“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 20
[ตอนจบ]
คนเจ็บที่เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อสิบห้านาทีก่อนนอนหลับตานิ่งๆ ปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอย มีคุณสงครามยืนมองอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง
เขตแดนเชื่อว่าธรณ์ย่อมมีเหตุผลในการกระทำ แต่ทำไมเขายังหาเหตุผลที่ธรณ์จากไปไม่เจอ
โกรธกันจนไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าเชียวหรือ? อย่างน้อยก็น่าจะบอกเขาซักนิดว่าจะไป อย่างน้อยก็น่าจะรอเขารู้สึกตัวก่อน อย่างน้อย...
ความคิดของเขตแดนถูกขัดจังหวะลง เมื่อคุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามา เขตแดนนอนนิ่งๆ ให้คุณหมอตรวจบาดแผล จิตใจยังพะวงถึงคนที่จากไปโดยไม่ล่ำลา เสียงคุณสงครามที่ซักถามอาการกับคุณหมอไม่ได้เขาหูเขาเลยซักนิด
“เอาล่ะครับ เดี๋ยวนอนพักดูอาการอีกซักสามวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ”
“ครับ ขอบคุณคุณหมอมากเลยครับ”
“งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”
คุณสงครามเดินไปส่งคุณหมอที่ประตู เสร็จแล้วก็เดินกลับมานั่งข้างเตียงลูกชาย ร่างสูงใหญ่ในชุดคนป่วยดูซูบลงไปเยอะจนผู้เป็นพ่ออดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็นลูกชายป่วยบ่อยนัก
“เขตต์...”
“ครับ?”
คุณสงครามสูดลมหายใจเข้าปอดแน่น เขารู้ว่าเขตแดนมีวุฒิภาวะมากพอ แต่บางทีเขาก็ยังกลัวการตัดสินใจของเขตแดนอยู่ ถึงแม้เขาจะเป็นคนเลี้ยงดูเขตแดนมาเองกับมือ แต่เขาก็เลี้ยงได้แค่ตัว ส่วนหัวใจก็ต้องให้เจ้าของเป็นคนกำหนดเอง
“เขตต์ยังเป็นลูกของพ่อเสมอนะ” เขตแดนเบือนหน้ากลับมามองผู้เป็นบิดา แม้จะรู้สึกแปลกๆที่คุณสงครามไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดเขา แต่การได้รับรู้ความจริงในตอนที่อายุย่างเข้าสามสิบ เลยไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตกใจแม้แต่น้อย มันฟังดูเหมือนละคร แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะยอมรับมัน เรื่องราวต่างๆ ที่รับรู้มา ทำให้เขาไม่อยากจะยึดติดกับอะไรให้ใจต้องเป็นทุกข์อีก
“แล้วพ่อรู้ไหมครับ ว่าพ่อจริงๆ ของผมเป็นใคร”
“เป็นเพื่อนนักศึกษารุ่นเดียวกับพ่อ แต่เขาเสียไปแล้ว ถ้าลูกอยากเจอ...” คุณสงครามเอ่ยยังไม่ทันจบ เขตแดนก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีพ่อก็เพียงพอแล้ว”
ถึงจะไม่ใช่พ่อที่แท้จริง แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขตแดนกล้าพูดได้เลยว่า คุณสงครามทำหน้าที่พ่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย และสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเลยไป เขาก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นอะไรอีก มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปขุดคุ้ยหาอดีต ให้ทุกอย่างมันจบลงเท่านี้ก็พอแล้ว
“ถ้าหายดีแล้วอยากไปเยี่ยมแม่เราก็บอก พ่อจะพาไป”
