● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 44 – พี่ไม่ต้อง น้องทำเอง
"ยอมให้เลี้ยงได้ไหมครับ?" เงียบจนราวกับจะได้ยินเสียงใบไม้ร่วง รากไม้แทงลงผืนดิน แมลงตัวจ้อยหายใจผ่านท่ออากาศ หรือกระทั่งเสียงสายลมเอื่อยเฉื่อยยามพัดต้องเส้นผม
แต่ที่ดังกระหึ่มอยู่ตอนนี้ คงมีเพียงอย่างเดียวคือเสียงหัวใจของเขาซึ่งกำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่พูดคือตกลงนะ?”
สามภพสรุป หลังจากให้เวลาเขาทำใจเต้นตูมตามยังไม่ทันถึงสามวินาที
“..ดะ..เดี๋ยวดิ!”
“ช้านี่” ชายหนุ่มยักไหล่ มุมปากแต้มรอยยิ้มบางเบาที่ทำคนมองหวั่นไหวไปยกใหญ่ “ช่วยตัดสินใจให้ไง..ไหนบอกคิดถึงเป็นพิเศษ?”
“อย่าย้ำนักสิวะ” คิมหันต์แทบคราง พอพูดตรงก็โดนเอามาล้อเสียได้
“เด็กดี..” สามภพพึมพำอ่อนโยน “เป็นแบบนี้น่ารักดีออก”
จบแล้วจึงตามด้วยเสียงหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ รอยยิ้มอบอุ่นคลี่ตัวกว้างขึ้นอีกนิดหน่อย ทำหน้าแบบไหนก็พาสะเทือนใจไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วยังทำคอมโบต่อด้วยการวางมือบนศีรษะเขา ขยุ้มเบา ๆ อย่างรักใคร่จนผมยุ่ง และหากว่ากันตามจริง เขาค่อนข้างชอบความรู้สึกจากการสัมผัสจำพวกนี้เสียด้วยสิ รู้ตัวอีกทีก็เผลอเอียงหน้าตอบไปเรียบร้อย มันน่าขัดใจเป็นบ้าที่เอานิสัยเหมือนหมาที่บ้านมาใช้ โดนลูบผมเข้าหน่อยไม่ได้เลยเชียว ไม่คงสติให้ดีเป็นเคลิ้มตลอด
“ถ้ากรนเหมือนแมวออกมาด้วยจะไม่แปลกใจเลย”
จนคำล้อเลียนเช่นนั้นของสามภพจบลงนั่นแหละ เขาจึงได้กลับมาเก๊กหล่ออีกครั้ง เสียฟอร์มเทกระจาดโครมใหญ่ กลายเป็นแมวเชื่อง ๆ ไปชั่วขณะ
“ไป..เก็บของ ค้างด้วยกันคืนนึง” ชายหนุ่มว่าพลางดันหลังเขากลับไปทางหอพัก “เที่ยงนี้อยากกินอะไร?”
“จะเลี้ยงหรือ?”
สามภพส่ายหน้าอ่อนใจ พอพูดเรื่องกินแล้วตาหยี ๆ ทอประกายวาววับมาเชียว
“แล้วยอมให้เลี้ยงไหมล่ะครับ?”
เขาทวนคำถามเดิมแต่ต่างสถานการณ์ เล่นเอาไอ้ตัวแสบหน้าขึ้นสีระเรื่อเมื่อนึกขึ้นได้ เก็บอาการเกรียนกลายเป็นเจี๋ยมเจี้ยมขึ้นมาทันที บ่นงุบงิบว่าแชร์กันก็ได้พร้อมกับขัดแข้งขัดขาเขานิดหน่อยพอให้รู้ว่าประท้วง
“ไอ้ตี๋เอ๊ย” สามภพอดไม่ได้จะส่งเสียงล้อเลียน ยื่นหน้าไปใกล้จนคางเกือบวางพาดกลางกระหม่อมเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้า ก้มมองผมนุ่มนิ่มสีน้ำตาลสวย เอามือไปวางแปะไว้แล้วก็ไม่อยากปล่อยอีกเลย
“ตะกละฉิบหาย”
“เด็กกำลังโต”
“งั้นก็โตเร็ว ๆ เข้าสิ”
คิมหันต์ย่นจมูกแทนคำตอบ บ่นหงุงหงิงพอได้ยินแค่พวกเขา
“เลี้ยงแล้วจะมาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้นะ"
สามภพชะงัก รู้สึกราวกับหัวใจจะหยุดเต้นเสียตรงนั้น
“แฮ่ม! หมายถึงเลี้ยงข้าว ห้ามมาทำเป็นจะปล่อยทิ้งเหมือนตอนไปทะเล”
เด็กหนุ่มกระแอม พาเปลี่ยนประเด็นอย่างไม่เนียน ท่าทางซึ่งเบือนหน้าไปทางอื่นบอกชัดว่ากำลังพยายามหลบสายตาเต็มที่ ติดตรงแก้มและใบหูแดง ๆ นั่นหันหนีอย่างไรก็ไม่พ้น “แบบ..แค่ลองพูดดู ไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างอื่น อ่า..ไม่ต้องคิดไปไกล”
“...”
