พิมพ์หน้านี้ - [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Xenon ที่ 23-07-2012 12:47:47

หัวข้อ: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-07-2012 12:47:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

 เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0)  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0)  , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0)  , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0)  , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) ,   Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0) 
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0)    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0)    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0)    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0)   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)


นิยายที่ยังไม่จบ
-
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-07-2012 12:55:31

แวะมาทำสารบัญค่ะ ^^

   ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2065211#msg2065211)  ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2066233#msg2066233)   ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2067205#msg2067205)   ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2068064#msg2068064)   ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2069707#msg2069707)   ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2070786#msg2070786)   ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2070787#msg2070787)   ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2072293#msg2072293)   ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2073722#msg2073722)   ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2074712#msg2074712)   ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2075943#msg2075943)   ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2077021#msg2077021)   ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2078299#msg2078299)   ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2078300#msg2078300)   ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2082037#msg2082037)   ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2082821#msg2082821)   ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2084543#msg2084543)   ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2085975#msg2085975)     ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2088359#msg2088359)  ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2090900#msg2090900)    ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2092186#msg2092186)   ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2093813#msg2093813)    ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2094729#msg2094729)    ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2095898#msg2095898)         ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2097393#msg2097393)     ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2098739#msg2098739)         ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2101421#msg2101421)      ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2102823#msg2102823)        ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2103618#msg2103618)    ตอนที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2103618#msg2103618)       ตอนที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2109815#msg2109815)     ตอนที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2110646#msg2110646)         ตอนที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2111696#msg2111696)     ตอนที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2112668#msg2112668)    ตอนที่ 35 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2114892#msg2114892)   ตอนที่ 36 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2116859#msg2116859)    ตอนที่ 37 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2121484#msg2121484)    ตอนที่ 38 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2122826#msg2122826)    ตอนที่ 39 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2125111#msg2125111)    ตอนที่ 40 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2126469#msg2126469)    ตอนที่ 41 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2128797#msg2128797)   ตอนที่ 42 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2130511#msg2130511)   ตอนที่ 43 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2132369#msg2132369)   ตอนที่ 44 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2135369#msg2135369)   ตอนที่ 45 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2137738#msg2137738)   ตอนที่ 46 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2139007#msg2139007)   ตอนที่ 47 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2140529#msg2140529)   ตอนที่ 48 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2142217#msg2142217)   ตอนที่ 49 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2143115#msg2143115)   ตอนที่ 50 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2143950#msg2143950)   ... บทสรุปส่งท้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.msg2148585#msg2148585)


.................................................................................

สวัสดีค่ะนักอ่านที่ติดตามงานของปัด และที่เพิ่งเคยเข้ามาอ่าน

ปัดได้พล็อตนิยายเรื่องใหม่แล้วนะคะ และคิดว่าน่าจะเขียนรอดได้หลายตอน ปัจจุบันเขียนนำไปแล้ว ถ้ายังไงจะลงวันละตอนจนกว่าจะหมดสต็อกนะคะ (เขียนได้ไม่เยอะมากหรอกค่ะ แต่ตอนนี้กำลังไฟแรง ปั่นได้เรื่อย ๆ)


สำหรับเรื่องใหม่นี้ชี้แจงกันสักหน่อยว่าเป็นแนว "ฮาเร็ม"    (ตั้งแต่ตอนท้าย ๆ ขึ้นไป (ราว ๆ ตอน 30 กว่า ๆ ) ตัวละครเริ่มจับคู่แน่นอนกันแล้วนะคะ^^)   และ  เรท "โชเน็นไอ"

ซึ่ง Shonen ai  หรือ โชเน็นไอ ก็คือ  แนวรักระหว่างหนุ่ม ๆ แต่ใส ๆ ไร้ NC แต่มีเซอร์วิสเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พอชุ่มชื่นหัวใจ (ปัดไม่ถนัดเรท นาน ๆ จะบิวส์ขึ้นที แต่ถ้าเขียนใส ๆ หวาน ๆ จะแถไปได้เรื่อย ๆ แหะ ๆ)

ส่วน Harem (ฮาเร็ม)  ก็คือ  แนวรวมหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ ที่่สวนใหญ่มักจะตกหลุมรักตัวละครหลักของเรา  ไม่ได้จับคู่ตายตัว ทุกคนมีสิทธิ์เป็นพระเอกได้ แล้วแต่แรงแม่ยก หรือความพอใจคนเขียน (ตอนนี้คนเขียนล็อกตัวไว้สองสามตัวแล้ว แต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ตามอารมณ์และสถานการณ์ของตัวละครพาไปอยู่ดี --...)  อาจจะขัดใจหลายคนที่ชอบคู่แบบรักเดียวใจเดียว แต่เรื่องนี้จริง ๆ แล้ว จะเน้นกุ๊กกิ๊ก และความน่ารักของหนุ่ม ๆ ทุกคน ที่ทำงานร่วมกันมากกว่าประเด็นรัก จึงออกมาสไตล์นี้ล่ะค่ะ (เขียนไปหิวไป เพราะบางทีต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดื่มและอาหาร)


หวังว่านักอ่านที่หลงเข้ามาคงจะสนุกสนานกับเรื่องใหม่นี้ของปัดบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ   หากมีข้อมูลผิดพลาดตรงไหน ปัดขออภัยมา ณ ที่นี้ ปัดพยายามจะปรับเอาข้อมูลจริง ๆ มาลงในนิยายเท่าที่เอื้ออำนวยได้ แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ตรงกับชีวิตการทำงานจริงนัก แต่จำต้องปรับเพื่อให้สามารถเขียนได้ราบรื่น และไร้กังวลยิ่งขึ้น  (หลายคนที่อ่านงานปัดก็คงรู้ว่า ปัดไม่ค่อยชอบใส่อุปสรรคในนิยายนัก)  แต่ถึงอย่างไร ถ้าพบข้อผิดพลาดในนิยาย ปัดก็ขอน้อมรับคำตำหนิและติติงเอาไว้ทุกประการ และจะพยายามปรับปรุงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ


สุดท้ายนี้ก็รักและขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-07-2012 12:57:28

ขอบคุณที่สนใจคลิกเข้ามาอ่านค่ะ ^^ สำหรับเรื่องนี้คาดว่าจะเป็นเรื่องยาวเรื่องใหม่แนวใส ๆ จิ้นได้ แต่ไม่มี NC นะคะ เป็นแนวปกติ ไม่มีแฟนตาซี เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ (มั้ง) และหวังว่าคงจะได้เขียนเป็นเรื่องยาวเกิน 10 ตอนล่ะนะ ^^"

เรท : ตอนนี้คิดว่าคงเป็นแนวโชเน็นไอ ใสปิ๊ง จิ้นกระจาย ไร้ NC / และแต่ละตอนค่อนข้างสั้นค่ะ ไม่ยาวมาก

แนว : ฮาเร็มหนุ่ม (หลัง ๆ ทุกตัวละครมีคู่เป็นของตัวเองค่ะ) / คอมมาดี้ ฮาเฮ / ไร้สาระ /

ป.ล. อ่านแล้วใครคิดชื่อภาษาไทยได้ก็ช่วยแจมตั้งชื่อให้ด้วย เพราะตอนนี้คนแต่งยังคิดชื่อไม่ออกค่ะ อ้อ ...ชอบไม่ชอบยังไงก็ร่วมแสดงความคิดเห็นได้นะคะ ทุกคอมเมนต์ของท่าน เป็นแรงกำลังใจให้คนแต่งค่ะ ^^

Edit : ได้ชื่อไทยแก้ขัดมาแล้วค่ะ เป็นชื่อ "คาเฟ่อลวน คนอลเวง"  ^^" (สกิลการตั้งชื่อช่าง...เหมือนเคย เฮ้อ)
--------------------------------------------------


Miracle Café / 1




“เพล๊ง!”

เสียงที่ดังขึ้น ทำให้คนที่เผลอเตะบอลแรงเกินไปใจหายวาบลงไปอยู่ตาตุ่ม ส่วนคนที่ถือแจกันใบสวยที่บัดนี้หลุดจากมือกลายเป็นเศษกระเบื้องไร้ค่า เหลือบกลับมามองพลางจ้องใบหน้าของคนก่อเรื่องนิ่งสักพัก ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ในแบบที่ทำให้คนซึ่งกำลังเดินมาขอโทษชะงักกึก

“เอ่อ...คือผมขอโทษนะครับ ผมไม่ทันระวัง เลยทำของคุณเสียหาย...ถ้ายังไงผมจะชดใช้ให้...”

“สามแสน...”

ชายหนุ่มผมยาวรูปร่างสูงโปร่ง ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและเป็นเจ้าของแจกันใบงามเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่ทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก

“แจกันนี่นะครับ สามแสน!”

สิ้นเสียงหลุดโพล่งออกมาด้วยความตกใจของเจ้าตัว ก็ทำให้คนในทีมที่ร่วมเล่นฟุตบอลด้วยกันวิ่งหายไปส่วนหนึ่ง แต่ก็มีบางคนพากันมารุมดูด้วยความสงสัย

“แจกันบ้าอะไรจะแพงขนาดนั้นคุณ ขูดรีดกันหรือเปล่าเนี่ย!”

ชายคนที่เล่นบอลร่วมกับชายหนุ่มที่เตะบอลพลาดเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่พอเห็นอีกฝ่ายล้วงหยิบใบเสร็จรับเงินจากในกระเป๋ายื่นให้ เขาก็รับมาอ่าน แล้วกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“ง่า...ท่าทางจะของจริงแล้วว่ะ โย”

วาโยรับใบเสร็จจากมือเพื่อนมาดูบ้าง แล้วก็หน้าซีด ก่อนจะส่งใบเสร็จคืนอีกฝ่ายด้วยมืออันสั่นเทา

“เอ่อ...ถ้ายังไงผมขอผ่อนเป็นงวด ๆ ได้ไหมครับ...คือตอนนี้ผมเพิ่งเรียนจบ ยังหางานทำไม่ได้เลยน่ะครับ ...แต่ผมไม่โกงแน่ครับ อ๊ะ...จดชื่อนามสกุลผมไว้ได้เลยนะครับ”

ชายหนุ่มหน้าตาดีมองคนที่รีบล้วงกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบบัตรประชาชนทั้งที่หน้าซีดเผือดให้กับเขา เจ้าตัวรับมาดูก่อนส่งคืน พลางอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกพึงพอใจมากขึ้นไปอีก

“คุณว่าคุณเพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีงานทำสินะ”

วาโยพยักหน้าตอบรับ แล้วมองดูว่าอีกฝ่ายจะพูดยังไงต่อ

“อืม... ถ้างั้นสนใจมาทำงานที่ร้านของผมไหม ...แน่นอนผมจะจ่ายเงินเดือนให้ แต่ผมจะหักเงินเดือนคุณเดือนละ 80 เปอร์เซ็นต์เพื่อล้างหนี้ อ้อ! แต่ถ้าได้ทิปจากแขก เงินส่วนนั้นจะเป็นของคุณไม่มารวมกัน”

ข้อเสนอที่ฟังดูแล้วค่อนข้างน่าสนใจ แต่สำหรับวาโยก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ดี

“แล้วงานที่ผมต้องทำล่ะครับ...”

“เด็กเสิร์ฟร้านคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ ส่วนเงินเดือนก็สตาร์ทที่หมื่นบาทต่อเดือน รับทิปต่างหาก ...ถ้าทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ ปลายปีมีโบนัสแถมให้ด้วยนะ”

วาโยและเพื่อนอีกสองสามคนทำตาโต โดยเฉพาะเพื่อนของชายหนุ่ม นึกอยากจะถามว่ามีตำแหน่งว่างเหลือบ้างหรือไม่

“เอ่อ... ว่าแต่ร้านคุณอยู่แถวไหนหรือครับ ไกลจากแถวนี้มากไหม”

ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าที่แสดงถึงการตัดสินใจไปกว่าครึ่ง เพราะเขาในเวลานี้คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ขืนกลับไปต่างจังหวัดแล้วบอกพ่อแม่ว่าไปทำแจกันราคาสามแสนของคนอื่นแตก แทนที่จะได้เงินมาใช้ มีหวังหัวของเขาคงจะได้แตกตามแจกันไปแทนแน่

“อืม... คุณมีบ้านพัก หรือ เช่าบ้านอยู่ล่ะ”

แทนที่จะตอบคำถามของวาโย แต่อีกฝ่ายกลับย้อนถามแทน ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วตอบกลับไปตามตรง

“เอ่อ...ผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนครับ ...ตรงตึกแถวใกล้ ๆ นี่เอง”

“อย่างนั้นรึ... ก็ไม่ไกลกันนัก ...แต่ด้วยสภาพหนี้สินที่คุณมี ผมขอเสนอให้คุณใช้บริการห้องพักของทางร้านจะดีกว่า เพราะมันเป็นหนึ่งในสวัสดิการของพนักงานร้านที่จะได้รับน่ะ”

ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงหยิบนามบัตรสีแดงใบหนึ่งออกจากกระเป๋าของเขา ก่อนจะส่งยื่นให้กับวาโย

“พรุ่งนี้สองโมงเช้า คุณมาตามที่อยู่นี่นะ มาพูดคุยเซ็นสัญญากันให้เรียบร้อย แล้วคุณก็ไปเก็บของย้ายมาอยู่กับทางผมได้เลย...”

วาโยรับนามบัตรนั้นมาอ่าน ตัวอักษรสีทองสลักชื่อ Miracle Café กลางนามบัตร และตรงมุมบัตรเหนือที่อยู่และเบอร์โทร มีชื่อสั้น ๆ ว่า ‘ปวีร์’ บนกระดาษใบนั้น วาโยจ้องมองที่อยู่ตามนามบัตรแล้วนิ่งคิดว่าอยู่ตรงละแวกไหน ทว่าก่อนที่จะคิดออก ชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่ยื่นนามบัตรให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หาใครบางคน

“ฉันเอง มารับด้วย ....ก็ใช่ ตั้งใจจะถือของเดินเล่นชมวิวมาเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ ของไม่อยู่แล้วเลยขี้เกียจเดินนี่ .... ก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิม..... เออน่า มารับแล้วกัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ...อ้อ ฉันไปรอตรงแถวเซเว่นแล้วกัน”

ชายหนุ่มตัดบท ก่อนจะหันมายิ้มให้กับวาโยและเพื่อน ๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะนะ คุณวาโย”

“ง่า...ครับ คุณ...ปวีร์”

วาโยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก ชายหนุ่มตรงหน้าแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าให้

“ใช่ ...นั่นล่ะชื่อผม แล้วเจอกันพรุ่งนี้...หวังว่านะ”

ปวีร์แสร้งกระเซ้า แล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินจากไปเรื่อย ๆ วาโยมองตามไปปริบ ๆ ส่วนเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เกาศีรษะอย่างมึนงง พลางเอ่ยขึ้น

“คนอะไรวะ โดนทำของแตกแทนที่จะโกรธ ยังหางานดี ๆ ให้ทำอีก ...แล้วนี่ถ้านายหนีไปตอนนี้จะทำยังไงล่ะ”

เพื่อนอีกคนพอได้ยินก็ยักไหล่ แล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ

“คงหนีรอดหรอก ก็โยมันเอาบัตรประชาชน ยื่นให้ดูชื่อนามสกุลจริงขนาดนั้น ถ้าหนีพี่แกก็จำไปแจ้งความได้อยู่แล้ว”

คนอื่นพอได้ฟังก็ถอนหายใจกับความซื่อของเพื่อนของพวกตน แต่วาโยก็เป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเพราะเป็นคนดี ซื่อสัตย์ และไว้วางใจได้ พวกเขาถึงได้คบกันมายืดตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงป่านนี้ล่ะนะ

“ว่าแต่ที่ตั้งร้านนี่มันตรงร้านที่กำลังก่อสร้างหรือเปล่า ที่ทำเลดี ๆ ติดถนนแถวนั้นน่ะ”

เพื่อนของวาโยคนหนึ่งที่หยิบนามบัตรไปดูเอ่ยขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ หยิบนามบัตรใบนั้นมามุงดูกันบ้าง

“ไหน...เอ เหมือนจะใช่”

“ถ้าเป็นที่นั่น เท่าที่ฉันเห็นเขาสร้างเสร็จแล้ว และเหมือนจะขนเฟอร์นิเจอร์เข้าไปแต่งร้านแล้วล่ะ...เท่าที่สังเกตดูเหมือนจะเป็นร้านที่ค่อนข้างหรูทีเดียวล่ะนะ”

เพื่อนอีกคนบอก ทำให้วาโยยิ่งรู้สึกเครียดหนัก

“ฉันจะทำรอดหรือเปล่าเนี่ย... ต้องอยู่ตั้งสามปีกว่าแน่ะ กว่าจะหมดหนี้หมดสินกับเขา”

“ไม่ลองไม่รู้ว่ะ... คิดเสียว่าดีแล้วที่ได้งาน อย่างน้อยก็มีที่พักฟรี ถึงจะได้เงินเดือนแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ แต่ถ้าได้ทิปก็พออยู่ได้ไม่ใช่หรือไง”

เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปลอบ ทำให้วาโยถอนหายใจยาว แล้วจึงมองที่เศษแจกันตรงหน้า

“ยังไงก็เก็บพวกนี้ไปทิ้งก่อนเถอะ เดี๋ยวใครจะเดินมาเหยียบเข้า”

เพื่อนคนอื่นที่เหลือมองสบตากัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างส่ายหน้า พลางยิ้มน้อย ๆ บางคนอาสาไปหยิบยืมไม้กวาดกับที่ตักผงของบ้านใกล้ ๆ แถวนี้มาใช้ และมีบางคนเริ่มคิดว่า ควรจะหาตาข่ายมากันระหว่างสนามบอล ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นพื้นที่ว่างรกร้างติดถนนและทางเท้า ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีคนเกือบโดนลูกหลงจากการเตะพลาดหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคนเดินตามทางเท้า หรือรถจักรยานที่ขี่ผ่านมา แต่ก็มีรายของวาโยนี่ล่ะที่หนักสุด และทำให้ทุกคนเริ่มคิดว่าตนเองก็อาจจะซวยพลาดพลั้งเข้าได้สักวันเช่นเดียวกัน



อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มผมยาวซึ่งผูกมัดผมไว้เรียบร้อย กำลังยืนรอใครบางคนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตา อีกทั้งการแต่งกายที่ดูภูมิฐาน ทำให้ทั้งพนักงานในร้านและคนแถวนั้นต่างชำเลืองมองชายหนุ่มแทบตลอดเวลา จนกระทั่งรถยนต์สีดำราคาแพงคันหนึ่ง แล่นมาจอดเทียบทางเท้าบริเวณนั้น

“มาช้านะ...”

“ใครใช้ให้เดินมาเองแต่แรกกันเล่า”

เสียงบ่นดังขึ้นจากคนที่ลงมาจากรถ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมแว่นตาดำ แถมยังใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้าสีดำทั้งชุด แม้จะมีแว่นปิดบังแต่ดูจากโครงหน้าแล้ว บ่งบอกให้เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวนั้นค่อนข้างเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว

“แล้วแจกันหายไปไหน”

คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้

“อ๊ะ ...ลืมเก็บซากมาแฮะ ...แต่คิดว่าเด็กคนนั้นคงจะเก็บให้แล้วล่ะนะ”

คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังขมวดคิ้ว และก่อนที่ชายสวมแว่นตาดำจะซักต่อ ปวีร์ก็ตัดบท เพราะพวกเขาเริ่มเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้น

“ไปคุยกันในรถ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

คนฟังเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะทำเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็ยังยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ปวีร์ ส่วนตัวเองก็อ้อมไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับตามเดิม และขับรถออกไปจากบริเวณนั้น

“ตกลงจะเล่าได้หรือยัง!”

คนขับถามอย่างหงุดหงิด เพราะนั่งรถมาจนจะเลี้ยวเข้าเขตบ้านพักส่วนตัวของเขาและอีกฝ่าย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลยสักคำ

“ขี้โมโหจริง ๆ เลยนะนาย ...ไหน ๆ ก็ถึงบ้านแล้ว ไปเล่าในบ้านแทนแล้วกัน”

ปวีร์บอกยิ้ม ๆ และพอรถจอดเขาก็ลงเดินเรื่อย ๆ เข้าไปในห้องรับแขกของบ้านพักสองชั้นหลังใหญ่ตรงหน้า เจ้าตัวทิ้งร่างลงบนโซฟานุ่มตัวใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มในชุดสูทสุภาพที่นำน้ำเย็นมาเสิร์ฟทันที เมื่อเห็นเขา

“ขอบใจปยุต”

อีกฝ่ายโค้งให้อย่างสุภาพแล้วนำน้ำเย็นอีกแก้วเสิร์ฟให้คนที่เดินตามไล่หลังมา และทรุดกายลงนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม

“ขอบใจ”

ชายหนุ่มสวมแว่นตาดำหันไปขอบคุณชายในชุดสูท ก่อนที่จะหันมามองคนตรงหน้า แล้วถอดแว่นตาเก็บไว้ในกระเป๋า

“เล่าได้หรือยังล่ะทีนี้”

“หึ ๆ นายนี่ใจร้อนไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ราเมศ...อ๊ะ! อย่าทำตาดุใส่แบบนี้สิ ...เล่าก็ได้”

ปวีร์รีบบอกพร้อมยิ้มขำ ๆ แต่อีกคนนั้นไม่ขำด้วย ทางด้านปยุตพอหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ชายหนุ่มก็เดินเลี่ยงออกไป ปล่อยให้ทั้งคู่สนทนากันต่อตามลำพัง

“ฉันทำหลุดมือตกแตกไปแล้วล่ะ”

ปวีร์บอกพร้อมยักไหล่ แต่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง แล้วย้อนถามกลับเสียงเรียบ

“คนรอบคอบระมัดระวังตัวอย่างนายนี่นะ ทำของหล่นจากมือ ...แล้วยิ่งเป็นของสำคัญแบบนั้นด้วย”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูท่าจะซักไซ้สาเหตุไม่เลิกรา ก็ทำให้ปวีร์ต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วเล่าความจริงทั้งหมดออกไป

“นายคิดหรือว่าเขาจะไม่หนีไปเสียก่อน เงินจำนวนไม่น้อยเลยนะ แถมยังต้องมาทำงานใช้หนี้อีกตั้งนานแบบนั้น”

ราเมศเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อย ทว่าทางด้านปวีร์กลับไม่มีสีหน้าทุกข์ร้อน ตรงกันข้ามเขากลับดูสนุกสนานราวกับเจอของเล่นถูกใจเสียด้วยซ้ำ

“เห็นหน้านายแบบนี้แล้วไม่ค่อยไว้ใจเลย...คิด ๆ ดูแล้ว ฉันชักอยากให้เด็กนั่นหนีนายไปแทนเสียมากกว่าแล้วล่ะสิ”

ราเมศบ่นตามมาทำให้คนฟังหลุดหัวเราะ แล้วมองคนที่รู้จักเขาดีพอ ๆ กับตัวเองตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่แกล้งเขารุนแรงนักหรอก...แต่ฉันเชื่อนะ ว่าถ้านายได้เห็นเด็กนั่น นายก็ต้องถูกใจเขาเหมือนกัน”

ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ส่วนราเมศลอบถอนหายใจค่อย ๆ แล้วจึงขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยของร้านซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างตกแต่ง และตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักหลังนี้นัก ส่วนปวีร์ไม่ได้ตามไปด้วย ชายหนุ่มเดินตรงไปห้องทำงานของเขา หยิบแฟ้มสีแดงขนาดเอสี่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ ด้านในนั้นมีรูปและประวัติของชายหนุ่มอยู่หลายคน เจ้าตัวยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์แล้วจึงเอ่ยพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

“ในที่สุดก็เจอใบหน้าอีกแบบที่ชอบจนได้ ...เท่านี้บรรดาตุ๊กตาที่น่ารักของฉันก็ครบคอเล็คชันสักทีสินะ”




... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 23-07-2012 13:32:30
หยา~แนวโชเน็นฯ ชอบอ้ะ :laugh: 5555
ปกติคุณปัดจะแต่งแนวแฟนซีซะส่วนใหญ่ อิอิ
ยังไงก็รอตอนต่อไปด้วยคนคร๊าบบ :pig4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-07-2012 14:52:30
น่าสนุก มาต่อเร็ว ๆ นะ :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 23-07-2012 15:35:14
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 23-07-2012 16:32:13
โอ้วววว เปิดฮาเร็มสะสมหนุ่มๆหรอจ๊ะ

คาเฟ่อยู่แถวไหนเขาจะไป *0*
หัวข้อ: Re: Miracle Café ประเดิมตอนแรก 23/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 24-07-2012 07:43:26
 :a5:

จะกลายเป็นตุ๊กตาแล้วซะงั้น
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ Miracle Café ] : ตอนที่ 2 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-07-2012 12:54:13
มาต่อตอนที่ 2 แล้วค่ะ หนุ่ม ๆ เริ่มต่อคิวออกมาแนะนำตัวทีละคนสองคนแล้วค่ะ

.........................




Miracle Café /2



                วาโยเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าสุภาพที่สุดของเขาออกมา ลงท้ายเพื่อนร่วมห้องก็เสนอให้ชายหนุ่มใส่ชุดนักศึกษาไปแทน เพราะไม่ว่าจะหยิบเสื้อสีอะไรให้ดู อีกฝ่ายก็สั่นหน้าปฏิเสธไปเสียตลอด

                “ก็แค่สัมภาษณ์งานเป็นเด็กเสิร์ฟ จะกังวลอะไรมากนักวะ”

                จรัลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องบ่นใส่ แต่วาโยนั้นมีสีหน้ากังวลแล้วแย้งกลับ

                “แต่ฉันเป็นหนี้เขาอยู่นะ เกิดเขาไม่พอใจขึ้นมา แล้วไม่รับฉันเข้าทำงาน ฉันจะไปหาเงินที่ไหนมาใช้เขาได้... แล้วถ้าเขาเกิดเปลี่ยนใจเร่งรัดเอาดื้อ ๆ ขึ้นมาล่ะ ...โอย ถ้าพ่อแม่ฉันรู้เข้ามีหวังฉันโดนฆ่าทิ้งหมกสวนแน่”

                คนฟังมองเพื่อนสนิทบ่นอย่างนึกสมสารปนสมเพช เพราะดูเหมือนวาโยจะวิตกจริตเกินไปหน่อยแล้ว

                “เมื่อไหร่จะเลิกคิดมากเกินเหตุสักทีวะโย  ฉันว่าเขารับนายเข้าทำงานตั้งแต่เขาเสนอเรื่องงานขึ้นมาแล้วล่ะ ก็เห็นบอกว่าให้ไปเซ็นสัญญาด้วยเลยไม่ใช่หรือไง”

                จรัลเอ่ยเตือนสติอีกฝ่าย ทำให้วาโยใจเย็นลง และยิ้มขอบคุณเพื่อน ส่วนจรัลนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ แต่ในใจกลับคิดอะไรบางอย่างที่เขาคิดว่าไม่ควรบอกเพื่อนสนิทให้เป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง

                ‘….ถ้าเขาเดาไม่ผิด สายตาของปวีร์ที่มองเพื่อนของเขานี่ มันแฝงเลศนัยประหลาดบางอย่างชัด ๆ ...ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้มองวาโยในเชิงชู้สาว แบบหนุ่ม ๆ ที่มีรสนิยมผิดเพศออกไปชอบมองเพื่อนเขา ...ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้เอ่ยห้ามเพื่อนออกไปบ้างแล้วนั่นล่ะ’

                จรัลคิดในใจ แล้วเหลือบมองคนที่กำลังหยิบชุดนักศึกษาออกมารีดตรงหน้าอย่างนึกเป็นห่วง แม้จะชอบทำตัวไม่ใส่ใจในภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าใดนัก แต่เพราะโครงหน้าได้รูปสวย รวมไปถึงสรีระร่างกายค่อนข้างผอมเพรียว ที่แม้เจ้าตัวจะขยันออกกำลังกายรวมไปถึงกินนมแทบทุกวันเท่าไหร่ มันก็ไม่ค่อยดูล่ำมีกล้ามเนื้อกับเขาขึ้นมาสักนิดเลย นั่นจึงทำให้วาโยดูเหมือนเป็นคุณหนูคุณชายหยิบโหย่งเจ้าสำอางไปแทน  ทั้งที่จริง ๆ แล้วแทบจะตรงกันข้ามทุกอย่างด้วยซ้ำ 

                “ยังไงถ้าไปอยู่ประจำกับที่นั่นจริง ๆ ก็ระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน อย่าทำตัวเอ๋อ ๆ ไม่รู้เหนือรู้ใต้กับเขานัก ฉันเป็นห่วงนายว่ะ”

                จรัลลุกขึ้นตบบ่าเพื่อนสนิท และแม้จะรู้สึกทะแม่งกับคำพูดของอีกฝ่ายนัก แต่วาโยก็รู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วงตนเพียงใด และเพราะมีจรัลคอยเป็นเพื่อนนี่ล่ะ จึงทำให้เขาสามารถเรียนจบได้ปลอดภัย รอดปากเหยี่ยวปากกา จากบรรดาหนุ่ม ๆ ร่วมสถาบัน ที่คิดจะเข้ามาสานสัมพันธ์กับเขา ในแบบที่ให้ตายเขาก็ไม่มีวันยอมตกลงเด็ดขาด แต่แน่นอนว่าเพราะมีเพื่อนของเขาคอยเป็นก้าง และตัวเขาเองก็แสดงให้เห็นว่าไม่เล่นด้วย และยังชอบผู้หญิงแท้อยู่ จึงทำให้คนเหล่านั้นค่อย ๆ ถอยห่างออกไป... แต่หากเผลอเมื่อไหร่พวกนั้นก็เข้าหาถึงตัวได้ตลอดเหมือนกันนั่นล่ะ

                วาโยลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อหวนคิดถึงอดีตสมัยเรียนที่ผ่านมา จะว่าไปตั้งแต่สมัยประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย จนกระทั่งระดับมหาวิทยาลัย เขาก็ผ่านเหตุการณ์ชวนสยองขวัญต่อพรหมจรรย์ด้านหลังเขามาหลายรูปแบบ ทำให้เขาต้องตัดสินใจฟิตตัวเองให้แข็งแรง รวมถึงศึกษาวิชาต่อสู้ต่าง ๆ  จนสามารถต่อยผู้ชายตัวใหญ่กว่าลงไปกองได้สบาย แต่ก็นั่นล่ะ ทั้งที่ฟิตร่างกายขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมหุ่นของเขามันแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดก็ไม่รู้

                ทั้งวาโยและจรัลถอนหายใจยาวแทบพร้อมกัน จนทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง ก่อนต่างฝ่ายจะต่างหัวเราะแห้ง ๆ ให้กัน แล้วหันมาสนอกสนใจกับสิ่งที่ทำอยู่ แม้จะรู้สึกแปลกใจและอดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนนั้นกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม


                เช้าวันรุ่งขึ้น วาโยตื่นขึ้นมาแต่งกายและตรวจทานความเรียบร้อย เขาสะพายกระเป๋าใบเก่งสีดำพร้อมเอกสารสำคัญสำหรับสมัครงานเตรียมไว้ด้วย แม้ว่าทางปวีร์จะไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้เขาทราบก็ตาม

                “โชคดีนะเพื่อน ขอให้ได้งานนะ”

                จรัลออกมายืนส่งเพื่อนของเขาด้านล่าง แม้จะระแวงต่อพฤติกรรมของปวีร์อยู่บ้างก็ตาม แต่มองดูแล้วอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะใช่คนไม่ดีอะไรนัก...และที่สำคัญถ้าอีกฝ่ายมาร้ายจริง ๆ เขาคิดว่าเพื่อนของเขาก็คงสามารถป้องกันตัวเองได้บ้างนั่นล่ะ

                ชายหนุ่มพยายามไม่คิดมาก แล้วมองตามวาโยที่ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปแทนการเดิน จนลับสายตา จากนั้นเขาก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า แล้วเตรียมออกไปหางานทำบ้างเช่นเดียวกัน


                “จอดตรงร้านนั่นล่ะครับพี่...เท่าไหร่ครับ”

                วาโยบอกกับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง และเมื่ออีกฝ่ายจอด เจ้าตัวก็บอกราคากับชายหนุ่ม ซึ่งพอจ่ายแล้ว วาโยก็เดินเข้ามาในเขตร้านที่ตอนนี้มีกระดาษปิดกระจกจากด้านใน ไม่ให้มองเห็นจากด้านนอก แต่เท่าที่สังเกตสภาพของร้านน่าจะตกแต่งไปแล้วเกิน 90 % เป็นแน่

                “จะเข้าไปดีไหมเนี่ย...ไม่เห็นมีใครอยู่เลย”

                วาโยพึมพำแล้วตัดสินใจโทรศัพท์หาปวีร์  รอสักพักอีกฝ่ายก็รับสายของเขา

                “อ้าว มาถึงแล้วหรือ ...งั้นก็เข้ามาเลย อ้อมมาทางด้านหลังร้านนะ แล้วยืนรออยู่ก่อน เดี๋ยวผมออกไป”

                ปวีร์บอกแล้วก็ตัดสาย ทำให้วาโยต้องเดินอ้อมร้านไปทางด้านหลังตามที่อีกฝ่ายบอก เขายืนรอยู่ราวสิบนาที อีกฝ่ายก็มาถึง พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

                “มาไวกว่าที่คิด เลยไม่ได้มารอ ขอโทษที”

                ปวีร์ทักทาย ทำให้วาโยยิ้มแห้ง ๆ แล้วก้มหัวขอโทษ

                “ขอโทษทีครับ ผมกลัวสายก็เลยมาก่อนเวลาสักหน่อย”

                “ไม่เป็นไร ดีแล้ว เอ้าไปนั่งคุยในห้องทำงานผมดีกว่า ไปอ่านสัญญากันให้เรียบร้อย ถ้าพอใจก็ตกลงเซ็นแล้วย้ายของมาอยู่ที่นี่ได้เลย เพราะอาทิตย์หน้าร้านนี้ก็จะเปิดทำการแล้ว”

               ปวีร์บอกแล้วก็นำทางอีกฝ่ายเข้าไปในร้านซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองชั้น ...ห้องทำงานของปวีร์นั้นขึ้นบันไดวนไปบนชั้นสอง ในห้องค่อนข้างกว้างขวาง แถมยังตกแต่งไว้เรียบร้อยอย่างมีรสนิยม ทว่าริมห้องที่ถูกปล่อยว่างไว้นั้นมีแท่นสี่เหลี่ยมสีดำตั้งว่างไว้อยู่  วาโยจ้องมองมันอย่างประหลาดใจ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเจ้าของห้องเอ่ยขึ้น

                “ที่ตรงนั้นเตรียมไว้สำหรับแจกันใบเมื่อวาน ผมเที่ยวนั่งรถตามหาดูแต่ละร้าน จนในที่สุดก็พบจนได้ ถ้ามันไม่แตก ไปเสียก่อน มันจะเข้ากับห้องนี้ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว”

                พอได้ฟังวาโยก็ยิ่งรู้สึกผิด เขารีบโค้งศีรษะพลางเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายปลก ๆ จนปวีร์นึกขำ

                 “ไม่ต้องขอโทษขนาดนั้นหรอกน่า ก็ในเมื่อคุณตัดสินใจทำงานชดใช้หนี้แทนแบบนี้แล้วนี่...ใช่ไหม”

                “ครับ ผมจะทำครับ!”

                วาโยบอกอย่างหนักแน่น เพราะยังไงสำหรับตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า

                “ดี...งั้นอ่านสัญญา ‘ให้ละเอียด’ ถ้าทำได้ก็เซ็นรับ ...และจำไว้ล่ะว่า หลังจากวินาทีที่คุณเซ็นสัญญาแล้ว คุณก็ถือเป็นลูกจ้างของร้านเราตามกฎหมาย และจำต้องปฏิบัติตามกฎ ข้อบังคับ ของร้านทุกประการ ซึ่งในสัญญามีระบุไว้ให้อ่านหมดแล้ว”

                ปวีร์บอกพร้อมแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนมองรู้สึกสงสัย แต่เขาก็รับสัญญาฉบับนั้นมานั่งอ่านบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญให้นั่งลง

               เนื้อความในสัญญานั้นระบุ ชื่อ นามสกุลของผู้ที่จะทำสัญญา จำนวนเงินเดือน และกฎระเบียบข้อบังคับรวมไปถึงสวัสดิการต่าง ๆ ที่ลงไว้ค่อนข้างละเอียด และบทลงโทษต่าง ๆ หากผิดกฎร้าน หรือทำผิดสัญญาในนั้น วาโยอ่านเรื่อย ๆ จนมาถึงข้อตกลงพิเศษที่ด้านล่างสัญญา ชายหนุ่มชะงักก่อนจะเงยหน้าถามปวีร์อย่างไม่แน่ใจนัก

             “…เอ่อ ตรงข้อนี้ ที่ว่า...ลูกจ้างอนุญาตให้ผู้จ้าง ค้าขายหากำไรต่อยอดจากลูกจ้างได้ในทุก ๆ กรณี...มันหมายความว่ายังไงหรือครับ”

                ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงอธิบายออกไปตามตรง

                “คือทางผมตั้งใจว่า จะให้ร้านจัดอีเวนท์พิเศษ ประจำทุกเดือน  แล้วผมก็อาจจะเปิดให้ลูกค้าถ่ายรูปคู่กับพวกคุณบ้าง หรือขายรูปถ่ายพวกคุณในอีเวนท์นั้น ๆ บ้าง เพื่อหาเงินเข้าร้าน ซึ่งกรณีพวกนี้ นั่นก็คือเงื่อนไขในสัญญาข้อที่ว่านั่นล่ะครับ”

                วาโยกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าการกระทำดังกล่าวค่อนข้างละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอยู่บ้าง แต่พอมาหวนคิดดู ดี ๆ การถ่ายรูป หรือจัดอีเวนท์พิเศษหาเงินเข้าร้าน ก็นับเป็นเรื่องปกติที่พนักงานในร้านควรให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และการที่ปวีร์ชี้แจ้งรายละเอียดโดยไม่ปิดบังหมกเม็ดในสัญญาแต่แรก ก็ถือว่าอีกฝ่ายยุติธรรมพอสมควร

                “ครับ...พอจะเข้าใจแล้ว ...ถ้าอย่างนั้นผมเซ็นสัญญาเลยนะครับ”

                วาโยเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายอย่างลังเล ทางด้านปวีร์ยิ้มรับแล้วพยักหน้าค่อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาทั้งสองฉบับ โดยฉบับหนึ่งเก็บไว้กับเขา และอีกฉบับอยู่กับทางปวีร์

                “ดีมาก...ถ้าอย่างนั้น นับจากวินาทีนี้ไป คุณก็เป็นพนักงานของผมเต็มตัวแล้วนะวาโย ...ต่อไปเราจะปฏิบัติต่อกัน แบบนายจ้าง ลูกจ้าง ในเวลางาน และแบบพี่ น้อง นอกเวลางาน ...เข้าใจไหม”

                ปวีร์บอกคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วรอคอยคำตอบ วาโยจ้องอีกฝ่ายแล้วจึงพยักหน้ารับรู้

                “รับทราบครับ”

                “ดี...ถ้าอย่างนั้น ‘เธอ’ ก็เตรียมแพคของจากที่เก่าย้ายมาเลย ...เอาเฉพาะพวกเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวมาก็พอ เพราะที่ห้องพักของพนักงานมีเฟอร์นิเจอร์จำเป็นให้ใช้อยู่แล้ว”

                ปวีร์เปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่าย แม้วาโยจะค่อนข้างขัดหู เพราะรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่เรียกเด็กหรือไม่ก็เด็กผู้หญิง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นนายจ้างของเขา วาโยก็ไม่คิดจะค้านไม่ว่าปวีร์จะเรียกเขาแบบไหนก็ตาม

                “ครับ...เอ่อ แล้วผมจะขนของไปไว้ที่ไหนล่ะครับ”

                วาโยถามต่ออย่างสงสัย ซึ่งปวีร์ก็หัวเราะเบา ๆ แล้วบอกอีกฝ่าย

                “ขอโทษที ฉันลืมบอกไป ...มาสิ เดี๋ยวจะพาไปดูห้องนะ”

                ปวีร์บอกกับวาโยพร้อมเปลี่ยนสรรพนามแทนตนอย่างสนิทสนมมากขึ้น และเพราะสีหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายจึงทำให้วาโยรู้สึกสนิทใจด้วยได้ไม่ยากนัก



                ตึกสองชั้นซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังร้านมีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างอยู่ไม่น้อย แถมด้านนอกยังมีสนามสำหรับไว้เล่นบาส หรือฟุตบอลก็ได้ตามแต่จะดัดแปลง และยังมีพื้นที่ไว้สำหรับจอดรถ ซึ่งแบ่งสัดส่วนไว้สำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซด์รวมไปถึงจักรยานอย่างเรียบร้อย

                สำหรับชั้นล่าง ปวีร์อธิบายให้วาโยฟังว่า นอกจากจะมีห้องออกกำลังกายขนาดเล็กให้พนักงาน  ก็ยังมีห้องซักรีด  ห้องครัว และห้องอาหาร ที่พนักงานทุกคนจะต้องใช้รวมกัน  ส่วนห้องพักบนชั้นสองนั้น มีทั้งหมด 3 ห้อง และมีห้องน้ำในตัวห้อง แต่ละห้องจะให้พนักงานอยู่ร่วมกันห้องละสองคน

                “ของเธอเป็นห้องเบอร์สาม ...แป๊บนะ ...คุณนน ผมขอกุญแจห้องเบอร์สามให้ด้วยครับ”

                ปวีร์ที่เดินไปเคาะประตูกระจกห้องบานหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างและติดกับทางเข้า ‘บ้านพัก’ แห่งนี้

                “อ้าว คุณปวีร์ คนใหม่มาแล้วหรือครับ”

                ชายที่เปิดช่องประตูกระจกออกมา เป็นชายหนุ่มหน้าตาราวสามสิบต้น ๆ ท่าทางดูใจดี และอารมณ์ดี เพราะเขานั้นมีใบหน้ายิ้มแย้มชวนมองให้เสมอ แม้กับคนแปลกหน้าอย่างวาโยก็ตาม

                “ใช่ แต่ยังไม่เข้าตอนนี้หรอก เพราะเขาต้องกลับไปเอาของก่อน แต่ผมอยากให้กุญแจเขาไว้ก่อน แล้วก็พาเขามาดูสถานที่ล่วงหน้าด้วย”

                ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ซึ่งคนฟังก็ยิ้มตอบ แล้วจึงหันมาทางวาโย

                “ยินดีต้อนรับนะครับ คุณ...”

                “วาโยครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ!”

                วาโยรีบบอก พลางยิ้มตอบ แม้จะค่อนขัดเขินกับท่าทางที่ดูสุภาพของอีกฝ่ายซึ่งแสดงกับเขานักก็ตาม

                “คุณชานนเป็นผู้ดูแลบ้านพักหลังนี้  ถ้าเธอมีอะไรสงสัยก็ถามเขาได้ทุกเรื่อง”

                “อ๊ะ ครับ”

                วาโยหันมารับคำกับปวีร์ จากนั้นเขาก็รับกุญแจห้องที่มีหมายเลขห้องห้อยติดไว้ว่าเบอร์หกมาด้วย เจ้าตัวเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์อย่างดี ก่อนจะขอตัวลาทั้งสองไปเก็บของที่ห้องพักของตน ทว่าพอเดินไปเขาก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมาถามคนที่ยืนอยู่

                “เอ่อ...ผมต้องย้ายมาอยู่ที่นี่วันนี้เลยหรือเปล่าครับ ...คือว่า”

                วาโยอ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยต่อ เพราะเกรงว่าปวีร์จะไม่พอใจ

                “คุณปวีร์ครับ คนอื่น ๆ นอกจากผมคงยังไม่ย้ายกันมาคืนนี้หรอกครับ ถ้ายังไงให้เขามาวันพรุ่งนี้แทนไม่ดีกว่าหรือครับ”

                ชานนที่อ่านสีหน้านั้นของชายหนุ่มออกดีเอ่ยกับนายจ้างของเขา ปวีร์นิ่งคิดก่อนจะนึกบางอย่างได้ตามมา

                “อ้อ...จริงสิ ผมก็ลืมไป  ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณก็ไปล่ำลาเพื่อนฝูงร่วมห้องของคุณให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาที่นี่ก็ได้”

                วาโยแย้มยิ้มอย่างยินดี เขาเอ่ยขอบคุณทั้งชานน และปวีร์ แล้วจึงขอตัวกลับไปห้องพักเดิม และเมื่อลับร่างวาโยไปแล้ว ชานนก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

                “เป็นเด็กดีเหมือนที่คุณบอกไว้เลยนะครับ...น่าสนใจทีเดียว”

                “ใช่ไหมล่ะ ...แถมยัง ‘น่ารัก’ ตรงสเป็คผมอีกต่างหาก ทีนี้ผมก็สามารถสร้างคาเฟ่ในฝันของตัวเองได้สักที”

                ปวีร์บอกด้วยน้ำเสียงกึ่งขำ ทำให้คนฟังลอบถอนหายใจ นึกสงสารบรรดาชายหนุ่มที่จะเข้ามาทำงานในร้านของอีกฝ่าย ซึ่งเขามั่นใจว่า แต่ละรายนั้นย่อมไม่มีทางรู้แน่ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างในชีวิตการทำงานที่นี่



... TBC ...
หัวข้อ: Re: [ Miracle Café ] : ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 24-07-2012 14:54:42
 :-[ :-[ อร๊ายยยยย
ชอบแนวนี้
 
หัวข้อ: Re: [ Miracle Café ] : ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 24-07-2012 16:44:20
โอ้ยน่ารัก มากเลยค่ะ อยากอ่านต่อแล้วมาต่อเร็ว ๆ นะค่ะ   :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
 
หัวข้อ: Re: [ Miracle Café ] : ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-07-2012 17:41:13
คาเฟ่ที่นี่จะมีแต่หนุ่มๆหน้าตาดี ตั้งอยู่ตรงไหนนะ จะไปใช้บริการ :z1:
หัวข้อ: Re: [ Miracle Café ] : ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 24-07-2012 17:56:04
ทิ้งท้ายซ่ะน่ากลัว
แล้วจะเจอกับอะไรล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 24-07-2012 19:01:59
 :3123:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 24-07-2012 19:29:42
รอวันเปิดร้าน
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Mekaming ที่ 24-07-2012 19:39:58
รอวันเปิดร้านด้วยคนค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 24-07-2012 20:11:06
ไล่ตามเก็ยเหยื่อเพื่อคาเฟ่ในฝัน  :a3:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 24-07-2012 20:31:02
อยากจะไปใช้บริการคาเฟ่นี้จริงๆเลยค่ะ

หนุ่มๆๆๆๆ ><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 24-07-2012 21:01:26
โอ๊ะโอ~ เริ่มสนุกแล้วสิ  :z2: รอตอนต่อไปฮะ

ปล  :pig4: คุณคนแต่งครับผม
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 2 อัพเดท 24/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 24-07-2012 23:57:20
มันคงจะเป็นฮาเร็มน้อยๆของคุณปวีร์และคนอ่าน :o8:
คาเฟ่อยู่ที่ไหนนะ เปิดเมื่อไหร่จะไปยล ><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-07-2012 12:45:00
**ตอน 3 มาพร้อมกับหนุ่มคนใหม่ค่า ^^  และหนุ่มคนอื่น ๆ ก็จะทยอยกันมาแนะนำตัวกับผู้อ่านตามมาในตอนหน้า ๆ นะคะ (เรื่องนี้หนุ่มเพียบค่ะ แต่ตัวหลัก ๆ ในฮาเร็มจะอยู่ที่ 4- 5 คนค่ะ)



Miracle Café คาเฟ่อลวน คนอลเวง  /3




                หลังจากที่จรัลและเพื่อนคนอื่น ๆ ของวาโยจัดงานเลี้ยงโต้รุ่งให้กับชายหนุ่ม พอถึงตอนเช้าแต่ละคนนอกจากจรัลและวาโยที่ดื่มไปไม่มาก คนอื่นต่างก็หมดสภาพนอนสลบไสลไม่ได้สติกันถ้วนหน้า

                “ไอ้พวกนี้นี่ ทั้งที่บอกว่าจะตามไปส่งนายตอนเช้าแท้ ๆ แล้วดูสภาพพวกมันสิ!”

                จรัลบ่นอุบอย่างหงุดหงิด ส่วนวาโยมองเพื่อนฝูงของเขาอย่างนึกปลง แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยสักนิด

                “ช่างเหอะ แค่ที่มาเลี้ยงส่งกันเมื่อคืนก็พอแล้วล่ะ ส่วนของที่ต้องย้ายก็มีแค่สองกล่อง เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่ไปเองก็ได้”

                วาโยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้เพื่อนสนิทของเขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วตบบ่าอีกฝ่าย

                “ถ้ามันลำบากหรือมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจยังไง ก็ต้องรีบโทรมาบอกนะ ถ้าช่วยได้ฉันจะรีบไปช่วยทันทีเลยล่ะ”

                “อืม...ขอบใจมากนะเจ ที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด...ขอให้นายได้งานไว ๆ นะ ...และถ้าทางนั้นมีตำแหน่งว่าง บางทีฉันอาจจะลองขอคุณปวีร์ให้เรียกนายมาสัมภาษณ์ด้วยกันก็ได้”

                จรัลหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขายักไหล่นิด ๆ อย่างไม่ใส่ใจมากมายนัก

                “ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว อีกอย่างนิสัยแบบฉันไม่เหมาะกับงานบริการหรอก เผลอ ๆ จะได้ชวนลูกค้าทะเลาะเข้าให้”

                วาโยยิ้มแห้ง ๆ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นอย่างที่พูดมาจริง ๆ จากนั้นเขาและจรัลจึงยกกล่องกระดาษใบใหญ่ที่บรรจุเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวทั้งสองกล่องลงไปด้านล่าง และเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้านพักหลังใหม่ซึ่งเขาต้องไปอยู่หลังจากนี้

                “โชคดีนะเพื่อน ขอให้ใช้หนี้ได้หมดไว ๆ นะ ...แล้วอย่าลืมเก็บเงินไว้เสี่ยงโชคเดือนละใบล่ะ เผื่อจะฟลุกถูกหวยกับเขาบ้าง!”

                จรัลบอกกับเพื่อนสนิทก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวขึ้นรถหลังจากเอาสัมภาระไปเก็บไว้หลังรถแท็กซี่เรียบร้อย

                “อืม...จะเก็บไอเดียไว้พิจารณานะ”

                วาโยบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่คิดจะทำตามจริงจังอะไรมากมาย เพราะตัวเขานั้นไม่ค่อยจะมีดวงทางด้านพวกนี้นักนั่นเอง

                “พี่ครับ ไปส่งที่....นะครับ”

                วาโยบอกเป้าหมายกับแท็กซี่ และใช้เวลาเพียงไม่นานนัก พวกเขาก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดที่บ้านพักหลังใหม่ในที่สุด

                “ขอบคุณนะครับ”

                วาโยบอกกับคนขับแท็กซี่ที่ลงมาช่วยเขาขนของลงจากหลังรถ และเมื่ออีกฝ่ายขับกลับไปแล้ว วาโยก็มองกุญแจห้องพักที่ได้รับมา ก่อนจะตัดสินใจยกของขึ้นไปเก็บทีละกล่อง

                “อ้าว! คุณวาโย มาแล้วหรือครับ”

                ชานนที่เดินออกมาจากห้องพักส่วนตัวเพราะได้ยินเสียงรถยนต์เอ่ยทัก วาโยยิ้มน้อย ๆ แล้วพนมมือไหว้อีกฝ่าย เล่นเอาชานนยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

                “สวัสดีครับ ...เอ่อ มาแต่เช้าแบบนี้ รบกวนหรือเปล่าครับ”

                ชานนหัวเราะเบา ๆ กับคำถามที่แสดงความเกรงใจของอีกฝ่าย เขาโบกไม้โบกมือแล้วบอกกลับไปอย่างอารมณ์ดี

                “โอ๊ย ไม่รบกวนเลยครับ ที่สำคัญปกติผมตื่นค่อนข้างเช้าอยู่ ตีสี่ตีห้าก็ตื่นแล้วล่ะครับ”

                วาโยยิ้มแห้ง ๆ ให้ เพราะตีสี่ตีห้าสำหรับเขา มันยังไม่เรียกว่าเช้าด้วยซ้ำ

                “แล้วนั่นจะยกของขึ้นข้างบนเลยใช่ไหมครับ มาครับผมช่วย”

                ชานนบอกกับอีกฝ่ายแล้วตรงเข้าไปช่วยยกของโดยที่วาโยยังไม่ทันจะเอ่ยปฏิเสธเพราะเกรงใจด้วยซ้ำ

                “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลอยู่แล้ว”

                เหมือนชานนพอจะอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายออก และพอได้ยินดังนั้นวาโยก็ยิ้มออกมาเขิน ๆ

                “ครับ...ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะครับ”

                จากนั้นทั้งสองคนก็เดินยกของขึ้นไปบนห้อง และเพราะบันไดของบ้านพักค่อนข้างจะกว้างและไม่ชันมาก จึงทำให้การยกของขึ้นชั้นบนนั้นไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด

                “วางไว้หน้าห้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมยกเข้าไปเอง”

                วาโยรีบบอกเมื่อเห็นชานนยังคงยืนถือกล่องกระดาษของเขา เพื่อรอให้เขาไขกุญแจห้องเข้าไป

                “อย่างนั้นก็ได้ครับ ...งั้นผมวางไว้ตรงนี้นะครับ แล้วถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็เรียกผมได้เสมอนะครับ”

                ชานนบอกกับอีกฝ่ายและเมื่อวางของลงแล้วเขาก็ขอตัวกลับไปประจำที่ห้องพักส่วนตัวต่อ ด้านวาโยนั้นถอนหายใจเบา ๆ พอเห็นคนที่อายุมากกว่ามาคอยดูแลและสุภาพกับเขาแบบนี้ มันก็ทำเอาเขาวางตัวแทบไม่ค่อยถูกนัก


                พอเปิดประตูเข้ามา ห้องที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้วาโยอุทานเบา ๆ อย่างตกตะลึง  เพราะเฟอร์นิเจอร์ในห้องถูกจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงตัว แทบไม่ต่างจากห้องในโรงแรม หรือตามคอนโดหรู ผิดกับห้องพักราคาถูกที่เขาเคยเช่าอยู่ร่วมกับจรัลลิบลับ

                “สุดยอดเลย นี่มันโรงแรมดี ๆ นี่เอง!”

                วาโยสำรวจห้องส่วนตัวของเขาอย่างตื่นเต้น  นับตั้งแต่ก้าวเข้าห้องพักมา เขาก็ต้องพบกับตู้วางรองเท้าขนาดเล็ก และชั้นวางของหน้าห้อง พอเดินเข้ามาเล็กน้อย ซ้ายมือจะเป็นมุมโซฟาพักผ่อน และชั้นวางทีวี  รวมไปถึงตู้เย็นขนาดเล็ก ส่วนทางด้านขวามือนั้น มีโต๊ะญี่ปุ่น และเบาะรองนั่ง พร้อมหมอนใบโตวางซ้อนกันริมห้องหลายใบ มีผืนพรมหนาปูทับพื้นบริเวณนั้น และมีชั้นวางหนังสือติดผนัง ชนิดที่วาโยพอเห็นแล้วก็นึกอยากหาหนังสือมานอนอ่านบนพรมนั่นให้สบาย ๆ เสียเดี๋ยวนี้

                ถัดจากมุมรับแขกและมุมอ่านหนังสือแล้ว ด้านหน้าของชายหนุ่มนั้นมีประตูห้องสองห้อง วาโยลองเปิดดูทั้งสองห้อง ก็พบว่าข้างในนั้นเป็นห้องนอนที่จัดวางเตียงและข้าวของในลักษณะเดียวกัน

                “ห้องส่วนตัวในฝันเลยนะเนี่ย”

                วาโยพึมพำ หลังจากที่เขาเลือกห้องพักซึ่งอยู่ทางซ้าย พอเข้ามาข้างในนั้น เตียงเดี่ยวผ้าปูสีขาวสะอาดที่ตั้งขนานไปกับริมหน้าต่างบานใหญ่ก็ดึงดูดสายตาให้ชายหนุ่มขึ้นไปนั่งเล่นบนเตียงหนานุ่มนั้นอย่างสนอกสนใจ

                “นุ่มชะมัด”

                ชายหนุ่มพึมพำ แล้วสำรวจห้องพักของเขาต่อ เตียงของเขานั้นนอกจากด้านข้างจะขนานไปกับผนังฝั่งหน้าต่างห้อง ปลายเตียงเองก็ติดกำแพงห้องน้ำพอดี จนมองผ่าน ๆ เหมือนกับเป็นเตียงที่ฝังติดผนังห้องแทนเสียด้วยซ้ำ

                “ว้าว! มีอ่างอาบน้ำด้วย”

                คนที่สำรวจห้องน้ำต่อ ต้องอุทานอย่างตื่นเต้น เพราะนอกจากอ่างล้างหน้า และชักโครก ซึ่งมีฉากกั้นเป็นสัดส่วนแล้ว ก็ยังมีอ่างเล็ก ๆ พอดีคนหนึ่งคนลงไปแช่ พร้อมกับฝักบัวติดผนังด้านบนรวมไปถึงเครื่องทำน้ำอุ่นแถมให้อีกด้วย

                “สุดยอดเลย อยากชวนเจมาอยู่ด้วยชะมัด”

                วาโยพึมพำคิดถึงเพื่อนสนิทร่วมห้องของเขา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เพราะแม้จะมีเงินเดือนดี สวัสดิการดีเพียงใด แต่เขามั่นใจว่างานที่เงินดีขนาดนี้ คงไม่ใช่งานง่าย ๆ ที่จะทำแบบขอไปทีก็ได้เป็นแน่ ที่สำคัญเขายังมีหนี้สินก้อนโต ที่ต้องทำงานถึงกว่าสามปีจึงจะชดใช้จนหมดอีกด้วย

                “เก็บของก่อนดีกว่าแฮะ”

                วาโยบอกกับตัวเอง แล้วค่อย ๆ ทยอยยกกล่องกระดาษของเขาเข้าไปเก็บไว้ในห้อง เขาเก็บข้าวของสำคัญ พวกเอกสารต่าง ๆ ไว้ในลิ้นชักของชั้นวางเล็ก ๆ ข้างหัวเตียง ก่อนที่จะวางนาฬิกาปลุกคู่บุญที่ใช้มาตั้งแต่ตอนสมัยเรียนไว้บนชั้นวางนั่น  จากนั้นจึงหันมาให้ความสำคัญกับโต๊ะทำงานตัวเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้กัน เขาวางโน้ตบุคตัวเก่งที่ลำบากลำบนทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอมเก็บเงินซื้อมาไว้บนนั้น แล้วจึงหันไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเข้ามุม ซึ่งพอเปิดดูแล้วน่าจะใส่เสื้อผ้าได้อยู่มากมายหลายชุดเลยทีเดียว


                ทว่าระหว่างที่วาโยกำลังเก็บของอยู่นั้น เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อประตูห้องที่ปิดไว้ถูกเปิดพรวดเข้ามา

                “อ้าว...มีคนอยู่แล้วหรือ”

                ชายคนที่เข้ามาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หุ่นนักกีฬา ชนิดที่วาโยมองแล้ว ถึงกับรู้สึกอิจฉาในรูปร่างของอีกฝ่ายเป็นยิ่งนัก

                “เอ่อ...คือ”

                วาโยเตรียมจะถามว่าอีกฝ่ายคือใคร และดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว เขารีบบอกตามมาอย่างอารมณ์ดี

                “ฉันน่ะหรือ ฉันชื่อกวิน นายจะเรียกฉันว่า วิน ก็ได้  ว่าแต่นายคือรูมเมทของฉันสินะ”

                “คิดว่าอย่างนั้นล่ะครับ”

                วาโยตอบออกไปอย่างสุภาพ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง  กวินเดินเข้ามาใกล้ พลางจ้องหน้าวาโยอย่างพิจารณา แล้วถามอีกฝ่าย

                “นายอายุเท่าไหร่”

                วาโยมองคนถามอย่างสงสัยแต่ก็ยังคงตอบไปตามตรง

                “ยี่สิบสองครับ...”

                พอได้ยินดังนั้นคนฟังก็ตบบ่าวาโยค่อนข้างแรง จนชายหนุ่มสะดุ้ง

                “อายุก็เท่ากันกับฉันแท้ ๆ ไม่ต้องมาพูดจาสุภาพนักหรอก!”

                กวินบอกแล้วยิ้มกว้าง พร้อมกับรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย วาโยเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าตามมา

                “อืม...งั้นก็ได้”

                “ดีแล้ว!”

                กวินยิ้มรับ แล้วจึงสำรวจดูห้องของวาโยอย่างสนใจ ก่อนจะพึมพำขึ้น

                “ห้องสวยจัง อีกห้องจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่านะ”

                “อ้าว แล้วคุณ..เอ๊ย นายยังไม่ได้เข้าไปดูหรอกหรือ”

                วาโยถามอีกฝ่ายและเกือบจะทักไปอย่างสุภาพด้วยความเคยตัว

                “ยังเลย พอก้าวเข้าห้องก็เลี้ยวมาห้องนี้เลย ว่าแต่นายก็เลือกห้องนี้สินะ พวกเรานี่ใจตรงกันดีเนอะ น่าจะอยู่ร่วมห้องกันยืดอยู่ล่ะ”

                กวินบอกอย่างอารมณ์ดี แต่คำพูดของเขาทำให้วาโยรู้สึกเป็นกังวล และเอ่ยถามอีกฝ่ายไปเสียงแผ่ว

                “เอ่อ...ถ้ายังไงจะแลกห้องก็ได้นะ ฉันยังไม่ได้จัดอะไรเข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่หรอก”

                “เอ๋! ไม่ต้อง ๆ นายเก็บของเข้าที่ไปบ้างแล้วไม่ใช่หรือไง  อีกอย่างห้องอีกห้องก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ฉันอยู่ได้สบายอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก!”

                กวินบอกแล้วยิ้มกว้างให้ ทำเอาวาโยต้องยิ้มน้อย ๆ ตาม  เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรหลายอย่างคล้ายกับจรัลเพื่อนสนิทของเขา และทำให้รู้สึกสบายใจถ้าต้องใช้ชีวิตร่วมอยู่กับคนแบบนี้

                “ถ้าอย่างนั้นฉันไปจัดของบ้างดีกว่า ....อ๊ะ! จริงสิ ลืมได้ไงเนี่ย!”

                จู่ ๆ กวินก็โพล่งขึ้นเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาวาโยสะดุ้งเฮือก และยิ่งรู้สึกกังวลหนักไปอีกเมื่ออีกฝ่ายจ้องเขาเขม็ง แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจตามมาเมื่อกวินหลุดยิ้มออกมาได้ในที่สุด

                “ฉันลืมถามชื่อนายน่ะ  ตกลงนายชื่ออะไรหรือ”

                วาโยหลุดถอนหายใจอย่างลืมตัว แล้วจึงยิ้มตอบพร้อมกับแนะนำตัวเองออกไป

                “ฉันชื่อวาโย หรือจะเรียกโยก็ได้”

                “โอเค...โยสินะ เอาล่ะจำได้แล้ว หวังว่าเราคงเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีต่อกันนะ”

                กวินบอกแล้วยื่นมือมาตรงหน้า ทำให้วาโยต้องยื่นมือไปสัมผัสกับอีกฝ่าย จากนั้นชายหนุ่มผู้ร่าเริงก็ขอตัวไปจัดของที่ห้องพักของเขาบ้าง ทิ้งให้วาโยยืนนิ่งมองตามไล่หลังอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชะงักรู้สึกตัว แล้วรีบจัดของตัวเองให้เสร็จเช่นเดียวกัน


                เมื่อจัดของเสร็จเรียบร้อย วาโยก็ออกจากห้องนอนมานั่งที่ตรงมุมโต๊ะญี่ปุ่นของห้อง เขาเหลือบไปยังห้องทางด้านขวาซึ่งยังปิดประตูอยู่ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อประตูถูกเปิดพรวดออกมา พร้อมกับเจ้าของห้องที่พอเห็นเขาก็มีรอยยิ้มเป็นมิตรขึ้น

                “ไง! จัดของเสร็จแล้วหรือ”

                “อ่า...อืม”

                วาโยรับคำสั้น ๆ ยังคงทำตัวให้สนิทสนมแบบอีกฝ่ายทันทีเลยไม่ได้นัก

                “ฉันก็เสร็จแล้ว  ไม่ได้เอาอะไรมามากนอกจากเสื้อผ้า เพราะคุณเจ้าของเขาบอกว่ามีเฟอร์นิเจอร์ครบหมดแล้ว ซึ่งมันก็มีหมดแล้วจริง ๆ อย่างที่เขาบอกไว้ล่ะนะ”

                กวินพูดจบก็เดินมานั่งแหมะฝั่งตรงข้ามกับวาโย แล้วจ้องชายหนุ่มนิ่ง จนวาโยรู้สึกอึดอัด

                “มีอะไร...”

                วาโยพึมพำถาม เพราะอีกฝ่ายยังคงจ้องมองเขาไม่วางตา

                “อืม...รู้สึกว่านายน่ารักดีก็แค่นั้น”

                กวินบอกตรง ๆ แล้วยิ้มตาม แต่คนฟังไม่ได้ยิ้มด้วย แถมยังเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ ทว่าคนพูดไม่ได้สนใจ แถมยังชวนคุยต่อยืดยาวอีกต่างหาก

                “ก่อนหน้านั้นฉันเพิ่งทะเลาะกับเจ้านายเก่า เพราะกิ๊กเขามาเหล่ฉันเอง ฉันรำคาญก็เลยลาออกมาเสียเลย  แล้วก็บังเอิญไปเจอคุณเจ้าของร้านเข้าพอดี... ตอนที่ฉันถามว่าทำไมถึงชวนฉันมาทำงาน แถมยังให้เงินเดือนและสวัสดิการเยอะขนาดนี้ คุณเจ้าของร้านนั่นเขาตอบว่าไงรู้ไหม...เขาบอกว่าเขาชอบหน้าตาฉัน ทำเอาฉันอึ้งไปสักพัก แต่พอเขาบอกต่อว่า ร้านของเขาคัดคนทำงานด้วยหน้าตา ฉันก็เลยโล่งอกตามมา ...ก็นะ ฉันก็พอมั่นใจเรื่องหน้าตาตัวเองอยู่เหมือนกัน  แล้วพอได้เจอนาย ก็ทำให้ฉันมั่นใจในเรื่องที่เขาคัดคนที่หน้าตามากยิ่งขึ้นล่ะนะ... โชคดีไปเนอะ ที่พวกเราหน้าตาพอไปวัดไปวากับเขาได้น่ะ”

                พอพูดจบกวินก็ยิ้มกว้าง แต่วาโยนั้นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับ ทีแรกเขาคิดว่าตัวเองจะโดนอีกฝ่ายแซวว่าหน้าตาเหมือนผู้หญิง แต่พอได้ยินแบบนี้เขาก็พูดอะไรไม่ออก ทั้งที่เขาคิดว่าหน้าแบบนี้สำหรับผู้ชายมันคือปมด้อย แต่กลับกลายเป็นว่าเพราะหน้าของเขา ถึงทำให้เขาได้งานทำ ถึงจะเป็นงานที่ต้องทำเพราะชดใช้หนี้ก็ตาม

                “นายนี่เงียบจังน้า พูดไม่ค่อยเก่งล่ะสิ”

                กวินตั้งข้อสังเกต ทำเอาคนกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ชะงัก ก่อนจะตอบออกไป

                “นั่นเพราะนายพูดเก่งเกินไปต่างหาก”

                “ฮ่า ๆ ใครก็ว่าอย่างนั้น ...เอาเถอะ ถ้ารำคาญกันก็บอกนะ ฉันจะพยายามปรับตัว”

                วาโยมองคนตรงหน้าเขา แล้วก็หลุดยิ้มในแบบที่มักจะยิ้มให้เฉพาะกับคนสนิทกันออกมา

                “อืม...ฉันก็เหมือนกัน”

                กวินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบยิ้มรับ ชายหนุ่มบ่นตัวเองในใจที่ดันเผลอใจเต้นกับรอยยิ้มหวาน ๆ ของอีกฝ่าย ทั้งที่ก็รู้ว่าเจ้าตัวเป็นผู้ชายแท้ ๆ แบบนี้

                “ง่า...ฉันชักเริ่มหิวข้าวแล้วสิ เมื่อเช้ารีบมายังไม่ได้กินข้าวเลย นายว่าคุณผู้ดูแลข้างล่าง เขาจะมีข้าวเช้าให้เรากินไหมนะ”

                กวินรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ทางด้านวาโยพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างเช่นเดียวกัน

                “ลองไปดูกันไหมล่ะ ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ไปหาอะไรกินแถวนี้ก็ได้ ฉันรู้จักร้านอร่อย ๆ ถูก ๆ แถวนี้หลายร้านอยู่นะ”

                วาโยบอกอย่างเป็นมิตรมากกว่าเดิม ทำให้คนฟังยิ้มรับ แล้วลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือมาให้คนที่นั่งอยู่

                “ดี! งั้นก็ไปกัน”

                วาโยมองมือที่ยื่นมาให้เขา ก่อนจะยื่นมือของตนไปให้จับ กวินฉุดร่างโปร่งนั้นดึงขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วพวกเขาทั้งคู่จึงเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อหาอาหารเช้ากินกันต่อไป



... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 25-07-2012 14:00:29
โฮ๊ะ กวินแอบใจเต้นกับโยล่ะ

แ้ล้วคุณเจ้าของร้านจะใช่พระเอกไหม หรือเป็นกวิน

ติดตามต่อจ้าาา

แล้วจะมีหนุ่มคนไหนมาอีกเนี้ยย รอดูๆๆๆ ว้าววววว *0*
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-07-2012 17:45:56
อยากรู้ตอนต่อไปแล้ว มาต่อเร็ว ๆ นะค่ะ :bye2: :bye2: :bye2: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-07-2012 20:03:27
เดาเรื่องราวไม่ถูก ว่าจะเป็นงัยต่อไป จะดีหรือร้าย :z3:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 25-07-2012 21:44:37
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หนุ่มหน้าตาดีๆๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 3 อัพเดท 25/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 25-07-2012 23:29:34
เมทแอบใจเต้นอ่ะดิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 26-07-2012 00:06:50
แวะมาแปะตอนที่ 4 ค่ะ ^^

หนุ่มหน้าใหม่มาอีกรายแล้วจ้ะ เชิญเลือกสรรกันได้เลยค่ะ หุๆ 

------------------------------------------------------


Miracle Café /4




    พอลงมาชั้นล่างทั้งสองก็เห็นชานนออกมาจากห้องพอดี และพอพูดคุยสอบถามกันเรื่องอาหารเช้า ผู้ดูแลประจำบ้านพัก ก็บอกให้ทั้งคู่ไปนั่งรอหรือเดินเล่นตามอัธยาศัย แล้วเขาจะทำอาหารเช้าให้ทานเอง

    “เซอร์วิสดีเกินไปจริง ๆ ไม่รู้ว่าพอถึงวันเปิดร้าน พวกเราต้องทำอะไรกันบ้างนะ  นายคิดว่ายังไงล่ะโย”

    กวินหันมาถามคนที่นั่งรอข้าง ๆ เขา วาโยยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง

    “ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าเขาให้ทำอะไรก็คงต้องทำนั่นล่ะ ไหน ๆ ก็เซ็นสัญญามาแล้วนี่ แถมฉันยัง...”

    วาโยหยุดชะงักคำพูดแล้วมีสีหน้าลังเลว่าจะบอกไปดีไหม

    “ยังอะไร”

    กวินถามสวนกลับทันที แต่พอเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายเขาก็รีบบอกตามมา

    “ง่า...ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอโทษนะที่ฉันเสียมารยาทน่ะ”

    วาโยพอเห็นอีกฝ่ายขอโทษเขาก็รู้สึกไม่ดี แล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กวินฟัง พอฟังแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    “ลำบากแย่เลยนะนาย...หักไปเสียเดือนละแปดสิบเปอร์เซ็นต์นี่แทบจะไม่เหลือกินเลย...เอ แต่เอาจริง ๆ แล้วกินฟรี อยู่ฟรีแบบนี้ ก็คงพออยู่ได้ล่ะ ... อ้อ! ถ้าไม่โดนหักเงินเดือนซ้ำเพราะทำผิดกฎร้านล่ะก็นะ”

    ท้ายประโยคกวินนึกถึงบทลงโทษในข้อสัญญา ที่จะใช้การหักเงินจากเงินเดือนเมื่อทำผิดพลาด ซึ่งก็ลงรายละเอียดไว้พอควร จนเขาคิดว่าถ้าทำผิดมันเสียทุกข้อที่มีระบุไว้ คงได้ทำงานฟรีแทนในแต่ละเดือนเป็นแน่

    “ยังไงฉันก็จะพยายามนั่นล่ะ อีกอย่างก็เพื่อต้องการตอบแทนคุณปวีร์เขาด้วย เพราะนอกจากเขาจะไม่เร่งรัดให้ฉันใช้หนี้แล้ว เขายังหางานให้ทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นป่านนี้ฉันก็ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาใช้เขาเลยด้วยซ้ำ”

    กวินมองเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขาอย่างนึกชื่นชม ก่อนจะชะงักเมื่อได้กลิ่นหอม ๆ โชยเข้ามาใกล้ตัว

    “เสร็จแล้วครับอาหารเช้าง่าย ๆ พอทานได้ไหมครับ หรืออยากทานอะไรเพิ่มเติมก็ระบุได้นะครับ เดี๋ยวผมทำเพิ่มให้”

    ผู้ดูแลบ้านพักมาพร้อมกับสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาสองจาน ที่ใส่ทั้งเส้นเนื้อและผักมาเต็มที่ ทั้งสองคนซึ่งกำลังหิวกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขากล่าวขอบคุณอีกฝ่าย และพอได้ชิมคำแรก กวินก็โพล่งขึ้นทันที

    “อร่อยชะมัด! อร่อยจริง ๆ นะครับ ฝีมือคุณนี่เป็นพ่อครัวได้เลยนะครับเนี่ย!”

    ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวขอบคุณสำหรับคำชม ส่วนทางด้านวาโยเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน

    “อร่อยดีครับ เผ็ดกำลังดีไม่จัดจ้านไปนัก เนื้อนี่ก็นุ่มเคี้ยวง่าย ส่วนผักก็หวานกรอบอร่อย เข้ากันกับเส้นมากเลยครับ”

    วาโยเอ่ยชมตามมา ทำให้คนฟังหันไปมองแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

    “ขอบคุณครับ ดีใจนะครับที่ถูกปาก พอดีผมตั้งใจจะไปซื้อกับข้าวมาตุนไว้ในตอนสาย ๆ ตอนเช้านี้ก็เลยทำที่พอมีไปก่อนน่ะครับ”

    ทั้งสองคนรู้สึกทึ่งในตัวของผู้ดูแลบ้านพักยิ่งนัก และพอรู้ว่าวัตถุดิบมีจำกัด ก็ยิ่งชื่นชมฝีมือทำอาหารของชานนเข้าไปอีก

     “สำหรับอาหารของที่นี่ ถ้าเป็นวันทำงาน พนักงานทุกคนจะทานร่วมกันที่บ้านพักในตอนเช้า มื้อกลางวันจะทานที่ร้านในช่วงพักของแต่ละคน และหลังจากร้านปิด ก็จะทานมื้อเย็นพร้อมกันที่ร้านเลยน่ะครับ”

    ชานนอธิบายให้ทั้งคู่ฟังในระหว่างที่ทั้งสองกำลังทานอาหารกันอยู่ กวินและวาโยพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วก็ต้องอึ้งตามมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อ

    “สำหรับคู่มือพนักงานของร้าน ทางคุณปวีร์กำลังสั่งพิมพ์อยู่ และคาดว่าน่าจะพิมพ์เสร็จก่อนร้านเปิดสักสองสามวัน ในนั้นจะมีกฎ กติกา และระเบียบต่าง ๆ ในการทำงาน ตลอดจนกระทั่งการใช้ชีวิตในบ้านพักหลังนี้อย่างละเอียด รวมไปถึงวิธีการได้โบนัส และบทลงโทษต่าง ๆ เอาไว้ให้ศึกษากันด้วยนะครับ”

    กวินและวาโยมองตากันปริบ ๆ แต่ก็ต่างหันไปพยักหน้ารับรู้กับอีกฝ่ายตามเดิม และเป็นกวินที่พูดขึ้นมาก่อน

    “เข้าท่าดีเหมือนกันนะครับ เหมือนเป็นบทสรุปประกอบการเล่นเกมยังไงยังงั้นเลย”

    ชานนมองคนพูดยิ้ม ๆ แล้วทำท่านึก

    “เกมหรือครับ...จะว่าไป ‘ไอ้นั่น’ มันก็คล้ายกับการเล่นเกมจริง ๆ ด้วยนั่นล่ะครับ”

    “ไอ้นั่น?”

    ทั้งวาโยและกวินย้อนถามแทบจะพร้อมกัน ชานนหันมายิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่

    “ไว้พอถึงวันทำงานก็รู้เองล่ะครับ...”

    คำตอบที่ทำเอาคนฟังต้องทำตาปริบ ๆ อีกรอบ แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทางจะบอกอะไรเพิ่มเติม ทั้งคู่ก็ต้องยอมแพ้ และต่างก็อาสาล้างจานชามเก็บให้ โดยไม่สนคำพูดของชานนที่ว่านั่นมันเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลบ้านพัก

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นการตอบแทนสำหรับมื้อเช้าที่แสนอร่อย  ถ้าคุณกังวลล่ะก็ พวกผมขอค่าตอบแทนเป็นอาหารกลางวัน แบบเต็มฝีมือแทนก็แล้วกัน”

    กวินบอกกับชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มกว้างจริงใจ เช่นเดียวกับวาโยที่มีรอยยิ้มให้เขาด้วยเช่นกัน

    “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

    ชานนตอบรับคำยิ้ม ๆ รู้สึกชื่นชอบในตัวสมาชิกทั้งสองมากยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงที่ปวีร์นั้นคัดมาเองกับมือของอีกฝ่าย

    “งั้นผมขอตัวไปซื้อกับข้าวสำหรับวันนี้ก่อนนะครับ เพราะสมาชิกที่เหลืออีกสามคนโทรมาบอกว่า จะย้ายเข้ามาในวันนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมาช่วงไหน ยังไงถ้าผมไม่อยู่ก็ฝากพวกคุณช่วยดูด้วยนะครับ...”

    ชานนบอกกับทั้งสองพร้อมกับฝากกุญแจห้องเบอร์หนึ่งและสองไว้ที่ทั้งคู่ ซึ่งกวินและวาโยก็รับมาด้วยความเต็มใจ จากนั้นพอชานนออกไปซื้อกับข้าวแล้ว ทั้งสองคนจึงเลือกมานั่งเล่นที่ชุดโต๊ะรับแขกด้านนอกบ้านพัก ซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะยังเป็นเวลาเช้า ลมพัดเย็นสบาย และแดดไม่ค่อยแรงนัก

    “เพื่อนร่วมงานอีกสามคนจะเป็นคนยังไงบ้างนะ นายพอจะรู้บ้างไหม”

    กวินชวนวาโยคุย ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะปฏิเสธ

    “ไม่รู้เหมือนกัน ...แต่ก็หวังว่าคงจะทำงานเข้ากันได้ล่ะนะ”

    กวินยักไหล่นิด ๆ ส่วนตัวแล้วเขาไม่ค่อยมีปัญหาในการปรับตัวกับคนอื่นอยู่แล้ว ยกเว้นก็เฉพาะประเภทที่เขาไม่ถูกชะตาจริง ๆ แต่คนประเภทนั้นชายหนุ่มก็ไม่ค่อยได้เจอบ่อยเท่าใดนัก

   

    เสียงรถยนต์ที่เข้ามาจอดทำให้ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งกำลังคุยกันหันไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นปวีร์เดินนำใครคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมบางไม่แพ้วาโยเข้ามา แต่อีกฝ่ายนั้นตัวสูงกว่าวาโยเล็กน้อย  แถมยังมีรูปหน้าที่สวยมาก ทว่ากลับดูค่อนข้างเย็นชานิ่งเฉย แม้กระทั่งยามที่ปวีร์นำเจ้าตัวมาพบกับพวกเขาก็ตาม

    “สวัสดีวาโย กวิน ทั้งสองคนรู้จักทักทายกันดีแล้วสินะ”

    ปวีร์เอ่ยถามชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าเขา กวินและวาโยยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมพยักหน้า เห็นดังนั้นปวีร์จึงยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ

    “เข้ากันได้ก็ดีแล้ว...อ๊ะ จริงสิ นี่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเธอเหมือนกัน เขาชื่อ การิน เป็นหลานชายของฉันเอง ฝากด้วยล่ะ แล้วถ้าหมอนี่อาละวาดอะไรก็จัดการได้ตามสบายเท่าที่บทลงโทษของพนักงานจะเอื้ออำนวยล่ะนะ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นหลานฉันแล้วจะต้องดูแลประคบประหงมอะไรนักหรอก”

    ปวีร์บอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริง แต่คนหน้าสวยที่อยู่ใกล้ ๆ กลับมีใบหน้าบึ้งตึงลง จนวาโยที่มองอยู่ลอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยตัดบทเสียก่อน

    “แล้วคุณการินอยู่ห้องไหนล่ะครับ เดี๋ยวผมจะได้เอากุญแจห้องให้ เพราะคุณชานนฝากกุญแจไว้ ส่วนตัวคุณชานนเองตอนนี้กำลังออกไปซื้อกับข้าวมาไว้สำหรับมื้อกลางวันและเย็นของวันนี้น่ะครับ”

    การินหันมามองวาโยแล้วจ้องดูอีกฝ่ายที่อายุก็น่าจะไล่เลี่ยกับเขา แต่กลับพูดจาสุภาพด้วย แต่เมื่อชายหนุ่มสังเกตดูแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้คิดประจบประแจงเขาอย่างที่เข้าใจ การินจึงคลายใบหน้าบึ้งตึงลงแล้วเอ่ยตอบเรียบ ๆ

    “ห้องไหนก็ได้ที่ไม่ต้องมีรูมเมท”

    คนฟังชะงักก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ แล้วเหลือบไปมองปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าวาโยคิดอะไรอยู่

    “หมอนี่เขาไม่ค่อยชอบเข้าสังคมน่ะ เลยต้องจับมาฝึกงานแบบนี้นั่นล่ะ พ่อแม่เขาฝากเอาไว้ ...ส่วนห้องก็เอาห้องเบอร์ 2 ให้เขาก็ได้ แล้วถ้าอีกสองคนมาก็ให้ห้องเบอร์ 1 ไปแล้วกัน สองคนนั่นไม่ค่อยเรื่องมากเหมือนเด็กคนนี้เท่าไหร่นักหรอก”

    วาโยฟังคนที่นินทาหลานซึ่ง ๆ หน้า แล้วกลืนน้ำลายลงคอ พลางเหลือบมองการินที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ

    “อ้อ! อย่าลืมไปขนของที่ท้ายรถของฉันเองด้วยล่ะ  แต่ถ้าจะให้ฉันช่วยขนล่ะก็ อย่าลืมจ่ายค่าตอบแทนมาด้วยแล้วกัน”

    ปวีร์บอกกับหลานชายที่รับกุญแจห้องมาแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเดินกลับขึ้นไปพักบนห้องเลยเสียอย่างนั้น

    “ถ้ายังไงผมช่วยขนให้ก็ได้นะครับ”

    วาโยรีบอาสาเพราะเกรงว่าจะเกิดศึกระหว่างญาติด้วยกันเข้าให้เสียก่อน

    “แค่ของตัวเองยังไม่มีปัญญาถือ แล้วจะทำงานเสิร์ฟไหวหรือ ดูท่าทางก็บอบบางเสียขนาดนั้น”

    น้ำเสียงที่เปรยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ทำให้วาโยหันกลับไปมอง คนพูดไม่ใช่ปวีร์แต่กลับเป็นกวินที่มองไปทางการินด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก

    “เฮ้...กวินพูดแบบนั้นไม่ดีนะ”

    วาโยเอ่ยเตือนอีกฝ่าย เพราะถึงการินจะไม่ใช่หลานชายของปวีร์ แต่การพูดใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ มันก็ออกจะเป็นการหาเรื่องกันเกินไป

    “ฉันก็แค่พูดความจริง ...เขาจะมาทำงานร่วมกับพวกเราไม่ใช่หรือครับ แล้วถ้าไม่คิดสนใจใครเลย จะทำงานด้วยกันได้ยังไง”

    กวินตอบวาโยแล้วหันไปย้อนถามปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร ตรงกันข้ามกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ เพราะจากการที่พูดคุยสัมภาษณ์อีกฝ่ายไปบ้างแล้ว ก็พอทำให้เขาเข้าใจอุปนิสัยของคนตรงหน้าอยู่บ้าง  เพราะกวินค่อนข้างจะเป็นคนที่เปิดเผยพอสมควร

    “ก็ถูกของเธอ...แล้วเราจะว่ายังไงล่ะริน”

    การินเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความโกรธ ที่ต้องมาถูกคนไม่รู้จักต่อว่าแบบนี้ ทว่าเขาก็เถียงกลับไปไม่ออก เพราะสิ่งที่กวินพูดมาก็มีส่วนถูก ชายหนุ่มทำได้แค่ตวัดสายตาค้อนใส่แล้วเดินกระแทกเท้าไปถือกระเป๋าเสื้อผ้าหลังรถมาสะพายไหล่ แล้วแบกกล่องที่ใส่ข้าวของอื่น ๆ ที่เหลืออีกหนึ่งกล่องเดินไปอย่างทุลักทุเล เพราะกล่องนั่นค่อนข้างใหญ่ และกระเป๋าก็ใหญ่เทอะทะอยู่มาก

    “ผมช่วยดีกว่า...ถือไปคนเดียวแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

    วาโยรีบเข้าไปช่วยเพราะเกรงว่าการินจะก้าวพลาดกลิ้งตกบันไดเสียก่อน

    “ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันถือไหว... ขืนให้นายช่วย เดี๋ยวใครบางคนเขาจะบ่นตามมาได้อีก”

    การินบอกเสียงห้วนและไม่ยอมให้วาโยช่วย ทางด้านปวีร์มองหลานชายและอีกคนอย่างสนใจ ส่วนกวินนั้นทำเสียงฮึในลำคอ แล้วเดินไปดึงกล่องในมือของการินมาถือเสียเอง และเพราะรูปร่างและส่วนสูงของชายหนุ่ม จึงทำให้ถือกล่องใบใหญ่นั่นได้อย่างไม่มีปัญหานัก

    “นายทำอะไร!”

    การินตวาดใส่อย่างหงุดหงิด แต่กวินนั้นสวนย้อนกลับไปในทันที

    “ก็ช่วยถือไง ตัวนิดเดียวจะแบกไปทีเดียวยังไงไหว  รู้หรอกว่าประชด แต่ทำอะไรให้มันรู้จักลิมิตตัวเองบ้างเถอะ!”

    “นาย! หุบปากไปเลยนะ แล้วเอาของฉันคืนมาด้วย!”

    การินตวาดด้วยความโมโห แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะโต้เถียงกันไปมากกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ตะโกนดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “หยุดเถียงไร้สาระกันได้แล้ว!”

    ทั้งสองคนเงียบกริบ แล้วหันมามองที่คนพูดด้วยสายตาอึ้ง ๆ

    “ไม่รู้หรอกว่าหมั่นไส้อะไรกัน แต่พวกเราต้องทำงานด้วยกัน แล้วก็พักร่วมบ้านกันนับจากนี้ไป ถ้าไม่พอใจอะไรก็มานั่งคุยกันทีหลังให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไปเก็บของให้เรียบร้อยก่อน มายืนทะเลาะกันตรงบันไดแบบนี้ พลาดพลั้งตกลงไปแล้วบาดเจ็บจะทำยังไง ไม่ใช่แค่ตัวเองต้องลำบาก พ่อแม่พี่น้องและคนอื่นที่ต้องคอยดูแลก็ลำบากด้วยไม่ใช่หรือไง!”

    วาโยที่ตวาดออกไปยืดยาวพักหยุดหายใจ แล้วปั้นหน้าบึ้งจ้องทั้งคู่เขม็ง ทางด้านกวินกับการินหลังจากได้สติ ทั้งคู่ต่างก็หันมาสบตา จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ไล่เลี่ยกัน

    “โอเค ๆ เลิกทะเลาะกันก็ได้... งั้นเดี๋ยวฉันช่วยถือกล่องนี่ไปส่งที่ห้องนายแล้วกัน”

    กวินเอ่ยขึ้นก่อน ส่วนการินนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณเบา ๆ ทำให้วาโยที่จ้องมองทั้งคู่อยู่ยิ้มออก ส่วนทางด้านปวีร์ที่จับตามองอยู่หลังจากนิ่งอึ้งไปสักพัก พอตั้งสติได้เจ้าตัวก็หันไปลอบหัวเราะอย่างถูกใจ แล้วพึมพำกับตัวเองตามมา

    “ดีเยี่ยมกว่าที่คิดเสียอีกแฮะ...อย่างนี้ค่อยคุ้มค่ากับแจกันที่แตกไปหน่อย”

   

    หลังจากเข้ามาในห้อง กวินและวาโยก็พบว่าการตกแต่งของห้องเบอร์สองนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากห้องพวกเขาเท่าใดนัก มีเพียงสีผนังห้องเท่านั้นที่แตกต่างออกไป ห้องของพวกเขาเป็นสีฟ้าอ่อน ส่วนห้องนี้ออกสีเขียวอ่อนสบายตา

    “นอนคนเดียวเหงาแย่เลย ถ้าอยากได้เพื่อนคุยไปหาพวกผมที่ห้องเบอร์สามได้ทุกเมื่อนะครับ”

    วาโยบอกกับการินพร้อมรอยยิ้มจริงใจไร้การเสแสร้ง ทำให้การินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ

    “อีกแล้วนะโย...อายุอานามหมอนี่ก็คงไม่ต่างจากพวกเรานักหรอก ทำไมนายถึงชอบพูดสุภาพกับคนอื่นนักนะ”

    เสียงกวินที่แทรกขัดมาทำให้วาโยสะดุ้ง แต่คราวนี้คำพูดของกวินก็ตรงกับใจของการินพอดี ชายหนุ่มจึงไม่ได้แย้งอะไรออกไป

    “ก็คนเพิ่งรู้จักกันจะให้ไปพูดจาสนิทสนมกับเขาได้ยังไง...ถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมามันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ...ถ้าเจ้าตัวอนุญาตแล้วก็ไปอย่าง”

    วาโยแก้ตัวและพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเขานั้นแสดงออกอย่างคนปกติทั่วไป ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด

    “ถ้าอย่างนั้นก็พูดธรรมดาเถอะ ฉันไม่ถือหรอก”

    การินเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทำให้วาโยชะงักแล้วหันไปมองอย่างลังเล

    “จะดีหรือครับ...ง่า...งั้นก็ได้”

    วาโยรีบรับคำเพราะไม่เพียงแต่แววตาคมกริบคาดคั้นของการิน  กวินเองก็ยังจ้องเขาเขม็งด้วยเช่นกัน

    “หึ... นายนี่อะไรก็ดี เสียอย่างเดียวชอบเกรงใจไม่เข้าเรื่อง ...อ้อ! แต่เมื่อครู่นี้น่ากลัวมากเลยนะ ปกติหลุดโกรธแบบนั้นบ่อยหรือเปล่าน่ะ”

    กวินที่เห็นว่าวาโยยอมพูดกับการินตามปกติเหมือนพูดกับตนแล้ว จึงชวนชายหนุ่มคุย ซึ่งเนื้อหาที่ชวนคุยก็ทำให้คนฟังยิ้มแห้ง ๆ พลางนึกบ่นตัวเองที่ดันเผลอโกรธจนหลุดตวาดทั้งสองเข้าให้แบบนั้น

    “ก็นาน ๆ ที... ไม่ค่อยอยากเห็นใครทะเลาะกันต่อหน้า โดยเฉพาะยิ่งเป็นเพื่อนกันทั้งคู่ด้วยแล้วล่ะนะ”

    วาโยบอกไปตามตรง ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วต่างมีปฏิกิริยาตามมาหลังจากนั้น กวินหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนการินนั้นหลุดยิ้มน้อย ๆ

    “นายนี่นิสัยแปลกดี แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยล่ะนะ”

    กวินเอ่ยชมพร้อมยิ้มกว้างให้ แต่วาโยกลับมีสีหน้าทะแม่ง ๆ มองไปที่การินซึ่งอีกฝ่ายพอรู้สึกตัวว่าโดนจ้องเขาก็รีบหุบยิ้มแล้วปั้นหน้านิ่งเฉยต่อ

    “งั้นพวกเราไปรอข้างล่างล่ะนะ ถ้านายจัดของเสร็จแล้วอยากลงมาแจมก็มาแล้วกัน เรายังต้องรอสมาชิกอีกสองคน ก่อนที่คุณคนดูแลจะกลับมาน่ะ”

    กวินลุกขึ้นยืนแล้วหันไปบอกการิน ซึ่งอีกฝ่ายก็เงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ สร้างความพึงพอใจให้คนชวนยิ่งนัก ส่วนวาโยมองทั้งสองที่ดูเหมือนจะดีกันได้แล้วก็รู้สึกโล่งอก เขาหันไปยิ้มแล้วกล่าวลาการินก่อนจะเดินตามเพื่อนร่วมห้องของตนไป

     ทางด้านเจ้าของห้องเองนั้นก็เฝ้ามองคนทั้งคู่จนลับสายตา แล้วจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เจ้าความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อครั้งที่รู้ว่าจะต้องมาทำงานกับผู้เป็นอาเริ่มลดน้อยลงทีละนิด และเริ่มถูกแทนที่ด้วยความสนใจในบางสิ่ง จนทำให้เขาคิดว่า บางทีการมาฝึกงานในครั้งนี้ มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เคยคาดคิดเอาไว้ก็เป็นได้

   
… TBC…
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 26-07-2012 08:59:31
กวินกับการิน เกิดมาคู่กันป่าวนี้

55555 โยโกรธแล้วน่ากลัวเนอะ

หุหุ รออีกสองคนๆๆ ปูเสื่อๆๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 26-07-2012 09:34:54
เชียร์กวิน-การิน อิอิ :z2:
รอตอนต่อไปครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 26-07-2012 10:42:22
กรี๊ดมากค่ะ น่ารักอ่ะชอบวาโย

แต่อ่านแล้วสำนวนคุ้นๆ ไม่ทราบว่าเคยแต่งเรื่องในเด็กดีหรือเปล่าคะ

^^ เห็นชื่อปัดเหมือนกันด้วย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 26-07-2012 12:02:02
กวินกับการินแน่เลย
ส่วนโยก็คูกับเจ้านานฮ่าๆ
เหลืออีก2คน คงกินกันเอง
อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 26-07-2012 12:11:30
กรี๊ดมากค่ะ น่ารักอ่ะชอบวาโย

แต่อ่านแล้วสำนวนคุ้นๆ ไม่ทราบว่าเคยแต่งเรื่องในเด็กดีหรือเปล่าคะ

^^ เห็นชื่อปัดเหมือนกันด้วย

ในเด็กดี มายไอดีใช้ชื่อ ปัทม์ ค่ะ (pat104)  แต่งเรื่องยาว ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีอาทิเช่น เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต  เครื่องรางพิศวง  D.D. บริษัทขนส่งไม่จำกัด เป็นต้นค่ะ   (ส่วนใหญ่ที่ลงในนั้นจะเป็นแนวแฟนตาซีแทบทั้งนั้นค่ะ)



งั้นก็เข้าใจถูกแล้วสินะคะ ^^ ตามอ่านในเด็กดีด้วยเหมือนกัน

อ่านทั้ง 2 เรื่องเลยค่า สนุกมาก

เรื่องที่ลงในนี้ส่วนใหญ่ก็ตามอ่านเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^^

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 26-07-2012 12:58:44
ในเด็กดี มายไอดีใช้ชื่อ ปัทม์ ค่ะ (pat104)  แต่งเรื่องยาว ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีอาทิเช่น เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต  เครื่องรางพิศวง  D.D. บริษัทขนส่งไม่จำกัด เป็นต้นค่ะ   (ส่วนใหญ่ที่ลงในนั้นจะเป็นแนวแฟนตาซีแทบทั้งนั้นค่ะ)


งั้นก็เข้าใจถูกแล้วสินะคะ ^^ ตามอ่านในเด็กดีด้วยเหมือนกัน

อ่านทั้ง 2 เรื่องเลยค่า สนุกมาก

เรื่องที่ลงในนี้ส่วนใหญ่ก็ตามอ่านเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 4 อัพเดท 26/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 26-07-2012 17:08:35
เพิ่มมาอีก1หนุ่ม(หน้าสวย)
กวิน หาริน ชื่อคล้ายๆ กัน มีแววจะคุ๋มั้ยไม่รุ้
แต่คงมีการกัดกันบ่อย(รึป่าว)

รอหนุ่มคนต่อไป
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 5 อัพเดท 27/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-07-2012 14:34:49
หนุ่ม ๆ ในร้านมากันครบแล้วค่ะ ^^
ที่เหลือก็รอวันเปิดร้าน อีกไม่กี่ตอนแล้วจ้ะ   

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะมาทักทายกันนะคะ  :pig4:


Miracle Café /5



   วาโยกับกวินนั่งรออยู่สักพักการินก็ลงมาสมทบ ส่วนปวีร์นั้นกลับไปตั้งแต่ที่ส่งการินขึ้นห้องไปแล้ว หลังจากนั้นทั้งสามก็รออยู่สักพัก พวกเขาจึงเห็นชานนเดินกลับมาพร้อมกับข้าวถุงใหญ่ ทว่าชายหนุ่มนั้นไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขามีชายหนุ่มอีกสองคนต่างฝ่ายต่างก็สะพายกระเป๋าย่ามใบใหญ่ มากันคนละใบ

    ชายทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างสูงเพรียวได้สัดส่วนชนิดที่เรียกได้ว่าหุ่นนายแบบ แถมยังหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตาและดูเหมือนจะมีเชื้อต่างชาติปนอยู่ด้วย เพราะผมของเจ้าตัวนั้นจะออกสีน้ำตาลอ่อน แถมดวงตายังมีสีเขียวใสผิดแปลกจากคนไทยทั่วไป  ส่วนอีกคนที่เดินมาด้วยกัน ก็สูงไล่เลี่ยกันไม่มากนัก แต่บุคลิกกลับแตกต่างคนละแบบ เพราะเจ้าตัวดูสุขุมนุ่มลึก ใบหน้าใต้แว่นตากรอบดำก็ดูดี และมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้ เมื่อเห็นว่ามีใครกำลังมองตนอยู่

   “พอดีผมเจอทั้งสองคนด้านนอกนั่น เลยชวนเข้ามาด้วยกันเสียเลยน่ะครับ”

   ชานนอธิบายกับทั้งสามคนที่มองอยู่ การินกับวาโยพยักหน้ารับรู้ แต่กวินนั้นพึมพำกับตัวเองค่อนข้างดัง

   “คุณเจ้าของร้านนั่นเขาจะเปิดโฮสต์คลับหรือไง ...คัดพนักงานมาแต่ละคนนี่เอามาเป็นดาราได้สบาย ๆ”   

   วาโยหันไปมองรูมเมทตาปริบ ๆ แล้วลอบมองแต่ละคนที่ยืนอยู่ พอมาคิดถึงตัวเองก็รู้สึกว่าตนนั้นช่างแตกต่างเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะทำแจกันใบนั้นตกแตก ก็คงไม่ได้มาทำงานร่วมกับคนอื่นที่นี่แน่

   “เอ้า! นี่กุญแจห้อง ...พวกคุณอายุมากกว่าพวกเราสินะ”

   กวินที่ยื่นกุญแจห้องเบอร์หนึ่งทั้งสองดอกส่งให้สมาชิกที่เพิ่งมาใหม่ เอ่ยถาม ทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองทีละคน

   “ฉันชื่อภูริ อายุ  23  รู้จักกับคุณปวีร์ตอนเขาไปดื่มที่คลับ ฉันเป็นนักดนตรีอยู่ที่นั่นน่ะ คุณปวีร์เขาชวนมาทำงานที่นี่ แล้วฉันก็เห็นเงินเดือนกับสวัสดิการมันดี ฉันเลยตกลงมาทำงานกับเขา พวกนายจะเรียกชื่อฉันเฉย ๆ ก็ได้ เพราะดูแล้วพวกนายก็อายุห่างกับฉันไม่มากไม่ใช่หรือ”

   “พวกเราอายุ 22 ...นายด้วยหรือเปล่าริน”

   การินมองคนที่ตีสนิทเรียกชื่อเล่นของเขาโดยไม่ได้ขอ ตาปริบ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายยังหาเรื่องเขาอยู่แท้ ๆ

   “อืม”  ชายหนุ่มหน้าสวยรับคำสั้น ๆ ทางด้านกวินพอได้คำตอบก็หันไปมองภูริและอีกคนต่อ

   “ส่วนฉันชื่อรุจ  ฉันอายุ 24 มากกว่าพวกนายก็จริง แต่ฉันเองก็ไม่ถือหรอกถ้าจะเรียกชื่อกันเฉย ๆ น่ะ”

   รุจบอกแล้วยิ้มแย้มอย่างใจดี จากนั้นชายหนุ่มก็รับกุญแจห้องจากกวินมาเช่นเดียวกับภูริ ส่วนชานนนั้นบอกกับทุกคนว่าถ้าใกล้เที่ยงและเตรียมอาหารเสร็จแล้ว เขาจะไปตามที่ห้องอีกที

   “งั้นไปนั่งเล่นในห้องดีกว่า ...นี่ถ้าฉันรู้ว่ามีตู้หนังสือใหญ่แบบนั้นให้ด้วย ฉันขนการ์ตูนจากบ้านมาไว้ด้วยก็ดี”

   กวินบอกขณะที่เดินกลับขึ้นไปบนห้องพักเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

   “ฉันว่าแทนที่จะเอาหนังสือพวกนั้นมาวาง นายน่าจะไปหาพวกหนังสือมารยาท หรือหนังสือเกี่ยวกับงานบริการมาอ่านเสียมากกว่าล่ะนะ”

   การินเปรยอย่างหมั่นไส้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ค่อยถูกชะตาคนอย่างกวินนัก

   “งั้นห้องนายก็คงต้องมีแต่หนังสือแนว วิธีสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือ การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้คน วางเต็มไปหมดล่ะสินะ”

   กวินสวนพร้อมกับยิ้มเยาะ ทั้งที่มั่นใจตัวเองว่าเขาสามารถปรับตัวเข้าได้กับคนทุกประเภท แต่พอเจอคนแบบการิน มันก็ทำให้เขาอดหมั่นไส้และชวนที่จะคอยหาเรื่องไม่ได้สักที

   “...ทั้งสองคน ไปนั่งคุยในห้องกันดีไหม”

   วาโยที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยจะดีเอ่ยขึ้น พร้อมปั้นยิ้มเยือกเย็น ทำเอาการินกับกวินสะดุ้ง แล้วสบตากันก่อนจะต่างฝ่ายต่างสะบัดหน้าคนละทางแล้วเดินขึ้นไปเงียบ ๆ สร้างความเหนื่อยใจให้กับคนกลางอย่างวาโยยิ่งนัก

   “อะไรของเขาไม่รู้คู่นี้ เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวดีกัน ...น่าปวดหัวแท้ ๆ”

   วาโยพึมพำกับตัวเองก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนที่เดินตามมา

   “ดูสนิทกันจังนะ เพิ่งเจอกันวันนี้ไม่ใช่หรือ”

   รุจยิ้มทัก ทำให้วาโยเผลอยิ้มน้อย ๆ ตอบ

   “ยังไงก็ต้องทำงานร่วมกันนี่ครับ ถ้าปรับอะไรได้ก็จะพยายามปรับ จะได้สะดวกใจกับทุกฝ่าย”

   “แล้วไม่คิดว่าทำแบบนั้นมันค่อนข้างเสแสร้งเป็นเพื่อนกันแทนหรอกหรือ”

   ภูริเปรยขึ้นตามมา ทำให้วาโยชะงัก เขาหันไปมองคนพูดที่มีสีหน้ายิ้มน้อย ๆ แบบที่ยากจะอ่านออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่

   “ไม่หรอกครับ...เพราะผมคิดที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขาจริง ๆ นี่ครับ”

   วาโยบอกแล้วยิ้มตอบอย่างจริงใจ ทำให้อีกฝ่ายนิ่งเงียบ แล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอตามมา

   “ขอโทษที ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ อย่าไปถือสาคำพูดเมื่อครู่นี้เลยนะ”

   จากนั้นภูริก็เดินผ่านตัววาโยไป ชายหนุ่มมองตามอีกฝ่ายก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกคนที่เหลืออยู่เอ่ยขึ้น

   “นายเป็นเด็กดีนะ ฉันดีใจที่มีเพื่อนร่วมงานนิสัยดีแบบนาย”

   รุจบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่คำพูดของเขาทำให้วาโยต้องมีสีหน้ายิ้มกึ่งแหย แล้วอ้อมแอ้มบอก

   “เอ่อ...ขอบคุณครับ แต่ถ้าเปลี่ยนจากเด็กดี เป็นคนดีก็จะดีมากเลยครับ”

   คนฟังชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ตามมา

   “อา...นั่นสินะ ขอโทษทีแล้วกัน ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ไว้กลางวันเจอกัน”

   ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนเอ่ยขึ้น พร้อมกับขอตัวเข้าห้องพักของเขา วาโยยิ้มรับรอจนอีกฝ่ายเข้าไปในห้องแล้ว เขาจึงเดินกลับห้องตัวเองบ้างเช่นกัน

   

   “หนอย! หมั่นไส้ชะมัดหมอนั่น ชอบวางตัวเป็นคุณชาย แล้วมองชาวบ้านต่ำกว่าประจำ แถมยังทำหน้าเย็นชาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาแบบนั้นอยู่เรื่อย!”

   พอเข้ามาในห้องก็เห็นกวินบ่นอุบถึงใครบางคน ทำให้วาโยนิ่วหน้า

   “นายหมายถึงใครกัน”

   กวินชะงักแล้วมองวาโยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะโพล่งออกมาดัง ๆ 

   “ก็คุณชายขี้เต๊ะห้องเบอร์สองนั่นไงเล่า!”

   วาโยสะดุ้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา เขาเหลือบไปมองกำแพงห้องและหวังว่าการินคงจะไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่

   “นายก็พูดเกินไปนะ ฉันก็เห็นเขาเป็นปกติดีนั่นล่ะ ...อีกอย่างการที่ใครเขาจะแสดงออกไม่เหมือนเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นคนไม่ดีเสียเมื่อไหร่”

   วาโยเอ่ยเตือน ทำให้คนฟังชะงักแล้วหน้าคว่ำ

   “อ้อ! ถ้าเห็นหมอนั่นดีกว่า นายก็ขอเปลี่ยนห้องไปอยู่กับเขาแทนฉันสิ!”

   “เฮ้อ... นายอยากให้ฉันเปลี่ยนจริง ๆ อย่างนั้นหรือ”

   วาโยถามแล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซื่อตรง ไร้ความขุ่นเคือง ทำให้กวินเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นสองมือ

   “โอเค ฉันยอมแพ้ ฉันผิดเอง ขอโทษด้วยแล้วกัน...เฮ้! ฉันขอโทษที่นินทานายด้วยนะ ริน!”

   ท้ายประโยคเจ้าตัวส่งเสียงดังไม่แพ้ครั้งแรก ทำเอาวาโยนึกขำ แต่เขาก็ชอบใจนิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

      

   อีกด้านหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนโซฟาและกำลังหยิบหนังสือที่ติดตัวมาอ่าน กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่กับตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงนินทาลั่นจากห้องติดกัน เขาเองก็อยากจะโต้กลับว่าหมั่นไส้คนอย่างกวินไม่แพ้กัน ทว่าเหมือนเขาจะได้ยินวาโยพูดอะไรบางอย่างเพราะชายหนุ่มพูดเสียงไม่ค่อยดังนัก แต่แล้วการินก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินกวินตะโกนขอโทษเขา

   “บ้าบอชะมัด พวกนี้”

   การินพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ ถ้าให้เขาเดาเขาคิดว่าวาโยคงพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา แล้วกวินก็ยอมรับฟัง จนตะโกนขอโทษเขาตามมาแบบนั้น

   “แต่ก็น่าสนใจล่ะนะ...”

   เจ้าตัวเอ่ยพึมพำอย่างลืมตัว พลางชะงัก ก่อนจะสลัดไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไป แล้วทำเป็นอ่านหนังสือต่อ ทว่าตัวหนังสือในแต่ละหน้านั้นแค่ผ่านตาแต่แทบไม่เข้าหัวของเขาเลยสักนิด

   เวลาเดียวกัน ณ ห้องเบอร์หนึ่ง ภูริกับรุจที่ต่างอยู่ในห้องส่วนตัวของตนพากันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงของกวินนั้นดังแว่ว ๆ มาถึงห้องของพวกเขา รุจนั้นหัวเราะเบา ๆ  เมื่อพอจะคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้  ทว่าชายหนุ่มอีกห้องกลับนิ่งเงียบ ริมฝีปากยกยิ้มหยันเยาะขึ้นนิด ๆ  แล้วจึงนั่งเก็บของใช้เข้าที่ทางของตนต่อไปเรื่อย ๆ



   เวลากลางวันชานนนั้นเดินขึ้นมาตามสมาชิกทั้งสามห้องลงไปทานอาหารกลางวันร่วมกัน ทั้งห้าคนถึงกับนิ่งอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมื้อกลางวันตรงหน้าของพวกเขา

   “โอ้โห! นี่จะจัดเลี้ยงอะไรกันหรือครับคุณชานน!”

   กวินหันไปถามอย่างตื่นเต้น เพราะอาหารตรงหน้ามีตั้งแต่ สลัด ซี่โครงหมูอบ มันบด และตบท้ายด้วยของหวาน เป็นเชอร์เบทมะนาว จัดเป็นเซ็ตทั้งหมดห้าชุด

   “ผมแค่อยากเคาะสนิมฝีมือทำอาหารนิดหน่อยน่ะครับ ถ้ายังไงทานเสร็จแล้วเชิญวิจารณ์ตามสบายนะครับ ...อ้อ แล้วถ้าใครแพ้อะไร หรือทานอะไรไม่ได้ รบกวนช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ ครั้งต่อไปผมจะได้ระวังขึ้น”

   สมาชิกคนอื่นมองตากันปริบ ๆ แล้วจึงเริ่มลงมือจัดการสลัดจานสวยซึ่งมีทั้งผักและผลไม้จัดแต่งได้งดงามเข้ากันได้ดี

   “อร่อยมากเลยครับ ผักนี่สดมาก ๆ แถมน้ำสลัดก็เข้ากันได้ดี รสชาติไม่เหมือนที่ผมเคยกินที่อื่นมาเลย”

   วาโยบอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งชานนก็โค้งขอบคุณสำหรับคำชมอีกฝ่าย

   “น้ำสลัดนี่ทำเองสินะครับ...”

   การินหันไปถามบ้าง ซึ่งชานนก็พยักหน้ารับ

   “ครับ ผมทำเอง”

   “ซี่โครงหมูนี่ก็สุดยอดเลยครับ!”

   คนกินสลัดเสร็จแล้วข้ามไปกินซี่โครงหมูบอกพร้อมยิ้มกว้าง การินเหลือบมองกวินก็เห็นว่าสลัดตรงหน้าจำนวนเท่าเขาหายเกลี้ยงไปเรียบร้อยอย่างน่าอัศจรรย์

   “คุณชานนเป็นเชฟของร้านหรือครับ”

   รุจเอ่ยถามขึ้นบ้าง ทำให้คนอื่นหันไปมองชายหนุ่มแล้วมองชานนอย่างรอคอยคำตอบ

   “ประมาณนั้นล่ะครับ”

   พอทุกคนได้ฟังก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้ ส่วนวาโยและกวินไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชานนถึงได้ทำอาหารอร่อยขนาดนี้

    “ตกลงพนักงานในร้านนี้มีกี่คนกันแน่ พนักงานเสิร์ฟก็มีฉัน มีโย  มีริน  ...รวมคุณสองคนด้วยหรือเปล่า”

   กวินเปรยขึ้น  แล้วหันไปถามรุจกับภูริ  ทางด้านรุจยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไป

   “ฉันทำตำแหน่งแคชเชียร์น่ะ”

   “ส่วนฉันก็พนักงานเสิร์ฟเหมือนพวกนายนั่นล่ะ”

   ภูริตอบพลางยักไหล่ กวินพยักหน้ารับรู้แล้วเตรียมทบทวนตำแหน่งหน้าที่ในร้านต่อ แต่ชานนนั้นขัดขึ้นมาก่อน

   “ผมว่าอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกนั้นเลยครับ เพราะก่อนจะถึงวันทำงาน คุณปวีร์ก็คงเอารายชื่อสมาชิกและตารางงานที่ทุกคนต้องทำมาแจกพวกคุณทุกคนอยู่แล้วล่ะครับ”

   คนอื่นชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้น แล้วหันมาให้ความสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ต่างคนก็ต่างกินหมดไม่มีใครเหลือทิ้งเลยสักคน

   “อร่อยมากเลยครับ ขอบคุณนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้”

   วาโยบอกพลางยิ้มแย้มจริงใจให้อีกฝ่าย ชานนเองก็ยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะเก็บจานไปล้าง โดยมีวาโยอาสาเป็นผู้ช่วย ส่วนคนอื่นนั้นก็เตรียมจะช่วยด้วยเช่นกัน แต่ชานนให้เหตุผลว่าอ่างล้างจานไม่กว้างพอที่จะยืนกันหลายคนแบบนี้ คนอื่นเลยต่างแยกย้ายกันกลับห้อง ส่วนกวินนั้นยังคงนั่งรอรูมเมทของเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารแถวนั้น



    หลังจากงานเสร็จ วาโยก็ขอตัวกลับขึ้นห้องพร้อมกับกวิน แต่พอเข้าห้องได้ไม่นานโทรศัพท์ของวาโยก็ดังขึ้น พอมองเบอร์ของคนโทรมา ชายหนุ่มก็ชะงักก่อนกดรับ

   “เจหรือ มีอะไรหรือเปล่า”

   เสียงทักทายที่ร่าเริงและเป็นมิตรนั่น ทำให้กวินที่กำลังจะเดินเข้าห้องส่วนตัวของเขาชะงักเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้อง แต่กลับแง้มประตูฟังอย่างยอมเสียมารยาท

   “บ้า! ฉันสบายดี ไม่ต้องห่วงหรอก ...อืม เพื่อนร่วมทำงานทุกคนก็นิสัยดีทั้งนั้น ...จริง ๆ ไม่ได้โกหก...รูมเมทฉันน่ะหรือ นิสัยดีสิ เป็นกันเองมากเลยนะ”

   กวินอมยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายชมเขาให้ปลายสายฟัง แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจปิดประตูห้อง ชายหนุ่มก็ต้องชะงักซ้ำสองเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   “เอ๋ เขากับนายใครดีกว่ากันหรือ...จะเปรียบกันได้ไงเล่า นายน่ะสนิทกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนนะ แต่ทางนั้นเพิ่งเจอกันเอง ... หึ! จะมาทำเป็นน้อยใจอะไรกันเล่า ฉันไม่มีทางลืมนายได้หรอก ...จริงสิ ไว้เดี๋ยวจะแวบไปหานะ... เออ ๆ บาย”

   วาโยกดวางสาย เขามองมือถือด้วยใบหน้าระบายยิ้มพร้อมพึมพำเบา ๆ

   “เจ้าเพื่อนบ้าเอ๊ย...ใครจะลืมนายได้ลงกันเล่า”

   จากนั้นวาโยจึงเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวของเขาไปบ้าง โดยไม่มันได้สังเกตประตูอีกห้องที่แง้มน้อย ๆ  เจ้าของห้องยืนพิงผนังพลางลอบถอนหายใจเบา ๆ แม้สิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องปกติ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ อย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เช่นกัน

   

   ในวันนั้นตอนช่วงก่อนเวลามื้อเย็น ปวีร์กับชายตัวสูงสวมแว่นตาดำหน้าตาดุ ๆ อีกคน ก็แวะมาเยี่ยมทุกคนในบ้านพัก ปวีร์แนะนำคนที่มาด้วยให้ทุกคนรู้จัก เมื่อเห็นสายตาชวนสงสัยของคนอื่นในนั้น นอกจากชานนและการินที่มองมา

   “เพื่อนฉันเอง ชื่อราเมศ เขาเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้านนี้ด้วยนะ”

   ราเมศพยักหน้าค่อย ๆ เป็นการทักทาย คนอื่น ๆ จึงพยักหน้าตาม และไม่กล้าชวนอีกฝ่ายคุย เพราะความกดดันเงียบ ๆ ที่แฝงมา แม้กระทั่งกวินที่ชอบพูดทักทายคนอื่นก่อนเสมอก็ตาม

   “วันนี้ฉันเอาเครื่องแบบพื้นฐาน แล้วก็คู่มือพนักงานมาให้  นี่ไปเร่งโรงพิมพ์ให้เลยเชียวนะ เพิ่งออกจากแท่นพิมพ์สด ๆ ร้อน ๆ เลยเชียวล่ะ”

   ปวีร์บอกแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่คนอื่นนั้นมองเขาตาปริบ ๆ แต่ก็อดสนอกสนใจ ในสิ่งที่ชายหนุ่มนำมาไม่ได้

   “เครื่องแบบพื้นฐาน... หมายความว่ามีเครื่องแบบอื่น ๆ ให้พวกเราใส่นอกจากนี้ด้วยหรือครับ”

   รุจที่ยืนมองอยู่เอ่ยถามขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ นึกขึ้นได้ตามมา ส่วนปวีร์นั้นหันมามองชายหนุ่มสวมแว่นด้วยสายตาพอใจ ก่อนเอ่ยตอบ

   “ใช่...แต่ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะทางนี้จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นพวกเธอก็แค่ทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายไปก็พอ”

   สมาชิกคนอื่นนิ่งเงียบรับฟัง ส่วนชานนนั้นลอบถอนหายใจ เช่นเดียวกับราเมศที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แล้วถอนหายใจแผ่วเบา

   “เอาล่ะ ... ไหน ๆ วันนี้ก็อุตส่าห์แวะมาทั้งที คุณนน เผื่ออาหารให้พวกผมสองคนด้วยนะ”

   “เฮ้...ปวีร์”

   ราเมศเอ่ยขัดขึ้น แต่ปวีร์นั้นทำไม่สนใจ ส่วนชานนอมยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งศีรษะให้

   “ได้เลยครับ ไม่ต้องห่วง”

   “ถ้าอาหารไม่พอก็บอกได้นะ เดี๋ยวให้ปยุตเอาจากที่บ้านมาเพิ่มให้...จริงสิ เรียกปยุตมาเป็นลูกมือช่วยคุณด้วยดีกว่า”

   เอ่ยจบชายหนุ่มก็หยิบมือถือมาโทรหาพ่อบ้านประจำตัวของเขาโดยไม่คิดสนใจเสียงคัดค้านของใคร ไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มท่าทางสุภาพ ในชุดสูทพ่อบ้าน ปรากฏกายขึ้น

   “ปยุต เดี๋ยวช่วยคุณนนทำอาหารด้วยนะ”

   ปวีร์ออกคำสั่ง ซึ่งคนฟังก็โค้งรับอย่างไม่มีการขุ่นเคืองแต่อย่างใด

   “รับทราบครับ คุณปวีร์”

   “เอ้า! ระหว่างนี้พวกเธอก็ไปลองชุดกันให้เรียบร้อย ถ้าคับหรือหลวมไป ฉันจะได้ให้ช่างเขาไปปรับแก้ทีหลัง”

   พอปวีร์บอกจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปลองชุด บางคนก็ลองใส่โดยไม่สนใจอะไร แต่ก็มีบางคนเช่นวาโยที่นึกแปลกใจว่า ทำไมปวีร์ถึงได้สั่งตัดชุดออกมาพอดีไซส์เขาได้ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงแค่ข้ามวัน และไม่เคยสอบถามหรือวัดสัดส่วนร่างกายของเขาเลยสักครั้งเดียว





... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 5 อัพเดท 27/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 27-07-2012 15:40:58
หนุ่มๆ มาอีก 2 แล้วอิอิ

นู๋วาโยนี่ต้องเป็นที่สนใจของหนุ่มอื่นๆ แน่ๆ ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 5 อัพเดท 27/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 27-07-2012 21:15:49
นี่มันคือ ฮาเร็ม!! ชัดๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-07-2012 10:04:06
แวะมาลงให้สองตอน สำหรับเสาร์-อาทิตย์ค่ะ
ใกล้ทันต้นฉบับที่ปั่นค้างไว้แล้วล่ะค่ะสำหรับเรื่องนี้

--------------------------------------------------.




Miracle Café /6



   ปวีร์เรียกทุกคนมาตรวจสอบสภาพเรียบร้อยของชุดพนักงานร้าน  สำหรับพนักงานเสิร์ฟนั้น เครื่องแบบจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวถึงข้อศอกมีกระดุมปลายแขนเสื้อเย็บติดเรียบร้อย ด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กสีดำ ส่วนที่คอเสื้อนั้นผูกเนคไทสีแดง  กางเกงเป็นผ้าขายาวสีดำ มีผ้ากันเปื้อนสีดำยาวเลยเข่าสำหรับผูกเอว นอกจากนั้นที่ผ้ากันเปื้อนยังมีกระเป๋าตัดพอช่องไว้สำหรับใส่สมุดจดและปากกาได้อีกด้วย 

    ส่วนรุจที่เป็นพนักงานแคชเชียร์นั้น เครื่องแบบจะคล้ายกับคนอื่น เพียงแต่สีเสื้อกั๊กด้านนอกของเขาจะเป็นสีฟ้าเข้ม  ส่วนเนคไทนั้นจะเป็นสีเขียวแทน  และสำหรับรองเท้า ทุกคนมีรองเท้าหนังแท้สีดำหุ้มส้นสวมแบบพอดีขนาดเท้าแจกให้เช่นเดียวกัน

   “อืม...ใช้ได้ แสดงว่าสายตาฉันยังโอเคอยู่  ใส่พอดีกันทุกคนสินะ”

   ปวีร์ถามพนักงานแต่ละคนของเขา ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้าตอบ แม้จะรู้สึกทึ่งในพลังสายตาของอีกฝ่ายที่แค่ดูก็รู้ไซส์พวกเขาได้เช่นนี้  จากนั้นปวีร์จึงให้ทุกคนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงมาทานมื้อเย็น เพราะสังเกตเห็นชานนกับปยุตกำลังช่วยจัดจานเตรียมอาหาร ซึ่งก็แสดงว่ามื้อเย็นนั้นใกล้จะพร้อมเรียบร้อยแล้ว

   

   มื้อเย็นที่ราวกับเป็นอาหารฟูลคอร์สตามโรงแรมหรู สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนในที่นั้น ทว่าคำพูดของปวีร์หลังจากกินเสร็จ ก็ทำให้บางคนถึงกับนิ่งอึ้งเลยทีเดียว

   “คุณนนนี่เข้าใจหลอกล่อนะ ...เล่นทำสุดฝีมือ ให้พวกนี้ติดรสมือคุณตั้งแต่วันแรก  กะหาลูกมือไว้คอยช่วยงานในอนาคตใช่ไหมล่ะ”

   ชานนนั้นไม่ได้ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสา แล้วช่วยปยุตเก็บจาน ทว่าเพราะชานนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ทำให้บางคนต้องมองตามเชฟหนุ่มไปอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย

   “ฮ่า ๆ ฉันล้อเล่นน่า เขาไม่เอาเปรียบพวกเธอหรอก แต่ถ้าพวกเธอจะช่วยงานเขาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่อยู่บ้านพัก ฉันก็จะขอบคุณมาก ทีแรกฉันจะหาผู้ช่วยให้เขาอีกคน แต่เขาบอกว่าเขาดูแลพวกเธอได้เอง ฉันก็เลยให้เขาควบสองตำแหน่งแบบนี้นั่นล่ะ ...แน่นอนว่าจ่ายสองเท่าน่ะนะ”

   ท้ายประโยคปวีร์หันไปแซวชานน ซึ่งเชฟหนุ่มนั้นได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ แล้วโค้งตอบ ก่อนจะหันไปสนใจเก็บกวาดจานชามที่เหลือล้างต่อ และเพราะมีปยุตเป็นผู้ช่วยอยู่แล้ว พวกวาโยที่คิดจะเข้าไปช่วยก็เลยต้องถอยออกมาตามระเบียบ

   “ร้านเราจะเปิดในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แน่นอนก็คืออีกสามวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นฉันหวังว่าพวกเธอคงจะเตรียมพร้อมสำหรับงานเป็นอย่างดีล่ะนะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ แต่คราวนี้นัยน์ตาคมกริบนั่นกวาดสำรวจทุกคนอย่างคาดคั้น ทำให้บางคนลอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ทุกคนก็ผงกศีรษะตอบรับคำกันถ้วนหน้า

   “ดี! ช่วงนี้พวกเธอจะพักปรับตัวที่บ้านพักนี้เลยก็ได้ หรือจะไปค้างที่อื่นก็ตามใจ แต่พวกเธอต้องแจ้งคุณนนก่อนทุกครั้ง เขาจะได้ไม่ต้องทำอาหารเผื่อในส่วนของคนที่ไม่อยู่ และจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงถ้าเกิดเธอคนใดคนหนึ่งกลับดึก หรือไม่กลับ... แล้วในวันอาทิตย์นี้ ทุกคนต้องมาพร้อมกันที่ร้านในตอนสิบโมงเช้า แต่งตัวอะไรมาก็ได้ เพราะเราจะมาช่วยกันจัดร้านล่วงหน้า จะได้คุ้นเคยกันก่อนวันเปิดจริง เข้าใจไหม”

   “ครับ!”

   บางคนก็รับคำ บางคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่นั่นก็สร้างความพอใจให้ปวีร์มากพอ จากนั้นเขาจึงหันไปบอกกับราเมศที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   “เรากลับกันดีกว่า เพราะฉันจะต้องไปดีไซน์เครื่องแบบสำหรับอีเวนท์ต่าง ๆ ให้พวกนี้ด้วย โดยเฉพาะ...”

   ปวีร์เหลือบไปมองวาโยแล้วยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ จนคนถูกมองสะดุ้งโหยง

   “ฉันได้ไอเดียใหม่ ๆ มาอีกเพียบเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นขืนปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวจะไฟมอดพอดี”

   ปวีร์เอ่ยจบก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แต่ราเมศที่ได้ฟังเหลือบมองไปวาโยด้วยสายตาที่แสดงความสงสาร และเพราะชายหนุ่มนั้นสวมแว่นตาดำ จึงทำให้วาโยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมองเขาในแบบไหน

   

   และเมื่อปวีร์ ราเมศ และปยุตกลับไปแล้ว คนอื่นก็ต่างแยกย้ายกันขึ้นห้องพัก กวินนั้นนั่งดูทีวีอยู่ด้านนอก ทว่าวาโยขอตัวเข้าห้องนอน และเปิดคู่มือที่เพิ่งได้รับแจก รวมไปถึงตารางงานที่แนบมาด้วยศึกษาดูทันที

   “ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ ห้าโมงเช้าถึงสองทุ่ม...มีเวลาให้พักวันละหนึ่งชั่วโมง แบ่งเป็นสองช่วง แล้วแต่ตารางพักอย่างนั้นหรือ...ไหนดูซิ...อืม พักได้รอบละสองคนสินะ ...คุณปวีร์ลงเวลากำกับแต่ละคนมาให้เลยแบบนี้ ก็เข้าท่าดีเหมือนกันแฮะ”

   วาโยพึมพำกับตัวเอง เขาหยิบตารางการทำงานที่กำหนดชื่อในเวลาพักไว้เรียบร้อย ว่าใครพักช่วงไหน สลับกันไปในหนึ่งสัปดาห์ ออกมาดู แล้วจึงหันกลับไปอ่านกฎระเบียบของการทำงานในคู่มือต่อไปอย่างสนใจ

   “ถ้าทิปวางในถาดหรือกล่องจะถือเป็นทิปรวม แต่ถ้าให้กับมือก็จะเป็นทิปส่วนตัวสินะ ...หือ... สามารถรับทิปนอกเวลาได้ แต่ต้องไม่ให้เสียงาน ไม่งั้นจะถูกปรับหักเงินเดือนแทน... อะไรของเขาเนี่ย จะมีใครให้ด้วยหรือ ทิปนอกเวลาน่ะ”

   วาโยพึมพำอย่างกึ่งสงสัยกึ่งขำ เขาอ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกเริ่มง่วงขึ้นทุกที

   “เอาเถอะ...ไว้วันจริงก็รู้กัน ว่าจะรอดหรือจะร่วง”

   ชายหนุ่มตัดบทกับตัวเองแล้ววางคู่มือไว้บนโต๊ะทำงานข้างโน้ตบุค ก่อนที่จะตรงไปยังที่นอนใหม่ ล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มนั้น แล้วหลับลงไปในที่สุด

   

   วันต่อมาซึ่งเป็นวันเสาร์ วาโยก็ได้รับแจ้งจากชานนว่า สมาชิกของบ้านพักแต่ละคนต่างมีธุระขอตัวกลับไปบ้านเดิมเพื่อเคลียร์เรื่องส่วนตัว สำหรับวาโยนั้นรู้แค่ที่กวินจะกลับบ้านเพราะลืมเครื่องเล่นเกมสำคัญไว้ที่บ้าน  แต่เขาไม่คิดว่าคนอื่น ๆ ก็กลับไปด้วยเหมือนกัน

   “สรุปก็ไปกันหมดเลยหรือครับ”

   วาโยถามอีกฝ่าย ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง

   “ไม่หรอกครับ รู้สึกจะเหลือคุณภูริอยู่อีกคน เห็นว่าไม่อยากออกไปไหน  อ้าว...พูดถึงก็มาพอดี”

   วาโยมองชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าเขา หลังจากที่ได้ฟังกวินซักถามพูดคุยกับอีกฝ่ายตอนระหว่างทานอาหารมื้อเย็นเมื่อวาน ก็ทำให้พอจะรู้ว่าภูรินั้นเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน แต่อาศัยอยู่ในไทยตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะแม่ของอีกฝ่ายตั้งท้องหลังจากมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับผู้เป็นพ่อ  ส่วนภูรินั้นเติบโตมากับตายายเพราะแม่ของชายหนุ่มนั้นไม่ได้คิดเลี้ยงดู แต่มาทิ้งไว้ให้กับตายายจนกระทั่งแม่ของภูริแต่งงานใหม่ และเมื่อตายายเสียชีวิตแม่จึงรับชายหนุ่มไปเลี้ยงดูแทน

   เมื่อเรื่องที่รับรู้เริ่มหนักขึ้นและดูเหมือนว่าจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายจนเกินไป วาโยในตอนนั้นก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นไปเสีย แต่ชายหนุ่มนั้นรู้สึกเหมือนถูกสายตาแปลก ๆ จากภูริมองมาที่เขา มันไม่ใช่สายตาชื่นชม แต่กลับชวนให้อึดอัด จนชายหนุ่มไม่กล้าสบตาด้วยและทำเป็นเหมือนว่าไม่รู้ตัวว่าถูกมองเช่นนั้น

   “เอ่อ...อรุณสวัสดิ์ครับ”

   วาโยเอ่ยทักทายอีกฝ่าย ซึ่งภูริก็หันมามอง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้

   “อรุณสวัสดิ์... นายก็อยู่โยงเฝ้าที่นี่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ”

   วาโยชะงัก ความจริงเมื่อเช้าพอรู้ว่ากวินไม่อยู่ เขาก็โทรไปบอกจรัลว่าจะกลับไปเยี่ยมอีกฝ่าย และอาจจะไปค้างด้วย แต่ถ้าเขาไปก็เท่ากับว่าที่นี่เหลือแค่ภูริกับชานนเท่านั้น

   “ง่า...ครับ”

   วาโยบอกสั้น ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจ พลางคิดในใจว่าคงต้องโทรไปบอกจรัลเรื่องที่เขาเปลี่ยนใจเสียแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นเช้าวันนี้ก็เหลือแค่พวกเราสามคน มีใครอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

   ชานนถามขึ้นแล้วรอคอยคำตอบ วาโยนิ่งคิดหนัก แต่ภูริขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มตามมา

   “อาหารเช้า ผมขอข้าวไข่เจียวแล้วกัน  ส่วนกลางวันถ้าคุณไม่ลำบากนัก ผมอยากได้อะไรที่มันคล่องคอ จะแกงจืดหรืออะไรก็ได้ง่าย ๆ ก็พอครับ  อาหารเมื่อวานมันสุดยอดก็จริง แต่ขืนกินบ่อย ๆ มีหวังผมติดหรูพอดี”

   ชานนรับฟังยิ้ม ๆ แล้วจึงหันไปทางวาโยบ้าง

   “แล้วคุณวาโยล่ะครับ”

   “ง่า...ผม”

   วาโยอ้ำอึ้งไม่กล้าบอกว่าเขานั้นก็อยากกินเหมือนภูริเช่นเดียวกัน เพราะสำหรับเขานั้นไข่เจียวถือว่าเป็นอาหารสุดโปรดของเขาอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

   “...เอาเหมือนกับคุณภูริ ได้ไหมครับ”

   บอกแล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้าด้วยความกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายมองเขม่นและคิดว่าเขาล้อเลียน แต่ภูริก็ยังเงียบ วาโยเลยเงยหน้ามามอง ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาอยู่

   “ชอบไข่เจียวหรือไง”

   คำถามของภูริที่ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่พอวาโยได้ฟังก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ ยืนยัน

   “ชอบมากเลยครับ กินมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าโตมาเพราะไข่ก็ว่าได้เลยครับ!”

   คำตอบของชายหนุ่มทำให้ชานนหันไปกลั้นหัวเราะก่อนจะขอตัวไปทำอาหารเช้าตามสั่งให้ทั้งคู่ ส่วนภูรินั้นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

   “ดูภายนอกแล้วคิดว่าเป็นพวกคุณหนู คุณชาย เสียอีกนะนายน่ะ”

   คำพูดของคนที่เดินมานั่งโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม ทำให้วาโยอ้าปากค้างแล้วรีบบอกตามมา

   “ตรงไหนกันครับ ผมออกจะโลโซขนาดนี้!”

   “ก็ตรง...รูปร่าง แล้วก็ท่าทาง ...” 

    ชายหนุ่มกลืนคำว่าไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเอาไว้ แล้วจึงเอ่ยต่อ

   “พวกมารยาทบนโต๊ะอาหาร อะไรพวกนี้ ...เมื่อวานฉันเห็นนายหยิบใช้มีดส้อมอย่างคล่องมือเลยไม่ใช่หรือ”

   ภูริบอกแล้วจ้องอีกฝ่ายรอคอยคำตอบ แม้แต่ชานนที่ยืนเตรียมอาหารอยู่ก็เห็นด้วยในข้อนี้ ถ้าเป็นการินที่เป็นคุณหนูตัวจริง เขาก็ไม่แปลกใจนัก แต่วาโยนั้นไม่ว่าจะเป็นการหยิบจับช้อน ส้อม มีด หรือกระทั่งแก้วน้ำ ก็ดูถูกระเบียบแบบแผนไปเสียหมด

   “อ้อ...นั่นเพราะโดนบังคับฝึกต่างหากล่ะครับ”

   วาโยบอกไปตามตรง แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของภูริ เขาจึงอธิบายต่อ

   “ก็พี่สาวผมตอนที่เรียนการโรงแรม เวลากินข้าวด้วยกัน ผมก็มักจะโดนเธอจับเคี่ยวฝึกให้วางโน่นหยิบนี่ให้ถูกหลัก... บางทีก็ชวนไปกินนอกสถานที่เพื่อปฏิบัติจริง เล่นเอาเงินค่าทำงานพิเศษผมไม่เหลือติดกระเป๋า เพราะแทนที่คุณเธอจะเลี้ยงผม แต่กลับบังคับให้หารครึ่งบ้าง แถมเผลอ ๆ ยังให้ผมเลี้ยงแทนเสียอีกด้วยซ้ำ”

   วาโยบอกแล้วถอนหายใจตามมาเมื่อหวนคิดถึงอดีตอันน่ารันทดของตัวเอง

   “อย่างนั้นหรอกหรือ...”

   ภูริพึมพำ ซึ่งวาโยก็รีบเสริมตามมา

   “ใช่สิครับ! ที่บ้านผมน่ะเป็นชาวสวนดั้งเดิมขนานแท้เลยนะครับ นี่ผมกะว่าถ้ายังหางานไม่ได้ ก็คงจะไปช่วยพ่อแม่ทำสวนต่อนั่นล่ะครับ ...แต่ขืนกลับไปทั้งยังไม่ได้งาน คงไม่แคล้วโดนด่าเจ็ดวันเจ็ดคืน ฐานที่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนแต่ดันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้แน่”

   ชานนหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะทำเป็นตีไข่ไก่ในชามต่อ ทำเอาวาโยที่หันไปมองต้องลอบถอนหายใจ ทว่าเขากลับสะดุ้งนิด ๆ เมื่อหันมาเห็นภูริจับจ้องมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

   “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   พอได้ยินอีกฝ่ายถาม ชายหนุ่มลูกครึ่งก็ชะงักเล็กน้อย แล้วจึงตอบออกไป

   “ไม่มีอะไร”

   จากนั้นภูริก็เมินมองไปอีกทาง จนกระทั่งข้าวไข่เจียวของทั้งคู่เสร็จพร้อมทาน ทั้งสองคนจึงก้มลงกินข้าวในจานเงียบ ๆ เพราะชานนนั้นขอตัวไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพอดี

   “อร่อยจัง...ขนาดทำไข่เจียว ยังอร่อยเลยแฮะ”

   วาโยบอกพร้อมกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วเขาก็ต้องเงียบไปเพราะภูรินั้นยังคงก้มหน้าก้มตากิน ไม่คิดจะคุยกับเขาด้วยแต่อย่างใด บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้วาโยอดคิดถึงกวินขึ้นมาไม่ได้เลยทีเดียว

   “อ๊ะ! เดี๋ยวผมล้างให้ครับ”

   วาโยรีบบอกเมื่อเห็นภูริเดินไปที่อ่างล้างจานหลังกินเสร็จแล้ว

   “...จริง ๆ แล้วถ้าใครกินคนนั้นก็ควรจะล้างเองไม่ใช่หรือไง”

   ภูริหันมาบอกเรียบ ๆ เล่นเอาวาโยอึ้งไป แต่สักพักชายหนุ่มก็ย้อนกลับไปเช่นกัน

   “มันก็จริงนะครับ ...แต่บางครั้งเวลาเราอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เราก็ควรมีน้ำใจให้กันไม่ใช่หรือครับ”

   “แต่พอดีฉันเคยชินกับสังคมที่แล้งน้ำใจมานานไปหน่อยล่ะนะ...”

   ภูริแย้งกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วจึงล้างจานในส่วนของเขา ก่อนจะหลีกทางให้กับวาโยที่เข้ามาบ้าง แต่แล้วชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไปก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินคนที่หันหลังให้เอ่ยเบา ๆ ตามมา

   “ผมเข้าใจ ว่าสังคมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ...แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเลือกทำกัน ก็คือการปรับตัวนั่นล่ะครับ ... ถ้าคนเราลองปรับตัวยอมหันหน้าพูดคุยกันเสียอย่าง ไม่ว่าสังคมไหน มันก็จะมีแต่ความเข้าใจและความสุขตามมาในภายหลังแน่นอน”

   ภูริเหลือบมามองแผ่นหลังผอมบางของอีกฝ่าย เขาทำเสียงในลำคอเบา ๆ แล้วเดินจากไปจนกระทั่งเสียงฝีเท้าค่อย  ๆ แผ่วลง วาโยจึงหันมา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “เฮ้อ...สงสัยจะถูกเหม็นหน้าแล้วสิเรา ...แย่ชะมัด”

   จากนั้นชายหนุ่มจึงลงมือล้างจานใบของตนต่อ แล้วเมื่อล้างเสร็จ เขาก็ยังไม่ได้กลับขึ้นห้องนอน แต่ออกมาเดินเล่นที่สนามหน้าบ้านพัก แล้วจัดแจงโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท ซึ่งก็ตามที่วาโยคาดไว้ จรัลนั้นโวยวายใส่ทันที แต่พอเขาชี้แจงออกไป อีกฝ่ายก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังสอบถามวันหยุดของร้าน และกำชับทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าวาโยว่างเมื่อไหร่ ก็ให้โผล่หน้ากลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาเรื่องแจกันไปฟ้องพ่อกับแม่ของชายหนุ่มแทน  เล่นเอาวาโยต้องขอร้องและห้ามอีกฝ่ายยกใหญ่ จวบจนเมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะของเพื่อนสนิทดังแว่วมา วาโยจึงได้รู้ตัวว่าตนนั้นถูกแกล้งแหย่เข้าให้ ลงท้ายฝ่ายที่ง้อจึงต้องกลายเป็นจรัล  จากนั้นพวกเขาต่างตกลงกันว่าถ้าวันหยุดของร้านมาถึงเมื่อไหร่และวาโยไม่มีธุระอะไร ชายหนุ่มจะกลับไปเยี่ยมจรัลและเพื่อน ๆ ที่ห้องเช่าเก่าอย่างแน่นอน

   


... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 - 7 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-07-2012 10:05:31




Miracle Café /7



   วันอาทิตย์...วันก่อนร้านเปิดทำการหนึ่งวัน สมาชิกในบ้านพักทุกคนต่างมาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ร้านตามคำสั่งของปวีร์  รูปแบบของร้านนี้จะเป็นรูปทรงสไตล์โมเดิร์น หลังคาแบน ทาสีขาวสลับครีมดูอบอุ่นสบายตา  ด้านหน้าและข้างร้านเป็นกระจกหน้าต่างใสบานใหญ่ตลอดแนว ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในร้านได้เป็นอย่างดี ด้านนอกร้านจัดตกแต่งต้นไม้เป็นรั้วเตี้ย ๆ  คล้ายกำแพงยาวล้อมขนานไปกับตัวร้านโดยรอบ

    หน้าประตูทางเข้ามีป้ายกระดานดำที่ไว้เขียนเวลาเปิดปิดทำการ และเมนูพิเศษในแต่ละวัน ตั้งไว้ด้านนอก ตกแต่งด้วยกระเช้าดอกไม้เล็ก ๆ แขวนไว้บนเสาป้าย  เหนือประตูมองขึ้นไปจะเห็นป้ายร้านเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นตัวอักษรสีทองสลักบนเนื้อไม้ว่า Miracle Café ประดับอยู่ อักษรตัวใหญ่โดดเด่นสะดุดตาเห็นได้แต่ไกล และเข้ากับลักษณะเนื้อไม้ของประตูเป็นอย่างยิ่ง

     ปกติแล้วทางเข้าสำหรับพนักงานคือด้านหลังร้าน ทว่าปวีร์นั้นพาทุกคนอ้อมมาที่หน้าร้านเพื่ออยากให้พนักงานของเขาได้สัมผัสบรรยากาศของร้านที่ทุกคนต้องทำงานกันด้วยตาตัวเอง เพื่อจะได้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น

   “เฟอร์นิเจอร์ด้านในก็อย่างที่พวกนายเห็น  มันถูกตกแต่งและจัดวางไว้เรียบร้อยแล้วก็จริง แต่ยังไงก็ต้องทำความสะอาดอยู่ดี ถึงฉันจะให้บริษัททำความสะอาดทำไปก่อนรอบหนึ่งแล้วก็เถอะ แต่นั่นมันเมื่อสามสี่วันก่อน แถมร้านเรายังตั้งอยู่ริมถนนแบบนี้ ยังไงก็ต้องทำใหม่อยู่ดีล่ะนะ”

   ปวีร์บอกกับทุกคนหลังจากที่เข้ามาในร้านแล้ว คนอื่น ๆ รับฟังแล้วมองไปรอบร้านอย่างทึ่ง ๆ  ชุดโต๊ะกาแฟภายในร้านเป็นโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสีกาแฟผสมโกโก้เช่นเดียวกับเก้าอี้ มีเบาะหนังบุรองสีน้ำตาลอ่อนเพื่อความนุ่มสบายในการนั่ง  ขนาดของโต๊ะนั้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่โซนที่วาง เช่นที่นั่งสำหรับสองถึงสามคนริมหน้าต่าง  และที่นั่งสำหรับครอบครัวในโซนกลางร้าน เป็นต้น

   สำหรับส่วนซึ่งเป็นที่นั่งของลูกค้าและสถานที่ซึ่งลูกค้าเดินไปมาได้ จะเป็นลักษณะเพดานสูงโล่ง อีกทั้งกระจกหน้าต่างใสบานใหญ่หน้าร้าน และผนังด้านในสีครีมขาวก็มีส่วนช่วยให้ภายในร้านแลสว่างดูปลอดโปร่งสบายตามากขึ้น  แถมที่นั่งยังจัดเป็นสัดส่วน โดยมีไม้ประดับจัดตกแต่งแทนฉากกั้น และยังมีที่โล่งในร้านสำหรับเดินสวนกันไปมาโดยไม่เบียดเสียดอีกด้วย   

   “หลังเคาเตอร์บาร์จะมีประตูเชื่อมต่อกับห้องครัว  ห้องน้ำของพนักงาน รวมไปถึงทางขึ้นไปชั้นสองและออกไปยังประตูหลังร้านได้  ส่วนชั้นสองก็จะเป็นที่ทำงานของฉัน ห้องเก็บอุปกรณ์ แล้วก็ห้องพักรวมของพนักงาน”

   ปวีร์อธิบายแล้วชี้ให้ดูเคาเตอร์บาร์เครื่องดื่มและแคชเชียร์ ที่อยู่ทางฝั่งขวามือสุด เรียกได้ว่าจัดเป็นสัดส่วนแยกระหว่างพื้นที่ส่วนตัวของพนักงานและลูกค้าออกจากกันทีเดียว

   “ในทุกวันพวกเธอต้องมาถึงร้านก่อนเวลาเข้างาน 30 นาที เพื่อจัดเตรียมความพร้อมทุกอย่างก่อนเปิดร้าน  ส่วนหลังปิดร้านก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วถึงจะกลับได้  ตรงนี้คงไม่มีปัญหากันสินะ”

   ปวีร์ถามแล้วไล่สายตามองแต่ละคน ซึ่งก็ไม่มีใครมีปัญหา เพราะมันถูกระบุไว้ในสัญญาและคู่มือที่ชายหนุ่มเอามาให้อ่านอยู่แล้ว

   “โอเค...สำหรับเรื่องเข้างานเลิกงาน ฉันจะไม่มีการตอกบัตรอะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าใครโดดหรือสายบ่อย ๆ ก็มีผลต่อโบนัสปลายปีที่จะได้รับล่ะนะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ซึ่งคนอื่นก็ยิ้มตอบแบบไม่เต็มใจนัก จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปทางกวินกับวาโย

   “ทั้งสองคนเดี๋ยวไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดตรงหลังร้านมาด้วย ในล็อกเกอร์ตรงบันไดนั่นน่ะ จำได้ใช่ไหม”

   วาโยและกวินพยักหน้าตอบ ก่อนจะขอตัวไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดมาตามคำสั่งของอีกฝ่าย

   “ส่วนที่เหลือก็แบ่งงานกันไว้รอเลย งานหลัก ๆ ก็มีรดน้ำต้นไม้ เช็ดกระจก กับทำความสะอาดในร้าน ...พยายามทำให้เสร็จก่อนบ่าย เพราะฉันมีงานหนักให้พวกเธอต้องจัดการหลังจากนี้ด้วย”

   ปวีร์บอกแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาทั้งสามคนชักไม่ค่อยไว้วางใจ โดยเฉพาะการินนั้นแสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   และเมื่อกวินกับวาโยนำอุปกรณ์ทำความสะอาดมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือแบ่งหน้าที่กันทำโดยไม่เกี่ยงงอน ใช้เวลาสักครู่ใหญ่พวกเขาก็จัดการทำความสะอาดในแต่ละส่วนจนเรียบร้อย

   “ใช้ได้นี่ ไวกว่าที่คิดไว้อีก งั้นก็เริ่มเข้าสู่งานหนักกันได้เลยแล้วกัน ...อ้อ มาพอดี”

   ปวีร์บอกแล้วจึงหันไปมองที่ประตูทางเข้าร้าน เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ห้อยประตูหน้าร้านดังขึ้น

   “ทำความสะอาดกันเสร็จแล้วสินะ”

   ราเมศเอ่ยทักปวีร์ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า

   “เพิ่งเสร็จเมื่อครู่นี่เอง นายล่ะเตรียมพร้อมหรือยัง”

   ปวีร์ตอบแล้วย้อนถามกลับไป อีกฝ่ายหันมามองแล้วตอบเรียบ ๆ

   “ได้ทุกเมื่อนั่นล่ะ”

   “หึ ๆ ดี ...เอ้า พวกเธอก็มาดูเอาไว้ นี่ล่ะงานหนักที่พวกเธอต้องรับผิดชอบงานหนึ่งล่ะนะ”

   ปวีร์หันไปเรียกพนักงานของเขามารวมตัวกันที่เคาเตอร์บาร์ ส่วนราเมศนั้นเดินหายไปในครัว เขาไปล้างมือแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มที่แขวนไว้ในนั้นมาผูกเอว แล้วหยิบผ้าสะอาดในลิ้นชักมาจำนวนหนึ่ง ก่อนลงมือเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือสำหรับชงกาแฟแต่ละชิ้น ซึ่งวาโยสังเกตเห็นว่าราเมศนั้นใช้ผ้าหนึ่งผืนสำหรับแต่ละอุปกรณ์ โดยไม่ใช้ปะปนกัน

   “คุณราเมศเป็นบาริสต้าหรือครับ”

   กวินถามอย่างนึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูน่ากลัวคนนี้จะเป็นคนชงกาแฟประจำร้าน

   “ใช่ น่าทึ่งสินะ”

   ปวีร์บอกอย่างนึกขำ เพราะรู้ดีว่าคนพูดนั้นคิดอะไรอยู่ ส่วนราเมศก็ชะงักมือเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป เขายังทำความสะอาดและเตรียมความพร้อมเครื่องชงกาแฟ เมื่อเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงหันมาหยิบเมล็ดกาแฟจากในตู้ใส่ลงไปในเครื่องบด แล้วจัดการบดเมล็ดกาแฟ ก่อนจะหันไปเตรียมอุปกรณ์เอาไว้ชงกาแฟต่อด้วยความคล่องแคล่ว

   “เจ้าที่จับยาว ๆ นั่น เขาเรียก Portafilter หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าก้านชงกาแฟก็ได้ เธอเคยเห็นตามร้านกาแฟทั่วไปไหมล่ะ ที่คนชงเขาจะเอามาใส่กาแฟที่บดแล้ว และเอามากด ๆ เกลี่ย ๆ ให้แน่นกับอุปกรณ์อีกตัวน่ะ”

   ปวีร์ที่ยืนมองเพื่อนชงกาแฟ อธิบายให้พนักงานของเขาฟัง แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของคนฟังบางคน

   “ไม่ต้องทำตาแป๋วแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้ให้พวกเธอจำขั้นตอนการชงอะไรหรอก เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ของบาริสต้าเขา ฉันก็แค่อธิบายให้ฟังเท่านั้นล่ะ ...สิ่งที่พวกเธอต้องจำคือนี่ต่างหาก”

   ปวีร์หันไปมองทางเคาเตอร์บาร์เมื่อกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟเริ่มลอยฟุ้งออกมาให้สัมผัส

   “ฉันอยากให้พวกเธอจดจำรูปร่าง หน้าตาของกาแฟแต่ละชนิดที่หมอนี่ชง และถ้าจดจำรสชาติได้ด้วยก็ยิ่งดี เพราะบางครั้งหากมีลูกค้าถามถึงชนิดและรสชาติกาแฟ พวกเธอจะได้สามารถอธิบายให้ลูกค้าของเราฟังได้ว่ากาแฟชนิดไหนจะเหมาะกับคนชอบรสชาติแบบใด ยังไงล่ะ”

   ทุกคนรับฟังแล้วพยักหน้ารับรู้ แม้แต่รุจที่ทำหน้าที่แคชเชียร์เองยังสนอกสนใจ เมื่อเห็นราเมศเริ่มชงกาแฟแก้วต่อไป จนกระทั่งครบเมนูของร้าน

   “ฉันจะชงเฉพาะกาแฟร้อนให้พวกเธอศึกษาและชิมกันก่อน และพวกเธอก็ต้องจำส่วนผสมหลัก ๆ ของมันให้ได้ เพื่อแจ้งให้ลูกค้าเราทราบ หากเขาสงสัยในส่วนผสม อย่างเช่นแก้วนี้...”

   ราเมศชี้ไปที่แก้วกาแฟแก้วหนึ่ง ที่มีกาแฟในแก้วอยู่น้อยสุด แล้วจึงอธิบายต่อ

   “แก้วนี้คือเอสเพรสโซ เป็นกาแฟรสเข้มจัดที่สุดในบรรดาเมนูกาแฟทั้งหมด ปกติแล้วจะไม่มีการเติมนมหรือน้ำตาลอะไร และเอสเพลสโซก็มักเป็นส่วนผสมหลักของชงกาแฟชนิดอื่น ๆ ด้วย ...อย่างแก้วถัดมานี้ คืออเมริกาโน มันก็คือกาแฟที่ชงแบบเอสเพลสโซผสมกับน้ำร้อน รสชาติก็จะอ่อนลงมาจากแบบเอสเพลสโซ  ปริมาณความจุของกาแฟต่อแก้วก็จะแลดูมากกว่า”

   ราเมศอธิบายให้คนอื่นฟัง แล้วเมื่อเห็นเหมือนวาโยหันรีหันขวาง แล้วทำมือยุกยิกเหมือนอยากจะจดอะไรสักอย่าง เขาจึงหันไปทางปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะเบา ๆ เพราะเห็นเหมือนกับที่ราเมศเห็น จากนั้นชายหนุ่มจึงเปรยขึ้นขำ ๆ

   “ความรู้ทฤษฎีพวกนี้ฉันมีตำราแจกอยู่แล้ว เดี๋ยวก่อนกลับจะแวะไปหยิบให้ พอดีเอาเก็บไว้ที่ห้องพักพนักงานบนชั้นสองน่ะ พวกเธอเอากลับไปนอนท่องได้สบายถ้ากลัวลืม ...แต่ที่ให้มาลองของจริงแบบนี้ เพราะอยากให้ตาดู หูฟัง ลิ้นสัมผัส มันจะได้จดจำได้ไวขึ้นยังไงล่ะ”

   เมื่อได้ยินที่ปวีร์บอกวาโยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะนึกเขินนิด ๆ ที่ถูกมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  และจากนั้นราเมศก็เริ่มอธิบายต่อ แล้วให้ทุกคนลองชิมกาแฟทุกแก้วคนละนิดหน่อย แต่ถึงจะเป็นคนละนิดละหน่อย เจอกาแฟไปหลายแก้วแบบนั้น ก็เล่นเอาแต่ละคนเริ่มกังวลว่าคืนนี้พวกเขาจะได้ตาค้างจนหลับไม่ลงหรือไม่กันแน่



   เมื่อคอร์สชิมกาแฟจบลง ทั้งหมดก็เริ่มเข้าสู่คอร์สหนักลำดับถัดไป นั่นก็คือการรับมือกับเมนูอาหารที่ขายอยู่ในร้านนั่นเอง

   “ถือว่าเป็นมื้อกลางวันไปด้วยเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องซีเรียส”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจปริมาณอาหารมากมายหลายสิบเมนูตรงหน้า

   “ว่าแต่คุณนนก็ยังสุดยอดเหมือนเคย เวลาไม่กี่ชั่วโมงทำเมนูที่ร้านออกมาได้ทั้งหมดแบบนี้”

   ปวีร์เอ่ยชมเชฟประจำร้าน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งตอบ

   “ถ้าไม่มีคุณปยุตมาเป็นลูกมือก็คงลำบากเหมือนกันครับ อีกอย่างทำแบบลดปริมาณจากขายจริง ก็ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาได้มากเหมือนกัน”

   ชานนตอบตามตรง ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูด อาหารแต่ละจานนั้นดูน้อยกว่าปกติ หากจะเทียบกับปริมาณที่ขายตามร้านค้าแบบนี้

   “แต่ถ้าไม่อิ่มกัน ก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวจะไปทำเพิ่มให้”

   ชานนหันไปบอกกับสมาชิกร่วมบ้านพักคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนก็ส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้ เพราะเท่าที่อยู่บนโต๊ะ ก็ไม่แน่ใจว่าจะร่วมมือกันจัดการได้หมดหรือเปล่าด้วยซ้ำ

   “แล้วนี่ไม่มีใครแพ้อะไรใช่ไหม กินได้ทุกอย่างหรือเปล่า”

   ปวีร์หันไปถาม ซึ่งแต่ละคนก็สั่นศีรษะ บ้างก็พยักหน้าตอบรับ เป็นเชิงบอกว่าพวกเขานั้นไม่ได้แพ้อะไรเป็นพิเศษ และสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ทุกประเภทที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้

   “โอเค ...จริง ๆ แล้วเมนูอาหารของร้านจะใส่เพิ่มให้หลากหลายกว่านี้ไปเลยก็ได้ แต่ฉันมาลองคิดดูแล้ว ฉันว่าคงอาหารจานหลักแค่ 4 – 5 อย่าง แล้วใส่อาหารอื่นเพิ่มมาเป็นเมนูพิเศษในแต่ละเดือนจะดีกว่า อย่างไหนคนตอบรับมาก ก็อาจจะนำเข้าบรรจุเป็นเมนูประจำในทีหลัง...”

    ปวีร์บอกกับพนักงานของเขา เพราะแม้อาหารตรงหน้าจะมากมาย แต่ก็รวมหมดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสลัด อาหารว่าง อาหารคาว อาหารหวาน ซึ่งนับดูแล้วสำหรับเมนูร้านอาหารก็ค่อนข้างน้อยไปสักหน่อย

    “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเธอต้องจดจำเมนูหลักของร้านให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รสชาติ หรือส่วนผสมคร่าว ๆ ต้องสามารถแจ้งกับลูกค้าที่ต้องการคำตอบได้เสมอ เข้าใจไหม”

   ประโยคถัดมา ทำให้คนอื่นชะงัก แล้วต่างพยักหน้าตอบรับอย่างขันแข็ง แต่ก็มีบางคนเริ่มทำสีหน้ากังวลให้เห็นอย่างเด่นชัด

   “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมถ่ายรูปอาหารแต่ละชนิดเอาไว้แล้ว ไว้ถ้าใครจำไม่ได้ ผมจะพิมพ์สูตรแล้วปริ้นท์แจกให้แล้วกันนะครับ”

   ชานนบอกเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของวาโยเข้าพอดี ทำเอาชายหนุ่มต้องหัวเราะเขิน ๆ แล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตาบางคนที่มองมายังเขาอย่างนึกขำปนเอ็นดู

   “เอาล่ะ  เริ่มงานของพวกเธอต่อได้แล้ว และฉันอยากได้สรุปผลด้วยว่า ในแต่ละประเภทจานไหนเด่นสุด พอที่จะเป็นอาหารแนะนำลูกค้าได้บ้าง”

   ปวีร์ตัดบท จากนั้นทุกคนจึงเริ่มต้นชิมอาหารตรงหน้าคนละนิดละหน่อย แต่เพราะมีเมนูหลายอย่างจึงทำให้แม้ชิมคนละนิดละหน่อย แต่ก็ทำเอาถึงกับอิ่มจุกได้เลยทีเดียว



   “สรุปเลยนะ.... สำหรับประเภทของกินเล่นนี่ เรามีแค่พวกแซนวิชกับขนมปังทาแยม เพราะฉะนั้นก็แนะนำไปทั้งหมด แต่ก็อาจจะเน้นที่ตัวแยมให้ลูกค้ารับรู้ว่า เป็นโฮมเมดสูตรเฉพาะของทางร้าน จะได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น  ส่วนประเภท สลัด มติเอกฉันท์ เลือกให้เชฟสลัด สูตรเฉพาะของคุณนนเป็นอาหารแนะนำ ...สำหรับพวกเมนหลัก นี่ทั้งพิซซ่าและไส้กรอกโฮมเมด นี่คะแนนพอ ๆ กัน งั้นก็แนะนำมันทั้งคู่นั่นล่ะ...”

   ปวีร์ทยอยสรุปผลการชิมอาหารและลงคะแนนเสียงเลือกอาหารแนะนำที่ไว้แจ้งลูกค้าในแต่ละเมนู ซึ่งแต่ละคนก็จดจำในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก และมีบางคนที่เริ่มทบทวนว่าเมนูแนะนำนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง

   “ส่วนของหวาน ...พุดดิ้งนม กับพุดดิ้งคาราเมล ทั้งคู่นี่ก็คะแนนไล่เลี่ยเหมือนกัน ...แต่ถ้าอันใดอันหนึ่งคะแนนไม่ถึง ฉันก็จะใช้สิทธิ์เจ้าของร้านจับยัดมันไปเป็นเมนูแนะนำอยู่ดีนั่นล่ะ”

   ปวีร์บอกตามมาพร้อมยิ้มน้อย ๆ ทำให้มีบางคนถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา และหลายคนยิ้มแห้ง ๆ ต่อความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย

   “อืม...เอาเป็นว่าเราได้อาหารแนะนำสำหรับลูกค้าเรียบร้อยทุกประเภท ที่เหลือพวกเธอก็ไปทบทวนที่ได้ชิมไปทั้งหมดในคืนนี้แล้วกัน ...แล้วก็อย่านอนดึกนักล่ะ เกิดหน้าโทรมขึ้นมาตั้งแต่วันเปิดร้าน มันจะขายไม่ออกเอา”

   ท้ายประโยคปวีร์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาหลายคนต้องมองตามไปอย่างสงสัย แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่ใส่ใจ พวกเขาก็ต้องลอบถอนหายใจ แล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้านพัก และมีบางคนบอกลาอาหารเย็นมื้อนี้ เพราะเท่าที่ได้กินไปคงจะอิ่มไปยันเช้าเลยทีเดียว





... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 - 7 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 28-07-2012 14:40:56
ใกล้เปิดร้านแล้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 - 7 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 28-07-2012 15:02:23
เตรียมตัวไปฉลองเปิดร้าน
ไปดูหนุ่มๆ เฮ้ย! ไปชิมลาเต้ร้อนๆ ซักแก้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 - 7 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-07-2012 16:33:09
มันจะมีอะไรพิลึก ๆ หรือเปล่าหว่า 
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 6 - 7 อัพเดท 28/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 28-07-2012 18:25:35
โว๊ะ ได้เวลาเปิดร้านแล้ววว

ก็ยังไม่เ้ข้าใจปวีร์อยู่ดี 5555

แต่วาโยน่ารักเนอะ ดูทุกคนจะเ็อ็นดูโยกันมากมาย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-07-2012 11:06:50
ร้านเปิดแล้วนะคะ เชิญท่านลูกค้ามาใช้บริการได้เลยค่า  :pig2:



Miracle Café /8



   วันจันทร์ซึ่งเป็นวันเปิดร้านวันแรก  วาโยตื่นแต่เช้าเพราะความตื่นเต้น เขาลุกขึ้นมาลองเครื่องแบบอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะถอดออกเป็นชุดลำลอง และลงไปด้านล่างเผื่อว่าจะช่วยงานอะไรชานนได้บ้าง

   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณวาโย ตื่นแต่เช้าเชียวนะครับ”

   ชานนทักทาย เขาเองกำลังยืนรดน้ำต้นไม้รอบ ๆ บ้านพัก ซึ่งพอวาโยเห็นก็รีบอาสาทันที

   “ให้ผมช่วยไหมครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ”

   ชานนบอก ซึ่งวาโยมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าดินรอบต้นไม้แต่ละต้นแลดูชุ่มชื่น แสดงให้เห็นว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ได้โกหกเขาแต่อย่างใด

   “คุณชานนตื่นเช้าจังเลยนะครับ”   

    วาโยชวนคุยพลางแอบคิดถึงที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาว่าตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเป็นประจำ ซึ่งดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

   “มันติดน่ะครับ สมัยก่อนที่เคยทำร้านอาหารเอง ผมต้องออกไปซื้อกับข้าวมาเตรียมทำตั้งแต่ตีสามตีสี่ กว่าจะเตรียมเสร็จพร้อมทำ ก็ปาไปตีห้ากว่า เปิดร้านตั้งแต่หกโมงเช้า ปิดก็ราวสองสามทุ่ม  ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก ๆ แต่พอไม่ได้ทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเหงาเสียอย่างนั้น ...พอว่างก็เลยต้องหาอะไรมาทำเพื่อแก้เหงานั่นล่ะครับ”

   ชานนบอกพร้อมรอยยิ้มและสีหน้าระลึกความหลัง วาโยฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายที่เคยมีร้านของตัวเอง ถึงได้มาเป็นเชฟกับปวีร์แบบนี้ก็ตาม

   “เฮ้อ! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตเถอะครับ สำหรับผม ปัจจุบันนี้ผมก็มีความสุขดี ...และคงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ถ้าร้านค้าที่ผมทำงาน มีลูกค้าเข้ามากินอาหารที่ผมทำ และรู้สึกอร่อยและติดใจบ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะครับ”

   ชานนเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งวาโยพอได้ฟังก็รีบเสริม

   “ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ครับ! ก็อาหารของคุณอร่อยขนาดนั้นนี่ครับ!”

   พอโพล่งออกไปได้วาโยก็ชะงัก แต่ก็ยังคงพึมพำตามมา

   “จริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ยอเพราะทำงานด้วยกัน แต่เพราะฝีมือคุณอร่อยจริง ๆ ...ขนาดไข่เจียวเมื่อวันก่อนนั่น ก็ยังอร่อยมาก ๆ เลย”

   ชานนมองชายหนุ่มอ่อนเยาว์กว่าเขาตรงหน้าด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวยิ้มแย้มอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่าย

   “ขอบคุณมากนะครับ สำหรับคำชมที่มีค่าของคุณ”

   วาโยมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มเขิน ๆ ตอบ และเมื่อชานนรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว  ชายหนุ่มจึงอาสาเป็นลูกมือในการเตรียมอาหารเช้าให้อีกฝ่ายเอง

   

   มื้อเช้าของทุกคนในบ้านพัก จะเริ่มในเวลา 08.00 น. ของทุกวัน  สำหรับมื้อกลางวันนั้นทุกคนจะทานกันที่ร้านในช่วงเวลาพักของแต่ละคน และมื้อเย็น ซึ่งถูกเลื่อนไปเป็นมื้อค่ำ ก็จะกินที่ครัวในร้านกันเลย  ยกเว้นวันหยุดวันอาทิตย์ ที่ถ้าไม่มีใครไปไหน ก็จะกินข้าวตามเวลารวมกันที่บ้านพักหลังนี้

   “อา...วันนี้เป็นอาหารเช้าแบบไทย ๆ แทนหรือครับ ...โอ๊ะ แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ของโปรดผมเลยนะเนี่ย!”   

   กวินที่ลงมาพึมพำอย่างถูกอกถูกใจ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นมองอาหารตรงหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะไม่ใช่อาหารหรูเหมือนเมื่อวานนี้ก็ตาม

   “ผมทำตามรีเควสของคุณวาโยในวันนี้น่ะครับ เป็นการขอบคุณที่ตื่นลงมาเป็นผู้ช่วยให้ตั้งแต่เช้า”

   วาโยบอกแล้วหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่ม ซึ่งวาโยก็ยิ้มตอบน้อย ๆ อย่างขัดเขิน

   “ส่วนพวกคุณ ไว้ผมจะทำใบรายการอาหารประจำวันไปให้นะครับ ลองเขียนที่อยากกินมา แล้วผมจะได้มาประยุกต์เป็นอาหารเช้าในแต่ละมื้อ จะได้หมุนเวียนทำอาหารที่แต่ละคนชอบไปในตัวด้วย”

   วาโยบอกกับคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนก็รู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายอยู่มากทีเดียว  หลังจากนั้นพวกเขาก็ประจำที่และเริ่มลงมือทานอาหารเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง

   “อ๊ะ...ทำไมนายเขี่ยผักชีออกแบบนั้นล่ะริน ของดีเลยนะนั่น!”

   กวินที่หันไปเห็นการินกำลังเขี่ยผักชีที่ติดวุ้นเส้นมาออกไปไว้ข้าง ๆ จาน โวยวายขึ้น ทำเอาคุณหนูประจำบ้านพักต้องหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ

   “ก็ไม่ชอบกินนี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ”

   วาโยลอบไปถอนหายใจเมื่อเห็นไม้เบื่อไม้เมาทั้งสองเริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง

   “เหอะ! เลือกกินชะมัด ตัวถึงได้ผอมแบบนี้”

   กวินบอกอย่างหมั่นไส้ แต่คนที่โดนหางเลขพาดพิงนั้นสะดุ้งโหยง แล้วพึมพำเสียงแผ่ว

   “ฉันก็ไม่ได้เลือกกินสักหน่อย มันไม่อ้วนเองต่างหาก”

   กวินชะงัก แล้วหันไปมองรูมเมทข้าง ๆ ที่นั่งหน้าจ๋อย ส่วนการินหลุดยิ้มสะใจเล็กน้อยที่เห็นสีหน้าเหวอด้วยความตกใจแบบนั้นของคนที่กวนโมโหเขา

   “ง่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงนายหรอกนะโย  ถึงนายตัวจะเล็กแต่ก็แข็งแรงไม่ใช่เหรอ แค่นั้นก็ดีแล้วน่า!”

   กวินรีบปลอบ และคำปลอบของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายคลายกังวลขึ้นมาได้ ส่วนคนอื่นนั้นไม่ได้พูดอะไร พวกเขาได้แต่กินข้าวเช้ากันต่อเงียบ ๆ แต่ก็อดคิดตามคำพูดของกวินเรื่องความแข็งแรงของวาโยไม่ได้ เพราะเมื่อวานนี้ตอนทำความสะอาด อีกฝ่ายก็ยกของที่ค่อนข้างหนักได้อย่างสบาย ๆ เลยด้วยซ้ำ

   “แต่ว่าคุณนนเล่นทำอาหารได้แทบทุกอย่างแบบนี้นี่สุดยอดเลยนะครับ เป็นเชฟมานานแล้วหรือครับ”

   กวินหันมาทางชานนแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดเป็นอย่างอื่น ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

   “ก็ไม่นานนักหรอกครับ ส่วนใหญ่ผมก็อาศัยครูพักลักจำเอาเสียมากกว่า  แต่พอมาทำงานกับคุณปวีร์ก็ถูกส่งให้ไปเรียนและสอบใบวิชาชีพมา ทีแรกก็ไม่อยากไปหรอกครับ แต่โดนบ่นใส่หน้าว่ามีฝีมือขนาดนี้แล้วจะเป็นแค่พ่อครัวทั่วไปมันก็น่าเสียดายอยู่ ก็เลยต้องไปเรียนแล้วก็สอบมาจนได้”

   คนอื่น ๆ รับฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายอย่างสนใจ แม้แต่การินซึ่งเป็นหลานของปวีร์เองก็รู้จักชานนเพียงผิวเผิน เขาเคยได้ยินผู้เป็นอาพูดให้ฟังเมื่อนานมาแล้วว่า ได้พ่อครัวฝีมือดีมาประจำบ้าน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคือชานนนี่เอง

   “แสดงว่าคุณก็ทำงานกับคุณปวีร์มานานแล้วสินะครับ”

   ภูริถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย ซึ่งชานนก็หันไปยิ้มแล้วตอบตามตรง

   “ใช่แล้วครับ ผมทำงานกับคุณปวีร์มาจะสองปีแล้ว พอเขาตัดสินใจเปิดร้าน เขาก็เลยชวนผมไปเป็นพ่อครัวให้ที่ร้าน แถมยังมีเงินเดือนต่างหากให้อีก ...ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าเงินเดือนพ่อครัวที่เจ้าตัวจ่ายให้อยู่ประจำนี่ก็พอแล้วแท้ ๆ”

   ท้ายประโยคชานนพึมพำอย่างเอือมระอา แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มให้กับคนอื่น

   “ว่าแต่วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดร้าน ผมขอแนะนำให้ทุกคนรีบไปให้ไวกว่าปกติจะดีกว่านะครับ ...เพราะคงจะมีคนมาสนใจมอง ๆ ร้านของพวกเราแต่เช้าอยู่บ้าง  ผมว่าถือโอกาสนี้ช่วยประชาสัมพันธ์ และชักชวนลูกค้าน่าจะดี พอถึงเวลาเปิดร้านจริง ๆ  ร้านจะได้ไม่ดูโล่งไปนัก”

   ชานนแนะนำ ซึ่งพอได้ฟังแต่ละคนก็ต่างเห็นดีด้วย แล้วจึงรีบจัดการอาหารเช้ามื้ออร่อยจนหมดเกลี้ยง จากนั้นแต่ละคนที่คิดจะช่วยเชฟหนุ่มเก็บจานชามล้าง ต่างถูกไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวพร้อมสำหรับการไปทำงานในวันแรก ด้วยรอยยิ้มกึ่งบังคับ ที่ทำให้ทุกคนในบ้านพักต้องยิ้มแห้ง ๆ แล้วกลับขึ้นห้องของพวกเขาไป พลางคิดในใจไม่แตกต่างกันว่า คนอ่อนโยนยิ้มง่ายเวลาเอาจริงก็ดูน่ากลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

   

   วาโยมองตัวเองในกระจกห้องน้ำ แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพึมพำตามมา

   “เอาล่ะ เพอร์เฟกต์!”

   จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องพัก แล้วเขาก็ต้องพบกับกวินที่ยืนหน้ายุ่ง ๆ อยู่แถวนั้น

   “มีอะไรหรือ วิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   วาโยถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกเนคไทให้เขาดู

   “ก็นี่น่ะสิ ฉันพยายามผูกอย่างที่นายสอนแล้ว แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี”

   วาโยมองเนคไทที่ผูกเบี้ยว ๆ อย่างนึกขำ คราวที่แล้วตอนลองเครื่องแบบเขาก็สอนและผูกให้อีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังเป็นเรื่องยากสำหรับกวินอยู่ดี

   “มา...ฉันผูกให้”

   วาโยบอกแล้วขยับเข้ามาผูกเนคไทให้อีกฝ่าย ซึ่งพอเรียบร้อยแล้วกวินก็ยิ้มกว้างแล้วบอกกับรูมเมทของตน

   “ขอบคุณมาก! นึกว่าจะไม่รอดแล้วเสียอีก!”

   “เวอร์ไป ก็แค่ผูกเนคไท ...เดี๋ยวกลับมาแล้วจะสอนให้อีกรอบ คราวนี้จะได้ผูกเองเป็นสักที”

   วาโยบอกอย่างนึกขำ แล้วจากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องและแวะไปที่ห้องของการิน

   “ริน! เสร็จหรือยัง!”

   กวินเคาะประตูห้องอีกฝ่ายค่อนข้างดัง จนวาโยต้องรีบห้ามเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการเปิดศึกชวนทะเลาะขึ้นอีกครั้ง

   “...เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

   การินเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงอย่างที่คิด ทว่ากวินนั้นกลับยิ้มกว้างทักทาย จนคนที่ทำหน้าบึ้งเริ่มบึ้งหนักขึ้นไปอีก

   “เอ่อ...ขอโทษที่รบกวนนะริน พอดีเราอยากไปที่ร้านพร้อมกันน่ะ ก็เลยแวะมารับ”

   วาโยรีบอธิบายแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดชะงัก แล้วถอนหายใจแรง ๆ ตามมา

   “อืม...ก็ไม่ได้รบกวนอะไรนักหรอก...”

   “เห็นไหมล่ะ โย หมอนี่ออกจะดีใจที่มีคนมารอไปพร้อมกัน”

   กวินแทรกขึ้นก่อนที่การินจะพูดจบ ทำเอาอีกคนเม้มปากน้อย ๆ ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะนะ”

   วาโยรีบแทรกตัวกั้นกลางเพื่อห้ามทัพ แถมยังคล้องแขนการินดึงตัวออกมาเสียก่อน ด้านการินนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่สนิทกับเขาถึงขนาดจับเนื้อต้องตัวแบบนี้  หรือจริง ๆ แล้วก็คือ การินแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนเลยสักคน

   “เอ่อ ...คือ”

   การินทำท่าจะบอกกับวาโยเรื่องแขนของเขา แต่พอเห็นรอยยิ้มของวาโยที่หันมามองเขา ชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก

   “เหอะ...สนิทกันดีจังน้า”

    กวินเปรยขึ้นอย่างนึกอิจฉาขึ้นมาบ้างนิด ๆ ทำเอาวาโยต้องหันไปมองรูมเมทอย่างแปลกใจ

   “มีอะไรหรือไง ...อ๊ะ”

   วาโยถามแล้วมองตามสายตาอีกฝ่ายไปยังแขนของตน ก่อนจะสะดุ้งแล้วรีบปล่อยอย่างลืมตัว

   “ขอโทษ...เอ่อ ไม่ชอบสินะ ฉันเผลอไปน่ะ”

   การินมองคนที่ทำหน้าสำนึกผิดแล้วก็สงสาร และอีกอย่างเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรเลยสักนิด

   “ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอก...แค่เวลาเดินเกาะกันไปแบบนั้น มันค่อนข้างเดินลำบากแค่นั้นล่ะ”

   ชายหนุ่มหน้าสวยแก้ตัว ทำให้คนฟังยิ้มออกขึ้นมาได้

   “นั่นสินะ ถ้าเผลอลาก ๆ ดึง ๆ กันลงบันได อาจจะตกบันไดก็ได้”

   วาโยบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้การินลอบถอนหายใจ และนึกขำในความใสซื่อของอีกฝ่ายยิ่งนัก ส่วนกวินเองนั้นก็คิดไม่ค่อยแตกต่างกับอีกฝ่ายเท่าใด เขาว่าตัวเขาเข้ากับคนง่ายแล้ว แต่ความเป็นมิตรและจริงใจที่วาโยมีให้คนอื่น ๆ นั้น ตัวเขาเองยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   “โอเค ในเมื่อพร้อมแล้วสองห้อง ต่อไปก็ห้องเบอร์หนึ่ง!”

   กวินโพล่งขึ้นแล้วเตรียมจะเคาะประตูห้องโดยที่วาโยยังไม่ทันออกปากห้าม ทว่าประตูห้องก็เปิดออกมาเสียก่อน

   “ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเคาะเรียกแล้วล่ะนะ เพราะพวกฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

   รุจบอกด้วยสีหน้ากึ่งขำ เพราะเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกนั่น แว่วเข้ามาให้เขาได้ยินหมดแล้ว ส่วนภูรินั้นสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างเอือมระอาต่อความร่าเริงเกินพิกัดของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนี้ แต่พอหันไปสบตากับวาโย ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหลบตาไปอีกทาง ทำให้วาโยลอบถอนหายใจกับตัวเอง เพราะคิดว่าภูริคงจะไม่ค่อยชอบหน้าเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ตอนที่เขาเผลอพูดสั่งสอนอีกฝ่ายออกไปเมื่อวันก่อน

   “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราก็ไปเริ่มต้นการทำงานในวันแรกนี่กันเถอะ!”

   กวินสรุปเอาเอง แล้วเดินนำหน้าไปอย่างขยันขันแข็ง ทำให้คนอื่น ๆ ที่มองตามไล่หลังไป ไม่ยักไหล่ก็สั่นศีรษะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายนั้น เป็นแรงกระตุ้นในการทำงานอย่างดีเหมือนกัน

   

   เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงจึงจะถึงเวลาเปิดร้าน พวกวาโยนั้นเตรียมจัดเตรียมปัดกวาดเช็ดถูร้านอีกรอบ แล้วจึงนำป้ายกระดานร้านออกมาวางด้านหน้าให้เห็นชัด ๆ  ก่อนจะยกเก้าอี้กลมสีขาวออกมาตั้งด้านนอก สำหรับลูกค้าที่จะแวะมานั่งพักหรือนั่งรอคิวหากมีลูกค้าเต็มร้าน 

   “สวัสดีครับ ร้าน Miracle café ของเราวันนี้เปิดทำการวันแรกนะครับ ตอนสิบเอ็ดโมงเช้านี้ ถ้ายังไงก็เชิญมาใช้บริการได้นะครับ!”

   กวินบอกกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  มีหญิงสาวหลายคนทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ที่พอเห็นพนักงานหนุ่ม ๆ รูปหล่อ พวกเธอก็พากันตื่นเต้น และโทรบอกเพื่อนคนอื่นในกลุ่มทันที

   “ได้ผลแฮะ แค่ส่งวิน กับคุณภูริไป ก็ได้ลูกค้ามาเพียบแล้ว”

    วาโยพึมพำอย่างตื่นเต้น เขาเห็นดังนั้นจึงพยายามดังเช่นคนอื่นทำบ้าง และพอคนเริ่มซาลง ทั้งหมดก็ต่างเข้าไปพักในร้าน เพื่อรอให้ถึงเวลาเปิดร้าน



   เสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูร้านดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน ทำให้หนุ่ม ๆ ต่างหันไปมองอย่างแปลกใจ

   “ว้าว! มีแต่หนุ่มหล่อ ๆ อย่างที่วีบอกไว้จริง ๆ ด้วย แหม! แบบนี้สวรรค์ชัด ๆ ไม่เสียแรงที่ลาออกจากที่เดิม แล้วมาทำงานที่นี่แทนเลยเนอะ ตา!”

   สาวสวยผมยาวดำสลวย มาดเปรี้ยวเฉียบเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น  ส่วนสาวผมยาวหยักศก ท่าทางสวยหวานอีกคนนั้นยิ้มแย้มน้อย ๆ ตอบรับ  และเท่าที่ทุกคนสังเกต ทั้งสองสาวดูมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอยู่มากทีเดียว

   “เอ๋? ทำไมมองพวกฉันแบบนี้ล่ะ วีไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ”

   สาวเปรี้ยวอุทานอย่างแปลกใจ ยิ่งทำให้หนุ่ม ๆ งุนงงเข้าไปใหญ่

   “หึ ๆ ขอโทษทีแก้ว พอดีฉันลืมบอกพวกเขาไปน่ะ ว่าเธอสองพี่น้องจะมาทำงานด้วย”

   เสียงหัวเราะเบา ๆ พร้อมคำตอบดังขึ้นจากคนที่เดินมาจากทางเข้าออกห้องครัวด้านหลังเคาเตอร์  ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียง ปวีร์โบกมือทักทายเล็กน้อย ข้างหลังเขามีราเมศเดินตามมาติด ๆ

   “ลืมบอก หรือจงใจลืมกันจ๊ะ  นายนี่แย่จริง ๆ เลยวี คิดจะแกล้งพวกเขาล่ะสิท่า”

   ขวัญแก้วหรือหญิงสาวในมาดเปรี้ยว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา ส่วนหญิงสาวท่าทางอ่อนหวานข้างกายเธอนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วทักทายกับอีกสองคนที่เพิ่งมา

   “สวัสดีค่ะ พี่วี พี่เม”

   ปวีร์ยิ้มตอบ ส่วนราเมศแค่นยิ้ม เขาไม่ค่อยชอบชื่อเล่นของตัวเองเท่าใดนัก และคนรู้จักกันส่วนใหญ่ก็มักจะรู้ และไม่ค่อยมีใครเรียกให้ได้ยิน ยกเว้นก็แต่สองสาวสวยตรงหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเธอเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาทั้งคู่

   “เอาล่ะ! งั้นฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักเลยนะ  สองคนนี้คือพนักงานของร้านเหมือนกับพวกนาย  ผู้หญิงคนนี้ชื่อขวัญแก้ว เธอจะมาเป็นผู้ช่วยบาริสต้า และคอยดูแลเรื่องบาร์ทั้งหมด รวมไปถึงเป็นผู้ช่วยเธอด้วยนะรุจ”

   รุจพยักหน้ารับรู้ ทีแรกเขาเห็นตารางพักของเขา เขาเองยังแอบคิดว่าใครกันจะมาคอยช่วยรับหน้าที่แคชเชียร์แทนช่วงที่เขาพัก แต่พอรู้แบบนี้ทุกอย่างที่สงสัยไว้ก็ก็ลงตัวหมด

   “ส่วนอีกคนชื่อขวัญตา เธอเป็นน้องสาวของขวัญแก้ว จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟของคุณนน  เห็นแบบนี้แต่เธอเป็นถึงเชฟขนมของโรงแรมชื่อดังมาก่อน เชียวนะ”

   ปวีร์แนะนำทั้งสองสาว ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นขวัญแก้วยิ้มน้อย ๆ แล้วกระแซะปวีร์เบา ๆ

   “แนะนำให้รู้จักมั่งสิวี ใครเป็นใครบ้างน่ะ”

   “โอเค ๆ เธอนี่ไม่พลาดเลยนะ เห็นเด็กน่ารัก ๆ หน่อยนี่ไม่ได้เลย”

   ปวีร์บอกขำ ๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกทะแม่ง เพราะถ้าลองเรียกพวกเขาว่าเด็ก แสดงว่าคนพูดรวมไปถึงอีกคน ก็ต้องอายุอานามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

   “คนที่จะทำหน้าที่แคชเชียร์อยู่ประจำบาร์กับเธอคนนี้ชื่อรุจ  ส่วนนอกนั้นเป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งหมด เริ่มจากหนุ่มตัวสูงหน้าตาลูกครึ่งนั่น เขาชื่อภูริ  ส่วนคนถัดมาชื่อกวิน  และเจ้าตัวเล็กนั่นก็หลานชายฉันที่เคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ทำเอาการินหน้าบึ้ง แต่ขวัญแก้วนั้นหลุดอุทานเบา ๆ อย่างชื่นชม

   “หน้าสวยมากอย่างที่บอกไว้จริง ๆ ด้วย สวัสดีจ้ะน้องริน พี่ชื่อแก้วนะ เป็นเพื่อนสมัยเรียนโทกับอาของเธอน่ะ”

   การินมองหญิงสาวแล้วยิ้มเนือย ๆ ให้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกล้าพูดถึงเขาแบบนั้นต่อหน้า เพราะเพื่อนของปวีร์ที่เขารู้จัก นอกจากราเมศแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นใครดูปกติดีเลยสักคนเดียว

   “ส่วนคนสุดท้ายที่ตัวเล็กไม่แพ้กันนั่น ชื่อวาโย รายนี้ฉันคาดว่าคงจะได้ทำงานกับพวกเราไปอีกนาน ...ถ้าร้านนี้ไม่เจ๊งไปเสียก่อนล่ะนะ”

   ปวีร์บอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้วาโยต้องยิ้มแห้ง ๆ แต่ขวัญแก้วและขวัญตานั้นจ้องมองชายหนุ่มเขม็ง

   “แปลกจังนะ เหมือนขาดอะไรไปอย่าง ...”

   ขวัญแก้วพึมพำ ส่วนขวัญตาเองนั้นก็มีทีท่าไม่แตกต่างจากพี่สาวของเธอนัก

   “นั่นสิคะ...ขัด ๆ ตายังไงไม่รู้สิ”

   คำพูดของสองสาวทำเอาวาโยใจแป้ว แล้วก็คิดว่าที่ทั้งคู่ขัดตาก็คงเป็นเพราะเขาหน้าตาไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้แน่ ทางด้านปวีร์นั้นหัวเราะในลำคออย่างนึกขำ แล้วจึงดึงสองสาวไปซุบซิบห่าง ๆ ซึ่งพอได้ฟังทั้งคู่ก็ตาโต แล้วเป็นขวัญแก้วที่ทุบมือตามมา

   “ใช่แล้ว! ถ้าใส่นั่นก็น่าจะลงตัวแน่  อ๊า! ฉันอยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ ชะมัด!”

   “ชู่! เบา ๆ สิคะพี่แก้ว เดี๋ยวหนุ่ม ๆ จะตกใจเสียหมด”

   ขวัญตาปรามเตือนพี่สาว แต่ก็ยังคงมองมาที่วาโยด้วยนัยน์ตาเป็นประกายชนิดที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก

   “ถูกของตา อย่าเพิ่งให้รู้ตัวก่อนล่ะ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์เอา”

   ปวีร์เปรยเตือน ทำให้ขวัญแก้วหัวเราะคิกคัก แล้วจึงพยักหน้ารับคำ โดยมีพนักงานคนอื่นนอกจากราเมศ มองตามอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถาม เพราะจากรอยยิ้มของปวีร์และสองสาว ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทั้งสามปิดซ่อนไว้ มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับพวกตนอย่างแน่นอน

   

... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-07-2012 11:51:25
คอสเพลย์แหงเลย  ว่าแต่จะเป็นชุดไหนน๊า  เมดที่มีแค่ผ้ากันเปื้อน  หรือว่ากระต่ายน้อยที่มีแค่หูกับหาง  หุ หุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 29-07-2012 12:08:11
ขาดหูกระต่ายน้อยสำหรับว่าวาโยหรือเปล่า 5555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 30-07-2012 00:17:18
หนูน้อยวาโยจะโดนจับไปทำอะไรรึปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 30-07-2012 02:35:31
นอกจากชึดธรรมดานี่มันคงจะมีอะไรๆอีกสินะ
คาดว่าร้านคงไม่เจ๊งไปก่อนที่โยจะใช้หนี้หมดหรอก
เพราะสวรรค์ขนาดนี้ ปวีร์จะยอมเสียมันไปรึ
><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 30-07-2012 10:56:36
อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ อิอิ อยากรู้จังว่าวาโยจะใส่อะไรน๊า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 8 อัพเดท 29/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 30-07-2012 11:06:19
โยจะโดนหูกระต่าย หรือ หูแมวหรอออ

มันต้องโมเอ้ หรือไม่ก็เรียกเลือดมากแน่ๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 9 อัพเดท 30/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-07-2012 15:17:52
แวะมาแปะตอนที่ 9 ค่ะ ^^
--------------------------------



Miracle Café /9




    พอร้านเริ่มเปิดพวกวาโยก็เห็นมีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านและกำลังอ่านเมนูและรายละเอียดอื่น ๆ บนป้ายกระดานดำที่ตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน

    “ดูจากข้างนอกร้านดูสวยดีออก เข้าไปกินกันเถอะ เพิ่งเปิดวันแรกด้วยนี่”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นและแสดงความสนอกสนใจ แต่อีกเสียงขัดขึ้นเสียก่อน

    “มันก็น่าสนหรอก แต่ถ้านั่งกินในร้าน มันมีค่าเซอร์วิสชาร์จด้วยน่ะสิ... กินที่อื่นจะถูกกว่าไหม”

    “นั่งกินในร้านอาหารมันก็มีพวกนี้แทบทั้งนั้นนั่นล่ะ เพียงแต่บางที่ก็ไม่ระบุแจ้งไว้ แล้วเนียนรวมมาเลย ฉันว่าชี้แจงรายละเอียดแบบนี้ยังดูแฟร์ ๆ เสียกว่าอีก”

    เสียงของอีกคนขัดขึ้นมา พนักงานในร้านต่างมองตากันปริบ ๆ และขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีนั้น  วาโยก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูเสียก่อน  ชายหนุ่มเปิดประตูออก แล้วยิ้มหวานให้กับหญิงสาวด้านนอกซึ่งมีกันอยู่สามคน

    “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ สนใจใช้บริการของร้านเราไหมครับ”

    ทั้งสามสาวสะดุ้งพวกเธอเริ่มลังเลและซุบซิบกันจนวาโยชักใจเสีย ก่อนจะชะงักเมื่อกวินนั้นเดินตามวาโยออกมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กำลังใจเพื่อนของเขา ก่อนจะหันมาโปรยยิ้มหวานให้ทั้งสามสาว

    “ยินดีต้อนรับครับคุณสุภาพสตรี มาทั้งหมดสามท่านสินะครับ เชิญด้านในดีกว่าครับ”

     ทั้งสามหน้าแดงระเรื่อเมื่อเจอรอยยิ้มของหนุ่มหล่อตรงหน้า พวกเธอเดินตามกวินที่โค้งต้อนรับอย่างนอบน้อมเข้าร้านไปด้วยความลืมตัว และเมื่อทั้งสามเข้ามาในร้านพวกเธอก็ต้องพบกับความตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก

    “ยินดีต้อนรับครับ”

    พนักงานเสิร์ฟและพนักงานแต่ละคนในร้าน ต่างหันไปทักทายลูกค้าของร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่เพราะเป็นรอยยิ้มของบรรดาคนที่หน้าตาดีระดับเป็นดาราได้สบาย  ก็ทำให้สาว ๆ กลุ่มนั้นรู้สึกขัดเขิน แทบทำอะไรไม่ถูก เห็นดังนั้นวาโยจึงตัดสินใจยิ้มแย้มแล้วเริ่มต้นทักทายทั้งสามอีกครั้ง

    “สวัสดีครับ จะนั่งทานในร้านหรือสั่งกลับบ้านดีครับ”

    “อะ...นะ...นั่งทานในร้านดีกว่าค่ะ”

    หญิงสาวคนหนึ่งหันมาตอบกุกกัก ซึ่งวาโยก็ยิ้มแย้มตอบรับ แล้วจึงเอ่ยต่อตามที่เคยได้ศึกษามาในคู่มือที่ปวีร์มอบให้

    “เชิญคุณลูกค้าทางนี้ก่อนดีกว่าครับ จะรับเป็นที่นั่งติดหน้าต่างหรือที่นั่งด้านในนี้ดีครับ”

    สามสาวหันไปปรึกษากันชั่วครู่ แล้วจึงเลือกโต๊ะที่นั่งริมหน้าต่างตัวริมสุด ซึ่งวาโยก็ยิ้มรับแล้วพาทั้งสามคนไปที่นั่ง ก่อนจะหยิบเมนูเครื่องดื่มที่เสียบไว้ประจำโต๊ะออกมาแจกให้สาว ๆ กลุ่มนั้น

    “จะรับเป็นเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

    เมนูของทางร้านนั้นนอกจากมีตัวอักษรทั้งภาษาไทยและอังกฤษกำกับราคา รวมไปถึงข้อตกลงเรื่อง vat และservice charge ระบุอย่างเด่นชัดแล้ว ยังมีภาพถ่ายของจริงประกอบอยู่ด้วย ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจสั่งได้ง่ายขึ้น สามสาวเลือกกันอยู่สักพักจึงสั่งเครื่องดื่มของแต่ละคน ซึ่งวาโยก็โค้งรับอย่างสุภาพแล้วจดลงไปในสมุดบิลเครื่องดื่มประจำตัวของเขา

    “รับเป็นไอซ์ลาเต้  2 ที่ และไอซ์มอคค่าอีก 1 ที่นะครับ... ส่วนนี่เมนูอาหารของทางร้านครับ ถ้าสนใจพร้อมสั่งก็เรียกได้ทุกเมื่อนะครับ”

    วาโยทวนคำขณะที่จดเมนูเครื่องดื่ม ก่อนจะนำเมนูอาหารของร้านให้ทั้งสามสาวดูไปพลาง ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงฉีกสำเนาบิลทั้งสองใบไปวางที่เคาเตอร์ส่วนของเครื่องดื่มใบหนึ่ง และส่วนของแคชเชียร์อีกหนึ่งใบ ทางด้านกวินที่ว่างจึงไปที่มุมน้ำของร้านและรินน้ำเปล่าใส่แก้วทั้งสามแก้ว ก่อนจะนำมาเสิร์ฟให้กับสามสาวที่นั่งรออยู่

    “มีอะไรสงสัยสอบถามได้ทุกเมื่อนะครับ”

    กวินบอกแล้วยิ้มหวานให้ เล่นเอาสาว ๆ ที่มองตอบหน้าแดง แล้วพยักหน้าหงึก ๆ อย่างลืมตัว

    “พวกนั้นดูชำนาญจังแฮะ”

    การินพึมพำเมื่อเห็นวาโยและกวินบริการแขกอย่างคล่องแคล่ว ด้านภูริเองก็มองชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะเหลือบมองไปยังบานประตูที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าให้น้อยหน้าเขาสิ”

    ชายหนุ่มบอกกับคนข้าง ๆ ซึ่งการินเองก็มองไปทางลูกค้า แม้ทีแรกจะไม่เต็มใจทำ แต่พอเห็นกวินและวาโยพยายามเต็มที่แบบนั้น เขาเองก็รู้สึกฮึดขึ้นมาบ้าง

    “นั่นสินะ...”

    จากนั้นภูริจึงเข้าไปต้อนรับลูกค้าและเชิญลูกค้าไปนั่ง การินเองก็เช่นกัน พวกเขาวิ่งวุ่นกันทำงาน เพราะลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้านเรื่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังคงไม่ทิ้งสีหน้ายิ้มแย้มและมารยาท ทางด้านการินแม้เขาจะยิ้มไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ถามแขกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลสุภาพ เมื่อประกอบกับใบหน้าสวย ๆ ชวนมองของชายหนุ่ม ก็ทำให้แขกรู้สึกเพลินตาจนลืมเรื่องรอยยิ้มและพึงพอใจในการบริการของอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน



    “อร่อยทุกอย่างทั้งอาหารและเครื่องดื่มเลยค่ะ โดยเฉพาะเชฟสลัดนี่อร่อยมาก ๆ ฝากบอกเชฟด้วยนะคะ”

    ลูกค้าหญิงกลุ่มแรกของร้านบอกกับวาโยหลังจากที่ชายหนุ่มเอาเงินมาทอนพวกเธอ ซึ่งวาโยก็ยิ้มแย้มยินดีราวกับถูกชมเสียเอง เขาโค้งด้วยความดีใจ แล้วบอกเสียงสั่น

    “ขอบคุณนะครับ ผมจะบอกเชฟให้แน่นอนครับ”

    “แล้วก็เรื่องราคาอาหารด้วยเหมือนกัน พอเทียบกับปริมาณและรสชาติแล้วบอกได้เลยค่ะว่าคุ้มจริง ๆ ...แหะ ๆ บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกที่เห็นว่ามีแวทกับเซอร์วิสชาร์จต่างหาก ฉันงี้ถอยกรูดไปก้าวแล้ว”

    หญิงสาวอีกคนบอกแล้วยิ้มกึ่งแหยให้ ส่วนอีกคนที่เหลือรีบเสริมตามมาทันที

    “ฉันก็บอกแล้วว่ามันเรื่องปกติของร้านประเภทนี้ ราคาที่เขียนไว้ข้างนอกก่อนรวมค่าพวกนี้ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย เธอก็งกไม่เข้าเรื่อง เกือบทำให้พลาดร้านอร่อยแล้วไหมล่ะ”

    คนถูกย้ำทำหน้าเบ้ ก่อนจะบอกขอโทษตามมา ทั้งหมดรวมไปถึงวาโยหัวเราะเบา ๆ  แล้วจากนั้นสามสาวจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ และสัญญาว่าจะมาใช้บริการอีกครั้งอย่างแน่นอน

    “โอ๊ะ...เอ๋...”

    วาโยที่กำลังเก็บถาดใส่สมุดเดินบิลตรงหน้าหลังจากที่ลูกค้ากลับไปแล้วอุทานเบา ๆ เมื่อเห็นปลายแบงค์ยี่สิบโผล่ออกมาจากสมุดเล่มนั้น เขาไม่ได้มองตอนที่อีกฝ่ายรับเงินทอน และคิดว่าคงจะไม่ได้รับทิป เพราะมีค่า service charge รวมไปอยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับทิปถึงแม้จะเป็นทิปรวมก็ตาม ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจมาก เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าลูกค้าพอใจในบริการของร้านนั่นเอง

   

    อีกด้านหนึ่ง ราเมศนั้นกำลังชงกาแฟให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ยิ่งได้ขวัญแก้วเป็นลูกมือก็ยิ่งทำงานได้ราบรื่นไปใหญ่ เพราะหญิงสาวแม้จะมีตำแหน่งผู้ช่วยบาริสต้า แต่จริง ๆ แล้วเธอก็เป็นบาริสต้ามือหนึ่งไม่แพ้กับราเมศเลยทีเดียว

    “มาทำงานแบบนี้ก็ดีนะ ได้เห็นเมถอดแว่นตาดำกับเขาบ้าง ไม่งั้นก็ชอบใส่แว่นตลอด ทำตัวเป็นยากูซ่าเมืองไทยไปได้”

    ขวัญแก้วเอ่ยกระเซ้าคนที่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้ราเมศชะงักมือ แล้วทำทีเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจคำพูดของหล่อน ทว่าขวัญแก้วก็ยังพูดต่อ

    “หน้าตาก็ออกจะหล่อ แถมยังหุ่นนายแบบอายแบบนี้ ...น่าเสียดายที่ดันเป็นเกย์”

    คราวนี้ราเมศสะดุ้งโหยง เขาเกือบหลุดโพล่งออกไปแล้ว ถ้าไม่กลัวว่าลูกค้าจะตกใจล่ะก็

    “ฉันบอกเธอแล้วไงแก้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นเกย์ ...นี่คงยังไม่เลิกคิดสินะว่าฉันกับปวีร์เป็นอะไรกันอยู่น่ะ”

    ขวัญแก้วหันขวับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ราเมศไม่ชอบ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะยักไหล่เบา ๆ แล้วบอกตามมา

    “ใครจะเลิกคิดได้จ๊ะ เล่นตัวติดกันเป็นตังเมแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง แถมยังย้ายไปอยู่ด้วยกันหลังจากเรียนจบ วีสั่งอะไรก็ทำงก ๆ ไม่เคยขัด ไม่ใช่แฟนแล้วจะเป็นอะไร เพื่อนที่ไหนเขายอมกันได้ขนาดนี้ ฮึ!”

    ถึงแม้ขวัญแก้วจะพูดไม่ค่อยดังและลูกค้าที่นั่งห่างไปจะไม่ได้ยินก็ตาม แต่รุจที่ทำหน้าที่แคชเชียร์ยืนอยู่ร่วมบาร์กับทั้งคู่ก็ได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยทีเดียว ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มรับแขกและทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากันอยู่

    “ฉันไม่รู้ว่าพูดให้เธอฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่ฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ...ฉันคบกับปวีร์อย่างบริสุทธิ์ใจ เราชอบอะไรคล้ายกันหลายอย่าง และฉันก็สบายใจเวลาอยู่กับเขา ก็เลยตัดสินใจอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ...มันก็แค่นั้น”

     ขวัญแก้วเหลือบมองญาติของเธอ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วรับคำยานครางตามมา

    “จ้า ๆ รู้แล้ว ไม่ใช่แฟนก็ไม่ใช่แฟน ...ระวังเถอะ กว่าจะรู้ใจตัวเอง วีก็โดนคนอื่นคาบไปกินตัดหน้าพอดี เมก็น่าจะรู้ ว่าวีน่ะฮอตในหมู่ผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายขนาดไหน”

    ราเมศมองคนพูดแล้วถอนหายใจอย่างเอือมระอา เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมขวัญแก้ว และบางทีก็รวมไปถึงขวัญตา ถึงชอบพูดยุให้เขาจับคู่กับปวีร์อยู่บ่อย ๆ  ส่วนปวีร์พอรู้แทนที่จะช่วยแก้ตัว กลับทำเป็นเล่นผสมโรง แกล้งรับมุกเสียอย่างนั้นทำเอาเขาปวดหัวอยู่เสมอ  แต่ถ้าไม่นับเรื่องพวกนี้แล้ว ขวัญแก้ว กับ ขวัญตา ก็ถือเป็นผู้หญิงเก่ง ที่สามารถฝากฝังงานให้ทำได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลเลยทีเดียว

   

     “บ่ายแล้วนี่ ...ช่วงพักนายกับวินไม่ใช่หรือโย ไปพักได้แล้วล่ะ”

    รุจเอ่ยทักเมื่อเห็นวาโยเอาสมุดเดินบิลมาส่งคืนเขา วาโยมองไปที่ร้านซึ่งยังเห็นลูกค้าอยู่สองสามโต๊ะ

    “แต่ลูกค้ายังนั่งอยู่ ...”

    “แค่นั้นภูริกับการินรับมือได้สบายน่า เข้าใจนะว่านายอยากช่วยงานทุกคน แต่การพักก็สำคัญไม่ใช่หรือ ถ้าล้าไปจนทำให้ข้าวของเสียหายก็ไม่ดีใช่ไหม”

    รุจเตือนพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้วาโยยิ้มออก เขาพยักหน้ารับ แล้วหันไปสบตากับกวิน กวินเหลือบดูเวลา แต่เขาติดเช็ดโต๊ะทำความสะอาดอยู่ จึงทำสัญญาณมือว่าจะตามไปทีหลัง จากนั้นเมื่อเช็ดโต๊ะเสร็จแล้ เขาจึงหันไปทางภูริที่อยู่ใกล้ ๆ

    “ฝากต่อด้วยนะ เดี๋ยวผมไปพักก่อน แต่ถ้างานยุ่ง ๆ ก็เรียกตัวได้เลยนะครับ”

    “อืม…เดี๋ยวฉันดูทางนี้เอง”

    ภูริบอกเรียบ ๆ ซึ่งกวินก็ยิ้มให้ แล้วเดินตามวาโยไปทางหลังร้าน ภูริเหลือบมองการิน ที่ยังทำงานบริการแขกอยู่ แล้วมองไปรอบ ๆ ร้านอาหาร เขายักไหล่นิด ๆ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

    “งานแบบนี้มันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักล่ะนะ”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มหว่านเสน่ห์ เมื่อโต๊ะของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกเก็บเงิน และเพราะเหตุนั้น ทิปรวมของร้านจึงเพิ่มขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้นั่นเอง

   

    ด้านในครัว ชานนและขวัญตานั้นกำลังทำงานกันอย่างคล่องแคล่ว ขวัญตาแม้จะเป็นเชฟขนมแต่ฝีมือทำอาหารคาวเธอก็ไม่เป็นสองรองใคร เธอช่วยจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ จัดจาน ตกแต่งไว้เรียบร้อย ชนิดที่แม้จะมีออเดอร์เข้ามาติด ๆ แต่เชฟอย่างชานนก็ไม่ลำบากมากนัก     

    “อ้าว พักกันแล้วหรือ ... เหนื่อยกันหน่อยนะครับ”

    ชานนทักทายทั้งคู่ ซึ่งกวินและวาโยก็ยิ้มรับ

    “ไม่เหนื่อยเท่าคุณชานนหรอกครับ นี่ได้พักทานข้าวกันหรือยังครับทั้งสองคน”

    วาโยทักทายอย่างเป็นห่วง ซึ่งขวัญตากับชานนก็ยิ้มตอบ แล้วหญิงสาวจึงบอกไปพร้อมรอยยิ้มหวาน

    “ไม่ต้องห่วงค่ะ อยู่ในครัว แถมมีอุปกรณ์พร้อมขนาดนี้ อยากทานตอนไหนก็สบายอยู่แล้ว ...เมื่อครู่ฉันยังให้คุณนนสอนทำพาสต้าโฮมเมดสูตรของเขาอยู่เลย พอเรียนเสร็จ เจ้าอาหารจานนั้นมันก็ลงไปอยู่ในท้องฉันเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ”

    “ส่วนผมชิมรสจนอิ่มก็ว่าได้นั่นล่ะครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกครับ มาห่วงพวกคุณดีกว่า ... ผมทำเส้นพาสต้าโฮมเมดเผื่อเอาไว้ ยังร้อน ๆ อยู่เลยครับ เอาออกมาตักทานกันได้เลย”

    กวินตาโต รีบไปดูในตู้เก็บอาหารที่อีกฝ่ายบอก พอเปิดมาเขาก็เห็นกล่องอาหารปิดฝาเรียบร้อย เป็นจำนวนพอกับพนักงานในร้าน เขาหยิบส่วนของตนกับวาโยออกมา แล้วแบ่งกันกินในนั้น เพราะบริเวณครัวค่อนข้างกว้าง นอกจากมีโซนสำหรับปรุงอาหารแล้ว ยังมีที่สำหรับพนักงานนั่งทานในนั้นได้อย่างสบาย ๆ

    “เพราะช่วงแรก ๆ ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ ผมก็เลยไม่ได้จัดตารางอาหารกลางวันให้ทุกคน แต่ถ้าใครทานที่ทำไว้ไม่ได้ ก็แจ้งได้เสมอนะครับ ไม่ต้องเกรงใจกัน”

    ชานนบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ทั้งคู่ยิ้มตอบรู้สึกขอบคุณและชื่นชมต่อความเอาใจใส่คนอื่นของชายหนุ่มยิ่งนัก จากนั้นวาโยก็เล่าให้ฟังเรื่องที่ลูกค้าชมเรื่องอาหารที่อีกฝ่ายทำ ซึ่งชานนก็ยิ้มแย้มขอบคุณด้วยความยินดี ทำให้วาโยรู้สึกดีใจตามไปด้วย

    “หอมจัง...อ๊า! พาสต้าของโปรดด้วย มีเผื่อฉันไหมคะคุณนน”

    เสียงหวานใสดังขัดขึ้น ทำให้วาโยและกวินหันไปมอง ขวัญแก้วยิ้มทักทาย และเมื่อชานนบอกว่ามีเผื่อสำหรับทุกคน เธอจึงตรงไปที่ตู้เก็บอาหารในครัว แล้วหยิบพาสต้าส่วนของเธอออกมา

    “น่าเสียดายนะ ที่พักพร้อมกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้เมาท์กันสนุกทีเดียว”

    ขวัญแก้วที่มานั่งทานร่วมกับหนุ่ม ๆ บอก ซึ่งก็ทำให้คนฟังยิ้มตอบ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนสวยแถมยังไม่ถือตัวและคุยสนุก ถึงบางครั้งเจ้าหล่อนจะชอบซุบซิบกันเองกับปวีร์ไม่ก็ขวัญตา และมองพวกเขาแปลก ๆ นักก็ตามที

    “ว่าแต่วีล่ะคะคุณนน ไม่เห็นตัวตั้งแต่ช่วงใกล้เที่ยงแล้ว”

    ขวัญแก้วหันมาถามชานน ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง

    “เห็นว่ามีงานต้องเคลียร์ก็เลยยังอยู่ข้างบนนั่นล่ะครับ อืม...เจ้าตัวบอกไว้ด้วยสิว่า ถ้าช่วงบ่าย ๆ ค่อยไปตามลงมาทานมื้อกลางวันด้วย...นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว”

    ชานนบอกอย่างนึกขึ้นได้ แต่ก่อนที่จะมีใครในนั้นอาสาขึ้นไปตาม ขวัญแก้วก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “ถ้าอย่างนั้นรอตอนบ่ายครึ่งก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเมก็พักแล้ว ถ้าคนอื่นไปตามแล้วกำลังทำงานติดพันก็มีหวังผัดผ่อนอยู่นั่นล่ะ  ถ้าเมไปตามเองก็ยังดึงตัวลงมาเลยได้บ้าง”

    ขวัญแก้วบอกอย่างคนที่รู้จักกันดี ชานนทำหน้าเห็นด้วย แล้วจึงหันไปสนใจทำอาหารต่อ เมื่อมีออเดอร์เข้ามาอีก

    “พวกที่บาร์พักกันคนละครึ่งชั่วโมงเองสินะครับ”

    กวินพึมพำแล้วนึกถึงตารางงานที่เขาอ่านผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจมากนัก

    “ใช่จ้ะ  แต่เราพักเป็นสองรอบนะ จะว่าไปงานบาร์ถึงจะหนัก แต่ก็ไม่ลำบากเท่าเสิร์ฟแบบพวกเธอนักหรอกจ้ะ”

    “แต่ทางนั้นต้องใช้ทักษะมากกว่าเยอะนี่ครับ”

    วาโยแย้งกลับไป เพราะเท่าที่เขาเห็นราเมศชงกาแฟ เขาก็นึกมึนแทนแล้ว เพราะไหนจะต้องจดจำการใช้อุปกรณ์ และสูตรที่ชงอีก มันช่างดูวุ่นวายในความคิดของเขาเสียเหลือเกิน

    “มันก็จริงล่ะนะ ...แต่ถ้าชำนาญแล้วก็ไม่ลำบากอย่างที่คิดไว้หรอกจ้ะ”

    ขวัญแก้วตอบแล้วยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเอ็นดู จากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารกันต่อ และนั่งคุยกันจนหมดเวลาพักของหญิงสาว เธอจึงขอตัวกลับไปทำงานต่อ ไม่นานนักราเมศก็เข้ามาในครัว และได้รับข้อความจากชานน เขาจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วถือกล่องอาหารในส่วนของเขาและปวีร์ขึ้นชั้นสองไปแทน

    “ลองเกินเวลาแล้วยังไม่ลงมาแบบนี้ มีอย่างเดียวคืองานติดพันนั่นล่ะครับ เพราะฉะนั้นคงต้องเอาไปป้อนถึงปาก ไม่งั้นก็มัวแต่ท่ามาก อ้างโน่นอ้างนี่ประจำ”

    ราเมศบอกเรียบ ๆ ก่อนขอตัวขึ้นห้องพัก แต่คนฟังอย่างวาโยและกวิน รู้สึกนึกทึ่งที่อีกฝ่ายนั้นรู้ใจกันดีแบบนี้ สมแล้วที่ขวัญแก้วบอกว่าทั้งสองคนนั้นคบกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเลยทีเดียว

    “ว่าแต่พวกคุณไม่ไปนอนพักยืดเส้นยืดสายด้านบนบ้างหรือครับ ยังมีเวลาอีกเกือบยี่สิบนาทีเลยทีเดียวนะครับ กว่าจะถึงเวลาทำงาน”

    ชานนเอ่ยทัก ทำให้กวินกับวาโยลังเล และเป็นวาโยที่ค่อย ๆ ลุกขึ้น และแอบย่องไปด้านหลังบาร์ ก่อนจะชำเลืองมองคนในร้านว่ามีเยอะไหม ทำเอาขวัญแก้วกับรุจที่หันมาเห็นพอดี ถึงกับหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกขำ

    “ไม่ต้องห่วงน่า ไว้ถ้าเพื่อนเธอไม่ไหว ฉันจะไปเรียกเธอมาช่วยนะ”

    ขวัญแก้วบอกค่อย ๆ วาโยยิ้มแห้งตอบ แต่พอชายหนุ่มจะผลุบหน้าเข้าไป การินก็หันมาพอดี ชายหนุ่มหน้าสวยสบตากับอีกฝ่ายแล้วเห็นสีหน้าและแววตาเป็นห่วงมองมายังเขา การินจึงถอนหายใจก่อนจะยิ้มมุมปากน้อย ๆ เป็นการยืนยันว่าเขาทำไหว วาโยยิ้มตอบแล้วยกนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ชื่นชมอีกฝ่าย พลางทำปากกระซิบเชียร์สู้ ๆ ก่อนจะหลบฉากไป จนการินที่มองอยู่นึกขำ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเหนื่อยและรู้สึกเพลีย เพราะแทบไม่เคยทำงานหนักมาก่อน แต่พอได้กำลังใจจากวาโย มันก็ทำให้เขาเริ่มฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

    “ขยันดีนี่คุณหนู นึกว่าจะทำไม่ไหวเสียอีก”

    ภูริที่เห็นการินเช็ดโต๊ะอย่างขยันขันแข็งเอ่ยทัก เพราะตอนนี้ลูกค้าแต่ละโต๊ะกำลังทานอาหาร จึงไม่มีใครเรียกขอบริการจากเขา

    “ก็คิดว่าจะไม่ไหวเหมือนกันนั่นล่ะครับ...แต่ว่า...”

    การินพึมพำแล้วมองไปยังด้านทางเข้าของครัว ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ

    “ขืนทำตัวอ่อนแอ เดี๋ยวใครบางคนก็เป็นห่วงพอดี ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีมันก็น่ารำคาญเหมือนกันนะครับ”

    แม้จะบอกว่าน่ารำคาญแต่ใบหน้าของชายหนุ่มกลับมีรอยยิ้มระบายอย่างยากที่ใครจะเคยได้เห็น จากนั้นการินจึงขอตัวนำผ้าเช็ดโต๊ะไปเก็บ ส่วนภูริที่ได้ฟังก็เหลือบไปมองทิศเดียวกัน เขานึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งยามคิดถึง

    “นั่นสินะ...ความห่วงใยที่มากเกินไป บางทีมันก็น่ารำคาญจริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ”

    ชายหนุ่มพึมพำด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม เมื่อได้ยินเสียงลูกค้าเรียกใช้บริการดังขึ้น 




... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 9 อัพเดท 30/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-07-2012 15:27:31
ภูริเป็นอะไรมากมั๊ยกับวาโยเนี่ยะ  รู้สึกว่าวาโยทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจซักอย่างเลยนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 9 อัพเดท 30/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 31-07-2012 08:37:01
 o13 o13 o13 o13  มารอวาโยแต่เช้า อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 9 อัพเดท 30/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 31-07-2012 09:40:18
โยเราออกจะน่ารักเหอะ

เชอะๆๆ ภูริอยากได้ความเป็นห่วงของโยคนเดียวใช่ไหมล่ะ

หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 9 อัพเดท 30/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 31-07-2012 09:42:01
ไปทำแจกันแตกมั่งดีกว่า เผื่อคุณวีจะให้ไปเป็นแม่บ้านในร้านใช้หนี้  :laugh:

อ่านแล้วก็ อร๊างงงง :-[ อยากไป อิอิ
 
 :pig4: นะคะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 10 อัพเดท 31/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 31-07-2012 11:10:42
ตอน 10 มาแล้วค่า ^^  หนุ่มๆ  ของเราก็เริ่มสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทีละน้อย  หุ ๆ แม้จะมีบางรายที่อาจจะทำซึนอยู่ แต่คอนเซปต์เรื่องนี้คือ "ฮาเร็ม" ค่ะ  ดังนั้นต่อให้ซึนแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องหลงเสน่ห์น้องโยของเราอยู่ดีล่ะ....มั้ง (อิ ๆ ไม่สปอยส์จ้า รอตามอ่านเอาเองนะคะ)  :o8:

--------------------------------------------------.



Miracle Café /10



    พอถึงเวลาเปลี่ยนเวรวาโยก็รีบจ้ำพรวดเพื่อจะได้ออกไปทำงานต่อทันที จนไม่ทันมองว่ากำลังมีคนเดินสวนเข้ามาเช่นเดียวกัน

    “อ๊ะ!”

    วาโยที่ตัวเล็กกว่าชนเข้ากับอีกคนแล้วทำท่าเหมือนจะล้ม ถ้าคนที่ถูกชนไม่คว้าเอวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ก่อน

    “หัดเดินให้มันมองทางหน่อยสิ”

    ภูริบ่นเบา ๆ แล้วปล่อยมือที่จับไว้ วาโยพึมพำขอโทษและขอบคุณ ก่อนจะเดินหน้าสลดออกไป ทำให้คนที่หลุดปากบ่น หงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอกน่า”

    พอได้ยินวาโยก็หันขวับ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มให้อย่างดีใจแทน ทำเอาภูริต้องถอนหายใจด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนกวินที่อยู่แถวนั้นมองภูริอย่างแปลกใจ แต่ก็หันไปทางวาโยแล้วยิ้มกว้าง

    “นายนี่มันตลกดีนะโย เหมือนตัวการ์ตูนเลย แป๊บ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าละ”

    คำพูดของกวินทำเอาคนที่ได้ยินแถวนั้นเกือบหลุดขำออกมา แม้แต่การินที่เดินมาทีหลังและได้ยินเข้า ยังต้องเบือนหน้าไปกลั้นยิ้มด้วยซ้ำ

    “มากไป...ใครจะเปลี่ยนได้ปุบปับแบบนั้น ฉันก็เป็นเหมือนคนปกตินั่นล่ะ ฮึ!”

    วาโยที่โดนเปรียบเป็นตัวการ์ตูนบอกอย่างนึกงอน แต่พอหันมาเห็นการินเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน ทำเอาขวัญแก้วที่มองอยู่รีบเอามือปิดปาก ก่อนจะเผลอหลุดหัวเราะออกมา

    “เหนื่อยไหมริน ไปพักกินข้าวเถอะ คุณชานนเขาอุ่นพาสต้าให้แล้วล่ะ”

    การินยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ เขาเดินผ่านวาโยเข้าไป ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินกวินที่อยู่แถวนั้นเอ่ยขึ้น

    “สงสัยฉันต้องดูนายใหม่เสียแล้วสิ เห็นบอบบางแบบนี้ แต่อึดใช่เล่นเลยนะ”

    การินมองคนพูด แล้วสะบัดหน้าเดินสวนเข้าห้องครัวไป ทว่าระหว่างสวนกันชายหนุ่มหน้าสวยก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

    “ฉันไม่มีทางเสียท่าให้นายดูถูกแน่ล่ะ”

     กวินมองตามไล่หลังอีกฝ่ายไป แม้จะหมั่นไส้และไม่ค่อยถูกชะตา แต่เขาก็ยอมรับเลยว่าตัวเล็ก ๆ แถมยังเป็นคุณหนูแบบนั้น  แต่สามารถทำงานหนักได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดเลยทีเดียว

    “ไปเถอะวิน ลูกค้าเข้าร้านแล้ว!”

    วาโยรีบหันไปบอกเพื่อน เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตู ชายหนุ่มรีบเข้าไปต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และท่าทางกระตือรือร้น จนกวินอดทึ่งไม่ได้

    “รายนี้ก็อีกคน ...เฮ้อ! ฉันเองก็ต้องเต็มที่บ้างแล้วล่ะ!”

     กวินบอกแล้วก็เร่งฝีเท้าออกไปเตรียมพร้อมทำงาน ราเมศที่เพิ่งออกมามองตามทั้งคู่แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันควันเมื่อขวัญแก้วนั้นหันมาจ้องเขาเขม็ง แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์

    “ทำงานที่นี่มันดีจังเลยน้า ขนาดเสื้อยิ้มยากอย่างเม ยังหลุดยิ้มให้เห็นจนได้”

    “ฉันก็ยิ้มของฉันออกบ่อยไป”

    ราเมศแก้ตัว แล้วประจำที่ทำงาน แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อขวัญแก้วเอ่ยต่อ

    “ใช่ซิ...ยิ้มเฉพาะเวลาอยู่สองต่อสองกับวีใช่ไหมล่ะ”

    “เธอนี่มัน...”

    ราเมศถอนหายใจหนัก ๆ เขาทำเป็นไม่สนใจขวัญแก้ว แล้วหันไปบอกกับรุจแทน

    “ไปพักได้แล้วล่ะรุจ เดี๋ยวหน้าที่แคชเชียร์ พวกฉันจะดูแลแทนเอง”

    พอได้ยินราเมศพูดแบบนั้น ขวัญแก้วเองก็นึกได้ว่าถึงเวลาพักของรุจแล้วเช่นเดียวกัน

    “ตายจริง ลืมไปเลย ฉันทำแทนเองก็ได้จ้ะ เธอไปพักเถอะรุจ”

    รุจหันมายิ้มให้ทั้งสองพร้อมกับขอบคุณ ก่อนจะเดินลัดเลาะด้านหลังของทั้งคู่เข้าครัวไป ขวัญแก้วมองตามยิ้ม ๆ แล้วพึมพำอย่างถูกใจ

    “ชอบจังเลยคนแบบนี้ รู้จักพูด สงบปากสงบคำ แต่เวลาทำงานแล้วทันคน ที่สำคัญ ยังเป็นหนุ่มแว่นอีกต่างหาก!”

    ขวัญแก้วบอกอย่างชื่นชม แต่คำพูดของเธอโดยเฉพาะท้ายประโยคนั้นทำให้ราเมศหันไปมอง

    “ทีฉันบ่นเรื่องใส่แว่น แล้วทำไมคนอื่นพอใส่แว่นแล้วกลายเป็นดีไปล่ะ”

    หญิงสาวที่กำลังเดินไปประจำตำแหน่งแคชเชียร์หันมามอง แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

    “ก็ของเมมันแว่นตาดำ ใส่แล้วลดทอนความหล่อของใบหน้า แต่ของรุจมันเป็นไอเทมเสริมความน่ารักนี่นะ”

    ราเมศรับฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก คงจะมีแต่ปวีร์ที่มีงานอดิเรกใกล้เคียงกันกับขวัญแก้วเท่านั้นล่ะมั้งที่สามารถเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดได้ทั้งหมด

    ราเมศคิดในใจก่อนจะหันมาให้ความสำคัญกับออเดอร์เครื่องดื่มที่วาโยนำมาให้ ส่วนขวัญแก้วก็เหลือบมองญาติของเธอด้วยรอยยิ้มขำ ๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับงานของตัวเอง เมื่อมีลูกค้าเข้ามายืนดูขนมอบในตู้โชว์ขนมซึ่งตั้งอยู่ข้างแคชเชียร์ เพื่อที่จะสั่งนำกลับบ้านของตน

   

    แม้จะเป็นเวลาใกล้ปิดร้านแล้ว แต่ลูกค้าก็ยังทยอยเข้ามา พวกวาโยต้องแจ้งลูกค้าว่าแม้ร้านจะปิดตอนสองทุ่มก็จริง ทว่าครัวอาหารนั้นจะปิดในเวลาทุ่มครึ่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เข้าใจ และในที่สุดเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้าน ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มพอดี

    “จบไปวันหนึ่งแล้วสินะ...”

    กวินบิดกายเล็กน้อยอย่างเมื่อยขบ เขาตั้งใจว่าหลังจากวันนี้ไป ถ้ามีเวลาว่างคงต้องออกกำลังกายเพิ่มเติมบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงทำงานได้ไม่อึดพอแน่

    “ทานมื้อค่ำกันก่อนเถอะ แล้วค่อยจัดเก็บกวาดร้านก็ได้”

    ปวีร์ที่เดินออกมาจากทางครัวบอกกับพนักงานของเขา เมื่อเห็นวาโยที่เดินไปพลิกป้ายร้านเปลี่ยนเป็น Close เดินกลับมาเพื่อที่จะจัดโต๊ะ เตรียมทำความสะอาดต่อ

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ กำลังหิวมาก ๆ เลย!”

    คนที่เอ่ยตอบนั้นกลับเป็นกวินแทน ชายหนุ่มเดินจ้ำพรวด ๆ นำไปก่อน เห็นดังนั้นคนอื่น ๆ จึงทยอยวางมือ แล้วเข้าไปในห้องครัวเช่นเดียวกัน

    “หอมจังเลยครับ กลิ่นอะไรครับเนี่ย!”

    กวินทำจมูกฟุดฟิดแล้วถามอย่างสงสัย ด้านชานนกับขวัญตายิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นขวัญตาที่เป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น

    “สตูว์เนื้อลูกวัวค่ะ ...พอดีฉันกับคุณนนนั่งคิดเมนูกันว่าจะทำอาหารอะไรเป็นมื้อค่ำดี คิดไปคิดมาก็มาลงเอยที่สตูว์นี่ล่ะค่ะ ...พูดก็พูดเถอะนะคะ ขนาดเชฟที่โรงแรมเก่าที่ฉันทำงานอยู่ ยังทำสตูว์อร่อยสู้คุณนนไม่ได้เลยล่ะค่ะ”

    ชานนหัวเราะกับคำชมของอีกฝ่าย เขาเปิดฝาหม้อสตูว์ออก มันจึงยิ่งส่งกลิ่นหอมหวนโชยออกมามากขึ้น ชายหนุ่มใช้ทัพพีตักใส่ชาม โดยมีขวัญตาเป็นผู้ช่วย เสิร์ฟให้สมาชิกแต่ละคนที่นั่งประจำที่กันถ้วนหน้า

    “ทั้งสองคนก็มาทานพร้อมกันเถอะครับ”

    วาโยเรียกขวัญตากับชานน ที่ยืนประจำตำแหน่งตรงหม้อสตูว์ ทั้งสองคนสบตากันลังเล แต่แล้วปวีร์ก็เอ่ยตามมา

    “หมดเวลางานแล้วน่า นี่มันเวลาครอบครัว มากินด้วยกันเถอะ”

    และเพราะคำพูดนั้นทำให้ชานนกับขวัญตายิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะตักสตูว์ส่วนของตัวเอง มานั่งทานด้วยเช่นเดียวกัน  โต๊ะยาวที่เคยกว้าง ตอนนี้กลับดูแน่นเพราะคนจำนวนสิบคน มานั่งกินรวมกัน

    “ใครไม่อิ่มก็เดินไปตักเองได้เลย คุณนนทำเผื่อไว้พอเบิ้ลอยู่แล้วล่ะ”

    ปวีร์บอกยิ้ม ๆ เมื่อเห็นแต่ละคนกินกันอย่างหิวโหย โดยเฉพาะบางคนที่กำลังจะหมดชามอย่างรวดเร็ว

    “อาหารกลางวันพรุ่งนี้ อยากกินอาหารจีนจังเลยค่ะคุณนน”

    ขวัญแก้วที่ทานอิ่มแล้วบอกกับเชฟหนุ่ม ซึ่งคำพูดของเธอก็สร้างความสนใจให้กับบางคนได้เหมือนกัน

    “อาหารจีนหรือ ก็น่ากินดีนะ ...เอาอะไรดีล่ะ”

    ปวีร์บอกอย่างเห็นด้วย ซึ่งแต่ละคนก็ทำท่าคิด แต่แล้ววาโยกับภูริก็เสนอขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

    “ผัดหมี่ซั่วดีไหมครับ”

    คนพูดต่างฝ่ายต่างชะงักแล้วหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ และเป็นวาโยที่รู้สึกตัวก่อน จึงรีบอธิบายตามมา

    “ง่า...ของชอบผมน่ะครับ”

    ภูริพยักหน้ารับรู้ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเอาวาโยกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธอะไรหรือเปล่า 

    “งั้นเอาหมี่ซั่วก็ได้ รู้สึกจะเป็นของโปรดของพนักงานเสิร์ฟของเราถึงสองคนนี่นะ”

    ปวีร์เอ่ยกระเซ้า ทำเอาภูริหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนวาโยหน้าแดงนิด ๆ

    “หมี่ซั่วหรือ ก็โอเคนะ... ขอเครื่องเยอะ ๆ ด้วยนะคะ หรือจะเป็นหมี่ซั่วทะเลก็เข้าท่าเหมือนกัน”

    ขวัญแก้วทำท่าอ้อนจนราเมศหมั่นไส้ ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้ ทางด้านคนอื่นที่ไม่ได้เสนอความคิด ต่างก็เห็นด้วยกับเมนูดังกล่าว พวกเขากินไปคุยไปได้สักพัก แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำงาน โดยวาโยกับกวินนั้นอาสาช่วยเก็บกวาดในครัว รุจไปเคลียร์เงินและบัญชีของวันนี้ ส่วนที่เหลือก็จัดการทำความสะอาดภายในร้าน

     ทางด้านสองสาวนั้นพวกเธอขับรถมาเอง และปวีร์ก็ไม่อยากให้ทั้งคู่กลับดึกนัก จึงให้พวกเธอกลับไปก่อนตั้งแต่ตอนทานมื้อค่ำเสร็จ  จนเวลาเกือบสามทุ่มพวกเขาก็ทำความสะอาดร้านเรียบร้อย จัดการปิดล็อกร้าน แล้วพากันกลับบ้านพัก ซึ่งแต่ละคนพออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนและหลับลงแทบจะทันทีเลยด้วยซ้ำ

   

    เช้าวันถัดมาวาโยตื่นขึ้นอย่างสดชื่น แม้จะทำงานหนักมาเมื่อวาน แต่สำหรับคนที่ทำงานพิเศษบ่อย ๆ อย่างชายหนุ่มนั้นสามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก

    “หลับสบายดีแฮะ ...หือ...เหวอ! แย่แล้ว!”

    ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ เมื่อหันไปเห็นกองเครื่องแบบพนักงานในตะกร้าข้างตู้ เมื่อคืนเขาตั้งใจจะซักและมารีดในช่วงเช้า แต่เพราะเหนื่อยมากไปก็เลยลืม โชคดีที่ยังมีเครื่องแบบสำรองอีกชุด ไม่อย่างนั้นคงจะได้ซักแล้วรีดกันทั้งหมาด ๆ มาใส่ทั้งอย่างนั้นแน่

    “ไปซักเสื้อก่อนดีกว่า...คนอื่น ๆ ไม่รู้จะลืมเหมือนกันหรือเปล่าแฮะ”

    วาโยนึกถึงคนอื่น ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าไปปลุกเรียกเพื่อถาม จึงจำต้องเดินถือตะกร้าผ้าของตนออกไปซักคนเดียว แต่พอลงมาก็เห็นรุจกำลังปั่นผ้าอยู่เช่นกัน

    “อ้าว ซักผ้าเหมือนกันหรือนั่น”

    “ง่า...ครับ เมื่อคืนผมเผลอหลับไปก่อน เลยลืมซัก”

    วาโยบอกแล้วยิ้มแห้ง ๆ รุจนั้นยิ้มตอบ แล้วจึงหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเครื่องดังเตือนเบา ๆ

    “เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปตากก่อนแล้วกัน”

    รุจบอกพร้อมกับหยิบผ้าใส่ตะกร้าของเขา หลังห้องซักรีดเป็นลานตากผ้า ที่มีราวตากและไม้หนีบให้พร้อม อีกทั้งมีหลังคากระเบื้องโปร่งแสงทำเป็นกันสาด ชนิดแดดส่องได้สะดวก และยังกันฝนได้หากเกิดฝนตกแล้วลืมเก็บอีกด้วย

    “เป็นห้องซักรีดที่เยี่ยมไปเลยแฮะ”

    วาโยมองเครื่องซักผ้าตรงหน้าที่มีอยู่สี่เครื่อง ทั้งแบบอัตโนมัติ และกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งมีอย่างละสองเครื่อง  วาโยนั้นเลือกใช้แบบกึ่งอัตโนมัติ เขาแยกเสื้อกางเกงไว้ปั่นไม่รวมกัน สักพักกวินก็ลงมาสมทบด้วยอีกคน

    “ไง! อรุณสวัสดิ์ ไม่ชวนกันเลยนะเนี่ย”

    ชายหนุ่มแบกตะกร้าผ้าของตนมาเช่นเดียวกัน ทว่ากวินนั้นจับทุกอย่างยัดใส่เครื่องซักผ้าอัตโนมัติ แล้วปั่นรวมไปเลยทีเดียว

    “อย่างน้อยก็แยกใส่ถุงปั่นสักหน่อยสิ”

    วาโยเอ่ยเตือน แต่กวินหัวเราะอย่างไม่ถือสา

    “ไม่เป็นไรหรอก ผ้าออกจะเนื้อดี สีไม่ตกชัวร์”

    วาโยถอนหายใจ เขาซักผ้าของเขาต่อ จากนั้นภูริและการินจึงนำผ้าลงมาซักด้วยเช่นเดียวกัน

    “ความจริงซักเช้าแบบนี้ก็เข้าท่าดีนะ กลางคืนมันเหนื่อย แถมตากทิ้งไว้ น้ำค้างลงด้วย เสื้อชื้นหมด”

    กวินบอกหลังจากที่หยิบเสื้อผ้าของเขาซึ่งอบเสร็จเตรียมตากออกมาจากตู้ เช่นเดียวกับเครื่องของวาโย

    “คุณหนู มาซักเครื่องนี้สิ นายซักแบบสองถังไม่เป็นหรอกน่า”

    กวินหันมาทางการิน ที่จด ๆ จ้อง ๆ มองเครื่องซักผ้าที่เหลือ เพราะเครื่องแบบอัตโนมัติอีกตู้นั้น ภูริจับจองซักอยู่เรียบร้อย

    “ฮึ! ฉันซักเป็นน่า ก็แค่ซักผ้า”

    การินบอกแล้วเลือกเครื่องกึ่งอัตโนมัติแทนเครื่องที่กวินใช้เสร็จ ทำให้กวินมองมาอย่างนึกขำ ส่วนวาโยมองอย่างเป็นห่วง และทำท่าจะเข้าไปช่วยสอน

    “ไม่ต้องน่าโย แค่เครื่องซักผ้า เด็กประถมยังใช้เป็นเลย!”

    กวินบอกแล้วลากวาโยไปตากผ้าด้วยกัน ทำให้การินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเครื่องซักผ้าตรงหน้า ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้ใช้ยากเย็นอะไรนัก

    “พอซักน้ำแรกเสร็จแล้ว ซักน้ำเปล่าตามอีกสักสองน้ำ กำลังดี ผงซักฟอกมันจะได้ไม่เหลือ”

    ภูริที่ยืนอยู่แถวนั้นบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งการินก็ชะงักก่อนจะหันไปขอบคุณชายหนุ่มเบา ๆ แล้วหันมาสนใจกับการซักผ้าครั้งแรกของเขาต่อ

   

    และเมื่อหนุ่ม ๆ ซักผ้าตากผ้ากันเสร็จ อาหารเช้าก็เตรียมรออยู่เรียบร้อย

    “วันนี้เป็นเมนูจากสมาชิกห้อง 1 นำเสนอครับ และเพราะกลางวันนี้เราจะกินหมี่ซั่วทะเล ผมจึงหยิบเมนูนี้มาทำเป็นอาหารเช้าให้ทุกคนกัน”

    ชานนบอกแล้วหันไปยิ้มให้กับรุจและภูริ ซึ่งทั้งคู่ก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ส่วนกวินที่เดินตามมาพอเห็นอาหารตรงหน้าเขาก็อุทานเสียงดัง

    “ว้าว! ข้าวต้มทะเลหรือครับ  โห! เครื่องเพียบเลย!”

    กวินอุทานอย่างตื่นตะลึง เขาเคยกินข้าวต้มทะเลก็จริง แต่อย่างดีก็แค่กุ้งตัวเล็ก ๆ แล้วก็มีวิญญาณปู วิญญาณปลา เสริมมานิดหน่อย แต่กุ้งตัวโต ปลาหมึก เนื้อปู เนื้อปลาแน่นเพียบขนาดนี้ เขาเพิ่งจะได้กินมาก่อนนี่ล่ะ

    “เครื่องเยอะขนาดนี้ แต่ไม่มีกลิ่นคาวเลยนะครับเนี่ย ...อร่อยมากเลยครับ”

    วาโยเอ่ยชม ส่วนการินนั้นกำลังคิดว่าเขาจะจัดการเจ้าพวกกุ้ง ปู ปลา ปลาหมึกได้หมดจานหรือไม่ เพราะมันค่อนข้างเยอะอยู่ทีเดียว

    “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ... ที่ใส่เครื่องเยอะ เพราะข้าวต้มกินแล้วอิ่มง่ายก็จริง แต่จะย่อยเร็วมาก ดังนั้นจึงเน้นพลังงานที่เนื้อต่าง ๆ แทนน่ะครับ”

    “พลังงานเยอะอยู่เอาการเลยล่ะครับ”

    การินพึมพำ สงสัยวันนี้เขาคงต้องตั้งใจทำงานผลาญพลังในร่างกายให้เต็มที่ เพราะคอเรสเตอรอลที่เห็นตรงหน้านี่มันค่อนข้างจะมากอยู่พอสมควรทีเดียว

    “นายน่ะต้องกินให้เยอะ ๆ ด้วยซ้ำ ...เอาปลาหมึกฉันไปเพิ่มดีไหม”

    กวินไม่พูดเปล่า เขาตักปลาหมึกในชามให้อีกฝ่าย ทำเอาการินตาโต แล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าบึ้งหนัก

    “วิน...อย่าแกล้งเขาสิ ...นี่ริน ถ้ากินไม่หมดก็ไม่เป็นไรนะ เอามาทางนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันช่วยเอง”

    วาโยบอกแล้วยิ้มอ่อนโยน ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดถอนหายใจ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ ตามมา

    “ใครไม่พอทานมีเติมทั้งข้าวทั้งเครื่องนะครับ”

    เสียงของชานนขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม แต่คนฟังแต่ละคนกลับยิ้มแหย ๆ ให้ และต่างคิดในใจว่าอีกฝ่ายนั้นช่างเป็นพ่อครัวที่ไม่หวงวัตถุดิบเลยจริง ๆ

    และแล้วมื้อเช้าที่อาหารแสนเบาอย่างข้าวต้มแต่กลับหนักเครื่องจนบางคนถึงกับจุก ก็ผ่านพ้นไปอย่างเอร็ดอร่อย มีบางคนนั้นเลือกที่จะเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารด้านล่างแทนที่จะกลับขึ้นห้องพัก  แต่บางคนก็ขอตัวไปนอนต่อ ก่อนที่จะถึงเวลาเข้างาน

   

… TBC …
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 10 อัพเดท 31/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 31-07-2012 11:42:03
อั๊ยๆๆๆๆ

โยยังคงสเต๊ปความน่ารักและห่วงใยคนอื่นอย่างเหลือเฟื้อ น่ารักซะจริงๆเลย

ดูเหมือนใคร ๆก็ชอบโยเนอะ แต่ภูรินิดูยากแหะ

5555

กวินกับการิน จิกกัดกันตลอดเวลา เรียกว่า คู่รักคู่กัดได้ไหมน้าา

ว่าแต่ สองคนนี้จะเข้าคู่กันรึเปล่าจ้า

ติดตามต่อๆๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 10 อัพเดท 31/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 31-07-2012 11:52:21
แหม ภูรินี่ซึนจริงๆ เลยนะ

ฮาเร็มสำหรับวาโย ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 10 อัพเดท 31/7/55
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 31-07-2012 15:42:50
ฮาเลมงัยละ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 01-08-2012 12:49:48
ในที่สุด อีเวนท์พิเศษวันเสาร์ก็มาถึง ....มีนักอ่านท่านใดทายถูกกันบ้างคะ ^^

--------------------------------------------------------------------------------------




Miracle Café /11




    ลูกค้าในวันที่สองเริ่มทยอยมากันหนาตามากขึ้น จากคำบอกเล่าปากต่อปาก และจากลูกค้าที่ชื่นชมในรสชาติและบริการจากวันแรก พวกวาโยวิ่งวุ่นกันมากกว่าเดิม แต่ทุกคนก็ยังคงขยันขันแข็งและมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา และเริ่มมีสมาชิกบางรายได้ ‘ทิป’ ส่วนตัวจากลูกค้า แล้วเช่นกัน

    “อะไรน่ะวิน... เอ๋ น้ำหอมหรือ”

    วาโยซุบซิบกับอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นหญิงสาววัยทำงานโต๊ะที่เพิ่งลุกไปมอบทิปให้กับมือเพื่อนของเขา

    “ใช่...น้ำหอมมันก็โอเคอยู่หรอกนะ แต่เวลาทำงานมันใส่ไม่ได้นี่ เดี๋ยวรบกวนกลิ่นกาแฟในร้านพอดี”

    กวินบอกอย่างไม่ยินดียินร้าย ทำให้วาโยลอบถอนหายใจ และคิดในใจว่าอีกฝ่ายคงเคยได้ของขวัญจากสาว ๆ มานับไม่ถ้วน ถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับกันถ้าเป็นเขาคงดีใจยิ้มไม่หุบไปทั้งวันแน่

     “เอาจริง ๆ ฉันก็อยากได้เป็นแบงค์ม่วง ๆ แดง ๆ แนบเบอร์โทรเจ้าของแบงค์มาแบบคุณภูริมากกว่าล่ะนะ”

    กวินบอกพลางยักไหล่ แต่ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะมีลูกค้าใจถึงให้ทิปเยอะขนาดนี้ แถมยังกล้าให้เบอร์โทรเพื่อให้ฝ่ายชายติดต่อมาก่อนอีก

    “เป็นอะไรไปโย หน้าแดง ๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า”

    กวินถามพลางยกหลังมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย ส่วนอีกมือก็แตะหน้าผากตัวเองเช็คอุณหภูมิ การกระทำของทั้งคู่ทำให้ลูกค้าหญิงบางคนที่หันมาเห็น ถึงกับหน้าแดงแล้วหันไปซุบซิบกับเพื่อนของเธออย่างถูกใจ

    “มะ...ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้เป็นไข้หรอก อ๊ะ ลูกค้าเรียกแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

    วาโยรีบตัดบท แล้วตรงไปหาลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ต้องการจะเติมน้ำเปล่า ชายหนุ่มไม่กล้าบอกเพื่อนหรอกว่าเขาเผลอคิดถึงเรื่องส่วนตัวฉันท์ชู้สาวของคนอื่น ถ้ากวินรู้เข้า มีหวังต้องล้อเลียนเขาแน่เลยทีเดียว

   

    หลังจากรับมือช่วงเที่ยงที่ค่อนข้างวุ่นวายกว่าวันแรก ก็ถึงช่วงพักของกวินและการิน ทำเอาวาโยชักกังวลว่าคู่ปรับคู่กัดทั้งสองจะมีเรื่องทะเลาะกันหลังร้านหรือไม่

    “นี่... ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ดูแลหน่อยสิ”

    ภูริที่เดินถือเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าผ่านวาโย กระซิบดุอีกฝ่ายที่เผลอยืนเหม่อ ทำให้วาโยสะดุ้งโหยง เขารีบหันไปทางลูกค้าแล้ววิ่งไปต้อนรับ และพาลูกค้าไปนั่งที่นั่ง ก่อนจะเหลือบมองภูริ แล้วลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเข้าใจว่าตนเองคงเผลอทำเรื่องให้อีกฝ่ายรำคาญและหมั่นไส้เพิ่มขึ้นอีกแน่

    “น้องคะ ...น้องคะ ...”

    ลูกค้าสาวคนหนึ่งย้ำเรียกวาโยที่เผลอยืนเหม่อซ้ำสอง จนวาโยรู้สึกตัว เขาสะดุ้งเฮือก รีบโค้งปลก ๆ ขอโทษอีกฝ่ายทันที

    “ขอโทษนะครับ ขอโทษจริง ๆ ผมเผลอไปหน่อย”

    ลูกค้าสาวคนนั้นชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องซีเรียสถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่อยากทราบรสชาติของเครื่องดื่มพวกนี้สักหน่อยน่ะค่ะ พอดีมีหลายอย่างที่ไม่คุ้นชื่อ ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยจะได้ไหมคะ”

    วาโยยิ้มเขิน ๆ ตอบ ดีใจที่ลูกค้าไม่ถือสา จากนั้นเขาจึงตั้งใจอธิบายอย่างขยันขันแข็งตามที่ได้จดจำและเรียนรู้มา จนลูกค้าพึงพอใจ  ส่วนทางด้านภูรินั้นเหลือบมองเพื่อนรุ่นน้องของเขาชั่วครู่ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับงานตรงหน้าของตนต่อจนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยงของเขาและวาโย



    “โย...คิดถึงนายชะมัดเลย!”

    วาโยหันไปมองตามเสียง แล้วก็เห็นกวินที่เดินผ่านหลังแคชเชียร์ตรงมากอดเขา จนเขาตกใจ

    “อะไรกันวิน...เป็นอะไรไป”

    โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าในร้าน ไม่อย่างนั้นวาโยคิดว่าคงถูกสายตาแปลก ๆ มองพวกเขาแน่  แต่พอมาลองคิดดี ๆ ถ้าเห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่กวินคงไม่กล้าทำแบบนี้อยู่แล้วล่ะนะ

    “ก็หมอนั่นน่ะสิ  นั่งเป็นตุ๊กตาปูนปั้นทั้งชั่วโมงเลย ฉันชวนคุยอะไรก็ไม่คุยด้วย ...เหงาชะมัด น่าจะขอคุณปวีร์ให้จัดพักพร้อมนายตลอดยังดีเสียกว่า”

    กวินบ่นอุบ ทำให้วาโยลอบถอนหายใจ แล้วดันคนตัวใหญ่กว่าให้ออกห่าง ก่อนจะย้อนกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

    “นายแหย่เขาก่อนล่ะสิ”

    “อะไร! แม้แต่นายยังโทษว่าเป็นความผิดของฉันอย่างนั้นรึ! ฮึ…เสียทีเราเป็นรูมเมทกันแท้ ๆ”

    คนตัวใหญ่ทำท่างอนจนคนมองนึกขำ แต่วาโยก็ไม่ใส่ใจ เพราะเริ่มชินเสียแล้ว ถ้ากวินยังบ่นยังพูดได้แบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธได้งอนอะไรจริงจังนัก

    “ลำบากแย่สินะริน”

    วาโยหันไปทักทายคนที่กำลังเดินตามมา การินทำท่าถอนหายใจเบื่อหน่ายให้เห็นชัด ๆ แทนคำตอบ ทำเอาวาโยหัวเราะเบา ๆ

    “เอาน่า...เดี๋ยวก็ชินเอง”

    วาโยปลอบแล้วขอตัวไปพักบ้าง ซึ่งการินก็ยิ้มน้อย ๆ ระหว่างเดินสวนกัน  ทางด้านภูริยืนมองการสนทนาอยู่สักพัก แล้วจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับรุจที่ถึงเวลาพักพอดีเช่นเดียวกัน

   

    วาโยเริ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของกวินก็คราวนี้ เมื่อหลังจากเขาและภูริต้องมานั่งทานอาหารฝั่งตรงข้ามกัน แถมต่างฝ่ายต่างเงียบไม่สนทนาอันใด  โชคยังดีที่มีรุจ ชานนและขวัญตาคอยชวนคุย ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

    “งั้นฉันไปพักรอเวลาข้างบนก่อนนะ”

    ภูริที่เดินออกจากห้องน้ำหลังทานอาหารเสร็จบอกกับรุจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแย้มพลางพยักหน้าตอบ แล้วจึงมองนาฬิกาซึ่งติดฝาผนังในห้องนั้นบ้าง

    “เอ...ฉันก็ใกล้ได้เวลางานแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะโย ขอตัวก่อนนะครับ คุณนน คุณตา”

    ทั้งสามยิ้มตอบแล้วพยักหน้ารับรู้ ทว่าพอภูริและรุจออกจากห้องครัวไป วาโยก็นั่งขัด ๆ เขิน ๆ อยู่คนเดียว เพราะชานนกับขวัญตาที่ตั้งท่าจะเข้ามาเป็นเพื่อนชวนเขาคุย เริ่มมีออเดอร์งานครัวเข้ามาอีกครั้ง

    “ง่า...งั้นผมขึ้นไปพักบนชั้นสองนะครับ”

    วาโยบอกกับทั้งคู่เพราะไม่อยากอยู่รบกวนสมาธิในการทำอาหารของทั้งสองคน  แต่ก่อนหน้าที่จะขึ้นไป เขาก็แวะเข้าห้องน้ำล้างมือล้างหน้าให้สดชื่น ก่อนจะชะงักเพราะเหลือบไปเห็นบางอย่างในถังขยะใต้อ่างล่างหน้า ซึ่งมีเศษกระดาษเขียนเบอร์โทรศัพท์ด้วยลายมือหวัด ๆ คล้ายลายมือผู้หญิงเขียนทิ้งอยู่ในนั้น

    “นั่นมัน...”

    วาโยหวนนึกถึงเรื่องทิปที่คุยกับกวิน ว่าที่ภูรินั้นได้รับทิปส่วนตัวพร้อมเบอร์โทรของลูกค้า ชายหนุ่มนิ่วหน้า แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เขาก็พบว่าภูริกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนหนุนหมอนอิงบนพรมกว้างอ่านหนังสืออยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ

    “ทำไมคุณถึงทิ้งเบอร์โทรของลูกค้าไว้ในถังขยะแบบนั้นล่ะครับ”

    วาโยถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    “หือ...รู้ด้วยหรือ”

    ภูริเงยหน้าขึ้นมอง วางหนังสือลงข้าง ๆ และถามกลับไปอย่างแปลกใจ

    “วินบอกน่ะครับ ว่าเห็นคุณได้ทิปพร้อมเบอร์โทร...”

    วาโยบอกตามตรง นั่นจึงทำให้คนฟังยักไหล่

    “มันก็ใช่...ฉันได้ทิปพร้อมเบอร์โทรของลูกค้า แต่ฉันไม่อยากเก็บไว้ก็เลยทิ้ง มันผิดด้วยหรือไง”

    “แต่ลูกค้าเขาอุตส่าห์ให้นะครับ ถ้าเขามารู้ทีหลังมันจะไม่ดีนะครับ”

    ภูริมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขากวักมือเรียกวาโย แล้วจึงฉุดแขนคนที่เดินมาใกล้ลงมา วาโยที่เสียหลักจึงล้มลงไปนอนคร่อมทับร่างอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

    “ฉันถึงได้เอามาทิ้งในห้องน้ำของพนักงานยังไงล่ะ ...ถ้าฉันไม่เกรงใจ ฉันคงปฏิเสธไปต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว ...ฉันว่านายน่ะ แทนที่จะเอาเวลามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น  สู้เอาเวลาไปทำงานของตัวเองให้มันได้เรื่องได้ราวไม่ดีกว่าหรือ... มัวแต่ห่วงโน่นห่วงนี่ชาวบ้านแต่ปล่อยปละละเลยงานตัวเอง ...คงไม่มีลูกค้าใจดีบ่อย ๆ เหมือนอย่างวันนี้หรอกนะ”

    ภูริบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตาคมกริบที่จับจ้องมา และถ้อยคำแทงใจดำที่เจ้าตัวพูด ทำให้วาโยไม่สามารถเถียงอะไรออกไปได้ เพราะสิ่งที่ภูรินั้นพูดก็เป็นความจริงทั้งหมด รวมไปถึงเหตุผลที่เจ้าตัวทิ้งเบอร์มือถือของลูกค้าด้วย

    “ขอโทษครับ...ผมมันยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ”

    วาโยพึมพำและมีสีหน้าสลดลงอย่างสำนึกผิด ทำให้ภูริสบถเบา ๆ แล้วผลักร่างนั้นไปข้าง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางล้วงบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง เดินไปทางระเบียงนอกห้อง ทำให้วาโยที่มองตามชะงัก แล้วลุกขึ้นจ้ำเท้าเดินไปดึงซองบุหรี่ของอีกฝ่ายออกมาจากมือ

    “นี่นาย!”

    ภูริหันมามองอีกฝ่ายอย่างเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ทว่าคราวนี้วาโยกลับจ้องมองชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ยอมหลบตา

    “เมื่อครู่ผมยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ ผมต้องขอโทษ และจะพยายามไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณอีก ...แต่เรื่องบุหรี่นี่ผมคงปล่อยไปไม่สนใจไม่ได้  ถึงกฎของร้านจะไม่ได้ห้ามเรื่องสูบบุหรี่นอกเวลาก็จริง  แต่หากสูบแล้วไปทำงานต่อยังไงลูกค้าก็ต้องได้กลิ่น มันจะสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีให้กับร้านค้าของเรานะครับ!”

    “นายมัน...”

    ภูริไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาพูดกับคนที่เขาไม่ถูกชะตาตรงหน้านี้ดี วาโยจ้องอีกฝ่ายนิ่งสักพัก แล้วจึงคืนซองบุหรี่ให้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยตามมา

    “ผมขอโทษที่เสียมารยาทกับคุณ...ผมคงขอให้คุณเลิกบุหรี่ไม่ได้ก็จริง ๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากขอร้องคุณให้สูบหลังเวลาเลิกงานได้ไหมครับ...”

    ภูริจเองอีกฝ่ายเขม็ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบกับแววตาจริงจังและบริสุทธิ์ใจของอีกฝ่ายจ้องมองเขาตอบ

      “คุณภูริ...คุณน่ะเป็นหน้าเป็นตาและมีส่วนทำให้แขกเข้าร้านเป็นอันดับต้น ๆ ...เป็นความภูมิใจของร้านคนหนึ่ง ถึงร้านนี้จะเพิ่งเปิดมาได้แค่สองวัน ...ถึงผมจะได้รู้จักคุ้นเคยกับทุกคนแค่ไม่กี่วัน ...แต่ผมน่ะ...ผมเริ่มรักร้านแห่งนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว  ผมอยากเป็นแรงกำลังและมอบสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่ทำให้ร้านนี้สามารถคงอยู่ได้  ...ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือทุกคนในร้านแห่งนี้ ...แน่นอน มันก็รวมไปถึงตัวคุณด้วยเหมือนกัน”

    ภูริจ้องมองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ยอมหลบตาเขา ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ ตามมา

    “ยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง คนอย่างนายน่ะเป็นประเภทที่ฉันไม่สบอารมณ์มากที่สุดเลยรู้ไหม!”

    ภูริกระแทกเสียงใส่ ทว่าเขากลับเก็บซองบุหรี่ใส่ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วกลับเข้าไปนั่งพักในห้องต่อ ทำให้วาโยที่มองตามนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออก เขาเดินเข้าไปในห้องพัก ทว่าเลือกนั่งคนละมุมกับอีกฝ่าย แล้วหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาด้วยเช่นกัน พวกเขานั่งพักกันเงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ และเมื่อต่างเหลือบดูเวลาซึ่งใกล้ถึงช่วงเข้างาน ทั้งคู่จึงลุกขึ้นแล้วเดินตามกันลงไปชั้นล่างโดยต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยสักคำ ทว่าบรรยากาศอึมครึมชวนกดดันระหว่างพวกเขาที่เคยมีมา กลับค่อย ๆ สลายไปทีละน้อยอย่างน่าอัศจรรย์



    มื้อค่ำในวันนั้นบางคนก็ต้องพบกับความแปลกใจในบรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะรุจที่เป็นรูมเมทของภูริและสังเกตอีกฝ่ายมาตลอด เขาเห็นว่าชายหนุ่มนั้นลดกำแพงอคติที่มีกับวาโยลงไปมากทีเดียว ซึ่งเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าใครที่เป็นคนทำให้อีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนนิสัยไปทีละน้อยแบบนั้น

    “พริกไทยอยู่ไหนนะ...พริกไทย...”

    วาโยที่เดินมาตักกระเพาะปลาเพิ่มถ้วยที่สองมองหาขวดพริกไทยที่จะเติมลงในชามเขา ก่อนจะชะงักเมื่อมีใครบางคนจากด้านหลังหยิบขวดพริกไทยจากในตู้ด้านหน้าส่งมาให้

    “อ๊ะ ขอบคุณ... คุณภูริ”

    “จะเหยาะหรือเปล่าพริกไทยน่ะ ถ้าไม่ฉันจะได้ใช้ต่อ”

    ภูริบอกเรียบ ๆ ทำเอาวาโยสะดุ้ง เขารีบเหยาะพริกไทยใส่ชามเขา ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างลังเล ภูริเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยื่นชามกระเพาะปลาของตนส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งวาโยก็รีบเหยาะพริกไทยใส่ให้ทันที

    “เฮ้ย พอ ๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นกระเพาะปลาคลุกพริกไทยพอดี”

    ชายหนุ่มบ่นอุบ ทำเอาคนเหยาะยิ้มแห้ง ๆ ก่อนเอ่ยขอโทษเสียงอ่อย ภูริถอนหายใจอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเดินไปนั่งกินต่อที่โต๊ะ ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนนั่งข้าง ๆ

    “มีอะไร...”

    “ก็แค่รู้สึกว่าบรรยากาศของร้านมันดูแจ่มใสขึ้น ก็เลยอารมณ์ดีหัวเราะขึ้นมาเองน่ะ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ นัยน์ตาสีดำหลังแว่นเป็นประกายวิบวับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน จนภูริทำเสียงฮึในลำคอ แล้วกินอาหารในชามของตนต่ออย่างไม่สนใจ ทำให้รุจต้องสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา แล้วจึงเหลือบมองวาโยที่เดินกลับมานั่งคุยกับกวินและการินอย่างร่าเริง  ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับอาหารของตัวเองต่อเช่นเดียวกัน



    วันเวลาแห่งงานหนักผ่านพ้นไปแต่ละวัน จนทุกคนในร้านเริ่มปรับตัวทำงานได้เข้าที่เข้าทาง และแล้วในเช้าวันเสาร์ ปวีร์กับราเมศ และปยุตก็มาหาทุกคนที่บ้านพักแต่เช้าตรู่ และนำเครื่องแบบใหม่มาให้แต่ละคนสวมใส่ เล่นเอาหนุ่ม ๆ ที่เห็นเครื่องแบบของพวกเขา ต่างพากันนิ่งอึ้งไปตามกัน

    “ต่อไปนี้เราจะเรียนลัดติวเข้มหลักสูตรพ่อบ้านฝึกหัดภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนอาหารเช้า และก่อนเวลาเข้างานก็มาทบทวนบทเรียนกันอีกที โดยฉันจะให้ปยุตเป็นคนฝึกสอนพวกเธอแต่ละคนเอง รับรองว่าไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะพวกเราเป็นพ่อบ้านคอสเพลย์ไม่ใช่พ่อบ้านอาชีพ ที่สำคัญเท่าที่ฉันสังเกตในตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเธอก็ถือว่าสอบผ่านงานบริการพวกนี้เป็นอย่างดีล่ะนะ  มีใครมีอะไรจะถามไหม”

    พอปวีร์บอกจบแต่ละคนก็ยกมือพรึบแทบจะพร้อมกัน ปวีร์มองไปรอบ ๆ อย่างนึกขำ ก่อนจะบอกตามมา

    “อย่างที่เคยบอกตอนเซ็นสัญญาใช่ไหม นี่ล่ะอีเวนท์พิเศษที่ว่า จัดเฉพาะทุกวันเสาร์เท่านั้น ส่วนเครื่องแบบก็เปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ธีมที่กำหนด ซึ่งสัปดาห์แรกของพวกเราก็คือ ‘คาเฟ่พ่อบ้าน’ ยังไงล่ะ”

     พอปวีร์พูดจบภูริ กวิน และการินก็ลดมือลง เพราะได้รับคำตอบที่ตนสงสัยเรียบร้อย แต่ยังมี รุจ กับ วาโย ที่ยังคงยกมือค้างไว้  โดยเฉพาะวาโย ชายหนุ่มมีสีหน้าบึ้งตึงระคนสงสัยสุดขีด  ทว่าปวีร์นั้นเมินมองอีกฝ่าย แต่หันไปชี้ให้รุจเป็นฝ่ายถามเขาก่อน

    “ผมก็ต้องแต่งชุดนี้ด้วยหรือครับ สำหรับคนอื่นผมเข้าใจว่าต้องคอยบริการลูกค้า แต่ว่า...”

    รุจเอ่ยค้างแค่นั้นเพราะปวีร์ยกมือห้ามแล้วจึงอธิบายตามมา

    “แต่เธอก็ต้องคุมพวกตู้ขนมใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็คือการบริการอย่างหนึ่ง ...ซึ่งแน่นอนว่าเฉพาะวันนี้ ฉันอนุญาตให้เธอบริการคุณลูกค้าของเราได้อย่างเต็มที่ตามสบาย”

    รุจถอนหายใจเบา ๆ พลางพยักหน้ารับรู้  ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงหันมามองวาโยที่ยังคงยกมือค้างไว้ไม่ยอมลง

    “ยังมีอะไรข้องใจอีกหรือวาโย”

    “มีสิครับ มีมากด้วย ...”

    วาโยบอกแล้วกัดฟันนิด ๆ ก่อนจะโชว์ชุดของเขาให้อีกฝ่ายดู

    “ไหนคุณบอกว่าเป็นคาเฟ่พ่อบ้านยังไงล่ะครับ แล้วทำไมของผมนี่ดูยังไงก็ชุดเมดชัด ๆ”

    คนอื่นเหลือบมามองชุดของวาโย มีบางคนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนไม่ต้องถูกหางเลขไปพร้อมกับอีกฝ่ายเข้าด้วย

    “ก็เธอไม่เหมาะกับชุดพ่อบ้านนี่นา อย่าห่วงไปเลย ฉันมีวิกให้ยืมน่า ไม่ให้แต่งไปทั้งผมสั้น ๆ แบบนี้หรอก อ้อ แล้วเดี๋ยวแก้วกับตาจะมาช่วยเมคอัพให้เธอเอง รับรองว่าสวยจริงหญิงอายแน่”

    “ไม่มีทางครับ! จะให้แต่งหญิงนี่นะ!”

    วาโยโวยวาย รู้สึกรับไม่ได้แม้จะเป็นเรื่องงานก็ตาม

    “เฮ้อ...เสียดายแจกันใบนั้นจริงน้า ทั้งที่น่าจะได้มาประดับห้องของฉันแล้วแท้ ๆ ...อุตส่าห์หาแทบตาย กว่าจะเจอใบที่ถูกใจแบบนั้น”

    จู่ ๆ ปวีร์ก็เปรยขึ้นดัง ๆ ทำเอาวาโยสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ส่วนราเมศลอบถอนหายใจ นึกสงสารวาโยที่โดนเพื่อนสนิทของเขาแกล้งเข้าให้อีกแล้ว

    “กะ...ก็ได้ครับ แต่งก็แต่ง”

    วาโยรับคำเสียงอ่อย ทำเอาบางคนที่ไม่รู้เรื่องหนี้ของชายหนุ่มแปลกใจ การินทำท่าจะถามอีกฝ่าย แต่แล้วปวีร์ที่หันมาเห็นเข้าก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

    “ความจริงชุดเมดของรินก็มีนะ อาทำเผื่อไว้ให้ ...สนใจจะแต่งคู่กับโยไหมล่ะ จะเปลี่ยนตอนนี้ก็ยังทันนะ”

    “ไม่มีทาง!”

    การินบอกเสียงห้วน แล้วตีหน้าบึ้งใส่ผู้เป็นอา ความคิดที่จะถามวาโยหายวับเพราะความโมโหที่ถูกปวีร์กวนประสาท ส่วนปวีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าของหลานชาย ...และเพราะรู้ว่าการินนั้นดื้อดึงออกขนาดนี้ จะบังคับให้ใส่ชุดเมดคงไม่ยอมแน่ ๆ แต่สำหรับหนุ่มหน้าสวยอย่างการินแล้ว จะแต่งชายหรือแต่งหญิงก็ดูดีเข้ากันทั้งสองแบบอยู่ดี

    “เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเธอไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แล้วค่อยลงมาเรียนหลักสูตรเร่งรัด ของการเป็นพ่อบ้านฝึกหัดกับปยุตเขา  อ้อ...สำหรับวาโย เธอมาทางนี้ เดี๋ยวฉันจะฝึกการเป็นเมดคาเฟ่ให้เธอเอง”

    ปวีร์บอกอย่างร่าเริง แล้วดึงตัววาโยไปฝึกต่างหากที่ร้าน แม้แต่ตอนที่ทุกคนฝึกการเป็นพ่อบ้านเสร็จและถึงเวลาอาหารเช้าพวกเขาก็ยังไม่เห็นวาโยกลับมาร่วมมื้อเช้าด้วย ทางด้านชานนจึงบอกกับทุกคนว่าปวีร์กับวาโยจะกินมื้อเช้าที่ร้าน อาบน้ำและเปลี่ยนชุดเตรียมทำงานกันที่นั่นเลย  ส่วนทุกคนทางนี้หลังจากทบทวนบทเรียนกันเรียบร้อย ก็ค่อยไปพร้อมกันที่ร้านได้โดยไม่ต้องรอพวกเขา

    “หมอนั่นจะแต่งออกมาเป็นเมดแบบไหนกันนะ”

    กวินพึมพำอย่างสนใจ คนอื่น ๆ ก็พากันคิดตาม และจินตนาการกันไปต่าง ๆ นานา ...ทว่าพอไปถึงร้าน พวกเขาต่างก็ต้องพบกับความตกตะลึง เมื่อได้เห็นสาวน้อยผมยาวหน้าตาน่ารักยืนรออยู่ บนผมเธอมีผ้าระบายลูกไม้สีขาวคาดประดับ ชุดที่ใส่เป็นชุดกระโปรงสีดำสั้นเกินเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ผูกผ้ากันเปื้อนระบายลูกไม้สีขาวที่เอว สวมถุงน่องยาวสีขาวถึงเข่า ส่วนรองเท้าก็เป็นส้นเตี้ยสีดำมีสายคาดเป็นโบอันใหญ่  เจ้าหล่อนหันมามองทุกคนด้วยสีหน้าเขินอาย ทว่าหนุ่ม ๆ แต่ละคนนั้นตอนนี้กำลังนิ่งอึ้งยืนตาค้างกันเป็นแถว จนสาวน้อยในชุดเมดเริ่มหน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกระทืบเท้าดัง ๆ อย่างหงุดหงิด

    “เออ! ผมยอมแพ้ก็ได้ วันนี้ผมจะยอมทำตัวสมกับเป็นเมดให้ทั้งวันเลย!”

    คนอื่นสะดุ้งเฮือก แล้วจึงตั้งสติได้ ก่อนจะหันไปตามเสียงหัวเราะของใครบางคนที่นั่งมองอยู่ตรงที่นั่งมุมหนึ่งในร้าน

    “ฉันบอกแล้ว ว่าพวกเขาต้องอึ้ง และไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอแน่”

    ปวีร์บอกกึ่งขำ ซึ่งขวัญแก้วและขวัญตาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็หัวเราะคิกคัก แล้วจึงเอ่ยตามมา

    “พนันกับใครไม่พนัน ดันพนันกับวี มันก็แพ้กันตั้งแต่เริ่มเอ่ยปากแล้วล่ะจ้ะ เด็กน้อย”

    ขวัญแก้วบอกยิ้ม ๆ ซึ่งขวัญตาเองก็เอ่ยตามมาอย่างเห็นดีด้วย

    “นั่นสิคะ พี่วีน่ะ ถ้าไม่เห็นทางชนะไม่มีทางเสี่ยงพนันกับใครหรอกค่ะ”

    “พอ ๆ สองสาว เดี๋ยวคนแถวนี้เขาจะกลัวฉันกันพอดี”

    ปวีร์ห้ามอย่างไม่เอาจริงเอาจังนัก ส่วนราเมศที่มองทั้งสามอยู่ตรงหลังเคาเตอร์ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา และเอ่ยตัดบทขึ้นดัง ๆ

    “อีกสิบกว่านาทีร้านก็จะเปิดแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะ อย่าลืมอธิบายกับลูกค้าให้เข้าใจด้วยแล้วกันว่าวันนี้ร้านมีอีเวนท์พิเศษ พวกเขาจะได้ไม่คิดว่าเข้าผิดร้าน”

    คำพูดของราเมศ ทำให้คนอื่นเริ่มแยกย้ายกันทำงาน  วาโยนั้นตีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ส่วนหนุ่ม ๆ คนอื่นพากันเตรียมร้านด้วยความเงียบสงบ ไม่มีใครชวนใครคุยเลยสักคน แม้แต่กวินที่มักร่าเริงและชอบหาเรื่องชวนคนอื่นคุย  ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดโต๊ะเงียบ ๆ ทว่าหากมีใครสักคนลองเข้าไปใกล้และจ้องหน้าชายหนุ่มชัด ๆ ก็จะเห็นได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังหน้าแดงระเรื่ออย่างผิดปกติเลยทีเดียว





... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 01-08-2012 13:09:38
วาโยต้องน่ารักมากแน่ๆเลย
อยากเห็นจัง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 01-08-2012 15:01:55
โยน่ารักอะ

คนอื่นมองกันตาค้าง

อยากรู้มากมายว่าใครจะเป็นพระเอก

ใจลึก ๆ หวังให้เป็น ภูริ อะ 555 กรี๊ดๆๆๆ

แต่ก็ลุ้นว่าใครกันหนอ จะได้คู่กับวาโยคนน่ารักของเรา
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 01-08-2012 15:19:57
ว่าแล้ว ว่าโยต้องโดนแต่ง ญ แน่ๆ

หนุ่มๆ นี่ต้องหลงโยกันหมดแน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-08-2012 15:49:59
น่ารักขนาดทุกคนอึ้งนี่คงน่ารักมากๆเลยสินะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-08-2012 16:08:35
น่ารักโดนใจล่ะซี๊  โด่  แน่จริงใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเดียวดิ  .. หุ หุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 01-08-2012 16:58:36
โห หนุ่มหล่อๆตั้งเยอะแยะ แล้วมาหลงวาโยคนเดียว เสียดายของอะ 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 01-08-2012 19:50:43
ข้างอย่างแรง นิ สงสารโยจัง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 11 อัพเดท 1/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-08-2012 20:04:37
ขนาดชุดเมดแต่ละคนยังตะลึงซะขนาดนี้ นี่ถ้าโยใส่หูกระต่ายน้อยเมื่อไร สงสัยงานนี้ คาเฟ่พังแน่ๆ 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-08-2012 12:03:11


เอาตอน 12 มาเสิร์ฟ แล้วจ้า  ใกล้ทันต้นฉบับที่ปั่นค้างไว้แล้วค่ะ ถ้าทันเมื่อไหร่ คงไม่ได้มาโพสถี่แบบนี้แล้วนะคะ ต้องแล้วแต่จังหวะค่ะ ถ้าปั่นไวก็ลงไวค่ะ .... :o8:




Miracle Café /12



    “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณหนู”

    รอยยิ้มและเสียงทักทายอย่างอ่อนโยน ทำให้หญิงสาวที่เข้ามาในร้านต่างตกตะลึง และยิ่งเมื่อพวกเธอได้รับทราบจากพนักงานในร้านแจ้งว่าวันนี้มีอีเวนท์พิเศษของทางร้าน พวกเธอบางคนก็รีบโทรบอกเพื่อนฝูงที่รู้จักทันที วันนี้ทั้งวันจึงมีแขกสาว ๆ มากเป็นพิเศษ  ทว่าแขกที่เป็นผู้ชายและเริ่มเป็นขาประจำของร้านเพราะติดใจรสชาติอาหารและเครื่องดื่ม ก็ยังคงมีมาอุดหนุนที่ร้าน และกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตาตรงหน้าอยู่เช่นกัน

    “จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ นายท่าน”

    วาโยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะรู้สึกฝืนใจตัวเองสักเพียงใด แต่สำหรับเขาหน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ

    “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นลาเต้ร้อนอีกสักแก้วแล้วกันครับ”

    คนที่ดื่มกาแฟไปแล้วสองแก้วบอกพร้อมยิ้มหวานเยิ้ม โดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่าสาวน้อยตรงหน้า เป็นคนเดียวกับพนักงานเสิร์ฟหนุ่มน้อยวาโยที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีอยู่แล้ว  อีกอย่างเพราะน้ำเสียงของวาโยนั้นถึงไม่ได้แหลมสูงเหมือนผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ทุ้มห้วนห้าวแบบผู้ชายทั่วไป เรียกว่าเป็นน้ำเสียงโทนที่ฟังสบาย ๆ จึงไม่ขัดกับการแต่งหญิงของเจ้าตัวเลยสักนิด

    “รับเป็นลาเต้ร้อนเพิ่มนะคะ กรุณารอสักครู่นะคะนายท่าน”

    วาโยบอกแล้วยิ้มหวาน ทำเอาคนมองใจเต้นตึก ๆ ทว่าไม่ใช่มีแค่เพียงลูกค้าเท่านั้นที่ใจเต้น แต่กวินที่หันมาเห็นพอดี ก็อดใจเต้นตามไม่ได้ ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดเพ้อเจ้อกับเพื่อนไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนยิ่งเห็นรอยยิ้มของวาโย ก็ยิ่งทำเอาเขาฟุ้งซ่านหนักขึ้นอีก

    “คุณวินคะ...คุณวิน...ได้ยินพวกเราไหมคะ”

    บรรดาสาว ๆ แขกขาประจำแฟนคลับของกวินเรียกชื่อชายหนุ่ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภวังค์คิดของตน กวินสะดุ้งเฮือก รีบตั้งสติ แล้วตีสีหน้าเศร้าทันทีก่อนที่พวกเจ้าหล่อนจะไม่พอใจ

    “อา... ขออภัยด้วยครับ...เพราะความงดงามของพวกคุณหนูที่น่ารักทุกท่าน จึงทำให้ผมเผลอลืมตัวตกตะลึงเกินไปหน่อย ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงจริง ๆ ครับ”

    พอสาว ๆ ได้ยินก็แทบจะเขินจนเกือบจะเป็นลม  ทางด้านกวินจึงลอบถอนหายใจ และพยายามกลับมาตั้งสมาธิต่อหน้าที่ของเขา  ชายหนุ่มหวนคิดถึงถ้อยคำของปวีร์ที่เน้นย้ำก่อนจะถึงเวลาเปิดร้านว่า การเอาใจใส่ดูแล คำพูดสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน และถ้อยคำหวานชนิดที่ไม่มีใครกล้าพูดได้ในชีวิตจริง คือสิ่งที่พ่อบ้านคาเฟ่ควรพึงกระทำต่อลูกค้า   โดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ที่ต้องดูแลเอาใจใส่พวกเธอให้เป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกวันที่ผ่านมา



     อีกด้านหนึ่งภูริและการินเองก็ต้องรับศึกหนักไม่แตกต่างจากเพื่อนร่วมงานทั้งสองนัก โดยเฉพาะภูริลูกค้าบางคนระบุเจาะจงให้เขามาเสิร์ฟเท่านั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องวิ่งวุ่นไปเลยทีเดียว

    ทางด้านการินเองแม้จะเป็นหนุ่มหน้าสวย แต่ก็มีลูกค้าสาว ๆ มาให้ความสนใจเขาอยู่มากเช่นเดียวกัน แถมในจำนวนนั้นยังเป็นพวกแปลก ๆ ที่พูดคุยซุบซิบกันในเรื่องที่ชายหนุ่มฟังแล้วไม่เข้าใจ ทว่าสายตาที่มองจับจ้องมาที่เขานั้น ทำให้การินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ ยังไงไม่รู้พิกล

    “บ้ารึ! แบบนี้เขาเรียกเมะหน้าสวยย่ะ คุณการินเขาออกจะแมน”

    เสียงซุบซิบแว่ว ๆ เข้าหูทำให้การินที่กำลังเดินไปนำเหยือกน้ำมาเสิร์ฟโต๊ะข้าง ๆ ชะงัก

    “อะไรกัน หน้าสวยแบบนี้เป็นรุกเสียดายตาย ต้องรับอย่างเดียวเท่านั้นจ้ะ”

    การินขนลุกซู่ แม้จะยังคงสงสัยว่าสิ่งที่โต๊ะข้าง ๆ นั้นพูดหมายถึงอะไร แต่สัญชาตญาณเฉพาะตัวมันเตือนให้เขารู้ว่า ตัวเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสิ่งที่พวกเจ้าหล่อนกำลังพูดถึงอย่างเด็ดขาด

   

    “อืม...ไม่คิดว่าจะได้ผลการตอบรับเกินคาดแบบนี้เลยแฮะ นี่ขนาดอาทิตย์แรกนะเนี่ย”

    ปวีร์ที่มองอยู่หลังบาร์พึมพำเบา ๆ แล้วจึงหันไปปรึกษาราเมศ ที่กำลังยืนคอยออเดอร์ลูกค้าอยู่ข้าง ๆ

    “จ้างพนักงานพาร์ทไทม์สักคน มาทำงานเฉพาะวันเสาร์ดีไหม”

    คนฟังจ้องตอบ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

    “ไว้ดูสถานการณ์สักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อนไม่ดีกว่าหรือ ...ไม่แน่เสาร์หน้าคนอาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้”

    “ไม่มีทาง! ฉันได้ยินลูกค้าคุยกันเลยว่า เสาร์หน้าจะนัดเพื่อน ๆ มาที่ร้านอีก ...นี่ฉันยังกังวลเลยว่า ที่นั่งของเราจะพอรับรองลูกค้าได้หรือเปล่าน่ะสิ”

    ขวัญแก้วเอ่ยแทรกขัด  ทำให้ราเมศนิ่งเงียบ แล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปบอกกับเพื่อนสนิท

    “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นายแล้วกัน ยังไงนายก็เป็นเจ้าของร้านนี่”

    “หึ ๆ แต่นายเป็นหุ้นส่วน ‘คนสำคัญ’ ของฉันนี่นา จะทำอะไรฉันก็ต้องปรึกษาก่อนสิ”

    ปวีร์บอกพลางเน้นบางคำเป็นพิเศษ ทำให้ขวัญแก้วที่ฟังอยู่หัวเราะคิกคัก จนราเมศเริ่มไม่สบอารมณ์ เห็นดังนั้นปวีร์จึงอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    “เอาล่ะ งั้นฉันไปวางแผนการก่อนแล้วกัน ... บางทีอาจจะต้องปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านนอกสักหน่อย พื้นที่หน้าร้านเราก็ค่อนข้างกว้าง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักจะมาเป็นกลุ่ม ที่จอดรถก็พออยู่แล้ว  ถ้ายังไงอาจจะปรับปรุงตรงหน้าร้านให้เป็นที่นั่งนอกร้านก็ได้ ...แต่คงต้องวางแผนตกแต่งกันหน่อยแล้วล่ะ... เน้นร่มรื่น กันแดด และเย็นสบาย ไม่แตกต่างกับในร้านได้ก็จะดีไม่น้อย”

     จากนั้นเจ้าของร้านหนุ่มจึงขอตัวกลับขึ้นห้องทำงาน ทำให้ราเมศมองตามและลอบถอนหายใจอีกครั้ง ลองแบบนี้พอถึงพักกลางวัน เขาคงจะต้องเอาอาหารขึ้นไปให้เจ้าตัวกินถึงห้องอีกแน่ ๆ

    “ว่าแต่ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะเวิร์กถึงขนาดนี้ล่ะนะ ... แต่ถ้าให้พูดในฐานะผู้หญิง บางทีเราก็อยากให้มีหนุ่ม ๆ คอยเอาใจเราเหมือนเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอแบบนี้สักครั้งเหมือนกันนั่นล่ะ”

    ขวัญแก้วบอกแล้วมองสภาพในร้านด้วยรอยยิ้ม ทำเอาราเมศเหลือบไปมองคนที่อยากลองอ่อนแอ ตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมาอีกครั้งในที่สุด



    ช่วงพักครึ่งแรกของพนักงานในร้านวันนี้เป็นเวลาพักของวาโยและการิน ทำเอากวินนั้นทั้งนึกเสียดายและโล่งอก เพราะขืนเขาได้พักพร้อมรูมเมทในสภาพนั้น คงทำให้เขายิ่งฟุ้งซ่านจนเผลอแสดงอะไรแปลก ๆ ออกไปให้อีกฝ่ายเห็นเป็นแน่

    “...พอหมอนั่นไปพัก ลูกค้าผู้ชายในร้านก็น้อยลงทันตาเห็นเลยนะเนี่ย”

    ภูริพึมพำอย่างนึกทึ่ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่า วาโยจะแต่งหญิงออกมาได้เหมาะเจาะขนาดนั้น นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนแล้วบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาก็คงเชื่อ และถึงวาโยจะไม่ได้หน้าสวยเด่นสะดุดตาขนาดการิน แต่เครื่องหน้าของอีกฝ่ายนั้นก็ดูหวานชวนมอง ยิ่งเฉพาะตอนยิ้ม เขาไม่แปลกใจอะไรเลยว่า จะมีลูกค้าชายมาหลงเสน่ห์ชายหนุ่มเอาเข้าแบบวันนี้ และถึงแม้ลูกค้าจะรู้ความจริง เผลอ ๆ ก็ยังอาจจะมีคนที่ตัดใจไม่ได้ หลงเหลือมาที่ร้านเพราะวาโยอีกก็ได้

    “จะว่าไป วันนี้ไม่เห็นน้องผู้ชายคนนั้นเลยนะคะ คนที่ยิ้มเก่ง ๆ น่ารัก ๆ น่ะค่ะ”

    ลูกค้าที่ภูริกำลังบริการชวนคุย ทำให้ชายหนุ่มชะงัก นิ่งคิดหนักว่าจะบอกความจริงอีกฝ่ายดีหรือไม่

    “เขาชื่อน้องโยย่ะ... แต่จะว่าไปก็ไม่เห็นเลยจริง ๆ วันนี้เขาลาหรือคะ”

    ลูกค้าสาวที่มาด้วยกันบอกเพื่อนแล้วหันไปถามภูริอย่างสงสัย ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วจึงตัดสินใจบอกออกไปตามตรง

    “เขาก็มาทำงานนี่ล่ะครับ ...แต่เพิ่งไปพัก เมื่อครู่นี้เอง”

    ลูกค้าสาวในโต๊ะนั้นทำท่างุนงง ก่อนจะเบิกตากว้างตามมา เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก

    “อย่าบอกนะคะว่า เมดคนนั้นคือ...”

    ภูริยิ้มรับ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ในกลุ่มตามมา

    “กรี๊ด! ไม่จริง เราก็ว่าหน้าคุ้น ๆ แต่ไม่คิดว่า....  อ๊าย! รู้งี้แอบถ่ายรูปเอาไว้ก็ดีหรอก!”

    ขวัญแก้วที่ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะลูกค้าแย้มยิ้มนิด ๆ กับเนื้อความในประโยคนั้น เธอหยิบโทรศัพท์โทรขึ้นไปหาปวีร์ เพียงไม่กี่นาทีชายหนุ่มก็ลงมาที่ร้าน แล้วเดินไปหาสาว ๆ กลุ่มนั้น

    “สวัสดีครับ...ผมชื่อปวีร์เป็นเจ้าของร้าน Miracle café ยินดีที่ได้รู้จักคุณสุภาพสตรีผู้น่ารักทุกท่านครับ”

    สาว ๆ กลุ่มเดิมเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึง เพราะเพิ่งเคยเจออีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แถมพวกเธอไม่เคยคาดคิดเลยว่า ร้านกาแฟแห่งนี้จะมีเจ้าของยังหนุ่มแถมหล่อดาราอายขนาดนี้มาก่อน

    “พอดีทางผมมีโปรโมชันของร้าน มานำเสนอกับทุกท่าน หากสนใจก็สามารถติดต่อผม หรือทางคุณสุภาพสตรีที่ประจำตรงบาร์นั่นได้เลยนะครับ”

    ปรวีร์แจกแผ่นใบปลิวสีที่เขาทำขึ้นให้กับสาว ๆ กลุ่มนั้น และเดินแจกให้กับลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ ในร้าน ก่อนจะนำไปวางไว้ตรงแคชเชียร์ที่รุจยืนอยู่ ซึ่งขวัญแก้วก็รีบหาตะกร้าน่ารัก ๆ มาวางใบปลิว พร้อมเอาที่ทับกระดาษเล็ก ๆ ทับไว้อย่างรู้งาน

    “ถ้ามีลูกค้ามาซื้อขนม หรือเครื่องดื่มกลับบ้าน ก็ช่วยแจกใบปลิวนี้ไปด้วยเลยนะ”

    รุจพยักหน้ารับก่อนจะเหลือบดูเนื้อหาในใบปลิวอย่างอดไม่ได้ เพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดและพูดคุยเซ็งแซ่หลังจากได้อ่านโปรโมชันที่ปวีร์แจกไป ตอนนี้กำลังดังระงมไปทั่วร้าน จนพวกวาโยและการินที่กำลังพักนึกสงสัยเลยทีเดียว

    “โปรโมชันสำหรับลูกค้าที่อุดหนุนทางร้านตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปต่อ 1 ใบเสร็จ  ทางร้านจะมีของที่ระลึกของร้านมอบให้ และท่านยังสามารถนำใบเสร็จนั้นมาแลกสิทธิเพื่อถ่ายรูปแนบชิดกับพนักงานของร้านที่ท่านชื่นชอบได้ 1 ท่าน / กลุ่ม ต่อ 1 รูป ซึ่งทางร้านจะอัดรูปด่วนให้ท่านในทันที....”

    รุจอ่านข้อความในใบปลิวพลางกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเท่าที่ดูจากปฏิกิริยาของลูกค้าแต่ละคนในร้านแล้ว มีหวังเพื่อนร่วมงานของเขาบางคนคงต้องเหนื่อยหนักแน่ เพราะว่าในร้านนั้นมีกฎห้ามถ่ายรูป ถึงแม้จะมีคนแอบถ่ายรูปพนักงานของร้านไปบ้างก็ตาม  แต่เมื่อเทียบกับภาพที่เจ้าตัวเต็มใจพร้อมให้ถ่าย หรือสามารถถ่ายพร้อมกับคนที่ตัวเองสนใจ มีหรือที่ลูกค้าทั้งหลายซึ่งเล็งถ่ายรูปหนุ่ม ๆ ในร้านเอาไว้ จะพลาดโปรโมชันอันแสนจะเย้ายวนนี้ได้

    “น่าเสียดายลูกค้าของวาโยที่กลับไปแล้ว ...ฉันไม่คิดว่าจะมีคนสนใจตั้งแต่เริ่มต้นแบบนี้นี่ ความจริงตั้งใจจะแจกใบปลิวตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไปแท้ ๆ”

    ปวีร์เดินกลับมาบ่นกับขวัญแก้ว แต่รุจกับราเมศที่อยู่แถวบาร์ด้วย ต่างฝ่ายต่างหันไปลอบถอนหายใจเบา ๆ แทน

    “พวกนายก็ด้วยนะ ถ้าลูกค้าเลือก ก็ต้องถ่ายรูปด้วย”

    ปวีร์หันมาบอกยิ้ม ๆ ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง โดยเฉพาะราเมศ

    “รวมฉันด้วยหรือไง!”

    “แน่นอน ฉันระบุไว้นี่ว่า พนักงานของร้าน นายก็เป็นพนักงานไม่ใช่หรือไง เพราะฉะนั้นถ้ามีลูกค้าต้องการถ่ายรูปด้วยล่ะก็ ห้ามขัดเด็ดขาดล่ะ”

    ปวีร์บอกแล้วยิ้มหวาน แต่อีกฝ่ายนี่สิหน้าเริ่มบึ้งจนเห็นได้ชัด

    “ไม่เอาน่าเม คิดดูสิว่าวีเองก็ต้องฝืนใจขนาดไหน ที่ยอมให้เมไปถ่ายรูปกับสาว ๆ คนอื่นน่ะ ...จริงไหมวี”

    ขวัญแก้วขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เห็นดังนั้นปวีร์จึงรับมุกหญิงสาวต่อ

    “ไม่เป็นไรหรอกแก้ว  แค่นี้ฉันทนได้ ...แต่คิดในแง่ดี คนที่ฉันรักมีคนมาสนใจแบบนี้ มันก็น่าปลื้มอยู่ไม่ใช่หรือไง”

    “โถ วี...ช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริง ๆ เนอะเม”

    หญิงสาวหันมาทางบาริสต้าหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็กัดฟันกรอด ๆ แล้วกระแทกเสียงตอบ

    “เออ!”

    “ฮ่า ๆ เอาน่า อย่าซีเรียสไปหน่อยเลย เดี๋ยวลูกค้าตกใจพอดี”

    ปวีร์บอกอย่างไม่ใส่ใจ แล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อ ซึ่งหลังจากนั้นสักพักสาว ๆ กลุ่มที่เป็นแฟนคลับของภูริ ก็ขอใช้สิทธิ์ถ่ายรูปรวมกลุ่มกับชายหนุ่ม  ทว่าพวกเธอก็ยังคงบ่นเสียดายเรื่องวาโยในชุดเมด  ขวัญแก้วจึงไปบอกปวีร์ และชายหนุ่มก็ใจดีเนื่องจากเป็นลูกค้ากลุ่มแรกที่ร่วมโปรโมชัน จึงตามวาโยมาถ่ายรูปรวมกับพวกเธออีก 1 รูป สร้างความพอใจให้ลูกค้าสาวกลุ่มนั้นยิ่งนัก และก่อนกลับพวกเธอยังให้สัญญาว่า จะไปกระจายข่าวบอกต่อกับเพื่อน ๆ และคนรู้จักให้มาใช้บริการของร้านกันเยอะ ๆ แน่นอน

     

    “เฮ้อ! เมื่อไหร่จะถึงวันจันทร์เร็ว ๆ นะ!”

    วาโยบ่นกับตัวเองหลังจากเก็บกวาดโต๊ะที่ลูกค้ากลุ่มสุดท้ายเพิ่งลุกออกไป ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว ปกติช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้าในร้านเท่าใดนัก พวกเขาจึงได้มีเวลาพักผ่อนกันบ้าง แต่ถ้าใกล้ช่วงเย็นจนถึงร้านเลิก ช่วงนั้นจึงจะมีคนเยอะเป็นพิเศษ

    “แต่ฉันอยากให้มีวันเสาร์ทุกวันมากกว่านะ จะได้เห็นพวกเธอในชุดเท่ ๆ แบบนี้บ่อย ๆ ...จะว่าไปก็น่าเสียดาย ที่จะใส่ชุดแบบนี้แค่วันเดียว ... ว่าง ๆ ลองเสนอวีให้ทำแบบสอบถามลูกค้า โหวตว่าธีมไหนจะเป็นธีมยอดฮิต แล้วนำกลับมาจัดใหม่สักสองเดือนครั้งก็น่าจะดี”

    ขวัญแก้วเอ่ยขัดอย่างร่าเริง แถมยังเสนอความคิดที่ทำให้คนฟังบางคนต้องยิ้มแห้ง เพราะแค่นึกว่าต้องมาแต่งหญิงแบบนี้ซ้ำอีกหลาย ๆ ครั้ง เขาก็หมดอารมณ์ที่จะทำงานไปกว่าครึ่งแล้ว

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า...นายก็แต่งออกมาสวยดีออก”

    กวินปลอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มเสียงนัก วาโยหันมามองคนพูด แล้วตีหน้ามุ่ยใส่

    “นายไม่ได้ต้องมาแต่งเองแบบฉันก็พูดได้น่ะสิ  เฮ้อ! ถ้าพวกเพื่อน ๆ ฉันมาเห็นล่ะก็ ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นต้องลงไปนอนขำกลิ้งชักดิ้นชักงอแหงม!”

    แม้จะถูกบ่น แต่พอเห็นใบหน้าหวานนั่นตีหน้าบึ้ง กวินกลับใจเต้นแรง ใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปมองอีกทาง พลางพยายามตั้งสติสงบอารมณ์ตัวเองเต็มกำลัง

    “หือ...มีลูกค้ามาแน่ะ”

    ภูริที่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้น บอกกับเพื่อนร่วมงาน ทุกคนเริ่มปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม แล้วจึงหันไปทางประตูทางเข้าเป็นตาเดียว  ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออก และเห็นใบหน้าของลูกค้ารายล่าสุดได้ถนัดชัดเจน วาโยที่กำลังยิ้มหวานก็ยิ้มค้าง พลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะเผลอตะโกนเรียกคนตรงหน้าออกไปดังลั่น

    “เจ!!”





... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 02-08-2012 14:49:37
555 เพื่อนวาโยมาซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 02-08-2012 16:40:41
 :กอด1: :กอด1: เอาเจมาเป็นพนักกงานพาร์ทไทม์ก็ดีนะ โยจะได้มีเพื่อน
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 02-08-2012 17:44:57
กวินเริ่มหลงเสน่ห์โยแล้วสินะ ฮ่าาาา
สงสารราเมศโดนรุมแกล้งตลอด อิอิ
 รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-08-2012 20:00:09
แค่กำลังคิดว่าไม่อยากให้ความลับเปิดเผย...ความลับก็เลยได้เปิดเผยเลยสิเนี่ยโย

แอบเชียร์ภูริได้ไหมเนี่ย?
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 02-08-2012 20:10:56
เพื่อนหนูโยมา จะเป็นยังไงต่อไป

กวินเขินใหญ่เลยอะ ฮิ้ววววว

โยน่ารักมากใช่ไหมล่ะ

ชอบโย *0*//
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 02-08-2012 20:50:29
เพื่อนมาเห็นโยคงอึ้งน่าดู
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: sarama ที่ 02-08-2012 21:24:46
มิราเคิล คาเฟ่จริงๆค่ะ
เซอร์ไพร์สลูกค้าได้ทุกเสาร์ ไอเดียเจ้าของร้านบรรเจิดดี
อ่านแล้วแอบลุ้นว่างวดจะเป็นธีมแบบไหน
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 12 อัพเดท 2/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 03-08-2012 10:07:24
เพื่อนมาเจอโยตอนแต่ง ญ

จะเป็นไงน๊า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-08-2012 15:36:57
แวะเอามาลงให้สองตอนต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นตอนนี้ทันสต็อกที่แต่งแล้วนะคะ (หมายความว่าจะไม่ลงถี่แบบก่อนหน้านั้นแล้ว แต่จะพยายามปั่นให้ไว ๆ แล้วนำมาลงไม่ให้ดองนานนักค่ะ ^^"




Miracle Café /13




    จรัลสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เขาหันไปมองยังต้นเสียงที่เรียกเขา ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนจะทำตาโต แล้วตะโกนกลับไป

    “โย! นี่นายจริง ๆ หรือเนี่ย!”

    ขณะที่ทั้งสองคนกำลังนิ่งอึ้งกันทั้งคู่ ภูริจึงตัดสินใจเข้าไปแทรก แล้วหันไปยิ้มให้กับจรัล

    “มาใช้บริการของทางร้านใช่ไหมครับ รบกวนเชิญด้านในดีกว่านะครับ”

    จรัลชะงักกึก แล้วจึงเริ่มตั้งสติได้

    “คะ ครับ ...ผมว่าจะมาทานข้าวเย็นที่นี่”

    “ถ้าอย่างนั้นเชิญที่นั่งมุมนั้นดีไหมครับ”

    ภูริบอกแล้วจึงหันมาสบตากับวาโยเป็นเชิงให้อีกฝ่ายนำทางไป วาโยซึ่งตั้งสติได้ก็รีบพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปทางเพื่อนของเขา

    “มาทางนี้สิ...เอ๊ย เชิญทางนี้ได้เลย...ค่ะ”

    ท้ายประโยคเจ้าตัวพูดเสียงเบาด้วยความอับอาย ทว่าจรัลนั้นไม่ได้หัวเราะเยาะอะไร ตรงกันข้ามเขาดูมีท่าทางมึนงงอยู่เสียด้วยซ้ำ

    “จะรับเครื่องดื่มอะไรดี...คะ”

    วาโยถามตามหน้าที่ ทั้งที่ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงก่ำไปหมด

    “เอ่อ...โย คือ ที่ว่าต้องมาทำงานเสิร์ฟนี่ นายจำเป็นต้องแต่งถึงขนาดนี้ด้วยเหรอ”

    จรัลถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ วาโยมองหน้าเพื่อนแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “เฮ้อ! ก่อนหน้านั้นไม่ใช่แบบนี้หรอก ...แต่เฉพาะวันเสาร์มันเป็นอีเวนท์พิเศษน่ะ เลยต้องทำ ... นายไม่น่ามาวันนี้เลยนะเจ เลยแจ็คพ็อตเห็นของไม่น่าดูเข้าได้”

    วาโยบอกแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก ทว่าจรัลนั้นกลับชะงักแล้วจึงยิ้มน้อย ๆ พลางกวักมือเรียกอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ วาโยนั้นทำตามอย่างแปลกใจ แต่พอเขาเข้าไปใกล้จรัลก็ลูบหัวของเขาเบา ๆ แล้วยิ้มกว้าง

    “คิดมากน่า แต่งออกมาสวยดีออก สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเลย ...จริงสิขอสักใบได้ไหม”

    วาโยชะงัก ก่อนจะหน้าบึ้งแล้วกระแทกเสียงใส่ด้วยความงอน

    “เสียใจ! ในร้านห้ามถ่ายรูป!”

    “โอ๋ ๆ อย่าโกรธน่า ...ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่าย  แต่ลองโมโหได้แบบนี้ มันก็คงไม่ได้แย่สักเท่าไหร่หรอก จริงไหมล่ะ”

    จรัลบอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งวาโยก็ทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ตอบ ความสนิทสนมของทั้งคู่ ทำให้หลายคนในร้านมองตามอย่างแปลกใจ และมีบางคนเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทีละน้อย

    “หมอนั่นนิสัยคล้ายนายนิด ๆ นะ”

    การินที่เดินผ่านกวินไปเอ่ยพึมพำเบา ๆ ทำให้กวินกัดฟันกรอด แล้วหันมองตามหลังคุณหนูหน้าสวยซึ่งกำลังยกยิ้มน้อย ๆ อย่างถูกใจที่สามารถเอาคืนทำให้อีกฝ่ายหัวเสียได้บ้าง

    “ไหน...เพื่อนวาโยมาหรือ  อ้อ... เด็กคนนั้นนั่นเอง”

    ปวีร์ที่ลงมาด้านล่างเพราะขวัญแก้วติดต่อขึ้นไปพึมพำเบา ๆ อย่างถูกใจ แล้วจึงเดินไปทักทายจรัลถึงที่นั่ง

    “สวัสดี เจอกันอีกแล้วนะครับ”

    “เอ่อ...สวัสดีครับ”

    จรัลโค้งศีรษะน้อย ๆ ตอบอย่างมีมารยาท เพราะยังไงอีกฝ่ายก็อายุมากกว่าและยังเป็นเจ้านายของเพื่อนสนิทอีกด้วย

    “แวะมาหาวาโยหรือครับ”

    ปวีร์ถามต่อ ซึ่งวาโยที่กลับมาจากสั่งเครื่องดื่มก็มองมาทางทั้งคู่อย่างเป็นกังวลเล็กน้อย

    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ พอดีอยากมาหาอะไรกินด้วย ได้ข่าวจากโยว่าเชฟที่นี่ทำอาหารอร่อยมาก ผมเลยตั้งใจจะมาลองชิมฝีมือสักหน่อย”

    จรัลตอบไปตามตรง ซึ่งปวีร์ก็พูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามประโยคแล้วจึงหันไปทางวาโย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์

    “ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทยังไง แต่ในร้านลูกค้าก็คือลูกค้า เพราะฉะนั้นเธอต้องปฏิบัติตัวต่อเขาให้เหมือนกับลูกค้าทุกคนเข้าใจไหม”

    วาโยยิ้มแห้ง ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปพยายามปั้นยิ้มหวานให้กับเพื่อนสนิท เขาเดินเข้ามาหยิบเมนูอาหารส่งให้กับจรัล แล้วบอกกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

    “เมนูอาหารของทางร้านค่ะ ...สำหรับเมนูแนะนำในวันนี้  ขอแนะนำโฮมเมดพิซซ่า และโฮมเมดไส้กรอกนะคะ”

    ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อนสนิท จรัลคงคิดว่าเมดสาวคนนี้น่ารักน่าจีบ แต่ในเมื่อรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก เขาจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ  แล้วสั่งอาหารไปสองสามอย่าง 

      “งานบริการมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยจริง ๆ ด้วยนะ”

    จรัลพึมพำกับวาโยที่กำลังจดโน้ต ชายหนุ่มชะงักมือ ก่อนจะกระซิบตอบด้วยใบหน้ายิ้มเนือย ๆ

    “แต่ถ้าชินได้มันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักหรอก...”

    จรัลมองเพื่อนของเขาในสภาพเมด ก่อนจะจินตนาการถึงตัวเองหากต้องถูกจับแต่งบ้าง แล้วจึงขนลุกขนชันตามมา

    “สำหรับฉันยังไงมันก็ยากอยู่ดี”

    วาโยยิ้มแห้ง ๆ แล้วจึงขอตัวไปดูแลโต๊ะอื่น เนื่องจากเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้าร้านกันบ้างแล้ว

   

    หลังจากเครื่องดื่มและอาหารถูกนำมาเสิร์ฟ จรัลก็กินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก ทว่าระหว่างกินเขาซึ่งนั่งอยู่มุมสุดของร้านก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ อย่างนึกทึ่งต่อบรรยากาศภายในร้าน ...ที่เขาอยากมานั่งกินที่นี่ไม่ใช่แค่เพราะว่าวาโยทำงานอยู่เท่านั้น แต่เพราะได้ยินคำล่ำลือว่าคาเฟ่ที่เพิ่งเปิดใหม่ นอกจากมีพนักงานหน้าตาดี ๆ เต็มร้านไปหมด  เรื่องอาหารและเครื่องดื่มก็ยังอร่อยมาก เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับราคาทุกบาทที่จ่ายไปจริง ๆ

    “อร่อยอย่างที่โม้ไว้จริง ๆ ด้วยแฮะ ...น่าอิจฉาหมอนี่เหมือนกันที่ได้กินฝีมือสุดยอดอย่างนี้ทุกวัน”

    จรัลพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีหนุ่มหล่อหน้าตาดีตัวสูงไล่เลี่ยกับเขา เดินเข้ามาขออนุญาตเสิร์ฟน้ำเปล่าแก้วที่ว่างอยู่ให้

    “อ๊ะ ขอบคุณครับ”

    จรัลบอกแล้วยื่นแก้วน้ำให้อีกฝ่าย ทว่าเขาก็ต้องชะงักมือเล็กน้อย เมื่อนัยน์ตาของอีกฝ่ายนั้นฉายแววไม่เป็นมิตรขึ้นมาวูบหนึ่ง

    “ได้แล้วครับ”

    จรัลรับน้ำกลับมาอย่างสงสัย เขาจำได้ว่าไม่เคยรู้จักเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายมาก่อน แต่ทำไมถึงได้ถูกมองเหมือนไม่ถูกชะตาแบบนี้ได้ แม้จะเป็นเพียงแค่ครู่เดียว และใบหน้านั้นจะกลับมายิ้มแย้มตามปกติก็ตาม

    “ออเดอร์โต๊ะห้าได้แล้วค่ะ”

    ขวัญตาที่ยกอาหารออกมาวางที่เคาท์เตอร์ตะโกนด้วยน้ำเสียงใส ๆ เพราะเวลาบ่ายแก่ ๆ ใกล้ช่วงเย็นแบบนี้ พนักงานแต่ละคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบวุ่นวายจนอาจไม่ทันได้สังเกตว่าอาหารหรือเครื่องดื่มทำเสร็จพร้อมเสิร์ฟแล้ว

    “อ๊ะ เดี๋ยวฉันไปเอง”

    วาโยรีบหันไปบอกกับการินที่ติดจดออเดอร์ลูกค้า ทว่าระหว่างที่รีบ ๆ ชายหนุ่มก็ดันเผลอสะดุดขาตัวเองเกือบจะล้ม หากแต่กวินที่ถือเครื่องดื่มไว้มือขวาและอยู่แถวนั้นก็ใช้มือซ้ายเกี่ยวเอวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันหวุดหวิด

    “ระวังหน่อยสิโย ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้”

    กวินบอกแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู วาโยมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเขิน ๆ ส่วนลูกค้าบางคนนั้นปรบมือให้กับความว่องไวและแข็งแรงของกวินอย่างนึกทึ่ง

    ทว่ามีบางคนกลับจ้องมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกซึ่งแตกต่างไป เจ้าตัวหรี่ตาเล็กน้อยอย่างวิเคราะห์พิจารณา ก่อนจะจ้องมองกวินนิ่งสักพัก แล้วจึงรอจังหวะที่ชายหนุ่มว่างเจาะจงเรียกอีกฝ่ายโดยเฉพาะ

    “มีอะไรให้รับใช้หรือครับ...นายท่าน”

    กวินบอกกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพนอบน้อมให้สมกับเป็นอีเวนท์พิเศษ แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายกับวาโยนั้นสนิทกันมากก็ตาม

    “ผมว่าจะสั่งของหวานสักหน่อย...พอจะมีอะไรแนะนำไหมครับ”

    จรัลบอกแล้วสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย เขาจับความไม่พอใจเล็กน้อยที่แฝงมากับสายตานั้นได้ แม้มันจะถูกใบหน้าสุภาพยิ้มแย้มกลบเกลื่อนอยู่ก็ตามที

    “สำหรับของหวานทางร้านขอแนะนำ พุดดิ้งนมสด และพุดดิ้งคาราเมลนะครับ หรือถ้าท่านไม่ชอบอะไรที่หวานมากนัก เราก็มีขนมอบที่เป็นแบบโลว์ชูการ์ให้เลือก ...”

    ระหว่างที่กวินกำลังแนะนำ จู่ ๆ จรัลก็เอ่ยขัดขึ้น

    “โยน่ะชอบกินของหวานมากเลยรู้ไหม...โดยเฉพาะพวกน้ำแข็งไสนี่กินได้กินดี กินจนปวดท้องไปเป็นวัน ๆ ก็ยังไม่เข็ดสักที”

    กวินชะงักกึก มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ซึ่งจรัลก็จ้องมองตอบ พลางยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก

    “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงเป็นรูมเมทของหมอนั่นสินะ...”

    กวินนิ่งอึ้ง แล้วจึงย้อนถามกลับ

    “คุณรู้ได้ยังไง”

    “ก็ลองเดาจากที่โยอธิบายลักษณะท่าทางรูมเมทของเขา ...คือผมกับโยน่ะสนิทกันมาก มีอะไรก็มักเล่าให้ฟังกันหมดนั่นล่ะ ...เขาบอกเขารู้สึกสนิทใจกับคุณ คงเพราะคุณมีนิสัยอะไรหลายอย่างที่คล้ายผม...”

    คำพูดของจรัลนั้นแทงใจดำของกวินเต็มที่ ชายหนุ่มกัดฟันกรอดก่อนจะพยายามตั้งสติไม่ให้โมโหไปมากกว่านี้

    “...ตกลงคุณลูกค้าจะรับของหวานอะไรดีครับ”

    “หึ ๆ ผมขอพุดดิ้งคาราเมลแล้วกัน”

    จรัลบอกแล้วทำเป็นให้ความสนใจกับวิวนอกร้านต่อ กวินนั้นกัดฟันนิด ๆ แต่ก็โค้งรับออเดอร์ แล้วจึงเดินไปสั่งของหวานด้วยความหงุดหงิด  จากนั้นจรัลจึงค่อย ๆ หันกลับมา แล้วถอนหายใจเบา ๆ

    “เพื่อนเราเนี่ยนะ ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ตัวผู้ด้วยกันมาสนใจ ...สงสัยต้องเตือนให้ระวังสักหน่อยแล้ว...”

    จรัลพึมพำกับตัวเองก่อนจะชะงักเมื่อเห็นวาโยที่เดินผ่านกวินยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม

    “...โยเอ๊ย ไอ้นิสัยเป็นมิตรเกินขอบเขตนี่เมื่อไหร่นายจะเลิกได้สักทีนะ ...เฮ้อ! ลองเป็นแบบนี้จะไปโทษอีกฝ่ายมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวล่ะนะ”

    จรัลบ่นเบา ๆ นึกเห็นใจกวินขึ้นมานิด ๆ แทน และพอกวินนำของหวานมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มจึงเลิกแหย่อีกฝ่ายและพูดจาเป็นมิตรกว่าเดิม แถมยังเตือนทิ้งท้ายที่ทำให้คนฟังชะงัก

    “นี่คุณ อย่าหาว่าผมแส่เลยนะ ...ถ้ายังเพิ่งเริ่มชอบ ก็ถอนตัวถอนใจออกมาเสียก่อนดีกว่า เพราะถ้าถลำลึกแล้วหมอนั่นไม่เล่นด้วย มันจะเจ็บเสียเปล่า ๆ ยังไงก็ต้องทำงานร่วมกันอีกนานนะคุณ”

    กวินกลืนน้ำลายลงคอ เขาแย้งกลับไปเสียงแผ่ว

    “คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”

    จรัลถอนหายใจค่อย ๆ แล้วจึงจ้องอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะยิ้มน้อย ๆ

    “ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจ ...เอาเถอะ ผมก็ได้แค่เตือน ...ผมไม่เคยเห็นเพื่อนผมมันจะมีแนวโน้มชอบผู้ชายด้วยกันมาก่อน ...ถ้าพวกคุณใจตรงกันก็ดีไป...แต่ถ้าไม่ รบกวนอย่าเปลี่ยนความชอบเป็นความโกรธเกลียด แล้วมาลงที่เพื่อนของผมก็แล้วกัน”

    จรัลพูดกับกวินอย่างตรงไปตรงมา และเพราะทั้งคู่คุยกันค่อนข้างเบา อีกทั้งที่นั่งบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่ จึงไม่มีใครได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง

    “ผมขอตัวก่อนนะครับ...”

    กวินบอกเสียงแผ่วแล้วเดินไปทำงานต่อด้วยความคิดอันสับสน เขาทบทวนคำพูดของจรัลและความรู้สึกของตัวเองอยู่ไปมา ก่อนจะเริ่มหน้าแดงนิด ๆ เพราะเพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่า ที่เขาแปลก ๆ มาตั้งแต่เช้า แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเขาดันไปเผลอมีความรู้สึกแปลก ๆ ต่อรูมเมทของเขาเข้าให้แล้วนั่นเอง



     เมื่อทานอาหารตรงหน้าจนหมด จรัลจึงเรียกวาโยมาคิดเงิน และเจ้าตัวยังมอบ ‘ทิป’ ยัดใส่มือของอีกฝ่ายไป ซึ่งวาโยก็รับมาอย่างมึนงง

    “อะไรน่ะ...”

    วาโยรับนามบัตรสีดำของอีกฝ่ายขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจระคนดีใจ

    “หรือว่า...นายได้งานแล้วหรือเจ!”

    “ใช่...เป็นฝ่ายกราฟฟิกในโรงพิมพ์น่ะ … พอดีฉันก็ลองไปเดินเตร่ ๆ แถวนั้น แล้วเจ้าของร้านกำลังมาปิดป้ายรับสมัครเพราะคนเก่าเขาลาออกไป ฉันก็เลยเข้าไปลองเทสงานดู แล้วก็ผ่าน  นี่ก็ทำงานกับเขามาได้ 2 วันแล้ว แต่วันนี้ที่ร้านปิดตกแต่งร้านใหม่ ฉันก็เลยว่างมากินที่ร้านนาย แล้วก็อยากจะบอกนายด้วยตัวเองยังไงล่ะ”

    วาโยยิ้มดีใจไปกับเพื่อนของเขาด้วยจากใจจริง เขาจับมือของจรัลขึ้นมาบีบแล้วพึมพำ

    “ยินดีด้วยนะเจ ที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบน่ะ”

    “อืม...นายก็เหมือนกัน เท่าที่เห็นก็ดูไม่เลวนัก ทั้งร้าน และเพื่อนร่วมงานก็ด้วย”

    จรัลบอกยิ้ม ๆ ทั้งคู่สนทนากันโดยไม่ได้สังเกตสายตาหลายคู่ในร้าน ที่มองมาอย่างทิ่มแทงระคนอิจฉา จากทั้งบรรดาลูกค้าชาย และพนักงานเสิร์ฟบางคน

    “งั้นฉันไปล่ะ ฝากบอกเชฟร้านนายด้วยว่าอาหารอร่อยมาก แล้วก็ ....”

    จรัลมองไปที่เคาท์เตอร์เขามองราเมศและขวัญแก้ว ก่อนจะยิ้มให้ทั้งคู่

    “เครื่องดื่มอร่อยมากครับ ผมไม่เคยกินกาแฟที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน ขนาดพวกกาแฟแก้วละร้อยกว่านั่น ยังไม่ถูกปากเท่านี้เลยด้วยซ้ำ”

    ราเมศและขวัญแก้วโค้งน้อย ๆ ขอบคุณ และยิ้มตอบ แต่พอจรัลจะเดินออกจากร้าน ปวีร์ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาจากในครัวก็เอ่ยทักขึ้นก่อน

    “อ้าว กลับแล้วหรือครับ ไม่ถ่ายรูปกับพนักงานในร้านของเราก่อนกลับหรือครับ”

    จรัลหันไปมองอย่างงุนงง เพราะได้ยินที่วาโยบอกว่าในร้านห้ามถ่ายรูป แต่พออ่านใบปลิวที่รุจหยิบส่งให้ เขาก็ร้องอ๋อ ก่อนจะดูใบเสร็จตัวเอง

    “แต่ผมกินไม่ถึง...”

    ปวีร์เอานิ้วชี้มาแตะปากตนเองเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุดพูด แล้วขยิบตาน้อย ๆ

    “เชิญทางมุมนี้ดีกว่าครับ มุมของร้านบริเวณนี้ เราตกแต่งไว้สำหรับให้เป็นที่ถ่ายรูปอยู่แล้ว หรือจะไปที่หน้าร้านก็ได้นะครับ”

    ปวีร์พาอีกฝ่ายไปยืนตรงพื้นที่ใกล้ตู้ขนมซึ่งเป็นที่เดินเข้าเดินออกของพนักงาน บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ว่างซึ่งมีไม้ใบในกระถางตั้งประดับ และตกแต่งจัดมุมไว้อย่างโล่งโปร่งสบายตา อีกทั้งยังเป็นมุมที่มีตู้ไม้เอาไว้วางพวก จาน ช้อน ส้อม มีด รวมไปถึงเหยือกน้ำ และแก้วน้ำในร้านอีกด้วย

    จรัลเดินตามมายืนที่ปวีร์บอกอย่างว่าง่าย เขามองไปที่วาโยซึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วส่งสัญญาณปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงยกยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปบอกปวีร์

    “ผมเลือกถ่ายกับน้องเมดคนนั้นแล้วกันครับ”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย ส่วนวาโยนั้นหน้างอ แล้วเดินเข้ามาใกล้เพื่อนพร้อมกับพึมพำฝากไว้ก่อนเบา ๆ

    “เอาน่า ยิ้มหน่อยสิ ถือเป็นของขวัญยินดีฉันได้งานใหม่แล้วกัน”

    จรัลกระซิบ ทำให้วาโยถอนหายใจก่อนจะยิ้มแย้มกว้าง จากนั้นจึงยอมเล่นตามน้ำโพสท่าถ่ายรูปอย่างเต็มที่กับเพื่อนของตน โดยทำเป็นควงแขนแล้วซบไหล่อีกฝ่าย เล่นเอากวินที่แอบมองอยู่ตาเบิกกว้าง กัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดขึ้นมาทีเดียว

    “เอ้า! ยิ้ม!”

    ขวัญแก้วที่รับอาสาถ่ายรูป บอกกับทั้งคู่ และจากนั้นเธอจึงต่อกล้องเข้ากับเครื่องพิมพ์ตัวเล็กประจำร้านโดยตรง แล้วพิมพ์ภาพถ่ายออกมาส่งให้กับชายหนุ่ม

    “รูปออกมาสวยมากเลยค่ะ ส่วนสำเนารูปถ้าสนใจเดี๋ยวจะส่งให้ทางมือถือนะคะ ต้องการด้วยไหมคะ”

     จรัลพยักหน้าตอบรับ หญิงสาวจึงหยิบคอมพิวเตอร์พกพาตัวจิ๋วของเธอมาจัดการโอนรูปถ่ายเข้ามือถือของร้าน แล้วจากนั้นจึงขอเบอร์อีกฝ่ายก่อนจะจัดส่งไปให้ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ

    “ขอบคุณที่ใช้บริการของทางร้านนะคะ ไว้มาอุดหนุนใหม่นะคะ”

    ขวัญแก้วบอกแล้วยิ้มหวาน ทำให้จรัลหน้าแดงนิด ๆ แล้วยิ้มตอบ  สำหรับเขาผู้หญิงแท้ ๆ นี่ล่ะดีที่สุดแล้ว แต่พอมาเหลือบมองเพื่อนที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง และมองรูมเมทคนปัจจุบันของเพื่อนที่แอบส่งสายตาไปมองเพื่อนเขาเป็นระยะ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเบา ๆ

    “สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน ...ถ้าทำบุญคู่กันมา ก็คงได้คู่กันล่ะนะ”

    จรัลพึมพำ แล้วเดินออกจากร้านไป โดยมีเสียงขอบคุณของพนักงานในร้านไล่ตามหลัง สร้างความประทับใจให้กับชายหนุ่มยิ่งนัก และคิดว่าถ้ามีโอกาสก็คงจะได้กลับมาอุดหนุนคาเฟ่ที่แสนวิเศษทั้งรสชาติอาหารและบริการแห่งนี้อีกครั้งแน่นอน


---TBC---
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-08-2012 15:38:46


Miracle Café /14



    “เฮ้อ! เลิกงานสักที!”

    วาโยถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า ถ้าเป็นตามปกติเขาก็คงไม่เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจแบบนี้เท่าใดนักหรอก แต่พอเจอกับอีเวนท์พิเศษวันนี้เข้า ชายหนุ่มรู้สึกว่าที่ตัวเองทำงานมาตั้งแต่วันจันทร์จนถึงเมื่อวาน ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่าวันนี้เลยด้วยซ้ำ

    “เหนื่อยขนาดนั้นเลยหรือเรา”

    ปวีร์ถามอย่างนึกขำ ทำให้วาโยหันมาทำหน้ามุ่ยใส่

    “เสาร์หน้าไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ!”

    “อืม...มันก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าจะเรียกร้องล่ะนะ ถ้าเสียงตอบรับดี ก็อาจจะมีแต่งแบบนี้อีกรอบก็ได้”

    ปวีร์บอกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ทำเอาคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ

    “อย่างน้อยก็ขอชุดแบบผู้ชาย ๆ กับเขาบ้างก็ยังดีนะครับ”

    “ไม่ได้ ๆ จุดขายของเธออยู่ที่ความน่ารักแบบสาวน้อย ขืนให้แต่งหนุ่มก็เรียกเรตติ้งให้ร้านไม่ได้น่ะสิ”

    ปวีร์ยืนกราน ทำให้วาโยถอนหายใจยาว นี่ถ้าเขาไม่ติดหนี้อีกฝ่ายถึงสามแสนล่ะก็ มีหวังคงจะต้องพิจารณาเรื่องทำงานที่นี่ใหม่เสียแล้ว

    “ถ้าอย่างนั้นรบกวนอย่าเซอร์วิสมากไปแล้วกันครับ...และก็ขอแบบมิดชิดด้วยนะครับ”

    วาโยบอกอย่างยอมจำนน ทำเอาปวีร์หัวเราะร่วน ส่วนคนอื่นนั้นมองมาที่ชายหนุ่มอย่างอดสงสารไม่ได้

    “เข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ สมเป็นเธอเลยนะ  โอเค ฉันสัญญา จะไม่คิดชุดให้วาบหวิวเกินงามโดยเด็ดขาด”

    ปวีร์บอกแล้วก็โอบบ่าชายหนุ่มในชุดเมดให้ไปกินข้าวมื้อค่ำด้วยกันอย่างเอ็นดู สมาชิกคนอื่นทยอยเดินตามทั้งคู่เข้าไปในครัว วันนี้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมามาก อีกทั้งพรุ่งนี้ก็ยังเป็นวันหยุด ชานนจึงเตรียมมื้อค่ำแบบเต็มที่ให้ทุกคน ดังนั้นบนโต๊ะอาหารจึงกลายสภาพมาเป็นไลน์บุฟเฟต์ขนาดย่อมได้เลยทีเดียว

    “เฮ้อ! พรุ่งนี้ก็จะไม่ได้กินฝีมือคุณนนอีกแล้ว...รู้งี้ย้ายมาอยู่ที่บ้านพักกับหนุ่ม ๆ ด้วยก็ดี ...วีจ๋า สร้างห้องเพิ่มให้แก้วกับตาหน่อยสิจ๊ะ”

    ขวัญแก้วหันไปอ้อนเพื่อนชาย ทว่ากลับถูกราเมศกระแอมบ่นเบา ๆ

    “มากไป ๆ เดี๋ยวพ่อกับพี่ชายพวกเธอก็จะได้ตามมาแหกอกพวกฉันเข้าหรอก แค่ที่ยอมให้มาทำงานด้วยกันแบบนี้ ก็เพราะฉันไปช่วยพูดให้หรอกนะ”

    “เชอะ! ห่วงไม่เข้าเรื่อง หนุ่ม ๆ ในร้านนี้ก็ออกจะน่ารัก นิสัยดี แถมมีวี่แววจะไม่สนหญิงอีกด้วยซ้ำไป”

    ขวัญแก้วบ่นอุบเล่นเอาหนุ่ม ๆ แต่ละคนสะดุ้งโหยง แล้วมองหญิงสาวตาปริบ ๆ

    “เหอะ! ห่วงไม่เข้าเรื่องจริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ อายุอานามก็ตั้งเลขสามนำหน้าแล้วแท้ ๆ”

    ราเมศแย้งอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ทำให้สองสาวสะดุ้งเฮือก ส่วนหนุ่ม ๆ ต่างมีสีหน้าตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

    “เลขสามแล้วไงยะ! ยังไงก็ยังสวยพริ้ง เด็ก ๆ อายล่ะนะ!”

    ขวัญแก้วบอกแล้วค้อนขวับให้อย่างนึกงอน ส่วนขวัญตาขมวดคิ้วยุ่ง แล้วแย้งอีกฝ่าย

    “ของตายังไม่ก้าวเข้าสู่ช่วงเลขสามนำหน้าอายุสักหน่อยนะคะ พี่เม...”

    ราเมศถอนหายใจแรงอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะคนที่บอกว่ายังไม่ถึงช่วงวัยสามสิบนั้นอีกแค่ปีเดียวก็จะเข้าสู่วัยที่เจ้าตัวแย้งแล้วด้วยซ้ำ  ชายหนุ่มรีบยกมือยอมแพ้ เพราะเห็นสองสาวเตรียมจะหาเรื่องบ่นเขาอีก ส่วนหนุ่ม ๆ ซึ่งล้วนเป็นพนักงานใหม่นั้น ต่างยิ้มแห้ง ๆ กับตัวเอง เพราะพวกเขาคาดเดาอายุทั้งสองสาวโดยเฉพาะขวัญแก้ว ว่าไม่น่าจะเกิน 25-26 ปีด้วยซ้ำ แสดงว่าปวีร์ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ก็คงอายุอานามได้สามสิบกว่าแล้วเช่นกัน มิน่าล่ะชายหนุ่มถึงชอบพูดกับพวกเขาเหมือนผู้ใหญ่กว่าหลายปีพูดกับเด็กอย่างนั้น

    “นายนี่นะ เอาอายุของสุภาพสตรีมาพูดในวงสนทนาได้ยังไง เสียมารยาทจริงเชียว”

    ปวีร์บอกกับเพื่อนสนิทอย่างนึกขำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย โดยหันมาให้ความสนใจกับพนักงานคนอื่น ๆ ของเขา

    “พรุ่งนี้ถ้าใครจะออกไปไหนก็ให้แจ้งคุณนนเอาไว้แล้วกัน”

    ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้ พวกเขากินมื้อค่ำอยู่ครู่ใหญ่ ๆ เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว จึงแยกย้ายกันเก็บกวาด ทำความสะอาดทั้งในครัวและบริเวณร้าน ก่อนจะปิดล็อกร้านและตรวจตราความเรียบร้อยโดยรอบอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับที่พักของแต่ละคน



    “เหนื่อยชะมัด!!”

    วาโยโพล่งดัง ๆ พลางยกสองมือดันขึ้นบิดกายอย่างเกียจคร้าน เมื่อกลับถึงห้องพักของตน แล้วจึงหันมาทางกวินที่เดินตามเขาเข้ามาเงียบ ๆ

    “น่าอิจฉานายชะมัด ได้ใส่ชุดเหมาะกับตัวเองแบบนี้”

    กวินเลิกคิ้วแล้วก้มลงมองตัวเองอย่างแปลกใจ

    “ฉันได้ยินพวกสาว ๆ ชม ว่านายแต่งชุดพ่อบ้านแบบนี้ขึ้นน่าดู ปกตินายก็หล่ออยู่แล้ว พอมีชุดเสริมก็ยิ่งหล่อไปอีก ฉันละอิจฉา อยากหน้าตาดี หุ่นแมน ๆ แบบนายบ้างจัง”

    วาโยบ่นอุบ ก่อนจะมองตัวเองแล้วถอนหายใจ ทว่าคนตรงหน้ากลับเผลอหลุดปากพึมพำเบา ๆ

    “ฉันว่านายแบบนี้ดูเหมาะกว่าอีกนะ...”

    “หือ? อะไรหรือวิน”

    คนที่ได้ยินไม่ชัด ลอยหน้าเข้ามาถามใกล้ ๆ ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นแรง หน้าแดงระเรื่อ แล้วแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่น

    “มะ...ไม่มีอะไร  นายไม่ชอบชุดตัวเองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่รีบถอดออกสักทีล่ะ”

    กวินเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้วาโยอุทานเบา ๆ อย่างนึกได้ แล้วจึงยิ้มหวานตามมา

    “จริงสิ ขอบใจที่เตือนนะ ฉันไปถอดชุดออกก่อนล่ะ”

    จากนั้นวาโยก็หายเข้าห้องนอนไป กวินนึกขอบคุณปวีร์ที่สร้างห้องชุดที่มีห้องนอนแยกต่างหากแบบนี้เป็นครั้งแรก เพราะขืนหากได้เห็นวาโยแก้ผ้าต่อหน้า เขาก็ไม่รู้จะเผลอหลุดปฏิกิริยาแปลก ๆ อะไรออกไปอีกหรือไม่ ทว่าพอกวินจะเปิดประตูเข้าห้องนอนของเขาบ้าง ชายหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรูมเมทดังมาจากห้องข้าง ๆ

    “วิน! วินมานี่หน่อยสิ!”

    กวินชะงักฝีเท้า เขามีท่าทางลังเลชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูห้องของวาโยเข้าไป ทว่าภาพที่เห็นก็ทำเอาเขาตาเบิกกว้าง พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว

    “แกะกระดุมหลังไม่ค่อยถึงอะ ช่วยหน่อยสิ”

    วาโยที่ยังคงใส่วิกผมยาวรวบผมไปข้างหน้าเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน กระดุมเสื้อด้านหลังเม็ดแรกถูกปลดหลุดไปแล้ว ทำให้เสื้อผ้าที่ชายหนุ่มสวมอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ กวินหน้าแดงวาบ เขายืนอึ้งอยู่สักพักจนวาโยแปลกใจ

    “วิน...ยังอยู่ไหม”

    คนที่หันหลังให้ทำท่าจะหันกลับมามอง ทำเอากวินต้องรีบบอก

    “อยู่! เดี๋ยวแกะให้ แป๊บนะ!”   

    ชายหนุ่มรีบเดินมาแกะกระดุมให้อีกฝ่ายด้วยมืออันสั่นเทา ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อจนหากวาโยหันมาเห็นต้องรู้สึกสงสัยแน่

    “สะ...เสร็จแล้ว ฉันกลับห้องนะ”

    “อ๊ะ เรียบร้อยแล้วหรือ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ”

    วาโยหันมายิ้มหวานให้ ทว่าอีกคนรีบหันขวับเดินกลับห้องไปเรียบร้อย ทำเอาชายหนุ่มต้องมองตามไปอย่างแปลกใจ

    “อะไรของเขากันหว่า”

    จากนั้นวาโยจึงเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าไว้เพื่อเตรียมซักในตอนเช้า เขาจัดแจงถอดวิกผมออกแขวนเอาไว้ แล้วตรงเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย ก่อนจะพันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมานั่งพักบนเตียง

    “อืม...พรุ่งนี้เอาไงดีน้า เจก็เพิ่งเจอกันไป จะกลับไปหาพ่อแม่ก็นั่งรถไกล แถมไปไม่ค้างก็โดนบ่นอีก”

    วาโยพึมพำกับตัวเอง แล้วตัดสินใจลุกไปถามคนข้างห้อง

    “วิน...อยู่ไหม ถามอะไรหน่อยสิ”

    กวินที่หลังจากนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ได้พักใหญ่ และกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำบ้างนั้น เดินมาที่ประตูห้อง แล้วเปิดประตูออกมา แต่พอเห็นสภาพของวาโย เขาก็ตกตะลึงพลางโพล่งออกไปอย่างลืมตัว

    “ทำไมมาในสภาพนี้กันเล่า ทีหลังหัดใส่เสื้อผ้าก่อนสิ!”

    วาโยมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เขาก้มลงมองตัวเอง แล้วยักไหล่นิด ๆ

    “ผู้ชายด้วยกัน ไม่เห็นจะเป็นอะไร ...อ้อ ฉันจะมาถามอะไรนายนะ...อืม...ใช่แล้ว! พรุ่งนี้นายมีธุระไปไหนหรือเปล่า ส่วนฉันตั้งใจว่าจะอยู่โยงเฝ้าที่นี่อีกตามเคยน่ะ”

    กวินที่เบือนหน้าไปอีกทางเหลือบตามองแผ่นอกเปลือยและเส้นผมเปียกลู่ที่มีน้ำเกาะตรงหน้าด้วยใจที่เต้นแรง ไม่แพ้ตอนวาโยแต่งหญิง มันทำให้เขายิ่งรู้สึกว่า ตัวเองนั้นเริ่มผิดปกติไปแล้วเป็นแน่

    “ฉะ...ฉัน จะกลับบ้านน่ะ! ขอตัวก่อนนะ!”

    กวินบอกแล้วปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่ายดังโครม จนวาโยสะดุ้ง แต่พอกำลังคิดว่าตัวเองเผลอไปพูดอะไรทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือไม่ เสียงในนั้นก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “ฉันปวดฉี่น่ะ! เดี๋ยวออกไปคุยด้วยนะ นายก็ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน!”

    วาโยถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงยิ้มออก ก่อนจะตอบกลับไป

    “ได้! งั้นเดี๋ยวฉันไปใส่เสื้อผ้าก่อน แล้วจะมารอข้างนอกนะ”

    จากนั้นวาโยจึงเดินฮัมเพลงเข้าไปในห้อง ส่วนคนที่หาข้ออ้างนึกทุเรศตัวเองที่ดันมีปฏิกิริยาต่อต้านได้อย่างน่าอายขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เคยคบผู้หญิงเป็นแฟนมาแล้วหลายคนแท้ ๆ  แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขารู้สึกใจเต้นได้อย่างที่รู้สึกกับวาโยเลยสักคน

    “...ฉันเป็นเกย์หรือไงเนี่ย ไม่จริงน่า ...”

    วาโยพึมพำ เขาลองคิดจินตนาการถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นในชุดผู้หญิง ทว่าแต่ละคนก็ทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพองไปตาม ๆ กัน  อ้อ ...จะมีก็แต่การินที่หากแต่งแล้วคงดูออกมาเหมาะไม่ขัดตาสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นแรงเหมือนที่เป็นกับวาโยล่ะนะ

    ชายหนุ่มนิ่งคิดกับตัวเองได้สักพัก จนได้ยินเสียงประตูห้องอีกห้องเปิด เขาจึงสะดุ้งน้อย ๆ รีบถอดเสื้อผ้าชุดที่ใส่ วิ่งไปราดน้ำโครม ๆ  แล้วเปลี่ยนชุดลำลองตามออกมา ด้วยเวลารวดเร็วแทบไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ

    “โห! อาบน้ำเสร็จแล้วด้วยหรือ ไวจังนะนาย วิ่งผ่านน้ำหรือเปล่าเนี่ย”

    วาโยเอ่ยแซว แต่คนถูกแซวยิ้มแห้ง ๆ เพราะตนเองก็ทำแบบนั้นจริง ๆ

    “จริงสิ ตกลงพรุ่งนี้นายจะกลับบ้านจริง ๆ หรือ...นึกว่าจะได้ใช้วันหยุดอยู่ด้วยกันเสียอีก”

    วาโยถามด้วยใบหน้าเหงา ๆ ทำให้คนมองใจเต้นแรง และเริ่มฟุ้งซ่านอีกครั้ง

    “เอ่อ...ดะ...เดี๋ยว คิดดูก่อนก็ได้...เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็เพิ่งกลับไปเอง”

    กวินบอกอ้ำอึ้ง ทำให้คนฟังยิ้มหวานอย่างดีใจ กวินปั้นยิ้มตอบ ทั้งที่อยากร้องไห้เต็มทน เพราะเขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะเผลอหลุดอะไรให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกได้บ้างไหม

    “จริงหรือ! ดีใจจัง กลัวกลับกันเกือบหมดแบบอาทิตย์ก่อน มีหวังฉันเหงาแย่เลย”

    วาโยบอกแล้วยิ้มให้ อย่างไม่นึกสงสัยในท่าทางที่ผิดแปลกไปของรูมเมทแม้แต่น้อย

    “อะ...อืม งั้นอยู่เป็นเพื่อนนายแล้วกัน”

    กวินบอกกุกกัก นึกถึงคำเตือนของจรัลแล้วก็อยากด่าตัวเอง ก็ในเมื่อมันหลวมตัวชอบไปแล้ว จู่ ๆ จะให้มาเลิกชอบแล้วกลับไปคิดแบบเดิม ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่

    “เอ่อ โย ถามอะไรหน่อยสิ ...คือแบบว่า...เพื่อนสนิทฉันโทรมาปรึกษาน่ะ...แล้วฉันก็ไม่รู้จะแนะนำเขาไปยังไง...”

    กวินตัดสินใจลองถามความรู้สึกของคนตรงหน้า แต่ก็นั่นล่ะเขาไม่กล้าถึงจะยอมสารภาพว่าเป็นเรื่องของตัวเองจริง ๆ อยู่ดี

    “เอ๋...เรื่องแบบไหนเหรอ ลองเล่ามาสิ เผื่อฉันจะช่วยได้”

    วาโยรีบบอกอย่างสนใจ ทำให้กวินลอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายยังคงไม่สงสัยว่าเป็นเรื่องที่เขากุขึ้นมา

    “คือแบบว่า...เพื่อนฉันมันเกิดไปตกหลุมรักผู้ชายด้วยกัน...แบบตอนแรกก็ยังไม่ชอบ แค่รู้สึกสนิทใจ ...แต่พอเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หมอนั่นก็ตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าไปเรียบร้อย...แต่ฝ่ายที่เขาไปชอบดูเหมือนจะเป็นผู้ชายปกติทั่วไป...นายว่าหมอนั่นควรจะตัดใจ ไม่ยอมสารภาพ ...แล้วกลับมาคิดแบบเพื่อนเหมือนเดิมดีไหม”

    วาโยนิ่งอึ้งกับเรื่องเล่าของอีกฝ่าย แต่พอเห็นสายตาคาดหวังคำตอบของกวิน เขาก็นิ่งคิดทบทวน ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไป

    “ถ้าเป็นฉันนะ อย่างน้อยคงจะเดินหน้าแล้วสารภาพรักให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย...แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้อกหักด้วยนั่นล่ะ อีกอย่างฉันคิดว่าถ้าเป็นคนที่ฉันชอบ เขาก็น่าจะเป็นคนดีพอที่จะไม่รังเกียจ และสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันภายหลังได้อีกน่ะ”

    วาโยบอกพลางยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสา แต่คนฟังนี่สินิ่งคิดตาม แล้วจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง จนวาโยแปลกใจ

    “มีอะไรหรือวิน”

    กวินชะงัก ก่อนจะถอนหายใจ แล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมคำตอบ

    “ง่า ...ไม่มีอะไร ...ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ  ไว้ฉันจะไปบอกหมอกนั่นให้ ...แต่ฉันพนันได้เลยว่า กว่าหมอนั่นจะกล้าบอกก็คงอีกนาน เพราะหมอนั่นขี้ขลาดกว่าที่นายคิดไว้เยอะเลยล่ะ ...”

    วาโยยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกตามมาบ้าง

    “ฝากบอกเพื่อนนายด้วยล่ะ บางทีนะถ้าพยายามทำดีชนะใจเขาเรื่อย ๆ จากที่น่าจะผิดหวัง ก็อาจกลายเป็นสมหวังก็ได้ เรื่องความรักน่ะ บางครั้งมันก็ไม่ยึดเหตุผลหรือเพศอะไรหรอก ขอให้มีความจริงใจให้ อีกฝ่ายก็มองออกเองนั่นล่ะ”

    กวินใจเต้นแรงกับคำพูดของอีกฝ่าย รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง เขาพยักหน้าแล้วรับคำอย่างหนักแน่น

    “อืม! ฉันจะพยายาม เอ๊ย... ฉันหมายถึงจะบอกเพื่อนของฉันให้เขาพยายามยิ่งกว่านี้ อย่าเพิ่งหมดหวังตั้งแต่เริ่ม... ขอบใจนายมากนะโย นายทำให้ฉันหายกลุ้มไปได้เยอะเลยล่ะ!”

    วาโยยิ้มรับ เขาคิดในใจว่าเพื่อนของกวินคนนี้คงจะสนิทกับอีกฝ่ายมาก  เพราะดูเหมือนกวินจะเป็นกังวลกับอีกฝ่าย และพอแก้ปัญหาได้เจ้าตัวก็ดีใจตามจนเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองเลยทีเดียว

    จากนั้นพวกเขาก็คุยกันอีกสักพัก และต่างแยกย้ายกันไปเข้านอน โดยที่วาโยนั้นนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนด้วยความอ่อนเพลีย  ส่วนกวินนั้นนอนไปพลางคิดถึงเรื่องรูมเมทไปพลางด้วย แถมพอหลับก็ดันฝันถึงวาโยในชุดเมด ค่อย ๆ มาถอดเปลื้องผ้าต่อหน้าเขาทีละชิ้น แต่พอจะได้เห็นทั้งหมด เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน ฝันร้ายที่คล้าย ๆ จะดูเหมือนดีนั่นจึงทำให้กวินแทบจะไม่ได้หลับในคืนนั้น ผลก็คือเขาตื่นนอนมาด้วยขอบตาดำคล้ำ จนปวีร์ที่แวะมาทานข้าวเช้าด้วยคน ต้องเรียกชายหนุ่มมาเตือนพร้อมกับยัดครีมบำรุงผิวอย่างดีให้อีกฝ่ายใช้ และยังกำชับพนักงานทุกคนที่เหลือว่า ต่อให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทุกคนก็ต้องรักษาใบหน้าและดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอ และหากมีผลต่อการปฏิบัติงานเมื่อใด ก็จะต้องถูกหักเงินเดือนตามกฎของร้านอย่างแน่นอน




... TBC ...


จบช่วงดันนายวิน...ตอนต่อไปจะเป็นหนุ่มคนไหนมาเก็บคะแนนกับหนูโย รอลุ้นได้เร็ว ๆ นี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 03-08-2012 16:39:19
วินหวั่นไหวและคิดหนัก

ว้าาวววว แล้วต่อไปหนุ่มคนไหนจะเป็นผู้โชคดี

หรือ วิตกจริต เหมือนกวินอีกคน 5555

โยน่ารักแบบไม่รู้ตัวเนอะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 03-08-2012 17:10:48
วินนี่ตกหลุมโยไปเรียบร้อยแล้ว

ใครจะเป็นรายต่อไปที่จะตกหลุมโยนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 03-08-2012 17:14:02
โยนี่เสน่ห์แรงจริงไรจริง o13 ไปเลยยย
แต่ส่วนตัวเชียร์ปวีร์กะโยอ่ะ แล้วก็เชียร์กวินกับการิน :laugh:
ยังไงก็จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 03-08-2012 17:55:48
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 03-08-2012 17:58:12
วินเอ๊ย ต้องทำงานด้วยกันอีกนาน จะไหวป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 03-08-2012 19:20:57
วินหวั่นไหวแล้วสินะ

นึกว่าวินจะไปชอบรินซะอีก เห็นกัดกันตลอด ฮ่าๆๆๆ

เค้าเชียร์ภูริอยู่น้าาาา ><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 03-08-2012 21:08:28
ใครจะเปนพระเอกล่ะนี่ เยอะแยะมกมาย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 03-08-2012 21:20:12
หวา พี่โยน่ารักเกินทานทนไหวแล้ว
แอบอวยพี่ภูริกับพี่โย -//////- งิ๊ววววว  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

อวย2พี่รินกับพี่วิน

อวย3พี่ปีย์กับพี่เม >////<
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 13 - 14 อัพเดท 3/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 05-08-2012 15:13:14
ถ้าโยจะน่ารักขนาดนั้น กวินก็คงต้องมีปฏิกิริยาแปลกๆ ให้ตัวเองผวาไปเรื่อยๆนั่นแหละนะ

ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 06-08-2012 21:59:11

ย่องมาแปะเงียบ ๆ แล้วรีบเผ่นกันโดนบ่นเรื่องแอบดอง ^^" ....แหะ ๆ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีติดตันเล็กน้อย บทนี้บทเดียวแก้แล้วแก้อีก
พอปั่นจำนวนหน้าถึงโควต้าโพสได้ ก็รีบเอามาลงให้อ่านกันเลยค่ะ  ....แล้วตอนหน้าจะพยายามไม่ให้หายไปนานนะคะ ^^
-----------------------------------------.




Miracle Café / 15




    วาโยรู้สึกแปลกใจที่เห็นกวินนอนไม่หลับจนขอบตาดำและเป็นเหตุให้ถูกปวีร์เรียกไปอบรม

     “เป็นอะไรหรือวิน เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังดี ๆ อยู่เลยนี่นา”

    วาโยถามเพื่อนสนิทหลังจากที่ปวีร์ปล่อยตัวชายหนุ่มเรียบร้อย แถมยังกำชับพวกเขาไม่ให้เผลอทำตัวเลียนแบบกวินอีกด้วย

    “ง่า...คือแบบว่าฉันฝัน...เอิ่ม ฝันร้ายกลางดึก พอสะดุ้งตื่นมาแล้ว ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

    กวินแก้ตัว ทำให้วาโยขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ตามมา ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

    “ทีหลังถ้านอนฝันร้ายล่ะก็ แวะมานอนห้องเดียวกันสิ ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วยจะได้เลิกกังวล และหลับได้สบาย ๆ ยังไงล่ะ”

    วาโยบอกอย่างไร้เดียงสา ส่วนกวินนั้นฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แต่ไม่คิดจะทำตามที่วาโยแนะนำเด็ดขาด เพราะขนาดนอนคนละห้องเขายังเผลอจินตนาการลามกกับรูมเมท ถ้าเกิดนอนห้องเดียวกัน คงไม่แคล้วขาดสติเผลอปล้ำไปหรอกหรือ

     ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้น รุจที่อยู่ใกล้ ๆ และได้ยินบทสนทนา พร้อมสังเกตท่าทางของกวินไปในตัว ก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ ในลำคอ ทำให้ภูริที่อยู่ใกล้อีกฝ่ายเหลือบมองรูมเมทแล้วถามอย่างแปลกใจ

    “หัวเราะอะไรของนาย”

    “หือ...ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่าคนหอเรานี่ความรู้สึกช้ากันเสียส่วนใหญ่ล่ะนะ”

    รุจบอกพลางยักไหล่ ทว่านัยน์ตาใต้แว่นขอบดำกลับเปล่งประกายวิบวับอย่างนึกสนุก ทำให้คนมองลอบถอนหายใจ เพราะเท่าที่อยู่ร่วมกันมาเกือบอาทิตย์ รูมเมทของเขาคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างอ่านยาก แต่เจ้าตัวกลับอ่านเนื้อแท้คนอื่นเสียทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว  จัดเป็นคนประเภทที่ภูริไม่อยากเป็นศัตรูมากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

    “ว่าแต่วันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะเนี่ย”

    ภูริมองไปรอบ ๆ ก็เห็นสมาชิกครบทุกคน แม้แต่ราเมศ กับปยุตที่เป็นพ่อบ้านของปวีร์ ก็ยังตามมาสมทบด้วยเช่นเดียวกัน

    “จะจัดปาร์ตี้กันแต่เช้าเลยหรือไงนะ”

    ภูริพึมพำอย่างสงสัย เพราะเห็นปยุตขอตัวเข้าไปในครัวเพื่อช่วยชานนเตรียมอาหารเช้านี้

    “คงไม่หรอก ฉันว่าน่าจะเป็นอาหารเช้าธรรมดา แต่คนจำนวนเท่านี้ คุณนนคนเดียวก็ค่อนข้างลำบากล่ะนะ”

    รุจตอบคำถามของอีกฝ่าย แล้วจึงเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาระหว่างรอทานอาหารเช้ากับพวกวาโย ส่วนภูริถอนหายใจน้อย ๆ ทีแรกเขาเตรียมจะเดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อดูทีวีรอเวลา แต่วาโยนั้นกลับหันมาทางเขาแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะทำท่าทางชะงัก แล้วมีสีหน้าสลดลงเมื่อเขาไม่ได้ยิ้มตอบ ทว่าก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ครู่เดียวเมื่อในที่สุดภูริก็ต้องยอมแพ้ ชายหนุ่มถอนหายใจแรง ๆ แล้วเดินตามไปสมทบรวมกลุ่มกับคนอื่นที่เหลือ ทำให้รุจที่แอบมองอยู่ลอบยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเหลือบมองคนทำหน้าหดหู่ ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแทนเรียบร้อย

    ‘…ลองถูกจ้องด้วยสีหน้าและแววตาเหมือนหมาน้อยแบบนั้น ใครยังจะกล้าใจแข็งได้ลงคอกันล่ะนะ’

    รุจคิดในใจอย่างนึกขำ เพราะถึงแม้ภูริจะชอบทำท่าทางเย็นชาใส่วาโยเพียงใด แต่เอาเข้าจริง ๆ ชายหนุ่มก็ต้องอดใจอ่อนยอมทำตามและฟังที่วาโยบอกแทบทุกครั้งเสมอไปอยู่ดี



     “ฉันล่ะหวาดเสียวจริง ๆ ไม่รู้จะโดนจับแต่งตัวเป็นอะไรอีก”

    วาโยบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เมื่อพวกเขาเริ่มคุยถึงเรื่องอีเวนท์พิเศษของเสาร์ที่จะถึงนี้  เจ้าตัวเหลือบไปมองปวีร์ที่นั่งคุยกับราเมศอยู่ตรงโต๊ะม้าหินด้านนอก พลางลอบถอนหายใจเบา ๆ

    “ถ้าเป็นธีมอื่นนอกจากพ่อบ้านกับเมด... แล้วจะมีอะไรดึงดูดเรียกลูกค้าได้อีกล่ะ”

    การินเปรยขึ้นอย่างสงสัย คนอื่นทำท่าคิด ด้านรุจหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถามของชายหนุ่มหน้าสวย

    “จะว่ามีมันก็มีนะ แต่ไม่รู้ว่าคุณปวีร์จะหยิบมาใช้ไหม”

    คนอื่นหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียว รุจยิ้มพลางดันแว่นตาของตนน้อย ๆ แล้วเอ่ยในสิ่งที่ทำให้คนฟังบางคนหน้าซีด

    “อย่าให้ฉันพูดเลย เดี๋ยวใครบางคนจะหมดกำลังใจทำงานเสียเปล่า”

    “คุณรุจคงไม่ได้หมายถึงผมหรอกนะครับ”

    วาโยถามอีกฝ่ายพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ทว่ารุจไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้การินและกวินเงียบกริบ

    ‘เป็นคนนิสัยแบบนี้เองหรือเนี่ย...ทีแรกนึกว่าจะเป็นพวกอ่อนโยนสุภาพบุรุษแท้ ๆ’

    กวินคิดในใจแล้วนึกสงสารรูมเมท เพราะดูเหมือนวาโยนั้นจะเป็นเป้าหมายให้พวกชอบแกล้งทั้งหลายเล่นงานอยู่เสมอ ...แต่ก็นั่นล่ะ สีหน้ายามโดนแกล้งของอีกฝ่ายน่ารักขนาดนั้น ขนาดเขาบางครั้งยังอดแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายกลัวบ้าง โกรธบ้างไม่ได้เลยทีเดียว

    ทางด้านการินเองก็คิดไม่แตกต่างจากกวินเท่าใดนัก เพียงแต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่วาโยมักจะตกเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งนั่นสักเท่าไร เขาคิดแต่เพียงว่าต่อไปสงสัยต้องหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้รุจโกรธเสียแล้ว เพราะคนนิสัยแบบอีกฝ่ายขืนหมายหัวใครเข้า มีหวังคนนั้นคงอยู่ไม่สงบเป็นแน่

    “อย่ามัวแต่ไปขู่ชาวบ้านเลยน่า อย่าลืมสิ ถ้าต้องแต่งก็ต้องโดนคล้าย ๆ กันหมดนั่นล่ะ”

    ภูริขัดขึ้น ทำให้วาโยหันไปยิ้มขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยพูดคล้ายกับจะให้กำลังใจ ส่วนรุจก็เหลือบมองรูมเมทก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ ในแบบที่ภูริไม่ชอบเอาเสียเลย

    “นั่นสินะ...ถูกอย่างที่นายบอกนั่นล่ะ”

    รุจพึมพำแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นจนกระทั่งมื้อเช้าเตรียมเสร็จ พวกเขาแต่ละคนจึงไปช่วยกันยกอาหาร ทางด้านปวีร์และราเมศที่นั่งคุยปรึกษาเรื่องร้านกันอยู่ด้านนอกก็เลยตามมาสมทบด้วยเช่นเดียวกัน



    อาหารมื้อเช้าที่แม้เป็นอาหารธรรมดาอย่างอาหารจานไข่ เช่นออมเล็ต แต่นั่นก็ทำให้บางคนที่เพิ่งเคยกินครั้งแรกเกิดความประทับใจ และเพิ่มเมนูนี้เป็นอาหารในดวงใจเรียบร้อย

    นอกจากนั้นเครื่องเคียงอย่างสลัดและไส้กรอกสูตรโฮมเมดของชานน ก็ยังยิ่งเสริมให้อาหารเช้าที่เรียบง่าย กลายเป็นอาหารเช้าที่แสนเอร็ดอร่อยและอิ่มหนำสำราญ เพราะว่าเชฟหนุ่มนั้นมีเสริมให้สำหรับคนที่ไม่อิ่มอย่างไม่อั้นเช่นเคย

    และเมื่อมื้อเช้าผ่านพ้นไป ชานนกับปยุตจึงนำจานชามไปเก็บล้าง ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพราะปวีร์นั้นยังคงมีเรื่องที่ต้องคุยกับทุกคนนั่นเอง

    “จะปรับปรุงร้านใหม่หรือครับ”

    วาโยถามอย่างตกใจเพราะร้านเพิ่งเปิดไปได้แค่อาทิตย์เดียว ปวีร์ก็เสนอความคิดอันน่าตกใจมาเสียแล้ว

    “ก็ว่าจะปรับน่ะ ทีแรกก็อยากปรับปรุงไปเลยอย่างน้อยก็เพิ่มโต๊ะเก้าอี้นอกร้าน แล้วก็ปรับปรุงภูมิทัศน์นิดหน่อย  แต่ถูกหมอนี่ค้าน เขาว่าอย่างน้อยก็น่าจะเปิดให้อยู่ตัวและมีลูกค้าขาประจำสักจำนวนหนึ่งก่อน ก็เลยมาถามความเห็นแต่ละคนเผื่อจะมีไอเดียดี ๆ ช่วยนำเสนอแทน”

    “หมอนี่เขาค่อนข้างดื้อน่ะ ถ้าไม่มีเหตุผลรองรับ หรือมีเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยมากกว่าก็ไม่ค่อยจะยอมฟังอะไรกับเขาหรอก ขืนไม่ปรามก็ใช้เงินยังกับเบี้ย”

    ราเมศขัดขึ้นอย่างหมั่นไส้ แต่ปวีร์นั้นยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงหันไปทางคนอื่นที่มีสีหน้ายิ้มเจื่อน ๆ

    “จะว่าไปร้านนี้ก็ถือเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของฉันนั่นล่ะ ...ก็เคยคิดว่าแบบนั้นล่ะนะ แต่พอเริ่มทำไปได้สักอาทิตย์ ได้เห็นรอยยิ้มของลูกค้า ได้เห็นความพยายามทุ่มเทของพวกเธอ ก็ทำให้ฉันเริ่มอยากจะทำธุรกิจนี้อย่างจริงจังบ้างแล้วล่ะ”

    คำพูดของปวีร์ทำให้บางคนในที่นั้นรู้สึกตื้นตันซาบซึ้ง แต่ก็มีบางคนคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย แล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะแสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวอยู่มาก จนสามารถเรียกการลงทุนเปิดร้าน ทำร้านพวกนี้ว่าเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น

    “ผมคิดว่าลูกค้าของเรานั้นเริ่มมาเยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยทำงานซึ่งอยู่ละแวกนี้ พวกเขาจะไม่ค่อยนั่งแช่ในร้านฆ่าเวลาเท่าใด โต๊ะในร้านจึงหมุนเวียนใช้ได้เรื่อย ๆ  ยกเว้นก็แต่วันเสาร์นี่สิครับ ที่มีหลากหลายวัยหน่อย โต๊ะเลยค่อนข้างเต็มตลอด และผมคิดว่าอาจจะไม่เพียงพอกับลูกค้าในอนาคต  ส่วนวันธรรมดาอื่น ๆ ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาสำหรับจำนวนที่นั่งเดิมนะครับ”

    รุจเสนอความเห็น ซึ่งภูริเองก็เห็นด้วยในเรื่องนั้น ส่วนวาโยนิ่งคิดหนัก เพราะเขาไม่ค่อยถนัดเรื่องการบริหารจัดการอันใด ทางด้านกวินนั้นไม่มีความเห็นขัดแย้ง จะปรับหรือไม่ปรับ สำหรับเขาก็ไม่มีปัญหา

    “ผมว่าถ้าอาจะทำแนวคาเฟ่ outdoor ในเมืองไทยนี่ คงลำบากน่าดูล่ะ ไหนจะเรื่องอากาศที่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ไม่เลือกเวลานั่นด้วย ถ้าแค่ร่มกันแดดเอาไม่อยู่หรอก  ถ้าจะทำก็ควรจะทำเป็นเพิงหลังคาบังเอาไว้อีกที ...อืม ถ้าให้ผมแนะนำนะ หลังคาแบบสกายไลท์จะเหมาะมากกว่า ส่วนอุปกรณ์ก่อสร้างอาก็เลือกแบบที่มันป้องกันได้ทั้งความร้อนและรังสีต่าง ๆ สักหน่อย  หรืออาจะซื้อต้นไม้ใหญ่มาลงปลูกตรงทิศที่พระอาทิตย์จะส่องลงมาก็ได้ นอกจากช่วยบังแสงแล้ว ก็ยังดูร่มรื่นและเป็นจุดเด่นดีด้วย ยังไงหน้าร้านเราก็กว้างขวางพอและไม่มีสายไฟมาเกะกะหน้าร้านอยู่แล้ว”

    การินอธิบายความคิดของตนบ้าง ทำเอาปวีร์ตบมือเปาะตามมา

    “แหม! สมกับเป็นหลานฉัน ความคิดความอ่านนี่คล้ายกันเชียว!”

    “แสดงว่ารินเห็นด้วยเรื่องที่จะปรับปรุงร้านเพิ่มสินะ”

    ราเมศหันไปถามอีกฝ่าย เพราะลองมีคนเข้าข้างแม้เพียงคนเดียว ปวีร์ก็คงดื้อดึงลงมือปรับปรุงร้านใหม่แน่นอน

    “ก็ถ้าไม่ทำตอนนี้ยังไงก็ต้องทำใช่ไหมครับ ...แต่ก็คงไม่ต้องรีบปุบปับทำเลยหรอก ผมว่าดูแนวโน้มของลูกค้าในเสาร์นี้ที่จะถึงดีกว่า ถ้าคิดว่าโอเค อาก็เรียกคนมาทำหน้าร้านได้เลยในวันหยุดวันอาทิตย์ หรือจะเตรียมไว้ตั้งแต่เย็น ๆ วันเสาร์ก็ได้ ...แต่เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องบอกล่ะมั้ง”

    การินเหลือบไปมองอาเขาที่ยิ้มแย้มนิด ๆ ส่งให้  ราเมศถอนหายใจเบา ๆ เขารู้ดีว่า ด้วยอำนาจเงินและเพื่อน ๆ คนรู้จักในหลากหลายอาชีพของปวีร์ที่มีนั้น การเนรมิตหน้าร้านให้เป็น สไตล์ café outdoor ขนาดเล็ก ย่อมสามารถสร้างสรรค์เสร็จได้ในเวลาไม่นานอย่างน่าอัศจรรย์เป็นแน่

    “เผลอ ๆ ถ้าแต่งออกมาสวย คนจะขอนั่งนอกร้านมากกว่าในร้านด้วยซ้ำล่ะมั้งครับ”

    รุจที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ทางด้านวาโยนิ่งคิดแล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    “อย่างนี้ถ้าให้มีคนประจำโซนด้านนอกด้วยน่าจะดีกว่าไหมครับ เพราะผมคิดว่าตอนช่วงยุ่ง ๆ  บางครั้งอาจจะเผลอดูแลลูกค้าไม่ทั่วถึงแน่ ๆ”

    ปวีร์หันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับพนักงานของเขา แล้วจึงพยักหน้ารับรู้

    “นั่นมันก็จริง เพราะฉะนั้นฉันจึงมีเรื่องเสนออีกเรื่องก็คือ ฉันตั้งใจจะรับพนักงานพาร์ทไทม์เพิ่มมาช่วยงานเฉพาะช่วงยุ่ง ๆ อย่างเช่นพักกลางวันและช่วงพักของพวกเธอ ตั้งใจว่าจะให้ทำช่วงเที่ยงจนถึงช่วงที่พวกเธอสลับกันพัก วันละสามไม่ก็สี่ชั่วโมง คิดว่ายังไง”

    คนอื่นต่างหันมามองหน้ากันและปรึกษากันเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เพราะช่วงพักกลางวัน และช่วงที่พวกเขาสลับกันพัก จากที่เคยได้ว่างบ้าง หลัง ๆ ก็เริ่มมีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ ทำให้คนที่อยู่เฝ้าต้องรับศึกหนักอยู่บ่อยครั้ง

    “ดี! คนเดียวพอไหม หรือสักสองสามคน...”

    “แหะ ๆ คนเดียวก่อนดีกว่าครับ”

    วาโยรีบตอบคำถามของปวีร์เพราะสังเกตเห็นราเมศเริ่มขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

    “หึ ๆ งั้นก็ได้ ...เดี๋ยวฉันจะลองไปหามาสักคน...อืม คงต้องเอาคาแรกเตอร์มาให้ไม่ซ้ำกับที่มีสินะ”

    ปวีร์พึมพำกับตัวเอง แล้วจึงขอตัวกลับบ้านพัก ด้านราเมศถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แล้วหันไปลาคนอื่น ๆ ส่วนพวกวาโยนั้นนั่งนึกคิดตามในสิ่งที่เจ้านายของพวกเขาเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ บางคนก็ถอนหายใจ บางคนก็หัวเราะเบา ๆ แล้วต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่า พนักงานพาร์ทไทม์ที่จะมาใหม่นั้น จะเป็นคนแบบไหนกันแน่



    วันจันทร์ร้านเปิดทำการปกติ แต่วาโยสังเกตเห็นปวีร์สั่งให้คนมาวัดพื้นที่ด้านหน้าร้านแต่เช้า ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิดจริงจังดูผิดไปคนละคน พอเห็นแบบนี้แล้วเจ้าตัวก็ดูเหมือนกับเป็นเจ้าของร้านขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

    “หมอนั่นน่ะก็แบบนี้ล่ะ ถ้าสนใจอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มักจะจริงจังขึ้นมาทันที แต่บทจะเบื่อก็เบื่อง่ายอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน”

    ราเมศที่มายืนอยู่ด้านหลังวาโยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำเอาวาโยสะดุ้งเฮือก แล้วหันไปมองอีกฝ่ายพร้อมยิ้มแห้ง ๆ

    “แต่ก็นะ...ฉันเองก็ไม่ค่อยได้เห็นเขาจริงจังแบบนี้มานานแล้วล่ะ...ดูท่าทางกว่าจะเบื่อก็คงอีกนาน อย่างน้อยก็น่าจะขึ้นหลักปีสองปีได้อยู่”

    วาโยหน้าซีด เพราะขืนเป็นแบบนั้นมีหวังเขาคงใช้หนี้อีกฝ่ายได้ไม่ทันแน่       

    “หือ...เรื่องหนี้เธอน่ะหรือ ...ถ้าถึงตอนนั้นจริง ๆ ฉันคิดว่าเขาก็น่าจะ...”

    ราเมศที่อ่านสีหน้าอีกฝ่ายออกชะงักคำพูดเอาไว้ แล้วมองคนที่หันมาจ้องเขาด้วยท่าทางสงสัย ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

    “ไว้ถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ... ที่สำคัญ บางทีฉันอาจจะคาดเดาอะไรผิดก็ได้ หมอนั่นดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่ฉันเคยเห็นเมื่อก่อนเสียอีก.... บางทีร้านนี้และพวกเธอ อาจจะทำให้เขาได้เจอในสิ่งที่ตัวเองชอบจริง ๆ สักทีก็เป็นได้ล่ะนะ”

    ราเมศเอ่ยทิ้งท้ายแล้วขอตัวไปประจำตำแหน่งหลังบาร์ ทางด้านวาโยมองตามชายหนุ่มไป แล้วหวนคิดในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด พลางภาวนาให้สิ่งที่ราเมศบอกนั้นเป็นเรื่องจริง เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องตกงานก่อนจะใช้หนี้ได้หมดนั่นเอง

     

    หลังจากเปิดร้านแล้ว ก็มีลูกค้าหลายคนแวะเวียนมาสอบถามเรื่องโปรโมชัน และอีเวนท์พิเศษที่ผ่านมาในวันเสาร์ บางคนบ่นเสียดายเพราะเพิ่งรู้ จึงไม่มีโอกาสได้ใช้โปรโมชันถ่ายรูปคู่กับพนักงานในชุดพ่อบ้าน ปวีร์ซึ่งได้ยินคำบ่นเหล่านั้นจึงให้สัญญาว่า จะนำอีเวนท์พ่อบ้านกลับมาอีกแน่นอน และตอนนี้เขากำลังทำแฟนเพจในเฟชบุค เพื่อไว้แจ้งข่าวสารให้แฟนขาประจำของร้าน สามารถเข้ามาเช็คข่าวสารข้อมูลเรื่องอีเวนท์พิเศษและโปรโมชันต่าง ๆ ได้อีกด้วย

    “ดูจากความสนใจของลูกค้าแล้ว เสาร์นี้คนเพียบแหงม”

    ขวัญแก้วพึมพำกับตัวเอง ราเมศเหลือบมองหญิงสาว แล้วมองไปรอบ ๆ ร้าน ซึ่งตอนนี้มีลูกค้านั่งกันเต็มแทบทุกโต๊ะ

    “ไม่น่าเชื่อว่าไอเดียพิลึกแบบนั้น จะเรียกคนได้เยอะขนาดนี้”

    ราเมศเปรยขึ้นบ้าง แต่ทำให้คนที่อยู่ใกล้และได้ยินหันขวับมายิ้มกว้าง

    “ยอมรับแล้วล่ะสิว่าไอเดียสุดที่รักของเมน่ะใช้ได้จริง ๆ”

    “...เหอะ แล้วแต่จะคิดแล้วกัน”

    ราเมศขี้เกียจโต้แย้งและอธิบายให้หญิงสาวฟังว่าเขาและปวีร์ไม่ได้คบกันแง่นั้น ด้านขวัญแก้วหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจที่แหย่ให้อีกฝ่ายหงุดหงิดได้นิด ๆ จากนั้นเจ้าหล่อนจึงหันไปให้ความสนใจกับหน้าที่ของตัวเองต่อ  ส่วนบรรดาพนักงานเสิร์ฟแต่ละคนวันนี้ก็ยิ่งเหนื่อยกันกว่าเดิม ทั้งจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นและลูกค้าที่ต้องการใช้โปรโมชันถ่ายรูปร่วมกับพวกตน และกว่าจะหมดวันพวกเขาก็ชักอยากให้ปวีร์รีบหาพนักงานพาร์ทไทม์มาเพิ่มให้เร็วกว่านี้เสียแล้ว


... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 06-08-2012 23:11:41
จะมีหนุ่มใหม่มาเพิ่มอีกคนแล้วหรอ   ฮาเร็มของหนูโย    :-[

คาเฟ่นี้ช่างน่าไปอุดหนุนมากกกก  :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 07-08-2012 10:47:34
ว๊าววว จะมีหนุ่มเพิ่ม

แล้วก็จะมาหลงนู๋โยอีกแน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 07-08-2012 10:57:33
อ่าาาา ยิ่งอ่านยิ่งอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆๆ

เขาอยากรู้ว่า โย จะได้ใส่ชุดอะไรอีก อะ

5555 ชุดบันนี่ ดีไหมโย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 07-08-2012 11:24:05
ช่างเป็นคาเฟ่ในฝันเสียนี่กระไร...

พนักงานคนใหม่...โอ้วววว แค่คิดก็ใกล้จะฟินละ

ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: autoclick ที่ 07-08-2012 11:32:54
 :monkeysad:มาต่อไวไวนะ ติดตามทุกตอนสนุกดีงะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 07-08-2012 12:01:34
ตอนนนี้มาแบบนิ่งๆ แต่มันจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รึเปล่าน้า >//////< ติดตามค่าๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 07-08-2012 16:13:41
สนุกดีค่ะ  วาโยน่ารักมากเลยจนทำให้หนุ่มๆ เริ่มหวั่นไหวกันบ้างล่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 15 อัพเดท 6/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 07-08-2012 19:18:23
อยากไปอุดหนุนค่าเฟ่นี้มาก อยากไปทุกวัน อยากไปดูหนุ่มๆ :laugh:
ลุ้นอยู่นะเนี่ยว่าใครจะมาทำคะแนนกับหนูโย จะใช่ภูริหรือเปล่าเนี่ย  :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 07-08-2012 19:22:23
ตอนที่ 16 ร้อน ๆ มาเสิร์ฟแล้วจ้า   ตอนนี้มีอีกหนึ่งหนุ่มเสนอตัวมาเรียกคะแนนกรี๊ดจากแม่ยกค่ะ

ใครใคร่เชียร์หมอนี่ก็เชิญนะคะ ^^

----------------------------------------------------------------------



Miracle Café / 16



    เช้าวันทำงานถัดมา พวกวาโยก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อหน้าร้านส่วนหนึ่งนั้นถูกล้อมไว้ด้วยผ้าใบก่อสร้าง แต่ด้านในไม่ได้มีคนงานก่อสร้างทำงานแต่อย่างใด มีเพียงอุปกรณ์ที่เอามากองเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น

    “อ๋อ! ฉันตั้งใจจะปรับปรุงหน้าร้านให้ทันเสาร์นี้น่ะ  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจะให้ช่างทำงานกันเฉพาะช่วงกลางคืน ส่วนกลางวันเราก็เปิดร้านกันปกติ จะได้ไม่รบกวนลูกค้าไงล่ะ  อ้อ! สำหรับที่นั่งริมหน้าต่างด้านหน้า ฉันให้เขาออกแบบตกแต่งเพิ่มแสงให้เข้ากับบรรยากาศมืด ๆ แล้ว พวกเธอก็ช่วยแจ้งลูกค้าให้รับรู้ถึงความจำเป็นอีกทางด้วยแล้วกัน”

   ปวีร์อธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำเอาพนักงานแต่ละคนนิ่งอึ้งไปเป็นแถบ ส่วนราเมศนั้นลอบถอนหายใจ เพราะนึกสังหรณ์อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเร่งลงมือแน่ แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้

   “อ้อ! สำหรับพนักงานพาร์ทไทม์ไม่ต้องห่วงนะ ติดต่อไว้แล้ว เจ้าตัวอยากทำฟูลไทม์ด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าติดตรงต้องทำงานกลางคืนในที่ทำงานเก่ากับผู้มีพระคุณน่ะ ส่วนวันที่มาทำงานก็คงเป็นเสาร์ที่จะถึงนี้น่ะล่ะ เพราะฉะนั้นทุกคนก็พยายามไปก่อนแล้วกัน”

   คนอื่นพยักหน้ารับรู้ แต่ก็มีบางคนขมวดคิ้วยุ่งอย่างสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปวีร์หันมาทางเขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วหันไปคุยสัพเพเหระกับคนอื่นแทน

   ‘น่าสงสัยชะมัด’

   ภูริพึมพำ นิ่งนึกคาดเดาถึงพนักงานพาร์ทไทม์ว่าเป็นใครกันแน่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางคนเรียกชื่อเขา

   “คุณภูริครับ เป็นอะไรไปหรือครับ ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”   

   วาโยที่เห็นอีกฝ่ายจู่ ๆ ก็ทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยทัก ภูริหันมามองคนพูดและเพราะเห็นว่าวาโยเป็นห่วงเขาจริง ๆ ชายหนุ่มจึงตอบไปเรียบ ๆ อย่างไม่ตัดรอนอย่างที่มักเคยเป็น

   “ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย”

   วาโยถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผละไปเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบให้คนอื่นยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวมากเกินไปนักนั่นเอง

   “เป็นเด็กดีแล้วออกจะน่ารักขนาดนั้น ทำตัวดี ๆ แล้วยิ้มให้หน่อยก็ได้ไม่ใช่หรือ เห็นนายออกจะชอบแจกรอยยิ้มให้สาว ๆ พร่ำเพรื่อบ่อยไปนี่”

   รุจที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยแซวเบา ๆ ทำให้ภูริหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์นัก

   “ก็นั่นมันงาน มันก็จำเป็นต้องทำไม่ใช่หรือไง”

   “หึ...ก็ใช่ แต่แค่ยิ้มให้เด็กดีใจบ้าง ก็ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ”

   รุจกระเซ้าต่อ ทำให้อีกฝ่ายต้องเริ่มข่มอารมณ์ แล้วตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

   “ไม่จำเป็น! …อีกอย่างเห็นซื่อ ๆ แบบนั้น หมอนั่นก็ความรู้สึกไวใช่เล่น ขืนแกล้งยิ้มแกล้งทำดีด้วย เดี๋ยวก็เก็บไปคิดกังวล นึกว่าฉันเป็นอะไรไปอีกก็ได้”

   รุจชะงักก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือโบกนิด ๆ เพื่อขอโทษ

   “โอเค ๆ ขอโทษที เข้าใจแล้วล่ะ... จะว่าไปฉันก็ไม่น่าห่วงแทนเด็กนั่นเลยนะ และถ้าเขาความรู้สึกไวจริง ๆ เขาก็คงรู้แล้วล่ะว่า มีบางคนเป็นพวกปากแข็ง ไม่ค่อยชอบแสดงออก แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยเขาไม่แพ้คนอื่น ๆ ล่ะนะ”

   รุจบอกแล้วก็เดินกลับไปประจำที่เคาท์เตอร์ ทิ้งให้คนที่ยืนอยู่บริเวณร้านทำปากหมุบหมิบบ่นตามไล่หลังไป ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับงานของตนต่อ เพราะอีกไม่กี่นาทีก็ใกล้เวลาเปิดร้านแล้ว



   วันนี้ลูกค้าก็แลดูหนาตาเช่นเคย แม้ทีแรกจะมีบางคนไม่ค่อยกล้าเข้ามาเมื่อเห็นว่ามีการก่อสร้างเกิดขึ้น ทว่าวาโยนั้นก็เสนอให้นำป้ายกระดานดำไปตั้งด้านหน้าใกล้ถนน เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นว่าร้านเปิด และตัวเขาเองก็อาสาคอยยืนเฝ้าอยู่สักพักและอธิบายให้คนที่ผ่านไปผ่านมาทราบกว่าครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว และเมื่อลูกค้าเริ่มเข้าร้านเป็นปกติ วาโยจึงกลับมาทำงานของตนต่อจนกระทั่งล่วงเข้าสู่เวลาบ่าย

   “โย...ไปพักดีกว่านะ สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยน่ะ”

   รุจที่สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายตอนนำบิลมาให้เขาเอ่ยทัก วาโยเหลือบดูเวลาแล้วฝืนยิ้มน้อย ๆ ทั้งที่เขาเริ่มรู้สึกปวดหัวนิด ๆ

   “ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว อีกอย่างขืนไปพักกันหมด คุณภูริคนเดียวทำไม่ไหวหรอกครับ”

   รุจมองไปรอบ ๆ ร้านก็เห็นว่ายังมีแขกเหลืออีกสองสามโต๊ะ โดยเป็นแขกที่กำลังรออาหารอยู่หนึ่งโต๊ะ และยังไม่ได้สั่งอาหารอีกสองโต๊ะ

   “...จะให้ฉันไปตามวินหรือรินมาแทนก่อนไหม”

   รุจถามต่อ เพราะสีหน้าของวาโยดูน่าเป็นห่วงจริง ๆ

   “อ๊ะ! อย่าเลยครับ ผมทำไหวจริง ๆ ครับ  ไปล่ะนะครับ!”

   วาโยฝืนยิ้มแล้วรีบปลีกตัวออกมา ก่อนจะกลับไปยืนรับออเดอร์พูดคุยยิ้มแย้มกับลูกค้าตามปกติ

   “ดื้อกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ...อืม...เหลืออีกยี่สิบนาทีเชียวหรือ ถ้าไม่หนักหนาอะไรก็ดีไป”

   รุจพึมพำกับตัวเองแล้วคอยสังเกตอาการเพื่อนรุ่นน้องของตนอยู่เป็นระยะ และเมื่อถึงเวลาใกล้เปลี่ยนเวร และลูกค้าได้รับออเดอร์อาหารและเครื่องดื่มครบทุกโต๊ะแล้ว  ชายหนุ่มก็ฝากขวัญแก้วให้ช่วยดูแลแคชเชียร์แทนเขา  ส่วนตัวเขาเองนั้นก็เตรียมจะเดินไปบอกให้วาโยหยุดพัก ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อภูรินั้นจัดแจงดึงมือของวาโยเดินตรงมาหาเขาเสียก่อน

   “ตัวก็ร้อน แถมหน้าซีดจะเป็นลมล้มแหล่ไม่ล้มแหล่อยู่แล้ว ยังจะฝืนทำงานอีก ...รุจวานนายไปตามสองคนนั้นมาเปลี่ยนเวรเลยได้ไหม”

   รุจมองอีกฝ่ายก่อนจะลอบยิ้มน้อย ๆ เมื่อคนที่สังเกตอาการวาโยที่ผิดปกติไปนั้นไม่ได้มีเขาคนเดียวเสียแล้ว

   “ได้สิ...เดี๋ยวจัดการให้ ...อ้าว...มาพอดีเลยนั่น”

   รุจบอกก่อนจะหันไปเห็นการินกับกวินเดินออกมาจากห้อง ซึ่งพอกวินเห็นว่ารูมเมทกำลังยืนพิงร่างสูงของภูริอยู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาก็รีบจ้ำพรวดจนเกือบจะเป็นวิ่งไปหาวาโยทันที

   “โย! เป็นอะไรไปน่ะ!”

   “ชู่ว! วิน เบา ๆ หน่อย ลูกค้ายังอยู่นะ”

   รุจกระซิบเตือนเบา ๆ ทำให้กวินชะงัก เขายิ้มแห้ง ๆ หันไปโค้งศีรษะให้ลูกค้าที่หันมามอง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อยลง

   “เขาเป็นอะไรไปครับ...อ๊ะ ตัวร้อนชะมัดเลย”

   กวินหน้าซีดตามคนป่วยด้วยความเป็นห่วง การินที่เดินตามหลังมาถอนหายใจเบา ๆ  เขาตัดสินใจชวนกวินลงมาเปลี่ยนเวรไวกว่าเดิม เพราะก่อนจะขึ้นไปพักการินได้ทันเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของวาโยเข้านั่นเอง

   “พวกนายลงมาก็ดีแล้ว ช่วยรับช่วงแทนเลยได้ไหม เดี๋ยวเอาหมอนี่ขึ้นไปนอนพักแล้วจะมาทำใช้ให้ทีหลัง”

   ภูริบอกกับทั้งสองคนที่ลงมาเปลี่ยนเวร  ทางด้านกวินจึงหันมาแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ไม่มีปัญหาครับเดี๋ยวพวกผมจัดการเอง ...เอ่อ ฝากคุณภูริดูแลหมอนี่ด้วยนะครับ”

   ท้ายประโยคกวินบอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วงอย่างไม่มีปิดบัง ทำให้คนมองขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับคำ และประคองร่างเล็กเข้าไปทางด้านในครัวพร้อมกับรุจ โดยมีสายตาแสดงความเป็นห่วงของกวิน การิน และขวัญแก้วมองตามไปติด ๆ



   ภูริหยิบหมอนใบใหญ่และผ้าห่มมาให้คนที่ไข้ขึ้นนอนพัก เมื่อจัดที่ทางและประคองให้วาโยนอนพักเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เตรียมจะลุกขึ้นยืน ทว่ามือเล็ก ๆ ของคนป่วยก็คว้าชายเสื้อกั๊กของเขาเอาไว้เสียก่อน

   “มีอะไร...”

   ภูริหันไปถาม แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย วาโยค่อย ๆ หลุบตาลงก่อนจะเอ่ยขอโทษแผ่วเบาพร้อมปล่อยมือ นั่นจึงทำให้ร่างสูงต้องถอนหายใจ พลางเอื้อมมือไปลูบผมอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

   “จะไปหายาให้กินน่ะ  เดี๋ยวจะรีบมานะ”

   วาโยนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะมีรอยยิ้มตามมา จากนั้นก็หลับตาลงเพราะรู้สึกปวดหัวอีกครั้ง ภูริจึงคิดจะเดินลงไปด้านล่างเพื่อไปถามไถ่ว่าใครมียาแก้ไข้ติดตัวมาบ้าง แต่เดินพ้นประตูไปไม่เท่าไหร่ เขาก็เจอชานนกับรุจ ที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างด้วยกัน ทั้งคู่คนหนึ่งนำข้าวต้มอุ่น ๆ และข้าวผัดทะเลมาอย่างละจาน ส่วนอีกคนก็นำผ้าขนหนูพร้อมขันน้ำติดมือมาด้วย

   “ให้เขากินข้าวก่อนแล้วค่อยกินยา แล้วก็เช็ดตัว ...คงต้องฝากนายจัดการล่ะนะภูริ เพราะคุณราเมศบอกว่าคุณปวีร์ไปติดต่อกับคนขายต้นไม้ที่จะนำมาตกแต่งหน้าร้าน กว่าจะกลับก็อีกราว ๆ ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นก็คงฝากกับเขาไว้ได้”

   รุจบอกกับรูมเมทของตน ซึ่งภูริก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะย้อนถามกลับไปบ้าง

   “แล้วยาล่ะ ฉันไม่ได้พกยาแก้ไข้ติดตัวด้วยน่ะสิ นายล่ะมีไหม”

   “ที่ห้องคุณปวีร์มีตู้ยาสามัญประจำบ้านอยู่นะครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้ ไว้ผมจะบอกคุณปวีร์ให้แล้วกันว่า ให้เอาตู้ยามาติดไว้ที่ห้องพักผ่อนของพนักงานด้วย”

   ชานนเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทนรุจพร้อมรอยยิ้ม เขาวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะวางของข้างตู้น้ำในห้องพักผ่อน แล้วจึงปลีกตัวไปหยิบยามาให้วาโย ส่วนรุจนั้นวางขันน้ำและจุ่มผ้าขนหนูลงไปก่อนจะบิดหมาด ๆ แล้วนำมาเช็ดหน้าคนนอนป่วยเบา ๆ จนวาโยลืมตาปรือขึ้นมาดูอย่างมึนงง

   “คุณรุจ...”

   “อืม ฉันเอง ...เดี๋ยวกินข้าว กินยาเสร็จ แล้วพักผ่อนแล้วกัน ไม่ต้องห่วงนะ ภูริจะอยู่เฝ้านายเอง รู้สึกแย่ยังไงก็บอกเขาแล้วกัน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะได้พาไปหาหมอแทน”

   วาโยยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพึมพำขอบคุณ ทางด้านภูรินั้นหยิบชามข้าวต้ม พร้อมผสมน้ำอุ่นจากตู้น้ำที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำเย็นและร้อน ใส่แก้วมาให้วาโยดื่ม

   “ป้อนให้ดีกว่าไหม”

   รุจที่เห็นคนป่วยนั่งไม่ค่อยมั่นคงเอ่ยถาม วาโยจึงรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเผลอสะบัดศีรษะแรงไปจนปวดหัว ภูริถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปทางรูมเมทของตน

   “นายไปหาอะไรกินของนายเถอะ เดี๋ยวก็หมดเวลาพักแล้วไม่ใช่หรือไง ที่เหลือฉันดูแลเขาเองได้น่า”

   รุจหันมามองคนพูด แล้วยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก อย่างที่ภูริไม่ค่อยชอบ เพราะมันเหมือนอีกฝ่ายจะคิดอะไรบางอย่างที่มันไม่ค่อยจะเป็นเรื่องดีกับตัวเขาเท่าใดนัก

   “งั้นก็ได้ ฝากด้วยแล้วกัน ...ได้โอกาสแล้วนะโย อ้อนให้เต็มที่เลยล่ะ หมอนี่คงไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอก”

   วาโยยิ้มแห้ง ๆ ไม่กล้าเหลือบมองภูริในยามนี้ ส่วนชานนที่นำยากลับมาให้และได้ยินถึงกับยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปบอกวาโย

   “ถ้าข้าวต้มทานลำบาก อยากทานซุปหรืออะไรก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวผมทำมาให้”

   วาโยมองเชฟหนุ่มอย่างตื้นตัน เขาขอบคุณเบา ๆ จากนั้นชานนและรุจก็ออกจากห้องไป โดยทิ้งคนป่วยให้ภูริดูแลเพียงลำพัง

   “ไม่ต้องหรอก ฉันป้อนให้เอง”

   ภูริหยิบชามข้าวต้มจากมือของวาโยมาถือแทน วาโยเตรียมจะค้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย

   “ไว้หายแล้วค่อยชดใช้ทีหลังแล้วกัน”

   คนที่เตรียมค้านพยักหน้ารับคำอย่างไม่ขัดขืนอีก สาเหตุหลักก็เพราะรอยยิ้มจริงใจที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มันจึงทำให้เขาไม่คิดจะต้านทานต่อการกระทำของอีกฝ่าย วาโยยอมให้ภูริป้อนข้าว และพอเริ่มอิ่มก็กินยาที่อีกฝ่ายส่งมาให้  จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ภูริประคองตนเองนอน และหลับตามมาอย่างรวดเร็วด้วยพิษไข้และฤทธิ์ยาผสมกัน

   

   ภูริถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นว่าวาโยนั้นหลับไปแล้ว เขาเหลือบมองเวลาก็เห็นว่าเหลืออีกราวสามสิบกว่านาทีจึงจะหมดเวลาพัก ชายหนุ่มจัดการอาหารมื้อกลางวันของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงมาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวของคนที่นอนหลับอยู่หลังจากนั้น

   “ผิวขาวเนียนเหมือนผิวเด็กเลยแฮะหมอนี่...”

   ภูริที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวในเพื่อเช็ดตามซอกคอ แผ่นอกและซอกแขนของอีกฝ่าย เอ่ยพึมพำ  ก่อนจะชะงักมือเมื่อพอเช็ดที่แถวแผ่นหน้าท้องใกล้เอว คนหลับก็ทำหน้าขมวดคิ้วก่อนจะบิดตัวน้อย ๆ และละเมอออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ

   “งืม...ฮะ ๆ อย่าสิ...มันจั๊กจี้นะ...งืม...”

