[...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [...Miracle Café...] คาเฟ่อลวน-คนอลเวง / +ตอนพิเศษให้อ่านแถม P.22  (อ่าน 223024 ครั้ง)

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
กวินกับการินแน่เลย
ส่วนโยก็คูกับเจ้านานฮ่าๆ
เหลืออีก2คน คงกินกันเอง
อิอิ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
กรี๊ดมากค่ะ น่ารักอ่ะชอบวาโย

แต่อ่านแล้วสำนวนคุ้นๆ ไม่ทราบว่าเคยแต่งเรื่องในเด็กดีหรือเปล่าคะ

^^ เห็นชื่อปัดเหมือนกันด้วย

ในเด็กดี มายไอดีใช้ชื่อ ปัทม์ ค่ะ (pat104)  แต่งเรื่องยาว ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีอาทิเช่น เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต  เครื่องรางพิศวง  D.D. บริษัทขนส่งไม่จำกัด เป็นต้นค่ะ   (ส่วนใหญ่ที่ลงในนั้นจะเป็นแนวแฟนตาซีแทบทั้งนั้นค่ะ)



งั้นก็เข้าใจถูกแล้วสินะคะ ^^ ตามอ่านในเด็กดีด้วยเหมือนกัน

อ่านทั้ง 2 เรื่องเลยค่า สนุกมาก

เรื่องที่ลงในนี้ส่วนใหญ่ก็ตามอ่านเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^^

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2012 14:36:10 โดย Xenon »

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
ในเด็กดี มายไอดีใช้ชื่อ ปัทม์ ค่ะ (pat104)  แต่งเรื่องยาว ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีอาทิเช่น เรื่องป่วน ๆ ของก๊วนยมทูต  เครื่องรางพิศวง  D.D. บริษัทขนส่งไม่จำกัด เป็นต้นค่ะ   (ส่วนใหญ่ที่ลงในนั้นจะเป็นแนวแฟนตาซีแทบทั้งนั้นค่ะ)


งั้นก็เข้าใจถูกแล้วสินะคะ ^^ ตามอ่านในเด็กดีด้วยเหมือนกัน

อ่านทั้ง 2 เรื่องเลยค่า สนุกมาก

เรื่องที่ลงในนี้ส่วนใหญ่ก็ตามอ่านเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^^

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
เพิ่มมาอีก1หนุ่ม(หน้าสวย)
กวิน หาริน ชื่อคล้ายๆ กัน มีแววจะคุ๋มั้ยไม่รุ้
แต่คงมีการกัดกันบ่อย(รึป่าว)

รอหนุ่มคนต่อไป

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
หนุ่ม ๆ ในร้านมากันครบแล้วค่ะ ^^
ที่เหลือก็รอวันเปิดร้าน อีกไม่กี่ตอนแล้วจ้ะ   

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะมาทักทายกันนะคะ
:pig4:


Miracle Café /5



   วาโยกับกวินนั่งรออยู่สักพักการินก็ลงมาสมทบ ส่วนปวีร์นั้นกลับไปตั้งแต่ที่ส่งการินขึ้นห้องไปแล้ว หลังจากนั้นทั้งสามก็รออยู่สักพัก พวกเขาจึงเห็นชานนเดินกลับมาพร้อมกับข้าวถุงใหญ่ ทว่าชายหนุ่มนั้นไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขามีชายหนุ่มอีกสองคนต่างฝ่ายต่างก็สะพายกระเป๋าย่ามใบใหญ่ มากันคนละใบ

    ชายทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างสูงเพรียวได้สัดส่วนชนิดที่เรียกได้ว่าหุ่นนายแบบ แถมยังหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นสะดุดตาและดูเหมือนจะมีเชื้อต่างชาติปนอยู่ด้วย เพราะผมของเจ้าตัวนั้นจะออกสีน้ำตาลอ่อน แถมดวงตายังมีสีเขียวใสผิดแปลกจากคนไทยทั่วไป  ส่วนอีกคนที่เดินมาด้วยกัน ก็สูงไล่เลี่ยกันไม่มากนัก แต่บุคลิกกลับแตกต่างคนละแบบ เพราะเจ้าตัวดูสุขุมนุ่มลึก ใบหน้าใต้แว่นตากรอบดำก็ดูดี และมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้ เมื่อเห็นว่ามีใครกำลังมองตนอยู่

   “พอดีผมเจอทั้งสองคนด้านนอกนั่น เลยชวนเข้ามาด้วยกันเสียเลยน่ะครับ”

   ชานนอธิบายกับทั้งสามคนที่มองอยู่ การินกับวาโยพยักหน้ารับรู้ แต่กวินนั้นพึมพำกับตัวเองค่อนข้างดัง

   “คุณเจ้าของร้านนั่นเขาจะเปิดโฮสต์คลับหรือไง ...คัดพนักงานมาแต่ละคนนี่เอามาเป็นดาราได้สบาย ๆ”   

   วาโยหันไปมองรูมเมทตาปริบ ๆ แล้วลอบมองแต่ละคนที่ยืนอยู่ พอมาคิดถึงตัวเองก็รู้สึกว่าตนนั้นช่างแตกต่างเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะทำแจกันใบนั้นตกแตก ก็คงไม่ได้มาทำงานร่วมกับคนอื่นที่นี่แน่

   “เอ้า! นี่กุญแจห้อง ...พวกคุณอายุมากกว่าพวกเราสินะ”

   กวินที่ยื่นกุญแจห้องเบอร์หนึ่งทั้งสองดอกส่งให้สมาชิกที่เพิ่งมาใหม่ เอ่ยถาม ทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเองทีละคน

   “ฉันชื่อภูริ อายุ  23  รู้จักกับคุณปวีร์ตอนเขาไปดื่มที่คลับ ฉันเป็นนักดนตรีอยู่ที่นั่นน่ะ คุณปวีร์เขาชวนมาทำงานที่นี่ แล้วฉันก็เห็นเงินเดือนกับสวัสดิการมันดี ฉันเลยตกลงมาทำงานกับเขา พวกนายจะเรียกชื่อฉันเฉย ๆ ก็ได้ เพราะดูแล้วพวกนายก็อายุห่างกับฉันไม่มากไม่ใช่หรือ”

   “พวกเราอายุ 22 ...นายด้วยหรือเปล่าริน”

   การินมองคนที่ตีสนิทเรียกชื่อเล่นของเขาโดยไม่ได้ขอ ตาปริบ ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายยังหาเรื่องเขาอยู่แท้ ๆ

   “อืม”  ชายหนุ่มหน้าสวยรับคำสั้น ๆ ทางด้านกวินพอได้คำตอบก็หันไปมองภูริและอีกคนต่อ

   “ส่วนฉันชื่อรุจ  ฉันอายุ 24 มากกว่าพวกนายก็จริง แต่ฉันเองก็ไม่ถือหรอกถ้าจะเรียกชื่อกันเฉย ๆ น่ะ”

   รุจบอกแล้วยิ้มแย้มอย่างใจดี จากนั้นชายหนุ่มก็รับกุญแจห้องจากกวินมาเช่นเดียวกับภูริ ส่วนชานนนั้นบอกกับทุกคนว่าถ้าใกล้เที่ยงและเตรียมอาหารเสร็จแล้ว เขาจะไปตามที่ห้องอีกที

   “งั้นไปนั่งเล่นในห้องดีกว่า ...นี่ถ้าฉันรู้ว่ามีตู้หนังสือใหญ่แบบนั้นให้ด้วย ฉันขนการ์ตูนจากบ้านมาไว้ด้วยก็ดี”

   กวินบอกขณะที่เดินกลับขึ้นไปบนห้องพักเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

   “ฉันว่าแทนที่จะเอาหนังสือพวกนั้นมาวาง นายน่าจะไปหาพวกหนังสือมารยาท หรือหนังสือเกี่ยวกับงานบริการมาอ่านเสียมากกว่าล่ะนะ”

   การินเปรยอย่างหมั่นไส้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ค่อยถูกชะตาคนอย่างกวินนัก

   “งั้นห้องนายก็คงต้องมีแต่หนังสือแนว วิธีสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือ การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้คน วางเต็มไปหมดล่ะสินะ”

   กวินสวนพร้อมกับยิ้มเยาะ ทั้งที่มั่นใจตัวเองว่าเขาสามารถปรับตัวเข้าได้กับคนทุกประเภท แต่พอเจอคนแบบการิน มันก็ทำให้เขาอดหมั่นไส้และชวนที่จะคอยหาเรื่องไม่ได้สักที

   “...ทั้งสองคน ไปนั่งคุยในห้องกันดีไหม”

   วาโยที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยจะดีเอ่ยขึ้น พร้อมปั้นยิ้มเยือกเย็น ทำเอาการินกับกวินสะดุ้ง แล้วสบตากันก่อนจะต่างฝ่ายต่างสะบัดหน้าคนละทางแล้วเดินขึ้นไปเงียบ ๆ สร้างความเหนื่อยใจให้กับคนกลางอย่างวาโยยิ่งนัก

   “อะไรของเขาไม่รู้คู่นี้ เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวดีกัน ...น่าปวดหัวแท้ ๆ”

   วาโยพึมพำกับตัวเองก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนที่เดินตามมา

   “ดูสนิทกันจังนะ เพิ่งเจอกันวันนี้ไม่ใช่หรือ”

   รุจยิ้มทัก ทำให้วาโยเผลอยิ้มน้อย ๆ ตอบ

   “ยังไงก็ต้องทำงานร่วมกันนี่ครับ ถ้าปรับอะไรได้ก็จะพยายามปรับ จะได้สะดวกใจกับทุกฝ่าย”

   “แล้วไม่คิดว่าทำแบบนั้นมันค่อนข้างเสแสร้งเป็นเพื่อนกันแทนหรอกหรือ”

   ภูริเปรยขึ้นตามมา ทำให้วาโยชะงัก เขาหันไปมองคนพูดที่มีสีหน้ายิ้มน้อย ๆ แบบที่ยากจะอ่านออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่

   “ไม่หรอกครับ...เพราะผมคิดที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขาจริง ๆ นี่ครับ”

   วาโยบอกแล้วยิ้มตอบอย่างจริงใจ ทำให้อีกฝ่ายนิ่งเงียบ แล้วจึงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอตามมา

   “ขอโทษที ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ อย่าไปถือสาคำพูดเมื่อครู่นี้เลยนะ”

   จากนั้นภูริก็เดินผ่านตัววาโยไป ชายหนุ่มมองตามอีกฝ่ายก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกคนที่เหลืออยู่เอ่ยขึ้น

   “นายเป็นเด็กดีนะ ฉันดีใจที่มีเพื่อนร่วมงานนิสัยดีแบบนาย”

   รุจบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่คำพูดของเขาทำให้วาโยต้องมีสีหน้ายิ้มกึ่งแหย แล้วอ้อมแอ้มบอก

   “เอ่อ...ขอบคุณครับ แต่ถ้าเปลี่ยนจากเด็กดี เป็นคนดีก็จะดีมากเลยครับ”

   คนฟังชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ตามมา

   “อา...นั่นสินะ ขอโทษทีแล้วกัน ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ไว้กลางวันเจอกัน”

   ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนเอ่ยขึ้น พร้อมกับขอตัวเข้าห้องพักของเขา วาโยยิ้มรับรอจนอีกฝ่ายเข้าไปในห้องแล้ว เขาจึงเดินกลับห้องตัวเองบ้างเช่นกัน

   

   “หนอย! หมั่นไส้ชะมัดหมอนั่น ชอบวางตัวเป็นคุณชาย แล้วมองชาวบ้านต่ำกว่าประจำ แถมยังทำหน้าเย็นชาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาแบบนั้นอยู่เรื่อย!”

   พอเข้ามาในห้องก็เห็นกวินบ่นอุบถึงใครบางคน ทำให้วาโยนิ่วหน้า

   “นายหมายถึงใครกัน”

   กวินชะงักแล้วมองวาโยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะโพล่งออกมาดัง ๆ 

   “ก็คุณชายขี้เต๊ะห้องเบอร์สองนั่นไงเล่า!”

   วาโยสะดุ้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา เขาเหลือบไปมองกำแพงห้องและหวังว่าการินคงจะไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่

   “นายก็พูดเกินไปนะ ฉันก็เห็นเขาเป็นปกติดีนั่นล่ะ ...อีกอย่างการที่ใครเขาจะแสดงออกไม่เหมือนเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นคนไม่ดีเสียเมื่อไหร่”

   วาโยเอ่ยเตือน ทำให้คนฟังชะงักแล้วหน้าคว่ำ

   “อ้อ! ถ้าเห็นหมอนั่นดีกว่า นายก็ขอเปลี่ยนห้องไปอยู่กับเขาแทนฉันสิ!”

   “เฮ้อ... นายอยากให้ฉันเปลี่ยนจริง ๆ อย่างนั้นหรือ”

   วาโยถามแล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซื่อตรง ไร้ความขุ่นเคือง ทำให้กวินเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นสองมือ

   “โอเค ฉันยอมแพ้ ฉันผิดเอง ขอโทษด้วยแล้วกัน...เฮ้! ฉันขอโทษที่นินทานายด้วยนะ ริน!”

   ท้ายประโยคเจ้าตัวส่งเสียงดังไม่แพ้ครั้งแรก ทำเอาวาโยนึกขำ แต่เขาก็ชอบใจนิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

      

   อีกด้านหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนโซฟาและกำลังหยิบหนังสือที่ติดตัวมาอ่าน กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่กับตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงนินทาลั่นจากห้องติดกัน เขาเองก็อยากจะโต้กลับว่าหมั่นไส้คนอย่างกวินไม่แพ้กัน ทว่าเหมือนเขาจะได้ยินวาโยพูดอะไรบางอย่างเพราะชายหนุ่มพูดเสียงไม่ค่อยดังนัก แต่แล้วการินก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินกวินตะโกนขอโทษเขา

   “บ้าบอชะมัด พวกนี้”

   การินพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ ถ้าให้เขาเดาเขาคิดว่าวาโยคงพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา แล้วกวินก็ยอมรับฟัง จนตะโกนขอโทษเขาตามมาแบบนั้น

   “แต่ก็น่าสนใจล่ะนะ...”

   เจ้าตัวเอ่ยพึมพำอย่างลืมตัว พลางชะงัก ก่อนจะสลัดไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไป แล้วทำเป็นอ่านหนังสือต่อ ทว่าตัวหนังสือในแต่ละหน้านั้นแค่ผ่านตาแต่แทบไม่เข้าหัวของเขาเลยสักนิด

   เวลาเดียวกัน ณ ห้องเบอร์หนึ่ง ภูริกับรุจที่ต่างอยู่ในห้องส่วนตัวของตนพากันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงของกวินนั้นดังแว่ว ๆ มาถึงห้องของพวกเขา รุจนั้นหัวเราะเบา ๆ  เมื่อพอจะคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้  ทว่าชายหนุ่มอีกห้องกลับนิ่งเงียบ ริมฝีปากยกยิ้มหยันเยาะขึ้นนิด ๆ  แล้วจึงนั่งเก็บของใช้เข้าที่ทางของตนต่อไปเรื่อย ๆ



   เวลากลางวันชานนนั้นเดินขึ้นมาตามสมาชิกทั้งสามห้องลงไปทานอาหารกลางวันร่วมกัน ทั้งห้าคนถึงกับนิ่งอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมื้อกลางวันตรงหน้าของพวกเขา

   “โอ้โห! นี่จะจัดเลี้ยงอะไรกันหรือครับคุณชานน!”

   กวินหันไปถามอย่างตื่นเต้น เพราะอาหารตรงหน้ามีตั้งแต่ สลัด ซี่โครงหมูอบ มันบด และตบท้ายด้วยของหวาน เป็นเชอร์เบทมะนาว จัดเป็นเซ็ตทั้งหมดห้าชุด

   “ผมแค่อยากเคาะสนิมฝีมือทำอาหารนิดหน่อยน่ะครับ ถ้ายังไงทานเสร็จแล้วเชิญวิจารณ์ตามสบายนะครับ ...อ้อ แล้วถ้าใครแพ้อะไร หรือทานอะไรไม่ได้ รบกวนช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ ครั้งต่อไปผมจะได้ระวังขึ้น”

   สมาชิกคนอื่นมองตากันปริบ ๆ แล้วจึงเริ่มลงมือจัดการสลัดจานสวยซึ่งมีทั้งผักและผลไม้จัดแต่งได้งดงามเข้ากันได้ดี

   “อร่อยมากเลยครับ ผักนี่สดมาก ๆ แถมน้ำสลัดก็เข้ากันได้ดี รสชาติไม่เหมือนที่ผมเคยกินที่อื่นมาเลย”

   วาโยบอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งชานนก็โค้งขอบคุณสำหรับคำชมอีกฝ่าย

   “น้ำสลัดนี่ทำเองสินะครับ...”

   การินหันไปถามบ้าง ซึ่งชานนก็พยักหน้ารับ

   “ครับ ผมทำเอง”

   “ซี่โครงหมูนี่ก็สุดยอดเลยครับ!”

