คืนนั้นหลังจากกลับมาจากบ้านผู้ใหญ่ พิทก็สวดมนต์และล้มตัวลงนอนมือก่ายหน้าผาก
“ทิวรู้สึกผูกพันกับที่นี่ยังไงบอกไม่ถูก” ทิวพูดขณะที่เขานั่งลงใกล้ๆเตียง
“ยังไง”
“ไม่รู้สิ เหมือนที่นี่เป็นบ้าน” พิทหันไปมองหน้าทิวอย่างเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าเขาก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
“เฮ้ย ประภาค รอกูด้วยสิวะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องลึก แต่แท้ที่จริงกลับแว่วมาจากด้านหลัง เขาหันหลังกลับไปมอง
ก่อนจะทำหน้าสงสัย
“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนจำกูไม่ได้” ใบหน้านั้น น้ำเสียงนั้น ท่าทางนั้น
“อ้อ โสภณ” ในที่สุดเขาก็นึกออก ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดนักเรียน ใส่กระดุมเม็ดบนถึงคอ กางเกงสีกากีถุงเท้ายาวสีขาวและรองเท้าสีน้ำตาล
“ทำไมวันนี้เอ็งมาเช้าจังวะ”
“จะมาลอกการบ้านเอ็งนี่แหละ”
“เฮ้ย วันนี้ขอคิดค่าลอกนะเว้ย เลี้ยงโอเลี้ยงร้านโกปี๊ด้วยนะเว้ย”
“เออน่า รู้หรอกว่าเอ็งนะจะไปจีบวันดีลูกสาวโกเขาน่ะ”
ทั้งคู่หัวเราะลั่น
พิทเห็นภาพเหล่านั้นจากที่ลางเลือนก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นๆ จนในที่สุดเขาก็เห็นว่าสองคนนั้นคือใคร
“นี่เอ็งรู้เรื่องที่ญี่ปุ่นจะบุกไทยหรือเปล่า”
“รู้สิ พี่ชายกูเป็นทหารนะเว้ย แต่กูว่านะ ญี่ปุ่นไม่ทำสงครามกับเราหรอก เราเป็นมิตรกันนี่หว่า”
“แล้วเราจะรบกับใครรึ”
“อังกฤษไง พี่กูบอกว่าพวกนั้นจ้องแต่จะริดรอนอำนาจอธิปไตยชาติอื่น”
“ไม่ได้นะเว้ย”
“ทำไมวะ”
“กูชอบอังกฤษ กูชอบฝรั่งเว้ย นมใหญ่ดี 555”
“ไอ้บ้า ไอ้หื่น”
เสียงเด็กหนุ่มทั้งคู่หัวเราะลั่นจนพิทได้ยินว่ามันอยู่ใกล้ๆเขารอบๆห้องนี่เอง เขาเหมือนมองภาพทั้งคู่ลงมาจากที่ไหนสักอย่างเบื้องบน
ภาพค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยจน
“เฮ้ยนั่นมัน............” สิ่งที่เขาเห็นคือเด็กหนุ่มคนที่ตัวเล็กกว่าใส่แว่นหน้าตาจีนนั่นคือทิว ส่วนเขานั่นเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังเร่งปั่นจักรยานตามหลังไล่ทิวอยู่
...