   ภูรินิ่งอึ้ง เขาลองลูบผ้าผ่านเอวอีกข้างของเจ้าตัว วาโยก็มีปฏิกิริยาเดิม ๆ พอเขาหยุดเจ้าตัวก็ทำเสียงงึมงำในลำคอแล้วนอนหลับต่อ ชายหนุ่มจึงหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างนึกขำ

   “ทำตัวอย่างกับเป็นของเล่นเลยแฮะหมอนี่”

   ภูริพึมพำ ไม่นึกแปลกแล้วว่าทำไมคนในร้านจึงอยากแกล้งวาโยกันนัก 

   “นายเองก็น่ารักเหมือนกันนี่นะ”

   ภูริลูบศีรษะของอีกฝ่ายแผ่วเบา แล้วก็ต้องยิ้มน้อย ๆ เมื่อคนหลับพึมพำบางอย่างไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะยิ้มทั้งหลับให้เขา จากนั้นชายหนุ่มจึงติดกระดุมเสื้อผ้าของอีกฝ่ายให้เรียบร้อย แล้วนั่งเฝ้าดูอาการของวาโยอยู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งหมดเวลาพักของเขา ปวีร์ก็กลับจากธุระมาพอดีและอาสาจะดูแลให้แทน ภูริจึงลงไปทำงานต่อและต้องคอยตอบคำถามจากรุ่นน้องอีกสองคนโดยเฉพาะกวินที่แสดงความเป็นห่วงเสียออกนอกหน้า และทำท่าว่าจะขึ้นไปเยี่ยมวาโยเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องตัดใจ เพราะมีลูกค้าทยอยเข้าร้านมาอีกกลุ่มนั่นเอง




… TBC …
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 07-08-2012 19:42:16
น้องโยเป็นไข้  เป็นอะไรมากไหม

ชอบภูริอะ น่ารักนะเนี้ย

ส่วนพี่รุจ มีลับลมคมในตลอดเวลา 555

ทั้งร้านนิ หลงโยกันหมดเลยใช่ไหมเนี้ย

ก็โยน่ารักนิเนอะ รอตอนต่อไปจ้า ลัลล้า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 07-08-2012 19:44:44
ภูริใจดีกับน้องโยให้มากๆนะ><
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 08-08-2012 05:41:30
ฮุฮุ ภูมิเริ่มแสดงออกมากขึ้นแล้ว โยน่ารักมากๆ
ฮาเล็มของโย จริงแท้แน่นอนเลยแบบนี้
คนใหม่ที่จะเข้ามาจะเป้นยังไงน๊า ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 08-08-2012 07:59:11
 o18 o18 ดูแลโยดีดีนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 08-08-2012 08:06:58
ป่วยเป็นไข้ใจหรอน้องโย  เป็นได้ถูกเวลามากอ่ะ    :laugh:
ให้พี่ภูริดูแลดีๆหน่อยนะจ๊ะ  อิอิ   :-[
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 08-08-2012 08:14:02
 o13
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 08-08-2012 08:36:01
ว้าววภูริก็มีมุมนี้ด้วยแฮะ น่ารักอ่ะ~ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 08-08-2012 09:15:03
ชอบแนวฮาเร็มอ่ะ

แต่สุดท้ายอยากให้ลงเอยกับใครซักคน

แม้คุณปัทม์บอกว่าเป็นแนว โชเน็น ไอ ก็เถอะ><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 08-08-2012 09:36:22
วาโยน่ารักมาก ภูริเริ่มที่จะใจดีกับโยแล้ว

+1 +เป็ดให้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 08-08-2012 10:03:48
รอบนี้ภูริหรือนี่  ค่อยๆ หลงโยไปทีละคนนะจ๊ะ

อิอิ   :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 08-08-2012 10:51:16
ใครจะคู่กับโยต่ายน้อยของเราล่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 08-08-2012 18:21:32
รอเปิดร้านวันเสาร์
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 16 อัพเดท 7/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: omelet ที่ 09-08-2012 05:31:57
รอดูธีมวันเสาร์เป็นอะไรน้า?
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-08-2012 10:43:24

สวัสดีค่ะ ^^  ทักทายนักอ่านกันหน่อยนะคะ มาถึงตอนที่ 17 แล้ว เหมือนจะเยอะแต่ไม่เยอะอะไรเท่าไหร่ เพราะแต่ละตอนก็มาสั้น ๆ อย่างที่เห็นนั่นแล ^^” 

    สำหรับนักอ่านท่านใดที่อยากเห็นการจับคู่แบบจริง ๆ จัง ๆ  ขอรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่จ้า  เพียงแต่หลังจากที่แสดงถึงพลังฮาเร็มแล้ว ก็จะมีการคัดตัวจริงตามมา  เพราะฉะนั้นถ้าน้องโยเลือกใครมาคนใดคนหนึ่ง ที่เหลือก็จะผันแปรไปมีคู่ใหม่ หรือไม่ก็กินกันเองในร้านนั่นล่ะค่ะ หุ ๆ (แต่ขอบอกว่าตั้งใจจะเขียนหนุ่ม ๆ ให้เพิ่มมาอีกเยอะ ทั้งพนักงานพาร์ทไทม์ ทั้งลูกค้าในร้านด้วยน่ะค่ะ)

    สำหรับตัววาโยตอนนี้ หัวใจยังว่างค่ะ ถึงจะดูอ้อนเขาไปทั่ว(อย่างน่าหมั่นไส้นิด ๆ) แต่ก็นิสัยเหมือนน้องที่ชอบอ้อนพี่ ๆ ตามสไตล์ลูกคนเล็กนั่นล่ะค่ะ

    ป.ล. ใครรอธีมวันเสาร์อดใจรอหน่อยเน้อ รับรองเด็ด ^^
...........................................................




Miracle Café / 17




     วาโยปรือตาตื่นมาแล้วก็ต้องพบกับภาพเพดานที่ดูคุ้นตา เขานิ่งคิดทบทวนด้วยสมองที่ค่อนข้างมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตากว้างและรีบยันกายลุกพรวด แต่แล้วก็แทบจะล้มไปนอนอีกครั้งเพราะรู้สึกมึนจนเหมือนห้องหมุนไปหมด

    “อ้าว ๆ ลุกแบบนั้นก็เวียนหัวตายพอดี”

    ปวีร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ห่าง ๆ หันมาเห็นเข้าแล้วบ่นเบา ๆ เขาวางหนังสือลงแล้วเดินมาประคองให้วาโยนั่งพิงกำแพง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้

    “ลุกมาทำไม หิวน้ำ หรือจะเข้าห้องน้ำ”

    วาโยหันไปทางปวีร์ หน้าเขายังคงซีดอยู่แต่ดูดีกว่าเมื่อตอนก่อนได้นอนพักมากแล้ว

    “คือ...นี่กี่โมงแล้วครับ...”

    “หือ...อืม ก็จะสี่โมงเย็นแล้วล่ะนะ”

    ปวีร์ตอบคำถามอีกฝ่าย แล้วก็ลอบยิ้มน้อย ๆ ที่เห็นสีหน้าตกใจของวาโย แต่พอชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้น ปวีร์ก็กดบ่าร่างนั้นให้นอนไปต่อ

    “จะไปไหนเล่า ยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ไปล้มเป็นลมให้ลูกค้าตกใจหรอก”

    “แต่งาน...”

    วาโยเตรียมแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อปวีร์ตีสีหน้าดุใส่เขา

    “เธอไม่สบายนะ ฉันไม่ใช่นายจ้างที่ใจยักษ์ใจมารถึงขนาดใช้คนป่วยทำงานหรอก ถ้ากลัวเสียงาน ก็ต้องรีบพักผ่อนให้มาก ๆ แล้วตั้งใจทำงานชดเชยในส่วนที่พักไปแทนไม่ดีกว่าหรือ”

    วาโยนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้ารับคำอย่างจำยอม เห็นเช่นนั้นปวีร์จึงยิ้มแย้มส่งให้ตามปกติ

    “เด็กดี ...พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วเย็น ๆ ฉันจะดูอาการเธอใหม่ ถ้าเห็นว่ายังไม่ดีขึ้น จะพาไปคลินิกให้หมอฉีดยาให้สักเข็ม”

    วาโยฟังแล้วก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ

    “มะ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้สึกค่อยยังชั่วมากแล้ว นอนอีกสักหน่อยต้องหายดีแน่...”

    วาโยบอกแล้วหน้าซีดเผือดกว่าเดิมจนปวีร์แปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมา

    “หรือว่าเธอกลัวเข็มฉีดยา?”

    วาโยสะดุ้งอีกครั้ง เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่ใบหน้าซีด ๆ นั้นก็แสดงออกถึงคำตอบได้เป็นอย่างดี

    “หึ ๆ เด็กน้อยเอ๊ย! เอาเถอะ ถ้าไข้เธอลดในตอนเย็นจริง ๆ ฉันก็จะไม่พาไปฉีดยา แต่คงต้องให้หมอจัดยาให้แทนโอเคไหม”

    วาโยพยักหน้าหงึกหงัก เพราะสำหรับเขาให้กินยาเป็นกำ ก็ยังดีกว่าต้องไปฉีดยาล่ะนะ

    “งั้นก็นอนซะ ไม่ต้องห่วงเพื่อน ๆ ของเธอหรอก พวกเขาพอรู้ว่าเธอไม่สบาย ก็ขยันขันแข็งทำงานกันยกใหญ่ เพราะรู้ว่าเธอจะต้องเป็นห่วงแน่ยังไงล่ะ ...ถ้าหายแล้วก็อย่าลืมไปขอบคุณพวกเขาด้วยนะ”

    วาโยยิ้มรับพลางพึมพำตอบ ก่อนจะเอนกายลงนอนต่ออีกครั้ง และหลับไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีเมื่อปวีร์มาปลุกเขา



    “ไงเรา โอเคไหม...หายปวดหัวหรือยัง”

    วาโยปรือตามองคนพูด เขานิ่วหน้านิ่งคิดนิด ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธ ทำให้คนมองอมยิ้มอย่างนึกขำ
    “โกหก! ขมวดคิ้วยุ่งแบบนั้นยังจะมาบอกไม่ปวดหัวอีก... ไข้เธอลดช้ากว่าที่คิดไว้ ดังนั้นฉันจะพาไปฉีดยานะ”

    “มะ...ไม่ต้องก็ได้ครับ ...ผมหายแล้วครับ จริง ๆ นะครับ ลุกให้ดูยังได้...โอ๊ะ”

    คนฝืนทำเก่ง ดันกายขึ้นนั่งพรวดพราด แล้วหัวหมุนหน้ามืดวูบไปในอ้อมกอดของปวีร์ที่รับไว้ทัน เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ แล้วช้อนร่างของคนไม่สบายขึ้นอุ้มอย่างไม่ลำบากอะไรนัก

    “คุณปวีร์ครับ...ไม่ฉีดยาไม่ได้หรือครับ...”

    ปวีร์มองคนป่วยที่อ้อนเขาอย่างน่าสงสาร นี่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเขาคงใจอ่อนไปแล้ว

    “ไม่ได้ ...หรือเธออยากป่วยนาน ๆ แล้วเป็นภาระให้คนอื่นที่เหลือแทนล่ะ”

    ปวีร์แกล้งปั้นสีหน้าดุ ทำให้วาโยชะงักแล้วหน้าสลดลง ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

    “ก็ได้ครับ...ฉีดก็ฉีด”

    “หึ ๆ เด็กดี...เอ้าจะลงบันไดแล้ว อยู่นิ่ง ๆ นะ  ไม่งั้นจะกลิ้งกันไปทั้งคู่”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้คนฟังยิ้มออกบ้าง และเมื่อลงมาถึงชั้นล่างวาโยจึงขอลงเดินเองเพราะเกรงใจอีกฝ่าย

    “เฮ้อ! ก็ได้”

    ปวีร์แสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอด แถมสั่งให้คนโดนอุ้มเอื้อมมือไปเปิดประตูให้อีก

    “เอ่อ...คุณปวีร์ครับ”

    “ที่ว่าก็ได้น่ะ หมายความว่าพอถึงรถแล้วจะปล่อยให้เดินไปขึ้นรถเองยังไงล่ะ”

    ปวีร์ตอบพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาวาโยต้องลอบถอนหายใจ และพอถึงรถอีกฝ่ายก็ทำอย่างที่พูดไว้ แต่ก็คอยประคองอยู่ไม่ห่าง เพราะเกรงว่าลูกน้องคนโปรดจะล้มลงไปเสียก่อน

    “ขอบคุณนะครับ...”

    วาโยบอกอีกฝ่ายด้วยความตื้นตัน เพราะนอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิทแล้ว ก็ยังไม่เคยมีใครมาดูแลเขาเป็นอย่างดีขนาดนี้มาก่อน

    “ไม่เป็นไร บอกแล้วไงว่าพวกเราอยู่กันอย่างครอบครัวน่ะ”

    ปวีร์หันมายิ้มแล้วขับรถออกไป ส่วนวาโยนั้นหลับตาพักผ่อน เพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้านั้นของปวีร์ และหวนคิดว่าการที่ต้องมาทำงานใช้หนี้แถมถูกจับแต่งหญิงในบางที มันก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องแย่ ๆ เสมอไปนัก

   

    “ไง ราเมศ ปิดร้านแล้วใช่ไหม... อยู่ไหนน่ะหรือ ก็คลินิกไง ...โอ๊ะ! อย่าเพิ่งโวยสิ ฉันไม่ได้โทรมาบอกให้นายบ่นสักหน่อย... หึ ๆ น่า ๆ ขอโทษแล้วกัน  อ๊ะ! จริงสิ เกือบลืมแน่ะ นายช่วยแพคข้าวเผื่อฉันชุดนึงด้วยนะ เดี๋ยวจะกลับไปกินที่บ้าน  ส่วนของเด็กนี่ก็ฝากคุณนนทำซุปร้อน ๆ หรืออาหารที่ย่อยง่าย ๆ ให้หน่อยก็ได้... อือ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้านพักเลยน่ะ ...อ๊ะ ออกมาแล้ว งั้นแค่นี้นะ บาย”

    ปวีร์ตัดสายของเพื่อนสนิท แล้วหันมายิ้มให้กับคนที่เดินยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา

    “ไง เจ็บมากไหม”

    วาโยเบ้ปากนิด ๆ ทำให้คนถามหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปตบบ่าให้กำลังใจอีกฝ่าย

    “เอาน่า ฉีดยาน่ะหายไวออก จากนั้นก็กินยาเสริม ...แล้วก็อย่าไปตากแดดตามลมอีก ส่วนงานพรุ่งนี้ก็พักอีกวัน ให้หายดี แล้วค่อยทำต่อ”

    ปวีร์บอกกับอีกฝ่ายแล้วจึงเดินไปรอจ่ายเงินค่ายาและค่ารักษา โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของวาโยเลยสักนิด

    “แต่ถ้าผมไม่ไป พรุ่งนี้ทุกคนก็งานหนักแย่สิครับ”

    “มันก็คงแบบนั้น...พนักงานพาร์ทไทม์ก็ยังไม่ว่างเสียด้วยสิ”

    ปวีร์พึมพำ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนที่รอฟังอยู่

    “งั้นเดี๋ยวฉันอาสาเป็นแคชเชียร์จำเป็นให้เอง ส่วนรุจก็ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟแทนนายสักวัน ...หึ เผลอ ๆ อาจจะมีส่วนช่วยให้แขกสาว ๆ เข้าร้านเพิ่มมากขึ้นก็ได้นะ”

    ปวีร์เปรยอย่างนึกขำ เพราะขนาดรุจทำหน้าที่แค่เป็นแคชเชียร์ ก็ยังมีแฟนคลับมาขอใช้สิทธิ์ตามโปรโมชันของร้านถ่ายรูปกับเจ้าตัวไปแล้วด้วยซ้ำ

    “คุณวาโย รับยาได้แล้วค่ะ...”

    เสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่จ่ายยาประจำคลินิก ทำให้ปวีร์เดินไปรอที่ช่องรับยาและจ่ายเงิน เขาเรียกวาโยไปฟังเจ้าหน้าที่อธิบายถึงจำนวนและเวลาในการทานยา จากนั้นปวีร์จึงหยิบเงินส่วนตัวของตนจ่ายให้แล้วพาวาโยกลับขึ้นรถ ก่อนจะขับไปส่งชายหนุ่มที่บ้านพักซึ่งมีพนักงานคนอื่นของเขารอคอยอยู่แล้ว

   

    “เอ้า! พาเจ้าหญิงมาส่งแล้ว มารับไปทีสิ”

    ปวีร์บอกอย่างนึกขำ เมื่อเห็นแต่ละคนที่นั่งรออยู่ หันมามองเขาเป็นตาเดียว นับตั้งแต่เห็นเขากับวาโยเดินเข้ามาในบ้านพัก

    “ทีหลังจะออกไปไหนก็บอกกันบ้าง ไม่ใช่ปุบปับก็ออกไปเองแบบนี้”

    ราเมศบ่นใส่ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน ทำให้วาโยเบิกตากว้าง เพราะทีแรกเขาคิดว่าคนอื่น ๆ จะรู้อยู่แล้วเสียอีก

    “ก็เห็นทำงานกันยุ่ง ๆ เลยไม่อยากรบกวนนี่ และที่สำคัญก็โทรไปบอกแล้วไม่ใช่หรือ”

    ปวีร์ตอบเพื่อนพลางยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้ราเมศถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอา เพราะกว่าที่ปวีร์จะโทรมาบอกก็เป็นเวลาเลิกงาน และเขาก็ต้องตกใจกับเสียงโวยวายของกวินที่ว่าวาโยหายไป แต่ยังไม่ทันจะเริ่มออกตาม หรือติดต่อใคร ปวีร์ก็โทรมาเสียก่อน ทำให้สถานการณ์วุ่นวายคลายลงได้บ้าง

    “ชอบทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย”

    ปวีร์หันมามองคนบ่นพึมพำหลังจากที่ส่งตัววาโยคืนให้กวินดึงกลับไปถามไถ่เรียบร้อย

    “ก็เพราะรู้ว่ามีคนคอยเป็นห่วง ก็เลยอยากขออ้อนบ้าง...ไม่ได้หรือไง”

    ปวีร์ยิ้มหวานพลางลูบแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา ราเมศชะงัก ก่อนจะสบถเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ แล้วเดินไปสมทบกับพวกวาโยต่อ และชี้แจงเรื่องการทำงานในวันพรุ่งนี้ให้ทุกคนฟัง

    “พรุ่งนี้ฉันว่าจะให้โยเขาพักต่ออีก 1 วัน  แล้วฉันจะลงไปทำแคชเชียร์ให้ ส่วนรุจก็ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟแทนโยไปก่อนได้ไหม”

    คนอื่นพากันอึ้งแล้วเหลือบไปมองรุจ ทำให้ปวีร์เลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ

    “บังเอิญจังครับ ผมก็มีความคิดคล้าย ๆ คุณนั่นล่ะ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ ทำให้ปวีร์ยิ้มตอบอย่างถูกใจ เขารู้จักอีกฝ่ายเพราะเป็นรุ่นน้องของเพื่อน พอลองคุยดูก็รู้สึกถูกชะตา ในนิสัยที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง ชายหนุ่มจำได้ว่าเคยชวนอีกฝ่ายให้มาทำงานด้านการเงินที่ร้านแบบเล่น ๆ เพราะตอนนั้นรุจทำงานอยู่ที่บริษัทใหญ่โตอยู่แล้ว ทว่าไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โทรมาหาเขาแถมยังบอกว่าลาออกจากงานเก่าเรียบร้อยแล้วอีกด้วย และด้วยหน้าตาที่ผ่านเกณฑ์ ความรู้ความสามารถ อีกทั้งนิสัยใจคอ ปวีร์จึงไม่ลังเลที่จะดึงตัวอีกฝ่ายไว้ ไม่ว่าชายหนุ่มจะมาทำงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม

    “ไม่เคยต้องทำมาก่อน คงลำบากหน่อยนะ แต่ถ้าไม่ไหวยังไงก็เปลี่ยนตัวกับแก้ว แล้วเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ช่วยบาริสต้าเอง”

    บอกแล้วปวีร์ก็หันไปยิ้มหวานให้กับราเมศ แต่คนฟังนี่สิทำหน้ายุ่งใส่เขา จนปวีร์ต้องหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

    “เอ่อ...ขอโทษทุก ๆ คนจริง ๆ ด้วยนะครับ ที่ต้องลำบากกัน...เพราะผมแท้ ๆ”

    คนอื่นต่างหันมามองวาโยเป็นตาเดียว และก่อนที่จะมีคนพูดปลอบ น้ำเสียงราบเรียบเฉยชาของใครบางคนก็ขัดขึ้น

    “ถ้าคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง ก็ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ กินยาให้ตรงเวลา จะได้หายไว ๆ มาทำงานชดเชยแทนไงล่ะ”

    วาโยนิ่งอึ้ง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้ารับรู้ ทางด้านปวีร์เหลือบมองภูริอย่างพึงพอใจ เพราะคนอย่างวาโยนั้นถ้าปลอบโยนว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัว ชายหนุ่มก็จะยังคงคิดมากอยู่ดี ต้องอ้างเหตุผลและคนอื่นเข้ามาเกี่ยวนี่ล่ะ อีกฝ่ายถึงจะยอมฟังและยอมเชื่อ

    “ยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่หรือ ... มียาที่ต้องกินก่อนอาหารไหม”

    การินเปรยขึ้นถามไถ่บ้าง หลังจากดูเวลาที่ล่วงเลยมาดึกพอสมควร

    “อ๊ะ...จริงสิ แต่รู้สึกว่ามีแค่ยาหลังอาหารเท่านั้นเอง ขอบใจที่เตือนนะริน”

    วาโยยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งการินก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ทำให้ปวีร์ที่ลอบสังเกตเริ่มพึงพอใจที่เห็นหลานชายเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคบหาเพื่อนฝูง ความอดทน เอางานเอาการ อย่างที่อาเช่นเขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงวางใจปล่อยให้ไปเรียนต่อเมืองนอก อย่างที่พ่อแม่ของเจ้าตัวต้องการได้สักที

    ‘แต่ก็คงไม่ใช่ในเวลานี้หรอกนะ ...ยังไงพวกพี่ชายกับพี่สะใภ้ ก็ให้เวลาเขาฝึกฝนเจ้าตัวไปก่อนตั้งหนึ่งปีนั่นล่ะ ไม่แน่ว่ากว่าจะถึงตอนนั้น การินอาจจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นที่น่าตกตะลึงสำหรับเขายิ่งกว่านี้ก็เป็นได้’

    ปวีร์คิดในใจก่อนจะขอตัวกลับบ้านพัก  เขาเหลือบมองกวินที่แทบจะแย่งช้อนไปป้อนข้าววาโยอย่างนึกขำ รู้สึกพอใจที่เห็นพนักงานแต่ละคนเข้ากันได้ดีกว่าวันแรกที่ต่างพบหน้า และเขาคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจรับวาโยเข้ามาทำงานด้วยกัน

    “ยิ้มแบบนี้ คิดอะไรอยู่น่ะ”

    ราเมศที่สังเกตเห็นถามเบา ๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินกลับไปขึ้นรถของปวีร์ด้วยกัน

    “หึ ๆ ลองเดาดูสิ”

    “เหอะ ไม่อยากจะเดาเลย นายคิดโน่นคิดนี่ทีไร มีแต่เรื่องวุ่นวายชวนปวดหัวประจำ”

    ราเมศบ่นพลางยักไหล่ ทำให้คนฟังหัวเราะในลำคอ ก่อนจะซบศีรษะพิงแผ่นหลังของคนที่เดินช้า ๆ อยู่ด้านหน้า จนอีกฝ่ายชะงักและหยุดเดินก่อนจะหันมามองอย่างแปลกใจ

    “ฉันมีความสุขนะราเมศ ...ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูก...รู้แต่เพียงว่า อยากทำร้านต่อไปเรื่อย ๆ อยากเห็นรอยยิ้มของทุกคนในร้านให้มากกว่านี้ ทั้งเด็กพวกนั้น ทั้งลูกค้า  คุณนน แก้ว ตา...แล้วก็นายด้วย ราเมศ”

    ราเมศนิ่งฟัง ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตอบอีกฝ่าย เขาลูบศีรษะคนตรงหน้าแผ่วเบา แล้วตอบกลับไป

    “ฉันก็เหมือนกัน ...”

    ปวีร์มองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มหวานให้

    “ฉันชอบนายนะ ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาจนถึงป่านนี้”

    ราเมศหัวเราะเบา ๆ แล้วโอบร่างนั้นให้เดินไปเคียงข้างไปด้วยกัน เขาชินเสียแล้วกับคำบอกชอบของอีกฝ่าย แต่ถ้าขวัญแก้วกับขวัญตามาได้ยิน สองสาวนั่นคงจะมีปฏิกิริยาสุดโต่งแตกต่างออกไปแน่

    “...ความรู้สึกช้าไม่เปลี่ยนเลยนะ ...หรือไม่คิดว่าฉันเอาจริง”

    เสียงพึมพำแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำให้คนที่เดินมาด้วยกันชะงัก แต่ปวีร์กลับเงยหน้ายิ้มตอบ แล้วบอกเสียงสูง     

    “เปล๊า! ไม่มีอะไร ก็แค่บ่นพึมพำหิวข้าวก็แค่นั้นเอง”

    ราเมศขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดแค่นั้นจริง ๆ แต่เมื่อเห็นปวีร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจึงขี้เกียจซัก เพราะรู้ดีว่าต่อให้ซักไป คนหัวดื้อปากแข็งคนนี้ก็ไม่มีวันยอมบอกให้เขารู้อย่างแน่นอน

   


… TBC …
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 09-08-2012 10:58:57
คู่บอสนี่ นำหน้าใครเพื่อนเลยวุ้ย  :laugh:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 09-08-2012 11:00:45
พี่วี ชอบพี่เมย์จริงๆจังๆใช่ไหม

โหหห พี่เมย์ เปิดใจรับฟังง แล้วจะรู้ กรี๊ดๆๆๆๆๆ

อ่าาา ฮาเร็มของน้องโยจะมีเพิ่มมาอีกกี่คนกัน อั๊ยยย *0*

ติดตามค้าบบ รอคอยวันเสาร์ น้องโยจะแต่งเป็นอะไรน้าาา *0*

ว้าวววว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-08-2012 11:16:35
น่ารักกันทุกคนเลยนะเนี่ย แต่ก็ยังลุ้นว่าใครจะพิชิตใจเจ้าหญิงวาโยกันแน่ 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-08-2012 12:29:52
ชอบๆ ทำให้ยิมได้ตลอดเลยคับคนแต่ง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-08-2012 12:30:10
ชอบๆ ทำให้ยิมได้ตลอดเลยคับคนแต่ง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 09-08-2012 12:49:05
 :man1: :man1: :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 09-08-2012 13:02:10
ปวีร์ชอบราเมศล่ะสิ ดีเลยชอบทำตัวแพ็คคู่ดีนัก
แต่อยากให้วาโยเลือกภูริจังเลย ส่วนรุจก็ชอบนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 09-08-2012 13:31:43
น่าร้ากกกก

ค้าาาาาา

คุณบอสนี่แบบบอกไม่ถูกเลยนะเนี่ย

กุ๊กกิ๊กกะเค้าไปทั่ว  แต่ตอนอุ้มน้องโยนี่ สุดๆกรี๊ดดมาก^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 09-08-2012 17:46:25
รอลุ้นหนุ่มคนใหม่
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 09-08-2012 18:07:22
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยย

บอสขี้แกล้งอ่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 09-08-2012 18:11:29
เจ้าหญิงวาโย :o8:
ใครน้อจะเป็นเจ้าชายมาคู่กับเจ้าหญิง :z1:
ลุ้นๆทุกตอน :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: jaejoong22 ที่ 09-08-2012 21:17:34
สวัสดีจ้า...

ชอบมากเลยค่า อ่านรวดเดียวเลย  o13

ต่อไปนี้จะคอยติดตามนะค่ะ  สู้ๆ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 09-08-2012 22:12:39
อ่านมาได้ หน้า ที่ 1 แล้ว สนุกดีครับ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 09-08-2012 23:03:16
เจ้าหญิงวาโย ถูกเจ้าชายห้อมล้อมประคบประหงม ดูแล
น่าอิจฉาเนอะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 10-08-2012 00:11:38
+ {} +  คู่หูคุณหัวหน้า นี่ มาแบบน่ารักๆ อึนๆดีจัง เขินอั๊ยยะ

ชอบพี่ริน :give2:
หลงพี่รุจ :m1:
ชอบที่สุด ภูริวาโย นะ นะ น๊า  :m5:

จิ้นริน วิน อิอ๊าง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 17 อัพเดท 9/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 10-08-2012 12:40:12
คู่ของปวีร์กับราเมศนี่ก็น่าลุ้น เมื่อไหร่จะตกลงกันได้น๊า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-08-2012 13:22:03


ตอน 18 มาแล้วจ้า ยังไม่ถึงวันเสาร์อย่างที่ทุกคนรอคอยก็จริง แต่ไม่นานแล้วค่ะ ตอนหน้า (19) ได้เจอกันแน่พร้อมตัวละครใหม่ค่ะ ^^

   

Miracle Café / 18




     วาโยนอนพักผ่อนอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย พอตอนกลางวันชานนก็แวะเอาอาหารกลางวันมาให้เขาถึงห้อง ทำเอาเขารู้สึกเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มแย้มแถมยังบอกว่าตอนเย็นจะเอาข้าวมาให้อีกรอบด้วยซ้ำ

    “เฮ้อ! คุณนนนี่นะ บางทีก็ใจดีจนแอบน่ากลัวเลยแฮะ”

    วาโยพึมพำกับตัวเอง เพราะบางครั้งเห็นยิ้ม ๆ แบบนั้น มันก็เหมือนกับการบังคับให้เชื่อฟังในตัวนั่นเอง

    “เบื่อจัง...อยากกลับไปทำงานชะมัด”

    คนป่วยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพลางบ่นพึมพำอย่างเบื่อหน่าย แม้ตอนทำงานจะรู้สึกเหนื่อยแต่พอไม่ได้ทำก็รู้สึกเหงาขึ้นมานิด ๆ เหมือนกัน

    “กินยาแล้วนอนพักดีกว่า จะได้หายไว ๆ”

    ชายหนุ่มตัดบทกับตัวเอง เขาไม่อยากต้องถูกบังคับให้นอนอีกแล้ว ยังไงพรุ่งนี้เขาต้องอาการดีขึ้นและแข็งแรงให้ปวีร์เห็นได้ว่าเขาทำงานไหวให้ได้

   

    กวินกลับมาจากที่ทำงานก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว เขาเคาะประตูห้องนอนของวาโยเบา ๆ แต่ก็เงียบ ชายหนุ่มจึงลองบิดประตูดู และเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ล็อกเขาจึงเปิดเดินเข้าไป ร่างบนเตียงนั้นกำลังนอนหลับอย่างสบาย  กวินจึงลองเอามืออังหน้าผากและซอกคอของอีกฝ่าย  เมื่อเห็นว่าระดับความร้อนลดลงจนเกือบเป็นปกติเขาก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างยินดี

    “ดีแล้วล่ะนะ...ไม่อยากเห็นนายป่วยเลย”

    กวินมองคนบนเตียงแล้วก็หน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา

    “ขอโทษนะ...ฉันขอแค่นี้แล้วกัน...นายคงไม่โกรธฉันใช่ไหม”

    กวินพึมพำ ทั้งที่อยากจะทำมากกว่านี้ แต่ก็กลัวว่าหากวาโยรู้สึกตัวตื่นมาจะโกรธและรังเกียจเขา และไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีกก็ได้

    “เฮ้อ...ความรักนี่มันยากจังเลยนะ”

    กวินถอนหายใจเปรยเบา ๆ เขานั่งพิงเตียงนอนอีกฝ่าย และหวนคิดถึงเมื่อก่อนที่เคยคบหากับแฟนสาวคนอื่นที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลยสักครั้ง จนกวินคิดว่าบางทีนี่มันอาจจะเป็นรักครั้งแรกที่มาจากใจเขาเองก็เป็นได้

    สักพักชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินกลับห้อง ส่วนเจ้าของห้องนอนก็ยังคงหลับลึกเช่นเคยไม่ได้รู้สึกว่ามีใครเข้ามา และเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเวลาเช้ามาถึง

   

    “อืม...กี่โมงแล้วเนี่ย”

    วาโยบิดกายน้อย ๆ ก่อนจะคว้านาฬิกาตรงหัวเตียงมาดู จากนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องยิ้มออก ที่อาการไข้เมื่อวานดูเหมือนจะหายเกือบปลิดทิ้งแล้ว

    “ฉีดยาแล้วหายไวกว่าเดิมจริงด้วย...แต่ถ้าจะให้ดี ขอเลือกไม่ฉีดดีกว่าแฮะ”

    ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง จะว่าเจ็บไหมมันก็ไม่เจ็บ แต่พอรู้ว่ามีอะไรแหลม ๆ เตรียมจะทิ่มผิวหนังเข้ามา มันก็ทำให้เขาเกิดการเกร็งและกลัวอย่างช่วยไม่ได้อยู่ดี

    “วันนี้รีบไปเช้า ๆ ไปช่วยจัดร้านดีกว่า”

    เมื่อตัดสินใจได้ชายหนุ่มก็รีบอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เขาเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็พบว่าเสื้อผ้าชุดที่เขาใส่วันป่วย มีคนช่วยซักรีดให้เรียบร้อย วาโยถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงหยิบชุดลำลองมาใส่ก่อน เพราะขืนเขาแต่งตัวแล้วออกไปเตรียมทำงานแต่เช้าแบบนี้ คงจะโดนหลายคนบ่นแน่ ๆ โดยเฉพาะรูมเมทข้างห้องเขานี่ล่ะ

    “โย! ทำไมตื่นเช้าจัง นี่หายดีแล้วหรือไง!”

    กวินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่นอกห้องหันไปมองคนที่เดินออกมาจากห้องนอน แล้วรีบลุกพรวดไปทักทายและเอามือแตะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างห่วงใย

    “หายดีแล้วล่ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วง”   

    วาโยยิ้มหวานให้ ทำเอาคนลืมตัวชะงักหน้าแดงน้อย ๆ แล้วหดมือลง ก่อนจะบอกเขิน ๆ

    “อะ อืม...ดีแล้วล่ะ  อ๊ะ! แต่ห้ามเลิกกินยานะ ต้องกินอย่างน้อยอีกสักสองสามวันเข้าใจไหม!”

    กวินรีบบอกตามมา ทำให้วาโยหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ

    “อื้ม! ฉันไม่เกเรเรื่องนี้หรอกน่า อยากจะหายไว ๆ จะได้ทำงานตอบแทนพวกนายด้วย”

    กวินมองคนตรงหน้าอย่างชื่นชมยิ่งกว่าเดิม วาโยไม่ได้เพียงแต่หน้าตาน่ารักเท่านั้น แต่ยังเป็นคนมีน้ำใจน่าคบหา  ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เล่นด้วย เขาก็คงจะลุยจีบเต็มที่โดยไม่ยอมปล่อยให้ใครมาคว้าตัดหน้าไปแน่

    “วิน...เป็นอะไรไป หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ”

    วาโยถามอีกฝ่ายที่นิ่งจ้องหน้าเขาอยู่สักพักอย่างสงสัย กวินสะดุ้งพอรู้สึกตัวก็แกล้งยิ้มกลบเกลื่อน

    “ง่า...คือแบบว่าหน้านายคล้ายเพื่อนสมัยเรียนของฉันเลยน่ะ เลยเผลอจ้องนานไปหน่อย”

    กวินแก้ตัวมั่วซั่วไปแล้วก็ลุ้นว่าวาโยจะเชื่อไหม ทว่าชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมาเมื่ออีกฝ่ายย้อนถามอย่างไร้เดียงสา

    “จริงหรือ! ฉันก็เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เหมือนกันนะ ที่ว่าไม่ใช่ญาติแต่ก็หน้าตาคล้ายกันน่ะ อยากเห็นมั่งจังเนอะ ว่าจะเหมือนแค่ไหน นายมีรูปถ่ายเขาบ้างไหมล่ะ”

    กวินกลืนน้ำลายลงคอพลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

    “มะ ไม่มีหรอก พอดีเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นน่ะ”

    วาโยทำหน้าเสียดาย แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย

    “งั้นก็ไม่เป็นไร แต่ก็แอบเสียดายเหมือนกัน อยากรู้ว่าจะเหมือนขนาดไหน”

    กวินหัวเราะแห้ง ๆ บางทีเขาก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองโชคดีหรือร้าย ที่อีกฝ่ายเป็นคนความรู้สึกช้าไร้เดียงสาเรื่องความรักขนาดนี้

    “จริงสิ ฉันว่าจะไปช่วยคุณนนเตรียมข้าวเช้าน่ะ แล้วถ้ากินเสร็จจะแวบไปจัดเตรียมร้านก่อน พวกนายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากไงล่ะ”

    กวินมองคนตรงหน้าก่อนจะสั่นศีรษะเบา ๆ

    “ไฟแรงมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันเองก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ...อีกอย่างเพื่อนายแล้ว... เอ่อ ฉันหมายถึงว่า เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้สบายมาก!”

    คนพูดรีบแก้ตัวก่อนจะเผลอหลุดความในใจออกไป ทว่าความจริงใจที่แฝงไว้ในประโยคก็ยังคงสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ และนั่นทำให้วาโยรู้สึกตื้นตัน ทั้งที่เขาเจอกับอีกฝ่ายแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์ดีด้วยซ้ำ แต่เพราะนิสัยร่าเริงจริงใจเปิดเผยของชายหนุ่ม ก็ทำให้วาโยยอมรับกวินเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทได้ไม่ยากนัก

    “ขอบใจนะวิน ฉันดีใจที่มีนายเป็นเพื่อนฉันแบบนี้”

    คำพูดพร้อมรอยยิ้มหวานทำให้คนฟังแทบยิ้มทั้งน้ำตาที่อีกฝ่ายคิดกับเขาได้แค่เพื่อน แต่ชายหนุ่มก็ต้องบอกตัวเองว่า นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น หากเขาพยายามกว่านี้ สักวันวาโยก็อาจจะมีใจให้เขาบ้างก็ได้

    “งั้นก็ไปช่วยคุณนนด้วยกันเถอะ แล้วถ้านายอยากจะไปร้านไวขึ้น ฉันก็จะไปเป็นเพื่อนด้วย!”

    กวินตัดบททำให้วาโยยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้าตอบรับ จากนั้นทั้งคู่จึงลงไปชั้นล่างเพื่อช่วยชานนเตรียมมื้อเช้า และเพียงไม่นานการิน ภูริ และรุจก็ลงตามมาสมทบด้วยกัน

   

    “จะขยันอะไรก็ให้มันมีลิมิตบ้าง เพิ่งฟื้นไข้ไม่ใช่หรือ ถ้าออกแรงมากไข้กลับไปจะทำยังไง”

    หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ภูริก็เริ่มบ่นทันทีที่รู้ว่าวาโยจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปที่ร้านก่อนเวลากำหนดและสะสางงานในส่วนของพวกเขาเป็นการชดเชยเรื่องที่ลาป่วยเมื่อวานแทน

    “หึ ๆ หมอนี่เขาห่วงนายน่ะ กลัวว่าจะไข้กลับอีกครั้ง”

    รุจเอ่ยเสริมทันทีที่เห็นสีหน้าสลดของรุ่นน้อง วาโยชะงักแล้วเหลือบมองภูริอย่างลังเล ทางด้านภูริหันไปมองรุจอย่างหมั่นไส้ แล้วทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนจะเบือนหน้าไม่ยอมสบสายตาใส ๆ ที่จ้องมาทางเขา

    “ถ้าจะรั้นไปให้ได้ ก็รอด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปด้วยคน ...”

    การินเปรยเบา ๆ เขาพอจะมองออกว่าวาโยนั้นค่อนข้างรั้นในเรื่องที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ บางทีถ้าห้ามปรามแล้วยังไม่ยอมฟัง ก็คงต้องเลยตามเลยร่วมมือกับเจ้าตัวด้วยนั่นล่ะ ถึงจะได้เพลา ๆ ความรั้นไปได้บ้าง

    “แต่ถ้าแบบนั้น แล้วจะเป็นการชดเชยได้ยังไงล่ะ...”

    วาโยเริ่มลังเล ทำให้การินหันไปมองก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้ในแบบที่ไม่ค่อยมีกับคนอื่นมากนัก

    “การชดเชยมันก็ไม่จำเป็นว่าต้องใช้แรงกายทำงานชดใช้เสมอไปนี่... ไม่ลองมาถามคนที่นายอยากชดเชยให้เขาบ้างล่ะว่า เขาต้องการให้นายทำอะไรน่ะ”

    พอการินพูดแบบนั้นกวินที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ทุบมือตุบ แล้วหันไปโพล่งชมคนพูดทันที

    “เจ๋งเลยริน! อย่างที่หมอนี่พูดนั่นล่ะ ชดเชยแบบอื่นก็ได้นี่นะ”

    กวินเห็นดีด้วย เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้วาโยฝืนมากเกินไป ที่ยอมตามไปด้วยก็เพราะจะคอยจับตามองนี่ล่ะ

    “อย่างนั้นหรือ... งั้นก็ได้ล่ะนะ”

    วาโยบอกอย่างลังเล แต่พอเห็นเพื่อนทั้งสองยิ้มให้เขา เขาจึงยิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนจะหันมาทางภูริและรุจที่มองอยู่ ด้านรุจอมยิ้มแล้วพยักหน้า ส่วนภูริถอนหายใจแรง ๆ แต่ก็ยังพยักหน้าเป็นการเห็นด้วยในสิ่งที่การินพูดอยู่ดี นั่นจึงทำให้วาโยยอมละความคิดเดิมไป และตั้งใจจะออกไปทำงานพร้อมคนอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาแทน ทว่าพอเขาหันไปถามแต่ละคนว่าจะให้เขาชดเชยอะไร กลับยังคงไม่ได้รับคำตอบ แถมต่างคนต่างนิ่งคิดหนักจนวาโยชักหวาดระแวง

    ‘…อืม จะให้ทำอะไรดีนะ ให้ไปเดทด้วยดีไหม อ๊ะ ไม่ได้ มันโจ่งแจ้งไป...หรือขอให้จูบแก้มเป็นรางวัล...เหอะ ไม่สิ แบบนั้นโดนถูกมองว่าโรคจิตแน่...เอาไงดีหว่า’

    กวินนิ่งคิดอย่างเคร่งเครียด จนวาโยที่ตั้งท่าจะถามรูมเมทถึงกับถอยกรูดออกมาเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาดพิกล จากนั้นเขาจึงเดินไปหาการินแทน

    “แล้วริน อยากให้ฉันชดเชยด้วยอะไรล่ะ”

    การินมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งแต่พอเห็นแววตาหวาดระแวงนั่นเขาก็นึกสงสาร แล้วจึงเปรยตอบเบา ๆ

    “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่รับรองว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นขนาดต้องฝืนใจทำหรอกน่า”

    วาโยฟังแล้วก็ยิ้มกว้างส่งให้ เขากล่าวขอบคุณอีกฝ่าย แล้วจึงหันมาทางรุจและภูริ ซึ่งรุจก็ยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบออกไป

    “อืม...มันมีเยอะแยะหลายอย่างจนเลือกไม่ถูก เลยต้องขอคิดดูก่อนน่ะ”

    วาโยกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหลือบไปมองทางภูริบ้าง

    “...ไว้เดี๋ยวค่อยบอกแล้วกัน”

    ภูริตัดบท ทั้งนี้เพราะเขาเองก็คิดไม่ออกว่าจะให้อีกฝ่ายทำอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดไปเลยว่า อย่าให้วาโยมายุ่มย่ามกับเขามากนัก แต่มาตอนนี้เพราะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นทำอะไรด้วยความจริงใจไร้หวังผลมาตลอด จึงทำให้เขารู้สึกสนิทใจและยอมรับวาโยมากขึ้นกว่าเดิม แต่เพราะดันไปตั้งกำแพงเย็นชามาแต่แรก จะให้เปลี่ยนปุบปับเขาก็ค่อนข้างรู้สึกเสียฟอร์มเล็กน้อยเหมือนกัน

    “อ้อ โย ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนนะว่าอย่าไปเผลอพูดเรื่องชดใช้อะไรนี่ให้อาได้ยินเข้า...ไม่อย่างนั้นนายโดนแกล้งยิ่งกว่าเดิมแน่”

    การินเอ่ยเตือนอย่างคนที่รู้จักนิสัยปวีร์ดี ซึ่งวาโยก็ยิ้มแห้ง ๆ แต่ก็อดคิดหนักไม่ได้ เพราะวันก่อนก็ได้ปวีร์คอยช่วยเหลือเขาหลายอย่าง แถมยังยอมให้หยุดงานเพื่อพักผ่อนอีกต่างหาก

    “จะพยายามบอกว่ายอมชดเชยให้ได้บางอย่างแล้วกันนะ”

    วาโยตอบเสียงอ่อย ทำให้การินลอบถอนหายใจแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเอือมระอาปนเอ็นดูในนิสัยของคนตรงหน้าเขา

    “นายนี่มันแปลกคนจริง ๆ เชียว”

    การินบอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งวาโยก็ยิ้มตอบเจื่อน ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองได้รับคำชมหรือถูกบ่นกันแน่

   

    เมื่อถึงเวลางานทั้งหมดก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและทยอยกันไปเตรียมจัดร้าน ทำความสะอาดรอลูกค้าเข้าร้าน และพอปวีร์กับราเมศมาถึง ปวีร์ก็รีบตรงมาดูอาการของพนักงานคนโปรด ซึ่งก็พบว่าวาโยมีอาการดีขึ้น ไข้หาย ทว่าเขาก็ยังคงขู่ให้อีกฝ่ายกินยาต่อไปอีก ไม่อย่างนั้นเขาจะจับชายหนุ่มไปฉีดยาต่ออีกเข็มแน่

    “คุณปวีร์นี่บางครั้งก็ชอบแกล้งคนอื่นจังนะ”

    วาโยบ่นอุบเบา ๆ หลังจากที่ปวีร์กลับขึ้นห้องทำงานไปแล้ว ทำให้การินที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับหลุดขำออกมา

    “ชอบแกล้งตลอดต่างหากล่ะรายนั้น...ยิ่งชอบก็ยิ่งแกล้งด้วย นายก็ระวังไว้แล้วกัน”

    การินเอ่ยเตือนยิ้ม ๆ ทำให้คนฟังทำหน้ายุ่ง เพราะไม่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเป้าหมายการแกล้งให้คนอื่นได้

    “เด็กนั่นเริ่มเป็นที่นิยมเรื่อย ๆ แล้วนะ ...ถ้าเอาแต่ประมาท ระวังจะโดนแย่งไปก่อนล่ะ”

    รุจที่เดินผ่านด้านหลังกวินซึ่งแอบมองวาโยอยู่เปรยขึ้น ทำเอากวินสะดุ้งเฮือก แต่พอหันไปทางรุจก็เห็นอีกฝ่ายยกยิ้มนิด ๆ ติดเจ้าเล่ห์ พร้อมกับใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้น ก่อนจะหันไปสนใจอีกทางแทน ทำเอากวินลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า รุจนั้นรู้เรื่องที่เขาแอบชอบวาโยอยู่หรือไม่กันแน่

    อีกทางหนึ่งภูริที่อยู่ไม่ไกลทั้งคู่และได้ยินถ้อยคำสนทนานั้นดีนิ่งเงียบคิด เขาเหลือบมองกวินที่ตอนนี้หันกลับมามองวาโยอีกครั้ง แล้วจึงเหลือบมองวาโยที่กำลังพูดคุยกับการินพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นชายหนุ่มจึงถอนหายใจขึ้นแผ่วเบา แล้วหันไปสนใจทำความสะอาดในส่วนของตนต่อ ทว่าเขากลับรู้สึกถึงความหงุดหงิดซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างประหลาด ที่เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร

   

    พอถึงเวลาเปิดร้าน วาโยก็ต้องพบกับความปลาบปลื้มตื้นตันใจ เมื่อมีลูกค้าขาประจำหลายคนถามไถ่ทักทายถึงอาการป่วยของเขา เพราะต่างทราบจากเพื่อนของเขาที่ชี้แจงเรื่องที่เขาหยุดไปให้ฟัง

    “ไข้ผมหายแล้วล่ะครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”

    วาโยบอกกับสาวออฟฟิศกลุ่มหนึ่งที่มากินอาหารในร้านตอนพักเที่ยง และสามคนในกลุ่มนั้นก็เป็นลูกค้ากลุ่มแรกของร้านที่วาโยเคยต้อนรับนั่นเอง พวกเธอพูดคุยกับชายหนุ่มอย่างสนิทสนมยิ่งกว่าเดิม ซึ่งวาโยเองก็ไม่ได้ถือสา แถมดีใจที่พวกเธอเริ่มคุ้นชินกับเขาด้วยซ้ำ

    “พอไม่เห็นรอยยิ้มของน้องโยแล้ว รู้สึกว่าร้านขาดอะไรไปอย่างเลยล่ะจ้ะ”

    หญิงสาวคนหนึ่งบอกพลางยิ้มหวาน ซึ่งวาโยก็ยิ้มตอบแล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย

    “แต่ก็ดีไปอย่างนะ ที่มาป่วยเอาวันธรรมดา ถ้ามาป่วยวันเสาร์ล่ะก็ ฉันคงเสียดายแย่...”

    “นั่นสิ อุตส่าห์ได้รับบทเด่นขนาดนั้นทั้งที จะให้คนอื่นแทนก็คงไม่เหมาะล่ะเนอะ!”

    อีกคนเสริมตามมาแล้วซุบซิบพลางหัวเราะคิกคัก แต่วาโยนั้นกลับทำหน้าเหรอหราอย่างแปลกใจ ทำให้สาว ๆ นึกขึ้นมาได้

    “อุ๊ยตายแล้ว! ความลับนี่นา เกือบลืมตัวพูดไปแน่ะ!”

    หญิงสาวคนหนึ่งรีบบอก ทำให้เพื่อน ๆ ต่างพากันหุบปากเงียบและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตาม ๆ กัน

    “เอ่อ ...พวกคุณรู้อะไรกันมาหรือครับ...หรือว่าเกี่ยวกับธีมวันเสาร์นี้”

    วาโยถามอย่างแปลกใจ เท่าที่สังเกตดูเพื่อน ๆ ของเขาแต่ละคนก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องการคอสเพลย์ในวันเสาร์เลยสักคน เพราะอย่างเสาร์ที่ผ่านมาปวีร์ก็มาบอกพวกเขาในเช้าวันนั้นเลย โดยไม่ได้ให้พวกเขาเตรียมใจหรือรู้ล่วงหน้าสักนิด

    “ความลับระหว่างลูกค้าวีไอพีกับเจ้าของร้านจ้ะ  ขืนเรื่องปูดออกไป พวกเราจะโดนลบแต้มสะสมน่ะ เพราะฉะนั้นบอกไม่ได้หรอกจ้ะ”

    หนึ่งในนั้นบอกพร้อมยิ้มหวานติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาวาโยเผลอขมวดคิ้วยุ่งอย่างลืมตัว ยิ่งทำให้สาว ๆ รู้สึกเอ็นดูและอยากแกล้งเข้าไปใหญ่

    “เดี๋ยววันจริงก็รู้เองล่ะจ้ะน้องโย  ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองว่าเหมาะกับน้องโยแน่ ๆ”

    พวกพี่สาวออฟฟิศพากันสุมไฟแล้วหัวเราะคิกคัก ทำเอาวาโยเริ่มปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไข้กลับ แต่เพราะความเครียดที่ไม่รู้ว่าตนต้องพบเจออะไรในวันเสาร์นี้ แถมดูจากปฏิกิริยาของสาว ๆ กลุ่มนั้นแล้ว เขาพนันได้เลยว่า ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่นอน





… TBC …
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 10-08-2012 13:43:34
^-^ อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจังเลย อยากรู้จริงๆว่าคราวนี้จะเป็นอะไร
ตอนหน้าคนใหม่เข้ามาแล้วซินะ จะเป็นคนยังไงกันน๊า น่าสนุกจริงๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 10-08-2012 13:45:16
 o13 :z13:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-08-2012 14:01:43
โยเป็นที่นิยมจริงๆ ก็คนมันน่ารักหนิเนอะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 10-08-2012 14:17:19
555+ อยากรู้ว่าวันเสาร์ที่จะถึงเป็นธีมไรจัง

มีความรู้สึกว่าวินไม่เหมาะกับโยอ่ะ

เชียร์ภูริกับโยมากกว่า ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-08-2012 15:39:41
อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจัง อ่านแล้วยิ้มได้ตลอดเลยครับ มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 10-08-2012 15:50:26
อยากให้ถึงวันเสาร์ เร็วๆๆๆๆ *0*

อั๊ย ภูริเริ่มแล้วใช่มะ ใช่มะ

กรี๊ดๆๆๆ เอฟซีภูริ 55555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-08-2012 16:47:44
ธีมวันเสาร์เหรอ  อืมม  กระต่ายน้อยน่ารักกับธีมสัตว์เลี้ยงแสนรักหรือเปล่านะ  คริ คริ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 10-08-2012 18:21:11
อยากเห็นธีมวันเสาร์จังเลย โยต้องน่ารักแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-08-2012 18:39:47
แต่ละคนคงอยากให้เจ้าหญิงวาโยชดใช้อะไรให้แบบแปลกๆ :o8: 
ตอนหน้าจะมีหนุ่มๆมาใหม่อีกใช่มะ งั้นเรายังไม่ตัดสินใจว่าจะเชียร์ใครดีกว่าเนอะ :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-08-2012 21:04:28
ขอเชียร์ภูริอย่างออกนอกหน้าได้ไหมเนี่ย?

และโยเอ๋ย...ทำใจได้เลย วันเสาร์เหล่าลูกค้าฟินแน่...ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 18 อัพเดท 10/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 11-08-2012 15:56:34
รู้สึกสงสารน้องโยนิดๆ แต่เค้าก็ชอบอ่า

เชียร์ภูริ สุดใจเลยยย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 12-08-2012 15:00:03


มาแล้วจ้า  ตอนนี้แถมให้ยาวหน่อย อ่านกันให้จุใจไปเลยค่ะ  นอกจากเฉลยธีมของเสาร์นี้แล้ว ยังมีหนุ่มหน้าใหม่มาขอฝากตัวฝากใจกับนักอ่านอีกคนด้วยค่ะ ^^   :L2:

   

Miracle Café / 19



    “โยจ๋า พวกเราแวะมารับแล้วจ้า”

   เสียงหวาน ๆ ที่แอบแฝงมาด้วยความสนุกของสองสาวที่ปรากฏตัวมาตั้งแต่เช้าตรู่ในเช้าวันเสาร์ พร้อมกับปวีร์ที่ยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นหน้าเขา และราเมศที่ยืนตีสีหน้าเอือมระอาคนข้างกาย

   “จะพาผมไปไหนกันครับ...”

   วาโยถามอย่างหวาดระแวง เพราะเขาถูกเรียกลงมาจากห้องตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้าด้วยซ้ำ

   “ก็เหมือนเดิมไงจ๊ะ แต่งหน้า ทำผม ลองชุด และก็ทำโน่นทำนี่อีกเยอะแยะ ...ที่สำคัญอยากเห็นหนุ่ม ๆ ทำหน้าตะลึงกันอีกรอบด้วย”

   ขวัญแก้วบอกพร้อมหัวเราะคิกคัก ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่แถวนั้นพากันตีสีหน้าทะแม่งไปตาม ๆ กัน

   “ขอแต่งที่นี่พร้อมทุกคนไม่ได้หรือครับ...”

   วาโยบอกเสียงอ่อย ลองแบบนี้แสดงว่าเขาก็คงไม่แคล้วต้องแต่งหญิงอีกวันเป็นแน่

   “เอ๋...เอาไงดีล่ะวี”

   ขวัญแก้วหันมาถามปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อย ๆ

   “ตามใจเขาเถอะ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เต็มใจแต่งหญิงให้เราโดยไม่คิดขัดขืนแล้วนี่”

   “เพราะโดนบังคับต่างหากล่ะครับ ไม่ใช่เต็มใจทำเอง”

   วาโยแย้งแก้ประโยคของอีกฝ่าย ทำให้ปวีร์อมยิ้ม

   “หึ ๆ ไม่เป็นไร แค่ตอนทำงานแล้วยังยิ้มแย้มเหมือนปกติก็ใช้ได้แล้ว”

   วาโยลอบถอนหายใจกับคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นชานนจึงชักชวนให้ขวัญแก้วกับขวัญตาทานข้าวเช้าด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปจับหนุ่ม ๆ แต่งตัวทีหลัง และเพราะมีขวัญตามาเป็นผู้ช่วยเสริมอีกคน อาหารเช้าวันนี้จึงมีของหวานเสริมมาด้วย  ทำให้หนุ่ม ๆ อิ่มหนำสำราญเอร็ดอร่อยไปตาม ๆ กัน และบางคนกำลังจะขอเติมถ้าไม่ถูกปวีร์ติงไว้ก่อน

   “...ฉันตัดชุดมาพอดีไซส์พวกเธอของอาทิตย์ก่อนนะ ถ้าใครใส่ไม่ได้ นั่นคงไม่ใช่ความผิดของฉันแล้วล่ะ”

   และนั่นทำให้คนเตรียมจะเติมกลืนน้ำลายลงคอ บางคนก็ลอบถอนหายใจ ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปบอกกับปวีร์

   “คงยังไม่เปลี่ยนไซส์กันไวขนาดนั้นหรอกครับคุณปวีร์  เพราะถึงจะกินกันเยอะแต่ก็ทำงานหนักเผาผลาญกันไปเยอะเหมือนกัน”

   ปวีร์หัวเราะเบา ๆ เขาไม่ได้แย้งขัดคำพูดของชานน แต่หันไปบอกกับพนักงานของเขาแทน

   “ถึงจุดขายของพวกเธอจะเป็นหน้าตาก็จริง แต่รูปร่างเองก็สำคัญไม่แพ้กัน... ถ้าใครน้ำหนักขึ้นจนไซส์เปลี่ยนไปในทางที่แย่แล้วล่ะก็...”

   ปวีร์เว้นคำพูดของเขา ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ แล้วเอ่ยตามมา

   “...ฉันจะให้คน ๆ นั้นแต่งหญิงเป็นเพื่อนกับโยในธีมเสาร์นั้น ๆ เป็นการลงโทษแทน”

   คำพูดของปวีร์ทำให้แต่ละคนแทบจะวางช้อนเลิกกินไปเลยเดี๋ยวนั้น จนขวัญตาต้องโวยวายเบา ๆ

   “พี่วีล่ะก็! อย่างนี้ขนมของตาก็เหลือกันพอดีสิคะ”

   “ตาก็เก็บแช่เย็นไว้กินกลางวันแทนสิ ไม่ต้องห่วงหรอก พอทำงานเหนื่อย ๆ ก็ซัดกันหมดเองนั่นล่ะ”

   ปวีร์บอกทำให้คนฟังพยักหน้ายอมรับ ส่วนหนุ่ม ๆ กลืนน้ำลายลงคอ และคิดว่าต่อไปนี้คงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายกันบ้างแล้ว เพราะฝีมือของชานนนั้นทำให้พวกเขาเผลอกินกันเกินลิมิตประจำ แถมชานนยังขยันทำเผื่อและคอยเติมให้เสมออีกด้วย

   “แต่ก็ไม่ได้หมายความให้อดจนผอมโซหรอกนะ ...ถ้าผอมกว่าเดิม จนหน้าซูบ ผิวเสีย แบบนั้นก็ต้องโดนลงโทษเหมือนกัน”

   ประโยคที่เสริมมาของปวีร์ทำให้แต่ละคนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะนั่นเท่ากับพวกเขาจะต้องควบคุมน้ำหนักให้พอดี ซึ่งมันก็ยากยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวทีเดียว

   “งั้นผมจะทำเมนูเพื่อสุขภาพช่วยให้แล้วกันนะครับ”

   ชานนบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน และนั่นก็ทำให้หลายคนยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างโล่งอก

   “เอาล่ะ ...อย่ามัวแต่คุยกันเลย ไปลองชุดกันดีกว่า เกิดต้องแก้ไขไซส์อะไรยังไงจะได้มีเวลาทัน”

   ปวีร์ตัดบท และไม่นานนักราเมศก็หอบชุดของแต่ละคนจากในรถของเขามาให้ ซึ่งแต่ละชุดบรรจุในถุงผ้าและแปะชื่อเจ้าของมาเรียบร้อย ยื่นส่งให้แต่ละรายที่รับมาแกะดูด้วยใจระทึก



   “อาวี! นี่มันอะไรกันน่ะ!”

   การินหันไปโพล่งใส่ผู้เป็นอาอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่ใส่มากับชุดด้วย

   “ก็ที่คาดผมรูปหูหนูไงล่ะ น่ารักดีไหม”

   ปวีร์บอกแล้วยิ้มกว้าง เล่นเอาวาโยที่เห็นชุดตัวเองเงียบกริบ และคิดว่ามันค่อนข้างดูธรรมดาเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่หยิบอุปกรณ์เสริมการแต่งกายขึ้นมาดูแล้วทำตาปริบ ๆ ไปตามกัน

   “น่ารักบ้าสิ! ทำไมต้องมีของพรรค์นี้ด้วยเล่า!”

   การินยังโวยอีก แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่ออาของเขายกมือห้ามให้เขาหยุดโวยแล้วชี้แจงตามมา

   “ก็เพราะมันเป็นส่วนสำคัญของธีมในวันนี้ยังไงล่ะ เห็นแค่นี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือไง”

   การินขมวดคิ้วยุ่ง เขามองไปที่เพื่อน ๆ ก็เห็นกวินกำลังจ้องที่คาดผมหูกระต่ายสีขาวในมือด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ส่วนภูริก็มีหมวกทรงสูงแปลก ๆ ประดับพู่ขนนกและดอกกุหลาบสวยงาม และรุจหยิบสูทสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ

   “ไหนลองโชว์ชุดของเธอให้พวกนี้ดูซิโย”

   ปวีร์หันมาบอกกับวาโย เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอ แล้วหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าที่มีระบายลูกไม้ขาวที่แขนเสื้อและริมชายกระโปรงแถมยังมีผ้ากันเปื้อนสีขาวอันใหญ่ไว้สวมทับชุดนั้นอีกชั้นด้วย

   “อลิซในแดนมหัศจรรย์หรือครับ?”

   รุจเปรยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ปวีร์หันกลับมายิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ

   “ใช่แล้ว  วาโยเป็นอลิซ   กวินเป็นไวท์แรบบิท  ภูริเป็นแมดแฮทเทอร์   รินเป็นดอร์เมาส์  ส่วนรุจก็เป็นแอ๊บโซเลมไงล่ะ... ฉันเลือกตามคาแรคเตอร์พวกนายเลยนะเนี่ย”

   คนอื่นสบตากันปริบ ๆ มีบางคนลอบถอนหายใจ และบางคนก็พอรับได้ แต่ก็มีที่ยังรับไม่ได้อยู่เช่นกัน

   “ถึงจะใช้ธีมอลิซ แต่ไม่จำเป็นต้องสวมหูบ้า ๆ นี่ด้วยสักหน่อย”

   การินยังคงเถียงต่อ ทว่าคราวนี้ปวีร์ยักไหล่นิด ๆ แล้วตอบไปด้วยสีหน้าเฉยชา

   “งั้นรินจะเปลี่ยนกับโยแทนหรือเปล่าล่ะ”

   การินฟังแล้วก็เงียบกริบ เขาเหลือบมองชุดกระโปรงฟูฟ่องระบายลูกไม้ของวาโยแถมในถุงยังมีที่คาดผมเป็นโบอันใหญ่สีเดียวกับชุด แล้วจึงมองที่คาดผมรูปหูหนูในมือตัวเอง

   “ฮึ! แต่งก็แต่งสิ ก็แค่หูปลอม ๆ”

   การินบอกแล้วค้อนขวับ ปวีร์เห็นดังนั้นจึงยิ้มออก ส่วนวาโยมองเพื่อนของเขาด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ

   “คิดว่าคงพอจะรู้จักคาแรกเตอร์ตัวละครกันมาบ้างแล้วสินะ แต่ก็นั่นล่ะไม่จำเป็นต้องเลียนแบบให้เหมือนหรอก แค่เป็นตัวของพวกเธอเอง แล้วก็ใช้คาแรกเตอร์ของตัวละครในนิทานที่พวกเธอสวมบทบาท แสดงให้ลูกค้าเห็นบ้างก็พอ”

   ทุกคนพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้น ก่อนจะแยกย้ายไปลองชุดที่ห้องส่วนตัวของตน ทว่าสำหรับวาโยนั้นพิเศษกว่าใคร เพราะเขามีผู้ช่วยเป็นสองสาวคอยช่วยแต่งตัวและแต่งหน้า จนกลายมาเป็นอลิซผู้น่ารักไม่แพ้นิทานในที่สุด

   

   พวกหนุ่ม ๆ ที่แต่งกายในชุดของตนเองเสร็จเรียบร้อย และมารวมกันอยู่ที่ห้องอาหารชั้นล่าง ต่างพากันตกตะลึงเมื่อวาโยในร่างของหญิงสาวปรากฏกายขึ้นและถูกจับแปลงโฉมจนดูผิดตาไปราวกับเป็นคนละคน

    สาวน้อยตรงหน้ามีผมบลอนด์หยักศกยาวสลวยถึงกลางหลัง ประดับโบคาดผมอันใหญ่สีฟ้า ซึ่งเป็นสีเดียวกับชุดกระโปรงฟูฟ่องยาวถึงหัวเข่า มีผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนยาวพอดีกระโปรงสวมทับและผูกด้านหลังเป็นโบใหญ่  สวมถุงน่องลายขวางฟ้าสลับขาว และรองเท้าส้นเตี้ยมีสายรัดสีแดงเข้ม

   สำหรับวาโยเองก็ตกตะลึงไม่แพ้เพื่อน ๆ ของเขา เพราะแต่ละคนนั้นแต่งออกมาได้เท่และน่ารักราวกับหลุดออกมาจากนิทานกันเลยทีเดียว

   เริ่มตั้งแต่กวินในชุดไวท์แรบบิท กระต่ายขาวผู้เร่งรีบและโวยวายอยู่เสมอ ชายหนุ่มสวมเสื้อสูทสีขาวทั้งชุดซึ่งออกแบบมาหรูหรา ตัวเสื้อสูทจะตัดเย็บริมขอบด้วยสีน้ำตาลทอง ปลายแขนเสื้อมีกระดุมติดและมีระบายลูกไม้ด้านใน ส่วนที่ลำคอมีเชือกผ้าไหมสีน้ำตาลผูกเป็นทรงโบเอาไว้แทนเนคไท  ทว่าอุปกรณ์เสริมที่ชวนให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับดูน่ารักผิดแปลกไปก็คือหูกระต่ายยาวสีขาวซึ่งถูกออกแบบมาในลักษณะที่คาดผม นอกจากนั้นก็ยังมีนาฬิกาพกสีทองห้อยคอประดับไว้อีกด้วย

   สำหรับการินในคาแรกเตอร์ของดอร์เมาส์ หรือเจ้าหนูน้อยที่มักจะชอบง่วงหลับอยู่เสมอ ทว่าดอร์เมาส์ในแบบฉบับของชายหนุ่มหน้าสวยกลับดูน่ารักผิดแผกแปลกไป เริ่มจากชุดสูทสีส้มสดใสลายสก็อต ที่สวมทับเชิ้ตสีขาวด้านใน และมีเนคไทสั้นแบบสำเร็จรูปสีดำผูกกับคอเสื้อ  กางเกงสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับสีหูหนูซึ่งเป็นที่คาดผม ดูแล้วยิ่งเสริมให้ใบหน้าสวย ๆ นั้นเด่นขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

   ภูริเองก็สร้างความตกตะลึงให้วาโยไม่แพ้คนอื่น ชายหนุ่มในบทของ แมด แฮทเทอร์ ที่บุคลิกในนิทานออกจะเป็นคนแปลก ๆ เสียสักหน่อย  ชุดที่สวมถึงจะเป็นสูทดำแทบทั้งชุด แต่ภูรินั้นกลับแต่งแล้วออกมาได้อย่างดูดีลงตัว ถึงแม้จะสวมหมวกดำทรงสูงซึ่งประดับด้วยพู่ขนนกและกุหลาบขาวบนนั้นด้วยก็ตาม ถ้าจะเปรียบแล้วชายหนุ่มดูเหมือนกับพวกพระเอกแนวมาเฟียในภาพยนตร์หรือละครเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป

   ส่วนรุจเองนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าคนอื่น เขารับบทคาแรกเตอร์ของแอ๊บโซเลม หนอนผีเสื้อสีน้ำเงินผู้รอบรู้  แม้เสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มเป็นมันวาบจะดูแปลกสะดุดตาไปสักหน่อย แต่เมื่อมันมาประดับอยู่บนร่างของชายหนุ่มก็กลับทำให้ดูดีขึ้นมาได้ ด้านในสูทเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว มีหูกระต่ายสีน้ำเงินผูกอยู่ตรงคอเสื้อ กางเกงเป็นสีเดียวกับสีเสื้อสูท แต่แว่นตากรอบดำที่เคยใส่ วันนี้กลายเป็นแว่นทรงรีไร้กรอบ ที่มีคานแว่นและขาแว่นเป็นสีทอง ตรงขาแว่นยังร้อยเป็นสร้อยคล้องกับคอ ด้วยความเรียวของเลนส์แว่น ทำให้ชายหนุ่มดูหล่อเหลาอีกทั้งยังดูดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว



   “ออกมาดูดีกว่าที่คิดไว้อีกนะวี”

   ขวัญแก้วที่ลงมาพร้อมกับวาโยหันไปบอกกับเพื่อนชายของเธอ ซึ่งปวีร์เองก็พยักหน้ารับรู้อย่างพึงพอใจ

   “ใช่! ดีกว่าที่คิดไว้อีก ...อย่างนี้คงต้องขอถ่ายรูปแบบรวมกลุ่มเก็บไว้เป็นที่ระลึกดูสักรูปแล้วล่ะ”

   พอปวีร์พูดจบขวัญตาก็แย้งขึ้นมาอย่างนึกได้

   “แต่ยังขาดไปอีกคนไม่ใช่หรือคะพี่วี”

   ปวีร์ชะงักแล้วจึงทุบมือเบา ๆ

   “อา...จริงสิ ขาดตัวละครสำคัญไปอีกคนนึงนี่นะ ...เมื่อวานแวะเอาชุดไปให้ เห็นชอบอกชอบใจใหญ่เลย และบอกฉันว่าจะใส่มาจากที่พักเลยด้วยซ้ำนะนั่น”

   พนักงานคนอื่นพากันเงียบกริบ ไม่คิดว่าจะมีคนชื่นชอบในไอเดียของปวีร์จนกล้าใส่ชุดพวกนี้ต่อหน้าสาธารณชนได้โดยไม่มีความอายอย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้

   “ฟังจากที่วีเล่าแล้วอยากเห็นตัวจริงเร็ว ๆ จังเลยนะ”

   ขวัญแก้วเอ่ยขึ้นบ้างพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ เช่นเดียวกับขวัญตา

   “รับรองว่าพวกเธอจะต้องประทับใจแน่ ...ถึงจะมีนิสัยเสียในบางเรื่องไปนิด แต่คนนี้ค่อนข้างเป็นมืออาชีพในตอนทำงานอยู่พอสมควรเหมือนกัน เรียกง่าย ๆ ก็คือรู้จักกาลเทศะเฉพาะในเวลางานดีล่ะนะ”

   คำพูดของปวีร์ทำให้คนฟังบางคนขมวดคิ้วยุ่ง พลางอยากจะย้อนถามกลับไปว่า แล้วถ้าเป็นนอกเวลางานล่ะ คนที่ว่านั้นจะเป็นคนแบบไหนกันแน่



   จากนั้นสักพัก สมาชิกทุกคนของมิราเคิลคาเฟ่จึงทยอยกันเดินทางไปจัดเตรียมร้านค้า และพอมาถึง พวกเขาก็ต้องพบกับความตกตะลึงซ้ำสอง เมื่อด้านหน้าร้านถูกเนรมิตให้กลายเป็นคาเฟ่กลางแจ้งที่มีหลังคาเป็นกระจกใส และมีไม้ระแนงสีขาวซึ่งประดับด้วยไม้เลื้อยตกแต่งเป็นกำแพงกั้นโดยรอบยกเว้นตรงส่วนทางเข้า ด้านนอกมีต้นไม้ใหญ่ซึ่งถูกนำมาลงปลูกแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา และมีน้ำตกจำลองและลำธารเล็ก ๆ เพิ่มความสบายตาและความเย็นฉ่ำยามที่ลมพัดผ่านเข้ามาในตัวคาเฟ่อีกด้วย

   “สุดยอด! ขนาดทำเฉพาะตอนกลางคืนแท้ ๆ”

   วาโยพึมพำกับตัวเองอย่างตกตะลึง บริเวณด้านหน้าร้านที่ปรับปรุงใหม่มีชุดโต๊ะกาแฟกลมกะทัดรัด ซึ่งจัดไว้อย่างสบาย ๆ ไม่เบียดเสียด และรับรองลูกค้าได้เกือบยี่สิบคนเลยทีเดียว

   “ถ้าเป็นช่วงวันที่ไม่ค่อยมีแดดจัด หรือตอนเย็น ๆ ก็อาจจะมีลูกค้าสนใจมานั่งเล่นได้อยู่ เพราะข้างนอกจะอาศัยลมธรรมชาติเสียส่วนใหญ่ แต่ก็นั่นล่ะ ฉันให้เขาติดตั้งพัดลมไอน้ำเสริมด้วย ก็ช่วยได้เยอะอยู่ล่ะนะ”

   พอได้ยินปวีร์บอก แต่ละคนก็มองหาพัดลมตัวที่ว่า แล้วก็พบมันถูกตั้งอยู่มุมหนึ่งหลังรั้วระแนงไม้ และดูกลืนไปกับรั้วจนแทบมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

   “จริง ๆ จะทำล้อมเป็นเรือนกระจกแล้วติดแอร์ก็ได้ แต่มันก็จะไม่ได้บรรยากาศแบบเอาท์ดอร์แทนจริงไหมล่ะ”

   ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งบางคนก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ มีเพียงราเมศที่ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา เพราะอีกฝ่ายบทอยากจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรก็มักจะลงมือตัดสินใจโดยไม่ค่อยสนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลยสักนิดเดียว ขอให้ถูกใจเจ้าตัวไว้ก่อนเป็นพอ

   “เดี๋ยวทุกคนก็จัดเตรียมทำความสะอาดร้านให้เรียบร้อย  ส่วนพนักงานพาร์ทไทม์ของเรา ถึงจะเริ่มงานเที่ยงก็จริง แต่วันนี้เห็นว่าจะมาไวหน่อยเพราะอยากทักทายทำความรู้จักคุ้นเคยกับพวกนายแต่ละคนไว้เนิ่น ๆ น่ะ...”

   ปวีร์ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่แล่นเข้ามา วาโยมองคนที่ลงมาจากมอเตอร์ไซค์ฮาเลย์คันนั้นอย่างนึกทึ่ง เพราะคนไทยน้อยคนจะขับรถประเภทนี้ได้ดูดีชวนมองเช่นนี้ แต่พอเจ้าตัวถอดหมวกกันน็อกออก วาโยก็แทบจะตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นหูสีชมพูบานเย็นสดคาดไว้บนศีรษะของอีกฝ่าย

   “อ้าว...นั่นไง มาแล้ว แต่งมาจริง ๆ เสียด้วยสิ”

   ปวีร์หันไปมองร่างที่กำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างนึกขำ ไม่เสียแรงที่รับอีกฝ่ายมาทำงานด้วยกันแบบนี้  ส่วนคนอื่น ๆ มองร่างสูงเพรียวได้สัดส่วนราวกับนายแบบของอีกฝ่ายอย่างนึกอึ้ง  คนตรงหน้านั้นสูงพอ ๆ กับภูริ เจ้าตัวไว้ผมยาวสลวยถึงกลางหลังเหมือนปวีร์  ทว่าสำหรับปวีร์นั้นไว้ผมยาวแล้วดูค่อนข้างไปทางสวย แต่คนผู้นี้กลับดูหล่อเหลาผิดแผกออกไป โดยเฉพาะผิวสีแทนเข้มแบบชายไทย ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูแมนสมชายมากไปอีก

   นอกจากหูแมวสีชมพูบานเย็นสะดุดตานั่นแล้ว อีกฝ่ายก็แต่งชุดเหมือนพนักงานเสิร์ฟทั่วไป ทว่าเสื้อเชิ้ตด้านในแทนที่จะเป็นสีขาว กลับเป็นเสื้อยืดลายขวางชมพูอ่อนสลับสีชมพูบานเย็นแทน ส่วนบริเวณคอก็มีผ้าคลุมขนสัตว์สีชมพู คล้องเอาไว้

   “สวัสดีครับรุ่นพี่ทุกคน ยินดีที่รู้จักนะครับ”

   เจ้าตัวยกมือเอ่ยทักทาย แล้วก็หันมายกยิ้มให้ภูริ ที่จ้องอีกฝ่ายเขม็งนับตั้งแต่เห็นเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้เขาแล้ว

   “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้!”

   “ก็คุณปวีร์เขาชวนมาน่ะสิ  ฉันเองก็อยากจะลาออกมาทำฟูลไทม์เต็มเวลาอย่างนายหรอกนะภูริ แต่ขืนทำแบบนั้นฉันต้องโดนลุงไล่ออกจากบ้าน กลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่”

   เจ้าตัวบอกพลางยักไหล่ แล้วละสายตาจากภูริไปมองคนอื่น ๆ ก่อนจะสะดุดตาที่การินกับวาโยเป็นพิเศษ

   “อ้าว... มีเด็กผู้หญิงด้วยหรือเนี่ย ตั้งสองคนแน่ะ ไหนคุณปวีร์บอกว่ามีแต่ผู้ชายยังไงล่ะ”

   “ถ้าตาสั้นก็ไปเอาแว่นใส่ซะไป ผู้ชายกับผู้หญิงแยกไม่ออกหรือไง หา!”

   การินสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องรอให้ปวีร์อธิบาย ทำให้คนพูดชะงักหันกลับมาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขอโทษขอโพยยกใหญ่

   “โอ๋! ผู้ชายหรอกหรือ ขอโทษ ๆ เธอ เอ๊ย นายหน้าตาสวยจนฉันเข้าใจผิดน่ะ  ไม่ได้มีเจตนาร้ายดูถูกจริง ๆ นะ”

   การินกัดฟันนิด ๆ แต่ก็ยอมจำใจพยักหน้ารับคำขอโทษอีกฝ่าย แม้จะยังหงุดหงิดอยู่บ้าง ส่วนวาโยหันมามองเพื่อนตาปริบ ๆ ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อชายหนุ่มคนเดิมหันมาทางเขาแทน

   “แล้วเธอล่ะ คงไม่ใช่ผู้ชายอีกคนล่ะนะ”

   คนถามเอ่ยด้วยอารมณ์ขันมากกว่าจะจริงจังกับคำพูดของตน แต่วาโยกลับกลืนน้ำลายลงคอแล้วบอกไปเสียงแผ่ว

   “เอ่อ ผมก็ผู้ชายเหมือนกันครับ”

   “อ้อเหรอ....หา! โกหกน่า!”

   วาโยมองปฏิกิริยาที่แตกต่างกับการินอย่างสิ้นเชิงแล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มตอบเจื่อน ๆ

   “ไม่โกหกหรอกครับ ผมเป็นผู้ชายจริง...”

   ยังไม่ทันวาโยจะพูดจบ มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็แปะหมับที่หน้าอกของเขา วาโยสะดุ้งหน้าแดงแล้วถอยหนีไปด้านหลังอัตโนมัติ ส่วนกวินนั้นสะดุ้งเฮือกไม่แพ้กัน ทว่าชายหนุ่มนั้นก้าวออกมาขวางหน้าอีกฝ่ายแล้วจ้องด้วยแววตาเขม็ง

   “โอ๋ ๆ ขอโทษที ก็แค่อยากพิสูจน์ อีกอย่างผู้ชายด้วยกันก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลยไม่ใช่หรือไง”

   เจ้าตัวบอกพร้อมรอยยิ้มร่าเริง ทำเอากวินแค่นยิ้มกลับ ส่วนวาโยดึงเสื้อเพื่อนยิก ๆ เพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวกันเพราะเขาเป็นสาเหตุ

   “ยังนิสัยเสียไม่เปลี่ยนเลยนะนายน่ะ”

   ภูริบอกตามมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย จนคนได้ยินหันกลับไปมองก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้

   “ใครว่านิสัยเสีย ฉันก็แค่เป็นพวกมือปากตรงกับใจเท่านั้นเอง”

   และก่อนที่จะมีการปะทะคารมกันเกิดขึ้น ปวีร์ก็เข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่ และแนะนำตัวชายผู้มาใหม่ให้ทุกคนรู้จักเสียก่อน

   “เอาล่ะ ๆ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอกันดีแล้ว  ฉันจะแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้วกัน ผู้ชายคนนี้ชื่อ ธีรัช เป็นพนักงานที่จะมาทำพาร์ทไทม์ให้เราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

   “ธีรัชครับ อายุ 23 เป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของภูริเขา ...เนอะ”

   ธีรัชหันไปยักคิ้วให้ภูริ ซึ่งอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่ค่อยสน แต่เจ้าตัวก็ยังคงร่าเริงและไม่ใส่ใจในท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย ราวกับคุ้นชินกันเสียแล้ว

   “เขาเป็นนักร้องนำของคลับที่ภูริเคยทำงานอยู่น่ะ”

   ปวีร์อธิบายเสริมตามมาทำให้คนที่งุนงงกับปฏิกิริยาของทั้งสองพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ

   “ใช่...พอภูริลาออกมา ก็หามือกีตาร์มือดีเรียกลูกค้าสาว ๆ มาแทนยังไม่ได้เลย ...ลุงฉันสิบ่นใหญ่บอกว่าลูกค้าสาว ๆ ลดลงไปเพียบ ...นี่ นายไม่คิดจะกลับมาทำงานที่เดิมกับพวกเราจริง ๆ หรือไง”

   “ไม่ล่ะ ทำอยู่ที่นั่นก็มีแต่คนสนแค่หน้าตาของฉัน ไม่ได้สนเรื่องฝีมือของฉันสักหน่อย”

   ภูริเปรยบอกอีกฝ่าย ในขณะที่คนอื่น ๆ มองทั้งคู่คุยกันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปห้ามแม้กระทั่งปวีร์ ชายหนุ่มเลือกมองดูทั้งคู่สนทนาเรื่อย ๆ โดยยังคงมีรอยยิ้มประดับบนสีหน้าด้วยซ้ำไป

   “แล้วงานที่นี่ไม่เหมือนกันหรือไง นายก็ขายหน้าตาเรียกลูกค้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

   ธีรัชแย้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายยกยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไป

   “ไม่เหมือนสักหน่อย งานพนักงานเสิร์ฟเป็นงานบริการที่ต้องใช้รอยยิ้ม หน้าตา ศิลปะการพูดจาในการทำให้ลูกค้ายอมรับอยู่แล้วต่างหาก  ...แต่ตอนเป็นนักดนตรีมันไม่ใช่แบบนี้ พวกนั้นไม่ได้ฟังที่ฉันเล่นด้วยซ้ำ ขนาดฉันแกล้งดีดผิด ๆ เพี้ยน ๆ ก็ยังตามมากรี๊ด ๆ กันอยู่ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันสู้มาทำงานแบบที่ต้องขายหน้าตาโดยตรงแทนไม่ดีกว่าหรือไง”

   ธีรัชเงียบกริบ เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่เพราะแฟนคลับของภูริเท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มเบื่อ กับเพื่อนร่วมวงคนอื่น ๆ ก็ล้วนอิจฉาชายหนุ่ม และแอบนินทาลับหลังภูริว่าแค่หน้าตาดีต่อให้ดีดมั่ว ๆ ส่ง ๆ ก็ไปรอดแล้วด้วยซ้ำ

   “เฮ้อ...งั้นก็ตามใจ ลุงฉันเองก็เสียดายที่นายลาออก แต่ถ้านายอยากกลับมาก็ได้เสมอนะ  ส่วนพวกนั้นที่นินทานาย ...ฉันยุให้ลุงไล่ออกไปแล้วล่ะ”

   ธีรัชบอกแล้วยิ้มกว้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเสียงฮึในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก

   “ธุระไม่ใช่สักนิด”

   “น่า ๆ ฉันเองก็รำคาญพวกดีแต่ปากพวกนั้นเหมือนกัน ก็เลยบอกลุงว่าถ้าจะเก็บพวกนั้นไว้ก็ให้หานักร้องคนใหม่แทน แล้วนายคิดว่าลุงฉันจะเลือกใครล่ะ”

   ภูริมองคนตรงหน้านิ่ง แม้ธีรัชจะชอบเซ้าซี้ทำตัวน่ารำคาญ แต่ก็เป็นคนปากตรงกับใจจนบางครั้งกลายเป็นขวานผ่าซากแทนด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นล่ะ เขาก็ยอมรับชายหนุ่มในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะอีกฝ่ายก็จัดว่าเป็นคนนิสัยดีพอตัว ถ้าจะไม่นับเรื่องนิสัยเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอีกฝ่ายล่ะนะ

   “ว่าแต่ฉันก็พอเข้าใจแล้วล่ะนะว่าทำไมนายถึงเลือกทำงานที่นี่  ก็แหมมีแต่คนหน้าตาดี ๆ แวดล้อมให้เจริญหูเจริญตาแบบนี้นี่เองเล่า  เจ้าของร้านก็สวย เพื่อนร่วมงานก็น่ารัก”

   ธีรัชบอกแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยักคิ้วให้วาโยซึ่งก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบอีกฝ่าย

   “ที่พูดมานั่นผู้ชายทั้งนั้นเลยนะ”

   ภูริเปรยเบา ๆ แต่คนฟังยักไหล่นิด ๆ

   “ผู้ชายแล้วไง ขอให้ถูกใจก็เป็นพอแล้ว”

   เจ้าตัวประกาศเจตนารมณ์อย่างไม่แคร์ใคร ทำเอาคนฟังบางคนขยับกายถอยหนีอย่างลืมตัวเลยทีเดียว

   “คิดว่าคงพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อยแล้วนะ  เอาเป็นว่าเดี๋ยวภูริช่วยพาเพื่อนของเธอไปแนะนำตัวกับพวกที่บาร์และในครัวด้วยแล้วกัน แล้วก็สอนเรื่องงานให้เขาด้วยเลยนะ ฝากด้วยล่ะ”

   ภูริรับฟังคำสั่งของปวีร์ตาปริบ ๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างเสียไม่ได้ ส่วนธีรัชหันไปยิ้มแย้มให้กับปวีร์ แล้วโปรยยิ้มหวานเผื่อมาที่วาโยและการิน ซึ่งสองหนุ่มก็มีปฏิกิริยาแตกต่างไป การินนั้นเมินใส่อีกฝ่าย ส่วนวาโยยิ้มแห้ง ๆ ตอบรับ

   “นิสัยแย่ชะมัด ...แบบนี้จะดีหรือครับอา ถ้าไปทำเจ้าชู้ หรือลวนลามลูกค้าเข้าจะไม่แย่หรือไง”

   การินหันไปถามผู้เป็นอาหลังจากที่เห็นภูริพาธีรัชเข้าไปในร้านเรียบร้อย

   “ไม่หรอก อาบอกแล้วไง เขาเป็นคนรู้จักกาลเทศะเวลาทำงานดี โดยเฉพาะกับลูกค้า”

   ปวีร์ยืนยันหนักแน่น ทำให้การินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะลองชายหนุ่มรับรองแบบนี้ แสดงว่าคงสืบประวัติธีรัชมาละเอียดแล้วเป็นแน่

    “แล้วกับพนักงานด้วยกันล่ะครับ”

   กวินถามขึ้นบ้าง ยังคงไม่สบอารมณ์เรื่องที่อีกฝ่ายมาจับหน้าอกของรูมเมทเขาเมื่อครู่อยู่ดี

   “อืม...เรื่องนั้นก็รับปากไม่ได้หรอก  แต่เท่าที่สังเกตก็แค่ถึงเนื้อถึงตัวนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้น  ซึ่งนั่นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันนี่”

   ปวีร์บอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้กวินลอบถอนหายใจเบา ๆ และคิดว่าต่อไปนี้คงต้องคอยดูแลวาโยไม่ให้อยู่ใกล้ธีรัชเกินความจำเป็นเสียแล้ว โชคดีที่อีกฝ่ายเข้ามาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ขืนมาทำงานประจำ เขาคงต้องเครียดหนักกว่านี้

   จากนั้นทั้งหมดก็ต่างแยกย้ายกันรับผิดชอบงาน ทางด้านธีรัชนั้นเข้ากับแต่ละคนในร้านได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีบางคนไม่ค่อยสบอารมณ์เรื่องที่ชายหนุ่มชอบทำเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่คนที่เจ้าตัวเล็งไว้บ้างก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องงานก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะเรียนรู้ได้รวดเร็วและขยันขันแข็งในการทำงานพอสมควร เห็นได้จากพอร้านเปิด ธีรัชก็ทำให้ลูกค้าสาว ๆ ให้ทิปเขาในวันแรกได้แล้ว



... TBC …



ป.ล. ตอนหน้าเดี๋ยวหนุ่ม ๆ ในธีมตัวละครจากอลิซ จะมาขอรับใช้บริการคุณลูกค้าของร้านในแบบฉบับอิมเมจตัวละครที่เจ้าตัวคิดกันนะคะ จะออกมาเยี่ยม หรือ แย่ รอติดตามอ่านได้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 12-08-2012 18:12:32
อ่าาาา เรานึกว่า โยจะกลายเป็นบันนี่ซะอีก

แต่อลิซก็น่ารักก ธีรัชกับการิน อั๊ยยะๆๆๆๆ

555 จิ้นกันต่อไป รอตอนต่อไปจ้า คนแต่ง

เขาชอบมากก ทั้งสนุก แล้วก็น่ารักเลย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 12-08-2012 19:04:20
 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: sarama ที่ 12-08-2012 21:48:50
คาแรกเตอร์ชุดเข้ากับคนใส่
รอพิสูจน์ว่าตอนบริการลูกค้าจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: finray ที่ 12-08-2012 23:52:29
น่าร้ากกกกก   ชอบจังเลย 

นู๋โยน่ารักมาก  อยากอ่านต่อแล้วค่ะ

รอ...... :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 13-08-2012 00:12:34
ธีรัชมือไวใจเร็ว ไม่ต่างจากคาแรกเตอร์ที่เขาได้รับเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 13-08-2012 00:44:12
อ๋าไม่ได้เข้่ามาแปปเดียว อัพไป2ตอนแล้วงื้อออออ

อลิซเหรอ น่ารักนึกภาพน้องโยแต่งชุดอลิซแล้วมันช่าอิอ๊างจริงๆ

มีคู่จิ้นเพิ่มขึ้นแล้วสิ* 0 * การิน เธอช่าง อ๊ายย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 13-08-2012 04:29:22
โยกลายเป็นอลิซไปซะแล้ว >///< น่ารักมากๆ
ธีรัชมือไวสุดๆ มาแปบเดียวจับหน้าอกโยแล้ว (คนอื่นอยู่ตั้งนานยังไม่ได้จับเลย)
ทำไมพอเราอ่านตอนนี้แล้วภูมิเป็นเคะไปเ้ลย ฮุฮุฮุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-08-2012 07:09:13
วาโยเหมาะมากที่จะป็นอลิซ แต่การินเองก็น่าสนใจเหมือนกันนะ :z1:
ธีรัชนี่มือไวมาก เจอหน้ากันไม่ถึงห้านาทีก็มาจับหน้าอกโยแล้วอะ กวินอย่าปล่อยให้คลาดสายตานะ อุ๊บ! ไม่ได้เชียร์กวินนะ ยังรอดูท่าทีทุกคนก่อน :-[
กดบวกแล้วรออ่านตอนต่อไปค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 13-08-2012 14:26:22
อยากเห็นวาโยในชุดของอลิซจังเลย ว่าจะสวยน่ารักขนาดไหน

+1  และให้เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 19 อัพเดท 12/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 14-08-2012 12:31:18
อ่ะ มีอีกหนุ่มมาและ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 14-08-2012 15:25:40


ตอนที่ 20 มาแล้วค่ะ หนุ่ม ๆ เริ่มมาโกยคะแนนโหวตแล้วจ้า ....จะเริ่มแยกคู่แล้วนะคะ ...ตอนนี้กำลังคิดว่าตัวละครใหม่(ที่ไม่ใช่อีตาธีรัชนะ) จะเอามาเป็นมือที่สามให้คู่โย หรือคู่ วีกับเม ดี  (แต่ก็เอียง ๆ ไปทางคู่รุ่นใหญ่เล็กน้อย เพราะเด็ก ๆ หลายคนเขายังไม่รู้ใจตัวเอง เลยกะจะให้รู้ว่ารักกันเสียก่อน แล้วค่อยแย่งชิงกันทีหลัง อิ ๆ)   :L1:




Miracle Café / 20



     “คิดว่าจะไม่มีปัญหาตามมาหรือไง สำหรับรายนี้”

    ราเมศที่สังเกตเห็นกวินและการินซึ่งตั้งแง่กับธีรัชอย่างออกนอกหน้าเปรยถามเพื่อนสนิทของเขา ระหว่างที่พวกเขากำลังรอลูกค้าเข้าร้านอยู่

    “ไม่หรอก ถึงจะปากไวมือไวไปนิด เจ้าชู้ไปหน่อย แต่ก็รับผิดชอบกับงานดีนะ”

    ราเมศขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

    “แล้วรู้ได้ยังไงล่ะ”

    “ก็เคยไปเฝ้าสังเกตมาเป็นอาทิตย์แล้วน่ะสิ ตอนแรกจะชวนมาพร้อมภูรินั่นล่ะ แต่เขามาไม่ได้ เพราะต้องเป็นนักร้องให้คลับของลุงที่มีพระคุณ ตอนนั้นก็เลยเว้นว่างไป พอร้านเราจะหาพนักงานพาร์ทไทม์ฉันเลยลองติดต่อไปใหม่”

    ราเมศพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อปวีร์แกล้งเปรยลอย ๆ ให้เขาได้ยิน

    “ตอนฉันนัดเขามาเจอนอกเวลางานติดต่อเรื่องทำพาร์ทไทม์ จู่ ๆ เขาก็เข้ามาจีบเฉยเลย แถมยังบอกว่าชอบฉันมาตั้งแต่ตอนที่มาชวนครั้งแรกแล้ว ... ขนาดฉันแย้งว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน ก็ยังไม่ถืออีกนะ ฉันก็เลย...”

    ปวีร์เว้นวรรคคำพูด แล้วแสร้งทำเป็นไอเบา ๆ  ก่อนจะนิ่งเฉย จนราเมศทนรอไม่ไหว

    “แล้วนายบอกกับเขาว่าไงต่อ!”

    ราเมศถามกลับไปด้วยน้ำเสียงกังวล ทำให้ปวีร์ลอบยิ้ม แล้วแสร้งดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ

    “อา...แย่จริง เดี๋ยวต้องไปเคลียร์งานด้านบนก่อนแล้ว ไม่งั้นงานสุมพอดี ไปก่อนนะ”

     ราเมศสบถเบา ๆ อยากดึงเพื่อนมาถามให้รู้เรื่องไปเลย ก็กลัวตกเป็นเป้าสายตา อีกอย่างขวัญแก้วที่อยู่ใกล้ ๆ แม้จะทำเป็นเมินจัดของโน่นนี่ในบาร์ แต่เขาแน่ใจว่าเธอตั้งใจฟังการสนทนาทุกคำพูดเป็นแน่

    “แก้ว...ฝากบาร์หน่อยได้ไหม ฉันมีธุระต้องเคลียร์นิดหน่อย”

    ขวัญแก้วหันมามองญาติของเธอ พลางยกยิ้มนิด ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้

    “ตามสบาย ฉันดูแลให้เอง”

    ราเมศเอ่ยขอบคุณเบา ๆ แล้วจ้ำเท้าตามคนที่เดินเลี่ยงไปชั้นสองอย่างร้อนรน จนขวัญแก้วอดยิ้มอย่างนึกขำไม่ได้

    “ไม่เคยคิดแบบนั้น ...คิดแค่เพื่อน ...เมเอ๊ย ถ้าไม่มีคู่แข่งโผล่มาก็คงไม่รู้ใจตัวเองล่ะสิ  ดีนะที่วีรักมั่นคงขนาดนั้น ไม่งั้นป่านนี้อกหักไม่รู้ตัวไปแล้วเมเอ๋ย”

    ขวัญแก้วพึมพำกับตัวเอง แล้วฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทางด้านรุจเหลือบมองหญิงสาว ก่อนจะอมยิ้มนิด ๆ เขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายจ้าง และเท่าที่เห็นทั้งคู่ก็น่าจะไปกันได้ด้วยดีมากกว่า แต่เรื่องความรักของพนักงานร่วมร้านนี่ต่างหาก ที่ดูแล้วช่างยุ่งเหยิงและทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อเลยสักวัน ไม่เสียแรงที่ลงทุนลาออกมาทำงานที่ร้านของปวีร์เลยจริง ๆ

    ‘ชีวิตมันก็ต้องมีสีสันกันบ้าง ต่อให้รวยล้นฟ้า แต่มีชีวิตประจำวันน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ รวยไปมันก็เท่านั้นล่ะนะ!’

    รุจนิ่งคิดในใจ แล้วจึงหันไปโค้งนิด ๆ ให้กับลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่เข้ามาในร้าน เช่นเดียวกับเพื่อน ๆ พนักงานเสิร์ฟของเขา



    บรรดาลูกค้าสาวขาประจำกลุ่มใหญ่ ที่ดูเหมือนจะจงใจนัดรวมตัวกันมากินในวันนี้โดยเฉพาะ พวกเธอแทบจะหลุดปากกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นหนุ่ม ๆ ที่ถูกแปลงโฉมจากนิทานอมตะเรื่องดังเช่นนี้

    “แต่งออกมาได้สมกับที่คุณปวีร์บอกไว้จริง ๆ เท่ ๆ ทุกคนเลยเนอะ”

    “อ๊ะ! แมวเชสเชอร์สุดเท่คนนั้นใครน่ะ เด็กใหม่หรือ!”

    เสียงสาว ๆ ซุบซิบกันค่อนข้างดัง วาโยที่อยู่ใกล้ ๆ เลยเป็นฝ่ายตอบคำถามให้พวกเธอรับทราบ

    “พนักงานพาร์ทไทม์ของร้านครับ จะมาทำงานที่ร้านตั้งแต่ช่วงเที่ยงถึงบ่ายสามครับ”

    พอวาโยบอกจบบรรดาสาว ๆ ก็พากันกรีดร้องเบา ๆ อย่างยินดี และเริ่มลังเลในการใช้สิทธิ์โปรโมชันครั้งนี้เสียแล้ว

    “อลิซครับ แขกโต๊ะหนึ่งเรียกให้เช็คบิลด้วยครับ!”   

     เสียงของธีรัชดังขึ้นอย่างร่าเริง ทำให้คนถูกเรียกว่าอลิซสะดุ้ง ส่วนสาว ๆ พากันกรีดร้องเบา ๆ เมื่อชายหนุ่มหันมายิ้มหวานให้กับพวกเธอ

    “มะ...มาแล้วครับ เอ๊ย ค่ะ!”

    วาโยรีบบอกแล้วเดินตามเสียงเรียกไปจนเกือบจะสะดุดขา แต่ก็ได้ธีรัชคว้าเอวเอาไว้ได้ เจ้าตัวยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกอีกฝ่าย

    “ระวังหน่อยสิครับอลิซ ...เกิดอลิซเป็นอะไรไป แมวเชสเชอร์โดนคนอื่นรุมว่าแน่เลย”

    เจ้าตัวยังคงเล่นละครต่อ แถมยังไม่ยอมปล่อยเอวอีกฝ่าย ส่วนสาว ๆ ก็ซุบซิบหัวเราะคิกคักกันอย่างชอบใจ กวินเห็นธีรัชโอบเอวรูมเมทของเขาไม่ยอมปล่อย จึงกระแอมดัง ๆ เขาถือนาฬิกาพกขึ้นดู ระหว่างที่เดินเข้ามาคว้าร่างวาโยมาโอบไว้แทน

    “ขอโทษนะครับ แต่นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวอลิซจะไปต้อนรับลูกค้าไม่ทัน”

    กวินบอกแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำให้ธีรัชยักไหล่ ก่อนจะยิ้มให้อย่างไม่ถือสา แล้วเดินไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ ส่วนวาโยก็หันมายิ้มขอบคุณกวินเบา ๆ กวินเองก็พยักหน้าแล้วปล่อยร่างอีกฝ่ายไปอย่างนึกเสียดายนิด ๆ

    “ขอโทษครับ เอ๊ย ค่ะ ที่มาช้าไปหน่อย”

    วาโยโค้งขอโทษลูกค้ากลุ่มที่เรียกเขามา อีกฝ่ายยิ้มแล้วเปรยขึ้น

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพียงแต่หมอนี่เขามีอะไรจะให้คุณเท่านั้น”

    ลูกค้ากลุ่มนั้นเป็นผู้ชายที่มาด้วยกันสามคน คนพูดยิ้มแย้มอารมณ์ดี ในขณะที่เพื่อนซึ่งถูกกล่าวถึง ยิ้มส่งให้วาโยอาย ๆ แล้วยื่นกล่องของขวัญกล่องแบน ๆ ใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยส่งให้

    “เอ๋?”

    วาโยมองอย่างงุนงง แต่ก็ยังคงรับมาตามมารยาท

    “ผมไม่รู้ว่าคุณจะชอบไหม แต่ก็ตั้งใจเลือกซื้อให้นะครับ และก็จะดีใจมากเลย ถ้าจะใส่ให้เห็นสักครั้งบ้าง”

    เจ้าตัวบอกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ส่วนเพื่อนอีกสองคนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แต่ก็ช่วยลุ้นให้อีกฝ่ายพูดอย่างที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ

    “ง่า...ขอบคุณมากครับ เอ๊ย...ค่ะ”

    วาโยบอกติด ๆ ขัด ๆ เพราะกำลังตกใจไม่หาย เนื่องจากเพิ่งเคยได้รับ ‘ทิป’ จากลูกค้ากับมือครั้งแรก

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ พูดกับพวกเราตามสบายก็ได้ พวกเราชอบดูคุณแต่งตัวน่ารัก ๆ แบบนี้ก็จริง แต่พวกเราก็ชอบตอนคุณยิ้มมากกว่า”

    ลูกค้าผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้น ซึ่งเพื่อนทั้งสองที่เหลือต่างก็พยักหน้า วาโยจึงรู้สึกผ่อนคลายและยิ้มหวานให้กับลูกค้าของเขาแต่ละคน โดยเป็นรอยยิ้มที่ออกจากใจไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด



    “เดี๋ยวขอใช้สิทธิ์โปรโมชันร่วมถ่ายรูปคู่ของคุณกับหมอนี่สักใบได้ไหมครับ”

    เมื่อวาโยนำใบเสร็จและเงินทอนมาให้โต๊ะของลูกค้ากลุ่มที่เรียกเขาเช็คบิลแล้ว หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขอร้องขึ้น วาโยยิ้มอาย ๆ แต่ก็พยักหน้ารับรู้ ส่วนคนที่ถูกเสนอให้ถ่ายรูปคู่สะดุ้งโหยงแล้วรีบบอกกับเพื่อนของเขา

    “เฮ้ย! ไหนบอกจะถ่ายรูปรวมกลุ่มยังไงล่ะ แล้วกลายมาเป็นฉันคนเดียวได้ยังไง”

    “อะไร ไม่สะดวกใจหรือไง หรือรังเกียจที่จะถ่ายกับคุณวาโยเขาสองต่อสอง หือ”

    เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยแซว ทำให้คนที่ถูกทักสะดุ้งเฮือก พอหันไปมองวาโยที่หน้าสลดลง ก็ต้องรีบแก้ตัวทันที

    “เปล่านะครับ ผมไม่ได้รังเกียจอะไร ก็แค่เขินเท่านั้น!”

    พอบอกจบ เจ้าตัวก็หน้าแดงก่ำ ทำให้เพื่อนอีกสองคนแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ทันเลยทีเดียว

    “เอาน่า ฉันมีใบเสร็จคราวที่แล้วเก็บไว้ ยังไม่ได้แลกเลย  เดี๋ยวพวกเราถ่ายรูปหมู่รูปหนึ่ง แล้วก็รูปคู่ของนายอีกรูปแล้วกัน”

    เมื่อตกลงกันแล้ว วาโยก็ตามลูกค้ากลุ่มนั้นไปถ่ายรูป โดยรุจนั้นรับหน้าที่แทนขวัญแก้วซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับบาร์ เพราะราเมศยังคงไม่ลงมาจากชั้นสอง

    “ถ่ายที่ด้านนอกก็ดีนะ วิวสวยดี”

    ผู้ชายกลุ่มนั้นเสนอ และเดินไปถ่ายรูปกับวาโย โดยมีกวินที่กำลังรับออเดอร์ลูกค้าเหม่อมองไปอย่างนึกอิจฉา แต่ก็ต้องสลัดความคิดนั้น แล้วหันมาให้ความสนใจกับงานของตนต่อ เมื่อภูริที่เดินผ่านด้านหลังเขากระแอมเบา ๆ เตือน

    “ฮึ...เสน่ห์แรงจริงนะ”

    ภูริพึมพำกับตัวเองแทบไม่พ้นลำคอ นึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งตอนหันไปเห็นวาโยแกะกล่องของขวัญและใส่สร้อยเงินห้อยจี้รูปหัวใจ ตามที่ลูกค้ากลุ่มนั้นขอร้อง แถมยังถ่ายรูปคู่แล้วยิ้มหวานกับเจ้าของสร้อย เขาก็ยิ่งไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาทุกที และพฤติกรรมของเขาก็อยู่ในสายตาของใครบางคนที่บังเอิญเห็นเข้าพอดี

    “...น่าสนุกดีแฮะ ศึกชิงอลิซอย่างนั้นหรือ จะเข้าร่วมด้วยดีไหมนะ ...โอ๊ย!”

    ธีรัชสะดุ้งโหยง เมื่อการินที่เดินผ่านเหยียบเท้าเขาเข้าเต็มที่

    “โอ๊ะ! ขอโทษนะ พอดีกำลังง่วง ๆ ก็เลยมองไม่ทันเห็น”

    เมาส์ดอร์ผู้น่ารักแสร้งทำเป็นยิ้มใสซื่อ ทั้งที่ตั้งใจเหยียบเท้าอีกฝ่ายเต็มที่ เนื่องจากได้ยินสิ่งที่เจ้าตัวเปรยเบา ๆ กับตัวเองนั่นอย่างชัดเจน

    “เป็นหนูที่กล้าหาญจริง ๆ นะครับ  ไม่กลัวจะโดนแมวเชสเชอร์จับกินเอาหรือครับ”

    ธีรัชหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่การินนั้นจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนสาว ๆ ที่เป็นแฟนคลับของการินและหันไปเห็นเหตุการณ์เข้า ตอนนี้กำลังซุบซิบกรีดร้องกันเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้น แถมยังลุ้นให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ถ้าการินรู้เข้าคงแทบอยากจะลาออกจากงานนี้หนีพวกเจ้าหล่อนไปเลยด้วยซ้ำ

    “เอ้า ๆ ถอยหน่อย ๆ ฉันสายแล้วนะ เดี๋ยวต้องไปส่งออเดอร์ลูกค้าอีก!”

    และก่อนที่การปะทะคารมจะเกิดขึ้น ร่างสูงสวมหูกระต่ายในสูทขาว ก็แทรกตัวผ่านทั้งคู่ไป กวินเหลือบไปมองการินแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างถูกใจให้อีกฝ่าย ซึ่งการินเองก็ยักไหล่ แล้วแยกย้ายไป ส่วนธีรัชนั้นมองตามทั้งคู่ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “สงสัยแมวเชสเชอร์จะโดนหมั่นไส้เข้าให้แล้วล่ะนะ”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปสนใจในงานของเขาต่อ สักพักราเมศก็ลงมาจากชั้นสอง เขาตีหน้าขรึมจนขวัญแก้วชักไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรข้างบนนั่นหรือไม่ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาพักของเธอ เธอจึงไม่สามารถเลี่ยงหลบไปถามปวีร์ได้อย่างใจต้องการนั่นเอง



    และแล้วในที่สุดก็ถึงช่วงพักรอบแรกของพนักงานในร้าน ซึ่งเป็นเวรของวาโยและการิน รวมไปถึงขวัญแก้วที่รีบตรงไปหาปวีร์ที่ห้องบนชั้นสองของชายหนุ่มทันที โดยไม่คิดพักกินข้าวกลางวันก่อน

    “ว้า...จัดเวรให้ดอกไม้งามพักพร้อมกันแบบนี้ ร้านก็ห่อเหี่ยวหมดพอดี”

        ธีรัชบ่นเปรยเบา ๆ ทำเอาการินที่ได้ยินหันมาค้อนขวับ ส่วนวาโยยิ้มให้อีกฝ่ายเจื่อน ๆ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินเข้าไปในครัว โดยมีธีรัช กับรุจที่มองตามไปอย่างนึกขำ

    “เลิกบ่นได้แล้วน่า ...ไปดูแลด้านนอกนั่นด้วย ลูกค้าเตรียมจะสั่งอาหารอีกแล้ว”

    ภูริที่ยืนอยู่แถวนั้นบ่นใส่เพื่อน ซึ่งธีรัชก็หันไปมองคนพูด ก่อนจะหันไปมองด้านนอกซึ่งมีลูกค้านั่งอยู่ด้วยกันราวสามโต๊ะ

    “งั้นเดี๋ยวฉันไปประจำด้านนอกให้เลยก็ได้ ด้านในนี่ฝากพวกนายด้วยแล้วกัน”

     “อืม...ถ้าไม่ไหวก็มาเปลี่ยนตัวแล้วกัน”

    ภูริบอกอีกฝ่าย เพราะถึงแม้จะมีพัดลมไอน้ำและต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แต่การทำงานด้านนอก มันก็ค่อนข้างจะเหนื่อยหนักเพิ่มขึ้นกว่าเวลาทำงานในห้องแอร์เย็นเฉียบพอสมควร

    “ไม่ต้องห่วง ฉันเป็นมิตรกับแดดนะ นายก็รู้อยู่”

    ธีรัชบอกพลางโชว์แขนให้อีกฝ่ายดูสีผิว แล้วฮัมเพลงออกไปด้านนอกร้าน ภูริถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็มั่นใจว่าจะพึ่งพาธีรัชได้ เพราะแม้ภายนอกจะดูเป็นคนหยิบโหย่ง แต่ชายหนุ่มนั้นกลับเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่องานที่ทำอยู่สูงทีเดียว

    “ก็ใช้ได้ล่ะนะ...”

    กวินพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นความขยันขันแข็งของธีรัช แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ค่อยชอบนิสัยปากว่ามือถึงของอีกฝ่ายเท่าใดนัก แต่เมื่อลองมาเทียบกับตัวเองที่ไม่กล้าบอกรักวาโยซึ่ง ๆ หน้า เขาก็รู้สึกละอายที่คิดอคติกับอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

    จากนั้นกระต่ายขาวผู้สับสนก็ตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติและสมาธิกลับมา ซึ่งชายหนุ่มก็ทำได้ดีไม่แพ้ทุกวัน  มีทั้งการเล่นละครกับลูกค้าผู้เป็นสุภาพสตรีให้พวกเจ้าหล่อนขบขัน และปิดท้ายด้วยบริการที่สุภาพอ่อนโยน ทำให้แต่ละรายเคลิบเคลิ้มไปตาม ๆ กัน

   

    อีกด้านหนึ่งวาโยและการินที่พักทานข้าวเสร็จแล้ว ต่างกึ่งนั่งกึ่งนอนยืดเส้นยืดสายที่ชั้นสองเพื่อพักผ่อน ทางด้านวาโยมองไปด้านนอกแล้วนิ่วหน้า เมื่อเห็นแสงแดดที่จ้ากว่าทุกวัน

    “วันนี้ร้อนจังเลยนะ ลูกค้าที่นั่งข้างนอก จะเป็นไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”

    “ลูกค้าน่ะหรือ ตำแหน่งที่นั่งส่วนใหญ่จะมีร่มไม้บัง แล้วก็พัดลมพัดผ่าน ก็คงไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่หรอก ที่จะร้อนก็คือพวกเราที่ต้องรับผิดชอบดูแลลูกค้าด้านนอกนั่นต่างหาก จะไปยืนบังพัดลมลูกค้าก็ไม่ได้ จะยืนเกาะกับโต๊ะลูกค้าก็ไม่เหมาะ ต้องยืนรอไกล ๆ และสังเกตรอลูกค้าเรียก ฉันถึงบอกว่าอากาศเมืองไทยไม่เหมาะกับคาเฟ่เอาท์ดอร์ยังไงล่ะ... แต่ก็ดีนะที่อาเขาเลือกวัสดุทำเรือนกระจกอย่างดีมาใช้  ถ้าเป็นวันปกติที่อากาศไม่ร้อนจัดขนาดนี้ ฉันว่าข้างนอกนั่นก็เข้าท่าอยู่ทีเดียวล่ะ”

    การินอธิบายยืดยาวเพื่อให้วาโยไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องลูกค้าอีก ชายหนุ่มฟังแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ เขาเลิกกังวลแทนลูกค้าแล้ว แต่หันกลับมาเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานด้วยกันแทน

    “ใครเฝ้าด้านนอกอยู่ตอนนี้นะ”

    “ไม่รู้สิ...แต่เดี๋ยวถ้าร้อนเขาก็เปลี่ยนตัวกันเองล่ะ”

    การินตัดบท แต่ด้วยนิสัยเสียของวาโยที่พอเริ่มกังวลเรื่องหนึ่งก็มักจะกังวลต่อไปอีกหลาย ๆ เรื่อง

    “น่าห่วงชะมัด ไหนจะร้อนแบบนั้น พักกินน้ำก็ไม่ได้”

    วาโยพึมพำก่อนจะลุกขึ้นพรวดทำเอาการินต้องสะดุ้งโหยง

    “ง่า...ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะริน เดี๋ยวมา”

    การินมองตามร่างในชุดกระโปรงสีฟ้าที่วิ่งออกจากห้องไป แล้วถอนหายใจเบา ๆ 

    “นิสัยขี้เป็นห่วงนั่นก็ดีหรอกนะโย ...แต่ต้องระวังไว้หน่อยล่ะ เพราะมันจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวนายในภายหลังแน่”

    ชายหนุ่มหน้าสวยพึมพำ แล้วหวนคิดถึงคำพูดของธีรัช เรื่องที่ว่าจะเข้าร่วมศึกชิงอลิซหรือก็คือวาโยนั่นเอง

    “ร่วมศึกชิง...แสดงว่ามีคนหลงชอบหมอนั่นไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองสินะ ...พวกนั้นน่ะหรือ”

    การินนึกถึงกวิน ภูริ และรุจ ขึ้นมาทันที  สำหรับกวินหลัง ๆ ชายหนุ่มก็เห็นว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีกับวาโยแปลกไป  ส่วนรุจนั้นค่อนข้างชอบแกล้งวาโยเป็นพิเศษ และภูริที่บางครั้งดูเมินเฉย แต่บางทีก็เอาใจใส่ในตัววาโยไม่แพ้คนอื่นเช่นเดียวกัน

    “รักงั้นหรือ... ถ้าอกหักแล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหมนะ”

    การินเปรยเบา ๆ เขาไม่เคยรักใครมาก่อน ขนาดเพื่อนสนิทก็เพิ่งจะเคยมามีก็ตอนทำงานที่มิราเคิลคาเฟ่แห่งนี้นี่เอง แล้วถ้าเกิดเขารักใครขึ้นมาบ้าง แล้วอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังทนทำงานร่วมกับทุกคนที่นี่ได้อีกไหม

    “ถ้าต้องเป็นแบบนั้น ให้เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้เหมือนทุกวันยังจะดีเสียกว่า ...ความรักอะไรนั่น ไม่เห็นจะเข้าท่าสักนิด”

    ชายหนุ่มพึมพำด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เพราะไม่ว่าวาโยจะเลือกใครก็ตาม แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็คงต้องเปลี่ยนไปอยู่ดี ยกเว้นคนที่ผิดหวังจะเป็นฝ่ายทำใจได้... ซึ่งถ้าเป็นตัวเขาเอง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร จึงจะสามารถยิ้มให้กับอีกฝ่ายจากใจจริงได้อีกครั้ง


... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-08-2012 15:45:29
หนุ่ม ๆ เยอะเกิ๊น  อยากจะคิดว่าภูริคู่กับวาโย และธีรัชคู่กับการินนะ
แต่เอาจริง ๆ เลยนะ  เชียร์การินคู่กับวาโยมากกว่า  ให้หนุ่ม ๆ มันกินแห้วไป 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 14-08-2012 16:27:31
อยากให้วาโยเลือกภูริ คู่นี้เวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกวาโยน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 14-08-2012 17:23:22
เฮ้อ...

ไม่รู้ว่าโยจะเลือกใครเนอะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 14-08-2012 17:33:19
คิดว่าการินน่าจะคู่กับกวินไม่ก็ธีรัช เพราะจากคู่กัดจะได้กลายเป็นคู่รัก :z1:
แล้ววาโยจะคุ่กับภูริดีไหมน้า หรือเชียร์คนอื่นดี :laugh:
ยังๆไม่เชียร์ใคร รอลุ้นคู่ใหญ่ก่อนดีกว่า ปล่อยให้เด็กๆรู้ใจตัวเองอย่งที่คุณ Xenon ว่าดีกว่า :o8:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 14-08-2012 19:33:16
โอ๊ะ มีมาเพิ่มอีกคน แอบจิ้นธีรัชกับการิน 555 แต่ของหนูวาโยนี่ จะภูิริหรือกวิน ก็สงสาีรอีกคนอะ เหอๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-08-2012 19:35:39
ส่วนอลิซ ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า สงครามแห่งความรักกำลังจะเกิดขึ้น 5555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 14-08-2012 21:43:03
โอ๊ย จิ้น จิ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โชเเน็น บันไซ T^T

อวย ภูริxวาโย

อวย*2 กวินxการิน

อวย*3วีย์xอาเม


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ส่วนในตอนนี้ สงคราม แย่งชิงอลิซ ใกล้เข้ามาแล้ว อาฮร๊า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-08-2012 22:25:40
ถ้าหนุ่มๆมัวแต่แย่งกัน
ไม่แน่ว่า เผลอๆการินอาจมาวิน  สอยหนูวาโยไปครองได้นะ  :haun5:  หุหุ   :interest:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 20 อัพเดท 14/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-08-2012 13:35:07
วาโยฮ๊อตมากกกกกก
(เชียร์ภูริๆๆๆๆๆ)

ว่าแต่การินแอบดาร์คนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-08-2012 13:36:03
Miracle Café / 21




    อีกด้านหนึ่งปวีร์กำลังนั่งอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเขาบอกกับขวัญแก้วว่าไม่มีอะไร และราเมศก็แค่หงุดหงิดที่ถูกเขาแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น ทำให้หญิงสาวยอมเลิกราที่จะซักไซ้และกลับไปกินข้าวกลางวันของเธอต่อ ทว่าจริง ๆ แล้วปวีร์นั้นไม่ได้บอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ให้อีกฝ่ายรับฟังจนหมด และมีบางเรื่องที่หากหญิงสาวรู้เข้า คงต้องเอาไปแหย่แซวราเมศให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิดเพิ่มแน่  ปวีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ภายในห้องก่อนหน้าที่เขาและราเมศสนทนากัน…

    “ตกลงนายตอบหมอนั่นว่ายังไงกันแน่!”

    ราเมศยังคงตามมาเพื่อต้องการฟังคำตอบ ทำให้คนที่ถูกซักไซ้ลอบยิ้มน้อย ๆ แล้วลอยหน้าถามกลับไป

    “อยากรู้ไปทำไม ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับนายนี่”

    ราเมศเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความหงุดหงิด แล้วเดินเข้าไปหาคนที่ทำเป็นนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ประจำโต๊ะ

    “นายคิดอย่างที่พูดจริง ๆ หรือไงปวีร์”

    ราเมศถามเสียงเข้มขณะที่จับเก้าอี้หนังของอีกฝ่ายหมุนหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา พร้อมกับกักร่างของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน นัยน์ตาคมกริบจ้องมองเพื่อนสนิทนิ่ง

    “ก็นะ...ถึงฉันจะไปคบกับใคร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายจริง ๆ นี่ราเมศ  นายก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่พอมีแฟนแล้วฉันจะทิ้งเพื่อนสักหน่อย”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม แต่คนฟังนิ่วหน้านิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

    “แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แถมอายุน้อยกว่านายด้วยนี่นะ ...แล้วยังนิสัยชอบเจ้าชู้ไปทั่วนั่นอีก”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าระบายยิ้มดังเคย

    “ก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าอีกฝ่ายรักฉันจริง ต่อให้เป็นหญิงหรือชาย อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า ฉันก็ไม่รังเกียจ แล้วเรื่องเจ้าชู้ ถ้ารักกันแล้วหยุดแค่ฉันได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”

    ราเมศนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เขาเงียบไปสักพักก่อนจะย้อนถามกลับเสียงแผ่ว

    “นายชอบเด็กนั่นจริงอย่างนั้นหรือ...”

    ปวีร์ไม่ตอบเขาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ทำให้ราเมศกัดริมฝีปากนิด ๆ แล้วจึงผละออกจากอีกฝ่าย หันหลังให้เตรียมเดินออกจากห้องไป

    “ราเมศ ...ฉันชอบนายนะ”

    ราเมศชะงัก เขาหันมามองปวีร์ก็เห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มหวานเหมือนปกติยามที่พูดกับเขาเช่นนั้น

    “...ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเลิกคบกับนายหรอก ก็แค่เตือนไว้ตามประสาเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง”

    ราเมศตอบกลับไปอย่างเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายพูดเพราะกลัวเขาจะโกรธ

    “เฮ้อ! ทำไมทีคนอื่นฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าชอบ นายก็ทึกทักไปเอง  ทีกับนายฉันพูดให้ฟังตลอดแบบนี้แท้ ๆ นายก็ยังไม่ยอมเข้าใจสักทีสินะ”

    ราเมศที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักกึก แล้วหันมามองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตัดบท

    “ไปทำงานได้แล้ว วันนี้คนเยอะออก แก้วคนเดียวทำไม่ไหวหรอก”

    “ปวีร์ เมื่อครู่นายหมายความว่าไง...”

    ราเมศถามเสียงแผ่ว ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วจึงตอบกลับไป

    “ไว้ถึงเวลานายพักเมื่อไหร่ก็ขึ้นมาสิ แล้วฉันจะให้คำตอบนายเอง”

    ราเมศอยากจะซักต่อ แต่ปวีร์ทำเป็นมองเมินไปทางอื่น จนชายหนุ่มต้องสบถเบา ๆ แล้วเดินลงไปชั้นล่างด้วยความหงุดหงิดระคนสับสน  จนปวีร์ที่ลอบมองตามไปถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

    “ช่วยไม่ได้นะราเมศ ...ใครใช้ให้ความรู้สึกช้า ปล่อยให้ฉันหลงรักข้างเดียวมานานขนาดนี้กันล่ะ ...เอาคืนนิด ๆ ก็คงไม่ว่ากันใช่ไหม”

    ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ทีแรกเขาก็ไม่คิดจะสารภาพ แต่พอมานึก ๆ ดูแล้ว หากมีคนอื่นเข้ามาสนใจราเมศ และราเมศเกิดชอบตอบอีกฝ่ายไปบ้าง เขาก็คงต้องอกหักทั้งที่ยังไม่เคยบอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้เป็นแน่  สู้สารภาพออกไปเสียเลยดีกว่า  ถ้าสมหวังก็ดีไป ถ้าผิดหวังเขาก็ยังเชื่อว่าราเมศจะยังคงมีความเป็นเพื่อนเหลือไว้ให้เขาอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่หลงรักผู้ชายคนนี้หมดหัวใจมากว่าสิบปีแบบนี้แน่

   

    ทางด้านวาโยพอผละมาจากการินแล้ว เขาก็เข้ามาในครัว แล้วเปิดตู้เย็นซึ่งมีน้ำหวานชงใส่ขวดเอาไว้สำหรับพนักงานเทใส่แก้ว พลางเดินเลี่ยง ๆ ไปทางด้านประตูหลัง โดยที่ชานนกับขวัญตามองตามไปอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ทักอะไร เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารสำหรับลูกค้า

    “เอ...ไปทางนี้ดีกว่า”

    วาโยอ้อมไปทางฝั่งครัว เพราะหากเป็นอีกฝั่งที่เป็นกระจกใสบานใหญ่ ลูกค้าเห็นเข้าคงตกใจแน่

    “เอ๋...คุณธีรัชหรอกหรือ”

    วาโยมองเห็นธีรัชยืนรับรองลูกค้าอยู่ ซึ่งดูจากท่าทางแล้ว แสดงว่าอีกฝ่ายคงแบ่งมาเฝ้าประจำอยู่ด้านนอกแทนแน่  ชายหนุ่มก้มมองแก้วน้ำ แล้วในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี อีกฝ่ายก็หันมาเห็นเขาที่แอบอยู่เข้าพอดี

    “อ้าว! หนูอลิซนี่นา”

    ธีรัชเผลออุทานขึ้นมา ทำให้ลูกค้าหันมามอง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงแกล้งเล่นละครไปตามน้ำเสียเลย

    “ดูท่าทางว่าหนูอลิซจะมีอะไรปรึกษากับแมวเชสเชอร์เสียแล้ว งั้นกระผมขอตัวสักครู่นะครับทุกท่าน”

    ลูกค้าแต่ละรายยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้าให้ เพราะพวกเขาได้อาหารและเครื่องดื่มหมดแล้ว และกำลังรับประทานกันเรื่อย ๆ จึงไม่จำเป็นให้ธีรัชต้องคอยบริการอะไรในช่วงนี้

    “มีอะไรหรือหนูอลิซ”

    ธีรัชที่เดินมาหาวาโยถามพร้อมรอยยิ้ม วาโยยิ้มเจื่อน ๆ แล้วจึงยื่นน้ำหวานในแก้วให้อีกฝ่าย

    “อากาศวันนี้มันค่อนข้างร้อน ผมกลัวคนที่อยู่ข้างนอกจะเพลีย เลยเอาน้ำหวานมาฝากครับ”

    ธีรัชเลิกคิ้วน้อย ๆ จ้องอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั้นมีสีหน้าและแววตาจริงใจดังเช่นคำพูด เขาจึงยิ้มให้ แล้ว

ขยับตัวมาที่มุมร้านซึ่งหลบสายตาคนอื่น ดื่มน้ำหวานในแก้วที่วาโยให้ แต่พอเอาแก้วคืน เจ้าตัวก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ

    “ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย”

     ชายหนุ่มบอกแล้วก็ขอตัวไปทำงานต่อ โดยไม่สนคนที่นิ่งอึ้งหน้าแดงด้วยความตกใจที่ถูกขโมยจูบ แม้จะเป็นที่แก้มก็ตาม แต่สำหรับวาโยก็ไม่เคยให้เพื่อนผู้ชายคนไหนหอมแก้มมาก่อน

    “...เขาคงจะทำไปโดยไม่คิดอะไรล่ะมั้ง”

    วาโยพยายามปลอบใจตัวเองไม่ให้คิดมาก พอเขากลับมาในร้านก็เห็นการินกำลังลงจากชั้นสองมาพอดี

    “ใกล้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ฉันเลยมารอที่ด้านล่างน่ะ”

    การินบอกกับอีกฝ่ายก่อนที่วาโยจะถาม วาโยดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วจึงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะชะงักเมื่อการินแกล้งเปรยเบา ๆ

    “แล้วไปเข้าห้องน้ำอีท่าไหน ทำไมถึงมาจากข้างนอกได้ล่ะ”

    วาโยสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้ การินจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินไปตบบ่าเพื่อนของเขาที่ซ่อนแก้วไว้ด้านหลัง

    “ทีหลังไม่ต้องโกหกก็ได้ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถ้านายจะออกไปเอาน้ำให้ใครบางคนข้างนอกนั่นน่ะ”

    วาโยยิ้มแห้ง ๆ ที่ถูกจับได้ เขาพึมพำขอโทษการินเบา ๆ ซึ่งการินเองก็ไม่ได้ถือสา 

    “แล้วใครอยู่เฝ้าข้างนอกล่ะ”

     การินถามต่อ ทำเอาวาโยชะงักกึก นิ่งเงียบไป นั่นจึงทำให้การินมองเพื่อนอย่างแปลกใจ

    “วินหรือ?  ไม่สิ…อย่าบอกนะว่าหมอนั่น”

    การินถามพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ที่ถึงแม้จะไม่พูดแต่มันก็ฉายออกมาทางสีหน้าและแววตาจนหมด

    “...เหอะ! ก็แค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย”

    การินบอกแล้วเดินเข้าห้องครัวไป แต่วาโยฟังจากน้ำเสียงของชายหนุ่มแล้วพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์นัก นี่ถ้ารู้ว่าเขาโดนหอมแก้มมาด้วย สงสัยการินจะโวยวายยิ่งกว่านี้ เพราะเท่าที่เขาสังเกตดู การินไม่ค่อยชอบความเจ้าชู้ปากไวมือไวของธีรัชเท่าใดนักนั่นเอง

   

    พอถึงเวลาเปลี่ยนเวร วาโยก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกไปหาธีรัชที่ด้านนอกเพื่อขอเปลี่ยนทำหน้าที่กับอีกฝ่าย  ทำให้กวินและภูริที่กำลังเดินอ้อมไปหลังเคาท์เตอร์เหลียวมองตาม ยิ่งเห็นวาโยคุยแล้วยิ้มอาย ๆ กับธีรัช ทั้งคู่ก็เริ่มก่อเค้าความหงุดหงิดในสีหน้าให้จับสังเกตได้ รุจมองทั้งสองคนอย่างสนใจ แล้วก็ต้องเหลือบไปมองราเมศที่หมดเวลาพักและมาเปลี่ยนเวรกับตนบ้าง อีกฝ่ายนั้นดูไม่บึ้งตึงเหมือนตอนก่อนหน้าที่จะขึ้นไปหาปวีร์อีกรอบ แต่กลับดูผ่อนคลายลงราวกับเป็นคนเดิม จนขวัญแก้วอยากจะทักแต่ก็ถูกราเมศเปรยขัดเสียก่อน

    “ไปประจำแคชเชียร์แทนซะทีสิ รุจเขาจะได้พักบ้าง”

    “ฮึ! ก็ได้ ...วีทำอะไรดี ๆ ให้ล่ะสิ ถึงอารมณ์ดีมาเชียว ทีเมื่อครู่หน้างี้หงิกซะจนคนไม่กล้าเข้าใกล้”

    ขวัญแก้วเปรยประชด ทว่าคนฟังไม่ได้ถือสาอะไร ยังคงทำตัวนิ่งเฉย แต่นั่นก็ทำให้คนคุ้นเคยมองออกว่าเป็นการแสร้งทำเพื่อปิดบังอะไรบางอย่างแน่

    “ไว้ถามวีเองก็ได้ย่ะ!”

    หญิงสาวบ่นอุบอิบ แล้วจึงเดินไปเปลี่ยนเวรกับรุจ ชายหนุ่มยิ้มให้เธอน้อย ๆ พลางเดินอ้อมหลังราเมศไป ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยแดง ๆ คล้ายรอยฟันบนคอของอีกฝ่าย ราเมจซึ่งรู้สึกตัวว่ามีคนจ้องรีบเอามือตะปบรอยนั้น เขาหน้าแดงนิด ๆ แล้วเหลือบไปมองขวัญแก้วที่ตอนนี้มัวแต่สนใจลูกค้าที่มาเลือกดูขนมที่ตู้ขนมแทน  ราเมศจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางหันกลับมามองรุจอย่างเป็นกังวล แต่ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินไปในครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ราเมศจึงได้แต่มองตามไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง



    ภายในครัวตอนนี้นั้นกำลังเผชิญกับบรรยากาศอึมครึมจนชานนและขวัญแก้วสังเกตได้ พวกเขามองมาที่รุจด้วยสายตาตั้งคำถาม ทว่ารุจกลับยิ้มนิด ๆ แล้วสั่นศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าตนก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน

    “จริงสิครับ คุณภูริทราบไหมครับว่าคุณธีรัชแพ้อาหารอะไรบ้าง ผมจะได้เลี่ยงไม่นำมาปรุงให้เขา”

    ชานนตั้งคำถามกับภูริ อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย แล้วจึงบอกไปตามตรง

    “เท่าที่ผมรู้ หมอนั่นกินได้ทุกอย่างนะครับ”

    “หรือครับ...งั้นก็ค่อยยังชั่ว เห็นคุณปวีร์บอกว่าให้เตรียมอาหารให้พนักงานพาร์ทไทม์ด้วย ผมเองตอนที่เขามาแนะนำตัวก็ลืมถามไป”

    ชานนบอกอย่างโล่งอกแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับอาหารเบื้องหน้าอีกครั้ง  ส่วนขวัญตานั้นเธอเดินมาหยิบน้ำหวานในตู้เย็นดื่ม แล้วก็นึกถึงตอนที่วาโยมารินน้ำหวานใส่แก้วเดินอ้อมไปด้านหลังร้านก่อนหน้านั้น

    “ว่าแต่เมื่อสักพักนั่น เห็นโยเอาน้ำหวานไปข้างนอก เขาเอาไปให้พวกเธอกินอย่างนั้นหรือจ๊ะ”

    กวินกับภูริเงียบกริบ และหวนนึกถึงใครบางคนพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างสั่นศีรษะปฏิเสธ

    “อ้าว ไม่ใช่พวกเธอแล้วเอาไปให้ใครล่ะ”

    “คงให้ธีรัชมั้งครับ เพราะเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกถึงเมื่อครู่นี้”

    รุจเป็นฝ่ายตอบคำถามแทนคนที่เริ่มเงียบไปทั้งสอง ด้านขวัญตาพยักหน้ารับรู้อย่างไม่คิดมาก แล้วจึงกลับไปเป็นผู้ช่วยให้กับชานนต่อ

    “เด็กคนนั้นเข้ากับคนได้ง่ายดีนะ ...ง่ายซะจนบางครั้งก็น่าโมโหทีเดียวว่าไหม”

    รุจแกล้งเปรยขึ้นเบา ๆ ทำเอาสองหนุ่มสะดุ้ง กวินเงยหน้ามองคนพูดเลิ่กลั่ก ส่วนภูริจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อโดยทำท่าไม่ใส่ใจอะไร

    “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ชอบนะ...พวกนายคิดว่าไง คิดว่าเด็กคนนั้นจะยอมรับความรักของเพศเดียวกันได้ไหม”

    รุจบอกเสียงเบาลง ให้ได้ยินเฉพาะพวกเขา ภูริเม้มปากน้อย ๆ เขากวาดอาหารที่เหลือเข้าปาก แล้วนำไปล้าง  ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องพักผ่อนชั้นสองโดยไม่พูดไม่จา เห็นดังนั้นกวินจึงขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างเริ่มสงสัย แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรุจเปรยตามมา

    “ไม่ได้มีแค่นายคนเดียวหรอกวิน ที่จะรู้สึกดี ๆ กับเด็กคนนั้นขึ้นมาได้ ...พูดแบบนี้ก็คงพอเข้าใจใช่ไหม”

    รุจบอกแล้วยกจานของตนที่กินหมดแล้วไปล้างบ้าง ก่อนจะออกไปเดินสูดอากาศด้านหลังร้าน เหลือแต่กวินที่นั่งอึ้งมองข้าวคำสุดท้ายในจานไปสักพัก ก่อนจะตักข้าวคำที่เหลือเข้าปาก เอาจานไปล้างทำความสะอาดและเดินขึ้นชั้นสองตามภูริไปบ้าง

   

    กวินเดินเลี่ยงมานั่งคนละมุมห้องกับภูริ เขาแอบจ้องหน้าอีกฝ่ายจนกระทั่งชายหนุ่มรู้สึกตัว

    “มีอะไร”  ภูริถามสั้น ๆ อย่างหงุดหงิด กวินถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงถามออกไปตามตรง

    “คุณภูริชอบโยหรือเปล่า”

    ภูรินิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะถูกกวินถามเอาตรง ๆ ซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้

    “ผมน่ะชอบโยนะ ชอบแบบที่เกินกว่าเพื่อนไปแล้ว...และผมก็คิดว่า คุณน่าจะชอบโยเหมือนกับผม...ใช่ไหม”

    ท้ายประโยคยังคงดูลังเล แต่คนถามก็มั่นใจไปเกินครึ่ง เพราะปฏิกิริยาของภูริเรื่องวาโยมันผิดแผกออกไปจากเดิมจนน่าสงสัย

    “นายจะชอบใครก็แล้วแต่นาย แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่น”

    ภูริเอ่ยปฏิเสธ แต่เขากลับไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย

    “จริงหรือครับ”  กวินถามย้ำ ทำให้ภูริหันมาสบตากับอีกฝ่ายแล้วตอบเสียงเข้ม

    “ฉันไม่ได้ชอบเด็กนั่น!”

    กวินจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาค้นหาความจริง จนคนตรงหน้าต้องหลบตาอีกครั้ง

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่เป็นไร ...แต่ถ้าคุณชอบโยเหมือนกัน ผมก็ไม่ว่าอะไร ...”

    ภูริหันมามองคนพูด เขาขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

    “...เพราะอะไร เรื่องแบบนี้ไม่มีคู่แข่งมันก็ควรน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ”

    กวินชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

    “มันก็จริงนะครับ แต่ว่าโยยังไม่ได้เลือกใครนี่ แล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขาด้วย ...ผมก็แค่ชอบเขาเท่านั้น และถ้าจะมีใครชอบเขาเหมือนผม ผมก็คงห้ามอะไรใครไม่ได้ ผมก็คงทำได้แค่พยายามให้โยหันมามองผมบ้างก็แค่นั้น”

    ภูรินิ่งเงียบมองอีกฝ่าย สิ่งที่กวินพูดนั้นล้วนมาจากใจจริง สังเกตจากสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มดูก็พอจะรู้แล้ว

    “แต่ถ้ารู้ตัวคู่แข่งไว้บ้างก่อนก็ดี ผมจะได้ทำการบ้านให้หนักขึ้นไงล่ะครับ”

    กวินบอกตามมาแล้วยิ้มกว้าง ซึ่งก็ทำให้ภูริรู้สึกละอายใจ เขาก้มหน้านิ่ง แล้วจึงพึมพำเบา ๆ

    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...ไม่ได้ชอบเด็กนั่น ...แต่ก็แค่หงุดหงิดเวลาเด็กนั่นยิ้มให้คนอื่น...ก็แค่นั้น”

    กวินชะงัก เขานิ่งเงียบไป แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะพึมพำตอบ

    “อย่างนั้นหรือครับ... ไม่เป็นไรหรอกครับ ก่อนหน้าผมจะรู้ตัวว่าชอบ ผมก็สับสนตัวเองอยู่พอสมควรเลย”

    ภูริเงยหน้ามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นกวินมีรอยยิ้มให้ เขาจึงยิ้มน้อย ๆ ตอบ จากนั้นกวินจึงเปลี่ยนเรื่องคุยถึงคนอื่นแทน

    “แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่ค่อยสบอารมณ์เพื่อนคุณเท่าไหร่เลยนะ  โยออกจะไร้เดียงสา โดนจีบโดนลวนลามบ่อย ๆ เกิดติดใจเข้าจะทำยังไง!”

    ภูริฟังอีกฝ่ายพูด แล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะไปมา

    “ถ้าโดนทำแบบนั้นแล้วชอบได้ เด็กนั่นก็โรคจิตแล้วล่ะ”

    กวินสะดุ้ง ก่อนจะคิดตาม แล้วหัวเราะอย่างลืมตัว

    “ฮ่า ๆ นั่นสิครับ  แต่ก็ไม่แน่นะครับ แบบว่าเคยชินไง โยเองก็อาจจะชอบแบบนั้นก็ได้ ...อืม ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์เป็นพวกมือไวปากว่ามือถึงบ้างดีไหมเนี่ย”

    “ระวังจะได้ผลตรงกันข้ามแทนล่ะ” 

     ภูริแย้ง ทำให้คนฟังนิ่วหน้า

    “ไม่เชียร์กันเลยนะครับ”

    “ก็เราอาจจะได้เป็นคู่แข่งกันก็ได้นี่นะ”

    ภูริบอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำให้กวินยิ้มตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงสนทนาเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ แม้ต่างจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นศัตรูหัวใจ แต่พวกเขากลับรู้สึกโล่งอก และสนิทใจกับอีกฝ่ายได้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างประหลาด แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หากวาโยตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกเขาแล้ว  เขาจะยังคงมองหน้าทั้งคู่อย่างสนิทใจได้อีกไหมกันแน่



… TBC …






พอเขียนตอนนี้จบ แล้วรู้สึกว่า ....ไม่อยากให้น้องโยเลือกใครเลย อยากรวบ 3-4P  หุ ๆ

แต่ถ้าเขียนจับคู่จริง ๆ รับรองว่าคนที่เหลือจะเศร้าไม่นานนัก เพราะจะพยายามหาคู่ให้ครบทุกคนค่ะ (หนุ่มมากมายขนาดนั้นจับคู่ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป)

สำหรับใครที่อยากรู้ฉาก "ประทับรอยฟัน" เดี๋ยวจะเขียนแทรกให้อ่านแน่นอนจ้ะ ^^ เอ...หรือไม่อยากรู้กันหว่า...


ฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงน้องโย...
"อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน" (http://www.youtube.com/watch?v=XSvmxB3VNSo) 
 
สุดท้ายก็รักคนอ่านค่ะ หวังว่าจะติดตามกันต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-08-2012 14:05:01
โอ๊ะ นั่นสินะภูริ...อาจจะได้เป็นคู่แข่งกันก็ได้นะ (เริ่มคิดแล้วววว ดีใจ)

และ...รอยฟัน...ราเมศได้รอยฟันแล้วอารมณ์ดี...อั๊ยยะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 15-08-2012 14:26:26
คุณวีร์กับพี่เมย์ ว้าววววว *0* ตกลงคบกับแล้วใช่ไหม

3 - 4 พี เอาจริงหรอค้าบบบ *0*

กวิน ภูริ แล้วก็โยนะ 555 หรือจะเอาธีรัชร่วมด้วย

แต่ยังไงก็ภูริกับโย เย้ๆๆ แต่คุณธีรัชก็เจ๋งอะ อ๊ากกก

ไม่จับคู่แล้ว อ่านไปลุ้นไปดีกว่า 555 :o8:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 15-08-2012 14:58:11
วาโยโดนหอมแก้ม ไม่ยอมทำไมไม่ให้เป็นภูริล่ะ
คู่แข่งเขามีมาคุยปรับทุกข์กันด้วย
อยากรู้เหมือนกันว่ารอยที่คอเม วีทำใช่หรือเปล่า

+1 และให้เป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 15-08-2012 20:26:38
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-08-2012 22:20:31
หนับหนุนแนวคิดเราสามสี่คนนะ  มันเลือกยากอ่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 15-08-2012 22:42:03
แอบอยากรู้ฉากประทับรอยฟัน หุๆ

ถ้าโยเลือกใครอีกคนคงเศร้า น่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 15-08-2012 23:22:00
อ่า โยโดนหอมแก้มซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 15-08-2012 23:51:07
 :-[ธีรัชมาถึงก็ไดัหอมแก้มวาโยแล้วอะ :-[ :-[ :-[


ชอบมากเลยอะเพิ่งเข้ามาอ่านฝากตัวด้วยจ้า :L2: :L2: :L2:


รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 16-08-2012 01:33:54
แอร๊ รอบขบกัดที่อ แดง อาไร๊ มันอารายกาน >/////<

มาลงไวทันใจคนอ่านมากมาย ขอบคุณนะคะ โค้งงามๆ

ปล.จิ้นภูริ วาโย

ปล2.จิ้น การิน กวิน

ปล.3 จิ้นภูริ กวิน ///โดนเตะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 21 อัพเดท 15/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 16-08-2012 07:31:33
รอยฟันบนคอเมย์มาได้ยังไงน๊า >.,< ฮุฮุฮุ อยากรู้ๆ
ฮันแน่มีศึกแย่งชิงอลิซกันแล้ว สนุกมากๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-08-2012 16:12:03
Miracle Café / 22




    การินมองคนที่ทำงานอยู่ด้านนอกอย่างเป็นห่วง จนธีรัชที่สังเกตเห็นเอ่ยแซว

    “ไง! คุณหนูง่วงผู้น่ารัก  เป็นห่วงอลิซเขามากหรือไงจ๊ะ”

    การินเหลือบมองแล้วค้อนขวับให้ คราวกวินเขาว่าไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว แต่สำหรับธีรัชนั้นยิ่งไม่ถูกชะตากว่าหลายเท่านัก

    “เด็กนั่นแข็งแรงจะตาย ฉันว่าที่ควรห่วงน่าจะเป็นคุณหนูอย่างนายมากกว่านะ ดูท่าทางจะไม่ค่อยได้ออกกำลังเท่าไรด้วยใช่ไหม”

    ธีรัชกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน การินหันกลับมาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำปากขมุบขมิบบ่นใส่ แล้วจึงสะบัดหน้าหนี ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยตามมา

    “โยเพิ่งหายไม่สบายมาไม่กี่วันนี่เอง ฉันกลัวเขาไข้จะกลับก็เท่านั้น”

    ธีรัชเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่เมื่อเห็นการินถอนหายใจ และทำท่าจะเดินไปเปลี่ยนที่กับวาโย เจ้าตัวก็ก้าวไปขวางหน้าอีกฝ่ายเอาไว้

    “โอ๊ะ โอ๋ คุณหนูน้อย ถ้าจะคิดไปตากแดดก็อย่าไปเลยดีกว่า ผิวขาว ๆ จะเสียหมดนะ”

    “นี่นาย!”

    การินโพล่งใส่อย่างหงุดหงิด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นธีรัชแย้มยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยตามมา

    “เดี๋ยวฉันไปเอง พักตากแอร์เย็นฉ่ำจนพอใจแล้วล่ะ”

    จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปด้านนอกโดยไม่รอการินปฏิเสธ  การินเห็นธีรัชพูดคุยอะไรกับวาโยสักอย่าง วาโยนั้นมีสีหน้าลำบากใจ แต่สักพักก็เห็นเจ้าตัวยอมพยักหน้าแล้วกลับเข้ามาด้านในแทน

    “หมอนั่นพูดอะไรกับนาย”

    การินถามอย่างสงสัยทันทีที่วาโยเดินเข้ามาหาตน

    “เขาขู่ว่าถ้าฉันไม่ยอมกลับเข้ามา เขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนและให้นายทำด้านในคนเดียวน่ะสิ... แย่จัง ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย ถึงจะเพิ่งหายป่วยก็เถอะ”

    วาโยมีสีหน้าลำบากใจที่ต้องให้คนอื่นรับภาระหนักตามลำพัง ส่วนการินนั้นเริ่มมองธีรัชในแง่ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเห็นธีรัชหันมายิ้มล้อเลียนเขา ชายหนุ่มหน้าสวยก็หน้าหงิก และคิดว่าสมควรแล้วที่จะให้อีกฝ่ายเฝ้าอยู่ด้านนอกตลอดแบบนั้น

    “อย่าไปสนใจเลยน่า ถ้าเขาไม่ไหวเดี๋ยวก็ขอเข้ามาเองหรอก อีกอย่างเดี๋ยวพอบ่ายแก่ ๆ หน่อย ด้านหน้าร้านก็เริ่มร่มแล้วล่ะ”

    การินตัดบท แล้วแยกไปดูแลลูกค้าอีกมุมหนึ่ง วาโยเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเบา ๆ เหลือบมองธีรัชก็เห็นอีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้มแข็งแรงอยู่เช่นเดิม เขาจึงแยกไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อบ้างเช่นกัน

   

    พอถึงเวลาบ่ายสาม ภูริและกวินก็ลงมาทำงานต่อ ส่วนธีรัชนั้นเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำดื่ม แต่ก็ต้องตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นอาหารและของหวานสำหรับเขารออยู่

    “ว้าว! นี่มีส่วนของผมด้วยหรือครับ”

    “ใช่ครับ คุณปวีร์สั่งมา”

    ชานนบอกพร้อมรอยยิ้ม ธีรัชนั้นเอ่ยปากขอบคุณ และพอตักอาหารตรงหน้ากินไปคำแรก เขาก็ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมลูกค้าที่มานั่งในร้านจึงนิยมสั่งอาหารด้วยแทบทุกโต๊ะ

    “อร่อยจริง ๆ เลยครับ อย่างนี้คงต้องหาโอกาสตอนช่วงที่ไม่ได้ทำงาน มาเป็นลูกค้าลองสั่งเมนูอื่น ๆ กินบ้างแล้วล่ะครับ”

    ธีรัชบอกพร้อมตั้งหน้าตั้งตากินจนคนทำต้องอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ

    “ถ้าวันอาทิตย์คุณว่างไม่มีธุระอะไร ก็แวะมาทานอาหารที่บ้านพักของพวกเราสิครับ”

    ธีรัชรับฟังแล้วนิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยตกลงอย่างว่าง่าย ทำให้ปวีร์ที่เดินลงมาได้ยินเข้า ถึงกับหัวเราะเบา ๆ

    “ถูกใจรสมือของคุณนนล่ะสิ ก็บอกแล้วว่าให้มาทำฟูลไทม์ด้วยกันก็ไม่ยอม”

    ธีรัชหันไปทางต้นเสียง แล้วยิ้มหวานให้อีกฝ่ายทันที

    “ว่าแล้วเสียงใครเพราะ ๆ คุณวีนี่เอง”

    เสียงคุยกันแม้ไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอให้คนที่เดินมาหยิบอุปกรณ์ใกล้ทางเข้าครัวได้ยินเข้าพอดี เจ้าตัวเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะแกล้งกระแอมค่อนข้างดัง แล้วเดินเลี่ยงไปตีหน้าบึ้งอยู่แถวเคาท์เตอร์ ทางด้านปวีร์เหลือบมองตามพลางอมยิ้มน้อย ๆ  ส่วนธีรัชนั้นมองตามหลังราเมศไป แล้วหันมาถามปวีร์เบา ๆ

    “เขาหึงคุณใช่ไหมนั่น”

    “...อืม ไม่รู้สิ แต่ถ้าได้แบบนั้นก็ดี”

    ธีรัชฟังแล้วก็ยักไหล่นิด ๆ ตอนที่เขาจีบปวีร์ ก็รู้มาจากปากเจ้าตัวว่ามีคนที่ชอบแล้ว แม้จะไม่บอกว่าใคร แต่พอมาเห็นเองที่ร้านแบบนี้ก็พอจะเดาออกได้บ้าง เพราะสายตาที่ปวีร์มองราเมศนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยน ส่วนราเมศแม้จะไม่ได้แสดงออกว่ารักแบบคนรัก แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะคอยดูแลปกป้องคุ้มครองปวีร์อยู่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

    “น่าอิจฉาคนมีคู่นะ ผมเองก็อยากมีสักคนมาคอยดูแลเหมือนกัน”

    ธีรัชเปรยเบา ๆ ดูจากปฏิกิริยาของปวีร์และราเมศแล้ว ถึงจะยังไม่ประกาศตัวแต่ก็น่าจะมีความนัยอะไรกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ

    “ถ้าเลิกนิสัยเจ้าชู้ได้ ก็คงมีคนให้ความสนใจเธอเองล่ะนะ รู้ไหมว่ามันเป็นนิสัยที่ทำให้เธอดูติดลบ ถ้าคิดจะจริงจังกับใครสักคนน่ะ”

    ปวีร์เปรยเตือนอย่างไม่จริงจังมากนัก ส่วนคนฟังก็หัวเราะเบา ๆ แล้วยักไหล่นิด ๆ

    “ผมไม่ได้อยากเจ้าชู้สักหน่อย ผมก็แค่จีบคนที่ตัวเองสนใจ แต่บังเอิญคนที่ผมเล็งแต่ละคน ก็ดันมีเจ้าของหัวใจด้วยกันแทบทั้งนั้น ผมก็เลยต้องหาใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็แค่นั้นเอง”

    ปวีร์สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา คงต้องให้เจ้าตัวเจอคนที่ใช่จริง ๆ เสียก่อนนั่นล่ะ ถึงจะเลิกนิสัยเสียนั่นได้ด้วยตัวเองสักที

    “แต่ที่นี่นอกจากคุณแล้วก็มีคนน่าสนใจอยู่เยอะนะ  อย่างหนูอลิซ กับน้องหนูง่วงนั่น ก็สเป็คผมทั้งคู่เลยนะ”

    ปวีร์เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงเปรยตอบพร้อมรอยยิ้ม

    “ช่างเป็นคนที่มีสเป็คหลากหลายจังเลยนะ”

    ธีรัชหัวเราะเบา ๆ พอจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อเป็นอย่างดี

    “ใครบอกล่ะครับ เรื่องนิสัยน่ะ ผมไม่หยิบมาเป็นสเป็คหรอก เพราะแต่ละคนก็มีนิสัยเฉพาะตัวของตัวเองอยู่แล้ว ...แต่ที่ผมชอบทั้งสองคนนั่น เพราะทั้งคู่น่ารักเหมือนกัน แล้วก็ใจดี เอาใจใส่ ห่วงใยคนอื่น คล้าย ๆ กันด้วย”

    ปวีร์นิ่งรับฟัง แล้วก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยตามมา

    “ถ้าเป็นสองคนนั่น ขอบอกว่าเล่นยากทั้งคู่ ... คนหนึ่งก็ดื้อ หัวแข็ง ไม่ยอมใครง่าย ๆ  ส่วนอีกคน รายนี้หัวอ่อน น่ารัก แกล้งง่ายก็จริง แต่คู่แข่งนี่สิ...”

    ท้ายประโยคปวีร์หัวเราะเบา ๆ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่เขาก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหนุ่ม ๆ ในร้าน ที่มีต่อวาโยอยู่บ้าง และเผลอ ๆ จะไม่ใช่แค่พนักงานด้วยกันเท่านั้น  กระทั่งลูกค้าบางคน แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าวาโยเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังแสดงตัวเป็นแฟนคลับ ทั้งลับ ๆ และโจ่งแจ้งด้วยซ้ำ

    “คุณวีไม่คิดจะช่วยเหลือกันบ้างหรือครับ”

    ธีรัชอ้อนอีกฝ่าย แต่ปวีร์กลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

    “หึ ๆ เสียใจ ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถ ใครดีใครได้ ...อ้อ ขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าคิดใช้แผนสกปรกมัดมือชก รังแกพนักงานที่น่ารักของฉันด้วยล่ะ ...ไม่งั้นฉันจะทำบางอย่าง ที่จะทำให้นายต้องสำนึกเสียใจไปจนวันตายเลยทีเดียว”

    ปวีร์ขู่เบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ทว่านัยน์ตาคมกริบวาววับนั้นส่องประกายเอาจริง จนคนฟังต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ

    “ง่า...รับรองว่าไม่มีวันทำ และไม่คิดจะทำแบบนั้นแน่นอนครับ สาบานได้เลย!”

    ธีรัชรีบบอก ทำให้คนพูดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ

    “ถ้าได้แบบนั้นก็ดี ...เท่าที่ฉันดู นายก็ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น แต่ยังไงก็ต้องเตือนไว้ก่อน เพราะหนึ่งในนั้นเป็นหลานชายสุดที่รักของฉัน ส่วนอีกคนก็เป็นหนูน้อยที่ฉันถูกใจอยู่มาก  อืม... นอกจากนายแล้ว เห็นทีก็ต้องไปเกริ่น ๆ กับพวกนั้นด้วยเหมือนกันล่ะนะ”

    ปวีร์พึมพำ ทำเอาธีรัชมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนคุณพ่อที่หวงลูกสาวที่ยังไม่ออกเรือนยังไงยังงั้น

    “เอาลูกเต้าเขามาทำงานด้วย ก็ต้องดูแลให้มันดี ๆ หน่อย จริงไหมล่ะ”

    คนที่มักอ่านสีหน้าของคนอื่นออกดีเสมอเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาธีรัชสะดุ้งแล้วยิ้มแห้ง ๆ ตอบ พลางคิดในใจว่า นี่ตนเผลอไปจีบคนที่น่ากลัวเข้าให้แล้ว นี่ดีนะที่ปวีร์แค่ปฏิเสธ ถ้าอีกฝ่ายคิดแก้เผ็ดเขาเข้า มีหวังเขาคงจะโดนเล่นงานอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเข็ดไปเลยก็เป็นได้

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาใช้นิ้วทัดเส้นผมที่ร่วงลงมากับซอกหู  ทำให้คนที่มองอยู่เห็นรอยอะไรบางอย่างบนติ่งหูขาวเนียนนั่น

    “คุณวี นั่นมัน...”

    ปวีร์ชะงักเล็กน้อย เขาใช้นิ้วชี้มาจรดที่ริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เป็นการเตือนให้อีกฝ่ายหยุดพูด แล้วจึงดึงปอยผมให้มาปิดที่หูข้างนั้นเสีย ก่อนจะทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาธีรัชต้องจ้องอีกฝ่ายตาปริบ ๆ แล้วเหลือบไปมองคนที่น่าจะเป็นเจ้าของรอยคล้ายรอยฟันนั่น ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังตีหน้าบึ้งไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก  จากนั้นเขาจึงหันมาก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าต่อจนหมด และคอยอาสาช่วยอยู่ในครัวสักพัก จึงขอตัวกลับ เพื่อไปเตรียมทำงานในคลับตอนกลางคืนต่อ

     

    พอเริ่มตกเย็น คนก็ทยอยกันมามากขึ้น และเพราะวันนี้มีพนักงานพาร์ทไทม์มาช่วยในช่วงสลับพัก จึงทำให้ทั้งสี่คนไม่เหน็ดเหนื่อยเหมือนกับเสาร์ที่ผ่านมา และยังมีแรงกำลังเหลือพอที่จะต้อนรับแขกขาประจำและขาจรของร้านกันอย่างขยันขันแข็ง

    “ยินดีต้อนรับครับ มากี่ท่านครับ”

    กวินเอ่ยทักทายลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาในร้าน อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มค่อนข้างสูง รูปร่างเท่าที่มองผ่านสูทชั้นดีที่เจ้าตัวสวมใส่น่าจะได้สัดส่วนและมีกล้ามเนื้อพอสมควร เจ้าตัวถอดแว่นตาดำที่สวมอยู่เสียบใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบกลับไป

    “ผมไม่ได้มาใช้บริการร้านหรอก ...ผมจะมาเยี่ยมคนน่ะ”

    กวินนิ่งชะงัก ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะบอกออกไปเช่นไร เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

     “พี่ไกร!”

    เสียงขวัญแก้วดังขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อหันมาเห็นหน้าของคนที่เพิ่งเข้ามาในร้าน

    “ไง… ยัยแก้ว ทำงานขยันขันแข็งดีไหมเรา”

    “พี่ไกร มาได้ยังไงครับ แล้วนี่กลับจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับเนี่ย”

    ราเมศเอ่ยทักบ้างอย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าเขาสองปีผู้นี้ จะแวะมาเยี่ยมเยียนถึงร้านได้ เพราะเท่าที่เขาทราบมา อีกฝ่ายนั้นทำงานประจำเป็นดีไซเนอร์ให้แบรนด์ชื่อดังแบรนด์หนึ่งในอเมริกาตอนนี้

    “พอดีอยู่ในช่วงพักร้อนน่ะ เลยแวะกลับมาเยี่ยมเยียนน้องสาวสุดที่รักทั้งสองคนน่ะสิ แล้วจะแวะมาบ่นวีมันด้วย ที่เอาน้องสาวที่น่ารักของฉันมาใช้งานทั้งคู่แบบนี้”

    ไกรสรตอบอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อขวัญตาที่ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก เดินจ้ำพรวดออกมาจากครัว อ้อมหลังเคาท์เตอร์ แล้วตรงเข้ามาสวมกอดชายหนุ่มตรงหน้า

    “พี่ไกร! คิดถึงที่สุดเลยค่ะ!”   

    ไกรสรหอมแก้มหญิงสาวซ้ายขวา แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ

    “เป็นสาวสวยเต็มตัวแล้วสินะเรา หวังว่าคงไม่มีหนุ่ม ๆ หน้าไหนมาเกาะแกะใช่ไหม”

    ไกรสรเปรยเสียงเข้ม ทำเอาลูกค้าชายในร้านบางคนที่เพิ่งเคยเห็นขวัญตาครั้งแรก และเกิดอาการปิ๊ง ต้องก้มหน้าก้มตามองโต๊ะไปแทนอย่างนึกหวาดหวั่น ต่อน้ำเสียงเข้ม ๆ และแววตาคมกริบของอีกฝ่ายยามพูดถึงผู้ชายคนอื่น

    “แหม! พี่ล่ะก็ ทำหวงไปได้ เดี๋ยวตาก็ขึ้นคานพอดี!”

    ขวัญตาบอกอย่างนึกขำ ก่อนจะชะงักและขอตัวกลับไปทำงาน เมื่อเห็นวาโยเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ มาวางออเดอร์ลูกค้าอย่างเกรงใจ

    “อุ๊ย! มีออเดอร์มาอีกแล้ว ตาไปทำงานก่อนนะคะพี่ ไว้เลิกงานแล้วค่อยคุยกันนะคะ”

    จากนั้นหญิงสาวก็กลับเข้าครัวไปทำงานต่อ แม้ชานนจะบอกว่าให้เธอไปคุยกับพี่ชายได้ตามสบายก็ตาม แต่ขวัญตาก็ยังคงยืนกรานว่า ไว้คุยหลังเลิกงานก็ได้ จนชานนต้องยอมแพ้ในที่สุด



    “พี่ไกร...ถ้าไม่รังเกียจห้องทำงานของผม จะแวะไปพักก่อนดีไหม มายืนแบบนี้นอกจากเป็นจุดเด่นแล้วมันเกะกะพนักงานของผมด้วยนะ”

    ปวีร์ที่ลงมาเพราะได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากสองสาว เอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม ส่วนไกรสรพอได้ยินจึงหันไปมองแล้วยิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบ

    “ก็ได้ ๆ ยังไม่ไว้หน้าใครเหมือนเดิมเลยนะ ...นายทนเขามาถึงป่านนี้ได้ไงน่ะราเมศ”

    ราเมศยิ้มให้แทนคำตอบ ส่วนปวีร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างไม่ถือสา จากนั้นไกรสรจึงเดินอ้อมหลังเคาท์เตอร์ไปทางครัว โดยมีสายตาสนอกสนใจของทั้งพนักงานและลูกค้ามองตามไป เพราะชายหนุ่มนั้นจัดได้ว่าเป็นคนมีบุคลิก รูปร่าง หน้าตา อยู่ในขั้นดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว

    “ญาติของคุณราเมศสินะ  นายรู้จักเขาหรือเปล่าน่ะริน”

    กวินถามชายหนุ่มหน้าสวยอย่างสนอกสนใจ การินเหลือบมองคนถาม ก่อนจะสั่นศีรษะค่อย ๆ

    “ไม่รู้สิ เพื่อนอาที่ฉันรู้จักก็มีแต่คุณราเมศ  อย่างคุณขวัญแก้วก็เพิ่งมารู้จักตอนเปิดร้านนี่ล่ะ”

    กวินพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

    “ว่าแต่เป็นคนที่หน้าตาดีน่าดูเลยนะ ญาติพี่น้องทางฝั่งคุณราเมศเนี่ย ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็หล่อทั้งนั้น...”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมามองคนข้าง ๆ ซึ่งก็หันมาสบตาเขาพอดี

    “มีอะไร” การินถามห้วน ๆ รู้สึกหงุดหงิดกับสายตาของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด

    “ง่า...ไม่มีอะไร ฉันไปดูแลลูกค้าต่อก่อนล่ะ”

    กวินเอ่ยตัดบท ขืนบอกไปตามตรงว่าอีกฝ่ายเองก็หน้าตาสวยเหมือนกับปวีร์ที่เป็นญาติกัน สงสัยการินจะโกรธแน่ พอการินโมโห ส่วนใหญ่วาโยก็มักจะมาช่วยห้ามทัพ แล้วเขาก็พลอยจะโดนลูกหลงถูกชายหนุ่มดุซ้ำเข้าให้อีก  เขายิ่งพยายามจะทำคะแนนหัวใจกับวาโยอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจะไม่มาพลาดเพราะความเผลอปากง่าย ๆ แบบนี้เป็นอันขาด



    ทางด้านการินขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบ ๆ พอจะมั่นใจว่าเมื่อครู่กวินต้องเตรียมหลุดอะไรที่ทำให้เขาโมโหแน่ อ่านจากสีหน้าและแววตานั่นก็พอจะเดาได้ แต่พออีกฝ่ายเลิกพูดกะทันหันแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจแทน

    ‘อะไรของหมอนั่น...เฮ้อ...จะว่าไปมันก็ดีหรอก ที่หมอนั่นสงบปากสงบคำได้ ...แต่ไอ้สีหน้าที่ทำเหมือนจะพูดอะไรให้ชวนโมโห แต่ไม่ยอมพูดนั่นสิ มองแล้วหงุดหงิดชะมัด’

    ชายหนุ่มหน้าสวยคิดในใจ แต่สำหรับเขากวินก็ยังคบง่ายกว่าธีรัชหลายเท่านัก เพราะถึงแม้กวินจะปากเสีย แต่ก็มักจะขอโทษตามมาเวลาเขาโมโหหรือแสดงความหงุดหงิด ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่นั่นจะเป็นเพราะวาโยช่วยพูดให้ก็ตาม แต่กับธีรัช อีกฝ่ายนั้นมักแสดงท่าทางและพูดจากวนประสาทใส่เขา โดยไม่คิดจะแก้ไขหรือขอโทษให้เขาหายโกรธเลยสักนิดเดียว

    “ริน...เป็นอะไรไปหรือเปล่า หน้ามุ่ยเชียว ...หรือว่าวินทำให้โมโหอีกแล้ว”

    วาโยที่ผ่านมาสังเกตเห็นเอ่ยทัก ทำให้การินชะงัก และเมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของอีกฝ่าย เขาก็ฝืนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไป

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงเรื่องน่าโมโหบางเรื่องเท่านั้นเอง”

    วาโยฟังแล้วก็สั่นศีรษะเบา ๆ แล้วจึงยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

    “งั้นก็ดี  นึกว่าวินแหย่ให้โมโหอีกแล้วเสียอีก แล้วรินก็อย่าทำหน้าบึ้งนักเลยนะ  เสียดายออก เวลารินยิ้มออกจะดูดีแท้ ๆ”

    รอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายทำเอาการินต้องลอบถอนใจ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตอบ ทำให้วาโยยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น จากนั้นชายหนุ่มจึงขอตัวไปทำงานต่อ โดยมีการินมองตามไล่หลังไป แล้วจึงถอนหายใจกับตัวเองอีกครั้ง

    ‘...ดีนะที่หมอนี่เป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงไม่ต้องคิดเลยว่าจะน่าปวดหัวขนาดไหน ...แต่ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ เล่นโปรยยิ้มง่าย ๆ แบบนี้ มันอันตรายกับตัวนายเองขนาดไหน รู้บ้างไหมนะ’

    การินนิ่งคิดอย่างเอือมระอาต่อพฤติกรรมของคนที่เขานับเป็นเพื่อนสนิทคนแรก เห็นทีเขาคงต้องเรียกวาโยมาคุยเรื่องพวกนี้ดูสักครั้ง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเผลอไปหว่านเสน่ห์ให้ใครมาติดบ่วงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเพิ่มไปกว่านี้อีกก็เป็นได้

   

... TBC ....




**เนื่องจากตัวละครค่อนข้างเยอะ จึงทยอยกันมีบทนะคะ ^^ จะออกมาโครมเดียว เดี๋ยวนักอ่าน(และผู้แต่ง)จะสับสนเอาค่ะ  ....ตอนนี้ก็เพิ่มตัวละครคุณไกรเข้ามาอีกคน คนนี้ก็จะวางตัวให้เป็นตัวแปรสำคัญอีกตัวเหมือนกัน ซึ่งจะเป็นยังไงนั้นขออุบไว้ก่อน เพราะบางทีพล็อตมันอาจจะเปลี่ยนไปมาได้ค่ะ  แต่คร่าว ๆ ก็พอจะวางตัวจับคู่ไว้บ้างแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้จะถูกใจนักอ่านหรือเปล่าเน้อ  ^^”

หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 16-08-2012 17:17:21
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 16-08-2012 17:49:18
คุณไกร - พี่รุจ  เลยดีไหมคะ  555  :laugh: :laugh:
แต่ถ้าเกิดคู่กันขึ้นมาจริงๆเนี่ย ท่าทางจะมันส์น่าดูเลย  :m20:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 16-08-2012 18:06:10
ห่วงวาโยเค้าแล้วก็อย่าลืมห่วงตัวเองล่ะการิน เราก็สเน่ห์แรงใช่ย่อยนา :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 16-08-2012 18:06:24
อยากรู้ว่าวาโยจะคู่กับใครนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 16-08-2012 18:08:51
อืมม มาอีก 1 หนุ่ม เหอะๆ จะจับใครคู่ใครล่ะเนี่ย เยอะมั่ก  :laugh:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 16-08-2012 19:12:37
พี่ำไกรกับรุจ อั๊ยยะ

เราไม่กล้าเดาแล้ววว 555 กลัวเดาผิด

โยยังคงสเต็ปน่ารักไว้เหมือนเดิม ผู้ชายเริ่มเยอะขึ้นแหะ 55
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 16-08-2012 23:17:23
เค้าอยากอ่านตอน 'รอยฟัน'
โยน่ะ ถึงโดนอบรมจากริน ก็ไม่หยุดบริหารเสน่ห์โดยไม่รุ็ตัวหรอก
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: AnimajuS ที่ 16-08-2012 23:37:30
ร้านอยู่ตรงไหนนี้ จะไปอุดหนุนซะหน่อย :o8:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 17-08-2012 09:40:04
หนุ่มๆ เยอะเกิน เหอๆ เริ่มจิ้นไม่ออกและว่าจะให้ใครคู่ใครดี

555+
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 17-08-2012 09:49:42
โอ๊ยริน แนะนำโยช้าไปแล้วจ๊ะ ติดไปหลายบ่วงแล้ว 55555


สนุกมากคะติดตามๆ

ปล.ภูริ :L1: วาโย   ><
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-08-2012 11:01:57
หนุ่ม ๆ เยอะไปอ่ะ  สับสน ๆ ไม่รู้จะเลือกไป  อิ อิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 17-08-2012 11:12:18
คาดว่ารินจะเตือนไม่ทันแล้วล่ะ โยหวานเสน่ห์แบบไม่รู้ตัวไปเยอะแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 22 อัพเดท 16/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 17-08-2012 11:27:20
 :z1: :z1:ระหว่งรินกับโยใครจะได้ออกเรือนก่อนกันน๊า :z1: :z1:


รออ่านจ้า :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-08-2012 12:08:23


Miracle Café / 23




    ไกรสรมองไปรอบ ๆ ห้องของปวีร์อย่างพึงพอใจ และเมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญให้เขานั่งบนเก้าอี้นวมในห้องรับแขก เจ้าตัวจึงนั่งลงพร้อมเอ่ยขึ้น

    “นายก็ยังรสนิยมดีเหมือนเคยนะ  แล้วไม่คิดจะกลับไปทำงานแบบเดิมแล้วหรือ”

    ปวีร์ซึ่งนั่งลงตรงข้าม มองหน้าคนถามก่อนจะยิ้มน้อย ๆ

    “ไม่ล่ะ ผมเบื่อแล้ว ผมชอบออกแบบเสื้อผ้าเป็นงานอดิเรก มากกว่าที่จะต้องมาคอยทำตามลูกค้าบางคนที่จู้จี้จุกจิกสั่งโน่นนี่ ทั้งที่มันไม่ได้เหมาะกับตัวเองแท้ ๆ”

    ไกรสรมองอดีตดีไซเนอร์ฝีมือดีระดับแนวหน้าไม่แพ้เขา แล้วถอนหายใจเบา ๆ เมื่อก่อนปวีร์นั้นโด่งดังมากในแถบยุโรปและมีแบรนด์เป็นของตัวเองอีกด้วย ทว่าจู่ ๆ เจ้าตัวก็อำลาวงการ แล้วกลับเมืองไทย ทำเอาลูกค้าและเพื่อนฝูงร่วมวงการหลายคนนึกบ่นเสียดายไปตาม ๆ กัน พอมาทราบข่าวอีกทีก็ได้รู้ว่าเจ้าตัวชวนญาติผู้น้องของเขามาร่วมเปิดร้านคอฟฟี่ชอปแบบนี้เสียแล้ว

    “แล้วเมื่อไหร่จะเบื่อเม มันสักทีล่ะ เจอที่ไหนก็ตัวติดกันตลอดเวลา”

    ไกรสรเอ่ยแซว เพราะขนาดราเมศไปเรียนเป็นบาริสต้าที่ยุโรป ปวีร์เองก็ตามไปเรียนดีไซเนอร์แถวนั้นด้วย ไป ๆ มา ๆ ทั้งคู่ก็ได้ทำงานอยู่ที่นั่น จนเมื่อปวีร์กลับไทย ราเมศก็ติดตามกลับมาด้วยกัน

    “พี่คิดจะแยกพวกผมให้ได้หรือไง”

    ปวีร์ย้อนถามพร้อมรอยยิ้ม ทำให้คนฟังยักไหล่นิด ๆ

    “มาตอนนี้ฉันเลิกหวังให้เมมันหาน้องสะใภ้ให้แล้วล่ะ เพราะถ้าให้เลือกระหว่างผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยกับนาย หมอนั่นคงยอมทิ้งผู้หญิงกลับไปหานายแหง ๆ”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยตอบกลับไป

    “พี่ก็พูดเกินไป หมอนั่นมีความรับผิดชอบออก ถ้าต้องแต่งจริง ๆ ก็คงไม่ทิ้งเจ้าสาวง่าย ๆ หรอก”

    ไกรสรชะงักแล้วเลิกคิ้วนิด ๆ

    “นายยอมงั้นหรือ...ถ้าหมอนั่นคิดจะไปแต่งงานน่ะ”

    “ผมจะขัดอะไรเขาได้ล่ะ ถ้าเขาตัดสินใจแบบนั้นจริง ๆ น่ะ”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ตามมา

    “มั่นใจล่ะสิ ว่าเมจะไม่มีวันทิ้งนายไปได้”

    “ใครว่าล่ะพี่...ผมน่ะกลัวมากต่างหากว่าเขาจะทิ้งผมไปในสักวัน เพราะอย่างนั้นก็เลยพยายามทำทุกอย่างที่จะผูกมัดเขาไว้ และให้เขาเคยชินที่มีผมอยู่ข้างกายตลอดเวลาไงล่ะ”

    ปวีร์บอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ

    “ก็แค่บอกออกไปตรง ๆ ว่าชอบเขาแบบคนรัก ก็ลงเอยกันได้แล้ว ...ป่านนี้ก็ยังไม่ยอมบอกเลยไม่ใช่หรือไง”   

    ไกรสรเปรยเตือน เขารู้เรื่องของทั้งสองคนดี ทั้งจากการสังเกตของตัวเอง และจากคำบอกเล่าของขวัญแก้วและขวัญตา

    “ใครว่าล่ะ...”

    ปวีร์พึมพำแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนฟังชะงัก

    “บอกแล้ว? ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

    “ก็สด ๆ ร้อน ๆ ก่อนพี่จะมาไม่นานนี่เองล่ะ...อ้อ อย่าเพิ่งไปบอกพวกแก้วกับตาล่ะ ผมไม่อยากให้เขารู้ไวนัก เดี๋ยวหมอนั่นจะอายเอา ...อีกอย่างเขาเองก็บอกว่ายังไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไงกับผมด้วย”

    ไกรสรมองคนที่มีสีหน้าซึมลงเล็กน้อยอย่างสงสาร เพราะรู้ดีว่าปวีร์นั้นหลงรักราเมศมานานแล้ว แต่เขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าราเมศเองก็ชอบปวีร์ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่เจ้าตัวอาจจะยังไม่มั่นใจว่านั่นคือความรักก็ได้

    “ฉันว่านายไม่ต้องกังวลหรอก นายสองคนน่ะ...หือ...”   

    ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าแล้วสังเกตเห็นรอยบางอย่างที่ติ่งหูขาวเนียนข้างหนึ่ง

    “รอยอะไรน่ะ...เหมือนรอยฟันเลย...”

    ไกรสรเอื้อมมือไปแตะหูอีกฝ่าย ทำเอาปวีร์ชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะถูกชายหนุ่มเห็นเข้าให้ ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรประตูห้องก็ถูกเคาะเบา ๆ พร้อมกับราเมศที่เปิดออกมา

    “พี่ไกร ...ตาบอกว่าให้ ...”

    ราเมศเอ่ยค้างไว้แค่นั้น เพราะสายตาของเขามองไปเห็นไกรสรกำลังทำท่าคล้ายจับแก้มของปวีร์อยู่ ชายหนุ่มเม้มปากแน่น แล้วเดินเข้าไปดึงร่างของคนบนเก้าอี้นวมมากอดอย่างหวงแหน พร้อมกับจ้องมองไกรสรด้วยแววตาดุดัน

    “นี่ขนาดไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไง ยังหึงโหดขนาดนี้ ...ลองแน่ใจตัวเองหน่อย ฉันไม่โดนเขาชกคว่ำหรอกหรือวี”

    ไกรสรบอกอย่างนึกขำ ส่วนปวีร์นั้นหน้าแดงน้อย ๆ ด้วยความดีใจปนอาย และราเมศกำลังมึนงงได้ที่จากคำพูดของอีกฝ่าย

    “พี่พูดอะไรน่ะ ผมไม่เข้าใจ...แล้วเมื่อครู่นี้พี่ไกรทำอะไรหมอนั่นกันแน่”

    ราเมศย้อนถามอย่างสับสนและยังคงหวาดระแวงอยู่ไม่หาย

    “พี่ก็แค่ดูรอยฟันบนหูวีก็แค่นั้น กำลังจะถามว่าใครเป็นเจ้าของรอยฟันนั่น นายก็โผล่มาดึงตัวเขาไปพอดีไงล่ะ”

    พอได้ยินไกรสรพูดดังนั้น ราเมศก็ชะงักกึก หน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบปล่อยอ้อมแขนที่กอดเพื่อนสนิททันที จนปวีร์เองยังนึกขำ

    “เอ่อ...คือ ตาบอกว่า อยากให้พวกพี่ลงมาคุยด้านล่างที่ครัวมากกว่า เธอจะได้คุยด้วย... ผมมาบอกแค่นี้ล่ะ ไปทำงานต่อก่อนนะ”

    ราเมศบอกกับไกรสร พอเหลือบมองปวีร์เขาก็ยิ่งรู้สึกเขินแล้วรีบเดินจ้ำพรวดออกไป ปวีร์เองแม้จะเขินแต่ตอนนี้รู้สึกขำกับท่าทางของอีกฝ่ายมากกว่า

    “ดีใจล่ะสิท่า แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วใช่ไหมล่ะ”

    ไกรสรเอ่ยกระเซ้า ซึ่งปวีร์นั้นก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วพึมพำตอบ

    “นั่นสินะครับ ...ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ก็คงใช้แผนมือที่สามจู่โจมไปนานแล้วล่ะ”

     “นายนี่นะ ถ้าไม่เพราะเห็นว่ารักกันดีล่ะก็ ฉันไม่ยกน้องชายฉันให้กับคนที่น่ากลัวอย่างนายหรอก”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา แล้วจึงเดินไปที่ประตู ทำให้ไกรสรต้องลุกเดินตามไปด้วย

    “จริงสิ...พนักงานเสิร์ฟที่ร้านนายน่ะ อายุเท่าไหร่หรือ ที่เป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ ใส่ชุดอลิซน่ะ เกิน 18 แล้วใช่ไหม”

    ปวีร์ชะงักมือที่กำลังเปิดประตูห้อง แล้วจึงหันมามองอีกฝ่ายนิ่งด้วยสายตาแบบที่ทำให้ไกรสรรู้สึกสงสัย แต่สักพักอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ

    “เขาอายุ 22 แล้ว เพิ่งเรียนจบ ผมเลยรับมาทำงานด้วย”

    “22 หรือ หน้าเด็กจังนะ ...แต่ก็น่ารักดี”

    ไกรสรพึมพำ ทำให้คนฟังลอบยิ้ม

    “พี่สนใจหรือ ปกติเห็นควงแต่สาวใหญ่อกโตไม่ใช่หรือไง”

    “นั่นมันแค่คู่ควงแก้เบื่อ แต่เอาจริง ๆ แล้ว ฉันชอบแบบน่ารักอ่อนหวานแบบนี้มากกว่า แล้วตกลงน้องเขามีแฟนหรือยังล่ะ นายพอจะรู้ไหมวี”

    ปวีร์กลั้นหัวเราะ ก่อนจะแสร้งทำเป็นตีหน้ายิ้มแย้ม แล้วบอกออกไป

    “เท่าที่รู้ยังไม่มีแฟนนะครับ แต่คนจีบน่ะ ต่อคิวรอยาวเลยล่ะ”

    ไกรสรเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมา

    “ไม่แปลก คนน่ารักก็แบบนี้ ...ถ้ายังว่างอยู่ก็ดีแล้ว เผื่อฉันจะได้มาเป็นลูกค้าประจำร้านนายระหว่างที่พักร้อนอยู่เมืองไทยนี่สักหน่อย”

    “ก็หวังว่าพอได้คุยกันเรียบร้อยแล้ว พี่จะไม่แผ่นแนบหนีไปก่อนล่ะนะ”

    ปวีร์ทิ้งท้ายทำให้คนฟังขมวดคิ้ว แต่พอจะซักถามต่อ อีกฝ่ายก็ทำเป็นเมินเฉยและเดินนำหน้าไป ทำให้ไกรสรต้องเดินตามและบ่นพึมพำตามไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

   

    อีกด้านหนึ่งภายในร้านอาหาร ภูริเหลือบมองวาโยในชุดอลิซที่ยิ้มแย้มทักทายกับลูกค้าไปทั่ว เขาไม่สามารถทำเหมือนกวินที่แสร้งแสดงบทบาทเป็นตัวละครกระต่ายขาวคุยเล่นกับอีกฝ่ายแบบธรรมชาติ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงทำงานของตนต่อไปเงียบ ๆ จนกระทั่งลูกค้าเริ่มซาลง

    “คุณภูริครับ เหนื่อยหรือครับ ไปพักก่อนดีไหม เดี๋ยวผมทำแทนให้เอง”

    วาโยตีความสีหน้าไม่ค่อยร่าเริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างอื่น ภูริหันกลับมามองคนที่จ้องเขาด้วยสายตาห่วงใย แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ

    “ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เป็นห่วง”

    พอวาโยได้ยินอย่างนั้น เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วยุ่ง เพราะภูริดูแปลก ๆ ไป แถมยังหลบตาเขาอีกต่างหาก

    “ไม่สบายหรือเปล่าครับ ขอโทษนะครับ”

    วาโยเอื้อมแขนใช้หลังมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย ทำเอาภูริชะงัก แล้วถอยหนี เขารู้สึกว่าตัวเองจะหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา จึงเมินไปมองอีกทางแล้วรีบโพล่งบอก

    “ฉันบอกว่าไม่เป็นอะไรไงเล่า นายก็ไปทำงานของนายเถอะ!”

    วาโยสะดุ้ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดมือลงแล้วพึมพำบอกเสียงแผ่ว

    “ขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณหงุดหงิดอีกแล้ว...”

    ภูริหันขวับไปมองคนที่เดินคอตกจากไป เขาอยากจะเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายมาบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะดุใส่ชายหนุ่มเลยสักนิด แต่เพราะยังมีแขกนั่งอยู่บางโต๊ะ และมีสายตาของพนักงานคนอื่นมองอยู่ ภูริจึงได้แต่เก็บความในใจเอาไว้ และตั้งใจจะพูดคุยกับวาโยหลังงานเสร็จแล้วแทน



    ทางด้านวาโย เขารู้สึกแย่ที่ทำให้ภูริอารมณ์เสีย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าไปใกล้ชิดแท้ ๆ แต่พักหลังเพราะภูริพูดจาดีกับเขามากขึ้น และแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขาออกมาให้เห็นบ้างแล้ว จึงทำให้วาโยคิดไปว่าอีกฝ่ายน่าจะยอมรับในตัวเขาเป็นเพื่อนเช่นเดียวกับคนอื่นแล้วเหมือนกัน

    “อ๊ะ! ขอโทษครับ!”

    วาโยที่เดินก้มหน้าก้มตา ชนเข้ากับร่างสูงที่เดินตรงมาทางเขา และพอชายหนุ่มเงยหน้าก็เห็นว่าคนที่เขาชนเป็นพี่ชายของสองสาว ขวัญแก้วและขวัญตานั่นเอง

    “ไม่เป็นไร...หือ...เมื่อครู่นี้เธอพูดว่าอะไรนะ”

    ไกรสรขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะฟังผิด แต่เพราะคนตรงหน้าน่ารักเกินไปกว่าที่เขาจะเชื่อหูตัวเองได้

    “เอ่อ ผมบอกว่าขอโทษน่ะครับ ...คือขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

    วาโยเอ่ยตามมา ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง เขาหลับตาน้อย ๆ สงบจิตสงบใจ ก่อนจะยกมือปรามอีกฝ่าย

    “อืม...ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจแล้ว ...ถนัดชัดเจนเลย ...มิน่าล่ะหมอนั่นถึงได้พูดแบบนั้น”

    ไกรสรพึมพำ แล้วหันขวับไปที่เคาท์เตอร์  ส่วนปวีร์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ขวัญแก้ว ก็กำลังจ้องมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มขบขัน ก่อนจะโบกมือน้อย ๆ แล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน จนคนมองรู้สึกหมั่นไส้

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

    “เอ่อ ...ขอโทษครับ มีอะไรเกี่ยวกับผมหรือเปล่าครับ”

    วาโยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นน่ารักจนไกรสรไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าตัวเป็นผู้ชายจริง ๆ

    “เอ่อ ...ไม่มีอะไร ฉันแค่ถูกเจ้านายเธอแกล้งนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้น เธอไปทำงานต่อเถอะ”

    วาโยพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก เขายิ้มหวานให้อีกฝ่าย แล้วเดินเลี่ยงไปทำงานของตนต่อ ส่วนไกรสรนั้นพอเจอรอยยิ้มของชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ เจ้าตัวลอบถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะสำหรับลูกค้าเพราะตั้งใจจะลองดูว่าร้านที่ปวีร์และราเมศร่วมหุ้นกันเปิดเป็นร้านแบบไหนกันแน่

    “สวัสดีครับ... จะสั่งเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

     ภูริที่ว่างอยู่เข้ามารับออเดอร์เครื่องดื่มของอีกฝ่าย แม้จะค่อนข้างแปลกใจที่เห็นญาติของราเมศมานั่งเป็นลูกค้าแบบนี้ แทนที่จะไปสั่งโดยตรงแล้วนั่งกินในครัวแทน

    “อ้อ ...ผมเอาลาเต้ร้อนมาที่แล้วกัน”

    “รับเป็นลาเต้ร้อนนะครับ จะสั่งอาหารเลยด้วยไหมครับ”

    ภูริจดเมนูเครื่องดื่มไปแล้วถามต่อซึ่งอีกฝ่ายก็หยิบเมนูมาไล่ดู แล้วบอกอีกฝ่าย

    “ขอเป็นพุดดิ้งนมสด กับคาราเมล อย่างละที่เลยนะ”

    ภูริทวนคำแล้วจดรายการไปในสมุดจด แม้จะคิดในใจว่าหน้าตาและรูปร่างอย่างอีกฝ่ายไม่ค่อยเหมาะกับของหวานสักเท่าใดนัก

    “เฮ้อ...น่าเสียดายจริงน้า หน้าตาก็ออกจะน่ารัก ดันเป็นผู้ชายเสียได้”

    ไกรสรพึมพำเมื่อมองไปเห็นวาโยกำลังยิ้มแย้มต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่ในร้าน ทำให้ภูริที่ได้ยินเข้าพอดีชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำเป็นกลบเกลื่อนและเดินนำออเดอร์นั้นไปส่งที่เคาท์เตอร์ต่อไป

    ‘เด็กอะไรก็ไม่รู้ ทำไมถึงเสน่ห์แรงแบบนี้นะ ...’

    ภูริคิดในใจอย่างหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่ได้คิดขุ่นเคืองคนอื่นที่ชอบวาโยเท่าใดนัก แต่กลับโมโหตัวเองที่ชอบทำตัวให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดเสมอมากกว่า

    จากนั้นภูริจึงเดินไปที่โต๊ะของไกรสร เพื่อที่จะรินน้ำแร่ให้อีกฝ่ายดื่มรอไปก่อน ทว่าเขาก็เห็นวาโยปลีกตัวมาทำหน้าที่นั้นแทนแล้ว แถมยังพูดคุยทักทายและส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างดูสนิทสนมอีกด้วย ภูรินิ่งอยู่กับที่ชั่วครู่ เขาเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะตั้งใจทำเป็นโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูวาโยเบา ๆ

       “อลิซครับ... อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของลูกค้าสิครับ เราไปยืนรอทางนั้นสองคนดีกว่านะ”

    วาโยสะดุ้งโหยง เงยหน้ามองภูริอย่างตกใจ อีกฝ่ายแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เขา แล้วหันไปยิ้มให้กับไกรสรพลางโค้งศีรษะนิด ๆ ให้

    “ขอรับตัวอลิซไปก่อนนะครับ”

    ไกรสรพยักหน้ารับรู้อึ้ง ๆ เพราะแม้ภูริจะยิ้มแย้ม แต่นัยน์ตานั้นประกาศความเป็นศัตรูคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

    “...ให้มันได้ยังงี้สิ   ร้านของนายมันน่าสนดีนี่หว่า วี ...หึ ๆ”

    ไกรสรพึมพำเบา ๆ  หลังจากที่ทั้งคู่เดินไปแล้ว จากนั้นเขาจึงเกิดนึกสนุกคิดทำอะไรบางอย่างเพื่อฆ่าเวลาระหว่างช่วงพักร้อนในไทยราวเดือนกว่านี้

   

    อีกด้านหนึ่งวาโยที่เดินตามคนฉุดแขนเขามาต้อย ๆ ต้องเหลือบมองภูริอย่างเป็นกังวล ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อภูริที่พาเขามามุมลับตาลูกค้าของร้าน หยุดเดินและหันมามองเขา

    “เอ่อ...คุณภูริ ผมทำอะไรผิดอีกหรือครับ”

    วาโยถามอย่างกังวล ทำให้คนมองถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบใบหน้าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน จนวาโยสะดุ้งโหยง

    “ไม่มีอะไรหรอก...คือ ฉันก็แค่อยากขอโทษนาย...เรื่องก่อนหน้านั้น ...ฉันไม่ได้โมโหอะไรนายเลยสักนิด แต่ดันพูดแบบนั้นออกไป เพราะ...”

    ภูริอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยากจะบอกแต่ก็กลัวเสียฟอร์ม ทว่าพอมองเห็นแววตาสงสัยของอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง เจ้าตัวค่อย ๆ ลดมือที่ลูบแก้มนั่นลง แล้วจึงบอกไปโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

    “ฉันก็แค่...เอ่อ ...รู้สึกอาย ...เรื่องที่ถูกวัดไข้เหมือนเด็กแบบนั้น...ก็แค่นั้นเอง”

    วาโยเงียบกริบ เขาเงียบจนภูริต้องหันกลับมามองอย่างใจไม่ค่อยดี ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วยิ้มหวานตามมา

    “ดีใจจัง ผมคิดว่าคุณโกรธที่ผมวุ่นวายกับคุณเสียอีก”

    ภูรินิ่งอึ้งเขาเผลอจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่มือข้างเดิมจะยกขึ้นลูบไล้เส้นผมอีกฝ่ายแผ่วเบา นิ้วเรียวค่อย ๆ ไล้ลามผ่านแก้มเนียน จนกระทั่งมาหยุดอ้อยอิ่งที่ริมฝีปาก  จนวาโยตัวแข็งทื่อหน้าร้อนวูบวาบไปหมด โดยเฉพาะเมื่อเห็นแววตาที่แปลกไปของอีกฝ่าย

    “เอ่อ...คุณภูริ ...คือ”

    “อลิซจ๊ะ! อลิซ! แขกอยากขอถ่ายรูปด้วยจ้ะ”

    เสียงใส ๆ ของขวัญแก้วทำให้วาโยและภูริชะงัก วาโยถอยออกมาก้าวหนึ่งทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วจึงรับคำเบา ๆ ก่อนจะวิ่งไปตามเสียงเรียกนั้น ส่วนภูริที่ตั้งสติได้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางก้มมองมือตัวเอง แล้วจึงหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ ในที่สุด

   
... TBC ...

