♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 55
Heaven is a place on earth ‘with you’
The end
[Tonhom talks]
จบแล้วสำหรับการเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก มีหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิต บางอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่บางอย่างก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ
ผมได้เรียนในคณะที่อยากจะเรียน มีเพื่อนที่น่ารัก คอยช่วยเหลือผมในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเรียนที่ผมจะต้องคอยช่วยทุกคน ซึ่งผมก็เต็มใจที่จะช่วย สอบไฟนอลที่ผ่านมาทุกคนแทบจะย้ายมาอยู่บ้านผมเพื่อให้ผมติวให้ พี่ปืนกับแมทก็คอยดูแลเรื่องอาหารการกินและของบำรุงสมองสำหรับทุกคน ส่วนพี่มิน พี่ปืนช่วยติวเรื่องสอบให้ เพราะเรียนสาขาเดียวกัน
เวลาที่พี่มินออกไปถ่ายรูปตามต่างจังหวัดแมทก็จะตามไปด้วยถ้าว่าง เพราะในหมู่พวกเรา แมทเป็นคนที่ยุ่งที่สุดแล้ว ช่วงสอบที่ผ่านมาผมเลยเลือกที่จะนอนที่บ้าน จะได้ดูแลแมทด้วย พี่ปืนก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่หอบเสื้อผ้ามาอยู่กับผมเท่านั้นเอง
ก็แหม...ถ้าพี่ปืนไม่มานอนกับผมผมคงนอนไม่หลับ ชินซะแล้วที่ต้องนอนในอ้อมกอดของพี่ปืน
นอกจากนั้น ผมยังได้เต้นได้ทำในสิ่งที่ผมรักโดยที่พ่อกับแม่ไม่ว่า ด้วยความพยายามทั้งหมด ผมก็ชนะการแข่งขัน แต่ผมและทีมจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เรายังคงนัดกันซ้อมค่อนข้างบ่อย เตรียมการเอาไว้เผื่อว่ามีการแข่งขันอีก ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ ผมอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นให้มากที่สุด เพราะถ้าเรียนจบทำงานไปแล้วก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบนี้
อีกอย่างเลยนะ นอกจากผมจะเป็นนักศึกษา เป็นนักเต้น ผมยังเป็นนักเขียนมือสมัครเล่นด้วย เพราะผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมเลยรู้สึกอยากจะเขียนหนังสือของตัวเองสักเล่ม เรื่องที่ผมเขียน....ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผมกับพี่ปืนเนี่ยแหละ พูดแล้วเขิน!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดในหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมได้พบกับคนๆหนึ่ง คนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงเพียงแค่ได้สบตา คนที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง เดินออกจากกรอบที่เคยอยู่เพื่อตามจีบผู้ชายคนหนึ่ง มานึกย้อนดูแล้ว ผมยังตลกตัวเองเลยว่าทำไปได้ยังไง ผมมีความกล้าขนาดนั้นได้ยังไง บ้าดีเดือดดีแท้...แต่ถ้าผมไม่ได้ทำแบบนั้น วันนี้ผมอาจจะต้องมานั่งเสียใจก็ได้
เพราะคนอย่างพี่ปืน ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือเลยสักนิด
ผมคิดว่าตัวเองน่าอิจฉา....
