**เหมือนจะมีมาม่าลอยอืดในสระ...อ๊ะ หรือว่าไม่มี ....หุ ๆ Miracle Café / 28
ร่างเล็กที่ถอดเสื้อยืดออกพาดไว้บนเก้าอี้ อวดผิวขาวเนียนในชุดว่ายน้ำแบบกางเกงขาสั้น ทำให้บางคนที่หันไปมองต้องใจเต้น พลางรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะเกรงว่าจะหลุดอาการแปลก ๆ ออกไปเสียก่อน และก็มีบางคนที่ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ที่อีกฝ่ายเผยสัดส่วนร่างกายสู่สายตาคนอื่นเช่นนี้ แม้คนอื่นที่ว่านั่นจะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้นก็ตาม
“ผิวขาวจังนะนาย เคยถูกแดดบ้างหรือเปล่าน่ะ”
รุจเป็นคนแรกที่เข้าไปทักวาโยแล้วแกล้งโอบบ่าอีกฝ่าย ก่อนจะหันมายักคิ้วให้กับหนุ่ม ๆ อีกสองคนที่ต่างก็มองรุจอย่างอิจฉาปนขุ่นเคือง
“โธ่! คุณรุจ เห็นอย่างนี้ผมเล่นบอลกลางแดดประจำนะครับ ...แต่ตัวมันไม่ดำเองนี่ครับ ทำไงได้”
วาโยบอกเสียงอ่อย นอกจากหน้าหวานแล้วเรื่องผิวขาวและหุ่นผอมไร้กล้ามล่ำ ๆ ก็เป็นปมด้อยของเขาอีกด้วยเหมือนกัน
“อิจฉาพวกคุณจัง ตัวก็สูงหุ่นก็ดี...”
วาโยพึมพำพลางจ้องมองรุจ แล้วไล่ไปทางกวิน ภูริ และธีรัช ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีรูปร่างดีจนสะดุดสายตาคนมอง แถมยังมีกล้ามท้องน้อย ๆ แบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบอีกด้วย
“น่ารัก ๆ แบบเธอก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปอิจฉาใครหรอก”
ปวีร์ที่ยืนฟังอยู่แถวนั้นบอกอย่างขำ ๆ ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กแบบพอดีตัว หุ่นเพรียวบางได้สัดส่วน ผมยาวสยายก็ถูกมัดเป็นมวยไว้หลวม ๆ อวดต้นคอขาวเนียน จนธีรัชที่หันไปเห็นถึงกับผิวปากหวืออย่างชื่นชม ก่อนจะชะงักเมื่อมีสายตาคมกริบของราเมศตวัดมองอย่างดุ ๆ เข้าให้
“อ้าว...ริน ไม่ถอดเสื้อล่ะ เขาไม่ให้ใส่เสื้อยืดลงเล่นน้ำนะ”
ปวีร์ที่หันไปเห็นหลานชายยืนมองคนอื่นเก้ ๆ กัง ๆ เอ่ยแซว การินหันมาค้อนขวับให้ผู้เป็นอา ก่อนจะถอดเสื้อยืดของตนที่สวมไว้ออกพาดกับเก้าอี้แถวนั้นเช่นเดียวกัน
“ว้าว! คุณหนูรินเนี่ยผิวขาวจั๊วะ เนี๊ยนเนียนเสียยิ่งกว่าหนูอลิซอีกนะเนี่ย!”
เสียงธีรัชที่หลุดแซวออกมา ทำเอาการินหน้าแดงด้วยความโมโห แล้วทำท่าจะใส่เสื้อคืนกลับเหมือนเดิม ทำให้กวินที่มองอยู่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“อย่าแซวกันสิครับคุณธีรัช เฮ้! ริน ไม่ต้องอายหรอกน่า คนกันเองทั้งนั้น ดูฉันสิ ยังไม่อายเลย เนอะ!”
