์หัวเราะเบาๆกับคำพูดของคนรักที่ขยิบตาให้เขาคล้ายจะหยอกเล่นกัน เขาจับมือเล็กที่วาดรูปนี้ขึ้นมาแล้วจูบเบาๆที่หลังมือก่อนส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้

“ไหวอยู่แล้ว...ขอบคุณนะครับ”

ภาพวาดแห่งความทรงจำถูกนำกลับมายังแมนชั่นของรัญชน์

กวินท์อดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อมองไปที่ภาพนั้น ในขณะที่ห้องเริ่มมีกลิ่นหอมฟุ้งของขนมหวานที่อบใหม่

กวินท์หันมองไปยังแคนธีนที่คนรักของเขากำลังง่วนอยู่ตรงหน้าเตาอบ กวินท์เดินเข้าไปหา เขาหยิบเอาแก้วกาแฟสองใบออกมาชงกาแฟขณะรอรัญชน์เอาพายแอปเปิ้ลที่ทำเองออกมาจากเตาอบและหั่นเป็นชิ้น

“นอกจากคุณจะเป็นอาร์สติสชื่อดังแล้ว ยังเป็นปาร์ติซิเย่ฝีมือเยี่ยมด้วยอีกสินะครับ”

กวินท์พูดพลางยื่นแก้วกาแฟให้กับคนรักซึ่งยกจานที่มีพายแอปเปิ้ลหน้าตาน่าทานมาวางลงตรงหน้า รัญชน์ยิ้มและนั่งลงข้างกันหลังจากรับแก้วกาแฟมาแล้ว

“คุณรู้ได้ไงว่าผมฝีมือเยี่ยม พายแอปเปิ้ลอันนี้มันอาจจะรสชาติไม่ได้เรื่องเลยก็ได้นะ”

รัญชน์เย้ากลับแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มโดยไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นอเมริกาโน่ที่เขาชอบ แต่พอจิบไปแล้วรัญชน์ก็ต้องทำตาโตขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เขาลดถ้วยกาแฟลงก่อนหันมองหน้าคนรักที่ส่งยิ้มมาให้

“อเมริกาโน่อย่างที่คุณชอบ ผมชงให้ถูกปากไหม?”

“คุณชงได้อร่อยมากเลย ว่าแต่คุณรู้ได้ไงว่าผมชอบอเมริกาโน่?”

“พี่สาวของคุณเคยพูดไว้ก่อนที่ผมจะเจอคุณอีกครั้งน่ะ”

“แล้วคุณก็จำได้ด้วยหรอ?” รัญชน์ถามอย่างประหลาดใจก่อนเอื้อมมือไปหยิบเอาพายส่งให้กับคนรัก

“เพราะคุณชอบเหมือนผมยังไงล่ะ พายแอปเปิ้ลนี่ก็ด้วย”

รัญชน์ทำตาโตอีกครั้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา กวินท์มองคนรักที่กำลังหัวเราะด้วยสายตารักใคร่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของรัญชน์ดูเหมือนมีพลังแปรเปลี่ยนให้โลกนี้สดใสขึ้นมาทันตา รัญชน์ยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกรอบก่อนจะหันมาถามเขาอีก

“นอกจากกาแฟกับขนมสุดโปรดที่เราชอบเหมือนกันแล้ว ยังมีอะไรที่ชอบเหมือนกันอีกหรือเปล่า พี่รตาเขาบอกคุณอีกไหมว่าผมชอบอะไรบ้าง?” กวินท์ส่ายหน้าช้าๆก่อนเอ่ย

“แต่ผมรู้นะว่าคุณชอบอะไรบ้าง”

รัญชน์ทำท่าประหลาดใจอีกครั้ง เขาวางแก้วกาแฟลงแล้วยกมือขึ้นมาเท้าคางทำท่าตั้งใจฟัง

“ไหนคุณลองบอกมาสิ ว่าคุณคิดว่าผมชอบอะไรบ้าง?”

“นอกจากคุณจะชอบวาดภาพกับทำขนมแล้ว คุณยังชอบอ่านนิยายสืบสวน ชอบดูหนังทริลเลอร์ แล้วก็ยังชอบฟังเพลงป็อปคลาสสิคอีกด้วยโดยเฉพาะเพลงของ Josh Groban[1] คุณมีทุกอัลบั้มเลยแถมยังมีไลฟ์คอนด้วย” กวินท์บอกยิ้มๆ ขณะส่งสายตามองไปยังชั้นวางที่อยู่ข้างทีวี ซึ่งเป็นที่ที่รัญชน์ใช้เก็บซีดีและดีวีดีต่างๆ

“ถูกต้องทั้งหมดเลย แค่คุณเห็นของในห้องผมคุณก็รู้แล้วหรอว่าผมชอบอะไรบ้าง?” รัญชน์ถามอย่างประหลาดใจ เพราะหลายคนถึงจะเห็นซีดีเพลง ซีดีหนังหรือปกหนังสือก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพลงหนังและหนังสือที่เห็นนั้นเป็นประเภทไหนบ้าง นอกเสียจากว่า...

