จบสักที ... เข้ามาบอกว่าอ่านมาตลอด แต่ไม่อยากเมนท์เพราะกลัวจะออกตัวแรงเหมือนความเห็นแรก อิอิ
หลังจากอ่านจบ ... อย่างแรกที่รู้สึกคือยิ้ม ... และไม่ได้เศร้าเหมือนภาพที่มองผ่านมุมของฉาย
โลกของตะวันทำให้ผมนึกถึงปกหนังสือที่พี่ภัคดีจะทำ คือเหมือนกับภาพวาดดินสอสีเทียนที่วาดด้วยฝีมือเด็กอนุบาล
ผ่านจินตนาการของคนที่ดูเข้าใจยาก ...
จากที่พี่ภัคดีบอกว่า อ่านเรื่องนี้ จะทำให้รักตะวันขึ้นมาบ้าง ก็ขอตอบว่า บ้าง ... แต่ก็เหมือนกับความฝังจำจากเรื่องแรก
ทำให้ยังรู้สึกเกลียดตะวันอยู่ลึกๆ อาจจะด้วยเหมือนให้ไปจินตนาการต่อ ว่าตะวันจะหันมามองฉายบ้างหรือเปล่า
แต่พี่ภัคดีก็เฉลยว่า ตะวันก็แค่หวั่นไหว และให้ไปคิดต่อเอา แล้วแต่ว่าใครอยากให้เป็นยังไง
โดยส่วนตัว รู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่เหมือนนิยาย เหมือนหนังสือนิทานภาพที่เล่าด้วยภาพสีเทียน
ผมคิดว่า ควรบรรจุเรื่องนี้ไว้เป็นตอนพิเศษในเรื่องจัง เพราะผมคิดว่า
เรื่องนี้เป็นเหมือนส่วนเติมเต็มของเรื่องฉาย ที่เหมือนกับขาดๆหน่วงๆมาตลอด
ในขณะที่เรื่องนี้ ถ้าอ่านอย่างไม่นึกถึงมุมของฉายจากเรื่องโน้น ผมไม่รู้สึกว่ามันปวดหัวใจเลยสักนิด
(แต่ก็ยังฝังใจอยู่ดี...)
![laugh :laugh:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/laugh.gif)
สุดท้าย ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุด ชอบในอารมณ์ขันของการคิดชื่อของทั้งสองเรื่องครับพี่
อย่างเรื่องของฉาย ผมเชื่อว่าคนอ่านหลายๆคนน่าจะนึกสงสัยมาตลอดเรื่อง ว่าไอ้กรินกรณ์มันจะโผล่มาตอนไหน
และเรื่องนี้ แวบแรกที่อ่านชื่อเรื่อง ความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว ไม่ได้นึกถึงเจ้าชายกบในนิทานเลย
ผมดันไปนึกถึงพี่กบ รักแรกของตะวันไปเสียฉิบ (ซึ่งเข้าใจว่าพี่ภัคดีน่าจะตั้งใจอย่างนั้น)
เอาเป็นว่า ... อ่านแล้วก็ชอบครับพี่ รู้สึกเอ็นดูเจ้าตะวันขึ้นมาบ้าง
(แต่ถ้าเจ้าตะวันเป็นคนจริงๆก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ผมอาจจะไม่พระเอกในนิยายพอที่จะทำได้ทุกอย่างให้คนที่รักเท่ากับฉายด้วยมั้ง
![laugh :laugh:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/laugh.gif)
)