การินมองกวินที่ยิ้มให้กำลังใจตนนิ่งสักพัก ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ แล้วเดินมารวมกับวาโย อาการว่าง่ายของชายหนุ่มหน้าสวย ทำให้ธีรัชลอบสังเกตการินที กวินที แล้วทำเสียงพึมพำในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มแย้มตามมาแล้วพูดกับสองหนุ่มผู้น่ารักประจำกลุ่ม
“ฉันแค่แซวเล่นน่ะ ขอโทษด้วยแล้วกัน อย่าเกลียดกันเลยนะ คราวหน้าจะลามปามให้น้อยกว่านี้ สัญญาได้เลย!”
การินขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนวาโยเองก็มีสีหน้าทะแม่ง ๆ แต่ก็อดขำกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้
“เอาแบบไม่ต้องลามปามเลยไม่ได้หรือครับ แล้วเลิกเรียกผมว่าอลิซสักทีเถอะ ผมอายนะ...”
“เหรอ...มันติดปากน่ะ งั้นจะให้เรียกอะไรดีล่ะ คุณหนูโย น้องโย โยน้อย หรือว่า ...”
“โยเฉย ๆ ก็พอครับ ไม่ต้องเติมโน่นนี่อะไรให้ยาวกว่านั้นหรอกครับ”
วาโยรีบบอกก่อนที่ชื่อเรียกของเขาจะถูกแปลงให้แปลกไปมากกว่าเดิม
“โอเค ๆ งั้นเรียกหนูโยแล้วกัน”
ธีรัชตัดบท โดยไม่สนคำพูดของวาโยก่อนหน้านั้นมากนัก วาโยขมวดคิ้วยุ่ง แต่สำหรับเขา หนูโย ก็น่าจะฟังดูเข้าท่ากว่าอลิซล่ะนะ
“โย! ไปเล่นน้ำกันดีกว่า!”
เสียงกวินดังขัดขึ้น เมื่อเห็นว่ารูมเมทเริ่มสนทนาสนิทสนมเกินไปกับธีรัช ทางด้านวาโยนั้นสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังหันไปพยักหน้า ก่อนจะหันมาชวนการินให้ไปเล่นน้ำด้วยกัน
“ริน ไปเล่นสไลเดอร์กันไหม”
“หา...แต่ฉันว่า...”
การินทำท่าลังเล เพราะเขาไม่อยากเข้าไปขัดกวินที่ดูเหมือนอยากจะไปเล่นน้ำกับวาโยตามลำพังมากกว่า ทว่าก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงของกวินดังขึ้นอีกครั้ง
“ไปด้วยกันสิริน เล่นหลาย ๆ คนสนุกดีออกนะ!”
คนชวน ๆ อย่างเต็มใจ พร้อมรอยยิ้ม ทำให้การินพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับค่อย ๆ แล้วปล่อยให้วาโยจูงมือตนไป ธีรัชถึงกับผิวปากหวือเมื่อเห็นคุณหนูหน้าสวยจอมดื้อดึงคนนั้นว่าง่ายเกินเหตุ ส่วนภูริมองตามทั้งสามแล้วนิ่วหน้านิด ๆ จนรุจที่ลอบมองอยู่ถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“เราก็ไปด้วยกันสิ ไม่ได้แก่ถึงขนาดเล่นของเล่นพวกนั้นไม่ได้สักหน่อย”
ภูริชะงัก เขาทำเป็นเมินแล้วแสร้งเปรยใส่ด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“ไม่เห็นอยากไปตากแดดเลย ร้อนก็ร้อน...”
ยังไม่ทันขาดคำ ก็ดูเหมือนบรรยากาศเป็นใจ เมฆก้อนใหญ่ลอยมาปิดบังท้องฟ้า ถึงแม้จะครึ้มไปสักหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่น่ามีฝนตกลงมาแน่
“หือ...แดดร่มแล้วแน่ะ ไปกันไหมล่ะ”
รุจกระเซ้าอีกรอบ ภูริทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ แล้วจึงกระแทกเสียงใส่
“อยากไปนัก ก็ไปเองสิ!”