“ทำไมเฮียทำหน้างั้นวะ”
“หน้าแบบไหน?”
“เหมือนคนบ้า”
“.....”
“เฮียเพี้ยนหน้าแดงด้วยอะ”
ชายหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ รีบเถียงทันควัน “เราต่างหากหน้าเป็นลูกมะเขือเทศแล้ว!”
“เชี่ย! เฮียเขินผมอะ” คิมหันต์ไม่ฟัง แถมยังยิ้มเผล่ ไม่ได้เจียมเลยว่าตัวเองก็หน้าร้อนจะแย่ หันหลังกลับมาเอาแขนคล้องเอวเขาอย่างได้ใจ พยายามเอานิ้วจิ้มเอวไปด้วยแล้วก็ชักสีหน้านิดหน่อยเมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกบ้าจี้ “สารภาพมาเลย คิดอะไรไม่ดีอยู่เปล่าวะ”
“เต็มหัวเลยละ”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง อ้าปากหวอจนน่าแกล้ง
“พี่ต้องปฏิเสธสิ!”
“ทำไมต้องปฏิเสธล่ะ?” เขาเลิกคิ้ว “เรื่องจริงทั้งนั้น”
“...พี่แม่ง..”
ชายหนุ่มยักยิ้ม รู้ว่าคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัดเมื่อเห็นคิมหันต์ก้มหน้าก้มตา โชว์แต่ใบหูสีแดงเข้มให้เขาดูอีกครั้ง ให้ตายเถอะ..เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยหยุดทำตัวน่าฟัดเลย นึกสงสัยว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ชวนไปนอนค้างด้วยกัน เผลอมันเขี้ยวจับฟัดตัวแหลกขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไร
เขาส่ายหน้า นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่าน ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสกว่านั้นอีกแล้ว
.
.
.
.
ธนธร นวกังสดาล อยู่โรงเรียนเพื่อน ๆ เรียก ‘บอมบ์’ รู้จักกันดีว่าเป็นลูกชายเจ้าของร้านถ่ายรูป มาอยู่ที่นี่ในฐานะเฟรชชีปีล่าสุดของคณะศิลปศาสตร์ และตอนนี้กำลังรื้อของจากกล่องใบสุดท้ายมาวางไว้บนเตียงเอ ซึ่งเป็นชั้นล่างของเตียงสองชั้นฝั่งซ้ายมือของห้องพัก
เด็กหนุ่มวางกระเป๋าใส่กล้องดิจิตอลมิเรอร์เลสสีขาวคู่ใจลงกลางเตียงเบามือ พ่อเขาให้เอาแค่ตัวนี้มาใช้ ส่วนกล้อง DSLR ตัวใหญ่ที่เคยเอามาเล่นตอนเรียนมัธยมปลายนั้นไม่ได้รับอนุญาตจากบุพการีให้นำมาหอด้วย หลังจากผ่านการอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ผล เด็กหนุ่มก็ทำใจและกลับมาทักทายไอ้ลูกชายสีขาวตัวเล็กที่พ่ออนุมัติให้เอาติดตัวมาได้ หยิบ ๆ จับ ๆ มันจนคุ้นมือ และพบว่าเจ้านี่ก็ไม่เลวนัก
เขามองผ่านหน้าจอแสดงผลของกล้อง หมุนตัวรอบห้องแล้วไปหยุดอยู่ทางประตู กดชัตเตอร์หนึ่งครั้งโดยไม่มีความหมายใดเป็นพิเศษ เห็นเพียงความนิ่งสงบแสดงผลเป็นภาพพิกเซลสีสันสดใส แต่ไร้วี่แววว่าจะมีใครเปิดเข้ามา แม้ว่าเตียงบีซึ่งอยู่เหนือเตียงเขาขึ้นไปจะมีของมาวางกองไว้แล้ว คงย้ายเข้ามาระหว่างที่เขาออกไปหาอะไรกินข้างนอก
เด็กหนุ่มเอนหลังพิงเสาเตียง ครุ่นคิดถึงมิตรภาพใหม่ที่กำลังจะเกิดกับคนแปลกหน้าอีกไม่ช้านี้เป็นภาคบังคับ หอพักในของมหาวิทยาลัยนี้ หนึ่งห้องจะอยู่ร่วมกับเพื่อนอีกสี่คนซึ่งอยู่ต่างคณะ (หรือส่วนน้อยมากอาจบังเอิญเจอเพื่อนคณะเดียวกัน) ด้วยวิธีสุ่ม กระทั่งใครจะนอนเตียงไหน ชั้นบน หรือชั้นล่าง ทางมหาวิทยาลัยก็ระบุไว้เรียบร้อย แต่หากจะไปแลกเตียงกันเองก็เป็นอีกเรื่อง
