● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 31 – ไม่เข้าถ้ำเสือ ไฉนจะได้ลูกหมา?
อุตส่าห์คิดว่าลืมได้แล้วเชียว รัญชน์จ้องภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ แต่อยู่ ๆ ก็มีหยดน้ำอะไรสักอย่างร่วงจากเหนือศีรษะหล่นลงบนเลนส์แว่น บางทีอาจมาจากต้นไม้ที่เขาอาศัยนั่งใต้ร่มเงาเพื่อรอเพื่อนอยู่ตอนนี้ เขาถอดมันออกมาใช้เสื้อเช็ดขณะที่สายตาก็ยังเพ่งมองไปตำแหน่งเดิม ทว่าพอไม่มีแว่นแล้ว ภาพไกล ๆ ก็มัวลงจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร
และเมื่อเขาหยิบแว่นขึ้นมาสวมอีกหน คนผู้นั้นก็ไม่อยู่ในลานสายตาอีกแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าอ่อนเยาว์ผิดกับอายุอันชวนให้คนเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็นเด็กมัธยม(โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับส่วนสูง)มีร่องรอยความผิดหวังเจืออยู่ แม้เขาพร่ำบอกตัวเองตลอดมาว่าอย่าได้ริอ่านคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมองทางเขาสักนิด
สามภพ พร้อมพิมาน ความทรงจำในหัวพากันออกมาโลดแล่นอีกครั้ง
ฟันเขี้ยว เห็นชัดตอนยิ้ม ซึ่งเขาก็มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มที่ว่าน้อยครั้งนัก ชอบพูดเสียงห้วน ๆ ทำหน้าดุขวางโลกเกือบตลอดเวลา รูปร่างสูงใหญ่ แทบไม่เคยคุยกันเมื่อสมัยเรียนมัธยมและป่านนี้คงจำเขาไม่ได้แล้ว โดนทางบ้านคาดคั้นให้เรียนคณะนิติศาสตร์แต่เพียงปีเดียวก็ลาออก ได้ข่าวว่าหยุดเรียนไปอีกหนึ่งปีจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ทว่าเป็นเพียงข่าวซึ่งไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน เพราะหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แค่จะโทรไปตามเบอร์ที่ลงไว้ในหนังสือรุ่นยังไม่กล้า
เรื่องราวสารพัดอย่างที่เขาจำได้เกี่ยวกับคนที่เคยแอบชอบ...ไม่สิ...จนตอนนี้ก็ยังชอบ ทั้งหมดไหลเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว ก่อนนี้เคยคิดว่าหากไม่ต้องเจอกันแล้วคงตัดใจได้ในสักวัน แต่การที่รู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าสามภพเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขาก็ทำเอาไขว้เขวไปมากทีเดียว
รัญชน์เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง นั่งเหม่อมองแสงแดดซึ่งเริ่มอ่อนแรงในยามเย็น และนั่นมีแต่จะชวนให้ยิ่งหดหู่
ช่วงที่ไม่เคยได้ยินข่าวคราวอีกเลย เขาคิดว่าตัวเองตัดใจสำเร็จแล้ว...ทั้งที่คิดว่าทำได้แล้วแท้ ๆ แต่เมื่อได้เห็นคนคนนั้นอีกครั้งจึงรู้ตัว ว่าที่เขาเคยเข้าใจนั้นผิดจากความจริงไปไกลโข
เขาไม่เคยลืมสามภพได้เลย “ไอ้เตี้ย”
“!?”