“หึ ๆ อย่างนั้นหรือ...นึกว่าจะตามไปคอยดูเด็กนั่นเสียหน่อย ...เอ เมื่อครู่ฉันสังเกตเห็นกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายกลุ่มใหญ่เล่นน้ำอยู่ด้านนอก ถ้าพวกนั้นไม่ไปสระเดียวกันก็คงไม่เป็นไร ...มีทั้งริน ทั้งโย วินคนเดียวคงดูแลลำบากแน่เลยล่ะนะ”
รุจเปรยกับตัวเองลอย ๆ ทว่าประโยคที่ได้ยินนั้น เข้าหูคนฟังเต็ม ๆ ภูริทำเสียงสบถเบา ๆ แล้วจึงเดินกระแทกเท้าออกไปที่สระด้านนอก ตามพวกวาโยไปอย่างหงุดหงิด จนคนมองอย่างรุจยังนึกขำ
“โห...ไปกันหมดเลย แบบนี้ผมก็อยู่ข้างในคนเดียวน่ะสิครับ”
ธีรัชพึมพำคล้ายจะเสียดาย ส่วนรุจก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยชวน
“งั้นก็ไปเล่นข้างนอกด้วยกันสิ ...หรือจะอยู่ที่นี่เป็นก้างคนอื่นก็ตามใจนะ”
คนอื่นที่ได้ยินเสียงเปรยเบา ๆ แว่วเข้าหู ถึงกับสะดุ้งแล้วหันขวับไปมองคนพูดอย่างตกใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มของรุจ เจ้าตัวก็เบือนหน้ากลับมาไม่กล้าสบตาด้วย ส่วนปวีร์ที่อยู่ใกล้ ๆ อมยิ้ม แล้วเปรยตอบดัง ๆ
“นั่นสิ เด็ก ๆ ก็ไปอยู่ส่วนเด็กเถอะ ที่นี่ปล่อยให้คนแก่อย่างพวกฉันเฝ้าเองก็ได้”
ธีรัชฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ เช่นเดียวกับรุจที่อมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นชายหนุ่มผิวสีแทนก็โบกมือค่อย ๆ เป็นเชิงขอตัว และเดินออกไปเล่นด้านนอกพร้อมกับรุจ เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นที่เดินนำกันไปแล้ว
“หึ ๆ เด็ก ๆ นี่ร่าเริงกันจังนะ”
ปวีร์บอกพลางแย้มยิ้มน้อย ๆ เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปที่สระว่ายน้ำ แล้วหย่อนกายลงไปในสระอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ราเมศที่ยืนอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาใกล้และนั่งหย่อนขาลงน้ำอยู่ริมขอบสระ พร้อมกับบ่นเบา ๆ
“ไม่เห็นจะน่าขำตรงไหน สองคนนั่นรู้เรื่องของพวกเราหมดแล้วแน่”
“รู้แล้วทำไม ไม่เห็นจะแปลกอะไร ...นอกจากนายจะไม่อยากให้ใครรู้ เพราะกลัวถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ...ถ้าอย่างนั้นฉันแก้ข่าวให้ก็ได้นะ ไม่เป็นไร”
ท้ายประโยคปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ราเมศไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย เพราะมันติดเศร้ากึ่งประชดอย่างเห็นได้ชัด
“บ้าน่า... ฉันไม่ได้กลัวเรื่องนั้นสักหน่อย...ที่ฉันไม่ค่อยชอบก็เพราะ...เอิ่ม...ฉันก็แค่เขินน่ะ”
ราเมศบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอาย ๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ทำให้ปวีร์ยิ้มออกมาได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รักกันให้มาก ๆ จนพวกนั้นเป็นฝ่ายเขินแทนเลยสิ”
ปวีร์กระเซ้าแล้วยิ้มยั่ว ทำให้คนที่นั่งบนขอบสระแค่นยิ้ม แล้วพึมพำ
“งั้นก็อย่าคอยหนีสิ...พอฉันจะเอาจริงก็หนีทุกทีนะนายน่ะ”
“หึ ๆ ช่วยไม่ได้นี่ ก็เล่นปล่อยให้ฉันหลงรักมาฝ่ายเดียวเป็นสิบ ๆ ปีแบบนี้ เอาคืนนิดหน่อยอย่าว่ากันนักเลย”
ปวีร์บอกขำ ๆ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง
“นี่แสดงว่าแกล้งยั่วกันจริง ๆ ใช่ไหม”
“...ก็แล้วแต่จะคิด”
คนในน้ำตอบแล้วว่ายผละหนีไป จนราเมศนึกหมั่นไส้ เขาลงไปในน้ำแล้วว่ายตามหมายจะจับตัวปวีร์ให้ได้
“รอก่อนเถอะ จับได้เมื่อไหร่จะลงโทษเสียให้เข็ด!”
