♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 49
But everything means nothing If I ain't got you
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีความหมาย ถ้าฉันไม่มีเธอ
Special Matt & Ramin # part 11:
[Matt talks]
ผมกับต้นหอมแข่งจ้องตากันยอย่างไม่มีใครยอมใคร ต้นหอมมองผมด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เดี๋ยวนี้ชักจะดื้อขึ้นทุกวัน ผมพูดอะไรไม่เคยฟังแล้ว เอาแต่ร้องหาไอ้ปืน ก่อนหน้านั้นมันว่าผมว่าตามใจต้นหอมเสียจนเคยตัว แล้วตอนนี้ล่ะ มันตามใจต้นหอมยิ่งกว่าผมอีก จากที่แต่ก่อนมีอะไรต้นหอมก็จะโผเข้าหาผมเป็นคนแรก แต่ตอนนี้เขาไม่เคยเห็นหัวผมแล้วครับ
มันน่าน้อยใจดีไหมวะเนี่ย!!!
“แมท!” แล้วยังไง พอไม่ได้ดั่งใจก็ขึ้นเสียงใส่ผม ผมใช้สายตาปราม ต้นหอมมุ่ยหน้าลง ทำหน้าบึ้งตึงใส่ผม
“จะไปทำไม อยู่บ้านเนี่ยแหละ แค่จะพาไอ้มินไปคุยเรื่องงานเท่านั้นเอง” ถ้าแค่ต้นหอมร้องตามจะไปกับผม ผมคงไม่ห้ามหรอก แต่นี่ทำท่าว่าจะไปทำงานกับไอ้มินด้วย ผมไม่ยอมเด็ดขาด แม่ผมกับแม่ต้นหอมรู้เข้าตายเลย
“ก็อยากไปด้วย อยากทำงานบ้างอ่ะ ทีตัวเองยังทำได้เลย!”
คนเรานะ อยู่ดีไม่ว่าดีชอบให้ตัวเองลำบาก
“ไม่ต้องมางอนเลยต้นหอม ที่ไม่ให้ไปทำเพราะเป็นห่วง ตั้งใจเรียนแล้วก็ซ้อมเต้นพอแล้ว จะทำอะไรนักหนา ว่างนักเหรอไง”
ต้นหอมก็แค่เห่ออยากจะทำเท่านั้นแหละ ทุกวันนี้ว่างที่ไหน เลิกเรียนเสร็จก็ไปซ้อมเต้นเกือบทุกวัน กลับมาก็สองทุ่มสามทุ่มแล้ว ไหนจะทำการบ้านอ่านหนังสือ วันๆหนึ่งเวลาก็หมดแล้ว แล้วแบบนี้จะไปทำงานได้ยังไง อีกอย่างต้นหอมเพิ่งจะสิบเจ็ด ผมคิดว่าเขายังไม่ควรต้องทำงานในตอนนี้
“ก็อยากทำอ่ะ” เหมือนจะคิดได้ สีหน้าดีขึ้นนิดหน่อย ไม่บูดเท่ากับทีแรก
“ไว้โตก่อนค่อยทำ ทำไมถึงอยากทำ พี่เลี้ยงไม่ดีเหรอไง”
เรื่องนี้ผมซีเรียสมากนะ ผมเอาต้นหอมมาอยู่ในปกครองของตัวเอง นั่นหมายความว่าผมต้องรับผิดชอบชีวิตเขาให้ดีที่สุด ต้องเป็นทุกอย่างให้เขา ทั้งพ่อ แม่ เพื่อนและพี่ ผมอยากเลี้ยงต้นหอมให้ดีที่สุด แต่พอเขาเร้าๆอยากจะทำงาน ผมก็คิดมากว่าตัวเองเลี้ยงต้นหอมไม่ดีหรือเปล่า
“เปล่า พี่เลี้ยงดี แต่แค่อยากทำอ่ะ อยากหาเงินใช้เองบ้าง”
“ทำไม เงินที่ให้ไม่พอใช้เหรอไง”
“โอ้ย พอจนเหลือเฟือ ต้นหอมไม่ได้ใช้เลยเถอะ พี่ปืนจ่ายให้ตลอด”