“แม่...จะได้ออกมาไหมครับ”
จะดีจะชั่วอย่างไร แม่ก็คือผู้ให้กำเนิด คือผู้ให้ชีวิต ถึงอย่างไรเขาก็ตัดไม่ขาด
“ข้อหาพยายามฆ่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเขาทำตัวดี ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
เขตแดนถอนหายใจออกมา แม้จะสงสารคุณเขมจิรามากเพียงใด แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย ถึงอย่างไรคนทำผิดก็ต้องรับโทษ
เขาเคยคิดว่าหลังจากพายุร้ายผ่านพ้นไป ท้องฟ้าจะสว่างสดใส แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ในเมื่อแสงสว่างในชีวิตของเขาหายไป
“ตอนแรกพ่อกลัวว่าเขตต์จะเสียใจ ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของพ่อ”
“ก็มีเสียใจบ้าง เพราะผมเชื่อมาตลอดว่าพ่อเป็นพ่อของผม”
“ถึงวันนี้พ่อก็ยังเป็นพ่อของลูกอยู่เสมอ พ่อ...ไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกับลูก ก็สามารถเป็นพ่อของลูกได้ พ่อรักลูกนะ”
เขตแดนยกมือขึ้นไหว้คุณสงคราม ที่เอื้อมมาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยน ถึงจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว...ลูกก็คือลูกอยู่วันยังค่ำ
“ผมรู้ครับ ไม่งั้นพ่อคงบอกความจริงผมตั้งแต่วันที่พ่อรู้แล้ว” เขตแดนเอ่ยปนเสียงหัวเราะหน่อยๆ
“เดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลแล้วก็กลับไปอยู่บ้านเรากันนะ”
เขตแดนหันมาสบตาคนเป็นพ่อนิ่ง เฝ้าทบทวนว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ตามพินัยกรรมอยู่อีกหรือไม่ ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตนเองเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณสงคราม ถึงได้กล้ารับความไว้วางใจที่คุณธีรยุทธมอบให้ แต่บัดนี้ เขากลับเป็นเหมือนคนนอก แม้สำหรับคุณสงครามเขาจะยังเป็นลูกอยู่เสมอ แต่คนนอกอย่างเขาที่ไม่ได้เกี่ยวพันอะไร มีสิทธิ์ในสมบัติและอำนาจของอิสรพัฒน์ด้วยหรือ?
“ธรณ์...เขาจะไม่กลับมาจริงๆหรือครับ”
“ธรณ์บอกพ่อว่าจะกลับไปเรียนต่อ และมันก็เป็นหน้าที่ของเขตต์ที่ต้องดูแลทุกอย่างของอิสรพัฒน์ตามพินัยกรรม”
“ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปดูแล...” เขตแดนเอ่ยเสียงเบา
บทจะคิดเล็กคิดน้อย ลูกชายคนเดียวอย่างเขตแดนก็ทำได้ดีไม่แพ้ใคร โชคดีที่คุณสงครามเลี้ยงดูเขตแดนมาและรู้จักอุปนิสัยของลูกชายเป็นอย่างดี ถึงได้รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรให้เขตแดนเข้าใจและยอมรับได้
“ถึงยังไงเขตต์ก็ต้องดูแลอยู่ดี ไม่มีธรณ์แล้ว เขตต์จะให้ใครเป็นประธานบริษัท ถ้าไม่ใช่เขตต์” คุณสงครามเอ่ยถามลูกชายเสียงเรียบๆ
เขตแดนเองก็นิ่งงันไป พินัยกรรมของคุณธีรยุทธระบุให้เขาเป็นประธานบริษัทก็จริง แต่นั่นก็จนกว่าธรณ์จะอายุครบยี่สิบห้า เขายอมรับว่าพอรู้ความจริงก็เกิดตะขิดตะขวงใจ อยากจะยกตำแหน่งประธานบริษัทคืนให้ทายาทที่แท้จริงโดยเร็ว ไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นเพียงคนนอก แต่ในเมื่อคนที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมหนีไปไกลถึงอีกซีกโลกแล้ว ความรับผิดชอบมันก็ตกเป็นของเขาเต็มๆ