ด้วยเหตุที่ว่ารูมเมทมาจากการสุ่มเลือก เขาจึงรู้สึกแปลกใจอยู่เอาการ เมื่อเห็นรายชื่อจากเอกสารลงทะเบียนเข้าพัก ว่าหนึ่งในอีกสามคนที่เหลือซึ่งยังไม่ปรากฏตัว มีชื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมปลายมาด้วยหนึ่งคน
คิมหันต์ วานิชตระการกูล เป็นเจ้าของเตียงบี ชั้นบนของเตียงสองชั้นที่เขากำลังนั่งอยู่
คิม..เพื่อนผมทองหน้าตี๋คนนั้น พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว แต่อีกฝ่ายค่อนข้างมีชื่อในโรงเรียนทีเดียว และเขาเชื่อว่าการปรับตัวในสถานที่แห่งใหม่อาจง่ายขึ้นบ้าง หากว่ามีคนซึ่งเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ต่อให้ไม่แน่ใจนักว่าหากเป็นคิมหันต์ มนุษย์ติดสัมผัส ย้อมผมทองอย่างไม่เกรงใจอาจารย์(แม้จะไม่ได้มีกฎห้ามอย่างเด็ดขาด) เพื่อนสนิทของปิ่นหยกซึ่งเป็นคนรักของอาทิตย์เพื่อนเขา แล้วยังเป็นผู้ที่คนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเจ้าเล่ห์เป็นบ้า ความสัมพันธ์จะราบรื่นเป็นปกติดีหรือเปล่า
เสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะความคิด ก่อนลูกบิดประตูจะถูกไขออก เสียงดีดของสปริงดังขึ้นเบา ๆ บอกให้รู้ว่าผู้มาใหม่มีกุญแจ คงเป็นเพื่อนร่วมห้องสักคน
“อ้าว”
ธนธรเลิกคิ้ว โบกมือต้อนรับเพื่อนใหม่..หรืออาจจะเรียกว่าเพื่อนเก่าด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งเสียง “อ้าว!” ดังกว่าเดิมอีกครั้ง เมื่อพบว่าผมทองสะดุดตาของคิมหันต์อย่างที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่ตอนเรียน บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปแล้วเรียบร้อย จากนั้นก็ “อ้าว!?” เป็นรอบที่สามอย่างงี่เง่า เมื่อพบว่าคิมหันต์ไม่ได้มาคนเดียว
ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมานั้นรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะเข้าข่ายเฟรชชี มาปรากฏตัวในวันแรกของการเข้าพักที่หอ บางทีอาจเป็นพี่ชายหรือญาติของคิมหันต์ เขายกมือไหว้โดยอัตโนมัติ เข้าใจว่าคงเป็นผู้ร่วมสายเลือดสักคน ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิดหน่อยแล้วรับไหว้ แต่ไม่พูดอะไรตอบกลับมา
“เฮ่ย! บอมบ์ปะ?” คิมหันต์โบกมือทักพร้อมกับก้าวเข้ามายืนในห้อง
เขาพยักหน้ารับ นึกว่าอีกฝ่ายจะเดินตรงเข้ามาเกาะแกะพร้อมคำทักทายอย่างที่มักเป็นเสมอกับเพื่อนฝูง ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่สนิทเหมือนอย่างตอนเรียนมัธยม แต่คิมหันต์กลับทำแค่แตะแขนเขาเบา ๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่าโคตรบังเอิญ แล้วเดินเลยไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง ค้นกุกกักอยู่ครู่หนึ่งเพื่อเอาเสื้อผ้าชุดสองชุดมาแบ่งใส่กระเป๋าเป้อีกใบ ปากก็ชี้แจงไปด้วยว่าวันนี้เอาของมาไว้ก่อนแต่ยังไม่นอนหอ
“กลับบ้านหรือ?” เขาถาม
“เปล่าอะ” คิมหันต์เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าเพื่อจะตอบ “ไปนอนกับ—”
แต่แล้วก็ค้างไว้แค่นั้น
“กับ?”