นี่ก็อีกเรื่องครับ ผมให้เงินต้นหอมเป็นรายเดือน ไม่นับรวมที่พ่อแม่ต้นหอมส่งให้นะ ทั้งที่ผมไม่มีความจำเป็นต้องให้ก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกอยากให้ แต่พอตอนนี้ต้นหอมคบกับไอ้ปืน ไอ้นั่นก็ทำตัวป๋ามาก จ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ต้นหอม ผมว่าเดือนนี้จะให้มันจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่บ้านบ้างล่ะ แม่งมานอนบ่อยเกิน บางทีมันควรจะต้องเกรงใจผมที่เป็นเจ้าของบ้านบ้างนะ แต่เปล่าเลย คนอย่างไอ้ปืนไม่เคยมีความเกรงใจ ไม่ให้มันนอนที่นี่มันก็จะลากต้นหอมไปอยู่ด้วย แล้วผมจะทำไงล่ะ อยากอยู่กับน้องนี่หว่า เลยต้องยอมให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านด้วยอีกคน
“แล้วจะไปทำงานทำไม มีหน้าทีเรียนกับเล่นก็ทำไป อยากซ้อมเต้นอยากทำอะไรก็ทำไปไม่ว่า ไว้โตกว่านี้แล้วอยากทำงานก็จะไม่ห้ามสักคำ โอเคไหม”
สิ่งที่ต้นหอมคิดก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ คนเราไม่ควรนั่งนิ่งดูดาย ถ้าทำงานทำการหาเลี้ยงตัวเองได้ก็ควรทำ แต่ผมไม่อยากให้น้องลำบากไง ใครจะว่าสปอยหรือทำให้ต้นหอมนิสัยเสียก็เถอะ แต่ผมรักของผมอ่ะ ใครจะทำไม
“ก็ได้ครับ งั้น...จะไปไหนก็ไปเถอะ เบื่อขี้หน้าล่ะ”
อ้าว ทีอย่างนี้ล่ะมาทำเป็นไล่
“ปากดี แล้วนี่จะออกไปซ้อมเต้นตอนนกี่โมง”
“บ่ายโมง เดี๋ยวพี่ปืนมารับ”
“อืม ดูแลตัวเองด้วย พี่ไปล่ะ”
ผมต้องรีบไปรับไอ้มินที่บ้านมัน ช่วงนี้แยกย้ายกันนอน มันนอนบ้านมัน ผมนอนบ้านผมตั้งแต่สอบมิดเทอมที่ผ่านมา อีกอย่างมันก็ไปค่ายรับน้องเอกอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ สองวันหนึ่งคืนหลังสอบเสร็จ ผมเลยไม่ได้เจอมัน พอเมื่อวานมันกลับมาตอนเย็นก็โทรรบเร้าให้พามันไปหางานทำ พอดีกับว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมเลยเลือกพามันไปสมัครงานวันนี้ ก็เรียกว่าสมัครงานไม่ได้หรอก เรียกว่าพาไปฝากดีกว่า
มาถึงไอ้มินก็ยืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว มันเปิดประตูรถขึ้นมา มองสังเกตุใบหน้ามันเป็นอันดับแรก ปากมันเป็นแผล ผมจับคางมันเอียงดูให้เห็นชัดๆ
“ไปทำอะไรมา”
“อ่อ ไม่มีอะไร อุบัติเหตุเฉยๆ”
กล้ามากที่โกหกผม นี่มันรอยโดนต่อยชัดๆ ช้ำเป็นวงกว้างขนาดนี้ยังจะพูดมาได้ว่าอุบัติเหตุ
“ไปโดนใครต่อยมา” คราวนี้ผมกดเสียงต่ำ พอถูกจับได้ไอ้มินก็ทำเป็นยิ้มประจบผม
“แหะๆ มีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรมาก สบายๆขำๆ” มันขำแต่ผมไม่ขำครับ ใครทำอะไรเมียกูวะเนี่ย!