วันนี้พี่ปืนไปมหาวิทยาลัยเพื่อทำโปรเจคให้เสร็จ คาดว่าคงจะกลับดึกเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา พี่ปืนทุ่มเทกับงานนี้มาก ช่วงนี้ผมเลยไม่ดื้อและไม่ซน ไม่อยากทำให้พี่ปืนเหนื่อยเพิ่มอีก
โปรเจคของพี่ปืนเป็นงานแสดงภาพถ่ายในคอนเซ็ป ‘เหมือนฝัน’ ผมไม่เคยเห็นรูปที่พี่ปืนส่งอาจารย์เลยสักรูป พี่ปืนไม่ยอมให้ดู ผมเคยแอบค้นในคอมของพี่ปืนนะตอนที่พี่ปืนออกไปข้างนอก แต่ผมก็หาไม่เจอ ซ่อนเก่งจริงๆ แต่พี่ปืนชวนผมไปดูที่งานแล้ว ผมรับปากว่าจะไปแน่นอน เพราะงานนี้เป็นโปรเจคจบ
ไม่มีรูปไหนที่ผ่านมือพี่ปืนแล้วจะออกมาไม่สวย ผมว่างานนี้ต้องสุดยอดมากแน่ๆ อีกสี่วันก็จะถึงวันงานแล้ว ผมยังไม่มีชุดเลย ไหนๆตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ ไปหาซื้อชุดดีกว่า อย่าหาว่าผมเวอร์เลย งานของคนสำคัญอย่างพี่ปืนทั้งที ผมอยากดูดีที่สุด ^_^
ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้อง วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลย ผมอยู่คนเดียว เสร็จแล้วผมก็โทรหาแชมป์ ชวนให้ออกไปสยามเป็นเพื่อน ซึ่งแชมป์ว่างพอดี เราเลยไปเลือกซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน
“แกอยากได้ชุดแบบไหนอ่ะ” แชมป์ถามผม เราเดินเข้าออกมาหลายร้านแล้ว แต่ผมยังไม่ได้เสื้อผ้าสักตัว
“ไม่รู้สิ แกว่าฉันแต่งแบบไหนดี” ผมถาม ที่จริงผมเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมากเลยนะ แต่งานนี้คิดหนักชะมัด
“มันก็ไม่ใช่งานใหญ่อะไร ไม่ต้องใส่สูทหรอก” แชมป์ว่า
“เหอะ ก็ไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว” ใครจะไปใส่สูทไปดูงานแสดงภาพถ่ายกัน ไม่ใช่งานราตรีซะหน่อย
“แต่งยังไงก็แต่งไปเถอะ เบ้าหน้าแกดีอยู่แล้วต้นหอม คิดมากทำไมวะ”
“ก็...นะ”
ผมเดินเข้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ผมเคยมาซื้อหลายครั้งแล้ว เสื้อผ้าร้านพี่เขาสวยดี ราคาก็ค่อนข้างสูง แต่แบบเสื้อผ้าไม่ค่อยซ้ำใคร ผมเลยชอบซื้อ ซึ่งก็เดือนล่ะครั้ง ผมไม่ใช่คนติดแบรนด์เท่าไหร่ เสื้อผ้าตามตลาดนักก็ซื้อใส่บ่อยไป แฟชั่นเปลี่ยนไปเรื่อยครับ ไม่ต้องซื้อแพงมากหรอก เพราะใส่ไม่ถึงสามครั้งก็เบื่อแล้ว
เดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ค่อนวัน ปรากฏว่าผมได้ของเต็มไม้เต็มมือ ทั้งเสื้อและกางเกง ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจแล้วว่าจะซื้อไปใส่งานไหน ชอบตัวไหนผมก็ซื้อ ทั้งเสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า ผมซื้อเยอะมากๆ มีของพี่ปืน ของแมทแล้วก็ของพี่มินด้วย พวกเขาไม่ค่อยว่างมาซื้อ ไม่เป็นไร วันนี้ผมซื้อไปเผื่อทุกคนแล้ว