“เอ้านี่ ซีรอกซ์เสร็จละ คืนหนังสือมึง”
อนาวิล หรือที่ทุกคนเรียก ตั้ม เพื่อนรูปร่างสูงโย่งเป็นเสาไฟฟ้า ผู้ร่วมคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่สาม ตอนนี้กำลังยืนถือของพะรุงพะรังอยู่ตรงหน้าเขา อาศัยว่ายังมีนิ้วว่างอยู่ไม่กี่นิ้วเขี่ยหนังสือเล่มหนามาให้
รัญชน์ขยับมุมปากยกขึ้นน้อย ๆ ปรับสีหน้าเป็นปกติ ทั้งชื่อจริงชื่อเล่นเขามีแค่พยางค์เดียว ออกเสียงก็เหมือนกัน รัญชน์ รัน เรียกง่ายแท้ ๆ แต่เพื่อนกลับนิยมเรียกไอ้เตี้ยมากกว่า ซึ่งน่าตลกตรงที่เขาเองก็ไม่คิดห้ามปรามอาจเพราะความเคยชิน
“ขอบคุณ” เขารับหนังสือมาถือไว้ในมือแล้วลุกออกจากเก้าอี้
ผู้เป็นเพื่อนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก ทั้งที่ตัวเองต่างหากเป็นฝ่ายต้องเอ่ยคำขอบคุณที่ยืมหนังสือคนอื่นไปถ่ายเอกสาร ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระตามปกติ แต่รัญชน์กลับไม่มีสมาธิฟัง ทำเพียงเออออตอบเป็นบางครั้งโดยเนื้อหาในคำพูดไม่ค่อยเข้าหัว มัวแต่ไพล่นึกไปถึงอีกคนที่จับจองเต็มพื้นที่ความคิด
จากที่เคยเดินสวนกันครั้งหนึ่งกับสามภพเมื่อไม่นานมานี้ ถือว่าชัดเจนว่าอีกฝ่ายลืมเขาไปเรียบร้อยแล้ว หรือหากพูดให้ถูกอาจเป็นไม่เคยจำได้เลยมากกว่า แต่การที่ได้มาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันแม้จะต่างชั้นปีก็นับเป็นเรื่องดีใช่หรือเปล่า แม้จะบอกตัวเองให้เลิกหวัง แต่เมื่อพบว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้ก็อดไม่ได้เลยจริง ๆ
“—เตี้ย”
“—ไอ้เตี้ย!”
“ไอ้รัน!” “หือ!?” เขาสะดุ้ง หันไปทำหน้างงใส่อนาวิล
“ฟังอยู่รึเปล่าวะ!?”
“ฟังสิ”
“ตกลงจะไปไหม?”
รัญชน์เงียบไป แม้ตอบว่าฟังแต่ความจริงแล้วได้ฟังที่ไหน สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าไปตามเรื่อง “..ไป ว่าแต่ไปที่....?”
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ โคลงศีรษะอย่างเหลืออดเหลือทน “ไอ้ควาย ไหนว่าฟัง”
“....”
“ไปค้างคอนโดไอ้มุ่ย”
“อ้อ”
“ทำงาน คืนนี้ต้องโต้รุ่งแล้ว ไม่งั้นแม่งไม่ทันส่งแน่ น่าเสียดายอดชวนสาวร่อนคืนคริสต์มาสอีฟ” อนาวิลบ่นหงุงหงิง “นี่มึงเคยไปยัง”
เขาส่ายหน้า ปกติมักทำงานที่หอมากกว่า
“แล้วตกลงไปไหม?”
ชายหนุ่มร่างเล็กหยุดคิดเพียงแวบหนึ่ง จนกระทั่งพวกเขาเดินออกห่างจากจุดเดิมมาไกลเกือบถึงลานจอดรถ หลังจากนั้นก็พยักหน้าออกมา บางทีทำงานหามรุ่งห้ามค่ำกับเพื่อนฝูงอาจช่วยให้หายฟุ้งซ่านในเรื่องไม่เป็นเรื่องลงได้สักหน่อย
“ไป”
“เฮ่ยรัญ!”