“หึ ๆ งั้นก็จับให้ได้ก่อนแล้วกัน ถึงจะยอมให้ลงโทษน่ะ”
ปวีร์แกล้งยั่วแล้วว่ายหนี ส่วนราเมศก็แค่นยิ้มก่อนจะว่ายตาม จากว่ายเล่น ๆ ก็กลายเป็นการว่ายแข่งขันไล่จับกันอย่างน่าดูชม
“ผมว่าพวกเราไปหาเครื่องดื่มมานั่งจิบ แช่น้ำวน แล้วคุยกันไปพลาง ๆ ตรงมุมนั้นจะดีกว่านะครับ”
ชานนที่มองนายจ้างและคนรักของอีกฝ่ายว่ายน้ำไล่จับกัน หันมายิ้มแล้วชวนปยุตคุย ทางด้านปยุตเหลือบมองปวีร์ซึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างสนุกสนานแล้วสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบรับชานน
“นั่นสิครับ เพราะถึงพวกเราจะอยู่ด้วย สองคนนั่นก็คงไม่รู้สึกตัวอยู่ดี”
“ฮะ ๆ ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ”
ชานนหัวเราะตอบ และจึงปลีกตัวไปพร้อมกับปยุต ซึ่งคุ้นเคยกันดี เนื่องจากเขาเคยไปทำงานเป็นพ่อครัวให้ปวีร์มากว่าสองปี ส่วนปยุตเองนั้นก็เป็นพ่อบ้านให้ปวีร์ตั้งแต่อีกฝ่ายเรียนจบและกลับมาอยู่ที่ไทย พวกเขาจึงคุ้นเคยในการทำงานร่วมกัน จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ซี้ต่างวัยที่คุยกันได้ถูกคอคู่หนึ่งทีเดียว
สระกลางแจ้งด้านนอกนั้นกว้างขวางกว่าสระส่วนตัวด้านในมากนัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างให้หยิบยืมเล่นได้ในสระอย่างอิสระโดยไม่ต้องเสียเงินเช่าเพิ่ม อาทิเช่น ลูกบอลเป่าลม ห่วงยาง แพยาง เป็นต้น ทำเอาวาโยนั้นตื่นเต้นและคิดในใจว่าจะต้องโทรชวนจรัลให้มาเที่ยวด้วยกันให้ได้
“วิน! ริน! เล่นสไลเดอร์กัน!”
คนตัวเล็กตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริง จนกวินกับการินต้องสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วจึงยอมไปเล่นกับคนชวนด้วยกันทั้งคู่ สไลเดอร์น้ำแม้จะไม่ใหญ่มากเหมือนกับพวกสวนน้ำต่าง ๆ แต่ก็เพียงพอสร้างความสนุกให้กับคนที่เล่นมากพอดูเหมือนกัน
“ฮ่า! สนุกจังแฮะ!”