“เฮีย เฮีย ตื่นได้แล้ว” เสียงทิวปลุกเขาในเช้าอันแสนสบาย ที่นี่แทบไม่ต้องเปิดพัดลมเลย เพราะมีลมโกรกตลอดทั้งคืน จะเสียอยู่อย่างเดียวก็ที่ยุงชุมไปหน่อย
“เมื่อคือเราฝัน”
“เมื่อคืนผมก็ฝัน”
ทั้งคู่มองตากันด้วยความสนเท่ห์
ทั้งคู่เล่าเรื่องราวที่ฝันถึงและพบว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน
“เหลือเชื่อจริงๆนะเฮีย ฝันเรื่องเดียวกันได้ยังไง”
“คงบังเอิญมั้ง” พิทตอบทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีความบังเอิญในความฝัน
เช้าวันนั้นพิทอาบน้ำแต่งตัวออกไปวัดแต่เช้า เขากะว่าจะทันเวลาไปช่วยชาวบ้านถางป่าที่ล้อมโอบอุโบสถนั้นไว้
แต่เมื่อเขาไปถึงก็พบว่าป่ารกทึบเมื่อวานกลับหายไปหมด เหลือแต่เพียงตัวสิ่งก่อสร้างที่ตั้งตระหง่านอ้าแขนรอการกลับมาของเขา
“นี่นะเหรอเฮีย ที่ที่ว่า” ทิวพูด
“อ้าว เข้าวัดได้ด้วยเหรอ”
“วัดนะเฮียไม่ใช่ผับจะได้ห้ามคนอายุ 18 ปีเข้า”
“จ้า พ่อคนอายุ 18 แต่แม่ม หน้านี่ทรยศอายุไปเยอะแล้วนะ”
“โห เฮียอ่ะ”
“เย็นดีนะ” ทิวเปลี่ยนเรื่อง
“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปข้างอุโบสถที่เก่า และเต็มไปด้วยเศษอิฐเศษปูนที่ร่วงหล่อนลงมาตามกาลเวลา
“งานนี้งานช้างแน่” พิทบ่นกับตัวเอง
“มาแต่เช้าเลยนะโยม” หลวงพ่อทักขึ้นมา
“อ้อครับ พอดีกะจะมาช่วยชาวบ้านถางหญ้าเสียหน่อยน่ะครับ แต่มาถึงก็เห็นทำกันเสร็จแล้ว”
“ชาวบ้านที่นี่เขามาช่วยกันตั้งแต่มืดแล้วโยม เพราะรุ่งเช้าต้องออกไปทะเลกัน กลัวจะไม่ทัน” หลวงพ่อยิ้มอุ่นๆก่อนจะปรายตา
มองข้ามไหล่พิทไป
“ออกมาเถอะโยม ไม่ต้องกลัวอาตมาหรอก” พิทตกใจทันทีที่ได้ยินหลวงพ่อพูด
“หลวงพ่อพูดกับใครครับ”
“ก็พูดกับเพื่อนโยมนั่นหล่ะ ยืนซ่อนอยู่แบบนั้นจะไปมิดอะไร” พิทหันไปข้างหลังเห็นทิวยืนงงเป็นไก่ตาแตก
“เอ่อ หลวงพ่อเห็นเหรอครับ”
“เห็นสิโยม คู่บุญของโยมเลยนะนั่น”
ทิวค่อยๆก้าวเท้าออกมาจากเงาของพิท ก่อนจะคุกเข่าลงกราบ น้ำตาคลอ
“ผมดีใจจังเลยครับหลวงพ่อ ที่ในที่สุดก็มีคนเห็นผม”
“โยมน่าสงสารนะ ผูกมัดตัวเองไว้กับคำมั่นสัญญา กี่ปีกี่ชาติแล้วหล่ะ”
“หลวงพ่อรู้อะไรหรือครับ” พิทสงสัย
“ไว้โยมอยู่ที่นี่ไปโยมก็จะค่อยๆรู้เองหล่ะ เรื่องของโยมมันเพิ่งจะเริ่มต้น หากโยมอยากรู้อะไรก็หมั่นนั่งสมาธิตั้งสติ เขามาเพื่อเป็นสื่อนำโยมกลับไปแก้ไขอดีตแล้ว” หลวงพ่อมองมาที่ทิว
“เอาหล่ะตามสบายนะโยม อาตมาขอไปทำธุระก่อน”
แล้วหลวงพ่อก็เดินหันหลังกลับไปพร้อมกับทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง