ยกที่ 45 (ต่อ)
หลังหลุดจากรูมเมทสาวดุ้นและเพื่อนผู้มีกล้องเป็นอาวุธไอ้อย่างเนียน ๆ (อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันไม่ได้แย่นัก) ยังต้องเดินต่ออีกหน่อยเพราะเขาบอกเองว่าให้อีกฝ่ายช่วยไปรออีกตึก
พวกเขาออกมาไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก ตัดสินใจเดินไปร้านอาหารในละแวกนั้นเอง เป็นคิมหันต์ที่อ้างว่าอยากกินแถวนี้ให้ทั่วก่อน เอาแบบที่เดินเท้าถึง เผื่อวันหลังได้มากินกับเพื่อน แต่ในความเป็นจริงคือหวั่นไปเองว่าหากได้ลองขึ้นรถสามภพทีไร ไม่มีเหตุการณ์ชวนระทึกก็ได้ไปจบที่คอนโดฯอีกฝ่ายอย่างงง ๆ ทุกทีสิน่า
ถึงจะไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้รังเกียจอะไร ติดจะสบายใจตอนอยู่ใกล้เสียมากกว่าด้วยซ้ำ แต่พอรวมทั้งหมดกลับกลายเป็นความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองแบบที่ชวนให้ปวดหัวได้ทุกครั้งยามนึกถึง เขาอยากอยู่กับสามภพ แต่อีกใจก็ไม่อยากถลำลึกให้มากนัก ด้วยคอยจะเชื่อมโยงไปถึงจุดจบน่าเศร้าของพี่ชายคนโตทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกัน
อากาศหลังฝนตกกำลังสบาย แสงไฟสีเหลืองนวลสบายตาและดนตรีที่เปิดคลอช่วยให้เจริญอาหาร กินไปตีกันไปอยู่พักใหญ่จนเขาสั่งของหวานมาจัดการต่อหลังหมดของคาว ส่วนสามภพส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อเขายื่นเมนูให้
พอลูกตาลลอยแก้วยกมาวาง เริ่มจัดการได้ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายที่ปากว่างก็เริ่มต้นชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“เป็นไง? ช่วงนี้”
“ก็ดี” คิมหันต์ตอบสั้น ๆ เอาช้อนควานลูกตาลขึ้นมางับ “ผมน้ำหนักขึ้นมานิดนึงด้วยละ”
สามภพหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ คลอไปกับดนตรีแจ๊สเบา ๆ ในร้าน ออกความเห็นอันชวนให้สะเทือนใจ “ก็กินเป็นยัดขนาดนี้ ใครไม่รู้นึกว่าที่บ้านเลี้ยงให้อดอยาก”
“ผมกลัวเฮียเพี้ยนเสียน้ำใจหรอก”
“ไอ้เด็กเกรียน เดี๋ยวจะอ้วนเป็นหมู”
“ถ้าอ้วนจะชอบปะ”
ไอ้ตัวยุ่งก้มหน้าก้มตาควานหาเนื้อผลไม้ที่อาจยังนอนอยู่ก้นถ้วย พอเห็นว่าไม่เหลือแล้วก็หันมาเคี้ยวน้ำแข็งกรุบกรับ เห็นได้ชัดว่าเลี่ยงการสบตา แก้มแดงตุ่ยจากน้ำแข็งที่อมไว้จนน่าหยิกให้หลุดคามือ
สามภพจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบให้ได้ยินแค่สองคน
“ชอบ” คิมหันต์เผลอกลืนน้ำแข็งลงคอทั้งก้อน เย็นวาบไปถึงหลอดอาหาร ผิดกับหน้าที่ร้อนเอา ๆ โดยไม่มีถามไถ่ความสมัครใจกันก่อน กัดฟันทำเป็นคุยต่อเหมือนปกติทั้งที่รู้ตัวว่าเริ่มอาการหนัก
“แล้วถ้ากวนตีนด้วยอะ”
“เรื่องนั้นรู้ตั้งนานแล้ว”
“ตาตี่” เขายิงเพิ่ม
“ลืมไม่ขึ้น” สามภพช่วยต่อ
“เฮียแม่ง..”
ชายหนุ่มพูดแทรกฉับพลัน “หล่อ”
“เชี่ย!”
“ไอ้ปากหมา” อีกฝ่ายพูดจบก็หัวเราะ เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาขยี้ผมเขาเบา ๆ “ไอ้อ้วน!”