คนที่โผล่จากน้ำ มาสะบัดศีรษะเปียก ๆ ไปมา โพล่งขึ้นอย่างสนุกสนาน แล้วว่ายไปที่ขอบสระ ทว่าระหว่างที่กำลังจะยันตัวขึ้นฝั่งเพื่อไปเล่นสไลเดอร์อีกรอบ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ยื่นส่งให้เขา
“...จะขึ้นไม่ใช่หรือ”
ภูริถามคนที่ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นวาโยจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วยื่นมือให้อีกฝ่ายฉุดตนขึ้นไปจากน้ำอย่างไม่ยากนัก
“ไปเล่นด้วยกันไหมครับ...คุณภูริ …คุณภูริครับ?”
วาโยย้ำถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เมื่อคนที่ฉุดเขาขึ้นมาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพราะทนจ้องมองสภาพของคนตัวเล็กข้างหน้าเขาต่อไม่ไหว ...ผมเปียกลู่ศีรษะที่มีหยดน้ำเกาะพราว ยิ่งขับให้หน้าหวานนั่นดูเซ็กซี่ขึ้นอย่างน่าประหลาด กางเกงเปียกน้ำที่บัดนี้แนบชิดจนเห็นได้ชัดถึงสัดส่วนของเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านใน ทำให้ภูริเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตขึ้นทุกทีที่ดันเกิดอารมณ์กับร่างของผู้ชายด้วยกันแบบนี้ ชายหนุ่มลองทดสอบมองไปข้าง ๆ ก็เห็นธีรัชยกยิ้มยั่วเขาก่อนเจ้าตัวจะสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเขาจ้องนิ่งเขม็ง แถมยังไล่มองมาจากหัวจรดเท้าและเน้นบางส่วนเป็นพิเศษ
“เฮ้ย ๆ อย่ามองอย่างนั้นสิวะภู เพื่อนไม่กินขั้วเดียวกันนะโว้ย”
“บ้ารึ! ขยะแขยงจะตายใครจะกล้าคิดเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายเหมือนกันได้ลงคอวะ!”
ภูริสบถตอบ พอได้ลองมองหุ่นของผู้ชายคนอื่นเขาก็ไม่ได้เกิดอาการตื่นเต้นอะไรเหมือนอย่างที่จ้องมองวาโยสักนิด ทว่าทางด้านวาโยเมื่อได้ยินคำพูดของภูริ เขาก็ชะงัก แล้วรู้สึกปวดแปลบประหลาดบางอย่างในอก ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“คุณภูริครับ...ปล่อยมือได้หรือยังครับ”
ภูริสะดุ้งโหยง เขามองมือที่จับวาโยแล้วรีบปล่อยด้วยความตกใจ
“อะ ...ขอโทษที”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมขอตัวไปเล่นน้ำต่อก่อนนะครับ”
วาโยบอกพร้อมยิ้มเจื่อน ๆ ดูแปลกไป ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่สไลเดอร์ ทำให้ภูรินิ่งอึ้งมองตามอย่างสงสัย ส่วนรุจและธีรัชที่อยู่แถวนั้นถอนหายใจไล่เลี่ยกัน และต่างก็เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่ม พลางเปรยขึ้นบอกอีกฝ่าย
“อา...อยู่ดีไม่ว่าดี ทำคะแนนติดลบด้วยตัวเองเสียแล้วเพื่อนฉัน”
ธีรัชบอกพลางตบบ่าอีกฝ่าย ทำเอาภูริหันมามองอย่างสงสัย แต่รุจนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่างกัน
“แต่ถ้าคิดในแง่ดี ก็หมายถึงว่ายังมีหวังนะ เพราะถ้าไม่คิดอะไรเลย ก็จะไม่มีปฏิกิริยากับคำพูดเมื่อครู่ไงล่ะ”
“หรือว่าที่ฉันพูดเมื่อครู่...”