“โอ๊ยเหนื่อย!” แชมป์ทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ในร้านกาแฟ แต่เราสั่งชาเขียวมากินแทน
“เออ เมื่อยโคตรๆ” ตอนเดินซื้อก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ แต่ตอนนี้ล้ามากๆเลย ขี้เกียจเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว
“แกโทรตามให้พี่ปืนมารับดิ” แชมป์ว่า ผมยกแก้วชาเขียวขึ้นดื่ม หยิบโทรศัพท์ออกมา ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ปืนยุ่งอยู่หรือเปล่า แต่ผมก็ลองโทรไปดู เผื่อว่าพี่ปืนจะว่าง
[ฮัลโหล]
“พี่ปืน ทำอะไรอยู่อ่ะ” ผมถาม
[นั่งรอรูปมาส่ง] พี่ปืนตอบกลับมา
“แล้วอีกนานไหมกว่ารูปจะมาส่ง” ผมถาม เริ่มรู้สึกไม่อยากกวนพี่ปืน ผมว่าผมกลับเองดีกว่า
[ก็สักพักใหญ่ๆ มีอะไรหรือเปล่า]
“เปล่าครับ ตอนนี้หนูอยู่ที่สยาม ออกมาเดินเล่นกับแชมป์ คิดว่าพี่ปืนว่าง เลยจะให้มารับหน่อย แต่ไม่เป็นไร หนูกลับเองดีกว่า” ผมบอกยาวรวดเดียว พี่ปืนชอบตามใจผมขัดกับบุคลิคและนิสัยมากๆ ถ้าผมขอพี่ปืนต้องมารับอยู่แล้ว จะแสนดีไปไหนก็ไม่รู้ วันไหนขาดพี่ปืนไปผมแย่แน่ๆ
[จะให้พี่ไปรับไหมล่ะ] เห็นไหมล่ะครับ ว่าแล้ววววว
“ไม่เป็นไร หนูกลับเองดีกว่า พี่ปืนกลับดึกไหมวันนี้” ผมถาม แชมป์ทำหน้าเนือยๆที่ผมปฏิเสธพี่ปืน แต่มันก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะพอมีผู้ชายหน้าตาดีเดินเข้าไปในร้าน มันก็แทบไม่สนใจผมแล้ว -_-
[ไม่ดึก รอรับรูปก็กลับแล้ว กลับเองได้ใช่ไหม] พี่ปืนยังคงเป็นห่วงผม
“กลับได้ครับ แค่นี้นะ เจอกันที่บ้านครับผม”
[อืม ถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วย]
คุยกับพี่ปืนเสร็จผมก็นั่งจ้องไอ้แชมป์ที่นั่งเหม่อมองผู้ชายโต๊ะใกล้ๆ ผมมองตามสายตามัน ผู้ชายบางคนในกลุ่มนั้นมองผมกับไอ้แชมป์แล้วก็หัวเราะ ไม่รู้ว่าหัวเราะผมหรือหัวเราะคนบ้าที่นั่งทำหน้าเพ้อกันแน่
“แชมป์ จะกลับกันยัง” ผมสะกิดแรงๆ มันถึงได้รู้สึกตัว
“จะกลับแล้วเหรอ ขออยู่ต่ออีกหน่อยได้ป่ะ” แชมป์ทำหน้าอ้อนใส่ผม แต่มันน่าหมั่นไส้มากกว่า
“ได้ แต่อยู่ไปคนเดียวนะ จะกลับแล้ว” ผมบอก หยิบถุงของขึ้นมาถือ
“โหย ทำไมต้องรีบกลับด้วยว่ะ” แชมป์บ่นเบาๆ แต่ก็ยอมเดินตามผมออกมาจากร้าน
“จะรับกลับไปทำกับข้าวให้พี่ปืนกับแมท” ผมบอก เหนื่อยๆกันแบบนี้ ผมอยากจะทำอะไรให้เขาสองคนบ้าง เพราะเขาทั้งสองดูแลผมเป็นอย่างดี ผมก็อยากดูแลคนที่ผมรักบ้าง
“อื้อหือ แม่ศรีเรือนซะ แบบนี้สินะที่พี่ปืนทั้งรักทั้งหลง สอนฉันทำอาหารบ้างสิวะ เผื่อจะได้หาผัวได้กับเขาสักที”
แรง!!!