   

    **นายภูเริ่มทำคะแนนแล้ว หน้าผากน้องโย โดนเปิดซิง แก้มก็โดนหอม แต่ยังเหลือริมฝีปากอยู่นะคะ อิ ๆ คิดว่าใครจะได้ประเดิมไปกันแน่เอ่ย ^^....ตอนหน้าเดี๋ยวคิดว่าจะแทรกบทให้หนุ่มรุจบ้างค่ะ  สำหรับรายนี้จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้เสนอตัวเป็นคู่แข่งจริงจังเรื่องน้องโยอะไรกับใครนักหรอกค่ะ  แต่พี่แกเป็นพวกชอบกระตุ้นชาวบ้านให้วุ่นวายมากกว่า และเป็นพวกชอบคอยลุ้นอยู่ห่าง ๆ  .....ส่วนที่ว่าหนุ่มรุจจะมีคู่ไหม มีแน่ค่ะ นิสัยแบบนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ถูกกด หรือเป็นฝ่ายกดดีล่ะนะ หุ ๆ หนุ่มแว่นซะด้วย เคะก็ได้เมะก็ดีอยู่แล้ว ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 17-08-2012 12:16:39
จิ้มๆ (แอบมาจิ้มเบาๆ ฮุฮุ)

ขนาดยังไม่รู้ใจตัวเองอย่างแน่ชัด ยังกวงวีขนาดนี้
แล้วถ้ารู้นี้คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้วีแน่ๆ เพราะเจ้าของหวง
ภูมิเริ่มรุกแล้วซินะ อยากรู้มากๆว่าใครจะได้คู่กับโย (ลุ้นๆ)
เห็นด้วยรุจนี้เป็นได้ทั้งรุกและรับเลย แต่ในความคิดเราเคะมากกว่าอยู่นิดหน่อย
แอบคิดเหมือนกันนะว่ารุจดูเหมาะกับไกรสรอ่ะ นิสัยน่าจะไปกันได้

ปล อยากอ่านตอนที่รอยฟันถูกประทับบนคอกับบนติ่งหูจังเลย >.,<
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 17-08-2012 12:26:55
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-08-2012 12:30:31
เชียร์ภูริอ่ะ  ชอบ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-08-2012 12:53:10
กวินก็น่ารัก ภูริ ก็ดี โอ๊ย เลือกไม่ถูก อยากเก็บเธอไว้ทั้ง 2 คน งั้นก็ 3P กันดีกว่า นะๆๆๆๆ  :haun4:  :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 17-08-2012 13:00:44
เอาละวา้ีพี่ไกรจะลงสหนามแข่งกับเค้าไหมเอ๋ยอิอิ :กอด1: :กอด1: :กอด1:


รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: kururu ที่ 17-08-2012 13:44:16
สำหรับใครที่อยากรู้ฉาก "ประทับรอยฟัน" เดี๋ยวจะเขียนแทรกให้อ่านแน่นอนจ้ะ ^^ เอ...หรือไม่อยากรู้กันหว่า...l
^
^
^
^
^
อยากรู้มาก ขอบอก เอามาลงด่วน


   
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 17-08-2012 15:56:15
โยเสน่ห์แรงมากกกกกกก

นี่เพิ่มหนุ่มในฮาเร็มเพิ่มมาอีกคนแล้วสินะ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 17-08-2012 17:56:58
น่ารัก เชียร์ให้วาโยชอบภูริ  แล้วหนุ่มรุจต้องเป็นเมะสิ ท่าทางไม่น่าเป็นเคะนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 17-08-2012 19:08:11
แอร๊ยๆๆ ภูริเริ่มรุกทำคะแนนบ้างแล้ว :o8:
อยากเป็นวาโยจริงๆ มีแต่หนุ่มๆมารุมรัก :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 17-08-2012 19:18:58
ไม่อยากให้คนที่คิดว่าเป็นฝ่ายรุกเป็นฝ่ายถูกกดนะค้าาาาาา

นู๋นชรับไม่ได้5555 เอาเป็นว่ารุมรักน้องโย แบบเดิมดีกว่านะ งุงิ

 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 17-08-2012 20:08:09
อ๊ายยยยยย หนูโย กับ คุณภูริ น่ารักอะ ชอบบบบ

โอ๊ยๆๆๆ ไม่ไหวนะ อ่านไปเิขินไป เขินแทนโย 555

แอบอิจฉาน้อยๆ คนที่ได้ใกล้ชิดหนูโยจริงๆเลยอ่า

ชอบบบบ *////*

คุณไกร รู้นะคิดอะไรอยู่ 5555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 17-08-2012 20:46:44
อ๊ายยยยยยย เขิล

โบกธง FC ภูริวาโย ><////


คุณไกรจะทำอะไรน๊า น่าหนุกต่อหัวใจหนุ่มๆจัง คิคิ :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 17-08-2012 21:07:32
แอบสงสัยรอยฟันด้วยคน 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 17-08-2012 21:24:18
เชียร์ภูริสุดใจขาดดิ้นเลย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 17-08-2012 22:08:30
อ๊ายยยยย
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

รอรอยฟันของหนุ่มวี
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 18-08-2012 08:26:56
ภูริเริ่มรุกแล้ว เชียร์ๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 23 อัพเดท 17/8/55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-08-2012 11:04:56
ภูริทำคะแนนทีหลัง  แต่คะแนนนำคนอื่นระริ่วเลยอ่ะ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-08-2012 12:16:59


Miracle Café / 24



   วาโยหน้าร้อนวูบวาบใจเต้นแรง กับท่าทางที่ดูผิดแปลกไปของภูริซึ่งแสดงกับเขา แต่พอถูกขวัญแก้วทัก เขาก็รีบปั้นสีหน้ายิ้มแย้มออกไปเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้

   “มีใบเสร็จที่จะใช้สิทธิ์ได้สองใบน่ะค่ะ ถ้าจะขอถ่ายรูปกับน้องโยรูปหนึ่ง และอีกรูปให้น้องโยถ่ายกับพนักงานของร้านแทนพวกเราจะได้ไหมคะ”

   ลูกค้าสาวสองคนนั้นลองถามขวัญแก้ว ซึ่งเธอก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบรับตามมาอย่างไม่ต้องคิดนานนัก

   “ถ้าแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ ว่าแต่ต้องการเรียกใครมาถ่ายกับโยเขาล่ะคะ”

   “คุณภูริ / คุณกวิน ค่ะ!”

   ทั้งสองสาวพูดขึ้นพร้อมกันแล้วหันมาเขม่นกันแทน

   “เอ๊ะ! ฉันก็บอกแล้วไงว่าคุณภูริเหมาะกับน้องโยเขามากกว่า”

   “แต่ฉันว่าคุณกวินเข้ากันมากกว่า เป็นอลิซก็ต้องคู่กับกระต่ายขาวสิ!”

   สองสาวแง่ง ๆ ใส่กันจนขวัญแก้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะลองเสนอความเห็นบางอย่าง

   “งั้นก็ให้ทั้งภูริและกวินมาถ่ายพร้อมวาโยดีไหมคะ เพราะเขาสองคนก็แทนคุณสองคนพอดีเลยไงล่ะคะ”

   ทั้งสองสาวมองหน้ากัน นิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตกลง

   “งั้นก็ดีค่ะ โยจ๊ะ ไปตามภูริ กับ กวินมาทีสิ”

   วาโยยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเดินไปบอกกวิน กับภูริให้มาถ่ายรูปด้วยกันกับเขา สำหรับรูปแรกที่เขาถ่ายกับสองสาวนั้น ผ่านไปได้ด้วยดี พอมาถึงรูปที่สองนี่สิ ทั้งคู่ช่วยกันจัดแจงท่าทางให้พวกเขาทั้งสามเสียยกใหญ่

   “คุณวินขา โอบเอวด้วยสิคะ!”

   กวินกลืนน้ำลายลงคอ ถึงจะดีใจแต่ก็กลัวว่าวาโยจะโกรธเอา

   “ไม่เป็นไรหรอกวิน ทำไปเหอะ”

   วาโยบอกกับอีกฝ่ายอย่างไม่ถือสาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทนั้นแอบคิดไม่ซื่อกับตัวเองมาก่อน

   “คุณภูริคะอย่าน้อยหน้านะคะ โอบไหล่เลยค่ะ!”

   สาวอีกคนเชียร์บ้าง ทำเอาภูริยิ้มเจื่อน ๆ เขามองวาโยซึ่งอีกฝ่ายก็หน้าแดงนิด ๆ แต่ก็ยังพยักหน้าอนุญาต

   “เอาล่ะ ถ่ายนะจ๊ะ!”

   ขวัญแก้วบอกแล้วนับถอยหลัง และเมื่ออีกฝ่ายกดชัตเตอร์เรียบร้อย ทั้งสามคนก็ขออนุญาตแยกย้ายกันไปทำงานต่อ ซึ่งสองสาวผู้เป็นลูกค้าก็กล่าวขอบคุณทั้งสาม และต่างรอให้ขวัญแก้วพิมพ์ภาพ และรอไฟล์จากกล้องของเธอมาเก็บไว้ต่อไป

   

   “เฮ้อ! หลัง ๆ มานี่ลูกค้าชอบขอให้โพสท่าแปลก ๆ กันเยอะเชียวแฮะ”

   วาโยบ่นเบา ๆ แต่สองหนุ่มกลับเงียบไม่พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกขอบคุณลูกค้าสองสาวที่ทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับวาโยขนาดนั้น

   “ไปขอรูปมาเก็บมั่งดีไหมเนี่ย”

   กวินเผลอหลุดความในใจออกมา ทำเอาวาโยกับภูริมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

   “ง่า...ก็แบบน่าเก็บสะสมดีไง นี่ฉันยังว่าจะขอไฟล์พ่อบ้านเสาร์ก่อนมาเก็บไว้เลยนะ”

   กวินรีบแก้ตัว ทำให้วาโยนิ่งนึกตามแล้วพยักหน้ารับรู้

   “ก็เข้าท่านะ แต่บางรูปมันก็ค่อนข้างน่าอายพิกล”

   วาโยบ่นเบา ๆ ส่วนกวินลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างรู้ทันของภูริ กวินจึงส่งสายตาพยักเพยิดขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายบอกออกไปว่าเขาไม่ได้คิดแค่อย่างที่พูดกับวาโยจริง ๆ

   “ก็ดีเหมือนกัน...ฉันขอเก็บไว้บ้างดีไหมนะ”

   ภูริเปรยขึ้นบ้าง ทำให้กวินกัดฟันกรอดเล็กน้อย เพราะไป ๆ มา ๆ อีกฝ่ายก็ไม่แตกต่างจากเขาเท่าใดนัก

     “ง่า...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

   วาโยที่รู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ เมื่อเห็นสายตาที่ทั้งสองคนนั้นจ้องกัน  รีบเอ่ยปากขอตัวไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ ส่วนการินก็กลับมาประจำด้านใน เพราะด้านนอกนั้นไม่มีลูกค้านั่งอยู่แล้ว เนื่องจากพอตกค่ำ ถึงอากาศจะเย็นลง แต่ก็เสี่ยงยุงกัดอยู่เหมือนกัน

   “สงสัยต้องให้อา ไปหาสมุนไพรมาปลูกกันยุงไว้ด้านนอกบ้างแล้วล่ะ”

   กวินหันไปมองคนบ่นอย่างประหลาดใจ แล้วย้อนถาม

   “มีด้วยหรือสมุนไพรที่กันยุงได้น่ะ”

   การินหันมามองคนถาม เขายักไหล่นิด ๆ แล้วทำหน้าแบบที่กวินรู้สึกหมั่นไส้ เจ้าตัวคันปากยิบ ๆ แต่ก็ยังคงอยากได้คำตอบ จึงทนรอคอยเงียบ ๆ การินเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย

   “ก็เท่าที่รู้ก็พวกสมุนไพรกลิ่นแรงหน่อย ๆ อย่างตะไคร้หอม หรือไม่ก็พวกที่ปรับปรุงพันธุ์มาโดยเฉพาะอย่างต้นมอสซี บัสเตอร์ นั่นยังไงล่ะ”

   กวินขมวดคิ้ว พลางทวนคำอย่างสงสัย

   “มอส ๆ อะไรนะ”

   “มอสซี บัสเตอร์...เอาเหอะ คืนนี้เดี๋ยวเอาหนังสือไปให้ดูแล้วกัน”

   การินตัดบท เพราะขืนมัวแต่ยืนอธิบายกันกลางร้านแบบนี้ ก็คงไม่ได้ทำงานกันต่อพอดี

   “โอเค อย่าลืมด้วยล่ะ น่าสนใจดีนะ ต้นไม้ไล่ยุงได้ด้วยแบบนี้”

   กวินบอกแล้วยิ้มแย้มร่าเริง ก่อนจะไปทำงานต่ออย่างอารมณ์ดีจนการินแปลกใจ

   “ไปเจออะไรดี ๆ มาหรือไงหมอนี่ พิลึกแฮะ”

   ชายหนุ่มหน้าสวยบ่นเบา ๆ แล้วจึงเดินไปคอยดูแลโต๊ะที่มีลูกค้านั่งอยู่ จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาปิดร้าน ลูกค้าคนอื่นเริ่มทยอยกันออกไปจนเกือบหมด เหลือแต่เพียงไกรสรที่นั่งสบาย ๆ อยู่คนเดียว



   “พี่ไกรขา ร้านจะปิดแล้วนะคะ คิดจะนั่งแช่ถึงตอนไหนคะเนี่ย!”

   ขวัญแก้วออกมาหาพี่ชายของเธอแล้วเอ่ยแซว เพราะเธอนั้นรู้ดีว่าพี่ชายรออยู่เพื่อต้องการจะกลับพร้อมกับพวกเธอนั่นเอง

   “พอดีนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเงินติดตัว เลยคิดว่าจะรอล้างจานตอนร้านปิดแทนน่ะ”

   ไกรสรบอกยิ้ม ๆ ทำให้หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ส่วนคนอื่นพากันยิ้มน้อย ๆ เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจะเป็นเรื่องจริง ที่สำคัญต่อให้ชายหนุ่มกินฟรีก็ไม่น่าจะมีปัญหาด้วยซ้ำ

   “งั้นก็เช็คบิลเลยก็ได้ ทุกคนจะได้พักกันสักที...อืม... เธอน่ะมานี่หน่อยสิ”

   ไกรสรเจาะจงเรียกวาโยทำให้คนอื่นหันมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย

   “คิดเงินให้ด้วยเลยแล้วกัน รับบัตรเครดิตด้วยใช่ไหม”

   วาโยพยักหน้าหงึก ๆ แล้วไปรวบรวมบิลจากรุจมาคิดเงินอีกฝ่าย เมื่อจัดการชำระเงินเรียบร้อย ไกรสรก็จับมือของวาโยที่เตรียมจะหยิบสมุดเดินบิลกลับไป

   “เอ้า! นี่ทิป ...อย่าลืมเมมชื่อฉันเก็บไว้ล่ะ แล้วถ้ามีอะไรเดือดร้อนก็โทรมาได้เสมอ ฉันยินดีช่วยทุกอย่าง”

   ไกรสรหยิบนามบัตรของเขาจับใส่มือของอีกฝ่ายพลางยกขึ้นจูบเบา ๆ ทำเอาวาโยตัวแข็งทื่อ หน้าแดงวาบ ส่วนขวัญแก้วที่มองอยู่ถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว

   “กรี๊ด! พี่ไกร! ทำยังงี้ได้ยังไงกันคะ! ห้ามเลยนะ อย่ามายุ่งกับพนักงานของที่นี่นะ!”

   “อะไรกันแก้ว พี่ยังไม่ได้ยุ่งสักหน่อย ก็แค่ถูกชะตาน้องเขาก็เลยให้เบอร์ไว้ก็แค่นั้นเอง”

   ไกรสรบอกพลางยักไหล่ แล้วยกยิ้มนิด ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นปฏิกิริยาแปลก ๆ ของหนุ่มคนอื่นโดยเฉพาะภูริ และกวิน

   “ไม่ได้ ๆ เจ้าชู้ตัวพ่อ แถมเปลี่ยนหญิงควงไม่เว้นแต่ละวันแบบพี่นี่ ให้เข้าใกล้น้องโยของแก้วไม่ได้หรอก เดี๋ยวน้องเขามีมลทินหมด”

   ขวัญแก้วบอกหน้าตาเฉย ทำเอาคนอื่นหันมามองไกรสรตาปริบ ๆ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะแก้ตัว ขวัญตากับปวีร์ก็เดินออกมาจากครัวด้วยกัน

   “อะไรกันคะ ใครจะยุ่งกับใครหรือคะพี่แก้ว”

   ขวัญตาถามพี่สาวของเธอ ซึ่งขวัญแก้วก็รีบบอก

   “ก็พี่ไกรน่ะสิยัยตา ให้นามบัตรน้องโย แถมยังอ่อยน้องเขาอีก”

   ไกรสรขมวดคิ้วยุ่งกับคำพูดที่ได้ยินจากปากน้องสาว

   “อ่อยบ้าบออะไรกัน เรานี่ชักเลอะเทอะใหญ่แล้ว ก็รู้ ๆ อยู่ว่าพี่ชอบแต่ผู้หญิง แล้วน้องเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง”

   ไกรสรบอกตามมา ทำให้ขวัญแก้วหยุดคิดแล้วนิ่วหน้า แต่ปวีร์กลับแทรกขัดขึ้นมาบ้าง

   “ใครจะไปรู้ ไปอยู่อเมริกามานาน รสนิยมอาจจะเปลี่ยนก็ได้...จริงไหม”

   สองสาวสะดุ้งแล้วจ้องพี่ชายของพวกเธอตาดุ ๆ ทำให้ไกรสรยกมือยอมแพ้

   “โอเค ๆ รับรองว่าไม่ล่วงเกินน้องเขามากไปกว่านี้หรอกน่า บอดี้การ์ดออกจะเพียบขนาดนี้ พี่ไม่คิดเสี่ยงหรอก”

   “ฮึ! ให้มันจริงเหอะ พี่น่ะไว้ใจได้เมื่อไหร่  ปีนหน้าต่างย่องหาลูกสาวเขาก็หลายหนแล้วไม่ใช่หรือไง!”

   ขวัญแก้วประชด เธอยอมรับว่านับถือพี่ชายของตัวเองอยู่มาก ยกเว้นอย่างเดียวเรื่องนิสัยเสียเกี่ยวกับผู้หญิง ไกรสรนั้นทำให้หนุ่มเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างธีรัชกลายเป็นลูกแมวตัวน้อย ๆ ไปเลยด้วยซ้ำ

   “แย่จัง... โดนน้องสาวเผาต่อหน้าชาวบ้านแบบนี้ เล่นเอาไม่เหลือดีเลยแฮะ”

   ไกรสรบอกแล้วยิ้มให้กับวาโย อีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ขณะกำลังคิดว่าจะปลอบอะไรดี ปวีร์ก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

   “อ้าว! ไม่ใช่ไม่มีดีให้เหลือแต่แรกแล้วหรือครับ”

   ไกรสรแค่นยิ้มให้คนพูด และก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไป ราเมศก็เอ่ยตัดบทขึ้นเสียก่อน

   “เอ้า! ไปเตรียมกินข้าวกันดีกว่า จะได้เก็บร้านให้เรียบร้อย แล้วกลับบ้านไว ๆ”

   ทั้งหมดเหลือบดูนาฬิกา เหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลาปิดร้าน ดังนั้นจึงไม่น่ามีใครมาใช้บริการแล้ว วาโยจึงวิ่งเหยาะ ๆ ไปเอาป้ายร้านพลิกกลับเป็น Close แทน แต่พอกลับมาเขาก็ต้องยืนลังเลไม่กล้าเดินผ่านเข้าไป เพราะเห็นไกรสรดักรออยู่แถมยังโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เขาอีก อีกด้านหนึ่งรุจที่กำลังเดินเข้าครัวตามคนอื่นไป หันมาเห็นทั้งคู่เข้าพอดี เขาจึงเดินย้อนกลับมา   

   “เป็นอะไรไปโย ยืนอยู่ทำไมล่ะ”

   “เอ่อ...เปล่าครับ คือ”

   วาโยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และยิ้มเจื่อน ๆ ให้  รุจเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วเปรยบอก

   “คุณไกรสรเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรหรอกน่า... เขาก็แค่แหย่นายเล่นแค่นั้นล่ะ”

   ไกรสรมองคนสวมสูทน้ำเงินที่อยู่แถวนั้นแล้วเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ

   “แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่เอาจริงล่ะ…”

   รุจเหลือบมองคนพูด ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ พร้อมเปรยขึ้นขณะที่เดินผ่านชายหนุ่มไปโอบบ่าวาโยให้เดินกลับมาพร้อมตนเอง

   “จะเรียกว่าคาดเดาก็คงได้มั้งครับ ...เพราะผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังสนุกที่จะใช้โยแหย่พวกเราบางคนให้หงุดหงิดได้มากกว่า”

   ไกรสรผิวปากหวือตามหลังทั้งคู่ไปอย่างนึกทึ่ง เขาคิดว่าจะมีแต่ปวีร์ที่พอจะรู้เท่าทันความคิดของเขาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอื่นที่จับผิดเขาได้ง่าย ๆ แบบนี้อีก

   “ร้านนายนี่มันมีแต่คนน่าสนใจจริง ๆ ด้วยล่ะนะวี ...สงสัยพักร้อนครั้งนี้ฉันคงจะไม่เบื่อแล้วล่ะนะ”

   ชายหนุ่มพึมพำอย่างถูกใจ แล้วจึงเดินปิดท้ายตามเข้าไปในครัว เพื่อร่วมรับประทานอาหารในมื้อค่ำนั้นด้วยอีกคน

   

   เมื่อพนักงานแต่ละคนรวมถึงพวกไกรสรและสองสาว ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านพักแล้ว ทว่าปวีร์ก็ยังคงไม่ได้กลับไปเช่นดังคนอื่น ๆ เขาขึ้นไปบนชั้นสองที่ห้องทำงานของตนต่อ จนราเมศต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินตามไป

   “ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ”

   “...อืม อยากคิดอะไรเงียบ ๆ อีกสักพักแล้วค่อยกลับน่ะ”

   ปวีร์บอกแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย ราเมศถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหาคนที่นั่งลงบนเก้าอี้ พลางจับหมุนตัวมาเผชิญหน้าแล้วกักร่างของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน

   “โกรธเรื่องที่ฉันไม่ให้คำตอบนายแน่นอนไปเลยหรือเปล่า”

   ปวีร์จ้องอีกฝ่ายแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้

   “แค่นายไม่รังเกียจกัน แค่นั้นฉันก็พอใจแล้วล่ะ ...”

   “ปวีร์...” ราเมศพึมพำ เขาใช้มือไล้เส้นผมยาวอ่อนนุ่มที่หล่นมาปิดบังใบหน้าออกทัดหูอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยฟันที่ตนเองทำไว้

   “เจ็บไหม...”

   “ไม่หรอก ตอนนั้นก็แค่ตกใจที่ถูกเอาคืนแบบนั้นมากกว่า”

   ปวีร์บอกขำ ๆ เพราะหลังจากบอกความในใจออกไปเมื่อตอนบ่าย ราเมศก็นิ่งเงียบไปนานและไม่พูดอะไรอีก จนเขาขัดใจ เลยแกล้งกัดซอกคออีกฝ่าย ใครจะคิดล่ะว่าราเมศจะเอาคืนด้วยการกัดติ่งหูเขาตอบแบบนั้น

    “...ปวีร์ นายชอบฉันจริง ๆ สินะ ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม”

   ราเมศถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังผิดเคย  ปวีร์ยิ้มตอบเศร้า ๆ บางทีเขาคงจะปิดบังและใช้การล้อเล่นกลบเกลื่อนความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป จนราเมศไม่แน่ใจคำบอกรักของเขาขึ้นมาเช่นนี้

   “ฉันชอบนาย...หรือจะเรียกรักก็ได้... ถ้าจะให้มันฟังดูลึกซึ้งขึ้นล่ะนะ”

   ชายหนุ่มยังไม่วายแกล้งกระเซ้า แต่คนฟังตอนนี้กลับเงียบไปสักพักแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “ใครจะไปจำได้...เรื่องเป็นสิบ ๆ ปีแบบนั้น”

   ปวีร์เปรยเบา ๆ ทำเอาราเมศชะงัก เขามีสีหน้าหม่นหมองลงจนปวีร์ใจหาย

   “อย่าคิดมากน่าราเมศ...ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย...ฉันชอบนายเองนี่ แล้วก็ช่วยไม่ได้ด้วยที่นายไม่เคยรู้ เพราะฉันก็ไม่คิดจะบอก...จนกระทั่งวันนี้”

   คนที่รู้ใจกันดีเสียยิ่งกว่าคนในครอบครัวเอ่ยทัก ราเมศรวบร่างของปวีร์ขึ้นมากอดแน่น แล้วพึมพำขอโทษเบา ๆ ส่วนปวีร์เองก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วกอดตอบ ทั้งคู่อยู่ในสภาพนั้นสักพักก่อนที่ปวีร์จะเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดออกก่อน

   “ต้องขอบคุณธีรัชนะ ถ้าเขาไม่จีบฉัน แล้วนายทำเหมือนหึงให้ฉันพอมีหวัง  ฉันก็ไม่คิดจะบอกออกไปหรอก ฉันกลัวนายรังเกียจฉันแล้วหนีไปน่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงร้องไห้แน่เลย…จริง ๆ นะ”

   ปวีร์บอกแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนฟังนี่สิรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ที่ทำให้คนตรงหน้าต้องรู้สึกแบบนั้น

   “ขอโทษจริง ๆ ...”

   “อย่าย้ำนักสิ...ขอโทษบ่อย ๆ แบบนี้ มันฟังเหมือนนายกำลังจะปฏิเสธไม่รับรักฉันเลยนะ”

   ปวีร์บอกตามมา ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง

   “ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้จะปฏิเสธ...”

   ราเมศบอกออกไปแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อคนตรงหน้าเขากำลังรอฟังคำตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

   “เฮ้อ! ก็ได้ ๆ ....ฉันไม่รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนาย  แต่แน่นอนว่าฉันไม่นึกรังเกียจนายสักนิด ...ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม... ส่วนเรื่องชอบนั่น ...จะเรียกว่าชอบไปแล้วได้ไหม ก็ไม่รู้หรอกนะ...”

   ราเมศโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเนียนนั่นโดยที่ปวีร์ไม่ทันตั้งตัว

     “...แต่ที่รู้ ๆ นับต่อแต่นี้ ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างนาย และจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งนายไปจากฉันแน่”

    ปวีร์ที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์นิ่งอึ้งไปตั้งแต่ถูกจูบที่หน้าผากแล้ว ยิ่งพอมาฟังคำสารภาพตามมาของราเมศ เขาก็ค่อย ๆ ก้มหน้าซบลงกับอกของอีกฝ่าย  ราเมศรู้สึกถึงความชื้นน้อย ๆ ที่แผ่นอกของตน เขายิ้มออกมาอย่างเป็นสุขพร้อมกับกอดกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก

   “ขอบใจนะราเมศ...ขอบใจจริง ๆ”

   ปวีร์กระซิบพึมพำ ทำให้คนฟังอมยิ้ม ราเมศกอดชายหนุ่มอยู่เช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเริ่มรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง และคิดว่าหากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไป น่ากลัวมันจะไม่จบแค่การกอดเฉย ๆ เสียแล้ว

   “เอิ่ม...กลับบ้านกันดีกว่า ป่านนี้ปยุตเป็นห่วงแย่แล้ว”

   ปวีร์เงยหน้ามองคนพูดยิ้ม ๆ พอจะคาดเดาอะไรได้บ้างอยู่หรอก ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับพลางแสร้งเปรยบอกบางอย่าง

   “กลับก็กลับ...ฉันก็ไม่อยากค้างคืนในห้องที่ไม่มีเตียงหรอกนะ ...เอ หรือจะซื้อเตียงมาไว้ในนี้ดี”

   “ปวีร์!”

   ราเมศเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเขิน ทำเอาปวีร์ต้องหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะถูกชายหนุ่มที่ตอนนี้ขยับฐานะมาเป็นคนรู้ใจใกล้ชิดกว่าเดิม ประคองกอดออกจากห้องตรงไปที่รถ เพื่อขับกลับบ้านต่อไป   


... TBC ...



**ว่าจะแทรกฉากย้อนอดีตประทับรอยฟัน แต่คิดไปคิดมา เอาเป็นฉากหวาน ๆ แล้วเขียนถึงว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นแบบนี้แทน น่าจะเหมาะกว่า หวังว่าคงจะแทนกันได้นะคะ ^^


ขอบพระคุณผู้อ่านที่แวะเวียนมาอ่าน และทักทายกันค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-08-2012 12:26:30
กับวาโยน่ะ  เชียร์ภูริมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 18-08-2012 12:53:54
 :man1: น้องโยน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 18-08-2012 13:11:52
คู่ใหญ่เขาลงตัวแล้วเหลือแต่คู่เด็กๆ น่าจะให้ไกรคู่รุจก็ดีนะ
น้องโยเริ่มรับรู้ความรู้สึกของกวินกับภูริแล้วล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 18-08-2012 13:23:51
ที่จริงก็ไม่ต้องแทรกบทรอยฟันก็ได้
หวานๆ แบบนี้ก็ชอบ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 18-08-2012 14:23:26
ลงตัวไป 1 คู่ แต่โยเนี่ยสิ จะคู่ใคร
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-08-2012 17:11:28
สำหรับวาโยถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่ว่ากันนะ ถ้าจะอยู่แบบรักเราสามคน :laugh:
นักรักอะน่ารักๆ :m3:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 18-08-2012 18:38:15
ฮ๊ายยยยยย ปวีร์กับราเมศ น่ารักเว่อร์อะ ชอบบบ

ดูเขารักกันแล้ววว ฮิ้วววว

เหลือโย ยังไงก็ภูริเอฟซี 5555

ชอบแบบภูริอ่าาา หรือจะ ธีรัชดี 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Dear-s ที่ 18-08-2012 22:29:13
เชียร์ทุกคนเลยอ่ะ ไหนๆก็ฮาเร็มแล้วเอาทั้งหมดเลยได้ป่าวอ่ะ  :-[

น้องโยน่ารักมากๆ ยอมรับว่าแอบเทใจให้ภูรินิดนึง  :impress2:
และแอบคิดว่า ไกร-รุจ ดูเหมาะกันแปลกๆ?  :o8:

รอตอนต่อไปค่ะ >< เรื่องนี้สนุกมากเลย ตอนนี้ติดแจเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 19-08-2012 01:15:50
พี่เมเขิน

น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 19-08-2012 01:49:33
 :-[จบไปคู่ละ :กอด1: :กอด1:


รออ่านคู่ต่อไปจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :call:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 19-08-2012 01:57:39
คบกันไปแล้วหนึ่งคู่ ฉากหวานๆแบบนี้แทนกันได้แน่นอนค๊า >///<
โยเสน่ห์แรงขึ้นเรี่อยๆ ทั้วกวิน ทั้งภูมิ รู้ใจตัวเองทั้งคู่แล้ว จะรุกกันยังไงน๊า
ขอแบบ 3P เลยได้มิ แล้วรุจก็คู่กับไกร คู่นี้เขารู้ทันซึ่งกันและกัน เหมาะสมๆ
ส่วนการินก็คู่กับธีรัช คู่กัดที่รักกัน >.,< ชอบมากมาย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 19-08-2012 04:22:10
คู่บอสนี่ต้องหวานนำหน้าเนอะ  :-[

น้องโยจะได้เอาเป็นแบบอย่างได้  อิอิ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 19-08-2012 09:12:34
ง่าาาาาาาาา  คุณไกร เดี๋ยวก็มีเทอนาโดลงร้านหรอก คิคิ

อ๊า มาโบกธง ภูริวาโยต่อ

ไม่เอา3P น๊า

ถวายพานกวิน ให้การินไป

O_O คุณแมวเชสเตอร์ไม่มีบทเลยตอนนี้ (เอ๊ะหรือหมดเวลาทำงานไปแล้ว)
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 24 อัพเดท 18/8/55 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-08-2012 11:12:41
โอ้ว คู่รุ่นใหญ่ตกลงกันได้แล้ว ดีใจกับปวีร์จริงๆ รอมาตั้งนานนิ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-08-2012 13:50:03
Miracle Café / 25




    “อรุณสวัสดิ์... ดอกไม้นี่สำหรับเธอ”

    วันอาทิตย์ไกรสรมาหาวาโยถึงบ้านพักแต่เช้า ทำเอาวาโยถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ และรับช่อกุหลาบขาวตรงหน้ามาถือไว้

    “ขอบคุณครับ ...แต่คงแพงน่าดู คราวหลังไม่ต้องก็ได้นะครับ”

    ไกรสรหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า ดอกไม้มันเหมาะกับคนน่ารักไม่ใช่หรือ”

    วาโยยิ้มเจื่อน ๆ ชักไม่ค่อยจะแน่ใจในเรื่องที่รุจบอกเมื่อวานเสียแล้ว

    “แล้วหมอนั่นล่ะ...”

    ไกรสรทำท่าทางมองหาใครบางคน วาโยมองอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ

    “ใครหรือครับ...”

    “ก็คนที่ใส่แว่น...อ้อ พูดถึงก็มาพอดี อายุยืนดีจัง ...แถมไม่ได้มาคนเดียวอีก เธอนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ เลยนะ”

    ไกรสรหันมาบอกกับวาโยเมื่อเห็นรุจและคนอื่น ๆ เดินตรงมาที่เขา

     “ไง ตื่นเช้ากันดีจังนะพวกเธอ”

    “ก็ตื่นกันราว ๆ นี้ล่ะครับ ...คุณไกรสรมาแต่เช้าแบบนี้ คงไม่คิดจะมาฝากท้องที่นี่ด้วยอีกคนสินะครับ”

    รุจถามพร้อมยิ้มน้อย ๆ แต่คนฟังหัวเราะเบา ๆ เพราะรู้ดีว่าถูกประชดเข้าให้

    “แล้วถ้าฉันบอกว่าจะมากินข้าวเช้าที่นี่ด้วยล่ะ”

    คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

    “ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ แต่คุณควรไปบอกคุณนนล่วงหน้าเสียหน่อย เพราะพวกผมไม่ได้เป็นคนทำกับข้าว”

    ไกรสรชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ นอกจากปวีร์ก็ไม่ค่อยได้มีใครมาคอยโต้คารมกับเขาสักเท่าไร ถ้าเป็นผู้ชายนอกจากเพื่อนสนิทญาติพี่น้อง ก็มักจะมองเขาเป็นคู่แข่งและไม่อยากสนทนาด้วย ส่วนผู้หญิงก็มักจะคอยมาออดอ้อนเอาใจเขาเสียมากกว่า

    “...โย ดอกไม้นั่น”

    กวินถามรูมเมทอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก วาโยมองช่อดอกไม้ในมือ แล้วเหลือบไปมองเจ้าของดอกไม้ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

    “คุณไกรสรเอามาให้น่ะ”

    “โฮ่! อย่างนั้นหรือ สวยดีนี่เนอะ!”

    กวินแกล้งประชด แล้วเดินหงุดหงิดเข้าไปในบ้านพัก โดยที่วาโยมองตามไปอย่างแปลกใจ ด้านภูริจ้องไกรสรอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  ส่วนการินที่อยู่ใกล้ ๆ หรี่ตามองตามไล่หลังกวิน ชักจะเริ่มมั่นใจแล้วว่ากวินนั้นคงแอบชอบวาโยอยู่จริง ๆ



    “สวัสดีครับทุกคน อยู่กันพร้อมหน้าเชียว!”

    เสียงทักทายร่าเริงคุ้นเคยของใครบางคน ทำให้คนที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแถวนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว

    “เอ๋...เหมือนมีแขกมาเพิ่มด้วยนี่ครับคุณนน”

    ธีรัชที่ช่วยชานนหิ้วถุงกับข้าวหันไปถามชายหนุ่มอย่างแปลกใจ เพราะเขาเพิ่งเคยเห็นไกรสรวันนี้เป็นครั้งแรก

    “อ้อ…นั่นญาติผู้พี่ของคุณราเมศ และเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของคุณขวัญแก้ว กับคุณขวัญตาน่ะครับ”

    ชานนแนะนำไกรสรให้กับธีรัชรู้จัก ส่วนการินที่ยืนอยู่แถวนั้นถึงกับตกใจที่เห็นธีรัชมาอยู่แถวนี้ได้

    “หมอนี่มาได้ยังไงกันครับคุณนน!”

    “เมื่อวานนี้คุณธีรัชบอกว่าอยากทานอาหารฝีมือผม ผมก็เลยชวนมาทานที่บ้านพักในวันนี้น่ะครับ แล้วบังเอิญตอนผมไปจ่ายกับข้าวก็เจอเขาพอดี เขาเลยอาสาช่วยถือกับข้าวมาด้วยกันนี่ล่ะครับ”

    ชานนหันไปตอบคำถามของการินพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัวไปเตรียมอาหารเช้า โดยวาโยก็รีบอาสาไปช่วยเป็นลูกมือเชฟหนุ่มทันที เพราะเขารู้สึกว่าบรรยากาศด้านนอกยามนี้นั้น ดูอึมครึมไม่ค่อยน่าอยู่สักเท่าใดนัก



    “คุณไกรสรมาจีบหนูอลิซหรือครับเนี่ย”

    ธีรัชที่สังเกตเห็นวาโยซึ่งหอบช่อกุหลาบขาวเดินหนีไป หันมาถามไกรสร เพราะเท่าที่ดูแล้วเขาไม่คิดว่าจะมีพนักงานร่วมบ้านพักคนไหนทำเซอร์ไพรส์ซื้อดอกไม้มาให้วาโยแบบนี้ตั้งแต่เช้าหรอก

    ไกรสรชะงักมองคนที่ตั้งคำถามกับเขา อีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าซึ่งแสดงความสนอกสนใจ โดยไม่ได้มีความหึงหวงปนเปมาแม้แต่น้อย

    “อืม...ก็นะ...กำลังคิดว่าจะจีบดีไหมนี่ล่ะ  ก็เขาน่ารักนี่นะ”

    ไกรสรบอกแล้วเหลือบมองปฏิกิริยาของแต่ละคน ภูรินั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แม้แต่การินเองก็ยังหน้าบึ้งนิด ๆ เพราะไม่ค่อยชอบใจในสิ่งที่ไกรสรพูดเท่าใด ทว่ารุจกลับยังคงมีใบหน้าระบายยิ้มอ่านอารมณ์ไม่ได้ตามเดิม

    “นั่นสิครับ คนน่ารักก็เหมาะกับการที่จะถูกดูแลเอาใจจากหนุ่มดี ๆ สักคน จริงไหมครับ”

    ธีรัชบอกอย่างร่าเริง ทำให้ไกรสรนึกขำ พอจะรู้มาจากน้องสาวบ้างตอนที่ได้คุยกันเมื่อคืนว่าอีกฝ่ายเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ แถมนิสัยยังเจ้าชู้ไม่แพ้เขา แล้วยังไม่เลือกผู้ชายหรือผู้หญิงอีกต่างหาก

    “ฉันก็ว่าอย่างนั้นนั่นล่ะ เรานี่น่าจะคุยกันถูกคอดีนะ”

    ธีรัชหัวเราะตอบ ก่อนจะบอกในสิ่งที่ทำให้คนฟังสะดุ้ง

    “ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กันก็โอเคหรอกครับ แต่อย่างอื่นคงไม่สน ถ้าเป็นผู้ชาย ผมชอบแบบน้องหนูอลิซ กับคุณหนูคนสวยนี่มากกว่า”

    ไม่พูดเปล่าธีรัชยังเดินมาโอบบ่าของการินอีกต่างหาก ทำเอาคนถูกโอบสะดุ้งเฮือก แล้วพอตั้งสติได้ ก็กระทืบเท้าอีกฝ่ายไปเต็มแรง

    “โอ๊ย! เจ็บนะคุณหนู!”

    “สมแล้ว! ใครใช้ให้มามือไวจับตัวชาวบ้านเขากันเล่า!”

    การินโพล่งใส่อย่างหงุดหงิด แล้วเดินกระทืบเท้าเข้าบ้านพักไปอีกคน ทำเอาคนอื่นมองตามไปตาปริบ ๆ

    “ดุจัง...หรือจะกลับมาเล็งหนูอลิซแทนดีนะ ถึงคู่แข่งจะเยอะไปหน่อย แต่ดูท่าทางจะจีบไม่ยากเท่าไหร่...”

    ธีรัชพึมพำ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อภูริชจ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเต็มที่

    “ง่า...ล้อเล่นน่า ล้อเล่น ใครจะแย่งของรักของหวงของเพื่อนได้กัน”

    ภูริสะดุ้ง หน้าแดงนิด ๆ เขารีบเก๊กหน้าเป็นเรียบเฉย และบอกกลับเสียงเข้ม

    “เหลวไหล! พูดจาเพ้อเจ้อนะนายน่ะ!”

    “เพ้อเจ้อ? ถ้าอย่างนั้นจีบได้ไหมล่ะ”

    ธีรัชย้อนถามหน้าตาย ทำเอาคนพูดกัดฟันกรอด แล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง จนนักร้องหนุ่มยกมือยอมแพ้

    “โอเค ๆ จีบไม่ได้สินะ ...เฮ้อ ไม่รักไม่สน แต่ห้ามคนอื่นจีบแบบนี้ มันหวงก้างชัด ๆ”

    ชายหนุ่มยักไหล่ แล้วจึงหันมาทางไกรสรบ้าง

    “แต่ดูแล้วคุณคงไม่กลัวล่ะมั้ง ...”

    “อืม...นั่นสินะ ...ของยิ่งได้มายาก ก็ยิ่งมีค่าขึ้นไม่ใช่หรือ”

    ไกรสรบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ มองภูริที่กัดฟันกรอดพลางจ้องตอบเขาด้วยแววตาวาววับ แต่พอเหลือบไปมองรุจ ชายหนุ่มก็ดันแว่นนิด ๆ ยิ้มที่มุมปาก พร้อมเอ่ยขึ้น

    “ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ บางทีการเล่นสนุกกับความรู้สึกของคนอื่น มันก็ช่วยทำให้ชีวิตมีรสชาติขึ้นดีเหมือนกัน”

    ภูริและธีรัชหันมามองรุจอย่างสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย ส่วนไกรสรที่ถูกมองออกในเจตนาของเขา ถึงกับอึ้งไปนิด ๆ แล้วจึงแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ

    “จะลองขัดขวางดูไหมล่ะ”

    “หือ...ไม่ล่ะ ผมดูอยู่เฉย ๆ แบบนี้ก็สนุกดี”

    รุจบอกแล้วยิ้มนิด ๆ ให้ ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในบ้านพักเพื่อดูว่าจะช่วยอะไรชานนได้บ้าง เหลือเพียงไกรสร ภูริ และธีรัชที่ยืนกันอยู่ด้านนอก

    “คุณรุจนี่บางทีก็ดูน่ากลัวคล้ายคุณวีเลยนะ ประเภทอ่านไม่ค่อยออกว่าคิดอะไรอยู่แบบนั้นน่ะ”

    ธีรัชพึมพำเบา ๆ ถึงอีกฝ่ายจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ถ้านิสัยแบบนั้น เขาคงไม่กล้าคิดไปจีบแน่

    “เขาก็เป็นแบบนั้นตลอดนั่นล่ะ”

    ภูริพึมพำตอบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ารุจกับไกรสรกำลังพูดถึงเรื่องวาโยหรือเรื่องใดกันแน่

     “ว่าแต่คุณจะจีบเด็กนั่นจริง ๆ หรือครับ”

    ธีรัชหันมาถามอีกครั้ง เพราะดูแล้วไกรสรนั้นมาแบบทีเล่นทีจริงเหมือนเขาเสียมากกว่า ทางด้านคนเจ้าชู้เหมือนกันเลิกคิ้วนิด ๆ กับคำถามนั่น เขาเหลือบมองภูริเล็กน้อย แล้วจึงตอบออกไป

    “ก็ลองจีบเล่น ๆ ดู ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา ... ยังไงฉันก็ชอบผู้หญิงมากกว่าอยู่แล้ว”

    ภูริกัดฟันกรอดอย่างโมโห นี่ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นญาติราเมศ เขาคงต่อยชายหนุ่มคว่ำไปแล้ว

    “...ผมไม่มีวันปล่อยเด็กนั่นให้คุณแน่ คอยดูแล้วกัน!”

    ภูริบอกเสียงห้วน แล้วเดินจากไป เหลือเพียงธีรัชกับไกรสร ยืนอยู่กันสองคนเท่านั้น

    “อืม...ไม่จริงจังสินะ ...ผมว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องที่คุณคุยกับคุณรุจขึ้นมานิด ๆ แล้วล่ะ”

    ธีรัชเปรยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้ไกรสรอมยิ้ม เมื่อเห็นธีรัชเดาเจตนาเขาออก ไม่เสียทีที่เป็นคนประเภทเดียวกัน

    “จะว่าไป ถ้ากระตุ้นให้หมอนั่นเอาจริง มันก็ดีเหมือนกัน แต่ลำบากตรงที่ก็มีคนอื่นเขาอยากเอาจริงด้วยเหมือนกันนี่ล่ะ”

    ธีรัชพึมพำเมื่อหวนคิดถึงกวินที่แสดงออกว่าชอบวาโยด้วยเช่นกัน

    “นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาที่จะตกลงกันเอง  ฉันก็แค่เสนอตัวเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาก็เท่านั้น”

    ไกรสรบอกขำ ๆ ทำให้ธีรัชหันมามองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ

    “ดูคุณไม่น่าเป็นคนว่างงานถึงขนาดมีเวลามายุ่งเรื่องของชาวบ้านได้เลยนะครับ”

    ธีรัชพูดซะตรงขวานผ่าซากจนคนฟังสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอันใด แถมยังรู้สึกขบขันแทนเสียอีก

    “ฮ่า ๆ ฉันอยู่ในช่วงพักร้อนน่ะ ตอนนี้ก็เลยอยากหาเรื่องแก้เบื่อทำพอดี”

    “น่าอิจฉาคนมีเวลาว่างจังเลยนะครับ ผมก็อยากว่างมาคอยตามจีบคนที่ตัวเองสนใจเหมือนกัน”

    ธีรัชพึมพำ ทำให้ไกรสรหันมาให้ความสนใจคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถามกลับไปบ้าง

    “เด็กสองคนนั่นน่ะหรือ”

    “หนูอลิซคงไม่หรอกครับ  นาน ๆ จะเห็นภูริชอบใครกับเขาสักที”

    ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ ทำให้ไกรสรคิดว่าธีรัชแม้จะเจ้าชู้แต่ก็เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับคนที่เพื่อนของตัวเองชอบล่ะนะ  ถ้าเทียบกับเขาล่ะก็ ลองสนใจจริง ๆ ต่อให้เป็นญาติพี่น้องก็คงต้องลองสู้กันสักตั้งนั่นล่ะ

    “แล้วกับหลานของปวีร์ล่ะ”

    คำถามตามมาทำให้คนฟังอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบออกไปตามตรง

    “ก็เริ่มสนใจแล้วล่ะครับ ...อยากรู้เหมือนกันว่าหน้าบึ้ง ๆ แบบนั้น ถ้าลองยิ้มให้ผมบ้าง มันจะน่าดูสักแค่ไหน”

    “หึ ๆ เอาใจช่วยแล้วกัน ...แต่ระวังวีด้วยล่ะ ขืนล้ำเส้นไป หมอนี่คงลงมาขวางแน่ เห็นแบบนั้นน่ะ หวงหลานตัวเองไม่ใช่เล่นนะ”

    ธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ แล้วบอกเสียงอ่อย

    “อย่าขู่กันสิครับ อุตส่าห์จะทำลืม ๆ ไปเล้วเชียว ...คนอะไรไม่รู้สวยก็สวยอยู่หรอก แต่นิสัยน่ากลัวจริง ๆ มองตากันไม่เท่าไหร่ ก็แทบจะล้วงความลับจากเราไปเกือบหมด ขืนเป็นแฟนกัน คงได้อยู่ในโอวาทไม่กล้าหือตลอดแน่”

    ไกรสรแทบจะหลุดหัวเราะพรืดออกมาถ้ากลั้นไว้ไม่ทัน เขาหวนคิดถึงญาติผู้น้องของตน ที่ตอนนี้น่าจะกำลังอยู่ในสถานภาพเช่นเดียวกับที่ธีรัชบอก จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย แล้วจึงเข้าไปนั่งพักในบ้านพักเพื่อรออาหารเช้ากันต่อไป



    “วันนี้แปลกแฮะ ปกติคุณปวีร์กับคุณราเมศจะมากินข้าวเช้าด้วยกันประจำแท้ ๆ”

     วาโยบ่นพึมพำกับตัวเอง ทำให้ไกรสรชะงัก เจ้าตัวอมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ของญาติผู้น้องกับเจ้านายของชายหนุ่มออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้

    “คงอยากหยุดพักผ่อนอยู่บ้านบ้างมั้ง เห็นหลายวันมานี้ต้องคอยคุมเรื่องปรับปรุงร้านอยู่ตลอดนี่นะ”

    กวินให้ความเห็น ทำให้วาโยพยักหน้ารับรู้ และแล้วบทสนทนาก็เงียบไปอีกครั้ง เพราะต่างคนก็ต่างก้มหน้าก้มตากินกันต่อ ไกรสรลอบยิ้มนิด ๆ รู้ดีว่าที่เป็นอย่างนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเป็นสาเหตุด้วยล่ะนะ

    “เอ่อ...คุณไกรสรทำงานที่อเมริกามานานหรือยังครับ”

    วาโยเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาเพราะไม่อยากให้เกิดความเงียบไปมากกว่านี้ ทว่าพอชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ชายหนุ่มอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะด้วยก็ชะงักแล้วหน้าบึ้งไม่แพ้กันทันที

    “ก็จะสี่ปีแล้วล่ะ ...อยากไปอยู่ด้วยกันไหมล่ะ”

    ชายหนุ่มเอ่ยชวน ทำเอาวาโยยิ้มแห้ง ๆ แล้วรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ

    “แหะ ๆ ไม่ดีกว่าครับ ผมอยู่เมืองไทยสบายใจกว่า”

    ไกรสรหัวเราะในลำคออย่างไม่ถือสา ก่อนจะหันไปที่รุจแล้วถามขึ้นบ้าง

    “ว่าแต่เห็นแก้วเล่าว่า ก่อนจะมาทำงานที่นี่ เธอเคยทำงานที่บริษัทใหญ่โตมาก่อน แล้วไหงถึงลาออกมาทำที่ร้านกับวีแทนล่ะ”

    รุจชะงักมือที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยตอบ

    “จำเป็นต้องรู้เหตุผลให้ได้หรือเปล่าล่ะครับ”

    “ก็นะ...ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวล่ะก็จะไม่พูดก็ได้หรอก แต่ถ้าถามว่าอยากรู้ไหมก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี”

     ไกรสรบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มตอบ

    “ถ้าอย่างนั้นไม่พูดดีกว่าครับ”

    คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นตัดบทเอาง่าย ๆ แบบนี้

    “คุณรุจเคยทำงานที่บริษัทใหญ่มาก่อนหรอกหรือครับ...”

    วาโยที่เพิ่งรู้ความจริงครั้งแรกถามอย่างประหลาดใจ เพราะสำหรับเขาแล้วบริษัทใหญ่โตก็น่าจะมั่นคงยิ่งกว่าร้านเล็ก ๆ ที่เพิ่งเปิดแบบนี้

    “ก็ใช่นั่นล่ะ”

    รุจตอบยิ้ม ๆ และทำเป็นไม่แลคนที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม

    “แล้วลาออกทำไมล่ะครับ ...อ๊ะ  เอ่อ ขอโทษครับที่เสียมารยาท”

    วาโยหลุดคำถามออกไปแล้วก็นึกขึ้นมาได้ เพราะเมื่อครู่รุจก็เพิ่งพูดเหมือนจะไม่อยากบอกเหตุผลกับไกรสรไปหยก ๆ

    “หึ ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เริ่มเบื่องานเดิมแล้ว ...อีกอย่างคุณปวีร์ก็น่าสนใจดีด้วย ถ้าได้ทำงานกับคนแบบนี้คงสนุกดี พอคิดได้ก็เลยลาออกมาน่ะ”

    รุจบอกออกไปตามตรง ทำให้วาโยแย้มยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มมองรุ่นน้องของตนอย่างเอ็นดู ส่วนไกรสรนั้นจ้องมองทั้งคู่ พลางพึมพำเบา ๆ

    “ทีแบบนี้ละตอบได้เชียวนะ”

    “ความน่าสนใจในการตอบคำถามมันต่างกันนี่ครับ”

    รุจหันไปบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่คนอื่นพากันลอบกลืนน้ำลายลงคอกับคำพูดที่ไม่ค่อยไว้หน้าของอีกฝ่าย ทางด้านไกรสรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเหมือนไม่ได้ถือสาอะไร  แต่ในใจกลับนึกอยากจะลองสยบคนตรงหน้านี้ขึ้นมาเสียให้ได้อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาเพิ่งเคยเกิดขึ้นกับเพศเดียวกันเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ

   
...  TBC ...

   



**แหะ ๆ  ...จะว่าไปหลังจากตอนนี้จะเริ่มแยกคู่กันแล้วนะคะ  เริ่มมองเป็นรูปเป็นร่างกันแล้วใช่ไหมเอ่ย  ...แล้วแต่ละคน แต่ละคู่ จะสมหวังกันเหมือนอย่างที่นักอ่านเชียร์ไหมน้า .... รอลุ้นติดตามกันได้ค่ะ ^^…

ทีแรกก็ว่าจะสามพี แต่คิดไปคิดมา จับคู่กันธรรมดาแล้วกัน ^^"  (แม้จะยังลังเลอยู่ แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทหรือพี่น้อง ก็คงแบ่งคนรักกันยากนะ)   แต่ก็นั่นล่ะค่ะ ใครคู่ใครอะไรยังไงก็เกิดขึ้นได้ (ด้วยพลังแม่ยก) เจ้าค่ะ  .... หุ ๆ  ผู้แต่งตอนนี้ขนาดจับคู่คร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่พอเขียนไปเขียนมา อารมณ์(นิยาย)มันพาไป ยังเปลี่ยนได้(แต่คงไม่ไกลเกินจิ้นของผู้อ่านนักหรอกค่ะ) 

รอลุ้นตอนหน้า กับ "ความเปลี่ยนแปลง" ของ "ตัวละคร" บางตัวนะคะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 19-08-2012 13:58:13
เหมือนจะมีลางให้ลุ้นหลายคู่นะเนี่ย หุหุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-08-2012 14:19:47
จะเป็นอย่างที่คาดมั๊ย
วาโยกับภูริ
รุจกับไกรสร
ปวีร์กับราเมศ
ธีรัชกับการิน

อ้าว  แล้วกวินล่ะ  จะคู่กับใคร  ชานนเหรอ  ไม่ดีมั๊งเนาะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-08-2012 14:24:53
มีหลายคู่ให้ลุ้นจริงๆด้วย o13
แต่อยากลุ้นคู่วาโยที่สุดอะ จะคู่กับใครน้า  :impress2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 19-08-2012 14:46:26
 :-[ :-[เริ่มมาเป็นคู่ใครคู่มันแล้วอะ :-[ :-[


ก็เหลือแต่น้องวาโยอะว่าจะคู่ใคร :z1: :z1:


รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :call:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 19-08-2012 15:20:00
เริ่มมองเห็นเคล้าลางขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เมคู่กับวี (คู่นี้แฮปปี้ไปแล้ว เหลือแต่ให้เมยอมรับใจตัวเองอีกนิด)
ไกรกับรุจ (คู่นี้มาแรงแซงโค้งมากๆ ถึงไกรจะพึงออก แต่ได้คู่อย่างแน่ชัด)
ส่วนที่เหลือก็ น่าจะเป็น
ธีรัสกับการิน (คู่กัดที่รักแน่ๆเลยแบบนี้)
เหลือ โย ภูมิ กวิน แต่เราอยากให้โยคู่กับภูมิเหมือนกันนะ
คนน่ารักๆแบบโยคงเหมาะกับคนดุๆโหดๆ อย่างภูมิ
แล้วกวินจะคู่กับใครหว่า รอลุ้นกันต่อไปว่าโยจะเลือกใคร
จะว่าไปก็ยังเหลือเพื่อนโยอีกคนหนึ่งนี้ ที่โยบอกว่านิสัยคล้ายๆกวิน ฮุฮุ
ตอนหน้าการเปลี่ยนแปลง วี๊ดวิ้ว จะเปลี่ยนไปทางไหนน๊า อยากรู้จริงๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 19-08-2012 17:55:37
โอ้วววว ภูริเอฟซี 5555

เขาเชียร์ภูริ คุณไกรสรชอบรุจใช่ม้าาา

จีบเลยๆๆๆ เย้ๆๆๆ คุณชานนเราจะไม่มีคู่หรอ มีเถอะนะ คู่กับกวินเลยย

คิคิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 19-08-2012 18:04:12
กวินคู่ใครอ่า
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 19-08-2012 18:35:48
หักเหลี่ยมหักคม ชนมุม ขอยกให้คู่ พี่ไกร กะคุณพี่รุจ เลย จิ้นไปได้ไหม  :-[ :-[ :-[

คู่รักปากหนัก  :o8: :o8: ยกธง ภูริวาโย

คู่รักจิกกันนี่ ไม่แน่ใจระหว่า การินธีรัช กับ การินกวิน เดายากจริงไรจริง

 
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 19-08-2012 20:00:05
ภูริ x วาโย

คู่นี้ใช่ไหม ชอบนะ เพราะเราเอฟซีภูริ >////<

สำหรับการินอยากให้คู่กับธีรัชจัง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 19-08-2012 20:25:37
เหมือนท่าทีแต่ละคนเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆแล้วนะเนี่ย

อย่างไรก็ดี...ยังเชียร์ภูริเสมอ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-08-2012 20:57:02
ลุ้นคู่หนูอลิซเนี่ยล่ะ หุๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 25 อัพเดท 19/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 20-08-2012 10:03:12
ยังไงก็เชียร์ภูริกับวาโยอยู่ดี อิอิ

คู่อื่นนี่ดูลงตัว แต่กวินจะคู่ใครดีล่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-08-2012 13:18:06
...ตอนใหม่ค่ะ  อาจจะทำให้คนที่จับคู่ไว้ลงตัวแล้ว สับสนในบางคู่ก็ได้มั้ง  อิ ๆ

 :L1:



Miracle Café / 26




    หลังจากไกรสรทานอาหารเช้าเสร็จเขาก็ขอตัวกลับ สร้างความโล่งอกให้หลายคนในที่นั้น โดยเฉพาะกวินกับภูริชที่คลายหงุดหงิดลงไปได้มากทีเดียว

    “ไม่มีแจกันดอกไม้เสียด้วย ไม่งั้นจะได้ไว้จัดวางที่ห้องพักเนอะ”

    วาโยพึมพำพลางมองช่อดอกกุหลาบสีขาวในมือ ทำให้กวินที่เดินกลับเข้ามาในห้องพักด้วยกันหน้าบึ้งขึ้นทันที

    “จะเก็บไว้ทำไม ทิ้งไปก็สิ้นเรื่องของจากคนเจ้าชู้แบบนั้นน่ะ”

    วาโยหันกลับมาขมวดคิ้วยุ่ง แล้วมองเพื่อนอย่างแปลกใจ

    “คุณไกรสรเขาก็แค่มีน้ำใจ อีกอย่างก็ใช่ว่าเขาจะมาจีบฉันจริง ๆ สักหน่อย”

    กวินขมวดคิ้วแล้วย้อนถามเสียงห้วน

    “นายรู้ได้ไง”

    “คุณรุจบอกมาน่ะ  เห็นว่ามาจีบเพื่อแกล้งแหย่ให้ใครสักคนโมโหนี่ล่ะ แต่ฉันฟังแล้วก็แปลก ๆ ล่ะนะ เรื่องแกล้งจีบก็พอจะเข้าใจ แต่คนโมโหนี่สิ ทำยังกับมีใครในนี้แอบชอบฉันอยู่อย่างนั้นล่ะ มันจะมีได้ยังไงกันจริงไหม เพื่อนกันทั้งนั้น เนอะ!”

    วาโยหันมายิ้มให้กับกวินอย่างไร้เดียงสา ทำให้กวินกลืนน้ำลายลงคอ พลางพยักหน้าค่อย ๆ

    “ง่า...ก็ว่างั้น  แต่ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่หมอนั่นจะมาจีบเล่น ๆ มันก็อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ”

    กวินรีบบอกต่อ เพราะไม่อยากให้วาโยเผลอตัวเผลอใจ ให้ไกรสรเข้ามาใกล้ชิดได้มากกว่านี้

    “ฮะ ๆ ถึงจะจริงก็ไม่เป็นไรหรอก”

    วาโยหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสา ทำเอาคนฟังชะงักกึก แล้วขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์

    “หมายความว่ายังไง”

    วาโยเปรยขึ้นยิ้ม ๆ  โดยไม่ได้ทันสังเกตว่าปวีร์กำลังมีสีหน้าหงุดหงิดเพียงใด

    “ก็เพราะถึงจะจีบจริง ฉันก็ไม่เล่นด้วยอยู่แล้ว ฉันเป็นผู้ชายนะ ถึงจะหน้าตาคล้ายผู้หญิงยังไง แต่ฉันก็ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดีนั่นล่ะ”

    วาโยบอกแล้วมองดอกไม้ในมือ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ

    “แล้วอีกอย่างดอกไม้มันก็ไม่มีความผิดด้วย อุตสาห์บานมาซะสวยแบบนี้ทั้งที ฉันว่าไปหาแก้ว หรือขวดเปล่า มาทำเป็นแจกันแก้ขัดดีกว่า”

    วาโยเปรยตามมาแต่คนฟังนี่สิแทบจะไม่ได้เข้าหูในประโยคหลัง ๆ แล้ว เพราะมัวแต่ช็อกกับประโยคก่อนหน้านั้นของเจ้าตัวที่ว่าชอบผู้หญิงมากกว่านั่นอยู่

     “เฮ้อ...แต่จะว่าไป ต้องถูกจับแต่งหญิง ทำตัวให้สมผู้หญิง แถมยังมาถูกผู้ชายสนใจเข้าแบบนี้ ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน  ฉันอาจจะหลวมตัวเผลอใจเพราะบรรยากาศพาไปบ้างก็ได้ ยังไงก็ช่วยเตือนสติกันบ้างก็ดีนะ ...อ้าว วิน”

    วาโยหันมาก็เห็นหลังกวินเดินออกจากห้องไปแวบ ๆ

    “ไปไหนของเขานะ ...อืม แต่เดี๋ยวก็คงกลับมั้ง”

    วาโยพึมพำแล้วจึงหันมาให้ความสนใจหาอุปกรณ์มาใส่ดอกกุหลาบสีขาว เพื่อใช้ตั้งประดับภายในห้องของเขาต่อไป

   

    ทางด้านกวินนั้นออกมายืนทอดถอนหายใจหน้าห้องตัวเองอยู่สักพัก จนการินที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างและกำลังกลับเข้าห้องประหลาดใจ

    “ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่เข้าห้องหรือไง”

    การินเอ่ยทัก กวินนั้นหันมามองแล้วถอนหายใจอีกครั้ง

    “เข้าไปแล้วเมื่อครู่นี้ แล้วก็ออกมาแล้วน่ะ... ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงเพิ่งขึ้นมาล่ะ ฉันว่าฉันเหมือนเห็นนายเดินตามมาด้วยก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือ”

    การินชะงักก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิด เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น

    “ทีแรกก็เดินตามมาอยู่ดี ๆ หรอก แต่นึกได้ว่าลืมตากผ้า พอเอาผ้าจากเครื่องออกไปตาก ก็เจอหมอนั่นมาชวนคุยเจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญ กว่าจะสลัดออกมาได้ก็เกือบจะได้ต่อยปากไปแล้ว”

    ชายหนุ่มหน้าสวยบ่นอุบ ทำให้คนฟังหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา

    “ถึงจะน่ารำคาญแต่ก็กล้าพูดตรง ๆ เรื่องพวกนี้ดีนะ ...เทียบกับฉันนี่สิ อยากจะพูดยังไม่กล้าเลยแท้ ๆ”

    กวินบอกแล้วก็มีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าตื่น ๆ พลางแก้ตัวกับอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

    “อ๊ะ! ฉันไม่ได้หมายถึงว่า ฉันกำลังแอบชอบใครหรอกนะ!”

    การินจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาค่อย ๆ

    “ป่านนี้คิดว่าจะปิดกันได้อีกหรือไง คนที่ไม่รู้ก็คงมีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะ”

    กวินฟังแล้วก็ยิ่งหน้าแดงหนัก แล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ถามออกไป

    “นายรู้หรือว่าฉันแอบชอบ...เอ่อ หมอนั่น”

    “หึ! ฉันก็บอกแล้วไงว่าที่ไม่รู้ก็น่าจะมีแต่เจ้าตัว ...รูมเมทนายน่ะ”

    ท้ายประโยคการินเสียงเบาลง แต่ก็เน้นทีละคำช้า ๆ เป็นการตอกย้ำว่าเขานั้นรู้จริง

    “เอ่อ...รู้จริง ๆ ด้วยสินะ  ...แหะ ๆ แบบว่า คือ...”

    การินถอนหายใจเบา ๆ กับท่าทางอ้ำอึ้งของคนตรงหน้า เขาเปิดประตูห้องของตน แล้วหันมาถามอีกฝ่าย

    “จะเข้าไปนั่งคุยในห้องก่อนไหมล่ะ เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นที่ปรึกษาได้เหมือนกันนะ”

    กวินชะงัก แล้วรีบพยักหน้า เพราะเขาอยากระบายออกเรื่องนี้กับใครบางคนมานานแล้ว กับภูริก็เป็นคู่แข่งกัน จะพูดความในใจทั้งหมดให้ฟังก็กลัวจะเสียฟอร์มและมันจะเหมือนเขาดูด้อยกว่าอีกฝ่ายไปด้วย

   

    ห้องของการินนั้นนอกจากหนังสือที่มีเพิ่มเข้ามาเต็มชั้น ก็แทบไม่แตกต่างจากห้องของเขาสักเท่าใด นอกจากนี้ยังดูเป็นระเบียบกว่าและไม่วางของเกะกะไปทั่วเหมือนห้องของเขากับวาโยอีกด้วย

    “หนังสือเต็มไปหมดเหมือนเดิมเลยนะห้องนี้ ...อ้อ! ฉันอ่านสารานุกรมต้นไม้ที่นายให้มาเมื่อคืนแล้วนะ สนุกดี ไว้จะมาขอยืมเล่มอื่นต่อนะ”

    กวินบอกกับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มกว้าง การินพยักหน้าค่อย ๆ รับรู้ แล้วจึงเดินไปนั่งบนพรมตรงมุมรับแขกของห้อง โดยมีอีกฝ่ายนั่งขัดสมาธิลงฝั่งตรงข้ามกัน

    “เอ่อ...คือเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่น่ะ...แบบว่าฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”

    กวินเริ่มต้นถามขึ้นอย่างเป็นกังวล เพราะเขาเกรงว่าวาโยจะจับพิรุธเรื่องที่เขาแอบชอบเจ้าตัวได้นั่นเอง

    “ก็ไม่ง่ายนักหรอก แต่จะเห็นชัด ๆ ก็เวลาโยอยู่กับผู้ชายคนอื่นประมาณนั้น”

    การินบอกตรง ๆ ทำเอาคนฟังถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก  การินเห็นดังนั้นจึงตั้งคำถามต่ออีกฝ่าย

    “นายชอบโยจริง ๆ หรือชอบแค่ตอนหมอนั่นแต่งหญิงกันแน่”

    กวินชะงักกึกต่อคำถามของคนตรงหน้า เขาจ้องอีกฝ่ายก็เห็นแต่แววตาสงสัยจากใจจริง ไร้การเยาะเย้ยหรือแดกดันใด ๆ ทั้งสิ้น  เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย

    “ทีแรกฉันก็คิดว่าฉันแค่หลงรูปตอนโยแต่งหญิงก็แค่นั้น ...แต่มันไม่ใช่ ....ฉันชอบหมอนั่นจริง ๆ นะริน ชอบที่เขาใจดี มีน้ำใจ และคอยห่วงใยทุกคนอย่างจริงใจ ...ตัวเล็กแค่นั้นแท้ ๆ แต่ก็อดทนขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงาน ...แค่หมอนั่นยิ้ม ก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างยิ้มตามได้แล้ว”

    การินนิ่งเงียบรับฟัง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ตามมา เพราะวาโยก็เป็นแบบนั้นจริง เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจชายหนุ่มและยอมรับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนคนแรกที่เขารู้สึกสนิทใจด้วยซ้ำไป 

    “นายมีเปอร์เซ็นต์ผิดหวังเยอะกว่าสมหวังนะ ...ไม่คิดจะตัดใจแต่เนิ่น ๆ หรอกหรือ ถ้าตัดใจตอนนี้ ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมอยู่นะ”

    การินลองเสนอกับอีกฝ่าย เพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่า ถ้าหากสารภาพรักไปแล้ว ยังไงความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ถ้าเป็นทางดีขึ้นก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดเลวร้ายลง เขาคงนึกเสียใจขึ้นมาแน่ เพราะเขานั้นเริ่มชอบความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ขึ้นมาบ้างแล้วแท้ ๆ

    “...มันยากนะรินที่จะตัดใจน่ะ ยิ่งเวลาผ่านมันก็ยิ่งฝังรากลึกลงเรื่อย ๆ  ...ฉันรู้ดีนะ ว่าโอกาสที่จะสมหวังมันน้อยเสียยิ่งกว่าผิดหวัง ...แต่ฉันไม่อยากจบโดยที่ยังไม่ลองเริ่มดูสักครั้ง ...”

    กวินพึมพำตอบด้วยใบหน้าเศร้า ๆ ก่อนจะก้มหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้าอีกฝ่าย ด้วยแววตาจริงจังกว่าเคย

     “ถ้ายังไงก็จะต้องอกหักล่ะก็  สู้ลองสารภาพรักให้เขารู้ไปเลยยังดีเสียกว่า”

    การินชะงักกับคำตอบของอีกฝ่าย เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วย้อนถามเสียงแผ่ว

    “แล้วถ้าเกิดบอกไป แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งไม่ได้ล่ะ”

    กวินฟังคำถามของชายหนุ่มหน้าสวย ก่อนจะยิ้มกว้างให้

    “ไม่หรอก... ฉันเชื่อนะว่าถึงเขาอาจจะปฏิเสธฉัน แต่เขาคงไม่รังเกียจจนตัดเพื่อนกันหรอก”

    “ทำไมนายถึงเชื่อมั่นอย่างนั้นล่ะ”

    การินถามย้อนทันควัน ซึ่งกวินก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “ก็เพราะหมอนั่นเป็นคนแบบนั้นไง  ฉันถึงได้หลงรักเขาแบบนี้ ...”

    กวินบอกอย่างเชื่อมั่นในตัวของวาโย ทำให้การินนิ่งอึ้ง แล้วก้มหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพึมพำตอบไป

    “อย่างนั้นหรือ... ต่อให้เป็นแฟนกันไม่ได้ ก็ยังอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกสินะ”

    กวินยิ้มกว้างรับ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนไปบนตักของอีกฝ่าย ทำเอาการินสะดุ้งโหยง แต่พอจะต่อว่าเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับพึมพำขอบคุณเขา

    “ขอบใจนะริน ...นายทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ...ก่อนหน้านั้นฉันเก็บกดจนแทบจะบ้า ไม่รู้จะบอกจะคุยปรึกษากับใคร จะปรึกษาคู่แข่งกันก็กลัวเสียหน้า ...ดีจังเลยที่นายยอมรับฟังฉันแบบนี้น่ะ”

    “ฉันก็คงทำได้แค่รับฟังอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ...ส่วนเรื่องช่วยเชียร์หรือวางแผนให้ คงทำอะไรไม่ได้หรอก”

    การินพึมพำ มือที่เตรียมจะผลักศีรษะของอีกฝ่ายก็ลดลงมาอยู่ข้างลำตัวแทน

    “อืม...แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ สำหรับฉันแค่มีคนรับรู้ความในใจ ยอมรับฟังกัน โดยไม่รังเกียจ ฉันก็ดีใจแล้ว”

    กวินบอกแล้วยิ้มกว้างให้คนที่ก้มหน้ามามอง ทำให้การินสะดุ้ง แล้วเมินไปทางอื่น แต่ในใจนั้นกลับเต้นแรงจนเจ้าตัวเองยังตกใจ

    “เฮ้อ! สบายใจแล้วล่ะ ขอบใจอีกครั้งนะริน ฉันกลับห้องก่อนล่ะ เดี๋ยวโยจะสงสัยเอาที่จู่ ๆ ฉันก็หายไปโดยไม่บอกกล่าวเขา!”

    กวินบอกกับชายหนุ่มแล้วดันกายลุกขึ้น หันมาโบกมืออำลาพร้อมรอยยิ้มร่าเริง โดยที่เจ้าของห้องก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้น้อย ๆ แต่พอกวินออกไปจากห้องเรียบร้อย การินนั้นก็นึกถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายตอนที่นอนตักเขา ใบหน้าของชายหนุ่มหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นอย่างที่เจ้าตัวควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจก็เต้นแรงอย่างประหลาด การินลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำแล้วเปิดน้ำเย็นวักล้างหน้าอยู่หลายรอบ เจ้าตัวจ้องกระจกตรงหน้านิ่ง แล้วบอกกับตัวเองพึมพำไปมา

    “ไม่มีอะไร...ใช่...เราไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นสักนิด...ไม่ได้คิด”

   

    อีกด้านหนึ่งระหว่างที่กวินกำลังคุยกับการินอยู่ในห้อง วาโยเองก็ออกมาเดินหาขวดหรือแก้วน้ำว่าง ๆ เพื่อนำมาใช้แทนแจกันดอกไม้ เขาเดินลงมาชั้นล่างหาชานนเพื่อสอบถาม และยังคงเจอธีรัชที่นั่งคุยกับอีกฝ่ายอยู่แถวนั้น

    “อ้าว คุณธีรัช ยังไม่กลับอีกหรือครับ”

    ธีรัชหันมามองคนตั้งคำถาม แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบ

    “อะไรกันหนูอลิซ เจอหน้าก็จะไล่กันแล้วหรือไง”

    วาโยสะดุ้งโหยง แล้วรีบปฏิเสธทันที

    “เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะครับ”

    ธีรัชหัวเราะเบา ๆ ชานนเองก็เช่นกัน จากนั้นธีรัชจึงโบกมือค่อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายตามตรง

    “ฉันล้อเล่นน่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก ที่ยังไม่กลับก็เพราะมัวแต่นั่งคุยกับคุณนนนี่ล่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงทำกับข้าวเก่งจัง เลยเพิ่งรู้ว่าเขาเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนหน้าที่จะเป็นเชฟนี่ล่ะ”

    วาโยพยักหน้ารับรู้ เขาเองก็รู้เหมือนที่อีกฝ่ายรู้ แต่ที่ไม่รู้ก็เห็นจะเป็นทำไมชานนถึงเลิกทำร้านอาหารแล้วมาเป็นพ่อครัวให้กับปวีร์ได้

    “ฉันน่ะนะ ชอบกินอาหารอร่อย ๆ รู้ไหม แต่แย่อยู่อย่างตรงที่ตัวเองน่ะไร้พรสวรรค์ในการปรุงรสโดยสิ้นเชิง ขนาดเปิดตำราทำ ยังทำออกมาไม่ได้เรื่องประจำ”

    ธีรัชเปรยบ่น ทำให้วาโยนึกขำ ส่วนชานนนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

    “การทำอาหารบางครั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการฝึกฝนด้วยนะครับ อย่างผมเองก็ใช่ว่าจะทำแป๊บเดียวเก่ง ผมถูกสั่งสอนและฝึกฝนให้ทำมาตั้งแต่จำความได้ จนตอนนี้มีประสบการณ์ในด้านอาหารก็สามสิบกว่าปีไปแล้วด้วยซ้ำ”

    คำพูดของชานนทำให้ธีรัชกับวาโยนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน แล้วเป็นธีรัชที่กล้าเอ่ยปากถามอายุของอีกฝ่ายออกไป

    “เอ่อ…ขอเสียมารยาทสักนิดนะครับคุณนน ... คุณนนอายุเท่าไรแล้วครับ”

    ชานนยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของสองหนุ่ม ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายไปตามตรง

      “วันเกิดปีนี้ก็จะสี่สิบแล้วครับ”

    “หา! สี่สิบ!”

    วาโยและธีรัชหลุดอุทานแทบจะพร้อมกัน เพราะวาโยเองนั้นเชื่อมาตลอดว่า อย่างมากชานนก็น่าจะแค่สามสิบต้น ๆ ไม่น่าเกินสามสิบห้า

    “โห...ผมไม่อยากเชื่อเลย คุณนนมีสูตรบำรุงหน้าหรือผิวอะไรเป็นพิเศษ หรือปล่าครับเนี่ย”

    ธีรัชเอ่ยปากถามอีกฝ่าย ทำให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ

    “ไม่ได้บำรุงอะไรหรอกครับ ก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ ...เอาจริง ๆ ผมก็ว่าตัวเองหน้าตาสมอายุอยู่นะครับ”

    “ไม่เลยครับ! ลุงผมสี่สิบหน่อย ๆ แต่หน้านำคุณไปเยอะเลยด้วยซ้ำ ถ้าไปเดินด้วยกันแล้วบอกว่าลุงผมเป็นพ่อ คุณเป็นลูก คนยังเชื่อเลยครับ”

    ธีรัชรีบแย้งด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนฟังหัวเราะเบา ๆ แม้แต่วาโยเองก็ยังอดขำไปด้วยไม่ได้

    “คุยอะไรกัน ท่าทางน่าสนุกจังนะ ขอร่วมวงด้วยได้ไหมน่ะ”

    เสียงทักทายของรุจที่ดังขึ้น ทำให้วาโยหันกลับไปมอง ข้าง ๆ ชายหนุ่มนั้นมีภูริยืนอยู่ด้วย ทั้งคู่เดินเข้ามาสมทบ โดยรุจมีใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนภูริมีสีหน้าค่อนข้างบึ้งตึงจนน่าแปลกไป

    “เราสองคนว่าจะลงมาชั่งน้ำหนัก แล้วออกกำลังกายควบคุมอาหารสักหน่อยน่ะ”

    รุจบอกกับวาโยที่แปลกใจเมื่อเห็นทั้งคู่ลงมาด้านล่าง

    “เอ๋? หุ่นอย่างพวกคุณนี่ยังต้องควบคุมอาหารอีกหรือครับ”

    ธีรัชถามรุจด้วยถ้อยคำสุภาพ เพราะรู้มาว่ารุจนั้นอายุมากกว่าหนึ่งปี อีกทั้งชายหนุ่มยังนึกเกรงบุคลิกของอีกฝ่าย จึงเลือกที่จะปฏิบัติตัวกับรุจผิดแผกจากคนอื่นเป็นพิเศษ

    “โดนกำชับมาน่ะ ฉันว่านายก็น่าจะเข้าข่ายล่ะนะ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ จากนั้น วาโยจึงอธิบายให้ชายหนุ่มฟังเรื่องที่พวกเขาถูกควบคุมเรื่องน้ำหนักให้ทราบ ทำเอาธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ     

    “แย่จัง… เมื่อเช้าผมก็กินซะเต็มที่เลย”

    “คุณธีรัชไม่น่าจะต้องกังวลนะครับ ไหนจะต้องทำงานดึกอีกไม่ใช่หรือครับ ผมว่าน่าจะบำรุงให้มากขึ้นดีกว่าอดนะครับ”

    ชานนให้ความเห็น ธีรัชขมวดคิ้วนิ่งคิด แล้วจึงสรุปง่าย ๆ

    “เห็นทีผมต้องซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักติดบ้านไว้แล้วล่ะครับ ถ้าไม่ขึ้นก็กินตามปกติ ลดลงก็บำรุงหน่อย  ส่วนเรื่องออกกำลังกายนี่ไม่ค่อยมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมมักจะไปว่ายน้ำทุกวันอาทิตย์ นี่อีกสักพักก็ว่าจะไปแล้วล่ะครับ...อ๊ะ จริงสิ”

    ธีรัชล้วงกระเป๋าสะพายของตน แล้วหยิบคูปองปึกหนึ่งส่งให้วาโย

    “เจ้าของสระว่ายน้ำเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาลัยกับฉัน เขาเลยให้คูปองส่วนลดมาเป็นปึกเลย ลำพังฉันใช้เป็นปีก็ไม่หมดหรอก เลยตั้งใจจะหยิบมาแจกพวกนายด้วย  สระว่ายน้ำของหมอนั่นเจ๋งมากเลยนะ  มีทั้งแบบธรรมดา แล้วก็อ่างน้ำวนด้วย  เลือกเล่นได้ตามใจชอบเลยล่ะ”

    วาโยรับมาอย่างตื่นเต้น ความจริงเขาเองก็ชอบว่ายน้ำอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีสถานที่ดี ๆ ให้ว่ายเท่าใดนัก

    “อ๊ะ! จะว่าไปวันนี้ก็วันหยุดไม่ใช่หรือ ไปเที่ยวกันทั้งหมดนี่เลยดีไหมล่ะ”

    คนอื่น ๆ มองตากันปริบ ๆ คล้ายจะตัดสินใจ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น

    “หือ...ใครจะไปเที่ยวไหนกันหรือ ขอฉันติดไปด้วยคนได้ไหมน่ะ”

    คนอื่นหันไปทางต้นเสียงเป็นตาเดียว ปวีร์แย้มยิ้มพลางโบกมือทักทายนิด ๆ ข้างกายเขามีราเมศที่ยืนยิ้มน้อย ๆ ทักทายทุกคนเช่นเดียวกัน

    “คุณปวีร์...ผมนึกว่าคุณหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเสียอีกนะครับเนี่ย”

    วาโยทักทายอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ปวีร์ยิ้มนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย

     “ทีแรกก็ตั้งใจแบบนั้นหรอก แต่หมอนี่เกิดนึกเบื่อไม่อยากนั่งเฉย ๆ อยู่ที่บ้าน ฉันก็เลยชวนออกมาเดินเล่นแทนน่ะ”

    ปวีร์บอกพร้อมยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเหลือบมองราเมศ ส่วนราเมศนั้นแค่นยิ้มส่งให้ตอบ เพราะอีกฝ่ายนั้นหลีกเลี่ยงเรื่องจริงที่ว่า... จู่ ๆ เจ้าตัวก็เกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจมาจ้องหน้าเขาเล่นตั้งแต่เช้าจนเขารู้สึกเขิน แต่พอเขาคิดจะทำมากกว่าจ้องหน้า ปวีร์ก็ทำเป็นหลีกเลี่ยงและชวนเขาออกมาเดินเล่นแทนเสียอย่างนั้น

     “แล้วเรื่องที่ว่าจะไปเที่ยวกัน จะไปไหนหรือ”

    ปวีร์ที่ได้ยินประโยคหลัง ๆ ของการสนทนาเอ่ยถามอย่างสนใจ ซึ่งพอได้รับคำอธิบายจากวาโย ชายหนุ่มจึงทุบมือค่อย ๆ ตามมา

    “น่าสนนี่! งั้นเรายกพลไปเล่นน้ำกันดีกว่า จริงสิธีรัช ถ้าจะเหมาสระทั้งวัน เพื่อนเธอจะคิดเท่าไหร่น่ะ”

    ธีรัชยิ้มแห้ง ๆ เพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายนั้นคงไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด

    “สระค่อนข้างใหญ่นะครับ แล้วก็มีหลายสระด้วย ...ถึงวันหยุดคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายจนเบียดเสียดหรอกครับ อีกอย่างวัยรุ่นกับคนทำงานมักจะมาใช้บริการกันมากกว่าเด็กเล็ก เพราะค่าเข้าก็ค่อนข้างแพงอยู่  นี่เพราะเป็นสระของเพื่อนและผมมีบัตรลด ผมเลยไปใช้บริการอยู่บ่อย ๆ น่ะครับ”

    ปวีร์นิ่งรับฟัง ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ และหันไปถามพนักงานคนอื่น ๆ ของเขา

    “พวกเธอล่ะ ตกลงเอายังไง สนใจไหม?”

    วาโยพยักหน้าหงึก ๆ แล้วจึงหันไปมองรุจกับภูริด้วยแววตาขอร้องกึ่งอ้อน จนสองหนุ่มคนหนึ่งนึกขำ อีกคนกลืนน้ำลายลงคอไม่กล้าปฏิเสธ

    “งั้นผมขอตัวไปชวนรินกับวินก่อนนะครับ!”

    เมื่อเห็นว่าเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสองตกลงไปด้วยกัน วาโยก็รีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองทันที จนเกือบจะชนคนที่เดินสวนลงมา

    “อ้าว! วิน กำลังจะไปตามพอดีเลย!”

    กวินมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ยังไม่ทันจะถาม วาโยก็ตัดบทเสียก่อน

    “ลงไปถามคนอื่นด้านล่างเอาแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปตามรินก่อน จะได้ไม่เสียเวลา!”

    จากนั้นวาโยก็วิ่งพรวดพราดขึ้นไป ทำเอากวินต้องมองไล่หลังตาปริบ ๆ แต่พอลงมาแล้วรู้ข่าวจากปวีร์ ก็ทำให้เขารีบตอบตกลงทันที เพราะนอกจากจะไปเป็นก้างกันหนุ่ม ๆ คนอื่นแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็นวาโยในชุดว่ายน้ำเต็มตาอีกด้วย



    และเมื่อวาโยพาการินลงมาสมทบหลังจากขอร้องกึ่งอ้อนไปหลายยก ปวีร์ก็โทรให้ปยุตนำรถตู้มารับทุกคนที่อยู่ในบ้านพัก ส่วนชานนนั้นทีแรกก็จะขออาสาเฝ้าบ้าน แต่ถูกเกลี้ยกล่อมจากวาโยและขอร้องแกมบังคับจากปวีร์ จึงทำให้ชายหนุ่มต้องยอมตกลงในที่สุด

    “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถไปกันได้แล้ว ส่วนกางเกงอาบน้ำกับหมวกก็ไปเช่าหรือซื้อเอาก็ได้ ที่สระมีของใช่ไหมธีรัช”

    “ครับ มีทั้งของให้เช่า และของใหม่ไว้ขายเลยครับ ของมีทุกไซส์ครับ ไม่ต้องห่วง”

    ธีรัชตอบคำถามของอีกฝ่าย ปวีร์ยิ้มรับ แล้วจึงไล่มองพนักงานของเขาแต่ละคนอีกครั้ง

    “ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางได้ ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง!”

    เสียงเฮจากบางคนดังขึ้นหลังจากปวีร์พูดจบ จากนั้นแต่ละคนจึงทยอยกันขึ้นรถตู้ที่มีปยุตเป็นคนขับ และเมื่อทุกคนขึ้นกันมาบนรถหมดแล้ว รถตู้สีขาวก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านพักตรงไปยังจุดหมายปลายทางกันต่อไป

   

... TBC ...




....ตอนหน้า(ถ้าไม่อู้) หนุ่ม ๆ จะมาพบกับนักอ่าน ในชุดว่ายน้ำกันค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 20-08-2012 13:25:30
จิ้มๆ (แอบมาจิ้มเบาๆ)
เราว่าเราไม่เดาแล้วดีกว่า =_= เลือกไม่ถูกจริงๆ
รออ่านต่อไปอ่านสนุกสนานดีกว่า ฮุฮุฮุ
ตอนหน้าจะได้เห็นหนุ่มๆในชุดว่ายน้ำแว้ววววว >.,<
แค่คิดเลือดก็จะพุ่งแล้ว
+1 อย่าอู้น๊า อยากอ่านๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-08-2012 13:35:57
ยกป้ายไฟเชียร์ทั้งภูริ ทั้งกวิน ให้รุมวาโยเลย วะฮะฮ่าๆๆๆๆ   รอดูหนูอลิซในชุดว่ายน้ำนะ   :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 20-08-2012 13:37:21
โอ้ว จะมีศึกชิงหนุ่มกันมั้ยน่ะตอนหน้า 555

จะบอกว่าจริงๆแอบเชียร์กวินกับการินมาแต่แรกแระนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-08-2012 14:07:05
อ่านตอนนี้แล้ว  คล้าย ๆ กับว่าการินจะคิดอะไรนิดหน่อยกับกวิน
และดูท่าว่าชานนกับธีรัชจะถูกคอกันดีนะ  เอ  ยังงัย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 20-08-2012 14:26:45
ฮาเร็มแน่ๆ โยเอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 20-08-2012 15:10:28
ชานน-ธีรัช  ใช่มั๊ยหว่า  :m12:

สงสัยคราวนี้เสือหนุ่ม จะสิ้นลายให้กับเสน่ห์ปลายจวักของเชฟ(เกือบ)หนุ่ม ละมั๊งนี่  :impress2: อิอิ  :m20:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 20-08-2012 15:36:15
- ... - งานนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นละนี่

ฮร๊าาาาาา
ชูธงโบกป้าย ภูริวาโย

หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 20-08-2012 16:09:53
ไกรคู่รุจก็ดีนะคู่นี่้ทันกันดี อ่านตอนนี้แล้วการินสงสัยจะคู่กวิน
แต่วาโยเราเชียร์ให้คู่ภูรินะ แล้วธีรัชก็ค่อยหาคู่ให้ใหม่ดีกว่า

บวกหนึ่งแจกเป็ดให้นะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 20-08-2012 16:25:08
มองโยกันตาค้างแหละที่นี้

ผู้่ชายในชุดว่า่ยน้ำ อ๊ายยย

ขอให้คนแต่งไม่อู้ หุหุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 21-08-2012 10:24:57
รีบมาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 21-08-2012 12:56:11
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:  อยากเห็นโยใส่ชุดว่ายน้ำอ่ะ ฮิ้ววว  :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 21-08-2012 17:52:08
เรื่องนี้น่ารักจัง ชอบค่ะ รอตอนต่อไปก๊ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 21-08-2012 18:03:02
เอ้า หนุ่มๆ มาโอบซ้ายขวาโยด้วย
เดี๋ยวจะมีคนอื่นที่สระแอบลอบมองโยในชุดว่ายน้ำ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 26 อัพเดท 20/8/55 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-08-2012 18:05:49
รอๆ :z2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-08-2012 13:56:27

**สวัสดีค่ะ ^^" เพิ่งหายป่วยค่ะ ตั้งใจจะปั่นตั้งแต่เมื่อวานแต่มันไม่ไหว พอฟื้นไข้ก็เลยกลับมาส่งฉากสระว่ายน้ำชิมลางไว้ก่อน ตอนหน้าจะกลับมาแบบจัดเต็มค่ะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แถมฝนก็ตกประจำ ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  ^^



Miracle Café / 27




    อาณาบริเวณโดยรอบของสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดปริมณฑลใกล้กรุงเทพฯ ทำให้หลายคนที่เพิ่งเคยเห็นถึงกับนึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่านอกจากรีสอร์ตและโรงแรมแล้ว จะมีสระว่ายน้ำดี ๆ กว้างขวาง ที่เปิดให้คนทั่วไปมาใช้บริการได้แบบนี้อีก

    “เพื่อนผมเขาซื้อที่ดินแถวนี้ไว้ตั้งแต่ถนนยังไม่ตัดผ่านน่ะครับ พอถนนตัดผ่านมันก็เริ่มลงมือวางแผนการก่อสร้างธุรกิจสระว่ายน้ำขึ้นมา มันบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน แล้วก็แถวนี้ก็มีหมู่บ้านจัดสรรกับสำนักงานเยอะอยู่ ยังไงก็น่าจะมีลูกค้าหลงมาบ้างนั่นล่ะ  แต่ถึงจะเปิดไว้ร้าง ๆ มันก็ไม่สนใจเท่าไหร่ บ้านมันรวยน่ะครับ ...แต่เท่าที่ผมสังเกต ผมว่ามันก็ไม่ขาดทุนนะ  มาทีไรก็เห็นลูกค้าไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนสักที  อ้อ! แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมบอกแล้วว่าที่นี่มีหลายสระ”

    ธีรัชย้ำมาพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อแต่ละคนขมวดคิ้วจากจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายกันตรงลานจอดรถหน้าทางเข้า และระหว่างทางเดินเข้าไปในอาคารรับรองของสระว่ายน้ำ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับฟอนต์ของโรงแรม  ธีรัชก็หยิบโทรศัพท์โทรหาใครคนหนึ่ง ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ เดินมาหาทุกคนที่รออยู่บริเวณอาคารทางเข้า 

    “ไงไอ้ธี! ขอบคุณที่พาลูกค้ามาให้เพื่อนว่ะ ...ง่า แล้วคนไหนเจ้านายเอ็งวะ”

    “คนนี้ไง... คุณปวีร์ เจ้าของร้านที่ฉันทำพาร์ทไทม์อยู่ ส่วนนี่คุณราเมศ เขาเป็นบาริสต้าของร้าน และเป็นหุ้นส่วนของร้านด้วย  คนนี้คุณชานนเป็นเชฟ  คุณปยุตเป็นพ่อบ้านของคุณวี  ...ส่วนนี่คุณรุจเป็นแคชเชียร์   คนนี้ก็ภูริเพื่อนเลิฟที่เคยทำงานคลับเดียวกับฉัน...”

    เสียงกระแอมขัดขึ้นจากภูริ ก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้ายุ่ง ๆ ใส่ ทว่าธีรัชกลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สนใจ ก่อนจะแนะนำต่อ

    “ส่วนนี่ก็รุ่นพี่ฉันแต่อายุน้อยกว่าฉันปีนึง ชื่อกวิน  สุดท้ายก็มายเลิฟลี่ทั้งสองของฉัน น้องอลิซ กับ คุณหนูผู้น่ารัก”

    เสียงกระแอมหลายเสียงดังไล่เลี่ยกัน ทำให้ธีรัชยกมือขอโทษแล้วแนะนำใหม่อย่างจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย

    “คนน่ารักคนนี้ชื่อวาโย ส่วน คนสวยคนนี้ชื่อการินน่ะ เป็นพนักงานเสิร์ฟของร้านทั้งคู่”

    หนุ่มหน้าตี๋เพื่อนของธีรัชยกมือไหว้ปวีร์ ราเมศ ชานน และปยุต ที่อายุมากกว่าเขา ก่อนจะหันไปยิ้มทักทายคนอื่น ๆ และแนะนำตัวเองกับทุกคน

    “สวัสดีครับ ผมชื่ออนุชิต จะเรียกนุเฉย ๆ ก็ได้นะครับ ผมเป็นเพื่อนกับเจ้าธีมันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เรื่องเสีย ๆ เลว ๆ ก็ได้มันสอนมาตั้งเยอะ จนอยู่อย่างทันคนมาได้ทุกวันนี้ล่ะนะครับ”

    อนุชิตชวนคนอื่นคุยแล้วก็เผาเพื่อนสนิทจนธีรัชเบ้หน้า แต่คนอื่นพอได้ฟังก็หัวเราะบ้าง ยิ้มบ้าง อย่างนึกขำ

    “ไหน ๆ ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของเจ้าธีมัน ผมเลยจะเปิดสระสำหรับ VIP ให้พวกคุณ เป็นสระโดมที่มีหลังคาปิดเปิดได้น่ะครับ ปกติผมเอาไว้รับรองแขกสำคัญ หรือไม่ก็เพื่อนฝูง ไม่เปิดให้ลูกค้าทั่วไปเล่นหรอก แต่ถ้าเป็นพวกคุณที่เจ้าธีมันพามา ผมก็โอเคเลย ...อ้อ! นี่นามบัตรของผมครับ ยังไงถ้ามีใครสนใจมาใช้บริการ ก็ให้เขาแจ้งไว้ก็แล้วกันว่ารู้จักผ่านพวกคุณ ผมยินดีรับใช้และมีส่วนลดให้เป็นพิเศษทีเดียว”   

    อนุชิตบอกแล้วยื่นนามบัตรส่งให้ทุกคน ซึ่งก็รับมาเก็บไว้ด้วยความยินดี และระหว่างทางเดินชายหนุ่มก็เป็นไกด์นำทัวร์รอบ ๆ ซึ่งแต่ละคนได้รับการอธิบายจากอนุชิตว่า ที่นี่มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กลางแจ้งทั้งหมด 2 สระ ที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและบันเทิง อาทิเช่น สไลเดอร์ เครื่องทำคลื่นเทียม นอกจากนี้ยังมีไลฟ์การ์ดคอยดูแลความปลอดภัยทั้งสี่มุมสระอีกด้วย  และจากที่หลายคนได้รับชมและรับฟังคร่าว ๆ พวกเขาก็สรุปได้ว่าที่นี่น่าจะถูกเรียกว่าเป็นสวนน้ำ มากกว่าสระว่ายน้ำทั่วไปด้วยซ้ำ

     นอกจากสระกลางแจ้งขนาดใหญ่ทั้งสองซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาของอาคารต้อนรับซึ่งอยู่ตรงกลาง  ยังมีสระน้ำสำหรับเด็ก อีกด้านละ 1 สระ สำหรับสระน้ำแต่ละแห่งที่นี่ระบุอายุและความสูงของผู้เล่นไว้อย่างชัดเจน ซึ่งลดความเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในการเล่นน้ำได้  แต่ถึงแม้จะเป็นสระสำหรับเด็ก อุปกรณ์การเล่น และความปลอดภัยก็ไม่น้อยหน้าสระสำหรับผู้ใหญ่สักนิด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นพ่อแม่ลูกเล่นน้ำร่วมสระกันอย่างสนุกสนาน ไม่แพ้กับสระขนาดใหญ่เลยทีเดียว

    “นอกจากนี้เรายังมีบริการสปา กับ ซาวน่า และก็ฟิตเน็ตเสริมด้วยครับ เรียกว่ามาที่นี่ที่เดียวก็ได้ ออกกำลังกาย นวด ผ่อนคลาย ครบวงจรไปเลยในตัวทีเดียว อ้อ...ทางด้านในก็ยังมีห้องส่วนตัวที่เป็นสระน้ำวนโดยเฉพาะ สำหรับคนที่มาทำสปาหรืออยากแช่ผ่อนคลายด้วยนะครับ มีด้วยกันทั้งหมด 5 ห้อง 5 สระพอดีครับ สระหนึ่งก็จุผู้ใหญ่ได้ราวเกือบสิบคนน่ะครับ”

    อนุชิตเล่าให้ทุกคนฟังไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าโดมใหญ่เบื้องหน้าเขา การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าโดมสองคน โค้งให้อีกฝ่าย ซึ่งอนุชิตก็แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกลุ่มที่มาใหม่

    “เพื่อน ๆ ของฉันเอง เดี๋ยวเรียกคนมาดูแลด้วยล่ะ”

    “ครับคุณนุ”

    การ์ดคนหนึ่งโค้งนิด ๆ รับรู้ จากนั้นหนุ่มหน้าตี๋จึงหันมาทางทุกคน

    “พอดีผมต้องไปทำธุระข้างนอกตอนใกล้เที่ยง เลยอยู่ร่วมสนุกกับทุกคนไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหาหรือขาดเหลืออะไรก็แจ้งสองคนนี้ได้เลยนะครับ เดี๋ยวเขาจัดการให้เอง”

    จากนั้นอนุชิตจึงหันไปกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับการ์ดของเขาสองสามประโยค แล้วจึงขอตัวจากไป ท่ามกลางความประทับใจของคนอื่น ๆ ต่ออัธยาศัยและไมตรีจิตที่อีกฝ่ายมีให้กับพวกตน

    “ถ้าอยากเดินเล่นรอบ ๆ ด้าน หรือไปเล่นสระด้านนอกก็สามารถทำได้นะครับ หรือถ้าต้องการไกด์นำทางก็บอกพวกผมได้ เดี๋ยวพวกผมจัดการให้”

    หนึ่งในการ์ดทั้งสองที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในโดมบอกกับทุกคน ซึ่งก็ได้รอยยิ้มและคำขอบคุณจากแต่ละคนตอบกลับไป สำหรับวาโยสระด้านในก็ดูเป็นส่วนตัวและน่าเล่นดีหรอก เพราะมันเป็นสระใหญ่ และยังมีสระน้ำวนขนาดเล็กไว้สำหรับแช่ตัวด้วย เสียอย่างเดียว ที่ไม่มีเครื่องเล่นต่าง ๆ แบบสระด้านนอกเท่านั้น

    “อย่างนี้จ่ายราคาเดียวก็เล่นได้ทุกสระเลยหรือครับ หรือว่าแต่ละสระก็อีกราคาหนึ่ง”

    วาโยหันไปถามธีรัชอย่างสนอกสนใจ เพราะตั้งใจว่าถ้ากลับไปจะโทรไปบอกจรัลและเพื่อน ๆ คนอื่นให้ทราบว่า ใกล้กรุงเทพฯ ก็มีสระว่ายน้ำที่น่าสนใจเปิดบริการอยู่ด้วยเหมือนกัน

    “ก็มีทั้งราคาเหมารวม กับราคาแยกสระอย่างเดียวน่ะ แต่ส่วนใหญ่คนชอบใช้บริการจ่ายแพคเกจแบบเหมารวมต่อหัวมากกว่า เพราะมันรวมเครื่องดื่มกับของว่างคนละมื้อด้วยน่ะ จ่ายเพิ่มไม่กี่ร้อย ก็ใช้บริการได้ทุกส่วน เป็นเธอจะเลือกอะไรล่ะคุณหนูอลิซ”

    วาโยยิ้มแห้ง ๆ เพราะอีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกเรียกเขาว่าอลิซสักที ชายหนุ่มถามราคาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของสระว่ายน้ำแห่งนี้ทั้งแบบเหมารวมและเลือกสระ ธีรัชก็สามารถบอกได้อย่างคล่องแคล่ว ราวกับตัวเองเป็นเจ้าของสระด้วยซ้ำ สมแล้วที่เจ้าตัวมาว่ายน้ำที่นี่อยู่บ่อย ๆ และยังเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของสระอีกด้วย

    “อย่างนี้ถ้าใช้แบบเหมา ก็อยู่ทั้งวันจะคุ้มกว่าสินะครับ”

    วาโยลองคำนวณราคากับเวลา ซึ่งก็ทำให้ปวีร์ที่ฟังอยู่เปรยบอกอย่างนึกขำ

    “งั้นวันนี้ฉันเลี้ยงทุกคนแบบเหมาแพคเกจเลยแล้วกัน เธอจะได้สำรวจทุกที่อย่างที่เธอต้องการ”

    วาโยสะดุ้งโหยง เขาหันไปยิ้มแห้ง ๆ กับอีกฝ่ายก่อนจะแย้งเสียงอ่อย

    “จะดีหรือครับ...หลายคนก็หลายพันอยู่นะครับ”   

    “ไว้เอาคืนทีหลังก็ได้ไม่เป็นไรหรอก”

    ปวีร์แกล้งตอบ ทำให้คนฟังสะดุ้ง ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามการ์ดของอนุชิตคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้น

    “เอ่อ ขอโทษครับ คุณ...”

    “ผมประจักษ์ครับ  ส่วนคนนี้ นิคม”

    ทั้งคู่แนะนำตัวกับปวีร์ ซึ่งปวีร์ก็ยิ้มรับ แล้วจึงถามอีกฝ่ายต่อ

    “แล้วค่าใช้จ่ายล่ะครับ ต้องจ่ายที่เคาท์เตอร์ด้านหน้าก่อนเลยไหม เมื่อครู่ผมก็ไม่ได้ทันถามคุณอนุชิตเขาด้วย”

    สองคนสบตากันปริบ ๆ แล้วหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

    “คุณนุ สั่งว่าไม่ต้องเก็บเงินพวกคุณครับ คุณสามารถเล่นที่นี่ได้ในทุกส่วนและใช้สิทธิประโยชน์ได้เหมือนกับลูกค้าที่จ่ายค่าแพคเกจครับ”

    ปวีร์ถอนหายใจเบา ๆ ถ้ารู้อย่างนี้เขารั้งตัวอีกฝ่ายคุยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไว้ก่อนก็คงดี

    “ไม่ต้องห่วงครับคุณวี  แค่นี้หมอนี่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกครับ อีกอย่าง หมอนี่ตาแหลมจะตาย มองปุ๊บก็พอจะรู้แล้วว่า คบกับคุณไว้ก็ไม่น่าเสียหาย เพราะอย่างคุณวีน่าจะมีเพื่อนฝูงที่เป็นนักธุรกิจไฮโซอยู่มากมายใช่ไหมล่ะครับ”

    ธีรัชถามอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาเสียจนการ์ดทั้งสองของอนุชิตยังกลืนน้ำลายลงคอ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนสนิทของนายจ้างพูดมานั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

    “หือ...แบบนั้นหรอกหรือ  หึ ๆ ถ้างั้นก็ไม่เกรงใจล่ะ ...แล้วไม่ต้องห่วง กลับไปจะช่วยประชาสัมพันธ์ที่นี่ให้ฟรี ๆ แน่นอน”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ  ทำเอาคนฟังแต่ละคนกลืนน้ำลายลงคอ แล้วมองชายหนุ่มตาปริบ ๆ แม้แต่ธีรัชยังอึ้งไปในทีแรก แต่สักพักเขาก็หัวเราะร่วนตามมา

    “สมกับเป็นคุณวีจริง ๆ ถ้าเจ้านุอยู่ด้วยคงถูกใจคุณแน่ สเป็คมันคล้าย ๆ ผมเสียด้วยสิ”

    พอธีรัชพูดจบ คนข้างกายปวีร์ก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที พลางขยับกายไปใกล้ชิดชายหนุ่มมากขึ้น จนปวีร์หันไปอมยิ้ม ส่วนธีรัชพอเห็นก็ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับคนอื่นแทน

    “จริงสิ...ในนี้มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สุขา ห้องอาบน้ำ แล้วก็ล็อกเกอร์แยกไว้เป็นสัดส่วนต่างหากด้วยนะ  พวกเราเก็บของไว้ในนี้แล้วกัน ส่วนใครจะไปเล่นน้ำที่ไหน ก็แล้วแต่ ตามสบายเลย ส่วนฉันขออยู่ด้านในนี่ล่ะ ข้างนอกสนุกก็จริง แต่แดดแรงเกิน ไม่ไหว เล่นแป๊บ ๆ ได้ แต่เล่นนานได้เป็นหวัดแดดพอดี...อ้อ ลืมไป ชุดว่ายน้ำ ใครยังไม่มีบ้างล่ะ”

     คนอื่น ๆ นอกจากปวีร์ ราเมศ และธีรัชแล้ว ก็ไม่มีใครพกชุดว่ายน้ำมาเลยสักคน ดังนั้นปวีร์จึงโยนการ์ดไปให้การิน และบอกให้หลานชายดูแลรับผิดชอบเรื่องซื้อชุดว่ายน้ำให้พนักงานคนอื่น ๆ แม้ชานนกับปยุตจะแย้งว่าพวกตนไม่ลงว่ายน้ำด้วยก็ตาม แต่สุดท้ายด้วยคำขอร้องกึ่งคำสั่งของปวีร์ ก็ทำให้ทั้งคู่ต้องตามคนอื่น ไปซื้อชุดว่ายน้ำด้วยเช่นเดียวกัน

    “อันนี้คงไม่รวมในแพคเกจใช่ไหมล่ะครับ”

    ปวีร์หันไปแซวการ์ดที่ก็ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ทางด้านการินที่ถูกโยนหน้าที่ให้รับผิดชอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองธีรัชที่ยิ้มแป้นมองเขา

    “มีอะไรหรือครับคุณหนูคนสวย จ้องผมแบบนี้ แสดงว่าหลงรักผมแล้วล่ะสิ”

    การินกัดฟันนิด ๆ อย่างหงุดหงิด แล้วจึงตอบกลับไปอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้หลุดโมโหยิ่งกว่านี้

    “ที่ไหนมีชุดว่ายน้ำขายล่ะ นำไปสิ!”

    “อ้อ! ที่แท้ก็เรื่องชุดนั่นเอง โอเคครับ กระผมจะนำคุณหนูไปเอง เชิญเลยครับ”

    ธีรัชแสร้งทำเป็นโค้งสุภาพนอบน้อมจนคนมองหมั่นไส้ ส่วนคนอื่น ๆ พากันถอนหายใจเบา ๆ กับความไม่ลงรอยของคนทั้งคู่



    “ถ้ารู้ว่าจะได้ไปสระว่ายน้ำด้วย ฉันเอากางเกงว่ายน้ำที่บ้านติดมาก็ดี แต่ก็นั่นล่ะ ฉันไม่ได้ใส่มานานแล้วตั้งแต่ตอนเรียนแน่ะ ป่านนี้ไซส์เปลี่ยนหมดละ”

    กวินเปรยบ่นระหว่างเดินทางไปร้านค้า ทำให้วาโยหันไปมอง แล้วพอนึกถึงตัวเองเขาก็บ่นอุบเบา ๆ ตามมา

    “ของฉันก็เคยมีนะ แต่โดนขโมยไปแล้ว ไอ้บ้าโรคจิตที่ไหนก็ไม่รู้ ซักตากไว้โดนสอยไปเฉย กางเกงผู้ชายแท้ ๆ”

    กวินหันขวับมามองคนพูด ก่อนจะนึกสาปส่งเจ้าโจรโรคจิตที่บังอาจมาขโมยกางเกงว่ายน้ำของคนที่เขาชอบไปได้ เขาเชื่อมั่นได้เลยว่า คนที่กล้าทำแบบนั้นจะต้องรู้ตัวจริงของวาโย และตั้งใจเอากางเกงว่ายน้ำอีกฝ่ายไว้เป็นที่ระลึกแน่นอน

    “ง่า...แล้วกางเกงหรือเสื้อผ้าอื่น ๆ ล่ะ เคยโดนขโมยบ้างไหม”

    กวินถามต่ออย่างสงสัย วาโยหันมามองคนถามแล้วก็ตีหน้ามุ่ยใส่

    “ก็เหมือนกันน่ะสิ ...แต่พอเจอหนัก ๆ เข้า เจก็เลยจัดการแกล้งบ่นตรงหน้าระเบียงซะดังว่า กางเกงในตัวเองโดนขโมยไป สงสัยโจรโรคจิตจะนึกว่าเป็นกางเกงในของฉัน และตั้งแต่วันนั้นมา พวกเสื้อผ้าที่ตากไว้ข้างนอกก็ไม่หายอีกเลย  แต่เพื่อความปลอดภัย ฉันก็ตากพวกชั้นในต่าง ๆ ไว้ในห้องแทนล่ะนะ”

    กวินเงียบกริบ ยิ้มแห้ง ๆ นึกทึ่งต่อการเอาคืนของจรัลยิ่งนัก ถ้าเขาเป็นโจรโรคจิตคนนั้นแล้วได้ยินเข้า มีหวังคงรู้สึกแย่และเข็ดไปอีกนานทีเดียว

    ทางด้านภูริและรุจ ที่เดินตามกันมาและได้ยินทั้งคู่สนทนาเป็นอย่างดี อีกคนหนึ่งอึ้งเล็กน้อยกับเรื่องที่ได้ยิน ส่วนอีกคนกลั้นหัวเราะอย่างนึกขำ และคิดว่าชีวิตที่ผ่านมาของวาโยคงมีเรื่องน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความหน้าหวานของอีกฝ่ายล่ะนะ

     

    เมื่อมาถึงร้านขายชุดว่ายน้ำ รวมไปถึงเสื้อผ้าต่าง ๆ แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปดูชุดที่ตัวเองชอบ วาโยหยิบกางเกงว่ายน้ำแบบสามส่วนที่คล้ายกับกางเกงขาสั้นทั่วไปมาดู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อธีรัชสะกิดเขา แล้วยื่นกางเกงว่ายน้ำแบบบิกินี่ตัวจิ๋วมาให้อีกฝ่าย

    “ใส่แบบนี้ดีกว่านะ รับรองเจ๋ง!”

    วาโยหน้าแดง ต่อให้เป็นกางเกงว่ายน้ำ และมีคนใส่กันทั่วไป แต่เขาก็ไม่นิยมใส่แบบเปิดเผยสัดส่วนขนาดนั้นแน่

    “ง่า...ไม่ดีหรอกครับ ผมขอธรรมดาดีกว่า”

    บอกแล้ววาโยก็หยิบกางเกงว่ายน้ำขาสั้นตรงหน้าเดินดุ่ม ๆ ไปหาการิน ทำให้ธีรัชที่มองตามไปต้องหัวเราะร่วนอย่างถูกใจ

    “สนุกมากหรือไง เที่ยวแกล้งชาวบ้านเขาแบบนั้นน่ะ”

    ภูริที่อยู่แถวนั้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ จนคนที่กำลังหัวเราะอยู่หันไปมอง แล้วยักไหล่นิด ๆ

    “แหม...นายก็คิดเหมือนฉันใช่ไหมล่ะ ออกจะเหมาะจะตาย ลองจินตนาการดูสิ ว่าเด็กนั่นใส่บิกินีแบบนี้ แล้วปิดอก ทำหน้าเขิน ๆ โอ้! ใช่เลย แค่คิดก็คึกคักละ หึ ๆ”

    “ไอ้โรคจิต!”

    ภูริตะคอกเสียงห้วนไม่ดังนัก แล้วเมินอีกฝ่ายก่อนจะหันไปเลือกชุดว่ายน้ำของตัวเองต่อ ทว่าคำพูดของธีรัชก็ตามมาหลอกหลอนต่อจินตนาการของเขา จนชายหนุ่มต้องรีบ ๆ เลือกชุดว่ายน้ำ ส่งไปให้การินแล้วเดินเลี่ยงดูอย่างอื่นแทน

    ทางด้านกวินที่กำลังเลือกชุดอยู่ละแวกนั้น และได้ยินบทสนทนาของธีรัชกับภูริชัดเจนดี  ทำให้เขาดันเผลอจินตนาการถึงรูมเมทในสภาพดังกล่าว แล้วก็ถึงกับต้องยืนสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่เลยทีเดียว

    และเมื่อทุกคนเลือกชุดว่ายน้ำได้เรียบร้อย การินก็จัดการจ่ายเงินด้วยการ์ดของปวีร์ จากนั้นทุกคนก็มาที่โดมสระวีไอพี เปลี่ยนชุดเป็นชุดว่ายน้ำ พร้อมลงเล่นน้ำกันถ้วนหน้า

   

... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-08-2012 14:27:52
ตอนหน้าหนุ่ม ๆ จะเลือดกำเดากระฉูดกันแล้วใช่มั๊ย  อิ อิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-08-2012 14:32:17
เผลอคิดภาพวาโยตามไปด้วยแล้วแบบ...

น่ารักเกินไปแล้วววววว

(เป็นภูริเอฟซีอย่างเหนียวแน่น...อิอิ)
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: shockoBB ที่ 22-08-2012 14:44:35
น้องโยเสน่ห์แรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 22-08-2012 15:34:01
อ่าาา รอดูเลือดเต็มสระ

จะไหลหมดตัวเพราะโยกันไหมเนี้ย

หุหุ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 22-08-2012 16:20:06
อ่าาาาาาาา
ลุงชานนจะโดนเด็กกิน รึกินเด็กล่ะเนี้ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 22-08-2012 17:32:41
เหอะๆ ธีรัช แกจะโรคจิตไปไหน แถมดันกระจายความโรคจิตให้คนอื่นอีก
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 22-08-2012 18:15:14
จินตนาการแล้วเลือดกระจาย :m25:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 22-08-2012 18:31:15
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-08-2012 10:09:04
ตอนหน้า ท่าทางสระแตกแน่ๆๆๆ  สงสัยว่า กวินกับภูริ จะเป็นอันได้ว่ายน้ำหรือเปล่า 5555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 23-08-2012 10:29:47
สงสัยจะเลือดกำเดาไหลหมดตัวกันแน่ๆ เจอนู๋โยตอนใส่ชุดว่ายน้ำเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 23-08-2012 11:55:39
ฮาโจรสอยกางเกงมากกกกอ่ะ
พอได้ยินเจพูด คงแทบจะเอาที่ขโมยมาไปทิ้งเลยทีเดียว 555  :m20:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 23-08-2012 12:10:32
คงจะเป็นการพักผ่อนที่ตามมาด้วยความวุ่นวาย ฮ่าๆ

แอบสงสารหนูโย 5555 โดนขโมยชุดชั้นใน แต่สงสารโจรมากกว่า เจอกับเจเข้าไป ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 27 อัพเดท 22/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 23-08-2012 15:55:55
อยากเห็นน้องโยเวลาใส่ชุดว่ายน้ำจัง
ขำน้องโยมีคนขโมยกางเกงด้วย

บวกหนึ่งกับแจกเป็ดจ้า
ยังไงก็รักษาสุขภาพก่อนค่ะ คุณXenon
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-08-2012 16:57:54
**เหมือนจะมีมาม่าลอยอืดในสระ...อ๊ะ หรือว่าไม่มี ....หุ ๆ




Miracle Café / 28




    ร่างเล็กที่ถอดเสื้อยืดออกพาดไว้บนเก้าอี้ อวดผิวขาวเนียนในชุดว่ายน้ำแบบกางเกงขาสั้น ทำให้บางคนที่หันไปมองต้องใจเต้น พลางรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะเกรงว่าจะหลุดอาการแปลก ๆ ออกไปเสียก่อน และก็มีบางคนที่ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ที่อีกฝ่ายเผยสัดส่วนร่างกายสู่สายตาคนอื่นเช่นนี้ แม้คนอื่นที่ว่านั่นจะเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้นก็ตาม

    “ผิวขาวจังนะนาย เคยถูกแดดบ้างหรือเปล่าน่ะ”

    รุจเป็นคนแรกที่เข้าไปทักวาโยแล้วแกล้งโอบบ่าอีกฝ่าย ก่อนจะหันมายักคิ้วให้กับหนุ่ม ๆ อีกสองคนที่ต่างก็มองรุจอย่างอิจฉาปนขุ่นเคือง

    “โธ่! คุณรุจ เห็นอย่างนี้ผมเล่นบอลกลางแดดประจำนะครับ ...แต่ตัวมันไม่ดำเองนี่ครับ ทำไงได้”

    วาโยบอกเสียงอ่อย นอกจากหน้าหวานแล้วเรื่องผิวขาวและหุ่นผอมไร้กล้ามล่ำ ๆ ก็เป็นปมด้อยของเขาอีกด้วยเหมือนกัน

    “อิจฉาพวกคุณจัง ตัวก็สูงหุ่นก็ดี...”

    วาโยพึมพำพลางจ้องมองรุจ แล้วไล่ไปทางกวิน ภูริ และธีรัช ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีรูปร่างดีจนสะดุดสายตาคนมอง แถมยังมีกล้ามท้องน้อย ๆ แบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบอีกด้วย

    “น่ารัก ๆ แบบเธอก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปอิจฉาใครหรอก”

    ปวีร์ที่ยืนฟังอยู่แถวนั้นบอกอย่างขำ ๆ ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กแบบพอดีตัว หุ่นเพรียวบางได้สัดส่วน ผมยาวสยายก็ถูกมัดเป็นมวยไว้หลวม ๆ อวดต้นคอขาวเนียน  จนธีรัชที่หันไปเห็นถึงกับผิวปากหวืออย่างชื่นชม ก่อนจะชะงักเมื่อมีสายตาคมกริบของราเมศตวัดมองอย่างดุ ๆ เข้าให้

    “อ้าว...ริน ไม่ถอดเสื้อล่ะ เขาไม่ให้ใส่เสื้อยืดลงเล่นน้ำนะ”

    ปวีร์ที่หันไปเห็นหลานชายยืนมองคนอื่นเก้ ๆ กัง ๆ เอ่ยแซว การินหันมาค้อนขวับให้ผู้เป็นอา ก่อนจะถอดเสื้อยืดของตนที่สวมไว้ออกพาดกับเก้าอี้แถวนั้นเช่นเดียวกัน

    “ว้าว! คุณหนูรินเนี่ยผิวขาวจั๊วะ เนี๊ยนเนียนเสียยิ่งกว่าหนูอลิซอีกนะเนี่ย!”

    เสียงธีรัชที่หลุดแซวออกมา ทำเอาการินหน้าแดงด้วยความโมโห แล้วทำท่าจะใส่เสื้อคืนกลับเหมือนเดิม ทำให้กวินที่มองอยู่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    “อย่าแซวกันสิครับคุณธีรัช  เฮ้! ริน ไม่ต้องอายหรอกน่า คนกันเองทั้งนั้น ดูฉันสิ ยังไม่อายเลย เนอะ!”

    การินมองกวินที่ยิ้มให้กำลังใจตนนิ่งสักพัก ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ แล้วเดินมารวมกับวาโย  อาการว่าง่ายของชายหนุ่มหน้าสวย ทำให้ธีรัชลอบสังเกตการินที กวินที แล้วทำเสียงพึมพำในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มแย้มตามมาแล้วพูดกับสองหนุ่มผู้น่ารักประจำกลุ่ม

    “ฉันแค่แซวเล่นน่ะ ขอโทษด้วยแล้วกัน อย่าเกลียดกันเลยนะ คราวหน้าจะลามปามให้น้อยกว่านี้ สัญญาได้เลย!”

    การินขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนวาโยเองก็มีสีหน้าทะแม่ง ๆ แต่ก็อดขำกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้

    “เอาแบบไม่ต้องลามปามเลยไม่ได้หรือครับ แล้วเลิกเรียกผมว่าอลิซสักทีเถอะ ผมอายนะ...”

    “เหรอ...มันติดปากน่ะ งั้นจะให้เรียกอะไรดีล่ะ คุณหนูโย น้องโย  โยน้อย หรือว่า ...”

    “โยเฉย ๆ ก็พอครับ ไม่ต้องเติมโน่นนี่อะไรให้ยาวกว่านั้นหรอกครับ”

    วาโยรีบบอกก่อนที่ชื่อเรียกของเขาจะถูกแปลงให้แปลกไปมากกว่าเดิม

    “โอเค ๆ งั้นเรียกหนูโยแล้วกัน”

    ธีรัชตัดบท โดยไม่สนคำพูดของวาโยก่อนหน้านั้นมากนัก วาโยขมวดคิ้วยุ่ง แต่สำหรับเขา หนูโย ก็น่าจะฟังดูเข้าท่ากว่าอลิซล่ะนะ

    “โย! ไปเล่นน้ำกันดีกว่า!”

    เสียงกวินดังขัดขึ้น เมื่อเห็นว่ารูมเมทเริ่มสนทนาสนิทสนมเกินไปกับธีรัช  ทางด้านวาโยนั้นสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังหันไปพยักหน้า ก่อนจะหันมาชวนการินให้ไปเล่นน้ำด้วยกัน

    “ริน ไปเล่นสไลเดอร์กันไหม”

    “หา...แต่ฉันว่า...”

    การินทำท่าลังเล เพราะเขาไม่อยากเข้าไปขัดกวินที่ดูเหมือนอยากจะไปเล่นน้ำกับวาโยตามลำพังมากกว่า ทว่าก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงของกวินดังขึ้นอีกครั้ง

    “ไปด้วยกันสิริน เล่นหลาย ๆ คนสนุกดีออกนะ!”

    คนชวน ๆ อย่างเต็มใจ พร้อมรอยยิ้ม ทำให้การินพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับค่อย ๆ แล้วปล่อยให้วาโยจูงมือตนไป ธีรัชถึงกับผิวปากหวือเมื่อเห็นคุณหนูหน้าสวยจอมดื้อดึงคนนั้นว่าง่ายเกินเหตุ  ส่วนภูริมองตามทั้งสามแล้วนิ่วหน้านิด ๆ จนรุจที่ลอบมองอยู่ถึงกับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “เราก็ไปด้วยกันสิ ไม่ได้แก่ถึงขนาดเล่นของเล่นพวกนั้นไม่ได้สักหน่อย”

    ภูริชะงัก เขาทำเป็นเมินแล้วแสร้งเปรยใส่ด้วยน้ำเสียงรำคาญ

    “ไม่เห็นอยากไปตากแดดเลย ร้อนก็ร้อน...”

    ยังไม่ทันขาดคำ ก็ดูเหมือนบรรยากาศเป็นใจ เมฆก้อนใหญ่ลอยมาปิดบังท้องฟ้า ถึงแม้จะครึ้มไปสักหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่น่ามีฝนตกลงมาแน่

    “หือ...แดดร่มแล้วแน่ะ ไปกันไหมล่ะ”

    รุจกระเซ้าอีกรอบ ภูริทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ แล้วจึงกระแทกเสียงใส่

    “อยากไปนัก ก็ไปเองสิ!”

    “หึ ๆ อย่างนั้นหรือ...นึกว่าจะตามไปคอยดูเด็กนั่นเสียหน่อย ...เอ เมื่อครู่ฉันสังเกตเห็นกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายกลุ่มใหญ่เล่นน้ำอยู่ด้านนอก ถ้าพวกนั้นไม่ไปสระเดียวกันก็คงไม่เป็นไร ...มีทั้งริน ทั้งโย วินคนเดียวคงดูแลลำบากแน่เลยล่ะนะ”

    รุจเปรยกับตัวเองลอย ๆ ทว่าประโยคที่ได้ยินนั้น เข้าหูคนฟังเต็ม ๆ ภูริทำเสียงสบถเบา ๆ แล้วจึงเดินกระแทกเท้าออกไปที่สระด้านนอก ตามพวกวาโยไปอย่างหงุดหงิด จนคนมองอย่างรุจยังนึกขำ

    “โห...ไปกันหมดเลย แบบนี้ผมก็อยู่ข้างในคนเดียวน่ะสิครับ”

    ธีรัชพึมพำคล้ายจะเสียดาย ส่วนรุจก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยชวน

    “งั้นก็ไปเล่นข้างนอกด้วยกันสิ ...หรือจะอยู่ที่นี่เป็นก้างคนอื่นก็ตามใจนะ”

    คนอื่นที่ได้ยินเสียงเปรยเบา ๆ แว่วเข้าหู ถึงกับสะดุ้งแล้วหันขวับไปมองคนพูดอย่างตกใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มของรุจ เจ้าตัวก็เบือนหน้ากลับมาไม่กล้าสบตาด้วย ส่วนปวีร์ที่อยู่ใกล้ ๆ อมยิ้ม แล้วเปรยตอบดัง ๆ

    “นั่นสิ เด็ก ๆ ก็ไปอยู่ส่วนเด็กเถอะ ที่นี่ปล่อยให้คนแก่อย่างพวกฉันเฝ้าเองก็ได้”

    ธีรัชฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ เช่นเดียวกับรุจที่อมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นชายหนุ่มผิวสีแทนก็โบกมือค่อย ๆ เป็นเชิงขอตัว และเดินออกไปเล่นด้านนอกพร้อมกับรุจ เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นที่เดินนำกันไปแล้ว



    “หึ ๆ เด็ก ๆ นี่ร่าเริงกันจังนะ”

    ปวีร์บอกพลางแย้มยิ้มน้อย ๆ เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปที่สระว่ายน้ำ แล้วหย่อนกายลงไปในสระอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ราเมศที่ยืนอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาใกล้และนั่งหย่อนขาลงน้ำอยู่ริมขอบสระ พร้อมกับบ่นเบา ๆ

    “ไม่เห็นจะน่าขำตรงไหน  สองคนนั่นรู้เรื่องของพวกเราหมดแล้วแน่”

    “รู้แล้วทำไม ไม่เห็นจะแปลกอะไร ...นอกจากนายจะไม่อยากให้ใครรู้ เพราะกลัวถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ...ถ้าอย่างนั้นฉันแก้ข่าวให้ก็ได้นะ ไม่เป็นไร”

    ท้ายประโยคปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ราเมศไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย เพราะมันติดเศร้ากึ่งประชดอย่างเห็นได้ชัด

    “บ้าน่า... ฉันไม่ได้กลัวเรื่องนั้นสักหน่อย...ที่ฉันไม่ค่อยชอบก็เพราะ...เอิ่ม...ฉันก็แค่เขินน่ะ”

    ราเมศบอกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอาย ๆ  อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ทำให้ปวีร์ยิ้มออกมาได้

    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รักกันให้มาก ๆ จนพวกนั้นเป็นฝ่ายเขินแทนเลยสิ”

    ปวีร์กระเซ้าแล้วยิ้มยั่ว ทำให้คนที่นั่งบนขอบสระแค่นยิ้ม แล้วพึมพำ

    “งั้นก็อย่าคอยหนีสิ...พอฉันจะเอาจริงก็หนีทุกทีนะนายน่ะ”

    “หึ ๆ ช่วยไม่ได้นี่ ก็เล่นปล่อยให้ฉันหลงรักมาฝ่ายเดียวเป็นสิบ ๆ ปีแบบนี้ เอาคืนนิดหน่อยอย่าว่ากันนักเลย”

    ปวีร์บอกขำ ๆ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง

    “นี่แสดงว่าแกล้งยั่วกันจริง ๆ ใช่ไหม”

    “...ก็แล้วแต่จะคิด”

    คนในน้ำตอบแล้วว่ายผละหนีไป จนราเมศนึกหมั่นไส้ เขาลงไปในน้ำแล้วว่ายตามหมายจะจับตัวปวีร์ให้ได้

    “รอก่อนเถอะ จับได้เมื่อไหร่จะลงโทษเสียให้เข็ด!”

    “หึ ๆ งั้นก็จับให้ได้ก่อนแล้วกัน ถึงจะยอมให้ลงโทษน่ะ”

    ปวีร์แกล้งยั่วแล้วว่ายหนี ส่วนราเมศก็แค่นยิ้มก่อนจะว่ายตาม จากว่ายเล่น ๆ ก็กลายเป็นการว่ายแข่งขันไล่จับกันอย่างน่าดูชม



    “ผมว่าพวกเราไปหาเครื่องดื่มมานั่งจิบ แช่น้ำวน แล้วคุยกันไปพลาง ๆ ตรงมุมนั้นจะดีกว่านะครับ”

    ชานนที่มองนายจ้างและคนรักของอีกฝ่ายว่ายน้ำไล่จับกัน หันมายิ้มแล้วชวนปยุตคุย ทางด้านปยุตเหลือบมองปวีร์ซึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างสนุกสนานแล้วสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบรับชานน

    “นั่นสิครับ เพราะถึงพวกเราจะอยู่ด้วย สองคนนั่นก็คงไม่รู้สึกตัวอยู่ดี”

    “ฮะ ๆ ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ”

    ชานนหัวเราะตอบ และจึงปลีกตัวไปพร้อมกับปยุต ซึ่งคุ้นเคยกันดี เนื่องจากเขาเคยไปทำงานเป็นพ่อครัวให้ปวีร์มากว่าสองปี ส่วนปยุตเองนั้นก็เป็นพ่อบ้านให้ปวีร์ตั้งแต่อีกฝ่ายเรียนจบและกลับมาอยู่ที่ไทย พวกเขาจึงคุ้นเคยในการทำงานร่วมกัน จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ซี้ต่างวัยที่คุยกันได้ถูกคอคู่หนึ่งทีเดียว

   

    สระกลางแจ้งด้านนอกนั้นกว้างขวางกว่าสระส่วนตัวด้านในมากนัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างให้หยิบยืมเล่นได้ในสระอย่างอิสระโดยไม่ต้องเสียเงินเช่าเพิ่ม  อาทิเช่น ลูกบอลเป่าลม ห่วงยาง แพยาง เป็นต้น ทำเอาวาโยนั้นตื่นเต้นและคิดในใจว่าจะต้องโทรชวนจรัลให้มาเที่ยวด้วยกันให้ได้

    “วิน! ริน! เล่นสไลเดอร์กัน!”

    คนตัวเล็กตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริง จนกวินกับการินต้องสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วจึงยอมไปเล่นกับคนชวนด้วยกันทั้งคู่  สไลเดอร์น้ำแม้จะไม่ใหญ่มากเหมือนกับพวกสวนน้ำต่าง ๆ แต่ก็เพียงพอสร้างความสนุกให้กับคนที่เล่นมากพอดูเหมือนกัน

    “ฮ่า! สนุกจังแฮะ!”

    คนที่โผล่จากน้ำ มาสะบัดศีรษะเปียก ๆ ไปมา โพล่งขึ้นอย่างสนุกสนาน แล้วว่ายไปที่ขอบสระ ทว่าระหว่างที่กำลังจะยันตัวขึ้นฝั่งเพื่อไปเล่นสไลเดอร์อีกรอบ มือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ยื่นส่งให้เขา

    “...จะขึ้นไม่ใช่หรือ”

    ภูริถามคนที่ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นวาโยจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วยื่นมือให้อีกฝ่ายฉุดตนขึ้นไปจากน้ำอย่างไม่ยากนัก

    “ไปเล่นด้วยกันไหมครับ...คุณภูริ …คุณภูริครับ?”

    วาโยย้ำถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เมื่อคนที่ฉุดเขาขึ้นมาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพราะทนจ้องมองสภาพของคนตัวเล็กข้างหน้าเขาต่อไม่ไหว  ...ผมเปียกลู่ศีรษะที่มีหยดน้ำเกาะพราว ยิ่งขับให้หน้าหวานนั่นดูเซ็กซี่ขึ้นอย่างน่าประหลาด  กางเกงเปียกน้ำที่บัดนี้แนบชิดจนเห็นได้ชัดถึงสัดส่วนของเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านใน  ทำให้ภูริเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตขึ้นทุกทีที่ดันเกิดอารมณ์กับร่างของผู้ชายด้วยกันแบบนี้  ชายหนุ่มลองทดสอบมองไปข้าง ๆ ก็เห็นธีรัชยกยิ้มยั่วเขาก่อนเจ้าตัวจะสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเขาจ้องนิ่งเขม็ง แถมยังไล่มองมาจากหัวจรดเท้าและเน้นบางส่วนเป็นพิเศษ

    “เฮ้ย ๆ อย่ามองอย่างนั้นสิวะภู  เพื่อนไม่กินขั้วเดียวกันนะโว้ย”

    “บ้ารึ! ขยะแขยงจะตายใครจะกล้าคิดเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายเหมือนกันได้ลงคอวะ!”

    ภูริสบถตอบ พอได้ลองมองหุ่นของผู้ชายคนอื่นเขาก็ไม่ได้เกิดอาการตื่นเต้นอะไรเหมือนอย่างที่จ้องมองวาโยสักนิด  ทว่าทางด้านวาโยเมื่อได้ยินคำพูดของภูริ เขาก็ชะงัก แล้วรู้สึกปวดแปลบประหลาดบางอย่างในอก ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

    “คุณภูริครับ...ปล่อยมือได้หรือยังครับ”

    ภูริสะดุ้งโหยง เขามองมือที่จับวาโยแล้วรีบปล่อยด้วยความตกใจ

    “อะ ...ขอโทษที”

    “ไม่เป็นไรครับ...ผมขอตัวไปเล่นน้ำต่อก่อนนะครับ”

    วาโยบอกพร้อมยิ้มเจื่อน ๆ ดูแปลกไป ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่สไลเดอร์ ทำให้ภูรินิ่งอึ้งมองตามอย่างสงสัย  ส่วนรุจและธีรัชที่อยู่แถวนั้นถอนหายใจไล่เลี่ยกัน และต่างก็เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่ม พลางเปรยขึ้นบอกอีกฝ่าย

    “อา...อยู่ดีไม่ว่าดี ทำคะแนนติดลบด้วยตัวเองเสียแล้วเพื่อนฉัน”

    ธีรัชบอกพลางตบบ่าอีกฝ่าย ทำเอาภูริหันมามองอย่างสงสัย แต่รุจนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่างกัน

    “แต่ถ้าคิดในแง่ดี ก็หมายถึงว่ายังมีหวังนะ เพราะถ้าไม่คิดอะไรเลย ก็จะไม่มีปฏิกิริยากับคำพูดเมื่อครู่ไงล่ะ”

    “หรือว่าที่ฉันพูดเมื่อครู่...”

    ภูริพึมพำอย่างนึกขึ้นได้ แล้วก็หน้าแดงขึ้นน้อย ๆ จนคนมองทั้งสองนึกขำ

    “ดีใจล่ะซิ แต่อย่าลืมล่ะ ตอนนี้คะแนนนายติดลบอยู่นะ ...อ้าว ตายละ โดนรุมเสียแล้ว”

    ธีรัชที่หันไปมองวาโยเปรยขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นสองสามคน กำลังชวนวาโยเล่นน้ำด้วยกัน โดยที่วาโยเองนั้นมีสีหน้าลำบากใจ ส่วนกวินที่เล่นน้ำกับการินก็กำลังรับมือกับวัยรุ่นที่มาตอแยกับการินอยู่ด้วยเช่นกัน ภูริเม้มปากด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินตรงไปที่วาโยยืนอยู่ คว้าโอบไหล่อีกฝ่ายมาชิด แล้วมองคนกลุ่มนั้นเขม็ง

    “มีธุระอะไรกับเพื่อนของผมหรือครับ”

    ภูริชถามด้วยน้ำเสียงเข้ม และจ้องพวกนั้นด้วยแววตาวาววับอย่างพร้อมเอาเรื่องทุกเมื่อ ทำให้วัยรุ่นที่ล้วนเป็นพวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อและอายุน้อยกว่า ต่างนึกแหยงไปตาม ๆ กัน และแยกย้ายไปเล่นสระอีกฝั่งทันที

    “คุณภูริ...เอ่อ ขอบคุณนะครับ”

    วาโยพึมพำ รู้สึกใจเต้นประหลาด เขาก้มหน้างุด ๆ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าแดง ๆ ของตน  ส่วนอีกด้านกวินที่เข้าไปขวางพวกวัยรุ่นที่ตามมาตอแยการินจนพวกนั้นหนีไปว่ายน้ำอยู่ห่าง ๆ  กำลังชะงักรอยยิ้มค้าง เมื่อหันไปเห็นภูริกับวาโยอยู่ด้วยกันในสภาพใกล้ชิดกว่าปกติ

    “ขอโทษนะ...เพราะฉันแท้ ๆ นายเลยอดทำคะแนนกับโยเขาจนได้”

    การินที่เห็นแววตาเศร้าระคนเจ็บปวดของอีกฝ่าย บอกอย่างสำนึกผิด ทำให้กวินชะงักแล้วหันมาฝืนยิ้มให้กับคนข้าง ๆ เขา

    “บ้าน่า...ไม่เป็นไรหรอก โอกาสยังมีอีกตั้งเยอะ...แล้วที่สำคัญ จะปล่อยนายทิ้งไว้คนเดียวให้พวกนั้นลวนลามได้ไงกัน”

    ท้ายประโยคกวินยกมือลูบหัวอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ทำให้การินเม้มปากน้อย ๆ แล้วก้มหน้า ก่อนจะพึมพำตอบ

    “ฉันว่าฉันไปเล่นน้ำในสระส่วนตัวดีกว่า...อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีคนนอกมารบกวน”

    จากนั้นการินก็รีบว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง โดยไม่สนเสียงค้านของกวิน แต่แล้วเมื่อถึงฝั่งเขาก็ต้องชะงักเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้

    “ไม่ต้อง! ฉันขึ้นเองได้!”

    การินปัดมือของธีรัชออกอย่างรำคาญ แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายกระเซ้าตามมา

    “อ้อ อย่างนั้นหรือ...นึกว่าร้องไห้ จนมองทางไม่เห็นเสียอีกนะ”

    ชายหนุ่มหน้าสวยรีบเอาหลังมือเช็ดหน้าของตน  ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนบนฝั่ง

    “ถึงจะเช็ดน้ำตาไปก็เท่านั้น ...แน่ใจหรือว่าจะกลบเกลื่อนไม่ให้คุณอาคนนั้นที่ทั้งตาไวและความรู้สึกไวเห็นน่ะ”

    ธีรัชพูดแทงใจดำคนฟัง แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ใช่ยิ้มเยาะอย่างที่การินคาดไว้  ซ้ำเขายังคงยื่นมือส่งมาให้เหมือนเดิม

    “ขึ้นมาสิ เดี๋ยวหมอนั่นจะผิดสังเกตเอานะ มานั่งเล่นคุยกันที่เก้าอี้ริมสระนี่ก็ได้”

    การินมองมือข้างนั้นอย่างลังเล แต่พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่าย เขาก็ยื่นมือของตนให้ธีรัชฉุดขึ้นไป ชายหนุ่มผิวสีแทนหยิบผ้าขนหนูโปะศีรษะของอีกฝ่าย ทำเอาการินขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอเจ้าตัวชี้ไปที่ตาของเขา แล้วเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเขาก็เงียบไป

    “ตาแดง ๆ น่ะ  ถ้าบอกว่าเพราะคลอรีนจะเชื่อกันไหมเนี่ย”

    “...ก็น่าจะพอถูไถได้”

    การินพึมพำ พลางใช้ผ้าขนหนูนั้นซับน้ำบนหน้าของตน ขณะที่เดินมานั่งบนเก้าอี้ริมสระแถวนั้น

    “หึ ๆ งั้นถ้าใครถาม ก็ให้บอกตรงกันว่าโดนฉันล้อหนักข้อไปหน่อยก็แล้วกัน”

    ธีรัชบอกตามมาทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง

    “แล้วไม่กลัวจะโดนคนอื่นเข้าใจผิดเอาหรือไง...”

    “ฮะ ๆ ไม่เป็นไรหรอก นิสัยฉันมันเสียแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะทำเรื่องแย่ ๆ เพิ่มอีกเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกหรอก”

    การินเงียบกริบ เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะก้มหน้าตามมา

    “ฉันบอกว่าแสบตาเพราะคลอรีนยังจะดีกว่าอีก”

    ธีรัชถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงแสร้งโพล่งขึ้นอย่างน่าสงสาร

    “โถ ๆ คุณหนู ...รังเกียจกระผมขนาดนี้เลยหรือขอรับ เอ... หรือรู้ทันว่าผมจะหยิบเรื่องนี้มาเป็นบุญคุณทีหลังสินะ…อ๊ะ ตายล่ะ เผลอหลุดปากไปแล้วสิ แหะ ๆ”

    การินนิ่งอึ้งมองคนเล่นละครคนเดียวข้างเขา ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ

    “ประสาทหรือเปล่านะนายน่ะ”

    “อ๊ะ! ยิ้มแล้ว ...ยิ้มแบบนี้น่ารักดีนะ”

    ธีรัชบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งการินก็ชะงัก หน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขิน แล้วค้อนขวับให้

    “ว้า หน้ายุ่งอีกแล้ว  ...แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ยังสวยอยู่ดี”

    คนฟังถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วจึงนั่งฟังธีรัชสรรหาเรื่องมาชวนคุย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องตลก ทำให้เขาต้องอมยิ้มน้อย ๆ หรือแม้กระทั่งหลุดหัวเราะในบางครั้งเลยก็มี

   

.... TBC ....


ไข้เริ่มลดแล้วค่ะ คอหายเจ็บ แต่อาการระยะสุดท้าย ที่จะตามมาก็คือ คัดจมูก น้ำมูกไหล ....ทำไมมันถึงไม่ไข้ขึ้น น้ำมูกไหล แล้วค่อยเจ็บคอฟะ--*   

เอาเป็นว่าตอนนี้อาการผู้แต่งดีขึ้นแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและความห่วงใยค่ะ

สำหรับนิยายก็ยังแต่งเรื่อย ๆ ถ้าฟีลมามันจะไปเร็วปรื๋อ ถ้าตัน ก็จะตันแหงก  ช่วงระยะนี้ของเรื่องจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของตัวละครค่ะ (พูดง่าย ๆ ก็เรื่องการจับคู่ล่ะนะ)  เขียนไปเขียนมา เริ่มมีคู่แปลก ๆ ในสมอง....อา แอบกลัวตัวเองจริง ๆ


ป.ล. คุณชานน กับ คุณพ่อบ้านปยุต เขาไม่ได้กิ๊กกันนะคะ อารมณ์ประมาณกลุ่มคุณแม่บ้าน ที่สนิทชิดเชื้อ กันมากกว่าน่ะค่ะ ^^"
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 23-08-2012 17:09:39
มาม่าอืดดดดดด
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-08-2012 17:14:34
กวินก็ไม่ได้รังเกียจอะไรการินนะ  แต่คงเพราะความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อวาโยแน่ ๆ เลย
ส่วนภูริก็น๊า  แล้วจะทำยังงัยให้วาโยไม่คิดมากได้เนี่ยะ  เล่นพูดออกไปซะแบบนั้นแล้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 23-08-2012 17:17:05
การินจะคู่กับใครล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 23-08-2012 17:25:08
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 23-08-2012 17:44:15
คุณชานน เป็นแม่บ้านจริงๆหรอนี่  งั้นเมื่อไหร่จะได้คลิ๊กกับคุณ(ว่าที่)พ่อบ้านซะทีหว่า? หุหุ  :impress2:


ส่วนปยุตก็เป็นแม่บ้าน  แสดงว่าต้องมีพ่อบ้านเป็นของตัวเองด้วยใช่มั๊ยคะนี่  :laugh:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 23-08-2012 21:58:37
 :mc4: :mc4:ได้คอมแล้วหลังจากเสียไปหลายเงิน :impress3: :impress3:


รออ่านจ้า :call: :call: :bye2: :bye2:


ปล.  ขอให้หายป่วยไวๆนะค่ะ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 23-08-2012 22:09:42
อยากให้รินคู่กะวิน

วินหันมามองรินบ้างซี่ ปล่อยโยให้คุณภูริไปเถอะนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 24-08-2012 06:02:59
เพราะความรักมีคนมากกว่าสองคน พอมีคนสมหวังก็ต้องมีคนผิดหวัง แต่จะเป็นใครนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจเชียร์เลย
ต่อไปอาจจะเชียร์กวินให้รุกทำคะแนนกับโยมากขึ้น แต่น้องรินล่ะ :monkeysad:
เลยได้ข้อสรุปของตัวเองแล้วว่าจะให้ใครคู่กับใคร แต่ก็รอลุ้นว่าคนเขียนจะให้ใครคู่กับโยและริน :o8:
หายป่วยเร็วๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 24-08-2012 09:45:05
คุณภูริ กับ น้องโย เย้ๆๆ

รู้สึกดี แต่ก็สงสารกวิน

ธีรัชเร่งทำคะแนนใหญ่เลยอ่า

อ่าาา เราต้องติดตามตอนต่อไปใช่ไหมเนี้ย

ฮู้ววว ปวีร์กับราเมศ หวานไม่ได้เกรงใจใคร หุหุ น่ารัก
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 28 อัพเดท 23/8/55 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 24-08-2012 09:51:31
ชานน กับ ปยุต เป็นแม่บ้านหรือนี้ แล้วพ่อบ้านไปไหนล๊ะจ๊า
พามาแนะนำหน่อยจิ เราอยากรู้จัีก >_<
ชักอยากรู้ว่าโยจะเหลือใคร แต่ที่แน่ๆรินชอบวินเข้าเต็มเปาแล้วแน่ๆ
แฮบปี้อยู่คู่เดียวนั้นคือ เมกับวี
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-08-2012 10:01:35
เอ๊ะ มีอะไร แปลกๆ ที่การิน นะนั่น
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-08-2012 10:01:58
*ตอนนี้ปล่อยให้เด็ก ๆ เขาเล่นน้ำกันไป ตัดฉากมาที่พวกผู้ใหญ่กันบ้างค่ะ ...หึ ๆ ๆ (หัวเราะแบบมีเลศนัย)



Miracle Café / 29





    อีกด้านหนึ่ง กวินที่เล่นน้ำอยู่คนเดียวแอบลอบมองวาโยกับภูริที่ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คุยกันอยู่แถวสไลเดอร์ จนเขาอดรนทนไม่ไหว จึงแกล้งตะโกนเรียกวาโยดัง ๆ

    “โย! ยืนทำอะไรอยู่น่ะ ไม่มาเล่นน้ำกันหรือไง!”

    วาโยและภูริสะดุ้งจากภวังค์ของตน วาโยหันมายิ้มเขิน ๆ แล้วรีบบอก

    “อืม! ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ อ๊ะ... แล้วรินล่ะ”

    “โน่น! ไปนั่งคุยกับหมอนั่นแล้ว แปลกชะมัด เห็นบ่นไม่ถูกชะตาแป๊บ ๆ ไปนั่งคุยกันได้เฉยเลย”

    กวินพึมพำพลางมองพวกธีรัชอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับวาโย

    “นายก็รีบลงมาเหอะ เดี๋ยวแดดออกจะลำบากนะ... เอ่อ...คุณภูริก็มาเล่นด้วยกันสิครับ”

    ท้ายประโยคกวินหันไปชวนภูริด้วยสีหน้าและแววตารู้สึกผิดนิด ๆ แต่ก็ยังมีแววหึงหวง และหวาดระแวงให้สัมผัสปนเปกันไป

    “...ไม่เป็นไรหรอก พวกนายเล่นกันไปเหอะ เดี๋ยวฉันไปนั่งคุยเป็นเพื่อนหมอนั่นก็ได้...อ้าว ไปไหนแล้วนั่น”

    ภูริหวังจะหารุจเป็นตัวช่วย ทว่าชายหนุ่มกลับหายไปจากบริเวณสระน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    “คุณภูริครับ...เล่นด้วยกันหลาย ๆ คนสนุกกว่านะครับ”

    วาโยชวนเสียงอ่อย เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมมาด้วยกันหรือเปล่า ทางด้านภูริพอเห็นแววตาอ้อน ๆ ของวาโยเขาก็กลืนน้ำลายลงคอ จะปฏิเสธก็กลัวชายหนุ่มเสียใจ จึงได้แต่พึมพำตอบเบา ๆ

    “เอ่อ...ก็ได้อยู่หรอก...”

    วาโยแย้มยิ้มกว้างอย่างยินดี ทำให้กวินที่ลอบมองอยู่ปวดแปลบที่ใจ เขาก้มหน้าซ่อนความเศร้าในแววตา แล้วฝืนทำเป็นยิ้มร่าเริง

    “งั้นเล่นบอลกันไหมล่ะ ฉันเห็นริมสระมีบอลอยู่ด้วย...  เฮ้! ริน! คุณธีรัช! เล่นลิงชิงบอลกันไหม!”

    กวินตะโกนชวนทั้งคู่ที่นั่งคุยอยู่ริมสระ การินมีสีหน้าลำบากใจ แต่ธีรัชตบไหล่ชายหนุ่มหน้าสวยเบา ๆ

    “เพื่อนคุณหนูดูเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ เราไปช่วยเขาหน่อยดีกว่า ไม่อย่างนั้นขืนมีแต่คนตาแดงเพราะคลอรีนขึ้นมาหลายคน เจ้านุเพื่อนกระผมมันจะถูกตรวจสอบคุณภาพสระว่ายน้ำเอาเข้าพอดี”

    การินชะงัก ทำหน้ายุ่งมองคนข้าง ๆ ที่เหมือนจะรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง ทางด้านธีรัชยักคิ้วนิด ๆ แล้วจึงหันไปโบกมือให้กวิน

    “โอเค! พวกเรากำลังจะลงไป เดี๋ยวจะหยิบบอลไปให้ด้วย!”

    กวินยิ้มรับอย่างโล่งอก เพราะเขาคงทนปั้นหน้าฝืนยิ้มต่อไปลำบาก ถ้าต้องอยู่กันสามคนแบบนี้

    “ขอโทษนะคุณภูริ ...ผมมันทุเรศจริง ๆ ที่ใช้วิธีแบบนี้แยกพวกคุณมา”

    กวินพึมพำบอกกับอีกฝ่ายขณะว่ายน้ำผ่าน  ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วถอนหายใจเบา ๆ พลางเอ่ยตอบให้ได้ยินกันแค่สองคน

    “พวกเราแข่งขันกันอยู่ไม่ใช่หรือไง ...นายก็ใช้วิธีของนาย ฉันก็ใช้วิธีของฉัน ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษกันหรอก”

    กวินเม้มปากน้อย ๆ เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นหันไปยิ้มร่าเริงกับวาโย ที่กำลังจ้องมองมาอย่างสงสัย ที่เห็นทั้งคู่ซุบซิบคุยกันเบา ๆ ไม่ให้เขาได้ยินด้วย

    “โย! งั้นให้นายเริ่มเป็นลิงก่อนแล้วกัน ดีไหม!”

    วาโยสะดุ้งโหยง ก่อนจะหน้ามุ่ยตามมา

    “ทำไมถึงเป็นฉันก่อนล่ะ ของแบบนี้มันต้องเป่ายิงฉุบ หรือโอน้อยออกตัดสินกันสิ!”

    วาโยบ่นอุบอย่างไม่สบอารมณ์ กวินจึงแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แล้วอาสาเล่นเป็นลิงคนแรก  ทำให้วาโยยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นแทน ซึ่งกวินเองก็แอบโล่งอกด้วยเช่นกัน เพราะหากเมื่อครู่เขาไม่ทำเช่นนั้น มีหวังรูมเมทอาจจะจับผิดสีหน้าที่แกล้งยิ้มของเขาออกก็เป็นได้

   

    “เฮ้อ! ช่วยไม่ได้ ...เกมรักมันก็แบบนี้ มีคนสมหวังก็ต้องมีคนผิดหวังล่ะนะ”

    รุจที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ และคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดี เปรยพึมพำขึ้นกับตัวเอง  ชายหนุ่มเดินเรื่อย ๆ ไปที่บาร์น้ำ เพื่อสั่งเครื่องดื่ม  ก่อนจะชะงักเมื่อมีเสียงของใครบางคนที่เดินมาจากด้านหลังเขากระซิบขึ้นใกล้ ๆ หู

    “โลกเรานี่มันกลมจริง ๆ  เลยนะ ...เธอว่าอย่างนั้นไหม”

    รุจถอนหายใจค่อย ๆ โดยไม่ต้องหันไปมองคนพูด เขาเบี่ยงกายหลบคนที่เข้ามาใกล้แนบชิดเกินความจำเป็น แล้วยิ้มน้อย ๆ ตอบ

    “ครับ...โลกกลม...ป่านนี้แล้วคงไม่เหลือใครที่เชื่อว่าโลกแบนอยู่แล้วล่ะครับ”

    ไกรสรชะงักกึก แล้วมองคนที่ย้อนยอกเขาด้วยแววตาวิบวับ ยิ่งได้เห็นรูปร่างของอีกฝ่ายถนัดชัดเจนแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกถูกใจหนุ่มน้อยตรงหน้าเขามากขึ้นไปอีก  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขากอดแต่ผู้หญิงแท้ ๆ แต่รุจเองกลับทำให้เขาตื่นเต้นและมีอารมณ์ไม่แพ้ยามเขาเจอผู้หญิงที่ถูกใจเช่นเดียวกัน

    “เพื่อนฉันแนะนำสระว่ายน้ำนี่มา แต่ไม่คิดเลยว่าเธอก็ใช้บริการที่นี่อยู่แล้วเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็จะชวนมาพร้อมกันตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

    ไกรสรเปลี่ยนเรื่องคุย ชายหนุ่มเองเพิ่งมาถึงได้สักพัก แต่พอเห็นรุจก็ทำให้เขาเดินลิ่ว ๆ ตรงมาหา ลืมความคิดจะไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำเสียสนิท

    “ผมก็ไม่ใช่แขกขาประจำอะไรหรอกครับ ธีรัชต่างหากที่สนิทกับเจ้าของสระ และชวนพวกเรามาเล่นน้ำ คุณปวีร์ก็เลยชวนพวกเราทั้งร้านมาเที่ยว ...อ้อ คุณปวีร์กับคุณราเมศอยู่ที่สระส่วนตัวตรงโดมปิดด้านในนั่น คุณจะไปพบพวกเขาหรือเปล่าล่ะ”

    รุจอธิบายตามตรงให้อีกฝ่ายรับทราบพร้อมตั้งคำถาม ไกรสรนิ่งคิดเพียงครู่เดียวแล้วย้อนถามกลับไป

    “แล้วเธอจะไปด้วยหรือเปล่าล่ะ”
    คนฟังลอบถอนหายใจ มองดูก็รู้ว่าไกรสรตั้งใจจะจีบเขา ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าไปทำตัวให้เป็นที่ถูกใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงคนนี้เอาเข้าตรงไหน แต่ที่แน่ ๆ เห็นทีคงจะสลัดออกได้ยากสักหน่อยล่ะนะ

    “ไปสิครับ แต่ขอรอเครื่องดื่มก่อนนะครับ”

    รุจยิ้มตอบรับอีกฝ่าย ชายหนุ่มอยากรู้เหมือนกันว่าไกรสรคิดจะจีบเขาแบบไหน บางทีเขาอาจจะลองร่วมมือเล่นสนุกกับอีกฝ่ายด้วยก็ได้ เพราะดูยังไงไกรสรก็ไม่ได้คิดจริงจังเรื่องเขานัก มองแล้วคล้ายกับว่าชายหนุ่มอยากจะเอาชนะหรือสยบเขาให้ได้เสียมากกว่า

     ทว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดคิดจริงจังเกินจากเล่นเป็นรักเมื่อใดล่ะก็ เห็นทีเขาคงต้องพูดตรง ๆ เพื่อตัดความสัมพันธ์เด็ดขาดเช่นเดียวกัน เพราะถึงเขาจะสนใจและสนุกกับการกลั่นแกล้งคนอื่นสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเล่นสนุกกับคนที่มีความรักจริงจังต่อเขาอย่างแน่นอน

   

    ราเมศกับปวีร์นั้นแปลกใจที่เห็นไกรสรเดินตามรุจมาด้วยกัน  ส่วนไกรสรพอเห็นทั้งคู่อยู่ในสระน้ำ เขาก็โบกมือน้อย ๆ ทักทาย

    “ไงคู่รักหวานแหวว วันนี้มาเดทในสระกันแทนหรือ”

    ราเมศหน้าแดงที่ถูกญาติผู้พี่ทักเอาเช่นนั้น ส่วนปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะย้อนถามไป

    “แล้วทำไมพี่ไกรถึงมากับพนักงานของผมได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมมาทางนี้บ้างแล้ว”   

    ปวีร์แซวไปตามปกติ ทว่าอาการชะงักงันอย่างคนมีพิรุธที่ปรากฏให้เห็นชั่วครู่นั้น ก็ทำให้คนช่างสังเกตขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ที่มุมปาก จากนั้นเขาจึงหันไปทางรุจ

    “ระวังหน่อยก็ดีนะรุจ คนนี้น่ะ ไม่ค่อยสนวิธีการ และชอบเอาชนะมาก ลำพังเห็นชอบแต่ผู้หญิงก็ยังไว้ใจให้เข้ามาวุ่นวายในร้านได้ ...แต่นี่คงต้องให้แก้วกับตาช่วยปราม ๆ เสียแล้วสิ”

    ปวีร์เอ่ยเปรย ๆ เหมือนล้อเล่น แต่นัยน์ตาคมกริบเบือนไปจ้องไกรสร ที่พอเห็นก็ยักไหล่ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเอือมระอา

    “นายก็อีกคน เรื่องสมัยวัยรุ่นนั่น ฉันเลิกหมดแล้วน่า ตอนนี้ฉันก็ควงแค่คนที่เต็มใจเท่านั้นล่ะ”

    ไกรสรบอกแล้วก็หันมายิ้มนิด ๆ ให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รุจพิจารณาสำรวจอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปตอบปวีร์พร้อมรอยยิ้ม

    “ผมพอจะดูแลตัวเองได้ครับคุณปวีร์ ...แต่ยังไงก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเสียเลย ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกันรุนแรงเกิดขึ้นในภายหลัง กรณีที่ห้ามแล้วไม่รู้จักฟังน่ะนะครับ”

    คนอื่นที่ได้ยินรุจพูดต่างพากันชะงึกกึก ก่อนที่ปวีร์จะเป็นฝ่ายหัวเราะขึ้นเป็นคนแรก

    “นั่นสินะ ฉันก็ลืมไป ...นายเป็นยูโดนี่ ได้สายดำแล้วด้วยใช่ไหม”

    รุจยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ แต่ทำเอาคนข้าง ๆ ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว เพราะถึงแม้เขาจะออกกำลังกายสม่ำเสมอ และมั่นใจว่าพละกำลังกายของเขามีมากและแข็งแรงกว่าคนข้าง ๆ นี้แน่นอน แต่ศาสตร์การป้องกันตัวอย่างยูโดก็ไว้ใจไม่ได้อยู่ดี เพราะเป็นกีฬาที่คนตัวเล็กสามารถทุ่มคนตัวใหญ่กว่าปลิวข้ามไหล่ได้สบาย ๆ นั่นเอง

    “ฉันว่าฉันไปเปลี่ยนชุดมาเล่นน้ำดีกว่า ...แล้วเธอล่ะ จะเล่นด้วยกันไหม”

    ถึงจะเริ่มขยาดแต่อีกฝ่ายก็ยังคงรุกทุกครั้งที่มีโอกาส ทำให้คนถูกจีบแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบกลับในสิ่งที่ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง

    “ผมกำลังคิดว่าจะออกไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กข้างนอกอยู่พอดี แต่ถ้าคุณสนใจก็ตามไปทีหลังก็ได้นะครับ ...คงเข้าทีเหมือนกัน ที่นาน ๆ จะไปเล่นน้ำกับเด็ก ๆ ให้ลืมวัยจริง ๆ กับเขาบ้าง”

    บอกแล้วรุจก็ยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ทว่าคนอื่นที่ได้ยินประโยคนั้น บ้างก็กำลังกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่ และก็มีบางคนที่หัวเราะออกมาอย่างไม่นึกเกรงใจ  ทำเอาไกรสรที่ได้ยินต้องหันไปมองพลางแค่นยิ้ม

    “เด็กนายนี่มันแสบจริง ๆ เลยนะวี”

    “น่า ๆ พี่ไกรก็ไม่ได้แก่ขนาดที่รุจค่อนขอดให้หรอก ...แต่ก็นะ ถ้าไปเล่นพร้อมพวกนั้น โดยเฉพาะโย กับ ริน ก็เหมือนพี่เลี้ยงเด็กจริง ๆ นั่นล่ะ”

    “...ปากดีจริง ๆ อยากรู้นักว่าเวลาจูบแล้วจะรู้สึกดีด้วยหรือเปล่า”

    ไกรสรพึมพำอย่างหมายมั่นแต่คนที่ได้ยินเบา ๆ แม้จะจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ด้วยสีหน้าของชายหนุ่มยามนี้ เขาก็พอจะคาดเดาบางอย่างออกอยู่ดี

    “อะแฮ่ม! ถึงยังไงเด็กนั่นก็แค่ 24 นะพี่ แล้วก็เป็นพนักงานของผมด้วย จะทำอะไรก็ให้เกรงอกเกรงใจกันบ้าง ถ้าคิดมาจีบ ๆ เล่น ๆ แล้วทิ้ง พี่ไม่คิดว่ามันจะทำให้อนาคตเด็กคนหนึ่งมันเสียไปหรือไง”

    ปวีร์เอ่ยเตือนสติอีกฝ่าย เขาคิดว่ารุจนั้นคงหาทางหนีทีไล่ไว้รับมือคนตรงหน้าได้บ้างอยู่หรอก แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องความรัก ยังไงเขาก็คิดว่าไกรสรนั้นค่อนข้างได้เปรียบรุจอยู่ดี

    “อืม...ทีแรกก็แค่คิดว่าจะจีบเล่น ๆ อย่างที่บอกนั่นล่ะ  แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนใจแล้ว”

    ไกรสรพึมพำตอบ ทว่านัยน์ตาฉายแวววาววับอย่างที่ทำให้คนมองเป็นกังวล

    “ฉันไม่เคยเจอใครที่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เจอแบบนี้มาก่อน ...มันน่าสนุกใช่ไหมล่ะวี ถ้ามีคนที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและไม่นึกเบื่อทุกทีเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันน่ะ”

    “...พี่ก็แค่อยากเอาชนะเด็ก”

    ปวีร์พยายามเบรกอีกฝ่าย เพราะมั่นใจแล้วว่าไกรสรน่าจะคิดจีบรุจอย่างจริงจังแน่

    “ไม่รู้สิ...ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วยังไง นายจะห้ามฉันไม่ให้เข้าร้านหรือ ... ไม่เอาน่า เรื่องความรักความชอบมันเป็นอิสระไม่ใช่หรือวี ...อีกอย่างถ้าเขาไม่เล่นด้วย แล้วฉันจะทำอะไรได้”

    ไกรสรบอกยิ้ม ๆ แต่นัยน์ตาจ้องมาอย่างจริงจัง จนปวีร์เม้มปากน้อย ๆ ราเมศที่เห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ว่ายน้ำมาอยู่ใกล้ ๆ แล้วจับบ่าอีกฝ่ายบีบให้ใจเย็นลงหน่อย ปวีร์หันไปมองชายหนุ่มแล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ

    “งั้นหลังจากวันนี้ ผมขอให้พี่ลองห่างจากเขาสัก 3 วัน  ...ไม่ต้องโทร ไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้า ถ้าความรู้สึกพี่ไม่ได้ลดน้อยลง และพี่ยังอยากจีบเขาต่อ อันนี้ก็แล้วแต่พี่ แต่อย่าลืมล่ะ ถ้าเด็กของผมไม่เล่นด้วย พี่ก็ห้ามบังคับฝืนใจเขา ...เข้าใจนะ”

    ไกรสรนิ่งเงียบคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ ตามมา

    “ก็ได้ ...ฉันก็ไม่อยากเสียเพื่อนเพราะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรอกน่า นายวางใจได้เลย”

    “งั้นก็ดี...” ปวีร์พึมพำตอบ จากนั้นไกรสรจึงขอตัวไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำบ้าง เพราะยังไงวันนี้เขาก็ตั้งใจจะมาเล่นน้ำที่นี่อยู่แล้ว

    “เฮ้อ! ญาตินายนี่ทำให้ฉันปวดหัวนะเนี่ย”

    ปวีร์หันมาบ่นใส่ราเมศ ซึ่งราเมศก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบศีรษะคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

    “ขอโทษนะ ไว้ฉันกับพวกแก้วจะช่วยปรามให้ทีหลังแล้วกัน”

    “หึ ๆ คงปรามได้หรอก ...คนนั้นยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุด้วย...เอาเถอะ แค่รุจอยู่ในสายตาพวกเราก็ยังพอดูแลได้ล่ะนะ”

    ปวีร์พึมพำ ก่อนจะหันไปจ้องมองราเมศ พลางยิ้มน้อย ๆ แล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ทำให้ราเมศจ้องตอบอย่างงุนงง

    “มีอะไร?”

    “เวลาผมนายเปียก ๆ แบบนี้ หน้านายเด็กลงเยอะเลยล่ะ น่ารักดีนะ”

    ราเมศชะงัก หน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขินที่ถูกอีกฝ่ายชม ปวีร์ได้ทีจึงล้อเลียนต่อ

    “หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี มีกล้ามยังกับนักกีฬา ดูสิ...แหม แฟนใครกันน้า น่าอิจฉาเจ้าของจัง”

    “ปวีร์...”

     ราเมศดุเสียงเข้มทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ปวีร์ก็ยังคงไม่ฟังยังคงล้อเลียนต่อ ราเมศจึงต้องถอนหายใจเบา ๆ มือข้างหนึ่งของเขายื่นไปดึงร่างโปร่งตรงหน้าที่ไม่ทันระวังตัวมาแนบชิด ส่วนมืออีกข้างประคองท้ายทอยอีกฝ่ายแล้วรั้งมาใกล้ พร้อมกับชะโงกหน้าของตัวเองลงไปบดเบียดจุมพิตกับอีกฝ่ายเพื่อปิดปากไม่ให้พูดล้อเขาได้อีกต่อไป

    “ลงโทษ...”

    ราเมศที่ผละริมฝีปากออกมากระซิบบอก ปวีร์หน้าแดงนิด ๆ แต่ก็ยังคงกระซิบตอบ

    “ไม่เห็นจะกลัวเลย...แน่จริงทำอีกรอบสิ”

    ราเมศชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา เพราะคนพูดนั้นมีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างโอบกอดรอบคอของเขา

    “งั้นก็ได้...จะทำจนกว่าจะร้องพอเลยแล้วกัน”

    ชายหนุ่มกระซิบ ก่อนจะเริ่มบทลงโทษอันแสนหวานอีกครั้ง โดยลืมเสียสนิทเลยว่า ที่ท้ายสระห่างออกไปนั้น ยังมีคนสองคนนั่งแช่สระน้ำวนคุยกันอยู่และทั้งสองก็กำลังมองมา ก่อนจะหันกลับไปสบตากันปริบ ๆ แล้วจึงนั่งคุยกันต่อเบา ๆ  ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นในสระนี้แม้แต่น้อย



... TBC ...



คู่ผู้ใหญ่นี่เขาถนัดขโมยซีนกันจังน้อ .... (แว่ว ๆ ได้ยินเสียงใครบอกว่า ขอฉากแบบนี้อีกเยอะ ๆ หรือเปล่าน้า หุ ๆ )

สลับกันบ้างค่ะ คราวที่แล้วมีเสิร์ฟมาม่าแล้ว งวดนี้เลยเสิร์ฟน้ำหวานมาบริการต่อ ...แต่ใครกลัวมาม่าหลายยกนี่ไม่ต้องห่วงนะคะ  ปัดไม่นิยมทรมานตัวละครค่ะ (นอกจากจะเขียนแนว SM เล่นอุปกรณ์)  ยังไงก็แฮปปี้เอ็นดิ้งทุกคู่ค่ะ  (แต่ใครจะคู่ใครค่อยว่ากันอีกเรื่อง หุ ๆ)
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-08-2012 10:15:08
สงสารชานนกับปยุต  เห็นเต็ม ๆ ตาเลยสิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 24-08-2012 11:02:14
กรี๊ดค้าาาาา ปวีร์กับราเมศ อั๊ยยะ เขาจูบกัน กลางสระน้ำ

คลอรีนหวานเจี๊ยบล่ะงานนี้

คุณไกรเอาจริงใช่ไหม แล้วพี่รุจไม่อยากลองรักใครจริงๆมั้งหรอ

วู้วววว ชอบค้าบบ น่ารัก โยยังคงความน่ารักเหมือนเดิม

แต่ก็สงสารกวิน เง้อออ ไม่หาย เหมือนกวินจะแอบดราม่าคนเดียว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 24-08-2012 11:21:15
คู่ผู้ใหญ่นี่หวานกันเกินไปไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 24-08-2012 11:34:20
อืมวารินนี่ชอบกวินเหรอ :เฮ้อ: :เฮ้อ:


เรื่องรักชักวุ่นวายแล้วอะดิ :L2: :L2: :L2:


รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 24-08-2012 12:50:06
น้ำหวานเต็มสระ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 24-08-2012 13:33:52
สงสารกวินเหมือนกันนะ แต่ของอย่างนี้มันอยู่ใจ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 24-08-2012 15:59:09
ยังไงก็อย่าให้มาม่าเยอะน้า แหะๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-08-2012 16:36:38
ชอบที่คู่ผู้ใหญ่ไม่แคร์สื่อแบบนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-08-2012 23:40:57
คู่เด็กๆ แพ้ราบคาบอะ คู่คนโตๆเขามาเร็วเคลมเร็วมาก 55555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 25-08-2012 02:39:06
เด็กๆ โดนคู่สูงวัยขโมยซีนกันไปถ้วนหน้า 555 :m20:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 25-08-2012 15:55:34
น้ำหวานท่วมสระแล้ว คืนนี้คงต้องล้างสระขนานใหญ่
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 26-08-2012 10:10:16
โอ๊ยๆๆ ตอนนี้คลำทางมาถูก2คู่แล้วสิเนี่ย

แล้วคู่หลักละๆๆๆๆๆๆ
หนูโยขอยกหขึ้นพานให้แกพี่ภูริ (แน๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)

ส่วนการินนี้ จาให้ดีธีรัช หรือกวินดี  (เอียงไปทางกวินครึ่งหนึ่ง ฮาาา)


รอคะรอ ๅ>/////<

ปล.แอบสงสารคุณชานน คุณปยุถ  เห็นเต็มๆเลย

ปล.คู่บอสนี้หวานไม่เกรงใจคลอลีนเลย 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ตอนที่ 29 อัพเดท 24/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 26-08-2012 18:58:26
เพิ่งเข้ามาอ่า่นค่ะ  เคยอ่านนิยายในเด็กดีอยู่เหมือนกันค่ะ  สนุกดีค่ะ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
 o13
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-08-2012 15:09:26
**สวัสดีค่ะ หายไปนาน พอดีไข้กลับน่ะค่ะ --" จะหายแล้วไปตากแดดซ้ำก็เลยเดี้ยงหนัก ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ นักอ่านทุกท่านก็ระวังสุขภาพกันด้วยนะคะ   สำหรับตอนที่ 30 นี้ ก็ยังคงครึกครื้นกันอยู่ในสระว่ายน้ำต่อค่ะ  หุ ๆ หวังว่าคงจะยังไม่เบื่อนะคะ ^^ :o8:



Miracle Café / 30



     ราเมศแทบจะดำน้ำหลบไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลยถ้าทำได้ นับตั้งแต่ได้ยินเสียงกระแอมของไกรสรซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและมายืนมองพวกเขาพลอดรักกันในสระตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบใด  แต่พอเขารู้สึกตัวและผละจากปวีร์ ไกรสรก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเดินออกไปสระด้านนอกโดมอย่างสบายใจโดยไม่พูดอะไรสักคำ

    “ฮะ ๆ แย่หน่อยนะ แบบนี้คงโดนเก็บไว้ล้ออีกยาวเลยล่ะ”

    ปวีร์เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างไม่ลำบากใจมากนัก แต่อีกคนหันขวับกลับมามอง แล้วจ้องด้วยนัยน์ตาดุ ๆ

    “ไม่เอาน่า...ก็ทำไปแล้วนี่ จะแก้ตัวก็ไม่ได้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ เอาเป็นว่าคราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

    ปวีร์ตัดบทราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา แล้วว่ายไปขอบสระ ขึ้นไปนั่งพักที่เก้าอี้ เห็นดังนั้นปยุตที่นั่งคุยอยู่กับชานนจึงลุกมาถามอีกฝ่าย ว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรไหม ซึ่งปวีร์ก็สั่งเผื่อทั้งของเขาและราเมศที่กำลังขึ้นจากน้ำและมานั่งพักด้วยกัน

    “แย่ชะมัด ดันเผลอลืมตัวเสียได้ ...ดีนะ ที่คนของเจ้าของสระเขาไม่เข้ามาดูแลในนี้ด้วย”

    ราเมศบ่นพึมพำ ทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ อมยิ้มน้อย ๆ เพราะก่อนหน้านั้นก็มีคนส่งไลฟ์การ์ดและบริกรเข้ามาดูแล แต่เมื่อปวีร์เห็นว่าพนักงานในร้านของเขาส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ด้านนอก จึงบอกให้คนเหล่านั้นกลับไปทำงานตามปกติ ซึ่งพวกเขาก็ลังเลในทีแรก แต่พอปวีร์ยืนกรานและตามไปบอกการ์ดคนสนิทของอนุชิตว่าพวกเขาอยู่กันเองได้ คนเหล่านั้นจึงกลับออกไปอย่างจำยอมในที่สุด

    “นี่...ไว้พอกลับถึงบ้านแล้ว ค่อยมาลงโทษกันต่อดีไหม”

    ปวีร์สะกิดคนข้าง ๆ แล้วยิ้มหวานยั่ว ทำให้ราเมศใจเต้น นึกอยากจับอีกฝ่ายลงโทษต่อจากในสระ แต่ขืนทำแบบนั้น แล้วเกิดลืมตัว จนพวกวาโยกลับเข้ามา เขาเห็นทีจะมองหน้าเด็กพวกนั้นไม่ติดไปอีกนานเลยทีเดียว

    “...ไว้ให้ถึงบ้านก่อนแล้วกัน”

    ราเมศพึมพำแล้วเบือนหน้าหนีไปมองอีกทางด้วยความเขิน ทำให้ปวีร์อมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นสักพักเขาก็สะกิดคนที่นั่งข้างกาย คุยเรื่องราวโน่นนี่เรื่อยเปื่อย จนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่กลับมาสบาย ๆ ดังเดิมอีกครั้ง



    อีกด้านหนึ่งไกรสรนั้นออกมาที่สระกว้างด้านนอกซึ่งมีพวกพนักงานในมิราเคิล คาเฟ่ กำลังเล่นลิงชิงบอลในสระกันอย่างสนุกสนาน ส่วนรุจนั้นนั่งมองจากเก้าอี้ริมสระไม่ได้ลงไปร่วมด้วย เห็นดังนั้นหนุ่มใหญ่จึงได้โอกาสและเลือกไปนั่งข้าง ๆ อีกฝ่ายทันที

    “มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กจริง ๆ หรือเนี่ย  นึกว่าเธอจะลงไปร่วมสนุกกับพวกเขาเสียอีก เธอเองก็วัยไล่เลี่ยกันไม่ใช่หรือ”

    “ผมชอบว่ายน้ำก็จริง แต่ชอบแบบว่ายจริงจังมากกว่า...ข้างนอกนี่ครึกครื้นไปหน่อย ส่วนข้างในนั่นก็...”

    รุจหยุดคำพูดแล้วยกยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แต่ทำให้ไกรสรที่ได้ฟังหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ อย่างรู้ทัน

    “นั่นสินะ ตอนฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมา สระงี้กำลังเป็นสีชมพูอยู่เลย เล่นเอาแทบไม่อยากเข้าไปขัดคอเชียวล่ะ”

    “แต่ก็ยังไปขัดอยู่ดีสินะครับ”

    รุจเปรยขึ้นยิ้ม ๆ ทำให้คนฟังเลิกคิ้ว

    “รู้ได้ยังไง”

    “...เดาเอาน่ะครับ แล้วคุณก็บอกว่า เล่นเอาแทบไม่อยากเข้าไปขัดคอ... มันก็หมายถึง คุณเองตั้งใจจะขัดอยู่แล้ว แต่ก็เกือบที่จะทำไม่ลง ยังไงล่ะครับ”

    ไกรสรเสยผมที่ลงมาปรกหน้าของตน เจ้าตัวยกยิ้มนิด ๆ อย่างชอบใจในความช่างสังเกตของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันจะคุยอะไรต่อ ก็มีเสียงหวาน ๆ ของสาวแปลกหน้าขัดขึ้นเสียก่อน

    “ขอโทษค่ะ แถวนี้ว่าง พอจะให้นั่งด้วยได้ไหมคะ”     

    คนถามเป็นสาวหุ่นเซ็กซี่หน้าตาสวยพอใช้ เจ้าหล่อนมากับเพื่อนอีกสองคน แล้วสายตาก็มองมาที่ไกรสรวาววับ อย่างที่ใครมองดูก็รู้ว่าเจ้าหล่อนจงใจเข้ามาจีบชายหนุ่มผู้นี้

    ทางด้านไกรสรยกยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ เขาชายตาไปมองรุจที่กำลังมองเขาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก อย่างอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะโต้ตอบยังไง เห็นดังนั้นไกรสรจึงยักไหล่นิด ๆ แล้วหันไปบอกสาว ๆ กลุ่มนั้น

    “ตอนนี้ก็ยังว่างอยู่หรอกครับ เพราะลูกผมกำลังเล่นน้ำกับเพื่อน ๆ ส่วนภรรยาก็ไปทำสปาอยู่ ถ้าไม่ติดลมนักเดี๋ยวก็คงกลับมาด้วย  แต่ถึงตอนนั้นถ้าที่ไม่พอ เดี๋ยวพวกผมย้ายที่นั่งแล้วให้คุณกับเพื่อน ๆ นั่งแถวนี้ไปกันเองก็ได้ครับ”

    แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะยิ้มแย้ม แต่คำพูดที่ตอบกลับมา ทำให้เจ้าหล่อนแทบจะกรี๊ด เพราะนอกจากจะปฏิเสธใส่แล้ว ยังไม่ได้มีความแยแสในตัวพวกเธออยู่ในน้ำเสียงนั้นสักนิด

    “งั้นหรือคะ! งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ พวกฉันไปหาที่นั่งแถวอื่นก็ได้ค่ะ!”

    เจ้าหล่อนบอกห้วน ๆ ด้วยน้ำเสียงกระชากอย่างเสียหน้า แล้วชวนเพื่อน ๆ เดินไปสระฝั่งตรงข้าม โดยมีไกรสรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ มองตามไป

    “ปฏิเสธไร้เยื่อใยจังนะครับ ไหนคุณแก้วบอกว่าคุณเป็นเสือผู้หญิงยังไงล่ะ”

    รุจเปรยพร้อมรอยยิ้ม แต่คนฟังนั้นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับฉายาที่เอ่ยมา

    “เห็นแบบนี้ฉันก็เลือกผู้หญิงนะ ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาผู้ชายก่อนแบบนั้น มีดีก็แค่คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราว  ผู้หญิงดี ๆ เขาไม่ทำตัวเองให้ดูไร้ค่าและง่ายสำหรับผู้ชายนักหรอก”

    ไกรสรบอกตรง ๆ ทำให้คนฟังอมยิ้ม

    “แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่สมัยนี้ก็กล้าขึ้น และหลายครั้งก็เป็นฝ่ายจีบก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะง่ายและไร้ค่านะครับ”

     ไกรสรชะงักเล็กน้อย แล้วจึงส่งยิ้มตอบอีกฝ่ายอย่างไม่นึกเคืองที่ถูกโต้แย้ง

    “นั่นก็ใช่ ...ผู้หญิงกล้า ๆ เชื่อมั่นในตัวเองสูง และทำตัวมีคุณค่าก็ยังมีอยู่มาก ...แต่ฉันว่าฉันเชื่อตาและสังหรณ์ตัวเองนะ และที่สำคัญผู้หญิงดี ๆ พวกนั้นก็ไม่ค่อยเข้าหาคนอย่างฉันเสียด้วยสิ”

    รุจหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ความจริงไกรสรก็ดูเป็นคนเปิดเผย จริงใจ ทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ ๆ ของตน เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าคบกันเป็นเพื่อน ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่น่าคบหาคนหนึ่งทีเดียว

    “สงสัยฟีโรโมนรักสนุกของคุณ มันจะดึงดูดพวกเดียวกันเองล่ะมั้ง”

    ชายหนุ่มสรุปอย่างขำ ๆ ทำให้คนฟังนิ่วหน้า 

    “ฟีโรโมนรักสนุกอย่างนั้นรึ ฟังแล้วดูไม่ค่อยดีเลยแฮะ...อืม ว่าแต่มันพอจะดึงดูดเธอได้บ้างไหมล่ะ”

    อีกฝ่ายตะแคงกายถาม รุจหันไปมองชายหนุ่มข้าง ๆ แล้วพิจารณาคนตรงหน้าเขาอีกครั้ง ไกรสรเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบผู้ชายแท้อย่างเต็มเปลี่ยน ทั้งหน้าตาหล่อเหลา หุ่นสูงใหญ่ บึกบึน กำยำ อย่างที่ผู้หญิงหลายคนชอบ รวมไปถึงบุคลิกที่ดึงดูดให้หญิงสาว หรือแม้แต่ผู้ชายยังต้องเหลียวมองนั่นอีกด้วย

    “...พอดีผมไม่ใช่พวกรักสนุกแบบนั้นเสียด้วยสินะครับ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ ถึงเขาจะไม่รังเกียจเรื่องรักร่วมเพศ และไม่เคยนึกแคร์ว่าตัวเองจะมีคนรักเป็นเพศเดียวกัน แต่เขาก็ยังไม่เกิดความรู้สึกชอบพอลึกซึ้งกับอีกฝ่ายดีนัก

    “แล้วถ้าฉันขอโอกาสบ้างล่ะ...”

    ไกรสรถามตรง ๆ ทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ

    “ถ้าแค่นั้น ผมก็คงไม่ใจร้ายอะไรหรอกครับ”

    หนุ่มใหญ่ฟังแล้วก็ยกยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงพลิกกายกลับไปนอนหงาย มองพวกวาโยเล่นน้ำต่ออีกรอบ

    “แบบนั้นก็ดี ...งั้นหลังจากนี้อีกสามวัน ฉันจะคอยลงมือตามจีบเธอสักทีล่ะนะ”

    รุจเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วหันไปถามอย่างแปลกใจ

    “สามวัน...มีอะไรหรือครับ ทำไมต้องรอถึงสามวัน”

    ไกรสรหัวเราะเบา ๆ พลางหันมาตอบคำถามอีกฝ่ายตามตรง

    “ก็เจ้านายเธอนั่นล่ะยื่นเงื่อนไข  เขาห่วงเธอน่าดูเลยนะ พอรู้ว่าฉันสนใจคิดจีบเธอจริงจังน่ะ”

    รุจนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก เมื่อหวนคิดถึงปวีร์ที่ใส่ใจในตัวเขาไม่แพ้กับพนักงานคนอื่น ๆ

    “คุณปวีร์เป็นนายจ้างที่ดีนะครับ...ผมดีใจที่เลือกทำงานที่นี่”

    “อืม...ข้อนี้ฉันไม่เถียงเลย นอกจากนั้น หมอนั่นก็ยังเป็นเพื่อนที่น่าคบ  เป็นรุ่นน้องที่น่ารัก เป็นคนที่ถ้าใครได้ลองรู้จักเขาแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรูล่ะนะ”

    รุจยิ้มน้อย ๆ รับฟัง ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงวาโยตะโกนมาจากในสระ

    “คุณรุจครับ! เล่นบอลกันไหมครับ! อ๊ะ คุณไกรสรก็อยู่ด้วย...”

    วาโยที่เห็นหน้าคนนั่งข้างรุ่นพี่ของเขาถนัดตา อุทานด้วยความแปลกใจ แต่ก็ต้องชะงักได้ไม่นาน เมื่อไกรสรตะโกนถามกลับ

    “แล้วฉันล่ะ ลงไปเล่นด้วยได้ไหม!”

    วาโยนิ่งคิดเพียงครู่เดียว ก่อนจะพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง

    “เชิญเลยครับ!”

    “หึ... รุ่นน้องที่น่ารักของเธอชวนทั้งที จะไปเล่นด้วยกันไหมล่ะ”

    ไกรสรหันมาถามรุจที่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนที่จะหันมาตอบอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์

    “...ผมน่ะยังไงก็ได้ แต่คุณนี่สิ... อ้อ พรุ่งนี้คุณจะยังไม่มาที่ร้านสินะ  ดีเลยนะครับ เพราะถ้าผมได้เห็นคนที่มาจีบผม มาบ่นโอดโอยปวดเส้นปวดสายตรงหน้า ผมคงขำไม่ออกแน่เลย”

    บอกแล้วรุจก็ลุกจากเก้าอี้ยาวริมสระ แล้วเดินไปที่ขอบสระพุ่งตัวว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ไปหาพรรคพวกด้วยท่วงท่าสวยงาม ถูกแบบแผน ราวกับนักกีฬาว่ายน้ำก็ไม่ปาน  ด้านไกรสรที่ยืนอึ้งกับคำพูดเมื่อครู่ ถอนหายใจเบา ๆ  นี่ถ้าไม่ได้สัญญากับปวีร์ไว้ก่อน และยังมีคนอื่นมากมายมองอยู่ เขาคงดึงเจ้าตัวมาจูบทำโทษในความปากร้ายของอีกฝ่ายเข้าให้เสียแล้ว

    หลังจากนั้นไกรสรก็ว่ายน้ำตามไปสมทบกับทุกคน พวกเขาเล่นกันจนได้เวลาพักเที่ยง อนุชิตก็กลับมาจากข้างนอก แล้วจัดเลี้ยงอาหารกลางวันทุกคนที่ในโดมส่วนตัวริมสระน้ำนั้นเสียเลย สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนเป็นอันมาก และไม่เพียงแค่ฝั่งของพวกปวีร์ที่รู้สึกพอใจ อนุชิตเองก็พึงพอใจไม่แตกต่างกัน เพราะได้รับรู้มาว่าตระกูลของปวีร์และราเมศ รวมถึงไกรสรนั้น ค่อนข้างมีชื่อเสียงทางแวดวงธุรกิจอยู่มากทีเดียว และพอมื้ออาหารกลางวันจบลง ปวีร์ก็ให้โควต้าพนักงานเล่นน้ำต่อที่นี่อีกสักสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับ ทำให้แต่ละคนโดยเฉพาะวาโยรีบออกไปสำรวจในส่วนต่าง ๆ ของสระแต่ละแห่งในสถานที่นี้ทันที



    “คุณอนุชิต ...พอจะมีกล้องถ่ายรูปดี ๆ ให้ยืมสักหน่อยไหม ...เพราะต่อไปนี้ ผมคิดว่าเราน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกันได้... คุณได้โฆษณาสระว่ายน้ำของคุณ  ส่วนผมก็ขายคอเลคชันพนักงานของผมในชุดว่ายน้ำให้แฟนคลับได้อีกต่อหนึ่ง”

    ปวีร์บอกกับอนุชิตตรง ๆ ทำเอาราเมศที่อยู่ด้วยถึงกับนิ่งอึ้ง ส่วนอนุชิตชะงักนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงแย้มยิ้มตามมาอย่างยินดี

    “ได้เลยครับ เดี๋ยวผมให้คนนำมาให้ด่วนเลย แต่ว่าจะถ่ายแบบไหนหรือครับ...ถ่ายแบบทั่วไป หรือว่า...”

    อนุชิตถามแบบไม่เต็มเสียงนักเพราะกลัวเสียมารยาท แต่ปวีร์ที่รู้ทันก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยสวนกลับไป

    “ก็ต้องแอบถ่ายสิครับ ถึงจะได้ภาพแบบธรรมชาติ  อ้อ ถ้ายังไงผมขออนุญาตถ่ายภาพสถานที่โดยรอบของที่นี่เก็บไว้ด้วย จะได้ไหมครับ”

    อนุชิตยิ้มกว้าง แล้วรีบพยักหน้าอย่างยินดี

    “ได้เลยครับ เชิญตามสบายเลย... เอ ว่าแต่คุณจะให้ทางคุณหรือว่าผมถ่ายให้ครับ”

    “ไม่ต้องห่วงครับ ผมขอยืมแค่กล้อง ทางด้านผมมีโปรเรื่องถ่ายรูปชนิดปาปารัสซี่ยังยอมแพ้ อยู่แล้วล่ะครับ”

     อนุชิตเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ส่วนราเมศถอนหายใจยาวอย่างเอือมระอา จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของสระจึงสั่งให้ลูกน้องนำกล้องถ่ายรูปอย่างดีมาให้ปวีร์  ซึ่งเจ้าตัวพอได้รับกล้องมาก็ส่งต่อให้กับพ่อบ้านของเขา

    “ปยุต ขอบรรยากาศโดยรอบ และก็ภาพของพวกนั้น อย่างน้อยสักสองสามร้อยรูปนะ เพราะเราต้องมาคัดกันอีก อย่าให้พวกเขารู้ตัวล่ะ แต่ถ้าโดนจับได้ ก็บังคับกันไปเลยแล้วกัน บอกว่าคำสั่งจากฉันเข้าใจนะ”

    “รับทราบครับคุณปวีร์”

    ปยุตรับกล้องมาจากอีกฝ่าย เขาสวมเสื้อยืดคลุมทับกางเกงว่ายน้ำพร้อมสะพายกระเป๋ากล้อง ก่อนไปเจ้าตัวจับภาพภายในสระ แล้วลองถ่ายประเดิมสักรูปก่อนจะเปิดดูภาพผลงานตัวเอง แล้วถอนหายใจเบา ๆ คล้ายโล่งอก

    “ไหน เอามาให้เช็คสิว่าฝีมือสนิมกินหรือยัง”

    ปวีร์เอ่ยขำ ๆ ซึ่งปยุตก็เดินนิ่ง ๆ ส่งกล้องมาให้อีกฝ่าย พอได้ดูปวีร์ก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วยื่นให้อนุชิตดูบ้าง

    “เป็นไงครับคุณอนุชิต ฝีมือคนของผมพอจะไหวไหมครับ หรือถ้าไม่พอใจคุณมีคนฝีมือดีกว่าปยุตก็เรียกมาได้เลยนะครับ ผมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”

    อนุชิตมองภาพถ่ายจากฝีมือของปยุตอย่างนึกทึ่ง แม้จะยังไม่ได้ผ่านการตกแต่ง แต่มันก็แสดงถึงความเป็นมืออาชีพบ่งบอกชัดเจนในภาพนั้น

    “วิเศษจริง ๆ ครับ ...พวกคุณทำให้ผมทึ่งได้อีกแล้วล่ะ”

    อนุชิตบอกตามตรง เพราะนับจากที่เขารู้เรื่องไอเดียทำร้านคอฟฟี่ช็อปคอสเพลย์ของอีกฝ่ายจากธีรัชเพื่อนของเขา  ชายหนุ่มก็นึกอยากเจอปวีร์มาตลอด และทำให้รู้ว่าไม่เพียงความคิดอ่านที่โดดเด่น  ตัวปวีร์และคนรอบข้างอีกฝ่าย ก็ยังมีคนที่ล้วนแล้วแต่มีความสามารถ หน้าตา และบุคลิกน่าสนใจแทบทั้งสิ้น

    จากนั้นปยุตก็ขอตัวออกจากโดมสระส่วนตัวไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ส่วนชานนเองนั้นยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่จนปวีร์สังเกตเห็น

    “มีอะไรหรือครับคุณนน”

    “เอ่อ...คือ ถ้าคุณปวีร์ และคุณอนุชิตไม่ว่าอะไร ผมขอแวะไปที่ครัวหน่อยได้ไหมครับ”

    ปวีร์ขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ แล้วถอนหายใจตามมา

    “มันก็ได้อยู่หรอกครับ แต่อย่าเผลอไปสอนเคล็ดลับให้เขาจนหมดนะครับ ผมกลัวคู่แข่งของร้านจะเพิ่ม”

    ปวีร์บอกติดขำ ส่วนอนุชิตยังคงงุนงง แต่ก็ยอมทำตามความต้องการของอีกฝ่ายพาชานนมาที่ครัว และเมื่อเขารู้ว่าชานนจะมาทำอะไร เขาก็ต้องอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยความยินดี แล้วก็แทบจะปิดครัวเรียกพนักงานที่เกี่ยวข้องมารับการอบรมจากเชฟหนุ่มถ้วนหน้า หลังจากที่ได้ชิมรสอาหารเมนูเดียวกับที่เขาเลี้ยงพวกปวีร์ ผ่านฝีมือเชฟผู้นี้นั่นเอง

   

    ทางด้านวาโยหลังจากไปแช่เล่นกันในสระน้ำวนจนพอใจ พวกเขาก็ตัดสินใจออกไปเล่นสระกว้างด้านนอกกันต่อ โดยคนชวนก็ไม่ใช่ใคร นอกจากคนที่รู้สึกสนุกกับสระว่ายน้ำแห่งนี้จริง ๆ โดยไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงนั่นเอง

    “อืม...นึกถึงเมื่อก่อน ตอนอยู่กับพวกเจ เวลามาเล่นน้ำเราเล่นขี่ม้าส่งเมืองแข่งกันในน้ำด้วยล่ะ สนุกดี แต่คนเป็นม้านี่สิ บ่นอุบเลยล่ะ”

    วาโยเล่าให้เพื่อนของเขาฟัง ทว่าคนฟังบางคนพอได้ยินแล้วกลับชะงัก คิดภาพตาม แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปคนละทางเพราะเกรงจะหลุดอะไรแปลก ๆ ออกมา

    “ขี่ม้าส่งเมืองหรือ ก็ดีนะ...พวกเราน่าจะลองเล่นกันมั่งดีไหม”

    รุจที่สังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นในกลุ่มแสร้งเปรยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม ทำเอาหลายคนสะดุ้ง เว้นแต่วาโยที่มีสีหน้าดีใจ

    “จะเล่นกันหรือครับ! ดีจัง ตอนนั้นสนุกมาก ๆ เลยล่ะครับ ถ้าได้เล่นกับทุกคนที่นี่ก็คงสนุกไม่แพ้กันเลยล่ะ ผมว่างั้นนะ”

    ชายหนุ่มบอกอย่างยิ้มแย้มไร้เดียงสา ทำให้แต่ละคนต้องลอบถอนหายใจ จะปฏิเสธก็กลัวอีกฝ่ายผิดหวัง จึงจำต้องพยักหน้าค่อย ๆ ยอมเล่นกันอย่างเสียไม่ได้

    “งั้นก็โอน้อยออก เลือกคู่... มีคนเกินมาหนึ่ง ใครที่จับคู่ไม่ได้ก็เป็นกรรมการแล้วกัน”

    รุจสรุปแล้วหันไปมองไกรสรที่ไม่มีท่าทีจะยอมถอนตัวออกจากการแข่งขันแล้วไปเป็นกรรมการเลยสักนิด

    “ถ้าคุณจับคู่ได้ภูริ ธีรัช หรือไม่ก็กวิน คงน่าสนุกดีนะครับ”

    รุจพึมพำกับไกรสร ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่นยิ้มน้อย ๆ แล้วสังเกตการพลิกมือของเป้าหมายอย่างมีสมาธิมากกว่าเดิม จนรุจยังนึกทึ่ง ที่อีกฝ่ายออกเหมือนเขาได้ตลอด และท้ายที่สุดคู่แต่ละคู่ก็ถูกกำหนดได้สำเร็จ โดยคนที่เหลือถึงกับทำเป็นบ่นโอดครวญเบา ๆ

    “อะไรกัน ทำไมฉันถึงซวยคนเดียวแบบนี้ล่ะ”

    ธีรัชแกล้งโพล่งอย่างไม่จริงจังนัก ทำให้รุจนึกขำ แล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย

    “จะเปลี่ยนกับฉันไหมล่ะ”

    ธีรัชชะงักเหลือบมองไกรสรที่ส่งสายตากึ่งสั่งกึ่งบังคับไม่ให้เขาตอบตกลงมาให้ เจ้าตัวก็ต้องถอนหายใจ

    “ไม่เป็นไรครับ ...เดี๋ยวจะโดนฆ่าหมกสระเอา”

    รุจหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจทั้งที่พอเดาออกว่าธีรัชนั้นหมายถึงอะไร ส่วนคู่อื่นนั้น กวินนึกเสียดายที่พลาดการจับคู่กับวาโยโดยเขาได้คู่กับการินแทน  ส่วนวาโยนั้นก็ได้จับคู่กับรุ่นพี่ของเขาอีกคน ซึ่งก็คือภูรินั่นเอง



    “ขอโทษนะวิน ...ถ้ายังไงให้ฉันเป็นฝ่ายขอไปเปลี่ยนตัวกับโยให้ดีไหม”

    การินกระซิบบอกเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าเสียดายของอีกฝ่าย ทำให้กวินหันมามอง เขาจ้องคนตรงหน้านิ่งจนการินใจไม่ดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นกวินยิ้มกว้างให้

    “ไหน ๆ เราก็คู่กันแล้ว ยังไงก็ร่วมมือกันเอาตำแหน่งชนะเลิศมาให้ได้แล้วกัน!”