อีกฝ่ายเหลือบมองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ประตูแวบหนึ่ง จากนั้นก็อ้อมแอ้มตอบเขา
“พี่ชาย”
เขามองตามสายตาของคิมหันต์ แวบหนึ่งที่สบเข้ากับนัยน์ตาดุ ๆ ของชายหนุ่มลึกลับที่เข้าใจว่าเป็นญาติ ติดตรงบรรยากาศประหลาดที่ห้อมล้อมคนทั้งคู่อยู่นั่นเองอันชวนให้ข้องใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรต่อ สีหน้าแขกไม่ได้รับเชิญดูบอกบุญไม่รับจนเอาชนะความรู้สึกอยากละลาบละล้วงไปหมดสิ้น
ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่ง เพื่อนร่วมห้องหน้าตี๋ก็เก็บของเสร็จ เดินมาตบต้นแขนเขาเบา ๆ อีกทีโดยมีชายหนุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนามคอยสังเกตไม่วางตา พาจะเกร็งกันไปหมดทั้งห้อง ประหนึ่งมีหมาหน้าโหดตัวใหญ่มายืนแยกเขี้ยวใส่อยู่ใกล้ตัว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับ”
เขาพยักหน้ากับคำบอกเล่าของเพื่อน พูดคุยกันอีกสองสามคำด้วยเรื่องสัพเพเหระ จนชายหนุ่มที่ยืนเงียบจ้องเขม็งมาอีกครั้ง และไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าคิมหันต์พยายามตัดบท
"ไว้ค่อยคุยกัน"
เอาเถอะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกวันก่อนเปิดเทอม รูมเมทสองคนที่เหลือคงค่อย ๆ ทยอยกันเข้าหอ กับคิมหันต์เดี๋ยวก็เห็นหน้ากันอีกยาว
“เจอกันพวก” คิมหันต์ทิ้งท้ายเรียบง่าย ไม่แตะเนื้อต้องตัวเขาอีกแม้แต่นิดเดียวอย่างผิดคาด ก่อนจะสะพายเป้เดินออกจากห้องไป เงียบหายพร้อมกับผู้ชายอีกคนและบรรยากาศน่าสงสัย
“...หรือไม่ใช่ญาติวะ”
ธนธรบ่นกับตัวเองเมื่อประตูห้องถูกดึงให้งับปิดลงเรียบร้อย หวนนึกไปถึงอาทิตย์กับคนรักที่เป็นผู้ชายหน้าจิ้มลิ้มผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้น สองคนนี้ก็ให้บรรยากาศแปลก ๆ คล้ายกันอย่างไรบอกไม่ถูก
“หน้าแม่งไม่มีเค้าเป็นพี่น้องเลย ตามคุมอย่างกับแฟน”
ธนธรยังไม่รู้ตัวว่าเขาคิดถูกแล้ว...หรือไม่ก็อาจเรียกได้ว่าใกล้เคียง
ใกล้เคียงมาก ๆ .
.
.
.
สามภพดูเหมือนจะอารมณ์ขุ่นน้อย ๆ อยู่พักใหญ่ นับตั้งแต่เดินออกจากหอพักที่มหาวิทยาลัย ทำหน้าบูดกว่าปกติอย่างหาสาเหตุไม่ได้ จากที่เล่นหัวกันอยู่ดี ๆ ก่อนไปเอาของในห้องพัก ขาออกมากลับเดินเสียห่าง พูดน้อยคำอย่างเห็นได้ชัดกระทั่งขึ้นรถ
“เฮียเพี้ยนสุดหล่อ” คิมหันต์กระเซ้า วางมือจากที่รื้อค้นแผ่นซีดีในช่องเก็บของ หันไปเอานิ้วจิ้ม ๆ แขนชายหนุ่มที่กำลังบังคับพวงมาลัย “ทำหน้ามู่ทู่เลย...เป็นไรอ้ะ”
“เป็นพี่ชาย” เกิดความเงียบอันกระอักกระอ่วนไปอีกหนึ่งอึดใจ
“..หรือไม่ถูก” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม เริ่มจับต้นชนปลายได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร ตัวก็โต ทำเป็นมนุษย์ขี้ใจน้อยไปได้
“ถูกแล้ว”
อีกฝ่ายตอบอย่างขอไปที เสียงเย็นเฉียบมาเชียว
“งอนผมหรือ?”