“ก็ให้แม่แกสอนสิ ยากอะไร” ผมบอก ผมก็หัดมาจากแม่ทั้งนั้นแหละ
“เออๆ งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ กลับดีๆล่ะ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย”
“อืม บาย” ทำไมทุกคนต้องมองว่าผมเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย ผมโตแล้วนะ
ผมกลับมาถึงบ้านก็ยังไม่มีใครกลับมา ผมเลยโทรบอกพี่ปืนและเอาของขึ้นไปเก็บ ของที่ซื้อมาฝากแมทกับพี่มินก็เอาไปไว้ในห้องแมท เขียนโพสอิทน่ารักๆติดไว้ให้ด้วยอีกแผ่น
-ซื้อมาฝากคุณพี่ชายกับคุณพี่สะใภ้ หาเวลาพักผ่อนกันบ้างน้า รักนะจุ๊บๆ-
ผมยิ้มให้กับข้อความก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง วันนี้พี่มินคงมานอนที่นี่ด้วย เมื่อเช้าเหมือนได้ยินแมทโทรคุยกับพี่มิน วันนี้ผมกะว่าจะทำอาหารเยอะหน่อย ไม่มีเนื่องในโอกาสอะไร อยากทำก็ทำ ผมคิดว่า การที่เรายังมีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ ทุกๆวันก็คือวันพิเศษที่สามารถฉลองได้ ทำไมเราต้องรอให้ถึงเทศกาลถึงจะค่อยทำ เวลาผ่านไปเร็ว ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต รีบทำก่อนจะได้ไม่เสียใจภายหลัง
พี่ปืนชอบกินยำผักบุ้งกรอบ ผมเอาไว้ทำทีหลัง ผักบุ้งจะได้ไม่เหี่ยว กินตอนกรอบๆร้อนๆถึงจะอร่อย งั้นผมทำต้มข่าไก่ของชอบแมทก่อน ต่อด้วยไข่ยัดไส้ อันนี้พี่มินชอบ ทุกเมนูเป็นเมนูพื้นๆ แต่ผมทำมาจากใจ มันต้องอร่อยและพิเศษสุดๆอยู่แล้ว
ไม่นานพี่ปืนก็กลับมา เหมือนพี่ปืนจะรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน เดินเข้ามาหาผมในครัวก่อนเลย
“ทำอะไรอยู่” พี่ปืนเดินมายืนข้างๆผม ผมหันไปมองก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มพี่ปืนทีหนึ่งด้วยความคิดถึง
“วันนี้ยำผักบุ้งกรอบของโปรดพี่ปืนด้วย อยากได้อะไรอีกไหม หนูจะทำให้” ผมถาม พี่ปืนส่ายหน้า
“อะไรก็ได้ หนูทำอะไรพี่ก็กินทั้งนั้นล่ะ” คำพูดธรรมดาไม่ได้หวานอะไรมากมาย แต่ทำไมถึงทำให้ผมเขินได้ก็ไม่รู้
“ถ้างั้นพี่ขึ้นไปอาบน้ำก่อน ลงมาจะได้กินข้าว”
พี่ปืนขึ้นไปอาบน้ำแล้ว สักพักแมทกับพี่มินก็กลับมาบ้าน พี่มินเดินมาหาผม ร้องว้าวทำหน้าดีใจที่เห็นอาหารมื้อนี้บนโต๊ะ ผมทำเพิ่มอีกหลายอย่างนอกจากสามเมนูก่อนหน้า มีผัดกะเพราปลาหมึกรสจัด หมูทอดกระเทียมหอมๆแล้วก็หน่อไม้ฝรั่งผัดน้ำมันหอย
“พี่หิวแล้ว กินเลยได้ไหม” พี่มินว่า ผมขำกับท่าทางของพี่มินเบาๆ
“ได้เลยครับ พี่มินไปตามพี่แมทหน่อยสิ ผมจะไปตามพี่ปืน” ผมบอก พี่มินรีบวิ่งขึ้นห้องไปตามแมท เห็นว่าจะขึ้นไปอาบน้ำก่อน ส่วนพี่ปืนเดินสวนกับพี่มินลงมาพอดี พี่ปืนเลยช่วยผมจัดโต๊ะอาหารในขณะที่ผมลงมือทอดผักบุ้ง พอแมทลงมาก็เสร็จพอดี