ภูริพึมพำอย่างนึกขึ้นได้ แล้วก็หน้าแดงขึ้นน้อย ๆ จนคนมองทั้งสองนึกขำ
“ดีใจล่ะซิ แต่อย่าลืมล่ะ ตอนนี้คะแนนนายติดลบอยู่นะ ...อ้าว ตายละ โดนรุมเสียแล้ว”
ธีรัชที่หันไปมองวาโยเปรยขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นสองสามคน กำลังชวนวาโยเล่นน้ำด้วยกัน โดยที่วาโยเองนั้นมีสีหน้าลำบากใจ ส่วนกวินที่เล่นน้ำกับการินก็กำลังรับมือกับวัยรุ่นที่มาตอแยกับการินอยู่ด้วยเช่นกัน ภูริเม้มปากด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินตรงไปที่วาโยยืนอยู่ คว้าโอบไหล่อีกฝ่ายมาชิด แล้วมองคนกลุ่มนั้นเขม็ง
“มีธุระอะไรกับเพื่อนของผมหรือครับ”
ภูริชถามด้วยน้ำเสียงเข้ม และจ้องพวกนั้นด้วยแววตาวาววับอย่างพร้อมเอาเรื่องทุกเมื่อ ทำให้วัยรุ่นที่ล้วนเป็นพวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อและอายุน้อยกว่า ต่างนึกแหยงไปตาม ๆ กัน และแยกย้ายไปเล่นสระอีกฝั่งทันที
“คุณภูริ...เอ่อ ขอบคุณนะครับ”
วาโยพึมพำ รู้สึกใจเต้นประหลาด เขาก้มหน้างุด ๆ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าแดง ๆ ของตน ส่วนอีกด้านกวินที่เข้าไปขวางพวกวัยรุ่นที่ตามมาตอแยการินจนพวกนั้นหนีไปว่ายน้ำอยู่ห่าง ๆ กำลังชะงักรอยยิ้มค้าง เมื่อหันไปเห็นภูริกับวาโยอยู่ด้วยกันในสภาพใกล้ชิดกว่าปกติ
“ขอโทษนะ...เพราะฉันแท้ ๆ นายเลยอดทำคะแนนกับโยเขาจนได้”
การินที่เห็นแววตาเศร้าระคนเจ็บปวดของอีกฝ่าย บอกอย่างสำนึกผิด ทำให้กวินชะงักแล้วหันมาฝืนยิ้มให้กับคนข้าง ๆ เขา
“บ้าน่า...ไม่เป็นไรหรอก โอกาสยังมีอีกตั้งเยอะ...แล้วที่สำคัญ จะปล่อยนายทิ้งไว้คนเดียวให้พวกนั้นลวนลามได้ไงกัน”
ท้ายประโยคกวินยกมือลูบหัวอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ทำให้การินเม้มปากน้อย ๆ แล้วก้มหน้า ก่อนจะพึมพำตอบ
“ฉันว่าฉันไปเล่นน้ำในสระส่วนตัวดีกว่า...อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีคนนอกมารบกวน”
จากนั้นการินก็รีบว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง โดยไม่สนเสียงค้านของกวิน แต่แล้วเมื่อถึงฝั่งเขาก็ต้องชะงักเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้
“ไม่ต้อง! ฉันขึ้นเองได้!”
