“เอ ทำไมผู้ใหญ่บ้านยังไม่มาอีกนา นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“ทำไมเหรอ” ทิวหันมาถามได้ทีเปลี่ยนเรื่อง
“จะเข้าไปดูงานในวัด ไปด้วยกันมั๊ย” พิทเอ่ยปากชวน
“ไม่หล่ะ ขอนั่งๆนอนๆอยู่แถวนี้ดีกว่า”
“อืม ก็ได้ เดี๋ยวจะทำบุญเผื่อนะ”
หลังจากนั้นไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็ปั่นจักรยานมาหา พิทปั่นจักรยานของตัวเองตามไป ยิ่งเขาเข้าใกล้วัดมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้นเท่านั้น
ภพที่ 3 ยุวชนทหาร...
“อย่าเกียจร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์ มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน
จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็ยังพอประทังตน
อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย..”
เสียงท่องบทอาขยานดังขึ้นในหูพิท เขาปั่นจักรยานช้าลงเพื่อเงี่ยหูฟัง ตอนนี้บริเวณนี้ก็เย็นมากแล้ว แต่ทำไม แถวนี้ยังมีเหมือนพวกนักเรียนกำลังท่อลบทขยานอยู่เลย
“เฮ้ย ประภาครอกูด้วย” เสียงร้องเรียกใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพิท เขาหันไปมองตามเสียงและทันใดนั้น หางตาพิทก็เหลือบไปเห็นผู้ชายในชุดนักเรียน ใส่แว่นยิ้มให้เขาและเร่งปั่นจักรยานตามมา แต่เมื่อพิทเพ่งมองอย่างเต็มตา ภาพนั้นกลับหายไป
.
.
.
.
“คุณ คุณ มัวมองอะไรอยู่รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน” เสียงผู้ใหญ่บ้านเร่งเร้า
ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงวัดที่พิทจะต้องมาทำงาน ภายในวัดร่มรื่น พื้นดินยังเป็นพื้นทราย อุโบสถตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“หลวงพ่อท่านคอยอยู่ที่กุฏินะ”
พิทจอดจักรยานพิงไว้กับต้นหว้าต้นใหญ่ ลมเย็นพัดไหวทำให้ชายเสื้อของเขาหลุดลุ่ยพลิ้วตามลม
เขาเห็นหลวงพ่อเดินเข้ามา พิทยกมือไหว้ แต่สายตาหลวงพ่อนั้นหรี่เล็กและเพ่งมองไปที่บางอย่างด้านข้างเขา
“หลวงพ่อครับ” พิทเรียก
“หลวงพ่อ”
“อ้าวโยม” หลวงพ่อหันมามองเขา สีหน้าดูตระหนก “มาถึงนานแล้วเหรอ”
“ถึงตั้งแต่บ่ายแล้วครับ พอดีมัวแต่จัดข้าวจัดของ”
“แล้วนี่พ่อผู้ใหญ่เขาพาไปไหนมาบ้างแล้วหล่ะ”
“ก็ไปดูที่พักครับ แล้วก็มาที่นี่เลย”
“อ้าว งั้นตามอาตมามาสิโยม เดี๋ยวจะพาไปดูที่ที่จะต้องซ่อม งานใหญ่เลยหล่ะ” แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะเหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง
.
.
.
.
.
“ที่นี่แหละโยม อุโบสถหลังเก่า อายุเกือบ 100 ปี” พิทมาอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนจะรกร้าง แต่ก็ยังทิ้วร่องรอยความยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังเถาวัลย์อันรกทึบ
“เสียหายหนักตั้งแต่คราวพวกญี่ปุ่นบุกเมื่อสงครามครั้งก่อน จากนั้นมาก็ไม่มีใครดูแล นี่อาตมาส่งเรื่องไปตั้งนาน กว่าจะได้เรื่อง”
พิทเดินไปดูใกล้ๆ เขาทำได้เพียงแค่ดูรอบๆ เพราะข้างในนั้นรกเสียเหลือเกิน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้อาตมาจะให้ชาวบ้านมาถางหญ้าถางไม้ให้เรียบร้อย โยมจะได้ทำงานได้สะดวกนะ” ท่านยิ้ม
“ครับ ดีเหมือนกัน เพราะว่ากว่าคนงานผมจะตามมาก็มะรืนนู่น”
ทั้งสามคนเดินออกมาจากอุโบสถหลังเก่า หลวงพ่อยังคงเหลือบมองพิทเป็นระยะๆ
“ถ้างั้นวันนี้ผมลานะครับ” พิทยกมือไหว้ ก่อนจะจับจักรยานตัวเอง เข็นตามผู้ใหญ่บ้านมาติดๆ
“ผู้ใหญ่ครับ เมื่อกี้หลวงพ่อบอกว่าญี่ปุ่นบุก” พิทหันไปถาม
“ใช่แล้วคุณ เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ตอนสงครามมหาเอเชียบูรพา พวกญี่ปุ่นมันขึ้นฝั่งที่อ่าวชุมพรนี่แหละ เกือบแย่ ดีที่ยังมียุวชนทหารเราคอยต้าน”
“ยุวชนทหารเหรอครับ”
“ใช่ ไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟังแล้วกันนะ วันนี้คุณก็อาบน้ำอาบท่า แล้วมากินข้าวเย็นที่บ้านผมนะ”
พิทกลับมาถึงบังกะโลก็มืดค่ำ เขาเดินไปเปิดไฟมองหาทิว ไม่มีทิวในห้อง เขามองไปที่ระเบียงอีกครั้งก็ไม่พบ
“หายไปไหนของเขานะ”
.
.
.
“เฮีย” เสียงทิวทำให้พิทสะดุ้ง
“เฮ้ย ตกใจหมด หายไปไหนมาวะ”
“ไปหลบมา”
“หลบ? หลบอะไร”
“ทิวเห็นน่ะเฮีย เห็นนางนาคนั่น”
ทิวทำพิทขนลุก
“เห็นเหรอ ที่ไหน ที่ไหน”
“ตอนที่เฮียปั่นจักรยานออกไป ทิวเห็นเขาเดินตามหลังเฮียไป ทิวจะร้องเตือนแต่ แต่ เขาหันมาถลึงตาใส่ทิว”
“โธ่เว้ย.............” พิทเผลอสบถออกมา
“ทิวขอโทษ”
“เปล่า เฮียไม่ได้โทษทิว”
เขาทรุดลงนั่งกับพื้น รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“เฮีย เฮียไม่ต้องกลัวนะ ทิวจะดูแลเฮียเอง” มือของทิววางบนบ่าเขา
“ดูแลตัวเองเถอะ” พิทตั้งใจจะแหย่เล่นแต่ดูเหมือนทิวจะไม่เล่นด้วย
[/b]