● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
พักยก 63.5 – ภาพทับซ้อน
หน้าปัดนาฬิกาเรืองแสงบนหัวเตียงส่องสว่างเป็นสีเขียวอ่อนรำไรในความมืด
“เฮือก! ”เสียงเข็มวินาทีขยับ ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ก้องเป็นจังหวะในความเงียบงัน
“...แฮ่ก........แฮ่ก.........แฮ่ก......”ผมเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นกุมอกเสื้อไว้แน่น พยายามหายใจให้ช้าลงจนเป็นปกติ นั่งงอตัวคุดคู้อยู่บนเตียงเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวแรง ปล่อยเม็ดเหงื่อไหลลงข้างขมับจนรู้สึกจักจี้ ขณะที่หัวใจยังเต้นโครมครามอยู่ครู่ใหญ่กว่ามันจะสงบลงได้
ความฝันนั้นอีกแล้ว ฝันว่าตัวเองกำลังร่วงหล่นจากดาดฟ้าของอาคาร สายตาจับจ้องอยู่กับใครสักคนซึ่งพยายามยื่นมือมาคว้าตัวผมไว้...
แต่ช้าเกินไป เสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู และราวกับมันจะบาดแทรกเข้ามาในผิวเนื้อ ผมฝืนยิ้ม...ทั้งที่น้ำตาไหลเกรอะกรังเต็มหน้า บางส่วนหลุดปลิวไปกับอากาศขณะที่ร่างผมร่วงดิ่ง อ้าปากออกเสียงเป็นชื่อเขา...ชื่อใครคนนั้นที่ใบหน้าเลือนรางเหลือเกิน เหมือนมีหมอกหนาสีขาวลอยฟุ้งอยู่ในความฝัน ผมเจ็บ บอกไม่ถูกว่าเป็นแบบไหน มีทั้งความเจ็บปวดที่แล่นร้าวจากภายใน...บีบคั้นจากภายนอก...ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงจะดิ้นรน...
และสะดุ้งตื่นขึ้นในชั่วขณะที่ร่างกำลังจะกระแทกพื้น
...ติ๊ก.....ติ๊ก.....ติ๊ก.....เสียงนาฬิกายังแว่วอยู่ข้างหู กระซิบบอกผมว่าที่ตรงนี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝันน่ากลัวแบบเมื่อครู่แล้ว
ผมพยายามข่มตา แต่ยังไม่วายจะหลุดปากโอดครวญในความมืด
“...นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย...”
ผมมักฝันว่าตัวเองเป็นใครอีกคนหนึ่งเสมอตั้งแต่จำความได้ และมักจะมีอีกคนที่ไม่เห็นหน้า...หรือบางทีอาจเห็น...แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็นึกไม่ออกเสียแล้ว
เนื้อหาในความฝันมีทั้งชีวิตประจำวันปกติ...ของคนอื่น...ของใครก็ไม่รู้ ซึ่งมักวนเวียนซ้ำ ๆ อยู่กับเรื่องที่ผมไม่เห็นจำได้ว่าเคยไปหมกมุ่นตั้งแต่ตอนไหน ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงเรียนศิลปะ ห้องที่เต็มไปด้วยกระดานวาดรูป ดินสอ สีน้ำ ถ่านชาร์โคล และสารพัดอุปกรณ์ทำงานศิลป์ที่ผมรู้จักไม่ครบด้วยซ้ำ ตัวผม—ในฐานะคนอื่น ปั่นจักรยานกลางอากาศหนาวเย็น เสียงหัวเราะที่คล้ายว่าจะคุ้น แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหนหรือเปล่า หมาตัวโตขนสีทองที่ชอบกระโจนใส่ กับเจ้าของหมาซึ่งมักทำเสียงหัวเราะคล้ายว่าดังมาจากที่ไกล ๆ แม้เรายืนใกล้กันนิดเดียว แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นหน้าตาเขาอยู่ดี
ที่บ่อยสุด เห็นจะเป็นความฝันว่าตัวผมเองกำลังร่วงลงจากที่สูงอย่างเพิ่งเกิดขึ้นนี่เอง
เท่าที่จำได้นั้น แรก ๆ ก็ไม่ค่อยชัดเจน ผมแค่ฝันว่าตัวเองตกจากที่สูง บางครั้งหยุดฝันไปเอง แต่บางคราวก็สะดุ้งขึ้นมากลางปล้อง ใครมาเห็นเข้าก็พากันหัวเราะขบขัน เมื่อผมทะลึ่งพรวดขึ้นมาทำหน้าเหวอจากที่หลับอยู่ดี ๆ
ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านพ้น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี รายละเอียดในความฝันอันซ้ำซากนั้นกลับค่อย ๆ เรียงตัวเป็นรูปร่างขึ้นทีละนิด เหตุการณ์พร่ามัวเริ่มกระจ่างขึ้น จนบางครั้งก็ทำให้รู้สึกราวกับว่ายามค่ำคืนนั้น ผมจะกลายเป็นคนที่มีอีกชีวิตในโลกความฝัน
ปกติแล้ว ฝันแปลกประหลาดเหล่านั้นไม่ได้รบกวนผมมากนัก ยังสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติตามประสานักเรียนมัธยมทั่วไป ทว่ากลับมีอะไรที่ผิดแผกจากเดิมจนผมรู้สึกได้...
