Miracle Café / 24
วาโยหน้าร้อนวูบวาบใจเต้นแรง กับท่าทางที่ดูผิดแปลกไปของภูริซึ่งแสดงกับเขา แต่พอถูกขวัญแก้วทัก เขาก็รีบปั้นสีหน้ายิ้มแย้มออกไปเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้
“มีใบเสร็จที่จะใช้สิทธิ์ได้สองใบน่ะค่ะ ถ้าจะขอถ่ายรูปกับน้องโยรูปหนึ่ง และอีกรูปให้น้องโยถ่ายกับพนักงานของร้านแทนพวกเราจะได้ไหมคะ”
ลูกค้าสาวสองคนนั้นลองถามขวัญแก้ว ซึ่งเธอก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบรับตามมาอย่างไม่ต้องคิดนานนัก
“ถ้าแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ ว่าแต่ต้องการเรียกใครมาถ่ายกับโยเขาล่ะคะ”
“คุณภูริ / คุณกวิน ค่ะ!”
ทั้งสองสาวพูดขึ้นพร้อมกันแล้วหันมาเขม่นกันแทน
“เอ๊ะ! ฉันก็บอกแล้วไงว่าคุณภูริเหมาะกับน้องโยเขามากกว่า”
“แต่ฉันว่าคุณกวินเข้ากันมากกว่า เป็นอลิซก็ต้องคู่กับกระต่ายขาวสิ!”
สองสาวแง่ง ๆ ใส่กันจนขวัญแก้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะลองเสนอความเห็นบางอย่าง
“งั้นก็ให้ทั้งภูริและกวินมาถ่ายพร้อมวาโยดีไหมคะ เพราะเขาสองคนก็แทนคุณสองคนพอดีเลยไงล่ะคะ”
ทั้งสองสาวมองหน้ากัน นิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“งั้นก็ดีค่ะ โยจ๊ะ ไปตามภูริ กับ กวินมาทีสิ”
วาโยยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเดินไปบอกกวิน กับภูริให้มาถ่ายรูปด้วยกันกับเขา สำหรับรูปแรกที่เขาถ่ายกับสองสาวนั้น ผ่านไปได้ด้วยดี พอมาถึงรูปที่สองนี่สิ ทั้งคู่ช่วยกันจัดแจงท่าทางให้พวกเขาทั้งสามเสียยกใหญ่
“คุณวินขา โอบเอวด้วยสิคะ!”
กวินกลืนน้ำลายลงคอ ถึงจะดีใจแต่ก็กลัวว่าวาโยจะโกรธเอา
“ไม่เป็นไรหรอกวิน ทำไปเหอะ”
วาโยบอกกับอีกฝ่ายอย่างไม่ถือสาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทนั้นแอบคิดไม่ซื่อกับตัวเองมาก่อน
“คุณภูริคะอย่าน้อยหน้านะคะ โอบไหล่เลยค่ะ!”
สาวอีกคนเชียร์บ้าง ทำเอาภูริยิ้มเจื่อน ๆ เขามองวาโยซึ่งอีกฝ่ายก็หน้าแดงนิด ๆ แต่ก็ยังพยักหน้าอนุญาต
“เอาล่ะ ถ่ายนะจ๊ะ!”