“พ่ออย่าบอกนะว่า...ที่ธรณ์ไปเพราะอยากให้ผมเป็นประธานบริษัทต่อไป”
“ลูกชายพ่อฉลาดเสมอ” คุณสงครามตอบก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ
“เขาคิดว่าผมเป็นเด็กเหมือนเขาหรือไง ถึงจะได้งอแงปัดความรับผิดชอบ”
“เขตต์กล้าพูดไหมล่ะ ว่าลูกไม่ได้คิดจะสละตำแหน่งประธานบริษัทคืนให้ธรณ์ก่อนกำหนด”
คุณสงครามดักคอลูกชายอย่างรู้ทัน เลี้ยงดูกันมาหลายสิบปี ถ้าไม่รู้จักลูกชายตัวเองดี จะให้ไปรู้จักใครที่ไหนกัน พอเห็นเขตแดนเงียบไป ก็นึกรู้ทันทีว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด เขตแดนบางทีก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเกินไป ไม่อยากยอมรับอะไรที่ไม่ใช่สิทธิ์ของตนเอง หารู้ไม่ว่าเจ้าของสิทธิ์เขาเต็มใจมอบให้
“ตอนที่ทำพินัยกรรม ยุทธเขารู้แล้วว่าเขตต์ไม่ใช่ลูกพ่อ แต่เขาก็ยังกล้าฝากอิสรพัฒน์และลูกชายคนเดียวของเขาให้เขตต์ดูแล มันไม่ได้เกี่ยวกับความใกล้ชิดอะไรเลย ทุกอย่าง...เพราะเขาไว้วางใจในตัวลูก ไม่ใช่เพราะลูกเป็นลูกของพ่อ อย่าลืมนะ...ว่าเขตต์ยังเป็นผู้ปกครองของธรณ์อยู่”
ถ้อยคำของพ่อ เปรียบเสมือนแสงที่สว่างวาบที่ปลายอุโมงค์ ให้คนป่วยได้กระตุกยิ้มออกมานิดๆ
“ผมบอกพ่อแล้วใช่ไหมครับ ว่าผมรักธรณ์” “พ่อรู้ และพ่อก็จะไม่ขัดขวาง ขออย่างเดียว...อย่าทำให้น้องเสียใจ”
“พ่อจะไม่เสียใจใช่ไหม ถ้าทั้งผมและธรณ์จะไม่สามารถมีทายาทได้”
“พ่อจะไม่บังคับเขตต์ และพ่อก็จะไม่บังคับธรณ์ บทเรียนจากอดีตก็ทำให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ พ่อกับยุทธถูกผู้ใหญ่กีดกัน แล้วสุดท้ายเป็นยังไง ทำตามที่หัวใจของลูกต้องการเถอะ”
ริมฝีปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม...หัวใจเราเคยเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน คงไม่ช้าไปใช่ไหม ถ้าจะทำให้มันกลับมาเต้นพร้อมๆ กันอีกครั้ง
“ธรณ์เขาฝากพ่อมาบอกผมเองนะครับ ว่าอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างเป็นของผม” เขตแดนเอ่ยพร้อมกับกระตุกยิ้มร้าย
คุณสงครามพยักหน้ายิ้มๆ เห็นใบหน้าที่หมายมาดของลูกชายแล้วก็พลอยยินดี ลูกชายคนเดียวที่เขาภาคภูมิใจ เขตแดนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เขตแดนอาจจะยอมให้ธรณ์ได้มีอิสระบ้าง แต่เขารู้ตัวดี...ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยธรณ์ไปจากอ้อมกอดของเขาอีกแล้ว
เขาปล่อยให้นกน้อยออกไปบินเที่ยวเล่นอยู่นาน ถึงเวลาที่จะต้องพากลับรังเสียที
ถูกแล้ว! มันเป็นรัง ไม่ใช่กรงที่กักขัง แต่เป็นรังที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความรัก เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถอะธรณ์ หายดีเมื่อไหร่ เขาจะไปพาเจ้านกปีกกล้าขาแข็งนั่นกลับมาด้วยตัวเอง====================
‘ธรณ์แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไป?’