“ยังไม่อ้วนเว้ย”
สามภพยิ้มมุมปาก จ้องหน้าเขานิ่ง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับใต้แสงไฟโทนอบอุ่นในร้านอาหาร ท่าทางราวกับหมาป่าจ้องเหยื่อตอนที่ขยับปากน้อย ๆ เป็นสุ้มเสียงทุ้มต่ำอยู่ใต้ปลายจมูก “มาให้พิสูจน์สิ”
เด็กหนุ่มทำคิ้วย่น ตั้งใจตักน้ำเชื่อมที่เหลือเข้าปากอย่างสงบเสงี่ยม แต่ดูเหมือนยิ่งทำอีกฝ่ายได้ใจ หัวเราะหึ ๆ แล้วถามต่อ
“คืนนี้เลยดีไหม?”
“อะไร”
“คิดถึง”
คิมหันต์ช้อนตาขึ้นมอง ด้วยมุมที่สามภพรู้สึกว่ารับมือลำบากสิ้นดี ทำหน้ามุ่ยปากจู๋ใส่อย่างไม่กลัวคนมองอดใจไม่ไหว แต่พอเห็นไม่เถียงอะไรเขาก็ชิงพูดต่อ
“ไม่ได้ฟัดตั้งนาน”
ถึงตรงนี้คนฟังถึงกับแค่นเสียงบ่นกระปอดกระแปด “ยังติดสัญญาเลยเหอะ”
“ฉีกทิ้งได้แล้ว” ชายหนุ่มยักไหล่ “ถ้าจะมากระแซะจนแทบรวมร่างทุกครั้งที่นอนด้วยกันอย่างนั้นน่ะ”
“ชู่ว!” ไอ้ตัวยุ่งทำตาถลน “เฮียเบา ๆ สิวะ”
“เขินหรือ?”
“เฮียเพี้ยนหน้าด้านฉิบหาย!”
คิมหันต์ยังโวยไม่ทันจบด้วยซ้ำ สามภพก็พาเข้าเรื่องหลักอีกแล้ว “คืนนี้ไปนอนกับพี่”
“การบ้านยังไม่เสร็จเลย”
“เดี๋ยวสอน”
“รูมเมทผมสงสัยแย่แล้ว” เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย แต่อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเช่นนั้นเข้าก็รีบทำเสียงเข้มมาเชียว
“ยังบอกเพื่อนว่าเป็นพี่ชายอยู่อีกหรือ?”
“...”
พอไม่ตอบก็จ้องเอา ๆ จนตาแทบหลุด ตามด้วยถามซ้ำอีกครั้งเป็นการกระตุ้น “หืม?”
“คุยกันเรื่องนี้แล้วไง”
“ไม่เห็นจำได้”
เขาเฉไฉนอกเรื่อง “แก่แล้วอัลไซเมอร์เรอะ!?”
แต่ดูเหมือนใช้วิธีพาออกทะเลไม่ค่อยได้ผลอีกแล้ว
“ตอนนั้นเราพูดว่าไงนะ” สามภพเลิกคิ้ว ยื่นหน้าข้ามโต๊ะมาใกล้แล้วเอ่ยกระเซ้า “ไม่หอมแก้มพี่ชาย..”
“..ก็จำได้นี่” คิมหันต์บ่นอุบ ก้มหน้าเขี่ยเศษกระดาษทิชชูเปียกบนโต๊ะ “แล้วยังจะเก็บมาเป็นประเด็นอีก กับคนอื่นมันก็ไม่ควรประเจิดประเจ้อเปล่าวะ”
“ได้ แต่จุ๊บก่อน”
เป็นเรื่องน่าขนลุกเอาการทีเดียว สำหรับการที่ผู้ชายมาดอย่างสามภพจะเอ่ยอะไรซึ่งฟังดูกุ๊กกิ๊กอย่าง
‘จุ๊บ’ ออกมา คนฟังถึงกับอ้าปากหวอ กะพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อหู จนต้องถามออกมากระท่อนกระแท่น
“ว่าไงนะ”
“จุ๊บ” อีกฝ่ายได้ทีก็ยิ่งแกล้งต่อ ต่อให้กระดากปากตัวเองแค่ไหน แต่สภาพขัดเขินแทบม้วนของอีกฝ่ายก็เรียกว่าคุ้ม เขาแทบหลุดหัวเราะอยู่รอมร่อแต่ยังฝืนหน้านิ่งเล่นต่อให้ตลอดรอดฝั่ง “หรือจูบดีครับ?”