รัญชน์หันขวับตามเสียงเรียกนั้น ขานรับในลำคอว่า “หือ?” แต่กลับพบว่าเจ้าของเสียงเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะมาโผล่อยู่ตรงนี้ ประหลาดใจจนมีเพียงถ้อยคำกระซิบแผ่วเบาผ่านริมฝีปาก
“...ภพ”
“เดี๋ยวแวะส่งข้างทางเฉย ๆ” คนตรงหน้ายังพูดต่อพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ “เย็นนี้ไม่ว่าง”
เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ สามภพกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่? แถมยังเดินตรงมาทางนี้อีก แสดงว่าจำเขาได้ใช่หรือเปล่า กำลังจะอ้าปากถามกลับติดตรงมีใครสักคนพูดแทรกขึ้นก่อน
“เออน่า! แม่งเดี๋ยวนี้ธุระเยอะนะ” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เรียกให้เขาหันกลับไปมอง ชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำยืนยิ้มร่าอยู่ไม่ไกลนัก และทิศทางของสายตาก็บอกชัดเจนว่าเมื่อครู่นั้นพูดกับสามภพ “ไม่ว่างกับเพื่อนแต่ว่างหาเด็กตลอด”
“เชี่ยรัญ!”
รัญชน์สะดุ้ง นั่นชื่อเขา ฟังไม่ผิดแน่นอน แต่สามภพที่เดินเลยไปโดยไม่หยุดมองสักนิดทำเอาต้องคิดใหม่
“พล่ามเยอะหารถเมล์ไปเองซะ!”
“ใช่ซี่ ไม่น่ารักงุ้งงิ้งอย่างน้องนี่” หนุ่มผิวแทนจีบปากจีบคอกับคนที่เดินตรงเข้าไปหา ก่อนทั้งสองคนจะผลักศีรษะกันเป็นเชิงหยอกเย้าพร้อมกับเดินออกจากบริเวณนั้น และตัวเขาเองเป็นแค่อากาศธาตุที่มองไม่เห็นในชั้นบรรยากาศ
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองไปลับสายตา เผลอระบายลมหายใจอ่อนล้าออกมายาวเหยียด ทั้งตื่นเต้นทั้งใจหายไปในเวลาเดียวกัน เพื่อนของสามภพคงแค่ชื่อออกเสียงว่า ‘รัน’ เหมือนเขาเท่านั้น สามภพจำเขาไม่ได้จริง ๆ ขนาดเดินสวนกันในระยะประชิดเช่นนี้ยังไม่มีวี่แววจะเอะใจแม้สักนิด
“รัน! เหม่ออะไรอยู่วะ!?”
“เปล่า”
“มาเร็ว! ช้าฉิบหาย! กูต้องกลับไปเอาของที่ห้องก่อน”
รัญชน์ส่ายหน้าเรียกสติอีกครั้ง แค่การปรากฏตัวเพียงครู่เดียวของอีกฝ่ายก็เล่นเอาทำตัวไม่ถูกแล้ว แถมเพื่อนผิวแทนของสามภพคนนั้นยังพูดราวกับว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังคบใครอยู่ ซึ่งนั่นมีแต่จะยิ่งทำให้ความหวังริบหรี่ของเขาถูกปิดตายลงไปอีกครั้ง ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยด้วยการอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเหมือนเมื่อสมัยมัธยม
“ไอ้รัน!”