ขวัญแก้วบอกแล้วนับถอยหลัง และเมื่ออีกฝ่ายกดชัตเตอร์เรียบร้อย ทั้งสามคนก็ขออนุญาตแยกย้ายกันไปทำงานต่อ ซึ่งสองสาวผู้เป็นลูกค้าก็กล่าวขอบคุณทั้งสาม และต่างรอให้ขวัญแก้วพิมพ์ภาพ และรอไฟล์จากกล้องของเธอมาเก็บไว้ต่อไป
“เฮ้อ! หลัง ๆ มานี่ลูกค้าชอบขอให้โพสท่าแปลก ๆ กันเยอะเชียวแฮะ”
วาโยบ่นเบา ๆ แต่สองหนุ่มกลับเงียบไม่พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกขอบคุณลูกค้าสองสาวที่ทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับวาโยขนาดนั้น
“ไปขอรูปมาเก็บมั่งดีไหมเนี่ย”
กวินเผลอหลุดความในใจออกมา ทำเอาวาโยกับภูริมองมาที่เขาเป็นตาเดียว
“ง่า...ก็แบบน่าเก็บสะสมดีไง นี่ฉันยังว่าจะขอไฟล์พ่อบ้านเสาร์ก่อนมาเก็บไว้เลยนะ”
กวินรีบแก้ตัว ทำให้วาโยนิ่งนึกตามแล้วพยักหน้ารับรู้
“ก็เข้าท่านะ แต่บางรูปมันก็ค่อนข้างน่าอายพิกล”
วาโยบ่นเบา ๆ ส่วนกวินลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างรู้ทันของภูริ กวินจึงส่งสายตาพยักเพยิดขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายบอกออกไปว่าเขาไม่ได้คิดแค่อย่างที่พูดกับวาโยจริง ๆ
“ก็ดีเหมือนกัน...ฉันขอเก็บไว้บ้างดีไหมนะ”
ภูริเปรยขึ้นบ้าง ทำให้กวินกัดฟันกรอดเล็กน้อย เพราะไป ๆ มา ๆ อีกฝ่ายก็ไม่แตกต่างจากเขาเท่าใดนัก
“ง่า...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
วาโยที่รู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ เมื่อเห็นสายตาที่ทั้งสองคนนั้นจ้องกัน รีบเอ่ยปากขอตัวไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ ส่วนการินก็กลับมาประจำด้านใน เพราะด้านนอกนั้นไม่มีลูกค้านั่งอยู่แล้ว เนื่องจากพอตกค่ำ ถึงอากาศจะเย็นลง แต่ก็เสี่ยงยุงกัดอยู่เหมือนกัน
“สงสัยต้องให้อา ไปหาสมุนไพรมาปลูกกันยุงไว้ด้านนอกบ้างแล้วล่ะ”
กวินหันไปมองคนบ่นอย่างประหลาดใจ แล้วย้อนถาม
“มีด้วยหรือสมุนไพรที่กันยุงได้น่ะ”
การินหันมามองคนถาม เขายักไหล่นิด ๆ แล้วทำหน้าแบบที่กวินรู้สึกหมั่นไส้ เจ้าตัวคันปากยิบ ๆ แต่ก็ยังคงอยากได้คำตอบ จึงทนรอคอยเงียบ ๆ การินเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ก็เท่าที่รู้ก็พวกสมุนไพรกลิ่นแรงหน่อย ๆ อย่างตะไคร้หอม หรือไม่ก็พวกที่ปรับปรุงพันธุ์มาโดยเฉพาะอย่างต้นมอสซี บัสเตอร์ นั่นยังไงล่ะ”
กวินขมวดคิ้ว พลางทวนคำอย่างสงสัย
“มอส ๆ อะไรนะ”
“มอสซี บัสเตอร์...เอาเหอะ คืนนี้เดี๋ยวเอาหนังสือไปให้ดูแล้วกัน”
การินตัดบท เพราะขืนมัวแต่ยืนอธิบายกันกลางร้านแบบนี้ ก็คงไม่ได้ทำงานกันต่อพอดี
“โอเค อย่าลืมด้วยล่ะ น่าสนใจดีนะ ต้นไม้ไล่ยุงได้ด้วยแบบนี้”
กวินบอกแล้วยิ้มแย้มร่าเริง ก่อนจะไปทำงานต่ออย่างอารมณ์ดีจนการินแปลกใจ
“ไปเจออะไรดี ๆ มาหรือไงหมอนี่ พิลึกแฮะ”
ชายหนุ่มหน้าสวยบ่นเบา ๆ แล้วจึงเดินไปคอยดูแลโต๊ะที่มีลูกค้านั่งอยู่ จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาปิดร้าน ลูกค้าคนอื่นเริ่มทยอยกันออกไปจนเกือบหมด เหลือแต่เพียงไกรสรที่นั่งสบาย ๆ อยู่คนเดียว
“พี่ไกรขา ร้านจะปิดแล้วนะคะ คิดจะนั่งแช่ถึงตอนไหนคะเนี่ย!”