   คนกินสลัดเสร็จแล้วข้ามไปกินซี่โครงหมูบอกพร้อมยิ้มกว้าง การินเหลือบมองกวินก็เห็นว่าสลัดตรงหน้าจำนวนเท่าเขาหายเกลี้ยงไปเรียบร้อยอย่างน่าอัศจรรย์

   “คุณชานนเป็นเชฟของร้านหรือครับ”

   รุจเอ่ยถามขึ้นบ้าง ทำให้คนอื่นหันไปมองชายหนุ่มแล้วมองชานนอย่างรอคอยคำตอบ

   “ประมาณนั้นล่ะครับ”

   พอทุกคนได้ฟังก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้ ส่วนวาโยและกวินไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชานนถึงได้ทำอาหารอร่อยขนาดนี้

    “ตกลงพนักงานในร้านนี้มีกี่คนกันแน่ พนักงานเสิร์ฟก็มีฉัน มีโย  มีริน  ...รวมคุณสองคนด้วยหรือเปล่า”

   กวินเปรยขึ้น  แล้วหันไปถามรุจกับภูริ  ทางด้านรุจยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไป

   “ฉันทำตำแหน่งแคชเชียร์น่ะ”

   “ส่วนฉันก็พนักงานเสิร์ฟเหมือนพวกนายนั่นล่ะ”

   ภูริตอบพลางยักไหล่ กวินพยักหน้ารับรู้แล้วเตรียมทบทวนตำแหน่งหน้าที่ในร้านต่อ แต่ชานนนั้นขัดขึ้นมาก่อน

   “ผมว่าอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกนั้นเลยครับ เพราะก่อนจะถึงวันทำงาน คุณปวีร์ก็คงเอารายชื่อสมาชิกและตารางงานที่ทุกคนต้องทำมาแจกพวกคุณทุกคนอยู่แล้วล่ะครับ”

   คนอื่นชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้น แล้วหันมาให้ความสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ต่างคนก็ต่างกินหมดไม่มีใครเหลือทิ้งเลยสักคน

   “อร่อยมากเลยครับ ขอบคุณนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้”

   วาโยบอกพลางยิ้มแย้มจริงใจให้อีกฝ่าย ชานนเองก็ยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะเก็บจานไปล้าง โดยมีวาโยอาสาเป็นผู้ช่วย ส่วนคนอื่นนั้นก็เตรียมจะช่วยด้วยเช่นกัน แต่ชานนให้เหตุผลว่าอ่างล้างจานไม่กว้างพอที่จะยืนกันหลายคนแบบนี้ คนอื่นเลยต่างแยกย้ายกันกลับห้อง ส่วนกวินนั้นยังคงนั่งรอรูมเมทของเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารแถวนั้น



    หลังจากงานเสร็จ วาโยก็ขอตัวกลับขึ้นห้องพร้อมกับกวิน แต่พอเข้าห้องได้ไม่นานโทรศัพท์ของวาโยก็ดังขึ้น พอมองเบอร์ของคนโทรมา ชายหนุ่มก็ชะงักก่อนกดรับ

   “เจหรือ มีอะไรหรือเปล่า”

   เสียงทักทายที่ร่าเริงและเป็นมิตรนั่น ทำให้กวินที่กำลังจะเดินเข้าห้องส่วนตัวของเขาชะงักเล็กน้อย แล้วแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้อง แต่กลับแง้มประตูฟังอย่างยอมเสียมารยาท

   “บ้า! ฉันสบายดี ไม่ต้องห่วงหรอก ...อืม เพื่อนร่วมทำงานทุกคนก็นิสัยดีทั้งนั้น ...จริง ๆ ไม่ได้โกหก...รูมเมทฉันน่ะหรือ นิสัยดีสิ เป็นกันเองมากเลยนะ”

   กวินอมยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายชมเขาให้ปลายสายฟัง แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจปิดประตูห้อง ชายหนุ่มก็ต้องชะงักซ้ำสองเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   “เอ๋ เขากับนายใครดีกว่ากันหรือ...จะเปรียบกันได้ไงเล่า นายน่ะสนิทกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนนะ แต่ทางนั้นเพิ่งเจอกันเอง ... หึ! จะมาทำเป็นน้อยใจอะไรกันเล่า ฉันไม่มีทางลืมนายได้หรอก ...จริงสิ ไว้เดี๋ยวจะแวบไปหานะ... เออ ๆ บาย”

   วาโยกดวางสาย เขามองมือถือด้วยใบหน้าระบายยิ้มพร้อมพึมพำเบา ๆ

   “เจ้าเพื่อนบ้าเอ๊ย...ใครจะลืมนายได้ลงกันเล่า”

   จากนั้นวาโยจึงเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวของเขาไปบ้าง โดยไม่มันได้สังเกตประตูอีกห้องที่แง้มน้อย ๆ  เจ้าของห้องยืนพิงผนังพลางลอบถอนหายใจเบา ๆ แม้สิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องปกติ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิด ๆ อย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เช่นกัน

   

   ในวันนั้นตอนช่วงก่อนเวลามื้อเย็น ปวีร์กับชายตัวสูงสวมแว่นตาดำหน้าตาดุ ๆ อีกคน ก็แวะมาเยี่ยมทุกคนในบ้านพัก ปวีร์แนะนำคนที่มาด้วยให้ทุกคนรู้จัก เมื่อเห็นสายตาชวนสงสัยของคนอื่นในนั้น นอกจากชานนและการินที่มองมา

   “เพื่อนฉันเอง ชื่อราเมศ เขาเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้านนี้ด้วยนะ”

   ราเมศพยักหน้าค่อย ๆ เป็นการทักทาย คนอื่น ๆ จึงพยักหน้าตาม และไม่กล้าชวนอีกฝ่ายคุย เพราะความกดดันเงียบ ๆ ที่แฝงมา แม้กระทั่งกวินที่ชอบพูดทักทายคนอื่นก่อนเสมอก็ตาม

   “วันนี้ฉันเอาเครื่องแบบพื้นฐาน แล้วก็คู่มือพนักงานมาให้  นี่ไปเร่งโรงพิมพ์ให้เลยเชียวนะ เพิ่งออกจากแท่นพิมพ์สด ๆ ร้อน ๆ เลยเชียวล่ะ”

   ปวีร์บอกแล้วหัวเราะเบา ๆ แต่คนอื่นนั้นมองเขาตาปริบ ๆ แต่ก็อดสนอกสนใจ ในสิ่งที่ชายหนุ่มนำมาไม่ได้

   “เครื่องแบบพื้นฐาน... หมายความว่ามีเครื่องแบบอื่น ๆ ให้พวกเราใส่นอกจากนี้ด้วยหรือครับ”

   รุจที่ยืนมองอยู่เอ่ยถามขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ นึกขึ้นได้ตามมา ส่วนปวีร์นั้นหันมามองชายหนุ่มสวมแว่นด้วยสายตาพอใจ ก่อนเอ่ยตอบ

   “ใช่...แต่ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะทางนี้จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นพวกเธอก็แค่ทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายไปก็พอ”

   สมาชิกคนอื่นนิ่งเงียบรับฟัง ส่วนชานนนั้นลอบถอนหายใจ เช่นเดียวกับราเมศที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แล้วถอนหายใจแผ่วเบา

   “เอาล่ะ ... ไหน ๆ วันนี้ก็อุตส่าห์แวะมาทั้งที คุณนน เผื่ออาหารให้พวกผมสองคนด้วยนะ”

   “เฮ้...ปวีร์”

   ราเมศเอ่ยขัดขึ้น แต่ปวีร์นั้นทำไม่สนใจ ส่วนชานนอมยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งศีรษะให้

   “ได้เลยครับ ไม่ต้องห่วง”

   “ถ้าอาหารไม่พอก็บอกได้นะ เดี๋ยวให้ปยุตเอาจากที่บ้านมาเพิ่มให้...จริงสิ เรียกปยุตมาเป็นลูกมือช่วยคุณด้วยดีกว่า”

   เอ่ยจบชายหนุ่มก็หยิบมือถือมาโทรหาพ่อบ้านประจำตัวของเขาโดยไม่คิดสนใจเสียงคัดค้านของใคร ไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มท่าทางสุภาพ ในชุดสูทพ่อบ้าน ปรากฏกายขึ้น

   “ปยุต เดี๋ยวช่วยคุณนนทำอาหารด้วยนะ”

   ปวีร์ออกคำสั่ง ซึ่งคนฟังก็โค้งรับอย่างไม่มีการขุ่นเคืองแต่อย่างใด

   “รับทราบครับ คุณปวีร์”

   “เอ้า! ระหว่างนี้พวกเธอก็ไปลองชุดกันให้เรียบร้อย ถ้าคับหรือหลวมไป ฉันจะได้ให้ช่างเขาไปปรับแก้ทีหลัง”

   พอปวีร์บอกจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปลองชุด บางคนก็ลองใส่โดยไม่สนใจอะไร แต่ก็มีบางคนเช่นวาโยที่นึกแปลกใจว่า ทำไมปวีร์ถึงได้สั่งตัดชุดออกมาพอดีไซส์เขาได้ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงแค่ข้ามวัน และไม่เคยสอบถามหรือวัดสัดส่วนร่างกายของเขาเลยสักครั้งเดียว





... TBC ...

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
หนุ่มๆ มาอีก 2 แล้วอิอิ

นู๋วาโยนี่ต้องเป็นที่สนใจของหนุ่มอื่นๆ แน่ๆ ^^

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
นี่มันคือ ฮาเร็ม!! ชัดๆ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
แวะมาลงให้สองตอน สำหรับเสาร์-อาทิตย์ค่ะ
ใกล้ทันต้นฉบับที่ปั่นค้างไว้แล้วล่ะค่ะสำหรับเรื่องนี้

--------------------------------------------------.




Miracle Café /6



   ปวีร์เรียกทุกคนมาตรวจสอบสภาพเรียบร้อยของชุดพนักงานร้าน  สำหรับพนักงานเสิร์ฟนั้น เครื่องแบบจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวถึงข้อศอกมีกระดุมปลายแขนเสื้อเย็บติดเรียบร้อย ด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กสีดำ ส่วนที่คอเสื้อนั้นผูกเนคไทสีแดง  กางเกงเป็นผ้าขายาวสีดำ มีผ้ากันเปื้อนสีดำยาวเลยเข่าสำหรับผูกเอว นอกจากนั้นที่ผ้ากันเปื้อนยังมีกระเป๋าตัดพอช่องไว้สำหรับใส่สมุดจดและปากกาได้อีกด้วย 

    ส่วนรุจที่เป็นพนักงานแคชเชียร์นั้น เครื่องแบบจะคล้ายกับคนอื่น เพียงแต่สีเสื้อกั๊กด้านนอกของเขาจะเป็นสีฟ้าเข้ม  ส่วนเนคไทนั้นจะเป็นสีเขียวแทน  และสำหรับรองเท้า ทุกคนมีรองเท้าหนังแท้สีดำหุ้มส้นสวมแบบพอดีขนาดเท้าแจกให้เช่นเดียวกัน

   “อืม...ใช้ได้ แสดงว่าสายตาฉันยังโอเคอยู่  ใส่พอดีกันทุกคนสินะ”

   ปวีร์ถามพนักงานแต่ละคนของเขา ซึ่งแต่ละคนก็พยักหน้าตอบ แม้จะรู้สึกทึ่งในพลังสายตาของอีกฝ่ายที่แค่ดูก็รู้ไซส์พวกเขาได้เช่นนี้  จากนั้นปวีร์จึงให้ทุกคนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงมาทานมื้อเย็น เพราะสังเกตเห็นชานนกับปยุตกำลังช่วยจัดจานเตรียมอาหาร ซึ่งก็แสดงว่ามื้อเย็นนั้นใกล้จะพร้อมเรียบร้อยแล้ว

   

   มื้อเย็นที่ราวกับเป็นอาหารฟูลคอร์สตามโรงแรมหรู สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนในที่นั้น ทว่าคำพูดของปวีร์หลังจากกินเสร็จ ก็ทำให้บางคนถึงกับนิ่งอึ้งเลยทีเดียว

   “คุณนนนี่เข้าใจหลอกล่อนะ ...เล่นทำสุดฝีมือ ให้พวกนี้ติดรสมือคุณตั้งแต่วันแรก  กะหาลูกมือไว้คอยช่วยงานในอนาคตใช่ไหมล่ะ”

   ชานนนั้นไม่ได้ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ถือสา แล้วช่วยปยุตเก็บจาน ทว่าเพราะชานนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ทำให้บางคนต้องมองตามเชฟหนุ่มไปอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย

   “ฮ่า ๆ ฉันล้อเล่นน่า เขาไม่เอาเปรียบพวกเธอหรอก แต่ถ้าพวกเธอจะช่วยงานเขาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่อยู่บ้านพัก ฉันก็จะขอบคุณมาก ทีแรกฉันจะหาผู้ช่วยให้เขาอีกคน แต่เขาบอกว่าเขาดูแลพวกเธอได้เอง ฉันก็เลยให้เขาควบสองตำแหน่งแบบนี้นั่นล่ะ ...แน่นอนว่าจ่ายสองเท่าน่ะนะ”

   ท้ายประโยคปวีร์หันไปแซวชานน ซึ่งเชฟหนุ่มนั้นได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ แล้วโค้งตอบ ก่อนจะหันไปสนใจเก็บกวาดจานชามที่เหลือล้างต่อ และเพราะมีปยุตเป็นผู้ช่วยอยู่แล้ว พวกวาโยที่คิดจะเข้าไปช่วยก็เลยต้องถอยออกมาตามระเบียบ

   “ร้านเราจะเปิดในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แน่นอนก็คืออีกสามวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นฉันหวังว่าพวกเธอคงจะเตรียมพร้อมสำหรับงานเป็นอย่างดีล่ะนะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ แต่คราวนี้นัยน์ตาคมกริบนั่นกวาดสำรวจทุกคนอย่างคาดคั้น ทำให้บางคนลอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ทุกคนก็ผงกศีรษะตอบรับคำกันถ้วนหน้า

   “ดี! ช่วงนี้พวกเธอจะพักปรับตัวที่บ้านพักนี้เลยก็ได้ หรือจะไปค้างที่อื่นก็ตามใจ แต่พวกเธอต้องแจ้งคุณนนก่อนทุกครั้ง เขาจะได้ไม่ต้องทำอาหารเผื่อในส่วนของคนที่ไม่อยู่ และจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงถ้าเกิดเธอคนใดคนหนึ่งกลับดึก หรือไม่กลับ... แล้วในวันอาทิตย์นี้ ทุกคนต้องมาพร้อมกันที่ร้านในตอนสิบโมงเช้า แต่งตัวอะไรมาก็ได้ เพราะเราจะมาช่วยกันจัดร้านล่วงหน้า จะได้คุ้นเคยกันก่อนวันเปิดจริง เข้าใจไหม”

   “ครับ!”

   บางคนก็รับคำ บางคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่นั่นก็สร้างความพอใจให้ปวีร์มากพอ จากนั้นเขาจึงหันไปบอกกับราเมศที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   “เรากลับกันดีกว่า เพราะฉันจะต้องไปดีไซน์เครื่องแบบสำหรับอีเวนท์ต่าง ๆ ให้พวกนี้ด้วย โดยเฉพาะ...”

   ปวีร์เหลือบไปมองวาโยแล้วยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ จนคนถูกมองสะดุ้งโหยง

   “ฉันได้ไอเดียใหม่ ๆ มาอีกเพียบเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นขืนปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวจะไฟมอดพอดี”

   ปวีร์เอ่ยจบก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แต่ราเมศที่ได้ฟังเหลือบมองไปวาโยด้วยสายตาที่แสดงความสงสาร และเพราะชายหนุ่มนั้นสวมแว่นตาดำ จึงทำให้วาโยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมองเขาในแบบไหน

   

   และเมื่อปวีร์ ราเมศ และปยุตกลับไปแล้ว คนอื่นก็ต่างแยกย้ายกันขึ้นห้องพัก กวินนั้นนั่งดูทีวีอยู่ด้านนอก ทว่าวาโยขอตัวเข้าห้องนอน และเปิดคู่มือที่เพิ่งได้รับแจก รวมไปถึงตารางงานที่แนบมาด้วยศึกษาดูทันที

   “ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ ห้าโมงเช้าถึงสองทุ่ม...มีเวลาให้พักวันละหนึ่งชั่วโมง แบ่งเป็นสองช่วง แล้วแต่ตารางพักอย่างนั้นหรือ...ไหนดูซิ...อืม พักได้รอบละสองคนสินะ ...คุณปวีร์ลงเวลากำกับแต่ละคนมาให้เลยแบบนี้ ก็เข้าท่าดีเหมือนกันแฮะ”

   วาโยพึมพำกับตัวเอง เขาหยิบตารางการทำงานที่กำหนดชื่อในเวลาพักไว้เรียบร้อย ว่าใครพักช่วงไหน สลับกันไปในหนึ่งสัปดาห์ ออกมาดู แล้วจึงหันกลับไปอ่านกฎระเบียบของการทำงานในคู่มือต่อไปอย่างสนใจ

   “ถ้าทิปวางในถาดหรือกล่องจะถือเป็นทิปรวม แต่ถ้าให้กับมือก็จะเป็นทิปส่วนตัวสินะ ...หือ... สามารถรับทิปนอกเวลาได้ แต่ต้องไม่ให้เสียงาน ไม่งั้นจะถูกปรับหักเงินเดือนแทน... อะไรของเขาเนี่ย จะมีใครให้ด้วยหรือ ทิปนอกเวลาน่ะ”

   วาโยพึมพำอย่างกึ่งสงสัยกึ่งขำ เขาอ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกเริ่มง่วงขึ้นทุกที

   “เอาเถอะ...ไว้วันจริงก็รู้กัน ว่าจะรอดหรือจะร่วง”

   ชายหนุ่มตัดบทกับตัวเองแล้ววางคู่มือไว้บนโต๊ะทำงานข้างโน้ตบุค ก่อนที่จะตรงไปยังที่นอนใหม่ ล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มนั้น แล้วหลับลงไปในที่สุด

   

   วันต่อมาซึ่งเป็นวันเสาร์ วาโยก็ได้รับแจ้งจากชานนว่า สมาชิกของบ้านพักแต่ละคนต่างมีธุระขอตัวกลับไปบ้านเดิมเพื่อเคลียร์เรื่องส่วนตัว สำหรับวาโยนั้นรู้แค่ที่กวินจะกลับบ้านเพราะลืมเครื่องเล่นเกมสำคัญไว้ที่บ้าน  แต่เขาไม่คิดว่าคนอื่น ๆ ก็กลับไปด้วยเหมือนกัน

   “สรุปก็ไปกันหมดเลยหรือครับ”

   วาโยถามอีกฝ่าย ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง

   “ไม่หรอกครับ รู้สึกจะเหลือคุณภูริอยู่อีกคน เห็นว่าไม่อยากออกไปไหน  อ้าว...พูดถึงก็มาพอดี”

   วาโยมองชายหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าเขา หลังจากที่ได้ฟังกวินซักถามพูดคุยกับอีกฝ่ายตอนระหว่างทานอาหารมื้อเย็นเมื่อวาน ก็ทำให้พอจะรู้ว่าภูรินั้นเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน แต่อาศัยอยู่ในไทยตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะแม่ของอีกฝ่ายตั้งท้องหลังจากมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับผู้เป็นพ่อ  ส่วนภูรินั้นเติบโตมากับตายายเพราะแม่ของชายหนุ่มนั้นไม่ได้คิดเลี้ยงดู แต่มาทิ้งไว้ให้กับตายายจนกระทั่งแม่ของภูริแต่งงานใหม่ และเมื่อตายายเสียชีวิตแม่จึงรับชายหนุ่มไปเลี้ยงดูแทน

   เมื่อเรื่องที่รับรู้เริ่มหนักขึ้นและดูเหมือนว่าจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายจนเกินไป วาโยในตอนนั้นก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นไปเสีย แต่ชายหนุ่มนั้นรู้สึกเหมือนถูกสายตาแปลก ๆ จากภูริมองมาที่เขา มันไม่ใช่สายตาชื่นชม แต่กลับชวนให้อึดอัด จนชายหนุ่มไม่กล้าสบตาด้วยและทำเป็นเหมือนว่าไม่รู้ตัวว่าถูกมองเช่นนั้น

   “เอ่อ...อรุณสวัสดิ์ครับ”

   วาโยเอ่ยทักทายอีกฝ่าย ซึ่งภูริก็หันมามอง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้

   “อรุณสวัสดิ์... นายก็อยู่โยงเฝ้าที่นี่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ”

   วาโยชะงัก ความจริงเมื่อเช้าพอรู้ว่ากวินไม่อยู่ เขาก็โทรไปบอกจรัลว่าจะกลับไปเยี่ยมอีกฝ่าย และอาจจะไปค้างด้วย แต่ถ้าเขาไปก็เท่ากับว่าที่นี่เหลือแค่ภูริกับชานนเท่านั้น

   “ง่า...ครับ”

   วาโยบอกสั้น ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจ พลางคิดในใจว่าคงต้องโทรไปบอกจรัลเรื่องที่เขาเปลี่ยนใจเสียแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นเช้าวันนี้ก็เหลือแค่พวกเราสามคน มีใครอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

   ชานนถามขึ้นแล้วรอคอยคำตอบ วาโยนิ่งคิดหนัก แต่ภูริขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มตามมา

   “อาหารเช้า ผมขอข้าวไข่เจียวแล้วกัน  ส่วนกลางวันถ้าคุณไม่ลำบากนัก ผมอยากได้อะไรที่มันคล่องคอ จะแกงจืดหรืออะไรก็ได้ง่าย ๆ ก็พอครับ  อาหารเมื่อวานมันสุดยอดก็จริง แต่ขืนกินบ่อย ๆ มีหวังผมติดหรูพอดี”

   ชานนรับฟังยิ้ม ๆ แล้วจึงหันไปทางวาโยบ้าง

   “แล้วคุณวาโยล่ะครับ”

   “ง่า...ผม”

   วาโยอ้ำอึ้งไม่กล้าบอกว่าเขานั้นก็อยากกินเหมือนภูริเช่นเดียวกัน เพราะสำหรับเขานั้นไข่เจียวถือว่าเป็นอาหารสุดโปรดของเขาอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

   “...เอาเหมือนกับคุณภูริ ได้ไหมครับ”

   บอกแล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้าด้วยความกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายมองเขม่นและคิดว่าเขาล้อเลียน แต่ภูริก็ยังเงียบ วาโยเลยเงยหน้ามามอง ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาอยู่

   “ชอบไข่เจียวหรือไง”

   คำถามของภูริที่ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่พอวาโยได้ฟังก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ ยืนยัน

   “ชอบมากเลยครับ กินมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าโตมาเพราะไข่ก็ว่าได้เลยครับ!”

