Lesson 65
( Kim Part )
“เฮ้ย นายน่ะจะรีบกินไปไหนนั่งคุยกันก่อนดิ” ไอ้บ้าบาสนั่นมันพูดใส่ผมครับ แม่งจะอะไรกับผมนักหนาก็ไม่รู้
“นายมีอะไรกับเราเนี่ย เราจะรีบกินจะได้รีบไปนอน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ผมบอกเหตุผลไป
“โอ้ย นอนเลยนะเว้ยไอ้บาส ฮ่าๆๆๆ” ไอ้พวกเด็กเวรพวกนี้นิ พ่อจะไม่ทนแล้วนะ
“จังไรไอ้สัดนัท” ไอ้บาสด่าเพื่อนมัน
“เอ้า กูพูดจริงๆนี่หว่า ก็น้องเค้าจะนอน...” ไม่ไหวแล้วนะมึงไอ้พวกผีนรก
“พวกแกหุบปากสวะๆของพวกแกซะเลยนะ ไอ้พวกห่านี่”
“เฮ้ย อะไรวะน้อง ด่าแรงไปป่าวพี่แค่แซวๆเล่นกันเอง” ไอ้นัทเด็กเวรนั่นพูดหน้าเซ็งๆใส่ผม แล้วก็บ่นงุ๊งงิ๊งอะไรของมันไม่รู้
“เรียกกูน้อง น้องเนี่ย พวกมึงอายุเท่าไรกันไม่ทราบ”
“19-20 กูโตสุด” ไอ้บาสพูดขึ้น
“เออ งั้นก็ฟังให้ชัดๆกูเนี่ยรุ่นพี่พวกมึง ใครกันแน่ที่จะต้องเป็นน้อง” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“พูดเป็นเล่น หน้าอย่างเงี่ยไม่เกิน 18 หรอก อย่ามาอำว่ะ”
“อำพ่อ อำแม่มึงอ่ะสิ อายุกูเนี่ยมีผัวเป็นตัวเป็นตนมาแล้ว” ผมพูดไปใส่อารมณ์อย่างเต็มที...แต่เวรกรรมกูพูดอะไรไปเนี่ย
“อูย แม่งมีผัวแล้วด้วยว่ะ” ไอ้โง่คิมมมมมมมมมม!!!!!!! มึงพูดอะไรออกไปเนี่ย
“เฮ้ย มีผัวแล้วจริงๆหรอวะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
“เคยมีเฉยๆเว้ย...เอามานี่” ผมแย่งเหล้าในมือไอ้บาสกินแก้เขินแม่งเลย
“เอ้าๆ เบา เดี๋ยวก็เมาตายหรอกพี่กระดกขนาดนั้น” ไอ้บาสว่าแต่ผมหาได้สนใจไม่
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วพี่ นั่งเลยดีกว่าว่ะมา” มันไม่พูดเปล่ากระชากผมลงไปนั่งด้วยผมก็เลย เลยตามเลยไปจนกระทั่งเมาได้ที่คำถามในวงเหล้าก็เริ่มมาครับ
“พี่คิมย้ายมาจากไหนครับพี่” ใครถามว่ะ แต่ชั่งแม่งเถอะนาทีนี้กูตอบอย่างเดียว
“จะพูดให้ถูกต้องบอกว่า กูไปอยู่ไหนมาเว้ยเพราะว่ากูอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“จริงหรอพี่ ผมเข้ามาอยู่ก็เห็นมันร้าง ผมคิดว่าไม่มีคนอยู่แล้ว” ไอ้บาสพูด
“อื้อ พอดีกูย้ายไปอยู่กรุงเทพน่ะ แม่กูป่วยเค้าห่วงกู เค้าเลยฝากกูให้ไปอยู่กับเพื่อนเค้า จนเค้าเสียนั่นแหละ” จะว่าไปพอคิดถึงเรื่องแม่ปกติผมจะร้องไห้ แต่นี่ผมคงโตขึ้นผ่านอะไรมาเยอะ ผมถึงทำใจได้และต้องใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง...คนเดียวให้ได้
“อ๋อ แล้วผัวเอ้ยแฟนพี่อ่ะ” ไอ้นัทถามต่อทันที
“แค่เคยมีน่ะ” ผมพูดแล้วก็ยิ้มๆ
“ถ้ากูเดานะเว้ย พี่คิมแม่งหนีผัวกลับมาบ้านชัวร์ ไม่ก็เลิกกันอ่ะ” บาสว่า
“ไอ้สัดปากเสียนะมึง...พี่อย่าไปถือมันเลย มันเมาแล้วก็อย่างเงี่ยแหละ ไม่เหลือมาดเท่ๆอย่างเมื่อหัวค่ำหรอก”
“อือ มันพูดไม่ผิดหรอก” ผมบอกมันพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากไปอีก รอบนี้อึดจังเว้ยกู เป็นสิบแก้วแล้วยังไม่ล้มเลย
“เห็นไหม กูบอกแล้ว...แล้วเลิกทำไมอ่ะพี่” ไอ้บาสมึงนี่แม่งเหมือนเด็กสอดรู้สอดเห็นจริงๆเลย สันดารแม่งขัดกับหน้าหล่อๆของมันจัง
“ก็นะ เหตุผลส่วนตัวน่ะ” ผมไม่พูดมากกว่านี้พวกมันคงเข้าใจว่าผมไม่อยากเล่า
“แล้วถ้าแฟนพี่มาขอคืนดีพี่จะกลับไปหาเค้ามั้ย” ผมเงียบไปชั่วขณะ ไม่พูดอะไรทั้งสิ้นกินเหล้าแก้วสุดท้ายจบก็ขอลาดีกว่า