    “มันจะดีหรือแบบนั้น ก็นายอยากจะคู่กับ...”

    การินแย้งเบา ๆ แต่ก็ถูกกวินยกมือปรามเสียก่อน

    “เอาน่า อย่าคิดมาก ยังมีโอกาสอีกตั้งเยอะที่จะสู้ทำคะแนน  แต่วันนี้ไหน ๆ เราก็โชคดีได้คู่กันแล้ว เรามาสนุกให้เต็มที่ดีกว่านะริน”

    “อือ...อย่างนั้นก็ได้  งั้นก็สู้ด้วยกันนะ”

    การินที่นิ่งไปสักพัก ส่งแย้มยิ้มอ่อนโยนตอบ จนกวินถึงกับชะงักไปชั่วครู่

    “อะ...อืม...สู้เต็มที่เลยแล้วกัน”

    กวินรับคำแล้วแสร้งทำเป็นชวนคุยเรื่องอื่นก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เจ้าตัวเหลือบมองการินด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ก่อนจะสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปจากสมองของตนในทันที เพราะเกรงว่าหากการินรู้เข้าคงต้องไม่ชอบใจแน่ ที่เขาดันเผลอคิดว่าอีกฝ่ายดูน่ารักผิดเคย แถมรอยยิ้มนั้นก็ยังชวนให้เขาใจเต้นประหลาดขึ้นมาเสียอีกด้วย




... TBC ...
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 28-08-2012 15:17:42
^-^ โยก็ยังน่ารักเหมือนเดิม ขี่ม้าส่งเมืองด้วย >.,<
แนบชิดๆ ไม่ค่อยเลยอ่ะเรา ฮุฮุ ชอบคู่รุจกับไกรมากๆ
ดูทันกันสุดๆ เป็นการจีบกันแบบผู้ใหญ่มากๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 28-08-2012 16:37:02
หลงการินแล้วหละเส่
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 28-08-2012 16:43:34
วาโยก็คงชอบภูริเหมือนกันล่ะสิ ส่วนการินสงสัยจะชอบกวิน
รุจก็คู่ไกรสร แล้วธีรัชคนดีศรีสังคมจะคู่กับใครล่ะ

บวกหนึ่งให้จ้า
ยังไงคนเขียนก็รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 28-08-2012 16:57:32
เอ หารกันไม่ลงตัว สงสัยธีรัชจะต้องกินแห้ว 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 28-08-2012 17:41:39
ดีๆ กวินเปลี่ยนใจไปชอบการินเลย ยุส่ง
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 28-08-2012 18:18:30
วาโยน่ารักมากกก :man1:
เล่นขี่ม้าส่งเมืองอย่างนี้ ภูริได้กำไรเห็นๆ แม้จะแพ้ก็ตามเหอะ :z1:
รินกับวินก็มีโอกาสแล้ว เพราะวินเริ่มเห็นความน่ารักของรินเข้าแล้ว :impress2:
ส่วนคู่ผู้ใหญ่เค้าก็จีบกันร้อนแรงเชียว ไม่มีกั๊ก  o13
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 28-08-2012 18:54:41
วินหันไปชอบรินเลยนะ

ส่วนหนูโยยกให้ภูริไปเลยจ้า

ปล.ชอบคู่รุจอ่า

หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 28-08-2012 19:13:01
โยกับคุณภูริ อั๊ยยะ มันต้องมีหลุดกันบ้างแหละ้น้าคู่นี้

กวิน นายคิดถูกแล้ว กรี๊ดๆๆๆๆๆๆ เริ่มเผลอใจเต้นแวบนึงไปกับการินแล้วใช่ไหมล่ะ

นายทำถูกแล้วเพื่อน วะฮาฮ่า

แล้วคุณธีรัชล่ะจะทำยังไง อกหักหรอ ไม่นะ

คู่คุณไกรสรกับคุณรุจก็น่าลุ้นเนอะ เราจะไม่พูดถึงคุณปวีร์กับราเมศดีกว่า

หวานเกิน 555
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-08-2012 19:27:56
ตกร่องปล่องชิ้นไปแล้วคู่นึง  ต่อไปก็ลุ้นคู่วาโยต่อ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 28-08-2012 21:35:31
เริ่มตกหลุกการินโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วล่ะสิวิน....

ดีแล้วๆ ยกให้ภูริเหอะ โยอ่ะ (จากใจ ภูริเอฟซี...ฮาาาาา)
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 28-08-2012 21:45:34
กวินเริ่มคิดอะไรกับการินแล้วสิ อิอิ
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 28-08-2012 21:53:10
จะจับคู่แล้วเหรอเริ่มคู่ใครคู่มันแล้ว :z1: :z1:

รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ปล. ดูแลตัวเองด้วยนะเป็นห่วงจ้า :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 28-08-2012 23:21:49
ฮาาาาาาา

พอจะคลำทางถูกบ้างอะไรบ้างอะไรบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: Miracle Café : คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 30 : อัพเดท 28/8/55 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 28-08-2012 23:33:46
ปาดเหงื่อแทนคุณไกรสร ดันมาจับคู่กับคนรู้ทันกันแบบนี้ คงต้องเหนื่อยออกแรงกันหน่อยละ
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-08-2012 13:38:27
**ส่งตอน 31 มาอย่างต่อเนื่อง แก้ตัวจากที่หยุดป่วยไปจ้ะ ตอนนี้ร่างกายคืนสภาพแล้ว ขอบคุณทุกกำลังใจและความห่วงใยนะคะ ^^



Miracle Café / 31




อีกด้านหนึ่งวาโยมองภูริที่จับคู่กับตัวเองอย่างเป็นกังวล เพราะเขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายชะงักไปตอนได้คู่กับเขา แถมยังดูขรึมลงและเหมือนจะพยายามไม่สบตากับเขาอีก

“คุณภูริ...ถ้าไม่อยากคู่กับผม จะเลือกคู่ใหม่ก็ได้นะครับ”

วาโยพึมพำเสียงแผ่วด้วยใบหน้าสลด ทำให้อีกฝ่ายชะงักแล้วหันมาขมวดคิ้วนิด ๆ

“...ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“ก็คุณทำเหมือนลำบากใจที่ได้คู่กันนี่ครับ...ผมก็รู้ตัวนะ ว่าชอบทำตัวให้คุณไม่ชอบหน้าเสมอ ...ผมก็พยายามปรับปรุงตัวเองแล้วนะครับ...แต่ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ผมก็ไม่อยากฝืนความรู้สึกของ...”

ยังไม่ทันวาโยจะพูดจบ ภูริก็วางมือแหมะบนศีรษะอีกฝ่ายค่อนข้างแรง ทำเอาคนกำลังพูดสะดุ้ง แล้วเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ

“ถ้าฉันรำคาญ ฉันจะบอกตรง ๆ เองว่ารำคาญ เพราะฉะนั้นก็เลิกคิดมาก แล้วทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าฉันรังแกนายอีกหรอก”

ชายหนุ่มพูดห้วน ๆ เหมือนจะเบื่อหน่ายก็จริง แต่สีหน้ากึ่งเขินที่วาโยเห็นก็ทำให้ชายหนุ่มตัวเล็กยิ้มออกมาได้

“พวกนั้นเตรียมตัวกันแล้ว เราก็ไปเข้าจุดสตาร์ทกันเถอะ”

ภูริบอกแล้วเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย วาโยชะงักเมื่อเห็นมือข้างนั้นส่งมา ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ แล้วยื่นมือของตนส่งให้ภูริบ้าง พลางปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงมือเขาไปรวมกับคนอื่น ๆ เมื่อธีรัชหันมาเห็นเข้าจึงแกล้งโพล่งขึ้นมาดัง ๆ อย่างต้องการที่จะแซวเพื่อนสนิทโดยตรง

“แหม ๆ น่าอิจฉาคนมีคู่กันจริ๊ง...”

วาโยหน้าแดงน้อย ๆ ด้วยความเขินเช่นเดียวกับภูริที่รีบปล่อยมือ ส่วนกวินเม้มปากน้อย ๆ แต่พอเห็นสายตากังวลของการินเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแทน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาพลอยกังวลใจไปด้วยกันกับเขา

“อะแฮ่ม! เอาล่ะครับ ถ้าอย่างนั้น ขอแจ้งกติกาแล้วกัน เราจะให้คนเล่นเป็นม้าว่ายไปฝั่งโน้น โดยแบกคู่ของตัวเองไว้บนหลัง จะแนบชิดสนิทแนบแน่นกันยังไงก็ได้ แต่ระหว่างที่ว่ายน้ำอยู่ ห้ามให้มือหลุดจากม้าของตัวเอง ไม่งั้นจะถือว่าแพ้ เพราะฉะนั้นล็อกคอได้ก็ล็อกไว้เลยนะครับ”

ทั้งสามคู่มองกรรมการจำเป็นตาปริบ ๆ และมีบางคนคิดในใจว่าชักอยากจะเปลี่ยนกรรมการเป็นคนอื่นแทนธีรัชเสียแล้ว

“กติกาเพิ่มเติมของเกมนี้ก็คือ หลังจากว่ายน้ำจากจุดเริ่มต้น พวกคุณก็ต้องว่ายไปฝั่งโน้นแล้วพอถึงฝั่ง ก็จะอนุญาตให้คนขี่หลังปล่อยมือจากคู่ของตัวเองได้ และวิ่งไปเอาผ้าขนหนูที่ทางเราเตรียมไว้ มาคล้องคอตัวเอง และว่ายกลับฝั่งพร้อมคู่ของตน ถ้าใครกลับมาถึงฝั่งแล้วเอาผ้าผืนที่หยิบมานำไปใส่ในตะกร้าที่เตรียมไว้ได้ก่อน ก็ถือให้เป็นทีมชนะ โอเคไหมครับ!”

ทั้งสามคู่นิ่งอึ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นไลฟ์การ์ดเดินไปจัดเตรียมอุปกรณ์ตามที่ธีรัชบอก สมแล้วกับที่อีกฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของสระแห่งนี้

“ฉันว่าจะให้แข่งแค่รู้แพ้ชนะกันเฉย ๆ ก็น่าเบื่อ... ให้มีเดิมพันอะไรด้วยดีไหม”

ไกรสรเสนอเงื่อนไข ทำให้คนอื่น ๆ หันมามองอีกฝ่ายเป็นตาเดียว

“อืม...เอาอะไรดี.... อ๊ะ! เอาเป็นว่า คู่ที่ได้ที่โหล่ ต้องบอกชื่อคนที่ตัวเองชอบออกมาให้เพื่อน ๆ รู้ดีไหม”

คนอื่น ๆ ที่เข้าแข่งขันนอกจากรุจหน้าแดงไปตาม ๆ กัน ก่อนจะมีบางคนรีบทำกลบเกลื่อนเป็นเฉยชา สร้างความบันเทิงใจให้กับคนที่มองอยู่ยิ่งนัก

“แล้วถ้ายังไม่มีใครที่ชอบเลยล่ะครับ...จะให้ทำยังไง”

วาโยถามเสียงอ่อย ซึ่งไกรสรก็หันมามองชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าตน แล้วจึงบอกพร้อมรอยยิ้ม

“งั้นถ้าไม่มีคนที่ชอบ ก็ให้บอกชื่อเพื่อนร่วมงานในนี้ที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีที่สุดมา 1 คน ...แค่คนเดียวนะ คัดมาด้วยล่ะ”

เงื่อนไขถัดมายิ่งทำให้คนถามถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากใจ เพราะเขาไม่อยากเลือกใครเพียงคนใดคนหนึ่ง เนื่องจากกลัวคนที่เหลือจะรู้สึกน้อยใจนั่นเอง และสำหรับเขาทุกคนก็สำคัญด้วยกันหมดแท้ ๆ

“ก็แค่ชนะให้ได้ก็ไม่ต้องมีปัญหาแล้ว”

ภูริตบบ่าคนที่ทำสีหน้ากลุ้มใจ วาโยสะดุ้งนิด ๆ ก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ของเขา แล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

“นั่นสินะครับ”

จากนั้นทั้งสามคู่ก็เริ่มต้นจับคู่กัน โดยคนที่เป็นม้านั้นลงไปเตรียมรออยู่ในน้ำ ส่วนคนที่ทำหน้าที่ขี่ก็รอสัญญาณปล่อยตัวอยู่บนบก และพอธีรัชให้สัญญาณ ...การิน วาโย และรุจก็โผตัวไปเกาะคอของคู่ตัวเองที่รออยู่ทันที



วินาทีที่แผ่นหลังของคนในน้ำสัมผัสกับแผ่นอกคู่ของตน กวินก็เริ่มคิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ไม่ได้จับคู่กับวาโย เพราะขืนเป็นเช่นนั้นมีหวังเขาคงว่ายต่อแทบไม่ไหว เพราะดันมัวแต่เผลอคิดจินตนาการเพ้อเจ้อลามกอยู่เป็นแน่ ขนาดคู่ของเขาเป็นการินแท้ ๆ เขาก็ยังคงรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาจนได้

“วิน! เร็วสิ! ว่ายเร็วเข้า!”

การินตะโกนบอกเพื่อนเมื่อเห็นไกรสรว่ายนำไปก่อน ชายหนุ่มนั้นยังคงยืนทื่ออยู่ในน้ำไม่ยอมออกตัว ส่วนคู่ของภูริที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พอได้ยินเสียงการินเตือนกวิน เขาก็ได้สติและว่ายออกไปเช่นเดียวกัน ส่วนกวินที่รู้สึกตัวก็รีบว่ายตามไปอย่างติด ๆ

“เจ็บชะมัด ทีหลังไม่ต้องจิกมาก็ได้”

ไกรสรที่ว่ายออกตัวไปก่อนบ่นพึมพำกับคนที่ขี่หลังเขา เพราะดันเผลอรู้สึกดีกับผิวเนียน ๆ ที่ถูไถบริเวณหลัง เลยหลุดปากเคลิ้มชม จนรุจที่ได้ยินถึงกับจิกเล็บเข้ากับบ่าเขาแรง ๆ จนเขาสะดุ้งและรีบว่ายน้ำออกไปก่อน

“ม้าจะวิ่งได้เร็ว ก็ยิ่งต้องใช้แส้เฆี่ยนกระตุ้น จริงไหมครับ”

รุจบอกยิ้ม ๆ พลางเอามือคล้องคออีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ไม่แน่นอะไรมากนัก แล้วยังปล่อยตัวตามสบายไม่ขืนร่างของตน ทำให้ไกรสรว่ายได้ง่ายมากขึ้น

“เหอะ ๆ เอาเถอะ ยอมให้หนก็ได้ ยังไงก็ได้กำไรแบบนี้ทั้งที”

ไกรสรเปรยอย่างอารมณ์ดีแล้วออกแรงว่ายนำไปอีก ภูริเองก็เร่งเครื่องตามมา กวินที่อยู่รั้งท้ายพยายามเร่งว่ายแต่ก็ยังตามไม่ทัน เขาจึงคิดแผนบางอย่างแล้วแกล้งตะโกนบอก

“เฮ้ย! โย! กางเกงว่ายน้ำหลุดแล้ว!”

ได้ผลภูริชะงักกึกหยุดนิ่งหน้าแดงสลับซีดไม่กล้าแม้แต่จะหันไปดูคนด้านหลัง กระทั่งไกรสรที่นำไปแล้วก็ยังหยุดว่ายพลางหันมามองอย่างสนใจ เมื่อเห็นคู่แข่งทั้งสองคู่หยุดนิ่ง กวินก็ฉวยโอกาสจ้ำพรวด ๆ ว่ายตามไปจนใกล้ภูริที่นำอยู่ การินเองรีบกอดคออีกฝ่ายแน่นด้วยความฉุนปนขันที่ชายหนุ่มดันคิดแผนการทุเรศแบบนี้ออกมาได้ ทางด้านวาโยหน้าแดงก่ำแล้วรีบโวยวายลั่นหลังจากตั้งสติและเหลือบมองกางเกงของตัวเองเรียบร้อย

“วิน! เจ้าบ้า! เกมจบเมื่อไหร่ระวังตัวไว้เหอะ! คุณภูริ! หมอนั่นแกล้งหลอกกันต่างหาก กางเกงผมยังอยู่ครบ ว่ายต่อสิครับ!”

ภูริสะดุ้งโหยงสติคืนกลับมาทันที เขากัดฟันกรอดมองคนที่ว่ายตีเสมอกันมาอย่างหงุดหงิดแล้วออกตัวว่ายไปบ้าง ส่วนไกรสรนั้นหัวเราะเจื่อน ๆ เมื่อได้ยินเสียงรุจเปรยขึ้นเรียบ ๆ ข้างหู

“สัญชาตญาณนี่มันน่ากลัวจังนะครับ...”

“แหม เป็นใครได้ยินแบบนั้นก็หันทั้งนั้นล่ะ...หึงหรือไง”

ไกรสรกระเซ้าทำให้คนที่บ่นอย่างระอาถอนหายใจแล้วโน้มลงไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“รีบว่ายไว ๆ เถอะครับ ...บางทีถ้าชนะเลิศล่ะก็ อาจจะยอมหึงให้เห็นก็ได้นะครับ”

คนฟังชะงักกึก พลางเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนจะเปรยตอบ

“สัญญาแล้วนะ... ถ้าอย่างนั้นเตรียมหึงให้เห็นกันไว้ได้เลย”

จากนั้นคนที่เกือบจะถูกแซงก็เร่งเครื่องนำไปอีก สมแล้วที่อีกฝ่ายมีหุ่นและร่างกายบึกบึนขนาดนั้น ใช้เวลาไม่กี่วินาที เจ้าตัวก็กลับมาเป็นฝ่ายนำห่างอีกจนได้



พอถึงฝั่ง รุจก็ยันบ่าไกรสรกระโดดสปริงตัวจากน้ำขึ้นฝั่งไปอย่างง่ายดาย เจ้าตัวกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหยิบผ้าขนหนูเป็นการต่อให้รุ่นน้องอีกสองคนที่กำลังจะมาถึงฝั่งในเวลาไล่เลี่ยกัน

“ถ้าไม่อยากแพ้ ก็ใช้กลโกงกันหน่อยนะพวกนาย ไม่งั้นขืนแพ้ล่ะก็ คงรู้สินะว่าต้องเจออะไรบ้าง”

รุจแสร้งตะโกนบอกการินและวาโย ที่หันมาสบตากัน และเมื่อไกสรและรุจออกตัวว่ายไปแล้ว ทั้งสองคู่ที่มาถึงฝั่งพอดีก็วิ่งแข่งกันไปที่โต๊ะซึ่งวางผ้าขนหนูอยู่ การินนั้นเร็วกว่าเล็กน้อย เขาคิดถึงคำพูดของรุจ และคิดถึงว่าถ้าพวกเขาแพ้ บางทีกวินอาจจะยอมสารภาพเรื่องชอบวาโยก็ได้

มือเร็วกว่าความคิดการินหยิบผ้าขนหนูของวาโยหมับ เจ้าตัวมีท่าทางตกใจไม่แตกต่างจากเขา แต่การินก็ไม่เสียเวลาคิดนานนัก เขาเขวี้ยงผ้าผืนนั้นไปอีกทางพร้อมตะโกนบอก

“ขอโทษนะโย! แต่ฉันไม่อยากเป็นทีมที่ได้ที่โหล่น่ะ!”

วาโยอ้าปากเหวอแล้วรีบวิ่งตามผ้าผืนนั้นไป การินหยิบผ้าของตัวเองแล้วตรงไปที่กวินรออยู่ เขากลัวว่ากวินจะโกรธ แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้ายินดีผิดคาด

“เจ๋งอ่ะริน! กลยุทธ์เยี่ยมกว่าฉันอีก เอ้า! รีบ ๆ ลงมาเร็วเข้าสิ ยืนอยู่ทำไมเล่า โยวิ่งมาโน่นแล้วนะ!”

การินรีบกระโดดลงไปขี่หลังอีกฝ่ายและคล้องผ้าไว้ที่คอของตน เขาซบหน้าลงบนบ่าของชายหนุ่มเพื่อซ่อนรอยยิ้มยินดีที่เห็นว่ากวินไม่ได้โกรธอย่างที่เขาคาดไว้

อีกด้านหนึ่งวาโยที่มาหลังสุดรีบขอโทษขอโพยภูริยกใหญ่ ภูริรอจนวาโยพร้อมแล้วจึงบอกออกไปอย่างจริงจัง

“นายจับไว้แน่น ๆ แล้วกัน ฉันจะเร่งเครื่องให้เต็มที่ ไม่ยอมให้พวกเราแพ้แน่ ๆ”

วาโยชะงักแล้วจึงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกอดคออีกฝ่ายแน่น

“ครับ! พยายามเข้านะครับคุณภูริ!”

ภูริยิ้มกับตัวเองแล้วว่ายเต็มที่ โดยที่ธีรัชนั้นลุ้นเพื่อนอยู่บนฝั่งอย่างสนุกสนาน ส่วนคู่ของไกสรสรและรุจน่าจะเป็นที่หนึ่งแน่แล้ว เหลือเพียงที่สองและที่สามซึ่งว่ายใกล้กันมาอย่างคู่คี่สูสีจนกระทั่งถึงฝั่ง…



“ตัดสินแล้วนะครับ! คู่ที่ได้ที่โหล่ได้แก่คู่ของ ภูริ และหนูโยครับ!”

ธีรัชทำมือเป็นไมค์แล้วโพล่งขึ้นอย่างร่าเริง ส่วนคู่คนแพ้ที่แพ้อย่างฉิวเฉียด ถึงกับทำท่าหมดแรงไปตาม ๆ กัน แต่สักพักวาโยกับภูริต่างก็หันมาสบตา แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กัน โดยไม่มีใครโทษอีกฝ่ายเลยสักคน

ทว่าบรรยากาศสบาย ๆ ของทั้งคู่ก็ต้องถูกขัดด้วยเสียงกระแอมของไกรสรที่เหลือบมองมา ส่วนกวินที่กำลังดีใจกับการินก็หันมามองต้นเสียง แล้วมองตามไล่ไปที่จุดสายตาของชายหนุ่มจับจ้อง ก่อนจะชะงักนิด ๆ แล้วนิ่งรอว่าภูริกับวาโยจะพูดชื่อใครออกมา

“ตามกติกา... บอกมาได้แล้ว ว่าทั้งสองคนแอบชอบใครกันอยู่”

ไกรสรบอกด้วยน้ำเสียงรื่นเริงบันเทิงใจ จนรุจต้องเหลือบมอง และนึกเห็นใจรุ่นน้องและรูมเมทของเขาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายต้องการแกล้งจนได้รับคำตอบจากทั้งคู่จริง ๆ

“เอ่อ...ไม่มีนี่ครับ”

วาโยบอกเขิน ๆ ทำให้คนฟังอมยิ้ม ส่วนกวินนั้นทั้งโล่งอก ทั้งเสียดายคละกันไป ภูริเหลือบมองคนถามอย่างไม่สบอารมณ์ แม้จะรู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นอีกฝ่ายไปเซ้าซี้วุ่นวายกับรุจแทน แต่เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ไกรสรประกาศไว้ว่าเคยจะจีบวาโยมาก่อน

“ผมก็ยังไม่ได้ชอบใครเหมือนกัน”

ภูริบอกเสียงห้วน ทำเอาวาโยเหลือบมอง แล้วก็ต้องชะงักพลางรีบหันกลับ เมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตาเขาเข้าพอดี

“อืม...ยังฟรีทั้งคู่หรอกหรือ ...อ้อ ดีใจนะที่เธอหัวใจยังว่างน่ะ”

ไกรสรยังไม่วายแกล้งหยอดแซววาโย แล้วเหลือบมามองรุจพร้อมกับพึมพำเบา ๆ แต่ชายหนุ่มที่มองอยู่ก็พอจะอ่านฝีปากได้พอรู้เรื่องโดยเฉพาะคำว่า ‘สัญญา’ ที่เหมือนไกรสรจะเน้นเป็นพิเศษ เจ้าตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงเดินไปใกล้ ๆ ก่อนจะเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ

“ผมว่าเลิกล้อเล่น แล้วเข้าประเด็นสักทีดีกว่านะครับ ...ยังมีคำถามสำรองถ้าทั้งคู่ไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษอยู่ไม่ใช่หรือครับ”

ไกรสรมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ แล้วพึมพำถาม

“นี่นะ หึงแล้ว”

รุจเหลือบมองแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเปรยตอบ

“เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกันครับ...ไว้ค่อยจัดหนักให้ทีหลัง”

คนฟังขมวดคิ้ว พลางยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงหันไปทางวาโยต่อ

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ ...ในบรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหมดของเธอ ใครกันที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีที่สุด บอกมาแค่คนเดียวนะ ห้ามเหมารวมตอบ”

วาโยสะดุ้งเล็กน้อย เขามีสีหน้าเครียดหนัก และเป็นกังวล จนบางคนอยากให้ยกเลิกคำถาม แต่ไกรสรก็ดูเหมือนยังคงรอฟังคำตอบอย่างสบายอารมณ์อยู่

“อย่าซีเรียสโย ไม่มีใครโกรธหรอกน่า ชอบมากชอบน้อย ยังไงก็เพื่อนกันทั้งหมดไม่ใช่หรือไง!”

กวินให้กำลังใจอีกฝ่าย ทำเอาวาโยชะงักแล้วหันไปทางคนพูดพลางแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางไกรสร

“นั่นสินะ...เอ่อ ผมตอบล่ะนะครับ”

“เอาสิ ฉันรอฟังอยู่”

ไกรสรบอกยิ้ม ๆ จากนั้นวาโยก็เตรียมเอ่ยปาก โดยค่อย ๆ กวาดไปมองแต่ละคน ก่อนจะหันมาทางคนตั้งคำถามอีกครั้ง

“จริง ๆ แล้วผมอยู่กับทุกคนที่นี่ก็มีความสุขดีทั้งนั้น แทบไม่มีใครเหนือกว่าด้อยกว่าเลย ...แต่ถ้ายังไงก็จะเอาคำตอบให้ได้ ...เพื่อนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด ก็คือ วินครับ”

กวินนิ่งอึ้งแล้วจึงเผลอกำหมัดแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างดีใจตามมา ส่วนการินนั้นทั้งที่รู้สึกโหวง ๆ ในอก แต่เขาก็ยังคงดีใจที่เห็นรอยยิ้มของคนข้างกายแบบนี้

ทางด้านภูริเองก็นิ่งอึ้งและเงียบขรึมไปสักพัก จนไกรสรหันมาทางเขา แล้วถามขึ้นบ้าง

“แล้วเธอล่ะ ใครที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด หวังว่าคงจะมีสินะ...”

ไกรสรเอ่ยยั่ว ทำให้รุจถอนหายใจแรง ๆ แล้วเหลือบมองคนข้างกายอย่างเริ่มไม่สบอารมณ์ พอไกรสรหันมาเห็นจึงยักไหล่นิด ๆ แล้วเลิกแหย่กระเซ้าให้ภูริโมโห พลางนิ่งรอคำตอบแทน

“...สำหรับผมก็คงเป็น รุจมั้ง ก็เขาเป็นรุ่นพี่แล้วก็รูมเมทผมนี่”

ภูริบอกแค่นั้นแล้วเงียบขรึมไปอีก ไกรสรอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นบรรยากาศอึมครึมที่เริ่มก่อตัว เขาจึงตัดบทสนทนาแล้วแสร้งเปรยขึ้นดัง ๆ

“เอาล่ะ! เวลาเหลืออีกเกือบชั่วโมงพวกเธอจะเล่นน้ำกันต่อ หรือไปรวมตัวรอกันที่สระด้านในก็ได้นะ ส่วนฉันขอตัวไปหาพวกปวีร์ก่อนล่ะ”

จากนั้นชายหนุ่มก็เดินนำไป โดยไม่วายหันมาส่งสายตาให้กับรุจ อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วเดินตามไปเงียบ ๆ ส่วนธีรัชก็ตบบ่าเพื่อนสนิทแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบาคล้ายกระซิบไม่ให้คนอื่นนอกจากภูริได้ยิน

“โอเคไหมเพื่อน...ก็แค่เกมตอบคำถามก็แค่นั้นน่า ไม่ได้หมายความว่านายจะแพ้สักหน่อย”

ทางด้านภูรินิ่งรับฟัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ฉันเองก็กลับไปด้านในบ้างดีกว่า”

ธีรัชมองเพื่อนที่เดินจากไปอย่างไม่คิดรอเขา แล้วจึงยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเดินตามภูริไปห่าง ๆ จนเหลือแต่เพียงพวกวาโย การิน และกวินยืนอยู่กันสามคนเท่านั้น โดยวาโยเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเขารู้สึกว่าภูริอารมณ์ไม่ค่อยจะดีผิดจากตอนที่แข่งเสร็จเป็นคนละคน

“เพราะฉันแพ้ เขาเลยโมโหหรือเปล่านะ...”

การินที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นเพื่อนกังวลก็รู้สึกผิด จึงรีบบอกออกไป

“ไม่หรอก...ถ้าจะโกรธก็น่าจะโกรธฉันมากกว่า ...ขอโทษนะโย ที่แกล้งโยนผ้าทิ้งไปแบบนั้น”

“บ้าน่า! มันเป็นเกมนี่ เป็นฉันไปถึงก่อนก็นึกอยากแกล้งอะไรแบบนั้นเหมือนกันนั่นล่ะ”

วาโยหันมาปลอบอีกฝ่ายแทน ก่อนจะชะงักเมื่อกวินถามขัดขึ้นเบา ๆ อย่างคนที่ค้างคาใจและกำลังคาดหวังบางอย่าง

“ง่า ...โย ทำไมถึงเลือกฉันล่ะ...ฉันนึกว่านายจะรำคาญฉันมากกว่าเสียอีก”

วาโยหันไปมองเพื่อนร่วมห้อง ส่วนการินนั้นชะงักเล็กน้อย แล้วเตรียมจะเลี่ยงเดินออกมา เพราะไม่อยากอยู่ขัดจังหวะทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าเดิน วาโยก็ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสา

“บ้าน่า ฉันจะรำคาญนายได้ยังไง ...ก็ฉันเจอนายเป็นคนแรก แถมนายยังเป็นรูมเมทของฉันอีกนี่นะ”

กวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะฝืนยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยทวนออกไปแผ่วเบา

“เพราะเราเป็นรูมเมทและเจอกันก่อนใครงั้นหรอกหรือ...นายถึงได้เลือกฉัน”

“ใช่แล้ว เพราะงั้นเราถึงได้สนิทกันกว่าคนอื่นหน่อยนึงยังไงล่ะ”

วาโยบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางการิน

“แล้วรินก็เป็นคนที่สอง แต่ก็น้อยกว่าวินแค่นิดเดียวเองนะ”

การินพูดไม่ออก ยิ่งเหลือบไปเห็นสีหน้าผิดหวังของกวิน เขาก็ยิ่งสงสารอีกฝ่ายจับใจ แล้วรีบชวนวาโยเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

“อืม...ขอบใจนะ... แต่ฉันว่าเราไปรวมตัวกันด้านในดีกว่า”

“เอ๋...เอางั้นหรือ...ก็ได้อยู่หรอก”

วาโยมองสระด้านนอกอย่างนึกเสียดายเล็กน้อย แต่เขาเองก็ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาส วันหยุดคราวหน้าจะลองนัดกับพวกจรัลดูสักครั้ง เพราะที่เคยคุยกันทางโทรศัพท์ ก็ทำให้รู้ว่าโรงพิมพ์ที่ชายหนุ่มทำงานอยู่ ก็หยุดวันอาทิตย์ด้วยเช่นเดียวกัน

“โย...บางครั้งนายก็ใจร้ายจังเลยนะ”

กวินพึมพำกับตัวเอง ทำเอาคนที่เดินนำหน้าไปก่อนหันมามองอย่างแปลกใจ เพราะเขาได้ยินไม่ค่อยชัดนั่นเอง

“มีอะไรหรือเปล่าวิน”

“...ไม่มีหรอก ฉันก็บ่นอะไรกับตัวเองเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”

“ประหลาดจริงนะนาย งั้นเราตามคนอื่น ๆ ไปกันเถอะ แต่ละคนเดินจ้ำไปโน่นกันหมดแล้ว”

วาโยบอกแล้วหันหลังกลับไปเดินต่อโดยไม่คิดใส่ใจคนด้านหลังที่ตามมา ส่วนการินที่อยู่ข้าง ๆ กวินและได้ยินคำพูดนั้นชัดเจนดี ถึงกับพูดอะไรไม่ออก และรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่แกล้งโยนผ้าขนหนูของวาโยทิ้งไป บางทีเหตุการณ์อาจจะไม่กลายมาเป็นแบบนี้ก็ได้

“ไปกันเถอะริน โยเดินลิ่ว ๆ ไปโน่นแล้ว ...เฮ้ย! ริน นายเป็นอะไรน่ะ!”

“ฉัน...ฉันเป็นอะไรหรือ...อ๊ะ...”

การินชะงักเมื่อรู้สึกถึงน้ำใส ๆ ที่อาบใบหน้า เขาพยายามเบือนหน้าไปอีกทางแล้วใช้แขนทั้งสองปาดน้ำตาของตัวเองยกใหญ่

“ไม่เป็นไร แค่น้ำเข้าตาแล้วแสบตาก็แค่นั้น นายรีบตามโยไปเถอะ”

กวินมองเพื่อนอย่างแปลกใจเขาขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจับอีกฝ่ายหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างพิจารณามากกว่าเดิม

“น้ำเข้าตาบ้านนายสิ ถึงได้น้ำตาไหลพรากแบบนี้ ตกลงนายเป็นอะไรกันแน่ บอกฉันไม่ได้หรือไง เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือริน”

การินที่พยายามกลั้นสะอื้น ยิ่งหลุดร้องไห้หนัก เพราะสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของอีกฝ่าย เขาบอกตะกุกตะกักจนกวินเกือบจับใจความไม่ได้ และเมื่อรับฟังจนพอจะปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้แล้ว กวินก็ถอนหายใจแรง ๆ แล้วขยี้เส้นผมอีกฝ่ายเบา ๆ

“คิดมากน่า! ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย เพราะนายทำให้พวกเราไม่ต้องเป็นที่โหล่ มันก็ดีแล้วนี่”

“ตะ...แต่...”

การินแย้งทั้งสะอื้น ทำให้อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนและรวบร่างเล็กมากอดโดยไม่สนสายตาใคร

“นายเป็นคนดีจังนะริน... ขอบใจนะที่แคร์ความรู้สึกฉันขนาดนี้”

การินหน้าแดงวาบ เขารีบผลักร่างของกวินออกห่าง แล้วโพล่งใส่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาที่ไหลเมื่อครู่เหือดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

“บ้า! ใครแคร์กัน! ฉันก็แค่รับหน้าที่ที่ปรึกษามาแล้ว ก็อยากทำให้ดีที่สุดก็แค่นั้นเอง!”

บอกแล้วการินก็เดินจ้ำพรวด ๆ ไปทางทิศของสระส่วนตัว โดยมีกวินมองตามอย่างงุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนปุบปับของอีกฝ่าย

“ฉันไม่ได้แคร์นายเลยนะ!”

การินหันกลับมาตะโกนบอกอีกรอบ ทำให้กวินถอนหายใจแล้วยกสองมือยอมแพ้ อีกฝ่ายก็ค้อนเข้าให้ ก่อนจะเดินนำไปอีกสักหน่อย แล้วหันกลับมาอีกครั้ง

“แต่ยังไงก็ขอบคุณ...ที่ช่วยปลอบนะ”

คนพูดบอกไม่ดังมากนัก แต่ใบหน้าเขินอายแดงระเรื่อนั้นก็ทำให้คนมองถึงกับตกตะลึง และกว่าจะรู้สึกตัวการินก็เดินจากไปได้สักพักหนึ่งแล้ว




… TBC …



จบไปอีกตอน ...ความรักของหนุ่ม ๆ นี่ก็ยังไม่ลงตัวสักที ...หลายคนอาจจะลุ้นให้หนุ่มวินไปชอบการินเร็ว ๆ แต่มันก็คงเร็วแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเจ้าตัวก็ยังรักโยอยู่ ถึงจะมีหวั่นไหวกับการินบ้าง แต่ในใจนี่ก็ยังมีโยอยู่นะ ...

จะว่าไปเขียนถึงหนุ่มวิน นี่ก็แอบสงสารเจ้าตัว ตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นพระเอกคู่โย...แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น จะจับ 3P ไปแทนดีไหม ...พอไปต่อเรื่อย ๆ ก็กลายมาเป็น เอ หรือจะจับโยนเป็นเคะให้นายเจเพื่อนโยแทนดี ...จนล่าสุดนี่ หรือจะยกให้หนูรินที่แอบชอบเจ้าตัวอยู่ดี ....


สรุป คนเขียนก็ยังเลือกไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะค่ะ (กวิน : คนเขียนใจร้าย!!) ฮ่า ๆ แต่ยังไงไม่ว่าคู่กับใคร ลูกรักคนนี้ ก็ต้องมีความสุขอย่างแน่นอนค่ะ (ถึงอาจจะถูกกลั่นแกล้ง ให้เจ็บปวด เสียน้ำตาบ้างก็เถอะ ...หึๆๆๆๆ)
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 29-08-2012 15:01:01
อ่านะ ตกลงจะให้ใครคู่ใครล่ะค่ะคนแต่ง เลือกไปซักหน่อย เหอะๆ
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 29-08-2012 15:40:19
น้องโยทำคุณภูริอารมณ์เสียซะแล้ว ก็ไม่ได้สนิทกันหนิเนอะโย
สงสารวินและสงสารรินด้วยแอบรักเขาข้างเดียวเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 29-08-2012 16:09:53
เง้อออ คุณภูริอย่าคิดมาก น้องโยใสซื่อมากมาย 5555

แต่เขาชอบนะ สงสารวินนะ แต่สงสารรินมากกว่า

5555 ตัดใจจากโยแล้วมาชอบรินแทนเถอะ หรือจะยุรินให้คุณธีรัชดีน้าา
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 29-08-2012 16:18:44
จะยังไงต่อละทีนี้
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-08-2012 16:39:10
สงสารใครดีฟระ  สงสารตัวเองดีกว่า  น้องโยตอบไม่ตรงกับที่คิดไว้
หัวข้อ: Re: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 29-08-2012 18:05:24
รีบห้ามใจกับโย แล้วมาปล่อยใจกับริน  ยังทันอยู่นะจ๊ะหนุ่มวิน  :o8:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 29-08-2012 18:32:13
 :o8:
เพิ่งมาอ่าน แล้วก้อ่านตามทันจนได้ ...

สนุกมากๆเลยค่า   .... ~ o13

รอ รอ รอ ตอนต่อไป  :impress2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 29-08-2012 19:06:01
วินหันมาสนใจรินเลยนะ รู้สึกสงสารรินมากเลย

ส่วนโยก็ยกให้คุณภูไปเลย ฮ่าๆๆ

ปล.ตอนนี้แอบทำให้หลายคนเจ็บ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 29-08-2012 19:57:34
คิดอยู่ว่าเพื่อนที่สนิทน่าจะเป็นวินนั่นแหละ แต่ก็แค่เพื่อนไง ถ้าคนที่ชอบนี่หนูโยเขายังไม่รู้ตัว :z1:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-08-2012 21:45:44
ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากรู้ว่าใครจะคู่ใครอะ o18 o18

รออ่านจ้า :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-08-2012 14:19:24
.... มาแบบยาว ๆ จุใจกว่าเดิม  แถมตอนนี้บอกได้เลยว่า มีทุกรสชาติ ....ขอเชิญอ่านได้เลยค่ะ ...หึ ๆ (หัวเราะแบบมีเลศนัย)
 o18


Miracle Café / 32



    ปวีร์สังเกตเห็นความอึมครึมจากพนักงานบางคนของเขาที่มารวมตัวกันบริเวณสระ แล้วก็ต้องนิ่วหน้า จากนั้นชายหนุ่มจึงเรียกรุจมาถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็เล่าไปตามตรง พอได้ฟังแล้วปวีร์ก็ถอนหายใจ แล้วเหล่มองไกรสรที่เดินตามรุจมาด้วยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

    “พี่ไกรนี่จริง ๆ เลยเชียว ชอบหาเรื่องยุ่งมาให้ผมอยู่เสมอตั้งแต่เมื่อก่อนนั่นแล้วนะ”

    “...สงสัยเขาคงจะแอบชอบคุณมานานแล้วก็ได้มั้งครับ ถึงได้ทำอย่างนั้น”

    รุจเปรยขัดด้วยใบหน้าเอือมระอา ทำให้ปวีร์ขมวดคิ้วประหลาดใจ ส่วนไกรสรที่ได้ยินก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ

    “แบบนี้สิ ...ค่อยเหมือนหึงหน่อย...  อ๊ะ ไม่ได้สิ ฉันต้องทำหน้าที่ง้อแก้ความเข้าใจผิดสินะ”

    “ไม่ต้องก็ได้ครับ ...อ้อ ผมทำตามสัญญาแล้วนะ ขออนุญาตไปใช้เวลาส่วนตัวบ้างล่ะครับ”

    รุจเปรยตอบอย่างเซ็ง ๆ ส่วนปวีร์ก็มองตามลูกน้องที่เดินห่างไป แล้วหันมาถามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

    “เล่นอะไรกันน่ะพี่...”

    “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากให้เด็กของนายหึงให้ดูเฉย ๆ   อ้อ ... ก็แค่เกมน่าราเมศ ไม่ต้องทำหน้าบึ้งอย่างนั้นหรอก ถ้าฉันชอบแฟนนายจริง ๆ ฉันแย่งไปตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เค้ารอนายรู้สึกตัวมาถึงป่านนี้หรอก”

    ไกรสรบอกจบก็เดินฮัมเพลงจากไป ส่วนปวีร์หันมามองคนข้าง ๆ แล้วก็หลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา

    “หึงฉันหรือ...”

    ราเมศไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนีไปด้วยความเขินแทน เขายอมรับว่ารู้สึกหึงปวีร์กับไกรสรขึ้นมาจริง ๆ เมื่อได้ยินรุจพูด เพราะแต่ไหนแต่ไรทั้งคู่ก็มักจะคุยกันถูกคอ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเป็นประจำอยู่แล้ว

    “ฉันรักนายคนเดียว ...ยืนยันด้วยความรักกว่าสิบปีของฉันได้เลยล่ะ”

    ปวีร์กระซิบบอกคนข้างกาย แล้วจึงลุกขึ้นไปดูพนักงานของเขาแต่ละคน ทิ้งให้คนข้าง ๆ นั่งยิ้มมองตามไปอย่างอารมณ์ดี  ส่วนปวีร์ก็ไปพูดคุยล้อเล่นกับคนอื่น ๆ จนบรรยากาศอึมครึมกลับมาตามปกติ จากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมกลับ โดยปวีร์นำทีมไปอำลาอนุชิตและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย และให้สัญญาว่าจะบอกต่อเรื่องสระว่ายน้ำของชายหนุ่มกับคนรู้จักของเขา รวมไปถึงลูกค้าที่ร้านได้ทราบแน่นอน

   

    เช้าวันจันทร์...พนักงานแต่ละคนพากันแปลกใจ เพราะวันนี้ปวีร์ไม่มาทำงาน ถามราเมศอีกฝ่ายก็ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง และบอกเพียงว่าปวีร์ไม่สบาย เลยต้องนอนพักผ่อนอยู่บ้าน คนอื่นพอได้ฟังต่างก็เชื่อสนิทใจ ยกเว้นรุจที่มองด้วยสายตาตั้งคำถามและรอยยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ทำให้ราเมศรู้สึกโล่งอกแม้จะอดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายคงพอคาดเดาเรื่องที่ปวีร์หยุดงานวันนี้ได้ไม่มากก็น้อยบ้างแล้วแน่

     “เป็นห่วงคุณปวีร์จังแฮะ ไว้งานเลิกแล้วแวะไปเยี่ยมกันไหม?”

    วาโยหันไปถามการินซึ่งนิ่วหน้าแล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ

    “ไม่ล่ะ กว่าร้านจะเลิกก็ค่ำแล้ว อีกอย่างอานั่นก็เป็นอะไรได้ไม่นานหรอก แป๊บ ๆ ก็หาย เห็นแบบนั้นเขาแข็งแรงจะตาย นี่มาป่วยแค่เพราะเล่นน้ำฉันยังแปลกใจเลย”

    การินพึมพำ ทำเอาราเมศที่ได้ยินชะงักเล็กน้อย แต่ก็ทำเป็นเมินเฉย จนรุจที่อยู่แถวนั้นลอบยิ้ม ก่อนจะหันไปทางประตูที่เปิดออกพร้อมกับขวัญแก้วและขวัญตาที่ปรากฏกายขึ้น

    “สวัสดีจ้า หนุ่ม ๆ เมื่อวานเล่นน้ำกันสนุกดีไหม”

    คนอื่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมาว่าทั้งสองสาวนั้นเป็นน้องแท้ ๆ ของไกรสร การที่ชายหนุ่มจะเล่าอะไรให้ฟัง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

    “น่าเสียดาย ถ้ารู้ก็จะตามไปด้วยแล้ว ไม่ปล่อยให้ไปกันแค่หนุ่ม ๆ หรอก ...อ้อ รุจจ๊ะ มีคนเอาดอกไม้มาฝากน่ะ”

    ดอกกุหลาบสีขาวดอกใหญ่ก้านยาวเข้าช่อ แม้จะมีแค่ดอกเดียว แต่ดูลักษณะแล้วก็คงไม่ใช่ดอกไม้ที่ราคาถูกเป็นแน่

    “เจ้าตัวเขามาไม่ได้เลยฝากมา ฉันว่าจะไม่รับฝากแล้วล่ะ แต่กลัวมีปัญหา ก็เลยต้องเอามาส่ง อ้อ...ขอถ่ายรูปยืนยันด้วยนะ เดี๋ยวรายนั้นจะหาว่าฉันเอาดอกไม้เขาไปทิ้งกลางทางน่ะ”

    รุจถอนหายใจเบา ๆ แล้วปล่อยให้ขวัญแก้วถ่ายรูปเขากับดอกไม้ผ่านมือถือของเจ้าหล่อน ก่อนจะวานให้หญิงสาวนำดอกไม้ที่ได้รับไปปักแจกันประดับร้านแทน โดยมีสายตาพิศวงของพนักงานบางคนมองตามอย่างแปลกใจ

    “ตกลงหมอนั่นเขาเปลี่ยนมาจีบนายแทนหรอกหรือ...”

    ภูริเดินมาถามเสียงค่อย ด้วยสีหน้าสงสัย รุจยิ้มน้อย ๆ แล้วแสร้งตอบรูมเมทของตน

    “ไม่รู้สิ อาจจะจีบหว่านไปทั่วก็ได้ ...นายเองก็ระวังเอาไว้ล่ะ บางทีคราวหน้าที่เขามา เขาอาจจะเปลี่ยนมาเล็งนายแทนก็ได้นะ”

    ภูริขมวดคิ้วพลางสบถพึมพำในลำคออย่างรู้สึกขนลุกขึ้นมานิด ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อหันไปเจอสายตาของวาโยจ้องเป๋งมาที่เขา และพออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าเขามองตอบ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาหลบ แล้วเลี่ยงไปจัดโต๊ะทำความสะอาดด้านนอกร้านแทนทันที

    “ยังไม่คืนดีกันอีกหรือ เฮ้อ...ทำเหมือนเด็กแย่งเพื่อนกันไปได้... ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งเมื่อวาน ก็ทำให้เป็นที่หนึ่งในวันนี้และวันต่อไปแทนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่นะ”

    ภูริสะดุ้งกับคำเปรยบ่นของรูมเมท เขายอมรับว่าเมื่อวานนี้เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์ที่วาโยเลือกกวินแทนเขา แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ และทั้งคู่ก็เป็นรูมเมทที่อยู่ห้องเดียวกัน จะนับว่าสนิทกันที่สุดในร้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่พออีกฝ่ายเป็นกวินที่แข่งเรื่องความรักกับเขา เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อชายหนุ่มรุ่นน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    “เป็นฉันนะ...ฉันจะฉวยโอกาสนี้แกล้งงอนให้ง้อเสียเลย ...แต่แน่นอนว่า ฉันคงไม่บึ้งใส่ให้เขากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้แบบนี้แน่...”

    รุจเอ่ยเสริม ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว ภูริพอจะเข้าใจหรอกว่ารุจอยากให้เขาทำอะไร แต่เขาก็เขินเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น แต่พอเห็นกวินเดินผ่านพวกเขาออกไปด้านนอก แล้วพูดคุย ทักทาย ยิ้มแย้มกับวาโยตามปกติ ชายหนุ่มก็ต้องนิ่วหน้าขมวดคิ้วขึ้นอีกรอบ

    “หมอนั่นน่ะ...ขนาดโดนโยย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าเป็นแค่เพื่อน  แต่เขาก็ยังไม่ถอดใจ และพยายามขนาดนั้นแท้ ๆ”

    เสียงการินเปรยขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ภูริสะดุ้งโหยง แล้วหันไปมองชายหนุ่มหน้าสวยอย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายนั้นจ้องเขานิ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

    “ถ้าไม่ชอบโยได้เท่าหมอนั่น คุณก็ถอยออกมาดีกว่านะครับ”

    การินพูดจบก็เดินเลี่ยงไปดูแลปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะด้านในร้านต่อ ทำให้ภูรินิ่งอึ้ง เขารู้สึกอิจฉากวินอยู่เสมอที่สามารถพูดคุยสนิทใจกับวาโยได้ขนาดนั้น แต่ตรงกันข้ามหากเขาเป็นกวิน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถยิ้มกับวาโยที่คิดกับตนแค่เพื่อนได้แบบนี้หรือไม่

     “เรื่องการต่อสู้แย่งชิงความรักของคนเกินสองคน ยังไงมันก็ต้องมีคนผิดหวังและสมหวังอยู่แล้วล่ะนะ ...แต่ถ้าจะต้องผิดหวังเพราะไม่ได้ทำเต็มที่ ...นายคิดว่ามันดีแล้วหรือ”

    รุจเปรยเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเอง พอได้ยินดังนั้น ก็ทำให้ภูริกำมือแน่น แล้วจึงตัดสินใจกระทำบางอย่างขึ้นมาบ้างภายในวันนั้น

   

    พอเริ่มมีลูกค้าเข้าร้าน แต่ละคนก็ตั้งอกตั้งใจทำงานกันเต็มที่ แม้แต่ธีรัชที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ก็ยังขยันขันแข็ง จนราเมศที่มีอคติเรื่องความเจ้าชู้ของชายหนุ่มในตอนแรก ยังนึกชื่นชมและลดอคติลงไปเกือบหมด

    “ธี...ฝากไปให้เด็กนั่นหน่อยสิ”

    ภูริที่แอบหยิบกระดาษแสดงความเห็นของทางร้าน มาเขียนข้อความบางอย่าง ฝากธีรัชไปส่งให้กับวาโยที่รับผิดชอบด้านนอกในช่วงนี้  ธีรัชมองกระดาษที่พับในมือและใบหน้ากึ่งเขินกึ่งเฉยแปลก ๆ ของเพื่อนก็ต้องอมยิ้ม แล้วพึมพำเบา ๆ

    “ไว้ใจกามเทพคนนี้ได้เลยเพื่อนรัก”

    จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินไปหาวาโย โดยทำทีเหมือนออกมาช่วยดูแลด้านนอกปกติแต่กลับส่งกระดาษที่ได้รับมาให้อีกฝ่าย

    “คนหน้าดุข้างในเขาฝากมาให้น่ะ”

    วาโยชะงักและรีบเปิดอ่าน ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ อย่างไม่อาจห้ามได้ จากนั้นเขาจึงหยิบปากกามาเขียนอะไรบางอย่างตอบต่อท้ายข้อความในกระดาษแผ่นนั้นกลับไป

    “ฝากคุณธีรัช ส่งให้ เอ่อ...เขา หน่อยได้ไหมครับ”

    ธีรัชมองคนตรงหน้าแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะรับกระดาษที่พับไว้เรียบร้อยแล้วนั้นมา มองจากปฏิกิริยาของวาโยแล้ว เพื่อนของเขาคงจะมีหวังลุ้นได้ไม่ยากนักหรอก

    “เอ้า! นี่สารตอบจากเจ้าหญิง ...ถ้าจะแลกเปลี่ยนจดหมายกันอีก รอบนี้ก็เดินไปบอกเองแล้วกัน เพราะคนรับเขาคงไม่รังเกียจอะไรหรอก”

    ธีรัชส่งกระดาษแผ่นนั้นคืนกลับมาให้กับภูริ ชายหนุ่มรับมาแล้วหามุมไปเปิดอ่านเงียบ ๆ ลำพัง ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้อ่านข้อความที่เขียนต่อท้ายประโยคของเขา



    อีกด้านหนึ่งวาโยที่ได้รับข้อความของอีกฝ่ายและตอบกลับไป ก็ยังคงมีใบหน้าแดงระเรื่อให้เห็น  เขาหวนคิดถึงข้อความของอีกฝ่ายบนกระดาษ ซึ่งเขายังคงจดจำเนื้อหาในนั้นได้เป็นอย่างดี

     ‘ถ้าไม่นับรูมเมทของนายแล้ว เวลาอยู่กับฉันล่ะ...เคยรู้สึกดีบ้างไหม’

    “เขาคิดอะไรนะ ถึงได้ถามแบบนี้... แสดงว่าเมื่อวานที่โมโหนั่น ก็แค่น้อยใจใช่ไหมนะ”

    วาโยพึมพำกับตัวเอง รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อรู้ว่าภูริไม่ได้โกรธเขาจริงอย่างที่เขากังวล

    “ตอบไปแบบนั้นจะดูแปลกไหมนะ... ไม่หรอก ก็คงคิดว่ามันปกตินั่นล่ะ”

    วาโยไม่แน่ใจว่าภูริจะรู้สึกเช่นไรหากได้อ่านข้อความตอบกลับของเขา ที่พอมาลองทบทวนดูในตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะแปลกไปนิด หากจะเขียนถึงคนเป็นเพื่อนกันแบบนั้น

    ทว่าเพราะตอนนี้วาโยนั้นอยู่ด้านนอก จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนด้านในบางคน ซึ่งกำลังอารมณ์ดีผิดหูผิดตาจนพนักงานคนอื่นยังนึกสงสัย ยกเว้นธีรัชที่รู้ดี แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ถึงข้อความข้างในกระดาษแผ่นนั้น เพียงแต่แน่ใจว่าวาโยต้องเขียนอะไรที่มันดีมากจนเพื่อนของเขาถึงกับยิ้มได้ขนาดนี้

    “บอกบ้างสิ เห็นอารมณ์ดีแบบนี้ก็ชักอยากรู้บ้างแล้วล่ะ... น่านะ ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนที่เดินส่งสารให้แล้วกันนะ”

    ธีรัชตามตื๊อถามเพื่อนไม่ห่าง ทำให้ภูริเริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดผิดที่ฝากอีกฝ่ายเอาข้อความไปส่งให้

    “อ่านเองแล้วกัน...แล้วอย่าปากมากล่ะ”

    ภูริกระซิบขู่ ทว่าคนเป็นเพื่อนไม่ได้นึกกลัวอะไร มิหนำซ้ำยังรับกระดาษแผ่นนั้นมาเปิดอ่านอย่างร่าเริงแทน ก่อนจะชะงักแล้วพับเก็บส่งคืนเจ้าของ พลางยิ้มน้อย ๆ เอ่ยแซวอีกฝ่าย

    “หวานจังว่ะ...อ่านแล้วเขินแทนเลย”

    “บอกแล้วไงว่าอ่านแล้วอย่าปากมาก”

    ภูริกระซิบเสียงดุ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อวาโยกลับเข้ามาในร้าน เนื่องจากลูกค้าที่นั่งด้านนอกสั่งเช็คบิล ทว่าระหว่างเดินไปหารุจ ชายหนุ่มก็เหลือบมามองภูริ แล้วก็ต้องยิ้มน้อย ๆ เมื่อภูริยิ้มตอบ ก่อนจะรีบหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงกระแอมแซวเบา ๆ ของรุจที่ลอบมองทั้งคู่อยู่

    “แหม ๆ พอรู้ว่าเขาชอบให้ยิ้ม ก็รีบยิ้มโกยคะแนนใหญ่เลยนะ”

    ธีรัชเอ่ยแซว ซึ่งภูริก็ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินเลี่ยงไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ โดยมีสายตาของอีกฝ่ายมองตามไปอย่างนึกขำ เพราะเขานั้นจดจำถ้อยคำที่วาโยตอบมาในกระดาษแผ่นนั้นได้เป็นอย่างดี

    ‘ผมเองก็รู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้คุณนะครับ... ยิ่งเวลาคุณยิ้มให้ ก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก’

    “เอาล่ะ เพื่อนเรานำไปแล้วแต้มนึง แล้วทางนั้นล่ะ จะทำยังไงต่อไปกันนะ ...แถมยังมีเรื่องของคุณหนูเข้าไปเอี่ยวด้วย มันช่างอีรุงตุงนังกันดีแท้ พวกนี้”

    ธีรัชพึมพำกับตัวเอง เขาพอมองออกเรื่องความรู้สึกของทั้งกวินและการิน เขาเองก็อยากจะช่วยคุณหนูหน้าสวยนั่นให้สมหวังอยู่หรอก แต่เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้ ยกเว้นเพื่อนของเขาจะชนะใจวาโยได้ การินก็คงได้มีสิทธิ์ลุ้นกับกวินอยู่บ้าง เพราะดูแล้วกวินก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรการินสักนิด และถ้าไม่มีวาโยในหัวใจเจ้าตัวล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงชอบการินได้ไม่ยากนักหรอกนะ

    “เฮ้อ! ฉันนี่มันเป็นทั้งพ่อพระ ทั้งกามเทพ เลยนะ”

    ธีรัชเปรยชมตัวเองเบา ๆ ตั้งแต่รู้ว่าใจการินไม่ว่าง เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้และดึงการินมาทางเขา นอกเสียจากว่าการินจะถูกปฏิเสธและตัดใจจากกวินได้ ถึงตอนนั้นเขาก็ค่อยเข้าไปจีบอีกทีก็ยังไม่สาย

    ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงนิสัยเสียของตัวเอง ที่ชอบถูกใจคนอื่นไปเรื่อย แถมยังไม่คิดจริงจังกับใครแบบนี้ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า วันใดถ้าเขาเจอคนที่คิดว่าใช่จริง ๆ ขึ้นมา เขาก็พร้อมจะหยุดเรื่องไม่ดีทุกอย่างที่เคยทำก่อนหน้านั้น และเริ่มต้นปรับปรุงตัวเสียใหม่เพื่อคนที่เขารักจริงอย่างแน่นอน



   เมื่อถึงเวลาพักของพนักงานรอบแรก ซึ่งเวรพักของวันนี้เป็นเวรของกวินและวาโย  ทางด้านการินนั้นแอบกระซิบเอาใจช่วยให้กวินทำคะแนนกับอีกฝ่ายให้สำเร็จ  ส่วนภูริแม้ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดอะไรออกมา เพราะถือว่านี่คือการแข่งขันระหว่างเขากับกวินนั่นเอง

    และเมื่อวาโยกับกวินทานข้าวกลางวันเรียบร้อย พวกเขาก็ขึ้นไปนั่งพักผ่อนและคุยเล่นกันที่ด้านบนห้องพักของพนักงานอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งกวินเริ่มตัดสินใจเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงความในใจของวาโยขึ้นมาบ้าง

    “โย...นายคิดว่าคุณภูริเขาเป็นยังไงบ้าง...น่าคบดีไหม”

    วาโยสะดุ้งกับคำถามของรูมเมท เจ้าตัวหน้าแดงนิด ๆ แล้วอุบอิบตอบไม่เต็มเสียง

    “คุณภูริเขาก็เป็นคนดีน่าคบนี่...ถามทำไมหรือ”

    กวินฝืนยิ้มกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เพราะมันแสดงออกชัด ๆ ว่าแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นที่วาโยรู้จัก

    “แล้วถ้านายเป็นผู้หญิง แล้วเขามาชอบนายล่ะ ...นายจะชอบเขาไหม”

    คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วเงยหน้ามองคนถามอย่างประหลาดใจ

    “ทำไมถามอะไรแบบนี้ล่ะ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”

    “ก็สมมุติยังไงล่ะ”

    กวินบอกเรียบ ๆ แล้วรอคอยคำตอบของอีกฝ่าย วาโยมีสีหน้าขัดเขินปนลำบากใจ แล้วจึงตอบเสียงแผ่ว

    “ถ้าฉันเป็นผู้หญิง...ก็คงชอบเขาได้ไม่ยากล่ะนะ”

    กวินเงียบกริบ เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ

    “แล้วกับฉันล่ะ...จะชอบได้บ้างไหม”

     “เอ๋...กับนายน่ะหรือ”

    คราวนี้วาโยมองเพื่อนด้วยความประหลาดใจยิ่งขึ้น กวินมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจ้องเขานิ่งอย่างน่ากลัว

    “เอ่อ...วิน ฉันว่าเราลงไปด้านล่างกันดีไหม...นี่ก็ใกล้เวลาเปลี่ยนเวรแล้วนะ”

    วาโยเลี่ยงตอบ และทำท่าจะลุกขึ้น แต่กวินนั้นฉุดแขนเขาเอาไว้ แล้วถามเสียงกระชาก

    “บอกมาสิ! ถ้าเป็นกับฉันล่ะ นายจะชอบบ้างไหม จะยอมคบด้วยหรือเปล่า!”

    “ถามอะไรไร้สาระกันวิน ...วันนี้นายแปลก ๆ ไปนะ”

    วาโยบอกกลับอย่างสงสัยปนหวาดหวั่น เพราะท่าทางของกวินนั้นผิดจากทุกทีที่เขาเคยเห็น

    “กับเขานายโอเค แต่กับฉันมันไร้สาระสินะ!”

    กวินบอกอย่างแค้นใจ แล้วดึงร่างเล็กแรง ๆ จนอีกฝ่ายเสียหลัก ล้มไปด้วยกันบนพื้นพรม จากนั้นกวินจึงจับร่างของวาโยตรึงไว้โดยมีร่างของเขาคร่อมทับอีกที จนวาโยถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่พอกวินจะก้มลงมาเหมือนจะจูบเขา ชายหนุ่มร่างเล็กก็รีบเบือนหน้าหนี จนอีกฝ่ายพลาดเป้าไป

    “โย...นายรังเกียจฉันใช่ไหม...ต้องเป็นเขาถึงจะได้อย่างนั้นหรือ”

    กวินถามด้วยสีหน้าเจ็บปวดแล้วพยายามจะปล้ำจูบอีกฝ่ายให้ได้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้วาโยฮึดสู้ เจ้าตัวขืนร่างแล้วงอเข่ากระแทกท้องอีกฝ่ายเต็มแรง จนกวินลงไปนอนจุก วาโยจึงผลักรูมเมทออกไปข้าง ๆ แล้วจ้องมองคนที่นอนอยู่ด้วยสายตาผิดหวัง

    “ทำไมกันวิน...ทำไมต้องเป็นทำแบบนี้  ฉันเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง!”

    คนนอนจุกแค่นหัวเราะ พลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขมขื่น

    “ใช่สิ... ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหน ทำดีด้วยเท่าไหร่ ฉันก็เป็นได้แค่เพื่อนนายเท่านั้น...”

    วาโยเงียบกริบ ก่อนจะชะงักนึกขึ้นได้ เขาหวนทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คำพูด และท่าทางที่ชายหนุ่มแสดงต่อเขา รวมไปถึงเรื่องที่กวินเคยมาปรึกษากับเขาก่อนหน้านั้น

    “เรื่องเพื่อนที่แอบชอบเพื่อนตัวเองนั่น ...เป็นเรื่องของนายสินะวิน”

    กวินเงียบไม่ยอมตอบอะไร  เขานิ่งไปจนวาโยใจหาย  ชายหนุ่มขยับไปนั่งใกล้ ๆ แล้วแตะไหล่ของรูมเมท แต่ถูกสะบัดหลบ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระชาก

    “ไม่ต้องมาสงสารฉัน! ถ้าไม่รักก็ไม่ต้องมาทำดีด้วยหรอก ...นายทำแบบนี้ฉันยิ่งสมเพชตัวเองเข้าไปอีก!”

    “ขอโทษวินฉันไม่เคยรู้เลย...ไม่เคยรู้สักนิด...ฉัน...”

    วาโยที่หดมือของตัวเองบอกเสียงสั่นเครือ น้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้มทั้งสอง ด้วยความสงสารเพื่อนจับใจ เขาไม่เคยรู้สักนิดว่าใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้เขาตลอด จะซ่อนความรู้สึกบางอย่างต่อเขาเอาไว้ โดยเขาไม่เคยสัมผัสมันได้ และไม่อาจจะตอบรับอีกฝ่ายได้ในแบบเดียวกับที่กวินต้องการ



        ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก จนกระทั่งกวินค่อยยังชั่ว เขายันกายลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับคนที่นั่งตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มามาก ชายหนุ่มเม้มปากแน่น พลางดึงร่างเล็กนั่นมากอด โดยที่วาโยนั้นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายบอกกับเขาแผ่วเบา

    “ขอโทษนะโย...ขอโทษที่รักนาย...แล้วก็ขอโทษที่ลืมตัว ทำเรื่องแย่ ๆ กับนายไปเมื่อครู่ด้วย”

    วาโยสะอื้นค่อย ๆ น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีก เขากอดอีกฝ่ายตอบ พลางกระซิบบอกกลับไป

    “อย่าพูดเลยวิน...ฉันขอร้อง...ถ้าพูดแล้วนายจะต้องมีสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้น...ก็อย่าพูดเลยดีกว่า”

     “ไม่ได้หรอกโย...ฉันต้องพูด ...ต้องบอกนายให้รู้ความรู้สึกของฉันทั้งหมด....ไม่อย่างนั้นมันก็ยังคาอยู่ข้างใน และฉันก็ไม่อาจจะตัดใจ และกลับเป็นเพื่อนกับนายเหมือนเดิมได้สักที”

    กวินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าขมขื่น แต่แววตาคู่นั้นฉายแววจริงจัง จ้องมองคนที่เงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับเขานิ่ง

    “ฉันรักนายโย ...แล้วนายล่ะ รักฉันบ้างไหม มีฉันในหัวใจนายบ้างหรือเปล่า”

    วาโยนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “ขอโทษนะวิน ...แต่ฉันคิดกับนายได้แค่เพื่อน...ฉันให้ได้แค่นั้นจริง ๆ ...ขอโทษ”

    กวินหลับตานิ่งด้วยหัวใจที่แตกสลายกับคำตอบที่ได้รับ แต่พอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขากลับยิ้มน้อย ๆ ให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนแทน

    “ขอบคุณโย ...ขอบคุณที่พูดความจริง ...ขอบคุณที่ไม่โกหกกัน”

    วาโยพยักหน้าน้อย ๆ แล้วกอดอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะกระซิบถามเสียงสั่น

    “นับจากวันนี้ไป เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมสินะวิน...ใช่ไหม”

    กวินมองคนที่กอดเขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกระซิบตอบ

    “แน่นอน... เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนี่ล่ะ...ถามอะไรโง่ ๆ แบบนั้น ...แล้วที่สำคัญคนที่ต้องถามคำถามนั้นมันควรจะเป็นฉันมากกว่า”

    วาโยเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วบอกออกไปเบา ๆ

    “ก็ฉันกลัวนายจะเกลียดฉัน แล้วเลิกคบกันน่ะสิ...ฉันชอบนายนะวิน ถึงจะไม่ใช่ชอบในแบบที่นายต้องการก็เถอะ”

    กวินยิ้มรับน้อย ๆ  สำหรับเขาได้เพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะพอใจได้แล้ว

    “อืม...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ไม่มีวันเกลียดนายลงหรอกโย ...”

    ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่กวินจะเอ่ยขอร้องอะไรบางอย่างต่ออีกฝ่าย

    “โย...หลังจากนี้ฉันคงต้องพยายามตัดใจจากนายให้ได้ ...แต่ฉันขอได้ไหม ...ขอฉันจูบนายสักครั้ง...นะ”

    วาโยชะงักกึกหน้าแดง แล้วมีสีหน้าลำบากใจหนัก จนกวินต้องยิ้มน้อย ๆ

    “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ชิงเฟิร์สคิสนายไปหรอก...ฉันก็แค่จะจูบแก้มนายก็แค่นั้น...แต่ถ้านายรังเกียจ ก็ไม่เป็นไร”

    กวินยิ้มเศร้า ๆ แล้วทำท่าจะผละออกไปจากร่างเล็ก จนวาโยนึกสงสารจึงจับแขนชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะบอกเบา ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

    “ถ้าแค่ที่แก้มก็ไม่เป็นไร...”

    กวินชะงัก แล้วจึงยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้หน้าอีกฝ่าย แล้วกระซิบบอก

    “ขอบคุณนะโย...”

    ‘แล้วก็ลาก่อนนะ...รักแรกของฉัน’

    กวินคิดในใจแล้วจูบเบา ๆ ที่แก้มของอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงทุบผนังดังปึง พร้อมกับภูริที่มองอยู่ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเจ็บปวด แล้วเดินจากไป โดยที่ทั้งวาโยและกวินยังไม่ทันพูดอะไรแก้ตัวสักคำ

    “เอ่อ...พวกฉันเห็นว่าได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ก็เลยขึ้นมาตามน่ะ...แต่ถ้าพวกนาย มีธุระคุยกัน...ฉันก็ขอตัวก่อน....”

    การินที่ขึ้นมาด้วยกันกับภูริบอกตะกุกตะกัก พวกเขาทันขึ้นมาเห็นตอนกวินจูบแก้มของวาโยเข้าพอดี ชายหนุ่มหน้าสวยคิดไปเองเช่นเดียวกับภูริว่า ทั้งคู่นั้นคงสารภาพรักและไปกันได้ด้วยดีแล้วแน่ และพอการินพูดจบเขาก็รีบหันไปอีกทาง น้ำตาเหมือนจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่พอเขาจะเดินจากไป เสียงกวินก็เรียกไว้เสียก่อน

    “เดี๋ยวริน! นายเข้าใจผิดนะ พวกฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ...เฮ้! โย! มัวอึ้งอะไรเล่า ตามไปอธิบายกับเขาสิ ถ้าเขาเข้าใจผิดมันก็ไม่ดีสำหรับนายใช่ไหมล่ะ!”

    วาโยที่นั่งตกตะลึงสะดุ้งได้สติจากเสียงเตือนของกวิน ก่อนจะมีทีท่าลุกรี้ลุกรนจนคนมองปวดใจ

    “ตะ...แต่ ...แล้วฉันจะบอกว่าอะไรล่ะ...แล้วทำไมเขาต้องโกรธด้วยล่ะ...ฉันกับเขาพวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะ...ฉัน...แล้วฉันจะทำไงดี...เขาโกรธฉันจริง ๆ หรือวิน...”

    “โย! ใช่เวลาจะสติแตกหรือไงกัน  มานี่! ไปด้วยกันเลย!  เฮ้! ริน! นายก็ตามมาด้วยนั่นล่ะ!”

    กวินดึงแขนวาโย แล้วบอกการินให้ตามเขามา ทางด้านการินที่ตอนนี้กำลังมึนงง ได้แต่เดินตามทั้งคู่ไปต้อย ๆ พวกเขาเดินลงมาด้านล่าง ก็เห็นภูริเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้ แล้วออกมายืนสงบสติอารมณ์ข้างนอก ทว่าพอภูริเห็นกวินจูงมือวาโยมาทางเขา ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนีแล้วเอ่ยถามเสียงห้วน

    “มีธุระอะไร!”

    กวินมองอีกฝ่ายนิ่ง แล้วจ้องมองวาโยที่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ก่อนกัดฟันกรอด แล้วโพล่งตอบไปเสียงดัง

    “ผมสารภาพรักกับโยเรียบร้อยแล้ว!”

    ภูริชะงักกึก ภาพที่กวินจูบแก้มวาโยย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง เจ้าตัวกำหมัดน้อย ๆ แล้วหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยตอบห้วน ๆ

    “ก็ดีนี่ ยินดีด้วยแล้วกัน”

    ชายหนุ่มบอกแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าร้าน แต่ก็ถูกกวินเรียกไว้เสียก่อน

    “นี่คุณ! หัดฟังชาวบ้านเขาพูดให้จบเสียก่อนสิ  ผมสารภาพรักกับโยแล้ว และก็อกหักไปเรียบร้อย หมอนี่เขาคิดกับผมแค่เพื่อน ไม่ได้คิดกับผมในแง่นั้นสักนิด ...ส่วนจูบที่คุณเห็นนั่น...ผมก็แค่ขอเขาแทนการตัดใจแค่นั้นเอง”

    ท้ายประโยคเจ้าตัวบอกเสียงค่อยลง ทว่าคนที่ฟังกลับนิ่งอึ้ง ชะงักกึก แล้วมองวาโยกับกวินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

    “ผมมาก็เพื่อจะพูดแค่นี้...ที่เหลือ ใครอยากเคลียร์อะไรก็เชิญตามสบาย ผมไม่ยุ่งด้วย...อ้อ โย นายไม่ต้องรีบกลับไปทำงานหรอกนะ เดี๋ยวฉันทำแทนให้เอง ไม่ต้องห่วง”

    กวินหันไปยิ้มให้กับรูมเมทที่ยืนอึ้ง ๆ อยู่แถวนั้น ก่อนจะเดินไปทางการินที่จ้องมองเขาไม่กะพริบตา พลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มเจื่อน ๆ

    “ฮะ ๆ อกหักเสียแล้วล่ะริน ...แย่จัง นายอุตสาห์ช่วยรับเป็นที่ปรึกษาแท้ ๆ”

    การินเงียบกริบ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยคู่นั้นจะค่อย ๆ มีน้ำตาไหลออกมา จนกวินตกใจ

    “เฮ้ย! รินเป็นอะไร!”

    “เจ้าบ้า! อกหักแล้วยังหัวเราะได้อีก ...นายมันบ้าที่สุดเลย วิน!”

    การินตวาดใส่ด้วยความรู้สึกโมโหที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจ จนวาโยกับภูริสะดุ้ง เห็นดังนั้นกวินจึงดึงมือของการินไปข้างในด้วยกัน แล้วปิดประตูหลังร้าน ปล่อยให้วาโยและภูริอยู่ด้วยกันตามลำพัง

   


… TBC …



ตอนหน้าเริ่มเคลียร์...ในแต่ละคู่ค่ะ หลังจากนี้ก็อยากจับคู่แล้วเขียนอะไรหวาน ๆ สักทีล่ะนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 30-08-2012 14:28:35
 :z3:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-08-2012 14:46:06
อ๋อยยย  หลากหลายอารมณ์แท้ว๊า  อ่านไปยิ้มไปอยู่ดี ๆ ดันมาเครียด ๆ ตอนท้ายซะงั้น
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 30-08-2012 14:46:44
กวินกับการิน แล้วก็คุณภูริกับโย

ไม่เสียแรงที่เป็นเอฟซีคุณภูรินะเนี้ย 55555

ทำไมปวีร์ไม่สบาย หรือว่า อ๊ายยยยย เฉลยหลังฉากให้ด้วยนะค่ะ

ชอบอ่าาา น่ารักเว่อร์ ตอนนี้เริ่มเคลียร์แล้วก็หวานกันแล้วใช่ม้าาา

ติดตามต่อค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 30-08-2012 15:01:54
กรี๊ดดดดดดดดด ขอตอนต่อไปเลยได้ไหมค่ะ จบแบบนี้ มันลุ้นอะ อยากอ่านต่อมากกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 31 : อัพเดท 29/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-08-2012 15:20:08
กวิน รีบๆ รู้ตัวสักทีสิ

(จะได้ยกโยให้ภูริได้อย่างเต็มใจสักที...จากใจภูริเอฟซี)
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 30-08-2012 16:29:38
รีบๆเคลียร์กันซะนะ วาโย กับภูริ

กวิน ก้รีบรุ้สึกตัวสักที

คนอ่านมันลุ้นนะ   o22
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 30-08-2012 16:34:00
หลายอารมณ์จริงๆ ด้วยอ่ะ

แต่ว่าวีไม่มาทำงานเนี่ยเมทำให้ลุกไม่ไหวใช่มะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 30-08-2012 17:06:30
นึกว่าโยจะโดนวินจูบซะแล้ว ดีใจที่โดนแค่แก้ม
โยรีบๆ ง้อภูริเลยนะ ทำหนุ่มอารมณ์เห็นภาพบาดตาบาดใจ
รินก็บอกความรู้สึกตัวเองให้วินรู้บ้างสิ

บวกหนึ่งจ้า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 30-08-2012 19:23:33
แบบนี้คุณภูก็หมดคู่แข่งแล้วสิ

เดินหน้าเต็มกำลังเลยนะคะ คุณภู เชียร์สุดใจ

ส่วนรินก็ช่วยปลอบใจวินด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 30-08-2012 19:48:03
ต่อไปสถานการณ์คงคลี่คลาย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 30-08-2012 20:04:49
นั่้นแน่ะ คุณเพื่อนอะเกน 
มีการส่งตัวเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวสารภาพรักถึงที่เลยนะ  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 32 : อัพเดท 30/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 30-08-2012 22:45:08
คุณภูริเลิกเก๊กขรึม
แล้วสารพาพรักซะ!!!
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 31-08-2012 12:21:34



**ตอนนี้เหมือนจะหวาน (รึเปล่าหว่า) .... เอาเป็นว่า ต่อจากนี้จะค่อย ๆ เคลียร์ ของแต่ละคู่ไปนะคะ ^^

-ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ต่อแต่นี้ไป ก็จะเป็นเรื่องราวของความรักหวาน ๆ (มั้ง) ในแต่ละคู่ แล้วล่ะค่ะ แต่ก็คงเรทโชเน็นไอ ไร้NC เหมือนเดิมตามคอนเซปต์นะคะ ถึงจะไม่ใช่ฮาเร็มแล้วก็เถอะ (แต่ก็ตั้งใจให้มีคนมาตกหลุมรักหนูโยอีกอยู่ดีล่ะนะ แต่งวดนี้มีก้างชิ้นโตคอยขวางเสียแล้วล่ะ หุ ๆ) :L2:


Miracle Café / 33





     กวินมองเพื่อนร่วมงานอย่างแปลกใจเล็กน้อย ทางด้านการินพอตะโกนออกไปแล้วเขาก็ร้องไห้ตามมายกใหญ่ จนกวินต้องคอยปลอบ ก่อนจะชะงักเมื่อธีรัชเปิดประตูจากครัวออกมา 

    “อ้าว...กำลังยุ่งกันอยู่สินะ ...งั้นเดี๋ยวฉันกลับไปทำงานแทนให้ก่อนก็ได้”

    “อ๊ะ! คุณธีรัช ผมขออีกแค่สิบนาทีนะครับ เคลียร์ตรงนี้แล้วเดี๋ยวจะตามไปช่วยแน่นอน”

    กวินรีบบอก ซึ่งธีรัชมองทั้งคู่ แล้วก็ยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะโบกมือค่อย ๆ

    “เอาน่า ๆ คนช่วงนี้ก็ไม่ได้เยอะแยะมากมาย ฉันคนเดียวก็พอไหว หนักมากนักเดี๋ยวก็ขอให้คุณรุจมาช่วยเสิร์ฟแทนก็ได้  ฉันว่าพวกนายน่ะเคลียร์ปัญหาหัวใจกันให้เรียบร้อยดีกว่า  วันอื่น ๆ จะได้ไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายตามมาอีก”

    ธีรัชเปรยอย่างอารมณ์ดี แต่คนฟังกลับขมวดคิ้ว และการินนั้นสะดุ้งเล็กน้อยอย่างคนถูกแทงใจดำ

    “นี่คุณหนู ยังไงก็ขอให้โชคดีนะ พยายามเข้าล่ะ!”

    ธีรัชเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูครัวจากไป ทำให้การินหน้าแดง ส่วนกวินนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ

    “เขาหมายความว่าอะไรกันน่ะ”

    “หมอนั่นก็พูดจาเหลวไหลไร้สาระก็แค่นั้น นายไม่ต้องสนใจหรอกน่า!”

    การินรีบบอก เจ้าตัวเช็ดน้ำตาที่เริ่มเหือดแห้ง แล้วดันกวินให้ไปทางครัว

    “ไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวอารู้ก็ถูกหักเงินเดือนให้หรอก!”

    “แล้วนายไม่เป็นอะไรแน่นะ...”

    กวินยังคงถามด้วยความเป็นห่วง การินหน้าแดงหนักก่อนจะโพล่งใส่

    “ฉันไม่ได้อกหักอย่างนายนี่ จะได้ต้องห่วงน่ะ! ...อ๊ะ ...ขอโทษ”

    พอหลุดปากออกไปด้วยความอาย การินก็นึกได้ แล้วหน้าสลดลงอีกครั้ง กวินที่อึ้งในตอนแรก แม้จะรู้สึกปวดใจ แต่พอเห็นสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่าย เขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มน้อย ๆ แล้วตบบ่าคนตรงหน้าแทน

    “อย่าคิดมาก...หรือถ้าคิดมาก คืนนี้ก็เตรียมปลอบฉันแล้วกัน เพราะฉันจะไปนอนค้างที่ห้องนาย แล้วนายก็เตรียมแคะหูฟังฉันพล่ามทั้งคืนได้เลย!”

    การินชะงัก เขาเงียบไปสักพัก แล้วจึงเริ่มหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะอุบอิบตอบ

    “ได้สิ...แล้วฉันจะรอนะ”   

    กวินยิ้มให้ แล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อ โดยการินนั้นมองไปทางประตูด้านหลัง ที่มีภูริและวาโยอยู่ เขาตัดสินใจไม่แอบฟัง แต่กลับไปในครัวและกินมื้อกลางวันของตนต่อแทน

   

    ธีรัชที่กำลังดูแลลูกค้าเหลือบมองคนที่เดินออกมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย พอกวินมาถึง เจ้าตัวจึงตรงเข้าไปกระซิบถามเบา ๆ

    “ทำไมรีบมาล่ะ แล้วคุณหนูเขาเลิกร้องไห้แล้วหรือไง”

    กวินนิ่วหน้านิด ๆ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

    “หมอนั่นเลิกร้องแล้วล่ะครับ ...จะว่าไปก็แปลกนะ ที่เขาร้องไห้ให้ผมขนาดนี้ จริง ๆ คนที่ควรจะเป็นฝ่ายร้องมันควรเป็นผมต่างหาก...แต่พอรินร้องไห้ให้แทน น้ำตามันก็เลยไม่รู้หายไปไหนหมดเสียอย่างนั้น”

    กวินเปรยพลางยิ้มเศร้า ๆ เขาตัดสินใจบอกอีกฝ่ายเพราะมั่นใจว่าธีรัชนั้นรู้เรื่องของพวกเขาดีอยู่แล้วแน่ ทางด้านธีรัชพอได้ยินดังนั้นประกอบกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ ก็ทำให้เขาประมวลสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

    “ทำใจไอ้น้องชาย เรื่องความรักก็อย่างนี้ล่ะ...มีสมหวัง มีผิดหวัง ...แต่สำหรับนาย ฉันว่ามันก็คงไม่จบเลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้หรอก เชื่อได้เลย”

    “หมายความว่าไง?”

    กวินถามอย่างแปลกใจ ธีรัชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยักไหล่ แล้วเตรียมเดินไปอีกทางพร้อมเปรยขึ้น

    “โทษทีว่ะไอ้น้อง  ยังไงฉันมันก็ไม่ได้ใจดีถึงขนาดจะช่วยคนที่เกือบจะได้เป็นคู่แข่งของตัวเองให้สมหวังง่าย ๆ หรอกนะ ...อืม แต่ก็บอกใบ้ให้นิด ๆ ก็ได้อยู่หรอก”

    เจ้าตัวเอ่ยค้างไว้แค่นั้น แล้วจึงหันกลับมาทางกวินที่จ้องมองอยู่

    “นายน่ะ หัดสังเกตความรู้สึกคนใกล้ตัวเสียบ้างก็ดีนะ ...ถ้าทำได้ ก็จะรู้เองนั่นล่ะ ว่าฉันหมายความถึงอะไร”

    ธีรัชเอ่ยจบก็ยกยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเดินเลี่ยงไปดูแลลูกค้าอีกโต๊ะ กวินมองตามไปอย่างสงสัย แต่ก็สลัดความคิดนั้น แล้วหันมาสนใจลูกค้าในร้านต่อ แม้จะมีบางครั้งที่ยังคงเผลอเหลือบมองไปทิศด้านหลังร้าน ที่ตอนนี้มีวาโยและภูริ กำลังปรับความเข้าใจกันอยู่



    อีกด้านหนึ่ง ภูรินั้นกำลังยืนนิ่ง ๆ โดยไม่พูดไม่จาอะไร ตรงหน้าเขามีวาโยที่ยืนอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน

    “เอ่อ...คุณภูริครับ...ถ้าไม่มีอะไร...ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

    วาโยตัดสินใจปลีกตัวออกมาเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี  ถึงกวินจะบอกให้เคลียร์แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นคิดกับเขายังไงกันแน่  แม้ว่าพอฟังจากสิ่งที่รูมเมทพูดแล้วจะคล้ายกับว่าภูริเองก็แอบชอบเขาเหมือนกันก็ตาม

    “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป!”

    ภูริที่เห็นวาโยเตรียมจะเดินจากไปทั้งเรียกและจับข้อมืออีกฝ่ายดึงรั้งไว้ วาโยชะงักหันมามองชายหนุ่ม ภูรินั้นมีสีหน้าคล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง ก่อนจะหลับตาลงสักพัก และลืมตาจ้องมองเขานิ่งด้วยแววตาที่ทำให้คนถูกจ้องใจเต้น

    “ฉันชอบนาย...ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนหรือรุ่นพี่...แต่ชอบ ในความหมายที่ใกล้เคียงกับรัก...”

    วาโยหน้าแดงวาบ เขานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เห็นดังนั้นภูริจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วใช้มือข้างที่ว่างลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายแผ่วเบา

    “จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่แน่ใจตัวเองว่าจะรักนายได้เท่าหมอนั่นไหม...แต่เท่าที่รู้ก็คือ ฉันมักจะไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง เวลาเห็นนายยิ้มหวาน ๆ กับคนอื่น ...และไม่ชอบที่คนอื่นมาทำท่าเหมือนจีบนายนั่นด้วย”

    ภูริบอกด้วยสีหน้าเขินน้อย ๆ  ก่อนจะดึงมือข้างที่จับไว้ขึ้นมาจูบเบา ๆ

    “ฉันอาจจะดูแย่ และไม่ชัดเจนในสายตานาย ... แต่ขอเวลาฉันหน่อยได้ไหม ...อย่าเพิ่งไปรักใครตอนนี้ ...แล้วก็ช่วยชอบฉันให้มากกว่าเดิมก็พอ”

    วาโยนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่กับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สร้างความงุนงงให้กับคนที่รอคอยคำตอบอยู่ยิ่งนัก

    “ขำอะไร!”

    ภูริถามเสียงห้วน เพราะเขาพยายามเรียบเรียงคำพูดบอกคนตรงหน้าแทบตาย แต่วาโยกลับดันมาขำเขาเสียแทนแบบนี้

    “ผมอุตส่าห์เตรียมใจว่าจะได้ยินคำบอกรักหวาน ๆ กับเขาเสียอีก...แต่คุณเล่นพูดแบบนั้นจะไม่ให้ขำได้ยังไงล่ะครับ”

    วาโยบอกพร้อมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีใจที่ได้รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย ...บางที เขาอาจจะชอบคนตรงหน้านี้ไปแล้วก็ได้ แต่ก็คงจะยังไม่แน่ชัดเหมือนกับที่ภูริเป็นอยู่

    “ฉันก็พยายามพูดให้มันหวานที่สุด เท่าที่จะคิดได้อยู่แล้วนะ!”

    ภูริบอกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่คนตัวเล็กก็ยังยิ้มให้ แล้วแย้งกลับ

    “คำพูดเห็นแก่ตัวแบบนั้นน่ะนะครับที่ว่าหวาน.... ยังไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า แต่ห้ามไปชอบคนอื่น แล้วให้ชอบตัวเองให้มากกว่าเดิมนี่นะ”

    “ฉันก็แค่พูดจากใจตัวเองเท่านั้น!”

    ภูริบอกหน้าบึ้ง ๆ ทำให้วาโยอมยิ้ม แล้วเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะซบหน้าลงกับอกของอีกฝ่าย เล่นเอาภูริถึงกับสะดุ้ง

    “ที่ผมหัวเราะ ไม่ใช่เพราะขำคำพูดของคุณอย่างเดียวหรอก...ที่จริงผมขำเพราะเราใจตรงกันต่างหาก ...ผมเองก็รู้สึกคล้ายคุณนี่ล่ะ ...ไม่แน่ใจนักว่าชอบ แต่ก็อยากให้คุณชอบตัวเอง และก็รู้สึกไม่ดีทุกครั้ง เวลาที่ถูกคุณเมินเฉยล่ะนะ”

    ภูริพอฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปสักครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ตามมาเช่นกัน จากนั้นพอตั้งสติได้แล้ว เขาก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าเขา

    “ไม่แปลกใจแล้วที่นายหัวเราะ ...จะว่าไปมันก็น่าขำจริง ๆ ล่ะนะ...นี่กลายเป็นว่าพวกเรารู้สึกคล้าย ๆ กันมาตลอดอย่างนั้นหรือเนี่ย...”

    ภูริเปรยขึ้นกับอีกฝ่าย จากนั้นพวกเขาจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมกัน ทว่าก่อนที่วาโยจะเปิดประตูหลังร้าน เขาก็ต้องชะงัก เมื่อภูริที่เดินเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้าเข้ามาแล้วจูบที่ริมฝีปากของเขาเบา ๆ โดยที่เขายังไม่ทันจะได้ตั้งตัว

    “จองไว้...เกิดมีใครชิงไปก่อน ฉันคงหงุดหงิดแย่เลย”

    วาโยนิ่งอึ้ง หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะหน้าแดงหนักขึ้นอีกเมื่อภูริกระซิบบอกเขาอีกครั้ง

    “คราวนี้ถ้าลองหัวเราะขำอีกรอบล่ะก็ จะจับจูบให้หายขำไปข้างเลย คอยดูสิ”

    จากนั้นชายหนุ่มก็เดินนำเข้าไปก่อน โดยปล่อยให้วาโยยืนใจเต้นหน้าแดงก่ำอยู่เพียงลำพัง และพอตั้งสติได้ เจ้าตัวก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

    “แย่จัง... ทำแบบนี้ก็ยิ่งชอบมากขึ้นไปอีกน่ะสิ...”

    จากนั้นวาโยก็เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัว เขายิ้มให้การินกับรุจ ก่อนจะหลบสายตาของภูริด้วยใบหน้าเขินอาย ภูริเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็อมยิ้มน้อย ๆ ระหว่างนั่งกินอาหารกลางวันของตน จนรุจและการินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันสังเกตเห็นได้  ด้านรุจนั้นอมยิ้มนิด ๆ ไม่ได้เอ่ยทักหรือแซวอะไร แม้ว่าเขาพอจะคาดเดาบางอย่างได้บ้างแล้วก็ตาม  ส่วนการินนั้น เจ้าตัวลอบถอนหายใจเบา ๆ ถึงจะสงสารกวิน แต่การที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นมีความสุข มันก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะแสดงความยินดีด้วยล่ะนะ

   

    กวินมองคนที่เดินอมยิ้มน้อย ๆ ออกมา ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตากับเขา จากนั้นต่างคนก็ต่างนิ่งไป ก่อนที่กวินจะทำเป็นยิ้มแย้มให้ แล้วเดินเลี่ยงไปดูแลลูกค้าอีกมุมแทน

    “...โย ไปทำงานเข้าสิ ยืนอยู่แบบนั้นเดี๋ยวลูกค้าก็แปลกใจหรอก”

    ราเมศที่หันมามองชายหนุ่มเอ่ยทัก วาโยสะดุ้งแล้วรีบจ้ำเท้าเดินผ่านหลังอีกฝ่ายออกไปอย่างเร่งรีบ  ราเมศจ้องตามไป ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เพราะเท่าที่ฟังเรื่องราวของพนักงานในร้านจากปวีร์ และสังเกตจากปฏิกิริยาของคนที่เดินเข้าออกผ่านเขาไปมา ก็พอจะคาดเดาอะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้วล่ะนะ

    “หนุ่ม ๆ วันนี้ แปลก ๆ กันไปจังเลยนะเม ว่าไหม”

    ขวัญแก้วที่ทำหน้าที่แคชเชียร์แทนรุจหันมาบอกยิ้ม ๆ แสดงว่าเจ้าหล่อนเองก็พอจะสังเกตอะไรบางอย่างได้เช่นเดียวกัน

    “แต่ที่น่าแปลกที่สุดก็คือเรื่องที่วีหยุดงานนี่ล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยป่วย จะว่าป่วยเพราะเล่นน้ำ ก็ไม่เห็นพี่ไกรบอกอะไรเลย ...เมว่าแปลกไปไหมล่ะ หือ”

    ท้ายประโยคเจ้าหล่อนแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์  ทำเอาคนถูกถามลอบกลืนน้ำลายลงคอ แล้วจึงตอบตัดบทออกไป

    “จะไปรู้หรือไง ถึงอยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่ได้ตัวติดกันสักหน่อย”

    ขวัญแก้วหัวเราะคิก ๆ ก่อนจะแกล้งเปรยบางอย่างที่ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ

    “งั้นหรือ... ไอ้เราก็คิดว่าป่วยเพราะดันไปทำตัวให้ติดกันเสียอีก”

    “แก้ว!” ราเมศโพล่งใส่ด้วยความเขิน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อทุกสายตาในร้านมองเขาเป็นตาเดียว

    “ง่า....ขอโทษครับ พอดีผมเกือบทำแก้วตกน่ะครับ”

    ราเมศแก้ตัวกับลูกค้า ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปสนใจอาหารและเครื่องดื่มของตนต่อ จะมีก็แต่บางคนที่ยังแปลกใจว่าคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึมตลอดอย่างราเมศ จะซุ่มซ่ามแบบนี้กับเขาเป็นด้วย

    “คิก ๆ ความลับไม่มีในโลกหรอกนะจ๊ะเม คิดว่าฉันจะไม่รู้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ  ต่อให้พี่ไกรไม่บอก ฉันก็ต้องรู้เองอยู่วันยังค่ำจนได้  วีน่ะเนียนปิดมิดอยู่หรอก แต่เมนี่สิหลุดง่ายจะตายไป”

    ราเมศกัดฟันกรอดนึกคาดโทษคนที่ไม่อยู่ด้วยไว้เรียบร้อย เขาแทบไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ขวัญแก้ว ไม่สิอาจจะรวมไปถึงขวัญตารู้เรื่องของเขากับปวีร์ เพราะพี่ชายของสองสาวนั้นรักน้องสาวมาก และแทบไม่เคยมีความลับปกปิดระหว่างกันเลยแม้แต่น้อย

    “ไม่เอาน่า อย่าโมโหเลย รู้ไหมฉันกับตาน่ะ ดีใจแทนวีกับเมแค่ไหน ...พวกเราลุ้นพวกเธอมานานมากเลยนะ ...แล้วอย่าทำให้วีเสียใจล่ะ  วีเขารักเมมากเลยรู้ไหม”

    ขวัญแก้วบอกด้วยสีหน้าที่จริงจังไร้การล้อเล่นผิดเคย ทำให้ราเมศระงับอารมณ์ลง แล้วพยักหน้าตอบรับ

    “ฉันรู้...ฉันจะดูแลและคอยอยู่เคียงข้างเขา มอบความรักให้เขา เพื่อชดเชยสิบกว่าปีที่ผ่านมานั่นให้ได้”

     ขวัญแก้วยิ้มรับ จากนั้นเธอจึงพูดคุยสอบถามอาการปวีร์สองสามประโยค และพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อาการหนักมากมายและน่าจะมาทำงานได้ในวันสองวันนี้ เธอก็ยิ้มอย่างยินดี และตั้งใจว่าจะตามไปเยี่ยมปวีร์หลังจากเลิกงานคืนนี้ด้วย

   

    บรรยากาศของอาหารมื้อค่ำสำหรับพนักงานภายในวันนี้นั้น ล้วนเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ทั้งจากคนที่ดูเหมือนจะสมหวัง และบางคนที่ผิดหวังกับเรื่องความรักมาหมาด ๆ

    “เอ่อ...คุณนนครับ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอเอามื้อเย็นใส่กล่องไปกินที่หอพักได้ไหมครับ...”

    ชานนหันมามองกวิน เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตามมาโดยไม่ถามเหตุผลของอีกฝ่าย

    “จะให้ทำอะไรเพิ่มเป็นพิเศษด้วยไหมครับ”

    “อ๊ะ! ไม่ต้องครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

    กวินรีบตอบแล้วก็เงียบไป เห็นดังนั้นชานนจึงไปนำกล่องพลาสติกมาเตรียมใส่กับข้าวของชายหนุ่มให้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อการินเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ถ้าอย่างนั้นเผื่อผมด้วยนะครับ...ผมก็กะว่าจะไปกินกับหมอนี่ที่บ้านพักด้วย”

    กวินหันไปมองการิน ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมายิ้มให้เขา แล้วมองไปทางอื่น และเมื่อชานนแพคมื้อค่ำในส่วนของกวินและการินเสร็จแล้ว จึงใส่ถุงนำมาให้ทั้งคู่ ซึ่งกวินก็เอ่ยขอบคุณ แล้วจึงหันมาทางวาโย

    “เดี๋ยวฉันไปจัดการเก็บกวาดเช็ดถูในร้านให้นะ ส่วนเรื่องปิดร้านฝากนายด้วยแล้วกัน  อ้อ! คืนนี้ฉันจะค้างที่ห้องรินนะ”

    กวินเอ่ยขึ้นพลางยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปเก็บร้าน โดยไม่รอให้คนอื่นที่เหลือกินเสร็จ วาโยมีสีหน้าลำบากใจและเป็นห่วงรูมเมท แต่การินที่เตรียมจะลุกตามกวินไปนั้น ตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ

    “หมอนั่นเข้มแข็งกว่าที่นายคิดไว้นะ  แต่เขาเองก็ต้องการเวลาทำใจในแบบของตัวเองเหมือนกัน หวังว่านายคงจะเข้าใจเขานะ”

    วาโยมองการิน แล้วหันไปมองทางทิศที่กวินเดินจากไป ก่อนจะหันกลับมาบอกการินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

    “ฝากวินด้วยนะริน...”

    การินพยักหน้าตอบรับ แล้วขอตัวเดินไปช่วยงานกวิน พวกเขาได้ยินเสียงเลื่อนโต๊ะกันอยู่สักพัก และเมื่อเสียงกระดิ่งแขวนประตูดังขึ้นคล้ายมีคนออกไปข้างนอก เสียงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบไป แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่คงกลับไปบ้านพักกันเรียบร้อย

    “พรุ่งนี้ถ้าเจอหน้ากัน  ผมจะทำยังไงดีครับ... จะยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีไหม”

    วาโยพึมพำถามคนข้างกาย ระหว่างที่ช่วยภูริและชานนเก็บกวาดในครัว หลังมื้อค่ำจบลง  โดยที่พวกขวัญแก้วกับขวัญตาหลังจากจัดการทำความสะอาดในส่วนของพวกเธอเรียบร้อย ก็ขอตัวตามราเมศไปเยี่ยมเยียนปวีร์ด้วยกันทั้งคู่

    “ฉันว่าแค่นายทำตัวให้สมกับเป็นตัวเองก็พอแล้ว... ถึงฉันจะสนิทกับเขาไม่มากเท่านาย แต่ฉันก็เชื่อว่าเขาจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้ และกลับมาเป็นคนเดิมในไม่ช้านี้ล่ะนะ”

    ภูริเปรยเบา ๆ ทำให้วาโยยิ้มออก ก่อนจะพึมพำขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นเมื่อรุจเข้ามาบอกว่าปิดหน้าร้านเรียบร้อย ทุกคนก็ทยอยออกจากหลังร้าน ปิดล็อกร้านและตรงกลับบ้านพักไปพร้อม ๆ กัน ภูรินั้นเดินมาส่งวาโยที่หน้าห้องของชายหนุ่ม ทั้งคู่เหลือบมองห้องข้าง ๆ ที่ยังคงเงียบคล้ายกับไม่มีคนอยู่ ก่อนจะถอนหายใจไล่เลี่ยกัน จากนั้นภูริจึงโน้มใบหน้าไปจูบแก้มวาโยเบา ๆ กล่าวราตรีสวัสดิ์ แล้วเดินกลับห้องของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้วาโยยืนจับแก้มหน้าแดงอยู่ตรงแถวประตูห้องอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวจะหลุดยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปบ้างหลังจากนั้น

   


… TBC …
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 31-08-2012 12:45:00
ถ้าภูริจะน่ารักขนาดนั้น....

แอร๊ยยยยย...ฟินและตายอย่างสงบ...

ฮาาาา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 31-08-2012 13:51:07
หลังจากกินมาม่าแล้วต้องต่อด้วยน้ำผึ้ง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 31-08-2012 14:08:24
โหหห เขาไม่ิคิดว่าคุณภูริจะหวานแบบเถื่อนๆอย่างนี้

5555 วันแรกที่บอกชอบ มีจูบ มีหอมแก้ม

เขินแทนหนูโย ฮาาาา

แล้วทีนี้ก็เหลือกวินกับการิน วิน ลองทำอย่างที่ธีรัชบอกแล้วจะรู้เองเนอะ

หุหุ หรือว่าต้องมีตัวกระตุ้น

ติดตามต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-08-2012 14:27:46
ว๋าย ๆ ๆ ๆ เขินจัง  ภูรินี่ก็หวานเป็นเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 31-08-2012 14:30:29
กรี๊ดดค่ะ

ได้คู่ตามที่ลุ้น ^^
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 31-08-2012 14:35:02
ภูริพอโยบอกว่าชอบนี่เอาใหญ่เลยนะเดี๋ยวหอมเดี๋ยวจูบ
น้องโยนี่ก็ยิ้มอยู่ได้ หวานกันจัง อิจฉาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 31-08-2012 15:05:34
สงสารกวิน หุๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 31-08-2012 15:16:21
มาแบบจุใจมากๆ

เฮ ดังรอบหนึ่งกับพี่ ภูริกับหนูโย  (ถึงกับกริีดลั่นบ้าน)

เฮรอบ2 พี่คุณปวีย์กับคุณเม (คิกๆ คักๆ อิอิ)

เฮรอบ3 รักคุณพี่ธีรัชไปอีก1กอง

เตรียมเฮ หนูรินกับกวิน ( สู้ๆน๊า หนูริน ยกธงโบก)

*-* :L2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 31-08-2012 15:43:43
อร๊ายยยยย   เขิลแทนหนูโย  :-[

ส่วนคู่บอสนี่    แหนะๆ แอบไปทำอะไรกันมาล่ะนั่น  หุหุ   :z1:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 31-08-2012 18:24:21
ภูริ เห้นแรกๆก็ยึยกยักชักช้า
ทีตอนนี้ล่ะ รีบกอบโกยใหญ่เลยนะ
โยเผลอเป็นโดนตลอด>O<
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 33 : อัพเดท 31/8/55 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 31-08-2012 21:43:26
ภูริกะหนูโยน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 01-09-2012 12:42:00

**สำหรับตอนนี้เป็นเรื่องราวของนายวิน และคุณหนูรินโดยเฉพาะค่ะ ...ใกล้เคลียร์กันครบทุกคู่แล้วเนอะ หุ ๆ 

ป.ล. จะมีใครเสนอคนดามใจ ให้นายกามเทพธีรัชของเราบ้างไหมคะ (แต่มันก็ไม่ได้อกหักอะไรหรอกนะ หมอนี่น่ะ -- ก็แค่หลั่นล้าจีบเขาไปทั่วเท่านั้นเอง)



Miracle Café / 34





    กวินกับการินนั้นไม่ได้ตรงกลับบ้านพักเลยในทันที พวกเขาเดินไปซื้อเบียร์กระป๋องที่ร้านสะดวกซื้อมาเกือบโหล  และเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่บ้านพัก ซึ่งพวกเขาคาดว่าเพื่อนร่วมงานห้องอื่นนั้น คงจะกลับกันมาเรียบร้อยแล้ว

   “เข้ามาสิ” การินที่ไขประตูห้องเอ่ยเชื้อเชิญคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเขา กวินยิ้มรับน้อย ๆ แล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งภายในห้องนั้นก็ยังคงเรียบร้อยเป็นระเบียบเหมือนดังเดิมไม่เปลี่ยน

   “อันนี้นมของนาย ...ส่วนนี่เบียร์ของฉัน”

   การินขมวดคิ้วที่อีกฝ่ายส่งขวดนมมาให้เขา ส่วนตัวเองก็หยิบกระป๋องเบียร์ไป เมื่อตอนแรกที่เขาเห็นกวินซื้อขวดนมมา เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะซื้อเก็บแช่ตู้เย็นไว้กินในตอนเช้าเสียอีก

   “หมายความว่าไง ทำไมของฉันถึงเป็นนมล่ะ”

   “ก็แน่อยู่แล้ว คุณหนูอย่างนายกินเบียร์เป็นหรือไง”

   กวินบอกหน้าตาเฉย ทำเอาคนที่เคยนึกสงสารอีกฝ่ายชักเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแทน

   “ฉันกินได้น่า กับอีแค่เบียร์ ขนาดไวน์ฉันยังกินได้เลย!”

   การินโพล่งใส่ ทำให้กวินถอนหายใจ แล้วจึงหยิบเบียร์อีกกระป๋องส่งให้

   “เตือนแล้วนา...”

   กวินพึมพำ ก่อนจะหยิบแพคอาหารมื้อค่ำที่ชานนจัดการให้พวกเขาขึ้นมากินเสียก่อน แล้วบอกให้การินที่กำลังจะเปิดเบียร์กินด้วย

   “กินข้าวก่อนสิ ขืนกินเบียร์ตอนท้องว่าง นายได้น็อกตั้งแต่กระป๋องแรกแน่”

   การินชะงัก แล้วค้อนใส่นิด ๆ

   “รู้อยู่แล้วน่า”

   กวินหัวเราะเบา ๆ แล้วจากนั้นพวกเขาก็นั่งกินข้าว และจิบเบียร์ไปด้วย การินตอนแรกทำหน้าแหย ๆ เมื่อได้ลิ้มรสชาติของเบียร์เป็นครั้งแรก แต่พอเห็นรอยยิ้มกึ่งขำของกวิน เขาก็ต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้วกินต่อไปจนคนมองอมยิ้ม



   “เฮ้อ! เพิ่งเคยชอบผู้ชายครั้งแรก แล้วก็ดันมาอกหักครั้งแรกเพราะผู้ชายเสียได้ สงสัยต้องกลับไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมแทนแล้วมั้ง!”

   คนที่เริ่มกินเบียร์ได้เป็นกระป๋องที่สาม และเตรียมเปิดกระป๋องที่สี่ เริ่มบ่นให้คนตรงหน้าฟัง ด้านการินนั้นมองคนพูดด้วยดวงตาสะลึมสะลือก่อนจะตอบเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย

   “ฮึ! ถ้าอกหักอีกรอบล่ะก็ คราวนี้ไม่ต้องมาพึ่งกันแล้วนะ”

   “โอ๋...เพื่อนเรา เล่นอวยพรกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มปิ๊งใครเลยหรือเนี่ย ฮ่า ๆ”

   กวินหัวเราะอย่างไม่ถือสา แต่การินนั้นค้อนขวับให้อย่างหมั่นไส้ ที่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาเลย ชายหนุ่มหน้าสวยเปิดกระป๋องเบียร์กระป๋องที่สามแล้วกระดกดื่มแทบจะรวดเดียวหมด จนคนมองขมวดคิ้วยุ่ง

   “เฮ้! ริน นายดื่มมากไปแล้วนะ ครั้งแรกไม่ใช่หรือไง”

   กวินรีบห้ามเมื่ออีกฝ่ายหยิบเบียร์กระป๋องที่สี่ขึ้นมาเตรียมเปิดดื่มต่อ

   “เอาคืนมา! ฉันจะดื่มต่อ!” 

    การินโวยวายเมื่อเบียร์ของเขาโดนกวินแย่งไป

   “ไม่ให้ละ นายเมาแล้วแน่ ๆ ขืนพรุ่งนี้เกิดแฮงค์จนไปทำงานไม่ไหวก็แย่กันพอดี”

   “ฮึ! ฉันดื่มเอง เมาเอง เกี่ยวอะไรกับนายเล่า เอาคืนมานะ!”

   การินพยายามคว้าเบียร์กระป๋องในมือของกวินจนเสียหลักล้มไปซบอกของอีกฝ่าย จนกวินต้องวางเบียร์ลงและประคองชายหนุ่มให้นั่ง แต่การินนั้นไม่ยอมขยับซ้ำยังโผกอดกวินแน่น จนคนถูกกอดตกใจ

   “ริน! เฮ้! เป็นอะไรไปหรือเปล่า!”

   “ฮึก...วินบ้า...นายมันคนใจร้าย...ทำไมต้องมาทำดีให้ฉันชอบด้วย...บ้าที่สุด”

   กวินนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง แม้อีกฝ่ายจะพูดเสียงอู้อี้เนื่องจากกำลังซุกอกเขาก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังคงจับใจความได้อยู่ดี

   “ระ...ริน...นายเมาแล้วสินะ เมาแน่ ๆ เลย ถึงพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ....ฮะ ๆ”

   กวินหัวเราะเสียงเจื่อน เขาพยายามคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่แล้วคนที่ซบอกเขาอยู่ก็ยันกายออกห่าง จ้องหน้าเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์เบียร์ พร้อมกับโพล่งใส่เสียงดัง

   “ใช่! ฉันเมา! ไม่เมาจะกล้าพูดได้ยังไง ไอ้บ้า!”

   กวินชะงักกึก จากนั้นการินก็กระชากคอเสื้อของคนที่กำลังนั่งตกตะลึงเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอ่ยเน้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงอันดังชัดเจน

   “ฉันชอบนาย! รักนาย! ได้ยินหรือยัง ไอ้บ้าวิน!”

   กวินนิ่งอึ้งไปสักพัก จนการินปล่อยคอเสื้อเขา และนั่งลงจ้องหน้าเขานิ่ง ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ

   “ฉันชอบนายวิน...ชอบมาก...แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากให้นายสมหวังกับโย...อยากให้นายมีความสุข...จริง ๆ นะ...”

   พอพูดจบการินก็หงายหลังล้มลงไปจนกวินตกใจ แต่พอเข้าไปดูใกล้ ๆ อีกฝ่ายนั้นก็เมาหลับไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้คนที่ได้รับรู้ความในใจของอีกฝ่าย นั่งหน้าแดงอยู่ตามลำพัง

   “โธ่โว้ย...อะไรกันนักกันหนาวะฉัน...เพิ่งอกหักมาแท้ ๆ”

   กวินบ่นอุบเบา ๆ แต่พอเห็นคนที่เมาหลับข้าง ๆ พลิกกายไปมาอย่างอึดอัด เขาก็ถอนหายใจ แล้วหยิบหมอนอิงแถวนั้นมาให้การินหนุน ก่อนจะไปหาผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าอีกฝ่ายนำมาชุบน้ำ และช่วยเช็ดหน้าเช็ดตา รวมไปถึงเนื้อตัวของคนเมา  พลางอมยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวครางเบา ๆ ในลำคออย่างสบายใจ  จากนั้นกวินจึงหวนคิดถึงคำพูดของธีรัชเมื่อตอนกลางวันที่บอกกับเขา

   “...ฉันนี่นะ ความรู้สึกช้าชะมัด...เฮ้อ! พอเจอแบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของโยบ้างแล้วล่ะนะ”

   กวินพึมพำแล้วลูบเส้นผมของคนเมาหลับอย่างอ่อนโยน

    “ขอโทษนะริน...คงทำให้นายเจ็บมากล่ะสิ...”

   ชายหนุ่มบอกพลางมองใบหน้าของคนหลับ แล้วโน้มใบหน้าของตนจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา

   “รอก่อนนะริน ขอเวลาฉันอีกนิด... แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ถ้านายยังไม่เปลี่ยนใจล่ะก็...”

   กวินค้างคำพูดไว้ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วนั่งจิบเบียร์ไปพลาง มองคนที่นอนหลับไปพลาง ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย อย่างที่เจ้าตัวไม่คิดว่าเขาจะยิ้มได้ ทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตมาหมาด ๆ แท้ ๆ

   

   การินปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง ก่อนจะกุมศีรษะพร้อมนิ่วหน้า และคิดทบทวนถึงสาเหตุของการปวดหัวแทบระเบิดที่เป็นอยู่

   “จริงสิ...เมื่อคืนนี้ เราดื่มเบียร์กับหมอนั่น...แล้วก็อะไรอีกนะ...เหมือนจะพูดอะไรกับหมอนั่นหรือเปล่าหว่า...จำไม่ค่อยได้เลยแฮะ...”

   การินพึมพำอย่างปวดหัว ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าตัวเขาตอนนี้กำลังนอนอยู่บนที่นอน แถมเสื้อผ้ายังถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วด้วย

   “ทำไม...หรือว่าหมอนั่นเปลี่ยนให้...”

   การินพึมพำแล้วก็ต้องหน้าแดง เพราะแม้แต่กางเกงชั้นใน อีกฝ่ายก็เปลี่ยนให้เขาเรียบร้อย

   “บ้าชะมัด...จะอายทำไม...หมอนั่นไม่ได้คิดอะไรหรอกน่า!”

   การินบ่นอุบเบา ๆ กับตัวเอง เขาเดินย่องแย่งไปล้างหน้าที่อ่างน้ำในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาดูด้านนอก กองกระป๋องเบียร์และอาหารที่เกะกะเมื่อคืน ถูกเก็บกวาดเรียบร้อย  การินลองไปดูห้องข้าง ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของกวิน เขานิ่วหน้า แล้วตัดสินใจเดินลงไปดูด้านล่าง แต่พอจะเปิดประตูห้องก็ต้องชะงักเมื่อกวินนั้นเปิดเข้ามาพอดี ที่มือของเขาข้างหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกของร้านเซเว่น ซึ่งด้านในเหมือนจะเป็นขวดน้ำอะไรสักอย่าง

   “อ้าว...ตื่นแล้วหรือริน กำลังจะเข้ามาดูพอดี”

   กวินทักพร้อมยิ้มแย้มอย่างร่าเริง ทำให้การินขมวดคิ้ว ก่อนจะถามเสียงค่อย เพราะยังคงปวดหัวอยู่

   “นายไปไหนมาน่ะ ทำไมมาจากข้างนอกล่ะ”

   “ฉันน่ะหรือ...ก็ไปซักผ้าของตัวเองกับของนายไง อ้อ ตากให้เรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ...แล้วก็ระหว่างรอผ้าแห้งก็เลยไปหาซื้อเจ้านี่มาด้วย”

   กวินบอกแล้วจึงเดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำเปล่าใส่แก้ว ก่อนจะหยิบขวดน้ำหวานในถุงออกมาเปิด แล้วชงผสมกับน้ำเย็นแก้วเดิม จากนั้นจึงยื่นส่งมาให้คนตรงหน้าเขาดื่ม

   “ดื่มสักหน่อยสิ เมื่อวานก็พยายามจับกรอกน้ำเปล่าก่อนนอนอยู่หรอก แต่ก็ได้ไม่เท่าไหร่ แถมเล่นเอาเสื้อผ้าเปียกจนฉันต้องเปลี่ยนให้อีก”

    การินรับน้ำหวานแก้วนั้นมาดื่มจนหมด ซึ่งพอได้ดื่มเขาก็รู้สึกว่า อาการปวดหัวเริ่มที่จะค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

   “เดี๋ยวกินน้ำหวาน ไม่ก็น้ำเปล่าอีกสักสองสามแก้ว แล้วอาการนายก็น่าจะดีขึ้นเอง”

   การินพยักหน้ารับคำแล้วขอบคุณอีกฝ่ายเบา ๆ ซึ่งกวินก็ยิ้มรับน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อ

   “ฉันบอกให้คุณนนทำข้าวต้มปลาร้อน ๆ เผื่อนายไว้แล้ว ถ้าหิวก็ลงไปกินได้เลยนะ”

   “ขอบใจนะวิน...ขอโทษที ที่ต้องมาเป็นภาระให้นายแบบนี้ ...ทั้งที่นายก็เตือนแล้วแท้ ๆ ว่าไม่ให้ฉันดื่ม”

   การินบอกอย่างสำนึกผิด ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   “ไม่เป็นไรหรอก...เพราะนายเมาแบบนี้ ฉันถึงได้รู้อะไรดี ๆ อย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนด้วยล่ะนะ”

    การินชะงักกึก เขาขมวดคิ้ว แล้วถามกลับไปค่อย ๆ

   “รู้อะไร...”

   กวินอมยิ้ม แล้วยักไหล่นิด ๆ

   “อยากบอกเหมือนกัน แต่ยังไม่บอกตอนนี้ ...ไว้ให้นายอาการดีขึ้นกว่านี้  และถ้าไม่ลืม แล้วฉันจะบอกนายแน่ สัญญาได้เลย”

   การินมองคนพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขาคิดว่าเขาคงไม่เผลอหลุดความในใจอะไรที่น่าอายออกไป เพราะไม่เช่นนั้นกวินคงไม่ยิ้มกับเขาเหมือนเป็นปกติแบบนี้แน่

   “สัญญาแล้วนะ...ต้องบอกจริง ๆ ล่ะ”

   “อือ สัญญา รับรองจะต้องบอกนายแน่นอน”

   กวินเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มน้ำเพิ่ม และบอกให้การินอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขานั้นก็นั่งรออยู่ในมุมพักผ่อนของห้อง จนกระทั่งอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

   “ค่อยยังชั่วหรือยัง ถ้ายังไม่หายปวดหัว ฉันจะได้ไปยกข้าวต้มขึ้นมาให้กินบนนี้”

   การินมองคนที่ถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วงอย่างซาบซึ้งใจ เจ้าตัวสั่นศีรษะค่อย ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

   “ไม่เป็นไร ฉันลงไปกินเองได้ ...ขอบคุณมากนะวิน”

   กวินมองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะหลุดพึมพำออกมาแผ่วเบา

   “เฮ้อ...ก่อนหน้านี้ฉันเอาตาไปไว้ไหนนะ ถึงมองไม่ออกว่านายน่ะน่ารักขนาดนี้”

   “เอ๋? อะไรหรือ นายว่าอะไรน่ะ”

   การินรีบถาม เพราะเขาได้ยินไม่ค่อยชัด ฟังออกแค่น่ารักหรืออะไรสักอย่างก็เท่านั้น

   “ฉันบอกว่า...”

   กวินเตรียมจะพูดก่อนจะหยุดชะงัก แล้วเลือกเงียบไป พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แทน

   “ฉันบอกว่างั้นเราก็ลงไปกินกันได้แล้วไงล่ะ”

   “ไม่ใช่สักหน่อย! เมื่อครู่นี้เหมือนจะได้ยินอะไรน่ารัก ๆ สักอย่างไม่ใช่หรือไง!”

   การินรีบเถียง แต่พอขึ้นเสียงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก แม้จะไม่มากเท่ากับตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ก็ตาม

   “ง่า...ได้ยินด้วยหรือ ...เฮ้อ ก็ได้ ...ฉันพูดว่า นายน่ารักดีน่ะ พอใจหรือยัง”

   การินหน้าแดงวาบ ไม่คิดว่าจะถูกชมซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ เขาเบือนหน้าหนี  ใจเต้นแรง พูดอะไรไม่ออกเสียดื้อ ๆ

   “ถูกชมว่าน่ารัก...ไม่เห็นจะดีใจเลย”

   การินพึมพำเบา ๆ หลังจากตั้งสติได้แล้ว ทว่าแม้จะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ต้องพยายามกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่จนกวินนึกขำแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เขาชวนคนตรงหน้าเดินออกนอกห้องไปด้วยกัน แล้วคอยเดินประกบใกล้ ๆ เผื่อการินจะเซวูบล้มไปเพราะเดินไม่มั่นคงเสียก่อน



   “ไง! ริน ได้ข่าวว่าเมาค้างหรือเรา”

   รุจที่นั่งอยู่ด้านล่างพร้อมกับทุกคนเอ่ยทักทาย  การินยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ ก่อนจะนึกแปลกใจที่วาโยพอเห็นเขาก็เบือนหน้าหนี แถมยังหน้าแดงนิด ๆ อีกด้วย

    “ดื่มหนักเลยสินะ ถึงได้เมาอาละวาดขนาดนั้น หึ ๆ”

   รุจเอ่ยกระเซ้า แต่ก็ต้องอมยิ้มเมื่อกวินส่งสายตาปรามไม่ให้เขาพูดออกไป ทางด้านการินนั้นมองปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมโต๊ะ แล้วก็ต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเอ่ยถามรุจไปอย่างสงสัย

   “เมื่อคืนผมอาละวาดหรือครับ ...แล้วผม...เอ่อ...ทำอะไรเสียมารยาทกับใครไปบ้างหรือเปล่าครับ”

   การินถามรุจแล้วเหลือบสายตามามองภูริที่ก็ชะงักทันทีที่สบตากัน เจ้าตัวทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ส่วนวาโยนั้นก็รีบหลบสายตาตั้งแต่ที่การินยังไม่ทันหันมาด้วยซ้ำ

   “พวกเราก็ไม่ได้มีอะไรเดือดร้อนหรอก...แค่ตกใจที่ได้ยินเสียงนายตะโกนโวยวายกลางดึกก็แค่นั้น”

   รุจบอกยิ้ม ๆ ซึ่งวาโยก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยตามมา แม้ใบหน้านั้นจะยังคงมีสีหน้าลำบากใจปนขัดเขินประหลาดให้สังเกตเห็นได้ก็ตาม

   “เอ่อ...ยังไงก็ขอโทษที่รบกวนตอนนอนแล้วกันนะครับ”

   การินพึมพำแม้จะยังคงสงสัยอยู่มากก็ตาม เพราะดูจากปฏิกิริยาของแต่ละคนแล้ว เขาคงต้องหลุดเผลอพูดอะไรบางอย่างออกไป จนทำให้ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เขารับรู้อย่างที่เป็นอยู่นี่แน่

   “ไม่เป็นไร ...รบกวนแบบนี้ ฉันชอบนะ ฟังแล้วก็สนุกดี”

   รุจบอกขำ ๆ แต่กวินนั้นสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เพราะชายหนุ่มพูดแบบนั้นก็ยิ่งเท่ากับยั่วยุให้การินสงสัยไปใหญ่ และไม่เขาก็วาโย คงต้องถูกอีกฝ่ายไล่จี้เอาความจริงเป็นแน่

   “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเองนะริน ...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้  เข้าใจนะ”

   กวินเอ่ยขัดก่อนที่การินจะส่งสายตาตั้งคำถามมาคาดคั้นเขา ทำให้เจ้าตัวชะงัก แล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ ตามมาอย่างรับรู้

   “โอ้ ข้าวต้มมาแล้ว ...งั้นกินให้เรียบร้อยก่อนนะริน ถ้าวันนี้ไม่ไหวจริง ๆ ก็หยุดพักซะ เดี๋ยวฉันจะทำแทนส่วนของนายให้เอง ไม่ต้องห่วง”

   กวินบอกกับอีกฝ่ายเมื่อชานนนำข้าวต้มปลาของการินมาเสิร์ฟให้ก่อน ซึ่งเชฟหนุ่มก็บอกว่าอาหารเช้าของคนอื่นนั้นก็เตรียมเสร็จเรียบร้อย เหลือแต่ตักใส่จาน เมื่อได้ยินดังนั้นวาโยก็รีบอาสาช่วยทันที โดยที่ภูริเองก็ลุกขึ้นเงียบ ๆ และเดินตามชายหนุ่มไปช่วยตักอาหารเช้าด้วยอีกคน โดยที่คนอื่นก็มองตามไปยิ้ม ๆ แม้กระทั่งกวินที่เพิ่งถูกสลัดรักมาหมาด ๆ ก็ยังนึกขำใบหน้าแดงระเรื่อของรูมเมทยามที่เห็นภูริตามมาช่วยด้วยซ้ำ

   “นายโอเคแล้วหรือวิน...”

   การินที่สังเกตเห็นใบหน้านั้นของคนข้างกายกระซิบถาม กวินชะงักแล้วหันมามองคนที่จ้องเขาอย่างเป็นห่วง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนส่งให้

   “อือ...ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจนายมากนะ ริน”

   การินยิ้มน้อย ๆ อย่างโล่งอก แต่ชายหนุ่มหน้าสวยไม่รู้หรอกว่า คำขอบคุณที่กวินมีให้ มีความหมายมากกว่านั้น...ไม่ใช่เพียงคำขอบคุณที่เจ้าตัวเป็นห่วงกันเสมอ แต่เป็นคำขอบคุณที่แทนจากหัวใจ เมื่อได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจให้กันมาตลอด และนั่นจึงทำให้เขาสามารถผ่านความเจ็บช้ำจากรักแรกที่ไม่สมหวังไปได้อย่างง่ายดาย

   ‘ขอบใจนะริน...ขอบใจจริง ๆ ที่รักกัน’

   กวินคิดในใจแล้วยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง เขาตัดสินใจแล้วว่าจะบอกให้การินทราบเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ได้  แม้มันอาจจะดูเร็วไปสักหน่อย  แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยโอกาสดี ๆ ให้ผ่านไปนานกว่านี้  เพื่อเป็นการขอบคุณที่การินมารักคนอย่างเขา และขอโทษที่เขาไม่เคยรู้ถึงความรักของอีกฝ่ายมาก่อน ... คราวนี้ล่ะ เขาจะขอแก้ตัวในเรื่องที่ผ่านมา และไม่ทำให้คนดี ๆ อย่างการินต้องเสียใจเพราะเขาอีกต่อไปแล้ว

 

   
... TBC …

 :pig4: คนอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-09-2012 13:00:52
รินเอ๋ย  เมาทีนึง เล่นเอาชาวบ้านเขารู้ความลับกันถ้วนหน้า   :laugh:

ส่วนหนูโย  มีเขินแทนเค้าซะงั้นด้วยอ่ะ  :m20:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-09-2012 13:27:11
อยากตอนหวาน ๆ ระหว่างโยกับภูริจัง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 01-09-2012 14:36:56
คิกๆ ตอนนี้ต้อง  :pig4: คนแต่งด้วยคะ อ่านแล้วจะละลาย

เฮ หนูรินสำเร็จแบบรู้ทั่วถึงทุกห้องเลยทีเดียว(อะไรนะ//การินหันขวับ)

รอ ความหวานของพี่ภูรินะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-09-2012 15:57:34
นี่ถ้าคุณหนูรินรู้นะ ว่าตะโกนอะไรออกไปล่ะก็ 5555555 กวินต้องร่วมรับผิดชอบด้วยนะ

ไหนๆ หนูอลิซก็คู่กับภูริไปแล้ว เชียร์วินให้ลงเอยกับรินก็ดีเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 01-09-2012 16:11:36
รินเอ๊ย เขารู้กันไปทั่วแล้ว
วินก็รีบบอกรินเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 01-09-2012 16:54:39
รินเมาแล้วโวยวายได้ยินกันทั้งชั้นเลยหรอเนี่ย?

ว่าแต่โย น่ารักตลอด...มีเขินแทนด้วย ฮาาา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 01-09-2012 17:25:29
อ๊ากกก รินเมาได้น่ารักมากมาย

แต่ความลับแตกหมดเลยอะ ริน

หุหุ ถ้ารินรู้คงหน้าแดงไปทั้งวันแน่ๆเลย

หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 01-09-2012 18:41:35
รินเมาทั้งทีรู้กันทุกคนเลยอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 01-09-2012 19:14:58
กวินกับการินถึงจะรู้ตัวทีหลังแต่ท่าทางจะหวานแซงหน้าอีกคู่แน่ๆ
เพราะวาโยกับภูริเหมือนจะยังไม่กล้าหวานแหววออกนอกหน้า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 02-09-2012 17:46:28
วินรับรู้สักที และคนอื่นก็รู้ด้วย ฮ่าๆๆๆ

อยากอ่านหวานๆของคู่หนูโยบ้างจัง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 02-09-2012 20:17:47
กวินเอ้ย
กว่าจะได้บอก
คงรักนู๋การินไปแล้ว
อิอิอิ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 02-09-2012 20:39:22
ตอนหน้าหนูโยคงปรับความเข้าใจกับภูริสินะ ส่วนการินก็คงปลอบใจกวินแบบหวานๆ
ไหนๆแล้วคนเขียนก็จัดฉากหวานๆ น่ารักๆแบบจัดเต็มเลยนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-09-2012 00:13:15
ตอนนี้ทุกคู่ก็มีความสุขดี อยากได้หวานกว่านี้ครับ ทุกคู่เลย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 34 : อัพเดท 1/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 03-09-2012 08:10:53
ตอนหน้าหนูโยคงปรับความเข้าใจกับภูริสินะ ส่วนการินก็คงปลอบใจกวินแบบหวานๆ
ไหนๆแล้วคนเขียนก็จัดฉากหวานๆ น่ารักๆแบบจัดเต็มเลยนะคะ :impress2:

ขอลุ้นให้เป็นแบบนี้ด้วยอีกคน
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-09-2012 11:36:37
** ตอนนี้หวานแบบจัดเต็ม!! แต่เป็นคู่ใครอันนี้ต้องอ่านเอาเองนะคะ ^^ ....

ป.ล.  ใครที่แพ้น้ำตาลกรุณาหลีกเลี่ยงตอนนี้ค่ะ  :o8:




Miracle Café / 35




     การินนั้นยังคงรั้นที่จะมาทำงานตามปกติ แม้เพื่อน ๆ จะบอกให้เขาพักผ่อนอยู่บ้านพักก็ตาม

    “นายนี่มันดื้อกว่าที่คิดไว้อีกนะริน”

    กวินเปรยกับคนที่เดินมาด้วยกัน หลังจากที่เขาลองพูดให้เจ้าตัวหยุดพักผ่อนแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

    “ก็แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง...ไม่ได้ป่วยสักหน่อย ฉันยังทำงานได้น่า”

    การินแย้งกลับค่อย ๆ ทำให้กวินยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้น

    “แล้วถ้าฉันหยุดเป็นเพื่อนล่ะ จะหยุดด้วยกันไหม”

    คนฟังชะงัก หน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะทำเป็นบ่นใส่

    “หาเรื่องให้โดนอาหักเงินเดือนหรือไง หยุดเพราะเมาค้าง มันไม่เหมือนหยุดเพราะป่วยหรอกนะ”

    “โอเค ๆ นึกว่าจะดีใจที่จะได้หยุดด้วยกันเสียอีก”

    กวินเปรยเบา ๆ แต่กลับทำให้คนฟังสะดุ้ง หน้าแดงระเรื่อ แล้วแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ให้อีกคนที่ได้เห็นต้องอมยิ้ม

    “คู่นั้นเขาสวีทกันน่าอิจฉาจังเนอะ ขนาดอีกฝ่ายยังไม่ได้สารภาพแท้ ๆ เลยนะ ...พวกนายว่าไหม”

    รุจที่เดินตามทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ หันมาถามภูริและวาโยที่เดินมาด้วยกันกับเขา

    “ก็ช่างเขาสิ ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันสักหน่อย”

    ภูริทำเป็นตัดบทอย่างรำคาญ แต่วาโยนั้นหน้าแดงวาบ แล้วก้มหน้าหลบตาคนพูดด้วยความเขิน

    “หึ ๆ ยังไร้ความโรแมนติกเหมือนเคย ...ไง โย เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ...ถึงวินจะโอเคกับรินแล้ว แต่ฉันยังว่างอยู่นะ”

    รุจชะโงกหน้ามาถามคนตัวเล็กใกล้ ๆ จนภูริที่มองอยู่สะดุ้งโหยง แล้วดึงร่างของวาโยไปกอดอย่างลืมตัว

    “รุจ! ไม่ต้องเลยนะ  ถึงจะล้อเล่นก็ห้ามยุ่ง!”

    วาโยหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก ส่วนรุจนั้นหัวเราะในลำคออย่างขบขันกับท่าทางที่รูมเมทแสดงให้เห็น

    “โอเค ๆ ไม่ยุ่งก็ได้ ...หึ ทำเป็นเฉย ๆ แต่จริง ๆ ก็ขี้หึงใช่เล่นนี่นะนายน่ะ”

    ภูริชะงัก หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบปล่อยมือที่กอดอีกฝ่ายออก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

    “ไปทำงานกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณปวีร์มาแล้วไม่เจอใคร ก็จะโดนบ่นกันเสียเปล่า ๆ”

    วาโยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ภูริปล่อยเขาออกจากอ้อมกอด แม้จะไม่รังเกียจอะไร แต่การที่ถูกกอดต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกอายจนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาได้เหมือนกัน

    “คุณปวีร์น่ะหรือ...ฉันว่าอย่างดีก็วันนี้ มะรืนนี้ ถึงจะมานั่นล่ะ ‘อาการป่วย’ ของเขาน่ะ ต้องใช้เวลารักษาสักพักเหมือนกันล่ะนะ”

    “คุณรุจรู้ด้วยหรือครับว่าคุณปวีร์ไม่สบายเป็นอะไร”

    วาโยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา จนรุจนึกอยากแกล้งบอกความจริงออกไป แต่ก็เกรงใจทั้งราเมศและปวีร์ ที่แม้จะไม่ได้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับจริงจังกับพวกเขา  แต่เรื่องส่วนตัวแบบนี้ รุจคิดว่ารอให้แต่ละคนรู้สึกตัวเอง หรือปวีร์เป็นฝ่ายบอกเองคงจะดีกว่า

    “ก็...ไม่แน่ใจนักหรอก แต่คิดว่าอย่างนั้นน่ะ... อืม...ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะ สองคนนั้นเดินไม่รอจนถึงร้านแล้วมั้งป่านนี้”

    ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยตัดบทเพราะกวินและการินนั้นเดินนำพวกเขาไปลิบ ๆ จนแทบไม่เห็นตัวแล้ว

    “อ๊ะ! สองคนนั่นเดินไวชะมัด”

    วาโยอุทานแล้วเร่งฝีเท้าเดินตามเพื่อนของเขาไป โดยที่ภูรินั้นทอดถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเดินตามวาโยไปไม่ห่าง ส่วนรุจนั้นเดินตามคนอื่นไปอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบอะไรนัก

   

    วันนี้พวกวาโยก็ได้ทราบข่าวจากราเมศว่าปวีร์นั้นยังคงหยุดพักฟื้นต่ออีก แต่มะรืนนี้เจ้าตัวจะมาทำงานตามเดิม ทำให้วาโยรู้สึกโล่งอกที่อาการป่วยของอีกฝ่ายไม่ได้หนักหนาอย่างที่ตนกังวล

    “ฝากบอกคุณปวีร์ด้วยนะครับ ว่าขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”

    วาโยบอกกับราเมศทำให้คนฟังยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ

    “ไม่ต้องคิดมากหรอก งานพวกเธอก็เยอะแยะมากมายแทบหาเวลาว่างไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดเมื่อวานที่พวกแก้วกับตาไปเยี่ยม  ฉันยังต้องปลุกเขามาคุยเลย”

    วาโยยิ้มเจื่อน ๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ตามพวกขวัญแก้วไปเยี่ยมชายหนุ่มเมื่อวาน ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกแย่ที่ไปรบกวนเวลาพักผ่อนของปวีร์เข้าให้แน่

    จากนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันไปเตรียมจัดร้าน วันนี้บรรยากาศของพนักงานแต่ละคนดูดีขึ้นจนราเมศสังเกตได้ เขาอมยิ้มน้อย ๆ ดีใจที่เรื่องราวทั้งหลายผ่านพ้นไปด้วยดี อีกอย่างเขาก็ชอบที่ทุกคนในร้านมีรอยยิ้มให้แก่กันแบบนี้มากกว่า



    และเมื่อถึงเวลาทำงานพาร์ทไทม์ของธีรัช เจ้าตัวก็เฝ้าสังเกตเพื่อนร่วมงานแต่ละคนสักพัก แล้วจึงขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปถามกวินที่กำลังยืนดูแลลูกค้าที่นั่งส่วนด้านนอกร้าน

    “นี่...ไปสังเกตมาแล้วหรือไง...รู้อะไรดี ๆ แล้วใช่ไหมล่ะ”

    กวินเหลือบมองธีรัช เขาอมยิ้มนิด ๆ พลางยักไหล่

    “พูดอะไรหรือครับ ผมไม่เห็นเข้าใจสักนิด”

    คนรอฟังคำตอบชะงัก แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งอย่างพิจารณา ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “งั้นหรือ...ดีแล้ว งั้นฉันจะได้ลงสนาม สานต่อสักที”

    กวินสะดุ้งแล้วจ้องคนพูดเขม็ง ก่อนจะเปรยขึ้นเสียงค่อนข้างห้วน

    “ไม่ได้นะครับ...ยังไงก็ไม่ยกให้แน่นอนสำหรับคนนี้”

    ธีรัชซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า แล้วจึงทำหน้าเหรอหรากลับไป

    “คนนี้...คนไหนล่ะ จะใช่คนเดียวกับที่ฉันเล็งหรือเปล่าหนอ”

    กวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนแหย่เข้าให้แล้ว

    “ขอโทษครับที่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแต่แรก ...ผมรู้เรื่องที่...เอ่อ...รินเขาแอบชอบผมแล้วล่ะครับ”

    ธีรัชหัวเราะในลำคอ แล้วตบบ่าอีกฝ่ายค่อย ๆ อย่างไม่ถือสา

    “ฉันก็รู้ว่านายน่าจะรู้  โทษทีแล้วกันที่แกล้งแหย่ ก็แค่อยากเช็คดู เป็นแบบนี้ก็น่าดีใจแทนคุณหนูนั่นด้วยล่ะนะ”

    “ขอโทษนะครับ...เอ่อ เรื่องริน”

    เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงชอบการินจริง กวินจึงรู้สึกไม่ค่อยดีที่ทำเหมือนแย่งการินมาจากธีรัชแบบนี้

    “หือ...อ้อ...เรื่องคุณหนูน่ะหรือ หึ ๆ ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก อีกอย่างปกติฉันไม่ค่อยชอบยุ่งกับคนหัวใจไม่ว่าง ยกเว้นเจ้าของหัวใจเขาจะไม่แล อันนั้นฉันถึงจะค่อยเข้าไปปลอบอีกฝ่ายตามหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีล่ะนะ”

    ธีรัชบอกยิ้ม ๆ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างโล่งอก เขาจึงกระซิบถามตามมา

    “แล้วเป็นไง ...สังเกตได้เอง หรือเขาสารภาพล่ะ ...แต่ถ้าให้เดาล่ะนะขี้อายแบบนั้นคงไม่กล้าพูดเองแน่”

    กวินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ ก่อนจะตอบกลับไป

    “เสียใจที่ต้องบอกว่าเดาผิดนะครับ รายนั้นบอกกับผมเองนะครับ บอกซะเสียงดัง เล่นเอาห้องข้าง ๆ ได้ยินกันไปหมดทีเดียว...”

    ธีรัชเบิกตากว้าง แล้วรีบถามกลับทันที

    “ฮ้า! เป็นไปได้หรือนั่น!”

    “หึ ๆ เป็นไปได้สิครับ ก็เล่นเมาแอ๋เสียขนาดนั้น”

    กวินเฉลย ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะตามมา

    “ให้ตายเถอะ! ไอ้เราก็นึกว่ากล้าพูดจริง ๆ ...แล้วไง นี่ตื่นมาคงจำไม่ได้เลยล่ะสิท่า”

    “ก็งั้นล่ะครับ...แต่ก็หวิดจะรู้หลายครั้งเพราะถูกคุณรุจแซว กับโดนพวกโยหลบตานี่ล่ะครับ... แต่เอาเถอะครับ เพราะยังไงผมก็ตั้งใจจะเคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลยสักทีเหมือนกัน”

    กวินบอกตามตรงพร้อมยิ้มน้อย ๆ ซึ่งธีรัชก็ยิ้มตอบและอวยพรให้อีกฝ่ายโชคดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นการินที่อยู่ด้านในมองพวกเขาอย่างสนใจ

    “อ๊ะ! คุณหนูมองมาแล้ว น่ากลัวต้องสงสัยว่าเราคุยอะไรกันอยู่แน่ ...แล้วอย่าหลุดปากล่ะ ว่าบอกเรื่องนี้กับฉันด้วย ไม่งั้นนายโดนงอนแน่นอน อันนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะว่าต้องเดาถูกน่ะ”

    กวินยิ้มเจื่อน ๆ เขาเองก็คิดว่าถ้าการินรู้เรื่องที่เขาเล่าให้ธีรัชฟัง อีกฝ่ายก็ต้องทั้งงอนทั้งโมโหเขาแน่

    “งั้นผมเลี่ยงไม่บอกเรื่องคุณไว้แล้วกัน ...ว่าแต่ถ้าเขาซักล่ะครับ”

    “ก็บอกว่าพวกเราคุยเรื่องความน่ารักของเขากันอยู่แทนสิ รับรองไม่กล้าซักต่อแน่ ...แล้วมันก็ยังเป็นเรื่องจริงด้วยไม่ใช่หรือ”

    กวินอมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นธีรัชจึงขอตัวเข้าไปดูแลด้านในต่อ และการินก็เดินออกมาช่วยกวินทางด้านนอกแทน

    “คุยอะไรกันน่ะ...เห็นหมอนั่นหัวเราะด้วย”

    “อ๋อ…คุณธีรัชเขารู้ว่าฉันอกหัก เขาเลยเสนอตัวมาดามหัวใจให้ฉันแทนน่ะ”

    กวินแกล้งบอก ทำให้การินเบิกตาค้าง แล้วมองหน้ากวินอย่างตกใจ

    “แล้วนายบอกว่าไง ตกลงกับเขาหรือเปล่า!”

    กวินมองอีกฝ่ายแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะตบบ่าชายหนุ่มหน้าสวยเบา ๆ

    “ขอโทษ ฉันล้อเล่นน่ะ เชื่อด้วยหรือ”

    “อ๊ะ...เจ้าบ้า นี่นายแกล้งหลอกฉันหรือไง!”

    การินบอกอย่างงอน ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายกระซิบบอกเขา

    “ขอโทษ...จริง ๆ แล้วเราคุยกันเรื่องนายต่างหากน่ะ”

    การินนิ่งอึ้งแล้วหันมามองคนพูดอย่างสงสัย

    “เรื่องฉัน...เรื่องอะไร....หรือว่า...”

    คนพูดหน้าซีดเผือด เพราะคิดว่าธีรัชจะเอาความลับเรื่องที่เขาแอบชอบกวินไปบอกเจ้าตัว

    “คุณธีรัชเขาบอกฉันว่า นายน่ะน่ารัก น่าจีบ แต่น่าเสียดาย ที่นายหัวใจไม่ว่างเสียแล้ว เขาก็เลยต้องถอนตัว... ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยริน ว่านายมีคนที่ชอบแล้ว ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยนะ”

    กวินพูดออกไปแล้วรอคอยดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย การินหน้าร้อนวูบวาบจนต้องเบือนหน้าหลบ พลางอุบอิบตอบชายหนุ่มเบา ๆ

    “กะ...ก็... ฉันไม่กล้าพูดนี่”

    “ขนาดฉันยังกล้าบอกเลยนะ  นายก็บอกมาเถอะ รับรองฉันไม่ล้อนายแน่”

    การินฟังแล้วก็หน้าแดงหนักยิ่งขึ้น และก่อนที่กวินจะซักไซ้เขาต่อ ลูกค้าโต๊ะหนึ่งก็เรียกชายหนุ่มไปคิดเงิน กวินขานรับลูกค้าเสียงดังอย่างร่าเริง แล้วจึงหันกลับมากระซิบบอกคนข้างกาย

    “งั้นไว้ฉันจะรอคำตอบจากนายตอนพักนะริน... และฉันก็มีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้นายฟังตามสัญญาที่ให้ไว้ของเราด้วยล่ะ”

    การินมองตามอีกฝ่ายไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะพยายามปรับตัวปรับใจให้เป็นปกติ เพื่อทำหน้าที่ของตนต่อไป

   

    ช่วงพักกลางวันรอบแรก เป็นเวรพักของกวินและการิน ตามปกติชายหนุ่มหน้าสวยก็มักจะเข้าไปพักตามกำหนดเวลาของตน มีวันนี้นี่ล่ะที่เจ้าตัวเถลไถลถ่วงเวลา จนกวินต้องออกมาดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามเข้าไปพักด้วยกันในที่สุด

    “ปล่อยนะวิน ...ฉันยังมีงานต้องทำอีกนะ”

    “งานนายก็ให้พวกโยทำต่อสิ ...นี่มันเวลาพักพวกเราไม่ใช่หรือไง ...อ้อ คุณนนครับ ขอยกข้าวขึ้นไปกินข้างบนได้ไหมครับ”

    กวินดุอีกฝ่าย แล้วหันไปถามเชฟหนุ่มที่กำลังจัดแต่งจานอาหารให้ลูกค้าอยู่

    “ตามสบายเลยครับคุณวิน”

    ชานนตอบพร้อมรอยยิ้ม และหันไปสนใจอาหารข้างหน้าต่อ ส่วนขวัญตาเหลือบมองสองหนุ่ม แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับพี่สาวของเธอที่ก็นั่งกินอาหารกลางวันอยู่ในห้องด้วยเช่นกัน

    “เอ้า! ยกจานตามไปสิ เร็วเข้า”

    กวินหันไปสั่งคนตัวเล็กกว่า การินนั้นบ่นอุบ แต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี พวกเขามานั่งกินข้าวที่ห้องพักบนชั้นสอง โดยระหว่างกินการินก็ลอบมองคนที่นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเป็นระยะ

    “ริน...ต้องช่วยป้อนด้วยไหม... กินช้าเชียว”

    กวินเอ่ยแซว  เขารู้อยู่หรอกว่าถูกแอบมอง แต่ก็อดที่จะแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายเขินไม่ได้

    “มะ...ไม่ต้อง! ฉันกินเองได้!”

    การินรีบบอกและรีบตักข้าวในจานกินไปจนเกือบติดคอ ร้อนถึงคนที่ดูอยู่ต้องเดินไปรินน้ำมาให้อีกฝ่ายดื่ม

    “เอ้า ดื่มซะ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นหรอก ฉันไม่แย่งนายหรอกน่า”

    การินหน้าแดงวาบ เขาดื่มน้ำที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและกินข้าวที่เหลือต่อจนหมด ก่อนจะนั่งมองไปทางอื่นอย่างอึดอัด เพราะกวินเล่นจ้องเขาแทบไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ

    “นายจะมองอะไรน่ะวิน ไม่เคยเห็นคนหรือไง!”

    การินที่ทนไม่ไหวโพล่งใส่ด้วยความเขินปนอึดอัด ทางด้านกวินเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะย้อนกลับไป

    “ฉันก็แค่รอให้นายบอกเรื่องคนที่นายแอบชอบน่ะ ตกลงจะบอกฉันได้หรือยัง”

    การินชะงักกึก หน้าแดงก่ำ ก้มหน้ามองพื้น พูดอะไรไม่ออก จนกวินต้องอมยิ้ม แล้วแสร้งทำเป็นถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา

    “บอกกันไม่ได้จริง ๆ หรือริน ...หรือว่าฉันไม่มีค่าพอ จะเป็นที่ปรึกษาของนายกัน”

    การินสะดุ้งเฮือก รีบเงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะโพล่งบอกด้วยความตกใจ

    “ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่...ฉันก็แค่...”

    คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก แถมยังทำตาเหมือนจะร้องไห้จนกวินนึกสงสาร เจ้าตัวจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขัดขึ้น

    “โอเค ๆ ยังไม่บอกก็ไม่เป็นไร ...งั้นมาฟังเรื่องของฉันแทนดีกว่า จำได้ไหมเรื่องที่ฉันสัญญาว่าจะบอกนายน่ะ...”

    การินชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อ

    “อืม...จะเริ่มยังไงดีนะ...คือเมื่อคืนนายดื่มหนักจนฉันต้องห้าม แล้วนายก็ไม่ยอม จะแย่งเบียร์คืนไปให้ได้ ...พอจะจำได้บ้างไหม”

    การินนิ่วหน้าพลางสั่นศีรษะค่อย ๆ เพราะเขาจำเรื่องที่กวินเล่าไม่ได้เลยสักนิด

    “...จำไม่ได้สินะ...ก็เอาเป็นว่านายจะแย่งคืน แต่ฉันไม่ให้ นายก็เลยล้มมาทับตัวฉัน แล้วก็...เอ่อ บอกว่านายน่ะแอบชอบฉัน...พอฉันย้อนถามเพราะไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า นายก็ตะโกนเสียจนได้ยินกันแทบทั้งบ้านพักเลยมั้งว่า นายชอบฉันน่ะ จำได้บ้างไหม?”

    เท่านั้นเอง การินก็หน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มตกอยู่ในสภาพช็อกสุดขีดด้วยความอับอาย จนกระทั่งกวินขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะถามพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

    “แล้วตกลงบอกฉันได้หรือยังล่ะว่า คนที่นายแอบชอบเป็นใคร...หือ?”

    เท่านั้นเอง การินก็เกิดอาการสติแตก เขาตะโกนโวยวายต่อว่าคนตรงหน้าลั่น พร้อมกับทำท่าจะวิ่งหนีไปจากห้อง แต่ก็ถูกกวินรวบตัวไว้ได้ก่อน

    “ชู่ว! ใจเย็น ๆ ริน ...ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องอายก็ได้...ฉันรู้แล้วยังไม่เห็นจะอายตรงไหนเลย”

    “ไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่ได้ชอบนายสักหน่อย! ฉันก็แค่เมาแล้วเผลอพูดเพ้อเจ้อเท่านั้น!”

    คนโดนกอดโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ  อายจนไม่รู้จะทำยังไง และอยากจะมุดดินหนีไปเสียถ้าทำได้ด้วยซ้ำ

    “จริงหรือ...ไม่ชอบจริงหรือ...อย่างนี้ฉันก็ต้องอกหักอีกรอบสินะ..”

    กวินกระซิบถามข้างหู ทำให้คนกำลังดิ้นชะงักกึก แล้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    “วิน...นาย....ไม่จริง...โกหกใช่ไหม....”

    การินถามด้วยน้ำเสียงแผ่วแทบไม่พ้นลำคอ ด้วยใบหน้าตกตะลึง ทางด้านกวินนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่ทำให้คนฟังต้องหลุดน้ำตาไหลออกมาอย่างลืมตัว

    “ฉันดีใจนะริน ขอบใจที่รักฉัน ...แล้วก็ขอโทษที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

    “ฉัน...ฉัน...”

    การินพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่มีคำพูดอยากจะบอกคนตรงหน้ามากมาย แต่เหมือนคำพูดทุกคำกลับมาติดอยู่ที่ลำคอเขาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น

    “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะริน... ฉันเข้าใจดีทุกอย่างแล้ว ...แล้วก็ เอ่อ...อาจจะดูเหมือนคนใจง่ายไปนิด...คือว่า ถ้านายไม่รังเกียจล่ะก็... เราสองคน...จะคบกันแบบนั้นได้ไหม...เอ่อ แต่ถ้ามันเร็วไป แล้วนายยังเตรียมใจไม่ทัน หรือไม่สะดวกใจยังไง ก็บอกได้นะ ฉันรอได้อยู่แล้ว”

    กวินเอ่ยตามมา ด้วยใบหน้าขัดเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังคงจ้องอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ การินปาดน้ำตาตัวเอง แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น พร้อมกับบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอู้อี้

    “จะรังเกียจได้ยังไงเล่า เจ้าบ้า!”

    กวินชะงักกึก ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความดีใจตามมา

    “หมายความว่า นายโอเคสินะ!”

    การินหน้าแดงก่ำ พลางก้มหน้าซุกกับอกของอีกฝ่ายงุด ๆ ไม่ยอมบอก ทำให้กวินต้องดันร่างบางออกมา แล้วย้ำถามอีกครั้ง

     “ริน...ตกลงโอเคใช่ไหม ยอมคบกันแบบแฟนแล้วสินะ...”

    การินหน้าแดงหนักขึ้นอีก ชายหนุ่มทุบอกกวินดังปึก จนเจ้าของร่างสูดปากด้วยความเจ็บ เพราะอีกฝ่ายเล่นตีด้วยความเขินเสียเต็มแรง

    “แค่นั้นแปลเองไม่ออกหรือไง!”

    “ก็อยากได้ยินชัด ๆ อีกรอบนี่นา ...”

     กวินอ้อน แล้วทำตาละห้อย จนคนมองนึกขำ ก่อนจะยอมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว อย่างเขินอายเต็มที่

    “ฉันรักนาย...แล้วก็ยินดีที่จะเป็นแฟนกับนายด้วย”

    คนฟังยิ้มกว้าง พลางยกตัวคนตรงหน้าหมุนไปมารอบห้องอย่างยินดี จนการินต้องทุบบ่าอีกฝ่ายให้ปล่อยเขาลงอย่างตกใจ

     “อุ๊บ! มือหนักจังนะเรา ตัวก็นิดเดียวแท้ ๆ”

    กวินบ่นอุบที่ถูกอีกฝ่ายทุบเอาเข้าแรง ๆ แบบนั้น

    “ไม่ต้องมาบ่นเลย! จู่ ๆ ก็จับหมุนแบบนั้น ฉันก็ตาลายพอดีน่ะสิ!”

    การินแย้งอย่างกึ่งฉุนกึ่งขำนิด ๆ กวินแสร้งทำหน้าเศร้า แต่พอการินเผลอ ชายหนุ่มก็ขโมยหอมแก้มเข้าให้หนึ่งฟอด

    “วิน!” ชายหนุ่มหน้าสวยอุทานด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างตกใจ ทางด้านกวินหัวเราะเบา ๆ แล้วเหลือบนาฬิกา ก่อนรีบยกมือห้ามเมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะเข้ามาเล่นงานเขาด้วยความเขิน

    “อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งมาเล่นตบจูบกันตอนนี้ นี่ใกล้เวลาทำงานแล้ว มันคงไม่ดีใช่ไหม ที่คนอื่นจะขึ้นมาแล้วเห็นตอนเราจู๋จี๋กันน่ะ หือ?”   

    กวินแกล้งแหย่ ก่อนจะรีบยกจานของเขาและของการินลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมองหาหมอนหรือของใกล้มือเพื่อเขวี้ยงใส่เขาแก้เขินยกใหญ่อย่างจริงจังเลยทีเดียว 





... TBC ...


เป็นไงคะ สำหรับคู่นี้ มาไวเคลมไวทันใจดีไหมเนี่ย  :o8: (อาจจะไวเกินไปด้วยซ้ำ)   ส่วนแม่ยกคู่อื่น ๆ ไม่ต้องกลัวน้อยหน้าค่ะ ช่วงนี้หนุ่ม ๆ ขนน้ำตาลมากันเพียบ จะพยายามเขียนไม่ให้ใครน้อยหน้าใครเลยแล้วกันนะคะ ^^"


หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 03-09-2012 11:45:53
 :z13:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 03-09-2012 12:23:38
ริน วิน ฟินเลยอะ ชอบบบ

น่ารักเชียว เรื่องความรู้สึกไม่มีช้าหรือเร็วหรอก

วะฮาฮ่าาา

ฮาคุณภูริ ขี้หึงมากมายอะ ฮิ้วววว
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 03-09-2012 12:37:59
ปวีร์โดนราเมศจัดไปชุดใหญ่เลยสินะ ถึงกับต้องพักฟื้นซะตั้งหลายวัน
กลับมาทำงานคงปลื้มมมมมยกใหญ่ที่พนักงานของตัวเองรักใคร่??? กลมเกลียวกันเกินกว่าที่คิด
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 03-09-2012 14:09:59
เขินคะ เขินจนจะดิ้นตาย >/////////<

แม่ยกคู่หนูโยพี่ภูริ คุณไกรกับคุณรุจยังรออยู่คะ อรั๊ง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-09-2012 14:27:21
ชอบๆ ไย่มีเร็วหรือช้า ขึ้นอยุกับใจอะเนอะ จากคนที่ไม่ชอบหน้า แต่กลาพมาเป็นรักกันอะเนอะดีใจด้วยๆทั้งวินกะรินอะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-09-2012 14:27:56
ชอบๆ ไย่มีเร็วหรือช้า ขึ้นอยุกับใจอะเนอะ จากคนที่ไม่ชอบหน้า แต่กลาพมาเป็นรักกันอะเนอะดีใจด้วยๆทั้งวินกะรินอะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-09-2012 14:47:57
โอ๋ยโย๋  บอกรักกันไปแล้ว  ตกลงกันไปแล้ว มาแรงแซงนำไปเลยทีเดียว
หนูวาโยอยากเห็นซีนหวาน ๆ ของหนูบ้างอ่ะ  ทำไงดี
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 03-09-2012 14:48:48
คู่ภูริ-วาโย  คนนึงก็ซึนตัวพ่อ   อีกคนก็ขี้อายตัวแม่      :laugh:
คงอีกนานกว่าจะคืบหน้าแหละมั๊งนี่   :m20:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 03-09-2012 15:03:14
โห คู่นี้ หวานซะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 03-09-2012 16:12:59
รินเขินวินจนหน้าจะไหม้แล้ว 5555
รออ่านความหวานของโยกับภูริ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 03-09-2012 21:06:17
ในที่สุดคู่นี้ก็ลงตัวแล้ว น่ารักมากกกกก ชอบตอนรินอายอ่ะ

วินก็ร้ายชอบแกล้งให้รินอาย อยากอ่านฉากหวานคู่โย และความคืบหน้าคู่รุจมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 03-09-2012 21:19:36
 :-[ :-[ :-[ :-[รออ่านอิอิ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 03-09-2012 21:54:55
ถึงเวลาเปลี่ยนรูมเมทกันได้แล้วมั้ง กวินน่าจะได้นอนห้องเดียวกับการินแล้วแหละ อิอิ :z1:
หนูโยก็อย่าน้อยหน้าเพื่อน รีบหวานแข่งกับเขาเร็วๆ แต่ว่าหนูไร้เดียงสาขนาดนี้ จะรู้ไหมว่ามีใครเขาอยากนอนห้องเดียวกับหนู
อันนี้คิดเองคนเดียว ภูริไม่เกี่ยว ยกเว้นว่าจะคิด(หื่น)เหมือนกัน :laugh:
แต่เรื่องนี้เขาน่ารัก ใสๆ แค่นี้ก็เขิน อายม้วนบิดไปมาแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 03-09-2012 22:01:55
รู้สึกเหมือนคู่วิน รินแซงหน้าภูริ วาโยไปแล้ว

แต่เรื่อยๆแบบคู่ของโยก็น่ารักดีล่ะนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 35 : อัพเดท 3/9/55 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 03-09-2012 22:50:28
รินเขินแรงนะ วินระบบหมดแล้ว
เฮ้อ คุ๋นี้ก็ลงตัวไปอีก1คุ่ ^^

อย่าลืมให้ภูริกับโยขนน้ำตาลมาแจกจ่ายด้วยนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 05-09-2012 11:24:28

*** ยังคงคอมโบความหวานต่อเนื่อง ให้สำลักน้ำตาลกันไปข้างเลยทีเดียว --+



Miracle Café / 36





     วาโยที่กำลังเดินเข้ามาด้านหลังเคาท์เตอร์เพื่อไปพักหยุดชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าขัดเขินของการินที่เดินมาด้วยกันพร้อมกับกวิน

    “เอ่อ...ริน...คือ...”

    วาโยอยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า พอการินสบตากับเขา อีกฝ่ายก็หน้าแดงด้วยความอาย ส่วนกวินนั้นยักคิ้วนิด ๆ  แล้วแอบยกนิ้วโป้งชูให้วาโยเห็น ทำให้วาโยพอจะคาดเดาว่าทั้งคู่คงพูดคุยเรื่องความรู้สึกระหว่างกันเรียบร้อย

    “ง่า...ดีใจด้วยนะริน”

    วาโยอ้อมแอ้มบอก ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ แล้วยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ทำเอาราเมศที่อยู่ด้านหลังต้องกระแอมเบา ๆ เตือน

     การินกับกวินสะดุ้งโหยง แล้วหลีกทางเบี่ยงหลบให้คนที่อยู่ด้านหลังเดินผ่านทันที ราเมศสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างเอือมระอา แต่ระหว่างเดินกลับไปประจำที่บาร์เขาก็เหลือบมองการินนิด ๆ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าปวีร์จะคิดยังไงบ้างหากรู้เรื่องนี้เข้า

    “ฝากร้านด้วยนะริน วิน”

    วาโยที่เดินสวนเข้าไปเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม กวินยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ ส่วนการินก็พยักหน้านิด ๆ ด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อ

    “จะว่าไปหลังจากนี้ ถ้าจัดเวรพักแบบนี้ทุกวันก็คงดีล่ะนะ ว่าไหม”

    รุจที่เดินตามวาโยมาเอ่ยแซว ซึ่งพอได้ฟังวาโยก็หน้าแดงเพราะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายอยากบอกดี ทางด้านภูริพอเห็นรูมเมทแกล้งคนที่ตนชอบเข้าให้อีกครั้ง เขาก็ต้องกระแอมเสียงดังถี่ ๆ เป็นการเตือน เห็นดังนั้นรุจจึงยักไหล่นิด ๆ แล้วเดินนำเข้าไปในครัวก่อน ภูริที่ตามมาจึงเหลือบมองวาโยที่ยืนรอเขาอยู่ อีกฝ่ายหน้าแดงระเรื่อ แต่ก็ยังคงยิ้มให้เขา ภูริจึงยิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในครัวพร้อมกัน



    บรรยากาศบนห้องพักผ่อนนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดเล็กน้อย เมื่อคนหนึ่งก็เขินจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนอีกคนก็กำลังคิดหนักว่าจะรุกให้ชัดเจนแบบคู่ของกวินไปเลยดีไหม 

    “เอ่อ ...คือว่า...”

    วาโยพยายามจะหาเรื่องคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแต่ก็นึกไม่ออกเสียดื้อ ๆ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนิ่งคิด ภูริก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนคนที่อยู่ด้วยชะงัก

    “เฮ้อ! ไม่ได้จริง ๆ ด้วยแฮะ...”

    ภูริพึมพำ แล้วจึงเหลือบมองวาโยที่มองเขาอย่างแปลกใจ

    “ฉันทำแบบที่รุจบอกไม่ได้จริง ๆ ด้วยล่ะนะ เรื่องที่จะให้พูดหวาน ๆ หรือหาเรื่องหวาน ๆ มาคุยกันน่ะ...”

    ภูริเปรยบอกเรียบ ๆ ทำให้คนฟังเงียบกริบ แล้วพึมพำตอบเบา ๆ

    “ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ...พวกเราก็ยังไม่ได้คบหากันแบบนั้นสักหน่อย”

    ภูริเลิกคิ้ว พลางหรี่ตามองคนพูด แล้วจึงตอบกลับสั้น ๆ

    “นั่นสินะ”

    วาโยนิ่งอึ้งนิด ๆ เมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าภูริน่าจะแย้งกลับมาบ้างก็ยังดี ทว่าระหว่างที่กำลังคิดน้อยใจอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เพราะร่างสูงขยับมาใกล้แล้วกอดเขาหมับจนวาโยตกใจ

    “ฉันไม่รู้จะพูดยังไง ทำยังไงให้นายชอบ ... นิสัยฉันมันก็แบบนี้  บางทีก็ปากไม่ค่อยตรงกับใจ พูดก็ไม่ค่อยเก่ง...แต่อย่างเดียวที่อยากให้นายรู้ไว้ก็คือ ...นายเป็นคนสำคัญสำหรับฉัน ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันข้างหน้า หรือจนกว่านายจะเบื่อฉันเสียก่อนล่ะนะ”

    วาโยนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนที่อ้อมแขนเรียวบางของเขาจะกอดตอบฝั่งตรงกันข้ามกลับไป และบอกสิ่งที่อยู่ในใจให้อีกฝ่ายรับรู้

    “ผมเองบางทีก็อาจจะซื่อบื้อไปนิด ...งี่เง่าไปหน่อย...ถ้าทำให้คุณไม่พอใจ หรือเข้าใจผิดอะไรไป ก็อยากให้คุณบอกผม มีอะไรก็หันหน้าพูดคุยกัน ...ผมจะได้ปรับตัวและพยายามแก้ไข ...เพราะผมเองก็อยากใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้า ร่วมกันกับคุณเหมือนกัน”

    ภูริถอนหายใจค่อย ๆ หลังจากได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะดันร่างของวาโยออกห่างจากเขา ซึ่งคนถูกดันออกก็มองชายหนุ่มตอบอย่างงุนงง

    “ขอโทษที พอดีได้ยินแบบนั้นแล้วมันทำให้ห้ามใจตัวเองไม่ค่อยไหว...และถ้ายังกอดกันแบบนั้น มันจะทำได้ไม่ถนัดน่ะ”

    ภูริบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ  ซึ่งวาโยก็ยิ่งงุนงงหนักเข้าไปใหญ่

    “ก็ถ้ากอดกันแบบนั้น ก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ยังไงล่ะ”

    ภูริอธิบายเพิ่มเติม พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปจูบปากคนที่กำลังทำหน้าสงสัย ทำเอาวาโยสะดุ้ง แล้วหน้าแดงวาบ ก่อนจะยิ่งแดงหนัก เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยตามมา

    “ฉันมันพวกพูดไม่เก่งเท่าไรนัก เลยคิดว่าถ่ายทอดผ่านภาษากายให้นายรับรู้โดยตรง คงจะดีกว่า”

    วาโยก้มหน้างุด ๆ ด้วยความเขินอาย พยายามหลบสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องเขาราวกับจะกลืนกินนั่นเต็มที่ ภูริเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง

    “ยังไม่บอกเลยว่าถูกใจไหม สำหรับจูบเมื่อครู่น่ะ”

    วาโยเงียบกริบไม่พูดไม่จา แต่ใบหน้าและใบหูรวมไปถึงลำคอของเจ้าตัวแดงแป๊ดจนคนมองสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย

    “เฮ้อ...เงียบแบบนี้ชักจะหมดความมั่นใจแล้ว...งั้นต้องขอลองแก้มืออีกทีแล้วกันนะ”

    “มะ ไม่ต้องแล้วครับ! เมื่อครู่ก็รู้สึกดีมากพอแล้ว!”

    วาโยรีบแย้งเพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายจูบเอาอีกครั้ง และกลัวตัวเองจะเผลอเคลิ้มลืมตัวลืมตน ปล่อยให้อีกฝ่ายทำมากกว่าจูบเข้าให้จนได้ เพราะดูจากสายตาของภูริยามนี้แล้ว ไม่ค่อยน่าไว้วางใจเลยสักนิดเดียว

    “จริงหรือ...รู้สึกดีจริง ๆ น่ะ”

    ภูริแสร้งย้ำถาม ซึ่งวาโยก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

    “จริง ๆ ครับ ...เพราะงั้นผมว่าเราลงไปนั่งเล่นด้านล่างคุยกับพวกคุณชานนแทนดีกว่านะครับ”

    “ไม่ล่ะ...ฉันอยากคุยกับนายสองต่อสองแบบนี้มากกว่า”

    ภูริส่ายหน้าปฏิเสธแล้วยิ้มนิด ๆ ติดเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนมองเหงื่อตก

    “...ไหนว่าพูดไม่เก่งไงครับ”

    “ก็คุยแบบถึงเนื้อถึงตัว แบบที่ฉันถนัดแทนไงล่ะ”

    คนพูดบอกหน้าตาเฉย ทำเอาวาโยสะดุ้ง

    “มะ...ไม่เอาดีกว่าครับ ผมชอบคุยแบบธรรมดามากกว่า”

    ภูริซ่อนยิ้มในสีหน้า ก่อนจะแสร้งทำเป็นตีหน้าขรึมกึ่งเศร้า

    “แล้วเมื่อครู่ใครบอกล่ะว่ารู้สึกดีกับจูบของฉัน ...โกหกกันสินะ”

    “มะ ...ไม่ได้โกหกนะครับ แต่ก็ไม่อยากให้ทำมากกว่านี้ ...”

    วาโยรีบแย้ง แล้วก็ชะงักก่อนจะหน้าแดงก่ำตามมา เมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างเขาและภูริในอนาคตข้างหน้านี้

    “แล้วเมื่อไหร่ถึงจะยอมให้ทำมาก ๆ กว่านี้ได้ล่ะ”

    คนฟังถามเสียงอ้อนนิด ๆ จนวาโยต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะเกรงว่าจะเผลอใจอ่อนเข้าเสียก่อน

    “ก็แบบ...รอผมพร้อมกว่านี้อีกนิด...ไม่นานหรอกครับ...คิดว่าอย่างนั้นนะครับ”

    ภูริหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เลิกคิดแกล้งอีกฝ่ายที่กำลังมีสีหน้าลำบากใจขึ้นทุกที

    “โอเค...งั้นมากกว่าจูบจะเก็บไว้ก่อนแล้วกัน”

    วาโยมองคนที่ตัดใจง่าย ๆ แล้วขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย พลางนึกในใจว่าเห็นทีตนจะโดนอีกฝ่ายแกล้งแหย่เข้าให้เสียแล้ว แต่ก็นั่นล่ะ ใครจะไปรู้ว่าภูรินั้นเวลาไหนจะแหย่ เวลาไหนเอาจริง เพราะขนาดคุยด้วยกันอยู่ดี ๆ ตอนกำลังซักผ้าอยู่เมื่อเช้าเขายังถูกจับจูบเข้าให้เลยด้วยซ้ำ ดีนะที่รุจเข้ามาในห้องซักผ้าด้วยอีกคน ภูริจึงทำเป็นยืนออกห่าง แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรแทนเสียอย่างนั้น

    “งั้นลงไปคุยกับพวกคุณนนข้างล่างดีกว่า... ขืนอยู่บนนี้ อาจจะไม่ต้องรอใครบางคนพร้อมก่อนก็ได้นะ”

    ภูริแสร้งเปรยเบา ๆ แต่กับทำให้คนที่อยู่ด้วยรีบยันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินเร่งฝีเท้าไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

    “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวช้า เวลาจะหมดเสียก่อน แล้วไม่ได้คุยนะครับ!”

    ภูริอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยานั้น สำหรับเขาค่อนข้างพอใจกับความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ คืบหน้าแบบนี้มากกว่า เขาอยากจะเรียนรู้ในตัววาโย และอยากให้วาโยรู้จักในตัวตนของเขาให้มากกว่านี้  แต่ยังไงเขาก็ยังคงมั่นใจว่า แม้จะได้เห็นทั้งด้านดีและแย่ของแต่ละฝ่าย  ทว่าความรู้สึกที่ยังอยากอยู่เคียงข้าง และอยากใช้ชีวิตร่วมกันไปเรื่อย ๆ ในวันข้างหน้าของพวกเขา ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากนี้เป็นแน่ และมันจะกลับมั่นคงมากยิ่งขึ้นกว่านี้แน่นอน



    เหตุการณ์ภายในวันนั้นก็ยังคงผ่านพ้นไปด้วยดีดังเช่นปกติทุกวัน  ทางด้านราเมศพอกลับถึงบ้านเขาก็เห็นคนป่วยกำลังเดินมาเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรบางอย่างกิน เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงกระแอมเบา ๆ จนปวีร์สะดุ้งโหยง

    “ไข้ยังไม่ลด มาหาอะไรเย็น ๆ กินทำไมน่ะ”

    “ใครบอกว่าไข้ยังไม่ลดล่ะ ลดแล้วต่างหาก ถ้าไม่ลดจะมาเดินแบบนี้ได้ไง...อ้อ พรุ่งนี้ฉันจะไปทำงานแล้วนะ”

    ราเมศมองคนที่เถียงเขา แถมยังหยิบเยลลี่ที่แช่ไว้ออกมาหมายจะเปิดกิน แต่ก็ถูกมือใหญ่ของอีกคนจับแย่งไปเปิดกินแทนเสียก่อน

    “ราเมศ! ของฉันนะ นั่นถ้วยสุดท้ายแล้วด้วย!”

    “ไว้ไข้ลดจะไปซื้อให้กินใหม่”

    คนที่แย่งของกินไปพูดหน้าตาเฉย ก่อนจะโอบเอวคนที่กำลังงอนและเตรียมจะเดินหนีให้ไปนั่งที่โซฟาด้วยกัน

    “ฉันบอกพวกนั้นแล้วว่านายจะไปทำงานมะรืนนี้ เพราะงั้นพรุ่งนี้ก็ช่วยนอนพักอีกวันให้หายดี ฉันจะได้ไม่ต้องผิดคำพูด”

    “ฉันหายแล้ว!”  ปวีร์เถียงทันควัน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนข้างกายวางถ้วยเยลลี่ที่กินหมดแล้วบนโต๊ะรับแขก และหันมาวัดไข้เขาด้วยวิธีที่ชวนให้ใจเต้น

    “ตัวยังรุม ๆ อยู่เลยนี่นะ ที่บอกว่าหายแล้ว ...นายคิดจะให้ฉันไม่มีสมาธิทำงานหรือไง ถ้านายไปด้วยพรุ่งนี้ ฉันก็ต้องทำงานไป ห่วงนายไป  เผลอ ๆ ชงกาแฟ ผิด ๆ ถูก ๆ จนโดนลูกค้าด่าพอดี”

    ราเมศที่นำหน้าผากของตนไปแตะกับหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดไข้ บ่นใส่ยาวยืด ทำให้คนฟังต้องค้อนนิด ๆ แล้วจึงแกล้งซบลงบนอกอีกฝ่ายอย่างประจบ

    “แต่ฉันเหงานี่...อยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ อยากเห็นหน้านาย อยากได้ยินเสียงนาย ก็ทำไม่ได้...”

    ราเมศถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายแกล้งอ้อน แต่ก็อดสงสารไม่ได้อยู่ดี

    “อีกวันเดียวเองนะปวีร์...ถ้านายเหงา พรุ่งนี้ตอนพักฉันจะแวะมาหานะ”

    ปวีร์มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะลอบถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าคนรักคงไม่ยอมให้เขาไปทำงานในวันพรุ่งนี้แน่นอน

    “รู้งี้คืนนั้นไม่ยอมให้ทำก็ดี...เพราะนายนั่นล่ะ ฉันเลยต้องป่วยยาวแบบนี้”

    ปวีร์บอกอย่างนึกงอน ทำให้คนฟังชะงัก แล้วเงียบไป จนคนพูดต้องหันไปมอง

    “ราเมศ...เป็นอะไรไปน่ะ”

    “ก็แค่รู้สึกแย่นิดหน่อยน่ะ... ที่ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้นายต้องมานอนซมแบบนี้”

    ราเมศพึมพำด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ทำให้ปวีร์ต้องรีบปลอบอย่างตกใจ

    “เฮ้! ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ ...ไม่ใช่ความผิดของนายคนเดียวสักหน่อย...ก็มันเป็นครั้งแรกของเรานี่...จริงไหม”

    ปวีร์บอกแล้วก็หน้าแดงนิด ๆ อย่างนึกเขิน เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

    “แต่มันก็ทำให้นายต้องป่วย และหงุดหงิดที่ไม่ได้ไปทำงานแบบนี้ไม่ใช่หรือ”

    ราเมศยังคงพึมพำตามมา แล้วเบือนหน้าหนี  ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วซบลงกับอกของอีกฝ่าย

    “โอเค ๆ พรุ่งนี้ฉันนอนพักอีกวันก็ได้ เลิกทำหน้าสลดแบบคนรู้สึกผิดเสียเต็มประดาแบบนี้ได้แล้ว”

    ราเมศชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ตามมา แล้วโอบกอดอีกฝ่ายแน่นอย่างรักใคร่

    “สมกับเป็นนายจริง ๆ หลอกไม่เคยสำเร็จเลยแฮะ”

    “ฮึ! ก็เกือบสำเร็จเหมือนกันนั่นล่ะ  แต่ถ้าเป็นนายตามปกติ พอฉันง้อปุ๊บก็ต้องโอเคแล้ว  นี่ทำเล่นตัวแถมยังอ้างเรื่องงานอีก ก็พอจะเดาได้น่ะสิ!”

    ปวีร์เปรยใส่อย่างหมั่นไส้ แต่ก็ยังคงปล่อยให้ราเมศกอดตนอยู่เช่นนั้น

    “แต่ฉันรู้สึกผิดที่ทำให้นายต้องเจ็บตัวและป่วยจริง ๆ นะ ...คราวหน้าฉันจะแก้มือใหม่ จะทำให้ดีกว่าเดิมแน่ ฉันสัญญา”

    ราเมศกระซิบบอกคนรักพร้อมกับจูบเบา ๆ ที่ติ่งหูเนียนนั่น ทำให้ปวีร์หน้าแดง แล้วอุบอิบบอกอีกฝ่ายเสียงแผ่วด้วยความเขินระคนหมั่นไส้

    “ไม่ต้องพยายามแก้ตัวอะไรมากนักหรอก  แค่นายห้ามตัวเองไม่ให้ติดลม จนทำหลายรอบแบบคืนที่ผ่านมานั่นก็พอแล้ว... ฉันจะไม่โทรมหนักขนาดนี้เลย ถ้านายหยุดตั้งแต่รอบที่สามนั่นแล้วน่ะ!”

    ราเมศหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางชะโงกหน้าไปหอมแก้มของคนรักอย่างประจบ 

    “โอเค ๆ ฉันสัญญา ถ้านายไม่อนุญาต ฉันจะไม่เผลอทำหลายรอบแน่นอน”

    ปวีร์ขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเอาเข้าจริง ๆ พอถึงเวลานั้น เขาพอจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเผลอทำเอาเขาเคลิบเคลิ้มจนตกปากรับคำอีกจนได้อย่างแน่นอน

    “คนเจ้าเล่ห์...”

    “มีคนรักเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ถ้าไม่พัฒนาตัวเองให้ทัน มีหวังก็เสียเปรียบพอดีน่ะสิ”

    ราเมศแย้งกลับ ทำให้ปวีร์ต้องทุบไหล่อีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะเผลอหลุดครางออกมาเบา ๆ เมื่อมือใหญ่ของคนรักลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของตนอีกครั้ง

    “อา...เมื่อไหร่นายจะหายดีนะปวีร์...แย่จัง”

    “ฉันว่า...ฉันป่วยต่ออีกสักอาทิตย์ท่าทางจะดีนะ....จะได้มีบางคนลงแดงให้ได้เห็นกับเขาบ้าง...”

    ปวีร์เอ่ยตอบเสียงกระเส่า ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อร่างของเขาถูกช้อนให้ลอยขึ้นจากพื้น โดยคนอุ้มนั้นเหยียดยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

    “ฉันว่าฉันคงไม่รอให้ถึงอาทิตย์หรอก...อย่าลืมสิ กิจกรรมระหว่างคู่รักน่ะ มันไม่ได้มีแค่ทำแบบนั้นอย่างเดียวหรอกนะ”

    ปวีร์แค่นยิ้มนิด ๆ พอจะรู้จุดประสงค์ของคนรักได้เป็นอย่างดี เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วใช้สองแขนโอบคออีกฝ่าย ก่อนจะชายตามองพร้อมเปรยค่อย ๆ

    “เอางั้นก็ได้...แต่ถ้านายทำให้ฉันต้องยืดเวลาไปทำงานออกไปอีกล่ะก็...ฉันจะทำให้นายลงแดงของจริงแน่คราวนี้”

    ราเมศเบิกตากว้าง ก่อนจะสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอา แล้วจึงชะโงกหน้าไปจูบหน้าผากของคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน

    “รับทราบครับ คุณภรรยาที่รัก...”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงกระซิบตอบกลับไปบ้าง

    “งั้นก็รีบขึ้นห้องเสียทีสิ คุณสามีจอมหื่น...”

    ราเมศหัวเราะในลำคออย่างถูกใจ แล้วจึงอุ้มร่างของคนรักขึ้นไปบนห้องนอนของพวกเขา และใช้เวลากระทำกิจกรรมระหว่างคู่รักภายในห้องนั้นจนเกือบเที่ยงคืน ทั้งเขาและปวีร์จึงนอนหลับพักผ่อนเคียงข้างกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งยามเช้าของวันใหม่มาถึง

   

… TBC …



ใครรอหนุ่มรุจกับคุณไกร รอก่อนนะคะ คุณไกรเขาโดนกักบริเวณสามวัน ก็เลยมาแจมไม่ได้ พ้นโทษ(?) แล้วก็คงเสนอหน้ามากวนหนุ่มรุจเหมือนเดิมล่ะค่ะ  ส่วนนายธีรัช ปัดก็คิดคู่ไว้แล้ว หุ ๆ อาจจะตรงใจกับหลายคนที่เดาไว้ก็ได้นะเอ้อ!
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-09-2012 12:40:31
คู่แรกหวานแบบเด็ก ๆ ไปเลย  พอมีเทียบกับคู่หลัง 
แหม  ครั้งแรก หลายรอบ ขึ้นห้อง ภรรยาที่รัก แว๊กกก  คนอ่านคิดนะเฟ้ย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: seraty ที่ 05-09-2012 12:49:59
น่ารักน่าเลิฟน่ะนั่น......
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 05-09-2012 13:04:46
มากกว่าสามรอบ!!!!! มันจะจบที่กี่รอบกันนะ
น่าอิจฉาคุณปวีร์จริงๆ ที่มีคุณสามีขยันขันแข็ง??? แบบนี้
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 05-09-2012 13:40:25
อ่านบรรทัดไหนก็ชื่นใจ เจอสามรอบเข้าไป

พี่เมข๋าร้อนแรงจังงิ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 05-09-2012 14:32:46
คู่ราเมศ ปวีร์ขโมยซีนตลอดดดดด

(แต่ยอม เพราะน่ารักมาก)
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 05-09-2012 15:10:11
วาโยกับภูรินี่ชิดซ้ายไปเลย เจอคู่แบบปวีร์กับราเมศ
แต่คุณสามีจอมหื่นช่วยเห็นใจภรรยาหน่อยนะ 5555
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 05-09-2012 19:03:29
เราคิดว่า พี่ราเมศเป็นคนขี้อาย เงียบๆ  ขรึม ๆ ไม่คิดว่าจะหื่นขนาดนี้

อั๊ยยะ พี่วีร์ชอบเลยละสิ 5555

คุณภูรินี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันแหะ รอคู่คุณรุจกับ พี่ไกร อิอิ ยังสนุกน่าดู

พี่ธีรัชกับคุณนนท์ได้ไหมๆๆๆ *0* รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 05-09-2012 20:50:52
หนุ่มๆหวานกันใหญ่
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 05-09-2012 21:18:43
ทำอะไรกันเกือบเที่ยงคืน

ส่วนคุณภูริ
นายรุกแบบหวานไม่ได้
แต่รุกแบบหื่นก็สปีดเลยใช่ม่ะ^^
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 05-09-2012 21:33:17
หวานแซงหน้าคู่อื่นเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 05-09-2012 21:55:50
ชอบคุณภูโหมดถึงเนื้อถึงตัวมากค่ะ

ถึงมาหวานทีหลัง แต่ระดับน้ำตาลนำหน้าเลย ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 05-09-2012 21:59:50
อื่มอ่านตอนนี้แล้วมดจะขึ้นคอมเอา :z1: :z1:


 :L2: :L2: :L2:รออ่านจ้า :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: zetsubo ที่ 05-09-2012 23:32:08
โอ๊ย ตามอ่านรวดเดียวทันแล้ว  >< คู่ผู้ใหญ่ทำเอา :jul1: 555

คู่เด็ก ๆ มีคู่กันแล้ว 555 หวาน >< พอหนุ่มธี คู่กับเจไปเลยจิ 555555 ชอบ จะรอตอนต่อไปนะงับ ^^
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 06-09-2012 00:10:32
เจอคู่บอสเข้าไป   คู่น้องโยเลยดูเหมือนเด็กน้อยจีบกันไปเลยทีเดียว  555   :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 36 : อัพเดท 5/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 06-09-2012 10:47:45
อยากรู้คู่ของธีรัชอ่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 09-09-2012 12:18:42
** หายไปหลายวัน ไม่ได้ดองนะ แค่แอบอู้เท่านั้นเองจ้ะ ^^"  หลัง ๆ นี้ถ้าช่วงไหนไม่มีงานเข้า ก็จะพยายามปั่นเรื่อย ๆ ลงแบบไม่ทิ้งระยะห่างนะคะ  ^^




Miracle Café / 37






     เมื่อขวัญแก้วและขวัญตากลับเข้ามาถึงบ้านพักของพวกเธอ พี่ชายคนรองก็ออกมาดักรอแล้วยิ้มแย้มทักทายทั้งคู่

    “ไงสองสาว ทำงานเหนื่อยไหมวันนี้”

    “นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้บรรยากาศในร้านกำลังเป็นสีชมพูหวานแหวว ชวนให้สดชื่นจนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว”

    ขวัญแก้วบอกยิ้ม ๆ ทำให้ไกรสรชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตาม

    “พวกเด็ก ๆ พวกนั้นสินะ จับคู่กันได้เรียบร้อยแล้วหรือ  ไวกันจริงแฮะ ไอ้เราไม่อยู่แค่สามวันเอง”

    ไกรสรพึมพำ ในขณะที่สองสาวนั้นหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ

    “จริงสิ ว่าแต่ดอกไม้วันนี้เป็นไง ส่งถึงมือเจ้าตัวเขาหรือเปล่า”

    ชายหนุ่มหันไปถามขวัญแก้ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยักไหล่นิด ๆ อย่างเบื่อหน่าย

    “ถึงสิเจ้าคะ เอาให้กับมือเหมือนกับเมื่อสองวันที่แล้วนั่นล่ะค่ะ”

    ไกรสรอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะย้อนถามน้องสาวต่อ

    “แล้วเขาว่าไง แก้วบอกเขาหรือเปล่าว่าดอกไม้ที่ให้น่ะชื่ออะไร”

    ขวัญแก้วมองพี่ชายที่ลงทุนจัดช่อดอกไม้ราคาแพงไปให้อีกฝ่ายทุกวันอย่างนึกขำ แล้วจึงบอกไปตามตรง

    “ระดับรุจไม่ต้องบอกหรอกค่ะ พอยื่นให้ปุ๊บ เขาก็ย้อนถามแก้วเลยว่า พี่ไกรน่ะจะกลับเมืองนอกแล้วใช่ไหม ถึงเอาช่อฟอร์เก็ตมีน็อต มาให้เขาน่ะ”

     ไกรสรชะงักก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ ตามมา

    “ตั้งใจจะให้คิดถึงในความหมายที่ว่า ฉันหายไปหลายวันแบบนี้ อย่าลืมฉันล่ะต่างหาก ไม่ใช่จะลากลับเมืองนอก ...เด็กคนนี้นี่แสบนัก”

    “นี่พี่ไกร แก้วถามหน่อยเถอะ จะจีบน้องเขาจริง ๆ หรือคะ”

    ขวัญแก้วเอ่ยถามพี่ชายของเธอด้วยสีหน้าจริงจัง จนไกรสรต้องมองตอบ แล้วถอนหายใจเบา ๆ

    “วีบอกให้พี่ห่างเขาสักสามวัน คงจะให้พี่สำรวจใจตัวเอง... แต่ยิ่งห่างและยิ่งได้ฟังที่แก้วเล่าเรื่องเขาในแต่ละวัน พี่ก็ยิ่งอยากเจอ อยากเห็นหน้า ...ไม่รู้สิ พี่ว่าพี่คงเริ่มสนใจเขาแบบจริงจังขึ้นมาจริง ๆ แล้วก็ได้นะ”

    “แต่รุจเป็นผู้ชายนี่คะ พี่ไกรไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนไม่ใช่หรือไงคะ”

    ขวัญตาเอ่ยขัดขึ้นมาบ้าง ผู้เป็นพี่ชายพอได้ฟังก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ

    “นั่นก็ใช่ ...แต่กับเขามันต่างกันออกไป ...หน้าตา รูปร่าง ก็ไม่ใช่สเป็คพี่เลยแท้ ๆ ...แต่ก็สนใจไปแล้วนี่นะ”

    สองสาวมองพี่ชายของพวกเธอ ที่แม้จะดูสับสน แต่นัยน์ตาก็ฉายแววเอาจริงเรื่องรุจอย่างเปิดเผย จนพวกเธอคร้านจะเอ่ยเตือน

    “เอาเถอะค่ะ ถ้าพี่ไกรรู้สึกจริงจังกับน้องเขา แก้วก็ไม่อยากว่าอะไร...ก็สุดแล้วแต่เรื่องของพรหมลิขิตแล้วกันค่ะ”    ไกรสรลูบหัวน้องสาวของเขาอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปในการทำงานของทั้งสองสาว ซึ่งพวกเธอก็เล่าทุกอย่างโดยไม่คิดจะปิดบังพี่ชายของตน

    “พรุ่งนี้ก็ครบกำหนดสามวันตามสัญญาแล้ว งั้นพรุ่งนี้แก้วกับตาไม่ต้องขับรถไปเองหรอก เดี๋ยวพี่จะขับไปส่งให้”

    ทั้งสองสาวพอได้ยินพี่ชายบอกเช่นนั้นต่างก็สบตากัน แล้วจึงหันไปทางพี่ชาย ก่อนที่ขวัญตาจะเป็นฝ่ายถามขึ้น

    “ตกลงพรุ่งนี้พี่ไกรจะอยู่เฝ้าที่ร้านทั้งวันเลยหรือคะ”

    “ก็งั้นสิ....น่าเสียดายนะที่วีไม่ทำที่นั่งตรงเคาท์เตอร์บาร์ ไม่งั้นพี่จะไปจองที่นั่งแถวนั้น เพื่อเฝ้าแคชเชียร์ของร้านทั้งวันเลยทีเดียว”

    ไกรสรบอกอย่างขำ ๆ สองสาวต่างถอนหายใจไล่เลี่ยกัน ก่อนจะอดนึกสงสารรุจไม่ได้ ที่ต้องถูกพี่ชายของตนไล่ตามตื๊อเอาแบบนี้ แต่สำหรับพวกเธอ ถ้าไกรสรเกิดจริงจังเรื่องรุจขึ้นมาจริง ๆ และตัดสินใจคบหากับอีกฝ่าย ทั้งคู่ก็ยินดีต้อนรับรุจในฐานะพี่สะใภ้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะพวกเธอเองก็ถูกใจนิสัยของหนุ่มน้อยผู้นั้นอยู่มากทีเดียว

    แต่นั่นคงต้องหมายถึงว่ารุจยอมเล่นด้วยกับไกรสรล่ะนะ ถ้าอีกฝ่ายยืนกรานปฏิเสธ ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ ๆ พวกเธอก็คงไม่เข้าข้างแล้วบังคับฝืนใจหนุ่มน้อยคนนั้นแน่ แต่ถ้ารุจเกิดมีใจตอบพี่ชายเธอเมื่อใด ถึงคราวนั้นพวกเธอจะอาสาเป็นกามเทพคอยจับคู่ให้ทั้งสองคนนี้ได้สมหวังกันอย่างแน่นอน

   

    เมื่อเช้าวันใหม่เวียนมาถึง ทางด้านบ้านพักของพนักงานประจำร้านมิราเคิลคาเฟ่ ก็ยังดูเหมือนจะสงบสุขดังเช่นทุกวัน ถ้าไม่มีใครบางคนคอยเปรยยุแยงเติมเชื้อไฟ ให้ใครอีกหลายคนเกิดความลังเลและกลัดกลุ้มดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้

    “ถ่านไฟเก่าน่ะนะริน มันคุขึ้นง่ายมากเลยรู้ไหม ...มีเชื้อฟืนนิดหน่อยก็ติดไฟได้ง่ายแล้วล่ะ”

    การินชะงักแล้วเหลือบไปมองวาโยกับกวินที่กำลังพูดคุยกันขณะซักผ้าอย่างสนิทสนม ก่อนจะนิ่วหน้านิด ๆ และพยายามไม่คิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านั้น

    “พอ ๆ เลย เลิกแหย่ได้แล้ว...บอกแล้วไงว่าพวกฉันไม่เปลี่ยนห้องเพราะเรื่องไร้สาระของนายหรอกน่ารุจ”

    ภูริที่อยู่แถวนั้นเปรยเสียงดัง ทำเอาการินสะดุ้ง และกวินกับวาโยหันมามอง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

    “คุณรุจ...เอาอีกแล้วหรือครับ พวกผมก็บอกแล้วไงครับว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนห้องแบบที่คุณว่า...มันก็ไม่ค่อยเหมาะ เอ่อ เท่าไหร่”

    กวินเอ่ยขึ้นอย่างเขิน ๆ เมื่อมองไปทางคนรักของตน การินเองก็หน้าแดงน้อย ๆ แล้วรีบหลบสายตาอีกฝ่าย

    “งั้นหรือ...ตามใจนะ  นี่เตือนด้วยความหวังดีรู้ไหม... ถ้าพนักงานฟูลไทม์เข้ามาอยู่อีกคนล่ะก็ เขาก็ต้องอยู่ห้องเดียวกับรินใช่ไหมล่ะ...แล้วคนนั้นก็ค่อนข้างจะชอบรินอยู่ไม่น้อยทีเดียวล่ะนะ”

    คนอื่น ๆ พากันชะงักกึก แล้วต่างหันมองคนพูดเป็นตาเดียว

    “หมายความว่าไง? จะมีพนักงานฟูลไทม์คนใหม่ย้ายมางั้นหรือ ...ไม่สิ ลองนายพูดแบบนั้น แสดงว่าธีรัชจะมาเป็นพนักงานฟูลไทม์เต็มตัวแทนอย่างนั้นสินะ!”