   คำตอบของชายหนุ่มทำให้ชานนหันไปกลั้นหัวเราะก่อนจะขอตัวไปทำอาหารเช้าตามสั่งให้ทั้งคู่ ส่วนภูรินั้นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

   “ดูภายนอกแล้วคิดว่าเป็นพวกคุณหนู คุณชาย เสียอีกนะนายน่ะ”

   คำพูดของคนที่เดินมานั่งโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม ทำให้วาโยอ้าปากค้างแล้วรีบบอกตามมา

   “ตรงไหนกันครับ ผมออกจะโลโซขนาดนี้!”

   “ก็ตรง...รูปร่าง แล้วก็ท่าทาง ...” 

    ชายหนุ่มกลืนคำว่าไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเอาไว้ แล้วจึงเอ่ยต่อ

   “พวกมารยาทบนโต๊ะอาหาร อะไรพวกนี้ ...เมื่อวานฉันเห็นนายหยิบใช้มีดส้อมอย่างคล่องมือเลยไม่ใช่หรือ”

   ภูริบอกแล้วจ้องอีกฝ่ายรอคอยคำตอบ แม้แต่ชานนที่ยืนเตรียมอาหารอยู่ก็เห็นด้วยในข้อนี้ ถ้าเป็นการินที่เป็นคุณหนูตัวจริง เขาก็ไม่แปลกใจนัก แต่วาโยนั้นไม่ว่าจะเป็นการหยิบจับช้อน ส้อม มีด หรือกระทั่งแก้วน้ำ ก็ดูถูกระเบียบแบบแผนไปเสียหมด

   “อ้อ...นั่นเพราะโดนบังคับฝึกต่างหากล่ะครับ”

   วาโยบอกไปตามตรง แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของภูริ เขาจึงอธิบายต่อ

   “ก็พี่สาวผมตอนที่เรียนการโรงแรม เวลากินข้าวด้วยกัน ผมก็มักจะโดนเธอจับเคี่ยวฝึกให้วางโน่นหยิบนี่ให้ถูกหลัก... บางทีก็ชวนไปกินนอกสถานที่เพื่อปฏิบัติจริง เล่นเอาเงินค่าทำงานพิเศษผมไม่เหลือติดกระเป๋า เพราะแทนที่คุณเธอจะเลี้ยงผม แต่กลับบังคับให้หารครึ่งบ้าง แถมเผลอ ๆ ยังให้ผมเลี้ยงแทนเสียอีกด้วยซ้ำ”

   วาโยบอกแล้วถอนหายใจตามมาเมื่อหวนคิดถึงอดีตอันน่ารันทดของตัวเอง

   “อย่างนั้นหรอกหรือ...”

   ภูริพึมพำ ซึ่งวาโยก็รีบเสริมตามมา

   “ใช่สิครับ! ที่บ้านผมน่ะเป็นชาวสวนดั้งเดิมขนานแท้เลยนะครับ นี่ผมกะว่าถ้ายังหางานไม่ได้ ก็คงจะไปช่วยพ่อแม่ทำสวนต่อนั่นล่ะครับ ...แต่ขืนกลับไปทั้งยังไม่ได้งาน คงไม่แคล้วโดนด่าเจ็ดวันเจ็ดคืน ฐานที่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนแต่ดันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้แน่”

   ชานนหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะทำเป็นตีไข่ไก่ในชามต่อ ทำเอาวาโยที่หันไปมองต้องลอบถอนหายใจ ทว่าเขากลับสะดุ้งนิด ๆ เมื่อหันมาเห็นภูริจับจ้องมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

   “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   พอได้ยินอีกฝ่ายถาม ชายหนุ่มลูกครึ่งก็ชะงักเล็กน้อย แล้วจึงตอบออกไป

   “ไม่มีอะไร”

   จากนั้นภูริก็เมินมองไปอีกทาง จนกระทั่งข้าวไข่เจียวของทั้งคู่เสร็จพร้อมทาน ทั้งสองคนจึงก้มลงกินข้าวในจานเงียบ ๆ เพราะชานนนั้นขอตัวไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพอดี

   “อร่อยจัง...ขนาดทำไข่เจียว ยังอร่อยเลยแฮะ”

   วาโยบอกพร้อมกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วเขาก็ต้องเงียบไปเพราะภูรินั้นยังคงก้มหน้าก้มตากิน ไม่คิดจะคุยกับเขาด้วยแต่อย่างใด บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้วาโยอดคิดถึงกวินขึ้นมาไม่ได้เลยทีเดียว

   “อ๊ะ! เดี๋ยวผมล้างให้ครับ”

   วาโยรีบบอกเมื่อเห็นภูริเดินไปที่อ่างล้างจานหลังกินเสร็จแล้ว

   “...จริง ๆ แล้วถ้าใครกินคนนั้นก็ควรจะล้างเองไม่ใช่หรือไง”

   ภูริหันมาบอกเรียบ ๆ เล่นเอาวาโยอึ้งไป แต่สักพักชายหนุ่มก็ย้อนกลับไปเช่นกัน

   “มันก็จริงนะครับ ...แต่บางครั้งเวลาเราอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เราก็ควรมีน้ำใจให้กันไม่ใช่หรือครับ”

   “แต่พอดีฉันเคยชินกับสังคมที่แล้งน้ำใจมานานไปหน่อยล่ะนะ...”

   ภูริแย้งกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วจึงล้างจานในส่วนของเขา ก่อนจะหลีกทางให้กับวาโยที่เข้ามาบ้าง แต่แล้วชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไปก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินคนที่หันหลังให้เอ่ยเบา ๆ ตามมา

   “ผมเข้าใจ ว่าสังคมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ...แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเลือกทำกัน ก็คือการปรับตัวนั่นล่ะครับ ... ถ้าคนเราลองปรับตัวยอมหันหน้าพูดคุยกันเสียอย่าง ไม่ว่าสังคมไหน มันก็จะมีแต่ความเข้าใจและความสุขตามมาในภายหลังแน่นอน”

   ภูริเหลือบมามองแผ่นหลังผอมบางของอีกฝ่าย เขาทำเสียงในลำคอเบา ๆ แล้วเดินจากไปจนกระทั่งเสียงฝีเท้าค่อย  ๆ แผ่วลง วาโยจึงหันมา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “เฮ้อ...สงสัยจะถูกเหม็นหน้าแล้วสิเรา ...แย่ชะมัด”

   จากนั้นชายหนุ่มจึงลงมือล้างจานใบของตนต่อ แล้วเมื่อล้างเสร็จ เขาก็ยังไม่ได้กลับขึ้นห้องนอน แต่ออกมาเดินเล่นที่สนามหน้าบ้านพัก แล้วจัดแจงโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท ซึ่งก็ตามที่วาโยคาดไว้ จรัลนั้นโวยวายใส่ทันที แต่พอเขาชี้แจงออกไป อีกฝ่ายก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังสอบถามวันหยุดของร้าน และกำชับทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าวาโยว่างเมื่อไหร่ ก็ให้โผล่หน้ากลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาเรื่องแจกันไปฟ้องพ่อกับแม่ของชายหนุ่มแทน  เล่นเอาวาโยต้องขอร้องและห้ามอีกฝ่ายยกใหญ่ จวบจนเมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะของเพื่อนสนิทดังแว่วมา วาโยจึงได้รู้ตัวว่าตนนั้นถูกแกล้งแหย่เข้าให้ ลงท้ายฝ่ายที่ง้อจึงต้องกลายเป็นจรัล  จากนั้นพวกเขาต่างตกลงกันว่าถ้าวันหยุดของร้านมาถึงเมื่อไหร่และวาโยไม่มีธุระอะไร ชายหนุ่มจะกลับไปเยี่ยมจรัลและเพื่อน ๆ ที่ห้องเช่าเก่าอย่างแน่นอน

   


... TBC ...

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4




Miracle Café /7



   วันอาทิตย์...วันก่อนร้านเปิดทำการหนึ่งวัน สมาชิกในบ้านพักทุกคนต่างมาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ร้านตามคำสั่งของปวีร์  รูปแบบของร้านนี้จะเป็นรูปทรงสไตล์โมเดิร์น หลังคาแบน ทาสีขาวสลับครีมดูอบอุ่นสบายตา  ด้านหน้าและข้างร้านเป็นกระจกหน้าต่างใสบานใหญ่ตลอดแนว ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในร้านได้เป็นอย่างดี ด้านนอกร้านจัดตกแต่งต้นไม้เป็นรั้วเตี้ย ๆ  คล้ายกำแพงยาวล้อมขนานไปกับตัวร้านโดยรอบ

    หน้าประตูทางเข้ามีป้ายกระดานดำที่ไว้เขียนเวลาเปิดปิดทำการ และเมนูพิเศษในแต่ละวัน ตั้งไว้ด้านนอก ตกแต่งด้วยกระเช้าดอกไม้เล็ก ๆ แขวนไว้บนเสาป้าย  เหนือประตูมองขึ้นไปจะเห็นป้ายร้านเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นตัวอักษรสีทองสลักบนเนื้อไม้ว่า Miracle Café ประดับอยู่ อักษรตัวใหญ่โดดเด่นสะดุดตาเห็นได้แต่ไกล และเข้ากับลักษณะเนื้อไม้ของประตูเป็นอย่างยิ่ง

     ปกติแล้วทางเข้าสำหรับพนักงานคือด้านหลังร้าน ทว่าปวีร์นั้นพาทุกคนอ้อมมาที่หน้าร้านเพื่ออยากให้พนักงานของเขาได้สัมผัสบรรยากาศของร้านที่ทุกคนต้องทำงานกันด้วยตาตัวเอง เพื่อจะได้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น

   “เฟอร์นิเจอร์ด้านในก็อย่างที่พวกนายเห็น  มันถูกตกแต่งและจัดวางไว้เรียบร้อยแล้วก็จริง แต่ยังไงก็ต้องทำความสะอาดอยู่ดี ถึงฉันจะให้บริษัททำความสะอาดทำไปก่อนรอบหนึ่งแล้วก็เถอะ แต่นั่นมันเมื่อสามสี่วันก่อน แถมร้านเรายังตั้งอยู่ริมถนนแบบนี้ ยังไงก็ต้องทำใหม่อยู่ดีล่ะนะ”

   ปวีร์บอกกับทุกคนหลังจากที่เข้ามาในร้านแล้ว คนอื่น ๆ รับฟังแล้วมองไปรอบร้านอย่างทึ่ง ๆ  ชุดโต๊ะกาแฟภายในร้านเป็นโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสีกาแฟผสมโกโก้เช่นเดียวกับเก้าอี้ มีเบาะหนังบุรองสีน้ำตาลอ่อนเพื่อความนุ่มสบายในการนั่ง  ขนาดของโต๊ะนั้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่โซนที่วาง เช่นที่นั่งสำหรับสองถึงสามคนริมหน้าต่าง  และที่นั่งสำหรับครอบครัวในโซนกลางร้าน เป็นต้น

   สำหรับส่วนซึ่งเป็นที่นั่งของลูกค้าและสถานที่ซึ่งลูกค้าเดินไปมาได้ จะเป็นลักษณะเพดานสูงโล่ง อีกทั้งกระจกหน้าต่างใสบานใหญ่หน้าร้าน และผนังด้านในสีครีมขาวก็มีส่วนช่วยให้ภายในร้านแลสว่างดูปลอดโปร่งสบายตามากขึ้น  แถมที่นั่งยังจัดเป็นสัดส่วน โดยมีไม้ประดับจัดตกแต่งแทนฉากกั้น และยังมีที่โล่งในร้านสำหรับเดินสวนกันไปมาโดยไม่เบียดเสียดอีกด้วย   

   “หลังเคาเตอร์บาร์จะมีประตูเชื่อมต่อกับห้องครัว  ห้องน้ำของพนักงาน รวมไปถึงทางขึ้นไปชั้นสองและออกไปยังประตูหลังร้านได้  ส่วนชั้นสองก็จะเป็นที่ทำงานของฉัน ห้องเก็บอุปกรณ์ แล้วก็ห้องพักรวมของพนักงาน”

   ปวีร์อธิบายแล้วชี้ให้ดูเคาเตอร์บาร์เครื่องดื่มและแคชเชียร์ ที่อยู่ทางฝั่งขวามือสุด เรียกได้ว่าจัดเป็นสัดส่วนแยกระหว่างพื้นที่ส่วนตัวของพนักงานและลูกค้าออกจากกันทีเดียว

   “ในทุกวันพวกเธอต้องมาถึงร้านก่อนเวลาเข้างาน 30 นาที เพื่อจัดเตรียมความพร้อมทุกอย่างก่อนเปิดร้าน  ส่วนหลังปิดร้านก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วถึงจะกลับได้  ตรงนี้คงไม่มีปัญหากันสินะ”

   ปวีร์ถามแล้วไล่สายตามองแต่ละคน ซึ่งก็ไม่มีใครมีปัญหา เพราะมันถูกระบุไว้ในสัญญาและคู่มือที่ชายหนุ่มเอามาให้อ่านอยู่แล้ว

   “โอเค...สำหรับเรื่องเข้างานเลิกงาน ฉันจะไม่มีการตอกบัตรอะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าใครโดดหรือสายบ่อย ๆ ก็มีผลต่อโบนัสปลายปีที่จะได้รับล่ะนะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ซึ่งคนอื่นก็ยิ้มตอบแบบไม่เต็มใจนัก จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปทางกวินกับวาโย

   “ทั้งสองคนเดี๋ยวไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดตรงหลังร้านมาด้วย ในล็อกเกอร์ตรงบันไดนั่นน่ะ จำได้ใช่ไหม”

   วาโยและกวินพยักหน้าตอบ ก่อนจะขอตัวไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดมาตามคำสั่งของอีกฝ่าย

   “ส่วนที่เหลือก็แบ่งงานกันไว้รอเลย งานหลัก ๆ ก็มีรดน้ำต้นไม้ เช็ดกระจก กับทำความสะอาดในร้าน ...พยายามทำให้เสร็จก่อนบ่าย เพราะฉันมีงานหนักให้พวกเธอต้องจัดการหลังจากนี้ด้วย”

   ปวีร์บอกแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำเอาทั้งสามคนชักไม่ค่อยไว้วางใจ โดยเฉพาะการินนั้นแสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   และเมื่อกวินกับวาโยนำอุปกรณ์ทำความสะอาดมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือแบ่งหน้าที่กันทำโดยไม่เกี่ยงงอน ใช้เวลาสักครู่ใหญ่พวกเขาก็จัดการทำความสะอาดในแต่ละส่วนจนเรียบร้อย

   “ใช้ได้นี่ ไวกว่าที่คิดไว้อีก งั้นก็เริ่มเข้าสู่งานหนักกันได้เลยแล้วกัน ...อ้อ มาพอดี”

   ปวีร์บอกแล้วจึงหันไปมองที่ประตูทางเข้าร้าน เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ห้อยประตูหน้าร้านดังขึ้น

   “ทำความสะอาดกันเสร็จแล้วสินะ”

   ราเมศเอ่ยทักปวีร์ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า

   “เพิ่งเสร็จเมื่อครู่นี่เอง นายล่ะเตรียมพร้อมหรือยัง”

   ปวีร์ตอบแล้วย้อนถามกลับไป อีกฝ่ายหันมามองแล้วตอบเรียบ ๆ

   “ได้ทุกเมื่อนั่นล่ะ”

   “หึ ๆ ดี ...เอ้า พวกเธอก็มาดูเอาไว้ นี่ล่ะงานหนักที่พวกเธอต้องรับผิดชอบงานหนึ่งล่ะนะ”

   ปวีร์หันไปเรียกพนักงานของเขามารวมตัวกันที่เคาเตอร์บาร์ ส่วนราเมศนั้นเดินหายไปในครัว เขาไปล้างมือแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มที่แขวนไว้ในนั้นมาผูกเอว แล้วหยิบผ้าสะอาดในลิ้นชักมาจำนวนหนึ่ง ก่อนลงมือเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือสำหรับชงกาแฟแต่ละชิ้น ซึ่งวาโยสังเกตเห็นว่าราเมศนั้นใช้ผ้าหนึ่งผืนสำหรับแต่ละอุปกรณ์ โดยไม่ใช้ปะปนกัน

   “คุณราเมศเป็นบาริสต้าหรือครับ”

   กวินถามอย่างนึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูน่ากลัวคนนี้จะเป็นคนชงกาแฟประจำร้าน

   “ใช่ น่าทึ่งสินะ”

   ปวีร์บอกอย่างนึกขำ เพราะรู้ดีว่าคนพูดนั้นคิดอะไรอยู่ ส่วนราเมศก็ชะงักมือเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป เขายังทำความสะอาดและเตรียมความพร้อมเครื่องชงกาแฟ เมื่อเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงหันมาหยิบเมล็ดกาแฟจากในตู้ใส่ลงไปในเครื่องบด แล้วจัดการบดเมล็ดกาแฟ ก่อนจะหันไปเตรียมอุปกรณ์เอาไว้ชงกาแฟต่อด้วยความคล่องแคล่ว

   “เจ้าที่จับยาว ๆ นั่น เขาเรียก Portafilter หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าก้านชงกาแฟก็ได้ เธอเคยเห็นตามร้านกาแฟทั่วไปไหมล่ะ ที่คนชงเขาจะเอามาใส่กาแฟที่บดแล้ว และเอามากด ๆ เกลี่ย ๆ ให้แน่นกับอุปกรณ์อีกตัวน่ะ”

   ปวีร์ที่ยืนมองเพื่อนชงกาแฟ อธิบายให้พนักงานของเขาฟัง แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของคนฟังบางคน

   “ไม่ต้องทำตาแป๋วแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้ให้พวกเธอจำขั้นตอนการชงอะไรหรอก เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ของบาริสต้าเขา ฉันก็แค่อธิบายให้ฟังเท่านั้นล่ะ ...สิ่งที่พวกเธอต้องจำคือนี่ต่างหาก”

   ปวีร์หันไปมองทางเคาเตอร์บาร์เมื่อกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟเริ่มลอยฟุ้งออกมาให้สัมผัส

   “ฉันอยากให้พวกเธอจดจำรูปร่าง หน้าตาของกาแฟแต่ละชนิดที่หมอนี่ชง และถ้าจดจำรสชาติได้ด้วยก็ยิ่งดี เพราะบางครั้งหากมีลูกค้าถามถึงชนิดและรสชาติกาแฟ พวกเธอจะได้สามารถอธิบายให้ลูกค้าของเราฟังได้ว่ากาแฟชนิดไหนจะเหมาะกับคนชอบรสชาติแบบใด ยังไงล่ะ”

   ทุกคนรับฟังแล้วพยักหน้ารับรู้ แม้แต่รุจที่ทำหน้าที่แคชเชียร์เองยังสนอกสนใจ เมื่อเห็นราเมศเริ่มชงกาแฟแก้วต่อไป จนกระทั่งครบเมนูของร้าน

   “ฉันจะชงเฉพาะกาแฟร้อนให้พวกเธอศึกษาและชิมกันก่อน และพวกเธอก็ต้องจำส่วนผสมหลัก ๆ ของมันให้ได้ เพื่อแจ้งให้ลูกค้าเราทราบ หากเขาสงสัยในส่วนผสม อย่างเช่นแก้วนี้...”