“ไปแล้ว”
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าตามเพื่อนไปก่อนจะทิ้งระยะห่างจากกันมากไปกว่านี้ ส่วนสูงยิ่งต่างกันอยู่ไม่น้อย คนมักพูดเสมอว่าพวกเขาเป็นเหมือนเสาไฟฟ้ากับเสาหลักกิโลเมตร และความต่างนั้นยิ่งเห็นชัดเจนตอนเขาตามมาเดินเทียบความสูงข้างกันในที่สุด
“มึงนี่ช้าตลอด เตาะแตะเป็นเต่า ทำตัวแม่งแอ๊บปวกเปียก” อนาวิลหันไปบ่นใส่มนุษย์ร่างเล็กที่ชอบหลุดหายเข้าโลกส่วนตัวเป็นพัก ๆ ข้างกาย “ถ้าไม่เห็นตอนต่อยกับคนอื่นจะไม่เชื่อเลยว่าเป็นลูกชายค่ายมวย”
รัญชน์ขยับไหล่น้อย ๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก ยกมือจัดแว่นซึ่งเอียงผิดตำแหน่งเดิมไปนิดหน่อยตอนรีบตามมาให้เข้าที่ ไม่ได้เถียงอะไรต่อให้ยืดยาว เพื่อนหนุ่มร่างสูงหันมามองแล้วส่งเสียงคล้ายหัวเราะออกมาหนึ่งเฮือก ทำความเข้าใจว่าเขาคงหลุดเข้าสู่โลกส่วนตัวอีกครั้งในไม่ช้า
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
“นี่ทุ่มกว่าแล้วนะ”
“อือ”
“เพื่อนไม่มาแล้วมั้ง?” วัสสานะมองเข็มนาฬิกาแล้วตั้งข้อสังเกต “ได้ลองโทรถามหรือเปล่า?”
คิมหันต์หมุนมือถือเล่นไปมา หน้าเจื่อนลงนิดหน่อยโดยไม่รู้ตัว ที่พี่สาวเขาบอกว่าเพิ่งทุ่มกว่านั้นยังนับว่าพูดในแง่ดีอยู่มาก เพราะความจริงอีกแค่สิบนาทีก็จะสองทุ่มแล้วต่างหาก
“ไม่โทรหรอก”
“อ้าว?”
“ไม่ไปแล้ว” เด็กหนุ่มหมุนมือถืออีกครั้งแล้วโยนมันขึ้นไปเล็กน้อยในอากาศ เล็งให้อยู่ในตำแหน่งที่หากรับไม่ทันก็หล่นลงบนโซฟาอยู่ดี อย่างไรก็ไม่ตกใส่พื้นแน่ ๆ (ไม่อย่างนั้นเจ้ใหญ่ของเขาคงหวีด) พอรับไว้ในมือแล้วก็จ้องมองหน้าจอสีดำว่างเปล่า ไร้วี่แววจะมีข้อความแชตหรือใครโทรเข้า พร้อมกับตระหนักได้ว่าจะเอาอะไรกับคนอย่างสามภพ นี่ก็คงแค่แผนแกล้งเล่นอีกอย่างเท่านั้นเอง เขาจัดการปิดโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจว่าจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระอีก “ผมไปทำการบ้านบนห้องนะเจ้”
“หือ?”
โดยไม่เฉลยอะไรให้เธอหายงงสักนิด คิมหันต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คว้ากระเป๋าเป้ข้างตัวขึ้นมาแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบันไดอีกฝั่ง ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงปิดประตูห้องดังผิดปกติ หลังจากนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าเด็กหนุ่มบนชั้นสองจะแสดงอะไรที่ระบุว่ายังมีตัวตนอยู่ในบ้านให้เธอรู้อีกเลย
หญิงสาวขมวดคิ้ว จ้องมองพิธีกรรายการการ์ตูนที่คิมหันต์เปิดค้างอยู่แล้วพึมพำคล้ายจะปรึกษาหารือกับคนในโทรทัศน์ “..อะไรของเด็กคนนี้?”
นั่งสงสัยกับท่าทีประหลาดของน้องชายอยู่ได้เพียงไม่นาน ความน่าข้องใจของวันนี้อย่างที่สองก็โจมตีตามมาติด ๆ เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงรถพร้อมกับแสงไฟสีส้มสว่างวาบขึ้นจากหน้าบ้าน บางทีอาจเป็นรถของใครสักคนในซอยนี้ แต่อึดใจต่อมากลับมีเสียงออดดังขึ้นในบ้านของเธอนี่แหละที่ไม่ปกติ
“??”