“ซื้อของอะไรมาเยอะแยะต้นหอม” แมทถามขึ้นกลางโต๊ะอาหาร แสดงว่าเห็นของแล้วแน่ๆ
“ชอบไหม” ผมถาม แมทพยักหน้า
“ที่จริงไม่ต้องซื้อมาให้พี่ก็ได้ พี่เกรงใจ” พี่มินก็เป็นแบบนี้ทุกที ชอบคิดมากแบบที่แมทบอก
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่มิน เราเป็นพี่น้องกันนะ”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่ไม่เคยซื้ออะไรให้ต้นหอมเลย” พี่มินทำหน้าหนักใจ
“พี่มินคิดมาก กินซะๆ ของโปรดพี่มินนี่น่า” ผมตักไข่ยัดไส้ใส่จานพี่มิน พอได้ขอโปรดพี่มินก็ลืมเรื่องของฝากไปเลย ครั้งหน้าผมต้องระวังเวลาซื้อของฝากให้พี่มินซะแล้ว ผมเข้าใจความรู้สึกพี่มินนะ แต่ผมก็แค่อยากให้คนที่ผมรักเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนเลย แค่ทุกวันนี้พี่มินทำให้แมทมีความสุข ผมก็ดีใจสุดๆแล้ว
จบมื้ออาหารเราก็มานั่งเล่นเกมส์กันในห้องนั่งเล่น ส่วนมากพี่มินกับแมทเล่นกัน ส่วนพี่ปืนนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาตัวยาว พี่ปืนเพิ่งซื้อเข้าบ้านมาไม่กี่วันเพราะตีกับพี่แมทเรื่องโซฟา ดีที่พื้นที่ห้องนั่งเล่นค่อนข้างกว้าง เลยสามารถจุโซฟาของพี่ปืนอีกชุดหนึ่งได้ แถมยังซื้อมาเข้าชุดกับของเก่าจนดูลงตัวไม่แตกแยก ส่วนผมทำอะไรเหรอ ผมกำลังนวดไหล่ให้พี่ปืนอยู่
“สบายไหม” ผมถาม มือก็นวดๆบีบๆบนไหล่กว้าง
“อืม” พี่ปืนแค่อือออในลำคอ ผมทำปากจู๋ลับหลังก่อนจะถามอีกรอบ
“หนูทำแบบนี้พี่ปืนชอบไหม” แค่อยากอ้อนครับ ไม่มีอะไร อารมณ์อยากเรียกร้องความสนใจอะไรงี้
“ไอ้แมท!!! มึงชนะมาหกตาแล้วนะ แพ้ให้กูบ้างดิ” พี่มินเริ่มโวยวายแล้วครับ แมทก็หัวเราะชอบใจใหญ่ที่ทำให้พี่มินหัวเสียได้
“มึงมันอ่อนเองมิน”
“มึงอ่ะ! ยอมให้กูชนะเลยนะ”
“ถ้ากูยอมแล้วมึงจะให้อะไร”
“ไม่ให้ แต่มึงต้องยอม!”
“เรื่อง!”
“งั้นกูกลับไปนอนบ้านนะ!” พี่มินทำท่าจะลุก แมทรีบคว้าตัวพี่มินไว้
“เออๆ กูยอมให้กูได้ มึงนี่ งอนทีไรเอะอะจะกลับบ้านตลอด”
ส่วนแมทก็แพ้ทางพี่มินตลอด ว่างั้นไหมครับ
กลับมาที่เรื่องของผมกลับพี่ปืนต่อ
“พี่ปืน...หนูนวดให้ชอบไหม”
“ชอบครับ” พี่ปืนมีปฏิกริยาตอบโต้กลับมาบ้างแล้ว แม้ว่าสายตาจะยังคงสนใจหนังสือในมือมากกว่าผมก็ตาม ผมยังคงนวดไปแล้วก็กวนพี่ปืนยามอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ บ้างครั้งพี่ปืนก็ทำเสียงขัดใจที่ผมแกล้ง ตลกดีครับ
“ถ้ากวนพี่อีกครั้งหนึ่งนะต้นหอม คืนนี้ไม่ต้องนอน!”
อุ้ย!
กลัวจังเลยยยยย!