   ราเมศชี้ไปที่แก้วกาแฟแก้วหนึ่ง ที่มีกาแฟในแก้วอยู่น้อยสุด แล้วจึงอธิบายต่อ

   “แก้วนี้คือเอสเพรสโซ เป็นกาแฟรสเข้มจัดที่สุดในบรรดาเมนูกาแฟทั้งหมด ปกติแล้วจะไม่มีการเติมนมหรือน้ำตาลอะไร และเอสเพลสโซก็มักเป็นส่วนผสมหลักของชงกาแฟชนิดอื่น ๆ ด้วย ...อย่างแก้วถัดมานี้ คืออเมริกาโน มันก็คือกาแฟที่ชงแบบเอสเพลสโซผสมกับน้ำร้อน รสชาติก็จะอ่อนลงมาจากแบบเอสเพลสโซ  ปริมาณความจุของกาแฟต่อแก้วก็จะแลดูมากกว่า”

   ราเมศอธิบายให้คนอื่นฟัง แล้วเมื่อเห็นเหมือนวาโยหันรีหันขวาง แล้วทำมือยุกยิกเหมือนอยากจะจดอะไรสักอย่าง เขาจึงหันไปทางปวีร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะเบา ๆ เพราะเห็นเหมือนกับที่ราเมศเห็น จากนั้นชายหนุ่มจึงเปรยขึ้นขำ ๆ

   “ความรู้ทฤษฎีพวกนี้ฉันมีตำราแจกอยู่แล้ว เดี๋ยวก่อนกลับจะแวะไปหยิบให้ พอดีเอาเก็บไว้ที่ห้องพักพนักงานบนชั้นสองน่ะ พวกเธอเอากลับไปนอนท่องได้สบายถ้ากลัวลืม ...แต่ที่ให้มาลองของจริงแบบนี้ เพราะอยากให้ตาดู หูฟัง ลิ้นสัมผัส มันจะได้จดจำได้ไวขึ้นยังไงล่ะ”

   เมื่อได้ยินที่ปวีร์บอกวาโยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะนึกเขินนิด ๆ ที่ถูกมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  และจากนั้นราเมศก็เริ่มอธิบายต่อ แล้วให้ทุกคนลองชิมกาแฟทุกแก้วคนละนิดหน่อย แต่ถึงจะเป็นคนละนิดละหน่อย เจอกาแฟไปหลายแก้วแบบนั้น ก็เล่นเอาแต่ละคนเริ่มกังวลว่าคืนนี้พวกเขาจะได้ตาค้างจนหลับไม่ลงหรือไม่กันแน่



   เมื่อคอร์สชิมกาแฟจบลง ทั้งหมดก็เริ่มเข้าสู่คอร์สหนักลำดับถัดไป นั่นก็คือการรับมือกับเมนูอาหารที่ขายอยู่ในร้านนั่นเอง

   “ถือว่าเป็นมื้อกลางวันไปด้วยเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องซีเรียส”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจปริมาณอาหารมากมายหลายสิบเมนูตรงหน้า

   “ว่าแต่คุณนนก็ยังสุดยอดเหมือนเคย เวลาไม่กี่ชั่วโมงทำเมนูที่ร้านออกมาได้ทั้งหมดแบบนี้”

   ปวีร์เอ่ยชมเชฟประจำร้าน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งตอบ

   “ถ้าไม่มีคุณปยุตมาเป็นลูกมือก็คงลำบากเหมือนกันครับ อีกอย่างทำแบบลดปริมาณจากขายจริง ก็ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาได้มากเหมือนกัน”

   ชานนตอบตามตรง ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูด อาหารแต่ละจานนั้นดูน้อยกว่าปกติ หากจะเทียบกับปริมาณที่ขายตามร้านค้าแบบนี้

   “แต่ถ้าไม่อิ่มกัน ก็บอกได้นะครับ เดี๋ยวจะไปทำเพิ่มให้”

   ชานนหันไปบอกกับสมาชิกร่วมบ้านพักคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนก็ส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้ เพราะเท่าที่อยู่บนโต๊ะ ก็ไม่แน่ใจว่าจะร่วมมือกันจัดการได้หมดหรือเปล่าด้วยซ้ำ

   “แล้วนี่ไม่มีใครแพ้อะไรใช่ไหม กินได้ทุกอย่างหรือเปล่า”

   ปวีร์หันไปถาม ซึ่งแต่ละคนก็สั่นศีรษะ บ้างก็พยักหน้าตอบรับ เป็นเชิงบอกว่าพวกเขานั้นไม่ได้แพ้อะไรเป็นพิเศษ และสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ทุกประเภทที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้

   “โอเค ...จริง ๆ แล้วเมนูอาหารของร้านจะใส่เพิ่มให้หลากหลายกว่านี้ไปเลยก็ได้ แต่ฉันมาลองคิดดูแล้ว ฉันว่าคงอาหารจานหลักแค่ 4 – 5 อย่าง แล้วใส่อาหารอื่นเพิ่มมาเป็นเมนูพิเศษในแต่ละเดือนจะดีกว่า อย่างไหนคนตอบรับมาก ก็อาจจะนำเข้าบรรจุเป็นเมนูประจำในทีหลัง...”

    ปวีร์บอกกับพนักงานของเขา เพราะแม้อาหารตรงหน้าจะมากมาย แต่ก็รวมหมดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสลัด อาหารว่าง อาหารคาว อาหารหวาน ซึ่งนับดูแล้วสำหรับเมนูร้านอาหารก็ค่อนข้างน้อยไปสักหน่อย

    “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเธอต้องจดจำเมนูหลักของร้านให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รสชาติ หรือส่วนผสมคร่าว ๆ ต้องสามารถแจ้งกับลูกค้าที่ต้องการคำตอบได้เสมอ เข้าใจไหม”

   ประโยคถัดมา ทำให้คนอื่นชะงัก แล้วต่างพยักหน้าตอบรับอย่างขันแข็ง แต่ก็มีบางคนเริ่มทำสีหน้ากังวลให้เห็นอย่างเด่นชัด

   “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมถ่ายรูปอาหารแต่ละชนิดเอาไว้แล้ว ไว้ถ้าใครจำไม่ได้ ผมจะพิมพ์สูตรแล้วปริ้นท์แจกให้แล้วกันนะครับ”

   ชานนบอกเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของวาโยเข้าพอดี ทำเอาชายหนุ่มต้องหัวเราะเขิน ๆ แล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตาบางคนที่มองมายังเขาอย่างนึกขำปนเอ็นดู

   “เอาล่ะ  เริ่มงานของพวกเธอต่อได้แล้ว และฉันอยากได้สรุปผลด้วยว่า ในแต่ละประเภทจานไหนเด่นสุด พอที่จะเป็นอาหารแนะนำลูกค้าได้บ้าง”

   ปวีร์ตัดบท จากนั้นทุกคนจึงเริ่มต้นชิมอาหารตรงหน้าคนละนิดละหน่อย แต่เพราะมีเมนูหลายอย่างจึงทำให้แม้ชิมคนละนิดละหน่อย แต่ก็ทำเอาถึงกับอิ่มจุกได้เลยทีเดียว



   “สรุปเลยนะ.... สำหรับประเภทของกินเล่นนี่ เรามีแค่พวกแซนวิชกับขนมปังทาแยม เพราะฉะนั้นก็แนะนำไปทั้งหมด แต่ก็อาจจะเน้นที่ตัวแยมให้ลูกค้ารับรู้ว่า เป็นโฮมเมดสูตรเฉพาะของทางร้าน จะได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น  ส่วนประเภท สลัด มติเอกฉันท์ เลือกให้เชฟสลัด สูตรเฉพาะของคุณนนเป็นอาหารแนะนำ ...สำหรับพวกเมนหลัก นี่ทั้งพิซซ่าและไส้กรอกโฮมเมด นี่คะแนนพอ ๆ กัน งั้นก็แนะนำมันทั้งคู่นั่นล่ะ...”

   ปวีร์ทยอยสรุปผลการชิมอาหารและลงคะแนนเสียงเลือกอาหารแนะนำที่ไว้แจ้งลูกค้าในแต่ละเมนู ซึ่งแต่ละคนก็จดจำในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก และมีบางคนที่เริ่มทบทวนว่าเมนูแนะนำนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง

   “ส่วนของหวาน ...พุดดิ้งนม กับพุดดิ้งคาราเมล ทั้งคู่นี่ก็คะแนนไล่เลี่ยเหมือนกัน ...แต่ถ้าอันใดอันหนึ่งคะแนนไม่ถึง ฉันก็จะใช้สิทธิ์เจ้าของร้านจับยัดมันไปเป็นเมนูแนะนำอยู่ดีนั่นล่ะ”

   ปวีร์บอกตามมาพร้อมยิ้มน้อย ๆ ทำให้มีบางคนถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา และหลายคนยิ้มแห้ง ๆ ต่อความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย

   “อืม...เอาเป็นว่าเราได้อาหารแนะนำสำหรับลูกค้าเรียบร้อยทุกประเภท ที่เหลือพวกเธอก็ไปทบทวนที่ได้ชิมไปทั้งหมดในคืนนี้แล้วกัน ...แล้วก็อย่านอนดึกนักล่ะ เกิดหน้าโทรมขึ้นมาตั้งแต่วันเปิดร้าน มันจะขายไม่ออกเอา”

   ท้ายประโยคปวีร์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาหลายคนต้องมองตามไปอย่างสงสัย แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่ใส่ใจ พวกเขาก็ต้องลอบถอนหายใจ แล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้านพัก และมีบางคนบอกลาอาหารเย็นมื้อนี้ เพราะเท่าที่ได้กินไปคงจะอิ่มไปยันเช้าเลยทีเดียว





... TBC ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2012 13:32:30 โดย Xenon »

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
ใกล้เปิดร้านแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
เตรียมตัวไปฉลองเปิดร้าน
ไปดูหนุ่มๆ เฮ้ย! ไปชิมลาเต้ร้อนๆ ซักแก้ว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
มันจะมีอะไรพิลึก ๆ หรือเปล่าหว่า 

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
โว๊ะ ได้เวลาเปิดร้านแล้ววว

ก็ยังไม่เ้ข้าใจปวีร์อยู่ดี 5555

แต่วาโยน่ารักเนอะ ดูทุกคนจะเ็อ็นดูโยกันมากมาย

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ร้านเปิดแล้วนะคะ เชิญท่านลูกค้ามาใช้บริการได้เลยค่า  :pig2:



Miracle Café /8



   วันจันทร์ซึ่งเป็นวันเปิดร้านวันแรก  วาโยตื่นแต่เช้าเพราะความตื่นเต้น เขาลุกขึ้นมาลองเครื่องแบบอีกครั้งเพื่อเช็คความเรียบร้อย ก่อนจะถอดออกเป็นชุดลำลอง และลงไปด้านล่างเผื่อว่าจะช่วยงานอะไรชานนได้บ้าง

   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณวาโย ตื่นแต่เช้าเชียวนะครับ”

   ชานนทักทาย เขาเองกำลังยืนรดน้ำต้นไม้รอบ ๆ บ้านพัก ซึ่งพอวาโยเห็นก็รีบอาสาทันที

   “ให้ผมช่วยไหมครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ”

   ชานนบอก ซึ่งวาโยมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าดินรอบต้นไม้แต่ละต้นแลดูชุ่มชื่น แสดงให้เห็นว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ได้โกหกเขาแต่อย่างใด

   “คุณชานนตื่นเช้าจังเลยนะครับ”   

    วาโยชวนคุยพลางแอบคิดถึงที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาว่าตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเป็นประจำ ซึ่งดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

   “มันติดน่ะครับ สมัยก่อนที่เคยทำร้านอาหารเอง ผมต้องออกไปซื้อกับข้าวมาเตรียมทำตั้งแต่ตีสามตีสี่ กว่าจะเตรียมเสร็จพร้อมทำ ก็ปาไปตีห้ากว่า เปิดร้านตั้งแต่หกโมงเช้า ปิดก็ราวสองสามทุ่ม  ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก ๆ แต่พอไม่ได้ทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเหงาเสียอย่างนั้น ...พอว่างก็เลยต้องหาอะไรมาทำเพื่อแก้เหงานั่นล่ะครับ”

   ชานนบอกพร้อมรอยยิ้มและสีหน้าระลึกความหลัง วาโยฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายที่เคยมีร้านของตัวเอง ถึงได้มาเป็นเชฟกับปวีร์แบบนี้ก็ตาม

   “เฮ้อ! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตเถอะครับ สำหรับผม ปัจจุบันนี้ผมก็มีความสุขดี ...และคงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ถ้าร้านค้าที่ผมทำงาน มีลูกค้าเข้ามากินอาหารที่ผมทำ และรู้สึกอร่อยและติดใจบ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะครับ”

   ชานนเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งวาโยพอได้ฟังก็รีบเสริม

   “ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ครับ! ก็อาหารของคุณอร่อยขนาดนั้นนี่ครับ!”

   พอโพล่งออกไปได้วาโยก็ชะงัก แต่ก็ยังคงพึมพำตามมา

   “จริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ยอเพราะทำงานด้วยกัน แต่เพราะฝีมือคุณอร่อยจริง ๆ ...ขนาดไข่เจียวเมื่อวันก่อนนั่น ก็ยังอร่อยมาก ๆ เลย”

   ชานนมองชายหนุ่มอ่อนเยาว์กว่าเขาตรงหน้าด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวยิ้มแย้มอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่าย

   “ขอบคุณมากนะครับ สำหรับคำชมที่มีค่าของคุณ”

   วาโยมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มเขิน ๆ ตอบ และเมื่อชานนรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว  ชายหนุ่มจึงอาสาเป็นลูกมือในการเตรียมอาหารเช้าให้อีกฝ่ายเอง

   

   มื้อเช้าของทุกคนในบ้านพัก จะเริ่มในเวลา 08.00 น. ของทุกวัน  สำหรับมื้อกลางวันนั้นทุกคนจะทานกันที่ร้านในช่วงเวลาพักของแต่ละคน และมื้อเย็น ซึ่งถูกเลื่อนไปเป็นมื้อค่ำ ก็จะกินที่ครัวในร้านกันเลย  ยกเว้นวันหยุดวันอาทิตย์ ที่ถ้าไม่มีใครไปไหน ก็จะกินข้าวตามเวลารวมกันที่บ้านพักหลังนี้

   “อา...วันนี้เป็นอาหารเช้าแบบไทย ๆ แทนหรือครับ ...โอ๊ะ แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ของโปรดผมเลยนะเนี่ย!”   

   กวินที่ลงมาพึมพำอย่างถูกอกถูกใจ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นมองอาหารตรงหน้าอย่างพึงพอใจ แม้จะไม่ใช่อาหารหรูเหมือนเมื่อวานนี้ก็ตาม

   “ผมทำตามรีเควสของคุณวาโยในวันนี้น่ะครับ เป็นการขอบคุณที่ตื่นลงมาเป็นผู้ช่วยให้ตั้งแต่เช้า”

   วาโยบอกแล้วหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่ม ซึ่งวาโยก็ยิ้มตอบน้อย ๆ อย่างขัดเขิน

   “ส่วนพวกคุณ ไว้ผมจะทำใบรายการอาหารประจำวันไปให้นะครับ ลองเขียนที่อยากกินมา แล้วผมจะได้มาประยุกต์เป็นอาหารเช้าในแต่ละมื้อ จะได้หมุนเวียนทำอาหารที่แต่ละคนชอบไปในตัวด้วย”

   วาโยบอกกับคนอื่น ๆ ซึ่งแต่ละคนก็รู้สึกขอบคุณในความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายอยู่มากทีเดียว  หลังจากนั้นพวกเขาก็ประจำที่และเริ่มลงมือทานอาหารเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง

   “อ๊ะ...ทำไมนายเขี่ยผักชีออกแบบนั้นล่ะริน ของดีเลยนะนั่น!”