การินปัดมือของธีรัชออกอย่างรำคาญ แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายกระเซ้าตามมา
“อ้อ อย่างนั้นหรือ...นึกว่าร้องไห้ จนมองทางไม่เห็นเสียอีกนะ”
ชายหนุ่มหน้าสวยรีบเอาหลังมือเช็ดหน้าของตน ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนบนฝั่ง
“ถึงจะเช็ดน้ำตาไปก็เท่านั้น ...แน่ใจหรือว่าจะกลบเกลื่อนไม่ให้คุณอาคนนั้นที่ทั้งตาไวและความรู้สึกไวเห็นน่ะ”
ธีรัชพูดแทงใจดำคนฟัง แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ใช่ยิ้มเยาะอย่างที่การินคาดไว้ ซ้ำเขายังคงยื่นมือส่งมาให้เหมือนเดิม
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวหมอนั่นจะผิดสังเกตเอานะ มานั่งเล่นคุยกันที่เก้าอี้ริมสระนี่ก็ได้”
การินมองมือข้างนั้นอย่างลังเล แต่พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาก็ยื่นมือของตนให้ธีรัชฉุดขึ้นไป ชายหนุ่มผิวสีแทนหยิบผ้าขนหนูโปะศีรษะของอีกฝ่าย ทำเอาการินขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเจ้าตัวชี้ไปที่ตาของเขา แล้วเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเขาก็เงียบไป
“ตาแดง ๆ น่ะ ถ้าบอกว่าเพราะคลอรีนจะเชื่อกันไหมเนี่ย”
“...ก็น่าจะพอถูไถได้”
การินพึมพำ พลางใช้ผ้าขนหนูนั้นซับน้ำบนหน้าของตน ขณะที่เดินมานั่งบนเก้าอี้ริมสระแถวนั้น
“หึ ๆ งั้นถ้าใครถาม ก็ให้บอกตรงกันว่าโดนฉันล้อหนักข้อไปหน่อยก็แล้วกัน”
ธีรัชบอกตามมาทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง
“แล้วไม่กลัวจะโดนคนอื่นเข้าใจผิดเอาหรือไง...”
“ฮะ ๆ ไม่เป็นไรหรอก นิสัยฉันมันเสียแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะทำเรื่องแย่ ๆ เพิ่มอีกเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกหรอก”
การินเงียบกริบ เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะก้มหน้าตามมา
“ฉันบอกว่าแสบตาเพราะคลอรีนยังจะดีกว่าอีก”
ธีรัชถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงแสร้งโพล่งขึ้นอย่างน่าสงสาร
“โถ ๆ คุณหนู ...รังเกียจกระผมขนาดนี้เลยหรือขอรับ เอ... หรือรู้ทันว่าผมจะหยิบเรื่องนี้มาเป็นบุญคุณทีหลังสินะ…อ๊ะ ตายล่ะ เผลอหลุดปากไปแล้วสิ แหะ ๆ”
การินนิ่งอึ้งมองคนเล่นละครคนเดียวข้างเขา ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ
“ประสาทหรือเปล่านะนายน่ะ”
“อ๊ะ! ยิ้มแล้ว ...ยิ้มแบบนี้น่ารักดีนะ”
ธีรัชบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งการินก็ชะงัก หน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขิน แล้วค้อนขวับให้
“ว้า หน้ายุ่งอีกแล้ว ...แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ยังสวยอยู่ดี”
คนฟังถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วจึงนั่งฟังธีรัชสรรหาเรื่องมาชวนคุย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องตลก ทำให้เขาต้องอมยิ้มน้อย ๆ หรือแม้กระทั่งหลุดหัวเราะในบางครั้งเลยก็มี
.... TBC ....
ไข้เริ่มลดแล้วค่ะ คอหายเจ็บ แต่อาการระยะสุดท้าย ที่จะตามมาก็คือ คัดจมูก น้ำมูกไหล ....ทำไมมันถึงไม่ไข้ขึ้น น้ำมูกไหล แล้วค่อยเจ็บคอฟะ--*
เอาเป็นว่าตอนนี้อาการผู้แต่งดีขึ้นแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและความห่วงใยค่ะ
สำหรับนิยายก็ยังแต่งเรื่อย ๆ ถ้าฟีลมามันจะไปเร็วปรื๋อ ถ้าตัน ก็จะตันแหงก ช่วงระยะนี้ของเรื่องจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของตัวละครค่ะ (พูดง่าย ๆ ก็เรื่องการจับคู่ล่ะนะ) เขียนไปเขียนมา เริ่มมีคู่แปลก ๆ ในสมอง....อา แอบกลัวตัวเองจริง ๆ
ป.ล. คุณชานน กับ คุณพ่อบ้านปยุต เขาไม่ได้กิ๊กกันนะคะ อารมณ์ประมาณกลุ่มคุณแม่บ้าน ที่สนิทชิดเชื้อ กันมากกว่าน่ะค่ะ ^^"