“เล่ามา อยากรู้”
“เอ่อ...มันไม่มีอะไรจริงๆนะมึง”
“...” ผมเงียบ เลือกที่จะจ้องหน้ากดดันมันแทน จนมันไร้ซึ้งทางไป เลยถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็ได้ กูมีเรื่องกับรุ่นน้อง แม่งมาจีบไอ้แน๊ก แต่ไอ้แน๊กไม่ชอบ มันเลยมาเกาะติดอยู่กับกู เพราะไอ้เด็กห่านั่นรุกมันเหลือเกิน พอไอ้แน๊กไม่สนใจมันก็ทำปากหมาหาว่ากูกับไอ้แน๊กได้กันเอง กูเลยต้องแม่งไป แล้วมันก็สวนมา แค่นี้”
“อืม” ผมออกรถจากหน้าบ้านมัน ไปที่ร้านอาหารที่ผมจะพาไอ้มินไปทำงาน
“อืมอะไร มึงโกรธเหรอ”
“เปล่า”
ผมไม่ได้โกรธจริงๆนะ แต่ไม่รุ้จะพูดอะไรดี ก็เข้าใจอยู่หรอกที่มันเล่านะ แต่ก็แค่ไม่รู้สึกอะไรเท่านั้น
“แน่ใจ”
“เออ กูไม่โกรธ แล้วเรื่องเป็นไงต่อ” ผมถาม เพราะเหมือนว่ามันยังเล่าไม่ถึงตอนจบ
“ก็ไม่ไง กูก็บอกไปว่ากูกับไอ้แน๊กเป็นเพื่อนกัน มันจะคิดอะไรก็เรื่องของมัน แต่ในเมื่อไอ้แน๊กไม่ชอบมัน มันก็ไม่ควรมายุ่งกับเพื่อนกู” มันพูดไปใส่อารมณ์ไปอย่างโกรธแค้นไอ้คนที่มาจีบไอ้แน๊ก
“หึงเหรอไง?”ผมแกล้งถามมันไปงั้น แต่ไอ้มันกับมองผมเหวี่ยงๆ
“หึงพ่องสิ อย่ามาหาเรื่องกูนะไอ้แมท กูไม่ได้คิดอะไรกับไอ้แน๊ก สักนิดก็ไม่!”
ชัดถ้อยชัดคำมาก! ดีใจโคตรเลยวะ!
“ครับๆ กูเปล่าหาเรื่องสักหน่อย แต่ได้ยินแบบนี้แล้วชื่นใจวะ”
“อะ ไอ้บ้า”
ฮ่าๆๆ มันเขินหน้าแดงเลยครับ น่ารักโคตรๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมต้องพามันไปฝากงานนะ จะเลี้ยวรถกลับบ้านพามันไปจู๋จี๋สักยกสองยกให้หายคิดถึงเสียหน่อย
ร้านอาหารน่ารักๆสไตล์วินเทจขนาดเล็กตรงหน้าดึงดูดสายตาให้อยากจะเดินเข้าไป เป็นร้านเดียวกับที่ผมจะให้ไอ้มินทำงาน ร้านนี้อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก เดินทางง่ายและสะดวก ผมเลยไว้วางใจที่จะให้ไอ้มินมาทำ อีกอย่าง ที่นี่เป็นร้านของญาติผม เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงที่ผมสามารถฝากฝังมันได้
“ร้านนี้เหรอที่มึงจะให้กูมาทำอ่ะ” ไอ้มินมองสำรวจร้านนัยน์ตาวิบวับ
“ชอบไหม” ผมถาม ทำงานร้านแบบนี้ดีกว่าไปทำงานที่ร้านเหล้าเป็นไหนๆ
“ชอบว่ะ บรรยากาศสบายหูสบายตาดี” มันพูดยิ้มๆ ดีหน่อยที่มันชอบ เพราะทีแรกก็กังวลอยู่ว่ามันจะตกลงไหม ถ้ามันไม่ตกลงผมก็ไม่รู้จะให้มันไปทำงานที่ไหนเหมือนกัน
“เข้าไปข้างในเถอะ” ผมแตะไหล่มันนิดๆเดินเข้าร้าน พี่เอิงที่เป็นเจ้าของร้านและเป็นญาติผม พอเห็นผมก็ยิ้มกว้างและออกจากเคาน์เตอร์ตรงมาหาผม
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ ไอ้มินยกมือไหว้ตาม พี่เอิงยิ้มให้ผมกับไอ้มินอีกครั้ง
“กำลังรออยู่เลย ไปนั่งก่อนเถอะ จะดื่มน้ำอะไรดี” พี่เอิงพาผมกับมินมานั่งที่โต๊ะๆหนึ่งที่อยู่มุมในๆของร้าน แต่เป็นมุมที่เชื่อมต่อกับสวนดอกไม้ข้างๆร้าน มีลมเย็นพัดสบายๆ ริมรั้วก็มีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงกันเป็นแนวให้ความร่มรื่น ถึงร้านจะไม่เปิดแอร์ แต่อากาศก็เย็นสบายมากเพราะมีลมพัดโกรกตลอด แถมกลิ่นหอมๆของดอกไม้และกลิ่นเครื่องดื่มกับขนมยังช่วยให้บรรยากาศในร้านน่านั่งเป็นอีกเท่าตัว