“กูไปนอนละ เจอกันพรุ่งนี้”
“ไม่นอนนี่เลยล่ะพี่ เดินกลับถูกหรอ” ไอ้นัทพูด
“โถ ไอ้พวกเด็กเมื่อวานซืน รู้จักกูน้อยไปซะแล้ว...กูไปละ” พูดจบผมก็เดินออกมาจากบ้านไอ้บาสแล้วก็ไปบ้านตัวเองซึ่งมันติดกันครับ ผมมีอาการมึนนิดๆไม่ได้เมามาก แต่คำพูดคำจาอาจจะรุนแรงไปนิด ก็นะอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็ต้องพูดแบบนั้นแหละ
พอเข้ามาถึงบ้านหัวถึงหมอนมันก็นอนไม่หลับ มองดูนาฬิกาก็จะตีสามแล้ว ก๊งไปก็เยอะแต่ทำไมไม่ค่อยจะเมาเลย ปกติของพวกนี้ผมแค่ลิ้นแตะก็แทบจะไม่รู้เรื่องแล้วแท้ๆเชียว...พยายามนอนให้หลับมันก็ไม่หลับ แถมสมองยังไปคิดถึงแต่คนๆนั้นอีก ไม่ได้นะ เราจะเดินถอยหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น คิดไปคิดมาน้ำตามันก็ใหลมาเอง......ถึงจะอยากลืมยังไงแต่ผมก็ยังคิดถึงคุณอยู่นะ...พี่โชว์
( Fear Part )
“เฟียร์พี่ว่าทำกับข้าวไปหาไอ้โชว์กันอีกเถอะ” พี่วินพูดขึ้นหลังจากที่เรากินข้าวเช้าด้วยกันเสร็จ
“ก็ดีเหมือนกัน เฟียร์รู้สึกเป็นห่วงพี่โชว์จัง นี่มันก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้วนะ ทำไมทุกอย่างมันเหมือนแย่ลงไปเรื่อยๆก็ไม่รู้” ผมพูดจริงๆ ตั้งแต่วันที่ผมกลับมาจากเชียงใหม่กะจะไปหาคิมพอไปถึงปรากฎว่าพี่โชว์สภาพไม่ต่างกับศพที่เดินได้ ไม่มีชีวิตชีวา ซักไปซักมาก็ได้ความว่าพี่โชว์เลิกกับคิมแล้ว เพราะคิมต้องการอิสรภาพในแบบของเค้า แต่ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าคนอย่างพี่โชว์ทำไมถึงยอมง่ายๆ
“ก็คนที่รักมากขอเลิกเป็นพี่พี่ก็เศร้า” ไม่ต้องมาทำตาหวานซึ้งเลย
“เออ แล้วจะทำอะไรให้ดีล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเลยครับ
“เฟียร์...เฟียร์จะอยากเลิกกับพี่แบบคิมหรือเปล่า” น่านไง จนได้
“ทำไมถึงถามแบบนี้” ผมถามกลับไปบ้าง
“…”
“ไม่ตอบแบบนี้หมายความว่าไง...ถ้าเฟียร์จะเลิก เฟียร์ไม่ทนอยู่จนทำงานแล้วแบบนี้หรอกนะ แล้วอีกอย่างพี่วินก็ไม่ได้ทำร้ายเฟียร์แบบที่พี่โชว์ทำกับคิมด้วย”
“เข้าใจแล้วครับที่รัก”
“เข้าใจก็ดีแล้วเฟียร์ไปทำกับข้าวให้พี่โชว์ก่อน”
“อย่าลืมทำเผื่อเราสองคนนะครับ”
“รู้แล้วน่า” จากนั้นผมก็เข้าครัวทำกับข้าวจนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเราก็ออกเดินทางกัน
“ไอ้โชว์ กูกับเฟียร์จะไปแดกข้าวด้วย ไม่ต้องเสือกแดกก่อนล่ะ” เฮ้อ คำพูดคำจายังคงเสมอต้นเสมอปลายจริงๆตั้งแต่ตอนเรียนยันเป็นท่านประธานระดับสูงกันทั้งคู่แล้วแท้ๆ
“เฮ้ย ไงหิวไหมมึง” พอก้าวเข้าห้องพี่โชว์พี่วินก็ทักทายตามประสาเพื่อนทันที
“ไม่เท่าไรว่ะมึง พวกมึงกินก่อนเลยงานกูยังไม่เสร็จ”
“กินก่อนเถอะพี่ พี่ส่องกระจกดูตัวเองบ้างหรือเปล่าว่าสภาพตัวเองเป็นยังไง อย่าเอาแต่ทำงานสิต้องดูแลตัวเองด้วย” เมื่อผมพูดพี่โชว์ก็หยุดมือแล้วยอมลุกมากินข้าวด้วย...แต่บรรยากาศมันก็ดูเหงาๆเพราะขนาดพี่วินชวนคุยนั่นคุยนี่พี่โชว์ยังถามคำตอบคำเลย ผมก็ได้แต่สงสารไม่รู้ว่าจะทำยังไงผมแอบรู้มาว่าพี่โชว์เอาแต่ทำงานๆ ขนาดขนกลับไปทำที่บ้านจนดึกจนดื่น ขอบตาก็ดำปิ๊ดปี๋หยั่งกับหมีแพนด้า
“พี่วิน เฟียร์ว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วแหละ” ผมกระซิบบอก
“พี่เห็นด้วย”
“งั้นตกลงตามนี้” คงต้องลองกันสักตั้ง!!!