    ภูริเอ่ยถามขึ้นเป็นชุด ทำให้รุจหันมายิ้มน้อย ๆ ให้รูมเมท แล้วจึงเปรยตอบ

    “เรื่องยังไม่ชัวร์ ฉันยังไม่อยากฟันธงตอบน่ะ”

    ทางด้านกวินยืนนิ่งคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะรู้ว่าธีรัชไม่ได้คิดอะไรกับการินแล้วก็ตาม แต่ด้วยนิสัยกะล่อนและเข้ากับคนง่ายแบบนั้น แถมหลัง ๆ การินยังเริ่มดีด้วยกับอีกฝ่าย ถ้าขืนทั้งคู่ได้เป็นรูมเมทและพักอยู่ห้องเดียวกัน  มันก็ชวนให้หวาดระแวงอยู่ใช่ย่อยเมื่อไหร่

    “ยังไงคนเป็นแฟนกัน พักอยู่ห้องเดียวกันก็ไม่เหมาะอยู่ดี!”

    ภูริเอ่ยขัดเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของแต่ละคน ทำเอาทุกคนต่างหันมามองเขานิ่ง โดยเฉพาะวาโยที่มองเขาด้วยสายตาตั้งคำถามระคนสงสัย

    “ก็...ขนาดอยู่กันคนละห้อง ยังห้ามใจไม่ค่อยอยู่ ...ถ้าให้อยู่ห้องเดียวกันมันก็...”

    ภูริบอกได้แค่นั้นแล้วก็รีบตีหน้าบึ้ง เมื่อเห็นรุจหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ส่วนกวินกับการิน พอนึกตามที่ชายหนุ่มพูดทั้งคู่ก็หน้าแดงระเรื่อ ทางด้านวาโยพอเรียบเรียงคำพูดของชายหนุ่มและเริ่มคิดตามได้ เขาก็หน้าแดงก่ำด้วยความอายยิ่งกว่าใครแถวนั้น

    “หึ ๆ ให้ตายเหอะ...นายนี่มัน...”

    รุจเปรยกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะโบกมือขอโทษเมื่ออีกฝ่ายหันมาจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาวาววับด้วยความฉุนปนเขิน

    “เอาเถอะ ...ที่ให้เปลี่ยนห้องฉันก็แค่อยากแหย่เล่นนั่นล่ะ... แต่ถ้าธีรัชได้มาทำงานฟูลไทม์จริง ๆ ล่ะก็ ฉันอยากให้จัดห้องแบบนี้แทน พวกนายจะว่ายังไงล่ะ...”

    รุจหันไปอธิบายให้กับเพื่อน ๆ ของเขาฟัง ซึ่งพอแต่ละคนได้ฟัง ก็มองหน้ากัน แล้วถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงเห็นด้วยในเรื่องที่อีกฝ่ายเสนอ

    “จริง ๆ ฉันเสียดายที่จะไม่ได้เป็นรูมเมทกับนายนะภูริ ...แต่กับธีรัชก็คิดว่าคงมีเรื่องให้ได้สนุกกันอีกไม่แพ้ตอนอยู่กับนายทีเดียวนั่นล่ะ”

    รุจหันไปเปรยบอกกับรูมเมทของเขา เล่นเอาภูริรู้สึกสงสารเพื่อนสนิทขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเขารู้ดีว่าธีรัชค่อนข้างแพ้ทางคนอย่างรุจอยู่มากทีเดียว

    “ถ้าจะย้ายห้องก็คงกลับมาจากทำงานแล้วค่อยเตรียมย้าย เพราะวันนี้คุณปวีร์จะมาทำงาน แล้วธีรัชก็คงมาบอกเขาเรื่องขอทำงานฟูลไทม์ที่นี่ล่ะนะ”

    รุจเปรยสรุป แต่ก็หันไปเห็นบางคนที่มีสายตาสงสัยมองเขา

    “หึงหรือไง ที่เขามาปรึกษาฉันแทนนายน่ะภูริ”

    ภูริสะดุ้งโหยงเมื่อถูกพาดพิง และก็ยิ่งเครียดหนักเมื่อวาโยจ้องมองเขาอย่างกังวลนิด ๆ

    “บ้ารึ! ใครจะหึงหมอนั่นกัน ...ฉันก็แค่แปลกใจว่าเรื่องสำคัญขนาดนั้น ทำไมถึงมาคุยกับนายแทนได้ก็แค่นั้น...”

    รุจหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงเฉลยให้กับภูริ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นฟัง

    “ก็เมื่อวานนี้ตอนพักรอบหลังของฉัน  ฉันเจอเขาอยู่ในครัวกำลังนั่งคุยกับพวกคุณนนแล้วก็คุณตาอยู่ยังไม่กลับสักที ฉันก็เลยถามเขา เลยได้ความว่าเมื่อวานนี้ลุงของเขาบอกว่าจะเลิกกิจการแล้วไปอยู่กับลูกสาวที่ต่างจังหวัดแทน เพราะทางนั้นตอนนี้ก็เริ่มมีฐานะมั่นคง จึงไม่อยากให้พ่อต้องทำงานเหนื่อยอีก ...ลุงเขาก็ตกลงแล้วเตรียมขายร้านให้เพื่อนที่สนิทกันทำต่อ แล้วก็มาถามธีรัชว่าจะทำงานที่นี่ต่อหรือกลับต่างจังหวัดด้วยกัน  ธีรัชก็เลยบอกลุงว่า อยากมาทำงานฟูลไทม์ที่ร้านคุณปวีร์แทน ลุงของเขาก็เลยไม่ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าที่หลานของตัวเองยังทำงานด้วยกัน เพราะอยากตอบแทนพระคุณเรื่องที่ลุงส่งเขาเรียนแทนพ่อแม่ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุ เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนนั้น”

    ทุกคนเงียบกริบรับฟัง และเป็นภูริที่ถอนหายใจเบา ๆ เพราะเขาเองก็รู้สึกว่าเช้าเมื่อวานนี้ ธีรัชดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดซักถามอะไรอีกฝ่าย เพราะมัวแต่ทำงานยุ่ง ๆ อยู่

    “ดีเหมือนกันนะครับ ที่คุณธีรัชจะมาทำประจำ ร้านคงจะครึกครื้นขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว”

    วาโยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังจากฟังจบ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มร่างเล็ก คนอื่น ๆ ก็ยิ้มน้อย ๆ ตาม และเมื่อชานนเข้ามาบอกพวกเขาว่าอาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้ว ทั้งหมดจึงตามเชฟหนุ่มไปที่ห้องอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง  และพูดคุยถึงเรื่องสมาชิกใหม่กันตลอดจนจบมื้อเช้านั้น

   

    ปวีร์ที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ดูสดชื่นแจ่มใสราวกับว่าเจ้าตัวไม่เคยป่วยหนักมาก่อนหน้านั้น และเมื่อได้พบกับธีรัชที่มาก่อนเวลาเข้างานแต่เช้า เพื่อคุยเรื่องขอทำงานแบบฟูลไทม์ ชายหนุ่มก็ยอมตกลงอย่างง่ายดาย โดยไม่มีข้อแม้อะไรผูกมัดมากมาย เพราะหมายตาอีกฝ่ายไว้ก่อนหน้านั้นอยู่นานแล้ว

    “ขอบคุณมากนะครับ คุณปวีร์”

    ธีรัชไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ เพราะเขาเองนั้นเริ่มชอบร้านและเพื่อนร่วมงานของที่นี่ขึ้นมาแล้ว ถ้าจะให้ทำงานพาร์ทไทม์อย่างเดียว เขาก็คงต้องไปหาบ้านเช่า และรับงานร้องเพลงกลางคืนอีก ซึ่งจะทำให้มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญกับคนอื่นก็คงไม่ผ่อนปรนเรื่องเวลางานกับเขาเหมือนอย่างลุงเขาเคยทำแน่

    “ไม่เป็นไร ...อีกอย่างฉันคิดว่าเธอคงไม่ทำให้ฉันผิดหวังแน่ จริงไหม”

    ปวีร์ถามยิ้ม ๆ ลองเชิง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าตอบรับ

    “ผมจะทำงานอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถของตัวเองครับ”

    ปวีร์หัวเราะเบา ๆ แล้วตบบ่าอีกฝ่าย

    “ฉันเชื่อ ...ราเมศยังชมเธอให้ฉันฟังเลยว่า ขยันและตั้งใจทำงานดีในช่วงที่ฉันหยุดไปน่ะ”

    ธีรัชยิ้มรับ จากนั้นปวีร์จึงให้อีกฝ่ายไปติดต่อกับชานนเรื่องห้องพัก และหากธีรัชต้องการก็สามารถย้ายเข้ามาอยู่ได้ตั้งแต่วันนี้เลย ส่วนเรื่องตารางงาน เขาจะเริ่มเปลี่ยนตารางพักของชายหนุ่มให้ใหม่ และเริ่มใช้จริงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

   

    ธีรัชตรงไปหาชานนที่ห้องครัว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน แต่เชฟหนุ่มนั้นเตรียมอุปกรณ์และปัดกวาดเช็ดถูภายในครัวเรียบร้อย และกำลังนั่งพักรอเวลาทำงานอยู่

    “อ้าว คุณธีรัช สวัสดีครับ วันนี้มาแต่เช้าเชียวนะครับ”

    “สวัสดีครับคุณนน พอดีรีบมาติดต่อเรื่องทำงานฟูลไทม์กับคุณปวีร์น่ะครับ กะว่าถ้าถูกปฏิเสธจะได้มีเวลาตั้งหลักหางานเสริมสักหน่อย”

    ชานนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

    “แต่คุณปวีร์ไม่ได้ปฏิเสธใช่ไหมล่ะครับ”

    “แหะ ๆ ใช่ครับ แถมยังบอกว่าถ้าจะย้ายก็มาวันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วก็ให้ผมมาหาคุณนนนี่ล่ะครับ”

    ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเดินไปที่กระเป๋าสะพายส่วนตัวของเขาที่แขวนอยู่มุมห้อง ก่อนจะหยิบกุญแจที่มีหมายเลขหนึ่งห้อยติดไว้ ยื่นส่งให้อีกฝ่าย

    “งั้นก็นี่ครับ ห้องของคุณ ส่วนรูมเมทของคุณก็คือคุณรุจนะครับ”

    ธีรัชแทบจะทำกุญแจที่ถือไว้ตกหลุดมือเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอก

    “เอ๋! ทำไมเป็นคุณรุจล่ะครับ เท่าที่รู้มาห้องที่ว่างเป็นห้องของคุณหนูนั่นไม่ใช่หรือครับ”

    “เป็นฉันแล้วมันแย่ตรงไหนหรือธีรัช...”

    เสียงที่แทรกขัดขึ้นมาทำให้คนได้ยินสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันไปมองต้นเสียงก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ

    “ผมจัดโต๊ะข้างนอกเรียบร้อย เลยว่าจะแวะมาดื่มน้ำในครัวสักหน่อย...ไม่คิดเลยว่าจะมีคนรังเกียจจะร่วมห้องกับผมถึงขนาดนี้เลยนะ เสียความมั่นใจไปเลยนะครับเนี่ย”

    รุจหันไปบอกกับชานนพร้อมรอยยิ้ม ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ ตอบ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดไปก็เพื่อจะแหย่ว่าที่รูมเมทคนใหม่ก็เท่านั้น

    “ง่า...ไม่ได้รังเกียจเลยครับ แค่แปลกใจเท่านั้นเอง”

    “หึ ๆ ล้อเล่นน่า... ส่วนเรื่องห้องเพิ่งจะเปลี่ยนกันเมื่อเช้านี่ล่ะ พอดีคนอื่นเขามีความกังวลอะไรหลาย ๆ อย่าง ฉันก็เลยเสนอให้จัดห้องใหม่  โยไปอยู่ห้องเดียวกับริน ส่วนภูริก็ไปอยู่คู่กับวิน  แล้วที่เหลือก็คือนาย ที่จะต้องมาอยู่กับฉันยังไงล่ะ”

    คำอธิบายของรุจทำให้ธีรัชร้องอ๋ออย่างเข้าใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ตามมา

    “ไอ้ผมก็นึกว่าแต่ละคู่เขาอยากจะจับคู่กันเองเสียอีก กลายเป็นว่าจัดห้องตามสถานภาพรุกรับกันนี่เองล่ะนะ”

    รุจหัวเราะในลำคอกับคำพูดของชายหนุ่มรุ่นน้อง พลางคิดในใจว่า นี่ถ้าพวกวาโยหรือภูริเข้ามาได้ยิน คงได้ทั้งอายทั้งโกรธกันทีเดียวล่ะนะ

    “ทีแรกฉันก็ยุให้จับคู่กันอยู่หรอก แต่เพื่อนนายเขากลัวห้ามใจไม่ได้ ก็เลยจับแยกแบบนั้นแทน”

    พอรุจบอกตามมา ธีรัชก็ชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะเสียงดังตามมา จนคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอกทยอยโผล่เข้ามาดู

    “ไม่รู้มาก่อนว่านายจะหื่นแบบนี้เลยว่ะเพื่อน!”

    ธีรัชหันไปบอกกับภูริที่เข้ามามุงอย่างสงสัย ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วย้อนถามกลับ

    “หมายความว่าไง”

    “ก็...ไม่กล้าอยู่ห้องเดียวกับหนูโย เพราะกลัวห้ามตัวห้ามใจไม่ไหว เผลอจับเขากดเอาใช่ไหมล่ะ ฉันรู้นะ!”

    ธีรัชแกล้งหยอก ทำเอาวาโยที่เข้ามาด้วยหน้าแดงก่ำ ส่วนภูริสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองรุจตาเขม็ง

    “ฉันก็แค่เล่าสาเหตุที่ทำให้เขากลายมาเป็นรูมเมทของฉันให้เขาฟังก็เท่านั้น ...หรือว่าเป็นเรื่องห้ามเล่าล่ะ  อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะ”

    รุจบอกแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ภูริกัดฟันกรอด ส่วนวาโยนั้นอายจนไม่อยากยืนอยู่ต่อ เขารีบเลี่ยงออกไปจากครัว ทิ้งให้ภูริมองตามตาปริบ ๆ แล้วหันกลับมาเขม่นเพื่อนสนิทแทน

    “โอ๋! อย่าจ้องอย่างนั้นสิ น่ากลัวชะมัด เอาเป็นว่าเพื่อนขอโทษแล้วกัน  แต่พวกนายนี่ไร้เดียงสากันจังว่ะ คบกันแล้วแท้ ๆ อายอะไรกับอีแค่เรื่องบนเตียงแบบนี้”

    “ใครจะหน้าด้านได้เหมือนนายล่ะ!”

    ภูริกระแทกเสียง ซึ่งการินที่มองอยู่ห่าง ๆ นั้นแอบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้จะเริ่มสนิทใจกับธีรัชบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยชินและไม่ชอบเรื่องปากเสีย ขวานผ่าซากของอีกฝ่ายเอาเสียเลย เขาว่ากวินนั้นชอบพูดตรง ๆ ให้เขาโมโหอยู่บ่อย ๆ แล้วนะ แต่ถ้าเทียบเรื่องปากเสียแล้ว ธีรัชนั้นกินขาดกวินอยู่มากทีเดียว

    “แล้วตกลงคุณธีรัชจะย้ายมาวันนี้เลยหรือเปล่าครับ”

    กวินถามขัดขึ้นมาเพราะเกรงว่าต่างคนต่างจะแหย่กันเกินเลย จนกลายเป็นทะเลาะกันไปแทนเสียเปล่า

    “อือ! ก็ว่างั้น วันนี้ทำพาร์ทไทม์วันสุดท้าย ก็เลยกะว่าพอทำเสร็จจะไปขนของมาเตรียมไว้ก่อนเลยน่ะ”

    “ห้องที่นายจะเข้าไปอยู่ เป็นห้องด้านขวา ห้องเดิมของภูริ พวกเรายังไม่ได้เก็บของ แต่นายเอาของไปกองไว้รอจัดข้างในนั่นก่อนก็ได้”

    รุจเอ่ยเสริม ซึ่งธีรัชก็หันไปพยักหน้ารับรู้ จากนั้นพวกเขาก็คุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมทำงาน เมื่อมองนาฬิกาดูแล้ว ใกล้ถึงเวลาเปิดร้านเต็มที




... TBC ...
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 09-09-2012 14:20:54
จิ้มเลยคนแรก
ธีรัชย้ายมาแล้วคงเกิดเรื่องวุ้นๆอีกแน่เลย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 09-09-2012 14:29:42
 :m3: :m3: น้องโยน่ารักเสมอ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 09-09-2012 14:56:40
โว้ ๆ ๆ คงมีเรื่องสนุก ๆ อีกแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 09-09-2012 15:06:17
ธีรัชอยุ่ห้องเดียวกับรุจ
คุณไกรสร จะมีศัตรูหัวใจมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 09-09-2012 17:51:24
เข้ามาเต็มตัวแบบนี้แล้ว ที่ร้านคงมีเรื่องสนุกๆรออยู่อีกเยอะสินะ

โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 09-09-2012 18:14:51
หรือว่า รุจชอบธีรัช แต่ไม่น่าใช่เนอะ

5555 คู่คุณชานนดีไหม

เขาชอบอะ 555
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 09-09-2012 18:31:50
หวังว่าธีรัชจะไม่ได้เข้ามาป่วนอะไรหนุ่มๆ เค้านะ
ว่าแต่คุณไกรศรจะมาทำอะไรมั่งนะวันนี้
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2012 18:43:13
รอ รอ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 09-09-2012 19:03:53
คนเยอะๆ อบอุ่นดี แต่เราก็ไม่ได้นึกเลยนะว่าจะเปลี่ยนห้องกันแบบนี้
แสดงว่าเด็กๆไม่ค่อยหื่นเหมือนเรา  :laugh:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 09-09-2012 20:53:50
อยากให้รุจคู่กะธีรัชจัง คงมีอะไรให้ลุ้นน่าดู
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 09-09-2012 20:54:17
เค้ายังรักกันแบบใสๆอยู่
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 09-09-2012 21:04:29
โยนี่ก็หน้าแดงอย่างเดียวเลยนะหนู    :o8:
ไม่มีปากมีเสียงอะไรเลย  น่ารักน่ากดจริงๆเด็กคนนี้   :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2012 21:31:44
แล้วธีรัชจะคู่กับใครละเนี่ย คุณชานนออกจะแมน หน้าจะเป็นรุกอะคับ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2012 21:32:45
แล้วธีรัชจะคู่กับใครละเนี่ย คุณชานนออกจะแมน หน้าจะเป็นรุกอะคับ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2012 21:34:12
แล้วธีรัชจะคู่กับใครละเนี่ย คุณชานนออกจะแมน หน้าจะเป็นรุกอะคับ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2012 21:34:54
แล้วธีรัชจะคู่กับใครละเนี่ย คุณชานนออกจะแมน หน้าจะเป็นรุกอะคับ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 37 : อัพเดท 9/9/55 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2012 21:36:22
แล้วธีรัชจะคู่กับใครละเนี่ย คุณชานนออกจะแมน หน้าจะเป็นรุกอะคับ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-09-2012 15:39:02
**คุณไกรพ้นโทษแล้วค่ะ (หุ ๆ ) เลยขอมาเสนอหน้าให้นักอ่านหมั่นไส้กับเขาบ้าง  ส่วนใครรอคู่ของหนุ่มธีรัช รอไปก่อนนะคะ มีคู่แน่นอน แต่ยังไม่เขียนถึงตอนนี้จ้ะ  รอลุ้นอ่านเองนะคะ ^^



Miracle Café / 38




     สองสาวเดินจ้ำพรวด ๆ เข้ามาในร้าน และรีบเข้าไปในครัวเพื่อหยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ ปากก็บ่นว่าพี่ชายที่ดันมัวแต่ไปแวะร้านดอกไม้จนทำให้มาช้า ทั้งที่เป็นคนอาสามาส่งพวกเธอแท้ ๆ

    “ไงรุจ ไม่เจอหน้าฉันสามวัน คิดถึงกันบ้างไหม”

    ไกรสรที่ไม่ได้ใส่ใจคำบ่นของน้องสาวทั้งสอง แต่กลับเอ่ยทักทายพนักงานแคชเชียร์ที่เขาสนใจ พลางเดินตรงนำช่อดอกกุหลาบสีม่วงช่อใหญ่มาให้อีกฝ่ายแทน

    “ฉันสั่งทางร้านไปเมื่อสองวันก่อนให้หามาให้ สวยไหม”

    รุจถอนหายใจเบา ๆ พลางรับช่อดอกไม้ที่อีกฝ่ายมอบให้ ก่อนจะตอบออกไปเรียบ ๆ

    “คราวหลังไม่ต้องเอาดอกไม้มาให้ทุกวันก็ได้ครับ สิ้นเปลืองเปล่า ๆ”

    ไกรสรยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสา แล้วมองอีกฝ่ายวางช่อดอกไม้ไว้ข้าง ๆ แคชเชียร์ จากนั้นเขาจึงชวนรุจคุยต่อ

    “แล้วเธอชอบอะไรล่ะ ฉันจะได้เปลี่ยนจากดอกไม้เป็นของที่เธอชอบแทน”

    รุจเหลือบมองคนพูดแล้วจึงเปรยตอบค่อย ๆ

    “งั้นถ้าผมบอกว่าชอบรถ หรือบ้าน คุณจะซื้อมาให้ผมหรือไง”

    ไกรสรทำท่านิ่งคิด ก่อนจะแย้มยิ้มส่งให้อีกฝ่าย

    “ชอบของแพงไปนิด แต่ถ้าอยากได้จริง ๆ ก็โอเคล่ะนะ”

    คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยักไหล่น้อย ๆ พลางเอ่ยตัดบทการสนทนา

    “ผมเองก็ลืมไปว่าพูดกับเศรษฐีอยู่ ...เอาเป็นว่าถ้าอยากจะมาหา ไม่จำเป็นต้องเอาของมาหลอกล่อหรอกครับ สิ้นเปลืองเปล่า ๆ ผมพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีดีอยู่แล้ว”

    “หึ ๆ ไร้เยื่อใยจริงนะ ...แต่เย็นชาแบบนี้ก็ดูเร้าใจไปอีกแบบดี”   

    ไกรสรเอ่ยต่อ ยังคงยืนจีบชายหนุ่มอย่างไม่เกรงสายตาของใครในร้าน จนปวีร์ที่ลงมาจากชั้นบนเพื่อดูแลความเรียบร้อยของร้าน ต้องกระแอมเบา ๆ เตือน

    “พี่ไกร...ร้านจะเปิดอยู่แล้ว ผมว่าถ้าพี่อยากจะนั่งเฝ้าคน ก็ไปหาที่นั่งให้เป็นที่เป็นทางดีกว่านะครับ ยืนแถวนี้มันเกะกะพนักงานของผม”

    “เออ ๆ รู้แล้วน่า ทำเป็นคุณแม่หวงลูกชายไปได้!”

    ไกรสรหันไปตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็ยังคงเดินไปเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้และเห็นรุจทำงานได้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะส่งยิ้มให้กับรุจที่เบือนหน้าไปลอบถอนหายใจกับการตื๊อชนิดไม่สนใจใครของอีกฝ่าย

   

    “น่ากลัวชะมัด ...โชคดีที่ผมไม่ใช่สเป็คของเขานะนั่น ขืนโดนคนแบบนั้นตื๊อ มีหวังไม่รอดแน่”

    ธีรัชที่เฝ้ามองอยู่เอ่ยกระซิบกระซาบบอกกับรุจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเปรยถาม

    “สนใจสมัครเป็นกันชนให้ฉันไหมล่ะ”

    “ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากถูกดักตีหัวเวลาไปไหนคนเดียว”

    ธีรัชบอกแล้วทำเป็นเบ้หน้าจนรุจหลุดหัวเราะอย่างนึกขำ ทำเอาคนที่มองอยู่ชะงักแล้วเหลือบมองธีรัชด้วยสายตาแปลก ๆ จนคนถูกจ้องรู้สึกตัวแล้วรีบเลี่ยงไปยืนคุมด้านนอกแทน

    “สนิทกันดีจังนะ...เจอกันไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ”

    คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะลุกขึ้นแล้วเดินมาถาม รุจมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า แล้วเปรยตอบเรียบ ๆ

    “ก็เป็นว่าที่รูมเมทคนใหม่นี่ครับ ก็ต้องทำความสนิทสนมกันไว้ก่อน อีกอย่างเขาก็ถูกสเป็คผมดี...ในหลาย ๆ เรื่องล่ะนะ”

    ไกรสรเม้มปากน้อย ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน เขานิ่งไปสักพัก แล้วจึงกระซิบเบา ๆ ตอบ

        “ถ้าเธอถูกใจเขาฝ่ายเดียวฉันไม่ว่าหรอก... เพราะฉันน่ะสู้เด็กนั่นได้สบายอยู่แล้ว”

    “มั่นใจจังนะครับ” รุจเปรยแหย่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไปเบา ๆ

    “ถ้าไม่เป็นแบบนี้ คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเธอแน่ ...ว่างั้นไหมล่ะ”

    ไกรสรแย้ง แล้วเอ่ยตอบแฝงความนัยเป็นเชิงว่า เขารู้ดีที่อีกฝ่ายต้องการยั่วให้เขาหึง และเบนเป้าหมายไปวุ่นวายกับธีรัชแทนตนเอง

    “หึ ๆ แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย... แต่ถ้าระหว่างงานไม่มายุ่งวุ่นวายกันมากไป ก็จะให้คะแนนเพิ่มยิ่งกว่านี้ล่ะนะครับ”

    รุจเปรยตอบยิ้ม ๆ และเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งดังขึ้นและมีลูกค้าคนแรกเข้ามาในร้าน ไกรสรจึงหันไปมอง และหันกลับมาหาคนตรงหน้าอีกที

    “โอเค...ได้ยินเธอพูดแบบนี้ค่อยมีกำลังใจจีบหน่อย งั้นฉันไปทำหน้าที่ลูกค้าที่ดีของร้านแล้วกัน ...อะ จริงสิ”

    ไกรสรถือวิสาสะหยิบป้ายจองที่วางแถวเคาท์เตอร์ ไปวางที่โต๊ะเดิมซึ่งตัวเองนั่นก่อนหน้านั้น แล้วจึงเดินออกไปนอกร้านไปที่รถ ก่อนจะหยิบสมุดสเก็ตภาพติดตัวเข้ามาด้วย

    “ให้นั่งเฉย ๆ ทั้งวันมันก็ได้หรอก แต่อยู่ว่าง ๆ แบบนี้ช่วยวีดีไซน์ชุดให้พวกเธอไว้ใส่ตอนมีอีเวนท์พิเศษ ก็น่าจะดีกว่า”

    ปวีร์ที่อยู่แถวนั้นอมยิ้มน้อย ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างเหลือบมองดูไกรสรอย่างกังวล แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นดีไซเนอร์มืออาชีพ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีไซน์ชุดแบบไหนมาให้พวกเขาใส่กันแน่

   

    พักเที่ยงพอถึงชั่วโมงพักของรุจ ไกรสรก็เดินตามเข้าไปด้านในครัว โดยมีสายตาแปลกใจของลูกค้าบางคนมองตามไป พวกพนักงานที่อยู่แถวนั้นจึงได้แต่บอกกับลูกค้าของพวกเขาว่า อีกฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของร้าน ลูกค้าแต่ละคนจึงได้คลายสงสัยลง

    “เวลาพักของนายนี่น้อยจังนะ แค่กินข้าวเฉย ๆ ก็หมดเวลาแล้ว สงสัยต้องให้วีจ้างแคชเชียร์มาเพิ่มอีกคนแล้วคอยเปลี่ยนเวรกัน พวกที่บาร์จะได้มีเวลาพักมากกว่านี้สักหน่อย”

    ไกรสรที่นั่งมองคนกินข้าวกลางวันเสนอพร้อมแย้มยิ้มน้อย ๆ ทำให้กวินกับวาโยที่พักรอบเดียวกับรุจถึงกับยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนขวัญตานั้นถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยกับพี่ชายของเธอ

    “ขืนเป็นแบบนั้นพี่วีก็กำไรไม่เหลือพอดีสิคะ แต่ถ้าพี่ไกรจะลาออกจากงาน มาทำแคชเชียร์ให้พี่วีฟรี ๆ ตาว่าพี่วีก็คงโอเคนะคะ”

    ท้ายประโยคหญิงสาวหยอกพี่ชายของเธอเล่น ซึ่งไกรสรก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเปรยตอบน้องสาว

    “ทำงานไม่เอาเงินเดือนหรือ...ก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ต้องให้พี่พักห้องเดียวกับแคชเชียร์ของร้านอีกคนนะ พี่ถึงจะยอมน่ะ”

    รุจเหลือบมองคนพูดแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างเอือมระอา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อโดยไม่คิดต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายแต่อย่างใด

     “รู้สึกพี่จะแพ้กับข้าวของคุณนนเสียแล้วสิตา ...ดูสิกินเอากินเอา ไม่ยอมมองหน้าพี่เลยสักนิด”

    ไกรสรแกล้งเปรยตัดพ้อ ทำให้ชานนอมยิ้มน้อย ๆ ส่วนขวัญตานั้นหัวเราะเสียงใส อย่างไม่คิดปิดบัง

    “ถ้าเทียบพี่ไกรกับอาหารของคุณนนแล้วล่ะก็ พี่ไกรแพ้หลุดลุ่ยแน่ค่ะ เป็นตา ตาก็เลือกอาหารของคุณนนแทนอยู่แล้ว”

    คำตอบของน้องสาวทำให้ไกรสรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนรุจยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก และกวินกับวาโยหันไปมองหญิงสาวตาปริบ ๆ

    “แย่จัง แม้แต่น้องสาวยังไม่ยอมเข้าข้างฉันเลยแฮะ... น่าสงสารใช่ไหมล่ะรุจ”

    “ครับ...น่าสงสาร” รุจตอบรับด้วยใบหน้าที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ขณะยกน้ำดื่มขึ้นจิบน้อย ๆ

    “งั้นไม่คิดจะรับอาสาช่วยปลอบหน่อยหรือ” ไกรสรยังคงตื๊อต่อ ก่อนจะชะงักและใจเต้นนิด ๆ เมื่ออีกฝ่ายยิ้มหวานให้เขา

    “ไม่หรอกครับ ให้เป็นพี่เลี้ยงเด็กยังพอไหว แต่ถ้าพ่วงดูแลผู้สูงวัยไปด้วย เห็นทีคงจะลำบาก”

    บอกแล้วรุจก็เดินเอาจานของตนไปล้าง โดยมีไกรสรมองตามไปพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย

    “ไม่ชอบผู้ชายอายุมากกว่าอย่างนั้นหรือ”

    รุจเหลือบมามองแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้

    “ก็ไม่เชิงหรอกครับ ...จริง ๆ แล้วถ้าจะให้พูดก็คือ ผมค่อนข้างชอบผู้หญิงมากกว่า”

    ไกรสรเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อพร้อมรอยยิ้ม

    “ฉันก็ชอบผู้หญิงเหมือนกัน ...แต่ตอนนี้ชอบเธอมากกว่าแล้วล่ะนะ”

    คำพูดจีบตรง ๆ ซึ่งหน้าของชายหนุ่ม ทำให้วาโยนั่งก้มหน้าก้มตากินด้วยความอาย แม้แต่กวินยังกลืนน้ำลายลงคอ อย่างนับถือที่อีกฝ่ายกล้าพูดต่อหน้าเจ้าตัวโดยไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ด้วยหรือเปล่าเช่นนี้

    “รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะมีใคร”

    รุจหันมาบอกยิ้ม ๆ เขาล้างจานเสร็จ ก็เก็บจานคว่ำไว้แถวนั้น ดูเวลาก็ยังเหลืออีกหลายนาที จึงมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับไกรสร

    “ถ้าไม่ลองดูจะรู้หรือว่าดีไม่ดีน่ะ  และถ้าไม่ดีจริง รุ่นน้องเธอแต่ละคนคงไม่แฮปปี้กันแบบนี้หรอก จริงไหม”

    ไกรสรหันมาทางวาโยและกวินให้ช่วยเขาพูดอีกแรง แต่วาโยนั้นสะดุ้งโหยงยิ่งหน้าแดงหนัก และกวินอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก

    ทางด้านรุจพอเจอรุกแบบนี้เข้าเจ้าตัวก็อดขำไม่ได้ เขาไม่แปลกใจเลยที่ขวัญแก้วและขวัญตาจะบอกว่าพี่ชายของเธอนั้นเจ้าชู้ เป็นเสือผู้หญิง และเปลี่ยนสาวควงเล่นบ่อย ๆ  ก็เล่นหน้าหนาหน้าด้านหน้าทนแบบนี้ไงเล่า ผู้หญิงต่อให้ใจแข็งแค่ไหน เจอลูกตื๊อมาก ๆ เข้า ก็อดใจอ่อนไม่ได้อยู่ดีล่ะนะ

    “แล้วถ้ายอมคบด้วย แต่ไม่อนุญาตให้ล่วงเกินล่ะครับ”

    รุจเสนอขึ้นบ้างทำให้ไกรสรชะงัก และไม่เพียงแต่ชายหนุ่มเท่านั้น คนอื่น ๆ ในห้องครัวก็เงียบกริบ แม้จะทำไม่สนใจแต่ทุกคนต่างก็เงี่ยหูฟังกันถ้วนหน้าอยู่ดี

    “ไม่ให้ล่วงเกินนี่หมายถึงขนาดไหนล่ะ” ไกรสรถามอย่างสนใจ ซึ่งรุจก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไปสั้น ๆ

    “ทุกอย่างเลยครับ”

    “ทุกอย่าง...อย่าบอกนะว่ากระทั่งจับมือถือแขนก็ไม่ได้”

    ไกรสรถามด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ ซึ่งรุจก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนพยักหน้า

    “ครับ...แบบนั้นเลยล่ะ”

    “แล้วจะเรียกคบกันเป็นแฟนได้ยังไงล่ะแบบนั้นน่ะ!”

     ไกรสรโวยอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งรุจก็ยักไหล่นิด ๆ

    “ก็ไม่ได้บังคับให้มาคบด้วยนี่ครับ”

    คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายแกล้งยื่นเงื่อนไขแบบนี้ ก็เท่ากับว่าไม่ยอมตกลงรับเขาเป็นแฟนทางอ้อมนั่นล่ะ

    “มีกำหนดเวลาด้วยไหม ...คนนะไม่ใช่ปลากัด จะได้ให้แค่จ้องตากันได้ทั้งวัน  เป็นแฟนกัน มันก็อยากทำอะไรกุ๊กกิ๊กกันบ้าง อย่างน้อยก็จูบนั่นล่ะ”

    ไกรสรเอ่ยถามตรง ๆ เสียจนขวัญตารู้สึกอายแทนพี่ชาย ส่วนชานนทำเป็นไม่สนใจฟัง และวาโยสะกิดกวินยิก ๆ ด้วยความเขิน เป็นเชิงว่าให้รูมเมทเลี่ยงขึ้นชั้นสองกันดีกว่า ทว่ากวินกลับส่งสายตาให้อีกฝ่ายรอสักนิด เพราะเขาเองก็สนใจเหมือนกันว่ารุจจะตอบกลับไปว่าอย่างไร

    “ผมก็ว่าอย่างคุณคงทำไม่ได้อยู่แล้ว...เอาเถอะ คุณบอกว่าจะพักร้อนอยู่ในไทยนี่สักเดือนสินะ ...งั้นผมจะให้เวลาคุณสักสองอาทิตย์ ระหว่างนั้น คุณจะมาเฝ้าหรือจะชวนเดทในวันหยุด ผมก็จะไปกับคุณเหมือนคนเป็นแฟนกันตามปกติ แต่ห้ามคุณเกาะแกะผมในเชิงชู้สาวเด็ดขาด แต่ถ้าอุบัติเหตุโดนตัวนิด ๆ หน่อย ๆ อันนั้นผมไม่ถือ แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าตั้งใจ ก็ถือว่าผิดสัญญา เรื่องของเราก็โมฆะทันที โอเคไหมครับ”

    ไกรสรนิ่งรับฟัง แล้วสบตากับแววตาท้าทายของอีกฝ่าย เขาเหยียดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงเอ่ยตอบ

    “ก็แฟร์ดี...งั้นเรามาพนันกัน ถ้าฉันอดทนได้ถึงสองอาทิตย์ เธอต้องลองเปิดโอกาสให้ฉันจีบเธอจริงจัง โอเคไหม”

    รุจเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงยิ้มตอบ

    “ผมคิดว่าคุณจะเรียกร้องว่าถ้าทนได้ แล้วจะให้ผมมาเป็นแฟนคุณจริง ๆ เสียอีก”

    “อยากพนันแบบนั้นเหมือนกัน แต่ขืนเสนอแบบนั้นจริง สองอาทิตย์นี้ฉันว่าคงจะเจอด่านอรหันต์ให้ตบะแตกเข้าให้แน่...สู้ให้เธอเห็นว่าฉันจริงใจ ไม่ได้คิดหลอกฟันเธอแล้วทิ้งไม่ดีกว่าหรือ แบบนี้น่าจะได้ใจเธอมากกว่าจริงไหม”

    รุจฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย ที่ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก

    “มาบอกแผนการแบบนี้คงจะได้ใจผมหรอกนะครับ ...แต่เอาเถอะ ผมรับข้อเสนอเรื่องพนันนั่นแล้วกัน”

    “อืม...งั้นจากวันนี้เธอกับฉันก็ถือว่าเป็นแฟนกันแล้ว ก่อนอื่นเอาเบอร์มือถือมาแลกกันก่อนเลย”

    ไกรสรรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์ของตนออกมา รุจถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงยอมแลกเปลี่ยนเบอร์กับอีกฝ่าย กวินมองทั้งคู่ตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ส่วนวาโยนั้นหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขิน ก่อนจะขอตัวขึ้นไปบนชั้นสองเพราะไม่กล้าอยู่ฟังไกรสรจีบรุจต่ออีก

    “ห้ามจับโน่นนี่เชิงชู้สาวของเธอมีขอบเขตแค่ไหน  จับมือ โอบไหล่ นี่นับไหม  เกิดบางทีถ้าไปเที่ยวกันสองคน แล้วใครมาเหล่แฟนฉัน ฉันจะได้แสดงตัวกันท่าได้  ถ้าบอกแค่ปาก เดี๋ยวคนอื่นเขาเกิดไม่เชื่อกันพอดี”

    รุจมองคนเจ้าเล่ห์ได้คืบจะเอาศอกอย่างนึกขำ ส่วนขวัญตาเธอขี้เกียจยุ่งกับพี่ชายของเธอและหันมาให้ความสนใจกับการเตรียมอาหารให้ลูกค้าแทน ทางด้านกวินแม้จะอยากอยู่ฟังต่อ แต่พอเห็นไกรสรเหลือบส่งสายตาคมกริบมาไล่ทางอ้อม เขาจึงเลี่ยงเดินขึ้นไปชั้นสองตามวาโยไปอย่างจำใจ

    “ถ้าเกิดกรณีแบบนั้น ก็คงไม่มีปัญหา เพราะผมดูที่เจตนา... และผมก็เชื่อมั่นในสายตาและการตัดสินใจของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน”

    รุจบอกยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้ไกรสรกลืนน้ำลายลงคอนิด ๆ เพราะรู้ซึ้งดีว่าอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างทันคน และช่างสังเกตดีขนาดไหน

    “โอเค ...ฉันจะพยายาม ถ้าไม่แน่ใจก็จะถามเธอก่อนแล้วกัน”

    ไกรสรสรุปตัดบท ทำให้คนฟังอมยิ้ม เขาเหลือบดูเวลา และมองพวกขวัญตากับชานนที่หันหลังทำอาหารอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มของไกรสรเบา ๆ จนเจ้าตัวถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่

    “อ้อ...จริงสิ ผมลืมบอกไป กรณีที่ห้ามแตะต้องน่ะ เป็นแค่ฝ่ายคุณฝ่ายเดียวนะ ...แต่สำหรับผมไม่นับ”

    รุจกระซิบบอก ก่อนจะเดินฮัมเพลงออกจากห้องครัวไป  ขวัญตาหันกลับมาก็เห็นแต่พี่ชายของเธอนั่งนิ่งอึ้ง ก่อนจะกัดฟันกรอดตามมาเมื่อตั้งสติได้

    “เด็กบ้า...เล่นใช้วิธีนี้หรือ...คอยดูเถอะ ฉันจะทนให้ได้แน่ ก็แค่สองอาทิตย์เท่านั้น... แล้วถ้าจีบได้เมื่อไหร่ จะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกให้น่าดูชมเลยทีเดียว!”

    ไกรสรพึมพำกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น เขาเชื่อว่าเขาจะอดทนจนชนะเกมรักเกมนี้และคว้าหัวใจของอีกฝ่ายมาครองจนได้ จากนั้นเจ้าตัวจึงครุ่นคิดพยายามหาวิธีพิชิตใจของรุจให้ได้ในระหว่างสองอาทิตย์นี้เป็นการเร่งด่วน จนขวัญตาที่เหลือบมองมาถึงกับต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอา และหันกลับไปสนใจงานรับผิดชอบในส่วนของเธอต่อแทน



… TBC …

ฝากแจ้งข่าวนิดหนึ่งค่ะ  สำหรับแฟนนิยายหนังสือทำมือของปัทม์ที่เคยพลาดหนังสือเรื่องไหน แล้วยังหาเก็บไม่ได้  เดือนตุลาคม นี้ ปัดมีแพลนว่าจะรีปริ้นท์ทุกเรื่องที่เคยพิมพ์มา พร้อมกับรวมเล่มทำมือเรื่องมิราเคิลคาเฟ่นี้(ถ้าเขียนจบ) ค่ะ  ยังไงก็สามารถติดตามรายละเอียดจากทั้งหน้านิยาย และในแฟนเพจของปัดนะคะ   :L1:

 

หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-09-2012 16:19:23
รุจ ได้ใจสุดๆอ่ะ อยากรู้แล้วสิใครจะรุกใคร คู่นี้โดนอย่างแรง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-09-2012 16:19:46
รุจ ได้ใจสุดๆอ่ะ อยากรู้แล้วสิใครจะรุกใคร คู่นี้โดนอย่างแรง
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-09-2012 16:25:39
ถ้าไกรโดนยั่วแบบนี้เรื่อยๆจะทนไหวหรอเนี่ย?

ฮาาาา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-09-2012 16:59:27
รุจร้ายอ่ะ  ไกรสรตะบะแตกแน่ ๆ ไม่ทันครบ 2 สัปดาห์หรอก
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-09-2012 17:29:36
ไกรสรเทียบไม่ติดเลยเรื่องความเจ้าเล่ห์ รุจกินขาด  :laugh:
คู่นีทันกันดี อยากรู้จังเลยน้าว่าใครจะแพ้พนัน  :z1:
ส่วนหนูโยจะขี้เขินไปไหน อายม้วนต้วน น่าหยิกแก้มที่สุด :o8:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 10-09-2012 17:33:51
อะนะ จะทนไหวหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-09-2012 17:54:12
รุจยั่วไกรสรอย่างนี้ ถ้าเป็นแฟนต้องโดนเรียกเก็บหนัก
ยังคิดว่าภูริจะอยู่กับวาโย กวินอยู่กับการินซะอีก
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 10-09-2012 18:17:22
ไกรสรสู้ๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 10-09-2012 18:37:56
ชอบคู่นี้สุดๆ รุจยั่วให้ตบะแตกไปเลย ฮ่าๆๆๆ

พี่ไกรสร สู้ๆนะคะ เชียร์อยู่ๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 10-09-2012 18:45:56
รุจร้ายมากกกอ่ะ 555  :laugh: :laugh:
ดีแล้ว  เจ้าชู้ตัวพ่ออย่างพี่ไกร  ต้องเจอแบบรุจนี่แหละ ถึงจะเอาอยู่   o18
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 10-09-2012 20:20:07
ตั้งโต๊ะรับแทงเลยดีกว่า ว่าคุณไกรศรจะอดและทนได้จนครบกำหนดรึเปล่า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 10-09-2012 20:27:41
กำลังสนุกเลย ตอนแรกคิดว่าแต่ละคู่อยู่แต่ห้อง ปรากฏว่าเป็นรับอยู่กับรับ รุกอยู่กับรุก
ไอ้ที่ว่าเดวอดใจไม่อยู่เนี่ยน่าจะเป็นภูริกับกวินมั้ง 555+  :m20:
คุณไกรจะทนได้ไหมเนี่ย รุจยั่วซะ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 10-09-2012 20:37:23
พ่อไกรจะทนไหวเรอะ
รุจคงหาทางทำให้ไกรสรตบะแตกแน่^^
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 10-09-2012 20:53:00
คู่นี้ถ้าจะมันส์
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 38 : อัพเดท 10/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 11-09-2012 10:51:11
พี่ไกรจะทนได้ไหม สองอาทิตย์เนี้ย

อาจจะตบะแตกเพราะรุจก็เป็นได้ 5555

รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 12-09-2012 15:00:02


Miracle Café / 39




    หลังจากตกลงเล่นเกมความรักกับรุจแล้ว ไกรสรก็ออกมานั่งที่เดิมข้างนอก และขีดเขียนดีไซน์ชุดของเขาไปตามปกติ จนคนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ด้านนอกนึกแปลกใจ จนกระทั่งหมดเวลาพัก กวินกับวาโยก็ลงมาทำงานต่อ แต่พอวาโยเห็นรุจซึ่งหันมายิ้มให้เขา ชายหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อ แล้วเดินโค้งน้อย ๆ ผ่านด้านหลังอีกฝ่ายไป พอภูริหันไปเห็นวาโยหน้าแดง ๆ เขาก็นิ่วหน้า แล้วเหลือบมองกวินที่เดินตามมาด้วยแววตาคมกริบ

   “เฮ้ย! ไม่เกี่ยวกับผมนะ อย่ามองตาหาเรื่องกันแบบนั้นสิครับ”

   กวินรีบแก้ตัว ทำให้รุจที่ได้ยินแอบขำ ส่วนธีรัชที่หมดเวลาทำงาน และยืนอยู่แถวนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ชายหนุ่มเดินผ่านเพื่อนสนิทก่อนจะกระซิบแหย่

   “ขี้หวงจังนะเพื่อนเรา”

   “หนวกหูน่า!” ภูริกระแทกเสียงดุตอบอย่างไม่ดังนัก

   “อูย...กลัวชะมัด หึ ๆ งั้นฉันไปหาอะไรกินในครัวก่อนดีกว่า ...วันนี้คุณนนจะทำอะไรให้กินน้า อยากรู้จัง”

   ธีรัชเอ่ยตัดบทแล้วเดินเข้าครัวไปด้วยความหิว ทั้งที่เมื่อก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี่ ชายหนุ่มนั้นกินข้าวแทบจะไม่เป็นเวลาด้วยซ้ำ แต่พอเจอฝีมือชานนเข้าไป กลายเป็นว่าพอถึงเวลากิน น้ำย่อยในท้องก็รีบออกมาประท้วงกันอยู่เป็นประจำเลยทีเดียว

   “เป็นอะไรไป ...ทำไมหน้าแดงแบบนี้”

   ภูริดึงตัววาโยไปคุยกันด้านนอก เนื่องจากเวลานี้ลูกค้ามีไม่มากนัก  เขาจึงปล่อยให้กวินกับการินคอยดูแลข้างในร้านแทน

   “เอ่อ...คือ ไม่มีอะไรหรอกครับ...ก็แค่นึกถึงเรื่องตอนพัก...แล้ว...”

   วาโยอ้ำอึ้งไม่กล้าบอก เพราะยังไงเรื่องที่ได้ยินก็เป็นเรื่องส่วนตัวของไกรสรและรุจ ซึ่งเขาไม่ควรนำมาบอกต่อกับคนอื่น

   “ตอนพัก ...ทำไม...”

   ภูริถามต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้าบึ้งตึงนิด ๆ จนวาโยต้องเหลือบมองอย่างแปลกใจ

   “โกรธอะไรหรือครับ...”

   คำถามที่ได้ยินทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงถอนหายใจหนัก ๆ พลางบอกไปตามตรง

   “ไม่ได้โกรธ ...แต่หึง... เห็นหน้าแดงแบบนั้นก็กลัวว่าจะมีใครจีบมาน่ะสิ”

   พอได้ฟังวาโยก็ยิ่งหน้าแดงหนัก แล้วก้มหน้างุด ๆ แทบจะทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะอุบอิบบอกความจริง เพราะไม่อยากให้ภูริเข้าใจผิด

   “ไม่ได้มีใครจีบหรอกครับ...แต่ฟังคนอื่นจีบกัน...แล้วก็เลยรู้สึกเขิน...ก็เท่านั้นเอง”

   ภูริขมวดคิ้วยุ่งนิ่งคิด ก่อนจะร้องอ๋อตามมาอย่างเข้าใจ

   “คุณไกรสรกับรุจสินะ”

   วาโยที่หน้าแดงก่ำพยักหน้าหงึก ๆ แทนคำตอบ พอเห็นดังนั้นภูริก็ถอนหายใจตามมาอย่างโล่งอก

   “ค่อยยังชั่ว... แต่ยังไงก็อย่าลืมล่ะ...อย่ามองใครนอกจากฉัน แล้วก็ชอบฉันให้มาก ๆ รู้ไหม ...ฉันจะได้หายกังวลสักที”

   ภูริกระซิบบอกพร้อมยิ้มน้อย ๆ และยังขโมยจูบแก้มเนียนนั่นเข้าให้ ทำเอาอีกฝ่ายแทบจะแดงไปทั้งตัวด้วยความเขิน จากนั้นชายหนุ่มจึงปลีกตัวออกไปต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินมาที่ร้าน แต่ก็ยังไม่วายหันมาบอกคนที่ยืนอยู่

   “ให้เวลาปรับตัวปรับใจให้หายอายก่อน แล้วค่อยมาทำงานต่อ  ...แล้วอย่าไปทำหน้าเขิน ๆ แบบนี้ให้ใครเห็นนอกจากฉันล่ะ...”

   พอบอกจบชายหนุ่มก็เข้าไปต้อนรับแขกและเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนวาโยพอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เขาจึงเดินเข้าไปช่วยงานเพื่อนคนอื่นข้างในร้านหลังจากนั้นด้วยเช่นกัน

   

 อีกด้านหนึ่ง ธีรัชนั้นเข้ามานั่งกินอาหารด้านในครัวตามปกติ ทว่าเมื่ออิ่มแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่รีบกลับที่พักเพื่อเก็บของย้ายมา แต่ยังคงนั่งเรื่อย ๆ มองชานนและขวัญตาทำอาหารอย่างสนอกสนใจ

   “ดีจังนะครับ คนทำอาหารเป็นนี่ ...ผมเองก็อยากลองหัดเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราวกับเขาเหมือนกัน เผื่ออนาคตจะได้มีร้านอาหารเป็นของตัวเองบ้างสักร้าน”

   ขวัญตาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยิน ก่อนจะหันมาบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

   “ก็ดีนี่จ๊ะ วงการอาหารจะได้มีเชฟหล่อ ๆ ไว้ประดับวงการกับเขาบ้าง”

   ธีรัชหัวเราะตอบเมื่อถูกอีกฝ่ายชม ส่วนชานนนั้น หลังจากเตรียมจัดอาหารไว้สำหรับลูกค้าเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบของข้างในนั้นออกมาให้กับธีรัชที่นั่งอยู่

   “อ๊ะ! พุดดิ้งสตอเบอร์รี่... ฝีมือคุณนนหรือครับ!”

   ธีรัชอุทานด้วยความประหลาดใจปนดีใจเมื่อได้เห็นของหวานสุดโปรดของตน

   “ครับ...ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่าชอบของหวานทุกอย่างที่มีสตอเบอร์รี่เป็นส่วนผสม  และวันนี้คุณก็เตรียมจะมาเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวที่ร้านของเรา ผมจึงทำไว้ให้ ...จริง ๆ ผมอยากทำเค้กสตอเบอร์รี่ต้อนรับคุณอยู่หรอกครับ แต่ลูกสตอเบอร์รี่ที่มีมันมีน้อยเต็มที และงานในครัวก็ยุ่ง ๆ จนไม่มีเวลาปลีกตัวไปซื้อ ก็เลยได้แต่พุดดิ้งถ้วยเล็ก ๆ แค่นี้ล่ะครับ”

   ชานนอธิบายและมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้ธีรัชรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันยิ่งนัก เพราะนอกจากพ่อแม่ที่เสียไปและลุงของเขา ก็ยังไม่เคยมีใครเอาใจใส่และดีต่อเขาแบบนี้มาก่อน

   “ขอบคุณจริง ๆ ครับ ...เค้กไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชอบอาหารหวานที่ตนเตรียมไว้ เชฟหนุ่มจึงถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก

   “ค่อยยังชั่ว ผมเองก็กลัวจะโดนหาว่าลำเอียง เพราะตอนคนอื่นเข้ามาบ้านพักใหม่ ๆ ผมก็ทำอาหารเลี้ยงรับเสียเต็มที่ ...เอาเป็นว่าผมขอแก้ตัวในมื้อเช้าพรุ่งนี้แทนแล้วกันนะครับ”

   ธีรัชยิ้มกว้าง แล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มตักพุดดิ้งในถ้วยนั้นกินคำแรก แล้วจึงเบิกตากว้าง จากนั้นจึงตักกินที่เหลือตามมาอย่างรวดเร็วจนหมดถ้วย

   “แหม...น่าอิจฉาจังนะคะ ตาก็อยากกินแบบนั้นบ้างเหมือนกัน”

   ขวัญตาหันไปบอกกับชานน ซึ่งเชฟหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

   “ผมไม่กล้าทำขนมให้เชฟขนมหวานมือหนึ่งอย่างคุณตาทานหรอกครับ ผมต่างหากที่อยากให้คุณตาทำให้ทานบ้างแทน”

   ขวัญตาถอนหายใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าคนพูดไม่ได้ถ่อมตัวเกินงาม แต่พูดออกมาจากใจจริงของตน

   “คุณนนน่ะระดับโปรแล้วนะคะ มั่นใจตัวเองเถอะค่ะ ฝีมือขนาดนี้ส่งไปแข่งขันรายการอาหารระดับโลก ยังมีลุ้นชนะเลิศได้สบาย ๆ เลยค่ะ”

   ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งขอบคุณ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงจังอะไร ทำให้ขวัญตาลอบถอนหายใจ สำหรับเธอรู้สึกโชคดีที่ได้มาทำงานร่วมกับชานน เพราะทำให้เธอสามารถเรียนรู้การทำอาหารของอีกฝ่าย และพัฒนาฝีมือของเธอให้เพิ่มมากขึ้น เสียยิ่งกว่าตอนเป็นเชฟขนมอยู่ตามโรงแรมชื่อดังเสียอีก

   “คุณนนครับ ไอ้นี่อร่อยจริง ๆ นะครับ ลองทำแล้วเสนอคุณปวีร์ดูเถอะครับ ผมว่ามีคนชอบกินสตอเบอร์รี่มากอยู่นะครับ”

   ธีรัชขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้ชานนนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตอบอีกฝ่าย

   “ครับ...แล้วผมจะลองเสนอคุณปวีร์ดู ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ”

   ธีรัชยิ้มตอบ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายที่กำลังเดินไปเตรียมอาหารต่อ หันกลับมาบอกเขา

   “แล้วค่ำนี้อย่าลืมแวะมาทานอาหารที่ร้านพร้อมกันนะครับ ผมจะเตรียมส่วนของคุณเอาไว้ด้วย”

   คนฟังยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึก ๆ อย่างยินดี เขานั่งมองชานนที่ทำงานอย่างชื่นชม และคิดในใจว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นคนที่ทำให้คนอื่นยิ้มแย้มและมีความสุข ด้วยฝีมืออาหารของตนเองอย่างที่ชานนเป็นอยู่ให้ได้บ้าง

   

   เวลาบ่ายแก่ ๆ ล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ไกรสรก็ยังคงนั่งขีด ๆ เขียน ๆ อยู่กับโต๊ะ จากนั้นสักพักเขาก็ลุกขึ้น โดยไม่วายหยิบป้ายจองโต๊ะมาวางจองที่เอาไว้ สร้างความหมั่นไส้ให้ขวัญแก้วที่จ้องมองพี่ชายของเธออยู่ จนอดเปรยบ่นกับรุจเบา ๆ ไม่ได้

   “ดูเขาสิ ...แบบนี้ร้านเสียโต๊ะไปเปล่า ๆ โต๊ะหนึ่งเลยนะนั่น รุจเองก็ช่วยพูดให้หน่อยสิ หรือจะไล่ไม่ให้มาเลยก็ได้นะ”

   “มากไป ๆ น้องสาว แฟนพี่เขายังไม่ว่าสักคำ เธอจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไมกันฮึ”

   ไกรสรที่เดินจะเข้ามาในเคาท์เตอร์และได้ยินที่น้องสาวของเขาบ่นเปรยตอบยิ้ม ๆ ทำเอาขวัญแก้วถอนหายใจ ส่วนรุจสั่นศีรษะนิด ๆ อย่างเอือมระอา

   “เรียกแฟนเต็มปากเต็มคำเชียวนะคะ ...จะทนได้ถึงสองอาทิตย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เผลอ ๆ จะเรียกเป็นแฟนได้แค่วันนี้พรุ่งนี้เสียล่ะมั้ง”

   ขวัญแก้วที่ทราบเรื่องดีจากขวัญตาหลังจากที่เธอเข้าไปพักในรอบสองเปรยบ่น ส่วนรุจนั้นไม่ได้เขินอายอะไรเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวรู้เรื่องที่เขากับพี่ชายเธอพนันไว้ ตรงกันข้ามกลับยิ้มน้อย ๆ แทนเสียอย่างนั้น แถมยังหันไปยิ้มหวานกับไกรสรแทนเสียอีก

   “พรุ่งนี้ถ้าจะแวะมาอีก เดี๋ยวผมจะให้มานั่งใกล้ ๆ กว่าเดิมดีไหมครับ”

   ไกรสรชะงัก แล้วจ้องมองคนพูดอย่างหวาดระแวง

   “ถ้าได้ก็ดีสิ แต่จะให้นั่งตรงไหนล่ะ”

   “ก็ให้เฝ้าตู้ขนมหวานนี่ไงครับ แล้วก็ให้ขายให้ด้วยเลย ...งานไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกครับ ดีกว่าไปนั่งแช่เปลืองพื้นที่ร้านเฉย ๆ ตั้งเยอะ”

   พอได้ยินคำตอบ ขวัญแก้วก็แทบจะหลุดหัวเราะคิก แม้แต่ราเมศที่ทำเป็นยืนหูทวนลมแถวนั้นยังอดอมยิ้มไม่ได้

   “เหอะ...ฉันก็ว่าแล้ว ไอ้เรื่องจะหวังอะไรหวาน ๆ จากเธอคงลืมไปได้เลย... แต่ก็โอเคนะ นั่งใกล้ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แถมจะคุยจะมอง ก็ไม่ต้องกลัวสายตาใคร เพราะตู้มันบังให้หมด จริงไหม”

   รุจยิ้มน้อย ๆ ตอบ เพราะแม้แต่สถานการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายก็ยังคงจะหยอดคำหวานทำคะแนนกับเขาเข้าให้อีกจนได้

   “แต่ตอนนี้ต้องขอตัวห่างสายตาแป๊บก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเอาชุดไปให้วีดูว่าจะสนไหม ให้ตัดเสาร์นี้อาจจะไม่ทัน แต่ถ้าเสาร์หน้าคงพอไหว”

   ไกรสรบอกแล้วยกสมุดขึ้นโบกเบา ๆ เป็นการยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้ รุจจ้องมองสมุดเล่มนั้นอย่างนึกสงสัย แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ

   “เอาเถอะครับ ...ยังไงแคชเชียร์อย่างผม ก็ไม่ได้ออกไปพรีเซนต์ตัวเองเท่าไหร่ ...และที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าคุณคงไม่ให้ผมแต่งตัวแล้วออกมาประหลาด ๆ แน่ ...จริงไหมครับ”

   ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มหวานอ้อนจนคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ พลางคิดถึงคำพูดของน้องสาว และเผลอนึกตามว่าตนอาจจะทนได้รอดถึงสองอาทิตย์ไม่ไหวเสียจริง ๆ ก็เป็นได้

   “ง่า...งั้นฉันขอตัวก่อนนะ ไว้จะลงมาเฝ้าใหม่”

   ไกรสรบอกแล้วก็เดินจากไป ทางด้านขวัญแก้วนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วจึงหันมามองหนุ่มน้อยข้างกายเธอ

   “ร้ายจริงนะรุจ ...นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับพี่ชายของฉันขนาดนั้นเลยหรือไง”

   รุจหัวเราะเบา ๆ กับคำถามนั้น เขายิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาวก่อนตอบออกไป

   “ไม่รู้สิครับ...ถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้เกลียดเขานะ และถ้าเขาทำได้ตามที่พนันกันไว้ บางทีผมอาจจะเริ่มชอบเขาขึ้นมาบ้างก็ได้...แต่ก็นั่นล่ะครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากจะรับปากอะไรมากนัก”

   ขวัญแก้วถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ชายหนุ่ม

   “จ้า ๆ แต่ถ้ารู้สึกฝืนใจเมื่อไหร่ก็บอกกันได้นะ ถึงจะเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฉันก็จริง แต่ฉันก็ไม่ปล่อยให้มารังแกน้องชายที่น่ารักอย่างรุจได้หรอก”

   รุจยิ้มตอบแล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง เขาเองก็ชอบทั้งขวัญแก้วและขวัญตา รวมไปถึงพนักงานทุกคนในร้านแห่งนี้ และคิดกับทุกคนไม่ต่างไปจากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องเช่นเดียวกัน

   

   ทางด้านไกรสรนั้นหลังจากผละมาจากรุจแล้ว เขาก็เดินเข้ามาหาปวีร์ที่ห้องพักบนชั้นสอง แล้วยื่นสมุดภาพที่ตัวเองดีไซน์ชุดไว้ส่งให้  ปวีร์รับมาดูคร่าว ๆ  ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

   “ดีไซน์แอบแฝงความต้องการส่วนตัวนี่นาพี่ แบบนี้ไม่ผ่านหรอก”

   ไกรสรเบิกตากว้าง แล้วก่อนที่จะโต้แย้งกลับไป ปวีร์ก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา

   “ล้อเล่น ๆ ผมก็แค่แซวน่า ระดับพี่ถ้าไม่ผ่านก็แสดงว่าผมต้องไปเช็คสายตาใหม่แล้วล่ะ”

   “ทำเอาฉันตกใจหมด...แต่เสาร์นี้คงไม่ทันสินะ...”

   ไกรสรเปรยบ่นอย่างโล่งอกพร้อมกับถามต่อ  ปวีร์จึงพยักหน้านิด ๆ พลางตอบกลับไป

   “อืม...ถ้ามีเวลาอีกสักสองสามวันก็เร่งตัดได้ทันอยู่ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเอาไว้สำหรับเสาร์หน้า ดีเหมือนกัน เพราะหยุดยาวก็เอาแต่นอนซม เลยยังไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้เลย”

   “หึ ๆ น้องชายฉันหนักมือไปหน่อยล่ะสิ”

   ไกรสรกระเซ้า ทำเอาปวีร์ชะงักแล้วนึกบ่นตัวเองที่ไม่น่าพูดให้เข้าทางชายหนุ่มเข้าให้เลย สำหรับไกรสรเมื่อเห็นหน้ายุ่ง ๆ ของอีกฝ่าย เขาถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ นึกอยากจะแหย่ให้มากกว่านี้ แต่ก็กลัวปวีร์งอนและไม่ยอมเอาชุดที่เขาดีไซน์ไปใช้ แถมเผลอ ๆ จะช่วยร่วมมือกับรุจแกล้งเขาเข้าให้ด้วยล่ะนะ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นแทน

   “ว่าแต่เสาร์นี้ล่ะ เป็นธีมอะไร บอกฉันหน่อยได้ไหม จะได้เตรียมตัวเก็บภาพเอาไว้หลาย ๆ มุมหน่อย”

   “ห้ามถ่ายรูปในร้านนะครับพี่”

   ปวีร์แย้งขัด ทำเอาไกรสรต้องตีหน้ายุ่งเมื่อได้ฟัง

   “คนกันเองไม่ใช่ลูกค้าสักหน่อย”

   “ไม่ได้ ๆ ขืนทำผิดกฎร้าน จะไล่ไม่ให้เข้าร้านสักอาทิตย์เลยนะครับ”

   ปวีร์ได้ทีก็แหย่กลับ ทำให้อีกฝ่ายต้องยักไหล่อย่างนึกเซ็ง

   “เชอะ...งั้นรอซื้ออัลบั้มแทนก็ได้”

   ไกรสรเปรยบอกอย่างติดหมั่นไส้ เพราะรู้จากน้องสาวมาอีกทีว่า ปวีร์นั้นมีโครงการขายอัลบั้มของหนุ่ม ๆ ในร้าน โดยจะจัดเป็นโปรโมชันแลกซื้อครั้งใหม่ ต่อจากโปรโมชันถ่ายรูปร่วมกับพนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน

   “ถ้าอย่างนั้นค่อยพูดกันได้หน่อย”

    ปวีร์ยิ้มรับน้อย ๆ จากนั้นเขาก็ให้ไกรสรดูเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตที่เขาทำขึ้น  มีลูกค้ามากมายที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น และเสนอไอเดียสำหรับอีเวนท์พิเศษในแต่ละเสาร์  นอกจากนั้นปวีร์ก็ยังมีการบอกใบ้ถึงอีเวนท์ประจำสัปดาห์ล่วงหน้า 1 – 2 วัน เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจได้รับทราบก่อนอีกด้วย ...ทางด้านไกรสรนั้นอ่านผ่านตาคร่าว ๆ แล้วจึงหันไปถามอีกฝ่าย

   “พวกนั้นรู้หรือเปล่าว่านายทำเว็บไซต์แบบนี้น่ะ”

   ไกรสรถาม ซึ่งปวีร์ก็ยักไหล่นิด ๆ แทนคำตอบ ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาคลิกเปิดอัลบั้มรูปในเว็บไซต์ ที่มีลงรูปทั้งแอบถ่ายและรูปที่ถ่ายกับลูกค้าที่ได้ขออนุญาตแล้ว  โดยภาพอัพเดทล่าสุดในเว็บ ก็คือภาพหนุ่ม ๆ แต่ละคนในสระว่ายน้ำของอนุชิตเมื่อเสาร์ที่ผ่านมานั่นเอง

   “ให้ตายเถอะ! แอบถ่ายอย่างนั้นหรือ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่เห็นตากล้องเลยสักนิดน่ะ!”

   ไกรสรโพล่งอย่างตกตะลึง ซึ่งปวีร์ก็ยักไหล่แล้วสวนกลับ

   “จะสนทำไม ไม่ได้เอารูปพี่ลงเว็บด้วยสักหน่อย ...และนี่ก็คัดแค่ส่วนน้อยมาเท่านั้น รูปอื่นชวนวาบหวิว เรียกเลือด ยังมีอีกเป็นร้อย ๆ รูป ...ที่ลงไว้นี่ก็แค่จะช่วยโปรโมทสระของคุณอนุชิตเขาเท่านั้น... ของดีของเด็ดจริง ๆ มันไม่มีให้ดูฟรี ๆ กันหรอกนะ”

   ไกรสรมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ เขาเลื่อนหน้าเว็บลงมาดู แล้วก็เห็นภาพบางภาพที่ติดโมเสกบาง ๆ แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นรูปใครบ้าง นอกจากนี้ก็ยังมีคำโปรยใต้ภาพ เกี่ยวกับโปรโมชั่นอัลบั้มรวมภาพหนุ่ม ๆ ในชุดว่ายน้ำของทางร้านโฆษณาเอาไว้ล่วงหน้าอีกด้วย

   “นายนี่มัน...ถ้าพวกนั้นรู้เข้าล่ะก็ มีหวังโกรธตาย”

   ไกรสรเปรยบ่น แต่ปวีร์กลับหัวเราะในลำคออย่างไม่ใส่ใจ

   “ไม่หรอก พวกนั้นเขาเซ็นสัญญารับทราบเรื่องนี้กันดีตั้งแต่ตอนก่อนทำงานแล้ว พวกเขาก็น่าจะต้องเฉลียวใจ ว่าจะต้องเจออะไรทำนองนี้กันบ้างล่ะนะ”

   คนฟังถอนหายใจเบา ๆ เขาเลื่อนไปดูภาพรุจในชุดว่ายน้ำด้านบนอีกรอบ แล้วจึงหันมาบอกกับปวีร์

   “งั้นฉันจองอัลบั้มชุดว่ายน้ำนี่ด้วย ...อ้อ! ถ้านายจะขายไฟล์ภาพด้วยฉันก็ยินดีซื้อ  ฉันจะเอาไปอัดภาพเซ็กซี่ของรุจสักภาพ แล้วขยายใหญ่ ๆ ใส่กรอบไว้ติดที่ห้องนอนน่ะ”

   ปวีร์จ้องมองคนพูดนิ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เพราะเท่าที่เขาสังเกต ไกรสรนั้นมาไกลเกินการจีบเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว และพอจะสรุปได้ว่า ชายหนุ่มนั้นกำลังอยู่ในช่วงคลั่งไคล้พนักงานของเขาเอามาก ๆ เลยทีเดียว

   “สำหรับไฟล์ภาพผมแถมให้ฟรีก็ได้พี่... แต่ใจคอจะอัดใส่กรอบแล้วติดไว้ในห้องนอนจริง ๆ น่ะหรือ”

   “ก็งั้นสิ...รูปแฟนทั้งคนนี่นะ”

   ปวีร์มองคนพูดที่เหมาเอาเองตาปริบ ๆ เขาก็พอได้ยินเรื่องเกมที่ไกรสรกับรุจพนันกันไว้บ้างอยู่หรอก แต่เท่าที่ฟังจากเงื่อนไขที่ชายหนุ่มและพนักงานของเขาพนันกัน งานนี้เห็นทีไกรสรคงจะชนะลำบากเสียแล้ว

   “งั้นก็ตามใจพี่แล้วกัน...ส่วนแบบชุดนี่ผมเก็บไว้นะ เดี๋ยววันจันทร์จะส่งให้ร้านประจำจัดการทีหลัง”

   ไกรสรพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเจ้าตัวจึงขอตัวกลับลงไปชั้นล่างเพื่อไปเฝ้ารุจต่อ ทำเอาปวีร์ต้องถอนหายใจไล่หลังตามไปอย่างเอือมระอา ก่อนจะหยิบแบบชุดที่อีกฝ่ายดีไซน์เอาไว้มาดูอีกครั้ง พลางอมยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา

   “ไม่รู้พวกนั้นจะยอมใส่หรือเปล่านะ ...แต่ที่แน่ ๆ ถ้าลูกค้ารู้ล่ะก็ เสาร์หน้าคนคงเต็มร้านอีกแหง ๆ”



… TBC …



** เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินไปแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนเคย ...หวังว่านักอ่านคงยังไม่เบื่อกันก่อนนะคะ ^^"  สำหรับนิยายเรื่องนี้มีกำหนดจบในเดือนนี้ค่ะ ก็คงเป็นเคลียร์ครบทุกคู่ แถมตอนพิเศษนิดหน่อย ก็คงจบสำหรับเรื่่องนี้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 12-09-2012 15:34:33
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-09-2012 15:41:06
ชุดอะไรหว่า  อยากรู้ด้วยคน
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 12-09-2012 16:10:32
เย้ๆๆๆ คุณไกรคงเข้าขั้นเกินไปไกลแล้วล่ะ 5555

จะเอาชนะใจพี่รุจเราได้ไหมหนอ หึหึ

ธีรัชกับชานน เขาก็จิ้นตามตลอดน้าา

คุณภูริขี้หึงกว่าที่คิด แต่ก็น่ารักเนอะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 12-09-2012 16:28:47
อีกไม่นาน เราควรจัดงานแต่งงานหมู่ได้แล้วนะเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 12-09-2012 16:50:14
ปวีร์นี่ร้ายมากว่าแล้วต้องมีถ่ายตอนอยู่สระว่ายน้ำ
แต่ชักอยากให้ไกรสรจีบรุจติดไวๆ จังเลย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 12-09-2012 18:12:00
วีนี่เจ้าเล่ห์อ่ะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 12-09-2012 19:12:29
ชุดใหม่เป็นยังไง เซ็กซี่หรือเปล่าคนถึงจะเต็มร้านอะ แอร๊ย อยากไปๆๆๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 12-09-2012 19:34:03
ขอจองอัลบั้มรูปด้วยคนสิ^^
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 12-09-2012 19:55:41
จองอัลบั้มภาพที่ไหนคะ   จะไปจองด้วยคน 555   :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 12-09-2012 19:57:15
คุณไกรท่าทางจะหลงรุจน่าดูเลย :-[ :-[
อยากรู้จังว่าคุณไกรดีไซน์ชุดออกมาเป็นแนวอะไร  :impress2:
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 12-09-2012 21:41:58
อยากเห็นรูปหนุ่มๆใส่ชุดว่ายน้ำบ้างจังเลย
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 13-09-2012 11:09:09
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

คุณไกรนี่ไปไกลแล้วจิงๆนะ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 13-09-2012 13:39:27
อยากให้ถึงเสาร์หน้าเร็วๆ จัง...

อยากรู้ว่าออกแบบตามใจตัวเองแค่ไหนกันนะ...ฮาาา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 39 : อัพเดท 12/9/55 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 13-09-2012 14:20:19
อย่าบอกนะว่าธีรัชจะคู่กับชานน
ถ้าแบบนั้นก็ต้องมีการสลับห้องพักกันอีกรอบแล้วสิ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 13-09-2012 20:05:35


** ตอนใหม่มาแล้วค่ะ ใครที่เคยลุ้นให้นายธีมีคู่ ขอบอกว่า เนื้อคู่ของเจ้าตัวใกล้เกิดแล้วจ้า(เอ๊ะ หรือจะเกิดนานแล้ว หุ ๆ) ติดตามอ่านได้เลยค่ะ  ส่วนคนที่รอลุ้นคู่พี่ไกรกับรุจ รอก่อนนะคะ สลับกันกับคู่อื่นบ้างเน้อ ^^



Miracle Café / 40






     หลังจากร้านปิดในวันนั้น ธีรัชก็แวะมาทานอาหารค่ำที่ร้านตามคำชวนของชานน ซึ่งก็มีเซอร์ไพรส์เป็นเค้กสตอเบอรี่ก้อนโตที่ชานนลงมือทำเอง ทั้งนี้ที่ทำได้ก็เพราะขวัญตาใช้พี่ชายของเธอที่อยู่ว่าง ๆ ไปซื้อวัตถุดิบมาให้ แม้ไกรสรจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ต้องห่างรุจก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ขัดคำสั่งของน้องสาวคนเล็กไม่ได้อยู่ดี

    “ขอบคุณจริง ๆ ครับ ...อา ให้ตายเถอะ ผมประทับใจจนจะร้องไห้อยู่แล้วนะเนี่ย”

    ธีรัชบอกอย่างตื้นตัน น้ำตาคลอนิด ๆ โดยเฉพาะยามเมื่อทุกคนพากันยิ้มแย้ม และกล่าวยินดีต้อนรับเขาเป็นสมาชิกเต็มตัวของที่นี่ หลังจากที่ชานนถือเค้กมาให้

    “ต่อไปนี้พวกเราก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ถ้าเธอมีปัญหาอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงเพื่อน ๆ ของเธอ ก็ให้มาปรึกษาฉัน ราเมศ หรือไม่ก็คุณนนได้ตามสบาย”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งธีรัชก็ยิ้มตอบ จากนั้นชายหนุ่มก็ถูกเพื่อนคนอื่นคะยั้นคะยอให้เป็นเจ้าภาพตัดเค้ก เพราะต่างคนก็ต่างอยากจะกินเค้กฝีมือชานนเต็มที

    “ก็ได้ ๆ พวกนี้นี่ ...ความจริงเค้กก้อนนี้คุณนนทำให้ฉันนะ ไม่น่าจะแบ่งให้พวกนายด้วยซ้ำ”

    ธีรัชแกล้งบ่น แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อถูกโห่ใส่ จากนั้นเขาก็ตัดแบ่งเค้กในส่วนของตัวเอง แล้วจึงยื่นมีดให้คนอื่น ๆ จัดการตัดเค้กในส่วนของทุกคนกันต่อไป

    “ตาว่าจะหาเวลามาลงเรียนคอร์สทำขนมหวานกับคุณนนตัวต่อตัวแล้วล่ะค่ะพี่ไกร พี่แก้ว เพราะจากเค้กก้อนนี้มันทำให้ตารู้ว่า ที่ตาเรียนมาทั้งหมด มันยังไม่พอที่จะทำให้ตาเป็นเชฟขนมหวานมืออาชีพได้เลยนะคะ”

    ขวัญตาบอกกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำให้หลายคนโดยเฉพาะชานนอมยิ้ม

    “โธ่...คุณตาก็ ชมกันแบบนี้ เดี๋ยวผมก็ลอยพอดี”

    “คุณตาไม่ได้ชมมากเกินไปหรอกครับ ผมเพิ่งเคยกินเค้กสตอเบอรี่อร่อย ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกนะครับเนี่ย นี่ถ้าคุณนนเป็นผู้หญิงผมจะให้ลุงเอาขันหมากไปสู่ขอเดี๋ยวนี้เลยทีเดียวล่ะครับ”

    ธีรัชบอกตามมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทำเอาชานนต้องหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างไม่ถือสา ส่วนปวีร์แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเปรยขัดขึ้น

    “สินสอดแพงหน่อยนะ สำหรับเจ้าสาวคนนี้ ...และที่สำคัญ ถ้าไม่ทำให้ฉันยอมรับล่ะก็ อย่าหวังจะพาตัวไปได้เลย”

    ธีรัชสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้กับคนพูด แล้วขอโทษขอโพยยกใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารกันถ้วนหน้า ทำให้บรรยากาศภายในห้องครัวเล็ก ๆ แห่งนี้ เต็มไปด้วยความสุขและอบอุ่น จนกระทั่งทุกคนรับประทานอาหารมื้อนั้นกันเสร็จเรียบร้อย



    “คุณนนครับ...คุณนนเกิดวันไหนหรือครับ”   

    คนที่ช่วยเก็บกวาดในครัวสะกิดถามชานนค่อย ๆ เพราะตั้งใจว่าจะตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายครั้งนี้ในวันเกิดของเจ้าตัวบ้าง  ทว่าคำถามของเขากลับทำให้คนฟังเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบออกไปตามตรง แต่กลับทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง 

    “ก็วันอาทิตย์ที่จะถึงนี่สิครับ!”

    “หือ...อา จริงด้วยสิครับ แต่ปกติผมไม่เคยสนใจเรื่องวันเกิดตัวเองเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจนะครับ”

    “...ไม่เคยฉลองกับใครเลยหรือครับ”

    ธีรัชถามต่อ ซึ่งชานนก็สั่นศีรษะแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบออกไป

    “ไม่เลยครับ...ที่บ้านผมเป็นร้านอาหาร ตั้งแต่จำความได้ผมก็ช่วยพ่อแม่ค้าขายในเวลาว่างจากเรียนหนังสือ พวกเราไม่ค่อยใส่ใจวันสำคัญของตัวเองเท่าไหร่หรอกครับ ...แค่ได้ทำอาหารฉลองให้คนที่มาจัดงานวันเกิดที่ร้านอยู่บ่อย ๆ แค่นั้นก็มีความสุขแล้วล่ะครับ”

    ธีรัชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายมากุมเบา ๆ

    “งั้นอาทิตย์นี้ผมจะจัดงานวันเกิดให้คุณเองนะครับ วันนั้นคุณนนไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งเฉย ๆ แล้วให้ผมเป็นฝ่ายตอบแทนความเอาใจใส่ของคุณบ้างนะครับ”

    ชานนชะงัก แล้วมองคนพูดอึ้ง ๆ ก่อนจะมีสีหน้ากังวลขึ้นมาแทน

    “จะดีหรือครับ...ถึงยังไงผมก็มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลบ้านพัก ถ้ามีคนอยู่ในวันหยุด ผมก็ต้องเตรียมอาหารให้ทุกคนตามหน้าที่อยู่ดี จะให้อยู่เฉย ๆ คงไม่ได้หรอกครับ”

    ธีรัชขมวดคิ้วยุ่ง เตรียมจะแย้งออกไป แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกระแอมขัดจังหวะเบา ๆ ชายหนุ่มหันไปมอง ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสายตาของปวีร์ที่มองมายังมือของเขา ธีรัชขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลอลืมตัวจับมือของชานนอยู่ จึงรีบปล่อยมือออก พลางหัวเราะด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ เมื่อเห็นดังนั้นปวีร์จึงแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปคุยกับชานนแทน

    “ผมเองก็ลืมไปเลยว่าใกล้จะถึงวันเกิดคุณนนแล้ว”

    “ไม่ได้สลักสำคัญอะไรหรอกครับคุณปวีร์ ก็เหมือนกับทุก ๆ วันนั่นล่ะ”

    ชานนรีบบอก เพราะเกรงว่าปวีร์จะเห็นดีเห็นงามจัดงานเลี้ยงให้เขาเหมือนที่ธีรัชเสนอ

    “จะไปเหมือนกันได้ไงล่ะครับ โดยเฉพาะกับคนสำคัญที่สุดของพวกเราอย่างคุณนน ถ้าไม่มีคุณ นอกจากร้านของผมจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว มีหวังผมจะกลายเป็นโรคเบื่ออาหาร เพราะกินอาหารที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่ากินฝีมือคุณนั่นล่ะ”

    ปวีร์บอกยิ้ม ๆ แล้วจึงหันมาทางธีรัชที่จ้องมองเขาอย่างลุ้นรอคำตอบ

    “ความคิดเธอใช้ได้เลยล่ะธีรัช ...แต่เรื่องที่จะให้พวกเราทำให้คุณนนกิน ฉันว่าคงไม่เวิร์ก เพราะเขาคงทนนั่งดูพวกเราทำลายครัวและวัตถุดิบของเขาไม่ไหว จนต้องกระโดดเข้ามาร่วมแจมด้วยอยู่ดีแน่นอน”

    ปวีร์ฟันธงสรุป ทำให้คนฟังกะพริบตาปริบ ๆ เหลือบไปมองชานนก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจให้ได้เห็น ธีรัชนิ่งคิดแล้วจึงย้อนถามออกไป

    “แล้วจะทำยังไงล่ะครับ...”

    “ก็ต้องไปหาอะไรกินนอกสถานที่แทนสิ ... กินบรรยากาศไปพลาง กินอาหารสด ๆ ปรุงง่าย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยแรงมากไปพลาง โรแมนติกดีออก”

    คนฟังทั้งคู่ขมวดคิ้ว ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงขอตัวไปด้านนอก ดึงไกรสรที่กำลังยืนจีบรุจเข้ามาข้างใน ก่อนจะบอกกับทั้งคู่

    “ส่วนนี่ก็เป็นเจ้ามือใหญ่ของเรา ...พี่ไกรมีบ้านพักตากอากาศที่หัวหินใช่ไหม”

    “ก็มี ...แล้วจะทำไม” ไกรสรตอบพลางย้อนถาม ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

    “ก็ไม่ทำไม แค่จะยกพลไปจัดวันเกิดให้คุณนนที่นั่น แล้วก็จะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยวทะเล และไปกินอาหารทะเลสด ...อ้อ คุณนนไม่ต้องแย้ง ผมจะให้คุณทำครัวคู่กับปยุตนั่นล่ะ เพียงแต่อนุญาตให้ทำแค่อาหารทะเลง่าย ๆ เท่านั้น โอเคนะ”

    ชานนมองนายจ้างของเขาที่จัดการมัดมือชกตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจและพยักหน้ารับรู้ ซึ่งก็ทำให้ปวีร์หลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ แล้วจึงหันมาทางไกรสรบ้าง

    “เดี๋ยวผมกับพวกเด็ก ๆ จะออกเดินทางกันตั้งแต่คืนวันเสาร์ ไปถึงโน่นก็นอนต่อ เช้ามาก็เที่ยวแถวนั้นได้ทั้งวัน  อยู่กินมื้อเย็นเสร็จ แล้วค่ำ ๆ หน่อยก็นั่งรถกลับ จะได้ไม่เพลีย... ส่วนพี่กับพวกแก้วและก็ตา ไปกันเองต่างหากแล้วกันเพราะรถตู้คนน่าจะเต็มอยู่  อ้อ! แล้วอย่าลืมสั่งให้ทางนั้นเตรียมอาหารสดไว้รอด้วยล่ะ พวกผมไปถึงจะได้ไม่ต้องไปหาซื้ออะไรเพิ่มเติม”

    ไกรสรนิ่งคิด ก่อนจะโอเคตามมาโดยไม่ต้องเสียเวลานาน เพราะเขาตั้งใจจะใช้บรรยากาศโรแมนติกริมทะเลทำคะแนนให้รุจสนใจเขาให้มากกว่านี้นั่นเอง

     จากนั้นปวีร์ก็เดินไปบอกคนอื่นที่เหลือ ซึ่งแต่ละคนต่างก็เห็นดีด้วย และหลายคนก็เตรียมคิดหาของขวัญให้กับเชฟหนุ่มผู้ใจดีของพวกตนเอาไว้ล่วงหน้า

   

    “ขอโทษครับ กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเสียแล้ว”

    ธีรัชบอกกับชานนที่ยังคงมีสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อเชฟหนุ่มหันมาเห็นสีหน้าของคนข้าง ๆ เขาจึงหลุดแย้มยิ้มอ่อนโยนออกมา พร้อมกับเอ่ยปลอบ

    “อย่าคิดมากเลยครับ ต่อให้คุณธีรัชไม่เสนอ ถ้าคุณปวีร์นึกขึ้นได้เอง ก็คงลงเอยราว ๆ นี้ล่ะครับ...และที่สำคัญ ผมต้องขอบคุณ คุณต่างหาก ที่เอาใจใส่เรื่องผมขนาดนี้ ขอบคุณจริง ๆ ครับ”

    ธีรัชอึ้งไปเล็กน้อย เขาอยากจะแย้งกลับว่าชานนต่างหากที่ให้ความสำคัญกับเขาและคนอื่น ๆ ด้วยความจริงใจ โดยไม่คิดเรื่องผลตอบแทน แต่เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขของอีกฝ่าย ธีรัชก็ได้แต่ยิ้มตอบ แล้วพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ



     ไม่นานนักคนอื่นก็เข้ามาสมทบและต่างพูดคุยกับชานนถึงเรื่องวันเกิดที่จะมาถึงอย่างสนุกสนาน ทางด้านธีรัชจึงปลีกตัวออกมายืนห่าง ๆ เขามองชายสูงวัยกว่าเขาอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างลืมตัว รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด จากนั้นเจ้าตัวก็ต้องหันมาให้ความสนใจกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะรุจที่เอ่ยถามขึ้น

    “เดี๋ยวฉันกับวินจะแวะไปซื้อเครื่องดื่มกับขนมที่เซเว่น เพราะคืนนี้คงได้ย้ายของกันจนดึก และอาจจะจบด้วยปาร์ตี้เล็ก ๆ ฉลองย้ายห้อง... นายจะฝากซื้ออะไรด้วยไหม”

    “เอ๋...ผมหรือครับ ...งั้นเอาเบียร์...”

    “พรุ่งนี้ต้องทำงานกันนะ...อย่าลืมสิ”

    เสียงของปวีร์ขัดมาจากข้างนอก ทำเอาธีรัชสะดุ้งโหยง ไม่เพียงชายหนุ่ม คนอื่น ๆ ยังพากันกลืนน้ำลายลงคอ ยกเว้นรุจที่ยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ

    “ง่า...งั้นขอเป็นโค้กสักขวดแทนก็ได้”

    ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนรายการเครื่องดื่มของตน ทำให้คนที่ฟังอยู่ข้างนอกอมยิ้ม ส่วนราเมศก็เหลือบมองคนรัก แล้วสั่นศีรษะเบา ๆ

    “อยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ จังเลยน้า...กลางวันได้ดูหนุ่ม ๆ ในชุดน่ารัก ๆ ส่วนกลางคืนก็เดินทางท่องเที่ยว ...จริงสิตา เราไปซื้อชุดว่ายน้ำชุดใหม่กันดีไหม”

    ขวัญแก้วที่กำลังร่าเริงกับเรื่องในวันอาทิตย์หันมาบอกน้องสาว แต่กลับทำให้ใครบางคนแถวนั้นชะงัก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ

    “แล้วไม่ต้องเลือกชุดโป๊ ๆ โชว์หุ่นนักล่ะ”

    “โธ่! พี่ไกรคะ กลัวอะไร  หนุ่ม ๆ แถวนี้ เขาไม่สนสาวกันหรอกค่ะ”

    ขวัญแก้วแย้งกลับ แต่ทำให้หนุ่ม ๆ แต่ละคนเงียบกริบ และมีสีหน้าเจื่อน ๆ ไปตามกัน

    “...ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ดี เกิดมีไอ้บ้ากามหน้าไหนหลงเดินเล่นเลาะหาดมา แล้วเห็นเข้าจะทำยังไง!”

    ไกรสรยังคงยืนกรานเสียงเข้ม ทำให้รุจเหลือบไปมอง พลางอมยิ้มน้อย ๆ กับมาดพี่ชายหวงน้องสาวของอีกฝ่าย

    “แหม...ก็ได้ ๆ จะหามิดชิดใส่หน่อยก็แล้วกันค่ะ”

    ขวัญแก้วรับคำเนือย ๆ แต่แอบไปขยิบตากับน้องสาว เป็นเชิงว่าพวกเธอจะยังคงตั้งใจไปเลือกซื้อชุดว่ายน้ำน่ารัก ๆ ถูกใจมาใส่ตามใจชอบของตนอยู่ดี

    “เด็กพวกนี้ อายุก็ตั้งมากแล้วแท้ ๆ ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้”

    ไกรสรบ่นพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกสายตาคมกริบของสองสาวจับจ้องมองมา

    “น่าเกลียดจังค่ะพี่ไกร พูดเรื่องอายุต่อหน้าสุภาพสตรีได้ไง ...ระวังเถอะ ตากับพี่แก้วจะเล่าเรื่องแย่ ๆ ทุกอย่างของพี่ไกรให้รุจฟังให้หมดเลย”

    ไกรสรสะดุ้ง แล้วรีบอ้อนน้องสาวทั้งสอง โดยมีสายตาเอือมระอาแกมหมั่นไส้ของใครบางคนคอยมองอยู่ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับรายการเครื่องดื่มและขนมของเพื่อนร่วมบ้านพักต่อแทน

    “โอเค...แค่นี้นะ... ไว้ซื้อของเสร็จแล้วจะกลับมาช่วยย้ายแล้วกัน”

    รุจสรุปตัดบท จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านพัก เพื่อไปเตรียมเปลี่ยนห้อง ไกรสรนั้นทำท่าจะตามรุจไปซื้อของด้วย แต่ก็ถูกน้องสาวทั้งสองเบรกเอาไว้ แถมยังอ้างว่าพวกเธออยากรีบกลับบ้านไปอาบน้ำนอนไว ๆ แล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มขัดไม่ได้ และยอมตามสองสาวกลับบ้านไปอย่างจำใจ

   

    เวลาเกือบห้าทุ่ม ทุกคนก็ย้ายห้องเสร็จเรียบร้อย และต่างมารวมตัวกันที่ห้องหมายเลข 2 ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องของการินและวาโยไปเสียแล้ว

    “ไปชวนคุณนนมากินด้วยดีกว่า”

    ธีรัชที่มองขนมและเครื่องดื่มตรงหน้าเอ่ยขึ้น และทำท่าจะลุกไปตามชานนเอาจริง ๆ จนรุจต้องดึงมือเอาไว้

    “ไม่ต้องหรอก คุณนนเหนื่อยมาทั้งวัน ให้เขาพักผ่อนจะดีกว่า...อีกอย่าง ถ้าคุณนนอยู่ด้วยเราจะมีเวลาปรึกษาหาเรื่องเซอร์ไพรส์วันเกิดของเขาได้ยังไงล่ะ”

    ธีรัชชะงัก แล้วจึงนั่งลงก่อนพยักหน้าหงึก ๆ

    “นั่นสินะ...แล้วตกลงจะเซอร์ไพรส์คุณนนยังไงดีล่ะ ...ถ้าเป็นไปได้ผมอยากอบเค้กวันเกิดด้วยตัวเอง แล้วให้คุณนนได้กินน่ะ”

    ธีรัชเสนอ ทำเอารุจเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา เพราะดูชายหนุ่มจะมุ่งมั่นเป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด

    “ทำเค้กให้คนที่ทำอาหารเก่งขนาดนั้นกินนี่นะ...ช่างกล้าคิดจริงนะ”

    ภูริเปรยขัด ทำให้คนฟังหันมาขมวดคิ้วยุ่ง

    “ถ้าตั้งใจเสียอย่างก็ทำออกมากินได้อยู่แล้วน่า อีกอย่างคนอย่างคุณนนน่ะ ต่อให้ออกมาแย่ขนาดไหน รับรองว่าเขาต้องกินอย่างดีใจแน่นอน!”

    ธีรัชแย้งกลับ ทำให้คนอื่นเงียบกริบ นิ่งคิดตาม และต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะนิสัยอย่างชานนนั้นเป็นอย่างที่ชายหนุ่มบอกไว้จริง ๆ

    “ผมว่าจะซื้อของขวัญสักชิ้นให้คุณนน...อยากให้เป็นของที่เขาจะใช้ได้จริง ๆ น่ะครับ”

    “อืม...งั้นพรุ่งนี้เช้า ๆ เราไปเลือกซื้อด้วยกันดีไหม”

    การินเสนอ แต่กวินนั้นแย้งออกไป

    “เช้ามากไปห้างยังไม่เปิดน่ะสิ  ร้านพวกเครื่องครัวอุปกรณ์แถวนี้ก็ไม่เห็นมีขายสักร้าน ใช่มะโย”

    “ใช่...ถ้าจะซื้อก็ต้องเข้าห้าง แต่ว่ากว่าห้างจะเปิด พวกเราก็เข้าทำงานกันแล้ว”

    “ถ้างั้นก็แวบไปตอนพักสิ กินเสร็จก็ขอคุณปวีร์แอบชิ่งออกไปสักพัก แล้วก็กลับมาไงล่ะ”

    กวินเสนอ ซึ่งวาโยกับการินก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ส่วนรุจนั้นถอนหายใจน้อย ๆ แล้วจึงบอกกับคนอื่นบ้าง

    “เชิญพวกนายตามสบายแล้วกัน สำหรับฉันตั้งใจว่าจะฝากคนรู้จักให้ซื้อ หรือไม่ก็สั่งทางเน็ต แล้วให้เขามาส่งด่วนที่ร้าน หรือส่งเป็น ems มาแทน  เพราะถ้าทางร้านส่งของวันศุกร์ยังไงเสาร์ก็ได้ของทันอยู่แล้ว ...แต่แน่นอนว่าต้องย้ำกับทางร้านด้วยล่ะนะ”

    ภูริรับฟังที่รุจบอกอย่างสนใจ ส่วนธีรัชนั้นตกลงใจจะทำเค้กให้ชานนด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าที่บ้านพักของไกรสรนั้นมีเตาอบด้วยหรือเปล่า

    “ไปปรึกษากับคุณตาสิ รับรองว่าได้ของครบที่อยากได้แน่ เผลอ ๆ ก็จะได้ครูฝีมือดีช่วยติวและสอนทำให้อีกด้วยนะ”

    รุจเสนอความเห็น ซึ่งธีรัชเองนั้นก็เห็นดีด้วย จากนั้นสักพักพวกเขาก็แกะขนมกินไปพลาง ดื่มเครื่องดื่มไปพลาง พร้อมกับปรึกษาเรื่องของขวัญกันไปพลาง จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน

    “เที่ยงคืนแล้ว แยกย้ายไปนอนกันดีกว่า ไม่งั้นพรุ่งนี้ตื่นมาเป็นหมีแพนด้า เดี๋ยวจะโดนคุณปวีร์บ่นเอาอีก”

    กวินที่เคยมีประสบการณ์ในการโดนบ่นบอกกับทุกคน จากนั้นก็หันไปยิ้มลาคนรักของตน ซึ่งการินเองก็ยิ้มอาย ๆ ตอบ ทางด้านภูรินั้นอยากจะจูบลาวาโยแต่ก็เกรงใจคนอื่นที่มองอยู่ จึงทำได้แต่บอกราตรีสวัสดิ์สั้น ๆ โดยวาโยเองก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวตอบอีกฝ่าย

    “หวานกันจริ๊ง อิจฉาคนมีคู่จังเนอะคุณรุจ ...อ๊ะ แต่คุณก็มีแล้วนี่ งั้นก็เหลือผมคนเดียวสินะ...เฮ้อ”

    ธีรัชเปรยบ่นเบา ๆ เพราะรู้เรื่องพนันของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ทางด้านรุจพอได้ฟังก็สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา แล้วตบบ่าอีกฝ่ายค่อย ๆ

    “ไม่ต้องคิดมากน่า เดี๋ยวอีกไม่กี่วันฉันก็กลับเป็นโสดเหมือนเดิมแล้วล่ะนะ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ แต่ทำเอาคนฟังแต่ละคนหันมามองชายหนุ่มตาปริบ ๆ แล้วแอบนึกสงสารไกรสรขึ้นมาทันที

    “งั้นพวกฉันไปล่ะ ราตรีสวัสดิ์นะทั้งสองคน”

    รุจหันมาลาการินกับวาโย ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเมื่อคนอื่นกลับห้องพักกันไปหมดแล้ว ทั้งสองคนก็หันมายิ้มน้อย ๆ ให้กัน และต่างก็ยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย พร้อมเอ่ยทักทายกันเองอีกครั้ง

    “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ รูมเมทคนใหม่”

    “อือ...ฉันเองก็ฝากตัวด้วยเช่นกันนะ”

    ทั้งคู่ยิ้มแย้มให้กัน และจากนั้นก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตนเอง อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และหลับลงในเวลาต่อมาไม่นานนัก



... TBC ...
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 13-09-2012 20:14:13
อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจัง
หนุ่มๆจะใส่อะไรกันน๊า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-09-2012 20:34:11
เอ๊ะๆ เนื้อคู่ธีจะใช่คนที่คิดหรือเปล่าน้า :z1:
จองโต๊ะวันเสาร์ล่วงหน้าได้ป่ะคะ อยากรู้จังเลยจะใส่ชุดธีมอะไร ตื่นเต้นๆๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 13-09-2012 22:53:43
คอนเซ็ปวันเสาร์จะเป็นอะไรน้า  :-[
เนื้อคู่ของธีรัชจะใช่คนที่คิดไว้รึเปล่าน้า  :กอด1:
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 14-09-2012 00:54:41
เนื้อคุ๋ธีรัช เอะ หรือคนนั้น
และรอคอยวันเสาร์
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 14-09-2012 01:09:53
คู่รุจกับเฮียไกรสรนี่น่าสนุกเนอะ :z1: :z1:


รออ่านจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 14-09-2012 09:58:43
เสาร์นี้จะเป็นแบบไหนน๊า
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 14-09-2012 10:58:21
ธีกับคุณนน ใช่ไหม

*0* อยากจะยิ้มกว้างงงง

คุณภูริอยากจะจูบลาแต่ทำไม่ได้เสียดายอ่าาา

ฮู้ววว รอตอนต่อไปน้าา
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 14-09-2012 11:25:53
รอวันอาทิตย์
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 14-09-2012 12:45:22
รอร้านเปิดวันเสาร์
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Noi ที่ 14-09-2012 19:08:14
รอเปิดร้านวันเสาร์ :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-09-2012 19:31:27
ธีคงคิดจะหาพ่อครัวส่วนตัวใช่มั๊ยนี่   :o8:
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: jidapa ที่ 14-09-2012 19:35:44
อ่า  น่าสนุกจัง วันเสาร์นี้ ฮิๆ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 14-09-2012 19:51:59
คู่สุดท้ายป่าวนิ ไกรสรกับรุจ
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 15-09-2012 05:08:57
โอ๊ยพี่รุจ ใจแข็งจริงอะไรจริง><
หัวข้อ: Re: :: Miracle Café :: คาเฟ่อลวน คนอลเวง ♥ ตอนที่ 40 : อัพเดท 13/9/55 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 15-09-2012 07:35:57
หรือว่าจะให้ธีคู่กับชานน คงไม่ใช่เนอะ
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 15-09-2012 21:15:01
** ยังคงเป็นเรื่องราวของหนุ่มธีต่อนะจ๊ะ ^^




Miracle Café / 41






     วันถัดมาธีรัชนั้นตื่นแต่เช้า เพราะยังปรับตัวเข้ากับสถานที่ไม่ค่อยได้ แม้ว่าห้องใหม่นั้นจะสะดวกสบายกว่าห้องเก่าอยู่มากก็ตาม

    ชายหนุ่มตัดสินใจลงมาวิ่งออกกำลังกายรอบบ้านพัก ทว่าพอลงมาถึงก็เห็นชานนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้านพักพอดี

    “อ้าว...คุณนน ตื่นแต่เช้าจังเลยนะครับ ตื่นนานแล้วหรือครับเนี่ย!”   

    ธีรัชวิ่งเข้าไปทักทายอีกฝ่ายพร้อมยิ้มกว้าง ซึ่งชานนก็หันมายิ้มน้อย ๆ ตอบ

    “ผมตื่นค่อนข้างไวน่ะครับ ตื่นเสร็จก็ไปจ่ายกับข้าวมาเตรียมไว้ ทั้งของที่นี่และที่ร้าน จากนั้นก็ทำงานบ้านจิปาถะ แล้วก็ออกมารดน้ำต้นไม้นี่ล่ะครับ”

    คนฟังกลืนน้ำลายลงคอต่อพฤติกรรมของอีกฝ่าย ที่สมแล้วกับการได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูแลบ้านพักที่นี่

    “คุณนนทำงานหนักจะตายในแต่ละวัน แล้วยังจะตื่นเช้าอีก อย่างนี้จะมีเวลานอนพักพอหรือครับ”

    ธีรัชถามอย่างเป็นห่วง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไปตามตรง

    “วันหนึ่งผมนอนสี่ถึงห้าชั่วโมงก็เพียงพอแล้วล่ะครับ นอนมากไปกว่านั้นจะพาลปวดเมื่อยร่างกายเอา อีกอย่างก็ไม่ใช่เพิ่งมาทำ มันเป็นความเคยชินตั้งแต่เด็กน่ะครับ”

    ธีรัชถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงชวนอีกฝ่ายคุยต่อ

    “คุณนนนี่นะ ใครได้เป็นแฟนล่ะก็ โชคดีตายเลย... เอ่อ แล้วคุณนนยังโสดอยู่ไหมครับเนี่ย”

    ชานนหัวเราะในลำคอ แล้วจึงตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี

    “อย่างผมน่ะหรือครับ สาวไหนเขาจะมาสน ...อีกอย่างถึงจะมีคนสน แต่วัน ๆ ผมก็เอาแต่ทำงาน คงไม่มีเวลาดูแลเขาหรอกครับ...ผู้หญิงต้องการคนเอาใจใส่ และมีเวลาว่างให้พวกเธอไม่ใช่หรือครับ”

    ธีรัชนิ่งรับฟังก่อนจะลอบถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ชานนพูดมานั้น มันก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมดเสียทีเดียว

    “น่าเสียดายนะครับ...คุณนนเอาแต่ดูแลคนอื่น น่าจะมีคนอื่นมาคอยดูแลคุณบ้าง”

    ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างนึกห่วง แม้จะแปลกใจว่าทำไมตนถึงต้องรู้สึกสนอกสนใจคนตรงหน้าขนาดนี้ด้วย

    “มีสิครับ...ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ก็มีพวกคุณวาโยมาคอยช่วยเป็นลูกมือทำอาหารบ้าง ทำงานบ้านบ้าง แล้วอย่างคุณก็คอยมาดูแลสอบถามเอาใจใส่ ...สำหรับผมแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วล่ะครับ”

    ธีรัชนิ่งอึ้ง แล้วจึงฝืนยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวไปวิ่งออกกำลังกายต่อ ซึ่งชานนก็พยักหน้ารับรู้และรดน้ำต้นไม้ต่อไป



    ‘แค่นั้นก็มีความสุขแล้วหรือ...ทำไมมักน้อยจังนะ...ไอ้เราก็แปลก ทำไมถึงอยากเห็นคนคนนั้นมีความสุขให้มากกว่านี้ ...อยากเห็นรอยยิ้มของเขามากกว่านี้...ทำไมกัน’

    ธีรัชวิ่งไปพลางคิดในใจอย่างนึกสับสนตัวเอง เขาวิ่งออกไปนอกเขตบ้านพัก ไปวนแถวร้านมิราเคิลคาเฟ่ แล้วกลับมาที่บ้านพักอีกรอบ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นชานนกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกับปยุตอยู่

    “อ้าว! กลับมาแล้วหรือครับคุณธีรัช”

    “ครับ...สวัสดีคุณปยุตด้วยนะครับ”

     ธีรัชหันไปทักทายพ่อบ้านของปวีร์ที่เพิ่งเคยเจอเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อย ๆ ตอบ จากนั้นชานนจึงเป็นฝ่ายบอกกับธีรัชว่าทำไมปยุตจึงมาอยู่ที่นี่

    “คุณปยุตแวะมาแจ้งว่าเช้านี้คุณปวีร์กับคุณราเมศจะมาทานอาหารเช้าด้วยน่ะครับ แล้วก็เลยจะมาเป็นผู้ช่วยผมเตรียมอาหารอีกตามเคย”

    “ช่วยไม่ได้นี่ครับ เพราะคุณปวีร์ติดรสมือคุณนนมากกว่าผมนี่นะ”

    ปยุตเอ่ยกระเซ้า ทำให้ชานนหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบอีกฝ่าย

    “ไม่หรอกครับ ที่คุณปวีร์ชอบมาทานที่นี่ ผมว่าเพราะที่นี่คนเยอะครึกครื้นมากกว่า อีกอย่างคุณเองก็เป็นครูสอนอาหารผมเองตั้งหลายอย่างไม่ใช่หรือครับ”

    “แต่ตอนนี้ฝีมือลูกศิษย์นำหน้าครูไปจมแล้วล่ะครับ”

    ปยุตตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ธีรัชที่เฝ้ามองทั้งคู่สนทนากันชักเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ โดยเฉพาะเวลาเห็นชานนยิ้มแบบสนิทสนมเป็นกันเองกับปยุตมากกว่าเวลายิ้มกับตน

     “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

    ธีรัชเอ่ยขัดขึ้นด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้มและซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ โดยที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม ทางด้านชานนนั้นหันมาพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ส่วนปยุตกลับจ้องมองชายหนุ่มนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแย้มน้อย ๆ ตามมา

    “เชิญตามสบายครับ”

     ธีรัชฝืนยิ้มตอบ แล้วเดินกลับขึ้นห้องไปอย่างหงุดหงิด เป็นเวลาเดียวกับที่รุจเปิดประตูออกมาพอดี

    “...เป็นอะไรไป หงุดหงิดอะไรมาหรือ”

    คนถูกทักชะงัก เขานิ่งไปสักพัก แล้วจึงถามอีกฝ่ายกลับ

    “หน้าผมดูเป็นแบบนั้นจริงหรือครับ”

    รุจเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าตอบรับค่อย ๆ

    “อืม... พอมองแล้วก็เหมือนกับว่ากำลังไม่พอใจ อารมณ์เสียนิด ๆ ทำนองนั้นล่ะ”

    ธีรัชเงียบกริบ เขาย้อนทบทวนตัวเองว่ากำลังไม่พอใจเรื่องอะไรกันแน่ ที่ผ่านมาก็แค่เห็นชานนคุยยิ้มแย้มกับปยุตอย่างถูกคอสนิทสนมก็แค่นั้น

    “ธีรัช...ยังโอเคอยู่ไหม”

    รุจทักต่อเพราะจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป นั่นจึงทำให้คนฟังชะงัก มองคนทักหน้าตื่น แล้วรีบบอก

    “มะ...ไม่เป็นไรครับ ขอตัวก่อนนะครับ ว่าจะไปล้างหน้าสักหน่อย”

    บอกแล้วธีรัชก็จ้ำพรวดเข้าห้องส่วนตัวของตน แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาจ้องตัวเองในกระจกครู่หนึ่ง ก่อนจะหน้าแดงวาบเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาได้

    “บ้าน่า...กับคุณนนนี่นะ...เป็นไปไม่ได้หรอก”

    ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างสับสน แม้เขาจะยอมรับว่าเขาชอบทั้งชายและหญิง แต่กับชานนที่อายุมากกว่าแถมยังห่างไกลจากสเป็คผู้ชายที่เขาชอบ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะคิดกับอีกฝ่ายแบบนั้นขึ้นมาได้

    “ไอ้ธีเอ๊ย...เป็นอะไรไปวะ...ทำไมยิ่งคิดถึงเขายิ่งใจเต้นแรงขึ้นมาแบบนี้กันได้เล่า...โธ่โว้ย!”

    ธีรัชบ่นอุบ เขาวักน้ำจากก๊อกน้ำขึ้นล้างหน้า แล้วปิดก๊อกก่อนเดินออกมาเอนกายบนเตียงนอนในห้อง พลางหวนคิดถึงผู้ชายอีกคนที่ทำให้เขาเกิดความสับสนอยู่ในขณะนี้

    “ไม่ได้ปิ๊งตั้งแต่แรกพบแท้ ๆ...ก็แค่รู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้ก็เท่านั้น ...แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ขึ้นมาได้นะ”

    ธีรัชพึมพำแผ่วเบา ตั้งแต่เขามาอยู่ที่ร้านชานนก็คอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินของเขามาโดยตลอด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติเพราะอีกฝ่ายก็ทำแบบนี้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน ...แต่พอได้พูดคุย ได้รู้เรื่องของเชฟหนุ่มมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายมากขึ้น

     ปกติเขาก็เป็นคนที่ชอบคนอื่นได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว แต่ความรู้สึกที่มีกับชานนมันแตกต่างออกไป ไม่ได้นึกอยากจีบอีกฝ่ายมาเป็นแฟนเล่น ๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่กลับอยากคอยเฝ้าดู และเห็นเจ้าตัวมีความสุขอยู่ทุกวันมากกว่า และก็ไม่อยากเห็นชานนยิ้มแย้มสนิทสนมกับใครมากกว่าเขาด้วย

    “...ใจเย็น ๆ น่า ...เราก็อาจจะแค่ชอบเขาแบบหวงมากกว่ารักก็ได้”

    ธีรัชเอ่ยเข้าข้างตัวเอง และพยายามคิดว่าที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะมองชานนซ้อนทับภาพพ่อกับแม่ที่เสียไป  เนื่องจากไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมานานแล้ว พอมาเจอการปฏิบัติเอาใจใส่แบบที่ชานนมีต่อเขา จึงทำให้เขารู้สึกดีและอยากยึดอีกฝ่ายเป็นของเขาคนเดียวเช่นที่กำลังรู้สึกอยู่นี้

    “ใช่แล้วไอ้ธี...มันต้องเป็นอย่างนั้นนั่นล่ะ...เฮ้อ โชคดีที่ไม่เผลอหลุดอาการต่อหน้าคุณนนนะนั่น...ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้...”

    เมื่อคิดว่าชานนอาจจะเข้าใจตนผิด และพาลทำให้เหินห่างกันไป ธีรัชก็รู้สึกปวดแปลบในหัวใจขึ้นอย่างประหลาด เจ้าตัวพยายามปฏิเสธว่าสิ่งนั้นหาใช่ความรักในอีกรูปแบบไม่  และนั่งคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย จนกระทั่งรุจนั้นมาเคาะประตูห้องของเขาเบา ๆ

    “ธีรัช... ลงไปกินข้าวได้แล้ว อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้วล่ะ”

    ธีรัชสะดุ้งโหยงพลางเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเขาเอาแต่คิดเรื่องชานนอยู่เพลินจนไม่ได้ทันสังเกตรอบด้าน

    “อะ ...ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”

    ธีรัชบอกแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง รุจลอบสังเกตรูมเมทคนใหม่ของเขาอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าถูกมอง จึงแสร้งยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วเดินนำลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

   

    อาหารมื้อเช้าในวันนั้นทำเอาธีรัชถึงกับตกตะลึง ในเมื่อมันมีของชอบของเขาเต็มไปหมด เจ้าตัวหันไปมองชานนอย่างนึกทึ่ง คำพูดที่เหมือนจะชวนคุยเรื่องอาหารของเขากับอีกฝ่ายตามมารยาทเมื่อตอนเจอกันครั้งแรก ๆ แต่ชานนกลับจดจำรายละเอียดได้ทุกอย่าง และทำอาหารที่เขาเคยบอกว่าชอบมาให้แทบทุกชนิด

    “อ้าว! ยืนอยู่ทำไมล่ะธีรัช นั่งลงสิ”

    ปวีร์ที่หันไปเห็นเอ่ยทัก ชายหนุ่มรีบพยักหน้าหงึก ๆ แต่กลับพยายามข่มจิตข่มใจสงบสติอารมณ์ และแสดงใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติเต็มที่ และพยายามไม่มองหน้าชานนจนเจ้าตัวสังเกตเห็น

    “เอ่อ...อาหารมื้อเช้านี้เป็นยังไงครับ พอใจหรือเปล่า”

    ชานนลองถามอย่างกังวล เพราะเขารับปากธีรัชว่าจะทำมื้อเช้าเลี้ยงต้อนรับอีกฝ่ายอย่างสุดฝีมือ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะพยายามหลบตาเขาตลอดมื้ออาหารจนผิดปกติกว่าทุกครั้ง

    “อะ! พอใจสิครับ! พอใจมาก ๆ เลย!”

    ธีรัชรีบหันมาโพล่งบอก แต่ก็ยังเห็นแววตาลังเลแฝงความกังวลของอีกฝ่าย เจ้าตัวจึงกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเกาแก้มเขิน ๆ ขณะพูด

    “คือ...ผมดีใจมากไปหน่อย ...จนถ้าเผลอมองหน้าคุณนน แล้วกลัวจะลืมตัวร้องไห้ให้เห็นน่ะครับ...แหะ ๆ ตั้งแต่แม่ตาย ก็ไม่เคยมีใครทำอาหารที่ผมชอบให้กินแบบนี้นานแล้วน่ะครับ”

    คนอื่นพากันเงียบกริบ กระทั่งชานนด้วยเช่นกัน ก่อนที่เชฟหนุ่มจะยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วบอกกับคนตรงหน้า

    “ถ้าอย่างนั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษ ก็บอกผมได้นะครับ ผมยินดีทำให้เสมอ... ไม่เพียงแค่คุณธีรัชนะครับ ทุก ๆ คนก็ด้วย”

    คนอื่น ๆ ต่างยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ จากนั้นต่างก็คุยกันไปกินกันไปด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยและมีความสุข จนทำให้คนทำอาหารมีรอยยิ้มตลอดมื้อนั้น



    พออาหารมื้อเช้าสิ้นสุดลง ธีรัชก็ยืนกรานจะเป็นฝ่ายเก็บล้างจานเองและให้ชานนไปนั่งพัก แม้จะไม่อยากทำตาม แต่เชฟหนุ่มก็ทนลูกตื๊ออีกฝ่ายไม่ไหว จึงยอมไปนั่งพักตามที่ธีรัชขอ จนปวีร์ที่มองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับนึกทึ่ง

    “นาน ๆ จะเห็นคุณนนยอมใครเรื่องงานบ้านแบบนี้สักทีแฮะ”

    “นิสัยแบบนั้นล่ะที่ฉันอยากให้เขาเปลี่ยน เขารับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเองจนเกินไป นี่ถ้าไปอยู่กับคนเห็นแก่ตัว มีหวังโดนเอาเปรียบได้ง่าย ๆ ล่ะนะ”

    ราเมศเปรยขึ้นบ้าง ทำให้ปวีร์หันมามองคนรัก แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก

    “แสดงว่าเขาโชคดีที่มาอยู่กับคนใจกว้างอย่างฉันใช่ไหมล่ะ”

    “ใจกว้างหรือ...เรียกว่าเอาแต่ใจจะเหมาะกว่ามั้ง”

    ปยุตที่อยู่แถวนั้นหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงเก๊กหน้าเรียบเฉย เมื่อปวีร์หันขวับไปมอง

    “เชอะ! ถ้าไม่ชอบขนาดนั้น ก็ไปหาแฟนใหม่ที่ไม่เอาแต่ใจเหมือนฉันแทนสิ”

    ชายหนุ่มพึมพำบ่น แต่ราเมศมองดูก็รู้ว่าปวีร์แกล้งทำเป็นบ่นไปอย่างนั้นเอง

    “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ชอบที่นายเอาแต่ใจสักหน่อยนี่ ...ไม่เอาน่า มาเล่นงอนให้ง้อแบบนี้ เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจับจูบโชว์เด็กพวกนั้นเสียหรอก”

    ปวีร์หน้าแดงระเรื่อ แล้วแอบหยิกเอวราเมศแรง ๆ จนอีกฝ่ายร้องอุทานด้วยความเจ็บ

    “คนอะไรไม่รู้หื่นได้หื่นดี ถ้ารู้ว่าหื่นแบบนี้ ไม่สารภาพรักเสียก็ดีหรอก!”

    ปวีร์แกล้งประชดอย่างนึกหมั่นไส้ แล้วจึงเดินเลี่ยงหนีไปอยู่กับชานน เพราะเกรงว่าคนรักจะเอาคืนเขาเข้าให้ ทำเอาราเมศต้องถอนหายใจอย่างเอือมระอา ส่วนปยุตนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเดินตามนายจ้างของตนไปหาชานนด้วยเช่นกัน



    “คุณนนครับ วันเกิดที่จะถึงนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

     จู่ ๆ ปยุตก็เปรยถามคนที่นั่งพักอยู่เฉย ๆ ด้วยเนื้อความที่ทำเอาชานนสะดุ้ง แล้วหันมามองคนถามตาปริบ ๆ ส่วนคนอื่นนั้นทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ต่างก็รอฟังว่าเชฟหนุ่มจะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไรกันแน่

    “คุณปยุตก็อีกคน... เรื่องวันเกิดของผม ไม่ต้องใส่ใจนักหรอกครับ แค่พาไปเที่ยวแล้วฉลองให้กันแบบนั้นก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

    ชานนตอบอย่างยังคงเกรงใจไม่หาย ทำให้ปวีร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนปยุตแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

    “นั่นมันโปรแกรมของคุณปวีร์เขา แต่ผมเองก็อยากให้ของขวัญขอบคุณ คุณนนเหมือนกันนี่ครับ”

    พอปยุตพูดจบเสียงจานวางกระแทกก็ดังขึ้นตามทันที เพราะธีรัชนั้นเผลอพลั้งมือวางประชดด้วยความหงุดหงิดอย่างลืมตัวนั่นเอง

    “ง่า...ขอโทษครับ มันลื่นแล้วหลุดมือ แต่ไม่แตกหรอกครับ แหะ ๆ”

    ชายหนุ่มรีบเอ่ยแก้ตัวแล้วหันกลับไปล้างจานต่อเงียบ ๆ ทำเอาปวีร์ต้องมองตามอย่างแปลกใจ ก่อนจะชะงักเมื่อหันมาเห็นสีหน้าพ่อบ้านของตน

    “มีอะไรดี ๆ หรือไงปยุต” ชายหนุ่มหันไปถามอย่างสงสัย ซึ่งพ่อบ้านของเขาก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

    “ไว้คุยกันตอนกลับบ้านดีกว่าครับคุณปวีร์”

    ปวีร์ยักไหล่นิด ๆ ถ้าลองปยุตตัดบทแบบนี้ ก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่พูดต่อหน้าคนอื่นไม่ได้แน่

    “จริงสิ…แล้วคุณนนว่ายังไงครับ เรื่องของขวัญ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”

    ชานนมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจตามมา

    “เอาแบบปีก่อนก็ได้ครับ”

    คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ แต่คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวพากันชะงัก และยิ่งอยากรู้ว่าทั้งคู่หมายถึงอะไรกันแน่ ทางด้านปยุตนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้

    “โอเคครับ แบบปีก่อนก็ได้”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมาขอตัวกับปวีร์แล้วกลับบ้านพักไปก่อน ส่วนปวีร์นั้นยังไม่กลับ เขามองราเมศที่เดินมาสมทบ แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    “เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปรับชุดจากร้านคุณราตรีนะ อาจจะเข้ามาเที่ยง ๆ ก็ได้ ฝากนายดูแลร้านแทนฉันด้วย ...อ้อ! แล้วอย่าให้พี่ไกรยุ่มย่ามกับพนักงานของเราเกินความจำเป็นด้วยล่ะ!”

    ราเมศสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ส่วนรุจพอได้ยินก็อมยิ้มน้อย ๆ  และเมื่อล้างจานเสร็จ ปวีร์ก็เรียกทุกคนมารับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงเวลาพัก โดยจะยึดของเดิมเป็นหลัก แต่ก็ให้ธีรัชนั้นพักแทรกระหว่างการพักของพนักงานทั้งสองช่วง ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วย จากนั้นทั้งหมดก็พูดคุยกันถึงเรื่องงานอีกเล็กน้อย แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปในที่สุด

     

     จากนั้นอีกสักพักใหญ่ ๆ ในห้องครัวก็เหลือแต่ธีรัชที่ยังคงยืนอยู่ต่อ โดยเจ้าตัวอ้างกับรุจว่าเขาจะออกกำลังกายโดยการเดินย่อยไปมาด้านล่างนี่อีกสักพัก  ทั้งที่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มนั้นอยากไปถามชานนถึงเรื่องของขวัญที่อีกฝ่ายคุยกับปยุต แต่ก็เกรงเชฟหนุ่มจะหาว่าเขาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวจนเกินไป

    “เฮ้อ...ขึ้นห้องดีกว่าแฮะ”   

เจ้าตัวตัดสินใจขึ้นไปพักผ่อนรอเวลาทำงานที่ห้องส่วนตัวแทน หลังจากที่ยืนมาได้ครู่ใหญ่ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพอหันไปก็เห็นชานนกำลังถือน้ำผลไม้เดินมาส่งให้เขา

    “แทนคำขอบคุณที่ช่วยงานบ้านครับ”

    ธีรัชรับน้ำแก้วนั้นมาด้วยความดีใจ แล้วยิ้มเขิน ๆ ส่งให้

    “ขอบคุณครับ...”

    “คุณธีรัชมีอะไรหรือเปล่าครับ ผมมองมาก็เห็นคุณยืนอยู่แถวนี้ตั้งนานแล้ว”

    ชานนตัดสินใจถามด้วยความเป็นห่วง ทำให้คนฟังรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ก็ตัดสินใจแก้ตัวไปแทน เพราะไม่อยากให้ชานนรู้ว่า เขากำลังสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายกับปยุตสนทนากัน

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมคิดอะไรเพลิน ๆ ก็เลยเผลอยืนเหม่ออยู่นาน แหะ ๆ”

    “อ้อ...อย่างนั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าคุณมีปัญหาอยู่เสียอีก”

    ชานนบอกอย่างโล่งอก ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อนในห้องของตนบ้าง ซึ่งธีรัชก็พยักหน้ารับรู้ พลางมองแก้วน้ำผลไม้ในมือด้วยใบหน้ายิ้มน้อย ๆ แล้วจัดแจงดื่มจนหมด จากนั้นจึงขึ้นไปบนห้องพักด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสยิ่งกว่าเดิม และยังคงเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเวลาทำงานมาถึง





... TBC...
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-09-2012 21:28:00
ตกหลุมรักชานนจนได้  อยากอ่านคู่วาโยอีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 15-09-2012 21:39:45
เชียรคู่นี้ค่ะ  น่ารักดี แต่ปยุต จะแก้อะไรธรัชละนี่ อิอิ
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 15-09-2012 21:48:13
 :-[
ลุง เอ้ย!  คุณชานนจะโดนเด็กกิน
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 15-09-2012 22:04:36
ธีรัชเอ๊ย  หลงเสน่ห์ปลายจวักเค้าแล้วล่ะสินั่น  ฮ่าๆ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 15-09-2012 22:12:51
ธีรัชกับชานนเหรอเนี่ย 5555 เหนือการคาดเดามาก
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 15-09-2012 22:18:50
หุหุ และแล้วธีก็ตกหลุมรักคุณนน

ชอบคู่นี้ ชอบบุคลิกคุณนนมาก ธีรุกเลยๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 15-09-2012 22:20:05
 :-[ :-[โผ่ลมาอีกคู่แล้ว :z1: :z1:


ธีกับนนท์ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 16-09-2012 00:00:37
ว่าแล้วธีรัชต้องรู้สึกแปลกๆกับคุณนนท์ 555+ ดูเป็นอีกคู่ที่อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 16-09-2012 07:32:53
สงสัยต้องไปหัดทำกับข้าวบ้างซะแล้ว รู้สึกว่าใครโดนเสน่ห์ปลายจวักเข้าใส่ไม่รอดซักราย ธีรัชก็ด้วย :z1:
เอาตัวเองผูกโบว์ให้ชานนดีไหมอะธีรัช ของขวัญวันเกิดน่ะ :haun4:
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 16-09-2012 09:39:20
กรี๊ดๆๆๆ ดูคุณนนจะไม่รู้ตัวเลยนะ

ธีรัชก็รีบเคลียร์ความรู้สึกตัวเองนะจ้าา

รออ่านตอนต่อไปค้าบบ
หัวข้อ: Re: ☼ Miracle Café ☼ คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 16-09-2012 13:07:25
พอตกหลุมรักแล้วผิดมาดธีรัชจอมกวนไปเลยนะ
แต่ดูท่าคุณชานนยังไม่รู้ตัวเลยนะว่ามีใครสนใจตัวเองอยู่
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 41 ◄ อัพเดท 15/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 16-09-2012 14:58:54
ธีรัชชอบชานนงั้นหรือ แล้วชานนคิดยังไงกับธีรัชกันนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 17-09-2012 09:00:15

** เห็นมีคนบ่นว่าหนูโยหายไปเลย ตอนนี้จึงเอาหนูโยกับนายภูมาแจมให้อ่านกันค่ะ  ส่วนคู่อื่น ๆ ก็ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ นะคะ  แต่คู่เด่นของช่วงนี้ คือคู่ของคุณไกร กับนายรุจ   และคู่ของนายธีกับคุณนน (?)  ค่ะ  อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ ^^



Miracle Café / 42





     รุจเหลือบมองคนที่นั่งข้างเขาอย่างเอือมระอา เมื่อวานนี้ที่ลองชวนให้มานั่งเฝ้าตู้ขนม เขาก็แค่พูดไปเล่น ๆ แต่ไม่คิดว่าไกรสรจะยอมเอาจริงแบบนี้

    “คุณนี่นะ ผมยอมให้คะแนนตื๊อเต็มร้อยเลยล่ะ”

    รุจเปรยขึ้นมาให้อีกฝ่ายได้ยิน ทำเอาไกรสรหลุดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

    “แต่คะแนนความชอบก็ติดลบร้อยเหมือนกันนะครับ”

    คนฟังถอนหายใจหนัก ๆ แต่ก็ยังคงยิ้มให้คนข้างกายเหมือนเดิม

    “บวกลบกันแล้วได้ศูนย์ ก็ยังดีกว่ามีคะแนนติดลบล่ะนะ”

    รุจหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ถ้าไกรสรไม่มาจีบเขา อีกฝ่ายก็คงเป็นเพื่อนคุยที่ดีได้คนหนึ่ง ความจริงเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรชายหนุ่มสักนิด แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นรักด้วยเช่นกัน

    “ว่าแต่เธอยืนแบบนี้เมื่อยตาย ทำไมไม่หาเก้าอี้สูง ๆ มานั่งล่ะ ก็คิดเงินได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

    ไกรสรเอ่ยทักตามมา ทำให้รุจหันไปมอง แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่าย

    “คนอื่นเขายังยืนทำงานนี่ครับ อีกอย่างผมก็แค่ยืนเฉย ๆ ถ้าเทียบกับพวกนั้นที่ต้องเดินไปเดินมาแล้ว ผมว่างานผมยังสบายกว่าเยอะเลยนะครับ”

     คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มตอบตามเดิม จากการที่ได้เฝ้าดูและพูดคุยกันได้สักระยะ มันทำให้ไกรสรรู้ว่า คนที่เขาสนใจนั้นเป็นคนดีสมดังที่น้องสาวเขาเคยบอกเอาไว้จริง ๆ ถึงจะมีบางครั้งที่ชอบทำตัวปากร้ายหรือแกล้งเขาให้หงุดหงิดบ้างก็ตาม

   

    ช่วงก่อนเปิดร้านทางด้านธีรัชนั้นไปกระซิบกระซาบบางอย่างอะไรกับขวัญตา จนชานนต้องแอบชำเลืองมองอย่างแปลกใจ จากนั้นพอถึงเวลาพักกลางวันของเจ้าตัว ขวัญตาก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนอะไรบางอย่างคล้ายสูตรอาหารส่งให้กับชายหนุ่ม ธีรัชรับมาพร้อมกับยิ้มขอบคุณ แล้วจึงหยิบอาหารกลางวันของตนวิ่งขึ้นไปทานบนห้องพัก แทนปกติที่มักจะนั่งทานในห้องครัวและคอยพูดคุยกับเชฟทั้งสองไปด้วย ทางด้านขวัญตานั้นมองไล่หลังชายหนุ่มไปอย่างเอ็นดู แล้วจึงหันมาพูดกับคนข้าง ๆ

    “คุณนนนี่ป๊อบปูล่าจังนะคะ”

    “เอ๋? ผมหรือครับ”

    ชานนรับคำอย่างแปลกใจ ขวัญตาหัวเราะเบา ๆ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทิ้งให้ชานนงุนงงได้สักพัก ทว่าพอมีออเดอร์เข้ามา เชฟหนุ่มก็ลืมเรื่องก่อนหน้าทั้งหมด และหันมาสนใจกับการทำอาหาร จนขวัญตาที่ลอบมองอยู่ต้องอดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้

   

    ธีรัชเดินเข้าไปในห้องพัก ก็เห็นภูริกับวาโยกำลังนั่งคุยกันใกล้ชิดเกินปกติ วาโยพอเห็นชายหนุ่มก็หน้าแดงวาบแล้วขยับหนีห่างภูริ ส่วนภูรินั้นตีสีหน้าบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์เพราะไม่คิดว่าธีรัชจะยกอาหารขึ้นมากินด้านบนในเวลาพักของเจ้าตัวแบบนี้

    “หือ...ตามสบาย จีบกันต่อไปได้เลย คิดเสียว่าฉันเป็นต้นไม้หรือสิ่งของก็ได้ ฉันไม่แซวหรอก”

    ธีรัชบอกยิ้ม ๆ อย่างเข้าใจดี เจ้าตัวเดินไปนั่งกินข้าวอีกมุมของห้อง แล้วหยิบกระดาษสูตรขนมที่ขวัญตาจดมาให้ เอามาอ่านทวนพร้อมกับหยิบมือถือของตนขึ้นมาเซิร์ซหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต  เจ้าตัวกินไปพลางดูข้อมูลไปพลาง จนสองคนก่อนหน้านั้นเปลี่ยนมาจ้องมองชายหนุ่มอย่างสนใจแทน

    “ดูอะไรน่ะ คลิปโป๊หรือไง”

    ภูริเอ่ยทัก ทำเอาวาโยสะดุ้งหน้าแดง ส่วนธีรัชแทบสำลักข้าว

    “คิดได้ไงวะนั่น...ฉันดูสูตรอาหารอยู่ต่างหาก  ส่วนคลิปฉันไม่ดูผ่านมือถือหรอก จอมันเล็กไป ฉันไว้ดูในคอมที่ห้องโน่น!”

    ทีแรกวาโยเตรียมจะมองคนพูดในแง่ดีเข้าให้แล้ว แต่พอธีรัชเอ่ยตามมาในประโยคท้าย เขาก็ยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้ ก่อนจะเหลือบมามองภูริที่เป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย ด้วยสายตาสงสัยระคนหวาดระแวง ว่าชายหนุ่มจะชอบดูเหมือนอย่างธีรัชด้วยหรือเปล่า

    “ทำไมมองแบบนั้น...บอกไว้เลยนะ ฉันไม่ชอบดูอะไรพวกนั้นหรอกนะ”

    ภูริรีบบอกเมื่ออ่านสายตาของวาโยได้ ทำเอาคนมองหน้าแดงวาบ แล้วรีบหลบตา

    “ใช่ ...หมอนั่นไม่ชอบดูคลิปหรอก ชอบปฏิบัติจริง ๆ มากกว่า แถมไม่ต้องไปจีบด้วยนะ สาว ๆ มาให้หิ้วเองถึงที่ประจำเลยด้วย”

    ธีรัชเอ่ยเสริม ทำเอาภูริสะดุ้งและวาโยเงียบกริบ ก่อนจะเมินมองทางอื่นนิด ๆ อย่างรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

    “ถึงมาให้หิ้ว แต่ฉันก็ไม่ได้หิ้วบ่อยนี่หว่า ให้ตายเหอะ เห็นว่าดูแปลก ๆ ไปเมื่อเช้าแท้ ๆ ...ที่ไหนได้ ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด!”

    ภูริบ่นอุบอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหันไปมองวาโย ที่ยังคงทำเป็นเมินหนีเขาเช่นเคย

    “แล้วยิ่งตอนนี้ ฉันมีคนสำคัญที่สุดเป็นของตัวเองแล้วด้วย... ไม่มีทางที่จะมองคนอื่นแบบนั้นได้หรอก”

    คำพูดที่ตามมาทำให้คนฟังหน้าร้อนวูบวาบ แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองอยู่ดี ทว่าใบหูแดง ๆ ของเจ้าตัว ก็ทำให้ภูริยิ้มน้อย ๆ ออกมาได้

    “เฮ้อ! อิจฉาคนมีคู่ชะมัด...ฉันเองก็อยากมีเหมือนกันนะ...”

    ธีรัชเปรยดัง ๆ ขัดจังหวะอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหวนนึกถึงชานนขึ้นมาอย่างที่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เจ้าตัวหน้าแดงระเรื่อ แล้วสบถอุบอิบกับตัวเองตามลำพัง

    “โธ่โว้ย...บ้าชะมัด...มันต้องไม่เป็นแบบนั้นสิวะ...”

    ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องสะดุ้งที่เห็นทั้งวาโยและภูริที่จ้องมองมา เพราะทั้งสองคนนั้นหันมาเห็นตอนธีรัชมีปฏิกิริยาแปลก ๆ เข้าพอดี

    “เป็นอะไรไป...หรือว่าไปแอบชอบใครเข้าให้แล้ว”

    ภูริลองคาดเดาจากอาการผิดปกติของเพื่อนสนิท แต่คำพูดของเขาก็ทำให้คนฟังชะงัก แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปมองอีกทางอย่างร้อนตัว

    “...โกหกน่า อย่างนายนี่นะจะไปหลงรักใครกับเขาได้...ใครกัน ...คนในร้านหรือเปล่า!”

    ภูริรีบถามอย่างสนใจ เช่นเดียวกับวาโยที่ไม่เคยเห็นธีรัชแสดงอาการเขินให้เห็นมาก่อน ขนาดตอนทำมาเป็นจีบเขาหรือการิน เจ้าตัวยังคงยิ้มแย้มร่าเริงตลอดเวลาแท้ ๆ

    “อ๊ะ หรือว่าจะเป็น...”

    วาโยอุทานเบา ๆ เมื่อนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ ธีรัชสะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันขวับมาทางชายหนุ่มทันที

    “คุณไกรสรหรือครับ อะ...แต่ว่าคุณไกรสรชอบคุณรุจนี่นะ...”

    ท้ายประโยควาโยเอ่ยเสียงแผ่วอย่างกลัวธีรัชเสียใจ ทว่าภูริที่ได้ฟังกลับขมวดคิ้วยุ่ง แล้วหันไปมองเพื่อนสนิทตาปริบ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ทางด้านธีรัชนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วจึงรีบโวยวายแก้ตัวตามมา

    “บ้ารึ! ใครจะไปชอบคนประเภทเดียวกันได้ แถมยังล่ำถึกขนาดนั้นด้วย ไม่มีทาง!”

    วาโยชะงักแล้วจึงยิ้มเจื่อน ๆ เพราะดูจากท่าทางปฏิเสธเด็ดขาดของธีรัชแล้ว คงไม่ใช่แบบที่เขาคิดเป็นแน่

    “แล้วใครล่ะ ...บอกกันได้ไหม เผื่อถ้าช่วยได้ก็จะช่วย”

    ภูริเอ่ยถามตามมาอย่างจริงจังกว่าเดิม เพราะอย่างน้อยที่เขารู้ใจตัวเอง และมีความสุขอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะได้ธีรัชมีส่วนช่วยในเรื่องความรักอยู่บ้างล่ะนะ

    “ฉันก็อยากบอกอยู่หรอก...เฮ้อ...แต่ฉันอยากให้แน่ใจเสียก่อนว่าชอบเขาจริงไหม....มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เคยเป็น ...ไม่ได้ปิ๊งแรกพบอะไรแบบนั้น ...แต่ว่า...”

    ธีรัชนิ่งเงียบไปสักพัก ทำให้คนฟังทั้งสองถอนหายใจเบา ๆ และต่างก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ชายหนุ่มตรงหน้า

    “ไม่เป็นไร ยังไม่แน่ใจก็คิดดูให้ดีเสียก่อน...แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ก็บอกได้ทุกเมื่อนะ”

    ภูริเอ่ยกับอีกฝ่าย แล้วจึงขอตัวลงไปด้านล่างพร้อมกับวาโย เพื่อเตรียมเปลี่ยนเวรพักต่อ ทางด้านธีรัชพึมพำขอบคุณเพื่อนของเขา แล้วจึงนั่งคิดอะไรเงียบ ๆ ไปตามลำพัง



    “สงสัยจะตกหลุมรักจริง ๆ แล้วมั้งครับ ท่าทางแบบนั้น”

    วาโยพูดคุยเรื่องของธีรัชระหว่างเดินลงมาชั้นล่างกับภูริ  ซึ่งพอได้ยินอย่างนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ

    “นั่นสิ...ไม่คิดเหมือนกันว่าหมอนั่นจะมีวันนี้ได้ ...ยิ่งทำให้อยากรู้ไปใหญ่ ว่าใครที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนั้นล่ะนะ”

    “แล้วถ้าเป็นคนในร้านเราจริง ๆ ล่ะครับ ...คุณภูริคิดว่าจะเป็นใครกัน”

    วาโยเอ่ยถามต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนข้างกายเขาหยุดเดิน แล้วหันมาจ้องหน้าเขานิ่ง ด้วยสายตาที่ทำให้เขาร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า

    “จะเป็นใครก็ได้ ยกเว้นนายคนเดียวก็พอ... ต่อให้หมอนั่นจะรักนายจริง ๆ ฉันก็ไม่มีวันยกให้เขาเด็ดขาด”

    คนฟังหน้าแดงก่ำ แล้วรีบหลบตาอีกฝ่าย ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมือใหญ่ของชายหนุ่มเอื้อมมาจับคางเขาพลิกเบา ๆ ให้หันกลับมาเผชิญหน้า แล้วเตรียมมอบจุมพิตเร่าร้อนให้ ทว่า...

    “อะแฮ่ม...ทีหลังฉันว่าถ้าจะทำเรื่องแบบนี้ ช่วยหาที่มิดชิดกว่านี้จะดีไหม เพราะทางเดินชั้นสองนี่มันก็ไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไรหรอกนะ”

    คนที่เปิดประตูห้องทำงานออกมาเจอฉากเด็ดเข้าให้กระแอมเตือนพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่วาโยที่หันไปมองตามเสียงทัก ตอนนี้หน้าแดงก่ำไปหมด ส่วนภูริก็ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วพึมพำขอโทษคนตรงหน้าเบา ๆ

    “เอาเถอะ มันก็ไม่ได้ผิดกฎของพนักงานที่นี่หรอกนะ แต่ก็เตือน ๆ ไว้ เพราะกลัวจะไปเผลอลืมตัวทำแบบนี้ในร้าน แล้วลูกค้าหลงเข้ามาเจอแจ็คพ็อตเข้าให้ก็เท่านั้นเองล่ะ”

    ปวีร์บอกยิ้ม ๆ แล้วจึงเดินผ่านทั้งคู่ลงไปชั้นล่าง ภูริถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองคนข้างกายที่แดงไปแทบทั้งตัวด้วยความอับอายอย่างนึกขำ ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นตีสีหน้าขรึมแทนที่

    “เอาน่า คุณปวีร์เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นเรามาต่อ...”

    “ไม่เอาแล้วครับ!”

    วาโยรีบร้องห้าม แล้ววิ่งหนีไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วด้วยความอาย ทิ้งให้คนที่กึ่งแกล้งกึ่งเอาจริง ต้องยืนนิ่งอึ้งอยู่ด้านบน แล้วจึงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความขบขันแกมเอ็นดู ก่อนจะเดินลงชั้นล่างตามวาโยไปอย่างไม่รีบร้อนเท่าใดนัก

   

    วันนี้ทั้งวันเหตุการณ์ก็ยังคงสงบสุขเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนั้นก็ยังมีบรรดาลูกค้าสาว ๆ และหนุ่ม ๆ หลายคน ที่โทรมาจองโต๊ะกันล่วงหน้าเพื่ออีเวนท์พิเศษในวันเสาร์นี้โดยเฉพาะอีกหลายโต๊ะ ทำเอาคนคิดโปรเจ็กต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบใจ แต่สำหรับพนักงานที่จะถูกจับแต่งตัวในวันพรุ่งนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอกับชุดแบบไหนเข้าให้กันแน่

    “ฉันรู้นะว่าพรุ่งนี้พวกเธอต้องใส่ชุดอะไร ...อยากรู้ไหมล่ะ”

    ไกรสรแอบกระซิบบอกรุจ หลังจากที่เห็นปวีร์วางสายลูกค้าที่โทรมาจองโต๊ะรายล่าสุด และเดินเข้าไปบอกชานนให้เตรียมวัตถุดิบสำหรับพรุ่งนี้ให้เพียงพอกับยอดลูกค้าที่คิดว่าจะมาใช้บริการ

    “บอกฟรี ๆ หรือต้องมีของตอบแทนล่ะครับ”

    รุจเปรยถามยิ้ม ๆ อย่างไม่ได้แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นอย่างที่คิด

    “แหม...เห็นฉันเป็นคนยังไง ฉันไม่เอาเปรียบเธอขนาดนั้นหรอกน่า”

    “หรือครับ...เป็นคนดีกว่าที่คิดอีกนะครับเนี่ย”

    รุจแซวกลับทำให้ไกรสรแค่นยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ พลางเปรยถาม

    “ไม่อยากรู้จริงงั้นหรือ”

    “รู้แล้วก็เท่านั้นล่ะครับ ยังไงก็ต้องแต่งอยู่ดี”  รุจรับคำเรียบ ๆ จนทำให้อีกฝ่ายต้องยักไหล่

    “นั่นสินะ...ยังไงเสาร์นี้ฉันก็ไม่ต้องกังวลต่อสายตาลูกค้าที่จะมองเธอเท่าไหร่ ...แต่เสาร์หน้านี่สิ...นึกแล้วก็อยากเปลี่ยนแบบ แต่อีกใจก็อยากเห็นเธอในชุดแบบนั้น ...อืม เอาไงดีล่ะเนี่ย”

    ชายหนุ่มแสร้งพึมพำกับตัวเอง แล้วหันมายิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ให้กับคนข้าง ๆ รุจถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยิ้มหวานให้กับอีกฝ่าย

    “ถ้าคุณอยากดูจริง ๆ ผมก็ยินดีจะใส่ให้ดูอยู่แล้วล่ะครับ”

    ไกรสรชะงักกึก ใจเต้นแรง เกือบจะดึงคนตรงหน้ามากอด แล้วหอมสักฟอดสองฟอดให้หนำใจเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องหยุดการกระทำพลางนึกขึ้นได้ว่า ระหว่างเขากับรุจนั้น ยังคงมีเงื่อนไขพนันติดค้างกันอยู่

    “เธอนี่นะ ใจร้ายชะมัด...”

    ชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าจ้องมอง จนรุจถึงกับหัวเราะเบา ๆ แล้วชะโงกหน้าไปกระซิบคนข้าง ๆ

    “ช่วยไม่ได้นี่ครับ... แล้วอีกอย่างผมชอบคนที่มีความพยายามและตั้งใจจริง ถ้าคุณผ่านสองอาทิตย์นี้ไปได้ นอกจากผมจะยอมให้คุณจีบจริงจังแล้ว ...ผมก็อาจจะสนองตอบในสิ่งที่คุณต้องการบางเรื่องก็ได้นะครับ”

    ไกรสรชะงักกึก แล้วจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งอย่างคาดคั้น

    “พูดจริงใช่ไหม”

    “แน่นอนครับ ผมพูดคำไหนคำนั้นเสมอ”

    รุจบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาคนฟังไฟลุกพรึบ และตั้งอกตั้งใจไม่ให้เผลอลืมตัวผิดสัญญายิ่งกว่าเดิม จนทำให้รุจที่ลอบมองอยู่ถึงกับหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ ทว่าขวัญแก้วที่ลอบมองทั้งคู่ ถึงกับถอนหายใจหนัก อย่างบอกไม่ถูกว่าจะสงสารหนุ่มน้อยข้าง ๆ หรือสงสารพี่ชายของเธอเองดี

   



… TBC …
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-09-2012 09:05:49
ไอ้ที่ว่าไกรสรไฟลุกพรึบนี่  ท่าทางจะเป็นไฟสวาทนะ  อิ อิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 17-09-2012 09:07:45
อ่าาา น้องโยมีหึงด้วยอ่า น่ารักเนอะ

ธีก็ดูแบบ เครียดๆ สับสน งงๆ กับชีวิตอยู่เนอะ

อ๊ายยย ค่อยๆคิดไปนะค้าบบ

พี่รุจจะคิดจริงจังกับคุณไกรสรไหมอะ

เหมือนกำลังเล่นสนุกเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 17-09-2012 10:08:27
อยากรู้ใจจะขาดว่าวันเสาร์นี้หนุ่มๆ จะถูกจับแต่งตัวเป็นอะไร
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 17-09-2012 10:41:44
หึหึ ไกรสรนี่ กำลังใจเต็มเปี่ยมเลยใช่ไหม พอรุจบอกอย่างนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 17-09-2012 11:28:50
ไกรนี่ท่าทางจริงจังน่าดู แต่รุจนี่ยังไงกันนะ แล้วธีรัชท่าทางจะชอบนนเข้าเต็ม ๆ แล้วจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 17-09-2012 11:29:01
ไกรสรจะอดทน จนได้ในสิ่งที่ต้องการมั้ยน้า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nayne ที่ 17-09-2012 13:04:37
อ่านไปอ่านมา พี่รุจนี่เคะราชินีชัดๆ
โย-ภูริก็ยังน่ารัก หวานน้ำตาลหยด
อยากให้ถึงอีเว้นต์วันเสาร์เร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 17-09-2012 13:07:30
ว่าจะรอวันอาทิตย์
แต่ธีมวันเสาร์ก้ออยากรู้

งั้นวันเสาร์เข้าร้าน
วันอาทิตย์ไปเที่ยวทะเล
หุหุ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 17-09-2012 14:54:56
คู่ธีรัชเปนคุณนนเหรอเนี่ย นึกม่ายถึงเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 17-09-2012 17:56:22
ลุ้นคู่ไกรสรกับรุจนะ เมื่่อไหร่รุจจะใจดีกับไกรสรสักที
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 17-09-2012 19:37:24
ยั่วเก่งจังเลยนะรุจเนี่ย ไกรสรจะอดทนได้ขนาดไหนเนี่ย :z1:
วาโยกับภูริหวานกันจัง น่ารักมากกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 17-09-2012 21:11:06
รุจนี่เก่งจังเลยนะ แกล้งคนอื่นได้ตลอดเลย ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองโดนเมื่อไรแล้วจะเป็นยังไง  o22

วาโยกับภูริก็น่ารักซะ  :o8:

ธีรัชเริ่มรู้ใจตัวเองแหละ  :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 17-09-2012 21:35:25
ภูริเอ่ยปากพูดแต่ละที เขินแทนน้องโยเลยค่ะ

พ่อคุณเล่นพูดซะตรงไม่อ้อมอะไรกับเค้าเลย

ธีรัชรู้ใจตัวเองไวไว เค้าอยากอ่านตอนหวานๆ ส่วนคู่รุจ รู้สึกสงสารคุณไกรสรจัง ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-09-2012 21:49:48
ชอบทุกคู่เลย หวานกันจัง ยังมีอีกหนึ่งนะว่าใครจะเป็นตัวจริง แต่เชียร์ชานนกับธีรัช ปยุชหาคู่ให้ใหม่นะครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-09-2012 21:50:35
ชอบทุกคู่เลย หวานกันจัง ยังมีอีกหนึ่งนะว่าใครจะเป็นตัวจริง แต่เชียร์ชานนกับธีรัช ปยุชหาคู่ให้ใหม่นะครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-09-2012 21:51:29
ชอบทุกคู่เลย หวานกันจัง ยังมีอีกหนึ่งนะว่าใครจะเป็นตัวจริง แต่เชียร์ชานนกับธีรัช ปยุชหาคู่ให้ใหม่นะครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-09-2012 22:07:46
แล้วหนูอลิส จะได้ใส่ชุดอะไร อยากเห็นภูริหึงแบบออกอาการเยอะๆๆ 5555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 42 ◄ อัพเดท 17/9/55 P.16
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 17-09-2012 22:36:21
งานเข้าแล้ว
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-09-2012 21:17:20


** และแล้ว วันเสาร์(ของร้านมิราเคิลคาเฟ่) ก็มาถึง ^^....เชิญอ่านกันต่อได้เลยค่ะ


Miracle Café / 43






     เช้าวันเสาร์ พนักงานของมิราเคิลคาเฟ่แต่ละคนนั้นตื่นกันมาแต่เช้า บ้างก็เพราะความเคยชิน แต่ก็มีคนที่ตื่นมาเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องชุดที่ต้องแต่งประจำอีเวนท์พิเศษของวันนี้

    “เพราะไม่สบาย ฉันเลยดีไซน์แบบง่าย ๆ แทน ...เพราะงั้นเสาร์นี้เลยไม่หวือหวาอะไร”

    ปวีร์บอกเรียบ ๆ พร้อมกับเปรยสายตามองกระเป๋าเสื้อผ้าล้อลากใบโตที่ปยุตเข็นตามมาด้วย

    “เอ่อ...หวังว่าผมคงไม่ต้องแต่งหญิงอีกสินะครับ”

    วาโยชิงถามอย่างหวาดระแวง ทว่าก็ต้องชะงักกึก เมื่อปวีร์หันมามองเขาพร้อมกับยิ้มมุมปากนิด ๆ โดยไม่ตอบคำถามอะไร จากนั้นปยุตก็แจกเครื่องแบบที่บรรจุในถุงพลาสติกมีซิบอย่างดีให้แต่ละคนตามป้ายชื่อที่แปะตามถุงเหล่านั้น และเมื่อต่างหยิบออกมาดูชุดของตัวเอง ก็มีทั้งเสียงโล่งอกบ้าง และอาการนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกจากบางคนบ้าง

    “...คุณปวีร์ จะให้ผมแต่งแบบนี้จริง ๆ หรือครับ...แน่ใจนะครับ ว่าจะออกมาแล้วดูดีน่ะ”

    วาโยหันไปถามนายจ้างของเขา เมื่อเปิดถุงพลาสติกออกมาแล้วต้องเจอกับชุดเสื้อนักเรียนสีขาว ปกกะลาสี ผูกโบว์สีแดง กระโปรงลายสก็อต  ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างรอคอยคำตอบด้วยสีหน้าที่แสนจะพิกล จนปวีร์อดนึกขำไม่ได้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีอีกเสียงขัดขึ้นบ้างเช่นกัน

    “ตอนอาออกแบบน่ะ คิดไหมว่า มันจะเหมาะกับพวกเราหรือเปล่า ...พวกผมน่ะเรียนจบมหาลัยแล้วนะ จะให้กลับมาแต่ง...แต่งชุดปกกะลาสีเป็นเด็กนักเรียนแบบนี้นี่นะ!”

    การินโพล่งใส่อย่างหงุดหงิด เพราะชุดของเขานั้นแทบจะคล้ายกับวาโยทีเดียว จะมีแตกต่างกันบ้างก็ตรงโบของเสื้อเป็นสีฟ้า และเป็นกางเกงขาสั้นยาวถึงเข่าแทนกระโปรงแบบของวาโย

    “ไม่ใช่ชุดนักเรียนเต็มยศสักหน่อย นี่ออกแบบมากึ่งไปรเวทนะ ...คนอื่น ๆ เขาก็ไม่เห็นจะบ่นเลยนี่”

    ปวีร์บอกกับหลานชายแล้วหันไปยิ้มให้กับพนักงานคนอื่นที่ยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ

    “ก็ชุดพวกนั้นไม่เหมือนกับพวกผมนี่ เครื่องแบบยังกับนักศึกษาชายโรงเรียนเอกชนแบบนั้นมันก็ดูดีน่ะสิ!”

    กวินมองคนรักที่โวยวายตาปริบ ๆ แล้วเหลือบมองชุดของตัวเอง ซึ่งเป็นสูทกึ่งแฟชั่น สีน้ำตาลอ่อน มีตราร้านปักเลียนแบบให้คล้ายเป็นตราสถาบันตรงกระเป๋าเสื้อด้านหน้า เสื้อตัวในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกไทต์สีน้ำเงิน กางเกงผ้าสีดำ โดยรวมแล้วเป็นเครื่องแบบที่เขาใส่อย่างไม่คิดตะขิดตะขวงใจอะไร เพราะจะว่าไปเขาเองก็เพิ่งจบการศึกษามาหมาด ๆ อยู่แล้วนั่นเอง

    “เอาน่า…อามั่นใจว่าเลือกชุดเหมาะกับหน้าคนใส่ ดูอย่างรุจสิ ได้เครื่องแบบอาจารย์ห้องพยาบาลแทนเครื่องแบบนักเรียน เขายังไม่บ่นอะไรเลยเห็นไหม”

    คนอื่น ๆ หันไปมองชายหนุ่มเป็นตาเดียว รุจยกยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังมีสีหน้าชอบอกชอบใจเครื่องแบบของตัวเองเสียอีกด้วย

    “แต่ว่า...” การินเตรียมจะแย้งต่อ แต่เขาก็โดนปวีร์ยกมือห้าม ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงนั้นมีความเด็ดขาดกว่าเดิม

    “ลองไปใส่กันดูเลยดีกว่า ถ้ามีเสียงค้านไม่เหมาะเกินครึ่ง อาถึงจะอนุญาตให้เปลี่ยน โอเคนะ?”

    การินที่เตรียมจะเถียงนิ่งเงียบ ก่อนจะทำหน้ามุ่ย แล้วพยักหน้าหงึก ๆ ทำเอาวาโยที่ไม่ค่อยพอใจชุดตัวเองต้องมองทั้งสองตาปริบ ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างนึกปลงกับชะตากรรมของตัวเองยิ่งนัก



    ใช้เวลาพักใหญ่ทุกคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อย สมาชิกในห้องพักเบอร์ 1 และ 3 ต่างลงมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ด้านล่าง พวกหนุ่ม ๆ ใส่เครื่องแบบนักศึกษาได้เข้ายิ่งกว่าที่ปวีร์คาดไว้ ชนิดที่หากไม่มีใครบอก ก็คงต้องคิดว่าทั้งหมดกำลังอยู่ในวัยเรียนกันอยู่เป็นแน่

    “คุณรุจเหมาะกับเครื่องแบบอย่างนี้จนน่ากลัวเลยอะ”

    ธีรัชเปรยบอกกับภูริหลังจากยิ่งจ้องรูมเมทของเขา ก็ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นดูกลมกลืนกับชุด โดยเฉพาะเวลาที่ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวน์คลุมทั้งเสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้าสีดำทับอีกชั้นหนึ่ง ประกอบกับแว่นตาที่เจ้าตัวสวมใส่ ก็ทำให้รุจนั้นมองดูเหมือนนายแพทย์เสียยิ่งกว่าอาจารย์ห้องพยาบาลทั่วไปเสียอีก

     “ดีที่คุณปวีร์ไม่ยึดเขาเป็นหลัก แล้วเปลี่ยนเป็นธีมโรงพยาบาลแทน...ไม่อย่างนั้นเด็กนั่นคงถูกจับแปลงกายเป็นนางพยาบาลแน่นอน”

    “ตอนแรกก็ตั้งใจว่างั้นล่ะ แต่กลัวจะมีคนไข้อยากโดนคุณพยาบาลจับฉีดยากันหลายคนแทนน่ะสิ ...อีกอย่างฉันคิดว่าจะเอานั่นไว้เป็นธีมต่อ ๆ ไปด้วย... อย่างนางพยาบาลหูแมว กับคุณหมอเจ้าเสน่ห์ อะไรราว ๆ นี้ล่ะ”

    ปวีร์ที่ย่องมาด้านหลังทั้งคู่เปรยขึ้น ทำเอาธีรัชกับภูริสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปมองเจ้าตัวอย่างตกใจทันที

    “ว่าแต่เด็กน้อยของฉันสองคนนั่นยังไม่ลงมาอีกหรือไง สงสัยต้องไปตามลงมาเสียแล้วล่ะมั้ง... อ้อ พูดยังไม่ทันขาดคำก็มากันละ”

    ปวีร์ยังไม่ทันพูดจบดี หนุ่ม ๆ ต่างก็รีบหันไปมองสองคนที่เพิ่งลงมา ก่อนจะพากันนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน กับความน่ารักของทั้งคู่ ที่แสนจะเข้ากันกับเครื่องแบบที่สวมใส่ โดยวาโยนั้นไม่ได้ใส่วิก แต่คาดผมด้วยโบสีแดงอันใหญ่ แม้ผมชายหนุ่มจะสั้น แต่ก็สั้นแบบรับกับใบหน้า พอได้เครื่องประดับช่วยก็ยิ่งทวีความน่ารักและสดใสของเจ้าตัวให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

    ทางด้านการินนั้นก็แทบไม่แตกต่างกัน แม้ชายหนุ่มจะใส่กางเกงแทนกระโปรง แต่ด้วยความน่ารักของเครื่องแบบ และความหน้าสวยของเจ้าตัว ก็ยิ่งทำให้มองแล้วดูเด่นสะดุดตา ชนิดที่ว่าใครที่เดินผ่านต้องเหลียวหลังมองกันทุกคนเป็นแน่

    “...น่ารักชะมัด ทั้งคู่เลย ...โชคดีจริง ๆ ที่มาทำงานที่นี่”

    กวินพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาเพ้อ แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ และได้ยินเข้าพอดี ต้องกระแอมเบา ๆ ก่อนจะชำเลืองอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

    “ชมแค่คนของนายก็พอ ไม่ต้องเผื่อมาชมคนของคนอื่น”

    กวินชะงักก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ ส่วนธีรัชนั้นหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำที่เห็นเพื่อนสนิทออกอาการหึงให้เห็นอีกครั้ง

     สำหรับสองคู่หูรูมเมทผู้น่ารัก ต่างก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับที่คาดเอาไว้ เพราะจะว่าไปแล้ว ตอนที่พวกเขาแต่งตัวเสร็จและต่างให้อีกฝ่ายดูนั้น ก็ต้องพบว่าฝ่ายตรงข้ามแต่งออกมาได้เหมาะสมกับชุดและดูดีอย่างที่ปวีร์บอกไว้ก่อนหน้านั้นจริง ๆ

    “กระโปรงมันสั้นจังครับคุณปวีร์ ...น่าจะยาวกว่านี้สักหน่อย”

    วาโยหันไปบ่นเบา ๆ กับคนออกแบบชุด เพราะกระโปรงของเขายาวขึ้นเหนือเข่ามาเกือบฝ่ามือ โชคดีที่ชั้นในนั้นไม่ถูกบังคับให้ใส่แบบของผู้หญิงตามชุด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าจะเดินทำงานไปมาในวันนี้แน่

    “อืม...ตอนส่งแบบไปฉันก็ออกแบบให้พอดีเข่าหรอกนะ แต่สงสัยคนตัดเขาเอาขึ้นมาอีกนิด ตามสมัยนิยมล่ะมั้ง ...แต่ก็ไม่ได้สั้นอะไรมากมายนี่ อีกอย่างถุงเท้าขาวลายลูกไม้นั่นก็ปาไปครึ่งหน้าแข้งแล้วไม่ใช่หรือ ก็ไม่ได้โป๊อะไรแล้วล่ะน่า”

    ปวีร์เปรยยืดยาวอย่างไม่ใส่ใจ ทำเอาคนแย้งต้องมองชายหนุ่มตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาเมื่อได้ยินประโยคท้าย ๆ นั่น

    “ครับ ๆ ก็แค่สั้นกว่าเสาร์ที่แล้วขึ้นมานิด ๆ หน่อย ๆ ก็เท่านั้น และหวังว่ามันคงจะไม่สั้นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ”

    วาโยพึมพำติดประชด จนคนฟังนึกขำ ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มปลอบ

    “ไม่ต้องกังวลหรอก เสาร์หน้าจะให้ใส่กางเกงแทนกระโปรงแล้วล่ะนะ”

    วาโยชะงักกึก ก่อนจะจ้องมองคนพูดอย่างตกใจแกมดีใจ

    “จริง ๆ นะครับ!”

    “แน่นอน ฉันจะโกหกพวกเธอไปทำไมล่ะ เพราะงั้นเสาร์นี้ก็ทำงานให้เต็มที่ทิ้งทวนกระโปรงไปเลยแล้วกันนะ”

    ปวีร์เอ่ยพร้อมกับยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ทว่าวาโยที่มัวแต่ดีใจนั้นไม่ได้ทันสังเกต ยกเว้นคนอื่นที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นเข้าพอดี ถึงกับทำตาปริบ ๆ แล้วนึกหวาดระแวงว่าเสาร์หน้านี้ พวกเขาจะได้เจอกับอะไรกันแน่

   

    พอกลับขึ้นห้องพักก่อนที่จะไปเปลี่ยนเสื้อเพื่อรอทานอาหารเช้า กวินกับภูริก็หันมาสบตากัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างดึงมือคนรักของตนเข้าไปในห้องของแต่ละคน โดยกวินดึงการินไปห้องพักของเขา ส่วนภูริก็ดันวาโยเข้าไปในห้องของอีกฝ่าย

    “อะ...อะไรหรือครับคุณภูริ”

    “ก็นายน่ารักจนอยากกอด แล้วก็อยากทำมากกว่ากอด เสียเดี๋ยวนี้เลยน่ะสิ”

    ภูริตอบตามตรงด้วยแววตาวาววับเอาจริง ทำเอาวาโยหน้าแดงก่ำ แล้วรีบละล่ำละลักปฏิเสธ

    “ไม่ได้นะครับ! อีกอย่างพวกคุณปวีร์ก็รออยู่ข้างล่างด้วย ... ถ้าเกิดเขาขึ้นมาแล้วเจอเรากำลัง...ไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ไม่ได้!”

    วาโยพูดแล้วก็ยิ่งหน้าแดงก่ำ ทำให้คนแสร้งทำหน้าเคร่งขรึมหลุดเก๊ก แล้วหัวเราะตามมาอย่างหยุดไม่อยู่  ทำเอาคนมองชะงักด้วยความงุนงง  ทางด้านภูรินั้นหัวเราะอยู่สักพัก จนเริ่มควบคุมตัวเองได้ เจ้าตัวจึงเอ่ยตามมา

    “ฮะ ๆ นี่นายคิดไปถึงไหนน่ะ ฉันก็แค่อยากกอดแล้วก็จูบนายนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น...นี่คิดว่าฉันจะหน้ามืดปล้ำนายตอนนี้จริง ๆ น่ะหรือ”

    วาโยนิ่งอึ้ง ก่อนจะตามมาด้วยอาการหน้าแดงด้วยความเขิน และความฉุนตามลำดับ

    “คนบ้า! ถอยไปให้พ้นนะ! ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกินข้าว!”

    วาโยโวยวายอย่างโมโหที่ถูกหลอก ทว่าก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อภูริดึงร่างของเขามากอด พร้อมกับอ้อนขอโทษ

    “ไม่เอาน่า อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันขอโทษแล้วกัน ...คืนดีกันนะ”

    “ฮึ! หัวเราะเยาะเขาขนาดนั้น ยังมาทำเป็นพูดดีอีก”

    ภูริมองใบหน้างอน ๆ นั่น อย่างมันเขี้ยว นึกอยากจับจูบอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็กลัวว่าวาโยจะงอนเพิ่มกว่าเดิม

    “โอ๋...ขอโทษนะครับโย มามะคนดีขอหอมแก้มทีนะ”

    วาโยชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ เพราะนาน ๆ จะเห็นภูริอ้อนเขาแบบนี้สักที

    “หายโกรธแล้วใช่ไหมล่ะ” ภูริบอกตามมายิ้ม ๆ ทำให้คนหลุดหัวเราะรีบเก๊กหน้าบึ้งแทน

    “ไม่เอาสิ เลิกงอนเถอะ...เวลามีน้อยนะ ไหนจะต้องกอด ต้องจูบ แถมยังต้องถ่ายรูปเก็บไว้ดูอีก”

    วาโยขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินประโยคถัดมา แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะแย้งอะไร เขาก็ถูกอีกฝ่ายชะโงกหน้าลงมาจูบเสียก่อน และไม่นานนักคนที่ทำท่าจะประท้วงก็โอบแขนคล้องคออีกฝ่ายและร่วมมือตอบสนองด้วยเป็นอย่างดีในที่สุด



    อีกห้องหนึ่งที่กำลังคุยหวาน ๆ กันอยู่ดี ๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงวาโยโวยวาย ทว่าพอเสียงค่อนข้างเงียบไป ทั้งสองที่แอบฟังอยู่ก็เงียบตาม และต่างหน้าแดงน้อย ๆ เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกห้องกันแน่

    “เอ่อ ...ฉันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ จะได้ไหมเนี่ย”

    การินอ้อมแอ้มบอกกับคนตรงหน้า กวินถอนหายใจก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบ

    “รับรองว่าถ้าเข้าไปตอนนี้ ต้องมีคนหัวเสียกับคนที่อายจนแทบจะมุดดินหนี อย่างละคนแน่นอน”

    การินหน้าแดงวาบด้วยความเขิน จนคนมองอดใจไม่ไหว รีบคว้าร่างเพรียวบางมากอดและหอมแก้มเนียนนั่นฟอดใหญ่

    “วิน!” คนถูกหอมอุทานเรียกชื่อคนรักอย่างเขินอาย ทว่ากวินกลับทำเป็นไม่สนใจ เขาจูบแล้วจูบอีกไปทั่วใบหน้า จนร่างนั้นหมดแรงต่อว่า และอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนแกร่งแทน

    “ทำไมน่ารักแบบนี้นะริน... ชักรู้สึกหึงลูกค้าของเราแล้วสิ”

    กวินพึมพำขณะที่กอดร่างนั้นอย่างทะนุถนอม การินหน้าแดงก่ำ ก้มหน้างุด ๆ ซุกกับอกอีกฝ่าย ก่อนจะกอดตอบคนรักแน่น จนกวินต้องกลืนน้ำลายลงคอ

    “ง่า...ฉันว่ายอมเสียมารยาทขัดจังหวะห้องตรงข้ามดีกว่า ขืนปล่อยให้อยู่สภาพนี้นาน ๆ คงได้เผลอลืมตัว ทำอย่างอื่นนอกจากจูบเข้าให้แน่ ๆ เลยอะ”

    กวินกระซิบ ทำเอาคนที่กำลังกอดเขาอยู่สะดุ้งเฮือก แล้วจึงรีบปล่อยมือ ก่อนกระโดดออกมายืนหน้าแดงด้วยความตกใจ

    “คนลามก!” การินโพล่งใส่ ทำเอากวินยิ้มเจื่อน ๆ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็กำลังคิดลามกอย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้จริง ๆ

    “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายน่ารักเองนี่ ...อ๊ะ ว่าแต่ถ่ายรูปคู่กันหน่อยนะ ฉันจะเอาไว้เป็นหน้าจอมือถือน่ะ”

     การินหน้าแดงด้วยความเขิน แต่ก็ยังคงพยักหน้าตกลง แล้วยอมถ่ายรูปกับอีกฝ่าย พอถ่ายเสร็จกวินก็ส่งรูปไปให้เครื่องของคนรัก ทำให้พวกเขาตอนนี้ใช้ภาพหน้าจอมือถือเหมือนกันทั้งคู่

    “ดีละ เวลางานยุ่ง ๆ เหนื่อย ๆ แล้วนายติดพัก ฉันจะได้ดูหน้านายผ่านมือถือแทน จะได้มีแรงทำงานกับเขาต่อไงล่ะ”

    กวินบอกพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ทำให้คนฟังเกิดอาการเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงรีบเดินออกจากห้องเบอร์หนึ่ง ตรงไปเคาะประตูห้องเบอร์สอง ก่อนจะเปิดเข้าไป ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่วาโยและภูริผละออกจากกันพอดี

    “อะ...ขอโทษครับ ผมจะเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า...”

    “อืม...ตามสบายแล้วกัน ฉันก็เสร็จธุระพอดี”

    ภูริบอกเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเคืองแฝงอยู่ จนการินนึกแปลกใจ แต่พอชายหนุ่มออกไปแล้ว เขาก็เดินเข้ามามองหน้ารูมเมท ก็เห็นว่าวาโยยังมีสีหน้าเขินอายให้เห็นได้อยู่

    “ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่า”

    “บ้ารึ...” วาโยพึมพำใส่คนถาม แล้วจึงเบือนหน้าหลบนิด ๆ แต่นั่นก็ทำให้คนมองต้องถอนหายใจ

    “ให้ฉันเดาไหม ที่คุณภูริไม่โกรธที่ถูกขัดจังหวะ เพราะทำตามใจชอบจนหนำใจแล้วสินะ”

    วาโยสะดุ้งเฮือกหันขวับมามองคนพูดตาตื่น จนการินนึกขำ

    “ถ้านายลองไปส่องกระจก ก็คงได้เห็นสภาพตัวเองตอนนี้นั่นล่ะ โดยเฉพาะปากแดง ๆ ของนายน่ะ มันบวมเจ่อแถมเซ็กซี่น่าดูเลย รู้ไหม”

    เท่านั้นเอง วาโยก็หน้าแดงวาบ แล้วรีบวิ่งเข้าห้องนอนของเขาไปทันที การินถอนหายใจเบา ๆ แล้วหวนนึกถึงตัวเอง ที่ก็โดนมาแทบจะไม่แตกต่างกัน เพียงแต่กวินชอบหอมแก้มหอมตัวเขามากกว่า และสำหรับเขาไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร ก็ดันชอบไปหมดเสียอย่างนั้นจนน่าเจ็บใจตัวเองเลยทีเดียว แต่ก็นั่นล่ะ เขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่า เขาในตอนนี้นั้นมีความสุขมากที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน



... TBC ...
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 18-09-2012 21:45:28
ว้าว ตอนนี้หวานกันซะมดขึ้นหมดแล้ว  :o8: :-[

อยากได้รูปคู่แต่ละคู่มาขึ้นหน้าจอมือถือเหมือนกันนะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 18-09-2012 22:04:12
หวานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 18-09-2012 22:08:14
เครื่องแบบครั้งต่อไปที่ไกรเป็นคนออกแบบหรือเปล่า แล้วออกแบบมาเป็นแบบไหนกันนะ ภูิโยหวานมาก ๆ วินรินก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nayne ที่ 18-09-2012 22:19:25
หวานมากกกกก
ว่าแต่วาโยย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับการินตอนไหน
ตอนแรกอยู่กับกวินไม่ใช่รึ
หรือว่าเค้าอ่านผิด พลาดตรงไหนไปเนี่ยเรา :serius2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-09-2012 22:25:15
หวานมากกกกก
ว่าแต่วาโยย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับการินตอนไหน
ตอนแรกอยู่กับกวินไม่ใช่รึ
หรือว่าเค้าอ่านผิด พลาดตรงไหนไปเนี่ยเรา :serius2:


ย้ายห้องกันตั้งแต่ตอนที่ 37 ไงคะ ^^" ก่อนธีรัชจะเข้ามาอยู่  ตอนแรกรุจจะเสนอ ให้นอนกันเป็นคู่ ๆ แต่ภูริแย้งไปว่ากลัวอดใจไม่อยู่ จึงจัดคู่กันเป็นแบบนี้แทนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nayne ที่ 18-09-2012 22:41:40
ขอบคุณมากค่ะ เค้าลืมจริงๆ :z3:
สงสัยอ่านตอนง่วงๆแน่เลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 18-09-2012 23:07:50
เขาหวานกันจังนะทั้งสองคู่เลยแล้วคู่อื่นเป็นไงบ้างเนี้ย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 18-09-2012 23:08:31
เขาหวานกันจังนะทั้งสองคู่เลยแล้วคู่อื่นเป็นไงบ้างเนี้ย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 19-09-2012 00:56:02
ภูรินี่แอบหื่นเงียบนะเนี่ย 
คอยหาโอกาสตอดนิดตอดหน่อยตลอดเลยนะ   :impress2:

น้องโยช้ำหมดแล้วมั๊งเนี่ย   :o8:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 19-09-2012 03:05:25
โอ๊ยยย!

มดกัด
มดขึ้นคอมเต็มเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-09-2012 05:55:00
หวานมากกกกกกกกก  :o8:
ปกติภูริกับวาโยก็ทำให้น้ำตาลหกเต็มคอมอยู่แล้ว มาเจอคู่กวินกับการินอีก มดมาทั้งรัง :laugh:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-09-2012 06:50:27
รอจ้า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 19-09-2012 08:52:59
คุณภูริหื่นอ่าาา

เขาว่าคนขรึม ๆ เงียบ ๆ นิ หื่นมาก จริงนะเนี้ย

กวินนิหื่นแบบแสดงออก 5555 เฉพาะกับรินเท่านั้นอะนะ

น่าจะลองให้รินใส่กระโปรงเป็นเพื่อนหนูโยบ้าง555

พอลูกค้ามาคราวนี้ ภูริกับกวินต้องหลุดแน่เลยอ่า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 19-09-2012 09:31:22
กรี๊ดด อยากไปร้าน 555+
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 19-09-2012 11:14:05
ร้านกาแฟร้านนี้ มันน่าไปอุดหนุนจริงๆ โดยเฉพาะวันเสาร์เนี่ย 555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 19-09-2012 12:06:55
อยากเห็นการินกับวาโยบ้างจังเลย สงสัยน่ารักมากจนแฟนอดใจไม่ไหว

บวกหนึ่งค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 19-09-2012 14:01:37
วันนี้คุณไกรสรยังไม่โผล่มา ไม่รู้ว่าจะมาป่วนอะไรที่ร้านกับเค้าอีก
อย่าบอกนะว่าคุณไกรสรแอบไปตัดชุดมาให้เข้ากับพนักงานของร้าน ถ้าเป็นจริงคง....หึหึ :z1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-09-2012 14:02:52
หวานๆกันใหญ่  :-[
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-09-2012 17:28:13
มดขึ้นห้อง  แอร๊ยยยย  ต่อมอิจฉาทำงานหนัก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 19-09-2012 20:21:57
หวานมากกกกกกก ทั้งคู่โย คู่ริน

คุณภูหื่นหลบใน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 43 ◄ อัพเดท 18/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nongnette ที่ 20-09-2012 18:50:24
ชอบทุกคู่เลยอ่า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 21-09-2012 14:09:43

*ช่วงนี้มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ  ไม่แน่ใจว่าจะจบทันเดือนนี้ไหม ถ้าจบก็คงเป็นลักษณะแฮปปี้ทุกคู่ ล่ะนะคะ ส่วนเรื่องหวาน ๆ (และแอบเลือดกำเดาสาด) คงจะมีในตอนพิเศษ เพราะก็อยากเขียนแบบวันพักผ่อนสบาย ๆ ของแต่ละคนดูเหมือนกัน ^^ ยังไงก็ติดตามกันนะคะ จะทยอยลงให้อ่านเรื่อย ๆ จนจบ  และถึงจะมีโปรเจ็คทำมือก็จริง แต่ก็ไม่ทิ้งนักอ่านในบอร์ดอยู่แล้วจ้ะ ได้อ่านตอนพิเศษกันแน่ค่ะ สำหรับเรื่องนี้



Miracle Café / 44





     ไกรสรนิ่งอึ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นรุจในมาดอาจารย์ห้องพยาบาล แถมพอได้เห็นปฏิกิริยาจากลูกค้าสาวบางคนที่เข้ามาในร้านแล้วเห็นรุจเข้า เขาก็ยิ่งไม่ค่อยสบอารมณ์เข้าไปใหญ่

    “ถ้าฉันประกาศตัวว่าเป็นแฟนเธอเสียตรงนี้ จะเป็นอะไรไหม”

    รุจเปรยตามามองคนที่ยังคงนั่งข้างเขาอยู่แถวตู้ขนมหวาน ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเรียบ ๆ

    “ก็เอาสิครับ ใครห้ามคุณล่ะ”

    ไกรสรหันมามองคนพูดนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา

    “ไม่ดีกว่า ฉันยังไม่อยากถูกเธอให้คะแนนติดลบ แค่นี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันบวกขึ้นมาแล้ว”

    รุจเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง แล้วจึงเปรยขึ้นลอย ๆ

    “อืม...ตอนนี้ก็เข้าเกณฑ์บวกมานิดหน่อยแล้วล่ะนะครับ”

    ไกรสรสะดุ้ง แล้วหันขวับกลับมามองคนพูดทันที

    “จริงรึ!”

    รุจไม่ตอบ เขาหันมายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตนต่อ เมื่อกวินเอาใบออเดอร์อาหารมาส่งเขาที่แคชเชียร์

    “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร ...แค่ขอให้เธอรู้ว่าฉันกำลังดีใจมากก็พอ”

     ไกรสรบอกแล้วก็นั่งวาดรูปชุดบนสมุดสเก็ตในมือไปเรื่อยเปื่อย จนทำให้รุจต้องเหลือบมอง แล้วถอนหายใจเบา ๆ แม้จะเป็นเพียงแค่เกมการพนันโดยที่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าเขากลับรู้สึกเริ่มเคยชินต่อการที่มีอีกฝ่ายคอยมาอยู่เคียงข้างเช่นนี้ บ้างแล้วเหมือนกัน

     

    วันนี้ด้านหลังครัว ชานนกับขวัญตานั้นต้องผจญกับศึกหนัก เนื่องจากลูกค้าที่มาทานปกติก็สั่งอาหารกินกันประจำอยู่แล้ว ทว่าวันนี้คนที่ตั้งใจมากินนั้นต่างสั่งอาหารเพิ่มมากขึ้นจากปกติเป็นเท่าตัว เพื่อหวังโปรโมชันของร้านอีกทางหนึ่งด้วย

    “คุณนนคะ...สลับกันดีกว่าค่ะ วันนี้คุณลุยหนักมาตั้งแต่เปิดร้านแล้วนะคะ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เดี๋ยวก็ล้มวูบไปหรอกค่ะ”

    ขวัญตาเอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง ทำให้ธีรัชที่ก้าวเท้าเข้ามาในช่วงพักชะงัก แล้วเดินไปสอบถามทั้งคู่

    “เกิดอะไรกันหรือครับ ผมช่วยได้ไหม”

    ขวัญตาหันมายิ้มน้อย ๆ ให้ชายหนุ่ม ก่อนจะแสร้งทำเป็นเปรยฟ้องอีกฝ่าย

    “ก็คุณนนน่ะสิจ๊ะ ลุยทำอาหารหนักมาตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ยังไม่ได้พักทานอะไรเลย ฉันบอกให้พักก็ไม่ฟัง ...คงไม่เชื่อมือว่าฉันจะทำรอดล่ะมั้ง”

    ขวัญตาแสร้งถอนหายใจหนัก ทำเอาชานนสะดุ้งโหยง

    “ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับ แต่คุณตาเองก็ยุ่งไม่แพ้ผมเหมือนกันนี่ครับ ผมว่าคุณต่างหากที่ควรไปทานข้าวก่อน”

    ขวัญตาหันมายิ้มน้อย ๆ แล้วจึงบอกกับอีกฝ่าย

    “ไว้ตาทานทีหลังก็ได้ค่ะ บอกตรง ๆ นะคะ ตาก็แค่ช่วยคุณเตรียมของกับเก็บจานล้าง คนที่เหนื่อยหนักน่ะคุณต่างหาก”

    ธีรัชมองทั้งคู่อย่างเห็นใจ จากนั้นเขาจึงตบอกตัวเองเบา ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่ออกไป

    “เอาอย่างนี้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะช่วยล้างจานพวกนี้ให้เอง คุณตาก็จะได้มีเวลาช่วยเตรียมวัตถุดิบและจัดใส่จานให้ คุณนนก็จะได้เบาแรงขึ้น พอออเดอร์เริ่มซา พวกคุณก็สลับกันทานข้าว จะได้มีแรงทำต่อยังไงล่ะครับ”

    ขวัญตามองคนเสนอความเห็น ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา ส่วนชานนเงียบไปเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยอย่างเป็นกังวล

    “จะดีหรือครับ นี่เป็นเวลาพักของคุณนะครับ แล้วอีกอย่างคุณก็ยังไม่ได้ทานข้าวเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมมีเวลาพักตั้ง 1 ชั่วโมง  และถ้าผมเร่งสปีดก็สามารถกินหมดได้ใน 10 นาทีด้วยซ้ำ”

    ธีรัชบอกพร้อมยิ้มกว้าง แต่คนฟังนั้นถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ  ส่วนขวัญตาอมยิ้ม แล้วรีบตัดบท

    “เอาเถอะค่ะ ในเมื่อธีเขาเสนอตัวช่วยขนาดนี้ เราก็ควรรับน้ำใจไว้นะคะ แล้วถ้าคุณนนกังวล คุณก็ค่อยตอบแทนธีเขาด้วยอาหารจานโปรดของเจ้าตัวทีหลังสิคะ จริงไหมจ๊ะธี”

    “ใช่เลยครับคุณตา! นะครับคุณนน...”  ธีรัชรีบรับคำของหญิงสาว แล้วหันไปอ้อนชานน จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมใจอ่อน

    “ก็ได้ครับ...” ชานนรับคำพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ธีรัชยิ้มกว้างอย่างยินดี แล้วจากนั้นพวกเขาจึงแบ่งงานกันทำอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักแต่ชานนก็ต้องยอมรับว่า พอได้ธีรัชมาช่วยอีกคน เขาก็เบาแรงไปมากขึ้นทีเดียว

   

    เมื่อการินกับวาโยหมดเวลาพักและเตรียมลงมาเปลี่ยนเวร พวกเขาก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเห็นธีรัชนั้นไปยืนล้างจานเป็นผู้ช่วยเชฟทั้งสอง และพอรู้เรื่องราวทั้งคู่ก็บ่นใส่ทั้งสามคนทันที

    “แล้วทำไมไม่เรียกพวกผมล่ะครับ! นั่งว่างกันอยู่บนนั้นตั้งนาน ถ้ารู้นะ จะรีบลงมาช่วยแล้วเชียว!”

    วาโยบ่นอุบ เพราะตอนที่เขามานั่งกินอาหารกับการิน ออเดอร์ยังไม่เยอะมากอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งคู่จึงขึ้นไปพักผ่อนตามปกติที่เคยทำ

    “นั่นสิ...พวกเราเลยเหมือนคนแล้งน้ำใจไปเลย”

    การินบ่นเสริม ทำให้ชานนสีหน้าไม่ค่อยดี เพราะแค่นี้เขาก็เกรงใจธีรัชมากแล้วด้วยซ้ำ ขืนคนอื่นมาช่วยอีก เขาคงรู้สึกเหมือนเอาเปรียบทุกคนกว่านี้เป็นแน่

    “งั้นเสาร์หน้าตอนพักก็มาขลุกกันอยู่ที่ครัวแทนสิ ถ้างานเข้าเมื่อไหร่ พวกนายก็ค่อยแจมตอนนั้นแทนไง”

    ธีรัชขัดขึ้นเพราะไม่อยากให้ชานนลำบากใจมากกว่านี้ และเพราะคำพูดนั้นจึงทำให้วาโยและการินพยักหน้ายอมรับ และหันไปบอกกับชานนและขวัญตาว่า ถ้ายุ่งเมื่อไหร่ให้เรียกใช้พวกเขาได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจ ทำให้เชฟทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของทุกคนยิ่งนัก

    “เอ้า! ไปเปลี่ยนตัวได้แล้ว หวานใจพวกนายเข้ามาแล้วเห็นไหม!”