“ไม่นี่”
“เฮียแม่ง” เขาบ่นกระปอดกระแปด “ก็เพื่อนมันถามงั้น แล้วจะให้ตอบว่าไงวะ”
“แล้วแต่”
“นี่..” คิมหันต์ท้วง กระตุกแขนเสื้อชายหนุ่มเบา ๆ “จอดก่อน อย่าเพิ่งออกรถ”
แม้จะได้รับสีหน้าว่างเปล่ากลับมา แต่สามภพก็ยอมหยุดรถนิ่งสนิทเลียบฟุตปาธตรงทางเข้าลานจอดรถ ปล่อยความเงียบแสดงตัวชัดเจนระหว่างพวกเขา จนคิมหันต์กวักมือพร้อมกับบ่นพึมพำ ส่งสายตาเหมือนลูกหมาตัวกระจ้อย
“บอกอะไรให้”
สามภพนั่งนิ่งรอฟัง
“ก้มหน่อย ไม่ถึง” ไอ้ตัวยุ่งท้วง “สูงไปไหนวะ”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจหนึ่งเฮือกแล้วปล่อยมือจากพวงมาลัย โน้มใบหน้าเข้าหาคุณผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ที่ชะเง้อจนแทบปีนข้ามมาพร้อมกับโบกมือหย็อย ๆ ไปด้วย อีกมือยกขึ้นป้องปากเตรียมกระซิบกระซาบราวกับกลัวใครได้ยิน ทั้งที่ก็มีกันอยู่แค่สองชีวิตในรถ
“มีอะไร”
“ใจร้ายว่ะ แค่นี้ต้องทำเสียงโหด” คิมหันต์ตัดพ้อด้วยหน้าทะเล้น พอเขายื่นหน้าไปใกล้ก็รีบเอามือมาตะปบแก้มไว้หมับแล้วยักยิ้มพราย
“ฟังผมนะ”
“อืม”
เขาไม่รู้คิมหันต์อยากให้เขาฟังอะไร เพราะเจ้าตัวไม่เห็นเอ่ยปากพูดสักคำ นอกจากเสียงแอร์ฟู่ ๆ ในรถที่ไม่ได้เปิดเพลงแล้ว ก็เหลือแค่เสียง
‘ฟอดดด’ ลอยมาเข้าหู เมื่ออีกฝ่ายกดครึ่งปากครึ่งจมูกของตัวเองลงเต็มแก้มเขา แช่อยู่นานจนคล้ายจะทำสมองเขาโดนแช่แข็งไปด้วย
เวลาในรถหยุดนิ่ง ทั้งโลกเหลือแค่พวกเขากับกลิ่นหอมอ่อน ๆ เหมือนแป้งเด็กลอยเตะจมูก
“...”
“ผมไม่หอมแก้มคนเป็นพี่ชายหรอกนะ” เป็นประโยคแรกที่เขาได้ยิน หลังจากกลับมาตั้งสติได้ เพื่อจะต่อสู้กับความรู้สึกอยากพุ่งไปกอดรัดคนพูดให้ตัวเหลวคามือ คำพูดช่วงหลังนั้นฟังอู้อี้ เพราะคิมหันต์ก้มหน้าซุกเข่าตัวเองที่ยกขึ้นมาไว้บนเบาะไปแล้ว และแน่นอน..ใบหูแดงเรื่อเหมือนโดนน้ำร้อนลวกโผล่รำไรใต้ปอยผมสีน้ำตาล น่ารักบัดซบจนแค่มองก็เหมือนจะตายให้ได้
“..พี่ก็ไม่จูบน้องชายตัวเองเหมือนกันใช่ปะ”
และเขาตอบสั้น ๆ “ไม่” ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับมีเม็ดทรายอยู่เต็มคอ
คิมหันต์ตะแคงใบหน้ามาทางเขา เข่าชันอยู่ท่าเดิมเป็นที่วางแก้มซึ่งขึ้นสีจัด แต่ตายังจ้องเป๋งตรงเข้าหา ปั้นรอยยิ้มยียวนเจือความขัดเขิน เหมือนตั้งใจจะก่อกวนแต่ยังเอาตัวไม่รอด หัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อนอย่างน่าเอ็นดู ยิ่งส่งเสียงตลก ๆ ออกมาพวงแก้มทั้งสองก็ยิ่งย้อมเลือดฝาดจนแดงเข้ม
“ลองไหมล่ะ?” เขาถาม พยายามไม่หวังผลแม้จะบังคับใจได้ยากเย็น
“จูบน่ะหรือ?”