เวลาเดินมาถึงวันงานแสดงภาพถ่ายของพี่ปืน สุดหล่อของผมออกจากบ้านไปแต่เช้าเพราะต้องไปเตรียมงาน ส่วนผมก็ค่อยออกไปดูที่งานเปิดตอนสิบโมงเช้าที่ห้องแสดงนิทรรศการของคณะนิเทศศาสตร์ คณะนี้เขาหรูมากครับ บอกเลย
“แมท แต่งตัวเสร็จหรือยัง” วันนี้ผมชวนแมทไปด้วย พี่มินไม่ได้มานอนบ้าน เพราะเมื่อคืนต้องไปช่วยจัดการบางส่วนในฐานะรุ่นน้องของเอก เขาก็ไม่ได้ใช้ให้น้องไปทำหรอกครับ แต่เห็นว่าพวกพี่มินเขาอาสาเอง เพราะพี่ก้องเพื่อนพี่ปืนพี่รหัสพี่มินก็ทำโปรเจคจบเหมือนกัน
“เสร็จแล้ว” แมทออกมาจากห้องด้วยออร่าความหล่อ
วันนี้ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ติดโบว์ที่คอสีแดงเลือดหมู กางเกงเป็นสีเดียวกับสีโบว์ และรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ม แค่นี้ผมก็พร้อมไปดูงานพี่ปืนแล้ว ส่วนแมท รายนี้ใส่อะไรก็หล่อไปหมด แค่ใส่เสื้อเชิ้ตสีส้มกับเดฟสีดำก็เท่บาดตาบาดใจแล้ว ผมดูดร็อปไปเลยเมื่อยืนข้างๆแมท -_-^
มาถึงหน้าหอนิทรรศการผมก็โทรหาพี่ปืน ใกล้ได้เวลาเปิดงานแล้ว พี่ปืนออกมารับผมกับแมท พี่มินก็เดินตามมาสมทบที่หลัง พี่ปืนหาเก้าอี้ให้ผมนั่งใกล้หน้าเวทีตอนพิธีเปิด ทำไมมันดูอลังการแบบนี้นะ สมแล้วที่เป็นมหาลัยชื่อดังของประเทศ ทำอะไรก็ดูยิ่งใหญ่ไปเสียหมด
พิธีเปิดงานจบลง ก็ได้เวลาที่นักศึกษาแต่ล่ะคน ออกมาพรีเซ้นโปรเจคของตัวเอง แต่ล่ะโปรเจคหน้าทึ่งมาก โดยบนจอโปรเจคเตอร์ จะฉายภาพแต่ๆละภาพของแต่ละคนไปเรื่อยๆจนกระทั่งทำเสนอโปรเจคเสร็จ จนมาถึงของพี่ปืน แค่เดินขึ้นเวทีทุกคนก็ปรบมือให้พี่ปืนแล้ว
“สวัสดีครับอาจารย์ที่เคารพและแขกที่มาในงานทุกคน ผมจะมานำเสนอโปรเจคของผม นั่นก็คือ ‘เหมือนฝัน’ครับ” ทันทีที่พี่ปืนพูดจบ บนโปรเจคเตอร์ก็ฉายๆภาพหนึ่ง เป็นภาพที่ทำให้ทั้งห้องจัดการเงียบกริบ ส่วนผมก็ทำได้แค่อ้าปากค้าง ลมหายใจหยุดเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้
รูปผมตอนที่กำลังจ้องมองพระอาทิตย์ตกตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน
“ทุกคนคงสงสัยว่าเด็กผู้ชายในภาพนี้คือใคร อาจจะไม่เข้าใจว่ามันตรงกับคำว่า ‘เหมือนฝัน’ ตรงไหน แล้วทำไมผมถึงเลือกเขาเพื่อถ่ายทอดความหมายของคำๆนี้ออกมา” พี่ปืนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง สายตาเด็ดเดี่ยวไร้ความกังวล ดวงตาคมเข้มที่สบตากับผมขณะที่พูด หลายคนหันมามองผมสลับกับภาพด้านหน้า
“คนในภาพนี้คือคนสำคัญสำหรับผม...” ขณะที่พี่ปืนพูด ภาพก็เปลี่ยนไปช้าๆ และทุกภาพก็มีผมเป็นตัวเอกหลักอยู่ในนั้น เหตุการณ์เก่าๆย้อนขึ้นมา ทั้งตอนที่ผมไปเที่ยวกับชมรมถ่ายภาพ ตอนที่ผมเต้น ตอนที่เราไปเที่ยวเชียงคานในวันปีใหม่ด้วยกัน และรูปตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกันไปนานมานี้
“ตั้งแต่ที่มีเขาเข้ามาในชีวิต ผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ และผมไม่คิดอยากจะตื่น ทุกวินาทีเหมือนฝันที่สวยงาม ผมคิดอยู่นานว่าจะทำงานนี้ออกมายังไง จะถ่ายทอดคำๆนี้ผ่านอะไรดีถึงจะสื่อความหมายที่ชัดเจนที่สุด และผมก็คิดได้ว่า ผมควรจะหาความหมายของมันผ่านหัวใจของผมเอง และวันนี้ผมก็เจอแล้ว...คนที่ทำให้ชีวิตผมสวยงามดั่งความฝัน ขอบคุณครับ” การนำเสนอของพี่ปืนจบลง พร้อมกับภาพสุดท้ายที่นิ่งค้างอยู่บนจอภาพ ภาพที่ผมไม่รุ้ตัวว่าถูกแอบถ่ายเมื่อไหร่ ภาพที่ผมหลับอยู่บนรถคันเก่าแต่คลาสสิคที่จอดอยู่บนถนน แสงในภาพดูอ่อนโยนและอบอุ่น ฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ดวงโตยามเย็น บนท้องฟ้ามีฝูงนกจำนวนมากบินผ่านจนมองเห็นได้ชัด
ผมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อีกทีตอนที่พี่ปืนเดินมานั่งลงข้างๆผม ผมมองพี่ปืนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา มันตื้นตันใจไปหมดจนพูดไม่ถูก ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสำคัญขนาดนี้
แบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ
“พี่ปืน...”
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้หนู พี่คงเรียนไม่จบแน่ๆ” พี่ปืนลูบหัวผมพลางยิ้มขำ ผมไมได้ยินเสียงรอบข้างแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าใครนำเสนองานตัวเองไปถึงไหน ผมรู้แค่ว่า...ผมดีใจ
ในขณะที่คนอื่นกำลังเสนอผลงาน พี่ปืนพาผมเดินออกจากงาน เดินเลี้ยวทางนุ้นทางนี่จนมาถึงโซนที่เป็นภาพของพี่ปืน ภาพของผมขนาดใหญ่ถูกแขวนเอาไว้บนผนัง ผมน้ำตาไหลเพียงแค่ได้เห็น
“พี่อยากให้หนูเห็นก่อนใคร” พี่ปืนบอก ผมกอดพี่ปืนแน่นทันที ร้องไห้อยู่กับอกพี่ปืนเพราะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ มือหนากอดตอบพลางลูบหลังผมเบาๆ
“ขี้แยจังหืม ตาบวมเดี๋ยวก็ไม่หล่อหรอก” พี่ปืนดันตัวผมออกเล็กน้อย เช็ดน้ำตาให้ผมแผ่วเบาๆก่อนจะก้มลงมาประทับจูบที่ริมฝีปากผมแผ่วเบาราวกับผีเสื้อเกาะอบู่บนกลีบดอกไม้
“พี่ปืน...ไม่เห็นบอกหนูเลย” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี มันเต็มตื้นอยู่ในอก เป็นความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าวันนี้ผมมีความสุขที่สุด
“ถ้าบอกแล้วจะเรียกว่าเซอรไพส์เหรอ” พี่ปืนยิ้มหวานอบอุ่นที่สุด อบอุ่นยิ่งกว่าอาทิตย์ดวงไหนๆ
“หนูเกือบหัวใจวายตายแล้ว” ตอนนั้นผมช็อคมากเลย ไม่คิดว่าผมจะมีค่ามากมายขนาดนั้น ถึงขนาดขึ้นไปอยู่บนจอภาพใหญ่ขนาดนั้น
“พี่มีของจะให้”
พี่ปืนล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกล่องกำมะหยีเล็กๆ ไม่ต้องบอกผมก็พอเดาได้ว่ามันคืออะไร หัวใจผมเต้นแรง และทันทีที่พี่ปืนเปิดกล่องออก ผมก็ร้องไห้โฮอีกครั้ง
แหวน...
แหวนที่ผมเคยบอกพ่อว่าอยากได้...
แหวนคู่ที่ผมอยากจะซื้อให้พี่ปืน เลยขอให้พ่อเก็บเอาไว้รอวันที่ผมเอาเงินไปซื้อ
แต่ตอนนี้มันกลับอยู่ในมือของพี่ปืน ผมจะต้องตกใจอีกกี่รอบถึงจะพอ ทำไมแหวนวงนี้ถึงไปอยู่กับพี่ปืนได้ ทำไมพี่ปืนถึงรู้...
“ขอมือหน่อยสิครับ” พี่ปืนพูดเสียงทุ้มนุ่ม ผมส่งมือให้พี่ปืน แหวนค่อยๆถูกบรรจงสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม มันพอดีกับนิ้วของผมราวกับมันถูกออกแบบมาเพื่อผมโดยเฉพาะ พี่ปืนยกมือผมขึ้นบรรจงจูบ
“พี่หมั้นเอาไว้ก่อนนะ หนูเรียบจบเมื่อไหร่พี่จะเปลี่ยนเป็นแหวนแต่งงานให้”
“พี่ปืน...”