   กวินที่หันไปเห็นการินกำลังเขี่ยผักชีที่ติดวุ้นเส้นมาออกไปไว้ข้าง ๆ จาน โวยวายขึ้น ทำเอาคุณหนูประจำบ้านพักต้องหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ

   “ก็ไม่ชอบกินนี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ”

   วาโยลอบไปถอนหายใจเมื่อเห็นไม้เบื่อไม้เมาทั้งสองเริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง

   “เหอะ! เลือกกินชะมัด ตัวถึงได้ผอมแบบนี้”

   กวินบอกอย่างหมั่นไส้ แต่คนที่โดนหางเลขพาดพิงนั้นสะดุ้งโหยง แล้วพึมพำเสียงแผ่ว

   “ฉันก็ไม่ได้เลือกกินสักหน่อย มันไม่อ้วนเองต่างหาก”

   กวินชะงัก แล้วหันไปมองรูมเมทข้าง ๆ ที่นั่งหน้าจ๋อย ส่วนการินหลุดยิ้มสะใจเล็กน้อยที่เห็นสีหน้าเหวอด้วยความตกใจแบบนั้นของคนที่กวนโมโหเขา

   “ง่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงนายหรอกนะโย  ถึงนายตัวจะเล็กแต่ก็แข็งแรงไม่ใช่เหรอ แค่นั้นก็ดีแล้วน่า!”

   กวินรีบปลอบ และคำปลอบของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายคลายกังวลขึ้นมาได้ ส่วนคนอื่นนั้นไม่ได้พูดอะไร พวกเขาได้แต่กินข้าวเช้ากันต่อเงียบ ๆ แต่ก็อดคิดตามคำพูดของกวินเรื่องความแข็งแรงของวาโยไม่ได้ เพราะเมื่อวานนี้ตอนทำความสะอาด อีกฝ่ายก็ยกของที่ค่อนข้างหนักได้อย่างสบาย ๆ เลยด้วยซ้ำ

   “แต่ว่าคุณนนเล่นทำอาหารได้แทบทุกอย่างแบบนี้นี่สุดยอดเลยนะครับ เป็นเชฟมานานแล้วหรือครับ”

   กวินหันมาทางชานนแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดเป็นอย่างอื่น ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

   “ก็ไม่นานนักหรอกครับ ส่วนใหญ่ผมก็อาศัยครูพักลักจำเอาเสียมากกว่า  แต่พอมาทำงานกับคุณปวีร์ก็ถูกส่งให้ไปเรียนและสอบใบวิชาชีพมา ทีแรกก็ไม่อยากไปหรอกครับ แต่โดนบ่นใส่หน้าว่ามีฝีมือขนาดนี้แล้วจะเป็นแค่พ่อครัวทั่วไปมันก็น่าเสียดายอยู่ ก็เลยต้องไปเรียนแล้วก็สอบมาจนได้”

   คนอื่น ๆ รับฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายอย่างสนใจ แม้แต่การินซึ่งเป็นหลานของปวีร์เองก็รู้จักชานนเพียงผิวเผิน เขาเคยได้ยินผู้เป็นอาพูดให้ฟังเมื่อนานมาแล้วว่า ได้พ่อครัวฝีมือดีมาประจำบ้าน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคือชานนนี่เอง

   “แสดงว่าคุณก็ทำงานกับคุณปวีร์มานานแล้วสินะครับ”

   ภูริถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย ซึ่งชานนก็หันไปยิ้มแล้วตอบตามตรง

   “ใช่แล้วครับ ผมทำงานกับคุณปวีร์มาจะสองปีแล้ว พอเขาตัดสินใจเปิดร้าน เขาก็เลยชวนผมไปเป็นพ่อครัวให้ที่ร้าน แถมยังมีเงินเดือนต่างหากให้อีก ...ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าเงินเดือนพ่อครัวที่เจ้าตัวจ่ายให้อยู่ประจำนี่ก็พอแล้วแท้ ๆ”

   ท้ายประโยคชานนพึมพำอย่างเอือมระอา แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มให้กับคนอื่น

   “ว่าแต่วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดร้าน ผมขอแนะนำให้ทุกคนรีบไปให้ไวกว่าปกติจะดีกว่านะครับ ...เพราะคงจะมีคนมาสนใจมอง ๆ ร้านของพวกเราแต่เช้าอยู่บ้าง  ผมว่าถือโอกาสนี้ช่วยประชาสัมพันธ์ และชักชวนลูกค้าน่าจะดี พอถึงเวลาเปิดร้านจริง ๆ  ร้านจะได้ไม่ดูโล่งไปนัก”

   ชานนแนะนำ ซึ่งพอได้ฟังแต่ละคนก็ต่างเห็นดีด้วย แล้วจึงรีบจัดการอาหารเช้ามื้ออร่อยจนหมดเกลี้ยง จากนั้นแต่ละคนที่คิดจะช่วยเชฟหนุ่มเก็บจานชามล้าง ต่างถูกไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวพร้อมสำหรับการไปทำงานในวันแรก ด้วยรอยยิ้มกึ่งบังคับ ที่ทำให้ทุกคนในบ้านพักต้องยิ้มแห้ง ๆ แล้วกลับขึ้นห้องของพวกเขาไป พลางคิดในใจไม่แตกต่างกันว่า คนอ่อนโยนยิ้มง่ายเวลาเอาจริงก็ดูน่ากลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

   

   วาโยมองตัวเองในกระจกห้องน้ำ แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพึมพำตามมา

   “เอาล่ะ เพอร์เฟกต์!”

   จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องพัก แล้วเขาก็ต้องพบกับกวินที่ยืนหน้ายุ่ง ๆ อยู่แถวนั้น

   “มีอะไรหรือ วิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   วาโยถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกเนคไทให้เขาดู

   “ก็นี่น่ะสิ ฉันพยายามผูกอย่างที่นายสอนแล้ว แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี”

   วาโยมองเนคไทที่ผูกเบี้ยว ๆ อย่างนึกขำ คราวที่แล้วตอนลองเครื่องแบบเขาก็สอนและผูกให้อีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังเป็นเรื่องยากสำหรับกวินอยู่ดี

   “มา...ฉันผูกให้”

   วาโยบอกแล้วขยับเข้ามาผูกเนคไทให้อีกฝ่าย ซึ่งพอเรียบร้อยแล้วกวินก็ยิ้มกว้างแล้วบอกกับรูมเมทของตน

   “ขอบคุณมาก! นึกว่าจะไม่รอดแล้วเสียอีก!”

   “เวอร์ไป ก็แค่ผูกเนคไท ...เดี๋ยวกลับมาแล้วจะสอนให้อีกรอบ คราวนี้จะได้ผูกเองเป็นสักที”

   วาโยบอกอย่างนึกขำ แล้วจากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องและแวะไปที่ห้องของการิน

   “ริน! เสร็จหรือยัง!”

   กวินเคาะประตูห้องอีกฝ่ายค่อนข้างดัง จนวาโยต้องรีบห้ามเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการเปิดศึกชวนทะเลาะขึ้นอีกครั้ง

   “...เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

   การินเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงอย่างที่คิด ทว่ากวินนั้นกลับยิ้มกว้างทักทาย จนคนที่ทำหน้าบึ้งเริ่มบึ้งหนักขึ้นไปอีก

   “เอ่อ...ขอโทษที่รบกวนนะริน พอดีเราอยากไปที่ร้านพร้อมกันน่ะ ก็เลยแวะมารับ”

   วาโยรีบอธิบายแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดชะงัก แล้วถอนหายใจแรง ๆ ตามมา

   “อืม...ก็ไม่ได้รบกวนอะไรนักหรอก...”

   “เห็นไหมล่ะ โย หมอนี่ออกจะดีใจที่มีคนมารอไปพร้อมกัน”

   กวินแทรกขึ้นก่อนที่การินจะพูดจบ ทำเอาอีกคนเม้มปากน้อย ๆ ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะนะ”

   วาโยรีบแทรกตัวกั้นกลางเพื่อห้ามทัพ แถมยังคล้องแขนการินดึงตัวออกมาเสียก่อน ด้านการินนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่สนิทกับเขาถึงขนาดจับเนื้อต้องตัวแบบนี้  หรือจริง ๆ แล้วก็คือ การินแทบจะไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนเลยสักคน

   “เอ่อ ...คือ”

   การินทำท่าจะบอกกับวาโยเรื่องแขนของเขา แต่พอเห็นรอยยิ้มของวาโยที่หันมามองเขา ชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก

   “เหอะ...สนิทกันดีจังน้า”

    กวินเปรยขึ้นอย่างนึกอิจฉาขึ้นมาบ้างนิด ๆ ทำเอาวาโยต้องหันไปมองรูมเมทอย่างแปลกใจ

   “มีอะไรหรือไง ...อ๊ะ”

   วาโยถามแล้วมองตามสายตาอีกฝ่ายไปยังแขนของตน ก่อนจะสะดุ้งแล้วรีบปล่อยอย่างลืมตัว

   “ขอโทษ...เอ่อ ไม่ชอบสินะ ฉันเผลอไปน่ะ”

   การินมองคนที่ทำหน้าสำนึกผิดแล้วก็สงสาร และอีกอย่างเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรเลยสักนิด

   “ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอก...แค่เวลาเดินเกาะกันไปแบบนั้น มันค่อนข้างเดินลำบากแค่นั้นล่ะ”

   ชายหนุ่มหน้าสวยแก้ตัว ทำให้คนฟังยิ้มออกขึ้นมาได้

   “นั่นสินะ ถ้าเผลอลาก ๆ ดึง ๆ กันลงบันได อาจจะตกบันไดก็ได้”

   วาโยบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้การินลอบถอนหายใจ และนึกขำในความใสซื่อของอีกฝ่ายยิ่งนัก ส่วนกวินเองนั้นก็คิดไม่ค่อยแตกต่างกับอีกฝ่ายเท่าใด เขาว่าตัวเขาเข้ากับคนง่ายแล้ว แต่ความเป็นมิตรและจริงใจที่วาโยมีให้คนอื่น ๆ นั้น ตัวเขาเองยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   “โอเค ในเมื่อพร้อมแล้วสองห้อง ต่อไปก็ห้องเบอร์หนึ่ง!”

   กวินโพล่งขึ้นแล้วเตรียมจะเคาะประตูห้องโดยที่วาโยยังไม่ทันออกปากห้าม ทว่าประตูห้องก็เปิดออกมาเสียก่อน

   “ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเคาะเรียกแล้วล่ะนะ เพราะพวกฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

   รุจบอกด้วยสีหน้ากึ่งขำ เพราะเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกนั่น แว่วเข้ามาให้เขาได้ยินหมดแล้ว ส่วนภูรินั้นสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างเอือมระอาต่อความร่าเริงเกินพิกัดของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนี้ แต่พอหันไปสบตากับวาโย ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหลบตาไปอีกทาง ทำให้วาโยลอบถอนหายใจกับตัวเอง เพราะคิดว่าภูริคงจะไม่ค่อยชอบหน้าเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ตอนที่เขาเผลอพูดสั่งสอนอีกฝ่ายออกไปเมื่อวันก่อน

   “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราก็ไปเริ่มต้นการทำงานในวันแรกนี่กันเถอะ!”

   กวินสรุปเอาเอง แล้วเดินนำหน้าไปอย่างขยันขันแข็ง ทำให้คนอื่น ๆ ที่มองตามไล่หลังไป ไม่ยักไหล่ก็สั่นศีรษะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายนั้น เป็นแรงกระตุ้นในการทำงานอย่างดีเหมือนกัน

   

   เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงจึงจะถึงเวลาเปิดร้าน พวกวาโยนั้นเตรียมจัดเตรียมปัดกวาดเช็ดถูร้านอีกรอบ แล้วจึงนำป้ายกระดานร้านออกมาวางด้านหน้าให้เห็นชัด ๆ  ก่อนจะยกเก้าอี้กลมสีขาวออกมาตั้งด้านนอก สำหรับลูกค้าที่จะแวะมานั่งพักหรือนั่งรอคิวหากมีลูกค้าเต็มร้าน 

   “สวัสดีครับ ร้าน Miracle café ของเราวันนี้เปิดทำการวันแรกนะครับ ตอนสิบเอ็ดโมงเช้านี้ ถ้ายังไงก็เชิญมาใช้บริการได้นะครับ!”

   กวินบอกกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  มีหญิงสาวหลายคนทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ที่พอเห็นพนักงานหนุ่ม ๆ รูปหล่อ พวกเธอก็พากันตื่นเต้น และโทรบอกเพื่อนคนอื่นในกลุ่มทันที

   “ได้ผลแฮะ แค่ส่งวิน กับคุณภูริไป ก็ได้ลูกค้ามาเพียบแล้ว”

    วาโยพึมพำอย่างตื่นเต้น เขาเห็นดังนั้นจึงพยายามดังเช่นคนอื่นทำบ้าง และพอคนเริ่มซาลง ทั้งหมดก็ต่างเข้าไปพักในร้าน เพื่อรอให้ถึงเวลาเปิดร้าน



   เสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูร้านดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน ทำให้หนุ่ม ๆ ต่างหันไปมองอย่างแปลกใจ

   “ว้าว! มีแต่หนุ่มหล่อ ๆ อย่างที่วีบอกไว้จริง ๆ ด้วย แหม! แบบนี้สวรรค์ชัด ๆ ไม่เสียแรงที่ลาออกจากที่เดิม แล้วมาทำงานที่นี่แทนเลยเนอะ ตา!”

   สาวสวยผมยาวดำสลวย มาดเปรี้ยวเฉียบเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น  ส่วนสาวผมยาวหยักศก ท่าทางสวยหวานอีกคนนั้นยิ้มแย้มน้อย ๆ ตอบรับ  และเท่าที่ทุกคนสังเกต ทั้งสองสาวดูมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอยู่มากทีเดียว

   “เอ๋? ทำไมมองพวกฉันแบบนี้ล่ะ วีไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ”

   สาวเปรี้ยวอุทานอย่างแปลกใจ ยิ่งทำให้หนุ่ม ๆ งุนงงเข้าไปใหญ่

   “หึ ๆ ขอโทษทีแก้ว พอดีฉันลืมบอกพวกเขาไปน่ะ ว่าเธอสองพี่น้องจะมาทำงานด้วย”

   เสียงหัวเราะเบา ๆ พร้อมคำตอบดังขึ้นจากคนที่เดินมาจากทางเข้าออกห้องครัวด้านหลังเคาเตอร์  ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียง ปวีร์โบกมือทักทายเล็กน้อย ข้างหลังเขามีราเมศเดินตามมาติด ๆ

   “ลืมบอก หรือจงใจลืมกันจ๊ะ  นายนี่แย่จริง ๆ เลยวี คิดจะแกล้งพวกเขาล่ะสิท่า”

   ขวัญแก้วหรือหญิงสาวในมาดเปรี้ยว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา ส่วนหญิงสาวท่าทางอ่อนหวานข้างกายเธอนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วทักทายกับอีกสองคนที่เพิ่งมา

   “สวัสดีค่ะ พี่วี พี่เม”

   ปวีร์ยิ้มตอบ ส่วนราเมศแค่นยิ้ม เขาไม่ค่อยชอบชื่อเล่นของตัวเองเท่าใดนัก และคนรู้จักกันส่วนใหญ่ก็มักจะรู้ และไม่ค่อยมีใครเรียกให้ได้ยิน ยกเว้นก็แต่สองสาวสวยตรงหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเธอเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาทั้งคู่

   “เอาล่ะ! งั้นฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักเลยนะ  สองคนนี้คือพนักงานของร้านเหมือนกับพวกนาย  ผู้หญิงคนนี้ชื่อขวัญแก้ว เธอจะมาเป็นผู้ช่วยบาริสต้า และคอยดูแลเรื่องบาร์ทั้งหมด รวมไปถึงเป็นผู้ช่วยเธอด้วยนะรุจ”

   รุจพยักหน้ารับรู้ ทีแรกเขาเห็นตารางพักของเขา เขาเองยังแอบคิดว่าใครกันจะมาคอยช่วยรับหน้าที่แคชเชียร์แทนช่วงที่เขาพัก แต่พอรู้แบบนี้ทุกอย่างที่สงสัยไว้ก็ก็ลงตัวหมด

   “ส่วนอีกคนชื่อขวัญตา เธอเป็นน้องสาวของขวัญแก้ว จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟของคุณนน  เห็นแบบนี้แต่เธอเป็นถึงเชฟขนมของโรงแรมชื่อดังมาก่อน เชียวนะ”

   ปวีร์แนะนำทั้งสองสาว ซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นขวัญแก้วยิ้มน้อย ๆ แล้วกระแซะปวีร์เบา ๆ

   “แนะนำให้รู้จักมั่งสิวี ใครเป็นใครบ้างน่ะ”

   “โอเค ๆ เธอนี่ไม่พลาดเลยนะ เห็นเด็กน่ารัก ๆ หน่อยนี่ไม่ได้เลย”

   ปวีร์บอกขำ ๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกทะแม่ง เพราะถ้าลองเรียกพวกเขาว่าเด็ก แสดงว่าคนพูดรวมไปถึงอีกคน ก็ต้องอายุอานามไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

   “คนที่จะทำหน้าที่แคชเชียร์อยู่ประจำบาร์กับเธอคนนี้ชื่อรุจ  ส่วนนอกนั้นเป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งหมด เริ่มจากหนุ่มตัวสูงหน้าตาลูกครึ่งนั่น เขาชื่อภูริ  ส่วนคนถัดมาชื่อกวิน  และเจ้าตัวเล็กนั่นก็หลานชายฉันที่เคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ”

   ปวีร์บอกยิ้ม ๆ ทำเอาการินหน้าบึ้ง แต่ขวัญแก้วนั้นหลุดอุทานเบา ๆ อย่างชื่นชม

   “หน้าสวยมากอย่างที่บอกไว้จริง ๆ ด้วย สวัสดีจ้ะน้องริน พี่ชื่อแก้วนะ เป็นเพื่อนสมัยเรียนโทกับอาของเธอน่ะ”

   การินมองหญิงสาวแล้วยิ้มเนือย ๆ ให้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกล้าพูดถึงเขาแบบนั้นต่อหน้า เพราะเพื่อนของปวีร์ที่เขารู้จัก นอกจากราเมศแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นใครดูปกติดีเลยสักคนเดียว

   “ส่วนคนสุดท้ายที่ตัวเล็กไม่แพ้กันนั่น ชื่อวาโย รายนี้ฉันคาดว่าคงจะได้ทำงานกับพวกเราไปอีกนาน ...ถ้าร้านนี้ไม่เจ๊งไปเสียก่อนล่ะนะ”

   ปวีร์บอกพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้วาโยต้องยิ้มแห้ง ๆ แต่ขวัญแก้วและขวัญตานั้นจ้องมองชายหนุ่มเขม็ง

   “แปลกจังนะ เหมือนขาดอะไรไปอย่าง ...”