ขวัญแก้วออกมาหาพี่ชายของเธอแล้วเอ่ยแซว เพราะเธอนั้นรู้ดีว่าพี่ชายรออยู่เพื่อต้องการจะกลับพร้อมกับพวกเธอนั่นเอง
“พอดีนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเงินติดตัว เลยคิดว่าจะรอล้างจานตอนร้านปิดแทนน่ะ”
ไกรสรบอกยิ้ม ๆ ทำให้หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ส่วนคนอื่นพากันยิ้มน้อย ๆ เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจะเป็นเรื่องจริง ที่สำคัญต่อให้ชายหนุ่มกินฟรีก็ไม่น่าจะมีปัญหาด้วยซ้ำ
“งั้นก็เช็คบิลเลยก็ได้ ทุกคนจะได้พักกันสักที...อืม... เธอน่ะมานี่หน่อยสิ”
ไกรสรเจาะจงเรียกวาโยทำให้คนอื่นหันมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย
“คิดเงินให้ด้วยเลยแล้วกัน รับบัตรเครดิตด้วยใช่ไหม”
วาโยพยักหน้าหงึก ๆ แล้วไปรวบรวมบิลจากรุจมาคิดเงินอีกฝ่าย เมื่อจัดการชำระเงินเรียบร้อย ไกรสรก็จับมือของวาโยที่เตรียมจะหยิบสมุดเดินบิลกลับไป
“เอ้า! นี่ทิป ...อย่าลืมเมมชื่อฉันเก็บไว้ล่ะ แล้วถ้ามีอะไรเดือดร้อนก็โทรมาได้เสมอ ฉันยินดีช่วยทุกอย่าง”
ไกรสรหยิบนามบัตรของเขาจับใส่มือของอีกฝ่ายพลางยกขึ้นจูบเบา ๆ ทำเอาวาโยตัวแข็งทื่อ หน้าแดงวาบ ส่วนขวัญแก้วที่มองอยู่ถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว
“กรี๊ด! พี่ไกร! ทำยังงี้ได้ยังไงกันคะ! ห้ามเลยนะ อย่ามายุ่งกับพนักงานของที่นี่นะ!”
“อะไรกันแก้ว พี่ยังไม่ได้ยุ่งสักหน่อย ก็แค่ถูกชะตาน้องเขาก็เลยให้เบอร์ไว้ก็แค่นั้นเอง”
ไกรสรบอกพลางยักไหล่ แล้วยกยิ้มนิด ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นปฏิกิริยาแปลก ๆ ของหนุ่มคนอื่นโดยเฉพาะภูริ และกวิน
“ไม่ได้ ๆ เจ้าชู้ตัวพ่อ แถมเปลี่ยนหญิงควงไม่เว้นแต่ละวันแบบพี่นี่ ให้เข้าใกล้น้องโยของแก้วไม่ได้หรอก เดี๋ยวน้องเขามีมลทินหมด”
ขวัญแก้วบอกหน้าตาเฉย ทำเอาคนอื่นหันมามองไกรสรตาปริบ ๆ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะแก้ตัว ขวัญตากับปวีร์ก็เดินออกมาจากครัวด้วยกัน
“อะไรกันคะ ใครจะยุ่งกับใครหรือคะพี่แก้ว”
ขวัญตาถามพี่สาวของเธอ ซึ่งขวัญแก้วก็รีบบอก
“ก็พี่ไกรน่ะสิยัยตา ให้นามบัตรน้องโย แถมยังอ่อยน้องเขาอีก”
ไกรสรขมวดคิ้วยุ่งกับคำพูดที่ได้ยินจากปากน้องสาว
“อ่อยบ้าบออะไรกัน เรานี่ชักเลอะเทอะใหญ่แล้ว ก็รู้ ๆ อยู่ว่าพี่ชอบแต่ผู้หญิง แล้วน้องเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือไง”
ไกรสรบอกตามมา ทำให้ขวัญแก้วหยุดคิดแล้วนิ่วหน้า แต่ปวีร์กลับแทรกขัดขึ้นมาบ้าง
“ใครจะไปรู้ ไปอยู่อเมริกามานาน รสนิยมอาจจะเปลี่ยนก็ได้...จริงไหม”
สองสาวสะดุ้งแล้วจ้องพี่ชายของพวกเธอตาดุ ๆ ทำให้ไกรสรยกมือยอมแพ้
“โอเค ๆ รับรองว่าไม่ล่วงเกินน้องเขามากไปกว่านี้หรอกน่า บอดี้การ์ดออกจะเพียบขนาดนี้ พี่ไม่คิดเสี่ยงหรอก”
“ฮึ! ให้มันจริงเหอะ พี่น่ะไว้ใจได้เมื่อไหร่ ปีนหน้าต่างย่องหาลูกสาวเขาก็หลายหนแล้วไม่ใช่หรือไง!”