ความเงียบถูกนำมาใช้แทนคำตอบ
คิมหันต์หัวเราะด้วยสุ้มเสียงประหลาดออกมาอีกครั้งแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำใจกล้าลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเบาะ ลำตัวท่อนบนโน้มข้ามฝั่งเข้าหาเขา เอามือคล้องไว้รอบต้นคอชายหนุ่มเพื่อพยุงไม่ให้ตัวเองเสียหลัก ปลายจมูกเฉียดกันเพียงแค่นิดเดียว
“ผมทำเอง”
“หือ?”
“ไม่อยากให้เฮียผิดสัญญา”
สามภพนึกสงสัย ในเมื่อเขาเริ่มหรือคิมหันต์เริ่ม ผลออกมาก็ไม่เห็นต่างกัน
“แต่แค่จุ๊บได้ปะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้งกับถ้อยคำต่อรอง “ไม่เหมือนกันยังไง?”
“ถ้าจุ๊บ..จะเป็นแบบนี้”
พูดจบ ปากช่างเจื้อยแจ้วก็ฉกเบา ๆ บนริมฝีปากเขา แตะกันเพียงแวบเดียวก่อนจะถอนออกไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้จูบ...หรือจุ๊บตอบ?
สามภพยกมือขึ้นเสยผมอีกฝ่ายแผ่วเบาให้พ้นหน้าผาก คลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อเห็นว่าแม้แต่ผิวเนื้อหลังปอยผมคิมหันต์ก็ยังแดงไปด้วย ตัวอย่างประกอบคำอธิบายของเจ้าเด็กเกรียนคนนี้น่ารักจนเขาจะขาดใจอยู่แล้ว
“...ไอ้ตี๋น้อย”
ชายหนุ่มกระซิบ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจร้อนผ่าวรดปลายจมูกกันและกัน คิมหันต์หดคอเล็กน้อย แต่ไม่ได้กระโจนหนี ยังสู้สายตานิ่งงันขณะรับฟังทุกพยางค์ที่เขาเอ่ย
“แล้วถ้าจูบล่ะ...แบบไหน?”
คิมหันต์ทำสีหน้าลังเล แต่เมื่อผ่านไปพักใหญ่จนเหมือนจะตัดสินใจได้ เจ้าตัวก็ส่งสายตาเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มขี้เล่นไม่เข้ากับแก้มแดง ๆ น่าดึงให้หลุด หลังจากนั้นไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน
“..อืออ..ออ..” แม้เสียงครางในลำคอของเด็กหนุ่มจะไม่สามารถสื่อออกมาเป็นวัจนภาษาได้ แต่สามภพพอจะเข้าใจความหมายของคิมหันต์แล้ว ว่า
จูบ กับ
จุ๊บ ต่างกันอย่างไร
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พากันหาของกินหรือทำอะไรข้างนอกเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะหลังการสาธิตในภาคปฏิบัติ ว่าด้วยเรื่องความต่างระหว่างจูบและจุ๊บของคิมหันต์จบลง เจ้าตัวก็อายม้วนจนแทบจะลงไปกองกับผ้ายางปูพื้นรถ คุยไม่รู้เรื่องอีกพักใหญ่
“งั้นซื้อกลับคอนโดฯนะ”
สามภพสรุปให้เสร็จสรรพ มองใบหูอีกฝ่ายแล้วก็ให้นึกขำ คงคิดว่าหันมองออกหน้าต่างอย่างเดียวจะทำฟอร์มเหมือนว่าไม่เขินได้ ขาดก็แต่ที่ปิดหูสักอัน เขาจะไม่สงสัยเลย หากคราวหน้าคิมหันต์หาหูฟังอันโต ๆ มาครอบหูแดงแจ๋ของตัวเองแล้วทำเป็นเนียนฟังเพลงตอนอยู่ด้วยกัน
“เดี๋ยวแวะเซเว่น ซื้อขนมเลี้ยงหมา รอบนรถหรือลงไปด้วยกัน?”
“เลี้ยงหมา?” คิมหันต์เลิกคิ้ว นึกไปถึงดุ๊กดิ๊กหมารักที่บ้านตัวเอง ลืมไปว่าไม่ได้กำลังจะกลับบ้าน นั่งเหวอจนอีกฝ่ายพูดต่อ
“หมาคิม”
“เฮียเพี้ยนแม่ง!”
สามภพหัวเราะ ไม่เถียงต่อ “กินอะไร ลงไปดูไหม?”