“สวมให้พี่บ้างสิ” พี่ปืนยื่นแหวนอีกวงให้ผม ผมยื่นมือที่สั่นเทาไปรับมาถือไว้ ก่อนจะสวมให้พี่ปืนเช่นกัน ผมเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้น จังหวะที่พี่ปืนเช็ดน้ำตาให้ผม ผมได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ ปรากฏว่ารอบตัวเราไม่ได้มีแค่ผมกับพี่ปืน แต่มีคนที่มารร่วมงานยืนมองพวกเราด้วยสายตาปลาบปลื้มและต่างก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย แมทที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบ
จากที่เคยคิดว่าผมเองไม่มีค่าพอให้ใครรัก ที่ผ่านมาถึงได้ไม่มีใครจริงใจกับผมสักคน
แต่วันนี้...ผู้ชายคนนี้บอกกับผมว่าผมทำให้ชีวิตเขาเป็นเหมือนความฝัน และเขามองเห็นคุณค่าในตัวผม
ผมอยากจะบอกพี่ปืนเหลือเกินว่า...
“พี่ปืนเองก็เป็นดั่งฝันที่สวยงามของหนูเหมือนกัน”
“Doubt thou the stars are fire. Doubt that the sun doth move. Doubt truth to be a liar. But never doubt I love”
“หืม?” พี่ปืนที่นอนหนุนตักผมเลิกคิ้วถาม ในมือของเราทั้งคู่ต่างมีหนังสือกันคนละเล่ม
วันนี้เรามาเยี่ยมพี่ป่านที่โรงพยาบาล นั่งเล่นกับพี่ป่านอยู่ครึ่งค่อนวัน จนพี่ปืนได้เวลาไปเช็คสุขภาพ ผมกับพี่ปืนเลยหาที่นั่งอ่านหนังสือรอฆ่าเวลา พี่ป่านอาการดีขึ้นมากเพราะได้คุณหมอสุดหล่อคนเดิมดูแลอย่างใกล้ชิด
“จงกังขา ไฉนหมู่ดาวเจิดจำรัส ไฉนสุริยัน ยังเคลื่อนคล้อย ไฉนความจริง กลายเป็นเท็จ หากแต่อย่าได้กังขาใน...รักข้า” ผมแปลประโยคที่ผมพูดก่อนหน้านี้ให้พี่ปืนฟัง
“หึหึ อะไร” พี่ปืนยิ้มขำ กุมมือผมที่วางอยู่นอกพี่ปืนไปจูบเบาๆ
“มันเป็นกลอนรักของแฮมเลตที่มอบให้โอฟิเลียในนิยายเรื่องแฮมเลตของวิลเลียม เชคสเปียร์ หนูอ่านเจอมาแล้วชอบ ที่หนูพูด ไม่ได้แค่ท่องให้ฟังเฉยๆ แต่อยากให้พี่รู้ความหมายของมัน อยากให้พี่ปืนรู้ความรู้สึกของหนู” อยู่ๆผมก็นึกถึงบทกลอนบทนี้ขึ้นมา
“ขอใหม่อีกรอบสิ” พี่ปืนว่า ไม่ยอมเลิกจูบมือสักที ดีนะที่ตรงนี้ไม่มีคนอื่น แต่ถึงมีใครจะมาสนใจ คนไข้ที่นี้คงไม่รู้เรื่องอะไรหรอกมั้ง
“Doubt thou the stars are fire. Doubt that the sun doth move. Doubt truth to be a liar. But never doubt I love จงกังขา ไฉนหมู่ดาวเจิดจำรัส ไฉนสุริยัน ยังเคลื่อนคล้อย ไฉนความจริง กลายเป็นเท็จ หากแต่อย่าได้กังขาใน...รักข้า”
“แล้วหนูรู้ไหม วิลเลียม เชคสเปียร์ ยังกล่าวไว้ว่า Love looks not with the eyes but with the mind; And therefore is winged Cupid painted blind.”
ความรักไม่ได้ดูด้วยดวงตา แต่ดูที่ใจ นั่นเองที่กามเทพคิวปิดยิงศรรักให้คนตาบอด
“หนูรู้”