ชายหนุ่มยิ้มให้กับผู้เป็นลุง แม้มันจะเป็นยิ้มที่ฝืดเฝื่อนก็ตามที
‘ครับ ถ้าธรณ์ไม่ไป พี่เขตต์อาจจะไม่ยอมเข้ามาบริหารบริษัท เขาคงจะต้องยัดเยียดให้ผมรับตำแหน่งประธานบริษัทแน่ๆ เพราะเขาจะต้องคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ แต่ถ้าธรณ์ไม่อยู่...ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับผิดชอบมัน’
‘ความจริงธรณ์ลองพูดกับพี่เขาก่อนก็ได้นะลูก หรืออย่างน้อยก็รอให้พี่เขาฟื้นก่อน จะได้ล่ำลากันก่อนจะไป’ คุณสงครามพยายามทักท้วงหลานชาย
‘ไม่ได้หรอกครับ ธรณ์ตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโทด้วย ต้องรีบไปเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ’
ถ้อยคำที่บอกไป คงมีแค่เจ้าตัวที่รู้ดีว่ามันเป็นข้ออ้าง เขารู้ว่าถ้าเขาอยู่จนเขตแดนรู้สึกตัว คงไม่ได้ล่ำลากัน เพราะเขาคงทำใจที่จะจากไปไม่ได้ แม้ไม่อยากจากไป แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ
ธรณ์คงอยู่ต่อเพื่อรอดูเขตแดนคืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาให้เขาไม่ได้ เขาไม่ได้อยากอยู่เหนือเขตแดน เขาไม่ได้อยากเป็นประธานบริษัท เขายังไม่พร้อม และเขาก็มองไม่เห็นใครที่จะเหมาะสมไปกว่าเขตแดนอีก จะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ธรณ์ก็เลือกจะที่ให้เขตแดนเป็นคนดูแลสิ่งที่พ่อของเขาสร้างมากับมือ
ยิ่งได้ทำงานใกล้ชิดกัน ธรณ์ยิ่งรู้ว่า เขายังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งประธานบริษัทจริงๆ ต่อให้เขาอายุครบยี่สิบห้าตามพินัยกรรม เขาก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี เขาไม่อยากเสียคนดีๆอย่างเขตแดนไป เขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเองและเห็นแก่บริษัท อยากให้เขตแดนอยู่บริหารบริษัทของเขาต่อไป และอย่างน้อย...มันก็เป็นสิ่งที่ผูกมัดให้เขตแดนอยู่ในสายตาเขาไปนานๆ เพราะธรณ์ไม่รู้เลยว่า ถ้าไม่ได้เป็นประธานบริษัทแล้ว เขตแดนจะเลือกแนวทางชีวิตของตนเองอย่างไร
‘ถ้าตัดสินใจดีแล้ว ลุงก็จะไม่ห้าม ไปอยู่ที่นั่นก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะลูก’
ธรณ์เงยหน้ามองผู้เป็นลุงเต็มตา ลุงครามยังเป็นลุงครามเสมอ ไม่เคยเปลี่ยน ยังห่วงเขาอย่างไรก็ยังเป็นเหมือนเดิม แค่เพราะความไม่มั่นใจแท้ๆ ที่ทำให้เขาระแวงในความรักของลุงคราม
‘ขอธรณ์กอดลุงครามได้ไหมครับ’
คำตอบคืออ้อมกอดอบอุ่นที่รัดร่างธรณ์ไว้แนบแน่น สัมผัสที่คุ้นเคยและห่วงหา เหมือนวันที่เขาจะถูกส่งไปเข้าโรงเรียนประจำที่อังกฤษ วันนี้ก็คงไม่ต่างกัน แต่คราวนี้...ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน กว่าจะได้กลับมาหาอ้อมกอดนี้อีก
‘ลุงและพี่เขตต์รักธรณ์เสมอ แค่ธรณ์ไม่โกรธในทุกอย่างที่เกิดขึ้น ลุงก็ดีใจแล้ว’
‘ถ้าธรณ์โกรธ มันก็คงไม่สิ้นสุดซักที ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่แล้ว แต่ธรณ์ขออะไรอย่างได้ไหมครับ’
‘อะไรหรือลูก...’