“ไป!”
นั่นแหละคิมหันต์ เขินหรือตีกันค้างไว้อย่างไรก็ยังจะห่วงกิน
พวกเขามาถึงคอนโดฯของสามภพตอนบ่าย แต่ท้องฟ้าอึมครึมราวกับเป็นเวลาเย็น ครู่หนึ่งฝนก็เริ่มโปรยปราย อากาศน่านอนเป็นที่สุด โดยเฉพาะหลังอิ่มจากข้าวหน้าเป็ด (คนละสองกล่อง) เจ้าอร่อยตามที่สามภพกล่าวอ้าง
คิมหันต์นั่งผึ่งพุง มองเจ้าของห้องแยกข้าวของที่ซื้อมาเพื่อจัดเก็บตรงนั้นตรงนี้ เอกเขนกอยู่บนโซฟาตัวเดิมที่หมายตาไว้ว่าจะยึดเป็นฐานที่มั่นตั้งแต่ตอนมาครั้งแรก และคราวนี้ก็ยึดได้สำเร็จ เหยียดแข้งหยียดขากินที่จนสามภพต้องหย่อนก้นลงบนพนักพิงแทนหลังจากเก็บของเสร็จ
“ฝนตกใหญ่แล้ว” เด็กหนุ่มพึมพำ มองเม็ดฝนทิ้งตัวนอกหน้าต่างกระจก หดคอหนีเมื่ออีกฝ่ายเอากระป๋องโค้กเย็นเฉียบมาแนบท้ายทอยเขา ก่อนจะปล่อยมันร่วงบนตักแล้วหลบไปนั่งหัวเราะชอบใจที่พนักพิงอีกฝั่ง
“เฮียเพี้ยนเล่นอะไรปัญญาอ่อนว่ะ”
เขาบ่น ก่อนจะโดนผลักที่หน้าผากเบา ๆ ไปทีหนึ่ง
“ปากหมา เดี๋ยวปล้ำแม่ง”
คิมหันต์ทำหูทวนลม โดนขู่จนชินแล้ว (ไม่นับเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งเพิ่มขึ้นนิดหน่อยทุกครั้งที่ได้ยิน) นั่งรอพักหนึ่งแล้วค่อยเปิดกระป๋องก็ยังอุตส่าห์มีฟองฟู่ออกมาเลอะเทอะ สามภพส่ายหน้าแล้วส่งกระดาษทิชชูพร้อมกับหลอดพลาสติกมาให้ ปลายนิ้วเฉียดกันแผ่วเบาตอนรับมา ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า
เขาลอบมองอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มไม่เห็นแสดงอาการผิดปกติอะไร
บางทีอาจแค่คิดมากไปเอง เขาเลิกคิ้วแล้วโคลงศีรษะ ก้มลงดูดน้ำอัดลม สายตาย้ายไปจับจ้องหน้าจอโทรทัศน์ช่องมูฟวี่ซึ่งเปิดค้างไว้ เอาขาลงมาวางบนพื้นดี ๆ ให้อีกฝ่ายมีที่นั่งบ้าง ไม่ทันสังเกตว่าสามภพก็เหลือบมองกลับมาเมื่อเขาเบนสายตาไปสนใจภาพยนตร์ตรงหน้าแล้ว
ครู่หนึ่งโซฟาก็ยวบลงตามน้ำหนักอีกร่างที่ตามลงมานั่งข้างกาย ไหล่กระทบกันเบา ๆ เสียงระเบิดดังลั่นในฉากโรงงานโดนถล่มถูกส่งผ่านลำโพงคู่ด้านข้าง
พระเอกสู้กับตัวร้าย นางเอกที่ตั้งใจจะมาช่วยพลัดหล่นจากที่สูง โค้กเขาหมดไปครึ่งกระป๋อง
ระเบิดดังตูมขึ้นอีกครั้ง กระจกร้าว ตึกถล่ม คิมหันต์วางโค้กครึ่งกระป๋องไว้บนโต๊ะ แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา
ไฟลุกท่วมร่างตัวร้ายแต่ไม่ตาย แถมยังดูเหมือนจะเก่งขึ้นอีก บุกเข้าใส่พระเอกอย่างบ้าคลั่ง สามภพเอนตัวมาพิงเขา ครู่หนึ่งจึงไถลลงมา วางศีรษะและช่วงไหล่แหมะอยู่บนตัก จับจ้องภาพเคลื่อนไหวบนจอตาไม่กะพริบ