“ผมขอกาแฟแล้วกันครับ เอาอะไร” ผมสั่งแล้วถามไอ้มินบ้าง
“เอาโกโก้แล้วกันครับ”
“งั้นรอแปบนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปทำให้ นั่งชมบรรยากาศร้านไปก่อน” พี่เอิงพูดแล้วก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ผมหันกลับมามองคนที่นั่งข้างๆ ที่หันซ้ายหันขวามองสำรวจร้านอย่างละเอียด
“ชอบวะ แต่งร้านสวยมาก แบบนี้ต้นหอมต้องชอบแน่เลย” ตอนนี้ใบหน้าไอ้มินมันสดใสมากครับ แม้หน้ามันจะออกคล้ำกว่าเดิมเพราะมันเพิ่งไปทะเลมาก็ตาม แต่ความสดใสมันแสดงออกมาจนผมรู้สึกได้
“อืม ไว้ค่อยพามาวันหลัง”
พนักงานของร้านที่เป็นผู้หญิงยกน้ำกับขนมมาเสริฟ เป็นฮันนี่โทรสต์ ไอ้มินทำตาโตบ่งบอกว่าอยากกินมาก
“กินเลยนะ” น้ำเสียงของมันร่าเริงอย่างกับเด็กๆ ผมพยักหน้าให้ มันก็ลองชิมทันที
“อร่อย!” มันยิ้มตาหยีใส่ผม พี่เอิงเดินมาพอดี มันรีบเอ่ยชมพี่เอิงทันที ผมยิ้มขำให้กับความน่ารักของมัน
“คนนี้นะเหรอที่จะฝากทำงานกับพี่” พี่เอิงเริ่มต้นคุยกับผม ไอ้มินเงยหน้าขึ้นจากจานขนมมองผมทีสลับกับพี่เอิง
“ครับ นี่แฟนผม” ผมพูดตามความจริง พี่เอิงดูจะอึ้งๆ แต่คนที่เป็นแฟนผมมันช็อคตาเหลือกเลยครับ มันไอเหมือนจะสำลักขนมปังที่กินไป ผมต้องช่วยตบหลังมันเบาๆ พอหายเท่านั้นแหละ มันจะเหยียบเท้าผมสองสองสามที ผมรีบชักเท้ากลับไม่ให้มันเหยียบได้อีก ผมไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างมันอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร
“นี่แมทพูดจริงเหรอเนี่ย”
“ครับ” ผมตอบเสียงหนักแน่น
“แล้วที่บ้านรู้หรือยัง”
“ยังครับ”
“อืม...” พี่เอิงหันไปมองหน้าไอ้มิน มันสะดุ้งนิดๆก่อนจะยิ้มแห้งๆ หลบสายตาไม่ยอมมองหน้าใคร
“เคยทำงานที่อื่นมาก่อนใช่ไหม งั้นก็คงฝึกไม่ยากหรอก ทำได้ใช่ไหม” พี่เอิงถามไอ้มินน้ำเสียงปกติ ผมรู้อยู่แล้วแหละครับว่าพี่เอิงจะต้องเช้าใจ เพราะผมเคยเจอเพื่อนพี่เอิงที่เป็นเกย์ในกลุ่มสองคนและทั้งคู่ก็คบกัน ผมเลยไม่คิดจะปิดบัง เพราะยังไงถ้าไอ้มินได้ทำงานที่นี่ ผมอาจจะแวะมารับบ้าง และการกระทำของผมก็อาจทำให้พี่เอิงสงสัยได้ สู้ๆบอกไปเลยดีกว่า
คนอย่างผมรักก็บอกว่ารัก ชัดเจนไปเลยง่ายกว่า
สรุปว่าไอ้มินจะมาทำงานที่ร้านนี้เย็นวันจันทร์อังคาร ศุกร์และเสาร์ทั้งวัน เริ่งงานได้วันพรุ่งนี้เลย ไอ้มินดูจะดีใจยกใหญ่ที่จะได้ทำงาน อะไรจะรักการทำงานขนาดนั้น
“ดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง”
“แน่นอน”
ผมขยี้หัวมันไปที ไอ้มินเบี่ยงตัวหนีแล้วผลักหัวผม แต่ท่ามันโคตรตลกเพราะตัวมันเตี้ยเลยต้องเขย่งถึงจะผลักหัวผมได้ ไอ้เตี้ยเอ้ย!
“ขอบคุณนะมึง” มันพูด ผมยิ้มให้มัน
“ด้วยความเต็มใจครับ”
หึหึ ไอ้แสบถึงกับเขิน น่ารักโว้ย!
“ขอโทษครับ” ผมเปิดประตูร้านพี่เอิงเข้ามาก็เจอไอ้มินกำลังขอโทษลูกค้าอยู่พอดี จากที่ดูแล้วมันคงจะเสริฟอาหารผิดโต๊ะ พี่เอิงที่พอเห็นผมก็เดินเข้ามาหา
“นี่ แมทกับมินทะเลาะกันหรือเปล่าอ่ะ” พี่เอิงถามกระซิบกระซาบ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าพี่เอิงพูดเรื่องอะไร ผมไปทะเลาะกับไอ้มินตอนไหน
“เปล่านี่พี่”
“งั้นเหรอ วันนี้มินเหม่อลอยทั้งวันเลย เหมือนคนกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอ่ะ”
ผมนั่งมองไอ้มินทำงานที่เหมือนจะไม่ได้ทำเพราะมันเอาแต่เหม่อ มันทำงานที่ร้านพี่เอิงจะได้เดือนหนึ่งล่ะ ปกติดูมันจะมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่ๆ แต่วันนี้มันดูแปลกไป สีหน้ากลัดกลุ้มเหมือนคนมีปัญหาจนผมอยากจะลากมันมาคุยให้รู้แล้วรู้รอดว่ามันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ผมก็ได้แต่ทนรอจนถึงเวลาเลิกงาน
“หิวไหม” ผมถามมัน กำลังขับรถพามันไปส่งที่บ้าน ที่จริงอยากเอามันไปนอนที่บ้านด้วยมากกว่า
“ไม่” มันตอบสั้นๆ มองออกไปนอกกระจก ผมหักเลี้ยวรถเข้าจอดที่ข้างทาง ไอ้คนข้างๆผมก็ยังคงนั่งเงียบ ไม่รู้ว่าใจมันลอยไปถึงไหนต่อไหน
“มิน”
“...”
“มิน”
“...”