   ขวัญแก้วพึมพำ ส่วนขวัญตาเองนั้นก็มีทีท่าไม่แตกต่างจากพี่สาวของเธอนัก

   “นั่นสิคะ...ขัด ๆ ตายังไงไม่รู้สิ”

   คำพูดของสองสาวทำเอาวาโยใจแป้ว แล้วก็คิดว่าที่ทั้งคู่ขัดตาก็คงเป็นเพราะเขาหน้าตาไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้แน่ ทางด้านปวีร์นั้นหัวเราะในลำคออย่างนึกขำ แล้วจึงดึงสองสาวไปซุบซิบห่าง ๆ ซึ่งพอได้ฟังทั้งคู่ก็ตาโต แล้วเป็นขวัญแก้วที่ทุบมือตามมา

   “ใช่แล้ว! ถ้าใส่นั่นก็น่าจะลงตัวแน่  อ๊า! ฉันอยากให้ถึงวันเสาร์เร็ว ๆ ชะมัด!”

   “ชู่! เบา ๆ สิคะพี่แก้ว เดี๋ยวหนุ่ม ๆ จะตกใจเสียหมด”

   ขวัญตาปรามเตือนพี่สาว แต่ก็ยังคงมองมาที่วาโยด้วยนัยน์ตาเป็นประกายชนิดที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก

   “ถูกของตา อย่าเพิ่งให้รู้ตัวก่อนล่ะ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์เอา”

   ปวีร์เปรยเตือน ทำให้ขวัญแก้วหัวเราะคิกคัก แล้วจึงพยักหน้ารับคำ โดยมีพนักงานคนอื่นนอกจากราเมศ มองตามอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถาม เพราะจากรอยยิ้มของปวีร์และสองสาว ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทั้งสามปิดซ่อนไว้ มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับพวกตนอย่างแน่นอน

   

... TBC ...

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
คอสเพลย์แหงเลย  ว่าแต่จะเป็นชุดไหนน๊า  เมดที่มีแค่ผ้ากันเปื้อน  หรือว่ากระต่ายน้อยที่มีแค่หูกับหาง  หุ หุ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ขาดหูกระต่ายน้อยสำหรับว่าวาโยหรือเปล่า 5555

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
หนูน้อยวาโยจะโดนจับไปทำอะไรรึปล่าเนี่ย

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
นอกจากชึดธรรมดานี่มันคงจะมีอะไรๆอีกสินะ
คาดว่าร้านคงไม่เจ๊งไปก่อนที่โยจะใช้หนี้หมดหรอก
เพราะสวรรค์ขนาดนี้ ปวีร์จะยอมเสียมันไปรึ
><

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ อิอิ อยากรู้จังว่าวาโยจะใส่อะไรน๊า

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
โยจะโดนหูกระต่าย หรือ หูแมวหรอออ

มันต้องโมเอ้ หรือไม่ก็เรียกเลือดมากแน่ๆ :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
แวะมาแปะตอนที่ 9 ค่ะ ^^
--------------------------------



Miracle Café /9




    พอร้านเริ่มเปิดพวกวาโยก็เห็นมีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านและกำลังอ่านเมนูและรายละเอียดอื่น ๆ บนป้ายกระดานดำที่ตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน

    “ดูจากข้างนอกร้านดูสวยดีออก เข้าไปกินกันเถอะ เพิ่งเปิดวันแรกด้วยนี่”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นและแสดงความสนอกสนใจ แต่อีกเสียงขัดขึ้นเสียก่อน

    “มันก็น่าสนหรอก แต่ถ้านั่งกินในร้าน มันมีค่าเซอร์วิสชาร์จด้วยน่ะสิ... กินที่อื่นจะถูกกว่าไหม”

    “นั่งกินในร้านอาหารมันก็มีพวกนี้แทบทั้งนั้นนั่นล่ะ เพียงแต่บางที่ก็ไม่ระบุแจ้งไว้ แล้วเนียนรวมมาเลย ฉันว่าชี้แจงรายละเอียดแบบนี้ยังดูแฟร์ ๆ เสียกว่าอีก”

    เสียงของอีกคนขัดขึ้นมา พนักงานในร้านต่างมองตากันปริบ ๆ และขณะที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีนั้น  วาโยก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูเสียก่อน  ชายหนุ่มเปิดประตูออก แล้วยิ้มหวานให้กับหญิงสาวด้านนอกซึ่งมีกันอยู่สามคน

    “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ สนใจใช้บริการของร้านเราไหมครับ”

    ทั้งสามสาวสะดุ้งพวกเธอเริ่มลังเลและซุบซิบกันจนวาโยชักใจเสีย ก่อนจะชะงักเมื่อกวินนั้นเดินตามวาโยออกมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กำลังใจเพื่อนของเขา ก่อนจะหันมาโปรยยิ้มหวานให้ทั้งสามสาว

    “ยินดีต้อนรับครับคุณสุภาพสตรี มาทั้งหมดสามท่านสินะครับ เชิญด้านในดีกว่าครับ”

     ทั้งสามหน้าแดงระเรื่อเมื่อเจอรอยยิ้มของหนุ่มหล่อตรงหน้า พวกเธอเดินตามกวินที่โค้งต้อนรับอย่างนอบน้อมเข้าร้านไปด้วยความลืมตัว และเมื่อทั้งสามเข้ามาในร้านพวกเธอก็ต้องพบกับความตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก

    “ยินดีต้อนรับครับ”

    พนักงานเสิร์ฟและพนักงานแต่ละคนในร้าน ต่างหันไปทักทายลูกค้าของร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่เพราะเป็นรอยยิ้มของบรรดาคนที่หน้าตาดีระดับเป็นดาราได้สบาย  ก็ทำให้สาว ๆ กลุ่มนั้นรู้สึกขัดเขิน แทบทำอะไรไม่ถูก เห็นดังนั้นวาโยจึงตัดสินใจยิ้มแย้มแล้วเริ่มต้นทักทายทั้งสามอีกครั้ง

    “สวัสดีครับ จะนั่งทานในร้านหรือสั่งกลับบ้านดีครับ”

    “อะ...นะ...นั่งทานในร้านดีกว่าค่ะ”

    หญิงสาวคนหนึ่งหันมาตอบกุกกัก ซึ่งวาโยก็ยิ้มแย้มตอบรับ แล้วจึงเอ่ยต่อตามที่เคยได้ศึกษามาในคู่มือที่ปวีร์มอบให้

    “เชิญคุณลูกค้าทางนี้ก่อนดีกว่าครับ จะรับเป็นที่นั่งติดหน้าต่างหรือที่นั่งด้านในนี้ดีครับ”

    สามสาวหันไปปรึกษากันชั่วครู่ แล้วจึงเลือกโต๊ะที่นั่งริมหน้าต่างตัวริมสุด ซึ่งวาโยก็ยิ้มรับแล้วพาทั้งสามคนไปที่นั่ง ก่อนจะหยิบเมนูเครื่องดื่มที่เสียบไว้ประจำโต๊ะออกมาแจกให้สาว ๆ กลุ่มนั้น

    “จะรับเป็นเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

    เมนูของทางร้านนั้นนอกจากมีตัวอักษรทั้งภาษาไทยและอังกฤษกำกับราคา รวมไปถึงข้อตกลงเรื่อง vat และservice charge ระบุอย่างเด่นชัดแล้ว ยังมีภาพถ่ายของจริงประกอบอยู่ด้วย ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจสั่งได้ง่ายขึ้น สามสาวเลือกกันอยู่สักพักจึงสั่งเครื่องดื่มของแต่ละคน ซึ่งวาโยก็โค้งรับอย่างสุภาพแล้วจดลงไปในสมุดบิลเครื่องดื่มประจำตัวของเขา

    “รับเป็นไอซ์ลาเต้  2 ที่ และไอซ์มอคค่าอีก 1 ที่นะครับ... ส่วนนี่เมนูอาหารของทางร้านครับ ถ้าสนใจพร้อมสั่งก็เรียกได้ทุกเมื่อนะครับ”

    วาโยทวนคำขณะที่จดเมนูเครื่องดื่ม ก่อนจะนำเมนูอาหารของร้านให้ทั้งสามสาวดูไปพลาง ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงฉีกสำเนาบิลทั้งสองใบไปวางที่เคาเตอร์ส่วนของเครื่องดื่มใบหนึ่ง และส่วนของแคชเชียร์อีกหนึ่งใบ ทางด้านกวินที่ว่างจึงไปที่มุมน้ำของร้านและรินน้ำเปล่าใส่แก้วทั้งสามแก้ว ก่อนจะนำมาเสิร์ฟให้กับสามสาวที่นั่งรออยู่

    “มีอะไรสงสัยสอบถามได้ทุกเมื่อนะครับ”

    กวินบอกแล้วยิ้มหวานให้ เล่นเอาสาว ๆ ที่มองตอบหน้าแดง แล้วพยักหน้าหงึก ๆ อย่างลืมตัว

    “พวกนั้นดูชำนาญจังแฮะ”

    การินพึมพำเมื่อเห็นวาโยและกวินบริการแขกอย่างคล่องแคล่ว ด้านภูริเองก็มองชายหนุ่มทั้งสองก่อนจะเหลือบมองไปยังบานประตูที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าให้น้อยหน้าเขาสิ”

    ชายหนุ่มบอกกับคนข้าง ๆ ซึ่งการินเองก็มองไปทางลูกค้า แม้ทีแรกจะไม่เต็มใจทำ แต่พอเห็นกวินและวาโยพยายามเต็มที่แบบนั้น เขาเองก็รู้สึกฮึดขึ้นมาบ้าง

    “นั่นสินะ...”

    จากนั้นภูริจึงเข้าไปต้อนรับลูกค้าและเชิญลูกค้าไปนั่ง การินเองก็เช่นกัน พวกเขาวิ่งวุ่นกันทำงาน เพราะลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้านเรื่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังคงไม่ทิ้งสีหน้ายิ้มแย้มและมารยาท ทางด้านการินแม้เขาจะยิ้มไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ถามแขกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลสุภาพ เมื่อประกอบกับใบหน้าสวย ๆ ชวนมองของชายหนุ่ม ก็ทำให้แขกรู้สึกเพลินตาจนลืมเรื่องรอยยิ้มและพึงพอใจในการบริการของอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน



    “อร่อยทุกอย่างทั้งอาหารและเครื่องดื่มเลยค่ะ โดยเฉพาะเชฟสลัดนี่อร่อยมาก ๆ ฝากบอกเชฟด้วยนะคะ”

    ลูกค้าหญิงกลุ่มแรกของร้านบอกกับวาโยหลังจากที่ชายหนุ่มเอาเงินมาทอนพวกเธอ ซึ่งวาโยก็ยิ้มแย้มยินดีราวกับถูกชมเสียเอง เขาโค้งด้วยความดีใจ แล้วบอกเสียงสั่น

    “ขอบคุณนะครับ ผมจะบอกเชฟให้แน่นอนครับ”

    “แล้วก็เรื่องราคาอาหารด้วยเหมือนกัน พอเทียบกับปริมาณและรสชาติแล้วบอกได้เลยค่ะว่าคุ้มจริง ๆ ...แหะ ๆ บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกที่เห็นว่ามีแวทกับเซอร์วิสชาร์จต่างหาก ฉันงี้ถอยกรูดไปก้าวแล้ว”

    หญิงสาวอีกคนบอกแล้วยิ้มกึ่งแหยให้ ส่วนอีกคนที่เหลือรีบเสริมตามมาทันที

    “ฉันก็บอกแล้วว่ามันเรื่องปกติของร้านประเภทนี้ ราคาที่เขียนไว้ข้างนอกก่อนรวมค่าพวกนี้ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย เธอก็งกไม่เข้าเรื่อง เกือบทำให้พลาดร้านอร่อยแล้วไหมล่ะ”

    คนถูกย้ำทำหน้าเบ้ ก่อนจะบอกขอโทษตามมา ทั้งหมดรวมไปถึงวาโยหัวเราะเบา ๆ  แล้วจากนั้นสามสาวจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ และสัญญาว่าจะมาใช้บริการอีกครั้งอย่างแน่นอน

    “โอ๊ะ...เอ๋...”

    วาโยที่กำลังเก็บถาดใส่สมุดเดินบิลตรงหน้าหลังจากที่ลูกค้ากลับไปแล้วอุทานเบา ๆ เมื่อเห็นปลายแบงค์ยี่สิบโผล่ออกมาจากสมุดเล่มนั้น เขาไม่ได้มองตอนที่อีกฝ่ายรับเงินทอน และคิดว่าคงจะไม่ได้รับทิป เพราะมีค่า service charge รวมไปอยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับทิปถึงแม้จะเป็นทิปรวมก็ตาม ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจมาก เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าลูกค้าพอใจในบริการของร้านนั่นเอง

   

    อีกด้านหนึ่ง ราเมศนั้นกำลังชงกาแฟให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ยิ่งได้ขวัญแก้วเป็นลูกมือก็ยิ่งทำงานได้ราบรื่นไปใหญ่ เพราะหญิงสาวแม้จะมีตำแหน่งผู้ช่วยบาริสต้า แต่จริง ๆ แล้วเธอก็เป็นบาริสต้ามือหนึ่งไม่แพ้กับราเมศเลยทีเดียว

    “มาทำงานแบบนี้ก็ดีนะ ได้เห็นเมถอดแว่นตาดำกับเขาบ้าง ไม่งั้นก็ชอบใส่แว่นตลอด ทำตัวเป็นยากูซ่าเมืองไทยไปได้”

    ขวัญแก้วเอ่ยกระเซ้าคนที่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้ราเมศชะงักมือ แล้วทำทีเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจคำพูดของหล่อน ทว่าขวัญแก้วก็ยังพูดต่อ

    “หน้าตาก็ออกจะหล่อ แถมยังหุ่นนายแบบอายแบบนี้ ...น่าเสียดายที่ดันเป็นเกย์”

    คราวนี้ราเมศสะดุ้งโหยง เขาเกือบหลุดโพล่งออกไปแล้ว ถ้าไม่กลัวว่าลูกค้าจะตกใจล่ะก็

    “ฉันบอกเธอแล้วไงแก้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นเกย์ ...นี่คงยังไม่เลิกคิดสินะว่าฉันกับปวีร์เป็นอะไรกันอยู่น่ะ”

    ขวัญแก้วหันขวับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ราเมศไม่ชอบ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะยักไหล่เบา ๆ แล้วบอกตามมา

    “ใครจะเลิกคิดได้จ๊ะ เล่นตัวติดกันเป็นตังเมแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง แถมยังย้ายไปอยู่ด้วยกันหลังจากเรียนจบ วีสั่งอะไรก็ทำงก ๆ ไม่เคยขัด ไม่ใช่แฟนแล้วจะเป็นอะไร เพื่อนที่ไหนเขายอมกันได้ขนาดนี้ ฮึ!”

    ถึงแม้ขวัญแก้วจะพูดไม่ค่อยดังและลูกค้าที่นั่งห่างไปจะไม่ได้ยินก็ตาม แต่รุจที่ทำหน้าที่แคชเชียร์ยืนอยู่ร่วมบาร์กับทั้งคู่ก็ได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยทีเดียว ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มรับแขกและทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากันอยู่

    “ฉันไม่รู้ว่าพูดให้เธอฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่ฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ...ฉันคบกับปวีร์อย่างบริสุทธิ์ใจ เราชอบอะไรคล้ายกันหลายอย่าง และฉันก็สบายใจเวลาอยู่กับเขา ก็เลยตัดสินใจอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ...มันก็แค่นั้น”

     ขวัญแก้วเหลือบมองญาติของเธอ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วรับคำยานครางตามมา

    “จ้า ๆ รู้แล้ว ไม่ใช่แฟนก็ไม่ใช่แฟน ...ระวังเถอะ กว่าจะรู้ใจตัวเอง วีก็โดนคนอื่นคาบไปกินตัดหน้าพอดี เมก็น่าจะรู้ ว่าวีน่ะฮอตในหมู่ผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายขนาดไหน”

    ราเมศมองคนพูดแล้วถอนหายใจอย่างเอือมระอา เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมขวัญแก้ว และบางทีก็รวมไปถึงขวัญตา ถึงชอบพูดยุให้เขาจับคู่กับปวีร์อยู่บ่อย ๆ  ส่วนปวีร์พอรู้แทนที่จะช่วยแก้ตัว กลับทำเป็นเล่นผสมโรง แกล้งรับมุกเสียอย่างนั้นทำเอาเขาปวดหัวอยู่เสมอ  แต่ถ้าไม่นับเรื่องพวกนี้แล้ว ขวัญแก้ว กับ ขวัญตา ก็ถือเป็นผู้หญิงเก่ง ที่สามารถฝากฝังงานให้ทำได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลเลยทีเดียว

   

     “บ่ายแล้วนี่ ...ช่วงพักนายกับวินไม่ใช่หรือโย ไปพักได้แล้วล่ะ”

    รุจเอ่ยทักเมื่อเห็นวาโยเอาสมุดเดินบิลมาส่งคืนเขา วาโยมองไปที่ร้านซึ่งยังเห็นลูกค้าอยู่สองสามโต๊ะ

    “แต่ลูกค้ายังนั่งอยู่ ...”

