บนที่นอนนุ่ม ปอมปอมนอนฟุบหน้ากับหมอนใบใหญ่ ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่ขยับตัว มันเจ็บ เจ็บไปหมด เขารู้ว่าสักวันมันอาจดีขึ้น แต่ไม่ใช่วันนี้ เพราะความรู้สึกของเขาในวันนี้มันย่ำแย่เกินกว่าจะแกล้งทำเป็นร่าเริงได้อีกต่อไป ไหนใครบอกว่าความรักมันไม่เคยทำร้ายเรา แล้วทำไมมันทำร้ายเขาแบบนี้กันล่ะ
เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ข้างกายดังขึ้น ปลุกให้เด็กน้อยที่จมอยู่กับความเศร้าผงกศีรษะขึ้นมามองหา มือเรียวควานหาไปทั่ว เมื่อได้มาแล้วเห็นว่าเป็นใครโทรมาก็เม้มปาก หน่วยตาคลอด้วน้ำใสอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้อยคำร้ายๆจากพี่มันยังดังอยู่ในหู
ชีวายืนมองห้องน้องจากระเบียงห้องของตนเอง ในมือยังยกโทรศัพท์แนบหู เขาไม่กล้าเรียกเพราะกลัวว่าเรียกไปแล้วน้องจะไม่ออกมา ลองเสี่ยงโทรหาก็ไม่รู้ว่าน้องจะยอมรับสายไหม เสียงรอสายดังอยู่นานจนใจที่มันเต้นระรัวค่อยแผ่วลงเมื่อคิดว่าน้องคงไม่ยอมรับเป็นแน่ แต่เมื่อได้ยินเสียงกดรับหัวใจชีวากลับเต้นแรงขึ้นมา แม้ว่าน้องจะไม่ยอมพูดอะไรมาเลยก็ตาม ต่างคนต่างเงียบจนชีวาพูดขึ้นมาก่อน
“พี่ขอโทษนะ”
“ปอมขี้เกียจจะฟังแล้ว” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาพร้อมกับสูดจมูกเบาๆ เขาทำน้องร้องไห้อีกแล้ว
“ถึงไม่อยากฟังแต่พี่ก็อยากบอก ขอโทษ...”
ชีวายังย้ำคำเดิม ไม่รู้ว่ามันจะมีคำไหนที่จะใช้แทนความรู้สึกของเขาตอนนี้ได้ มันแย่เกินคำบรรยายจริงๆ และเขามั่นใจว่าน้องเองก็คงรู้สึกแย่กว่าเขาเป็นหลายเท่านัก
“ถ้าป๋าขอโทษอีกคำเดียวปอมจะปิดเครื่อง”
ปอมปอมส่งเสียงขู่มาตามสาย ชีวานึกหน้าน้องเวลาพูดประโยคนั้นแล้วยิ้มบาง ไม่ว่าน้องจะทำอะไรเขาก็ยิ้มได้เสมอ ยิ่งรอยยิ้มที่น้องมีให้อยู่ตลอดนั่นมันดีกว่าน้ำตาที่ได้เห็นบ่อยๆในช่วงนี้เสียอีก ดีมากกว่ามากเลยล่ะ
“ปอมปอม เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ?” เมื่อเงียบกันไปครู่หนึ่งชีวาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก
“ปอมไม่เคยเปลี่ยนนะ ปอมยังเป็นปอม เป็นแบบเดิมที่ปอมเคยเป็น ป๋าต่างหากที่เปลี่ยนไป พอรู้ว่าปอมชอบ ป๋าก็เปลี่ยนไป แบบนี้ปอมไม่บอกดีกว่า” เสียงสะอื้นเล็กๆดังมาท้ายประโยค ยิ่งมันดังอยู่ข้างหูแบบนี้หัวใจชีวายิ่งเจ็บ
“บอกเถอะ ให้พี่เลิกโง่เสียที”
เด็กหนุ่มอยากจะปลอบโยนน้อง แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะทำเช่นนั้น จึงได้แต่เพียงบอกในสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกไป ไม่ว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ผลมันจะออกมาเป็นเช่นไร เขาก็จะยอมรับมัน
“ปอมปอม…”
“................”