วัสสานะยื่นหน้ามองผ่านม่านหน้าต่าง เพ่งสายตาออกไปนอกรั้วเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ดุ๊กดิ๊กเดินส่ายก้นออกไปรับแถมยังไม่เห่าสักแอะ ข้างกันมีชายหนุ่มรูปร่างสูงซึ่งดูคุ้นตา แสงไฟประดับตรงรั้วบ้านส่องรำไรให้พอมองเห็นใบหน้า พิจารณาดูดี ๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นคนที่เธอเคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง
ตกลงเพื่อนที่น้องชายเธอพูดถึงคือสามภพเองหรอกหรือ?
หญิงสาวเปิดไฟหน้าบ้านจนสว่างโร่ เป็นเชิงบอกให้คนข้างนอกรู้กลาย ๆ ว่าเธอเห็นเขาแล้ว ครู่หนึ่งก็เปิดประตูบ้านเดินออกไปหา มีโกลเด้นรีทรีฟเวอร์วิ่งกลับมารับพร้อมกับสะบัดหางเป็นพวงไปมาอย่างร่าเริง
“ภพหรือ?” เธอหรี่ตา ส่งเสียงถามออกไปก่อนแม้รู้อยู่แล้วว่าเป็นเขา
“ใช่ครับ”
“ป่านนี้แล้วมาทำอะไรจ๊ะ?”
“ผม...” ชายหนุ่มนิ่งไป ก่อนนี้เขาเองก็ลืมคิดไปเสียสนิทเรื่องคิมหันต์อยู่กับพี่สาว แล้วอยู่ ๆ มาโผล่เช่นนี้ตอนกลางคืนไม่รู้เธอจะว่าอย่างไร “พอดีนัดกับคิมหันต์ไว้”
“อ้อ” หญิงสาวพยักหน้า แต่ยังไม่ยอมเปิดประตูรั้วออก “เห็นเขาบอกว่านัดกับเพื่อนไว้ทุ่มหนึ่ง ไม่รู้หมายถึงภพหรือเปล่า”
สามภพชะงักไป เหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วก็ให้รู้สึกผิดขึ้นมา เลิกเรียนก็เย็นมากแล้ว ทั้งที่รีบไปส่งสรัญแทบแย่เพราะเจ้าตัวนัดกับเพื่อนอีกกลุ่มไว้แต่กลับไม่มีรถไป โดนรั้งไว้เขาก็ปฏิเสธหมด กว่าจะฝ่าด่านรถติดช่วงเทศกาลมาได้ไม่นึกว่าจะช้ากว่าเวลาจนป่านนี้ “ใช่..ผมนัดเขาไว้ทุ่มหนึ่ง”
หญิงสาวเพียงแต่พยักหน้า นึกสงสัยเรื่องที่คิมหันต์บอกว่าไปกับเพื่อนเมื่อหลายวันก่อน กลับมาพร้อมร่องรอยลึกลับเต็มลำคอ แล้วนี่เป็นเพื่อนคนเดียวกับที่ยืนเครียดอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ด้วยหรือเปล่า
“เสาร์ที่แล้วคิมก็บอกว่าไปกับเพื่อน กลับมาอีกทีวันอาทิตย์” เธอเอ่ยเบา ๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ภพด้วยไหม?”
“....”
“ใช่หรือไม่ใช่?”
“ใช่”
มือของเธอที่กำลังจะไขกุญแจประตูรั้วให้กลับสะดุดลงฉับพลัน ค้างอยู่เช่นนั้นอย่างลังเล สุดท้่ายก็ดึงมือกลับ ได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปเสียงเคร่งขรึม “พาเขาไปไหนมา?”
“ไปเที่ยว”
“ที่?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว นิ่งไปอีกครู่หนึ่งด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรนักจากเจ้าของบ้านสาว ก่อนจะยอมพูดออกมาตามตรงในท้ายที่สุด “หัวหิน”
“..เที่ยวไกลดีนะ” วัสสานะผ่อนลมหายใจช้า ๆ ตัดสินใจว่าจะไม่เปิดให้อีกฝ่ายเข้ามาจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง “วันนั้นเขากลับมาบ้าน พี่เห็นรอยแดง ๆ เต็มคอเขาไปหมด”
เขาพยักหน้าน้อย ๆ เลื่อนสายตาไปจับอยู่กับหมาอ้วนขนทองโดยไม่ได้ตอบอะไรจนเธอพูดต่อ
“ภพพอจะรู้เรื่องไหม?”