“ไอ้มิน!” ผมขึ้นเสียงจนมันหันมามองผม
“อะไรวะ จะเสียงดังทำไม” มันถามกลับมา น้ำเสียงติดเหนื่อยผ ผมยกมือแตะที่หน้าผากมัน ตัวก็ไม่ร้อน แสดงว่าไม่ได้เป็นไข้
“กูเรียกมึงหลายครั้งล่ะ เป็นอะไร รู้ตัวไหมว่าวันนี้มึงทำหน้าเครียดทั้งวันเลย” มันแปลกไปแบบนี้ผมก็เป็นห่วงนะครับ
“เปล่า” ผมตอบเสียงเบา แต่ผมไม่มีทางเชื่อมันเด็ดขาด
“มีอะไรทำไมไม่บอกกู กูพึ่งพาไม่ได้เหรอ” ผมไม่ใช่คนขี้น้อยใจหรอกนะ แต่กับมันต้องเว้นไว้คน ผมอยากเป็นคนสำคัญที่มันพูดคุยกับผมได้ทุกเรื่อง
“เปล่า...คือ...ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เหนื่อยน่ะ” มันยิ้มให้ผม แต่มันจะรู้ตัวไหมว่ารอยยิ้มของมันแห้งจนไม่น่ามอง สภาพมันเหมือนต้นไม้ที่ไม่ได้รับน้ำ ดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา เมียผมที่กวนประสาทหายไปไหนวะ ใครขโมยไปเอากลับมาคืนผมด่วนๆเลย
“ถ้ามึงไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่เสียใจนะ” ที่ผมพูดไม่ใช่เพราะจะกดดันมัน แต่ผมพูดเพราะอยากให้มันเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง
“ไม่มีอะไรจริง”
ไม่เป็นไร ตอนนี้มันยังไม่อยากบอกผมก็ไม่เป็นไร ผมจะรอจนกว่ามันพร้อม ถ้าผมสำคัญจริงมันคงจะบอกผมถึงสาเหตุที่ทำให้มันดูหงอยและเศร้าแบบนี้
ผมขับรถไปส่งมันที่บ้าน มันลงจากรถแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน นหันกลับมามองผมผ่านกระจกรถ รอยยิ้มเศร้าๆของมันทำให้ผมใจหายก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในบ้าน ผมจอดรถอยู่หน้าบ้านมันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
ไอ้ตัวแสบของผมเป็นไรวะ
จิตใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันค่อยแต่จะคิดถึงเรื่องไอ้มิน รู้ตัวอีกทีผมก็ขับรถกลับมาถึงบ้านแล้ว เดินเข้าบ้านแล้วผมก็งงตัวเองมากลับมาได้ไงวะ ดีไม่รถชนตาย เฮ้อออ บ้านเงียบจังวะ ต้นหอมคงออกไปซ้อมเต้นแล้ว
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความเข้าผมเปิดอ่าน ต้นหอมส่งมาบอกว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน จะไปค้างที่บ้านไอ้ปืน สรุปคือวันนี้ผมต้องอยู่คนเดียวใช่ไหมเนี่ย
เซ็งโว้ย!
อาทิตย์หนึ่งแล้วนะที่ไอ้มินมันเป็นแบบนี้ เป็นอะไรทำไมไม่บอกทำไมไม่พูดวะ ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือใครไม่ได้นะ และที่สำคัญผมเป็นแฟนมันนะ เป็นผัวมันด้วย มันเห็นผมเป็นไม้หลักไม้ตอหรือไง
อาทิตย์ที่ผ่านมาผมแทบไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรเลย มันตื้อไปหมด ผมต้องข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้ถามไอ้มินออกไป ครั้งนี้ผมว่าผมจะไม่ถามมัน ผมจะรอให้มันเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมบ้าง ผมอยากรู้ว่าผมยังเป็นคนสำคัญสำหรับมันไหม มันถึงได้ทำกับผมแบบนี้
เราไม่ค่อยได้เจอกัน ผมยุ่งมันก็คงยุ่ง...มั้ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันทำอะไร รู้แค่ว่ามันไปเรียนแหละไปทำงานที่ร้านพี่เอิง โทรไปถามพี่เอิงก็บอกว่ามันไม่ปกติ ผมไม่รู้จะทำยังไง แต่ที่แน่ๆผมไม่ได้ทำอะไรให้มันโกรธแน่ๆ ผมคิดว่างั้น
แถมวันๆหนึ่งถ้าผมไม่โทรหามันเราก็จะไม่ได้คุยกัน เพราะไม่ไม่โทรหาผมก่อนเลย ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วตอนนี้ หรือผมควรจะถามมันดี แต่ถ้ามันไม่อยากบอก ถามไปก็คงเท่านั้น
“เฮ้ออ” ถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน
“ถ้าไม่อยากทำงานก็กลับไป ทำตัวไร้ประโยขน์” พ่อผมเองก็คงหมดความอดทนกับความเหม่อลอยไม่ใส่ใจงานของผมช่วงนี้
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจใส่พ่อ ม้วนแปลนโครงการสร้างคอนโดที่พ่อเอามาให้ผมช่วยดูเก็บ ดูไปก็ดูไม่รู้เรื่องหรอกครับถ้าใจผมยังไม่สงบแบบบนี้
“เป็นอะไร” พ่อผมวางปากกาแล้วเดินมาหาผมที่นั่งอยู่ที่โซฟา
“เปล่า แค่เซ็งๆ”
“เรื่องอะไร เรื่องต้นหอม?”