‘ลุงครามช่วยเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้ธรณ์ฟังได้ไหม’
คุณสงครามทอดสายตาออกไปไกล หวนคิดถึงอดีตที่แม้จะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำเสมอ อดีตที่หอมหวานและขื่นขมระคนกัน ยามรัก...มันช่างหวานเสียจนไม่อยากให้เวลาผ่านไป แต่ยามขม...ก็เจ็บเจียนตายจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
‘เขมจิรากับพ่อของธรณ์เป็นเพื่อนรักกัน เข็มเป็นน้องรหัสของลุง และเป็นคนที่ทำให้ลุงได้รู้จักกับพ่อของธรณ์ ลุงก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย จนได้มาเจอกับพ่อของธรณ์ กว่าจะรู้ตัวก็ถอนสายตาจากเขาไม่ได้แล้ว แต่ความรักของเรามันผิด ลุงกับพ่อของธรณ์เป็นผู้ชายเหมือนกัน และธรณ์ก็คงรู้ว่าพ่อของธรณ์เป็นใคร’
พ่อของธรณ์ในวันนั้น ก็มีสถานะไม่ต่างอะไรจากธรณ์ในวันนี้...ทายาทคนเดียวของอิสรพัฒน์ เพียงแต่ธรณ์ไม่ได้แบกความคาดหวังของใครต่อใครเอาไว้มากมายเหมือนกับพ่อ
‘แล้วลุงครามกับพ่อทำยังไงครับ’
‘เราก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ลุงไม่เคยรู้ ว่าจริงๆ แล้วเข็มเขาชอบลุง เขารู้เรื่องของลุงกับพ่อธรณ์ แล้วก็เป็นคนไปบอกคุณปู่คุณย่า เราสองคนถูกจับแยก นั่นยังไม่ซ้ำร้ายเท่าพ่อของธรณ์มาเจอลุงอยู่กับเข็ม’
ธรณ์พยักหน้าช้าๆ พ่อกับลุงครามรักกันมาก่อน ส่วนการแต่งงานของพ่อกับแม่ก็เป็นเพราะหน้าที่ใช่ไหม สำหรับคนที่สุขสมหวังแล้ว ความรักมันสวยงามเสมอ แต่สำหรับคนที่ผิดหวัง ความรักก็ไม่ต่างอะไรจากยาพิษดีๆ นี่เอง
‘พ่อไม่ได้รักแม่เลยใช่ไหมครับ’
‘รักสิ ยุทธเขารักแม่ธรณ์เสมอ แต่รักแบบน้องสาว ส่วนธรณ์...ก็เป็นลูกชายคนเดียวที่เขารัก เขาเข้มงวดกับธรณ์เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะธรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขา เขาคงไม่อยากให้ธรณ์ต้องเจออะไรที่เลวร้ายแบบเขา น่าแปลกนะ...ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบวิธีที่คุณปู่ใช้บังคับเขา แต่เขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี่แหล่ะมาเลี้ยงดูธรณ์ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ’
ธรณ์ขำไม่ออก เขารู้ว่าพ่อถูกคุณปู่เลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ขีดเส้นทางทุกอย่าง แต่พ่อก็ใช้วิธีเดียวกันกับเขา ทั้งๆ ที่พ่อก็ไม่ชอบตอนที่ถูกคุณปู่บังคับ
‘แต่ธรณ์มีอิสระมากกว่ายุทธนะ หรือจะบอกว่าไม่จริง ช่วงที่ธรณ์ไปอยู่ต่างประเทศ ธรณ์มีอิสระ และธรณ์คงไม่รู้...ว่าพ่อเขาคิดถึงเรามากแค่ไหน แต่ก็เพราะทิฐิเหมือนกัน ที่ทำให้เขาไม่ยอมไปหาหรือไม่ยอมเรียกธรณ์กลับมา เป็นพ่อลูกที่เหมือนกันจริงๆ ทิฐิกันทั้งคู่’
อย่างที่คุณสงครามพูดไว้ไม่มีผิด ความจริงแล้วธรณ์กับพ่อก็มีนิสัยเหมือนๆ กัน และต่างก็มีทิฐิอยู่ในตัวทั้งคู่ กว่าจะรู้ บางทีมันก็สายเกินไปแล้ว เหมือนตอนนี้...อยากพูดอะไรกับพ่อมากมาย แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดออกไป
‘จำไว้นะธรณ์ ลดทิฐิลงบ้าง บางครั้งการที่เรายอม มันไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ แต่มันทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น’====================
[มีต่อนะคะ]