“...คิดว่า..รู้”
“รอยพวกนั้นมาจากไหน?”
“...เล่นกัน”
“หืม?”
“เล่นกันขำ ๆ” เขายักไหล่ “ประสาพี่น้อง”
วัสสานะพ่นลมออกจมูก เสียงอู้อี้ขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัด “คิมหันต์ยังเด็ก พี่รู้ว่าเธอเป็นน้องชายของแฟนของน้องอัน ที่เป็นเพื่อนกับน้องสาวพี่อีกที” หญิงสาวพยายามเรียบเรียงคำพูดไม่ให้ฟังดูสับสนจนเกินไปนัก หลังจากนั้นก็พ่นรัวออกมาเป็นชุด “นั่นหมายความว่าพี่ค่อนข้างไว้ใจเธอในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้มากพอจะปล่อยให้เธอพาเขาไปตะลอน ๆ ไกลบ้านแล้วทำอะไรกันบ้างก็ไม่รู้...เดี๋ยวก่อนนะ! นี่ไม่ได้พาเขาไปเที่ยวผู้หญิงใช่ไหม!?”
“ผมไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่”
“ดี!” เธอยืดตัวขึ้นพร้อมกับกอดอก มีหมาอ้วนยืนสนับสนุนอยู่ข้างกาย ดูจะเรียบร้อยกว่าเวลาอยู่กับคิมหันต์เป็นคนละตัว “เห็นอย่างนั้นเขาก็เป็นเด็กดีมาตลอด อย่าให้รู้ว่าพาออกนอกลู่นอกทาง”
เขายกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ พี่กับน้องขี้ระแวงพอกันมาเลย “ผมสัญญา...” พูดเสร็จก็ทำหน้าครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ให้ดูมีน้ำหนักชัดถ้อยชัดคำกว่าเก่า “สาบาน...ว่าจะไม่พาเขาไปในทางไม่ดี”
คนฟังดูเหมือนจะค่อนข้างพอใจขึ้นนิดหน่อย จ้องหน้าเขาเหมือนอยากมองให้ทะลุ สุดท้ายก็พยักหน้าท่าทีอ่อนลงแล้วกลับไปถามโทนเสียงปกติหลังจากวางมาดเข้มมาพักใหญ่ “แล้ววันนี้มาทำอะไร?”
“คิดว่าจะช่วยติวหนังสือให้” เขาตอบ ละเลยประเด็นเรื่องคริสต์มาสอีฟไปก่อน “เห็นเขาอยากเข้าทันตะ”
“ไหนบอกว่านัดกันไว้หนึ่งทุ่ม” เธอยังซักต่อ ทำหน้าที่แทนน้องชายซึ่งคล้ายจะงอนตุ๊บป่องหายเงียบขึ้นไปบนห้องตัวเองอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง “เลทไปเป็นชั่วโมงมันใช่หรือ?”
สามภพพยักหน้ายอมรับผิด ปกติไม่เคยมีพี่สาวมายืนบ่นเอา ๆ พร้อมกับซักไซ้ไล่เลียงขนาดนี้ อันนาซึ่งเป็นว่าที่พี่สะใภ้ก็มีแต่จะชวนเล่นเหมือนเป็นเพื่อนกันเสียมากกว่า เริ่มเข้าใจคิมหันต์ว่าทำไมจึงนอบน้อมกับเจ้ใหญ่คนนี้นัก “ขอโทษครับ ผมกะเวลาผิดไป ไม่มีข้อแก้ตัว”
“เอาเถอะ” วัสสานะตอบรับอย่างเสียมิได้ “วันนี้ดึกแล้ว ไว้ค่อยมาใหม่”
“เดี๋ยวสิ”
“คิมบอกเองว่าไม่ไปไหนแล้ว” เธอว่าพร้อมกับเดินถอยหลังออกห่างจากประตูรั้ว
“พี่สา”
“คราวหลังจะมาช้าก็หัดโทรบอกก่อน” หญิงสาวเอ่ยเสียงเข้มอีกครั้ง “มีโทรศัพท์ไม่ใช่หรือ?”