ขวัญแก้วประชด เธอยอมรับว่านับถือพี่ชายของตัวเองอยู่มาก ยกเว้นอย่างเดียวเรื่องนิสัยเสียเกี่ยวกับผู้หญิง ไกรสรนั้นทำให้หนุ่มเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างธีรัชกลายเป็นลูกแมวตัวน้อย ๆ ไปเลยด้วยซ้ำ
“แย่จัง... โดนน้องสาวเผาต่อหน้าชาวบ้านแบบนี้ เล่นเอาไม่เหลือดีเลยแฮะ”
ไกรสรบอกแล้วยิ้มให้กับวาโย อีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ๆ ตอบ ขณะกำลังคิดว่าจะปลอบอะไรดี ปวีร์ก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“อ้าว! ไม่ใช่ไม่มีดีให้เหลือแต่แรกแล้วหรือครับ”
ไกรสรแค่นยิ้มให้คนพูด และก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไป ราเมศก็เอ่ยตัดบทขึ้นเสียก่อน
“เอ้า! ไปเตรียมกินข้าวกันดีกว่า จะได้เก็บร้านให้เรียบร้อย แล้วกลับบ้านไว ๆ”
ทั้งหมดเหลือบดูนาฬิกา เหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลาปิดร้าน ดังนั้นจึงไม่น่ามีใครมาใช้บริการแล้ว วาโยจึงวิ่งเหยาะ ๆ ไปเอาป้ายร้านพลิกกลับเป็น Close แทน แต่พอกลับมาเขาก็ต้องยืนลังเลไม่กล้าเดินผ่านเข้าไป เพราะเห็นไกรสรดักรออยู่แถมยังโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ให้เขาอีก อีกด้านหนึ่งรุจที่กำลังเดินเข้าครัวตามคนอื่นไป หันมาเห็นทั้งคู่เข้าพอดี เขาจึงเดินย้อนกลับมา
“เป็นอะไรไปโย ยืนอยู่ทำไมล่ะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ คือ”
วาโยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และยิ้มเจื่อน ๆ ให้ รุจเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วเปรยบอก
“คุณไกรสรเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรหรอกน่า... เขาก็แค่แหย่นายเล่นแค่นั้นล่ะ”
ไกรสรมองคนสวมสูทน้ำเงินที่อยู่แถวนั้นแล้วเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างแปลกใจ
“แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่เอาจริงล่ะ…”
รุจเหลือบมองคนพูด ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ พร้อมเปรยขึ้นขณะที่เดินผ่านชายหนุ่มไปโอบบ่าวาโยให้เดินกลับมาพร้อมตนเอง
“จะเรียกว่าคาดเดาก็คงได้มั้งครับ ...เพราะผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังสนุกที่จะใช้โยแหย่พวกเราบางคนให้หงุดหงิดได้มากกว่า”
ไกรสรผิวปากหวือตามหลังทั้งคู่ไปอย่างนึกทึ่ง เขาคิดว่าจะมีแต่ปวีร์ที่พอจะรู้เท่าทันความคิดของเขาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอื่นที่จับผิดเขาได้ง่าย ๆ แบบนี้อีก
“ร้านนายนี่มันมีแต่คนน่าสนใจจริง ๆ ด้วยล่ะนะวี ...สงสัยพักร้อนครั้งนี้ฉันคงจะไม่เบื่อแล้วล่ะนะ”
ชายหนุ่มพึมพำอย่างถูกใจ แล้วจึงเดินปิดท้ายตามเข้าไปในครัว เพื่อร่วมรับประทานอาหารในมื้อค่ำนั้นด้วยอีกคน
เมื่อพนักงานแต่ละคนรวมถึงพวกไกรสรและสองสาว ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านพักแล้ว ทว่าปวีร์ก็ยังคงไม่ได้กลับไปเช่นดังคนอื่น ๆ เขาขึ้นไปบนชั้นสองที่ห้องทำงานของตนต่อ จนราเมศต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินตามไป
“ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ”
“...อืม อยากคิดอะไรเงียบ ๆ อีกสักพักแล้วค่อยกลับน่ะ”
ปวีร์บอกแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย ราเมศถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหาคนที่นั่งลงบนเก้าอี้ พลางจับหมุนตัวมาเผชิญหน้าแล้วกักร่างของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน
“โกรธเรื่องที่ฉันไม่ให้คำตอบนายแน่นอนไปเลยหรือเปล่า”
ปวีร์จ้องอีกฝ่ายแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้
“แค่นายไม่รังเกียจกัน แค่นั้นฉันก็พอใจแล้วล่ะ ...”
“ปวีร์...” ราเมศพึมพำ เขาใช้มือไล้เส้นผมยาวอ่อนนุ่มที่หล่นมาปิดบังใบหน้าออกทัดหูอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยฟันที่ตนเองทำไว้
“เจ็บไหม...”
“ไม่หรอก ตอนนั้นก็แค่ตกใจที่ถูกเอาคืนแบบนั้นมากกว่า”
ปวีร์บอกขำ ๆ เพราะหลังจากบอกความในใจออกไปเมื่อตอนบ่าย ราเมศก็นิ่งเงียบไปนานและไม่พูดอะไรอีก จนเขาขัดใจ เลยแกล้งกัดซอกคออีกฝ่าย ใครจะคิดล่ะว่าราเมศจะเอาคืนด้วยการกัดติ่งหูเขาตอบแบบนั้น
“...ปวีร์ นายชอบฉันจริง ๆ สินะ ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม”
ราเมศถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังผิดเคย ปวีร์ยิ้มตอบเศร้า ๆ บางทีเขาคงจะปิดบังและใช้การล้อเล่นกลบเกลื่อนความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป จนราเมศไม่แน่ใจคำบอกรักของเขาขึ้นมาเช่นนี้
“ฉันชอบนาย...หรือจะเรียกรักก็ได้... ถ้าจะให้มันฟังดูลึกซึ้งขึ้นล่ะนะ”
ชายหนุ่มยังไม่วายแกล้งกระเซ้า แต่คนฟังตอนนี้กลับเงียบไปสักพักแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ใครจะไปจำได้...เรื่องเป็นสิบ ๆ ปีแบบนั้น”
ปวีร์เปรยเบา ๆ ทำเอาราเมศชะงัก เขามีสีหน้าหม่นหมองลงจนปวีร์ใจหาย
“อย่าคิดมากน่าราเมศ...ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย...ฉันชอบนายเองนี่ แล้วก็ช่วยไม่ได้ด้วยที่นายไม่เคยรู้ เพราะฉันก็ไม่คิดจะบอก...จนกระทั่งวันนี้”
คนที่รู้ใจกันดีเสียยิ่งกว่าคนในครอบครัวเอ่ยทัก ราเมศรวบร่างของปวีร์ขึ้นมากอดแน่น แล้วพึมพำขอโทษเบา ๆ ส่วนปวีร์เองก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วกอดตอบ ทั้งคู่อยู่ในสภาพนั้นสักพักก่อนที่ปวีร์จะเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดออกก่อน
“ต้องขอบคุณธีรัชนะ ถ้าเขาไม่จีบฉัน แล้วนายทำเหมือนหึงให้ฉันพอมีหวัง ฉันก็ไม่คิดจะบอกออกไปหรอก ฉันกลัวนายรังเกียจฉันแล้วหนีไปน่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงร้องไห้แน่เลย…จริง ๆ นะ”
ปวีร์บอกแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนฟังนี่สิรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ที่ทำให้คนตรงหน้าต้องรู้สึกแบบนั้น
“ขอโทษจริง ๆ ...”