เหอะๆ ไม่แปลกใจที่พ่อจะคิดว่าผมเครียดเรื่องต้นหอม เพราะก่อนหน้านี้ชีวิตผมผูดติดกับต้นหอมทุกอย่าง เพาะต้นหอมคือคนสำคัญของผม
“เปล่า...”
“อืม แต่ตอนนี้ช่วยทำงานด้วย แยกให้ออกระหว่างเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน” พอพ่อพูดมาแบบนี้ผมเลยต้องการแปลนงานเพื่อดูอีกรอบ
ถึงแม้ว่าผมจะเรียนวิศวะโยธา ไม่ได้เรียนสถาปัตฯ แต่เพราะเข้าทำงานกับพ่อเร็ว ได้พี่ๆอาๆหลายคนสอนงานและเทรนงานอย่างหนักตั้งแต่ผมจบมัธยมปลาย ทุกวันนี้ผมเหมือนทำงานเต็มตัว เรียนช่วงกลางวันและทำงานในช่วงเย็น เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้หยุดเหมือนชาวบ้านเขา ถามว่าทำไมผมต้องทำแบบนี้ ทำไมไม่รอให้เรียนจบแล้วค่อยทำงาน
คำตอบของความยากลำบากของผมทั้งหมดในตอนนี้ก็เพราะไอ้มิน
เป็นแบบนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแม่งไม่มีความหมายอะไรเลย
คิดถึงมันโคตรๆเลยเว้ย!
ตกเย็นผมแวะไปหามันที่ร้านพี่เอิง ปรากฏว่ามันกลับไปแล้ว ผมยิ่งหัวเสียไปกันใหญ่ ขับรถไปหามันที่บ้าน ผมเจอกับน้องสาวมัน มุกบอกว่ามันยังไม่กลับบ้าน แล้วมันไปใหญ่ ผมกโทรศัพท์หามันก็ไม่ติด มันปิดเครื่อง ผมยิ่งร้อนรน แต่ต้องทำเป็นนิ่งเอาไว้ไม่อยากให้น้องสาวมันเป็นห่วง ผมรีบขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางก็คอยมองหามันไปด้วย แต่พอมาถึงหน้าบ้าน บางสิ่งบางอย่างที่หนักอึ้งอยู่ในอกเหมือนลอยหายไป
หน้าบ้านตรงรั้วมีคนนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ พอแสงไฟจากรถผมสาดไปที่มัน ไอ้มินมันก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามันซีดแล้วก็ซูบผอม ดวงตามันก็โหลจนเห็นได้ชัด ผมลงจากรถเดินไปหามัน ในใจอยากจะดึงมันเข้ามากอดให้หายกระวนการวาย
“มึง...”
แต่กลับเป็นมันที่เข้ามากอดผมเอง
“อืม...กูเอง”
ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตอนนี้ตัวมันหดเล็กลงจนน่าใจหาย ยิ่งสวมกอดแน่นขึ้นเท่าไรยิ่งรู้สึกเหมือนว่ามันจะหายไปจากอ้อมกอดผมทุกที
“มึงกลับมาช้า กูนั่งรอตั้งนาน”
ความเปียกชื้นบนอกทำให้ผมรู้ว่ามันร้องไห้
“ชู่ ขอโทษครับ อย่าร้องนะ กูกลับมาแล้วนี่ไง”
..........................................................
อย่าเพิ่งโวยวายที่มันดูเหมือนจะดราม่านะ มินมินของเรามีเหตุผลที่เป็นแบบนี้นะ อย่าเพิ่งด่าว่ามินมิน ตอนหน้าจะได้รู้แน่ๆว่ามินเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว เบื่ออ่านหนังสือสอบไฟนอลมากมาย จะตายแล้ว!!!