พระเอกและตัวร้ายแลกหมัดกันดุเดือด ไฟฟ้าติด ๆ ดับ ๆ ก่อนจะเกิดประกายไฟแวบวาบแล้วแตกกระจายเป็นเส้นสาย ลามไปติดกับถังน้ำมัน ทั้งสองคนติดอยู่ในท่อแคบ ๆ ซึ่งระเบิดครั้งใหญ่กำลังส่งเปลวไฟลุกโชติช่วงไล่หลังมา ส่วนเขาติดอยู่ระหว่างโซฟาและร่างกายท่อนบนของชายหนุ่มที่พาดทับต้นขา
สถานการณ์บนจอกดดันถึงขีดสุด พระเอกสู้กับตัวร้ายพร้อมกับกระเสือกกระสนหนีตายไปด้วย คิมหันต์กลั้นหายใจ เผลอกำแขนเสื้ออีกฝ่ายที่นอนพาดบนตักไว้แน่น ส่งเสียงครางด้วยอาการลุ้นอยู่ในลำคอ
พระเอกรอด ตัวร้ายโดนระเบิดเป่าเหลือแค่เนื้อเกรียมติดไฟ นางเอกยังไม่ตายอย่างที่เข้าใจผิด ตัวประกอบเล่นมุกตลกสองสามประโยค พระเอกและนางเอกวิ่งไปกอดกันกลางซากปรักหักพักด้วยสภาพมอมแมมเหมือนเพิ่งผ่านสงครามโลก
สามภพเอื้อมมือมาเขี่ยปอยผมเขาเล่น มือบังลานสายตาจนดูหนังไม่ถนัด ก้มลงไปทำตาขวางใส่ แต่พอสบกับสายตาอ่อนโยนที่มองอยู่นานแล้วโดยไม่รู้ตัว ก็ชะงักปากซึ่งพะงาบเตรียมต่อว่าต่อขานลงพลัน
พระเอกและนางเอกแลกริมฝีปากกันดูดดื่มบนจอภาพ
ส่วนเขาถูกแรงลึกลับบางอย่างดึงดูดให้ก้มลงไปช้า ๆ
ฝ่ามือประคองใบหน้า เส้นผมปรกนัยน์ตา ปลายจมูกแตะกันแผ่วเบา
และกลีบปากทาบทับลงแนบสนิทกับอีกฝ่าย จูบรสโคล่า อ่อนโยนด้วยรสหวาน รู้สึกดีด้วยคาเฟอีนเจือจางบางเบา กลิ่นสังเคราะห์ปนกลิ่นอายเย้ายวนจากฝ่ายตรงข้ามบีบเค้นให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เสียงเพลงดังปิดท้าย เครดิตภาพยนตร์ลอยขึ้นมาทีละบรรทัด ทว่าเขาไม่ทันได้มอง ทั้งที่สงสัยว่านางเอกคนสวยในเรื่องนั้นใครกันเป็นคนแสดง อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะรอดูชื่อเอาไว้ติดตามผลงานต่อ
แต่ตอนนี้ไม่ว่างแล้ว
เสียงเนื้อแฉะ ๆ ฉกเข้าหากัน ได้ยินชัดยิ่งกว่าเพลงประกอบภาพยนตร์ เขากำอกเสื้อสามภพไว้แน่น ปล่อยอีกฝ่ายแทรกปลายนิ้วไปตามไรผมบนท้ายทอยเขา ขนอ่อนแถวนั้นลุกชันไปหมด รู้ดีว่ามันเป็นจุ๊บ..ที่กำลังจะกลายเป็นจูบ
ชื่อนักแสดงที่เป็นนางเอกผ่านเลยไปแล้ว แต่คิมหันต์ไม่ทันมอง
หลังความดำมืดของเปลือกตาที่ปิดสนิท เขาเห็นแค่ชื่อสามภพคนเดียว - หมดยกที่ 44 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
เขียนเองเขินเอง =///= หวานไปเลี่ยนไปไว้ดื่มน้ำล้างคอตามมาก ๆ นะคะ 5555
ความจริงคิมหันต์ก็เป็นเด็กที่แสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาเนาะ ถ้าตัดปัญหาเรื่องขี้เก๊กและทิฐิสูงช่วงแรก ๆ ของความสัมพันธ์ออกไป
บอกเฮียเพี้ยน พี่ไม่ต้อง น้องทำเอง (ฮา)
พบกันตอนหน้าค่ะ มีของแถมรีพลายถัดไป หลังจากอู้มาหนึ่งรอบ แฮร่ ๆ
กอดฟัดคนอ่าน ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยือนค่า