“คนโง่อย่างพี่คนนี้... มันยังพอจะมีโอกาสบอกรักปอมปอมอยู่ไหม?”
“................”
น้องเงียบไปนานจนชีวาใจแป้ว ประตูระเบียงห้องตรงข้ามถูกเปิดออกมา ปอมปอมเดินมาหยุดยืนชิดขอบระเบียง ในมือยังถือโทรศัพท์แนบหู
“บอกสิ บอกปอมหน่อย” น้องพูดเสียงเครือ ดวงตาเรียวไม่ละจากหน้าพี่
“พี่รักปอมปอม”
“..................”
“.................”
“ถึงป๋าจะโกหก แต่ปอมก็ดีใจที่ได้ยินมัน” ปอมปอมยิ้มเศร้า กะพริบตาเมื่อรู้สึกว่าน้ำตามันจะไหลอีกแล้ว
“พี่ไม่ได้โกหก พี่โง่เอง โง่มาตลอด เอาแต่วิ่งไล่ในสิ่งที่ไม่มีวันได้มา และปักใจอยู่อย่างนั้นว่ามันคือสิ่งที่พี่ต้องการ โดยมองข้ามสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัว…”
ชีวาเอ่ยบอกอย่างจริงจัง ปอมปอมมองพี่นิ่ง ไม่รู้ว่าในใจน้องกำลังคิดอะไรอยู่
“ขอโทษที่ดีแต่ทำให้ร้องไห้ ขอโทษที่ทำให้เสียใจมาตลอด ถ้ายังมีโอกาสเหลืออยู่บ้าง ยกมันให้พี่ได้ไหม ให้พี่ได้ทำให้ปอมปอมมีความสุข ให้พี่... ได้รักปอมปอมอย่างเต็มหัวใจเสียที”
“..................”
ปอมปอมพยักหน้าช้าๆเป็นการตอบรับคำขอนั้น ชีวาโน้มตัวข้ามฝั่งไปจูบหน้าผากน้องเบาๆ หนุ่มน้อยค่อยๆหลับตาลงเมื่อพี่เลื่อนมาแตะจูบริมฝีปากของตนเอง ชีวาผละออกมามองหน้าน้อง มือใหญ่กุมแก้มนิ่ม นิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้น้อง น้ำตาที่มันมีสาเหตุมาจากเขา แม้ว่าน้องจะต้องร้องไห้เพราะเขามาเท่าไหร่ แต่น้องก็ยังคงให้โอกาส มันคงไม่ผิดใช่ไหม... หากเขาจะคว้าเอาโอกาสนั้นไว้ และตอบแทนหัวใจของน้องที่มั่นคงต่อเขามาเนิ่นนาน...
+++++++++++++++++
“หมอนั่นไม่มาเหรอ?”
การ์ฟเดินเข้ามาหาอาตี๋น้อยที่เพิ่งมาถึงร้านและกำลังแต่งตัวจะออกไปทำงานด้านนอก ก่อนเอ่ยถามเมื่อไม่เห็นคู่ปรับอย่างชีวา ปรกติต้องมาปะทะคารมกับเขาแล้วป่านนี้ นี่หายไปเลย ไม่เห็นโผล่มาแต่เช้าแล้ว
“ชีวาเหรอ แฮงค์น่ะ”
อาร์ดิวยิ้มบอกก่อนที่จะหันไปทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่หน้าตู้เก็บของ การ์ฟเบ้ปากที่ได้ยินเช่นนั้น เมาค้างอย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มยักไหล่ เมื่อคิดว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีกันบ้างล่ะน่า
“ดิว”
ปอมปอมโผล่หน้าเข้ามาในห้องแต่งตัวแล้วเอ่ยเรียกพี่ชาย ยิ้มให้พี่การ์ฟที่ยืนอยู่ใกล้กันด้วย
“ว่าไง?”