    ธีรัชตัดบทเมื่อเห็นกวินกับภูริเข้ามา วาโยและการินชะงักเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อที่อีกฝ่ายพูดเช่นนั้น โดยเฉพาะการินถึงกับทำปากขมุบขมิบบ่นใส่ชายหนุ่มเลยทีเดียว และเมื่อกวินกับภูริเดินเข้ามาหาอย่างแปลกใจที่เห็นทุกคนมารวมตัวกันในครัว วาโยกับการินจึงบอกเรื่องราวทั้งหมด โดยที่ชานนยังไม่ทันได้อ้าปากห้าม ดังนั้นในครัวตอนนี้จึงมีผู้ช่วยเพิ่มมาสองคน และธีรัชก็ถูกชานนไล่ให้ไปนั่งกินข้าวในเวลาพักอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ ทว่าเจ้าตัวกับยังคงยืนต่อรองโดยไม่ยอมไปพักง่าย ๆ

    “งั้นคุณนนก็ต้องพักด้วย... ออเดอร์แทบไม่เข้ามาแล้วนะครับ เมื่อครู่ตอนที่คุณตาไปพักทานข้าว คุณบอกว่าทำอีกสองจานก็จะพักบ้างไงครับ จริงไหมครับคุณตา”

    ธีรัชหันไปหาพวกช่วยพูด ซึ่งขวัญตาก็รีบรับลูกจากอีกฝ่ายแล้วย้ำตามมาทันที

    “จริงด้วยค่ะ ออเดอร์ที่เหลือ ตาจัดการเองค่ะ ตาชิมรสมือคุณนนจนทำตามได้แล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวว่าร้านจะเสียเครดิตหรอกนะคะ”

    พอเจอขวัญตาพูดแบบนี้เข้า ชานนจึงต้องยอมแพ้ ปลีกตัวไปพักทานข้าวอย่างจำใจ โดยมีธีรัชกุลีกุจอลากเก้าอี้ พร้อมกับรินน้ำมาบริการอีกฝ่ายเต็มที่ จนภูริที่หันมาเห็นถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วเริ่มจะคิดถึงเรื่องที่เพื่อนของเขากำลังตกหลุมรักกับใครบางคนในร้านขึ้นมาได้

    “พวกเขาสมกันดีนะ...ว่าอย่างนั้นไหมล่ะจ๊ะ”

    ขวัญตาเปรยกระซิบบอกคนข้าง ๆ เมื่อหันไปเห็นสายตาของภูริที่มองธีรัชอีกที ทำเอาภูริสะดุ้งโหยง แล้วหันมาสบตากับหญิงสาวอย่างตกใจ

    “คิก ๆ อย่าลืมเอาใจช่วยเพื่อนเธอด้วยล่ะ ส่วนฉันน่ะ เชียร์เต็มที่เลยล่ะ”

    ขวัญตาเอ่ยตามมา แล้วหันไปให้ความสนใจกับออเดอร์อาหารที่ทำค้างอยู่ต่อ ทำเอาภูริต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเหลือบไปมองธีรัชที่กำลังยิ้มมองชานนกินอาหาร อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

   

    “คนเยอะใช่ย่อยเลยนะวันนี้ ...แล้วนี่  คุณนนคุณได้พักกินข้าวแล้วหรือยังน่ะ”

     เวลาบ่ายสามกว่า ปวีร์ที่ลงมาดูแลร้านด้านล่าง หลังจากทำงานส่วนตัวเสร็จ หันมาเอ่ยถาม ทำเอาขวัญตาหัวเราะคิก ขวัญแก้วที่นั่งพักอยู่แถวนั้นนั่งยิ้ม ส่วนชานนถอนหายใจเบา ๆ จนปวีร์แปลกใจ

    “เป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นหรือไง”

     ชายหนุ่มถามอย่างคาดเดา ซึ่งขวัญตาก็รีบตอบคำถามนั้นทันที

    “ก็ก่อนหน้านั้นคุณนนทำงานหนักไม่ยอมพักน่ะสิคะ ธีเขาก็เลยมาช่วยล้างจาน ตาเลยมีเวลาไปช่วยคุณนนได้มากขึ้น แถมเจ้าตัวยังช่วยทำจนเกือบหมดเวลาพัก แล้วไม่ยอมไปทานข้าว ถ้าคุณนนไม่พักด้วยกันน่ะค่ะ”

    ปวีร์เลิกคิ้วนิด ๆ เขาเองก็พอได้ฟังเรื่องจากปยุตมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าธีรัชจะจริงจังขนาดนี้

    “ก็ดีนี่... แล้วคุณนนก็ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า ผมเองเคยบอกพวกนั้นไปแล้วว่า ถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยคุณบ้าง เพราะคุณอยากไม่เลือกสักอย่าง ระหว่างเป็นเชฟให้ร้านกับเป็นผู้ดูแลบ้านพัก มันก็ต้องเป็นแบบนี้นั่นล่ะ”

    ปวีร์บอกอย่างนึกขำเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเชฟหนุ่ม ส่วนชานนนั้นถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยตามมา

    “งานทั้งสองอย่างผมก็ทำได้อยู่แล้วนี่ครับ คุณเองก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ  แต่กลายมาเป็นว่าผมต้องมาทำตัวกินแรง พนักงานที่ตนต้องคอยดูแล มันก็ลำบากใจนะครับ และคราวนี้ก็ไม่ใช่แค่คุณธีรัชแล้ว แต่นี่ทุกคนกลับบอกว่า ถ้าถึงเวลาพักเมื่อไหร่จะแวะมาช่วย ทั้งที่แต่ละคนก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบหนักอยู่แล้วด้วย”

    ปวีร์มองคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่จนเกินไปตรงหน้า เหมือนที่ราเมศเคยบอกไว้ อย่างนึกขำ แล้วจึงเอ่ยปลอบอีกฝ่าย

    “ไม่เอาน่า คิดมากไปได้ วันที่คนจะเยอะจนพวกนั้นจะเข้ามาวุ่นวายในครัวของคุณได้ ก็คงมีแค่วันเสาร์นี่ล่ะ เพราะฉะนั้นก็ทนรำคาญใจไปแค่วันเสาร์ก็พอแล้วน่า”

    ชานนลอบถอนหายใจ แล้วจึงพึมพำตามมา

    “คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยนึกรำคาญ เพียงแต่ผมเกรงใจก็เท่านั้น”

    “ใช่ ผมรู้ ...และเพราะรู้เลยอยากให้คุณนนชินและปรับตัวยอมรับความช่วยเหลือจากทุกคนที่นี่บ้าง”

    ชานนเงยหน้าสบตากับนายจ้างของตนนิ่ง และก็ต้องชะงักเมื่อปวีร์เอ่ยตามมา

     “...นี่คุณนน ผมไม่ใช่ผู้มีพระคุณอะไรมากมายที่คุณต้องตอบแทนถึงกับทุ่มสุดตัว จนไม่คำนึงถึงร่างกายตัวเองแบบที่เป็นอยู่นี่หรอกนะ ...เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ ผมไม่ได้แค่พูดลอย ๆ ให้ฟังดูดีเฉย ๆ แต่ผมรู้สึกแบบนี้กับทุกคนที่นี่จริง ๆ ...กับคุณเองก็เหมือนกัน คุณเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ชาย เป็นคนที่ผมจะฝากความไว้วางใจให้ดูแลทุกคนในร้านนี้แทนผมได้คนหนึ่งเลยนะ รู้ไหม”

    ชานนนิ่งอึ้งและเงียบไปพักใหญ่ กระทั่งขวัญตาเองก็ยังแอบไปซับน้ำตาที่มันเอ่อล้นมาอย่างตื้นตันแทน ส่วนขวัญแก้วนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงลุกเดินออกไปช่วยงานด้านนอกต่อ เพราะวันนี้แขกเยอะเต็มร้านมากเสียยิ่งกว่าทุกวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว จากนั้นสักพักเชฟหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

    “ผมเข้าใจแล้วครับคุณปวีร์...ขอบคุณนะครับ” 

     ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ ตอบอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงเดินไปชะโงกดูด้านนอก แล้วขมวดคิ้วยุ่ง

    “คนเยอะจริง ๆ นี่ขนาดบ่ายสามกว่าไปแล้วนะ สงสัยเพราะโปรโมชันถ่ายรูปจะหมดในเสาร์หน้า ก็เลยมีคนมาใช้บริการกันเยอะล่ะสิ”

    ปวีร์พึมพำ จากนั้นจึงหันมามองในครัว ที่คาดว่าพอช่วงมื้อเย็นและค่ำมาถึง จะต้องผจญกับศึกหนักไม่แพ้กันกับช่วงกลางวันแน่

    “คุณนน เดี๋ยวผมจะเรียกผู้ช่วยมาช่วยคุณตอนเย็นอีกแรงนะ อ้อ ไม่ต้องปฏิเสธ รายนั้นยินดีช่วยคุณเต็มที่อยู่แล้วล่ะ”

    ปวีร์รีบเอ่ยดักคอ ทำเอาชานนสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาแล้วเปรยบ่น

    “ลำบากคุณปยุตเปล่า ๆ นะครับ”

    “ไม่เห็นเป็นไร หมอนั่นอยู่บ้านสบายจะตาย เพราะผมมาขลุกที่ร้านเสียส่วนมาก อีกอย่างถ้าบอกว่าให้มาที่ร้านแล้วช่วยคุณด้วยล่ะก็ ดูเหมือนจะยินดีมาโดยไม่มีบ่นเลยทีเดียว เพราะเจ้าตัวกำลังหาเรื่องสนุกแก้เบื่อในช่วงนี้อยู่น่ะ”

    ชานนขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่สุดท้ายเขาก็ขัดคำสั่งของปวีร์ไม่ได้อยู่ดี จึงต้องพยักหน้ารับคำจำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้างความพอใจให้กับคนสั่งเป็นยิ่งนัก

   

    ระหว่างที่ในครัวกำลังพูดคุยกันอยู่ อีกด้านหนึ่งนอกร้าน การินเองก็กำลังให้บริการลูกค้า เขามองจำนวนคนในร้านที่แทบไม่ค่อยพร่องลงเท่าใด แม้จะไม่ค่อยมีคนนั่งแช่ และเดินเข้าออกกันตลอดเวลาก็ตาม

    “ดีนะ ที่เตรียมการด้านนอกไว้พร้อมแล้ว ยังไงคืนนี้เผลอ ๆ ก็คงจะได้ใช้โต๊ะจนเกือบหมดร้านแน่”

    การินพึมพำกับตัวเอง เมื่อมองต้นไม้สมุนไพรไล่ยุง ที่เขาบอกให้อาสั่งมาปลูกแซมไปกับไม้ประดับอื่น ๆ และเขาก็ได้พิสูจน์กับตัวเอง และพวกกวินแล้วว่า ยุงที่เคยมีมากในช่วงกลางคืน เริ่มลดน้อยลงจนแทบไม่เจอเลยด้วยซ้ำ ประกอบกับอากาศเย็นสบายในตอนค่ำ และบรรยากาศจากแสงไฟที่ถูกประดับไว้ให้พ้นจากแมลงมารบกวนลูกค้าและอาหาร ก็ทำให้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีลูกค้ามาใช้บริการนั่งนอกร้านแทนในร้านอยู่หลายโต๊ะเลยทีเดียว

    “เอ่อ...คุณรินคะ ...”

    เสียงจากหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านนอกกับเพื่อนของเธออีกสามคนเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มเบา ๆ จนการินสะดุ้งแล้วหันมายิ้มให้

    “มีอะไรให้รับใช้หรือครับ”

    หญิงสาวคนนั้นทำท่าเอียงอายนิด ๆ แล้วจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุด

    “ถะ...ถ้าไม่ว่าอะไร...ขอจับมือหน่อยจะได้ไหมคะ...”

    เจ้าหล่อนหน้าแดงขณะพูด ทำเอาการินนิ่งอึ้ง แต่ก็ยังคงยื่นมือให้อีกฝ่าย เพราะไม่เห็นว่าน่าจะเสียหายอะไรนัก

    “ได้สิครับ ถ้าไม่รังเกียจนะครับ”

    “มะ ไม่เลยค่ะ! ...อา  ผิวนุ่มจัง เนียนจริง ๆ ด้วย ....อ๊ะ ขอบคุณนะคะ”

    หญิงสาวผู้นั้นบอกด้วยนัยน์ตาเคลิบเคลิ้ม แล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายระหว่างที่ปล่อยมือข้างนั้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

    “อ๊ะ ฉันก็อยากจับมั่งเหมือนกัน!”

     เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนที่เห็นดังนั้นรีบเสริมขึ้น แต่คนที่จับมือคนแรกรีบขัดไว้

    “ไม่ได้! ก็ตกลงกันแล้วว่าใครจะเป็นฝ่ายได้จับไงล่ะ”

    “งก...อิจฉาชะมัด ฉันก็อยากจับคุณรินเหมือนกันนะ”

    หญิงสาวคนเดิมบ่นอุบ ทว่าอีกคนที่เหลือกลับมองชายหนุ่มด้วยแววตายิ้มแปลก ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น

    “แต่ฉันอยากทำมากกว่าจับจัง”

    การินกลืนน้ำลายลงคอ และก่อนที่จะถูกลวนลามด้วยคำพูดจากสาว ๆ ไปมากกว่านี้ เจ้าตัวก็ขอเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเสียก่อน

    “เอ่อ...คือ ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอตัวก่อนจะได้ไหมครับ”

    “ได้สิคะ ขอบคุณนะคะ คืนนี้ฉันฝันดีแน่เลย”

     หญิงสาวที่ขอจับมือเป็นฝ่ายตอบแล้วยิ้มหวานให้ ก่อนจะชะงักเมื่อเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยเอ่ยกระเซ้าขึ้น

    “...ฝันถึงคุณรินคนเดียว หรือฝันถึงใครด้วยล่ะจ๊ะ”

    “แน่นอน ผิวนุ่มนิ่มเนียนน่าลูบไล้แบบนั้น ก็ต้องมีพระเอกประกอบด้วยสิจ๊ะ ...อ๊ะ! คุณวินคะ คุณวิน รบกวนอะไรหน่อยได้ไหมคะ!”

    การินที่กำลังเดินเลี่ยงไปยืนให้ห่างจากโต๊ะสาว ๆ กลุ่มนั้น ชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นพวกเธอเรียกกวินที่เดินออกมาจากร้าน เพราะชายหนุ่มเห็นจากในร้านว่าการินนั้นกำลังยืนจับมือกับลูกค้า เขาจึงทั้งหึงทั้งห่วง เลยออกมาหวังที่จะช่วยดึงคนรักออกห่างพวกสาว ๆ ทว่าพอมาถึงก็ต้องถูกพวกเธอเรียกเสียอย่างนั้น

    “เอ่อ…มีอะไรหรือครับ”

    “ช่วยยืนข้างคุณรินแป๊บได้ไหมคะ แป๊บเดียวเองค่ะ ขอร้องนะคะ”

    กวินชะงักด้วยความงุนงงเช่นเดียวกับการิน ทว่าทั้งคู่ก็มายืนเคียงข้างกันตามคำขอร้องของอีกฝ่าย แล้วคอยดูว่าพวกเธอจะทำยังไงต่อไป แต่กลับได้ยินเสียงกรี๊ดตอบ จนคนอื่นในร้านพากันตกใจ

    “กรี๊ดใช่เลย! นี่ล่ะ เหมาะมาก อ๊ะ! ขอบคุณมากค่ะ ไม่รบกวนแล้วล่ะค่ะ ...กรี๊ด คืนนี้ฉันฝันดีแน่เธอ!”

    สาว ๆ กลุ่มนั้นบอกกับกวินและการิน ก่อนจะหันไปพูดคุยกันเองอย่างเมามัน ทำเอาพนักงานเสิร์ฟทั้งสองคนมองตาปริบ ๆ ทว่าก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปประจำที่ เพื่อเตรียมตัวดูแลลูกค้ารายอื่น ๆ พวกเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ จากในกลุ่มนั้นดังขึ้น

    “งั้นก็สั่งอาหารเพิ่มอีกสักอย่างสิ เอากลับหอพักก็ได้ เย็นนี้จะได้มีกับข้าวอร่อย ๆ กิน แล้วจะได้สิทธิ์ถ่ายรูปเพิ่มอีกใบด้วย...คราวนี้ล่ะจะให้คุณรินโพสท่าแบบที่อยากเห็นให้ดูให้ได้เลย!”

    กวินมองสาว ๆ กลุ่มนั้น แล้วจึงหันมาทางคนรักที่ยืนอึ้ง ๆ

    “ฉันว่านายลาป่วยตอนนี้เลยก็ได้นะ ไว้พวกนั้นกลับบ้านแล้วค่อยลงมาทำงานต่อ”

    การินชะงักพลางหันไปมองคนที่จ้องเขาเขม็งด้วยความหึงหวง จากนั้นชายหนุ่มหน้าสวยจึงอมยิ้มน้อย ๆ ตามมาอย่างแอบดีใจนิด ๆ และจึงบอกคนรักออกไปอย่างใจเย็นกว่าเดิม

    “บ้ารึ...ก็แค่ถ่ายรูปด้วย อีกอย่างพวกนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉันในแง่นั้นหรอก เพราะวันก่อนที่มายังเห็นคุยสนิทสนมกับโยอยู่เลย แถมถ้าจำไม่ผิด พอคุณภูริเดินมาบอกโยเรื่องให้ไปรับออเดอร์อีกโต๊ะหรือไงเนี่ย สาว ๆ กลุ่มนั้นก็กรี๊ดเขาเหมือนกันนะ”

    กวินขมวดคิ้วยุ่ง ก็โล่งใจที่ไม่มีใครในกลุ่มปิ๊งการินอยู่หรอก แต่พฤติกรรมยากจะเข้าใจของสาว ๆ กลุ่มนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยปนแปลกใจอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน



    และกว่าที่ชายหนุ่มจะได้รู้คำตอบ พวกเขาก็ถูกเรียกให้มาถ่ายรูปคู่ด้วยกัน โดยสาว ๆ กลุ่มนั้นเป็นคนขอใช้สิทธิ์ตามโปรโมชันของร้าน โดยให้ทั้งสองถ่ายรูปในลักษณะเป็นคู่รักนักเรียน แม้การินนั้นจะเขินเพียงใด แต่ก็ยอมยืนควงแขนกวินและซบศีรษะลงกับไหล่ของอีกฝ่าย ทำเอาสาว ๆ กลุ่มนั้นกรี๊ดกันสนั่นอีกรอบ พอได้รูปแล้วพวกเธอก็เข้ามาขอบคุณทั้งสองคนอีกครั้ง และพอได้ยินที่พวกเธอพูด ก็ทำให้กวินลดอคติลงไปมาก แม้จะยังงุนงงอยู่บ้างก็ตาม

    “อย่าตกใจและรำคาญพวกเราเลยนะคะ เพราะพวกเราชอบพวกคุณมาก ๆ จึงแสดงออกแปลก ๆ ไปนิด แต่ที่ทำลงไปไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยจริง ๆ นะคะ ...แต่เมื่อไหร่ที่คุณเกิดรู้สึกรำคาญ และคิดว่าพวกเราเริ่มล้ำเส้นกันจนเกินไป  ก็ขอให้บอกกันตรง ๆ ได้เลยนะคะ  พวกเราจะได้ลด ๆ อาการลงหน่อย เพราะบางทีพวกเราก็เผลอลืมตัวไปบ้างเหมือนกัน”

    หญิงสาวคนที่ขอจับมือการินเป็นฝ่ายพูด จากนั้นเธอจึงขอตัวลากลับไปพร้อมกับเพื่อนคนอื่น ส่วนขวัญแก้วที่เห็นสองหนุ่มยืนงง ๆ จึงเข้ามาอธิบายเพิ่มเติม

    “พวกนั้นเป็นกลุ่มสาว Y น่ะ ...สาว ๆ ประเภทนี้บางคน ก็ชอบมองผู้ชายหน้าตาดี และแอบไปจินตนาการว่าคนนั้นเหมาะสมกับคนนี้ ...บางคนที่ถูกจับจินตนาการ แล้วรู้เข้าอาจจะมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของตัวเอง แต่ฉันคิดว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนักหรอก ก็แค่ความคิด มันไม่ได้ไปทำร้ายอะไรให้ใครเดือดร้อน  ยกเว้นคนที่ถูกจับจินตนาการคนนั้นเกิดร้อนตัว เพราะตัวเองเป็นจริง ๆ เลยออกมาโวยวายว่าถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล นั่นก็ว่าไปอย่าง ...”

    สองหนุ่มมองขวัญแก้วตาปริบ ๆ และพอจะคาดเดาจากคำพูดได้ว่า หญิงสาวเองก็คงเป็นหนึ่งในกลุ่มสาว Y อะไรนั่นเป็นแน่

    “สรุปง่าย ๆ ก็คือ พวกนั้นชอบจับคู่หนุ่ม ๆ ในร้านเรา คิดว่าคนนั้นเหมาะกับคนนี้ และน่าเป็นคู่กัน ...ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรือไง”

    ท้ายประโยคขวัญแก้วลดเสียงพูดให้ได้ยินกันสามคน ทำให้กวินและการินสะดุ้ง หน้าแดงระเรื่อ จนหญิงสาวที่มองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ

    “สาว Y น่ะ ความรู้สึกเรื่องพวกนี้ไวนะจ๊ะ ...ลองหลุดอาการไปนิด พวกเธอก็จับปะติดปะต่อกันไปยืดยาว และหลายคนก็ดันจินตนาการคาดเดาได้แม่นจนน่ากลัวเสียด้วยสิ!”

    ขวัญแก้วเอ่ยเตือนก่อนขอตัวกลับไปทำงานที่บาร์ต่อ ทำให้ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และต่างคิดว่าคงต้องระวังตัวกันให้มากกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นคงได้ความแตกในเร็ววันนี้  ถึงแม้สาว ๆ กลุ่มนั้นอาจจะชอบใจ แต่พวกเขาก็รับประกันไม่ได้ว่า ลูกค้าคนอื่นในร้านจะชอบใจไปด้วยอย่างพวกเธอหรือเปล่ากันแน่

   

... TBC ...

 :L2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 21-09-2012 14:17:16
แอบมาจิ้มเบาๆ ฮุฮุ
ธีเริ่มรุกหลักขึ้นเรี่อยๆแล้วซิ เมื่อไรคุณนนจะรู้ตัวซักทีน๊า
ว่าโดนธีหมายตาเอาไว้แล้ว สาวๆที่มาในร้านคงเป็นสาววายไปเกือบครึ่งแน่ๆเลยอ่ะ
อยากให้เรื่องจริงมีร้านแบบนี้บ้างจัง >.,< จะไปนั่งจิ้นจับคู่หนุ่มๆ
ปล.สู้ๆนะค่ะ ไฟร์ติ๊ง ^_^V
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 21-09-2012 14:55:15
ตายละ!! ติดเรื่องนี้งอมแงมซะแล้วสิ!!!  รอลุ้น คุณนน+ธีรัชอยู่นะ ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 21-09-2012 15:38:15
ธี เริ่มรุกมากขึ้นแล้ว

คุณนน นิไม่ไหวเลยนะ ดูแลตัวเองบ้างดิค้าบบ

วินกับริน น่ารักอะ

5555 อยากไปถ่ายรูปบ้างง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 21-09-2012 16:07:48
ว๊าย  ในร้านน่ะสาววายน้อยกว่าในเล้าตั้งเยอะ  ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ  อิ อิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 21-09-2012 16:08:34
กรี๊ดดด อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-09-2012 16:17:41
อั๊ยยะชอบจัง จนอยากให้มีตัวจริงเลยนะเนี้ย จะเป็นแฟนคลับทุกคู่เลยครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-09-2012 16:18:04
อั๊ยยะชอบจัง จนอยากให้มีตัวจริงเลยนะเนี้ย จะเป็นแฟนคลับทุกคู่เลยครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-09-2012 16:18:29
อั๊ยยะชอบจัง จนอยากให้มีตัวจริงเลยนะเนี้ย จะเป็นแฟนคลับทุกคู่เลยครับ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 21-09-2012 17:00:55
ดันจับคู่ถูกเสียด้วยนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 21-09-2012 18:07:01
อยากไปร้านของคุณปวีร์แบบสาวๆในร้านบ้างจังเลย  :impress2:

ธีเริ่มทำคะแนนใหญ่เลยแต่คุณนนท์ก็ยังไม่รู้ตัว  o13

คุณไกรเริ่มมีสิทธิ์แล้วน้ารุจเริ่มชินที่ไกรอยู่ใกล้ๆแล้ว  :-[
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 21-09-2012 18:26:53
ท่าทางเหมือนหลายคนในร้านจะรู้แล้วว่าธีชอบนน แต่นนก็ยังคงไม่รู้ใช่ไหมนั่น ส่วนไกรที่พยายามไปเหมือนจะเ้ห็นผลแล้วเหมือนกันนะเนี่ยดูจากท่าทีของรุจเนี่ย วินการินน่ารักดี
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 21-09-2012 20:12:12
สาววายเขาเรดาร์แรงนะ
เผลอหึงหวง หลุดบ้าง
จัิบจิ้นกันสนุกเลยล่ะ  :m11:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 21-09-2012 21:10:19
หนุ่มๆน่ารัก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 22-09-2012 02:25:40
รอวันอาทิตย์
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-09-2012 11:41:42
ขำกวินอะ เป็นไงล่ะ โดนจับถ่ายภาพด้วยกันเลย 555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 22-09-2012 14:21:38
สัญชาติญาณสาววายพวกนี้ไวจริงๆ เล่นเอาหนุ่มๆ ของเราเดินกันขาขวิดเลย

เตรียมตัวเก็บกระเป๋าตามไปแอบดูหนุ่มๆ ที่ริมทะเลแล้วนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 22-09-2012 22:13:40
รออ่านคู่คุณนน กะธี
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 22-09-2012 23:44:25


ถึงจะเก็บอาการ หรือไม่มีอาการอะไรเลยก็เถอะ
แต่ยังไงๆก็ไม่สามารถรอดพ้นจากต่อมจิ้นของสาววายไปได้หรอกจ้ะ   หุหุ   :haun5:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 44 ◄ อัพเดท 21/9/55 P.17
เริ่มหัวข้อโดย: Yueei ที่ 23-09-2012 04:18:32
ฮึ้ย รออ่านต่อ สาววายเรดาร์แรงมั่กกก
หนุ่มน่ารักด้วย 55555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-09-2012 19:18:11


**ตอนที่ 45 มาแล้วจ้า ตอนนี้เน้นมาที่คุณพ่อบ้านนิดนึงนะจ๊ะ หุ ๆ ส่วนคู่อื่น ๆ ที่ลงตัวแล้วก็ต้องเฉลี่ยบทให้กับคู่ที่เขายังไม่ลงตัวกันหน่อยล่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นตอนพิเศษ จะจับแยกคู่หวานกันให้น้ำตาลกระจายไปเลยทีเดียว ^^   :L2:



Miracle Café / 45






     กว่าจะปิดร้าน ภูริก็เกือบจะหลุดอาการหึงหวงออกไปให้เห็นอยู่หลายครั้ง เพราะวาโยวันนี้มีหนุ่ม ๆ มาขอถ่ายรูปด้วยมากเป็นพิเศษ แถมบางคนยังทำเป็นตีสนิทจับมือถือแขนชายหนุ่มอีกด้วย แต่ก็ยังดีที่ไม่มีใครทำลามปามมากไปกว่านั้น เพราะไม่งั้นเขาคงจะอดทนอดกลั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ไม่ไหวแน่

    “ทีหลังนายก็ยิ้มธรรมดาให้พวกนั้นก็ได้ ไม่ต้องยิ้มหวานขนาดนั้นหรอก”

    ภูริกระซิบดุ ขณะที่เดินไปส่งลูกค้าโต๊ะสุดท้าย ด้านวาโยชะงักนิด ๆ และพอลูกค้าออกจากร้านไปแล้ว เขาก็หันมาบอกอีกฝ่ายบ้าง

    “ผมก็ยิ้มปกตินะครับ ไม่ได้ยิ้มหวานแบบที่คุณว่าอะไรนั่นสักหน่อย ...คุณภูริต่างหากล่ะ ที่ยิ้มหวานใส่สาว ๆ จนเกินจำเป็นน่ะ”

    วาโยเถียงกลับ เพราะจะว่าไปวันนี้เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ เวลาที่สาว ๆ แต่ละคนทำตัวสนิทสนมแนบชิดเกินเหตุเวลาถ่ายรูปกับชายหนุ่ม แถมภูริก็ยังยิ้มแย้มให้พวกเธอโดยไม่คิดห้ามปรามอีกด้วย

    “ฉันก็ยิ้มการค้าตามปกติเหมือนกันนั่นล่ะ ...หือ...อย่าบอกนะว่าหึงกันด้วยน่ะ”

    คนที่กำลังแย้งนึกขึ้นได้ แล้วหลุดยิ้มน้อย ๆ อย่างดีใจ ทำเอาวาโยหน้าแดงวาบ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันต่อ เสียงกระแอมพาล ๆ ก็ดังขัดขึ้นทันที

    “อะแฮ่ม ๆ จะหวานกันก็หัดเกรงใจกันบ้าง นี่ในร้านนะ ไม่ใช่ห้องส่วนตัว!”

    ภูริกับวาโยสะดุ้ง แล้วหันไปมองไกรสรที่ตอนนี้มีสีหน้าหงุดหงิดนิด ๆ อย่างน่าประหลาดใจ

    “จีบคนไม่ติดเอง แล้วอย่ามาพาลคนอื่นสิพี่ไกร!”

    ปวีร์ที่มองอยู่เอ่ยอย่างนึกขำ ส่วนรุจที่ทำเป็นเมินใส่ ตอนที่ไกรสรหยอดมุกหวานจีบเขาระหว่างทำงาน ถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่สนอกสนใจ เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทานอาหารมื้อค่ำตามปกติ ทำเอาคนพาลชะงักกึก แล้วรีบจ้ำฝีเท้าตามอีกฝ่ายไปโดยไม่ใส่ใจสายตาคนอื่นที่มองอยู่แม้แต่น้อย

    “เฮ้อ! พี่ชายฉัน หลงเขาหัวปักหัวปำแบบนี้ ตอนผิดหวังมาจะมีสภาพแบบไหนกันนะ”

    ขวัญแก้วพึมพำไล่ตามหลังพี่ชายอย่างนึกสงสาร ทว่าปวีร์ที่อยู่ด้วยกันแถวนั้นกลับแย้งขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาเอาเสียเลย

    “มันก็ไม่แน่นะแก้ว... บางทีพี่เธออาจจะตื๊อสำเร็จก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเรากับรุจก็ต้องช่วยกันปราบเขาให้เชื่องทีหลังด้วยล่ะนะ ไม่อย่างนั้นขืนปล่อยให้ติดนิสัยเจ้าชู้ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ พนักงานของฉันมีหวังชีช้ำกันพอดี”

    “นี่ ๆ จะนินทากันก็ช่วยให้มันเบา ๆ หน่อย! อีกอย่างคนนะไม่ใช่หมา จะได้ต้องปราบให้เชื่องอะไรนั่นน่ะ!”

    ไกรสรตะโกนแว่ว ๆ มาจากในครัว ทำให้คนที่อยู่ข้างนอกพากันหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขัน จากนั้นทุกคนจึงทยอยกันไปรวมตัวในครัว เพื่อเตรียมทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกัน

   

    “ให้เวลาไปเก็บข้าวของ เตรียมตัวกันก่อน สักเที่ยงคืนค่อยออกเดินทาง  ส่วนพวกพี่ต้องไปถึงก่อนนะ ไม่งั้นเดี๋ยวพวกผมไม่มีกุญแจเข้าบ้านต้องนอนหนาวหน้าบ้านกันพอดี”

    ปวีร์เอ่ยสรุปถึงโปรแกรมการท่องเที่ยวอีกครั้งหลังพวกเขาทานมื้อค่ำเสร็จ ทางด้านไกรสรยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเอ่ยตามมา

    “ถึงพวกฉันจะไปทีหลัง พวกนายก็เข้าได้อยู่ดีล่ะน่า ที่นั่นมีคนคอยเฝ้าดูแลบ้านพักอยู่ เขามีกุญแจเปิดให้พวกนายได้ตลอดนั่นล่ะ”

    ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนจะชะงักเมื่อพ่อบ้านของเขาเอ่ยขึ้นบ้าง

    “บ้านพักของคุณไกรสร อยู่ห่างจากโรงแรมบีชพาราไดซ์มากไหมครับ”

    ไกรสรหันมามองคนถาม ก่อนจะขมวดคิ้วคิดสักครู่ แล้วจึงหันมาถามน้องสาวอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะเขาเองก็ไปพักผ่อนที่บ้านพักที่หัวหินปีหนึ่ง ๆ แทบนับครั้งได้

    “โรงแรมหรู ๆ ที่อยู่เยื้องบ้านพักเราไปไม่เท่าไหร่ นั่นใช่ชื่อนั้นหรือเปล่าแก้ว”

    “น่าจะใช่นะคะพี่... คุณปยุตมีธุระอะไรกับทางโรงแรมหรือเปล่าคะ หรือกลัวบ้านพักห้องไม่พอ ไม่ต้องกลัวนะคะ บ้านหลังใหญ่มาก ๆ พักได้ยี่สิบสามสิบคนสบาย ๆ เลยค่ะ”

    ขวัญแก้วหันมาบอกปยุต ซึ่งพ่อบ้านหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะเงียบไป ทำให้ปวีร์เหลือบมามองนิด ๆ แต่พอสบตากับอีกฝ่าย เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงหันไปทางพรรคพวกของตนต่อ

    “งวดนี้เราไปเล่นทะเลแบบกันเอง ดังนั้นใส่ชุดอะไรลงน้ำก็ได้ ตามสบาย”

    คำพูดของปวีร์ทำให้ไกรสรชะงัก แล้วจึงเอ่ยขัดขึ้น

    “ที่บ้านพักของฉันมีสระว่ายน้ำด้วยนะ...เพราะงั้นถ้าอยากว่ายน้ำก็ต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงด้วยล่ะ!”

    ขวัญแก้วกับขวัญตาหันมามองหน้ากันแล้วต่างหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขัดพี่ชายของเธอ

    “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วค่ะพี่...ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะหนุ่ม ๆ สระว่ายน้ำของพวกเรากันเอง จะใส่ชุดอะไรลงก็ตามสบาย อ้อ ฉันโทรสั่งให้คนดูแลเขาล้างสระเตรียมรอไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะอย่างนั้นไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะสกปรกเพราะไม่ได้ใช้มานานหรอกนะ ปกติพอไม่ได้ใช้เราก็คลุมสระปิดไว้ประจำนั่นล่ะ เลยทำความสะอาดกันไม่ยากเท่าไหร่”

    หนุ่ม ๆ บางคนทำท่าโล่งอก ที่ไม่ต้องเตรียมชุดว่ายน้ำไป ทว่าก็มีบางคนที่ทั้งเสียดายทั้งโล่งอกปะปนกันจนกลายเป็นสับสนไปแทน

    “ไม่ค่อยเข้าข้างกันเลยนะน้องเรา”   

    ไกรสรบ่นอุบเบา ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อหันมาสบตากับคนที่จ้องเขาอยู่ อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ ให้เขาก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ถ้าอยากดูจริง ๆ เดี๋ยวผมจะเตรียมชุดไปด้วย ดีไหมครับ”

    ไกรสรเงียบกริบ เจ้าตัวคิดหนัก แล้วจึงถอนหายใจตามมา

    “ไม่เอาดีกว่า อยากดูน่ะอยากอยู่ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นเห็นหุ่นเซ็กซี่ของเธอด้วยน่ะสิ”

    คำพูดตรง ๆ จากใจของชายหนุ่ม ทำเอาคนฟังบางคนก้มหน้าเขินอายแทน ส่วนรุจนั้นหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ แต่เขาก็ชอบที่อีกฝ่ายนั้นตรงไปตรงมาแบบนี้มากกว่า

    “ไว้ถ้ามีโอกาสจะใส่ให้ดูสองต่อสองแล้วกันครับ”

    ชายหนุ่มแสร้งเปรยลอย ๆ ทำให้คนฟังหูผึ่ง แต่พอจะเซ้าซี้ถาม รุจก็หันมาทางปวีร์เสียก่อน

    “แล้วพวกเราต้องเตรียมอะไรไปด้วยไหมครับ นอกจากเสื้อผ้า กับของใช้ส่วนตัว”

    ปวีร์เหลือบมองไกรสรที่ตีหน้ายุ่งอย่างนึกขำ แล้วจึงหันมาตอบคำถามของพนักงานของเขา

    “ก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะตาบอกว่าเครื่องครัวที่นั่นมีครบอยู่แล้ว ส่วนของกินก็ฝากคนดูแลบ้านพักซื้อจากสะพานปลาในตอนเช้า แต่ถ้าใครอยากทานอะไรเพิ่มเติม ก็แวะหาแถวตลาดละแวกนั้นก็ได้อยู่”

    พนักงานคนอื่นต่างพยักหน้ารับรู้ จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยนัดแนะเส้นทางและเวลากันอีกสักพัก จึงแยกย้ายไปจัดเก็บและปิดร้าน ก่อนจะตรงกลับบ้านพักกันต่อไป

     

    ในขณะที่พนักงานแต่ละคนกำลังเก็บเสื้อผ้าและเตรียมของใช้ลงกระเป๋า อีกด้านหนึ่งปยุตนั้นก็กำลังจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับปวีร์และราเมศ เช่นเดียวกัน

    “นายถามถึงโรงแรมนั่นทำไม มีธุระอะไรที่นั่นหรือไง”

    ปวีร์ที่นั่งมองปยุตเลือกเสื้อผ้าสำหรับเขาและคนรักเอ่ยถามขึ้น ทำให้ราเมศหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะลอบถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าสำหรับปวีร์แล้วปยุตที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงเป็นแค่พ่อบ้านประจำตัว แต่ชายหนุ่มนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนและพี่ชายของอีกฝ่ายเลยทีเดียว

    “มีเพื่อนสมัยเรียนทำงานอยู่ที่นั่นน่ะครับ ผมเลยว่าจะขอแวะไปใช้ครัวทางโรงแรมทำของขวัญวันเกิดให้คุณนนเขาเสียหน่อย เพราะถ้าทำที่บ้านพัก เดี๋ยวจะทำให้ใครบางคนไม่พอใจขึ้นมาก็ได้”

    ปยุตบอกยิ้ม ๆ ขณะที่คิดถึงหน้าธีรัช ทำให้ปวีร์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่า เพื่อนสมัยเรียนของอีกฝ่ายคงจะมีตำแหน่งใหญ่โตในโรงแรมแน่ เพราะไม่เช่นนั้นปยุตคงไม่สามารถเข้าไปขอยืมครัวของโรงแรมได้ง่าย ๆ นักหรอก

    “สนิทกันขนาดนั้นเลยหรือ”  ปวีร์ยังคงถามต่อ เพราะปยุตมักไม่ค่อยจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังเท่าใดนัก และที่สำคัญตั้งแต่ตอนที่เขาเรียนจบและกลับจากเมืองนอกมา ชายหนุ่มก็แทบไม่เคยลาพักผ่อน หรือมีคนรู้จักมาหาสักครั้ง

    “ก็สนิทกันพอสมควรนั่นล่ะครับ ...แต่หลัง ๆ ไม่ค่อยได้เจอกัน ...ต่างคนต่างยุ่งนั่นล่ะครับ แต่ก็ยังโทรหากันบ้างบางครั้ง”

    ปยุตบอกกับเจ้านายของเขา ปวีร์จ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างพิจารณาสักพัก แล้วย้อนถามกลับไปในประโยคที่ทำให้ราเมศสะดุ้ง

    “แค่เพื่อนเฉย ๆ หรือเป็นมากกว่าเพื่อนล่ะ”

    “เฮ้ย! ปวีร์ ถามอะไรแบบนั้น”

     ราเมศรีบค้าน แต่ปยุตกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วตอบคำถามนั้นกลับไปอย่างไม่ได้นึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด

    “ปิดคุณไม่เคยได้เลยนะครับคุณปวีร์ ... อืม หมอนั่นก็เคยคบหากันได้สักพัก แล้วก็เลิกรากันไปเพราะผมเลือกงานพ่อบ้านมากกว่าจะไปอยู่กับเขา ...ก็เลิกกันตอนที่คุณกลับมาจากเมืองนอก แล้วมาซื้อบ้านอยู่ด้วยกันกับคุณราเมศที่นี่นั่นล่ะครับ”

    ปวีร์นิ่งอึ้งไปสักพักเช่นเดียวกับราเมศ จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปยุตจึงเลือกงานพ่อบ้านมากกว่าความรัก เพราะตระกูลของปยุตนั้นทำหน้าที่ดูแลตระกูลของเขามาตั้งแต่สมัยปู่ทวดของชายหนุ่ม ดังนั้นลูกหลานของตระกูลจึงถูกปลูกฝังอบรมให้จงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อบ้านของเขาเรื่อยมาจนมาถึงรุ่นปยุต ด้วยความที่เขาและอีกฝ่ายสนิทสนมมาตั้งแต่เด็กและอายุไล่เลี่ยกัน ประพจน์ผู้เป็นบิดาของปยุตจึงสั่งสอนอบรมและฝึกฝนลูกชายของตนให้กลายมาเป็นพ่อบ้านมืออาชีพ เพื่อดูแลเขาโดยเฉพาะ

    “ปยุต...นายและครอบครัวไม่ใช่ทาสของบ้านฉันนะ ถึงต้องมาคอยยึดติดกันแบบนี้ด้วย”

    ปวีร์เอ่ยตามมาหลังจากเงียบไปนาน ทว่าปยุตกลับแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เขา และหันไปเก็บเสื้อผ้าของอีกฝ่ายพับใส่กระเป๋าเดินทางต่อ

    “ผมและครอบครัวทำเพราะความเต็มใจครับ อีกอย่างก็ไม่มีใครบังคับกระทั่งจิตใจของคนได้หรอกครับคุณปวีร์ ...ผมพอใจที่จะได้ดูแลคุณ  ผมจึงเลือกทางนี้ มันก็แค่นั้นเอง”

    ปวีร์ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วบอกอีกฝ่าย

    “ฉันเองก็ดีใจที่มีนายคอยดูแล ...แต่รู้ไหมปยุต คนเราน่ะมีชีวิตอยู่ไม่ยืนยาวนักหรอก ...นายไม่คิดจะหาความสุขใส่ตัวเองก่อนตายบ้างหรอกหรือ”

    “ความสุขของผมคือการได้อยู่ดูแลคุณ และเห็นคุณมีความสุขอย่างทุกวันนี้นั่นล่ะครับ ...ผมว่าคุณไปเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเดินทางได้แล้วนะครับ เดี๋ยวเด็ก ๆ พวกนั้นจะรอกันเสียเปล่า ๆ”

    ปยุตตัดบทแล้วจึงหันไปยิ้มกับราเมศเป็นเชิงให้ช่วยพาปวีร์ไปเตรียมตัวสักที ราเมศพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ แล้วสะกิดให้ปวีร์ไปอาบน้ำ ซึ่งชายหนุ่มก็หันมาค้อนนิด ๆ ให้คนรัก แล้วจึงเดินหยิบเสื้อผ้าในตู้ หายเข้าไปด้านในห้องน้ำซึ่งอยู่ภายในห้องนั้น

    “ดูแลกันมาตลอดแบบนี้ ไม่คิดเบื่อบ้างหรือไง”

    ราเมศเอ่ยถามอีกฝ่าย เขายังคงนั่งดูปยุตจัดเสื้อผ้าอยู่แถวนั้น เพราะตั้งแต่กลับมาเขาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอไว้ก่อนแล้ว มีปวีร์นี่ล่ะที่ยังนั่งเล่นเถลไถล ไม่ยอมไปเตรียมตัวกับเขาสักที

    “หึ ๆ แล้วคุณล่ะครับ คบกันมานานขนาดนั้น มีเบื่อกันบ้างหรือเปล่าล่ะครับ”

    ปยุตย้อนกลับไปยิ้ม ๆ ทำให้คนเป็นฝ่ายถามชะงัก แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ

    “นั่นสินะ ...ใครจะเบื่อเขาลงได้ล่ะ ก็น่ารักขนาดนั้นนี่”

    ราเมศพูดตรง ๆ อย่างไม่คิดปิดบัง ทำให้ปยุตอมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแซวอันใดออกไป

    “แล้วอดีตแฟนของนาย... ปัจจุบันนี้ก็ยังติดต่อกันอีกหรือ”

    ราเมศถามต่อ ทำให้คนเตรียมเสื้อผ้าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบตามมาเรียบ ๆ

    “ยังไงก็เคยสนิทกันขนาดนั้นนี่ครับ... ถึงจะเลิกรากันไป ก็ใช่ว่าจะเลิกคบหากันไปเลย ...แล้วมันก็ผ่านมาหลายปี  ต่างฝ่ายก็ต่างลืมเรื่องในอดีตไปแล้วล่ะครับ อีกอย่างหมอนั่นก็เป็นลูกชายคนโตของบ้านด้วย อีกหน่อยก็คงแต่งงานสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองเข้าสักวันนั่นล่ะ...”

    ปยุตนิ่งเงียบไป แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองสบตาราเมศนิ่ง ก่อนจะย้อนถามอีกฝ่ายกลับไปบ้าง

    “คุณราเมศครับ ...ถ้าทางครอบครัวของคุณเกิดคัดค้านขึ้นมา คุณจะยังคงคบหากับคุณปวีร์แบบนี้ต่อไปอีกไหม”

    ราเมศนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทว่าพอตั้งสติได้ เขาก็จ้องอีกฝ่ายนิ่ง แล้วตอบคำถามนั้นด้วยแววตาจริงจังผิดเคย

    “ถ้าเป็นอย่างนั้น...ฉันจะอธิบายให้ครอบครัวและทุกคนเข้าใจถึงความรักของพวกเรา และหากพวกเขายังคงคัดค้านรังเกียจ...ต่อให้ต้องถูกตัดขาดจากครอบครัวหรือญาติพี่น้อง ฉันก็ยังเลือกอยู่เคียงข้างปวีร์ต่อไปอยู่ดี”

    ปยุตนิ่งเงียบรับฟัง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งให้อีกฝ่ายด้วยความขอบคุณจากใจ จากนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ ปยุตก็ขนกระเป๋าทั้งสองใบลงไปรอด้านล่าง โดยปฏิเสธการช่วยเหลือจากราเมศ จากนั้นสักพักปวีร์ก็เดินหน้าแดงนิด ๆ ออกมาจากห้องน้ำ แล้วตรงไปหาคนรักที่รออยู่ ก่อนจะซบหน้าลงกับอกกว้างของอีกฝ่าย พร้อมกับพึมพำขอบคุณเบา ๆ ตามมา ทำให้ราเมศรู้ทันทีว่า ปวีร์นั้นได้ยินสิ่งที่เขากับปยุตสนทนากันด้วยนั่นเอง

    และระหว่างที่ปวีร์กับราเมศกำลังนั่งพลอดรักกันอย่างมีความสุข อีกด้านหนึ่งปยุตที่เดินไปเตรียมถอยรถตู้ออกมา ก็ถอนหายใจเบา ๆ  เมื่อวานนี้เขาลองโทรไปหาอีกฝ่ายที่เคยคบหากัน น้ำเสียงปลายสายนั้นดีใจที่จะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง หลังไม่มีโอกาสได้เจอกันหลายปี และทำได้เพียงแค่โทรศัพท์มาหา ...ทำไมปยุตจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่เลิกรักเขา และคิดจะกลับมาสานสัมพันธ์ต่อตลอดเวลา แต่เขาเองก็เป็นห่วงปวีร์เกินกว่าที่จะทิ้งชายหนุ่ม แล้วไปมีความสุขส่วนตัวตามลำพังแบบนั้น

    “ช่วยไม่ได้นี่นะ ....ยังไงคราวนี้ก็คงต้องพูดให้ตัดใจให้ได้นั่นล่ะ”

    ปยุตพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะไปหยิบกระเป๋าของพวกปวีร์และของตัวเขามาเก็บไว้ท้ายรถ พ่อบ้านหนุ่มยืนรออยู่สักพัก พอใกล้เวลานัดหมาย ปวีร์กับราเมศก็ลงมาพร้อมที่รถ และจากนั้นทั้งหมดจึงตรงไปยังบ้านพัก เพื่อรับพนักงานคนอื่น ๆ ที่เหลือ ออกเดินทางไปหัวหินครั้งนี้ด้วยกัน



    การเดินทางในตอนกลางคืนนั้นเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ได้ช้าอะไรมากมาย อีกอย่างเพราะถนนที่ค่อนข้างโล่ง พวกเขาจึงไปถึงจุดหมายปลายทางโดยใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ 

    “ว้าว! บ้านหรือคฤหาสน์เนี่ย กว้างชะมัด!”

    ธีรัชอุทานอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นบ้านพักตากอากาศตรงหน้าเขา ก็พอรู้มาว่าครอบครัวของไกรสรนั้นเป็นเศรษฐี แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวยถึงขนาดนี้

    “ยังไม่ตีสามเลย ทะเลก็มืดไปหมด ...เอาไงดีเนี่ย นอนต่อหรือไปเดินเล่นกันดี”

    กวินหันไปถามเพื่อนคนอื่น ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นการินขยี้ตาอย่างงัวเงีย เพราะเจ้าตัวนั้นนอนหลับในรถมาตลอดทาง และเพิ่งถูกปลุกลงมาเมื่อครู่

    “ฉันว่าเราแบ่งห้องนอน แล้วเอาของไปเก็บ ถ้าใครจะเดินเล่นก็ให้เดินในเขตบ้านพัก แต่ถ้าจะออกไปข้างนอก อย่างน้อยก็ต้องไปกันเกินสามคน ไม่งั้นฉันไม่อนุญาต ถึงจะเป็นหาดส่วนตัว แต่กลางค่ำกลางคืนมันก็ไม่ปลอดภัยนักหรอก”

    ปวีร์เอ่ยขัดขึ้น แล้วจึงหันไปอีกทางเมื่อได้ยินเสียงหวาน ๆ ของขวัญแก้ว ที่เปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับพวกเขา

    “มาแล้วหรือวี! นี่พวกฉันมารอได้สักพักแล้วล่ะ พี่ไกรน่ะเหยียบซะเต็มที่ เล่นเอาฉันกับตาต้องห้ามเสียยกใหญ่ เพราะกลัวจะได้ไปโรงพยาบาล ก่อนจะได้ไปทะเลน่ะสิ!”

    ขวัญแก้วบ่นนินทาพี่ชายของเธออุบอย่างเอือมระอา สักพักขวัญตากับไกรสรก็เดินออกมาต้อนรับกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงใหม่เช่นกัน

    “ไง มาถึงกันแล้วหรือ ...มาสิเดี๋ยวจะพาไปที่ห้อง รุจจะพักห้องเดียวกับฉันไหม ห้องกว้างนะ เตียงก็คิงไซส์ด้วย”

    ไกรสรเอ่ยทักทายทุกคนแล้วหันมาชวนคนที่ตนสนใจ คนอื่นที่ได้ยินต่างพากันเอือมระอากึ่งขำ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อรุจนั้นเอ่ยตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

    “ก็ได้นี่ครับ ไม่มีปัญหา”

    “ต๊าย! รุจ! ไม่กลัวโดนพี่ไกรปล้ำเอาหรอกหรือจ๊ะ พี่ไกรน่ะ ไว้ใจได้เสียเมื่อไหร่ล่ะ!”

    ขวัญแก้วรีบแย้งขัด ทำเอาคนที่กำลังตกใจชะงัก แล้วหันมาขมวดคิ้วยุ่งใส่น้องสาว

    “มากไป ๆ ยัยแก้ว ทำเหมือนพี่เป็นสัตว์ป่าไร้สามัญสำนึกไปได้ ...ว่าแต่เอาจริงหรือรุจ ไม่ใช่แกล้งกันให้ดีใจเก้อหรอกนะ”

    ไกรสรย้ำถามอีกฝ่าย แล้วจ้องหน้ารอคำตอบ รุจอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงพยักหน้ายืนยัน

    “ก็งั้นสิครับ ผมจะโกหกไปทำไมล่ะ ...นำทางไปสิครับ คนอื่นจะได้ไปพักผ่อนกันต่อ”

    โดยไม่ต้องรอให้รุจพูดซ้ำสอง ไกรสรก็กุลีกุจอช่วยรุจถือกระเป๋าเสื้อผ้าตรงไปที่ห้องของตนทันที ส่วนคนอื่นที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของขวัญแก้วและขวัญตาในฐานะเจ้าบ้าน ที่ต้องคอยดูแลเลือกห้องพักให้ทุกคนนั่นเอง



         

... TBC ...
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 23-09-2012 20:41:46
ใครพักกับใครบ้างนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 23-09-2012 20:52:42
คู่ของปยุตดูเศร้าจังเลย

คุณไกรสงสัยจะลืมสัญญาที่จะไม่โดนตัวรุจรึเปล่าเนี่ย

ภูริกับโยเริ่มผลัดกันหึงด้วยน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 23-09-2012 21:01:39
ปยุตก็มีคู่กับเขาด้วยวุ้ย   :m12:
ดีแล้วๆ  จะได้ไม่ต้องทนเหงา เวลาที่เห็นคนอื่นเขาสวีทหวานกัน  :m4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 23-09-2012 21:14:26
รอต่อไปว่าจะดีรึจะร้ายละนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 23-09-2012 21:14:52
รอต่อไปว่าจะดีรึจะร้ายละนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-09-2012 21:23:06
ถ้าแฟนเก่าของปยุตกลับมาคืนดีด้วย ทริปนี้จะหวานกันถ้วนหน้าเลย :impress2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 23-09-2012 21:50:33
ปยุตไม่คิดถึงจิตใจของอีกคนบ้างหรือ ปยุตรู้สึกยังไงกับคนนั้นกันแน่ แล้วรุจทีเล่นทีจริงจังเลย สงสารไกรหน่อย ๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: nongnette ที่ 23-09-2012 22:15:52
คุณปยุต เฮ้อ สู้ๆนะคิดดีๆ อย่าให้เขาตัดใจเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 23-09-2012 22:57:44
ความรักกับหน้าที่บางทีก็ไม่ต้องแบ่งแยกเลือกทางใดทางหนึ่งก็ได้นะปยุต
เลิกกันไปมันทรมานบ้างเหรอ
เด็กๆ ทั้งหลาย มาเป้นพ่อสื่อให้เขาซะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 23-09-2012 23:22:31
 :-[ :-[คุณราเมศตอบแบบนี้คุณปวีร์ก็รักตายเลยแบบนี้อะ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 24-09-2012 02:45:13
แต่ละคู่ไม่ธรรมดา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 24-09-2012 10:29:56
ุคุณปยุต อย่าคิดอย่างนั้นสิ

สู้ๆนะค้าบบบ

พี่รุจจะแกล้งอะไรพี่ไกรอีกหนอออ

ีรออ่านตอนต่อไปจ้าา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 24-09-2012 20:03:58
เหมือนรุจจะชะล่าใจมากเลยนะ เล่นกับไฟระวังจะโดนไฟไหม้ตัวเองเข้าล่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 24-09-2012 20:26:08
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 45 ◄ อัพเดท 23/9/55 P.18
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 24-09-2012 21:29:15
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-09-2012 22:37:06
 :L2:

Miracle Café / 46





     จากที่คิดว่าโชคดีที่ได้นอนห้องเดียวกัน ไกรสรก็แทบอยากจะถอนคำพูดที่เคยชวนเจ้าตัวเอาไว้ก่อนหน้านั้นให้หมด เพราะคนที่เขาสนใจนั้นหันมายิ้มหวาน พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาต้องมานั่งหงุดหงิดอยู่ลำพังในห้องรับแขกด้านล่าง ทันทีที่เจ้าตัวก้าวเข้าห้องมา

    “ผมคิดว่า ผมจะเริ่มให้คะแนนความชอบคุณตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปแล้ว ... ถ้าก่อนครบกำหนดสองอาทิตย์ที่เราสัญญากัน คุณได้คะแนนความชอบจากผมเกิน 80 คะแนนขึ้นไป ผมจะยอมตกลงคบกับคุณเป็นแฟนจริง ๆ หลังจากนั้น”

    ตอนที่ได้ยินครั้งแรกไกรสรก็แทบจะหลุดไชโยอย่างยินดีออกมา แต่ว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อมาหวนคิดถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน

    “งั้น ถ้าฉันทำตัวผิดสัญญาในระหว่างสองอาทิตย์นี้ นอกจากจะถูกปรับโมฆะ คะแนนความชอบจากนายก็อาจจะติดลบด้วยสินะ”

    รุจยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบ

    “ก็ราว ๆ นั้นล่ะครับ”

    คนฟังแค่นยิ้ม แล้วหันไปสบถอะไรเบา ๆ เมื่อรุจนั้นเดินไปที่เตียง และเอนกายนอนบนเตียงใหญ่ของเขา

    “นุ่มจังนะครับ ...ไม่มานอนด้วยกันหรือครับ”

    คนชวนแย้มยิ้มหวาน ทำเอาไกรสรชักอยากจะลืมเรื่องสัญญาทั้งหมดไปเสีย แต่เขาก็ทำไม่ได้ และตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

    “เชิญเธอนอนตามสบาย ฉันจะไปหาอะไรดื่มแก้เซ็งที่ด้านล่างนั่นแทนแล้วกัน!”

    รุจหัวเราะในลำคอ แต่พอไกรสรเตรียมจะเดินออกจากห้องไป เสียงทุ้มนุ่มก็ดังตามไล่หลังมาเบา ๆ

    “บวกให้สิบคะแนนสำหรับความอดทนนะครับ”

    ไกรสรหันขวับ เขาเห็นรุจยิ้มให้เขา ก่อนที่เจ้าตัวจะถอดแว่นวางไว้หัวเตียง และดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย ลักษณะการนอนของชายหนุ่มที่ยึดกลางเตียงของเขานอนเช่นนั้น ย่อมบ่งบอกให้เห็นว่า ไม่อนุญาตให้เขาขึ้นร่วมเตียงด้วยแน่ ๆ

    “...เอาเถอะวะ ยังไงก็ได้คะแนนบวกกับเขามั่งล่ะนะ”

    ไกรสรบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วจัดแจงปิดไฟห้องให้ เหลือแต่เพียงไฟส้ม ๆ แสงสลัวที่หัวเตียงเท่านั้น และพอชายหนุ่มเจ้าของห้องปิดประตูออกไปแล้ว รุจก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ พลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเปรยกับตัวเองเบา ๆ

    “บวกคะแนนพิเศษสำหรับความเป็นสุภาพบุรุษ ให้อีกห้าคะแนนแล้วกันนะครับ”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงหยิบมือถือของตนขึ้นมาตั้งนาฬิกาเป็นเวลาตีห้า เพราะเขาตั้งใจจะตื่นขึ้นมาเดินเล่นรับลมในตอนเช้าเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง

   

    อีกด้านหนึ่งคนอื่น ๆ นั้น จัดห้องนอนเหมือนกับตอนอยู่ที่หอพัก ยกเว้นธีรัชที่ได้นอนห้องเดียวกับชานน เพราะปยุตนั้นขอตัวไปที่โรงแรมเพื่อไปหาเพื่อนสนิทของเขา และอาจจะกลับในตอนเช้าเลยก็ได้  ทำเอาชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าและถูกจับให้มานอนด้วยกันกับเชฟหนุ่ม ต้องเบิกตาค้างด้วยความตื่นเต้น และพยายามบอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไร และเป็นเรื่องปกติทั่วไป

    “...เอ่อ ถ้าคุณธีรัชนอนไม่หลับ ผมออกไปนอกห้องให้ก็ได้นะครับ เพราะนี่ก็ตีสามกว่าแล้ว เป็นเวลาใกล้ตื่นของผมพอดี ผมนอนไม่หลับแล้วล่ะครับ”

    ชานนที่สังเกตเห็นคนข้างกายพลิกตัวไปมาเอ่ยขึ้น ทำเอาธีรัชสะดุ้งโหยง แล้วรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

    “ไม่ใช่เพราะคุณนนหรอกครับ ...คือ ผม... ง่า... ตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้มาเที่ยว… จริง ๆ แล้วคนที่น่าออกไปนอนที่อื่น น่าจะเป็นผมมากกว่า ขอโทษด้วยนะครับ ที่รบกวนคุณนนจนไม่ได้พักผ่อนแบบนี้”

    ธีรัชแก้ตัวเพื่อไม่อยากให้เชฟหนุ่มต้องกังวล ซึ่งพอได้ฟังอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก

    “อย่างนั้นหรือครับ ผมเองก็กลัวว่าคุณจะไม่ชินที่ต้องนอนร่วมห้องกับคนอื่นเสียอีก”

    “ไม่หรอกครับ...จริง ๆ แล้วผมดีใจด้วยซ้ำ”

    ธีรัชรีบบอกแล้วชะงักคำพูดของตัวเอง ด้วยกลัวว่าชานนนั้นจะรู้สึกแปลกใจและสงสัยต่อคำพูดของเขา ทว่าเชฟหนุ่มกลับตีความไปว่า อีกฝ่ายคงคิดถึงครอบครัวที่เสียไปแล้วนั่นเอง

    “ถ้าคุณไม่อึดอัดอะไร เรามานอนใกล้กันก็ได้นะครับ”

    ชานนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เพราะเตียงที่ทั้งสองนอนนั้นเป็นเตียงคู่ และเขากับธีรัชก็ขยับไปนอนกันเสียคนละมุม สำหรับชานนเพราะเกรงใจ แต่ธีรัชนั้นกลัวเผลอลืมตัวหลุดทำอะไรแปลก ๆ ออกไปมากกว่า

    “เอ่อ...ครับ ก็ได้ครับ”

    ธีรัชที่เตรียมจะปฏิเสธ ต้องเอ่ยปากรับคำ เพราะได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายจากแสงไฟสลัวบนหัวนอน เขาขยับเข้าไปใกล้ จนได้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากเส้นผมของอีกฝ่าย หัวใจของเขาเต้นแรงจนเกรงว่าชานนจะได้ยิน ยิ่งได้เห็นใบหน้าคมคายนั้นหลับตาพริ้มใกล้ ๆ ธีรัชก็อยากก้มลงไปจูบเชฟหนุ่มเสียเดี๋ยวนั้น

    ‘…โธ่โว้ย เรา...นี่เราชอบเขาจริง ๆ ด้วยสินะ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ...’

    ธีรัชที่เคยพยายามโกหกหัวใจตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับ เพราะถ้าเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเสมือนตัวแทนพ่อแม่ ยังไงก็คงไม่เกิดใจเต้น และเกิดอยากสัมผัสเรือนร่างของคนข้าง ๆ แบบนี้เป็นแน่

    ‘…คุณนน ...ถ้าคุณรู้ คุณจะรังเกียจผมไหมนะ...ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงต้องทนไม่ได้แน่เลย...’

    แม้จะเคยผ่านการอกหักมามาก แต่พอหวนคิดว่าจะถูกชานนปฏิเสธ ธีรัชก็รู้สึกปวดแปลบที่ใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน...บางทีกับคนคนนี้ อาจจะเป็นรักแท้ ที่เขาไม่เคยพบมาก่อนก็เป็นได้

     “...ผมชอบคุณนะ คุณนน”

    ธีรัชพึมพำแผ่วเบา แล้วจึงหลับตาลง ก่อนจะเคลิ้มหลับตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ทว่าคนที่หลับตาไปแล้วก่อนหน้านั้นกลับลืมตาขึ้นน้อย ๆ แล้วจ้องมองชายผู้อ่อนวัยกว่าตนนิ่ง ชานนพยายามตีความคำว่าชอบของอีกฝ่าย ว่าเป็นในลักษณะไหนกันแน่ เพราะแม้เขาจะรู้ดีว่าธีรัชนั้นชอบทั้งชายและหญิง แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่ถูกชอบในแง่แบบนั้น เพียงแต่ท่าทางและแววตาในบางครั้งที่ชายหนุ่มแสดงออกให้เห็น มันก็ทำให้เขายากที่จะปฏิเสธเป็นแบบอื่นไปได้

    “หลับฝันดีนะครับ ...”

    ชานนที่นิ่งคิดอะไรเงียบ ๆ อยู่สักพัก ลูบศีรษะคนที่นอนหลับไปแล้วแผ่วเบา แล้วจึงลุกขึ้นนั่งมองคนบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินลงไปเดินเล่นบริเวณหน้าบ้านพัก เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองจะนอนต่อไม่ลงขึ้นมาเสียแล้ว

   

    ก่อนหน้านั้น พอแต่ละคนแยกห้องเข้านอนพักผ่อนกันต่อ ปยุตก็ขอตัวเลี่ยงมาที่ทางโรงแรม เขาลองโทรหาอดีตคนรัก ซึ่งก็ใช้เวลารอสายไม่นานนัก อีกฝ่ายก็กดรับแล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงยินดี

    “ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วน่ะ จะให้ฉันไปรับนายมาที่นี่ไหม”

    “ไม่ต้องหรอก...ฉันอยู่แถวนี้เอง กำลังเดินมาหานายที่โรงแรมนั่นล่ะ”

    พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น ปลายสายก็แทบจะตาสว่าง ก่อนจะโพล่งกลับเสียงดัง

    “เดินมา! ให้ตายเถอะ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วเนี่ย...หือ...ตีสามกว่า บ้าเอ๊ย! นายนี่มัน... นี่มาจากทางไหน เดี๋ยวฉันลงไปรับ ...ไม่ค่อยรู้จักระวังตัวเหมือนเคยเลยนะนายน่ะ!”

    น้ำเสียงนั้นบ่น ๆ ตามมายืดยาว ชวนให้คนฟังอมยิ้ม ที่อีกฝ่ายนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะตอนสมัยที่ยังเป็นเพื่อนกัน ตอนคบกัน หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่เลิกรากันไปแล้วก็ตาม

    “ฉันมาจากทางบ้านพักของเพื่อนเจ้านายน่ะ ตรงแถว...”

    ปยุตอธิบายเส้นทางให้ปลายสายฟังคร่าว ๆ และก็ถูกทางนั้นกำชับมาว่าให้หาที่สว่าง ๆ ยืน และหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ให้รีบโทรศัพท์บอกเขา ส่วนตัวเขากำลังจะลงไปรับชายหนุ่มด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้

    “...เป็นเสียแบบนี้ ก็เลยพูดไม่ออกทุกทีสิน่า”

    คนที่เคยคิดจะตัดสัมพันธ์เด็ดขาดพึมพำกับโทรศัพท์ที่วางไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจตามมา เมื่อหวนนึกถึงคำพูดที่ปวีร์ให้ไว้ และนึกถึงราเมศที่ตอนนี้ก้าวเข้ามาคอยดูแลปกป้องคุณหนูคนสำคัญของเขา ซึ่งตอนนี้ราเมศเองก็ได้กลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของปวีร์ไปเสียแล้ว 

    “ให้หาความสุขใส่ชีวิตอย่างนั้นหรือ... จะทำได้ไหมนะ”

    ปยุตพึมพำ แล้วจึงยืนรอแถวนั้นสักพัก ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่สวมเสื้อคลุมทับชุดนอนอีกชั้นหนึ่ง เดินตรงมาที่เขาอย่างเร่งรีบ

    “ไง...พล ไม่ได้เจอกันเสียนาน...”

    ยังไม่ทันที่ปยุตจะทักจบ คนตรงหน้าก็ดึงร่างเขาไปกอดแน่น แล้วเอ่ยตามมาอย่างโล่งอก

    “บ้าจริง ๆ ฉันเป็นห่วงนายแทบตาย ...เมื่อปีที่แล้ว แถวนี้เคยมีคนถูกฉุดไปทำร้ายมาแล้วนะ รู้ไหม ถึงตอนนี้จะมีการตรวจตราเข้มงวดกว่าเดิม ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้เสียที่ไหนเล่า!”

    ปยุตซบหน้ากับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันต่อความเป็นห่วงนั้น เขาปล่อยให้อีกฝ่ายกอดสักพัก จนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว แล้วผละออกมาด้วยใบหน้ายิ้มเจื่อน ๆ

    “ขอโทษ...ฉันลืมตัวไปหน่อย”

    ปยุตนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา แล้วจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างไม่นึกโกรธเคืองอันใด

    “ไม่เป็นไรหรอก ...เราไปที่โรงแรมของนายกันเถอะ ฉันตั้งใจมาตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ เพราะไม่อยากรบกวนครัวของโรงแรมในตอนเช้าน่ะ ช่วงนั้นคงจะยุ่งน่าดูใช่ไหมล่ะ”

    “ก็ยุ่งนั่นล่ะ แต่ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย จนถึงกับที่ทำให้นายต้องเสี่ยงมาเดินกลางคืนคนเดียวแบบนี้สักหน่อย”

    ทรงพลยังคงบ่นต่อ ทำให้ปยุตอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงคล้องแขนอีกฝ่ายเดิน ทำเอาชายหนุ่มเงียบกริบทันที

    “คราวหน้าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก แล้วจะรอให้นายไปรับด้วยตัวเอง โอเคไหมล่ะ”

    ทรงพลนิ่งอึ้ง เขามองปยุตอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะตั้งแต่เลิกกัน เขาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้มาพบหน้ากันอีก ถ้าไม่อยากจะถูกตัดสัมพันธ์เด็ดขาด แต่การที่ปยุตมาหาเขา และยังพูดเหมือนว่าจะมาหาอีกครั้งในอนาคต ก็ทำให้ทรงพลเริ่มมีความหวังที่จะสานสัมพันธ์ฉันท์คนรักกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

    “ปยุต...นาย...นายกับฉัน เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกได้ไหม...”

    ทรงพลที่ชะงักฝีเท้าและหยุดนิ่งเอ่ยขึ้นเสียงสั่นพร่า ทำให้คนฟังถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยออกไปตามตรง

    “รู้ไหมพล ว่าที่ฉันมาที่นี่ นอกจากจะมาเจอนายอีกครั้งแล้ว...ฉันก็อยากจะทำให้เรื่องของพวกเรามันจบสิ้นไปสักที เพื่อที่นายจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่ดีกว่า”

    ทรงพลเงียบกริบ ตัวชาวาบ พูดอะไรไม่ออก... สีหน้าเจ็บปวดของอดีตคนรักที่มองมา ทำเอาปยุตแทบจะทนใจแข็งไม่ไหว มาถึงตอนนี้ก็ทำให้เขารู้ตัวแล้วว่า เขาเองนั้นก็ยังคงรักอีกฝ่ายอยู่เช่นเดิม แต่เขาก็ไม่อยากให้ทรงพล ต้องเอาอนาคตมาผูกไว้กับเขาที่ไม่อาจอยู่เคียงข้างกับเจ้าตัวได้ตลอดเวลาเช่นนี้

    “ไม่ว่าใครจะดีเท่าไหน... สำหรับฉัน ถ้าไม่ใช่นายแล้ว ฉันก็ไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่กับใครอีกทั้งนั้น...”

    คำพูดที่เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่เงียบไปนาน ทำให้ปยุตต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่าย

    “แต่ว่า...ถึงเราจะกลับมาเหมือนเดิม ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่า ฉันจะทิ้งงานพ่อบ้านของตัวเองได้”

    ปยุตเอ่ยต่อเสียงแผ่ว ทำเอาคนฟังชะงัก ทรงพลจับไหล่ของอีกฝ่ายบีบ พลางสบสายตากับคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะเอ่ยตามมาอย่างหนักแน่น

    “ขอแค่นายยอมกลับมาคบกันเหมือนเดิม ฉันก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น... และถ้านายทิ้งทางนั้นมาไม่ได้ ฉันจะเป็นฝ่ายทิ้งทุกสิ่งไปหานายเอง...”

    ปยุตนิ่งอึ้งกับคำพูดจากใจของอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเมื่อทรงพลนั้นปล่อยมือที่บีบไหล่ของเขาออก แล้วย้ายมาเกาะกุมมือทั้งสองของเขาแทน ก่อนจะยกมันขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ 

     “ฉันมันเคยโง่ เคยขี้ขลาด จนเสียนายมาแล้วครั้งหนึ่ง ...ซึ่งฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งแน่”

    คำยืนยันจากทรงพล ทำให้ปยุตหมดสิ้นความลังเลในหัวใจ ส่วนเรื่องที่จะต้องให้อีกฝ่ายทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาอยู่เคียงข้างเขา ปยุตไม่เคยมีความคิดแบบนั้นในสมองมาก่อนเลยสักนิด และเขาคงจะปล่อยให้เจ้าตัวทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะมั่นใจว่าหากเขาออกปาก ทรงพลก็พร้อมจะทำตามที่เขาขอทุกอย่างจริง ๆ ก็ตาม 

    “คนที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุด เขาบอกให้ฉันรู้จักหาความสุขใส่ตัวบ้าง ... ทั้งที่ฉันก็เคยคิดมาตลอดว่า ฉันมีความสุขที่จะได้อยู่เคียงข้างรับใช้เขาแบบนั้น ...แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกโลภ และอยากไขว่คว้าหาความสุขมาเพิ่มขึ้นอีกสักอย่างบ้างแล้ว”

    ปยุตเปรยขึ้นในขณะที่จ้องหน้าอีกฝ่าย ที่บัดนี้กำลังมีสีหน้าตื่นตะลึงด้วยความหวังเล็ก ๆ เมื่อได้ยินในคำพูดของพ่อบ้านหนุ่ม จากนั้นทรงพลก็ต้องหลุดตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินประโยคถัดมา

    “ฉันอยากให้นายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันอีกครั้งนะพล...จะได้ไหม”

    ทรงพลนิ่งอึ้งแล้วจึงกอดตอบร่างนั้นแน่นจนปยุตรู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไรไป เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่เลิกกัน อีกฝ่ายก็คงเจ็บยิ่งกว่านี้หลายเท่านักเป็นแน่

    “...ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า....และฉันคิดว่าจะเลื่อนเวลาทำเค้กวันเกิดของคุณนนออกไปสักหน่อย...แต่ระหว่างนั้น ฉันก็ยังไม่มีอะไรต้องทำเป็นพิเศษ...นายคิดว่าฉันควรจะหาอะไรทำแทนการนอนพักรอเฉย ๆ ดีล่ะพล”

    ปยุตถามคนรักพร้อมรอยยิ้มแฝงความนัย ที่ทำให้คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ใจเต้นแรง ก่อนจะรีบบอกเสียงสั่นพร่า

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งคุยรำลึกความหลังของพวกเราที่ห้องของฉันเถอะ...ฉันเองอยากจะคุยกับนายให้มากกว่านี้...อยากจะสัมผัสนายให้รู้สึกว่า นี่มันคือเรื่องจริง ไม่ใช่ฉันกำลังหลับฝันอยู่บนเตียงของตัวเอง”

    ปยุตแย้มยิ้มหวาน เขาใช้สองแขนคล้องคออีกฝ่ายและรั้งใบหน้าของร่างสูงลงมาใกล้ชิด และแลกจุมพิตอันดูดดื่มระหว่างกันอยู่สักพักใหญ่ จากนั้นทรงพลก็แทบจะอุ้มคนรักกลับโรงแรม แทนการเดินเรื่อย ๆ อย่างที่ปยุตทำอยู่

     และกว่าพ่อบ้านหนุ่มจะตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเกือบสามโมงเช้าเข้าให้แล้ว เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ มองชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกายของเขา ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข และจัดแจงดึงผ้าห่มมาปิดคลุมร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ส่วนเขาก็เดินนิ่วหน้านิด ๆ ตรงเข้าห้องน้ำ เพื่อจะไปอาบน้ำชำระร่างกายและเตรียมตัวลงไปทำเค้กวันเกิดอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกต่อไป



... TBC ...


.ตอนนี้มาสั้น ๆ หน่อยนะคะ แต่สั้นแบบหวาน ๆ จ้ะ ... สำหรับตอนนี้ คู่ผู้ใหญ่เขามาไวเคลมไวอีกคู่แล้วครับท่าน! (หุ ๆ) อีกอย่างเพราะคู่นี้ยังไงก็เคยคบกันมาถึงขั้น...(ละไว้ในฐานเข้าใจ)แล้ว  เขี่ยหน่อย ๆ ถ่านไฟเก่าก็คุง่ายเป็นธรรมดา (จริง ๆ แล้วคือคนแต่งขี้เกียจลากดราม่ายืดยาว-*-) 

สำหรับตอนนี้ใครเป็นแฟนคลับ ไกร-รุจ เตรียมเสียงเก็บไว้กรี๊ดกันได้เลยจ้ะ!!
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: waan_warunee ที่ 24-09-2012 23:08:07
เย้~ ตามอ่านทันแล้ว~ ^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: nongnette ที่ 24-09-2012 23:18:23
กรี๊ดดดดดดดด จัดไป หาความสุขใส่ตัว อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 25-09-2012 00:15:35
ทรงพลงเป็นห่วงปยุตน่าดูเลยนะนั่น และก็ดูท่าจะรักปยุตมาก ๆ เลยด้วย รุจชอบแกล้งนะนั่น สงสารไกร นนเหมือนจะรู้ หรือว่าไม่รู้กันแน่เรื่องธีรัช
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 25-09-2012 05:50:47
คู่นี้มาทีหลัง แต่แซงหน้าใครเค้าเลยอ่ะ  กิ๊วๆ    :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 25-09-2012 06:34:19
พวกผู้ใหญ่นี่เขาไม่ต้องคุยกันมากเลยเนอะ มองตาก็รู้ใจกันไปถึงไหนๆ
อีกอย่างเขาไม่ยืนคุย นั่งคุยกันแบบพวกเด็กๆหรอก รอจนเมื่อย สู้พวกผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เขานอนคุยกันถึงความหลังนู่น :laugh:
สรุปคนอ่านหื่นมาก :m20:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 25-09-2012 09:08:49
วู้วววว พี่ำไกรก็น่าสงสาร ดูเหมือนจะจริงจังขึ้นเรื่อยๆๆ

แต่พี่รุจเรา อันนี้เดายากจังแหะ

คู่คุณปยุตน่ารักเน้ออออ ชอบบบ

5555 ตอนนี้้มีแต่ผู้ใหญ่ๆแหะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 25-09-2012 10:33:10
เย้ สมหวังอีกคู่แหละ คุณนนท์รู้แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย ธีจะโดนถอยห่างรึเปล่า

คุณไกรมีหวังแล้วล่ะ มีเพิ่มคะแนนพิเศษด้วยอ่า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 25-09-2012 10:38:37
คู่พ่อบ้านเขาคุยกันง่ายเพราะเป็นแฟนเก่า
คู่รุจกับไกรสรนี่เริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่คู่ธีรัชกับชานนเนี่่ยท่าจะช้ากว่าคู่อื่นแน่เลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 46 ◄ อัพเดท 24/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 25-09-2012 13:01:41
ไวมากอะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 26-09-2012 14:05:00
*ตอนนี้มีสองคู่ชู้ชื่น(?) ค่ะ  เชิญอ่านกันได้ตามสบายนะคะ  :L2:




Miracle Café / 47




    พอถึงเวลาตีห้ารุจก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินลงมาชั้นล่าง ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นไกรสรนอนขดตัวอยู่ที่โซฟาแทนที่จะไปหาห้องว่างห้องอื่นนอนอย่างที่ควรเป็น

    “คุณไกรสร...ตื่นเถอะครับ” รุจเขย่าร่างนั้นปลุก อีกฝ่ายปรือตาขึ้น แล้วชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนปลุกตน

    “อ้าว...เช้าแล้วหรือ ...แล้วนี่ฉันทำไมมานอนแถวนี้ล่ะเนี่ย...”

    คนกำลังงัวเงียพึมพำ ก่อนจะหวนนึกถึงก่อนหน้านั้น แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เพราะลงมานั่งเล่นแก้เบื่อ นั่งไปนั่งมาก็เกิดง่วงแล้วก็หลับไปเมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

    “คุณนี่ล่ะน้า...” รุจพึมพำพร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ แล้วจึงบอกกับชายหนุ่ม

    “คุณไปนอนห้องของคุณเถอะครับ ขอโทษด้วยที่แย่งที่นอนไปแบบนั้น”

    ไกรสรมองคนพูด ก่อนจะเลิกคิ้วนิด ๆ

    “แล้วเธอล่ะ”

    “ผมจะไปเดินเล่นแถวหน้าบ้านพัก รอดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะครับ”

    ไกรสรขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงยันกายขึ้นยืนมองไปทางหน้าต่าง ก่อนจะนิ่วหน้า

    “ยังมืดอยู่เลย อันตรายนะ ถึงจะเป็นหน้าบ้านพักก็เถอะ ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีพวกมิจฉาชีพ หรือพวกคนเมาหลงมาตอนไหน...”

    รุจมองคนที่บ่นยาวเพราะเป็นห่วงเขาอย่างพอใจ แล้วจึงเปรยชวนเบา ๆ ตามมา

    “ถ้าอย่างนั้นไปเดินเล่นด้วยกันสองคนไหมล่ะครับ”

    ไกรสรสะดุ้งเมื่อได้ยิน แต่พอมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พูดเล่นแกล้งแหย่ เขาก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ

    “ถ้าอย่างนั้นก็ได้เลย”

    รุจอมยิ้ม แล้วจึงเดินนำออกไป ชายหาดในตอนมืดดูวังเวงและน่ากลัวอย่างที่ปวีร์และไกรสรเตือนเอาไว้ รุจถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงหันไปมองคนที่เดินตามมาใกล้ ๆ

    “เบื่อไหมครับ มาเดินมืด ๆ กับผมแบบนี้”

    ไกรสรชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และตอบออกไปตามตรง

    “ไม่หรอก แต่ถ้าจะให้ดี ก็อยากให้เดินควงแขนกันบ้าง จูงมือกันบ้าง มันคงโรแมนติกดีล่ะนะ”

    รุจแย้มยิ้มน้อย ๆ กึ่งเอือมระอา เขามองไกรสรที่เดินห่อไหล่ เพราะอีกฝ่ายนั้นสวมเสื้อด้วยเนื้อผ้าค่อนข้างบาง ประกอบกับอากาศตอนเช้านี้ก็ค่อนข้างเย็นทีเดียว

    “ขอโทษนะครับ...” รุจเปรยขึ้น พลางเบียดกายชิดอีกฝ่าย แล้วควงแขนชายหนุ่มหลวม ๆ

    “แบบนี้เดินลำบากหรือเปล่าครับเนี่ย”

    รุจแสร้งเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งอึ้ง ไกรสรชะงักนิด ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะตามมา

    “ไม่เลย…ไม่ลำบากสักนิด แถมยังอุ่นมากอีกด้วย”

    รุจยิ้มตอบ แล้วจึงพิงศีรษะกับท่อนแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ

    “ชายหาดตอนมืดถึงจะดูน่ากลัว แต่มันก็โรแมนติกดีนะครับ”

    “อะ...อืม” ไกรสรตอบสั้น ๆ เพราะกำลังรวบรวมสมาธิควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอเตลิดทำเกินเลยกับอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารุจจะมาไม้ไหน แต่เขาก็ต้องพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เพื่อจะได้ชนะใจชายหนุ่มให้จงได้



    “...ผมจะตั้งเวลาเอาไว้หกโมงแล้วกัน”

    จู่ ๆ รุจก็เอ่ยขึ้นกับตัวเอง หลังจากที่ลอบสังเกตคนข้างกายที่พยายามอดทนเต็มที่มาได้สักพัก

    “หมายความว่ายังไง” ไกรสรถามอย่างงุนงง แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มหวานให้กับเขา หลังจากตั้งเวลามือถือของตนเสร็จสิ้น

    “ก็หมายถึงว่า ผมจะให้รางวัลพิเศษกับคุณในช่วงนี้...คุณอยากทำอะไรกับผมก็ให้คุณทำได้ตามใจ จนกว่าจะถึงเวลาหกโมงเช้า โดยไม่ถือว่าผิดข้อตกลงของพวกเรา ...แบบนี้ดีไหมครับ”

    ไกรสรนิ่งอึ้งหลังจากฟังจบ เขายืนนิ่งไปสักพักอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จนรุจนึกขำ

    “เหลืออีกสามสิบนาที จะหกโมงแล้วนะครับ”

    ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบเขาก็ถูกร่างสูงดึงเข้าหา ก่อนจะกอดแน่นอย่างที่อยากทำมานาน รุจนั้นตกใจในทีแรก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักและปรารถนาที่แฝงมากับอ้อมกอดนั้น เขาเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ หลับตาพริ้มรอ เมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้ และบดเบียดจุมพิตดุดันและเร่าร้อนจนคนถูกจูบแทบจะขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว

    “หวานยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก...” ไกรสรพึมพำ ขณะถอนริมฝีปากออกมาช้า ๆ

    “ทำแค่นี้พอหรือครับ...เวลายังเหลืออีกมากพอนะครับ...”

    รุจแกล้งยั่วแล้วรอดูท่าที แต่ไกรสรนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วเลือกที่จะจูบหน้าผากของอีกฝ่ายแทน

    “เด็กแสบเอ๊ย...ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอกำลังใช้ตัวเองหลอกล่อดูท่าทางฉันอยู่...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจริงจังกับเธอจริง ๆ และฉันจะทำให้เธอเชื่อมั่นก่อนสัญญาสองอาทิตย์นี้ของเราจะจบลงให้จงได้เลยทีเดียวล่ะ”

    รุจนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และคราวนี้รอยยิ้มที่ตามมาจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเคย

    “แต่ถึงอย่างนั้น เวลาก็ยังเหลืออีกเยอะนะครับ... และที่สำคัญ ผมเองก็ชอบจูบเมื่อครู่ของคุณมากเลย”

    ไกรสรอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง แต่พอเห็นรุจทำเป็นแสร้งถอนหายใจและทำท่าจะผละจากไป เขาจึงรีบโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยความเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม จนรุจแทนจะยืนไม่อยู่และต้องโอบแขนคล้องคออีกฝ่ายพยุงร่างของตนไว้แทน และหลังจากที่ทั้งสองผละกัน รุจก็ตัดสินใจนั่งลงที่ชายหาดแถวนั้นเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีไกรสรนั่งซ้อนและประคองกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง

    “อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่อยากให้มันเดินไปถึงหกโมงเลยนะ”

    ไกรสรพึมพำพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก รุจนั้นพิงศีรษะกับไหล่กว้างของอีกฝ่าย แล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง พวกเขานั่งกันอยู่สักพัก จนฟ้าเริ่มสางและเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้น

    เสียงถอนหายใจของไกรสรดังขึ้นจนรุจต้องอมยิ้ม แต่พออีกฝ่ายจะขยับมือคลายอ้อมกอด รุจก็จับแขนของชายหนุ่มเอาไว้เสียก่อน   

    “กอดอีกสักครู่นะครับ เดี๋ยวถ้าผมจะให้เลิก ผมจะเป็นฝ่ายบอกเอง”

    ไกรสรชะงัก แต่ก็ยอมกอดเจ้าตัวไว้ตามใจปรารถนาแต่โดยดี ด้านรุจเองนั้นมีรอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เขาหวนคิดถึงเมื่อก่อน ที่เคยตั้งใจไว้ว่าหากอีกฝ่ายเกิดจริงจังขึ้นมา และตัวเขายังคงไม่ได้คิดรักตอบ เขาก็จะพยายามหาเรื่องตัดสัมพันธ์กับชายหนุ่มให้ได้ ...แต่พอมาถึงวันนี้ เขาก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองนั้นเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ กับไกรสรเข้าบ้างแล้ว ...เหลือก็เพียงแค่ว่าไกรสรนั้นจะแสดงให้เขามั่นใจได้สักเพียงใดว่า เจ้าตัวจะรักเขามากพอจนเขาสามารถจะมอบหัวใจรักตอบได้ โดยไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง

     ถึงแม้ว่ารุจจะยอมรับเรื่องความรู้สึกที่ไกรสรมีต่อตนก็ตาม แต่เรื่องความเจ้าชู้ของชายหนุ่มก็ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นแค่วันสองวัน และถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงจีบเขา เจ้าตัวเลยไม่คิดแลใคร แต่รุจก็ยังคงไม่มั่นใจว่าหากคบกันแล้ว อีกฝ่ายจะกลับไปเป็นเช่นเดิมหรือไม่ และถ้าหากไกรสรเกิดไม่สามารถรักเขาคนเดียวได้ ต่อให้ตอนนั้นเขาจะรักอีกฝ่ายมากเพียงใด เขาก็พร้อมจะเลิกรากับชายหนุ่มได้ทุกเวลาเช่นเดียวกัน

    “พระอาทิตย์ขึ้นแล้วล่ะครับ...”

     รุจพึมพำแผ่วเบา และจากนั้นเขาจึงจับแขนของไกรสรดึงออกน้อย ๆ ทำให้คนกอดอยู่รู้ตัว และแม้จะเสียดายขนาดไหน แต่ไกรสรก็จำต้องยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เพราะเท่าที่รุจยอมให้เขาถึงขนาดที่ผ่านมา ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกรักและหลงชายหนุ่มคนนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าแล้ว

    “ขอบใจสำหรับช่วงเวลาพิเศษที่ผ่านมานะ” 

     ไกรสรกระซิบบอก และลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือส่งเพื่อจะช่วยฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้น แต่เพียงครู่เดียวเจ้าตัวก็ชะงักมือเล็กน้อย เพราะเห็นรุจจ้องเขาอยู่

    “ง่า...โทษที ฉันลืมไป... หวังว่าคงไม่นับว่าเป็นการผิดสัญญานะ” 

     ไกรสรรีบบอกแล้วยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเตรียมจะหดมือกลับ ทำให้คนจ้องมองอมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงยื่นมือของตนจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วฉุดตัวเองยืนขึ้น ก่อนจะปล่อยมือของอีกฝ่ายออก

    “ผมไม่ได้ห้ามหรือรังเกียจสำหรับความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกนะครับ...เพียงแต่เมื่อครู่ที่เผลอจ้องไป เพราะกำลังคิดว่า คุณเองก็ดูดีเหมือนกัน”

    ไกรสรนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    “มะ เมื่อครู่นี้ หมายความว่าไงน่ะ!”

     รุจมองคนที่มีสีหน้าตกใจอย่างนึกขำปนเอ็นดู แล้วจึงชะโงกหน้าไปจูบที่แก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ

    “ผมคิดว่า ตัวเองอาจจะเริ่มสนใจคุณตอบขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้น่ะสิครับ”

    ไกรสรตกตะลึงตาค้าง และขณะที่เขาเตรียมจะตรงไปโอบกอดคนตรงหน้า รุจก็ถอยหลังหลบสองสามก้าว แล้วยิ้มหวานให้อีกฝ่าย

    “ยังสิครับ...เวลาสองอาทิตย์ตามสัญญาของเรายังไม่จบเลย ...ถ้าผมไม่อนุญาตเอง ก็ห้ามคุณถูกตัวผมในเชิงแบบนั้น จำไม่ได้หรือครับ”

    คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็ถอนหายใจหนักตามมา ก่อนจะพยักหน้ารับรู้อย่างจำใจ ทำให้รุจต้องยิ้มน้อย ๆ ตอบ แล้วจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนจากเดินเล่นต่อ เป็นเดินกลับเข้าบ้านพัก  ทำเอาไกรสรต้องรีบจ้ำเร่งฝีเท้าเดินตามไปติด ๆ ทว่าระหว่างเดินตามเจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับที่ริมฝีปากอย่างพึงพอใจ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้อย่างใจปรารถนาในทุกเวลา แต่พอรู้ว่ารุจนั้นเริ่มมีใจตอบ ก็ทำให้เขาเริ่มมีแรงฮึดและกำลังใจขึ้นมาอีกหลายเท่าทีเดียว

   

    อีกด้านหนึ่งธีรัชที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าข้างกายเขาไม่มีคนนอนอยู่อย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง แล้วลุกเดินไปที่ห้องน้ำ ลองเคาะเบา ๆ และเปิดดู ก็ไม่พบว่าชานนอยู่ข้างในนั้นแต่อย่างใด

    “คุณนนไปไหนนะ ...นี่มันก็เพิ่งตีห้ากว่าเอง จะว่าไปเตรียมอาหารก็ไม่น่าใช่”

    ธีรัชพึมพำอย่างเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านั้นปวีร์ย้ำนักย้ำหนาว่า มื้อเช้าทุกคนจะกินพร้อมกันตอนประมาณสองสามโมงเช้า ซึ่งวัตถุดิบนั้นจะเป็นอาหารทะเลที่คนดูแลบ้านพักจะนำมาให้ในช่วงราว ๆ เจ็ดโมงเช้า เพราะฉะนั้นชานนก็ไม่น่าจะต้องตื่นมาเตรียมอาหารเช้าเหมือนอย่างที่เคยเป็น

    “ไปเดินข้างนอกหรือเปล่าก็ไม่รู้...”  ธีรัชพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจหาเสื้อคลุมมาใส่ทับเสื้อยืดอีกชั้นหนึ่ง เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอากาศยามเช้าริมทะเลนั้นน่าจะเย็นอยู่พอสมควรทีเดียว

    “ข้างนอกมืดขนาดนี้ แถมยังวังเวงจะตาย ...คุณนนนะคุณนน เขาคิดอะไรของเขานะ”

    ธีรัชบ่นอย่างเป็นห่วง และรีบจ้ำเท้าออกนอกห้อง ลงไปด้านล่าง ทว่าพอคิดว่าจะออกไปหาชานนจากทางไหนก่อนดี เขาก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของร่างหนึ่งเดินเข้ามาบริเวณที่เขายืนอยู่

    “อ้าว... คุณธีรัช ทำไมตื่นเช้าจังล่ะครับ แล้วนี่จะออกไปเดินเล่นหรือครับ อันตรายนะครับมืด ๆ ค่ำ ๆ แบบนี้”

    ธีรัชถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นชานนเดินกลับมาอย่างปลอดภัย เขารอจนชานนเข้ามาใกล้ แล้วบอกกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบัง

“ผมต่างหากครับที่ควรจะพูดแบบนั้น ...รู้ไหมครับว่าตื่นมาแล้วไม่เจอคุณ หาแถวบ้านก็ไม่เจอ แล้วพอเจอก็เห็นคุณเดินออกมาจากข้างนอก ผมเป็นห่วงมากเลยรู้ไหมครับ”

     ชานนนิ่งอึ้ง ยิ่งได้เห็นท่าทางที่ชายหนุ่มกำลังแสดงอยู่ มันก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี

    “ขอโทษนะครับ...ที่ทำให้เป็นห่วง”

    ชานนเอ่ยพึมพำตอบ ก่อนจะห่อไหล่นิด ๆ ด้วยความหนาว เมื่อมีลมเย็นพัดวูบผ่านมา

    “อ๊ะ! สวมนี่เถอะครับคุณนน”

    ธีรัชรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองสวมคลุมให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จนชานนไม่ทันได้ห้ามด้วยซ้ำ

    “คุณนนเดินมานานขนาดไหนแล้วนี่...ขอโทษนะครับ”

    เพราะตอนสวมเสื้อให้อีกฝ่ายมือของชายหนุ่มบังเอิญไปแตะโดนแขนข้างหนึ่งของเชฟหนุ่ม เจ้าตัวจึงนิ่วหน้าแล้วยกมือของอีกฝายมาเกาะกุมเบา ๆ

    “หวา! มือเย็นเฉียบเลย ไปนั่งข้างในดีกว่าครับ เดี๋ยวผมชงกาแฟร้อน ๆ ให้”

    ธีรัชบอกพลางรีบดันคนที่กำลังยืนอึ้งเข้าบ้าน ชานนเตรียมจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นแววตาห่วงใยของชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าตน จากนั้นจึงปล่อยให้ธีรัชที่เปลี่ยนจากดันหลังเป็นมาจูงมือของเขาไปแทน มืออุ่น ๆ ของชายหนุ่ม ส่งผ่านความอ่อนโยนของเจ้าตัวมาให้เขาได้รับรู้เป็นอย่างดี

     ชานนลอบถอนหายใจเบา ๆ เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจธีรัชที่มีใจให้เขา แต่เพราะอายุที่แตกต่างกันจนเกินไป จนทำให้เขากังวลว่าด้วยช่องว่างระหว่างวัย ชีวิตคู่ของพวกเขาคงดำเนินไปได้ไม่ราบรื่นเป็นแน่ และอาจจะทำให้ธีรัชต้องมาเสียเวลากับเขา แทนที่จะได้เจอคนที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างแท้จริงก็ได้

   

     ชานนนั่งมองธีรัชที่ชงกาแฟให้เขาอย่างขะมักเขม้น และเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เมื่อชายหนุ่มนำกาแฟมาเสิร์ฟเขาถึงที่โต๊ะรับแขก

    “เป็นไงครับ...รสชาติแย่ไหม”

    เพราะกาแฟที่บ้านพักเป็นแบบบดผงและต้องเติมน้ำตาลกับครีมเทียมเอง ธีรัชจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เนื่องจากเกรงว่ามันจะไม่ถูกปากเชฟหนุ่มนั่นเอง

    “...อร่อยครับ รสเดียวกับที่ผมชอบเลยล่ะครับ”

    ชานนเอ่ยชมอย่างนึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่าธีรัชจะชงได้ถูกปากเขามากถึงขนาดนี้

    “แหะ ๆ โชคดีไป...จริง ๆ คือผมคอยสังเกตเวลาคุณชงกาแฟดื่มน่ะครับ แล้วจำ ๆ มา แต่ก็กลัวจำผิดเหมือนกัน”

    ธีรัชบอกไปตามตรง ทำให้คนกำลังดื่มกาแฟชะงัก และเงยหน้าสบตามองกับชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง จนธีรัชรู้สึกแปลก ๆ ระคนกังวล

    “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับคุณนน ทำไมจ้องผมแบบนี้ล่ะครับ...หรือว่าจะโกรธที่ผมทำเหมือนคอยจับสังเกตคุณตลอดแบบนั้น”

    ชานนชะงักเมื่อเห็นสีหน้ากังวลแฝงความกลัวอย่างหนักของอีกฝ่าย เขาแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบชายหนุ่ม

    “เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกดีใจ ที่มีคนคอยเอาใจใส่ตัวผมแบบนี้”

    ธีรัชลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ออกมาได้

    “ค่อยยั่งชั่ว ...แค่คิดว่าจะถูกคุณนนเกลียดเอา ผมก็แทบอยากจะร้องไห้แล้วล่ะครับ”

    คนที่เผลอหลุดความในใจออกมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มเศร้า ๆ จนชานนนึกสงสารแกมเวทนา

    “ผมไม่ได้สำคัญสำหรับคุณขนาดนั้นหรอกครับ...”

    ชานนเอ่ยด้วยสีหน้าที่ขรึมลง จนธีรัชสะดุ้ง ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายตอบนิ่งสักพัก แล้วจึงเอ่ยตามมาแผ่วเบา

    “เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่...แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นแบบนั้นแล้วล่ะครับ”

    ธีรัชบอกออกไปแล้วรอคอยคำตอบนิ่ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชานนคงพอจะเดาท่าทางของเขาออกได้บ้างแล้ว สังเกตจากแววตาเมื่อครู่นั่น ก็ทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและมีความหวังปะปนกันไปในคราเดียว

    “เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ ...” ชานนยังคงตั้งคำถามต่อ ทำเอาธีรัชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่แสดงความลังเล

    “ผมไม่รู้...ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้ได้...แต่ว่า พอรู้ตัวขึ้นมา สายตาของผมก็มีแต่คุณนนคนเดียวเสียแล้วล่ะครับ...คุณนน คงไม่เกลียดผมใช่ไหมครับ...”

    ธีรัชจ้องอีกฝ่ายและรอฟังคำตอบด้วยความกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม เขาใจหายวาบ เมื่อเห็นเชฟหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ 

    “ผมไม่เกลียดคุณหรอกครับ...เพียงแต่เรื่องความรู้สึกของคุณ ผมคงยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ...อีกอย่าง ผมอยากให้เวลาคุณทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างเสียก่อน... บางที ความรู้สึกของคุณตอนนี้ มันอาจจะซ้อนทับอะไรหลายอย่างจนทำให้คุณคิดว่าคุณชอบผมในแง่นั้นก็เป็นได้”

    ชานนเอ่ยตอบอีกฝ่ายตามตรง ทางด้านธีรัชนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ ให้กับคนตรงหน้า

    “...ก่อนหน้านั้น ผมก็พยายามบอกตัวเองแล้วว่า บางที ผมอาจจะมองภาพของพ่อแม่ซ้อนทับอยู่ในตัวคุณ ...ทั้ง ๆ ที่ ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดี ...ผมก็คงจะได้ไม่ต้องมารู้สึกเจ็บในอกแบบตอนนี้ที่เป็นอยู่”

    ธีรัชบอกเสียงสั่นเครือเบา ๆ คำพูดของชานนนั้นแม้จะไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ แต่ก็พอจะอ่านออกได้ว่า อีกฝ่ายคงจะตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้เป็นแน่

    “คุณธีรัช...ผมขอโทษนะครับ...”  ชานนเอ่ยขึ้นอย่างนึกสงสารและเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ ทว่าชายหนุ่มอีกคนนั้นกลับสั่นศีรษะค่อย ๆ แล้วฝืนยิ้มร่าเริงให้อีกฝ่าย

    “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ...มันไม่ใช่ความผิดของคุณนนสักหน่อย ผมเข้าใจและชินแล้วล่ะ ...เรื่องของหัวใจยังไงมันก็บังคับกันไม่ได้หรอกครับ”

    “คุณธีรัช...” ชานนลุกขึ้นและเอื้อมมือไปจับไหล่ของอีกฝ่าย ธีรัชเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงจับมือของเชฟหนุ่มออกจากบ่าเขา

    “ไม่ได้จริง ๆ นั่นล่ะครับ... มันไม่เหมือนที่เคยอกหักทุกครั้งก่อนหน้านั้น... ขอโทษนะครับคุณนน ...ผมขอตัวก่อนนะครับ”

    ธีรัชบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วเดินออกจากบ้านพักไป ชานนมองตามไล่หลังของชายหนุ่ม แล้วจึงมองเสื้อคลุมของอีกฝ่ายที่เขายังคงสวมอยู่ เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ  ใบหน้าเศร้า ๆ นั้น ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างน่าประหลาด ชานนยืนนิ่งทบทวนอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจตามธีรัชออกไปด้านนอกด้วยเช่นกัน

   

    ทางด้านธีรัช พอออกมาแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินไปตามชายหาดในทิศที่ชานนไปเดินเล่นมาก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มเดินไปได้สักพักก่อนจะหยุดยืนนิ่ง แล้วเหม่อมองท้องทะเลดำมืดเบื้องหน้าตนอยู่เนิ่นนาน จนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีใครบางคนคลุมเสื้อทับลงบนร่างของเขา

    “อากาศเย็นนะครับ...ระวังจะเป็นหวัดเข้า”

    ธีรัชหันกลับมามองอย่างตกใจ ชานนยิ้มน้อย ๆ  แล้วจึงขยับมายืนเคียงข้างอีกฝ่าย

    “เศร้ามากเลยหรือครับ ที่ถูกผมปฏิเสธ”

    คำถามแรกจากชานน ทำให้คนฟังเงียบกริบ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมชานนต้องมาตอกย้ำเรื่องนี้ให้เขาฟังอีก

    “คุณธีรัชในสายตาผม... เป็นคนที่ร่าเริง เวลาใครอยู่ด้วยก็สบายใจ ถึงจะดูเหมือนทำเล่น ๆ แต่ก็ตั้งใจเต็มที่กับทุกเรื่องรอบตัวเสมอ...”

    ชานนหยุดเว้นวรรค แล้วจึงจ้องมองคนที่หันกลับมาทางเขาอย่างงุนงง เชฟหนุ่มจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่เช่นนั้นสักครู่ ก่อนจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้

    “เวลาที่ผมทำอาหารออกมาไม่ได้ดั่งใจตัวเอง ผมก็ไม่เคยคิดจะเลิกล้มและทิ้งมันไป ...แต่ผมจะลองพยายามทำใหม่ จนกว่ารสชาติที่ได้มันจะออกมาตามที่ผมตั้งใจไว้ ...แล้วคุณล่ะครับ พอใจเพียงแค่นี้แล้วหรือครับ”

    ธีรัชตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ก่อนจะถามกลับเสียงสั่น

    “ตะ แต่ว่า คุณนนไม่ได้คิดกับ...”

    “ครับ...ผมไม่ได้คิดกับคุณในแง่นั้น  แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรือรำคาญอะไร ถ้าหากคุณจะลองพยายามทำตามที่หัวใจของคุณปรารถนา ...ตัวผมเองก็บอกไม่ได้หรอกครับ ว่าอนาคตผมอาจจะยังมีคำตอบเดิมให้ หรือว่าใจผมอาจจะเปลี่ยนไป ...”

    ชานนที่เอ่ยขัดขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายที่ทั้งดีใจทั้งลังเลทั้งกังวลปะปนกันไป ซึ่งทั้งหมดล้วนฉายออกมาจากแววตาคู่นั้นที่กำลังจ้องตอบเขากลับมา

     “...แต่ถ้าคุณพอใจที่จะหยุดอยู่แค่นี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะครับ”

    ชานนเอ่ยตัดบท แล้วหันกลับไปอีกทาง เตรียมจะเดินกลับบ้านพัก แต่ธีรัชที่รู้สึกตัวนั้นก้าวตามไป แล้วกอดอีกฝ่ายหมับจากด้านหลัง

    “คุณนน...ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง... และถึงแม้ผลมันจะออกมาเหมือนเดิม ...แต่ผมจะไม่ให้คุณต้องมาคอยเป็นห่วงเหมือนอย่างวันนี้อีกแล้ว ...ผมสัญญา”

    ชานนพลิกกายหันกลับมามองชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่า อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นประกายสะกดสายตา เป็นใบหน้าที่ชานนอยากให้มันอยู่คู่กับธีรัชตลอดไป และสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง เขาไม่รู้ว่าตนจะตอบรับอีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ เขาเองไม่อยากเห็นใบหน้าเศร้า ๆ ของชายหนุ่มแบบก่อนหน้านั้นอีกต่อไปแล้ว



... TBC ...
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Eternal luv ที่ 26-09-2012 14:11:35
 :z13: ก่อนอ่าน
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 26-09-2012 14:25:34
เกือบร้องตามธีรัชแล้วว คุณนนเงียบจนหน้าตกใจ

5555 แต่ก็พลิกล็อค คู่พี่รุจก็น่ารัก อ่านแ้ล้วยิ้ม

พี่ไกรดูมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยอะ่
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 26-09-2012 15:46:12
เกือบเสียน้ำตาแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 26-09-2012 16:10:30
คู่ไกรรุจเริ่มเห็นแววหวาน แต่คุณไกรก็ต้องรักรุจคนเดียวน้า

คู่ธีรัชกับชานนท์เนี่ยธีพยายามเข้านะ จะเป็นกำลังใจให้ เปลี่ยนคำตอบของชานนท์เป็นเซย์Yesให้ใด้น้า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: nongnette ที่ 26-09-2012 16:48:25
เหวยๆ มีแววว่าจะได้กันแล้ว อิอิ เขินๆ หน้าแดงเลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 26-09-2012 17:08:07
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
ชอบรุจ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 26-09-2012 17:47:13
รุจใจกล้ามากนะเปิดโอกาสให้ไกรสรด้วย ห้ามให้ไกรสรเปลี่ยนใจนะ
ตอนแรกสงสารธีรัชนึกว่าต้องกินแห้วแต่คุณนนตามไปให้กำลังใจแสดงว่ายังมีหวัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-09-2012 20:29:19
ไกรสรนี่ไม่ต้องลุ้นแล้วล่ะมั้ง แบบว่าหวานแหววขนาดนี้ รอฉลองคืนเข้าหอเลยดีไหมอ่า :o8:
ธีรัชกับชานนนี่สิ ทำเอาใจแป้วเลย  :monkeysad:
พยายามเข้านะธีรัช เอาชนะใจชานนให้ได้เร็วๆนะจ๊ะ :man1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 26-09-2012 21:27:07
ชอบสองคุ่นี่จัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 26-09-2012 21:55:35
 :impress2: :impress2:มาแบบนิ่งๆอีกคู่แล้วอิอิ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 27-09-2012 00:19:20
นนท์ไม่อยากเห็นธีเศร้าก็แสดงว่าห่วงใยใช่ไหม ธีน่าจะพอมีหวังนะ รุจเริ่มใจอ่อนแล้ว ดีจังเลยนะไกร
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: gam ที่ 27-09-2012 05:35:03
 ไกรสรสู้ ๆ   :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 27-09-2012 08:19:43
ธีต้องให้เวลาคุณเชฟเขาหน่อย
อยู่ดีๆมีหนุ่มๆมาติดพันแบบนี้  ย่อมตั้งตัวตั้งใจไม่ทันกันเป็นธรรมดาแหละเนอะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 27-09-2012 20:54:01
ธีพยายามเข้าน้า สักวันคุณนนใจอ่อนแน่

ส่วนคู่รุจเ่ริ่มหวานกันแล้ว ชอบจัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 47 ◄ อัพเดท 26/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 27-09-2012 22:28:50
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ และอ่านรวดเดียวสองวันอ่านแล้วมีความสุขที่สุด
เนื้อนเรื่องสบายๆ หนุ่มๆน่ารักทุกคน  จนอยากรวบเก็บมาไว้ในฮาเร็มส่วนตัว
เลยล่ะ  :impress2:

สำนวนอ่านง่าย  ให้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอ่ะ  สุโค่ยยยย

รอเรื่องนี้รวมเล่มนะคะ  อยากได้หนุ่มๆมาไว้ในครอบครองจัง

+1และเป็ดให้เกือบทุกตอนเลย (บางตอนกดไม่ขึ้นอ่ะ)

 :กอด1:

รอตอยต่อไปค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-09-2012 23:28:26
แวะมาแปะตอนที่ 48 ค่ะ พรุ่งนี้ค่ำ ๆ ตอน 49 จะตามมานะคะ

สำหรับเรื่องนี้ไม่คิดว่าจะลากยาวมาได้ขนาดนี้ คิดว่าจะจบสั้น ๆ คั่นเวลาคิดพล็อตใหม่ๆ แท้ ๆ.... แต่ที่สามารถเขียนมาได้ยาวเช่นนี้ก็เป็นเพราะมีนักอ่านคอยติดตามอยู่  ทั้งนักอ่านขาประจำที่ตามอ่านและคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้  แล้วก็รวมไปถึงนักอ่านหน้าใหม่ของเรื่องนี้ ที่ตามอ่านกันจนทัน และยังแสดงตัวคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งเป็นระยะ ๆ ... รวมไปถึงนักอ่านเงาที่ซุ่มอ่านทั้งหลาย ที่ทำให้ยอด view กระเตื้องทุกครั้งที่ท่านเข้ามาชม แม้จะไม่รู้ว่าท่านพอใจกับเนื้อเรื่องหรือไม่ แต่ปัดก็หวังว่าท่านคงจะมีความสุขและรอยยิ้มยามเมื่อได้อ่านเรื่องนี้นะคะ  ... สุดท้ายก็ขอขอบคุณ บอร์ดไทยบอยเลิฟที่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ลงนิยายด้วย ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:

ป.ล. อีกไม่กี่ตอนสำหรับนิยายเรื่องนี้ก็คงจบลง (หวังว่างั้นนะคะ) แน่นอนว่าแฮปปี้เอนดิ้งตามสไตล์งานเขียนของปัดแน่ค่ะ (ยัยคนนี้เขียนดราม่ากับเขาไม่ค่อยเก่งอะค่ะ --" ได้แต่เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ตลอด)   

ส่วนเรื่องหน้าหลังจากเติมความหวานกันมามากมาย ปัดว่าจะเปลี่ยนแนวไปแต่งแฟนตาซีให้อ่านกันแทนค่ะ อยากเขียนแนวผจญภัยนิด ๆ หวานหน่อย ๆ อารมณ์ประมาณเรื่องดวงใจจ้าวมังกร แต่คงเน้นผจญภัยมากกว่าเรื่องนั้นค่ะ  หวังว่านักอ่านคงจะติดตามกันต่อไปนะคะ




Miracle Café / 48





    เช้าวันรุ่งขึ้น คนอื่น ๆ ต่างก็ต้องพากันประหลาดใจ เมื่อธีรัชและไกรสรนั้น ดูร่าเริงผิดเคยอย่างเห็นได้ชัด และต่างฝ่ายก็ต่างตามตื๊อพัวพันคนที่พวกตนหมายปองแทบจะทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

    “คุณนนครับ ให้ผมช่วยเตรียมอาหารด้วยคนนะครับ...คุณตาไปนั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมจะเป็นลูกมือแทนคุณนนให้เองครับ”

    ชานนลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มให้คนข้างกาย ส่วนขวัญตามองทั้งคู่อย่างแปลกใจ และหวนคิดว่าเธอพลาดเหตุการณ์สำคัญตอนไหนระหว่างพวกเขาไปกันแน่ ธีรัชจึงได้กล้ารุกชานนอย่างไม่คิดปิดบังต่อไปอีกอย่างที่เห็น

    “โดนแย่งคุณเชฟรูปหล่อไปเสียแล้วหรือจ๊ะตา”

    ขวัญแก้วเอ่ยกระเซ้า ส่วนขวัญตาที่เดินกลับมานั่งใกล้พี่สาว พอได้ยินเข้าก็หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงตอบกลับไป

    “นั่นสิคะ สงสัยงานนี้จะโดนแย่งไปจริง ๆ เสียแล้ว...แต่ถ้าน่ารัก ๆ อย่างธีเค้าล่ะก็ ตายอมถูกแย่งนะคะพี่แก้ว”

    ขวัญแก้วหัวเราะคิกคักตอบ ทว่าหนุ่ม ๆ ที่นั่งอยู่แถวนั้นกลับมองสองสาวตาปริบ ๆ โดยเฉพาะวาโย เพิ่งมาได้รู้ตอนนี้เองว่า คนที่ธีรัชแอบชอบอยู่นั้น ก็คือชานนนี่เอง

    “ว่าแต่อีกรายนั่นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แหม! รู้งี้สั่งให้ติดกล้องวงจรปิดไว้ทั่วบ้านก็ดี จะได้ไว้คอยเช็คได้ว่าใครทำอะไรกันที่ไหนบ้าง”

    ขวัญแก้วเปรยขึ้น หลังจากที่เหลือบมองไกรสรที่คอยเอาอกเอาใจ พูดคุยไม่ห่างกับรุจตลอดเวลา แม้จะไม่ได้จับมือถือแขน แต่บรรยากาศระหว่างทั้งคู่นั้นก็ผิดแผกไปจากเดิมลิบลับ ดูอบอุ่น อ่อนโยน และสนิทสนมกันมากขึ้น จนคนรอบข้างสังเกตได้ทีเดียว



    ทว่าระหว่างที่สาว ๆ กำลังจ้องมองหนุ่ม ๆ จีบกันอยู่นั้น ปวีร์ที่นั่งไม่ห่างออกไป ก็ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

    “เป็นอะไรไปปวีร์ ทำหน้ายุ่งเชียว”

    ราเมศที่หันมาสังเกตเห็นคนข้างกายเอ่ยทัก ปวีร์หันมามองแล้วจึงบ่นอุบให้ฟัง

    “ก็ปยุตน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก ปกติไม่เคยทิ้งงานตัวเองแบบนี้มาก่อน ถึงจะบอกว่ากลับเช้าก็เถอะ!”

    ราเมศมองคนบ่นอย่างนึกขำ แม้ปากจะบอกว่าให้อีกฝ่ายกลับไปคืนดีกับอดีตคนรัก แต่เอาจริง ๆ แล้วปวีร์นั้นก็อดห่วงและหวงพ่อบ้านหนุ่มอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

    “เอาน่า เขาไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ สักหน่อย เดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นล่ะ เมื่อตอนตีสามกว่านั่น เขาก็ส่งเมสเซสมากว่าถึงโรงแรมแล้ว ไม่ต้องห่วงไม่ใช่หรือ”

     ราเมศปลอบ ทำเอาปวีร์หน้าหงิกนิด ๆ ก่อนที่จะถอนหายใจตามมาในที่สุด

    “ยังไงก็เป็นห่วงอยู่ดี เลือกส่งข้อความมาแทน แถมยังปิดโทรศัพท์ไม่ให้ติดต่อกลับแบบนั้น มันเดาได้ทั้งดีทั้งแย่นี่นะ!”

    “แต่ฉันว่าน่าจะเป็นทางดีมากกว่า ...เพราะถ้าแย่จริง ป่านนี้แค่ทำเค้กอย่างเดียว เขาก็คงกลับมาแล้วล่ะ”

    ราเมศเอ่ยปลอบ ทำให้ปวีร์หันมามองคนรัก แล้วถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง

    “ก็หวังว่าคงจะเป็นอย่างนั้น...ถึงฉันจะเสียดาย หากปยุตต้องลาออก แต่ถ้าให้เลือก ฉันอยากให้เขามีความสุขกับคนที่เขารักมากกว่า...เพราะฉันเองตอนนี้ก็มีความสุขมาก ฉันถึงรู้ไงว่า การที่ต้องอยู่ห่างคนที่ตนเองรัก มันทรมานขนาดไหน”

    ปวีร์พูดจบก็ยิ้มให้กับราเมศ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบ บรรยากาศหวาน ๆ ระหว่างทั้งคู่ ทำเอาคนที่อยู่แถวนั้นและมองเห็นเข้า พากันเลี่ยงออกไปทางอื่นแทนกันเป็นแถว

   

    “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าคุณราเมศกับคุณปวีร์จะคบกันแบบนั้น”

    วาโยที่เลี่ยงมาเดินเล่นหน้าบ้านกับเพื่อน ๆ เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ ทำเอาคนอื่น ๆ ต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว

    “หา! นายไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนหรอกหรือโย”

     กวินเอ่ยถามอย่างตกใจ แต่ก็ถูกการินตีเผียะเข้าที่แขนค่อนข้างแรง

    “เพิ่งมารู้เมื่อสองสามวันนี้เพราะฉันบอกแท้ ๆ อย่ามาทำตัวเป็นรู้มานานนักเลยน่า”

    กวินหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคนรัก ส่วนภูริถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างเอ็นดู จนวาโยหน้าแดงนิด ๆ

    “ว่าแต่ที่นี่ดีจังเลยน้า  น้ำในสระก็น่าอาบ น้ำทะเลก็น่าเล่น บรรยากาศก็ดี๊ดี ...ชักอยากให้คุณปวีร์ย้ายสาขามาเปิดริมทะเลแทนจัง”

    กวินพึมพำอย่างถูกใจกับบรรยากาศบ้านพักละแวกนี้ แต่การินนั้นถอนหายใจ แล้วเอ่ยขัดทำลายความฝันของคนรักทันที

    “ขืนขายแถวนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ถ้าไม่ไปตั้งตามตัวเมืองที่ทำเลดี ๆ มีนักท่องเที่ยวมาตลอด คงขายไม่ได้หรอก ย่านนี้มันชายหาดส่วนตัวทั้งนั้นล่ะนะ”

    กวินชะงักแล้วหันมามองคนพูดตาละห้อย จนการินนึกสงสาร แล้วจึงบอกกับคนรักตามมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

    “ไว้นายก็ทำงานเก็บเงินเข้าสิ ...บางทีพวกเราอาจจะแยกมาหาทำเลดี ๆ ริมทะเลในไทยที่ไหนสักแห่ง เปิดร้านกาแฟด้วยกันบ้างก็ได้”

    กวินนิ่งอึ้งไปครู่ ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างตามมาอย่างตื้นตันที่การินนั้นเอาใจใส่ต่อความรู้สึกของเขาเช่นนี้  ทางด้านวาโยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หน้าแดงแทนด้วยความเขิน ก่อนจะสะกิดภูริชวนชายหนุ่มไปเดินเล่นบริเวณอื่น ปล่อยให้คู่รักอีกคู่หวานใส่กันตามลำพัง



    “แบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ...”

    จู่ ๆ ภูริก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ทำให้วาโยหันไปมองอย่างแปลกใจ

    “อะไรหรือครับ”

    “ก็เปิดร้านกันสองคนยังไงล่ะ ...พอมีเงินเก็บสักก้อน เราก็มาลงทุนงานที่เรารักร่วมกัน...”

    วาโยนิ่งอึ้ง เขาไม่คิดว่าภูริจะคิดไปถึงเรื่องในอนาคตของพวกเขาล่วงหน้าเช่นนี้ วาโยยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าตอบ

    “ถ้ามีโอกาสและเวลาเหมาะสมนะครับ ...แต่ตอนนี้ผมเองยังอยากจะอยู่ร่วมกับทุกคนให้นานมากกว่านี้อีกสักนิด”

    ภูริมองคนตรงหน้าแล้วสั่นศีรษะค่อย ๆ คล้ายเอือมระอา แต่เขาก็ยอมรับว่า การที่ได้อยู่ร่วมกันกับทุกคนในมิราเคิลคาเฟ่แห่งนี้ ก็ทำให้เขาได้รู้จักถึงความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง  อีกอย่างสถานที่แห่งนี้ก็ยังทำให้เขาได้พบคนสำคัญที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ร่วมเคียงข้างกันไปตลอดชีวิตอีกด้วย

     “อ๊ะ ...จริงสิ เกือบลืมแน่ะ”

    ภูริเปรยขึ้นเหมือนนึกบางอย่างได้ ทำให้วาโยมองคนพูดอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นภูริล้วงหยิบกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แล้วเปิดออกให้ดู ก็ทำเอาเขาถึงกับอึ้ง เพราะมันเป็นแหวนทองขาว ซึ่งเป็นแหวนเกลี้ยง แต่มีสลักด้านในเป็นชื่อของพวกเขาสองคน

    “ฉันสั่งร้านที่รู้จักทำให้ แล้วให้เขาส่งมาทางไปรษณีย์น่ะ... มันอาจจะไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย...แต่ฉันอยากจะให้นายได้ใส่ติดตัวไว้...แล้วถ้ามีโอกาสฉันจะเปลี่ยนเป็นของที่มันดีกว่านี้ให้นะ”

    วาโยมองคนที่กำลังสวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาอย่างตื้นตัน ส่วนภูริลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่กะขนาดของแหวนได้พอดีกับนิ้วของอีกฝ่าย

    “ของฉันก็มีนะ แต่ถ้าใส่แหวนแบบเดียวกันเดี๋ยวจะโดนลูกค้าสงสัย ฉันก็เลยใส่นี่ไว้...”

    ภูริโชว์สร้อยคอของเขาที่มีแหวนแบบเดียวกันแต่คนละไซส์ ร้อยอยู่ในสร้อย วาโยมองแหวนที่มือของตน ก่อนจะโอบกอดคนตรงหน้าแน่นพร้อมกับพึมพำแผ่วเบา น้ำตาซึมขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    “ขอบคุณนะครับ ผมดีใจมาก ๆ เลย...”

    “อืม...จริง ๆ ฉันก็อยากเปิดเผยเรื่องของพวกเรากับทุกคน...แต่นายก็คงรู้สินะ ว่าถึงจะมีคนรับได้ แต่คนรับไม่ได้ก็คงมีอยู่มาก แล้วฉันก็ไม่อยากให้คุณปวีร์ต้องเดือดร้อนด้วย”

    ภูริเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่ขรึมลง แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อวาโยเขย่งเท้าพร้อมกับรั้งคออีกฝ่ายลงมา แล้วหอมแก้มชายหนุ่มฟอดหนึ่งเบา ๆ

    “ผมเข้าใจครับ ...ผมก็คิดเหมือนคุณนั่นล่ะ และจะพยายามเข้าใจด้วยว่า บางครั้งคุณภูริก็ต้องยิ้ม ต้องสนิทสนมกับลูกค้าตามหน้าที่...ถึงผมจะหึงที่เห็นแบบนั้นก็ตามเถอะ”

    ท้ายประโยคคนพูดหน้าแดงระเรื่อ แล้วก้มหน้าบ่นอุบอิบโดยไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ทำเอาภูริถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ ที่อีกฝ่ายนั้นคิดและหึงหวงเขาแทบไม่แตกต่างกับที่เขาเป็น

    “งั้นพวกเราก็ต้องรักกันให้มากกว่าเดิม จะได้ไม่ต้องคอยหึงหวงกันเองไงล่ะ ดีไหม”

    วาโยหน้าแดง แล้วบอกตอบอย่างเขินอาย

    “แค่นี้ก็รักมากอยู่แล้วล่ะครับ ยังจะให้รักกันมากขึ้นอีกขนาดไหนล่ะครับ”

    “ก็มากพอที่จะ...” ภูริก้มลงกระซิบข้างหู ทำให้คนที่หน้าแดงน้อย ๆ กลายเป็นแดงก่ำในพริบตา

    “เรื่องแบบนั้น วะ...ไว้ก่อนเถอะครับ...”

     วาโยพูดแทบจะกลายเป็นติดอ่าง เห็นดังนั้นภูริก็อดไม่ไหวจึงก้มลงไปขโมยจูบชายหนุ่มผู้น่ารักของเขาเบา ๆ จนวาโยต้องถอยหลังออกไป เพราะเกรงว่าภูริจะรุกต่อซ้ำ ทั้งที่พวกเขายืนอยู่กลางสนามหน้าบ้านพักแบบนี้

    “หึ ๆ ไม่ต้องหนีขนาดนั้นก็ได้... มานี่เถอะ ไปบังคับช่วยธีกับคุณนนดีกว่า เราจะได้กินข้าวเช้าไว ๆ แล้วมานั่งเตรียมแผนเซอร์ไพรส์วันเกิดในเย็นนี้กัน  และถ้าเตรียมการเสร็จเร็ว ก็จะได้ไปเล่นน้ำทะเลกันต่อไงล่ะ ดีไหม”

    ภูริเอ่ยขึ้นอย่างนึกเอ็นดูต่อท่าทางเขินอายของอีกฝ่าย วาโยแม้จะยังเขินอยู่ แต่พอได้ยินแบบนั้นเขาเองก็เห็นด้วยกับชายหนุ่มเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้นไม่ว่ายังไงธีรัชก็ไม่ยอมมอบหน้าที่ผู้ช่วยของชานนให้กับใคร ขนาดขวัญตาที่เป็นผู้ช่วยประจำในครัวของชานนเอง ยังโดนไล่ให้ไปนั่งพักด้วยซ้ำ

    จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปทางการินและกวิน ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ริมสระ ซึ่งพอได้รับฟังสิ่งที่ภูริบอก ทั้งสองคนก็เห็นดีด้วย และพากันไปสมทบในครัว ทำเอาธีรัชยืนหน้ายุ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่สามารถขัดทุกคนที่รุมบังคับเขาได้



    “ผมเองก็ไปช่วยพวกนั้นด้วยดีกว่า”  รุจที่ปลีกตัวมานั่งคุยกับพวกไกสรและขวัญแก้วกับขวัญตาเปรยขึ้น เมื่อมองเห็นรุ่นน้องของตนลงมือเตรียมอาหารทะเลด้วยกัน ทำเอาคนที่กำลังนั่งคุยอยู่ข้าง ๆ ชะงัก

    “ถ้าเธอไป ฉันก็ไปด้วย!”

    รุจสบตาอีกฝ่าย แล้วจึงแสร้งเปรยขึ้นเรียบ ๆ ในสิ่งที่ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง

    “ถ้าอยู่รอเฉย ๆ จะบวกให้ห้าคะแนน แต่ถ้าไปด้วยจะติดลบห้าแทนนะครับ”

    “ฮึ! งั้นนั่งรอก็ได้ ...แต่อย่าช้านักล่ะ ไม่งั้นถึงจะติดลบ แต่ก็จะตามไปด้วยล่ะนะ!”

    ไกรสรบ่นพึมพำแถมยังกำชับตามมาจนรุจนึกขำ ส่วนขวัญแก้วกับขวัญตามองพี่ชายของพวกเธออย่างเวทนาแกมระอา แล้วจึงเปรยขัดขึ้นบ้างอย่างหมั่นไส้

    “มากไปค่ะพี่ไกร ทำยังกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันห่างกันไม่ได้เลยสักก้าวเสียอย่างนั้น แล้วอีกอย่างรุจก็แค่ไปที่ครัว มองจากตรงนี้ก็เห็นว่าเขายืนอยู่ตรงไหนทำอะไรบ้างแท้ ๆ”

    “คนไม่เคยมีแฟนก็พูดได้นี่เรา” ไกรสรหันไปย้อนบอกขวัญแก้ว ทำเอาหญิงสาวชะงักก่อนจะแค่นยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปทางขวัญตาที่อยู่ใกล้ ๆ

    “งั้นเราไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำเซ็กซี่ ๆ แล้วไปเดินอ่อยหนุ่มฝรั่งหล่อ ๆ ที่โรงแรมใกล้ ๆ นี่กันเถอะ ...เผื่อจะได้รู้ว่ามีแฟนแล้วมันจะดีจริงหรือไม่ดีกันแน่”

    ขวัญตาหัวเราะคิก รู้ดีว่าพี่สาวชวนไปอย่างนั้นเพื่อต้องการแหย่ให้ไกรสรโมโห แต่เธอก็ยังคงพยักหน้าตอบรับมุกอีกฝ่าย

    “งั้นก็ได้ค่ะ ...ส่วนตาชอบแบบคนสูงวัยหน่อย แต่คนแก่โสด ๆ นี่ดูยากจังนะคะ กลัวไปคว้าสามีใครมาเข้า แล้วกลายเป็นน้อยเขาไปนี่แย่เลย”

    ไกรสรฟังสองสาวคุยกันแล้วเบิกตากว้าง ก่อนจะโพล่งขัดขึ้นอย่างหงุดหงิด

    “ไม่ได้! ไม่ให้ไปกันเองเด็ดขาด ถ้าจะไปพี่ต้องไปด้วย!”

    “แล้วจะทิ้งรุจไว้แถวนี้หรือคะ ...เกิดมีหนุ่มหล่อ ๆ หลงผ่านมา แล้วปิ๊งรุจเข้า พี่ไกรจะทำยังไงล่ะคะ”

    ขวัญแก้วแกล้งกระเซ้า ทำให้ไกรสรชะงัก นิ่งคิดหนัก ก่อนจะนึกได้ตามมา

    “แล้วไอ้หนุ่มที่ว่า มันจะเข้ามาบ้านพักเราได้ยังไงล่ะ!  ไม่ต้องมาพูดชักใบให้เรือเสียเลย ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้น้องสาวแต่งตัวเซ็กซี่ ไปเดินให้ไอ้หนุ่มหน้าไหนมันมองโลมเลียด้วยสายตาหื่นกามแบบนั้นเด็ดขาด!”

    ขวัญแก้วกับขวัญตาหัวเราะคิกคัก แล้วจึงยกมือยอมแพ้ พลางเกาะแขนพี่ชายคนละข้างอ้อนขอโทษ ทำให้รุจที่เหลือบมองมาอมยิ้มอย่างนึกขำแกมชื่นชมที่เห็นทั้งสามรักใคร่กันดีแบบนี้

     

    และเมื่ออาหารเช้าเตรียมเสร็จ ชานนที่ทำข้าวต้มทะเล และ ไข่เจียวหอยนางรมจานใหญ่ สำหรับทุกคน ก็หันไปถามปวีร์ที่นั่งรออยู่บริเวณโต๊ะอาหารของบ้าน

    “แล้วคุณปยุตล่ะครับ...เขาจะกลับมาทานมื้อเช้าด้วยไหม”

    “ไม่รู้สิ ปิดเครื่องด้วยแบบนี้ จะโทรตามก็ไม่ได้” ปวีร์บอกตามตรง ทำให้ชานนนึกกังวลขึ้นมา

    “งั้นพวกคุณทานกันไปก่อน เดี๋ยวผมไปตามไปดูเขาที่โรงแรมดีไหมล่ะครับ”

    พอชานนพูดแบบนั้นธีรัชก็เริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ แต่ก็พยายามเก็บสีหน้าเต็มที่

    “ไม่ต้องหรอกคุณนน ถ้าจะกลับมากินข้าวเช้า ป่านนี้ก็คงกลับมาแล้วล่ะ ...แต่ถ้าเป็นห่วงจริง ๆ ไว้พวกเรากินข้าวเสร็จแล้ว คุณก็ลองตามไปดูสิ”

    ปวีร์เอ่ยตัดบท ทำให้ชานนพยักหน้ารับรู้ และในขณะที่มีบางคนเตรียมจะอาสาตามเชฟหนุ่มไปด้วย เจ้าตัวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปวีร์ขยิบตาเป็นเชิงห้าม และนั่นจึงทำให้คนที่เตรียมจะไป นึกขึ้นได้ว่าหลังจากนี้พวกเขามีภารกิจลับต้องเตรียมการสำหรับวันนี้กันต่อ โดยไม่ให้ชานนล่วงรู้นั่นเอง



     ปวีร์มองธีรัชที่นั่งกระวนกระวายหลังจากชานนออกไปจากบ้านพักแล้วอย่างนึกขำ พวกเขากำหนดเวลาจัดงาน และเตรียมจัดปาร์ตี้ฉลองวันเกิดให้ชานน ในช่วงตอนเย็นที่จะถึงนี้ และเมื่อสรุปกันได้แล้ว พวกหนุ่ม ๆ ก็ขอตัวไปเล่นน้ำทะเลกันก่อน ยกเว้นธีรัชที่ตรงเข้าครัวทำเค้กวันเกิดให้ชานน โดยมีขวัญตาที่ให้สูตรการทำเค้กชายหนุ่มไป มองดูห่าง ๆ  อย่างชื่นชม

    “เด็กนั่นก็จะทำเค้กด้วยหรือ”

     ปวีร์ที่ยังคงนั่งพักอยู่ในบ้านพักกับพวกราเมศ ขวัญแก้ว และขวัญตา หันไปเอ่ยถามหญิงสาว ขวัญตาขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับ

    “ทำด้วย...หรือว่าพี่วีก็เตรียมเค้กไว้ให้คุณนนแล้วหรือคะ”

    “ไม่ใช่พี่หรอก ปยุตน่ะ เขาทำเค้กให้กันทุกปีเป็นของขวัญอยู่แล้ว ...หึ ปีนี้น่าสนุกนะ รถไฟชนกันเสียแล้วสิ”

    ปวีร์เอ่ยด้วยสีหน้าระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ขวัญตากับขวัญแก้วอุทานเบา ๆ แล้วหันไปมองชายหนุ่มในครัวที่กำลังคร่ำเคร่งในการทำเค้กอย่างนึกสงสาร

    “โถ...เค้กของมืออาชีพอย่างคุณปยุต กับเค้กหัดทำครั้งแรกของธี...ไม่อยากคิดถึงตอนที่เขาเห็นเค้กของคุณปยุตเลย คงใจฝ่อน่าดู”

    ขวัญตาพึมพำอย่างสงสาร ทว่าปวีร์กลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

    “งั้นพี่จะให้ปยุตซ่อนไว้ดี ๆ ไม่ให้ธีรัชเห็นแล้วกัน  จะได้ไว้เซอร์ไพรส์พร้อมกันทีเดียวเลย อ๊ะ…เดี๋ยวต้องบอกคุณนนด้วยว่าถ้าใกล้ถึงแล้วให้โทรบอก จะได้คอยกันท่าไม่ให้จ๊ะเอ๋กันก่อน ...อ้อ จริงสิตา ห้องข้างบนนั่นก็มีตู้เย็นอีกตู้ใช่ไหม”

    ปวีร์ถามหญิงสาว เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นตู้เย็นกับบาร์เครื่องดื่มเล็ก ๆ ตรงห้องพักผ่อนบนชั้นสองผ่านตา ซึ่งขวัญตาก็พยักหน้าค่อย ๆ เป็นการยืนยันว่าชายหนุ่มเข้าใจถูกแล้ว

    “ใช่ค่ะ บางทีเวลามาพัก ตากับพี่แก้วก็ขี้เกียจเดินขึ้นเดินลงหาของกิน ก็เลยขนตู้เย็นกับบาร์น้ำไปไว้ด้านบนอีกที่น่ะค่ะ”

    ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเปรยต่อ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ดีแล้ว งั้นก็ให้ปยุตเอาไปเก็บข้างบนแทนแล้วกัน เดี๋ยวฉันเฝ้าแถวนั้นให้เอง ...เพราะวันนี้ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่เล่นน้ำทะเล เพราะกลัวเพลียแดด ...อีกอย่างฉันว่าจะแอบถ่ายรูปพวกนั้น เก็บไว้จากชั้นบนนั่นด้วย  พอดีได้กล้องซูมเจ๋ง ๆ มาตัวหนึ่ง เดี๋ยวจะลองกล้องถ่ายไปพลาง ๆ รอปยุตมาอีกที แล้วค่อยยกเป็นหน้าที่ให้หมอนั่นจัดการ”

    พอได้ยินดังนั้นทั้งขวัญแก้วและขวัญตาก็เริ่มสนใจ และขอลองใช้กล้องที่ว่านั่นบ้าง ปวีร์จึงพาทั้งคู่ขึ้นไปบนชั้นสอง ส่วนราเมศได้แต่มองตามไปด้วยสายตาเอือมระอา ทว่าก็ยังคงตามคนอื่นขึ้นไปด้วยอยู่ดีนั่นเอง





... TBC ...
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 28-09-2012 00:25:51
ใช่เลยรถไฟชนกันซะแล้ว ธีจะเป็นยังไงน้าถ้าเห็นเค้กที่ปยุตทำ

ตอนนี้มีฉากหวานของหลายคู่เลย น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 28-09-2012 00:44:23
รอมาปยุตมา
ไม่ใช่ว่าเขามีคนช่วยถือเค้กมาด้วยหรอกนะ^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 28-09-2012 11:00:12
รู้สึกเหมือนหนุ่มๆ โดนสต๊อกเกอร์สะกดรอยตามยังไงก็ไม่รู้แฮะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 28-09-2012 13:14:34
555 หวานกันเกิ๊นนนนน
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 28-09-2012 14:26:31
ปวีร์เจ้าแผนการตลอดเวลาเลยนะเนี่ย แล้วนนจะว่ายังไงกันนะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 28-09-2012 15:39:12
ธีคงใช่ฟ่อแย่ ถ้าเห็นเค้กของปยุต

หรือว่า ปยุตจะลืมทำเค้ก 555

เพราะทรงพลกักตัวไว้

มีออกมาครบทุกคู่เลยอ่า

น่ารักๆทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 28-09-2012 17:03:04
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 28-09-2012 17:03:41
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 28-09-2012 17:18:53
สงสัยปยุตจะกลับบ้านพักไม่ไหวแล้วมั๊งนั่น  :laugh:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 28-09-2012 17:20:51
แล้วยังงี้ถ้าธีรัชเห็นคงน้อยใจแย่
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 48 ◄ อัพเดท 27/9/55 P.19
เริ่มหัวข้อโดย: gam ที่ 28-09-2012 17:31:47
  :-[ โอ๊ยยย  หวานกันจังเลย  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-09-2012 21:01:50
ตอนที่ 49 มาต่อแล้วค่ะ ^^" ถ้าไม่ตันหรืองานเข้า จะรีบมาต่อ 50 ให้นะคะ

---------



Miracle Café / 49





    “เสร็จแล้ว!”  ธีรัชมองเค้กที่แต่งหน้าโย้เย้เบื้องหน้าเขาอย่างพึงพอใจ แต่พอเขาเหลือบดูเวลาก็นึกอดห่วงเชฟหนุ่มไม่ได้ เพราะผ่านไปเกือบชั่วโมง แต่ชานนก็ยังไม่กลับมาถึงบ้านพักเลย

    “ไปตามดีกว่า!” ชายหนุ่มตัดสินใจออกตาม หลังจากเก็บเค้กของตัวเองเรียบร้อย  ทว่ายังไม่ทันออกจากบ้านพัก เสียงปวีร์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

    “จะไปไหนน่ะธีรัช”

    “อ้าว คุณวี ...เอ่อ คือผมจะไปรับคุณนนน่ะครับ ...”

    ปวีร์อมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงเอ่ยปรามอีกฝ่าย

    “ไม่ต้องหรอก สองคนนั่นเขากำลังเดินกลับมาน่ะ  แต่ตอนนี้ฉันอยากได้เครื่องดื่มเพิ่ม ช่วยไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”

    ธีรัชฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้  จริง ๆ เขานั้นอยากอยู่รอชานน แต่ก็คงไม่ดีถ้าหากจะปล่อยให้ปวีร์ไปซื้อของคนเดียว

    “ได้ครับ...จะไปกันเลยหรือเปล่าครับ”

    ปวีร์ส่งยิ้มให้นิด ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของใครบางคนดังขึ้น

    “อย่าเถลไถลนักล่ะ… ฝากนายปราม ๆ ด้วยแล้วกันนะธีรัช”

    ราเมศที่ยืนอยู่บนชั้นสองเอ่ยเสียงเข้มนิด ๆ แต่ปวีร์นั้นกลับหันไปยิ้มหวานให้แทน แล้วหันมาทางชายหนุ่มอีกคน

    “งั้นเราไปกันเถอะ รีบไปไว ๆ จะได้กลับไว ๆ ไงล่ะ”

    บอกแล้วปวีร์ก็ควงแขนธีรัชเดินออกนอกบ้านพัก เรียกเสียงกระแอมไล่หลังอย่างไม่สบอารมณ์จากคนบนชั้นสองดังขึ้นถี่ ๆ จนธีรัชต้องเหลือบมอง

    “จะดีหรือครับ ไม่กลัวเขาหึงคุณหรือไง”

    “ไม่หรอก ถึงอยากจะให้หึงก็เถอะ...แต่ตอนนี้สำหรับเขา เธอก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของพวกเราอีกคนหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเขาถึงวางใจปล่อยให้เธอไปกับฉันได้สองต่อสองแบบนี้ไงล่ะ”

    ธีรัชอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพึมพำขอบคุณอย่างตื้นตันตามมา ปวีร์เห็นดังนั้นก็ลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู แล้วจึงตรงไปที่รถ ขับออกไปที่ร้านค้าใกล้ ๆ แถวนั้น  เป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่ชานนและปยุตเดินกลับมาถึงบ้านพักพอดี

    “นั่นคุณปวีร์กับคุณธีรัชหรือเปล่าครับ...”

    ชานนที่ทันได้เห็นหลังรถเลี้ยวผ่านหน้าไปแวบ ๆ หันไปถามคนข้างกาย ปยุตมองตามแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

    “คงใช่มั้งครับ...ว่าแต่ผมขอตัวเอาเค้กขึ้นไปเก็บก่อนนะครับ ส่วนคุณนนก็ไปพักผ่อนหรือจะเล่นน้ำกับพวกเด็ก ๆ ก็ดีนะครับ จะได้ผ่อนคลายบ้าง วันเกิดทั้งทีแบบนี้”

    “ผมคงเล่นน้ำทะเลกับเขาไม่ไหวหรอกครับ...ว่าแต่คุณปยุตเองเถอะครับ จะอยู่โยงเฝ้าบ้านพักยันเย็น ไม่กลับไปที่โรงแรมจริงหรือครับ”

    ชานนย้อนถาม เพราะตอนที่เขาไปรับอีกฝ่าย ทรงพลคนรักของปยุตนั้นมองเขาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทั้งที่รู้จากพ่อบ้านหนุ่มแล้วว่า เขากับปยุตทำงานให้ปวีร์ด้วยกันมานานแล้วก็ตาม  ยิ่งตอนที่เขาเข้าไปในครัวดูปยุตทำเค้กวันเกิดให้ตนเอง ทรงพลก็แทบจะมายืนหน้าบึ้งเฝ้าไม่ไปไหน  เล่นเอาพนักงานคนอื่น ๆ พากันหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปตามกัน ที่เจ้าของโรงแรมมายืนคุมถึงในครัวแบบนี้

    “ก็บอกออกไปแล้วนี่ครับว่าไม่... ขืนกลับคำเดี๋ยวก็โดนหาว่าโลเลพอดี”

    ปยุตบอกเชฟหนุ่มพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ทำเอาคนฟังต้องลอบถอนหายใจ พลางหวนนึกถึงตอนที่ทรงพลตามมาส่งพวกเขาออกจากโรงแรม ซึ่งดูเหมือนชายหนุ่มจะชวนให้ปยุตกลับมากินข้าวเที่ยงที่นี่ด้วย แต่ปยุตนั้นปฏิเสธไป แล้วบอกว่าจะอยู่โยงกินมื้อเที่ยงและเย็นที่บ้านพักตากอากาศ แล้วก็จะตรงกลับกรุงเทพฯ พร้อมทุกคนที่นี่ด้วยเลย ทำเอาทรงพลถึงกับหน้าหงิกและพาลหันมาเขม่นเขาแทนเสียอย่างนั้น

    “คุณนี่นะ...ไหน ๆ ก็อุตสาห์คืนดีกันได้ทั้งที ความจริงถึงจะลาพักร้อนยาวตอนนี้ คุณปวีร์ก็คงไม่ขัดอะไรหรอกครับ”   

    ชานนเปรยเบา ๆ ทำให้คนฟังยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นเจ้าตัวจึงออกอุบายโน้มน้าว ให้ชานนไปเดินเล่นรับลมทะเลแถวนั้น ส่วนตัวเขาก็นำเค้กขึ้นไปเก็บบนตู้เย็นชั้นสอง แต่เปลี่ยนฝากล่องเค้กที่ติดมาจากโรงแรม ไปคลุมเค้กของธีรัชด้านล่างแทน เพื่อไม่ให้ชานนสงสัย ส่วนธีรัชเขาปล่อยให้ขวัญตาเป็นคนโทรไปบอกว่าเธอได้หากล่องเค้กปิดไว้ เพื่อไม่ให้ชานนรู้ล่วงหน้า ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรเช่นเดียวกัน 

    แผนการนี้นอกจากพวกปวีร์ ราเมศ ขวัญแก้ว ขวัญตาและปยุตแล้ว คนอื่น ๆ แม้แต่ชานนผู้เป็นเจ้าของวันเกิดเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อตอนที่ปวีร์โทรมามือถือของเขา และขอพูดคุยกับปยุตแทนอยู่นานสองนานก็ตามที

     

    จากนั้นสักพักธีรัชกับปวีร์ก็แบกเครื่องดื่มกลับมาเพิ่มเติม หลังวางเครื่องดื่มเก็บเรียบร้อย ธีรัชก็ตรงเข้าไปหาชานนโดยไม่สนใจสายตาใคร ทำเอาปวีร์ต้องมองตามอย่างเอ็นดู ก่อนจะขึ้นไปบนชั้นสองตรงไปหาพ่อบ้านของเขา

    “เรียบร้อยหรือยังล่ะ”

    ปยุตอมยิ้มแล้วจึงแสร้งตอบกลับไป

    “ก็แอบถ่ายรูปสวย ๆ ได้หลายรูปแล้วล่ะครับ”

    ปวีร์ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงย้อนกลับไปอย่างเริ่มหงุดหงิด

    “ฉันหมายถึงเรื่องของนายกับ...แฟนเก่านายต่างหากเล่า! รู้แล้วก็ชอบหลีกเลี่ยงประจำนะ”

    ท้ายประโยคชายหนุ่มบ่นอุบ ทำเอาสาว ๆ และราเมศที่มองอยู่นึกขำ

    “เรื่องของพวกเราจบลงด้วยดีแล้วล่ะครับ ...ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”

    ปวีร์นิ่วหน้า แล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ทำเอาปยุตต้องหลุดยิ้มตามมาในที่สุด แล้วเอ่ยต่ออีกหน่อย

    “หมายถึงแฮปปี้เอ็นดิ้งกันดีแล้วล่ะครับ”

    “นายนี่มัน...” ปวีร์พึมพำกับตัวเองอย่างเอือมระอาแกมหมั่นไส้ ส่วนคนที่มองนั้นพากันนึกขำ เพราะนาน ๆ จะเห็นปวีร์เถียงสู้คนอื่นไม่ได้สักทีแบบนี้

    “แล้วจะลาออกจากงานพ่อบ้านตอนไหนล่ะ...” แม้น้ำเสียงจะพยายามบังคับให้ราบเรียบ แต่คนพูดก็ยังมีสีหน้าไม่สบายใจ จนราเมศที่มองอยู่ ต้องเดินมาโอบบ่ากอดคนรักอย่างปลอบโยน

    “ลาออก...ทำไมผมต้องลาออกด้วยล่ะครับ”

    ปยุตย้อนถามกลับ ทำเอาแม้แต่ขวัญแก้วและขวัญตาที่ฟังอยู่ห่าง ๆ ยังตกใจ

    “อ้าว ก็คุณปยุตคืนดีกับแฟน แล้วถ้ายังทำงานอยู่กับวี พวกคุณก็ต้องห่างกันเหมือนเดิม แบบนั้นมันก็แทบไม่แตกต่างจากแยกกันอยู่เหมือนก่อนหน้านั้นสิคะ”

    ขวัญแก้วแย้งขึ้น แล้วก็ชะงัก ก่อนจะหลุดขอโทษออกมาเบา ๆ ที่ขัดจังหวะการสนทนา แต่ปยุตกับปวีร์ไม่ได้ถือสาหญิงสาว โดยเฉพาะปวีร์นั้นกำลังอยากถามพ่อบ้านของเขาในประโยคแบบเดียวกันนั่นพอดี

    “ก็อย่างที่แก้วบอกนั่นล่ะ ฉันเองก็อยากรู้คำตอบนะ”

    ปยุตจ้องมองนายจ้างของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วจึงเอ่ยตอบออกไป

    “ความจริงผมก็คิดเรื่องนี้ แต่บอกตามตรงว่าผมยังเป็นห่วงคุณอยู่ ถึงตอนนี้คุณจะมีคุณราเมศอยู่เคียงข้าง คอยดูแลคุ้มครองคุณ ใกล้ชิดกับคุณยิ่งกว่าผม... แต่ผมก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประคับประคองพวกคุณทั้งคู่ให้ก้าวไปข้างหน้า ...อย่างน้อยก็ให้งานร้านของคุณมั่นคงกว่านี้ และถ้าถึงวันนั้น คุณไม่ต้องการผมอีกแล้ว ผมก็จะปลีกตัวออกไปจากคุณเอง”

    ปวีร์จ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง แล้วก็โผเข้ากอดคนตรงหน้าจนปยุตตกใจ ราเมศเองก็ชะงักชั่วครู่แต่ก็ยิ้มน้อย ๆ ตามมา แล้วหันไปชวนพวกขวัญแก้วและขวัญตาลงไปจากชั้นสอง และปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง

    “บอกตามตรงนะปยุต...ฉันไม่อยากให้นายไปไหนเลย อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนพวกเราแก่เฒ่าไปตาม ๆ กัน ...แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้... ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าถ้าฉันขอร้อง นายก็คงไม่จากฉันไปไหนแน่...”

    ปวีร์พึมพำกับแผ่นอกของอีกฝ่าย ปยุตนั้นถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบหลังลูบศีรษะของนายน้อยที่เติบโตมาด้วยกันกับเขา ชายหนุ่มเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องเหมือนเพื่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้

    “ผมเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน... แต่ถ้าผมยืนกรานแบบนั้น ผมก็รู้ดีว่าแม้คุณจะดีใจ แต่คุณก็คงต้องรู้สึกผิดต่อผมไม่แตกต่างกัน ...เพราะอย่างนั้นผมถึงรอจนกว่าคุณจะพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า โดยไม่มีผมได้...และผมคิดว่าวันนั้นก็คงจะมาถึงในไม่ช้านี่หรอกครับ... คุณปวีร์ คุณเติบโตมาเข้มแข็ง และสง่างามในแบบที่ผมเคยวาดฝันไว้ ...ผมดีใจที่ในช่วงหนึ่งของชีวิต ได้มีโอกาสเป็นพ่อบ้านรับใช้คุณแบบนี้นะครับ”

    ปวีร์น้ำตาซึม เจ้าตัวซบซุกแผ่นอกอันอบอุ่นของอีกฝ่ายอยู่สักพัก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มส่งให้พ่อบ้านของเขา ก่อนจะเอ่ยถามสั้น ๆ

    “เขาเป็นคนดีไหม...”

    “เป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วอุ่นใจครับ”

    ปยุตเองก็ตอบไม่ยาวนัก แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ปวีร์ยิ้มออกน้อย ๆ แล้วดันกายออกมาก่อนจะเตรียมใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แต่ก็ไม่ทันคนที่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าส่งให้ก่อน

    “ขอบใจนะ” ปวีร์รับมาซับน้ำตาแล้วส่งคืนอีกฝ่าย ก่อนจะทำเป็นมองรอบ ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแก้เขิน

    “พวกนั้นหายไปไหนกันหมดนะ! จริงสิปยุต ถ้าได้ภาพพอสมควรแล้วก็พักได้นะ วันนี้ฉันอยากให้ทุกคนได้พักผ่อนกันอย่างสนุกสนานมากกว่า ...มันจะได้เป็นความทรงจำแสนสุขร่วมกันของพวกเราอีกอย่างยังไงล่ะ”

    ปยุตยิ้มรับและให้สัญญาว่าสักพักจะตามลงไปแน่นอน ทำให้ปวีร์ยิ้มออกมาได้ และเลี่ยงลงมาชั้นล่างเพื่อตามหาพวกราเมศต่อไป

    และเมื่ออยู่คนเดียว ปยุตก็ยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา เขาหยิบมือถือของตนออกมากดเบอร์ไปหาคนรัก รอเพียงไม่นานปลายสายก็รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว

    “ปยุต! มีอะไรน่ะ หรือจะแวะมาที่โรงแรม! จะให้ฉันออกไปรับนายเลยไหม!”

    ปยุตหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วเอ่ยถามไป

    “วันนี้นายยุ่งมากไหมพล”

    “ก็มีบ้าง แต่ถ้านายมาหาฉันได้ ฉันจะเคลียร์ทุกอย่างให้ว่างเพื่อนายเดี๋ยวนี้เลยล่ะ”

     ทรงพลตอบตามตรง ทำให้อีกคนอมยิ้มแล้วจึงเอ่ยต่อ

    “ถ้าอย่างนั้นนายจะมากินข้าวเย็นและอยู่ร่วมงานเลี้ยงที่บ้านพักกับฉันและทุกคนได้ไหม...ฉันอยากแนะนำนายให้ทุกคนที่นี่รู้จัก...พวกเขาเป็นครอบครัวที่สำคัญสำหรับฉัน และฉันก็อยากให้นายมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย...จะได้ไหม”

    ปลายสายเงียบไปนานจนปยุตแปลกใจ แต่พอย้ำถามไป เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายสะอื้นนิด ๆ ทำเอาพ่อบ้านหนุ่มต้องเงียบตาม จากนั้นเสียงของทรงพลจึงดังขึ้นอีกครั้ง

    “ขอบใจนะปยุต...ฉันจะไปแน่ ๆ ...”

    “อืม...แล้วฉันจะรอ ...รักนายมากเลยนะพล”

    อีกฝ่ายจะมีสีหน้ายังไงปยุตก็สุดคาดเดา แต่ถ้อยคำที่ทิ้งท้ายก่อนตัดสายไปนั้น ทำให้พ่อบ้านหนุ่มมีรอยยิ้มประดับหน้าอย่างกึ่งขำแกมมีความสุขขึ้นมาทันใด

     “....ให้ตายเถอะ! ทำไมถึงทำตัวให้คนอื่นเขารักเขาหลงได้แบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ! โธ่โว้ย! ฉันอยากจะรีบไปหานายเสียเดี๋ยวนี้เลยล่ะ! แล้วเจอกันเย็นนี้นะ!”

    ปยุตมองโทรศัพท์มือถือของเขาที่ปลายสายวางได้ไปแล้ว ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง และมองไปที่ชายหาดซึ่งมีพนักงานของมิราเคิลคาเฟ่ กำลังเล่นน้ำทะเลด้วยกันอย่างสนุกสนาน

     “ถ้าพวกเราสามารถอยู่ร่วมกันทั้งหมดนี่ได้ตลอดไป มันจะดีสักแค่ไหนนะ...”

    ปยุตพึมพำกับตัวเอง เมื่อหวนคิดถึงว่าสักวันเขาจะต้องจากพวกปวีร์ไป แม้จะเศร้ามากขนาดไหน แต่เขาก็ยังมีทรงพลคอยอยู่เคียงข้าง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาว่า จะมีสักวันที่เขาและทุกคนที่เขารัก จะได้กลับมาใช้ชีวิตและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ อีกครั้งหนึ่ง...



    เวลาเดียวกันนอกบ้านพัก ชานนกำลังนั่งรับลมเย็น ๆ อยู่บนเก้าอี้ชายหาด  ข้างกายของเขานั้นมีธีรัชนั่งอยู่ด้วย ชายหนุ่มนั่งเฝ้าอีกฝ่ายโดยไม่คิดไปเล่นน้ำทะเลเช่นเดียวกับคนอื่น จนชานนต้องเอ่ยปากในที่สุด

    “มานั่งแบบนี้ไม่เบื่อหรือครับคุณธีรัช”

    “ไม่เลยครับ ผมมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คุณนะ...อ๊ะ หรือว่าคุณนนจะเบื่อที่ผมคอยตามแบบนี้”

    ท้ายประโยคเจ้าตัวเอ่ยขึ้นคล้ายนึกได้ และก็มีสีหน้าสลดลง จนเชฟหนุ่มนึกสงสาร

    “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ อุตส่าห์มาทะเลทั้งที คุณน่าจะไปเล่นน้ำกับเพื่อน ๆ ให้สนุก  มากกว่าที่จะมานั่งเรื่อยเปื่อยกับคนแก่แบบผมต่างหากล่ะครับ”

    ชานนอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง และพอได้ฟังธีรัชก็มีสีหน้าดีขึ้น

    “ผมเล่นน้ำบ่อยแล้วล่ะครับ อย่างทะเลนี่ ถึงไม่ได้มาบ่อยมาก แต่ก็มีโอกาสได้มาอยู่เรื่อย ๆ ...แต่เวลาที่จะได้อยู่เคียงข้างคุณนนแบบนี้สิครับ...มันไม่แน่นอนไม่ใช่หรือครับ ผมก็อยากจะกอบโกยช่วงเวลาดี ๆ นี่ ให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้น่ะครับ...แต่ถ้าคุณนนรู้สึกอึดอัดเมื่อไหร่ ก็บอกผมได้นะครับ”

    ธีรัชบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้คนฟังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ตาม และปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่เคียงข้างเขาต่อไปแบบนั้น  นาน ๆ ทีก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปบ้าง ซึ่งก็น่าแปลกที่ความชอบของเขาและชายหนุ่มต่างวัยนั้น มีอะไรคล้าย ๆ กันอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว

   

    จากนั้นพอใกล้ถึงตอนเย็น ปวีร์ก็รับหน้าที่ดึงตัวชานนมา โดยแกล้งทำเป็นนั่งปรึกษาถึงรายการอาหารเมนูใหม่ ๆ ของร้าน  ส่วนคนอื่นก็พากันเตรียมตัวสำหรับการจัดเตรียมงานฉลองวันเกิดครั้งนี้

    ทันทีที่ปวีร์ได้รับสัญญาณจากคนในบ้านให้พาชานนเข้ามา เชฟหนุ่มก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าทุกคนนั้นยืนรอรับเขาในห้องรับแขกของบ้าน พร้อมกับจุดพลุกระดาษต้อนรับ ด้านในบ้านพักก็ถูกประดับตกแต่งด้วยธงริ้วสี และลูกโป่งหลากสีสันเต็มไปหมด

    “เซอร์ไพรส์!!”

    “...อะไรกันครับเนี่ย”

    เชฟหนุ่มพึมพำ อย่างตกตะลึงระคนงุนงง เมื่อตัวเขาถูกพามานั่งที่โซฟา จากนั้นพนักงานแต่ละคนก็นำเอาของขวัญที่ตนเตรียมไว้ มามอบให้กับอีกฝ่าย แล้วก็กล่าวอวยพรชายหนุ่มราวดังว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่แท้ ๆ ของพวกตน ทำเอาชานนอดปลาบปลื้มตื้นตันไม่ได้

    ทางด้านธีรัชพอเห็นคนอื่นนำของขวัญมามอบให้กับชานน เขาจึงเตรียมจะตรงไปที่ตู้เย็น เพื่อเอาเค้กของตนให้อีกฝ่ายบ้าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปยุตเดินนำเค้กที่ทำเองลงมาจากชั้นสอง ทั้งการตกแต่งและรูปทรง มองดูก็รู้ว่าเค้กชิ้นนั้นเป็นระดับมืออาชีพขนาดไหน

    “โอ้! เค้ก น่ากินจังเลย!”

    กวินอุทานอย่างตื่นเต้น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อการินที่อยู่ข้าง ๆ หยิกเอวเขาเบา ๆ แล้วสะกิดให้เหลือบมองธีรัชที่ยืนอึ้งอยู่ห่างออกไป ทำให้กวินและคนอื่นนึกขึ้นได้ ว่าธีรัชเองก็เตรียมเค้กมาเหมือนกัน

    “ของขวัญวันเกิดเหมือนทุกปีครับ เค้กวันเกิดที่เจ้าของงานต้องมายืนคุมเองอยู่ประจำ”

    ปยุตเอ่ยแซว ทำให้ชานนรู้สึกเขินนิด ๆ

    “โธ่! คุณปยุตล่ะก็ ยืนคุมอะไรกันครับ ผมก็แค่สนใจและอยากศึกษาการทำเค้กจากคุณเพิ่มเติมก็แค่นั้นเอง”

    ปยุตยิ้มน้อย ๆ แล้ววางเค้กลง ก่อนจะเปรยขึ้นเสียงดัง ๆ ได้ยินไปทั่วห้อง

    “เค้กก้อนนี้เป็นแค่ของหวานสำหรับงานเลี้ยงเท่านั้น  แต่ผมยังมีเค้กที่ควรค่าต่อการประดับเทียนวันเกิดให้คุณอีกหนึ่งก้อนด้วยนะครับ”

    ชานนมองคนพูดอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นปยุตหันหน้าไปทางธีรัชแล้วยิ้มน้อย ๆ เชฟหนุ่มก็ต้องมองตามและชะงักนิ่งเช่นเดียวกับอีกฝ่าย

    “เค้กที่ตั้งใจทำและเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อเจ้าของวันเกิด แม้จะไม่ใช่เค้กที่ทำจากมืออาชีพ แต่ก็คู่ควรต่อการประดับเทียนอวยพร ให้กับเจ้าของวันเกิดนั้น  ...จริงไหมครับ คุณธีรัช”

    ธีรัชนิ่งอึ้ง ยิ่งชานนและทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวแบบนี้ เขาก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก

    “แต่เค้กของผม มันไม่...”  ชายหนุ่มอึกอัก จนบางคนนึกสงสาร แต่บางคนนั้นยังคงยิ้มน้อย ๆ แล้วขยิบตาให้กับคนที่เตรียมจะเอ่ยแย้งไป ให้รอดูสถานการณ์เงียบ ๆ

    “คุณธีรัชทำเค้กให้ผมด้วยหรือครับ” ชานนถามอย่างประหลาดใจ เพราะจำได้เมื่อตอนเจอกันใหม่ ๆ อีกฝ่ายเคยบอกเขาว่า ไม่เคยทำของหวานจำพวกเค้กมาก่อนเลยสักครั้ง

     “เอ่อ...ครับ”  ธีรัชบอกแล้วก็ยังคงยืนนิ่ง ท่ามกลางสายตาให้กำลังใจของทุกคนที่มองมา

    “ผมอยากเห็นจังครับ จะได้ไหม...”

    ชานนบอกแล้วเดินตรงไปหาชายหนุ่ม ธีรัชอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะยอมเดินไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบเค้กของเขาออกมาเปิดฝากล่อง ตัวอักษรโย้เย้ที่เขียนอวยพรวันเกิดให้ชานน ทำให้เขารู้สึกอายเมื่อเทียบกับเค้กที่แต่งหน้าสวยงามของปยุต

    “...สุดยอดเลยครับ นี่ทำครั้งแรกจริง ๆ หรือครับเนี่ย”

    ทว่าชานนกลับมีสีหน้าที่แตกต่างออกไปผิดจากที่เขาคิด อีกด้านหนึ่งปยุตที่มองทั้งคู่อยู่อมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ใช่ไหมล่ะครับ ผมเองยังคิดเลยว่า เขามีทักษะการทำขนมที่ดีทีเดียว อย่างนี้คุณนนต้องจับฝึกบ่อย ๆ แล้วล่ะครับ”

    ธีรัชมองชานนทีปยุตที อย่างประหลาดใจ เพราะดูจากสีหน้าแล้ว ทั้งคู่นั้นไม่ได้เสแสร้งแกล้งชมหรือเอาใจเขาแต่อย่างใด

    “ผมชักอยากชิมเค้กของคุณเสียแล้วสิ ... แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เป่าเทียนล่ะครับ”

    เสียงหัวเราะดังตามมาจากหลาย ๆ คน โดยเฉพาะปวีร์นั้นถูกใจมากที่ได้ยินอย่างนั้น

    “ฉันแทบไม่เคยเห็นคุณนนกระตือรือร้นแบบนี้มาก่อนเลย เพราะเธอคนเดียวเลยนะธีรัช”

    “แหม! อย่ามัวชมกันอยู่เลยค่ะพี่วี  รีบเอาเค้กมาประดับเทียนกันดีกว่า ตาก็อยากกินเหมือนกันนะคะ!”

    ขวัญตารีบแทรกขึ้นมา เพราะเธอเองก็อยากชิมฝีมือลูกศิษย์ที่ได้สูตรจากเธอไปเช่นเดียวกัน

    “จ้า ๆ เอ้า ธีรัชยกเค้กเธอมาสิ... แก้วขอเทียนหน่อย ...ภูริ เตรียมนั่นมาหรือยังน่ะ”

    ปวีร์หันมาทางภูริ ที่พยักหน้ารับ แต่คนอื่นนอกจากขวัญแก้วและขวัญตา ที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนพากันขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทว่าพอเห็นภูริไปหยิบกีต้าร์โปร่งออกมา ทุกคนก็พากันเซอร์ไพรส์ไปตาม ๆ กัน

    “ฉันให้แก้วกับตาเตรียมไว้ล่วงหน้าน่ะ เพราะร้านเรามีทั้งนักร้องนักดนตรีมืออาชีพทั้งทีนี่นะ”

    ปวีร์พูดเสร็จก็หันไปยิ้มให้กับธีรัช ชายหนุ่มงุนงงในตอนแรกแต่พอนึกออกเขาก็ยิ้มกว้าง แล้วรีบตอบรับ

    “ผมจะร้องให้สุดฝีมือเลยล่ะครับ!”

    “อ๊ะ... เดี๋ยวก่อนครับ รอสักครู่นะครับ...”

    ปยุตเอ่ยขัดขึ้นมา ทำเอาคนอื่นพากันหันไปมองอย่างงุนงง จากนั้นพ่อบ้านหนุ่มก็เดินตรงไปที่ประตูบ้านพัก แล้วกระแอมเบา ๆ

    “มาถึงแล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ ไปยืนเงียบ ๆ อยู่ได้”

    ทรงพลที่ยืนแอบอยู่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยอมเดินเข้ามาในที่สุด

    “ก็เห็นกำลังสนุกสนานกัน ก็ไม่กล้าเข้ามาแทรกน่ะสิ”   

    คนอื่นพากันจ้องมองไปที่ทรงพลเป็นตาเดียว จนชายหนุ่มนึกเกร็ง ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อคนข้างกายเอ่ยบอกกับทุกคน

    “เขาชื่อทรงพล เป็นคนรักของผมเองครับ...ผมอยากให้เขามาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคุณนนด้วย ...ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า”

    ปยุตหันไปบอกกับปวีร์ ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตกตะลึงในตอนแรก แต่ก็ยิ้มแย้มตามมาหลังจากนั้นไม่นาน

    “เชิญเลยครับคุณทรงพล ...คนรักของปยุต ก็เหมือนกับญาติพี่น้องของผมนั่นล่ะ ยินดีต้อนรับนะครับ”

    ปวีร์เชื้อเชิญชายหนุ่มให้มารวมกลุ่มด้วย พวกเขาแนะนำตัวกันคร่าว ๆ จากนั้นขวัญแก้วก็เอาเทียนมาประดับบนเค้กของธีรัชและจุดไฟ ทางด้านภูรินั้นเล่นกีต้าร์เพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ส่วนธีรัชก็เป็นต้นเสียงนำทุกคนร้องเพลงอวยพรให้แก่ชานน  ปวีร์นั้นนึกสนุกขึ้นมาจึงให้ธีรัชและทุกคนร้องเพลงวนไปเกือบสิบรอบ สร้างความสนุกสนานให้ทุกคนยิ่งนัก

    “...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู  ....แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู  ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ...  แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู”

    จนกระทั่งมาถึงรอบสุดท้าย เมื่อเพลงจบลง ชานนก็เป่าเทียนที่เค้กจนหมด เสียงอวยพรดังขึ้นรอบทิศอีกครั้ง ชานนเอ่ยขอบคุณทุกคน ก่อนจะหันไปยิ้มอ่อนโยนให้กับธีรัช ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มตอบ  จากนั้นพวกเขาก็เข้าสู่กระบวนการตัดเค้กแจกจ่ายกันกิน ทั้งเค้กของธีรัชและเค้กของปยุตนั่นเอง และเมื่อได้ชิมฝีมือของทั้งคู่เสียงชมก็ดังขึ้นไปทั่วบ้านพัก  แม้ว่าเค้กของธีรัชจะอร่อยสู้ปยุตไม่ได้ก็จริง แต่เชฟทั้งสองและพ่อบ้านผู้ชำนาญด้านอาหารต่างลงความเห็นว่า ชายหนุ่มนั้นมีพรสวรรค์และสามารถพัฒนาฝีมือไปได้อีกมาก หากเจ้าตัวสนใจเรียนรู้ทางด้านนี้จริงจัง



    “เป็นครอบครัวที่อบอุ่น อย่างที่นายเคยเล่าให้ฟังจริง ๆ ด้วยสินะ”

    ทรงพลเอ่ยขึ้นกับปยุตหลังจากที่พวกเขาเลี่ยงมานั่งสนทนากันสองต่อสอง ระหว่างที่คนอื่นพากันเฮโลไปเตรียมอาหารทะเลมาเตรียมปิ้งย่างกินกัน  โดยหนุ่ม ๆ นั้นอาสาเตรียมอาหารกันเอง และบังคับให้ชานนนั่งเฉย ๆ รอไปแทน

    “ใช่...เพราะอย่างนั้นฉันถึงจากไปอยู่กับนายทันทีไม่ได้ไงล่ะ...รออีกสักนิดนะพล แล้วฉันสัญญาว่าจะชดเชยเวลาที่เราจากกันให้นายอย่างคุ้มค่าทีหลังเอง”

    ปยุตพึมพำบอกคนรัก ทว่าสีหน้าและแววตาที่มองทุกคนกลับดูเศร้าจนทรงพลสังเกตได้

    “อืม...ฉันรอได้ ขอแค่นายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแบบนี้... ต่อให้ต้องรออีกกี่ปีฉันก็รอได้”

    ทรงพลตอบกลับด้วยถ้อยคำที่กลั่นมาจากใจจริง ทำให้พ่อบ้านหนุ่มต้องยิ้มน้อย ๆ แล้วอิงศีรษะซบกับไหล่ของอีกฝ่าย โดยไม่สนว่าจะมีใครอยู่แถวนี้ด้วยหรือไม่  ทรงพลยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข ทว่าเมื่อผ่านไปสักพักพอเขาเหลือบมองคนรัก ก็เห็นอีกฝ่ายมีแววตาเศร้าซึมอีกครั้งยามเมื่อสายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังร่างของปวีร์ ทำให้ทรงพลต้องลอบถอนหายใจ แล้วลูบไล้เส้นผมอ่อนนุ่มนั่นแผ่วเบาเป็นการปลอบโยน แล้วต่างก็นิ่งเงียบไป จนกระทั่งวาโยเดินมาตามทั้งคู่ให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นนี้ ทั้งคู่จึงหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กัน แล้วเดินตามไล่หลังอีกฝ่ายไปรวมกลุ่มหลังจากนั้น…




... TBC ...
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 28-09-2012 21:29:57
ลงเอยกันครบทุกคู่เลย เอ๊ะ เหลืออีกคู่แฮะ หุๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 28-09-2012 21:58:42
คิดว่าธีจะน้อยใจซะแล้ว ดีนะเนี่ยที่เป็นอย่างเนี่ย แตก็เหลือคู่เดียวซินะที่ยังไม่รุว่าจะลงเอยกันยังไง ^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 28-09-2012 22:00:43
ว้าวววว ตอนนี้ดูมีความสุขดีจัง

ดีแล้วๆๆๆ เขาชอบความสุข 555

ธีดูอึ้งๆไปนิดนึงต้องเจอเค้กปยุต 5555 ใจหายแวบเลยละสิ

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 28-09-2012 22:30:22
เหมือนจะเศร้าตอนท้ายนิดๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 28-09-2012 23:17:53
เป็นครอบครัวที่ใหญ่มากและอบอุ่น :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


รอออออออออออจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: gam ที่ 29-09-2012 00:38:19
น่ารักมาก ๆ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นสุด ๆ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 29-09-2012 08:35:00
ชอบรุจๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 49 ◄ อัพเดท 28/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 29-09-2012 16:54:10
คู่ปยุตกับทรงพลนี่มาอย่างหวานเลย ต่อให้ต้องรออีกกี่ปีฉันก็รอได้
รอคู่ชานนกับธีรัช และคู่รุจกับไกรสร
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-09-2012 17:10:05
**....หึ ๆ ตอนนี้มี เซอร์ไพรส์!!



Miracle Café / 50




     หลังงานเลี้ยงสิ้นสุด ทรงพลก็มาส่งพวกปยุตกลับกรุงเทพฯที่รถตู้ และไม่รู้ว่าทรงพลไปกระซิบอะไรกับปวีร์ ปยุตนั้นจึงถูกสั่งกึ่งบังคับให้มานั่งเบาะหลังกับชานน ส่วนราเมศก็ไปประจำตำแหน่งคนขับรถแทน โดยมีปวีร์นั่งอยู่หน้ารถเป็นเพื่อนข้าง ๆ

    ทว่าก่อนออกเดินทางปยุตที่นั่งด้านหลังเบาะแรกก็เอื้อมไปเปิดประตูรถตู้ และเรียกทรงพลมาใกล้ ๆ ก่อนจะยิ้มหวานยะเยือก จนคนมองสะดุ้งพร้อมกับเปรยเสียงเยียบเย็นตามมา

    “ไม่ต้องโทรมาหาสัก 1 อาทิตย์นะ ...และถ้าทำไม่ได้ ก็งดโทรหากันสักเดือนเลยแล้วกัน”

    ทั้งรถเงียบกริบ แม้กระทั่งทรงพลเอง เจ้าตัวพยายามขอความเห็นใจ แต่ก็ถูกปิดประตูโครมใส่หน้า ทำเอาหนุ่ม ๆ เงียบกริบไปตาม ๆ กัน

    “...ปกติเวลาโมโหก็งอนกันแบบนี้บ่อย ๆ หรือครับ”

    ชานนถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากราเมศขับรถออกมาจากบ้านพัก และทั้งรถมีแต่ความเงียบ 

    “โมโห...ไม่หรอกครับ นี่แค่หงุดหงิดนิดหน่อย ถ้าโมโหแม้แต่หน้าก็ไม่อยากมองหรอกครับ”

    หนุ่ม ๆ บางคนที่ได้ยินพากันกลืนน้ำลายลงคอ ทว่าปวีร์ที่นั่งเบาะหน้ากลับหัวเราะเบา ๆ แล้วเปรยขัด

    “เอาน่า! เขาบอกกับฉันก็เพราะห่วงนาย อีกอย่างเพลีย ๆ แบบนั้นมาแท้ ๆ แทนที่นายจะหาเวลานอนพัก ฉันเห็นนายเอาแต่ทำโน่นทำนี่ทั้งวันไม่ใช่หรือ ขากลับก็นอนหลับไปเถอะน่า เหนื่อยมากแล้วเกิดมาขับรถแล้วหลับในขึ้นมา มันจะแย่เอานะ”

    คนอื่นที่ได้ยินต่างพากันอมยิ้มและพอจะคาดเดาเรื่องได้ ยกเว้นวาโยที่ทำตาปริบ ๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รุจที่อยู่ใกล้ ๆ จึงแกล้งกระซิบบอก ทำเอาหนุ่มน้อยผู้น่ารักต้องนั่งหน้าแดงก่ำ สร้างความเอ็นดูให้แก่ผู้แกล้งยิ่งนัก

    “ผมรู้สภาพร่างกายตัวเองดีครับ... อีกอย่างหมอนั่นก็ขี้ห่วงเกินไปหน่อย เรื่องห่วงผมไม่ว่า แต่ห่วงแล้วเที่ยวโพนทะนาให้ชาวบ้านรู้เรื่องส่วนตัวแบบนั้นมันไม่ค่อยเหมาะนัก”

    ปยุตเปรยตอบอย่างนึกเซ็ง แต่ไม่ได้เขินอายอะไรอย่างที่ควรเป็น ชายหนุ่มดูออกจะหงุดหงิดเสียมากกว่าที่ถูกใช้ให้มานั่งข้างหลังแทนที่จะได้เป็นฝ่ายขับรถพาทุกคนกลับกรุงเทพฯ

    “อีกหน่อยจะยิ่งกว่านี้อีก พอไปอยู่ด้วยกันจริง ๆ คิดหรือว่าคุณชายไฮโซคนนั้นเขาจะปล่อยให้นายทำโน่นทำนี่น่ะ นายเตรียมซ้อมนั่ง ๆ นอน ๆ รอให้คนอื่นรับใช้ไว้ก่อนได้เลย”

    ปวีร์แหย่ต่อ ทำให้คนขับที่อยู่ใกล้ ๆ นึกหมั่นไส้แทนพ่อบ้านหนุ่มขึ้นมาบ้าง เพราะคนข้างกายเขานั้น หากลองมีใครเปิดช่องให้โจมตีได้เมื่อไหร่ เจ้าตัวก็แทบไม่เคยพลาดโอกาสนั้นเลยสักครั้ง

    ทว่ายังไม่ทันที่ปยุตจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณข้อความเข้า ซึ่งผู้ส่งนั้นเป็นทรงพลนั่นเอง

    ‘ไม่โทรหาก็ได้ แต่ขอส่งข้อความหากันก็ยังดี...รักมากที่สุด อย่าโกรธกันเลยนะ’

    ปยุตอ่านข้อความนั้นแล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา จนปวีร์ที่มองจากกระจกส่องหลังลอบยิ้ม พอจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนส่งข้อความมากันแน่

    ‘...งั้นลดโทษให้เหลือแค่ 3 วันก็ได้... ระหว่างนี้จะส่งข้อความมาหาก็ตามใจ’

    ปยุตพิมพ์ข้อความไปเตรียมจะส่ง ทว่าก็ต้องชะงัก แล้วพิมพ์เพิ่มต่อท้ายไปอีกนิด

    ‘ป.ล. รักมากเหมือนกันนั่นล่ะ...’

    จากนั้นพ่อบ้านหนุ่มก็กดส่งข้อความไป แล้วจึงเอนหลังเตรียมนอนพัก ทำให้ปวีร์เลิกคิดก่อกวน เขาชวนราเมศคุยเรื่อยเปื่อย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายง่วง ส่วนคนอื่นที่เหลือนั้นพอรถแล่นไปสักพัก ก็เพลียจนหลับไปตาม ๆ กัน



    เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นมาทำงานกันด้วยความสดชื่นแจ่มใส เนื่องจากได้นอนหลับพักผ่อนกันเต็มที่ ทางด้านธีรัชนั้นก็ยังคงรุกเข้าหาชานนอย่างจริงจังเช่นเดิม แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เชฟหนุ่มต้องอึดอัดใจมากจนเกินไป ยิ่งนานวันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

    ส่วนไกรสรเองก็ยังคงเทียวแวะเวียนมาหาและเฝ้ารุจตั้งแต่เปิดร้านจนปิดร้านเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทว่าจากที่เคยทีเล่นทีจริงกับอีกฝ่าย รุจนั้นกลับดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม แม้จะยังคงแจกคะแนนติดลบให้กับไกรสรเป็นระยะ ในเวลาที่อีกฝ่ายหึงหวงเขาจนน่ารำคาญก็ตาม



    เวลาผ่านไปไวราวโกหก...ในที่สุดเช้าวันศุกร์อันสดใสก็เวียนมาถึงอีกครั้ง

    “พรุ่งนี้ก็วันเสาร์แล้วสินะ อยากเห็นเธอในชุดนั้นเร็ว ๆ จัง”

    รุจเปรยขึ้นเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ ยามเมื่อจินตนาการถึงรุจในชุดที่ตนดีไซน์เอาไว้ล่วงหน้าเมื่ออาทิตย์ก่อน

    “ถ้าเป็นที่นิยมก็ดีสินะครับ...ทางร้านก็จะได้มีรายได้มากขึ้น ...แต่ก็ลำบากใจเหมือนกันนะครับ เวลาลูกค้าขอถ่ายรูปด้วย แล้วต้องโพสท่ากอดบ้าง โอบไหล่บ้าง ควงแขนบ้าง หรือ...หอมแก้มบ้าง”

    ท้ายประโยคเจ้าตัวเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วเอ่ยย้ำเน้น ๆ ทำให้คนที่เตรียมแหย่ชะงัก แล้วขมวดคิ้วยุ่งตามมา

    “ฉันไปขอปวีร์เหมาร้านพรุ่งนี้ทั้งวันเลยดีไหมนะ!”   

    “หึ ๆ อย่าดีกว่าครับ ผมออกจะชอบ ถ้ามีคนมองแล้วปลื้มแบบนั้น”

    รุจแกล้งแหย่กลับ ทำให้ไกรสรหน้ายุ่ง แต่พอสักพักคนกำลังงอนก็ต้องชะงัก เพราะรุจนั้นยื่นมือข้างหนึ่งมาหา โดยไม่มองหน้าเขา ไกรสรเหลือบมองคนที่ทำเป็นยืนนิ่งทำงาน แล้วอมยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือนั้นบีบตอบเบา ๆ อย่างอ่อนโยน จนกระทั่งมีลูกค้าสั่งอาหารและพนักงานในร้านนำออเดอร์มาให้ลงใบเสร็จ รุจจึงปล่อยมือข้างนั้นซึ่งไกรสรก็ยอมปล่อยแม้จะนึกเสียดายก็ตาม

   

    อีกด้านหนึ่งในครัวซึ่งเป็นเวลาพักของธีรัช วันนี้ชายหนุ่มก็ยังอาสามาช่วยงานเชฟทั้งสองอย่างเคย จนชานนนั้นเลิกบ่นไปแล้ว หลังจากที่ทั้งบ่นทั้งขอร้องแต่ธีรัชก็ยังหาเหตุผลมาแย้งให้เขาจนมุมอยู่เรื่อยไป จนเขาเริ่มชินที่มีอีกฝ่ายมาคอยอาสาช่วยแบบนี้ตลอดเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมา

    “คุณชานนครับ...อ้าปากหน่อยครับ”

    ชายหนุ่มในชุดพนักงานเสิร์ฟกระซิบข้างหูคนที่กำลังง่วนกับการจัดแต่งหน้าตาอาหาร อีกฝ่ายชะงักแล้วหันมามองงง ๆ

    “อ้าปากสิครับ...” ธีรัชอ้อนต่อและทำท่าจะไม่ยอมถอยหรือเลิกรา หากชานนไม่ยอมทำตาม

    “อะ...อืม...ก็ได้ครับ” ชานนอ้าปากน้อย ๆ แล้วก็ต้องตกใจนิด ๆ เมื่อสัมผัสรสหวานหอมที่ปลายลิ้นของเขา

    “มาการองหรือครับ...” ชานนถามหลังจากที่เคี้ยวขนมสีชมพูในปากไปเรียบร้อย

    “ครับ ดัดแปลงนิดหน่อย ทำเป็นอันเล็ก ๆ พอดีคำหยิบกินง่ายดี”

    “แต่เรื่องรสสตอเบอรี่นี่ ความชอบส่วนตัวสินะครับ” ชานนเอ่ยต่อพร้อมยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มแห้ง ๆ แล้วเกาแก้มเขิน ๆ ตามมา

    “แอบงุบงิบซุ่มซ้อมทำกันสองคนอีกแล้วหรือเปล่าครับ” ชานนหันไปถามขวัญตาที่นั่งพักทานข้าวอยู่ หญิงสาวสะดุ้ง แล้วรีบแก้ตัว

    “เปล่านะคะ ตาแค่บอกสูตรคร่าว ๆ เบื้องต้นเท่านั้น แต่ลูกศิษย์คนเก่งของพวกเราเขาเอาไปดัดแปลงเองต่างหาก อ้อ! แต่ยอมรับค่ะ ว่าถูกบังคับให้ชิมก่อนว่าผ่านไหม เพราะธีเขาไม่อยากให้คุณนนได้ทานของไม่อร่อย...น่าอิจฉาจังเลยนะคะ ไม่เห็นมีใครมาใส่ใจตาแบบนี้บ้างเลย”

    ขวัญตาเอ่ยกระเซ้าเสริมตามมา ทำให้คนถามหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขิน เพราะคำพูดของหญิงสาวนั้นยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า ธีรัชนั้นให้ความสำคัญต่อเขาขนาดไหน

    “โธ่! คุณตาก็เป็นครูของผมคนหนึ่งเหมือนกันนะครับ ...เพียงแต่คุณนนนี่เป็นทั้งครู ทั้งเจ้าของหัวใจด้วย ก็เลยสำคัญกว่านิดหน่อย”

    ธีรัชรีบอ้อนตามมา ทำให้ขวัญตาหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ ส่วนชานนหน้าแดงระเรื่อมากกว่าเดิม แต่แสร้งทำเป็นหันไปให้ความสนใจอาหารตรงหน้ากลบเกลื่อน ด้านธีรัชพอเห็นดังนั้นจึงหันมาทางขวัญตาซึ่งเจ้าหล่อนยกนิ้วโป้งชูให้ ชายหนุ่มยิ้มรับ แล้วก็ถอยฉากออกมาช่วยเหลือเชฟหนุ่มห่าง ๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดมากไปกว่านี้

   

    “เราออกไปช่วยตอนนี้จะถูกว่าอะไรไหมครับ คุณภูริ”

    วาโยเอ่ยถามชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ความจริงเขาตั้งใจจะกินข้าวและอยู่รอช่วยชานนในห้องครัว แทนที่จะขึ้นไปพักผ่อน แต่โดนธีรัชกึ่งบังคับกึ่งขอร้องให้พวกเขาขึ้นไปพัก เขาจึงจำต้องยอมทิ้งครัวไปอย่างไม่เต็มใจนัก และมายืนเตร็ดเตร่แอบดูอยู่แถวนั้นแทน

    “อืม...รออีกสักสิบนาทีก็ได้ ให้คุณตาทานข้าวให้เสร็จก่อน แล้วเราค่อยไปบังคับเปลี่ยนเวรให้หมอนั่นมานั่งกินข้าวกับเขาบ้าง ...ระหว่างนี้ก็ไปเดินเล่นด้านหลังร้านกันเถอะ”

    ภูริหันไปชวนคนข้างกายพร้อมยิ้มนิด ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้วาโยที่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นหน้าแดงน้อย ๆ เพราะรู้ดีว่าการเดินเล่นครั้งนี้ คงต้องมีการเปลืองเนื้อเปลืองตัวตามมาแน่นอน

   

   เวลาเดียวกันภายในร้านค้า การินกับกวินนั้นก็กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง วันนี้อากาศข้างนอกค่อนข้างร้อน คนจึงเข้ามาเลือกนั่งด้านในอย่างเดียว แทนที่จะกระจายนั่งทั้งด้านนอกและด้านในอย่างที่เป็น ทำให้ดูแลลูกค้าได้ง่ายกว่าปกติ

   “เหนื่อยไหมริน”  กวินที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ถามขึ้น ตอนนี้ในร้านเหลือลูกค้าเพียงแค่สองสามโต๊ะเท่านั้น และต่างก็กำลังทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มกันอยู่ พวกเขาจึงคอยยืนดูแลแค่ต้องเติมน้ำเปล่าที่พร่องก็แค่นั้น

   “ไม่หรอก แต่วันนี้อากาศร้อนจริง ๆ เลยนะ ...แอร์ในร้านยังต้องปรับเพิ่มตามเลย”

   การินพึมพำตอบ แล้วมองข้างนอกที่แดดออกจัด จนแค่มองก็ร้อนตามแล้ว

   “เจอแอร์เย็น ๆ แล้วออกไปเจอแดดร้อนจัด ๆ ถ้าใครไม่เอารถมาแล้วไม่มีร่มด้วยคงแย่เลยเนอะ”

   กวินเอ่ยต่อแล้วมองไปด้านนอก จนไม่ได้สังเกตว่า คนใกล้ตัวกำลังมองเขาแล้วอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกชื่นชมในความใจดีของอีกฝ่ายที่ห่วงใยแม้กระทั่งลูกค้าของร้าน

   “บอกอาให้ทำบริการร่มยืมได้แทนไหมล่ะ สกรีนโลโก้ร้านตัวโต ๆ ติดร่ม วางไว้ด้านนอก สำหรับวันฝนตกแดดออก ถ้าใครเขาเกิดเอาไปแล้วไปเลย ก็ถือว่าถ้าเขาเอาไปใช้ก็ช่วยโฆษณาร้าน ถ้าเขาเอากลับมาคืนก็ดีไป...ทดลองดูสักสัปดาห์ถ้าเห็นว่าไม่เวิร์กก็ค่อยเลิกทำ”

   การินลองเสนอขึ้น ทำให้คนข้าง ๆ ตาโต แล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ตามมา ทำให้คนพูดขมวดคิ้วยุ่งด้วยความประหลาดใจ

   “หัวเราะทำไม ไอเดียฉันมันแย่นักหรือไง”

   “เปล่า ๆ ไอเดียนายเข้าท่าดี นายนี่เชื้ออาไม่ทิ้งแถวเลยนะ....แบบนี้ร้านกาแฟริมทะเลของพวกเราในอนาคต คงขายดิบขายดีเป็นแน่”

   กวินอธิบายพร้อมยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน ทำให้อีกคนหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบเดินหนีไปเฝ้าโถน้ำเปล่าแทนด้วยความอาย ทำให้กวินต้องหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจ้องมองคนที่เดินหนีไป  พลางคิดในใจว่าดีแล้ว ที่เขาเลือกรักผู้ชายคนนี้ และเขาขอสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทรยศต่อความรักของการินอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคน้อยใหญ่ในอนาคตข้างหน้าเพียงใดก็ตาม
   
    

    อีกด้านหนึ่งราเมศที่กำลังอยู่ในช่วงพักนั้น เลือกมานั่งกินข้าวที่ห้องทำงานของปวีร์แทน เขามองคนรักที่ครุ่นคิดแผนงานใหม่ ๆ เพื่อโปรโมทร้านด้วยแววตาเอ็นดูแกมระอา ก่อนจะแกล้งกระแอมเบา ๆ ให้อีกฝ่ายละสายตาจากงาน มากินอาหารที่ค้างไว้ในจานต่อให้เสร็จ

    “เดี๋ยวก็เย็นชืดหมด กินให้เสร็จไปเลยทีเดียว เดี๋ยวก็ค่อยทำต่อก็ได้”

    ราเมศเอ่ยติง ทำให้คนที่กำลังนั่งขมวดคิ้ว ขีด ๆ เขียน ๆ บางอย่าง ต้องเงยหน้ามามอง

    “บางทีไอเดียมันก็ปิ๊งมาตอนกำลังกินนี่นา”

    “มันคงไม่ใช้เวลานานจนลืมหรอกน่า กินข้าวนะ ไม่ใช่กิจกรรมบนเตียง”

    ราเมศเปรียบเปรยทำเอาคนฟังหน้าแดง แล้วสบถตามมาเบา ๆ ก่อนจะไปจัดการกินอาหารที่เหลือให้หมดอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากถูกแกล้งให้เขินแบบนี้อีก

    “รู้ไหม พักหลัง ๆ นายน่ะทั้งหื่นทั้งเจ้าเล่ห์ขึ้นมากเลย ...หรือว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนแบบนี้มาแต่แรกกันแน่”

    ปวีร์ที่จัดการกินอาหารตรงหน้าจนหมด รับน้ำที่อีกฝ่ายยกมาให้ดื่ม แล้วเปรยบอกอย่างหมั่นไส้นิด ๆ ทว่าราเมศกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างรักใคร่

    “ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ล่ะ... แต่ถ้านายบอกรักฉันเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย นายก็จะได้รู้ว่าฉันก็เป็นคนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วล่ะนะ”

      “ฮึ! ถ้าฉันรู้ ฉันคงเปลี่ยนใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ!”

    ปวีร์ประชด แต่ก็ต้องสะดุ้งหน้าแดง เมื่ออีกฝ่ายอ้อมมาอยู่ด้านหลังและกอดคลอเคลียเขาอย่างเอาใจ

    “สายไปแล้ว...ทำให้ฉันทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ แล้วคิดจะเปลี่ยนใจ ไม่มีวันเสียล่ะ”

    “แล้วถ้าฉันเกิดเปลี่ยนใจจริง ๆ ล่ะ” ปวีร์แกล้งลองถาม ทำให้ราเมศชะงัก ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกและถอยมายืน จนคนที่แกล้งถามออกไปตกใจและรีบหันกลับไปดู ก่อนจะได้เห็นสีหน้าและแววตาเศร้า ๆ ระคนจริงจังของอีกฝ่ายที่จ้องตอบมา

    “ถ้าคนที่นายเปลี่ยนใจไปหา เป็นคนดีที่รักนายมากยิ่งกว่าที่ฉันรัก และนายก็รักเขามากกว่าที่รักฉัน ...ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ฉันก็คงจะยิ้มส่งพวกนายทั้งคู่จากใจที่มันสลายไปแล้ว ...และก็คงไม่คิดรักใครอีกตลอดชีวิตล่ะนะ”

    ปวีร์นิ่งอึ้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปกอดคนรักแน่น แล้วพึมพำแนบอกกว้างของอีกฝ่าย

    “จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาดราเมศ... ฉันจะรักนายคนเดียว จวบจนกระทั่งวันที่ฉันไร้ลมหายใจและจากโลกใบนี้ไป”

    ราเมศกอดตอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ทั้งคู่ยืนกระซิบคำหวาน และแลกจุมพิตเร่าร้อนระหว่างกัน จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไป ราเมศจึงจำต้องถอยออกห่างอย่างนึกเสียดาย เพราะได้เวลาที่เขาต้องไปเข้างานต่อแล้ว

    “ฉันว่าจะลงทุนจ้างบาริสต้ามาทำงานแทนตัวเองสักครึ่งวัน ฉันจะได้มีเวลาอยู่กับนายให้มากกว่านี้หน่อย นายว่ายังไง”

    ราเมศเปรยกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำเอาคนฟังต้องหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจ

    “ไม่อนุมัติ! เพราะฉันจะเอางบตรงส่วนนั้นไปตัดชุดใหม่ ๆ ให้พวกเด็ก ๆ ใส่แทน  เพราะฉะนั้นนายก็ทนทำไปก่อน ...ส่วนเรื่องเวลา ยังไงพวกเราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องโลภมากไปกว่านี้หรอกน่า”

    คนฟังถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วขอตัวไปทำงานต่อ ทำให้เจ้าของห้องต้องมองตามไล่หลังไปอย่างนึกขำ ทว่าสักพักเจ้าตัวกลับพึมพำตามมาค่อย ๆ

    “...จ้างบาริสต้าอีกสักคน ก็คงเข้าทีล่ะนะ ลูกค้าในร้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย... อีกอย่างหาผู้ช่วยเชฟในครัวเพิ่มสักคนก็เข้าท่าเหมือนกัน  ไม่อย่างนั้นเวลามีออเดอร์อาหารเยอะ ๆ มีหวังพนักงานเสิร์ฟของเราบางคนคงต้องวิ่งวุ่นคอยห่วงไม่เป็นทำการทำงานกับเขาแน่ ... ส่วนตำแหน่งแคชเชียร์ก็น่าเป็นห่วง  เพราะคนปัจจุบันก็ไม่รู้จะโดนลักพาตัวไปจากร้านตอนไหนเสียด้วยสิ ...อืม”

    ปวีร์เอ่ยกับตัวเองพร้อมครุ่นคิดวางแผนจัดการในอนาคตข้างหน้า เขานั่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกที เมื่อถึงเวลาพักของราเมศอีกครั้ง และเจ้าตัวมายืนกระแอม พร้อมส่งสายตาดุให้เขาได้หยุดพักเสียบ้าง

    “รู้แล้วน่า ...พักเดี๋ยวนี้ล่ะ จัดตารางพนักงานใหม่ลงตัวเสร็จพอดี!”

    ราเมศขมวดคิ้วยุ่งกับคำพูดที่ได้ยิน ทว่าพอจะเอ่ยปากถาม ปวีร์ก็ลุกขึ้นเดินฮัมเพลงมาทางเขา พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

    “ความลับ! ไปรอเซอร์ไพรส์พร้อมทุกคนทีหลังเถอะ”

    ราเมศถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจึงเดินตามปวีร์ลงไปชั้นล่างที่ห้องครัว  พลางนั่งฟังอีกฝ่ายคุยสัพเพเหระกับพวกขวัญตาและชานนเงียบ ๆ และเมื่อถึงเวลางาน ชายหนุ่มก็ดัดมือน้อย ๆ เตรียมพร้อมรับมือลูกค้าที่บาร์เครื่องดื่มต่อ โดยมีปวีร์เดินตามออกไปส่ง

     เจ้าของร้านหนุ่มหยุดฝีเท้าและมองไปรอบ ๆ ร้านของตน ก่อนจะได้เห็นในสิ่งที่ทำให้ใบหน้านั้นค่อย ๆ มีรอยยิ้มประดับ... ไม่ว่าจะเป็นความขยันขันแข็งของพนักงานแต่ละคน หรือสีหน้าพึงพอใจของลูกค้า

     และเมื่อปวีร์เตรียมที่จะกลับขึ้นไปบนห้องทำงานของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ต้องชะงัก แล้วอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงพนักงานแต่ละคนขานขึ้นพร้อม ๆ กัน หลังจากเสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้านดังขึ้นและถูกเปิดออกมา

      “ยินดีต้อนรับ สู่มิราเคิลคาเฟ่ครับ!”