ตี๋เกรียนอ้าปากค้างไปเลย
สามภพหัวเราะออกมาในที่สุด เมื่อเห็นหน้าไอ้เด็กตัวแสบซึ่งคล้ายว่าจะระเบิดตูมออกมาได้ทุกเมื่อด้วยความเขิน เดาว่าต้องกำลังคิดไปถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน ๆ ที่พวกเขาเคยเล่นกันอย่างนี้อยู่เป็นแน่
“ล้อเล่นน่ะ” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ หยุดล้อเลียนก่อนสักครู่ ให้เวลาเจ้าตัวได้นั่งทำใจ (และส่งเสียงสาปแช่งเป็นระยะไปด้วย) ระหว่างที่เขาเรียกพนักงานมาคิดเงิน คิมหันต์ทำท่าเตรียมควักกระเป๋าสตางค์มาช่วยจ่าย อายก็อายยังจะทำเป็นอยากช่วยหาร ติดตรงเขายกมือปรามเสียก่อน
“เก็บตังค์ไว้กินขนมไป”
“เฮียพูดเหมือนพวกลุงแก่ ๆ ต้อยเด็กเลย”
“อืม”
“ไม่เถียง?”
“ต้อยอยู่” เขายักคิ้ว “เด็กดื้อก็เล่นตัวอยู่นั่น”
คิมหันต์มั่นใจว่าพนักงานสาวผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องได้ยินบทสนทนาล่าสุดเต็มสองรูหูแน่นอน สังเกตได้จากการที่เธอรีบหยิบถาดใส่เงิน เหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง แต่พอเห็นสายตาสามภพก็สะดุ้งน้อย ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาจ้ำออกไปด้วยอาการลนลาน
“พี่พูดไรวะ” เขาพยายามโวยวายด้วยเสียงกระซิบเมื่อหญิงสาวเดินให้หลังไปแล้ว “เกิดเขาเอาไปเล่าต่อ”
“ช่างเขา”
“...”
“แคร์สายตาคนอื่นหรือ?”
“ถ้าคนอื่นรู้ อีกหน่อยเพื่อนก็รู้” คิมหันต์พึมพำ เขย่าแก้วน้ำเปล่าแล้วนั่งมองน้ำแข็งในนั้นละลายช้า ๆ “ถ้าเพื่อนรู้ สักพักเจ้ก็รู้..”
“แล้วไง”
เด็กหนุ่มเผลอขมวดคิ้ว เงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ เพียงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ย้ายกลับมาจดจ้องน้ำแข็งในแก้วอีกรอบ กระซิบเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน
“ถ้าเจ้รู้..อีกไม่นานป๊ากับม้าก็รู้”
พนักงานสาวเอาถาดใส่เงินทอนกลับมาวางไว้บนโต๊ะ ระหว่างนั้นพวกเขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ จนกระทั่งเธอเดินออกไปพ้นสายตาอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงได้พูดต่อกับหยดน้ำเกาะแก้วใส
“ผมก็แค่อยากยืดเวลาอีกหน่อย”
“....”
“แต่พี่กำลังจะทำให้มันสั้นลง”
“พูดเหมือนถ้าป๊าเรารู้จะไม่ได้เจอกันอีกงั้นละ”
“ไม่รู้สิ”
สามภพมองอีกฝ่ายถอนใจเบา ๆ ด้วยสีหน้าอมทุกข์ เป็นที่น่าสังเกตว่าคุยกันอยู่ดี ๆ แต่พอวกมาประเด็นเรื่องที่บ้านทีไรเป็นต้องออกอาการหงอยอยู่เรื่อย
“ลุก”
ชายหนุ่มกระซิบ ดึงแขนคิมหันต์ให้ยืนขึ้นโดยไม่รอคำตอบ ได้รับสายตาข้องใจกลับมาแวบหนึ่ง แต่ไร้คำถามใดตามออกจากปากช่างเจื้อยแจ้ว หลังเสียงถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็เดินตามเขาออกจากร้านอย่างว่าง่าย ปล่อยให้มือตัวเองโดนกุมไว้โดยไม่ได้กระตุกหนี
พวกเขาเดินกลับตามเส้นทางเดิม สามภพพาเดินจ้ำเอา ๆ ในช่วงแรก แต่เมื่อออกมาไกลได้ระยะหนึ่งก็ชะลอฝีเท้า ขยับขาช้าลงเรื่อยจนแทบกลายเป็นหยุดนิ่ง
“เอาไว้วันหยุดไหนสักวัน” ชายหนุ่มเริ่มต้นเอ่ยลอย ๆ มองละอองน้ำบางเบาลอยฟุ้งในอากาศ กุมมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นพลางดึงให้เข้ามาเดินใกล้ “ไปเที่ยวที่บ้านกัน”
“บ้านใคร?”