เขาพยายามจะบอกเธอว่าโทรศัพท์เขาแบตเตอร์รี่หมดเกลี้ยงตั้งแต่ตอนติดอยู่บนถนน แต่ก็โดนชิงพูดตัดหน้าก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
“แล้วแนะนำว่าให้มาตอนกลางวัน! ไม่เอามืดอย่างนี้ โอเคนะหนุ่มน้อย”
สามภพอ้าปากค้างจนร่างของเธอผลุบหายเข้าไปหลังบานประตู ไฟหน้าบ้านบางดวงดับลง และไอ้ดุ๊กดิ๊กวิ่งกลับมาร้องงี้ดกับเขาท่ามกลางความเงียบสงบซึ่งหวนมาเยือนอีกครั้ง ยืนอึ้งอยู่อีกครู่ใหญ่กว่าจะแค่นหัวเราะออกมาติดขัด หมุนตัวมายืนพิงรั้วบ้านพร้อมกับถอนหายใจยาวเหยียด คนที่นี่หินกันทั้งบ้านเลยให้ตายเถอะ
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถซึ่งดับเครื่องอยู่แต่ขายังยื่นออกมาข้างนอก ปรับเบาะเอนลงนิดหน่อยพลางคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อดี โทรศัพท์มือถือเขาตายสนิท ภายในบ้านก็ยังเงียบเชียบ แสงไฟจากหน้าต่างที่เขาจำได้ว่าเป็นห้องของคิมหันต์ที่ชั้นสองยังเปิดไว้สว่าง ใกล้แค่นี้แต่ทางติดต่อดูลำบากขึ้นมาทันทีเมื่อเจ้าบ้านไม่อนุญาตให้เข้าไป และเครื่องมือสื่อสารก็ลาโลกเรียบร้อย เอาไว้คงต้องพกแบตเตอร์รี่สำรองบ้างแล้ว
ควรกลับหรือ? ทั้งที่อุตส่าห์มาถึงบ้านแท้ ๆ เชียว แต่นอกจากไม่เห็นหน้าแล้ว แม้แต่เสียงก็ยังไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ชายหนุ่มออกมาผุดลุกผุดนั่งอยู่นอกรถตัวเอง จ้องมองแสงไฟจากหน้าต่างห้องของคนที่เขามาหา ป่านนี้ไม่รู้กำลังโกรธอยู่ไหม หรือว่าไม่ได้คิดใส่ใจอะไรอยู่แล้ว
สามภพยืนชั่งใจอยู่อีกพักใหญ่ อย่างน้อยให้เขาได้อธิบายให้เจ้าตัวฟังสักนิด ไม่เช่นนั้นคืนนี้กลับไปต้องคาใจจนนอนไม่หลับแน่นอน
ชายหนุ่มตัดสินใจล็อครถให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินไปโหนตัวขึ้นนั่งคร่อมบนส่วนที่เป็นกำแพงของรั้วบ้านซึ่งปีนจนคล่อง จากนั้นก็ค่อย ๆ หย่อนตัวลงช้า ๆ อย่างเงียบเชียบลงบนอาณาเขตสนามหญ้าขนาดย่อมในรั้วบ้าน
โกลเด้นรีทรีฟเวอร์เจ้าประจำเดินส่ายสะโพกตรงเข้ามาหาพร้อมกับร้องงี้ดเบา ๆ เขาย่อตัวลงไปเกาหูมัน ทำเสียง “ชู่วว..ววว....ช่วยกันทำมาหากินหน่อยไอ้ลูกรัก” และหวังว่าเจ้าหมาอ้วนจะเชื่อฟังบ้างในฐานะที่ซี้กันมานาน รอจนแน่ใจแล้วว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคิมหันต์จะไม่ส่งเสียงดังให้เขาโดนเจ้าบ้านโทรเรียกตำรวจมาจับโยนออกนอกรั้ว จึงได้สาวเท้าไปยังตำแหน่งที่ตรงกับหน้าต่างห้องของเด็กหนุ่ม