หนึ่งสัปดาห์มานี้ ภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบทุกครั้งที่หลับ ดูเหมือนจะยิ่งโจมตีหนักขึ้นตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ราชบุรี
สถานที่ซึ่งผมร่วงลงมา ตอนแรกรู้แค่เป็นที่สูง ต่อมาก็รู้ว่าเป็นอาคาร...ผ่านไปจึงค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นจากชั้นดาดฟ้า มีมือยื่นมาไขว่คว้าจากจุดที่ผมหล่น..แต่แล้วกลับคว้าไม่ทัน ตัวผมถูกดึงดิ่งด้วยแรงโน้มถ่วงให้จมลงในอากาศ รู้ตัวว่าร่างกำลังจะกระแทกพื้น เนื้อผมจะปริแตก กระดูกผมจะแหลกเป็นชิ้น ผมกลัวจนตัวสั่นระริก.. แต่ไม่รู้ทำไมจึงยังฝืนยิ้มให้ภาพพร่าเลือนเบื้องบน ซึ่งไม่รู้ว่ามีใครหรืออะไรเฝ้ามองอยู่ตรงนั้น
“...อึก!”ผมเผลอยกแขนขึ้นกอดตัวเอง จึงเพิ่งรู้สึกว่ากำลังสั่นน้อย ๆ อยู่ในความเป็นจริงเช่นกัน หยดน้ำเอ่ออยู่ตรงขอบตา อาจเพราะครั้งนี้มันชัดเจนจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึก.....กลัว... ผมตกลงมาพร้อมกับความอาลัยอาวรณ์จนปวดหัวใจ กับบางสิ่งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร
โคมไฟข้างเตียงส่องแสงสีส้มอ่อนเมื่อผมควานมือเปะปะไปถูกสวิตช์ ที่สุดแล้ว ผมก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเสียมิได้ หลังจากนอนประสาทกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนเหมือนจะทนไม่ไหว น้ำตาเปียกหมอนเป็นดวงอย่างน่าทุเรศทุรัง
ผมระบายลมหายใจยาว ยกมือขยี้ตา ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา ตระหนักว่าเพิ่งเป็นเวลาตีห้ากว่าของเช้าวันเสาร์ วันหยุดแท้ ๆ ผมควรได้นอนต่อยาวหน่อย แต่ให้ตายเถอะ...ภาพฝันประหลาดยังติดตาออกอย่างนี้ ใครมันจะไปหลับลงกัน อย่าว่าแต่นอนต่อ ผมไม่อยากอยู่ฟังเสียงนาฬิกาเดินหลอน ๆ ในห้องคนเดียวแล้วด้วยซ้ำไป
นอกห้องนั้นเงียบสนิทตอนที่ผมกึ่งเดินกึ่งย่องออกมา เมื่อคืนป้าทำงานดึก ตอนนี้คงยังไม่ตื่น ส่วนพี่แพรวกับไอ้ภัทรผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องน่าจะกำลังหลับอยู่เช่นกัน สองรายนั้นหากเป็นวันหยุด ไม่เก้าโมงก็ไม่ต้องพูดถึง หลับประหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านนั่นละ
ลำคอผมแห้งผาก เดินโต๋เต๋ไปรินน้ำลงแก้วแล้วยกขึ้นกระดก หางตาเหลือบไปเห็นแสงไฟริบหรี่ลอดเข้ามาผ่านผ้าม่าน ไม่รู้จะทำอะไรจึงได้วางแก้วลงแล้วเดินไปชะเง้อดูโดยไม่รู้ตัว
ที่มาของแสงมาจากบ้านสีขาวหลังข้าง ๆ ตรงชานที่ยื่นออกมาในส่วนของสวนหย่อมนั้น ดวงไฟสีส้มทอแสงอบอุ่นกลางอากาศเย็นยามใกล้รุ่ง ผมขมวดคิ้ว เพ่งสายตามองไปยังเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งใต้แสงสลัว ผู้ชายวัยกลางคนกำลังยืนพิงต้นเสา ในมือคล้ายจะถือถ้วยอะไรสักอย่าง ผมเดาเอาเองว่าเช้าอย่างนี้อาจเป็นกาแฟ แต่ก็ดูไม่มีอะไรสลักสำคัญอยู่ดี