“ทั้งสองบ้าน” เขาตอบ “ถ้ากลัวป๊า จะไปบ้านพี่ก่อนก็ได้”
คิมหันต์ทำหน้ายุ่ง เห็นว่ารอบตัวไม่มีใครก็แกะมือตัวเองออกแล้วเอื้อมมาแปะบนที่ประจำแถวเอวเขา เดินเข้ามากระแซะตามความเคยชิน “จริงจังเกินไปเปล่าวะ”
“จริงจังมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“...นี่รู้ไหม” เด็กหนุ่มงึมงำในลำคอ “พี่น่ารักว่ะ”
“...”
“พูดจริงนะ” คิมหันต์ยังย้ำอย่างไม่กลัวโดนปล้ำ "เป็นหมาบ้าที่ถูกทำให้เชื่องแล้วสินะ"
สามภพล็อคคออีกฝ่ายแน่น ก้มลงไปยีผมเร็ว ๆ เรียกเสียงโอดครวญไม่เป็นภาษาจากไอ้ตัวยุ่ง “ทำไมฟังเราแล้วพี่ขนลุกวะ”
เด็กหนุ่มหัวเราะแหะ เอาหัวดันสู้มือเขา “แค่ขนลุกเองหรือ ปกติผมเกรียนใส่ขนาดนี้ ไม่มีใครทนได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“ลองใจเรอะ”
“ใช่”
“ไอ้เด็กแสบ!”
คิมหันต์หัวเราะอีกครั้ง ปล่อยมือจากเขาเมื่อเริ่มเข้าสู่จุดที่ผู้คนพลุกพล่าน ครู่หนึ่งก็เริ่มเดินปัดไปปัดมาพร้อมกับเตะก้อนหินเล็ก ๆ ไปด้วย มีบางครั้งเซเข้ามาหาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เดี๋ยวเดียวก็เตร่ไปทางอื่นอีก ทำตัวอยู่ไม่สุขจนน่าจับมานั่งนิ่ง ๆ แล้วดูว่าจะขาดใจตายหรือเปล่า
“ไว้เสร็จพ้นช่วงรับน้อง ซ้อมเชียร์ รออะไรเริ่มเข้าที่ก่อน..” เขาเปรย แย่งเตะก้อนหินที่คิมหันต์เลี้ยงมาตลอดทางหล่นจ๋อมลงแอ่งน้ำริมถนน เรียกสายตาค้อนขวับกลับมาหนึ่งชุดเบา ๆ ขณะเขาพูดต่อ “จะพาไปแนะนำกับที่บ้าน”
เด็กหนุ่มชะงัก เลิกคิ้วแล้วอ้าปากหวอ
“แนะนำว่าไง”
“ว่าเป็นคนรัก”
“ยังเลย!”
“อีกไม่นานหรอก” ชายหนุ่มยักไหล่ เอ่ยกลั้วหัวเราะ โยกศีรษะอีกฝ่ายให้เอียงไปมาสนุกมือ “เผลอแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็ครบปี”
ไม่มีคำพูดใดอีกมากนักจนพวกเขาเดินกลับมาถึงหน้าหอพัก แสงไฟสว่างจากเสาริมทางเดินและจากในอาคาร ผู้คนสวนทางกันไปมา ทั้งมอเตอร์ไซค์ จักรยาน และเดินเท้าให้ขวักไขว่ เสียงหัวเราะเฮฮา ตะโกน ซุบซิบ ปะปนกันไปในความวุ่นวายยามหัวค่ำ แต่ทั้งหมดก็ลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เหมือนเป็นแค่สิ่งประกอบฉากไร้ความหมาย
คิมหันต์คงรู้สึกไปเอง ว่าระยะทางไปจนถึงประตูทางเข้าดูสั้นกว่าที่เป็นจริงเมื่ออีกฝ่ายเดินมาส่ง
“เฮีย..”