“พี่มิมิวมา”
หนุ่มน้อยยิ้มบอก อาร์ดิวพยักหน้ารับรู้ ขณะที่คำบอกกล่าวนั้นทำให้การ์ฟชะงักกึก
“เดี๋ยวพี่ออกไป พาพี่มิมิวไปนั่งโต๊ะประจำก่อนนะ” อาร์ดิวเอ่ยบอกกับน้องชายเมื่อเหลือบไปเห็นว่าสีหน้าการ์ฟไม่ค่อยดี
“คร้าบบ เร็วๆน้า~”
“อื้อ”
ปอมปอมตอบรับอย่างร่าเริง วิ่งลั้นลาออกไปหน้าร้านเพื่อพาเพื่อนพี่ชายไปนั่งโต๊ะประจำอย่างที่พี่บอก อาร์ดิวปิดตู้เก็บของเมื่อแต่งตัวเสร็จ จะออกจากห้องไปบ้างแต่การ์ฟก็คว้าจับแขนเรียวไว้
“ฉันอยากรู้…” เด็กหนุ่มเอ่ยนำขึ้นมาสีหน้าไม่มั่นใจ
“อยากรู้?” อาร์ดิวทวนคำงงๆ การ์ฟมองอาตี๋ตรงหน้าแล้วจึงพูดต่อ
“นายยังมองเห็นมันอยู่ไหม?”
“คุณบอกไม่เชื่อ” อาร์ดิวเอ่ยแย้ง เอาคำที่การ์ฟชอบย้ำมาเตือนความจำ
“ฉันอยากจะเชื่อ ช่วย…”
“ไม่”
ยังไม่ทันที่การ์ฟจะเอ่ยจนจบประโยคอาร์ดิวก็บอกปฏิเสธเสียงแข็ง การ์ฟอึ้งไปเมื่อคำร้องขอของเขาได้รับการปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่เอ่ยมันออกมา อาร์ดิวปลดมือการ์ฟลงจากแขนของตนเองก่อนบอกช้าๆ
“ผมไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่คนที่ล่วงรู้อนาคต เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้อยากรู้เรื่องของคนอื่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้ไป คุณก็ต้องเผชิญมันด้วยตัวเอง”บอกเพียงเท่านั้นแล้วอาร์ดิวก็เดินออกไป การ์ฟยืนนิ่ง ถอนใจบางเบาแล้วหัวเราะเยาะตนเองที่ต้องให้อาตี๋น้อยมาสั่งสอน ถอนใจเสียอีกทีก่อนที่จะเดินตามอาตี๋ไป เรื่องของตนเอง ก็ต้องแก้ด้วยตนเองมันถึงจะถูก อย่างนั้นสินะตี๋...
TBC(คอมเม้นท์นิยายตัวเองนิดนึง บ้าไปแล้ว 555)
กล้าๆหน่อยเด้การ์ฟิว ไอ้แมวอ้วน!55555 // ส่วนอิป๋า เลิกโง่เสียทีนะ อย่าทำน้องร้องไห้อีกละ กอดปอมปอมน้อยลูกแม่
เรื่องชื่อของการ์ฟใหม่เคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่องคราวนู้นนนน (ที่ลบไปแล้ว) แต่ไม่ได้บอกซ้ำอีกครั้งทำให้หลายท่านคิดว่าชื่อของการ์ฟมันคือ กราฟ (ที่เป็นเส้นกราฟ) แต่มิใช่เด้อค่า มันมาจากคำว่าการ์ฟิว เจ้าแมวตัวอ้วน~~
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ทั้งคอมเม้นท์ทั้งบวก ขอบคุณมากๆ บวกคืนให้ทุกท่านค่ะ
วันใหม่