หน้าผากผมเอนพิงขอบหน้าต่าง เผลอเหม่อมองชายคนนั้นเป็นนานจนลืมเวลา เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับตกอยู่ในภวังค์...หรือไม่ก็อาจเป็นผมเองที่ติดในภวังค์อันแปลกประหลาด เหมือนว่าทั้งผมและเขาถูกตรึงอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเช่นนั้นกระทั่งฟ้าเริ่มสาง ...กระทั่งผมรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรที่ค่อนข้าง...แปลก... และควรจะเลิกแอบมองคนอื่นได้แล้ว
ทว่าชั่วขณะก่อนที่ผมจะละสายตา... เขากลับหันมาทางนี้ ในทิศทางที่ผมยืนอยู่หลังรอยแยกแคบ ๆ ของผ้าม่าน
ใจผมเต้นแรง....เร็ว.... เวลาเพียงแวบหนึ่งมีหลายอย่างวิ่งผ่านสมอง ผมนึกกังขากับตัวเอง กับคนแปลกหน้าข้างบ้าน กับความฝันพิลึกที่นับวันจะยิ่งชัดเจน แต่ตลอดความสับสนเหล่านั้น...ผมไม่ได้ละสายตาจากเขาเลยสักเสี้ยววินาที
“.....พี่...เอก...”ผมกระซิบ...โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าพูดอะไรออกไป นึกขึ้นได้อีกครั้งก็รีบกระตุกม่านปิด เข่าอ่อนจนต้องทรุดตัวลงมานั่งกุมอกซึ่งราวกลับกำลังจะระเบิดออกมาให้ได้ ตกใจกับพฤติกรรมประหลาดของตัวเองจนเผลอเตะเอาไม้กวาดที่วางพิงอยู่ไม่ไกลล้มระเนระนาด ความคิดวุ่นวายกับคำถามว่าพี่เอกคือใคร? อยู่ดี ๆ ชื่อนี้โผล่มาจากไหน? กลายเป็นอีกครั้งที่ผมต้องมานั่งสงบจิตสงบใจแต่เช้า เพียงแต่ย้ายจากเตียงมาเป็นใต้บานหน้าต่าง สุดท้ายก็โทษว่าคงเป็นอาการเบลอจากที่ตื่นผิดเวลาของตัวเอง
เสียงหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอีกฝั่งดังขึ้น ป้าคงตื่นแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะผมทำเสียงโครมครามเมื่อครู่นี้
“ทำอะไรเสียงดังแต่เช้าน่ะฮึ”
นั่นไง..จริงด้วย
“อ่า..ผมเดินเตะไม้กวาดล้มน่ะครับ”
ผมแก้ตัวน้ำขุ่น ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยพร้อมกับลุกขึ้นยืน ลอบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
แต่เพื่อนบ้านผู้ยังไม่รู้จักกระทั่งชื่อคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว----------------------------------------------
ไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับ .5 สั้น ๆ นี้ดีค่ะ
อาจจะสมหวัง ผิดหวัง...ถึงแม้อาจทำให้เสียอรรถรสความซาบซึ้ง(?)เดิมไป แต่ที่เคยคิดไว้แต่แรกก็ตามนี้นะคะ แฮร่ ๆ
gap ระหว่างอายุคือ ราว 20 ปี แหม่!
ตอนหลักเป็นช่วงที่รู้สึกเขียนลำบากมาก เลยแวบมาปล่อย .5 ก่อน ฮรืออออ ขอโทษด้วยค่ะที่ช้ามาก //นอนแ่ผ่ให้โดดเตะ

กอดฟัดคนอ่านก่อนไป

พบกันยกหน้านะคะ ^o^