..
..
...
....


…End…






จบแล้ว???  จบจริงรึ  คำตอบก็คือ จบจริง ๆ ค่ะ อิ ๆ  ตัดจบไง ^^ (โดนนักอ่านกระโดดถีบขาคู่!) 

แหะ ๆ ความจริงแล้วคิดแล้วคิดอีกสำหรับฉากจบเรื่องนี้ว่าจะตัดจบตอนไหนดี เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นความรัก ควบคู่ชีวิตประจำวัน ก็เลยให้จบแบบชีวิตประจำวันแทน  ซึ่งสำหรับปัดพออ่านไปอ่านมา มันก็ค่อนข้างลงตัวดีนะคะ (มั้ง) ^ ^"

หลายคนอาจจะค้างในส่วนที่ว่า  แล้วพี่ไกรล่ะ จะจีบติดไหม  - คุณนนกับนายธีล่ะจะเป็นยังไง   ...ตกลงชุดที่ไกรสรดีไซน์ จะเป็นชุดอะไรกันแน่ .... 

คำตอบก็คือ .........รออ่านกันได้ในบทพิเศษทิ้งท้าย ที่จะเป็นบทสรุปสมบูรณ์ของเรื่องนี้ในตอนหน้าค่ะ  จะลงอ่านในบอร์ดให้ได้อ่านกันแน่ ยาวสั้น ขึ้นอยู่กับความเมามันในการเขียน และความหวานของอีกสองคู่ที่เหลือ ว่าเขาจะจีบกันได้หวานซึ้งขนาดไหนค่ะ

ส่วนเรื่องรวมเล่ม.....เบรกไว้ก่อนนิดนึงค่ะ ไว้พอเข้าตุลาสักสัปดาห์ที่สองจะเริ่มมีคำตอบให้ค่ะ อย่าลืมติดตามข่าวคราวนะคะ ^^


หรือคอยเช็คข่าวสารที่นี่ก็ได้ค่ะ https://www.facebook.com/NovelPat   ตุลานี้นอกจากตั้งใจว่าจะรวมเล่มเรื่องใหม่แล้ว ยังมีโปรเจกต์รีปริ้นท์เรื่องเก่าทำมือทุกเรื่อง (และในบางเรื่องเป็นครั้งสุดท้ายไม่รีปริ้นท์ซ้ำอีกแล้ว เช่น คุณตำรวจยอดรัก คุณอาที่รัก เป็นต้น)
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 29-09-2012 18:07:53
ว้า จบแล้วจริงหรอเนี่ย ยังไม่รู้เลยว่าคุณไกรออกแบบชุดไว้เป็นแบบไหน(อยู่ในตอนพิเศษใช่มั้ยค่ะ)

รอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-09-2012 18:16:07
ว้า จบแล้วจริงหรอเนี่ย ยังไม่รู้เลยว่าคุณไกรออกแบบชุดไว้เป็นแบบไหน(อยู่ในตอนพิเศษใช่มั้ยค่ะ)

รอตอนพิเศษนะคะ

บทสรุปปิดท้ายยาว จะเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ในวันเสาร์ (ซึ่งนักอ่านจะได้เห็นชุดที่พี่ไกรดีไซน์แน่นอนค่ะ ^^)

และเป็นเรื่องรักลงตัวของคู่ที่เหลือค่ะ ^^  ตอนพิเศษจะพยายามปั่นค่ะ ไม่เกินสองสามวันนี้แน่นอนค่ะ เพราะไม่อยากทิ้งช่วงนานนัก^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 29-09-2012 19:09:07
อ๊าาา จบแล้วว น่ารักน้าาา

ชอบมากเลยยย แต่รีปริ้น สิ้นเดือนตุลาได้ไหมค้าบ

แหะๆ กลาง ๆตุลามีงานหนังสืออ่า กลัวไม่มีเงินซื้อ

คิคิ รอตอนต่อไปจ้าา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: vocaloid ที่ 29-09-2012 19:44:04
จบแล้วเหรอเนี่ย
รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้
ขอตอนพิเศษเยอะๆนะค้าาา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 29-09-2012 20:53:51
จบแล้วอ๊า T T
ความจริงจบแบบนี้ก็โอเคแล้วอะ เพราะที่ผ่านมาก็หวานกันทุกคู่เลย >///<
แต่รอตอนพิเศษนะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: moobarpalang ที่ 29-09-2012 21:35:51
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
จบจริงอะ  ไม่เอานะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 29-09-2012 22:20:52
รอรอรอ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 29-09-2012 22:36:04
พึ่งได้ตามอ่านเรื่องนี้  ตั้งแต่ต้น(ใช่เวลา 2 วัน )   เรื่องก็จบพอดีน่าเสียดาย


อย่าลืมตอนพิเศษด้วยนะ !!
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 29-09-2012 23:16:34
จะตั่งตารอตอนพิเศษจ้า :impress3: :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: alekung103 ที่ 29-09-2012 23:30:02
รอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 30-09-2012 00:13:26
ธีน่ารักมาก ๆ เลย สงสัยธีอยากจะเปลี่ยนจากพนักงานเสิร์ฟเป็นผู้ช่วยเชฟนะนั่น ทรงพลปยุตก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-09-2012 12:44:45

แวะเข้ามาซ่อมนิยายนิดหน่อยนะคะ

ใส่ฉากของกวินกับการิน คุยกันหวาน ๆ คั่นไปด้วยค่ะ จะได้เป็นบทสรุปที่ครบทุกคู่

ส่วนตอนพิเศษหรือบทปิดท้ายสมบูรณ์ กำลังปั่นอยู่ค่ะ  ถ้าเสร็จจะรีบเอามาลงให้อ่านนะคะ ^^


 :L2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 30-09-2012 13:09:09
จะมีพนักงานใหม่มาอีกคนเหรอครับ จบแบบนี้ก็น่าเสียดายแย่เลยสิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: gam ที่ 30-09-2012 18:31:04
 :L2: รอตอนพิเศษของคุณไกรสรกับรุจเจ้าค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 30-09-2012 18:53:20
แอร๊ยยยยยยยยยส์จบแล้วเหรอ อยากอ่านตอนพิเศษของแต่ละคู่จัง โดยเฉพาะไกรศร เจ้าชู้มันไม่ได้หยุดได้ง่ายๆนี่เนอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-10-2012 09:46:42
รอตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อเลยจ้ะ
ชอบนิยายคุณปัทที่จบแบบน่ารักๆอย่างงี้จัง   อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจได้ทุกเรื่องทุกเวลาเลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► ตอนที่ 50 ◄ อัพเดท 29/9/55 P.20
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 01-10-2012 12:37:31
จบได้สมบูรณืดีจังค่ะ

แต่ตอนพิเศษก็รออยู่นะคะและไม่พลาดแน่  :z2:

 :pig4: เรื่องราวดีๆที่น่ารักสุดๆเรื่องนี้ค่ะ

+1และเป็ดทุกตอนเลย

ปล.รอรวมเล่มเรื่องนี้ค่ะ  อย่าลืมแจ้งข่าวในเล้าด้วยนะคะ

  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-10-2012 23:17:11
มาแล้วค่า บทส่งท้ายแบบสมบูรณ์ของเรื่อง เชิญอ่านกันได้เลยค่ะ ^^


Miracle Café / บทสรุปส่งท้าย



    เช้าวันเสาร์ ไกรสรรีบขับรถมาที่บ้านพักเพื่อรอดูผลงานชุดที่ตัวเองออกแบบ โดยมีขวัญแก้วกับขวัญตาตามติดมาด้วย

   “มาแต่เช้าเลยนะพี่ไกร หวังว่าเมื่อคืนคงนอนหลับสบายดีอยู่หรอกนะ”

   ปวีร์เอ่ยแซว ทำให้คนฟังยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาใครบางคน

   “หึ ๆ พวกนั้นพอได้รับชุด ก็ขึ้นไปลองชุดข้างบนแล้วล่ะพี่ ...โดยเฉพาะรุจน่ะ ตอนที่เห็นชุดที่จะต้องใส่ ผมได้ยินเขาพึมพำ มันน่าจะให้ติดลบสักร้อยคะแนนอะไรราว ๆ นี้ด้วยล่ะนะ”

   ไกรสรสะดุ้ง พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างลืมตัว จากนั้นจึงย้ำถามปวีร์เบา ๆ

   “แน่ใจหรือ...ไม่ใช่ว่านายฟังผิดหรอกนะ”

   “ไม่รู้สิพี่ หมู่นี้หูไม่ค่อยดีด้วย แต่ที่แน่ ๆ ก็คงไม่ถึงขนาดได้ยินคำว่าลบเป็นบวกหรอก”

   ปวีร์แกล้งแหย่ ทำให้ไกรสรมองเขม่นอย่างหมั่นไส้ และเฝ้ารออยู่ข้างล่างอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งพนักงานแต่ละคนนั้นเดินลงมาด้านล่าง … ภูริกับกวินนั้นลงมาก่อน  จากนั้น วาโย การิน และธีรัช ก็ตามหลังทั้งคู่มาไม่ห่างกันนัก



   “คุณไกรสร คุณนี่มัน...!”

   การินเตรียมจะโวยวายใส่คนออกแบบชุด ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นชอบใจของสองสาวก็ดังขึ้นเสียก่อน และต่างตรงมารุมล้อมหนุ่มน้อยหน้าสวย จนวาโยที่เตรียมจะต่อว่าเหมือนกันถึงกับเงียบกริบ และรีบขยับตัวไปหลบหลังภูริ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะสองสาวก็ดึงเขาไปพิจารณาพร้อมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากทีเดียว

   “น่ารักจัง! พี่ไกรก็ช่างคิดได้นะคะ”

   ขวัญแก้วหันไปชมพี่ชายของเธอ แล้วหันมามองการินกับวาโยในชุดแบบเจ้าหญิงในนิยายอาหรับราตรีตรงหน้า... วาโยอยู่ในชุดสีฟ้า ส่วนการินอยู่ในชุดสีดำ ยิ่งทั้งคู่มายืนใกล้กัน ก็ยิ่งเสริมความเด่นซึ่งกันและกัน และดูสะดุดตามากยิ่งขึ้น

   นอกจากวาโยและการินที่ถูกจับแต่งชุดเจ้าหญิงแสนสวยทั้งคู่โดยปฏิเสธไม่ได้แล้ว  ฝั่งหนุ่ม ๆ ก็ถูกจับแต่งตัวในแบบอลังการไม่แพ้กัน  โดยกวินสวมบทบาทเป็นสุลต่านหนุ่มผู้หล่อเหลา ชุดที่ใส่นั้นเป็นผ้าสีขาวเหลือบทอง สวมหมวกพร้อมเครื่องประดับที่ทำเลียนแบบของจริงขึ้นมาอย่างสวยงาม  ส่วนภูรินั้นรับบทเป็นจอมโจรทะเลทรายในชุดดำ ที่เจ้าตัวก็ใส่ออกมาได้อย่างสง่างาม ไม่น่าผิดหวังแต่อย่างใด

     สำหรับธีรัชนั้น ชายหนุ่มอยู่ในชุดกะลาสีเรือ กางเกงผ้าสีดำ มีผ้าผูกเอวสีแดง สวมเสื้อกั๊กสีกรมท่าซึ่งสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวคอวีลึกอีกชั้น  ผิวสีแทนของชายหุน่มดูเข้ากับชุดที่ใส่ จนขวัญแก้วกับขวัญตา ถึงกับเอ่ยปากชมว่า อีกฝ่ายนั้นมองดูคล้ายกับซินแบดในนิทานปรัมปราเลยทีเดียว

   “อุตส่าห์ได้ใส่กางเกงกับเขาแท้ ๆ กลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงไม่รู้”

   วาโยพึมพำกับตัวเอง เพราะแม้จะเป็นกางเกงผ้าใยสงเคราะห์ ไม่ใช่ซีทรูบางเซ็กซี่ เหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นตามภาพยนตร์แนวนี้ก็จริง แต่เสื้อตัวสั้นที่ต้องโป๊โชว์พุงให้คนอื่นเห็นนี่สิ มันทำเอาเขาเย็นวาบ ๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว

   “อืม...เป็นหมวกผ้าคลุมแบบล้อมใบหน้าเฉย ๆ สินะ ...นึกว่าจะทำแบบปิดปากครึ่งหน้าเสียอีก แบบนั้นก็เซ็กซี่ดีออก”

   ขวัญแก้วที่หันมาสำรวจแทบจะทั่วเรือนร่างของวาโยต่อ หลังจากชมโฉมหนุ่ม ๆ แต่ละคนเรียบร้อย หันไปถามพี่ชายของเธอ ซึ่งไกรสรก็ยักไหล่นิด ๆ

   “ทีแรกฉันก็ดีไซน์แบบนั้นล่ะ แต่ปวีร์โทรมาบอกว่าขอเปลี่ยนแบบนิดหน่อย เพราะปิดตลอดแบบนั้น มันหายใจไม่ค่อยสะดวก และต้องพูดต้องรับออเดอร์ลูกค้าด้วย หมวกเจ้าหญิงติดผ้าคลุมโปร่ง ๆ แบบนี้จะสวยกว่า ...ว่าแต่รุจล่ะ ยังไม่ลงมาอีกหรือ”

   ไกรสรอธิบายแล้วถามถึงรุจต่อ เพราะยังไม่เห็นชายหนุ่มลงมาสักที แต่พอยังไม่ทันขาดคำ เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นรุจเดินลงมาสมทบกับคนอื่น ๆ ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะภาพที่เห็นมันดูดีเสียยิ่งกว่าจินตนาการของเขาเสียอีก

   ชายหนุ่มผู้มาทีหลังนั้น อยู่ในชุดกางเกงผ้ามันเลื่อมสีดำ มีผ้าคาดเอวสีทอง สวมเสื้อกั๊กสั้นเอวลอยสีดำขลิบขอบทอง  อวดแผ่นอกขาวเนียนให้คนมองบางคนต้องเหลียวตาม แถมยังสวมเครื่องประดับเต็มยศ ทั้งตุ้มหู สร้อยคอ กำไลข้อมือ  ตบท้ายด้วยหมวกแบบอาราเบียนสีขาวประดับพลอยเทียมเม็ดใหญ่สีแดงด้านหน้า เจ้าตัวยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับเอ่ยทักทายคนสามคนที่เพิ่งได้เจอกันในเช้าวันนี้

   “สวัสดีครับคุณแก้ว คุณตา แล้วก็คุณไกรสร ...ชุดคุณนี่เข้าท่าดีนะครับ เหมาะกับใส่เล่นในวันอากาศร้อน ๆ มากเลย”

   รุจบอกยิ้ม ๆ แต่ฟังจากน้ำเสียงเรียบ ๆ และนัยน์ตาคมกริบที่ไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยแล้ว ก็ทำให้คนฟังบางคนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน

   “...เธอใส่ออกมาดูดีกว่าที่คิดอีกนะ...ดีเกินไปด้วยซ้ำ ... ปวีร์ นายคงไม่ลืมเสื้อกล้ามสีขาวบาง ๆ ที่ฉันให้เผื่อเอาไว้หรอกนะ”

   ไกรสรที่ไม่ได้สนใจคำแขวะนั้นเพ้อเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามเสียงคาดคั้นกับอีกคนที่กำลังหัวเราะในลำคอ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

   “ผมเตรียมไว้ให้แล้วนะ แต่รุจยืนยันว่าจะใส่แบบนี้ จะได้สมบทบาทจินนี่ ยักษ์ในตะเกียง ที่พี่ไกรดีไซน์ให้ยังไงล่ะ”

   “รุจ…” ไกรสรหันมาขอร้องกึ่งอ้อน แต่ดูเหมือนคนฟังจะทำเป็นไม่สนใจ และเดินเลี่ยงไปสบทบกับคนอื่น ๆ แทน

   “โอ้…เข้าท่าดีนี่พวกนาย ฉันนึกว่าจะโดนทำโรคจิตใส่คนเดียวแล้วเสียอีก”

   รุจหันไปชมวาโยกับการิน ซึ่งพอทั้งคู่เห็นชุดของรุจแล้ว พวกเขาก็เลิกคิดต่อว่าเรื่องชุดของตนเองอีก เพราะพวกเขาโชว์หน้าท้องนิดหน่อย แต่ของรุจนี่แทบจะถอดเสื้อโชว์ครึ่งบนเลยด้วยซ้ำ เพราะเสื้อกล้ามเล็ก ๆ นั่น มันเหมือนของประดับมากกว่าเสื้อนั่นเอง

   “ไม่เอาน่า...ฉันก็แค่อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอต้องโชว์หุ่นสวย ๆ นี่ให้คนอื่นดูเสียเมื่อไหร่”

   ไกรสรยังคงตามง้อ แต่รุจทำเป็นเมินไม่ใส่ใจ แถมยังบอกปวีร์ว่า เดี๋ยวจะกินข้าวเช้าทั้งชุดนี้อีกด้วยซ้ำ จนไกรสรทนไม่ไหว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และบอกกับอีกฝ่าย

   “เอาล่ะ! จะหักคะแนนฉันให้ติดลบก็หักไปได้เลย แต่ขอร้องได้ไหม ช่วยใส่เสื้อกล้ามที่ทำให้ไว้ด้วยเถอะนะ”

   รุจเหลือบมองคนที่ทุ่มสุดตัว แล้วอมยิ้มน้อย ๆ จะว่าไปเขาก็หายหงุดหงิดตั้งแต่ที่รู้จากปวีร์ว่าไกรสรได้เตรียมเสื้อกล้ามสำหรับเขาไว้ด้วยแล้ว แต่ที่ต้องทำเป็นโมโห เพราะต้องการดัดนิสัยอีกฝ่าย เพื่อจะได้ไม่เผลอดีไซน์อะไรประหลาด ๆ มาให้เขาต้องใส่อีกในอนาคต

   “อืม...งั้นก็ได้”  รุจแสร้งทำเป็นพึมพำรับคำ ทำให้คนที่กำลังหน้าสลดยิ้มออก แต่สักพักก็เดินเข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอีกฝ่าย

   “แล้วโดนหักสักเท่าไหร่ล่ะ...คงไม่ติดลบจริง ๆ ใช่ไหม”

   รุจอมยิ้ม แล้วยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเปรยตอบ

   “ก็คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่า ติดลบไปเลยก็ได้ ...แต่เอาเถอะ ผมเองก็ไม่ใจร้ายใจดำอะไรนักหรอก...”

   รุจบอกแล้วก็ยิ้มหวานให้ ซึ่งคนมองก็ยิ้มตาม แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   “เอาเป็นว่าตอนนี้คะแนนของคุณเริ่มมาตั้งต้นใหม่ที่ 0 เหมือนเดิมแทนนะครับ”

   “0 คะแนน! แล้วเหลืออีกไม่กี่วันก็จะครบสัญญาของเราแล้วนี่นะ!”

   ไกรสรโวยวายอย่างตกใจ แต่อีกคนนั้นทำเป็นเมินไม่ใส่ใจแล้วเปรยต่อ

   “ช่วยไม่ได้นี่ครับ...แต่ถ้าเบื่อเล่นเกมกันแล้ว จะยกเลิก ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรนี่”

   ไกรสรมองคนอายุน้อยกว่าตรงหน้านิ่ง แล้วจึงถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา

   “ก็ได้ ฉันจะพยายามใหม่ ...ใครใช้ให้ฉันมาหลงรักเด็กร้ายกาจอย่างเธอเองล่ะ”

   รุจเหลือบมองแล้วยิ้มน้อย ๆ และพอเห็นคนอื่นไม่ได้มองมาที่พวกเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ชะโงกหน้าไปหอมแก้มไกสรเบา ๆ จนคนถูกหอมสะดุ้ง

   “เพิ่มแรงจูงใจให้ครับ... ถ้าคุณตั้งใจจริง ผลสำเร็จจะไปไหนเสียล่ะครับ จริงไหม”

   ชายหนุ่มบอกแล้วยิ้มหวานให้อีกครั้ง ทำให้ไกรสรที่ยืนอึ้งตามมาอีกสักพัก ต้องยิ้มออก เพราะสีหน้าและคำพูดของอีกฝ่ายนั้น แสดงให้เห็นว่ายอมรับในตัวเขาไปแล้วกว่าครึ่ง  ที่เหลือก็แค่เขาพิสูจน์ตัวเองให้ชายหนุ่มได้เห็นว่า เขาพร้อมจะรักและจริงใจกับเจ้าตัวเพียงคนเดียวตลอดไปหลังจากนี้ ก็เท่านั้นเอง 



   โปรโมชันนำใบเสร็จแลกถ่ายรูปคู่พนักงานจะมีถึงแค่วันเสาร์นี้เป็นวันสุดท้าย ทำให้คนที่หมายมั่นตั้งใจจะมาใช้บริการในวันนี้มีเพิ่มมากขึ้น  จากเดิมที่มีเพียงแขกขาประจำในวันเสาร์ที่แวะเวียนมาดูคอสเพลย์เป็นอาหารตาอยู่แล้ว และคนที่ตั้งใจจะมานั่งกินอาหารอร่อย ๆ โดยเฉพาะอีกด้วย

   “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่มิราเคิลคาเฟ่ครับ”

   ภูริและกวินเปิดประตูแล้วโค้งต้อนรับสาว ๆ กลุ่มใหญ่ขาประจำของร้าน ซึ่งแต่ละคนก็แทบจะหลุดกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้จะได้รับรู้คำใบ้กลาย ๆ ผ่านจากทางเว็บไซต์อยู่แล้ว แต่พอมาเห็นจริง ๆ กับตาพวกเธอแบบนี้ ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้อยู่เหมือนกัน

   “ทั้งคู่หล่อมากเลยค่ะ จริง ๆ นะคะ” สาวคนหนึ่งบอกแล้วทำตาเคลิ้ม ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ ของอีกคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ

   “แล้วผมล่ะครับ คุณผู้หญิง พอจะอยู่ในสายตาพวกคุณได้บ้างไหม”

   ธีรัชแสร้งเปรยขัดขึ้น ทำเอาสาว ๆ กลุ่มนั้นหันไปมอง แล้วก็อุทานเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

   “ต๊าย! คุณธี เท่จังค่ะ แต่งเป็นอะไรคะ ซินแบดหรือเปล่า!?”

   สาวคนหนึ่งที่เป็นแฟนคลับของธีรัชหลุดถามเสียงแหลมอย่างตื่นเต้น ธีรัชยิ้มหวาน แล้วโค้งเลียนแบบตัวละครให้เจ้าหล่อน

   “ผมเป็นเพียงแค่กะลาสีเรือธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น  คงเทียบเท่ากับท่านซินแบดผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้หรอกครับ”

   สาว ๆ พากันกรีดร้องด้วยความชอบอกชอบใจไปตาม ๆ กัน จนภูริกับกวินต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา กับการแอคชันที่เกินไปของเพื่อนร่วมงาน

   “ถ้าอย่างนั้นเชิญพวกคุณทางนี้ก่อนดีกว่าครับ”

   ภูริยิ้มแล้วโค้งศีรษะนิด ๆ ให้ ทำเอาสาว ๆ ทำตาเคลิ้มฝัน แล้วเดินตามชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย จนวาโยที่ลอบมองอยู่ห่าง ๆ นึกหึงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ต้องหันไปยิ้ม เมื่อประตูร้านเปิดออก

   “อ๊ะ...คุณวาโย...ว้าว สุดยอดเลย สวยจังครับ!”

   ลูกค้ากลุ่มขาประจำของวาโยพอเปิดประตูเข้ามา พวกเขาก็ต้องตกตะลึงและหลุดอุทานออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นเจ้าหญิงในชุดอาหรับราตรีสีฟ้าสดใสเบื้องหน้าเขา และหนึ่งในนั้นที่ชอบวาโยมาก ๆ ก็ถึงกับหน้าแดง พูดอะไรไม่ออก

   “โชคดีใช่ไหมล่ะที่มากินส่งท้ายโปรโมชัน... ยังไงพวกผมต้องขอจองตัวคุณไว้ถ่ายรูปก่อนล่วงหน้าเลยนะครับ”

   อีกคนในกลุ่มเอ่ยแซวเพื่อนตัวเอง แล้วหันมาบอกกับวาโย ทำเอาคนถูกขอหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความอาย แต่ก็พยักหน้าตอบรับตามมารยาท

   “ว่าแต่วันนี้ในร้านคึกคักจริง ๆ สมแล้วกับที่เป็นวันเสาร์ล่ะนะ นี่ขนาดพวกเรามาแต่เช้า ลูกค้ายังเยอะขนาดนี้”

   หนึ่งในนั้นเปรยขึ้นก่อนจะสะดุดสายตาไปที่การิน พร้อมกับนิ่งอึ้งไปจนเพื่อนอีกคนแปลกใจ

   “เป็นอะไรไปน่ะ ไปนั่งที่กันได้แล้ว จะได้เลือกมุมสบาย ๆ นั่งกินกันนาน ๆ หน่อย”

   “ง่า...ได้ ๆ”  เจ้าตัวตอบรับ ก่อนจะเหลือบไปมองการินในชุดเจ้าหญิงสีดำอีกครั้ง ใบหน้าเขาแดงระเรื่อนิด ๆ จากนั้นจึงหันมาถามวาโยที่เดินนำพวกเขาไปที่โต๊ะนั่ง

   “เอ่อ คุณวาโยครับ...คนชุดดำนั่นใครหรือครับ”

   วาโยหันไปตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันมาตอบคำถาม

   “ก็การินยังไงล่ะครับ จำไม่ได้หรือครับ”

   “หา! คุณการินน่ะหรือครับ แต่ว่าปกติเขาไม่ได้แต่งชุดผู้หญิงด้วยนี่ครับ”

   ชายคนเดิมถามอย่างแปลกใจ เพราะเขานั้นจำได้ดีว่าเมื่อสามเสาร์ที่ผ่านมาการินนั้นแต่งแบบผู้ชายตลอด แม้เสาร์ที่แล้วจะดูน่ารักแต่ก็ยังเป็นกางเกงล่ะนะ

   “เพราะเป็นวันพิเศษทิ้งทวนโปรโมชันแรก ก็เลยต้องเต็มที่หน่อยล่ะครับ”

   วาโยท่องตอบตามที่ปวีร์บอกพวกเขาในตอนแรกที่แจกชุดมาให้

   “ดูสวยมีเสน่ห์จังเลยนะครับ...” ชายคนนั้นเพ้อเบา ๆ  ทว่าอีกคนกลับมองมาที่วาโยแทน

    “แต่ฉันชอบแบบน่ารักแถวนี้มากกว่า”  คนพูดบอกแล้วก็มีแววตาเคลิ้มฝัน จ้องมองไล่หลังคนในชุดฟ้าที่กำลังเดินไปหยิบเหยือกน้ำแร่มาเสิร์ฟพวกตน  ทำให้อีกคนที่เหลือมองเพื่อนทั้งสองแล้วสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา

   “ถ้าชอบขนาดนั้น วันนี้ก็ต้องสั่งให้เต็มที่แล้วล่ะ!”    

   ชายผู้นั้นสรุปตัดบท และเมื่อวาโยนำน้ำมาเสิร์ฟพวกเขา ทั้งหมดก็พากันดูเมนูอาหารอย่างจริงจัง และสั่งอาหารชุดใหญ่ออกมาหลายชุดจนวาโยจดตามแทบไม่ทันทีเดียว

   

   “ไม่สบอารมณ์เลย ทำไมวันนี้ลูกค้าผู้ชายมองรินบ่อยกว่าเดิมอีกนะนั่น!”

   กวินบ่นอุบเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากถอยออกมายืนดูแลลูกค้าที่ส่วนใหญ่สั่งอาหารกันไปแล้วอยู่ห่าง ๆ ข้างกายเขามีภูริที่แอบหน้าหงิกนิด ๆ ไม่แพ้กัน

   “ไม่ใช่แต่คนของนายหรอก...คนของฉันนี่สิ โดนหลอกจับมือไปแล้วตั้งหลายหนด้วยซ้ำ”

   ภูริพึมพำอย่างหึงหวง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ลูกค้าก็แค่โดนนิ้วของวาโยตอนยื่นรับเมนูส่งให้กันก็เท่านั้น แต่เพราะความหึงชายหนุ่มจึงมองเห็นอย่างเกินจริงไปสักหน่อย

   “ช่วยไม่ได้นี่นะ ทำงานพวกนี้ก็ต้องใจเป็นกลางหน่อย อีกอย่างลูกค้าชอบก็ดีแล้วนี่ เผื่อจะได้ทิปมากขึ้น ...และที่สำคัญ เจ้าของหัวใจเฝ้าดูตลอดแบบนี้ คิดว่าพวกนั้นจะปันใจไปให้ใครได้หรือไง”

   ธีรัชเอ่ยขัดขึ้นพร้อมกับยิ้มแย้มร่าเริงปลอบทั้งคู่ ทำเอาทั้งสองต้องลอบถอนหายใจและพึมพำบ่นอุบ

   “ก็ลองให้คุณนนออกมาคอสเพลย์ทำอาหารข้างนอกกับเขาบ้างสิ ...อยากรู้นักว่าคนแถวนี้จะยิ้มระรื่นได้ตลอดเหมือนเดิมหรือเปล่า”

   ภูริประชดใส่เบา ๆ ทำให้ธีรัชสะดุ้ง และเมื่อหวนคิดตาม เขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์นิด ๆ ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

   “เฮ้อ! มีแฟนน่ารักก็ต้องปลงหน่อยล่ะนะ”  กวินเปรยตามมาหลังจากที่พยายามทำใจอยู่สักพัก จากนั้นจึงรีบตรงไปหาลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ยกมือเรียกเขาเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม

   “อืม...มันก็จริงล่ะนะ มีแฟนน่ารักแถมยังต้องทำงานบริการด้วยแบบนี้ ก็ต้องปลงสถานเดียว ...แต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่ล่ะก็ อันนั้นมันก็อีกเรื่องนั่นล่ะ”

   ภูริพึมพำพร้อมกับทำหน้าเข้มขึ้น จนคนข้าง ๆ นึกกลัวแทนชายผู้เคราะห์ร้ายในอนาคตขึ้นมาตงิด ๆ เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-10-2012 23:17:45




   อีกด้านหนึ่งแคชเชียร์ผู้เสน่ห์แรงก็กำลังบริหารเสน่ห์ของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำเอาสาว ๆ ที่แวะมาซื้อขนมหวานกลับบ้าน ถึงกับหน้าแดงและเคลิบเคลิ้มยามที่อีกฝ่ายยิ้มหวานอ่อนโยนด้วยไปตาม ๆ กัน และวันนี้รุจก็ยังมีคนขอใช้สิทธิ์ถ่ายรูปด้วยหลายรายไม่แพ้คนอื่น ๆ ในร้านอีกด้วย

   “บริการเกินไปหน่อยแล้วมั้ง...ยอมให้ลูกค้าเกาะแขนถ่ายรูปด้วยแบบนั้นน่ะ”

    ไกรสรบ่นอุบอิบข้าง ๆ ชายหนุ่ม ยามเมื่อไม่มีลูกค้าอยู่บริเวณนั้นแล้ว

   “ก็บริการตามปกตินั่นล่ะครับ ...หึงหรือครับ”

    รุจย้อนถามกลับพลางยิ้มหวาน ทำเอาอีกฝ่ายนึกหมั่นไส้และอยากจับเจ้าตัวมากอดจูบลงโทษให้หายมันเขี้ยวเสียเดี๋ยวนี้

   “ฮึ...รู้ทั้งรู้ก็ยังมาถามกันอีก ...ใช่ซิ แก่ ๆ อย่างฉัน มันจะไปสู้สาว ๆ เอ๊าะ ๆ หน้าตาน่ารักได้ยังไงกัน”

   รุจแทบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว แต่ก็ยังเก๊กตีหน้านิ่งไว้ได้ทัน ทำให้ไกรสรที่บ่น ๆ เลิกบ่น เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจที่เขาพูดสักนิด

   “คนแก่ขี้งอน บางทีก็น่ารักนะครับ”

   เสียงเปรยเบา ๆ ทำให้คนที่กำลังนั่งไม่สบอารมณ์ชะงัก แล้วรีบหันขวับไปมอง ซึ่งรุจก็หันหน้ามายิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ

   “แต่ถ้าแกล้งงอนไร้เหตุผล อันนี้น่าหมั่นไส้แทนล่ะนะครับ”

   ไกรสรที่แอบคิดจะทำอย่างที่พูดสะดุ้งโหยงแล้วยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ดูอารมณ์ดีกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย จนรุจที่แอบชำเลืองมองต้องยิ้มตาม และเมื่อถึงเวลาพักของเขา ไกรสรก็เดินตามมาพักพร้อมกันอย่างเป็นปกติ  ทั้งคู่นั่งทานอาหารคนละฝั่งตรงข้ามกัน โดยที่ไกรสรนั้นกินไปมองหน้ารุจไป จนคนถูกจ้องต้องสั่นศีรษะทั้งระอาและนึกขำไปในคราเดียวกัน

   “หือ...โทรศัพท์...ใครกัน...”

    เสียงเรียกเข้าคุ้นเคยที่ดังขึ้น ทำให้ไกรสรต้องหยิบมือถือของตนออกมาดู แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์ขึ้น ทว่าท่าทางผิดปกติเพียงชั่วครู่ที่เป็นนั้น ก็อยู่ในสายตาของรุจพอดี

   “ฉันขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ...”

    ไกรสรเอ่ยขึ้นและทำท่าจะลุกไปคุยด้านนอก ทว่าพอเขาสบตากับรุจชั่วครู่ ชายหนุ่มก็ต้องหยุดเดิน เมื่อเห็นแววตากึ่งสงสัยกึ่งผิดหวังในแววตาคู่นั้น เจ้าตัวจึงเม้มปากน้อย ๆ แล้วตัดสินใจกดรับสายอยู่ในครัวนั่นเอง

   “แหม! ทำไมรับช้าจังล่ะคะไกร หรือว่ามีธุระยุ่งกับสาวคนไหนอยู่หรือคะ!”

   เสียงแหลมสูงดังลอดออกมาจากมือถือให้ได้ยิน ไกรสรถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงตอบกลับไป ทว่าเขายังคงจ้องหน้าสบตารุจอยู่เหมือนเดิม

   “ขอโทษที พอดีผมทานข้าวอยู่”

   “ทานข้าว หรือทานใครอยู่กันแน่คะ...”

    เสียงปลายสายหยอกกระเซ้าอ่อนหวานกลับมา ได้ยินกันทั่วครัว เพราะไกรสรจงใจเปิดลำโพงมือถือให้คนตรงหน้าได้ยินชัด ๆ

   “ทานข้าวจริง ๆ ครับ ...แล้วมิวโทรมามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

   “แหม! ไกรล่ะก็ ไม่มีธุระก็โทรมาหาไม่ได้หรือคะ ทีเมื่อก่อน มิวโทรมาไม่เห็นไกรถามอะไรแบบนี้เลยนี่”

   เสียงปลายสายทำเสียงเง้างอนพองามให้ง้อ แต่คนฟังกลับต้องลอบถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปนิด ๆ ของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

   “แล้วตกลงมิวโทรมาทำไมล่ะครับ”

    ไกรสรยังคงพูดสุภาพ เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็ถือว่าเป็นอดีตคู่ควงที่ยังคบหาสนิทสนมกันดี 

   “ก็มิวได้ยินว่าไกรกลับมาเมืองไทยแล้ว แต่ไม่เห็นไกรออกเที่ยวหรือชวนใครเที่ยวเหมือนเคย จนข่าวลือลอยเข้าหูมิวมา มิวก็เลยโทรมาถามไถ่ว่าคุณเสืออย่างไกรสิ้นลาย กลายเป็นแมวบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะสิคะ”

   ไกรสรกลืนน้ำลายลงคอ เพราะยิ่งอีกฝ่ายพูดก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำอดีตแย่ ๆ ของเขาให้คนตรงหน้าได้รับฟังมากยิ่งขึ้น ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงไม่เลือกปิดเสียงลำโพงและเดินหนี แต่ยังคงปักหลักคุยต่อไป

   “งั้นข่าวลือก็เป็นจริงแล้วล่ะมิว เพราะผมตอนนี้กลายเป็นแมวบ้าน และก็มีปลอกคอสวมเรียบร้อยแล้วครับ”

   ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นย้ำอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

   “เป็นแมวบ้านแถมมีปลอกคอสวมนี่นะ!  โกหกน่า ไกรล้อมิวเล่นหรือเปล่าเนี่ย!”

   “ไม่ได้ล้อเล่นหรอกมิว... ผมมีคนสำคัญที่ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดแล้ว...อืม อันที่จริงถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังพยายามอยู่ เพราะเขายังไม่เปิดโอกาสให้ผมเป็นอย่างที่ต้องการเลยน่ะ”

   ท้ายประโยคไกรสรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ทำให้รุจเผลอเบือนหน้าหลบตาคนพูดไปวูบหนึ่ง

   “...ให้หิมะตกเมืองไทย มิวยังไม่เซอร์ไพรส์เท่านี้เลยนะคะไกร... คนนั้นที่ว่าเป็นใครน่ะ บอกมิวได้ไหม เป็นดารา หรือไฮโซไฮซ้อที่ไหนกันคะนั่น”

   ไกรสรมองรุจนิ่งแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบตาเขาแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

   “ไม่ใช่ไฮโซหรือดาราที่ไหนหรอก ...บอกไปมิวก็คงไม่รู้จัก ...แต่ถึงยังไงเขาก็สำคัญสำหรับผมจริง ๆ นั่นล่ะ... สำคัญขนาดที่ว่า ต่อให้ต้องทิ้งการงาน ชื่อเสียง ทุก ๆ อย่าง ผมก็พร้อมยอมที่จะทิ้งมันมา แล้วเลือกเขาแทนน่ะ”

   หญิงสาวปลายสายเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้น

   “เฮ้อ...เชื่อเลยค่ะว่ากำลังอินเลิฟอยู่จริง ๆ ...เอาเถอะค่ะ ยังไงในฐานะเพื่อนเก่า มิวก็ขออวยพรให้คุณสมหวังนะคะ”

   “ขอบคุณครับ... ผมเองก็ขอให้มิวได้เจอคนที่ใช่เหมือนกันเร็ว ๆ นี้นะ”

   “ขอบคุณค่ะ แต่มิวยังอยากใช้ชีวิตโสดต่ออีกสักพัก...นี่ไกรคะ มิวขอกระจายข่าวต่อได้ไหม รับรองต้องเป็นข่าวเซอร์ไพรส์ในรอบปี ของแวดวงไฮโซแน่เลยล่ะ!”

   ไกรสรชะงัก เขามองรุจที่ตอนนี้หันมาสบตาเขา แล้วคอยดูว่าเขาจะตอบว่ายังไง

   “ตามสบายเลยมิว ...จะยินดีมากเลยถ้าจะช่วยบอก ทีนี้คนสำคัญของผมเขาจะได้เลิกระแวงสักที”

   “เจ้าค่ะ! แหม...น่าอิจฉาคนมีความรักจริง งั้นมิวไม่กวนแล้ว ไว้ว่าง ๆ ออกไปเที่ยวกันบ้างนะคะ ชวนคนของไกรมาด้วยกันก็ได้ เขาจะได้ไม่เข้าใจผิด”

   หญิงสาวบอกอย่างร่าเริง ซึ่งไกรสรก็ตอบรับตามมารยาท และกดวางสายไป จากนั้นเขาจึงจ้องมองรุจที่มองเขาตอบนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ โดยไม่ได้ใส่ใจคนที่เหลือในครัว ที่ต่างก็พยายามทำตัวเงียบเหมือนไม่มีตัวตนกันอยู่เต็มที่

   “พอจะทำให้ใครบางคนเลิกระแวงฉันได้หรือยังแบบนี้”

   ไกรสรเอ่ยถาม ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อย เพราะถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำเข้าให้

   “...ก็นิดหน่อยครับ”  รุจเปรยตอบเรียบ ๆ เรียกเสียงถอนหายใจจากอีกคนดังขึ้นเบา ๆ

   “ช่วยไม่ได้นี่นะ คนมีอดีตอย่างฉัน ใครกันจะยอมเชื่อใจง่าย ๆ”

   รุจมองหน้าชายหนุ่มนิ่งสักครู่ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   “ไม่ถึงกับไม่เชื่อใจหรอกครับ ...แต่ของพวกนี้ บางครั้งมันก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์กันบ้าง คุณเองก็คงเข้าใจเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะครับ”

   ไกรสรมองคนพูดแล้วจึงยิ้มตอบ ก่อนจะพยักหน้า

   “อืม...ฉันเข้าใจ แค่ยอมให้โอกาสพิสูจน์กันอย่างที่เป็นอยู่นี่ ก็ดีใจจะแย่แล้วล่ะ”

   รุจนิ่งรับฟังแล้วเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง ซึ่งเหลือเวลาพักอีกสิบห้านาที เขาลุกขึ้นแล้วบอกให้ไกรสรตามตนเองมาที่ห้องน้ำ ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินตามมาอย่างงุนงงนิด ๆ แต่เพราะคิดว่ารุจมีเรื่องลับ ๆ จะพูดด้วย เขาจึงตามเข้าไป

    ทว่าพอทั้งคู่เข้าไปด้วยกัน รุจก็เข้าประชิดตัวอีกฝ่าย พลางคล้องแขนรอบคอและบดเบียดจูบกับคนตรงหน้าอย่างเร่าร้อน ทำเอาไกรสรถึงกับตกตะลึงในตอนแรก แต่พอตั้งสติได้เขาก็ให้ความร่วมมือและจูบตอบกลับไปเป็นอย่างดี ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ๆ รุจก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาก่อน และหอบหายใจค่อย ๆ ก่อนจะยกยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้าเขา

    “...ฉันดีใจนะ ที่ได้รู้จักและรักเธอ”

    ไกรสรเอ่ยพึมพำขณะที่ริมฝีปากของเขา ยังคงคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย รุจแย้มยิ้มรับ แต่สักพักเขาก็ผละออกห่างจากชายหนุ่ม ทำเอาไกรสรต้องขมวดคิ้วอย่างงุนงงอีกครั้ง

    “ช่วยไม่ได้นะครับ ถึงตอนนี้จะเริ่มรู้สึกดี ๆ กับคุณแล้วก็ตาม...เพียงแต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา จะยกเลิกแล้วร่นเวลาขึ้นก็คงทำไม่ได้ ...เพราะอย่างนั้นก็อดทนรอไปก่อนนะครับ...อีกแค่ไม่กี่วันเอง” 

    ไกรสรฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน ทว่าไม่นานเขาก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ตามมาในที่สุด

    “ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ทนมาขนาดนี้แล้วนี่ ทนต่อไปอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ... และยิ่งรู้ว่าคนที่เรารอ เขาก็มีใจให้เหมือนกัน มันก็ยิ่งมีแรงฮึดให้อดทนได้ไหวยิ่งเข้าไปใหญ่” 

    รุจมองหน้าคนพูด แล้วจึงสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา กับความปากกับใจที่ตรงกันเหลือเกินของอีกฝ่าย แต่ก็อดที่จะยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ที่ไกรสรแสดงให้เขาเห็นว่า เพื่อเขาแล้วชายหนุ่มพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่และทิ้งความเจ้าชู้ในอดีตไปได้จริง ๆ   

     แต่ก็ใช่ว่าหลังจากนี้เขาจะยอมปล่อยอีกฝ่ายคลาดสายตาไปได้อย่างวางใจนักหรอกนะ สำหรับคนที่มีเสน่ห์อย่างอีกฝ่าย ถ้าเจ้าตัวไม่รุกเอง ก็ยังมีสาว ๆ มากมาย หรือแม้อาจจะกระทั่งหนุ่มพร้อมรุกเข้าหา ซึ่งหากเป็นแฟนกันจริง ๆ เมื่อไรแล้ว เขาคงต้องปราบชายหนุ่มให้อยู่ในโอวาท และคงต้องฝากขวัญแก้วและขวัญตาที่เป็นพันธมิตรกันคอยช่วยสอดส่องดูแลอีกทางหนึ่งด้วยนั่นล่ะ

   รุจคิดในใจแล้วลอบยิ้ม เขาเชื่อได้เลยว่าหากไกรสรรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ คงต้องโวยวาย น้อยอกน้อยใจตามมา  หาว่าเขาไม่เชื่อใจและไว้ใจตัวเองแน่ ๆ ทว่าไกรสรนั้นไม่รู้หรอกว่าเขาเองกลับคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป ซึ่งถ้าเขาหลุดปากพูดให้ฟังเมื่อใด มีหวังเจ้าตัวคงจะหายโกรธตามมาโดยเร็ว 

   ‘ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เพราะรักมากจนไว้ใจไม่ได้ต่างหากล่ะนะ!’

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 02-10-2012 23:18:42

    วันนี้ทั้งวัน ทุกคนทำงานกันยุ่งตลอดเวลา ลูกค้ามามากที่สุดนับตั้งแต่เปิดร้าน เรียกได้ว่าพอโต๊ะไหนลุก ก็มีลูกค้ารอจ่อคิวกินอาหารต่อทันที  บางรายที่เห็นคนเยอะแต่ก็ไม่อยากพลาดโปรโมชันวันสุดท้าย จึงสั่งอาหารและเครื่องดื่มกลับไปทานบ้านและใช้สิทธิ์ถ่ายรูปตามปกติก็มี ขนาดไกรสรเองยังช่วยรุจขายขนมและหยิบส่งให้ลูกค้าแทน เพราะแคชเชียร์หนุ่มเองก็งานยุ่งจนหัวหมุนไม่แพ้กัน

   “...หมดวันสักที...อาทิตย์หน้าก็ไม่ต้องทำงานไปพลางวิ่งไปถ่ายรูปพลาง อย่างวันนี้อีกแล้ว”

   กวินเปรยบ่นพร้อมกับนั่งแผละลงบนเก้าอี้ร้าน หลังจากที่เดินไปส่งลูกค้าโต๊ะสุดท้ายออกจากร้านไป

   “แต่ฉันว่าบางทีพวกเธออาจจะต้องรับมือลูกค้าหนักกว่าที่เป็นนี่ก็ได้ เพราะโปรโมชันใหม่ของวี น่าจะเป็นที่นิยมไม่แพ้กับโปรโมชันนี้ แถมยังทำเงินได้หลายแบบอีกด้วย ...แฟนใครก็ไม่รู้ หัวการค้าจริง ๆ เลยเนอะ”

   ท้ายประโยคขวัญแก้วหันไปแซวราเมศ ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าคนอื่นที่ได้ยินประโยคก่อนหน้านั้น หันไปมองหญิงสาวตาปริบ ๆ อย่างสนใจ

   “วียังไม่ได้บอกพวกเธอสินะ คงจะรอให้เซอร์ไพรส์พร้อมลูกค้าในวันจันทร์แหงเลย”

   ขวัญแก้วบอกเสียงใสพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ด้านไกรสรนั้นมองน้องสาวของตนแหย่หนุ่ม ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปทางรุจ

   “แต่สำหรับเธอ ฉันบอกให้เป็นพิเศษก็ได้นะ...ถ้าพรุ่งนี้จะยอมไปเดทกันสองต่อสองน่ะ”

   รุจมองคนที่ยื่นข้อเสนอต่อรอง แล้วแสร้งทำเป็นคิด ก่อนจะสั่นศีรษะ

   “งั้นไม่ดีกว่าครับ ผมเก็บไว้เซอร์ไพรส์พร้อมคนอื่นก็ได้”

   ไกรสรถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังคงยิ้มออกเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย จากนั้นพวกเขาก็เก็บกวาดร้านให้เรียบร้อย แล้วจึงตรงเข้าไปในครัวเพื่อรับประทานอาหารค่ำกันต่อ โดยธีรัชนั้นรีบจ้ำพรวดพราดแซงทุกคนเข้าไปก่อน เพื่อจะไปช่วยชานนยกอาหารขึ้นเสิร์ฟแต่ละคนบนโต๊ะนั่นเอง

   “แหม ๆ ผู้ช่วยคนใหม่ของคุณนนนี่ขยันขันแข็งจริงน้า ถึงจะทำเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงก็เถอะ”

   ปวีร์เอ่ยแซว แล้วรับจานเปล่าที่ปยุตส่งมาให้ วันนี้คนเยอะพ่อบ้านหนุ่มจึงอาสาเข้ามาช่วยในร้านด้วยอีกคน ทำให้ในครัวไม่วุ่นวายอย่างที่ควรจะเป็นนัก

   “ไม่หรอกค่ะพีวี  ธีเขามีทักษะทางด้านงานครัวจริง ๆ นะคะ  วันนี้ก็ช่วยเตรียมล้างและหั่นผักแทนตอนตาพักทานข้าวด้วย หั่นได้สวยใช้ได้เลยล่ะค่ะ”

   “จริงอย่างที่คุณตาว่ามานั่นล่ะครับ คุณธีรัชเขามีทักษะในการทำอาหารและสามารถจดจำรสได้ดีทีเดียว”

   ขวัญตาและชานนเอ่ยชมและช่วยเชียร์ชายหนุ่มเต็มที่จนธีรัชถึงกับยิ้มเขิน ๆ และพึมพำขอบคุณทั้งคู่เบา ๆ ทางด้านปวีร์มองพนักงานของเขาแล้วอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นอยากเลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยในครัวแทนไหมล่ะ”

   คนอื่นชะงักกึกและหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว ปวีร์ยักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเอ่ยต่ออย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม

   “ร้านค้าของเราเริ่มอยู่ตัวแล้ว และหลังจากนี้ก็คงมีลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น สำหรับจำนวนที่นั่ง ในความคิดของฉันคิดว่ายังพอเพียงอยู่ เพราะลูกค้าขาประจำของเราส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกนั่งแช่ แต่เป็นพวกที่มาเพื่อทานอาหารทั้งอาหารจริง ๆ และอาหารตาล่ะนะ”

   เมื่อเห็นคนอื่นต่างพากันสนอกสนใจฟัง ปวีร์จึงอมยิ้มนิด ๆ แล้วเอ่ยต่อ

   “ส่วนที่ฉันจะปรับปรุงอันดับแรกก็คือในครัว เชฟสองคนอาจจะเพียงพอในตอนนี้ แต่ถ้าในอนาคต หรือช่วงที่ร้านมีโปรโมชันเกี่ยวกับยอดซื้อ ฉันว่าคงจะวุ่นวายกันพอดู ...ในเมื่อคุณนนและตายืนยันว่าธีใช้งานได้ ฉันก็จะให้เขาเลื่อนมาเป็นพ่อครัวฝึกหัดและคอยช่วยงานทั้งคู่ ...เธอล่ะธีรัช ว่ายังไง โอเคไหม?”

   ท้ายประโยคปวีร์หันไปถามธีรัชอีกรอบ ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างแล้วรีบพยักหน้าทันที

   “โอเคเลยครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ!”

   ธีรัชตอบอย่างยินดี เพราะไม่เพียงเขาจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้คนที่เขาชื่นชมเท่านั้น ทว่าหลังจากที่ได้คลุกคลีเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ชายหนุ่มก็เริ่มค้นพบความชอบที่แท้จริงของตัวเอง และอยากศึกษาเรื่องพวกนี้ให้จริงจังมากขึ้นไปอีก

   “งั้นก็เคลียร์ไปหนึ่งตำแหน่ง ...ส่วนพนักงานเสิร์ฟก็ไม่มีปัญหา ฉันจะหาพาร์ทไทม์มาลุยช่วงเวลาเดียวกับที่ธีเคยทำสักสองสามคน แต่เด็กพาร์ทไทม์อาจจะไม่ต้องแต่งคอสเพลย์ในวันเสาร์ หรือแต่งก็ไม่ต้องเต็มยศมาก...เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจะพิจารณาดูอีกที แต่ยังไงพวกนายก็ต้องคอยสอนงานให้เด็กใหม่ด้วยล่ะนะ”

   พนักงานเสิร์ฟแต่ละคนต่างพยักหน้ารับรู้และเห็นดีด้วยที่ปวีร์จะเพิ่มคน เพราะแม้พวกเขาจะตั้งใจและขยันขันแข็ง แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่มากโดยเฉพาะเวลามานั่งกันเต็มร้าน ก็ทำให้พวกเขาบริการได้ไม่ทั่วถึงและล่าช้าไปบ้าง โชคดีที่ลูกค้าแต่ละคนเข้าใจและให้อภัย จึงไม่มีเรื่องราวอันใดตามมามากนัก

   “และสุดท้าย...บาร์เครื่องดื่มของเรา ที่มีบาริสต้าบางคนมาบ่นโอดครวญกับฉันว่าให้ช่วยหาพนักงานพาร์ทไทม์มาเพิ่มสักที...”

    ปวีร์เปรยพร้อมกับเหลือบไปมองราเมศที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าของร้านหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

   “คนที่บาร์งานยุ่งตลอด ต้องพักกันขยักขย่อน บางทีก็วุ่นวายหัวหมุนกับเรื่องโปรโมชัน และขายขนมด้วย ดังนั้นฉันว่าจะเพิ่มคนที่บาร์น้ำอีกสัก 2 – 3 คน พวกนายเห็นว่ายังไง”

   “2 – 3 คนเชียวหรือ มันจะไม่มากไปหรือวี เอาจริง ๆ พวกฉันก็ไม่ได้เหนื่อยมากหรอกนะ”

   ขวัญแก้วถามอย่างเป็นห่วง เพราะการที่จ้างพนักงานเพิ่มมากขึ้น ก็เท่ากับผลกำไรของร้านที่ลดลงตามมา

   “ราว ๆ นั้นล่ะดีแล้ว เธอจะได้พักบ้าง เท่าที่ผ่านมาต้องวิ่งวุ่นให้ฉันตั้งหลายเรื่อง จนพี่ชายเธอจะหันมาเล่นงานฉัน ที่ดันใช้น้องสาวเขายังกับทาสตั้งหลายรอบแล้วรู้ไหม”

   ปวีร์หันไปพาดพิงไกรสร ทำเอาหญิงสาวหันไปเขม่นพี่ชายของเธอ เพราะไม่อยากให้พี่ชายเข้ามาก้าวก่ายงานส่วนตัวที่เธอเลือกแล้วนั่นเอง

   “เฮ้ย! อย่ามาโยนให้แบบนี้สิวะวี อะไรกัน คนกำลังนั่งมองคนน่ารักของตัวเองอยู่ดี ๆ แท้ ๆ ...เนอะรุจ”

   ชายหนุ่มบอกแล้วก็หันไปยิ้มหวานให้กับรุจที่ทำเป็นนิ่งเฉย แต่ในใจนึกฉุนปนเขินกับคนที่หน้าด้านหน้าทนได้อย่างไม่รู้จักกาลเทศะเช่นอีกฝ่าย

    “โอเค งั้นก็ปล่อยให้เขามองกันต่อไป  มาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า...ที่ฉันตั้งใจจะเพิ่มก็คือ คนประจำตู้ขนมหวานไปเลย 1 คน ซึ่งนอกจากจะคอยบริการเรื่องขนมกลับบ้านให้ลูกค้าแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอีกอย่างคือจัดการเคลียร์เรื่องโปรโมชันในแต่ละเดือนให้กับลูกค้าที่มาติดต่อ ทั้งแก้วทั้งรุจจะได้ไม่ต้องทิ้งงานไปคอยวุ่นวายกับเรื่องนั้นอีก”

   คนอื่นพอฟังแล้วก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย จากนั้นปวีร์จึงอธิบายต่อถึงตำแหน่งที่ตั้งใจจะเพิ่มอีกสองราย

   “ส่วนอีกสองคนที่เหลือ ฉันตั้งใจจะให้เข้ามาทำในลักษณะพาร์ทไทม์ช่วงเช้าถึงบ่าย กับบ่ายถึงค่ำ พวกนายจะได้มีเวลาพักกันต่อเนื่องไปเลยคนละ 1 ชั่วโมง แน่นอนรวมถึงเธอด้วยรุจ”

   ปวีร์หันมาบอกแคชเชียร์ของเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงยิ้มและเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ที่ใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ของพนักงานในปกครองเสมอ

   “เอาล่ะ... สำหรับตำแหน่งงานต่าง ๆ ถ้าฉันหาพนักงานได้ครบเมื่อไหร่ เราจะเริ่มเปลี่ยนกันทันที เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ทำแบบเดิมไปก่อน...อ้อ พี่ไกร ถ้ายังจะมาที่ร้านช่วงนี้อยู่ ผมฝากพี่ดูเรื่องตู้ขนมด้วยนะ”

   ปวีร์หันไปสั่งงานไกรสร ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง ๆ แต่ก็ต้องพยักหน้ายอมรับตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ทำเอาสองสาวพี่น้องพากันหัวเราะคิกคัก และรุจต้องอมยิ้ม 



    จากนั้นพวกเขาจึงหันมาสนใจอาหารมื้อค่ำแทน และต่างสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตลอดมื้อค่ำนั้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานเก็บกวาดที่เหลือ และตรงกลับบ้านพักของแต่ละคนกันต่อ ยกเว้นชานนที่ขออยู่เฝ้าร้านเพื่อลงมือเคี่ยวน้ำซุปที่จะใช้ทำอาหารในวันพรุ่งนี้ต่ออีกสักหน่อย ธีรัชจึงอาสาอยู่โยงเป็นเพื่อนด้วยอีกคน

    ทีแรกชานนนั้นจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ แต่เพราะคำสั่งของปวีร์ที่เป็นห่วงไม่อยากให้ชานนอยู่โยงเฝ้าร้านดึก ๆ คนเดียว และความตั้งใจตื๊อของตัวธีรัชเองด้วย ก็ทำให้เชฟหนุ่มยอมให้อีกฝ่ายอยู่เป็นเพื่อนตัวเอง จนกระทั่งเวลาเกือบเที่ยงคืน น้ำซุปจึงเริ่มได้ที่ ชานนจัดแจงปิดฝาหม้อซุปเอาไว้ และเตรียมตัวปิดร้านกลับบ้านพัก เขาหันมาทางธีรัชแล้วก็ต้องชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายที่นอนฟุบหลับไปกับโต๊ะ

   “ตัวเองก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังมาฝืนร่างกายเฝ้าเราอีก...เด็กคนนี้นี่นะ”

   ชานนพึมพำอย่างเอ็นดู เขาเดินมาใกล้พลางจ้องมองหน้าอีกฝ่าย จากนั้นชานนจึงโน้มใบหน้าลงมาและหอมแก้มชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าเบา ๆ แล้วจึงพึมพำบางอย่างกับตัวเอง

    “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ...ว่าคุณจะทำให้ผมชอบคุณจริง ๆ จนได้...”

    ชานนอมยิ้มพลางจ้องมองคนที่หลับอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจปลุกอีกฝ่าย

   “คุณธีรัชครับ...เที่ยงคืนแล้วครับ กลับบ้านพักกันเถอะครับ”

   ธีรัชงัวเงียลืมตาแล้วยิ้มน้อย ๆ ตอบ จากนั้นพวกเขาก็เช็คความเรียบร้อยในครัว ก่อนจะล็อกร้านให้เรียบร้อย และตรงกลับบ้านพักด้วยกัน ทว่าพอธีรัชนั้นแยกขึ้นไปบนห้องพัก เขาก็รีบตรงเข้าห้องนอนและกระโดดขึ้นบนเตียงก่อนจะเอาหมอนอุดปากพร้อมตะโกนออกมาด้วยความดีใจสุดขีด

   ที่แท้แล้วชายหนุ่มนั้นไม่ได้หลับจริง ๆ เขาเพียงแต่พักสายตาเท่านั้น  โดยไม่คิดว่าชานนจะกล้าหอมแก้มเขา พร้อมสารภาพความในใจ  และเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะอาย ธีรัชจึงแกล้งทำเป็นนอนหลับเพิ่งตื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

   ‘ในที่สุดความฝันของฉันก็เป็นจริงสักที...เฮ้อ...อยากให้ตอนเช้ามาถึงเร็ว ๆ จัง ...พรุ่งนี้จะได้ไปสารภาพรักกับคุณนนอีกครั้ง จากนั้นพวกเราก็จะได้คบกันอย่างเปิดเผย ...อืม จะพาคุณนนไปแนะนำให้ลุงรู้จักดีไหมนะ...อ๊ะ ไม่ดีกว่า เดี๋ยวลุงบ้านั่นเกิดปิ๊งคุณนนมาเหมือนกันก็แย่เลย... เอ จากนี้ไปเราจะย้ายไปอยู่ห้องคุณนนดีไหมนะ จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่านี้....แล้วจะได้ทำโน่นทำนี่กันโดยไม่ต้องเกรงใจใครด้วย... จากนั้นก็......’

   ธีรัชนอนยิ้มกับตัวเองและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกือบทั้งคืน ผลที่ได้ก็คือ แทนที่เจ้าตัวจะได้ตื่นเช้าอย่างที่ตั้งใจและวางแผนไว้ดิบดี กลับกลายเป็นว่าเขาตื่นสายที่สุดในบ้านพัก แถมวันอาทิตย์นี้แทนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปเดท แต่กลับมารวมตัวกันที่บ้านพักเต็มไปหมด แม้กระทั่งทรงพลแฟนของปยุตเองก็ยังแวะมาเยี่ยมเยียนพ่อบ้านหนุ่ม แถมยังมาจัดงานเลี้ยงฉลองกันอีกรอบที่นี่ด้วย

    เท่านั้นยังไม่พอปวีร์ยังโทรไปชวนไกรสรและสองสาวมาร่วมงานเลี้ยงด้วยกันอีก ทำเอาทั้งบ้านพักครึกครื้นกันใหญ่ และชานนเองก็ไม่มีเวลาว่างพอจะอยู่พูดคุยกันสองต่อสองกับเขาเลยตลอดทั้งวัน ทำให้ว่าที่เชฟฝึกหัดอย่างธีรัช ต้องยกแผนการสารภาพรักอันแสนจะโรแมนติกของเขาไปไว้วันหลังแทนอย่างช่วยไม่ได้นั่นเอง

     



... THE END …



เป็นยังไงคะ อ่านจบแล้วชอบใจไหมเอ่ยกับบทสรุปแบบนี้ ...


สำหรับปัดก็แอบใจหายนิด ๆ เพราะก็เขียนเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ มาตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา จนบางทีก็แอบนึกว่า นี่ฉันลากมาได้ขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย ^^"  เขียนไปก็แอบกลัวว่านักอ่านจะเบื่อไหมน้อ เรื่องมันเรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีอะไรเร้าใจเท่าไหร่เลย แต่พอได้อ่านคอมเมนต์ และเห็นว่ามีคนชอบแนวนี้อยู่ ก็ทำให้ปัดมีกำลังใจแต่ง และแต่งต่อไปจนกระทั่งบทสรุปสุดท้ายนี่ถูกเข็นมาในที่สุด


ยังไงก็ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักอ่านที่คอยคอมเมนต์ให้กันตลอด หรือนักอ่านเงาก็ตาม ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนกระทั่งเรื่องนี้จบลงในที่สุด  และหวังว่าคงจะติดตามอ่านกันต่อไป หากปัดเข็นเรื่องใหม่มาลงบอร์ดนะคะ


ป.ล. นิยายเรื่องนี้จะประกาศทำมือในวันที่ 4 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของปัดเองค่ะ (ยึดเอาฤกษ์เอาชัยหน่อย)

และจะประกาศรีปริ้นท์นิยายเก่า ๆ ซึ่งบางเรื่องจะรีเป็นครั้งสุดท้ายด้วยค่ะ

จะแวะเวียนมาอัพเดทให้ทราบในบอร์ดแห่งนี้ และทางแฟนเพจด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/NovelPat

ขอบคุณผู้อ่านค่ะ ขอให้ทุกท่านโชคดีนะคะ แล้วพบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ  :pig4:


หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 03-10-2012 00:15:34
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :กอด1:

ปล.น้องจุม มีรีปรินท์ด้วยรึป่าวอ่ะคะ?
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-10-2012 00:39:11
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :กอด1:

ปล.น้องจุม มีรีปรินท์ด้วยรึป่าวอ่ะคะ?

มีทุกเรื่องที่ทำมือมาเลยค่ะ แต่ คุณตำรวจยอดรัก / คณอาที่รัก / เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต  >>> สามเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะรีปริ้นท์ครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ  (แต่รอบนี้ก็รีนะคะ แต่คงไม่รีครั้งหน้าอีกแล้วเพราะหลายรอบแล้วค่ะ)


จะจอง เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต ทำไงค่ะ

อดใจรอวันที่ 4 จะไม่ไหวแล้ว อิอิ

เดี๋ยวพอเปิดจองจะแจ้งรายละเอียดและอีเมล์ให้ค่ะ  เพราะปัดจะเปิดจองเป็นระบบ ส่งเมล์สอบถาม ---> ปัดส่งบัญชีกลับไปให้----> นักอ่านโอนเงินและยืนยันการโอนเงินกลับมา ----> ปัดคอนเฟิร์ม แล้วรอจัดส่งอีกที   แบบนี้เป็นต้นค่ะ

และเมื่อถึงวันที่ 4 จะอธิบายถึงระยะ การเปิดจอง การจัดส่ง ซึ่งอาจจะแบ่งเป็นล็อต ๆ สำหรับคนต้องการหนังสือเร็ว และคนที่มีปัญหาด้านการชำระเงินที่ต้องชะลอการจ่ายไปก่อน เพราะเดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งสัปดาห์หนังสือ ที่หลายคนเตรียมงบประมาณไว้สำหรับหนังสือในงาน เป็นต้นค่ะ

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 03-10-2012 01:18:39
จะจอง เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต ทำไงค่ะ

อดใจรอวันที่ 4 จะไม่ไหวแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 03-10-2012 03:34:14
ธีรัช ไม่ได้บอกรักวันนี้ วันหน้าก็ได้บอกอยุ่แล้ว

และแล้วทุกคนก็มีคุ่เป้นของตัวเอง
จากนี้รักของพวกเขาจะเป้นยังไงต่อไป
คงต้องคิดกันต่อไปเองสินะ ^^

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ให้ชุ่มชื้นหัวใจนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 03-10-2012 04:25:14
ธีรัชจะสารภาพกับชานนท์ยังไงนะ น่าสนใจ ไกรรุจน่ารักมาก ๆ เลย รุจขี้แกล้งจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Ali$a฿eth ที่ 03-10-2012 08:16:09
ขอบคุณค่า >< ติดตามถึงตอนจบแล้ว

แอบใจหายหน่อย แต่เป็นบทสรุปที่ดีคะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 03-10-2012 13:19:57
บทสรุปของทุกคู่คือแฮปปี้ อันนี้ถูกใจมาก
ใจจริงอยากอ่านคู่ไกรกับรุจอีกนิด อิตอนอยู่สองคนน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 03-10-2012 14:36:29
เป็นบทสรุปที่สมบูรณ์จริงๆค่ะ  ชอบมาเลยและอยากได้เรื่องนี้มาเก็บไว้จัง

รอวันเปิดจองนะคะ  และอยากรู้อีกนิดว่ามีตอนพิเศษแยกคู่มั้ยคะ

เพราะเหมือนเห็นแวบๆว่าคุณปัดเคยบอกไว้

 :pig4:  สำหรับเรื่องน่ารักๆใสๆแบบนี้นะคะ  :กอด1:

+1และเป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-10-2012 14:40:58
เป็นบทสรุปที่สมบูรณ์จริงๆค่ะ  ชอบมาเลยและอยากได้เรื่องนี้มาเก็บไว้จัง

รอวันเปิดจองนะคะ  และอยากรู้อีกนิดว่ามีตอนพิเศษแยกคู่มั้ยคะ

เพราะเหมือนเห็นแวบๆว่าคุณปัดเคยบอกไว้

 :pig4:  สำหรับเรื่องน่ารักๆใสๆแบบนี้นะคะ  :กอด1:

+1และเป็ดค่ะ

ขอบพระคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ (และทุกท่านที่ไม่ได้อ้างอิงมาตอบด้วยค่ะ)


สำหรับตอนพิเศษแยกคู่มีแน่นอนค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียนทุกคู่ และกำหนดโควต้าคู่ละตอนสั้น ๆ (จำนวนหน้า 4 -5 หน้าเอสี่ เทียบเท่าตอนปกติ) เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงคำนวนหน้าและราคาอยู่ค่ะ (รับรองว่าราคาซื้อง่ายขายคล่องเหมือนเดิมจ้า)  แต่เอาจริง ๆ เขียนทีไร หน้ามันงอกออกมาประจำ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าคืนกำไรให้ผู้อ่านค่ะ  ไม่มีมาขึ้นราคาตามภายหลังแน่นอน (เป็นหลายเรื่องละ เช่นบอกว่ารวมตอนพิเศษ สามร้อยหน้า เขียนไปเขียนมา กลายเป็นสามร้อยกว่าหน้าก็มี --")
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 03-10-2012 14:47:13
อ๊ายยยยยย

ปวีร์ น่ารักที่สุดเลยยยยยยย
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 03-10-2012 18:18:22
อ่านไม่จบ แปะๆไว้ก่อนคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 03-10-2012 19:45:06
เย้ได้รู้สักทีว่าชุดที่คุณไกรออกแบบเป็นคอนเซปอะไร

เป็นบทสรุปที่อ่านแล้วมีความสุขสุดๆเลย ทุกแฮปปี้มากเลย

 :กอด1:  :L2:   :pig4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 03-10-2012 20:22:47
ตอนพิเศษต่อใช่มั้ยคะ แหะๆ เหมือนยังไม่จบเลยนี่นา ฮือๆจะมี
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 03-10-2012 20:37:55
แฮปปี้มีความสุขมาก ๆเลยค้าบบ

รออ่านตอนพิเศษเน้อ 5555

แต่ฮาพี่ธี ดันตื่นสาย เลยอดสวีทเลยเนอะ

แต่ก็ยังยิ้มได้ใช่ไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง ► บทสรุปปิดท้าย ◄ อัพเดท 2/10/55 P.21
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 03-10-2012 20:58:29
น่ารัก สวีทหวานทุกคู่เลย

แอบลำเอียงให้คุณรุจนิดนึง

เพราะหนุ่มแว่นนั้นสุโค่ย 55555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน ♦ คนอลเวง (จบ) เปิดจองหนังสือ หน้า 21 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-10-2012 00:53:55
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/225960_486254724732911_696220585_n.jpg)

หมายเหตุ: ปกอาจจะมีเปลี่ยนแปลงถ้าแวบไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ค่ะ



เปิดจอง/โอน นิยายทำมือ Miracle cafe ค่ะ


ระยะเวลาเปิดจอง/โอนเงิน : (4 ตุลาคม 2555 - 10 ธันวาคม 2555)

โดยจะแบ่งส่งเป็นสองล็อตคือ....

คนที่โอนเงิน ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลา – 4 พฤศจิกายน 2555 จะทำการจัดส่งก่อนรอบแรก

และ...

คนที่โอนเงิน ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2555 จะทำการจัดส่งในอีกรอบ

------------------------------------

หนังสือ จำนวน 2 เล่มจบ
**หมายเหตุ: เพิ่มตอนพิเศษเฉพาะในเล่ม อีกประมาณเกือบ 100 หน้าเอห้า

เฉลี่ยความหนาเล่มละประมาณ 320 หน้า ราคาเล่มละ 295 บาท

รวมเป็นชุดละ 590 บาท
(ฟรีค่าส่งลงทะเบียน ขายเป็นชุดไม่แยกเล่มขาย)

--------------------------------------


สนใจหนังสือเรื่องไหน เมล์มาแจ้งได้ที่ novelpat(แอด)gmail.com

ใช้หัวข้อเมล์ : “สั่งซื้อ/จอง : หนังสือมิราเคิลคาเฟ่”

(ถ้าใครสั่งรีปริ้นท์ด้วยก็พิมพ์+รีปริ้นท์พร้อมแจ้งรายละเอียดเรื่องที่จะสั่งด้านในเมล์ด้วยค่ะ)

เมื่อได้รับเมล์สั่งซื้อ/จองแล้ว ปัดจะส่งเมล์เลขที่บัญชีที่ใช้โอนกลับไปให้ค่ะ


อ่านกระทู้รายละเอียดเกี่ยวกับรีปริ้นท์ หนังสือทำมือเรื่องอื่น ๆ ที่ปัดเคยพิมพ์ไปแล้ว ได้ที่นี่ค่ะ

https://www.facebook.com/note.php?saved&&note_id=486216881403362&id=266154086742977
หัวข้อ: Re: [Miracle Café] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง(จบ) + ปรึกษาเรื่อง"แจก"ตอนพิเศษรวมเล่ม(P.21)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-10-2012 12:41:22
ฝากพื้นที่ประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ

เพื่อเป็นการขอบคุณและคืนกำไรให้แก่แฟนคลับที่ติดตามผลงานทำมือของปัดมาโดยตลอด ปัดจึงอยาก "แจก" หนังสือทำมือตอนพิเศษ เล่มเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ไม่โต แต่เต็มใจให้ แก่นักอ่านทั้งเก่าและใหม่ ที่ติดตามอุดหนุนผลงานของปัดค่ะ

แต่ถึงจะบอกว่าแจก แต่ก็คงแจกแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งคงไม่มากมายนักและอาจจะมีการจับสลากบ้าง ให้ด้วยความเสน่หาบ้าง แล้วแต่งบประมาณ (ปัดมีอีเมล์ของพวกท่านเก็บไว้ในฐานข้อมูล ดังนั้น ปัดจะสุ่มจับสลากจากข้อมูลเหล่านั้นค่ะ) ส่วนผู้ที่พลาดก็ไม่ต้องเสียใจนะคะ ปัดจะลงบอร์ด / แฟนเพจให้อ่าน หรืออาจจะทำเป็นไฟล์ pdf ให้โหลดไปอ่านกันเอง ก็แล้วแต่...

ดังนั้นปัดจึงมาขอความเห็นนักอ่านเป็นการสำรวจว่าท่านอยากอ่านตอนพิเศษ ของเรื่องใดมากที่สุดที่ปัดเคยเขียนมา
โดยมีตัวเลือกดังนี้ ...
   
1.เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต
2.DD บริษัทขนส่งไม่จำกัด
3.คุณตำรวจยอดรัก
4.คุณอาที่รัก
5.ดวงใจจ้าวมังกร
6.ม่านราตรี
7.Soul School โซลสคูล
8.เครื่องรางพิศวง
9.อื่น ๆ (โพสต์แนะนำได้เลยค่ะ)

เปิดโหวตจนถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2555 เท่านั้นนะคะ

ได้ผลเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมโหวตนะคะ

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/269868_492031064155277_1261006790_n.jpg)
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบ)+ปรึกษาเรื่อง "แจก" ตอนพิเศษรวมเล่ม(P.21)
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 04-10-2012 12:57:23
ขอบพระคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ (และทุกท่านที่ไม่ได้อ้างอิงมาตอบด้วยค่ะ)


สำหรับตอนพิเศษแยกคู่มีแน่นอนค่ะ ตั้งใจว่าจะเขียนทุกคู่ และกำหนดโควต้าคู่ละตอนสั้น ๆ (จำนวนหน้า 4 -5 หน้าเอสี่ เทียบเท่าตอนปกติ) เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงคำนวนหน้าและราคาอยู่ค่ะ (รับรองว่าราคาซื้อง่ายขายคล่องเหมือนเดิมจ้า)  แต่เอาจริง ๆ เขียนทีไร หน้ามันงอกออกมาประจำ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าคืนกำไรให้ผู้อ่านค่ะ  ไม่มีมาขึ้นราคาตามภายหลังแน่นอน (เป็นหลายเรื่องละ เช่นบอกว่ารวมตอนพิเศษ สามร้อยหน้า เขียนไปเขียนมา กลายเป็นสามร้อยกว่าหน้าก็มี --")

จะรอนะคะ  รบกวนแจ้งในเล้าด้วยน้า  จะมีหนุ่มๆเก็บไว้เป็นของตัวเอง  555

............................

ชะอุ้ยไม่ทันได้อ่านล่างๆ  ในที่สุดฝันก็เป็นจริง  เดี๋ยวจะส่งเมลไปนะคะ

ขอดูเรื่องที่เคยรวมเล่มไปแล้วของคุณปัดก่อนว่ามีเรื่องไหนน่าสนใจ

จะได้สั่งมาทีเดียวเลย  เพราะเรามีแต่เรื่องคุณตำรวจยอดรักอ่ะค่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบ)+ปรึกษาเรื่อง "แจก" ตอนพิเศษรวมเล่ม(P.21)
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 05-10-2012 18:34:21
ยังไม่อยากให้จบเลยยยยอะสนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบ)+ปรึกษาเรื่อง "แจก" ตอนพิเศษรวมเล่ม(P.21)
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 06-10-2012 08:02:23
ไม่อยากให้จบเลยเหมือนกันคะ เรื่องกำลังสนุก กำลังน่ารักขั้นพีคทุกคู่เลย
แต่ก็ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 10-10-2012 20:04:13
พี่ปัด สนุกมว๊ากกกกกกกก เขียนดีเหมือนเคย ไม่อยากให้จบเหมือนกัน รอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 11-10-2012 19:32:11
เป็นเรื่องที่เข้ามาอ่านแล้วให้ความรู้สึกดีมากๆ เลย

ดำเนินเรื่องได้น่ารัก แล้วก็ให้ความรู้สึกที่พิเศษมาก

บางตอนอ่านไปแล้วก็รู้สึกเขินแทนตัวละครบางตัวซะอีก

ขอบคุณมากเลยนะค้า ที่เขียนนิยายดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านนะค้า

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 13-10-2012 11:16:51
 :pig4: สนุกค่ะ น่ารักมากมายยยยย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 14-10-2012 00:55:49
สนุกอ่ะ o13
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 14-10-2012 19:15:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 16-10-2012 13:11:48
ปกล่าสุดค่ะ  (สรุปคงใช้ปกคู่นี้ค่ะ)
ป.ล.ปกล็อตแรกพิมพ์ตกตัว a ไปค่ะ --" แต่ล็อตหลังแก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ขออภัยในความผิดพลาด คนได้หนังสือล็อตแรก รอรับตอนพิเศษเล่มเล็กตามไปทีหลังนะคะ ขออภัยด้วยค่ะ
(http://www.nolimitbook.net/picpat/images/klz1350994921w.jpg)
ของเดิมค่ะ ปกสองเป็นพิซซ่า
(http://www.nolimitbook.net/picpat/images/opt1350921674o.jpg)
 
อาจจะมีการแก้ไขรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในภายหลังก่อนพิมพ์ค่ะ




อันนี้คือปกแบบแรก
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/225960_486254724732911_696220585_n.jpg)

ปกอีกแบบค่ะ
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/522900_491013870923663_954554587_n.jpg)


หมายเหตุ: ปกอาจจะมีเปลี่ยนแปลงถ้าแวบไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ค่ะ และจะเลือกปกที่ดูดีที่สุดมาทำรวมเล่มค่ะ ^^"  ถ้านักอ่านมีคำแนะนำติติง ก็เชิญนะคะ จะได้ช่วยเป็นไอเดียให้ปัดในการคิดปกด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง (จบแล้วค่ะ) เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 17-10-2012 12:48:12
ได้อ่านเรื่องนี้แล้วขอบอกว่า น่ารักมากครับ

ตอนจบก็จบได้ดีมากเลยครับ

+๑ แต้ม เป็นกำลังใจให้นักเขียนครับผม
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-10-2012 14:15:08

สุ่มเอาตอนพิเศษในเล่มมาเสิร์ฟให้แล้วค่ะ  ใกล้เวลาเล่มได้เข้าโรงพิมพ์เข้ามาทุกที ตอนพิเศษรวม มีตัวละครใหม่ ๆ มาเพิ่มอย่างละนิดละหน่อย จนปัดชักอยากจะเขียนภาคต่อแล้วสิ (ฮา)  หวังว่าตอนหวาน ๆ ตอนนี้ คงทำให้หายคิดถึงเรื่องนี้ไปได้บ้างนะคะ 



Miracle Café / ตอนพิเศษ /ธีรัช-ชานน



   หลังจากซ้อมสารภาพรักมาเสียดิบดี แต่ธีรัชเองก็ยังไม่มีโอกาสได้สารภาพรักแบบโรแมนติกกับชานนสักที เพราะขนาดวันหยุดชานนก็ยังคงยุ่งวุ่นวายไม่เปลี่ยน เนื่องจากบรรดาพนักงานแต่ละคนที่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ก็เลือกนอนอยู่บ้านพักแทนมากกว่า

   “ทำไมพวกนายไม่คิดจะไปเดท หรือหาเวลาไปสวีทกันตามประสาคู่รักบ้าง ดูอย่างคุณไกรสรซิ มารับคุณรุจไปตั้งแต่เมื่อคืน ป่านนี้คงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันเรียบร้อยไปแล้ว!”

   กวินนั่งมองคนพูดตาปริบ ๆ  ภูริถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ด้านวาโยนั้นหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความอาย ส่วนการินสั่นศีรษะไปมานิด ๆ แล้วหันมาให้ความสนใจกับอาหารมื้อเช้าของตนต่อ

   “จีบเขาไม่ติดเอง แล้วอย่ามาพาลใส่คนอื่นสิ”

   ภูริเปรยบ่น ทำให้คนฟังชะงักแล้วรีบสวน

   “ใครว่าจีบไม่ติด คุณนนกับฉันใจตรงกันแล้วต่างหาก!”

   ขาดคำทุกคนต่างหันมามองคนพูดเป็นตาเดียว ธีรัชชะงักก่อนจะหน้าซีดเผือดเมื่อสายตาของเพื่อน ๆ ละจากเขาไปเป็นอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแทน

   “เอ่อ...เดี๋ยวคุณปวีร์กับคุณราเมศจะมาร่วมมื้อเที่ยงกับพวกเราด้วย ผมเลยตั้งใจจะมาถามว่า ทุกคนจะอยู่ร่วมทานมื้อกลางวันด้วยกันไหมน่ะครับ”

   ชานนยิ้มเขิน ๆ แล้วพยายามไม่มองหน้าธีรัช จนธีรัชที่หันมาเห็นต้องรีบบอกอีกฝ่าย

   “คุณนนครับ! คือว่าผม...”

   “ถ้าไม่มีใครไปไหน ผมจะได้เตรียมอาหารให้พอกับจำนวนคนนะครับ รู้สึกว่าคุณทรงพลเองก็จะแวะมาอีกด้วยเหมือนกัน”

   เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครปฏิเสธ ชานนจึงเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่ธีรัชจะพูดจบ  พร้อมกับเดินหายไปในห้องพักของเขา ทำเอาธีรัชนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกจนเพื่อน ๆ นึกสงสาร

   “ปากพาจนก็งี้ล่ะ...ไปง้อเข้าสิ ยืนทำบื้ออะไรอยู่เล่า”

   ภูริเปรยขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืนอึ้งชะงัก ก่อนจะหันมาพยักหน้าขอบคุณ แล้วเดินตรงตามชานนไปที่ห้องพักทันที

   “ถึงจะโผงผางไปสักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นคนดีพึ่งพาได้ ก็หวังว่าเขาคงจะสมหวังในความรักล่ะนะ”

   วาโยเอ่ยขึ้นพร้อมกับตามแผ่นหลังของธีรัชที่เดินจากไป

   “ก็หวังว่างั้น  หมอนั่นอะไรก็ดีไปหมดอยู่หรอก เสียอย่างเดียวเรื่องปากเสียนี่ล่ะที่ฉันไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย”

   การินเอ่ยเสริม แต่นั่นกลับทำให้สองหนุ่มที่ฟังอยู่ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ ที่คนรักของพวกเขาวิจารณ์ชายอื่นต่อหน้าต่อตากันแบบนี้

   “คุณภูริ...ผมว่าเราแลกห้องกันสักคืนดีไหมเนี่ย ขืนปล่อยให้อยู่กันเอง เดี๋ยวสุมหัวกันนอกใจขึ้นมา คงแย่เลย”

   กวินหันไปพึมพำถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่แถวนั้น แต่โชคร้ายที่เสียงพึมพำนั่นมันดังพอที่การินและวาโยจะได้ยินไปด้วย

   “วิน!” การินตวาดคนรักด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำให้กวินสะดุ้งแล้วรีบยกมือยอมแพ้ ก่อนจะทำสายตาอ้อนให้อีกฝ่ายใจอ่อน วาโยถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา แต่พอเหลือบไปมองภูริที่กำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มก็หน้าแดงน้อย ๆ แล้วรีบหลบสายตาทันที เพราะเมื่อคืนนี้ ถ้าเขาไม่หนีเข้าห้องตัวเองเสียก่อน  ก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกภูริจับเขาแลกห้องให้มาอยู่ด้วยกัน และพาเข้าหอเป็นเพื่อนรุจหรือไม่กันแน่


   อีกด้านหนึ่งธีรัชที่เดินตามชานนไปทันที่ห้องพักของชายหนุ่ม ก็รีบจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วละล่ำละลักขอโทษเจ้าตัวยกใหญ่

   “คุณนนครับ อย่าโกรธผมนะครับ ผมขอโทษ ผมปากเสียเอง ยกโทษให้ผมเถอะนะครับ”

   ชานนเมื่อถูกอ้อนด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น จึงหันกลับมามอง อีกอย่างเชฟหนุ่มเองก็ไม่ได้โกรธอะไรธีรัชเลยสักนิด เพียงแต่นึกอายมากกว่าที่ถูกล่วงรู้ความในใจของตนเข้าให้แบบนั้น

   “เอ่อ...คุณธีรัชรู้ได้ยังไงครับ ว่าผมคิดกับคุณแบบ...แบบนั้นด้วยเหมือนกัน”

   ชานนถามอย่างแปลกใจ เพราะเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้หลุดท่าทางอะไรน่าสงสัยออกไปแน่ ถึงแม้จะวางตัวสนิทสนมกับชายหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิมนักก็ตาม

   “แหะ ๆ คือผมได้ยินคุณพูดเมื่อเสาร์ก่อน...ตอนผมเคลิ้มหลับเคลิ้มตื่นในครัวนั่นน่ะครับ”

   ธีรัชตัดสินใจบอกไปตามตรง และพอได้ยินดังนั้น ชานนก็หน้าแดงเข้มด้วยความอับอาย เขาพยายามจะหนีเข้าไปหลบหน้าอีกฝ่ายในห้อง แต่ธีรัชก็รีบแทรกขาขัดเข้าไประหว่างที่เชฟหนุ่มปิดประตู ทำเอาขาของเจ้าตัวโดนหนีบเอาเสียเต็มแรงจนต้องหลุดปากร้องด้วยความเจ็บ

   “อ๊ะ!” ชานนอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น เขารีบเปิดประตูออกเพื่อดูขาของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อธีรัชที่เล็งจังหวะไว้ดันกายแทรกตัวเข้ามาอยู่ในห้องอย่างรวดเร็ว

   “...แกล้งหลอกหรือครับ” ชานนถามอย่างเริ่มไม่ค่อยพอใจ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ๆ และรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ เขาจึงก้มลงมองขาของอีกฝ่ายที่มีรอยแดงจากการกระแทกอย่างเห็นได้ชัด

   “เจ็บจริง ๆ ด้วยสินะ คุณนี่มันดันทุรังจริง ๆ” ชานนเปรยบ่นแล้วประคองอีกฝ่าย ซึ่งธีรัชเองก็ยอมปล่อยให้เชฟหนุ่มประคองตนเองไปนั่งอย่างว่าง่าย จากนั้นจึงมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างตื่นเต้น เพราะเพิ่งเคยได้เข้ามาพักในห้องของชานนแบบนี้เป็นครั้งแรก

    “ห้องคุณนนเรียบร้อยเป็นระเบียบจังเลยนะครับ”

   ชานนชะงัก แล้วจึงก้มหน้าก้มตาตอบเรียบ ๆ

   “ติดเป็นนิสัยน่ะครับ เพราะโดนแม่ฝึกมาตั้งแต่เล็ก ๆ ให้จัดเก็บข้าวของให้เรียบร้อย”

   ธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ เพราะชานนแม้จะพูดคุยเหมือนเดิม แต่กลับไม่ยอมสบตากับเขา แม้กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายหยิบเอาเจลแผ่นแช่เย็นจากตู้เย็นขนาดเล็กในห้อง ออกมาประคบกับขาของเขาก็ตาม

   “ถ้ายังเจ็บอยู่ก็บอกนะครับ จะได้พาไปหาหมอ”

   “คุณนนจะพาไปหรือครับ...” ธีรัชลองหยั่งเชิงถามดู แม้จะมั่นใจว่าอุบัติเหตุที่ขาของเขา ยังไงก็ไม่น่าจะต้องถึงมือของหมอก็ตาม

   “...ถ้าคุณอยากให้ผมพาไป ก็ได้อยู่หรอกครับ” ชานนตอบเบา ๆ ทำให้คนฟังลอบถอนหายใจ แล้วจึงจับมือของอีกฝ่ายขึ้นเกาะกุมจนเชฟหนุ่มสะดุ้ง

   “คุณนนครับ...ผมขอโทษที่รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นเฉไฉ แถมยังไปเผลอหลุดปากให้คนอื่นรู้เข้าอีก...จริง ๆ ผมก็อยากสารภาพรักกับคุณนนตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ผมมัวแต่ท่ามาก กะจะหาบรรยากาศโรแมนติกสารภาพรักให้คุณประทับใจ ...ไป ๆ มา ๆ ก็เลยมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พูดสักที...”

   ชานนมองคนที่สารภาพความจริงต่อหน้าเขาเงียบ ๆ สีหน้าและแววตาจริงจังและจริงใจของธีรัชนั้นแสดงออกมาดังเช่นคำพูดของเจ้าตัว ทำให้ชานนต้องหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมาในที่สุด

   “งั้นตอนนี้ก็ได้โอกาสแล้ว...คุณไม่ลองจะพูดดูบ้างหรือครับ”

   ธีรัชนิ่งอึ้งก่อนจะเบิกตากว้าง บีบมือที่กำไว้แน่นขึ้นอย่างตื่นเต้น

   “จริงหรือครับ! ได้สินะครับ!”

    ชานนอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงแสร้งเปรยตอบ

   “อยากพูดก็เชิญตามสบายครับ ...แต่จะรับปากไหมนั่นมันอีกเรื่อง”

   ทีแรกธีรัชนั้นหน้าซีดด้วยความตกใจ แต่พอสังเกตเห็นรอยยิ้มของเชฟหนุ่มก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นแกล้งพูดแหย่เขาเท่านั้น

   “โธ่! คุณนน! ผมใจหายวาบเลยนะครับ”

   “ไม่คิดว่าคุณธีรัชจะขวัญอ่อนขนาดนี้นี่ครับ” ชานนเปรยยิ้ม ๆ

   “ก็เคยขวัญกระเจิงมาแล้วตอนโดนคุณนนปฏิเสธนั่นล่ะครับ ...ถ้าโดนอีกครั้งคงต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า กินน้ำใบบัวบกไปเป็นเดือน ๆ แน่”

   “แต่เท่าที่ดูแล้วถึงจะถูกปฏิเสธก็ไม่น่าจะหนักหนาขนาดนั้นหรอกนะครับ” ชานนแย้งกลับยิ้ม ๆ เพราะเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดกึ่งทีเล่นทีจริงเสียมากกว่า

   “ถ้าไม่รู้มาก่อนหน้านี้ว่าคุณนนก็เริ่มรู้สึกดี ๆ กับผมบ้างแล้ว ผมเองก็คงไม่ทำหน้าระรื่นต่อหน้าคุณแบบนี้หรอกครับ...คุณนนครับ รู้ไหมว่าคุณน่ะเข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากแค่ไหน ...ผมอยู่ต่อไปไม่ได้หรอกนะครับ ถ้าไม่มีคุณอยู่เคียงข้างน่ะ ...ต่อให้คุณไม่รักตอบ ผมก็ขอแค่ได้มองคุณยิ้มไปอย่างนี้เรื่อย ๆ  แค่นั้นผมก็พอใจแล้วล่ะครับ”

   ชานนรับฟังความในใจของชายหนุ่มตรงหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

   “ผมไม่แน่ใจนะ ว่าจะเป็นคนรักที่ดีของคุณได้ขนาดไหน”

   “คุณนนก็เป็นคุณนนคนเดิมนี่ล่ะครับ ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นแบบไหนหรอก เพราะผมรักคุณนนคนนี้มากที่สุดแล้ว”

   ธีรัชบอกพร้อมกับแย้มยิ้มอ่อนโยนจริงใจส่งให้อีกฝ่ายที่มองตรงมา ชานนยิ้มรับพร้อมกับชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนพูดเบา ๆ จนอีกฝ่ายตกใจ

   “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราก็เป็นคนรักกันแล้วนะครับ”

   ธีรัชหน้าแดงแล้วรีบพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ ก่อนจะปล่อยมือที่เกาะกุมมือของชายหนุ่มออก และเปลี่ยนมาเตรียมจะโอบรั้งร่างนั้นมากอดแทน ทว่าเจ้าตัวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเชฟหนุ่มนั้นถามเขาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม

   “แล้วตกลงระหว่างเรา คุณกับผม ใครจะเป็นรุกหรือรับกันล่ะครับ”

   “ง่า...คุณนน คือผมไม่เคยเป็นรับมาก่อน...แต่ว่าถ้าคุณนนกลัวเจ็บ...ผมก็จะลองพยายาม...” 

    ธีรัชเอ่ยตะกุกตะกัก แม้มันจะขัดต่อสถานภาพและความรู้สึกของเขาเพียงใด แต่เรื่องแค่นี้เทียบกับการที่ชานนยอมรับรักเขาแล้ว มันก็ไม่ได้ถึงกับหนักหนาจนเขาจะยอมรับไม่ได้แน่นอน

   “หึ ๆ ผมล้อคุณเล่นน่ะครับ สำหรับคู่รักแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องสถานภาพก็คือ ความเข้าใจ และความซื่อสัตย์ต่อกันมากกว่า”

   ชานนบอกอีกฝ่ายพร้อมแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ ทางด้านธีรัชชะงักเล็กน้อย ก่อนที่จะมีรอยยิ้มตามมา

   “ครับ...คุณนนครับ ผมรักคุณนะครับ”

   ธีรัชกระซิบและรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอด โดยที่ชานนเองก็ปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามที่อีกฝ่ายปรารถนาโดยไม่คิดขัดขืน แม้แต่ยามที่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นจะโน้มลงมาใกล้และประทับริมฝีปากของเจ้าตัวลงบนริมฝีปากของเขาก็ตาม

   “อือ...คุณนนครับ...อยากทำมากกว่านี้จังเลยครับ...”

   ชายหนุ่มที่ถอนริมฝีปากออกมาแล้วอ้อนต่อ ชานนยิ้มตอบรับทว่ากลับแกะมือปลาหมึกที่กำลังพยายามจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกเสีย

   “ไม่ได้ครับ...ไม่ใช่วันนี้ เพราะเดี๋ยวผมต้องออกไปซื้อกับข้าวมาเตรียมไว้เพิ่มอีก”

   “โธ่! ก็ไม่เห็นต้องทำให้เต็มยศแบบทุกครั้งก็ได้นี่ครับ หรือบอกคุณปวีร์ว่าไม่ต้องมากินที่นี่ก็ได้”

    ธีรัชอ้อนอย่างเสียดาย แต่คำพูดของเขาทำให้ชานนต้องอมยิ้ม

   “เอางั้นหรือครับ...งั้นผมจะได้บอกคุณปวีร์ให้ว่าคุณธีรัชบอกมาอย่างนี้นะครับ”

   ธีรัชสะดุ้งเฮือก แล้วรีบแย้งออกไปทันที

   “ดะ เดี๋ยวก่อนครับ...ง่า คิดอีกทีเปลี่ยนใจดีกว่าครับ”

   “หึ ๆ คุณปวีร์ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกครับ”

   ชานนบอกกับชายหนุ่มอย่างนึกขำ ทว่าคนฟังกลับยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้

   “เหอะ ๆ เขาไม่น่ากลัวเฉพาะกับคุณนนน่ะสิครับ... งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปช่วยคุณจ่ายตลาดดีกว่า มีผู้ช่วยด้วยจะได้เสร็จไว ๆ เราจะได้มาจู๋จี๋กันต่อ...นะครับ...นะ” 

    ธีรัชอ้อนพร้อมกับทำตาใสซื่อ จนคนมองต้องอมยิ้ม เพราะรู้ดีว่านัยน์ตาใส ๆ แบบลูกหมาน้อยตรงหน้านั้น พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นหมาป่าได้ทุกเมื่อถ้าเขาอนุญาต

   “ไว้ถึงตอนนั้นถ้าว่างแล้ว ค่อยคิดอีกทีแล้วกันครับ”

   ชานนบอกเผื่อ ๆ เอาไว้ก่อน แต่แค่นั้นก็ทำให้คนฟังต้องยิ้มแก้มปริ และถือโอกาสชะโงกหน้าไปขโมยจูบเชฟหนุ่มอีกรอบ

   “รักคุณนนที่สุดเลยครับ”

   คนถูกบอกรักหน้าแดงนิด ๆ แล้วจึงแสร้งทำเป็นพยักหน้ารับรู้คล้ายไม่ใส่ใจ

   “ครับ ๆ งั้นก็ไปซื้อกับข้าวมาเพิ่มกันได้แล้วล่ะครับ เพราะขืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีก ผมรู้สึกไม่ค่อยจะปลอดภัยพิกล”

   ธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจพาดพิงเขาโดยตรง จากนั้นธีรัชจึงลุกขึ้นเตรียมจะเดินตามอีกฝ่ายไป แต่ก็ต้องนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บที่ขาเล็กน้อย ทว่าขณะที่เขากำลังจะกลบเกลื่อน ชานนก็หันมาเสียก่อน

     “เฮ้อ...ผมเองก็ลืมไป...งั้นคุณรออยู่ที่บ้านพักแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อเอง”

   “ไม่เอานะครับ! ผมจะไปด้วยอะ!”  ธีรัชรีบอ้อนแล้วทำตาใสซื่อ แต่คราวนี้ชานนไม่ใจอ่อนอีกแล้ว

   “ไม่ได้ครับ...และถ้ายังดื้อล่ะก็...จะลดความสัมพันธ์กลับไปเป็นคนรู้จักตามเดิมนะครับ”

   พอโดนขู่แบบนี้ธีรัชก็เงียบกริบ แล้วทำหน้าสลดจนคนมองนึกสงสาร

   “แล้วจะรีบไปรีบกลับนะครับ...” 

    ชานนบอกแล้วก็ชะโงกหน้าไปจูบแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ธีรัชนิ่งอึ้งก่อนจะแย้มยิ้มตามมา และยอมว่าง่ายอยู่โยงเฝ้าบ้านตามที่เชฟหนุ่มสั่งแต่โดยดี  ทว่าพอชานนออกจากห้อง เขาก็ต้องเจอกับสายตาสนอกสนใจหลายคู่มองตรงมา เชฟหนุ่มยิ้มเจื่อน ๆ เช่นเดียวกับพนักงานแต่ละคนที่ดันเผลอจ้องอีกฝ่ายอย่างลืมตัว 

   “ง่า...ผมขอตัวไปซื้อกับข้าวมาเตรียมไว้ก่อนนะครับ”

   “ครับ...แล้วธีล่ะครับ หมอนั่นไม่ไปช่วยคุณนนด้วยหรือครับ”

   ภูริถามถึงเพื่อนของเขา และสังเกตเห็นว่าชานนั้นหน้าแดงนิด ๆ ก่อนที่จะตอบคำถาม

   “คุณธีรัชประตูหนีบขาน่ะครับ ผมเลยให้พักที่ห้องของผม”

   คนอื่นรับฟังแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ส่วนวาโยแม้ว่าอยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จริง แต่เขานั้นก็อยากตามไปช่วยชานนจ่ายตลาดมากกว่า และเมื่อวาโยขอติดตามเชฟหนุ่มไปด้วย ภูริจึงอาสาตามไปอีกคน โดยอ้างเหตุผลว่าจะไปช่วยกันถือ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไปเพื่อคอยกันไม่ให้มีหนุ่มหน้าไหน มายุ่งกับแฟนผู้น่ารักของเขาคนนี้ต่างหาก



หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 19-10-2012 14:15:20

   เมื่อเห็นชานนกับเพื่อนทั้งสองรับหน้าที่ไปจ่ายตลาดแล้ว ทางด้านกวินกับการินจึงเลือกอาสาเฝ้าบ้านพักแทน และเมื่อทั้งหมดจากไปแล้ว ทั้งคู่ก็ตรงไปที่ห้องพักของเชฟหนุ่มและรีบซักถามธีรัชเป็นชุด จนอีกฝ่ายแทบจะตอบไม่ถูกเลยทีเดียว

   “...ตกลงคุณธีรัชกับคุณนนก็เป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้วสินะครับ...แหม น่าอิจฉาจัง”

    กวินที่รู้เรื่องทั้งหมดพึมพำตามมา เพราะชานนนั้นเป็นผู้ชายที่ถือว่าเพอร์เฟกต์ในฐานะพ่อบ้านพ่อเรือนคนหนึ่ง ที่ใครได้ไปไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ถือว่าโชคดีมากทั้งนั้น

   “ไม่ต้องมาอิจฉาฉันหรอก นายก็มีคุณหนูนี่ อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

   ธีรัชแซวกลับ ทำให้คนเปรยบ่นหน้าแดงระเรื่อ ส่วนการินเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มหน้าสวยทำปากอุบอิบบ่นพึมพำฟังไม่ค่อยออก แต่ธีรัชนั้นแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดชมเขาแน่นอน

   “แต่พูดก็พูดเถอะ...ฉันคิดว่าพอคุณนนยอมรับเป็นแฟนฉันแล้ว จะทำให้ฉันรู้สึกสงบลงบ้าง แต่มันก็ไม่เลย กลับยิ่งทำให้รักและอยากกอดมากยิ่งขึ้น จนแทบจะทนไม่ไหวด้วยซ้ำ”

   ธีรัชบ่นพึมพำแล้วทำหน้าตาใจลอย จนกวินเขินแทน

   “ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นนะ...เรื่องอยากกอดน่ะ”

   ชายหนุ่มบอกแล้วชำเลืองมองคนข้างกายที่ก็หันมามองสบตาเขาโดยบังเอิญเช่นกัน การินหน้าแดงวาบแล้วสะบัดหน้าหนีอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย

    “ใช่มะ...พอรักแล้วก็ทำให้อยากกอด  แต่ก็กลัวจะโดนว่าหื่น หรือหวังแต่จะฟันเขา ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด”

   กวินพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเห็นด้วย ทำให้การินชักจะไม่อยากอยู่ในห้องนี้ต่อ เนื่องจากเกรงว่าเรื่องที่ทั้งสองสนทนาจะเข้าตัวเข้าให้ เพราะตั้งแต่เมื่อคืน กวินก็ส่งสายตาและคำพูดเป็นเชิงอยากจะมีอะไรกับเขาให้รับรู้มาตลอด ซึ่งแม้การินเองจะต้องการเหมือนกัน แต่เขาก็อายเกินกว่าจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้น

   “ฉันออกไปรอข้างนอกดีกว่า ถ้าอามาจะได้เห็น”

   ชายหนุ่มหน้าสวยตัดบทแล้วจ้ำพรวดออกไป โดยที่กวินซึ่งยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไร ถึงกับมองตามไล่หลังไปตาปริบ ๆ จนธีรัชที่มองอยู่หัวเราะเบา ๆ

   “รายนั้นเขาขี้อายนี่ นายเองก็อาศัยตื๊อแบบไม่มีคนนอกอยู่ร่วมสิ เดี๋ยวก็น่าจะใจอ่อนเองล่ะนะ”

   กวินยิ้มเจื่อน ๆ จากนั้นจึงขอตัวออกไปอยู่เป็นเพื่อนการิน เพราะธีรัชบอกว่าเขาอยากจะขอนอนพักเท้าอีกสักครู่ แต่จริง ๆ แล้วชายหนุ่มต้องการสำรวจห้องส่วนตัวของชานนให้มากกว่านี้ตามลำพังนั่นเอง

   “ถ้าขอกางเกงในคุณนนไปเก็บเป็นที่ระลึกไว้สักตัว จะโดนหาว่าโรคจิตไหมน้อ”

   ธีรัชพึมพำขณะเปิดตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายสำรวจ แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ จากใครบางคนด้านนอก

   “ก็รู้นะว่าชอบเขาอยู่ แต่เล่นแอบเข้ามาในห้อง แถมยังทำตัวเหมือนพวกโรคจิตคิดขโมยกางเกงในเจ้าของห้องแบบนี้ มันก็มากเกินไปนะ”

   ธีรัชรีบหันขวับมาแล้วโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันควัน

   “ไม่ใช่นะครับ! คุณเข้าใจผิดแล้ว! ที่ผมอยู่ในห้องนี้เพราะคุณนนบอกให้อยู่ต่างหาก อีกอย่างผมก็ไม่ได้คิดขโมยสักหน่อย ผมแค่อยากจะขอไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก...เอ่อ ในฐานะแฟนกันก็เท่านั้น”

   ท้ายประโยคธีรัชหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความเขิน ทว่าคนฟังนั้นชะงักเล็กน้อย เพราะยังไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด เขารู้จากการินแค่ว่า ชานน วาโย และภูริไปจ่ายตลาด ส่วนธีรัชอยู่ในห้องของชานน เขาจึงตรงมาดูว่าทำไมธีรัชถึงเข้ามาอยู่ในห้องของอีกฝ่ายได้นั่นเอง

   “ไหนลองเล่ามาให้ฟังหน่อยซิ...”

   ปวีร์กึ่งขอร้องกึ่งออกคำสั่ง ทำให้คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ และเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งก็เท่ากับว่าวันนี้เขาพูดเริ่มเดิม ๆ เป็นครั้งที่สองแล้ว และเขามั่นใจว่าถ้ารุจกลับมา เขาก็คงต้องถูกบังคับให้เล่าให้ฟังซ้ำอีกรอบเป็นแน่

   “อืม...สรุปคุณนนก็ยอมใจอ่อนกับเธอจนได้ ...ช่วยไม่ได้แฮะ เรื่องความรักยังไงก็ห้ามกันไม่ได้...แต่ขอเตือนอะไรไว้อย่างนะ ว่าถ้าทำให้คุณนนเสียใจล่ะก็ ต่อให้เป็นเธอฉันก็ไม่ให้อภัยแน่ จำไว้ด้วยล่ะ”

   ปวีร์เอ่ยด้วยสีหน้าขรึมลงในท้ายประโยค ถ้อยคำที่ดูไม่เหมือนการขู่หรือแกล้งพูดอย่างที่เคยเป็น ทำให้คนฟังนิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้าตามมาด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง

   “ครับ...ผมจะดูแลและซื่อสัตย์ต่อคุณนนคนเดียว และจะไม่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนหรือเสียใจเด็ดขาด”

   ปวีร์จ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ตามมา แล้วจึงเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของชายหนุ่มอย่างเอ็นดู

   “แล้วขาน่ะ ค่อยยังชั่วหรือยัง ถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้จะพักก็ได้นะ”

   “ไม่แน่นอนครับ! พรุ่งนี้ผมได้เริ่มงานเป็นผู้ช่วยในครัววันแรกไม่ใช่หรือครับ!”  ธีรัชรีบแย้งทำให้ปวีร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ สักพักราเมศที่เห็นอีกฝ่ายหายเงียบไปนานจึงมายืนเตร็ดเตร่และชำเลืองมองว่าเกิดอะไรในห้องบ้าง ทำให้ปวีร์ต้องอมยิ้มน้อย ๆ แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปหาคนรัก

   “งั้นเธอก็พักในห้องนี้รอคุณนนกลับมาแล้วกัน ส่วนเรื่องกางเกงในนั่น ถ้าลองขอดี ๆ เขาก็คงยอมล่ะมั้ง”

   ธีรัชยิ้มเจื่อน ๆ ยิ่งเห็นราเมศขมวดคิ้วพร้อมจ้องเขาอย่างสงสัย ชายหนุ่มก็ยิ่งต้องทำเป็นเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย เพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายว่าเขาเป็นโรคจิตเหมือนที่โดนปวีร์ว่าก่อนหน้านั้นนั่นเอง

   “ไม่ต้องไปจ้องเขาหรอกน่า คนกำลังมีความรักก็งี้ล่ะ นายกับฉันไปนั่งคุยกับพวกรินข้างนอกนั่นดีกว่า”

   ปวีร์บอกแล้วก็คล้องแขนราเมศออกไป ทำให้ธีรัชที่อยู่ในห้องต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วนั่งรอให้ชานนกลับมาที่ห้องพักจนเผลอเคลิ้มหลับไป และมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มืออุ่น ๆ มาลูบไล้เส้นผมเขาเล่นอย่างอ่อนโยน

   “ตื่นแล้วก็ลืมตาสิครับ ไม่ต้องมาใช้มุกแกล้งนอนหลับเหมือนเดิมให้ผมขายหน้าซ้ำสองอีกหรอก”

   ชานนเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นหนังตาของอีกฝ่ายกระตุกนิด ๆ แต่ก็ยังคงไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองเขาสักที

   “...โธ่ คุณนนล่ะก็ เพราะคราวที่แล้วผมกลัวคุณอายก็เลยไม่กล้าลืมตาต่างหากครับ”

   ธีรัชลืมตาจ้องเป๋งมองอีกฝ่ายแล้วรีบอ้อน ทำให้ชานนต้องสั่นศีรษะค่อย ๆ อย่างเอือมระอา แล้วจึงหันไปสนใจข้อเท้าของอีกฝ่ายที่รอยแดงเริ่มจางและไม่บวมอย่างที่คิดไว้

   “ดีขึ้นแล้วสินะครับ ค่อยยังชั่วหน่อย ผมซื้อเจลมาให้คุณทาด้วย ยังไงก็ทาเผื่อกันไว้ก่อนแล้วกันนะครับ”

   ชานนหยิบหลอดยาในถุงพลาสติกส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งธีรัชก็รับมาไว้อย่างตื้นตันที่เห็นเชฟหนุ่มใส่ใจและเอาใจใส่ดูแลเขาเช่นนี้

   “ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมของก่อนนะครับ”

   ชานนบอกหลังจากเห็นธีรัชทายาเรียบร้อย ทว่าคนที่นั่งบนเตียงกลับคว้าแขนเขาไว้ แล้วเริ่มอ้อนอีกครั้ง

   “ให้ผมไปช่วยด้วยนะครับ ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้ว”

    “เฮ้อ…ก็ได้ครับ แต่ถ้าเจ็บเมื่อไหร่ต้องบอกผม และไปนั่งพักทันทีนะครับ” ชานนบอกอย่างใจอ่อนเมื่อเห็นสายตาอ้อน ๆ ของอีกฝ่าย

   “รับทราบครับ! จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่คุณนนบอกทุกอย่างเลยครับ!”  ธีรัชบอกด้วยสีหน้าระรื่นดีใจเหมือนเด็ก ๆ จนชานนอดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้

   “ดีจัง...ยิ้มบ่อย ๆ นะครับ ผมชอบรอยยิ้มของคุณนนที่สุดเลย”

   ชานนชะงักพลางยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะรีบเลี่ยงเดินออกไปนอกห้อง โดยมีธีรัชเดินตามอีกฝ่ายมาต้อย ๆ จนคนอื่นที่เห็นต้องแอบขำ

   “ตามติดกันจริงนะ ...อ๊ะ จริงสิธี มานี่หน่อยสิ!”

   ปวีร์ที่เห็นเอ่ยแซว แล้วนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเรียกพนักงานของเขามาหา ธีรัชมองอย่างงุนงง แต่ก็ยังคงเดินมาหาเจ้าตัวตามสั่งแต่โดยดี

   “มีอะไรหรือครับคุณวี”

   “อืม ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะมาเตือนน่ะ ก็เรื่อง...”

   ท้ายประโยคปวีร์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วลากคอชายหนุ่มออกไปห่างกลุ่มก่อนจะกระซิบบางอย่างที่ชวนให้คนอื่นสงสัย ทว่าระหว่างปวีร์พูดธีรัชก็ตาเบิกกว้างตามไป แล้วจึงโพล่งดังขึ้นหลังจากอีกฝ่ายพูดจบ

   “ทำไมล่ะครับ! ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย เรื่องพวกนี้มันเรื่องปกติของคนรักไม่ใช่หรือครับ จะมาห้ามกันได้ยังไง!”

   เสียงธีรัชดังพอควร ทำให้คนที่อุตส่าห์ดึงไปพูดกันลำพังถอนหายใจ เขาเหลือบไปมองชานนที่ตอนนี้หน้าแดงระเรื่อ เพราะพอจะเดาคำพูดนั้นออกได้เป็นอย่างดี ส่วนคนอื่น ๆ บางคนก็ทำหน้าเฉยเมย บางคนก็เบือนหน้าหนี และบางคนก็หน้าแดงก่ำเลยทีเดียว

   “ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้ทำเลยสักหน่อย แต่อยากให้ทำเรื่องพวกนั้นแค่เฉพาะคืนวันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์มันเป็นวันหยุด เกิดเธอคึกเกินเหตุ งานการจะได้ไม่เสีย แต่ถ้าเธอจะเปลี่ยนสถานะเป็นฝ่ายถูกคุณนนกดแทน ถ้าเป็นแบบนั้น อยากจะทำวันไหน ตอนไหน ฉันก็จะไม่ห้ามเลย โอเคไหมล่ะ!”

   เมื่อเห็นว่าทุกคนรู้หมดแล้ว ปวีร์จึงพูดออกมาตรง ๆ ดัง ๆ จนชานนต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และทำงานไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อเช่นนั้น   

   “แล้วถ้าผมไม่ทำรุนแรง หรือคึกเกินเหตุล่ะครับ...คุณวีพอจะผ่อนผัน ได้บ้างไหม”

   ปวีร์จ้องหน้าอ้อน ๆ อีกฝ่ายอย่างนึกขำ เขาเหลือบไปมองชานนก็เห็นว่าเชฟหนุ่มยังคงหันหลังไม่รู้ไม่ชี้ และยุ่งอยู่กับงานครัวอยู่เช่นเคย เจ้าตัวจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันมาทางธีรัชอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้...แต่ถ้าคุณนนมาทำงานไม่ไหว ไข้กลับ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เสียงาน ...ฉันจะหักเงินเดือนเธอ แล้วก็ห้ามให้เธอกอดเขาอีกเลยเป็นเวลาสองอาทิตย์ ...อ้อ  แล้วถ้าไม่เชื่อฟังกัน ฉันจะย้ายคุณนนกลับไปอยู่บ้านฉันเหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนผู้ดูแลบ้านพักใหม่เสียเลย โอเคไหม”

   ธีรัชกลืนน้ำลายลงคอกับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนสุดโหดของอีกฝ่าย ก่อนจะจำใจยอมพยักหน้าตอบรับ เพราะดูแล้วคงไม่มีทางเลือกอะไรอีกนอกจากนี้

   “อ้อ ไม่ใช่แค่ธีเท่านั้น ...คนอื่นก็เหมือนกัน ถ้ามัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัวจนเสียงาน ก็จะได้รับโทษคล้าย ๆ กัน คือ หักเงินเดือนกับจับแยกที่พัก หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะ”

   พนักงานคนอื่นที่เหลือพากันสะดุ้งไปตาม ๆ กัน ส่วนธีรัชพอเห็นว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเขาก็ยิ้มออก

   “เข้มงวดจังนะคุณเจ้าของร้าน”

   ราเมศเอ่ยแซว หลังจากที่ปวีร์มานั่งพักใกล้เขา ปวีร์เหลือบมองคนรัก แล้วจึงแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

   “นายก็ด้วยนะราเมศ ถ้าทำให้ฉันป่วยหนักอีก ฉันจะงดไม่ให้นายกอดสักสองอาทิตย์เหมือนกัน”

   ราเมศทำตาโต ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งตามมา เรียกเสียงหัวเราะจากคนร่วมโต๊ะคนอื่นดังขึ้นพร้อม ๆ กัน แม้แต่ชานนที่เตรียมอาหารกับปยุตยังอดหัวเราะด้วยไม่ได้ ก่อนที่เชฟหนุ่มจะสะดุ้งนิด ๆ ตามมา เมื่อธีรัชตรงเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดเขาหลวม ๆ จากด้านหลัง

   “มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างครับคุณนน”

   ชานนลอบถอนหายใจ แล้วจึงหันมายิ้มน้อย ๆ พร้อมกับมีดที่ถืออยู่

   “ก่อนอื่นช่วยปล่อยมือก่อนครับ มันทำให้ผมทำงานไม่ถนัด...นะครับ”

   ธีรัชสะดุ้งเฮือกแล้วรีบปล่อยมืออีกฝ่ายทันที ทำเอาปยุตที่อยู่ข้าง ๆ ต้องอมยิ้ม ก่อนจะขยับตัวออกไป แล้วเรียกธีรัชให้มายืนแทนตน

   “คุณธีรัชมาช่วยคุณนนล้างผักทางนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะได้ไปเตรียมหมักเนื้อเอาไว้ก่อน”

   ธีรัชหันมาทางปยุต แล้วยิ้มพร้อมเอ่ยขอบคุณ แต่พอปยุตเดินเลี่ยงไปได้สักพัก ทั้งครู่ก็เห็นว่าทรงพลนั้นตามมาสมทบและยืนชวนอีกฝ่ายคุยอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านหนุ่มจึงกลับมาช่วยงานครัวต่อ

   “อาทิตย์นี้ก็ตามมาอีกแล้วนะครับเนี่ยขยันดีจัง”

   ธีรัชเอ่ยแซว ซึ่งปยุตก็เพียงแค่ยกยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใด ทำให้คนแซวลอบถอนหายใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทรงพลคงจะรักอีกฝ่ายมาก ขนาดมีงานยุ่งต้องรับผิดชอบ ยังเจียดเวลาพักผ่อนแวะมาหาปยุตอยู่ได้เรื่อย ๆ เช่นนี้

   “ผมโชคดีจังเลยนะครับที่ได้มาทำงานที่นี่  มีเพื่อนดี ๆ และก็ได้คนอย่างคุณนนมาเป็นแฟน ...จะมีสักกี่คนน้า ที่จะโชคดีอย่างผมเนี่ย”

   ธีรัชเปรยเพ้อเบา ๆ อย่างมีความสุข ทำให้คนถูกเอ่ยถึงอมยิ้มอย่างเอ็นดู และเมื่องานเตรียมอาหารเสร็จลง พวกเขาก็ได้พักกันสักช่วงหนึ่ง เพราะตอนนี้แต่ละคนก็กำลังนั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่อย่างเพลิดเพลิน ธีรัชนั้นดึงชานนให้ไปนั่งคุยในห้องของเชฟหนุ่ม ซึ่งชานนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

   “คุณนนครับ...ผมมีความสุขจังเลย สุขจนกลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันจะเป็นแค่เพียงความฝัน และพอผมตื่นคุณก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมเหมือนเคย”

   ธีรัชพึมพำแผ่วเบาพลางจ้องมองนัยน์ตาของอีกฝ่ายนิ่ง คล้ายดังจะให้เชฟหนุ่มช่วยยืนยัน ชานนแย้มยิ้มอ่อนโยนแล้วชะโงกหน้าไปจูบที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้น

   “คุณไม่ได้ฝันหรอกครับ ...ผมรักคุณเหมือนที่คุณรักผม และตอนนี้พวกเราก็เป็นคู่รักกันจริง ๆ แล้ว”

   ธีรัชยิ้มกว้างตอบแล้วกอดร่างของเชฟหนุ่มแน่นสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

   “แย่จังเลยนะครับ พอยิ่งอยู่ใกล้คุณนน ก็ยิ่งห้ามใจตัวเองได้ยากขึ้น ...สงสัยผมต้องฝึกฝนทำอาหารให้ใกล้เคียงฝีมือคุณนนให้ได้ในเร็ววันนี้แล้วล่ะ”

   ชานนขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายเขาก็เอะใจ และเมื่อธีรัชเฉลยตามมา เชฟหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินทันที

   “ก็ถ้าผมฝีมือใกล้เคียงคุณ ผมกับคุณจะได้ทำโน่นนี่กันตามใจชอบ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียงานไงครับ ถึงคุณนนจะลุกไม่ขึ้นยืนไม่ไหว ผมก็ยังสามารถทำอาหารแทนคุณได้ยังไงล่ะ นี่ล่ะ ความฝันสูงสุดของผมในตอนนี้!”

   “เป็นความฝันที่ไม่เข้าท่าเลยครับ ...ถึงทักษะการทำอาหารของคุณจะทำให้คุณก้าวไปได้ถึงขั้นนั้น หรืออาจจะมีฝีมือแซงผมไปก็เถอะ แต่แรงจูงใจของคุณนี่ ใช้ไม่ได้จริง ๆ”

   ชานนบ่นอุบเบา ๆ ด้วยความเขิน ทำให้คนถูกบ่นหน้าสลด แล้วทำตาใสอ้อนอีกครั้ง

   “คุณนนไม่ชอบหรือครับ... ผมก็แค่อยากให้เรามีเวลาตามประสาคนรักให้มากขึ้นเท่านั้นเอง”

   ชานนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะแพ้ดวงตาใสซื่อของอีกฝ่ายเข้าให้เสียจริง ๆ แล้ว นี่ถ้าธีรัชลองขออ้อนอะไร เห็นทีเขาคงจะขัดได้ลำบากแน่ สงสัยคงต้องพยายามเตือนตัวเอง ให้เข้มแข็งกว่านี้ไม่งั้นก็คงต้องเสียเปรียบคนรักเด็กของเขาคนนี้อยู่วันยังค่ำแน่

   “...ผมไม่ได้ตำหนิอะไรจริงจังหรอกครับ แค่เสียดายความสามารถของคุณเท่านั้น ...และผมก็ดีใจนะครับ ที่คุณยึดผมเป็นเป้าหมายแบบนี้”

   แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ใจแข็ง แต่เวลานี้เชฟหนุ่มคงต้องยอมปล่อยตามหัวใจตัวเองไปก่อน เพราะเวลาที่เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแย้มยิ้มอย่างยินดีเหมือนเด็ก ๆ มันก็ทำให้เขามีความสุขตามไปด้วยเสียทุกที

   “ส่วนคืนนี้...ถ้าคุณไม่รังเกียจ จะลงมานอนที่ห้องผมก็ได้นะครับ เพราะคุณรุจก็คงยังไม่กลับในคืนนี้ใช่ไหมล่ะครับ”

   ชานนเอ่ยชวนอย่างเคอะเขิน แต่คนถูกชวนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง และจึงร้องตะโกนไชโยดัง ๆ ตามมา จนชานนและคนข้างนอกห้องตกใจไปตาม ๆ กัน

   “...เปลี่ยนใจตอนนี้ จะได้ไหมครับเนี่ย”

   ชานนแกล้งบอกกลบเกลื่อนความอาย ทำเอาธีรัชสะดุ้งโหยง

   “ไม่เอานะครับ! พูดแล้วพูดเลยห้ามเปลี่ยนคำด้วย ไม่งั้น... ผมจะร้องไห้นะครับ”

   อีกฝ่ายแสร้งทำตาสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้จริง จนชานนสะดุ้ง ก่อนจะนึกขำตามมา

   “ขู่แบบนี้ ทำให้ผมขำมากกว่ากลัวนะครับ ...แต่เอาเถอะครับ ผมยอมแล้วก็ได้ ...รับรองไม่เปลี่ยนคำพูดแน่นอนครับ”

   ธีรัชเปลี่ยนจากหน้าตาสลดเป็นยิ้มกว้างทันควัน จนชานนนึกอยากจะหยิกแก้มคนรักเด็กของตนอย่างหมั่นไส้ขึ้นมาทันที

   “อ้อ...ผมลืมบอกไป ให้มานอนด้วย แต่แค่ให้นอนเฉย ๆ นะครับ ห้ามทำอย่างอื่น เพราะผมไม่อยากหยุดงานในวันที่มีพนักงานคนใหม่มาทำงานที่ร้าน”

   คนที่กำลังหน้าระรื่นสะดุ้งโหยง และรีบจะร้องประท้วง ทว่าเชฟหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องเสียก่อน โดยทำเป็นไม่สนใจคนในห้อง  ทำเอาธีรัชขมวดคิ้วยุ่ง แต่สักพักก็ต้องถอนหายใจตามมา แล้วอมยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง

    ชายหนุ่มแอบสังเกตเห็นว่า ถ้าเวลาเขาอ้อนมาก ๆ แล้ว ชานนก็มักจะใจอ่อนเป็นส่วนใหญ่  ดังนั้นคืนนี้ถึงแม้ชานนจะปฏิเสธ แต่หากเขาลงทุนอ้อนเข้าให้แล้ว เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเชฟหนุ่มจะทนใจแข็งไปได้ถึงไหน

   “อายุน้อยกว่าบางทีมันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ...เพราะเวลาอ้อนเอาอะไรแล้ว ก็มักจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่อยู่เสมอนี่ล่ะนะ”

   ธีรัชพึมพำกับตัวเองอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงลุกเดินตามชานนออกไป และแล้วในคืนนั้น เขาก็ลงมานอนกับเชฟหนุ่มตามที่อีกฝ่ายชวน และเมื่อเช้าวันจันทร์มาถึง คนที่เคยตื่นตีสี่ตีห้าตามปกติ ก็นอนหลับยาวยันเกือบสองโมงเช้า แต่โชคดีที่ชานนยังลุกมาทำงานไหว ธีรัชจึงพ้นโทษที่ปวีร์วางเอาไว้

    หากแต่วันนั้นทั้งวันชายหนุ่มในฐานะผู้ช่วยพ่อครัว ก็ต้องรับงานหนักแทนชานนไปหลายอย่าง เพราะปวีร์ลงมาคุมงานเองถึงในครัวและกำชับให้เชฟหนุ่มรับหน้าที่แค่ปรุงรสเท่านั้น แม้ว่าชานนจะสงสารคนรักเพียงใด แต่อีกด้านเขาก็นึกขำและหมั่นไส้คนที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยจนไม่ได้นอนเกือบทั้งคืนอยู่เหมือนกัน ชานนจึงยอมร่วมมือกับปวีร์ลงโทษอีกฝ่ายตลอดวันนั้นทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้านเลยทีเดียว

   

…END…
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-10-2012 17:48:18
เหอะๆ ในที่สุดธีรัชก็ประสบความสำเร็จ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 19-10-2012 18:46:22
อร๊ายยยยยยอยากอ่านต่อมะอยากให้จบเลยชอบอะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 20-10-2012 01:33:34
ธีรัชไม่ค่อยเลยนะ ชานนน่ารักมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: maykiz ที่ 21-10-2012 19:43:18
สนุกมากๆเลยค่ะ น่ารักจริงๆ อยากได้ตอนพิเศษของโยกับภูริบ้างจัง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: snack ที่ 22-10-2012 15:55:16
โยกับการินน่ารักดี..
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: aezac ที่ 23-10-2012 10:35:13
wonderful

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 23-10-2012 22:15:08
ชอบคู่เมศกะปวีเป็นพิเศษ อยากอ่านจังงงงงง

สนุกมากค่า ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 23-10-2012 22:49:56
ไม่ได้เข้าบอร์ดนานมากเพราะงานยุ่ง
เข้ามาอีกทีนิยายใหม่ๆเพียบเลย

อ่านแล้วสนุกดีครับเรื่องนี้ :)
น่าสนใจดี   :L1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /ตอนพิเศษ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 06-11-2012 11:35:27
แอบแวะมาแจ้งว่า หนังสือส่งเข้าโรงพิมพ์แล้วนะคะ ใครที่โอนรอบแรก (4ต.ค. - 4 พ.ย. 55) 

คาดว่าไม่น่าเกินวันอังคาร-พุธ ที่ 20 - 21 พ.ย. คงได้หนังสือกันครบทุกคนค่ะ เพราะกำหนดโรงพิมพ์พิมพ์เสร็จ ในวันพุธที่ 14 พ.ย. ถ้าเสร็จเช้า ปัดก็มีเวลาห่อ แพค ในวันนั้น (จะพยายามลุยห่อให้นะคะ) แต่ถ้าโรงพิมพ์เสร็จเย็น ปัดก็ต้องเลื่อนไปห่อวันพฤหัสที่ 15 พ.ย.แทน

ดังนั้นวันส่งก็อาจจะเป็นวันศุกร์ คนกทม. และปริมณฑล ถ้าไปรษณีย์ไม่เกเร ก็ควรจะได้ในวันเสาร์ ส่วนต่างจังหวัด ก็จันทร์ - อังคาร และอย่างช้าสุดก็พุธ  ซึ่งไม่เคยเห็นส่งช้าเกินไปกว่านี้ ยกเว้นเหมือนตอนที่เครื่องคัดแยกพัสดุที่ไปรษณีย์กลางเสีย ซึ่งคนที่สั่งซื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะปัดจะส่งเลขพัสดให้ท่านไปใช้เช็คติดตามได้ด้วยตัวเองในเน็ตค่ะ ^^

แล้วถ้าได้หนังสือจากโรงพิมพ์แล้วจะถ่ายรูปมาโชว์อีกทีนะคะ บอกไว้ก่อน เผื่อตกใจ ปกสีจัดจ้านมากค่ะ ปกขนมทั้งสองปกนั่นล่ะค่ะ -- แต่ก็สะดุดตาดีค่ะ หุ ๆ

ป.ล. สำหรับคนที่ผ่านล็อตแรก ยังโอนได้ถึง 10 ธ.ค. 55 นะคะ  อ้อ แล้วก็รีปริ้นท์ รอบนี้เปิดจองทุกเรื่องที่เคยพิมพ์ และเปิดจอง คุณตำรวจยอดรัก และคุณอาที่รักเป็นรอบสุดท้ายแล้วค่ะ หมดรอบนี้ ไม่รีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /แจ้งกำหนดส่ง P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 06-11-2012 17:39:15
พึงรุ้ว่ามีตอนพิเศษคู่นี้

คุณนนท์กินเด็ก โฮะๆ
ธีรัช ทำงานกะกลางคืนพอประมาณนะ
เดี๋ยวปวีร์สั่งแยกจะลำบากหัวใจเอาน่า
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /แจ้งกำหนดส่ง P.22
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 07-11-2012 06:25:03
อ่านไปนึกภาพตามเป็นอนิเมะเลย เรื่องราวน่ารักมุกขำได้ตลอด นึกว่ากำลังอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น
ถ้ามีร้านแบบนี้จริงๆ ในไทยละก็ คงกลายเป็นแหล่งชุมนุมของบอร์ดแน่
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /แจ้งกำหนดส่ง P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Noi ที่ 12-11-2012 10:55:56
เข้ามารอตอนพิเศษคู่อื่นๆ :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง 4 ต.ค.- 10 ธ.ค. 55 /แจ้งกำหนดส่ง P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 12-11-2012 21:06:26
กรี้ดดดดดดดดดดดดน่ารักอะ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง - 10 ธ.ค. 55 / โชว์หนังสือจากโรงพิมพ์จ้ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 14-11-2012 14:49:49
หนังสือได้แล้วนะคะ ขอเวลาห่อสักวัน แล้วจะจัดส่งให้ พร้อมจะเมล์แจ้งรหัสพัสดุ ไว้เช็คในเน็ตผ่านอีเมล์ของผู้ซื้ออีกรอบนะคะ ^^

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/319090_503645556327161_1378260251_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/553923_503645739660476_736305977_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/526076_503645869660463_1268647147_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/184994_503645966327120_1362762023_n.jpg)
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง - 10 ธ.ค. 55 / หนังสือพร้อมส่งจ้ะ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: MiSS-U ที่ 15-11-2012 15:50:30
รอหนังสืออย่างจดอ  อยากอ่านตอนพิเศษตอนอื่นๆแล้ว

 :กอด1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง - 10 ธ.ค. 55 / หนังสือพร้อมส่งจ้ะ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 18-11-2012 14:38:17
ตามมาจาก "เหยื่ออสูรกาย" ค่ะ

เขียนได้สนุกมาก อ่านรวดเดียวเลย

เพิ่งทราบว่าเป็นคนเดียวกับในเด็กดีนะคะ ตามอ่านผลงานมาหลายเรื่องแล้วค่ะ ทั้งที่นี่และเด็กดี

ชอบสำนวนการเขียนมาก  เขียนได้สนุก ติดงอมแงมเลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง - 10 ธ.ค. 55 / หนังสือพร้อมส่งจ้ะ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 18-11-2012 16:02:31
ตามมาจาก "เหยื่ออสูรกาย" ค่ะ

เขียนได้สนุกมาก อ่านรวดเดียวเลย

เพิ่งทราบว่าเป็นคนเดียวกับในเด็กดีนะคะ ตามอ่านผลงานมาหลายเรื่องแล้วค่ะ ทั้งที่นี่และเด็กดี

ชอบสำนวนการเขียนมาก  เขียนได้สนุก ติดงอมแงมเลยค่ะ  :กอด1:

แวะเข้ามาปลื้ม ขอบคุณมากมายค่ะ  ^^ แต่เรื่องคาเฟ่ กับเรื่อง เหยื่อรักอสูรกาย นี่จะออกคนละโทนกันสักหน่อยค่ะ เรื่องนั้นดำเนินเรื่องฉับ ๆ ส่วนคาเฟ่เน้นเรื่อยเปื่อยแบบชีวิตประจำวันน่ะค่ะ

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามผลงานกันมาตลอดนะคะ ดีใจมาก ๆ เลยค่ะ  จะพยายามพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ ไปค่ะ

------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------

เพิ่มเติม ถึงคนสั่งหนังสือล็อตแรก    มีคนได้หนังสือหลายท่านแล้วนะจ๊ะ  ต่างจังหวัดก็อดใจรออีกนิด คาดว่าวันจันทร์ก็น่าจะเริ่มทยอยถึงมือผู้รับกันเกือบหมดแล้วค่ะ ยังไงก็ไม่น่าเกินวันพุธค่ะ ช้ากว่านี้ถือว่าผิดปกติแล้วล่ะค่ะ 

ยังไงก็หวังว่าคงจะสนุกกับตอนพิเศษที่เพิ่มเติมไปนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับผู้ที่สนับสนุนเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/ เปิดจอง - 10 ธ.ค. 55 / หนังสือพร้อมส่งจ้ะ P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 22-11-2012 09:54:40
น่ารักทุกคู่เลยอะ  อยากให้มีตอนพิเศษอีก
ไกรอย่าติดแฟนมากนะเดี๋ยวกลับประเทศไม่ถูก555
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง/เปิดให้โอนวันนี้วันสุดท้ายค่ะ (10ธ.ค.) P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-12-2012 13:38:09
แวะมาดันทิ้งทวนกันนักอ่านลืมที่จองไว้ลืม   ^^"

..
..
อ้อ อยากจะบอกว่าคนที่ซื้อล็อตแรกแล้วสังเกตว่าปกผิดพลาด ปัดจะมีของขอขมาเป็นมุงหลังคาตอนพิเศษเล่มเล็ก ๆ ที่เขียนเพิ่มขึ้นมาจากรวมเล่มส่งไปให้นะคะ ส่วนล็อตสองไม่มีจ้า เพราะจะไปให้เขาแก้ปกพรุ่งนี้สำหรับคนสั่งล็อตสองค่ะ--

..
..
ไหน ๆ ก็มาทั้งที เลยเอาตอนพิเศษในเล่มมาให้อ่านกันลืมกันค่ะ ^^

(อันนี้แปะที่บอร์ดฮาเร็ม แต่ไม่ได้แปะที่เล้า เลยนำมาแปะให้อ่านกันให้คลายคิดถึงค่ะ)


Miracle Café / Special
(ไกรสร- รุจ)



    ถ้าผ่านเที่ยงคืนของวันนี้ไปได้ ไกรสรก็จะสามารถยืดอกแสดงตัวตนเป็นคนรักกับรุจได้ในที่สุด วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้าชายหนุ่มจึงยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอด แต่พอยิ่งใกล้เวลา เจ้าตัวก็กระสับกระส่ายนอนไม่หลับแทนเสียอย่างนั้น จนต้องขับรถมาหาใครบางคนถึงบ้านพัก ทั้งที่เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตาม

    “ฮัดเช่ย! คืนนี้หนาวชะมัดเลยแฮะ”

    ลมพัดเย็น ๆ และน้ำค้างยามดึกทำให้คนที่ออกมายืนพิงรถด้านหน้าต้องห่อกาย แม้จะไม่ค่อยมียุงเยอะอย่างที่คิด แต่อากาศเย็นทำให้เขาเลือกเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านในแทน เจ้าตัวนั่งอยู่สักพัก ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกดังเบา ๆ จากด้านนอก

    “รุจ! มาได้ยังไงเนี่ย?”

     ไกรสรเปิดประตูรถของเขาเตรียมจะลุกออกมา ก่อนจะชะงัก เมื่ออีกฝ่ายกลับเปิดประตูอีกด้านแล้วก้าวเข้ามานั่งในรถข้างเขาแทน

    “ผมว่าผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แต่คิดว่าหูฝาด แต่พอได้ยินเสียงปิดประตูรถก็เลยออกมาดูอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าเป็นรถคุณจอดอยู่”

    รุจตอบคำถามอีกฝ่ายเมื่อสักครู่ ทำให้ไกรสรต้องมองคนข้าง ๆ แล้วยิ้มน้อย ๆ

    “นอนดึกเหมือนกันนะเรา...เอ หรือว่า นอนไม่หลับเพราะคิดถึงฉัน”

    ชายหนุ่มแกล้งแซว แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มหวาน

    “ครับ...คิดถึง... คุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

    ไกรสรกลืนน้ำลายลงคอ เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ใกล้จะเดินถึงเวลาเที่ยงคืนด้วยความอดทน จนรุจนึกขำ

    “ไม่คิดว่าจะลงทุนขับรถมาหาเลยนะครับ นี่ถ้าผมไม่ลงมาก็ตั้งใจจะเฝ้าอยู่อย่างนี้จนถึงเช้าหรือครับ”

    ไกรสรขมวดคิ้วยุ่ง แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะชะงักเมื่อมือของอีกฝ่ายเอื้อมมาลูบไล้แก้มของเขาแผ่วเบา

    “ต่อแต่นี้ไปก็คงต้องขอฝากตัวด้วยแล้วนะครับ”

    “แน่นอนอยู่แล้ว...ว่าแต่จับตัวได้หรือยังน่ะ”

    ไกรสรพึมพำตาก็เหลือบไปมองนาฬิกาติดรถที่ตอนนี้เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบหกนาที

    “อีกสี่นาทีเองนี่ครับ...เอาอย่างนี้ดีกว่า ระหว่างที่รอเวลาเราก็มาเตรียมการกันก่อน ดีไหมครับ”

    รุจเปรยตอบเสียงแผ่ว ทำให้ไกรสรขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างสงสัย แต่พอเห็นอีกฝ่ายปรับเบาะเอนนอนลงไป แล้วปลดกระดุมเสื้อรอ เจ้าตัวก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วจัดแจงขยับเบาะของเขาเช่นเดียวกัน ก่อนจะรอลุ้นให้เวลาถึงเที่ยงคืนโดยเร็ว และเมื่อเวลากลายเป็นศูนย์นาฬิกา ไกรสรก็พลิกกายขึ้นคร่อมและจูบไปทั่วใบหน้าและเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนราวกับคนกระหายอย่างหนัก

    “อา...คุณไกรสร...ผมรักคุณนะ”

    รุจกระซิบเสียงแผ่ว ยิ่งทำให้คนที่กำลังหลงใหลมัวเมาไปกับผิวกายของชายหนุ่มยิ่งคลั่งหนัก จนอยากจะจับหนุ่มน้อยบนเบาะร่วมรักด้วยกันเสียเดี๋ยวนั้น แต่เพียงสักพักเขาก็สู้ข่มทนชนะตัณหาของตัวเอง เพราะอยากให้ครั้งแรกระหว่างพวกเขาอ่อนโยนและนุ่มนวล ไม่ใช่เกิดจากความใคร่ที่สะสมมาเช่นตอนนี้

    “รุจ...ฉันรักเธอเหลือเกิน ยอดรักของฉัน”

    ไกรสรพึมพำกับซอกคอขาวของอีกฝ่าย รุจปรือตาขึ้นมามอง เมื่อไม่เห็นชายหนุ่มทำอะไรมากกว่านี้ เขาก็อมยิ้มน้อย ๆ แล้วก้มลงจูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบถาม

    “ไม่ทำหรือครับ...ต้องการไม่ใช่หรือ”

    “ไม่ล่ะ...อยากได้ใจจะขาดก็จริง แต่อยากให้โรแมนติกกว่านี้...ไว้วันหยุดที่จะถึง เราไปเที่ยวที่ไหนกันสองคนดีไหม”

    ไกรสรถามอีกฝ่ายพร้อมกับเงยหน้ามาจ้องมองคนรักของเขา ทางด้านรุจยิ้มหวานแล้วตอบกลับไป

    “แล้วแต่คุณสิครับ ก็เราเป็นแฟนกันแล้วนี่”

    “น่ารักจริง ๆ ...ไม่เสียแรงที่อดทนมาจนได้ถึงขนาดนี้เลยนะ”

    ไกรสรเอ่ยชมแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่ ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

    “บอกให้รู้ไว้ก่อน เผื่อจะเปลี่ยนใจตอนนี้... ผมน่ะ ขี้หึงนะครับ โดยเฉพาะกับคนที่รักมาก ๆ แล้วด้วย ถ้าไม่จำเป็นยิ่งไม่อยากให้ใครมาแตะต้องเกินเลยด้วยซ้ำ”

    คนฟังฉีกยิ้มกว้าง ไม่ได้นึกกลัว แต่กลับดีใจยิ่งขึ้นแทน

    “ดีสิ ...แต่ไม่ต้องห่วงนะ จะไม่ไปเจ้าชู้ที่ไหนอีกแล้วแน่”

    “ได้งั้นจริงก็ดีครับ...กลัวแต่ว่าพอกลับไปอยู่อเมริกาแล้ว เจอเนื้อนมไข่ล้อมรอบ ก็จะลืมอกแบน ๆ ทางนี้แทนเสียมากกว่า”

    รุจแกล้งแซว ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วย้อนถาม

    “เธอไม่คิดจะไปอยู่ที่นั่นกับฉันด้วยกันหรอกหรือ”

    รุจเองพอได้ยินก็เงียบกริบ เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

    “ผมอยากทำงานที่เมืองไทยนี่ครับ...แต่ผมก็ไม่คิดรั้งคุณไว้หรอกนะ เพราะผมรู้ว่าคุณชอบงานด้านนี้”

    พอรุจพูดจบพวกเขาก็นิ่งเงียบกันไปอีก จากนั้นเสียงถอนหายใจจากไกรสรจึงดังขึ้นเบา ๆ

    “ฉันเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป มัวแต่คิดว่าจะชนะใจเธอได้ยังไง แต่ไม่คิดว่าหลังจากนั้นแล้ว หากเธอไม่ตามกลับไปด้วย แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดี”

    “ขอโทษนะครับที่เห็นแก่ตัว...แต่ผมยังอยากทำงานที่นี่ต่ออีกสักพัก ยังไงถ้าเวลาผ่านไป แล้วคุณยังรอผมอยู่ ผมก็จะตามไปนะครับ”

    รุจตอบอีกฝ่าย ก่อนจะเหลือบไปมองบ้านพักที่อยู่มาเกือบเดือนด้วยแววตาที่แสดงถึงความผูกพัน จนไกรสรมองแล้วก็ต้องคิดตัดสินใจบางอย่าง

    “งั้นอาทิตย์หน้าฉันจะกลับไปอเมริกาเลยแล้วกัน”

    รุจนิ่งเงียบแล้วพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกกลับไวขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะรั้งอะไรไว้ เพราะรู้มาจากปวีร์ก่อนหน้านั้นแล้วว่า ไกรสรรักงานออกแบบ และทุ่มเทให้กับมันมากเพียงใด

    “แต่เดทวันอาทิตย์นี้เรายังไม่เปลี่ยนนะ ...อย่าลืมล่ะ”

    ไกรสรกระซิบแล้วจูบปากชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์และเปิดรถเดินไปส่งอีกฝ่ายจนถึงทางเข้าบ้านพัก เฝ้ามองจนรุจกลับเข้าห้องไป จากนั้นเขาก็ตรงไปที่รถและขับกลับบ้านของตนด้วยเช่นกัน

   

    วันรุ่งขึ้นไกรสรไม่ได้มาเฝ้าชายหนุ่มตามปกติ แต่ฝากน้องสาวทั้งสองมาบอกว่า จะขอลาหยุดยาวจนถึงวันเสาร์ ซึ่งเขาจะมาที่ร้านและจะรอรุจเลิกงานและรับไปเที่ยวด้วยกันเลย

    “ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่ารุจ เห็นพี่ไกรดูขรึม ๆ ผิดปกติ ทั้งที่วันนี้น่าจะดีใจที่ครบกำหนดสัญญาที่พนันไว้แท้ ๆ”

    ขวัญแก้วถามแคชเชียร์หนุ่มอย่างนึกห่วง แต่รุจนั้นกลับยิ้มน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทะเลาะอะไร จนหญิงสาวต้องเลิกราถามไปเอง แม้จะยังนึกเป็นห่วงอยู่มากก็ตาม

     “อาทิตย์หน้านี้ เห็นปวีร์บอกว่าจะได้พนักงานใหม่ครบ และให้เริ่มเปลี่ยนหน้าที่กันตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป ...เห็นบอกว่าผู้ช่วยบาร์น้ำของพวกเราทั้งสามคน มีแต่หนุ่ม ๆ วัยละอ่อนทั้งนั้น ฉันชักอยากเจอไว ๆ แล้วล่ะสินะ”

    ขวัญแก้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นเพราะไม่อยากให้รุจต้องคิดมาก ซึ่งรุจก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ขวัญแก้วชวนคุยโน่นนี่เรื่อยเปื่อย แต่พอมีลูกค้าเข้ามาทั้งคู่ก็หยุดคุยและตั้งอกตั้งใจทำงานต่อแทน

   

    พอทำงานหมดวันแต่ละคนก็เตรียมตัวกลับบ้านพัก รุจชะงักเมื่อมีเสียงเรียกเข้าจากมือถือ เขาก้มมองเบอร์ที่โทรมาแล้วกดรับหลังจากเสียงเรียกดังขึ้นอยู่สักพัก

    “คิดถึงจังที่รัก...คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่าเอ่ย”

    น้ำเสียงปลายสายดูร่าเริงทำให้คนรับยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ยังแสร้งตอกกลับไปเรียบ ๆ

    “ถ้าคิดถึงทำไมไม่มาหาล่ะครับ...หรือพอเป็นแฟนกันแล้ว เลยหมดแรงจูงใจจะจีบต่อ”

    ปลายสายชะงักเงียบไป แล้วจึงเอ่ยขึ้นตามมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง

    “โกรธหรือรุจ...ขอโทษนะ พอดีไม่ว่างจริง ๆ แต่จะพยายามเคลียร์ให้เสร็จทันเดทของเราอาทิตย์นี้นะ”

    รุจอมยิ้มนิด ๆ แล้วจึงทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น

    “หรือครับ... จริงสิ คุณรู้ไหมว่าพนักงานใหม่ที่บาร์เป็นผู้ชายทั้งสามคน และอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมทั้งนั้น... ถ้าคุณยังหายเงียบไปแบบนี้ล่ะก็ ระวังผมจะหวั่นไหวเอานะ”

    “อะไรนะ! ไม่เคยเห็นแก้วกับตาบอกเลย ผู้ชายงั้นรึ มาทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่ หน้าตาหล่อสู้ฉันได้ไหม แล้วเธอบอกเขาหรือเปล่าว่ามีแฟนแล้วน่ะ!”

    คนขี้หึงรีบถามเป็นชุด ทำเอารุจต้องหลุดหัวเราะออกไปอย่างนึกขำ ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่าย

    “พวกนั้นยังไม่มาทำงานหรอกครับ ผมเองก็เพิ่งจะรู้จากคุณแก้ววันนี้เองด้วย ...ก็เลยอยากรู้ปฏิกิริยาของคุณบ้างว่าจะเป็นยังไง”

    ปลายสายเงียบไป ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจยาวให้ได้ยินตามมา

    “เธอนี่นะ...หลอกฉันหรอกหรือ”

    “ไม่ได้หลอกสักหน่อยนะครับ พูดเรื่องจริงทั้งนั้น ...แต่พอได้ยินคุณหึงแบบนี้ค่อยหายน้อยใจหน่อย...เอาเป็นว่าเจอกันวันเดทนะครับ แค่นี้นะครับ”

    รุจเตรียมจะกดวาง แต่เสียงปลายสายก็ตะโกนแย้งขัดขึ้นทันที

    “เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่ง! เมื่อครู่ว่าอะไรนะ น้อยใจด้วยหรือ เป็นเพราะไม่เจอหน้าฉันหรือเปล่า!”

    “หึ ๆ คิดเอาเองสิครับ ...แค่นี้นะครับ อย่าทำงานหักโหมมากล่ะ ผมเป็นห่วงนะ”

    รุจบอกก่อนกดตัดสาย แถมยังปิดมือถือตามมา ทำเอาคนที่พยายามจะโทรกลับบ่นอุบกับตัวเอง แต่ก็อดยิ้มหน้าบานไม่ได้ เมื่อคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ที่คนรักพูดกับตน

    “เล่นน่ารักแบบนี้ แล้วจะปล่อยให้คลาดสายตาได้ยังไงกันเล่า”

    ไกรสรเปรยบ่น พลางมองกองกระดาษดีไซน์เสื้อผ้าตรงหน้า ที่เขาตั้งใจจะออกแบบทิ้งท้ายไปขอแลกกับการลาออกจากร้านที่เขาทำงานและเป็นหุ้นส่วนอยู่ เขาเชื่อว่าเพื่อนสนิทซึ่งเป็นหุ้นส่วนของเขาจะต้องไม่ยอมง่าย ๆ ที่จะปล่อยเขามา ไกรสรจึงจำต้องขอขมาอีกฝ่ายเป็นดีไซน์เสื้อผ้ากว่าสามสิบชุดเป็นของขวัญลาจาก และอาจจะขอติดต่องานกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตแทน โดยหวังว่านั่นจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถูกตัดขาด เพราะถึงยังไงเขาและอีกฝ่ายนั้นก็ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทและร่วมธุรกิจด้วยกันมานานแล้ว

    “วันเสาร์เอางานไปทำที่ห้องของปวีร์ก็ได้วะ...อย่างน้อยพักกลางวันก็ยังได้เจอหน้ากันบ้างก็ยังดี ...จะได้ไม่น้อยใจใส่เราอีก”

    ไกรสรที่ตั้งใจจะลุยงานให้เสร็จ แล้วไปหารุจในตอนเย็นวันเสาร์ต้องเปลี่ยนแผนการ ชายหนุ่มพึมพำแล้วยิ้มกับตัวเองอย่างยินดีอีกครั้ง เมื่อรุจนั้นออกอาการงอน และน้อยอกน้อยใจเขาให้ได้เห็น นอกเหนือจากอาการเฉยเมยและเย็นชาไม่ค่อยดูดำดูดีเขาที่ได้เห็นอยู่เป็นประจำ

   

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง /จะปิดโอนแล้วจ้า 10ธ.ค./+ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 10-12-2012 13:42:15
    เช้าวันเสาร์ไกรสรนั้นตื่นแต่เช้า เพื่อตั้งใจจะแวะไปหารุจที่บ้านพัก หลังจากที่แทบจะปิดห้องทำงานไม่ยอมรับรู้โลกภายนอก จนขวัญแก้วกับขวัญตามาบ่นอุบให้รุจฟังอย่างเป็นห่วง แต่รุจบอกว่าอีกฝ่ายอาจจะมีงานด่วนต้องจัดการก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นก็ยังโทรมาหาเขาอยู่เลย นั่นจึงทำให้สองสาวเบาใจลงไปได้บ้าง

    “ดูพี่ไกรเขาสิตา พอมีแฟนแล้ว น้องสาวอย่างเราก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรก็ไม่ยอมบอกเหมือนเคย”

    ขวัญแก้วเปรยประชด เพราะลองเลียบเคียงถามเรื่องที่พี่ชายปิดห้องทำงานเมื่อสองวันก่อน ทั้งที่เป็นช่วงพักร้อนของอีกฝ่ายแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบอะไรจากไกรสรเลย

    “ก็บอกแล้วไงว่าบอกไม่ได้ ขืนพวกเธอหลุดปากต่อหน้ารุจ ที่ฉันทนลำบากทำไปเพื่อเซอร์ไพรส์เขา มันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ”

    ชายหนุ่มบอกกับน้องสาวของเขา อย่างไม่ค่อยใส่ใจอาการงอนนั้นนัก พอได้ยินดังนั้นขวัญแก้วกับขวัญตาก็ถอนหายใจเบา ๆ ไล่เลี่ยกัน แม้จะหมั่นไส้เพียงใด แต่พวกเธอก็ยังดีใจที่พี่ชายยอมหยุดอยู่ที่คนคนเดียว แทนที่จะเจ้าชู้ไปเรื่อย ๆ ได้สักที

    “ว่าแต่พวกเธอเตรียมตัวกันเสร็จหรือยังล่ะ เพราะเดี๋ยวพี่จะแวะไปซื้อดอกไม้ให้รุจเขาอีก”

    “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ! ไปได้เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!”

    ขวัญแก้วเอ่ยรับคำแบบประชดประชันจนขวัญตาแอบหัวเราะ จากนั้นทั้งสามก็ขึ้นรถไปคันเดียวกัน โดยที่ไกรสรนั้นแวะซื้อกุหลาบส้มช่อใหญ่ไปฝากคนรักของเขา

    “กุหลาบส้ม หมายความว่ายังไงหรือคะ”

    ขวัญตาถามพี่ชายของเธออย่างสงสัย รุจยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงตอบน้องสาวออกไป

    “มันหมายถึงว่า ฉันยังรักเธอเหมือนเดิมน่ะสิ ...เป็นการยืนยันว่าที่หายหน้าไปเพราะไม่ว่างจริง ๆ ไม่ได้หมดรักอะไรเลย เขาจะได้หายน้อยใจสักทียังไงล่ะ”

    “แต่แก้วไม่เห็นรุจเขาน้อยใจอะไรเลยนี่คะ ออกจะทำงานได้แฮปปี้ ยิ้มแย้มมีความสุข มากกว่าตอนพี่อยู่ด้วยซ้ำไป”

    ขวัญแก้วเอ่ยขัดทำให้คนเป็นพี่ชายชะงักแล้วหันมามองน้องสาวด้วยสายตาเขม่นนิด ๆ

    “ใครเขาจะแสดงออกให้คนนอกรู้ล่ะ เอาเป็นว่าพี่รู้กับรุจแค่สองคนแล้วกัน ว่าเขาน่ะเหงาและคิดถึงพี่ขนาดไหน”

    ขวัญแก้วลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรับคำยานคางอย่างยอมแพ้ เพราะไม่คิดเลยว่าพี่ชายของเธอจะหลงตัวเองขนาดนี้มาก่อน นี่ถ้ารุจได้ยินเข้า คงจะรู้สึกเอือมระอาไม่แพ้กับเธอเลยทีเดียว

   

    และเมื่อถึงบ้านพัก ไกรสรก็เจอกับปวีร์เข้าพอดี ชายหนุ่มตรงเข้าไปขอดูชุดที่จะต้องใส่วันนี้ เพราะปวีร์นั้นปิดเขาไม่ยอมบอก แม้กระทั่งยามที่เขาเข้าไปเช็คในเว็บไซต์ที่เจ้าตัวทำไว้ ก็มีเพียงแค่ข้อความบอกให้ลูกค้าลุ้นเอาเอง และเตรียมเซอร์ไพรส์สำหรับเสาร์นี้เท่านั้น

    “ใจเย็น ๆ ครับพี่... เดี๋ยวก็ได้เห็นพร้อมกันอยู่ดีล่ะน่า”

    ปวีร์แกล้งถ่วงเวลา ทำเอาชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วยุ่ง แม้แต่สองสาวเองก็ถูกปิดเป็นความลับเช่นเดียวกัน ทว่าพวกเธอก็มั่นใจฝีมือของปวีร์ ว่าคงจะไม่ทำให้พวกเธอผิดหวังกับชุดในวันนี้เป็นแน่

    “โอ๊ะ ปยุตกับราเมศมาละ วันนี้ชุดค่อนข้างเต็มยศเลยต้องแพคอย่างดีสักหน่อย”

    ปวีร์บอกอย่างอารมณ์ดี โดยที่ราเมศได้แต่จ้องมองตอบตาปริบ ๆ เพราะอีกฝ่ายไม่คิดจะช่วยพวกเขาแบกแต่อย่างใด

    “อ้าว เด็ก ๆ ลงมากันแล้ว พวกเธอมานี่สิ ชุดเสร็จแล้วนะ”

    ปวีร์บอกแล้วก็อมยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นบางคนนิ่วหน้ามาแต่ไกล

    “รับรองวันนี้ชุดมิดชิด เรียบร้อย ไม่มีโชว์เซ็กซี่เหมือนอาทิตย์ก่อนหรอกน่า”

    แต่ละคนนึกเอะใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นชุดแบบไหน ยังไงพวกเขาก็ต้องแต่งอยู่ดี จึงทำให้ทุกคนรับชุดมาเปิดดูอย่างเสียไม่ได้

    “ทักซิโด้สีขาว...อะไรกันครับเนี่ย”

    ภูริที่เปิดชุดดูเป็นคนแรกเอ่ยถามอย่างแปลกใจ พลางเหลือบมองเครื่องแบบของกวินที่เปิดเช็คชุดดูบ้าง และก็พบว่าชุดของอีกฝ่ายก็เหมือนกันกับของเขาด้วยเช่นกัน 

    “ Wedding Theme ยังไงล่ะ เข้าท่าไหม”

    ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาคนถามนิ่งอึ้ง แต่พอหันไปมองวาโย แล้วนึกถึงสภาพอีกฝ่ายในชุดเจ้าสาว เขาก็แอบยิ้มน้อย ๆ ตามมา

    “อ้าว...ทำไมยังไม่เปิดชุดของตัวเองดูอีกล่ะ โย ริน”

    ปวีร์หันไปทางชายหนุ่มผู้น่ารักทั้งสอง วาโยนั้นรูดซิบถุงพลาสติกคลุมเสื้อไปเพียงครึ่งแต่พอเห็นลายลูกไม้ของชุดในถุงแวบ ๆ เขาก็หยุดมือในทันที ยิ่งพอได้เห็นชุดของภูริและกวิน รวมไปถึงธีมที่ปวีร์บอก เขาก็พอคาดเดาได้แล้วว่าชุดของตนเองจะเป็นชุดแบบไหน

    “ได้ใส่กางเกงแค่อาทิตย์เดียวเองหรือครับ...”

    วาโยโอดครวญ ทำเอาปวีร์ต้องหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู ส่วนการินที่สังหรณ์ไม่ดีเม้มปากนิ่ง เขาเองก็ยังไม่ได้เปิด แล้วมองดูชุดของเพื่อนคนอื่นก่อน แต่พอเจอเข้าแบบนี้เขาก็รู้สึกเสียวไม่แตกต่างจากวาโยเข้าแล้ว

    “ริน...เปิดสิ อยากเห็นอะ”

    กวินเข้ามาเซ้าซี้ และคาดหวังในสิ่งที่ไม่แตกต่างจากภูริหวังจากวาโยเท่าใดนัก การินจ้องมองคนรักตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรูดซิบถุงพลาสกติกออก และหยิบชุดในนั้นออกมาดู

    “ว้าว! ชุดเจ้าสาวอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย เยี่ยมไปเลย! อะ...เอ่อ ฉันก็แค่ชมเอง อย่าทำตาดุอย่างนั้นสิ”

    คนที่ตะโกนด้วยความยินดีรีบแก้ตัวเมื่อเห็นการินมองเขาด้วยแววตาวาววับ ส่วนวาโยพอเห็นชุดของเพื่อน เขาก็นึกปลงแล้วหยิบชุดตัวเองออกมาดูบ้าง ก่อนจะทำหน้าหงิกไม่แพ้การิน

    “ทำไมชุดเจ้าสาวถึงเป็นเดรสสั้นล่ะครับ”

    “เพราะถ้าเป็นเดรสยาวมันจะไม่สะดวกกับการเสิร์ฟไงล่ะ”

     ปวีร์ตอบทันควัน ทำให้วาโยชะงัก ก่อนจะก้มลงมองชุดของตัวเองอีกครั้ง มันเป็นเดรสขาวเปิดไหล่ข้างหนึ่ง บริเวณริมขอบเสื้อไปจนถึงแขนอีกข้างเป็นระบายจีบรอบ นอกจากนี้ตรงบริเวณอกยังมีฟองน้ำเสริมหน้าอกเย็บติดกับชุด ทำให้เวลาใส่แล้วดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วนกระโปรงถูกออกแบบเป็นระบายชั้น ๆ ซ้อนกันหลายชั้น  กระโปรงด้านหลังจะยาวกว่าด้านหน้าเล็กน้อย ทำให้ดูเก๋และหวานขึ้นกว่าชุดกระโปรงแบบปกติที่ชายหนุ่มเคยใส่มา

    ส่วนทางด้านการินเองก็เป็นเดรสขาวเหมือนกัน เพียงแต่แบบของชายหนุ่มนั้นจะแตกต่างจากวาโยที่เน้นอ่อนหวาน  โดยจะเป็นชุดกระโปรงสายเดี่ยวเกาะอก ตรงบริเวณลำตัวเป็นผ้าลูกไม้โปร่งทำให้ดูเซ็กซี่นิด ๆ ตัวกระโปรงทำเป็นดอกกุหลาบประดับโดยรอบ ด้านหน้าจะสั้นเลยหัวเข่าขึ้นมาเกือบฝ่ามือและด้านหลังยาวกว่าด้านหน้าเล็กน้อย

    “แล้วทำไมผมถึงต้องโดนจับแต่งหญิงอีกรอบด้วยล่ะ!”

    การินโวยวายตามมา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นอาจับจ้องมองมายังตน

    “ก็พอรินแต่งหญิงก็ทำให้มีลูกค้าผู้ชายเข้าร้านเยอะขึ้นอีกนี่นา...และที่สำคัญ วินเองก็ชอบให้รินแต่งแบบนี้ด้วยไม่ใช่หรือ เห็นเสาร์ที่แล้วออกจะดีใจเวลาเห็นหลานแต่งตัวสวย ๆ ให้เห็นนี่นะ”

    กวินสะดุ้งเฮือกพลางกลืนน้ำลายลงคอ มองปวีร์อย่างไม่แน่ใจว่าเรื่องความรักของเขาและการินจะถูกเปิดเผยแล้วหรือไม่

    “ฮึ! ที่ยอมแต่งเพราะมันเป็นหน้าที่หรอกนะ”

    การินแสร้งทำประชดเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องระหว่างเขากับกวิน แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าผู้เป็นอานั้น น่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความรักของเขามากพอสมควร



    จากนั้นทั้งหมดจึงนำเสื้อผ้าไปลองชุดมาให้ปวีร์ดู โดยไกรสรนั้นอยากตามไปช่วยรุจเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงที่ห้องแต่ก็เกรงว่าจะโดนไล่ตั้งแต่ที่ขอเสียก่อน เขาจึงได้แต่เพียงมอบดอกกุหลาบช่อโตส่งให้อีกฝ่าย แล้วมองตามตาละห้อยไปจนสองสาวนึกขำ

    “โธ่! พี่ชายฉัน เป็นเอามากนะนั่น ...จริงสิ ปกติเมติดวีไม่ยอมห่าง แบบนี้ด้วยหรือเปล่าน่ะ”

    ขวัญแก้วหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาคนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มแบบไม่รู้สึกรู้สาให้แทนคำตอบ ทว่าราเมศนั้นทำเป็นลุกเมินเดินหนีไปอีกทางแทน จนขวัญแก้วนึกหมั่นไส้

    “ฮึ! ใช่ซิ เรามันคนนอก บอกอะไรไม่ได้นี่นะ”

     ปวีร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้โกรธเขาจริงจังแต่อย่างใด เพราะว่าพอพวกหนุ่ม ๆ ปรากฏตัวในชุดธีมแต่งงาน ทั้งคู่ก็หันไปให้ความสนอกสนใจและตื่นเต้นกับพวกเขาเหล่านั้นแทน

    อีกด้านหนึ่งไกรสรที่เฝ้ารอคอยรุจอยู่ พอได้เห็นคนรักในชุดทักซิโด้สีขาวแบบนี้ ชายหนุ่มก็ถึงกับตกตะลึง และยืนมองอึ้ง ๆ อยู่สักพักจนรุจต้องเอ่ยทักทายก่อน

    “เป็นอะไรไปครับ ผมแต่งออกมาแล้วดูตลกงั้นหรือ”

    “อะ...ปะ เปล่า แต่เธอดูดีมากเลย...นี่เป็นครั้งแรกนะ ที่ฉันเห็นผู้ชายใส่สูทแล้วดูดีจนอยากจะตรงเข้าไปกอดแบบนี้น่ะ”

    ไกรสรเอ่ยออกไปตามตรง ทำให้คนฟังแย้มยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นจนคนรอบข้างรู้สึกตัว เสียงกระแอมจากใครหลาย ๆ คนจึงดังผสมปนเปกันไป จนคนทั้งสองชะงัก

    “ขัดจังหวะจริง ...งั้นไว้รอคืนนี้ค่อยมาสวีทกันต่อนะ จะได้ไม่มีพวกก้างขวางคอตามมาขัดอีก”

    ไกรสรหันมายิ้มหวานบอกกับรุจ ทำให้คนฟังเกิดนึกขำเสียยิ่งกว่าโรแมนติก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะเกรงว่าคนสูงวัยกว่าตนจะน้อยใจอีก

    “เอ้า! มองกันเองจนพอใจแล้ว ก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วมากินข้าวกันต่อ เดี๋ยววันนี้ฉันต้องไปคุมคนมาตกแต่งร้านให้เข้าบรรยากาศธีมแต่เช้าด้วย”

    คนอื่นมองชายหนุ่มตาปริบ ๆ โดยเฉพาะราเมศนั้นแอบลอบถอนหายใจเมื่อเห็นคนรักฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นอีกครั้ง

    “ไม่ต้องมองกันแบบนั้นหรอกน่า เพราะหลังจากหมดโปรโมชั่นรวมเล่มครั้งแรกของพวกนาย โครงการต่อไปก็คืออัลบั้มรวมเล่มเฉพาะกิจในแต่ละธีมพร้อมบทสัมภาษณ์ในธีมนั้น ๆ แยกขายเป็นเล่ม ๆ ถ้าบรรยากาศร้านไม่เข้ากับชุด มันก็ดูขัดตาใช่ไหมล่ะ”

    ปวีร์ขัดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนหนุ่ม ๆ แม้จะรู้เรื่องโปรโมชั่นกันก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นอัลบั้มที่ว่าสักที เพราะปวีร์เริ่มเปิดให้นำใบเสร็จมาแลกซื้อกันได้ในวันนี้นั่นเอง

    “ฉันพิมพ์เผื่อไว้ 100 เล่ม แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนใช้สิทธิ์แลกซื้อได้หมดนั่นหรอก ก็แค่สั่งเผื่อเอามาลงไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องสั่งพิมพ์ทีละสิบยี่สิบเล่ม มันเสียเวลาไปเอาน่ะ...อย่างวันนี้ขายได้สักยี่สิบเล่มก็ถือว่าทะลุเป้ามากแล้ว เพราะโปรโมชั่นเรามีอีกเป็นเดือน ...อืม ว่าแต่พวกนายสนใจซื้อเก็บไว้ไหมล่ะ ฉันคิดราคาโรงพิมพ์แบบไม่บวกให้เลยนะ เอาไหม”

    “ง่า...ต้องจ่ายด้วยหรือครับ” กวินพึมพำถามเบา ๆ ทำให้ปวีร์หันกลับมามองแล้วตอบคำถามของชายหนุ่ม

    “ก็ต้องจ่ายสิ ของซื้อของขายนี่ ...อ้อ ของอัลบั้มรวมชุดแรกน่ะ มีภาพตัวอย่างอัลบั้มชุดว่ายน้ำที่สระของคุณอนุชิตแถมท้ายเล่มด้วยนะ  ส่วนอัลบั้มชุดว่ายน้ำจะทำมาแบบลิมิเตท ซึ่งมีจำนวนจำกัดแค่  69 เล่มเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย และไม่ได้ใช้สิทธิ์แลกซื้อเหมือนกับอัลบั้มรวม แต่จะใช้เป็นสั่งจอง โอนก่อน แล้วค่อยพิมพ์แจกให้ลูกค้า เพื่อกันเบี้ยวทีหลังน่ะ”

    คนฟังคนอื่นเงียบกริบไปตาม ๆ กัน เพราะไม่คิดว่าตนจะโดนแอบถ่ายด้วยแบบนี้ ยกเว้นคนที่รู้เรื่องราวอยู่ก่อนแล้วที่พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ้างก็นึกเห็นใจคนถูกแอบถ่ายอยู่ไม่น้อย

    “ง่า...แพงมากไหมครับ ทั้งชุดรวมเล่ม กับชุดว่ายน้ำนั่นด้วย”

     กวินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปสอบถามปวีร์ พอได้ยินปวีร์บอกราคา ชายหนุ่มก็นิ่งคิดแล้วบอกออกไป

    “หักกับเงินเดือนแทนเลยได้ไหมครับ ผมจองไว้ทั้งสองชุดเลยครับ”

    พอได้ยินกวินพูดแบบนั้น การินที่อยู่ใกล้ ๆ ก็นิ่วหน้าแล้วย้อนถาม

    “นายจะซื้อมาเก็บทำไม ...อย่าบอกนะว่าอยากระลึกความหลังน่ะ”

    การินจ้องคนรักเขม็ง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอยากเก็บอัลบั้มไว้เพราะอยากดูรูปของวาโยในชุดว่ายน้ำ ก่อนหน้านั้น 

    “บ้ารึ! ฉันก็แค่อยากเก็บดูภาพในอดีตของพวกเราทุกคน...แล้วก็นายด้วยน่ะ”

     ท้ายประโยคกวินกระซิบกับอีกฝ่าย ทำให้การินหน้าแดงและเลิกซักต่อ ส่วนทางด้านภูริเองก็นิ่งคิด แล้วเดินไปบอกปวีร์หน้าตาเฉยว่าขอเผื่อตนด้วยอัลบั้มละ 1 ชุด ส่วนวาโยนั้นอยากได้เก็บไว้เหมือนกัน แต่แค่หักหนี้แต่ละเดือนเขาก็แทบไม่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัวแล้วด้วยซ้ำ

    “หวังว่าคุณไกรสรคงจะไม่สั่งเผื่อไว้แล้วใช่ไหมครับ”

    รุจที่เฝ้ามองอยู่หันไปแย้มยิ้มกับคนรักทำเอาไกรสรสะดุ้งแล้วแสร้งยิ้มเจื่อนกลบเกลื่อน ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจจากคนถามขึ้นมาทันที

    “มีแต่พวกเราหรือครับ ไม่มีรูปแอบถ่ายในครัว หรือแอบถ่ายคุณนนตอนใส่ชุดว่ายน้ำบ้างหรือครับ”

    ธีรัชถามปวีร์อย่างจริงจัง จนปวีร์เกือบหลุดหัวเราะออกมา เจ้าตัวจึงดึงแขนชายหนุ่มออกมาห่างคนอื่นแล้วจัดแจงกระซิบบางอย่าง ธีรัชตาโต แล้วพยักหน้าตกลงทันที

    “โอเคเลยครับ เดี๋ยววันนี้จัดเต็มให้เอง!”

    ธีรัชบอกแล้วก็เดินฮัมเพลงกลับขึ้นไปเปลี่ยนชุดเป็นคนแรก เพราะอยากจะลงมาช่วยชานนเตรียมอาหารต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้วยุ่งอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักเพราะปวีร์ไม่มีท่าทางจะเปิดเผยความจริงแต่อย่างใด และก็ต่างทยอยกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมากินอาหารเช้าด้วยเช่นกัน

   

    วันนี้ไกรสรหอบสมุดดีไซน์ปึกใหญ่ขึ้นไปที่ห้องของปวีร์ จึงทำให้เจ้าของห้องรับรู้ความจริงเรื่องที่ไกรสรตั้งใจจะขอกลับมาทำงานอยู่เมืองไทยแทน ปวีร์อมยิ้มนิด ๆ ด้วยความชื่นชมและมั่นใจแล้วว่า ไกรสรนั้นจะจริงจังกับพนักงานของเขาจริงอย่างที่เจ้าตัวเคยลั่นวาจาเอาไว้

    “วันนี้เห็นว่าจะขับรถไปเดทกันสองต่อสองใช่ไหมล่ะ  เอาเป็นว่าผมฝากดูแลเจ้าสาวให้ดี ๆ ด้วยแล้วกัน”

    ไกรสรเหลือบมองคนที่แซวเขานิด ๆ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

    “คงไม่ได้เลือกธีมนี้ เพื่อฉันหรอกใช่ไหม

    ปวีร์หลุดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยย้อนกลับไป

    “หลงตัวเองไม่เปลี่ยนเลยนะพี่... อืม แต่มันก็มีส่วนนิดหน่อยน่ะ ผมเห็นคนในครอบครัวแต่ละคนมีความสุข ผมก็อยากจะตอบแทนอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ คืนให้พวกเขาบ้าง... ก็หวังว่ามันจะเป็นกำลังใจให้พวกเขาแต่ละคู่ พร้อมจะสู้เคียงข้างกันและกันต่อไปวันข้างหน้าล่ะนะ”

    ไกรสรยิ้มน้อย ๆ ตอบ พลางหวนนึกถึงเรื่องบางอย่างก่อนที่เขาจะขึ้นมาด้านบนชั้นสองนี้

    “แต่ฉันว่านายทำร้ายจิตใจลูกค้าเราอย่างรุนแรงเลยนะนั่น ฉันเห็นแต่ละรายทำหน้าเสียดายกันแทบทั้งนั้น ...ถ้าวันนี้นายบอกว่า มีโปรถ่ายรูปคู่ทิ้งทวน รับรองแต่ละคนจะสั่งอาหารกินกันไม่อั้น จนเชฟนายทำไม่ทันเลยล่ะ”

    “ฮะ ๆ พี่ก็พูดเกินไป...” ปวีร์พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น และพอเขารับก็เป็นเสียงขวัญแก้วที่โทรมาจากด้านล่างนั่นเอง

    “วีจ๋า...รู้ไหมว่าธีมของเธอเสาร์นี้ทำให้พวกเด็ก ๆ โดนลูกค้าบ่นกันแค่ไหน แต่ละคนบอกว่าเสียดายที่โปรโมชั่นเลิกแล้ว ไม่งั้นรับรองสั่งไม่อั้นเพื่อขอถ่ายรูปให้ครบพนักงานทั้งร้านเลยทีเดียว...”

    ปวีร์ขมวดคิ้วแล้วหันไปมองไกรสรที่ยักไหล่ พร้อมกับยักคิ้วเป็นเชิงว่าบอกแล้วไหมล่ะส่งมา

    “ขนาดนั้นเลยหรือ ฉันคิดว่าเสาร์นี้จะโดนบ่นว่าธีมค่อนข้างเรียบง่ายเสียอีก... งั้นก็ช่วยฝากให้เด็กพวกนั้นปฏิเสธลูกค้าแบบอ่อนโยนนุ่มนวลแทนฉันด้วยแล้วกัน และถ้าช่วยเชียร์โปรใหม่นี้ให้ขายออกเยอะ ๆ ได้ ฉันจะแถมโบนัสพิเศษของเดือนนี้ให้ทุกคนด้วยล่ะนะ  อ้อ! ฝากบอกรุจด้วยล่ะ ว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรก็เชิญตามสบาย งัดลูกอ้อนแม่ยกที่มาสั่งขนมกลับบ้าน ให้เต็มที่เลยนะ!”

    พอปวีร์พูดจบปลายสายก็รับคำด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะวางสายไป ทำเอาคนฟังมองตาปริบ ๆ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “นายนี่มันน่ากลัวจริง ๆ ว่ะวี  ฉันชักอยากให้รุจลาออกจากร้านนายแล้วล่ะสิ”

    ปวีร์มองหน้าคนพูดแล้วยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเป็นต่อ

    “แต่เพราะเขาไม่ยอมลาออก พี่เลยต้องยอมออกจากที่โน่นมาอยู่เมืองไทยแทนใช่ไหมล่ะ”

    “ฮึ! ใช่สิ ก็เขาชอบที่นี่มากจนตัดใจทิ้งลำบาก แล้วถึงเขาจะตามไปด้วยกันได้ แต่ต้องเศร้าเพราะคิดถึงพวกนาย ฉันก็ใจร้ายพรากไปไม่ลงเหมือนกัน  สำหรับฉัน อยู่ที่ไหนก็ออกแบบชุดได้ทั้งนั้นล่ะนะ”

    ไกรสรตอบอีกฝ่าย ทำให้ปวีร์อมยิ้มนิด ๆ อย่างชื่นชม

    “พี่นี่โคตรพระเอกเลย ถ้าผมเป็นรุจก็คงหลงรักเหมือนกันนะนั่น”

    ไกรสรยิ้มกว้างก่อนจะชะงัก เมื่อคนที่เปิดประตูห้องเข้ามาและได้ยินเข้านั้นเงียบกริบ และมองทั้งคู่ด้วยแววตาเอาเรื่อง

    “แหม! ฉันอยากให้รุจเขาหึงฉันได้ครึ่งสักแฟนนายจังว่ะวี เป็นแบบนั้นฉันคงปลื้มตายเลย”

    ไกรสรหันมาบอกกับปวีร์อย่างไม่สนใจราเมศที่ทำตาดุมองพวกเขา ส่วนปวีร์นั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ พลางยักไหล่ จากนั้นไกรสรจึงปลีกตัวขอลงไปด้านล่าง และปล่อยให้คู่รักเคลียร์กันเอง โดยที่เขาไม่ขออยู่เป็นก้างขวางคอ

   

    วันนี้ลูกค้าก็ยังคงมากไม่แพ้เสาร์ที่แล้ว จนปวีร์นั้นนึกชมตัวเองที่ตัดสินใจไม่ผิดในการเพิ่มพนักงานใหม่ เพราะขืนปล่อยให้พนักงานประจำทำกันเองต่อไป  ไม่ใครก็ใครต้องมีการล้มหมอนนอนเสื่อกันไปก่อนแน่

    “วันนี้มีลูกค้าใช้สิทธิ์แลกซื้อไปแล้ว 45 เล่ม  แต่เท่าที่ดูนี่คงจะมีมาเพิ่ม เพราะแต่ละคนก็อยากได้เป็นสมบัติส่วนตัว มากกว่าแชร์กันดูเฉย ๆ ล่ะนะ”

    ขวัญแก้วรายงานไปตามสภาพที่ได้เห็นตลอดทั้งวัน และวันนี้ที่ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูดเกินกว่าที่ปวีร์คาดคิดไว้  ก็เพราะในช่วงเย็น ธีรัชนั้นออกมาโชว์ร้องเพลงรักโรแมนติกกล่อมลูกค้าที่ทานอาหารกันอยู่ในร้าน จนแฟนคลับของชายหนุ่มโต๊ะหนึ่งที่มีกันสี่คน ถึงกับสั่งอาหารเพิ่ม และแยกกันใช้สิทธิ์แลกซื้ออัลบั้มติดมือไปคนละเล่มเลยทีเดียว

    “สงสัยพี่วีต้องพิมพ์เพิ่มแล้วล่ะค่ะ” ขวัญตาเปรยบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้คนฟังยิ้มตอบ

    “พี่ว่ารอใกล้ ๆ หมดก่อนดีกว่า วันพรุ่งนี้อาจจะขายไม่ออกก็ได้นะ ขืนพิมพ์มาก่อน ก็ทุนจมพอดี”

    ขวัญตายิ้มตอบอย่างเข้าใจ ส่วนขวัญแก้วไม่ได้คิดอย่างนั้น ดูจากปฏิกิริยาของบางโต๊ะที่ใช้การจับสลากเพื่อแย่งสิทธิ์ในการครอบครองอัลบั้มแล้ว เธอมั่นใจว่าคนที่พลาดไป จะต้องมาที่ร้านอีกครั้งและใช้สิทธิ์แลกซื้อเป็นสมบัติเฉพาะของตัวเองอย่างแน่นอน

    “พวกเราจะอยู่กินข้าวมื้อค่ำกับเขาด้วยไหมรุจ”

    ไกรสรที่รอจนร้านเลิกหันไปถามคนรักของเขา รุจนั้นยิ้มน้อย ๆ ตอบ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากอยู่กับเขาสองต่อสองมากเพียงใด

    “แล้วแต่คุณสิครับ...ผมตามใจคุณอยู่แล้ว”

    พอได้ยินอีกฝ่ายตอบชายหนุ่มก็แทบจะยิ้มแก้มปริด้วยความยินดี ทำเอาปวีร์ที่เห็นต้องแอบขำ

    “ตามสบาย เอ้า! พวกเรามาส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปขึ้นรถกันหน่อยเร็ว!”

    ขาดคำของปวีร์แต่ละคนก็หันมามองกันเป็นตาเดียว ไกรสรยิ้มแป้นหน้าตาชื่นมื่นอย่างไม่อายใคร ส่วนรุจก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

    “จะไปค้างกันที่ไหนคะพี่ ...เผื่อจะแอบสโตกเกอร์ตามไป”

    ขวัญแก้วแกล้งแซวพี่ชายของเธอ ขณะที่นึกสนุกเดินมาส่งทั้งคู่ขึ้นรถเช่นเดียวกับคนอื่น

    “ไม่มีทาง รับรองว่าคืนนี้จะไม่ให้ใครขัดตอนเข้าหอแน่”

    รุจเหลือบมองคนพูดอย่างเอือมระอา แล้วก็ชะงักนิด ๆ เมื่อเห็นวาโยมองเขาคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง

    “มีอะไรหรือโย”  รุจถามรุ่นน้องของตน อีกฝ่ายหน้าแดงและมีท่าทางเอียงอาย ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาเสียงแผ่ว

    “ผม...เอ่อ...ขออวยพรให้คุณรุจมีความสุขในคืนนี้นะครับ”

    คนอื่น ๆ เงียบกริบ และก็ต่างหันไปกลั้นหัวเราะ แม้แต่ภูริยังอมยิ้มและดึงร่างเล็กมากอดอย่างเอ็นดู ส่วนรุจนั้นยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่ายแล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มวาโยเบา ๆ

    “ขอบใจ แต่แอบเสียดายนิด ๆ ที่คนเข้าหอด้วยไม่ใช่นายนะ”

    แค่นั้นเองวาโยก็หน้าแดงก่ำ ส่วนไกรสรหน้าหงิกและตัดบทสนทนาโดยการดึงตัวว่าที่เจ้าสาวเขาขึ้นรถไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ  ส่วนภูริก็กอดวาโยแน่นจนรุจที่หันมาเหลือบมองแอบขำ

    “...หวังว่าคืนนี้คงจะมีคนเข้าหอเป็นเพื่อนฉันบ้างนะ โชคดีล่ะ”

    รุจเปรยดัง ๆ แล้วโบกมือค่อย ๆ ก่อนจะขึ้นรถจากไป ทำให้คนที่ได้ยินต่างหน้าแดงบ้าง ครุ่นคิดหนักบ้าง ส่วนสาว ๆ ก็หัวเราะคิกคักกันไปมา จากนั้นพวกเขาจึงกลับเข้าไปในร้าน เพื่อทานมื้อค่ำร่วมกันต่อ

   

... END ...
สงวนสิทธิ์ของฉากเข้าหอ (ในแต่ละคู่)  ไว้สำหรับรวมเล่มโดยเฉพาะนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22 [ปิดโอนแล้วค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 15-12-2012 07:25:22
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[น่ารักอะทั้งรุจการินและวาโย :กอด1: :กอด1: :กอด1:


ปล.คุญปวีร์ยังเจ้าเลห์ไม่เปลี่ยนเลย :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22 [ปิดโอนแล้วค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 15-12-2012 13:28:02
อยากไปทำงานร้านนี้จริงๆ จะได้มีคู่กับเค้าบ้าง
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22 [ปิดโอนแล้วค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 20-12-2012 16:22:58
อ่านรวดเดียวจบ

น่ารักมากเลย

ไม่มีเปิดจองอีกรอบหรอค่ะ  อยากได้อ่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22 [ปิดโอนแล้วค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 20-12-2012 22:18:40
อ่านรวดเดียวจบ

น่ารักมากเลย

ไม่มีเปิดจองอีกรอบหรอค่ะ  อยากได้อ่ะ  อิอิ
ขอบคุณที่สนใจนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีรีปริ้นท์ค่ะ เพราะเพิ่งปิดไปเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นี้เอง คงต้องรอมีพิมพ์เรื่องใหม่ ถึงจะรีปริ้นท์เรื่องเก่าอีกรอบค่ะ ^^  แต่ตอนนี้ เรื่องใหม่ก็ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ เผลอดองยาวไปนิด--"
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 05-01-2013 21:09:28
พึ่งจะเข้ามาอ่านจนจบ ทำให้จองหนังสือไม่ทันเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 09-01-2013 17:04:35
น่ารักอ่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 05-02-2013 09:46:10
 :-[ :-[ ชอบมากมายเลยอะ
เรื่องสนุกมากเลย

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: PJansam ที่ 07-02-2013 21:53:07
นึกว่าจะคลอบคลุมไปถึงฉากเข้าหอด้วยนะคะเนี่ย55      :impress2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 10-02-2013 00:03:12
อ่านรวดเดียวจบ

สนุกมากเลยค่ะ ชอบมากกกกก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: ChaaChu101 ที่ 12-02-2013 22:11:20
เรื่องนี้น่ารักมากกกกกก
ชอบบๆๆ
อ่านรวดเดียวจบเลย
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 17-02-2013 18:29:26
หวานซะ น่ารักเชียวน้าาา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 12-04-2013 14:05:04


สนุกมาก ๆ ชอบทุกคู่เลย...น่ารักอ่ะ...

หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 21-04-2013 16:07:56
ตอนพิเศษน่ารักมากๆค่ะ :mew3:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 15-05-2013 16:26:16
ไกรสร ในที่สุดก็ต้องตามใจเจ้าสาวตัวเอง ทำงานที่ไทนแทน
เสียดาย อยากเห็นแต่ละคนเข้าหอ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 25-05-2013 18:03:09
อ่านจบแล้วค่ะคุณปัด เฮอ ... มีความสุข  :กอด1:
อ่านจนตามัวเลย 555 ขอไปพักสายตาก่อนนะคะ

ขอบคุณเรื่องที่น่ารักอบอุ่นและภาษาสวยๆนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 11-06-2013 13:48:25
เรื่องนี้น่ารักมากกกกก ตอนนี้ติดใจนิยายคุณปัทจนไม่อยากซื้อนิยายเล่มไหนๆ แล้วนะนี่

หยอดเงินเก็บเอาไว้รอซื้อของคุณปัทเวลารีปริ้นท์แล้วก็เรื่องใหม่ที่อ่านอยู่ด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สนุกๆ ที่เขียนมาให้อ่านนะคะ ทุกๆ เรื่องเลยค่ะ อ่านเรื่องไหนก็ชอบค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 19-12-2013 21:46:51
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน รวดเดียวจบ น่ารักมากๆ :กอด1: ฮาเร็มหนุ่มๆ  :hao6:  ขอบคุณนะค้าาา
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: FerFii3 ที่ 04-04-2014 04:03:42
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ค่ะ
อ่านรวดเดียวจบเลย น่ารักมากๆ  :-[
อ่านแล้วมีความสุข สบายใจไม่ ไม่ซีเรียสดีค่ะ
ให้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นนิดๆ ชอบจังค่ะ
แอบชอบคู่คุณไกรสรกับรุจเป็นพิเศษ อยากอ่านตอนพิเศษอีกจังเลย
(อยากอ่านของทุกคู่เลยยยยยย)
หนังสือหมดแล้วหรอคะ อยากได้มาเก็บไว้จังค่ะ  :hao7:
ปล*ถ้ามีเป็น ebook ด้วยจะดีใจมากเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nishiauey ที่ 16-08-2014 17:04:37
อ่านรวดเดียวจบเลย น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-08-2014 23:22:04
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ค่ะ
อ่านรวดเดียวจบเลย น่ารักมากๆ  :-[
อ่านแล้วมีความสุข สบายใจไม่ ไม่ซีเรียสดีค่ะ
ให้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นนิดๆ ชอบจังค่ะ
แอบชอบคู่คุณไกรสรกับรุจเป็นพิเศษ อยากอ่านตอนพิเศษอีกจังเลย
(อยากอ่านของทุกคู่เลยยยยยย)
หนังสือหมดแล้วหรอคะ อยากได้มาเก็บไว้จังค่ะ  :hao7:
ปล*ถ้ามีเป็น ebook ด้วยจะดีใจมากเลยค่ะ :)

แวะแอบมาโฆษณา ว่ากลางเดือนกันยายน 57 จะมีรีปริ้นท์รูปเล่มอีกรอบค่ะ แล้วเรือ่งนี้ก็มีออกฉบับอีบุคในเว็บ meb แล้วด้วย ใช้นามปากกาว่า p.pat ค่ะ  ส่วนวันรีปริ้นท์ไว้กำหนดวันแน่นอน จะมาตั้งกระทู้เป็นทางการที่ห้องซื้อขายในเล้าอีกทีนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่สนใจนิยายในรูปแบบหนังสือค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nookik ที่ 31-08-2014 14:27:02
น่ารักมากๆเลยค่ะ

อ่านรวดเดียวจบเลย >///<

หนูโยน่ารักน่ากอดมากมาย

ไม่อยากให้จบเลยค่ะ อิอิ

อ่านไปยิ้มไป มีความสุข ฟินนนนน >/////<
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 27-12-2014 11:15:26
เรื่องนี้อ่านกี่รอบก็สนุก อยากให้มีต่อมากจริงๆ ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 15-01-2015 16:04:36
เป็นเรื่องที่สนุกๆเบาๆ อ่านง่าย เหมาะสำหรับผ่อนคลายจากเรื่องเครียดๆเลยครับ
อ่านแล้วก็อยากให้มีคาเฟ่แบบนี้จริงๆ ผมคงได้ไปอุดหนุนบ่อยๆแน่
ขอบคุณผู้แต่งครับสำหรับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 23-01-2015 23:05:56
เรื่องนี้น่าระกอ่ะ
ชอบรุจกับการินเป็นพิเศษ 5555555
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: teamkoyza ที่ 24-02-2015 18:48:04
เป็น คาเฟ่ Y ในฝันเลยทีเดียว อ๊าย ไม่ต้องมี nc ก็ยังจิ้นได้ อย่างฟินๆแล้วละค่ะ
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 17-05-2015 22:52:50
อ่านกี่รอบกี่รอบก้สนุกอ่าาาาชอบเรื่องนี้มากกก
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-12-2016 12:01:11
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ

ปวีร์ชอบทำตัวเจ้าเล่ห์ ทีเล่นทีจริง เมเลยไม่รู้ตัวขนาดนั้น หรือเมซื่อเกิน 5555
วาโยน่ารักมากค่ะ เป็นนายเอกจริงๆ มีความแบ้วและคิดว่าตัวเองแมน ภูริทำขรึมนะ จริงๆแล้วก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าชอบ ชริ
การินเป็นคุณหนูที่ปรับตัวได้ดี แถมยังเข้าข้างวาโยด้วย ตกหลุมกวินจังๆเลยน้า
เป็นกวินก็เข้าใจได้ ก็วาโยน่ารัก ดีนะเลือกปรึกษาการิน เลยรู้ใจกันไป
รุจเหมาะกับไกรสรมากจริงๆ คนแบบนี้ต้องเจอคนรู้ทัน

คู่มาแรง ชานนกับธีรัช ปลื้มหนักมากเลยกลายเป็นรัก คนแก่กว่าก็หลงคนอ้อนซะงั้น

คู่ปยุตทรงพลแอบพีคค่ะ ปยุตแอบโหด ใจแข็งเกิน กว่าจะลงเอยนะ ต้องขอบคุณที่พาไปเที่ยวพอดี ไม่งั้นก็คงไม่สานต่อสักที

ขอบคุณมากนะคะ ตัวละครทุกคน มีความแตกต่างแต่ลงตัว
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-12-2016 13:15:25
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ

ปวีร์ชอบทำตัวเจ้าเล่ห์ ทีเล่นทีจริง เมเลยไม่รู้ตัวขนาดนั้น หรือเมซื่อเกิน 5555
วาโยน่ารักมากค่ะ เป็นนายเอกจริงๆ มีความแบ้วและคิดว่าตัวเองแมน ภูริทำขรึมนะ จริงๆแล้วก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าชอบ ชริ
การินเป็นคุณหนูที่ปรับตัวได้ดี แถมยังเข้าข้างวาโยด้วย ตกหลุมกวินจังๆเลยน้า
เป็นกวินก็เข้าใจได้ ก็วาโยน่ารัก ดีนะเลือกปรึกษาการิน เลยรู้ใจกันไป
รุจเหมาะกับไกรสรมากจริงๆ คนแบบนี้ต้องเจอคนรู้ทัน

คู่มาแรง ชานนกับธีรัช ปลื้มหนักมากเลยกลายเป็นรัก คนแก่กว่าก็หลงคนอ้อนซะงั้น

คู่ปยุตทรงพลแอบพีคค่ะ ปยุตแอบโหด ใจแข็งเกิน กว่าจะลงเอยนะ ต้องขอบคุณที่พาไปเที่ยวพอดี ไม่งั้นก็คงไม่สานต่อสักที

ขอบคุณมากนะคะ ตัวละครทุกคน มีความแตกต่างแต่ลงตัว
หัวข้อ: Re: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 20-12-2016 12:56:18
น่ารักทุกเลย
หนูวาโยน่ารักมากๆ