“นี่ อย่าบอกนะ...ว่าคุณเองก็...?” กวินท์พยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง

“ใช่..ผมเองก็ชอบแนวนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะ Groban ผมเองก็เก็บครบทุกอัลบั้มเหมือนกัน ตอนเขาไปเปิดคอนเสิร์ตที่ลอนดอน ผมก็ไปดูอยู่ อ่อ เมื่อปีที่แล้วผมก็เพิ่งไปดูที่เขาไปเปิดแสดงที่มิวนิคมาด้วย”

“จริงหรอ! คอนที่มิวนิคผมก็ไปมาเหมือนกัน” รัญชน์อุทานอย่างอัศจรรย์ใจก่อนจะหัวเราะออกมา

“เราสองคนนี่มีอะไรเหมือนๆกันหลายอย่างจังเลยนะ ว่าแต่เพลงโปรดของคุณกับผมจะเหมือนกันอีกหรือเปล่า?” รัญชน์จ้องหน้าคนรักแล้ว ทั้งคู่เหมือนจะรู้สัญญาณซึ่งกันและกันโดยไม่ได้เอ่ยปาก เพราะหลังจากวินาทีนั้น ทั้งคู่ก็พูดชื่อเพลงโปรดออกมาพร้อมกัน

“To Where You Are”

ทั้งกวินท์และรัญชน์นิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันกับความน่าอัศจรรย์ที่ทั้งตัวเองและอีกฝ่ายต่างก็ใจตรงกันอย่างน่าทึ่งเช่นนี้ รัญชน์ยิ้มละไมก่อนจะหันไปหยิบรีโมตมากดเปิดสเตอริโอที่อยู่ในชั้นซึ่งฝังอยู่ในผนังที่อยู่อีกด้านของห้องนั่งเล่น เพลงโปรดของเขาทั้งสองก็เริ่มดังขึ้น

“ผมเริ่มฟังเพลงของGroban ก็เพราะเพลงนี้นั่นแหละ...”

รัญชน์บอก รอยยิ้มละไมยังคงวาดอยู่บนหน้า เขามองสบตาคนรักก่อนจะเอียงหับอิงซบกับไหล่ของกวินท์ที่ยกมือขึ้นมาโอบไว้ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาอย่างสารภาพความในใจ

“เพราะเพลงนี้...ทำให้ผมนึกถึงคุณ”

“ผมก็เหมือนกัน...”

กวินท์ตอบ หัวใจที่เต้นอย่างอบอุ่นมันมีความสุขอย่างที่กวินท์ปรารถนามาโดยตลอด เขาขยับหน้าเข้าไปใกล้และเมื่อรัญชน์ แหงนหน้ามามองสบตา กวินท์ก็ทาบทับริมฝีปากลงไปบนเรียวปากนุ่มของคนรัก จูบแสนหวานท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังคลออยู่

Fly me up to where you are

Beyond the distant star

I wish upon tonight to see you smile

If only for awhile to know you're there

A breath away's not far

To where you are

-TBC-

อัพตอน6แล้วววววววววววเอ้ะคนแต่งลืมแก้หัวเรื่องรึเปล่าคะ?
อย่าลืมมาแก้น้าแล้วเอาคำว่าดราม่าออกด้วยนะเห็นแล้วใจหายฮ่าๆ

อร้ายยยย :sad4: ลืมค่ะ T^T :o12: เลยไถ่โทษเอาตอน 7 มาฝากด้วยเลย
// แต่ดราม่า....ไม่เอาออกได้ม่า เพราะมันดราม่าจริงไรจริง(มั้ง...) :z2: :z2: :z2:
ป.ล....พอจะหวานได้มั้ยคะตอนนี้ :mc4:

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อย่าดราม่าเลยนะคะ มีความสุขนานๆ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ใช่ๆ อย่าดราม่าเลยเนอะๆ 
ชอบหวานๆ น่ารักๆมากกว่า   อ่านแล้วมันกระชุ่มกระชวยหัวใจดี

อัพบ่อยๆนะคะ  นิยายสนุก และภาษาก็ดีมากกกก :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด