“กินข้าวโว้ย!!!” ไอ้กี้หันไปตะโกนใส่หูไอ้ดิวจนมันสะดุ้ง ก่อนจะขมวดคิ้วมองไปยังคนทำที่หัวเราะชอบใจ ผมถอนหายใจ ก่อนจะเห็นไอ้ดิววิ่งไล่ไอ้กี้ที่วิ่งหนีไปก่อนแล้ว
บางทีผมอาจจะต้องทำอะไรสักอย่าง...
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ตอนนี้ผมกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงนอนครับ พรุ่งนี้ก็เป็นวันกีฬาสีแล้ว หลังจากเกมนัดแรกที่ทำให้ผมผิดหวัง ทุกคนในทีมเลยตั้งปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยอมในมันเกิดขึ้นมาอีก เพราะแค่ครั้งเดียวพวกเราก็เสียใจมากพออยู่แล้ว และด้วยความฮึดและความอึดในการฝึกซ้อมที่มากขึ้น ทำให้ทีมบาสของผมฝ่าฟันการแข่งขันที่แสนดุเดือดในปีนี้ ก่อนจะคว้าถ้วยอันดับสองมาครองได้สำเร็จ เอาน่า... ถึงไม่ได้ที่หนึ่ง แต่การลงแข่งกีฬาในครั้งนี้ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากมาย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สำคัญช่วงหนึ่งในชีวิตเลยล่ะครับ
ตอนนี้ผมก็เหมือนได้ปลดแอกที่ต้องแบกรับมาในช่วงหลายสัปดาห์นี้ออกไป แต่ใช่ว่าชีวิตของผมจะกลับมาปกติสุขได้เหมือนเดิม ก้อนตะกอนที่ผมสงสัยยังไม่หายไปไหน รวมถึงคัวการที่ยังทำหน้าระรื่นไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองได้สร้างปัญหาใหญ่ก้อนโตให้ผมได้ปวดหัว
ซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งผมหาวิธีแก้ไขก็ยิ่งพบถึงสิ่งผิดปกติมากมายในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันมากขึ้น ถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางการค้าของมันไปแล้ว แต่ผมเพิ่งเล็งเห็นว่ารอยยิ้มที่ผมได้รับนั้นมันไม่เหมือนคนอื่น ไม่นับสายตาของมันที่ผมเพิ่งมาสังเกตในช่วงหลายวันนี้
รอยยิ้มที่อ่อนโบยกว่า สายตาที่อ่อนหวานกว่า...
ผมก้มหน้าลงไปกับหมอนใบโตด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก อีกทั้งท่าทีแปลกๆที่ชวนให้หัวใจของผมทำงานผิดปกติ ทุกอย่างที่ไอ้หน้ายิ้มสร้างขึ้น ทำให้ผมอดจะคิดถึงสิ่งแปลกๆ ที่ตัวเองพยายามจะไม่คิด ถึงอย่างนั้น... สมองก็ไม่อาจจะบังคับความรู้สึกที่บอกว่า ไม่ปกตินี้ได้
พฤติกรรมที่แสดงออกว่าผมเป็นคนพิเศษนั้น ทำให้ผมวางตัวไม่ถูก ไม่รุ้ว่าควรจะยอมรับหรือว่าจะปฏิเสธ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของการกระทำนั้นไม่ได้มีอะไรแปลกไปจากเดิม นอกจากจิตใจของผมที่ปั่นป่วน ความอายที่คละเคล้ากับความไม่แน่ใจ ทำให้ผมตัดสินใจอยู่เฉยๆ เหมือนคนที่ยืนอยู่ตรงทางแยกที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือทางขวา
ผมพลิกตัวเองไปนอนหันข้าง ก่อนจะเห็นตุ๊กตาตัวโตที่วางไว้ที่มุมเตียง ผมจ้องมองเจ้าหมีอ้วนตัวสีส้มที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ ไม่ได้ต่างจากท่าทีของคนที่ซื้อมาให้เลยสักนิด ผมเอื้อมไปคว้ามันเข้ามาใกล้ ก่อนจะนึกหมั่นไส้มันขึ้นมาเลยบีบไปที่ปลายจมูกที่ยื่นออกมาเต็มแรง ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างไปจากเดิม
เฮ้อ... มึงจะทำให้กูเป็นบ้าแล้วไอ้ดิว
ผมตกอยู่ในภวังค์ของความคิดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ผมไม่กล้าพูด ผมไม่กล้าแสดงออก ผมไม่กล้า... แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นสัมผัสที่ได้รับตรงหน้าผากในตอนนั้น รวมถึงเปลือกตาที่รับรู้ได้ถึงความนุ่มของริมฝีปากร้อนของมัน กลับไม่เลือนหายไปไหน ความรู้สึกที่มองไม่เห็นนั่นจองจำผมให้คิดถึงเจ้าของราวกับคนบ้า
ไม่อยากรับรู้ แต่ก็ไม่อาจหยุดคิดได้... มันจะเป็นไปได้เหรอ?
ในขณะที่ผมกำลังนึกหาวิธีมาจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่หัวเตียง ทว่าในวงแขนนั่นยังมีเจ้าตัวนุ่มสีส้มอยู่ในอ้อมกอด
“ว่าไง”
“พรุ่งนี้มึงไปกี่โมงครับ” เสียงไอ้กี้ดังขึ้นที่ปลายสาย
“ก็ไปแบบปกติ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ธรรมดาผมจะถึงโรงเรียนประมาณเจ็ดโมงเกือบๆแปดโมงครับ โดยทานอาหารเช้าที่แม่ทำไว้ให้ที่บ้านแล้วค่อยไปโรงเรียน
“อะไรกันมึง! กีฬาสีนะครับ เขาต้องไปกันแต่เช้า”
“ทำไมวะ” นั่นสิ ทำไมต้องไปแต่เช้าด้วย ผมไม่ได้ต้องไปทำอะไรสักหน่อย
“ก็ไปถ่ายรูปกันไง ตอนเช้าๆเขาก็มากันหมดแล้ว ไปตอนสายๆก็ไม่มีเวลาหรอกมึง” ไอ้กี้ชี้แจง แต่ผมไม่ได้นึกเห็นด้วยหรอกครับ
“ถ้าอย่างนั้นมึงก็ไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไปทีหลัง” ผมบอกเจตนารมณ์ของตัวเองไปอย่างชัดเจน
“ไม่ได้เว้ย! ไอ้ดิวฝากบอกมาว่าให้มึงไปหามันตอนเจ็ดโมง” ไอ้กี้ว่าย้ำ และนั่นทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ไอ้ดิว... อีกแล้ว ยังไม่ทันไรเรื่องของมันก็ต้องสร้างความยุ่งยากใจให้กับผม
“มึงเป็นขี้ข้ามันหรือไงต้องไปทำตามที่มับบอกน่ะ”
“กูไม่ใช่ขี้ข้า แต่เป็นเพื่อนมันโว้ย! มันบอกว่าอยากไปถ่ายรูปด้วยตอนนั้น มันกลัวว่าหลังจากนั้นมันจะไม่หล่อ ฮ่าๆ”
“ไร้สาระ” ผมชักสีหน้าใส่ นึกหมั่นไส้ไอ้ดิวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“มึงจะมาคิดมากอะไรวะไอ้ปอ ไอ้โต้งมันก็ไปเวลานั้น กูขี้เกียจคุยกับคนน่าเบื่อแบบมึงแล้ว เจอกันพรุ่งนี้เจ็ดโมง บาย!” ไอ้กี้พูดเสร็จ มันก็ตัดสายทั้ง ทำให้ผมที่กำลังขมวดคิ้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปยังตุ๊กตาที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอีกครั้ง
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
เสียงนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งไว้ส่งเสียงดังจนผมต้องเอาหมอนมาปิดหูอย่างหงุดหงิด ก่อนจะควานหาตัวการของเสียงแล้วจัดการปิดการทำงานของมัน ผมลืมตามองไปยังตัวเลขดิจิตอลที่บอกว่าตอนนี้เวลาประมาณตีห้าครึ่ง หลังจากเมื่อคืนได้ลองคำนวณเวลาแล้ว ถ้าตื่นเวลานี้กว่าจะทำธุระส่วนตัวเสร็จก็จะไปถึงโรงเรียนเจ็ดโมงได้พอดี
ผมตัดสินใจลุกจากที่นอนอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน แล้วพาร่างที่เหมือนศพเดินได้ลงไปที่บันไดเพื่อลงไปอาบน้ำข้างล่าง ทว่าเพราะความง่วงงุนที่ครอบคลุมไปทุกรูขุมขน ไม่นับสายตาปรือปรอยที่ยังจับโฟกัสภาพไม่ชัดเจน ผมก้าวไปได้แค่สองก้าว เท้าเจ้ากรรมก็พลาดไปสองขั้น ก่อนเสียงโครมครามของวัตถุมีมวลจะกลิ้งลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
Tครม!
“โอ๊ยๆ!” ผมร้องออกมา พลางกุมหัวตัวเอง ก่อนจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บที่กำลังลามไปที่ข้อเท้าเนื่องจากการลงส้นเท้าที่ผิดปกติ พูห์วิ่งมาเห่าเสียงดังที่ด้านล่าง เจ้าตัวเล็กคงตกใจที่จู่ๆก็มีเสียงดังโครมครามตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแบบนี้ ยังดีที่มีส่วนพักของบันได ไม่อย่างนั้นผมคงได้หน้าแหกไถลไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแน่ๆ
“ตายแล้วแมลงปอ!” แม่ของผมร้องอย่างตกใจ ก่อนจะทิ้งของในมือลงกับพื้นแล้ววิ่งมาหาผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ทำยังไงถึงได้ตกบันไดได้ แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วเวลาลงบันได้ให้ลืมตาอย่าหลับตาเดิน! ดูสิหัวโนไปหมดแล้ว ไหนยื่นขามาให้แม่ดูหน่อย!” แม่พูดย่างร้อนรน พลางจับนู้นจับนี้ผมไม่หยุด ผมได้แต่นอนนิ่งๆเรียกสติกลับมา ตอนนี้อาการง่วงที่มีอยู่เต็มหลอดพลังงานเหลือศูนย์แล้วครับ ความเจ็บกำลังรุมเร้าผมไปหมด
“แม่เบาๆ” ผมร้องบอก เมื่อแม่กดลงที่ข้อเท้าของผมที่บวมแดง ก่อนท่านจะถอนหายใจออกมา
“ลุกขึ้นไหวไหม ไปนั่งที่โซฟาก่อน” แม่ว่าพลางประคองผมที่ตอนนี้หมดสภาพให้ลุกขึ้น ผมถอนหายใจแรงเพื่อข่มอาการเจ็บที่ได้รับอยู่ในขณะนี้ ทันทีที่กลั้นความเจ็บปวดจนเดินมาถึงโซฟาชั้นล่างได้ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับมือที่ยังคลำหน้าผากตัวเองปอยๆ ยังดีที่หัวไม่แตก ไม่งั้นผมคงรู้สึกแย่กว่านี้
“ลองเอายานี้นวดดูก่อน ไหนแม่ดูตรงหน้าผากหน่อยเป็นรอยแดงเชียว” แม่ว่า พลางส่งยานวดขาที่บรรเทาความปวดมาให้ “แบบนี้ต้องไปหาหมอเสียหน่อยว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ปอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“ทำเป็นปากเก่ง สภาพดูไม่ได้ขนาดนี้แล้วยังจะดื้ออีก อย่างนี้ต้องให้หมอจับฉีดยาเสียให้เข็ด” แม่ว่าเสียงเข้มแกมดุ
“ไม่เอานะแม่!”
อย่างที่คุณคาดเดาไว้นั่นแหละครับ ผมมีอาการเหมือนคนส่วนใหญ่ที่กลัวเข็มฉีดยา ไม่สามารถบอกถึงสาเหตุได้ว่ากลัวมันทำไม แต่ว่าเวลาเห็นแล้วจิตใจของผมมันไม่สงบครับ ยิ่งเห็นมันแทงผ่านผิวหนังแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เอาเป็นว่าถ้าไม่ทำให้ผมหมดสติหรือเป็นลมไปก่อน อย่าเอามันมาใกล้หรือข้องเกี่ยวกับชีวิตของผมเลยจะดีที่สุด
“ไม่เอาอะไรกัน เจ็บขนาดนี้ แย่จริง! คลินิกใกล้ๆก็เปิดแปดเก้าโมงนู้น” แม่บ่นขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกครั้ง “วันนี้ก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วกัน”
ไม่ต้องไปโรงเรียน...
ทันทีที่ได้ยินผมก็สะดุ้งโหยงอย่างเพิ่งนึกได้ว่า ตัวเองตื่นเช้ามาทำไม ก่อนจะมองเวลาที่เดินมาถึงหกโมงเช้า แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?
“วันนี้วันกีฬาสีด้วยอ่ะ” ผมบอกแม่ ท่านก็หันมามอง
“เป็นแบบนี้แล้วจะไปอีกเหรอไง”
“ก็อยากไปอ่ะ”
“ยังไงก็ต้องไปหาหมอก่อน แม่ไม่ยอมหรอกนะ” แม่ทำตาดุ แม่ของผมเป็นคนใต้ครับเลยตาคมสวยเป็นพิเศษ แต่เวลาทำหน้ายักษ์ใส่เนี่ยก็ดูน่ากลัวเป็นพิเศษเหมือนกัน
“ครับๆ แต่ว่าแม่ไปหยิบมือถือให้ปอหน่อยอยู่บนห้อง”
“อะไรกันได้ทีก็ใช้ใหญ่เลยนะ!”
“จะโทรไปบอกเพื่อนก่อน มันนัดปอไว้เจ็ดโมงเนี่ย”
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ตอนนี้ผมกำลังดูข่าวรอบเช้าอยู่ครับ หลังจากโทรไปหาไอ้กี้รอบนึงแต่ไม่มีใครรับ ผมก็เลยลากสังขารตัวเองไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนแม่จะทำขนมปังปิ้งกับโอวัลตินง่ายๆมาให้ทานรองเท้า รอเวลาคลินิกแถวบ้านเปิด ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลครับ รู้สึกมันจะมากเรื่องเกินไป ไม่ได้เป็นอะไรสาหัสขนาดนั้น
หลังจากผมนั่งทานอาหารเช้าเพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไอ้กี้โทรกลับมาแล้วครับ ผมถอนหายใจ ก่อนจะรับสาย
“เออ”
“อย่าบอกว่ามึงถึงแล้ว กูไม่เชื่อ!” ไอ้กี้แซวผมด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“กูยังอยู่ที่บ้าน”
“แล้วมึงโทรมาเพื่อ? กูอาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังจะออกไปเนี่ย”
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยว่ะ” ผมเล่าเหตุการณ์ให้มันฟังคร่าวๆ มันก็หัวเราะยาะผมตามที่คาดคิดไว้ในใจ กูเจ็บจริงไม่ได้เวอร์นะครับ ขำอยู่ได้...
“มึงจะหัวเราะอีกนานไหม” ผมพูดเสียงเย็น ถ้าอยู่ใกล้ๆเนี่ยจะเอามันมาบีบคอแก้ปวดขาซักหน่อยน่าจะดี เอาให้ตาตี่ๆของมันโตยิ่งกว่าพวกที่ใส่บิ๊กอายเลย!
“เออๆ กูพยายามอยู่ ว่าแต่มึงจะเอายังไง” ถึงแม้มันจะพูดอย่างนั้น แต่เสียงกลั้วหัวเราะของมันก็ไม่ได้หายไปไหน ผมเลิกสนใจเพราะป่วยการที่จะไปหาเรื่องกับคนบ้าๆแบบนั้น คงได้แต่สาปแช่งมันในใจให้ลองเป็นแบบผมบ้างสักครั้งก็น่าสนุกดีพิลึก
“ต้องไปหาหมอก่อน ยังไม่รู้ว่าจะไปได้หรือเปล่า” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“เฮ้ย! ไม่มาไม่ได้นะมึง” ไอ้กี้เริ่มโวยวาย แล้วจะให้กูทะยังไงล่ะวะ
“ถ้าหมอบอกว่าไม่ได้ แม่กูคงไม่ยอมให้ไปหรอก” ผมบอกมันอย่างตรงไปตรงมา พลางมองไปยังแม่ที่กำลังสางขนให้พูห์น้องสาวตัวเล็กในบ้าน ดูสิครับ! ขนาดผมเจ็บแบบนี้ แม่ของผมยังนั่งใจเย็นไปสางขนให้มันได้อีก ผมไม่ได้นึกอิจฉามันหรอก นั่นก็น้องสาวของผมเหมือนกันนะครับ!
“เออๆ เอาแบบนี้แล้วกัน มึงหาหมอเสร็จเมื่อไหร่ค่อยโทรหากูอีกที” ไอ้กี้สรุปปิดท้าย ผมได้แต่ตอบรับ ก่อนจะวางสาย
เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง นอนต่ออีกหน่อยก็น่าจะดี.... โอ๊ยเจ็บว่ะ!
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::เอาตอนใหม่มาลงแล้วนะคะ เย้ๆ

ในตอนนีเ้แมลงปอก็เริ่มรับรู้อะไรได้บางอย่างล่ะมั้ง ฮ่าๆ เอาเป็นว่ามันรู้แล้วกันจ้า
แต่ว่าจะให้ผู้ชายสักคนจะยอมรับกับเรื่องแบบนี้ก็คงต้องใช้เวลาเหมือนกัน (คิดว่านะคะ)
ตอนนี้เลยออกมาในรูปแบบที่ปอกำลังคิดและสับสนกับตัวเอง คาดว่าตอนต่อไปก็จะเริ่มแสดงถึงอารมณ์และความคิดของปอมากขึ้นด้วย
ยังไงคอยเอาใจช่วยกันด้วยนะคะ
ตอนนี้เขียนนานนิดนึงกำลังปั่นแหลกค่ะ คาดว่าน่าจะลงได้อาทิตย์ละตอน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะได้อาทิตย์ละสองตอน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจ้า
ขอบคุณที่ยังติดตามเรื่องราวที่ดูเรียบง่ายเรื่องนี้ต่อไป หวังว่าจะสามารถสร้างรอยยิ้มและความสุขในกับผู้อ่านได้ค่ะ (เน่าอีกแล้ว อิอิ)
ตอนนี้ต้นรักที่คนเขียนปลูกไว้ระหว่างแมลงปอกับดิว มันกำลังงอกออกจากเมล็ดแล้วจ้า
สามารถแสดงความคิดเห้นได้เต็มที่เลยนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากๆเลยค่ะ บวกแทนคำขอบคุณให้นะคะ
ทุกกำลังใจของทุกคนเป็นเหมือนน้ำที่คอยรดต้นไม้ต้นนี้อยุููู่นะคะ
ยังไงก็ช่วยติดตามตอนต่อไปด้วยจ้า อย่าปล่อยให้มันแห้งตายไปซะก่อนนะคะ อิอิ