เขาแหงนหน้ามอง ไม่ไกลจากบานหน้าต่างนักมีระเบียงขนาดเล็กยื่นออกมา ลำต้นของต้นหมากประดับสักอย่างที่เขาไม่แน่ใจเรื่องพันธุ์นักพุ่งสูงขึ้นไปในแนวเส้นตรงใกล้กับระเบียง หากจะปีนก็ไม่น่ายากเย็นเกินความสามารถ
สามภพเป่าลมออกทางปาก ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกได้ว่าชักทำตัวเหมือนเป็นหัวขโมยเข้าไปทุกที เขาถอดรองเท้าตัวเองออก เอามือตบเบา ๆ บนลำต้นที่เล็งเอาไว้ ทำใจอยู่อีกระยะหนึ่ง สบตากับไอ้ดุ๊กดิ๊กที่ทำท่าเหมือนเดินมาส่ง จากนั้นก็เริ่มปีนอย่างจริงจัง งัดเอาวิชาสมัยเรียกลูกเสือและรด.มาใช้ให้หมด
ลำต้นโอนเอนเล็กน้อยเมื่อเขาปีนขึ้นมาสูงเกือบถึงระเบียง น้ำหนักตัวเขาก็ใช่ว่าจะน้อย ๆ เกิดหล่นตุบลงไปนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว หากโดนจับได้คงมีอันถูกตราหน้าเป็นผู้บุกรุกอย่างเป็นทางการ
เขากัดฟันแน่น ดึงตัวเองขึ้นไปถึงระดับความสูงที่คิดว่าเหมาะ เอื้อมมือคว้าราวระเบียงไว้อย่างระมัดระวัง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าบ้านสาวคงไม่โผล่ออกมาตอนนี้ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะออกแรงกระโจนจากลำต้นหมาก โยนตัวเองมานั่งยองจับกบด้วยท่วงท่าไม่ค่อยสวยงามนักอยู่บนระเบียงบ้านคนอื่น
พอรู้ตัวว่าเท้าเหยียบพื้นมั่นคงแล้วก็ถึงกับหอบหายใจหนัก ๆ จากความลุ้นมากกว่าเหนื่อย ยกมือขึ้นเสยผมแล้วชะเง้อมองออกไปทางหน้าต่างห้องซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ปลอบใจตัวเองว่ามาได้เกินครึ่งทางแล้ว
ราวระเบียงนั้นไม่สูงนัก เมื่อลุกขึ้นยืนเต็มตัวก็เหนือจากหัวเข่าเขาขึ้นมาเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง มองเลยออกไปนอกระเบียงยังมีส่วนยื่นออกมาพอให้วางเท้าลงไปได้ แต่อาจต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูงในการไต่ไปตามพื้นที่ว่างเล็ก ๆ ต่อกับชายคาบ้านซึ่งยื่นออกมา
จังหวะที่ยืนฟังเสียงสายลมครางโหยหวน มือเกาะกับผนังด้านนอกของตัวบ้านชั้นสอง อีกนิดเดียวจะถึงหน้าต่าง (หากโดนคนนอกเห็นตอนนี้ต้องถูกเข้าใจว่าเป็นพวกคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย) เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ เด็กบ้านั้นเอาแต่ด่าเขาว่าเพี้ยนจนท่าทางจะเพี้ยนไปจริง ๆ แล้ว
แต่สุดท้ายก็มาเกาะอยู่ตรงหน้าต่างกระจกห้องคิมหันต์จนได้สิน่ามีต่อข้างล่างค่ะ
v
v
v