“อย่าย้ำนักสิ...ขอโทษบ่อย ๆ แบบนี้ มันฟังเหมือนนายกำลังจะปฏิเสธไม่รับรักฉันเลยนะ”
ปวีร์บอกตามมา ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง
“ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้จะปฏิเสธ...”
ราเมศบอกออกไปแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อคนตรงหน้าเขากำลังรอฟังคำตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เฮ้อ! ก็ได้ ๆ ....ฉันไม่รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนาย แต่แน่นอนว่าฉันไม่นึกรังเกียจนายสักนิด ...ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม... ส่วนเรื่องชอบนั่น ...จะเรียกว่าชอบไปแล้วได้ไหม ก็ไม่รู้หรอกนะ...”
ราเมศโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเนียนนั่นโดยที่ปวีร์ไม่ทันตั้งตัว
“...แต่ที่รู้ ๆ นับต่อแต่นี้ ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างนาย และจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งนายไปจากฉันแน่”
ปวีร์ที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์นิ่งอึ้งไปตั้งแต่ถูกจูบที่หน้าผากแล้ว ยิ่งพอมาฟังคำสารภาพตามมาของราเมศ เขาก็ค่อย ๆ ก้มหน้าซบลงกับอกของอีกฝ่าย ราเมศรู้สึกถึงความชื้นน้อย ๆ ที่แผ่นอกของตน เขายิ้มออกมาอย่างเป็นสุขพร้อมกับกอดกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก
“ขอบใจนะราเมศ...ขอบใจจริง ๆ”
ปวีร์กระซิบพึมพำ ทำให้คนฟังอมยิ้ม ราเมศกอดชายหนุ่มอยู่เช่นนั้นสักพัก จนกระทั่งเริ่มรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง และคิดว่าหากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไป น่ากลัวมันจะไม่จบแค่การกอดเฉย ๆ เสียแล้ว
“เอิ่ม...กลับบ้านกันดีกว่า ป่านนี้ปยุตเป็นห่วงแย่แล้ว”
ปวีร์เงยหน้ามองคนพูดยิ้ม ๆ พอจะคาดเดาอะไรได้บ้างอยู่หรอก ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับพลางแสร้งเปรยบอกบางอย่าง
“กลับก็กลับ...ฉันก็ไม่อยากค้างคืนในห้องที่ไม่มีเตียงหรอกนะ ...เอ หรือจะซื้อเตียงมาไว้ในนี้ดี”
“ปวีร์!”
ราเมศเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเขิน ทำเอาปวีร์ต้องหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะถูกชายหนุ่มที่ตอนนี้ขยับฐานะมาเป็นคนรู้ใจใกล้ชิดกว่าเดิม ประคองกอดออกจากห้องตรงไปที่รถ เพื่อขับกลับบ้านต่อไป
... TBC ...
**ว่าจะแทรกฉากย้อนอดีตประทับรอยฟัน แต่คิดไปคิดมา เอาเป็นฉากหวาน ๆ แล้วเขียนถึงว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นแบบนี้แทน น่าจะเหมาะกว่า หวังว่าคงจะแทนกันได้นะคะ ^^
ขอบพระคุณผู้อ่านที่แวะเวียนมาอ่าน และทักทายกันค่ะ