แค่ไม่กี่อึดใจก็ถึงจุดที่ต้องแยกเสียแล้ว
“ว่าไง?”
“เปล่าอะ”
แม้ปากจะว่าอย่างนั้น แต่เขากลับยืนค้างอยู่หน้าประตู มือเกาะที่จับอลูมิเนียมเอาไว้แน่น อ้ำอึ้งกับชายหนุ่มผู้ยืนโบกมือน้อย ๆ อยู่ตรงหน้า คลี่รอยยิ้มบางเบาซึ่งต้องจ้องดี ๆ จึงสังเกตได้
“ตั้งใจเรียนไอ้ตี๋”
ดูเหมือนสามภพก็ยังไม่แน่ใจตัวเองนักว่าจะพูดอะไรดี ถ้อยคำที่ออกจากปากไปจึงได้ฟังดูติดขัดอย่างประหลาด
“การบ้านผมยังไม่เสร็จเลย” เขาบ่นขึ้นมากลางปล้อง
“คืนนี้ก็ทำซะสิ”
“จะสอนผมไหม?”
สามภพลอบยิ้มมุมปาก จ้องมองดวงหน้าขึ้นสีระเรื่อของเด็กหนุ่ม ยื่นข้อเสนอสั้น ๆ อันเข้ากับความต้องการของทั้งสองฝ่าย
“ที่คอนโดฯ?”
คิมหันต์ก้มหน้ามองเท้า บ่นพึมพำพลางยกมือจับใบหูเพราะเดาเอาเองว่าตอนนี้คงแดงแย่แล้ว
“พอพูดแบบนี้แล้วเหมือนผมอ่อยเฮียเลยว่ะ”
สามภพส่ายหน้าขบขัน “หรือไม่ใช่?”
เด็กหนุ่มเม้มปาก พยายามมองไปทุกแห่งยกเว้นใบหน้าเขา แก้มและหูไม่ต้องให้อธิบายแล้วว่าแดงไปถึงไหน กระซิบตอบพยางค์เดียวแล้วรีบวิ่งเร็วจี๋ไปเก็บของที่ห้อง
“ใช่” ทิ้งสามภพนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ลำพังบนเก้าอี้สำหรับนั่งรอที่ชั้นล่างของหอพัก- หมดยกที่ 45 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
รูมเมทอีกคนมาแล้วค่ะ น้องซาราห์ อยากเขียนถึงตัวละครที่เป็นกะเทยล่ำน่ารัก ๆ มานานแล้ว (ฮา)
ส่วนเด็กน้อยก็ยังลังเล จะเดินหน้าก็ไม่เต็มที่ โอ๋ ๆ
อ่านคอมเม้นต์ยกที่แล้ว จริงมากค่ะที่เราเล่าเวิ่นเว้อช่วงเฮียอยู่กับน้องเยอะมาก เวลาผ่านไปช้าสุด ๆ หมดไปเป็นตอน ๆ ยังจู๋จี๋กันไม่เสร็จ อา...ติดเป็นนิสัยซะแล้วค่ะ 555 มุ้งมิ้ง(?)กันเบา ๆ อีกสักตอนนะคะ หยอดกันจนจะตัวเหลวตายอยู่แล้วสองคนนี้
ปล.ช่วงรับน้องแอบข้ามไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ เพราะดันจำไทม์ไลน์ช่วงมหาวิทยาลัยปีหนึ่งไม่ได้แล้วค่ะ มันผ่านมานาน..เอ่อ...พอสมควร ความจริงน่าจะมีก่อนเปิดเทอม แต่ดันเขียนข้ามไปแล้ว ปล่อยเบลอเลยแล้วกันนะคะ ถ้ามีโอกาสอาจได้แปะเป็นตอนพิเศษเบา ๆ ตอนรับน้องแทน (ฮา)
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารักเช่นเคย *กอดรัดฟัดเหวี่ยง*

ขอบคุณมาก ๆ ที่คอยคุยคอยทวงทั้งที่เล้า ในทวิตเตอร์ และ fb นะค้าาา ทำให้มีแรงฮึดเขียนขึ้นมาในช่วงเวลาที่หัวตันค่ะ --กราบกราน
วันนี้มีของแถมค่ะ เยอะพอควร รีพลายถัดไปเลยค่า ^^