ค่ำวันนั้นพิทเดินกลับไปยังห้องที่ร่างอันไร้วิญญาณของทิวนอนอยู่ เขาจำใจต้องรับปากทิวเพราะอยากรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงที่ผ่านมา
“เคาะประตูสิ เดี๋ยวแม่ทิวก็มาเปิด”
พิทเคาะประตูตามคำสั่ง ไม่นาน หญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าอมทุกข์ก็เดินออกมาเปิดประตูด้วยแววตาสงสัย
“สวัสดีครับคุณแม่” พิทยกมือไหว้
หญิงแก่รับไหว้ “มาหาใครเหรอคะ”
“เอ่อ ผมเป็นเพื่อนทิวน่ะครับ”
“อ้อ เพื่อนทิวเหรอลูก” เธอเชื่ออย่างสนิทใจ “เข้ามาก่อนสิลูก ช่วงหลังๆมานี้ไม่ค่อยมีเพื่อนทิวมาเยี่ยมเลย”
เธอเดินพูดไปพลางจัดแจงที่นั่ง
“นั่งก่อนสิลูก”
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาบอกอะไรบางอย่าง” เขากระอักกระอ่วนใจที่จะพูด
“เอ่อ ผมจะมาขอ................”
“มาขอทิวครับ”
พิทโพร่งออกมาตรงๆจนแม่ทิวแสดงสีหน้างุนงง
“อะไรกัน”
“คุณเชื่อผมเถอะนะครับ ผมเจอทิว ทิวเขามาขอให้ผมพาเขาไปอยู่ด้วย เพราะเขาเชื่อว่าผมสามารถทำให้เขาฟื้นได้”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ” เสียงของเธอเริ่มแข็งกร้าว
“ทิวเขาบอกว่า..............”
“จะให้ฉันยกลูกของตัวเองให้ใครก็ไม่รู้ได้ยังไง”
“แต่..............”
“ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรจากเราสองแม่ลูก แต่ฉันไม่มีทางยกลูกชายให้ใครหรอก ถึงเขา
จะ..........”
“แต่คุณครับ ทิวบอกผมว่า............”
“ออกไป ฉันบอกให้ออกไปไง”
“ทิวบอกว่า ทิวขอบคุณสำหรับวันนั้น” พิทยังคงพูดแทรก
“พูดอะไรของเธอ ออกไป๊” หล่อนถลาเข้ามาคว้าแขนพิท ก่อนจะทั้งดึงทั้งลากเขาให้ออกไปจากห้อง ปากก็พร่ำแต่ไล่ให้พิทไปไกลๆ
“อย่ามาพูดจาเหลวไหลที่นี่ ฉันไม่อยากฟัง”
“ออกไป แล้วอย่ากลับมาอีกนะ ออกไป” หล่อนพยายามจะปิดประตู แต่พิทก็ยังฝืนเอามือดันไว้
“คุณฟังผมก่อน แค่ประโยคเดียวเท่านั้น”
“ไม่ ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ออกไป” หล่อนดันประตูจนสุดกำลัง
“ทิวบอกว่า เขาขอบคุณสำหรับเสื้อที่คุณปักให้เป็นชื่อเขาในวันที่เขาต้องไปปฐมนิเทศ” พิทยังคงพยายามดันประตูไว้
“คุณบ่นน้อยใจเพราะทิวไม่ยอมใส่ คุณคะยั้นคะยอให้เขาใส่ และคุณก็ร้องไห้ ทิวบอกว่าเขาขอโทษ ที่เขาไม่ใส่เสื้อตัวนั้นไม่ใช่เพราะเขาอาย แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้มันเก่า ไม่อยากให้ตัวหนังสือที่คุณปักให้มันซีดจาง เขารักคุณมากนะครับ”
สิ้นเสียงของพิท แม่ของทิวก็ทิ้งตัวลงกับพื้นเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮ
“โธ่ ทิวลูกแม่.................................”