    “แค่นั้นภูริกับการินรับมือได้สบายน่า เข้าใจนะว่านายอยากช่วยงานทุกคน แต่การพักก็สำคัญไม่ใช่หรือ ถ้าล้าไปจนทำให้ข้าวของเสียหายก็ไม่ดีใช่ไหม”

    รุจเตือนพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้วาโยยิ้มออก เขาพยักหน้ารับ แล้วหันไปสบตากับกวิน กวินเหลือบดูเวลา แต่เขาติดเช็ดโต๊ะทำความสะอาดอยู่ จึงทำสัญญาณมือว่าจะตามไปทีหลัง จากนั้นเมื่อเช็ดโต๊ะเสร็จแล้ เขาจึงหันไปทางภูริที่อยู่ใกล้ ๆ

    “ฝากต่อด้วยนะ เดี๋ยวผมไปพักก่อน แต่ถ้างานยุ่ง ๆ ก็เรียกตัวได้เลยนะครับ”

    “อืม…เดี๋ยวฉันดูทางนี้เอง”

    ภูริบอกเรียบ ๆ ซึ่งกวินก็ยิ้มให้ แล้วเดินตามวาโยไปทางหลังร้าน ภูริเหลือบมองการิน ที่ยังทำงานบริการแขกอยู่ แล้วมองไปรอบ ๆ ร้านอาหาร เขายักไหล่นิด ๆ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ

    “งานแบบนี้มันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักล่ะนะ”

    จากนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มหว่านเสน่ห์ เมื่อโต๊ะของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกเก็บเงิน และเพราะเหตุนั้น ทิปรวมของร้านจึงเพิ่มขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้นั่นเอง

   

    ด้านในครัว ชานนและขวัญตานั้นกำลังทำงานกันอย่างคล่องแคล่ว ขวัญตาแม้จะเป็นเชฟขนมแต่ฝีมือทำอาหารคาวเธอก็ไม่เป็นสองรองใคร เธอช่วยจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ จัดจาน ตกแต่งไว้เรียบร้อย ชนิดที่แม้จะมีออเดอร์เข้ามาติด ๆ แต่เชฟอย่างชานนก็ไม่ลำบากมากนัก     

    “อ้าว พักกันแล้วหรือ ... เหนื่อยกันหน่อยนะครับ”

    ชานนทักทายทั้งคู่ ซึ่งกวินและวาโยก็ยิ้มรับ

    “ไม่เหนื่อยเท่าคุณชานนหรอกครับ นี่ได้พักทานข้าวกันหรือยังครับทั้งสองคน”

    วาโยทักทายอย่างเป็นห่วง ซึ่งขวัญตากับชานนก็ยิ้มตอบ แล้วหญิงสาวจึงบอกไปพร้อมรอยยิ้มหวาน

    “ไม่ต้องห่วงค่ะ อยู่ในครัว แถมมีอุปกรณ์พร้อมขนาดนี้ อยากทานตอนไหนก็สบายอยู่แล้ว ...เมื่อครู่ฉันยังให้คุณนนสอนทำพาสต้าโฮมเมดสูตรของเขาอยู่เลย พอเรียนเสร็จ เจ้าอาหารจานนั้นมันก็ลงไปอยู่ในท้องฉันเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ”

    “ส่วนผมชิมรสจนอิ่มก็ว่าได้นั่นล่ะครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกครับ มาห่วงพวกคุณดีกว่า ... ผมทำเส้นพาสต้าโฮมเมดเผื่อเอาไว้ ยังร้อน ๆ อยู่เลยครับ เอาออกมาตักทานกันได้เลย”

    กวินตาโต รีบไปดูในตู้เก็บอาหารที่อีกฝ่ายบอก พอเปิดมาเขาก็เห็นกล่องอาหารปิดฝาเรียบร้อย เป็นจำนวนพอกับพนักงานในร้าน เขาหยิบส่วนของตนกับวาโยออกมา แล้วแบ่งกันกินในนั้น เพราะบริเวณครัวค่อนข้างกว้าง นอกจากมีโซนสำหรับปรุงอาหารแล้ว ยังมีที่สำหรับพนักงานนั่งทานในนั้นได้อย่างสบาย ๆ

    “เพราะช่วงแรก ๆ ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ ผมก็เลยไม่ได้จัดตารางอาหารกลางวันให้ทุกคน แต่ถ้าใครทานที่ทำไว้ไม่ได้ ก็แจ้งได้เสมอนะครับ ไม่ต้องเกรงใจกัน”

    ชานนบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ทั้งคู่ยิ้มตอบรู้สึกขอบคุณและชื่นชมต่อความเอาใจใส่คนอื่นของชายหนุ่มยิ่งนัก จากนั้นวาโยก็เล่าให้ฟังเรื่องที่ลูกค้าชมเรื่องอาหารที่อีกฝ่ายทำ ซึ่งชานนก็ยิ้มแย้มขอบคุณด้วยความยินดี ทำให้วาโยรู้สึกดีใจตามไปด้วย

    “หอมจัง...อ๊า! พาสต้าของโปรดด้วย มีเผื่อฉันไหมคะคุณนน”

    เสียงหวานใสดังขัดขึ้น ทำให้วาโยและกวินหันไปมอง ขวัญแก้วยิ้มทักทาย และเมื่อชานนบอกว่ามีเผื่อสำหรับทุกคน เธอจึงตรงไปที่ตู้เก็บอาหารในครัว แล้วหยิบพาสต้าส่วนของเธอออกมา

    “น่าเสียดายนะ ที่พักพร้อมกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้เมาท์กันสนุกทีเดียว”

    ขวัญแก้วที่มานั่งทานร่วมกับหนุ่ม ๆ บอก ซึ่งก็ทำให้คนฟังยิ้มตอบ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนสวยแถมยังไม่ถือตัวและคุยสนุก ถึงบางครั้งเจ้าหล่อนจะชอบซุบซิบกันเองกับปวีร์ไม่ก็ขวัญตา และมองพวกเขาแปลก ๆ นักก็ตามที

    “ว่าแต่วีล่ะคะคุณนน ไม่เห็นตัวตั้งแต่ช่วงใกล้เที่ยงแล้ว”

    ขวัญแก้วหันมาถามชานน ซึ่งเชฟหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบไปตามตรง

    “เห็นว่ามีงานต้องเคลียร์ก็เลยยังอยู่ข้างบนนั่นล่ะครับ อืม...เจ้าตัวบอกไว้ด้วยสิว่า ถ้าช่วงบ่าย ๆ ค่อยไปตามลงมาทานมื้อกลางวันด้วย...นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว”

    ชานนบอกอย่างนึกขึ้นได้ แต่ก่อนที่จะมีใครในนั้นอาสาขึ้นไปตาม ขวัญแก้วก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “ถ้าอย่างนั้นรอตอนบ่ายครึ่งก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเมก็พักแล้ว ถ้าคนอื่นไปตามแล้วกำลังทำงานติดพันก็มีหวังผัดผ่อนอยู่นั่นล่ะ  ถ้าเมไปตามเองก็ยังดึงตัวลงมาเลยได้บ้าง”

    ขวัญแก้วบอกอย่างคนที่รู้จักกันดี ชานนทำหน้าเห็นด้วย แล้วจึงหันไปสนใจทำอาหารต่อ เมื่อมีออเดอร์เข้ามาอีก

    “พวกที่บาร์พักกันคนละครึ่งชั่วโมงเองสินะครับ”

    กวินพึมพำแล้วนึกถึงตารางงานที่เขาอ่านผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจมากนัก

    “ใช่จ้ะ  แต่เราพักเป็นสองรอบนะ จะว่าไปงานบาร์ถึงจะหนัก แต่ก็ไม่ลำบากเท่าเสิร์ฟแบบพวกเธอนักหรอกจ้ะ”

    “แต่ทางนั้นต้องใช้ทักษะมากกว่าเยอะนี่ครับ”

    วาโยแย้งกลับไป เพราะเท่าที่เขาเห็นราเมศชงกาแฟ เขาก็นึกมึนแทนแล้ว เพราะไหนจะต้องจดจำการใช้อุปกรณ์ และสูตรที่ชงอีก มันช่างดูวุ่นวายในความคิดของเขาเสียเหลือเกิน

    “มันก็จริงล่ะนะ ...แต่ถ้าชำนาญแล้วก็ไม่ลำบากอย่างที่คิดไว้หรอกจ้ะ”

    ขวัญแก้วตอบแล้วยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเอ็นดู จากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารกันต่อ และนั่งคุยกันจนหมดเวลาพักของหญิงสาว เธอจึงขอตัวกลับไปทำงานต่อ ไม่นานนักราเมศก็เข้ามาในครัว และได้รับข้อความจากชานน เขาจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วถือกล่องอาหารในส่วนของเขาและปวีร์ขึ้นชั้นสองไปแทน

    “ลองเกินเวลาแล้วยังไม่ลงมาแบบนี้ มีอย่างเดียวคืองานติดพันนั่นล่ะครับ เพราะฉะนั้นคงต้องเอาไปป้อนถึงปาก ไม่งั้นก็มัวแต่ท่ามาก อ้างโน่นอ้างนี่ประจำ”

    ราเมศบอกเรียบ ๆ ก่อนขอตัวขึ้นห้องพัก แต่คนฟังอย่างวาโยและกวิน รู้สึกนึกทึ่งที่อีกฝ่ายนั้นรู้ใจกันดีแบบนี้ สมแล้วที่ขวัญแก้วบอกว่าทั้งสองคนนั้นคบกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเลยทีเดียว

    “ว่าแต่พวกคุณไม่ไปนอนพักยืดเส้นยืดสายด้านบนบ้างหรือครับ ยังมีเวลาอีกเกือบยี่สิบนาทีเลยทีเดียวนะครับ กว่าจะถึงเวลาทำงาน”

    ชานนเอ่ยทัก ทำให้กวินกับวาโยลังเล และเป็นวาโยที่ค่อย ๆ ลุกขึ้น และแอบย่องไปด้านหลังบาร์ ก่อนจะชำเลืองมองคนในร้านว่ามีเยอะไหม ทำเอาขวัญแก้วกับรุจที่หันมาเห็นพอดี ถึงกับหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกขำ

    “ไม่ต้องห่วงน่า ไว้ถ้าเพื่อนเธอไม่ไหว ฉันจะไปเรียกเธอมาช่วยนะ”

    ขวัญแก้วบอกค่อย ๆ วาโยยิ้มแห้งตอบ แต่พอชายหนุ่มจะผลุบหน้าเข้าไป การินก็หันมาพอดี ชายหนุ่มหน้าสวยสบตากับอีกฝ่ายแล้วเห็นสีหน้าและแววตาเป็นห่วงมองมายังเขา การินจึงถอนหายใจก่อนจะยิ้มมุมปากน้อย ๆ เป็นการยืนยันว่าเขาทำไหว วาโยยิ้มตอบแล้วยกนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ชื่นชมอีกฝ่าย พลางทำปากกระซิบเชียร์สู้ ๆ ก่อนจะหลบฉากไป จนการินที่มองอยู่นึกขำ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเหนื่อยและรู้สึกเพลีย เพราะแทบไม่เคยทำงานหนักมาก่อน แต่พอได้กำลังใจจากวาโย มันก็ทำให้เขาเริ่มฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

    “ขยันดีนี่คุณหนู นึกว่าจะทำไม่ไหวเสียอีก”

    ภูริที่เห็นการินเช็ดโต๊ะอย่างขยันขันแข็งเอ่ยทัก เพราะตอนนี้ลูกค้าแต่ละโต๊ะกำลังทานอาหาร จึงไม่มีใครเรียกขอบริการจากเขา

    “ก็คิดว่าจะไม่ไหวเหมือนกันนั่นล่ะครับ...แต่ว่า...”

    การินพึมพำแล้วมองไปยังด้านทางเข้าของครัว ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ

    “ขืนทำตัวอ่อนแอ เดี๋ยวใครบางคนก็เป็นห่วงพอดี ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีมันก็น่ารำคาญเหมือนกันนะครับ”

    แม้จะบอกว่าน่ารำคาญแต่ใบหน้าของชายหนุ่มกลับมีรอยยิ้มระบายอย่างยากที่ใครจะเคยได้เห็น จากนั้นการินจึงขอตัวนำผ้าเช็ดโต๊ะไปเก็บ ส่วนภูริที่ได้ฟังก็เหลือบไปมองทิศเดียวกัน เขานึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งยามคิดถึง

    “นั่นสินะ...ความห่วงใยที่มากเกินไป บางทีมันก็น่ารำคาญจริง ๆ ด้วยนั่นล่ะ”

    ชายหนุ่มพึมพำด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม เมื่อได้ยินเสียงลูกค้าเรียกใช้บริการดังขึ้น 




... TBC ...

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ภูริเป็นอะไรมากมั๊ยกับวาโยเนี่ยะ  รู้สึกว่าวาโยทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจซักอย่างเลยนะ

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4
 o13 o13 o13 o13  มารอวาโยแต่เช้า อิอิ

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
โยเราออกจะน่ารักเหอะ

เชอะๆๆ ภูริอยากได้ความเป็นห่วงของโยคนเดียวใช่ไหมล่ะ


jelatin99

  • บุคคลทั่วไป
ไปทำแจกันแตกมั่งดีกว่า เผื่อคุณวีจะให้ไปเป็นแม่บ้านในร้านใช้หนี้  :laugh:

อ่านแล้วก็ อร๊างงงง :-[ อยากไป อิอิ
 
 :pig4: นะคะ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ตอน 10 มาแล้วค่า ^^  หนุ่มๆ  ของเราก็เริ่มสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทีละน้อย  หุ ๆ แม้จะมีบางรายที่อาจจะทำซึนอยู่ แต่คอนเซปต์เรื่องนี้คือ "ฮาเร็ม" ค่ะ  ดังนั้นต่อให้ซึนแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องหลงเสน่ห์น้องโยของเราอยู่ดีล่ะ....มั้ง (อิ ๆ ไม่สปอยส์จ้า รอตามอ่านเอาเองนะคะ)  :o8:

--------------------------------------------------.



Miracle Café /10



    พอถึงเวลาเปลี่ยนเวรวาโยก็รีบจ้ำพรวดเพื่อจะได้ออกไปทำงานต่อทันที จนไม่ทันมองว่ากำลังมีคนเดินสวนเข้ามาเช่นเดียวกัน

    “อ๊ะ!”

    วาโยที่ตัวเล็กกว่าชนเข้ากับอีกคนแล้วทำท่าเหมือนจะล้ม ถ้าคนที่ถูกชนไม่คว้าเอวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ก่อน

    “หัดเดินให้มันมองทางหน่อยสิ”

    ภูริบ่นเบา ๆ แล้วปล่อยมือที่จับไว้ วาโยพึมพำขอโทษและขอบคุณ ก่อนจะเดินหน้าสลดออกไป ทำให้คนที่หลุดปากบ่น หงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอกน่า”

    พอได้ยินวาโยก็หันขวับ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มให้อย่างดีใจแทน ทำเอาภูริต้องถอนหายใจด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนกวินที่อยู่แถวนั้นมองภูริอย่างแปลกใจ แต่ก็หันไปทางวาโยแล้วยิ้มกว้าง

    “นายนี่มันตลกดีนะโย เหมือนตัวการ์ตูนเลย แป๊บ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าละ”

    คำพูดของกวินทำเอาคนที่ได้ยินแถวนั้นเกือบหลุดขำออกมา แม้แต่การินที่เดินมาทีหลังและได้ยินเข้า ยังต้องเบือนหน้าไปกลั้นยิ้มด้วยซ้ำ

    “มากไป...ใครจะเปลี่ยนได้ปุบปับแบบนั้น ฉันก็เป็นเหมือนคนปกตินั่นล่ะ ฮึ!”

    วาโยที่โดนเปรียบเป็นตัวการ์ตูนบอกอย่างนึกงอน แต่พอหันมาเห็นการินเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน ทำเอาขวัญแก้วที่มองอยู่รีบเอามือปิดปาก ก่อนจะเผลอหลุดหัวเราะออกมา

    “เหนื่อยไหมริน ไปพักกินข้าวเถอะ คุณชานนเขาอุ่นพาสต้าให้แล้วล่ะ”

    การินยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ เขาเดินผ่านวาโยเข้าไป ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินกวินที่อยู่แถวนั้นเอ่ยขึ้น

    “สงสัยฉันต้องดูนายใหม่เสียแล้วสิ เห็นบอบบางแบบนี้ แต่อึดใช่เล่นเลยนะ”

    การินมองคนพูด แล้วสะบัดหน้าเดินสวนเข้าห้องครัวไป ทว่าระหว่างสวนกันชายหนุ่มหน้าสวยก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

    “ฉันไม่มีทางเสียท่าให้นายดูถูกแน่ล่ะ”

     กวินมองตามไล่หลังอีกฝ่ายไป แม้จะหมั่นไส้และไม่ค่อยถูกชะตา แต่เขาก็ยอมรับเลยว่าตัวเล็ก ๆ แถมยังเป็นคุณหนูแบบนั้น  แต่สามารถทำงานหนักได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดเลยทีเดียว

    “ไปเถอะวิน ลูกค้าเข้าร้านแล้ว!”

    วาโยรีบหันไปบอกเพื่อน เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตู ชายหนุ่มรีบเข้าไปต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และท่าทางกระตือรือร้น จนกวินอดทึ่งไม่ได้

    “รายนี้ก็อีกคน ...เฮ้อ! ฉันเองก็ต้องเต็มที่บ้างแล้วล่ะ!”

     กวินบอกแล้วก็เร่งฝีเท้าออกไปเตรียมพร้อมทำงาน ราเมศที่เพิ่งออกมามองตามทั้งคู่แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันควันเมื่อขวัญแก้วนั้นหันมาจ้องเขาเขม็ง แล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์

    “ทำงานที่นี่มันดีจังเลยน้า ขนาดเสื้อยิ้มยากอย่างเม ยังหลุดยิ้มให้เห็นจนได้”

    “ฉันก็ยิ้มของฉันออกบ่อยไป”

    ราเมศแก้ตัว แล้วประจำที่ทำงาน แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อขวัญแก้วเอ่ยต่อ

    “ใช่ซิ...ยิ้มเฉพาะเวลาอยู่สองต่อสองกับวีใช่ไหมล่ะ”

    “เธอนี่มัน...”

    ราเมศถอนหายใจหนัก ๆ เขาทำเป็นไม่สนใจขวัญแก้ว แล้วหันไปบอกกับรุจแทน

    “ไปพักได้แล้วล่ะรุจ เดี๋ยวหน้าที่แคชเชียร์ พวกฉันจะดูแลแทนเอง”

    พอได้ยินราเมศพูดแบบนั้น ขวัญแก้วเองก็นึกได้ว่าถึงเวลาพักของรุจแล้วเช่นเดียวกัน

    “ตายจริง ลืมไปเลย ฉันทำแทนเองก็ได้จ้ะ เธอไปพักเถอะรุจ”

    รุจหันมายิ้มให้ทั้งสองพร้อมกับขอบคุณ ก่อนจะเดินลัดเลาะด้านหลังของทั้งคู่เข้าครัวไป ขวัญแก้วมองตามยิ้ม ๆ แล้วพึมพำอย่างถูกใจ

    “ชอบจังเลยคนแบบนี้ รู้จักพูด สงบปากสงบคำ แต่เวลาทำงานแล้วทันคน ที่สำคัญ ยังเป็นหนุ่มแว่นอีกต่างหาก!”

    ขวัญแก้วบอกอย่างชื่นชม แต่คำพูดของเธอโดยเฉพาะท้ายประโยคนั้นทำให้ราเมศหันไปมอง

    “ทีฉันบ่นเรื่องใส่แว่น แล้วทำไมคนอื่นพอใส่แว่นแล้วกลายเป็นดีไปล่ะ”

    หญิงสาวที่กำลังเดินไปประจำตำแหน่งแคชเชียร์หันมามอง แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

    “ก็ของเมมันแว่นตาดำ ใส่แล้วลดทอนความหล่อของใบหน้า แต่ของรุจมันเป็นไอเทมเสริมความน่ารักนี่นะ”

    ราเมศรับฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก คงจะมีแต่ปวีร์ที่มีงานอดิเรกใกล้เคียงกันกับขวัญแก้วเท่านั้นล่ะมั้งที่สามารถเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดได้ทั้งหมด

    ราเมศคิดในใจก่อนจะหันมาให้ความสำคัญกับออเดอร์เครื่องดื่มที่วาโยนำมาให้ ส่วนขวัญแก้วก็เหลือบมองญาติของเธอด้วยรอยยิ้มขำ ๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับงานของตัวเอง เมื่อมีลูกค้าเข้ามายืนดูขนมอบในตู้โชว์ขนมซึ่งตั้งอยู่ข้างแคชเชียร์ เพื่อที่จะสั่งนำกลับบ้านของตน

   

    แม้จะเป็นเวลาใกล้ปิดร้านแล้ว แต่ลูกค้าก็ยังทยอยเข้ามา พวกวาโยต้องแจ้งลูกค้าว่าแม้ร้านจะปิดตอนสองทุ่มก็จริง ทว่าครัวอาหารนั้นจะปิดในเวลาทุ่มครึ่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เข้าใจ และในที่สุดเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้าน ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มพอดี

    “จบไปวันหนึ่งแล้วสินะ...”

    กวินบิดกายเล็กน้อยอย่างเมื่อยขบ เขาตั้งใจว่าหลังจากวันนี้ไป ถ้ามีเวลาว่างคงต้องออกกำลังกายเพิ่มเติมบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงทำงานได้ไม่อึดพอแน่

    “ทานมื้อค่ำกันก่อนเถอะ แล้วค่อยจัดเก็บกวาดร้านก็ได้”

    ปวีร์ที่เดินออกมาจากทางครัวบอกกับพนักงานของเขา เมื่อเห็นวาโยที่เดินไปพลิกป้ายร้านเปลี่ยนเป็น Close เดินกลับมาเพื่อที่จะจัดโต๊ะ เตรียมทำความสะอาดต่อ

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ กำลังหิวมาก ๆ เลย!”

    คนที่เอ่ยตอบนั้นกลับเป็นกวินแทน ชายหนุ่มเดินจ้ำพรวด ๆ นำไปก่อน เห็นดังนั้นคนอื่น ๆ จึงทยอยวางมือ แล้วเข้าไปในห้องครัวเช่นเดียวกัน

    “หอมจังเลยครับ กลิ่นอะไรครับเนี่ย!”

    กวินทำจมูกฟุดฟิดแล้วถามอย่างสงสัย ด้านชานนกับขวัญตายิ้มน้อย ๆ แล้วเป็นขวัญตาที่เป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น

    “สตูว์เนื้อลูกวัวค่ะ ...พอดีฉันกับคุณนนนั่งคิดเมนูกันว่าจะทำอาหารอะไรเป็นมื้อค่ำดี คิดไปคิดมาก็มาลงเอยที่สตูว์นี่ล่ะค่ะ ...พูดก็พูดเถอะนะคะ ขนาดเชฟที่โรงแรมเก่าที่ฉันทำงานอยู่ ยังทำสตูว์อร่อยสู้คุณนนไม่ได้เลยล่ะค่ะ”

    ชานนหัวเราะกับคำชมของอีกฝ่าย เขาเปิดฝาหม้อสตูว์ออก มันจึงยิ่งส่งกลิ่นหอมหวนโชยออกมามากขึ้น ชายหนุ่มใช้ทัพพีตักใส่ชาม โดยมีขวัญตาเป็นผู้ช่วย เสิร์ฟให้สมาชิกแต่ละคนที่นั่งประจำที่กันถ้วนหน้า

    “ทั้งสองคนก็มาทานพร้อมกันเถอะครับ”

    วาโยเรียกขวัญตากับชานน ที่ยืนประจำตำแหน่งตรงหม้อสตูว์ ทั้งสองคนสบตากันลังเล แต่แล้วปวีร์ก็เอ่ยตามมา

    “หมดเวลางานแล้วน่า นี่มันเวลาครอบครัว มากินด้วยกันเถอะ”

    และเพราะคำพูดนั้นทำให้ชานนกับขวัญตายิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะตักสตูว์ส่วนของตัวเอง มานั่งทานด้วยเช่นเดียวกัน  โต๊ะยาวที่เคยกว้าง ตอนนี้กลับดูแน่นเพราะคนจำนวนสิบคน มานั่งกินรวมกัน

    “ใครไม่อิ่มก็เดินไปตักเองได้เลย คุณนนทำเผื่อไว้พอเบิ้ลอยู่แล้วล่ะ”

    ปวีร์บอกยิ้ม ๆ เมื่อเห็นแต่ละคนกินกันอย่างหิวโหย โดยเฉพาะบางคนที่กำลังจะหมดชามอย่างรวดเร็ว

    “อาหารกลางวันพรุ่งนี้ อยากกินอาหารจีนจังเลยค่ะคุณนน”

    ขวัญแก้วที่ทานอิ่มแล้วบอกกับเชฟหนุ่ม ซึ่งคำพูดของเธอก็สร้างความสนใจให้กับบางคนได้เหมือนกัน

    “อาหารจีนหรือ ก็น่ากินดีนะ ...เอาอะไรดีล่ะ”

    ปวีร์บอกอย่างเห็นด้วย ซึ่งแต่ละคนก็ทำท่าคิด แต่แล้ววาโยกับภูริก็เสนอขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

    “ผัดหมี่ซั่วดีไหมครับ”

    คนพูดต่างฝ่ายต่างชะงักแล้วหันไปมองหน้ากันอย่างแปลกใจ และเป็นวาโยที่รู้สึกตัวก่อน จึงรีบอธิบายตามมา

    “ง่า...ของชอบผมน่ะครับ”

    ภูริพยักหน้ารับรู้ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเอาวาโยกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธอะไรหรือเปล่า 

    “งั้นเอาหมี่ซั่วก็ได้ รู้สึกจะเป็นของโปรดของพนักงานเสิร์ฟของเราถึงสองคนนี่นะ”

    ปวีร์เอ่ยกระเซ้า ทำเอาภูริหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนวาโยหน้าแดงนิด ๆ

    “หมี่ซั่วหรือ ก็โอเคนะ... ขอเครื่องเยอะ ๆ ด้วยนะคะ หรือจะเป็นหมี่ซั่วทะเลก็เข้าท่าเหมือนกัน”

    ขวัญแก้วทำท่าอ้อนจนราเมศหมั่นไส้ ส่วนชานนหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้ ทางด้านคนอื่นที่ไม่ได้เสนอความคิด ต่างก็เห็นด้วยกับเมนูดังกล่าว พวกเขากินไปคุยไปได้สักพัก แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำงาน โดยวาโยกับกวินนั้นอาสาช่วยเก็บกวาดในครัว รุจไปเคลียร์เงินและบัญชีของวันนี้ ส่วนที่เหลือก็จัดการทำความสะอาดภายในร้าน

     ทางด้านสองสาวนั้นพวกเธอขับรถมาเอง และปวีร์ก็ไม่อยากให้ทั้งคู่กลับดึกนัก จึงให้พวกเธอกลับไปก่อนตั้งแต่ตอนทานมื้อค่ำเสร็จ  จนเวลาเกือบสามทุ่มพวกเขาก็ทำความสะอาดร้านเรียบร้อย จัดการปิดล็อกร้าน แล้วพากันกลับบ้านพัก ซึ่งแต่ละคนพออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนและหลับลงแทบจะทันทีเลยด้วยซ้ำ

   

    เช้าวันถัดมาวาโยตื่นขึ้นอย่างสดชื่น แม้จะทำงานหนักมาเมื่อวาน แต่สำหรับคนที่ทำงานพิเศษบ่อย ๆ อย่างชายหนุ่มนั้นสามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก

    “หลับสบายดีแฮะ ...หือ...เหวอ! แย่แล้ว!”

    ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ เมื่อหันไปเห็นกองเครื่องแบบพนักงานในตะกร้าข้างตู้ เมื่อคืนเขาตั้งใจจะซักและมารีดในช่วงเช้า แต่เพราะเหนื่อยมากไปก็เลยลืม โชคดีที่ยังมีเครื่องแบบสำรองอีกชุด ไม่อย่างนั้นคงจะได้ซักแล้วรีดกันทั้งหมาด ๆ มาใส่ทั้งอย่างนั้นแน่

    “ไปซักเสื้อก่อนดีกว่า...คนอื่น ๆ ไม่รู้จะลืมเหมือนกันหรือเปล่าแฮะ”

    วาโยนึกถึงคนอื่น ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าไปปลุกเรียกเพื่อถาม จึงจำต้องเดินถือตะกร้าผ้าของตนออกไปซักคนเดียว แต่พอลงมาก็เห็นรุจกำลังปั่นผ้าอยู่เช่นกัน

    “อ้าว ซักผ้าเหมือนกันหรือนั่น”

    “ง่า...ครับ เมื่อคืนผมเผลอหลับไปก่อน เลยลืมซัก”

    วาโยบอกแล้วยิ้มแห้ง ๆ รุจนั้นยิ้มตอบ แล้วจึงหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเครื่องดังเตือนเบา ๆ

    “เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปตากก่อนแล้วกัน”

    รุจบอกพร้อมกับหยิบผ้าใส่ตะกร้าของเขา หลังห้องซักรีดเป็นลานตากผ้า ที่มีราวตากและไม้หนีบให้พร้อม อีกทั้งมีหลังคากระเบื้องโปร่งแสงทำเป็นกันสาด ชนิดแดดส่องได้สะดวก และยังกันฝนได้หากเกิดฝนตกแล้วลืมเก็บอีกด้วย

    “เป็นห้องซักรีดที่เยี่ยมไปเลยแฮะ”

    วาโยมองเครื่องซักผ้าตรงหน้าที่มีอยู่สี่เครื่อง ทั้งแบบอัตโนมัติ และกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งมีอย่างละสองเครื่อง  วาโยนั้นเลือกใช้แบบกึ่งอัตโนมัติ เขาแยกเสื้อกางเกงไว้ปั่นไม่รวมกัน สักพักกวินก็ลงมาสมทบด้วยอีกคน

    “ไง! อรุณสวัสดิ์ ไม่ชวนกันเลยนะเนี่ย”

    ชายหนุ่มแบกตะกร้าผ้าของตนมาเช่นเดียวกัน ทว่ากวินนั้นจับทุกอย่างยัดใส่เครื่องซักผ้าอัตโนมัติ แล้วปั่นรวมไปเลยทีเดียว

    “อย่างน้อยก็แยกใส่ถุงปั่นสักหน่อยสิ”

    วาโยเอ่ยเตือน แต่กวินหัวเราะอย่างไม่ถือสา

    “ไม่เป็นไรหรอก ผ้าออกจะเนื้อดี สีไม่ตกชัวร์”

    วาโยถอนหายใจ เขาซักผ้าของเขาต่อ จากนั้นภูริและการินจึงนำผ้าลงมาซักด้วยเช่นเดียวกัน

    “ความจริงซักเช้าแบบนี้ก็เข้าท่าดีนะ กลางคืนมันเหนื่อย แถมตากทิ้งไว้ น้ำค้างลงด้วย เสื้อชื้นหมด”

    กวินบอกหลังจากที่หยิบเสื้อผ้าของเขาซึ่งอบเสร็จเตรียมตากออกมาจากตู้ เช่นเดียวกับเครื่องของวาโย

    “คุณหนู มาซักเครื่องนี้สิ นายซักแบบสองถังไม่เป็นหรอกน่า”

    กวินหันมาทางการิน ที่จด ๆ จ้อง ๆ มองเครื่องซักผ้าที่เหลือ เพราะเครื่องแบบอัตโนมัติอีกตู้นั้น ภูริจับจองซักอยู่เรียบร้อย

    “ฮึ! ฉันซักเป็นน่า ก็แค่ซักผ้า”

    การินบอกแล้วเลือกเครื่องกึ่งอัตโนมัติแทนเครื่องที่กวินใช้เสร็จ ทำให้กวินมองมาอย่างนึกขำ ส่วนวาโยมองอย่างเป็นห่วง และทำท่าจะเข้าไปช่วยสอน

    “ไม่ต้องน่าโย แค่เครื่องซักผ้า เด็กประถมยังใช้เป็นเลย!”

    กวินบอกแล้วลากวาโยไปตากผ้าด้วยกัน ทำให้การินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเครื่องซักผ้าตรงหน้า ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้ใช้ยากเย็นอะไรนัก

    “พอซักน้ำแรกเสร็จแล้ว ซักน้ำเปล่าตามอีกสักสองน้ำ กำลังดี ผงซักฟอกมันจะได้ไม่เหลือ”

    ภูริที่ยืนอยู่แถวนั้นบอกกับอีกฝ่าย ซึ่งการินก็ชะงักก่อนจะหันไปขอบคุณชายหนุ่มเบา ๆ แล้วหันมาสนใจกับการซักผ้าครั้งแรกของเขาต่อ

   

    และเมื่อหนุ่ม ๆ ซักผ้าตากผ้ากันเสร็จ อาหารเช้าก็เตรียมรออยู่เรียบร้อย

    “วันนี้เป็นเมนูจากสมาชิกห้อง 1 นำเสนอครับ และเพราะกลางวันนี้เราจะกินหมี่ซั่วทะเล ผมจึงหยิบเมนูนี้มาทำเป็นอาหารเช้าให้ทุกคนกัน”

    ชานนบอกแล้วหันไปยิ้มให้กับรุจและภูริ ซึ่งทั้งคู่ก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ส่วนกวินที่เดินตามมาพอเห็นอาหารตรงหน้าเขาก็อุทานเสียงดัง

    “ว้าว! ข้าวต้มทะเลหรือครับ  โห! เครื่องเพียบเลย!”

    กวินอุทานอย่างตื่นตะลึง เขาเคยกินข้าวต้มทะเลก็จริง แต่อย่างดีก็แค่กุ้งตัวเล็ก ๆ แล้วก็มีวิญญาณปู วิญญาณปลา เสริมมานิดหน่อย แต่กุ้งตัวโต ปลาหมึก เนื้อปู เนื้อปลาแน่นเพียบขนาดนี้ เขาเพิ่งจะได้กินมาก่อนนี่ล่ะ

    “เครื่องเยอะขนาดนี้ แต่ไม่มีกลิ่นคาวเลยนะครับเนี่ย ...อร่อยมากเลยครับ”

    วาโยเอ่ยชม ส่วนการินนั้นกำลังคิดว่าเขาจะจัดการเจ้าพวกกุ้ง ปู ปลา ปลาหมึกได้หมดจานหรือไม่ เพราะมันค่อนข้างเยอะอยู่ทีเดียว

    “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ... ที่ใส่เครื่องเยอะ เพราะข้าวต้มกินแล้วอิ่มง่ายก็จริง แต่จะย่อยเร็วมาก ดังนั้นจึงเน้นพลังงานที่เนื้อต่าง ๆ แทนน่ะครับ”

    “พลังงานเยอะอยู่เอาการเลยล่ะครับ”

    การินพึมพำ สงสัยวันนี้เขาคงต้องตั้งใจทำงานผลาญพลังในร่างกายให้เต็มที่ เพราะคอเรสเตอรอลที่เห็นตรงหน้านี่มันค่อนข้างจะมากอยู่พอสมควรทีเดียว

    “นายน่ะต้องกินให้เยอะ ๆ ด้วยซ้ำ ...เอาปลาหมึกฉันไปเพิ่มดีไหม”

    กวินไม่พูดเปล่า เขาตักปลาหมึกในชามให้อีกฝ่าย ทำเอาการินตาโต แล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าบึ้งหนัก

    “วิน...อย่าแกล้งเขาสิ ...นี่ริน ถ้ากินไม่หมดก็ไม่เป็นไรนะ เอามาทางนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันช่วยเอง”

    วาโยบอกแล้วยิ้มอ่อนโยน ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดถอนหายใจ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ ตามมา

    “ใครไม่พอทานมีเติมทั้งข้าวทั้งเครื่องนะครับ”

    เสียงของชานนขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม แต่คนฟังแต่ละคนกลับยิ้มแหย ๆ ให้ และต่างคิดในใจว่าอีกฝ่ายนั้นช่างเป็นพ่อครัวที่ไม่หวงวัตถุดิบเลยจริง ๆ

    และแล้วมื้อเช้าที่อาหารแสนเบาอย่างข้าวต้มแต่กลับหนักเครื่องจนบางคนถึงกับจุก ก็ผ่านพ้นไปอย่างเอร็ดอร่อย มีบางคนนั้นเลือกที่จะเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารด้านล่างแทนที่จะกลับขึ้นห้องพัก  แต่บางคนก็ขอตัวไปนอนต่อ ก่อนที่จะถึงเวลาเข้างาน

   

… TBC …

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
อั๊ยๆๆๆๆ

โยยังคงสเต๊ปความน่ารักและห่วงใยคนอื่นอย่างเหลือเฟื้อ น่ารักซะจริงๆเลย

ดูเหมือนใคร ๆก็ชอบโยเนอะ แต่ภูรินิดูยากแหะ

5555

กวินกับการิน จิกกัดกันตลอดเวลา เรียกว่า คู่รักคู่กัดได้ไหมน้าา

ว่าแต่ สองคนนี้จะเข้าคู่กันรึเปล่าจ้า

ติดตามต่อๆๆ

alekung103

  • บุคคลทั่วไป
แหม ภูรินี่ซึนจริงๆ เลยนะ

ฮาเร็มสำหรับวาโย ชอบอ่ะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
ฮาเลมงัยละ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ในที่สุด อีเวนท์พิเศษวันเสาร์ก็มาถึง ....มีนักอ่านท่านใดทายถูกกันบ้างคะ ^^

--------------------------------------------------------------------------------------




Miracle Café /11




    ลูกค้าในวันที่สองเริ่มทยอยมากันหนาตามากขึ้น จากคำบอกเล่าปากต่อปาก และจากลูกค้าที่ชื่นชมในรสชาติและบริการจากวันแรก พวกวาโยวิ่งวุ่นกันมากกว่าเดิม แต่ทุกคนก็ยังคงขยันขันแข็งและมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา และเริ่มมีสมาชิกบางรายได้ ‘ทิป’ ส่วนตัวจากลูกค้า แล้วเช่นกัน

    “อะไรน่ะวิน... เอ๋ น้ำหอมหรือ”

    วาโยซุบซิบกับอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นหญิงสาววัยทำงานโต๊ะที่เพิ่งลุกไปมอบทิปให้กับมือเพื่อนของเขา

    “ใช่...น้ำหอมมันก็โอเคอยู่หรอกนะ แต่เวลาทำงานมันใส่ไม่ได้นี่ เดี๋ยวรบกวนกลิ่นกาแฟในร้านพอดี”

    กวินบอกอย่างไม่ยินดียินร้าย ทำให้วาโยลอบถอนหายใจ และคิดในใจว่าอีกฝ่ายคงเคยได้ของขวัญจากสาว ๆ มานับไม่ถ้วน ถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับกันถ้าเป็นเขาคงดีใจยิ้มไม่หุบไปทั้งวันแน่

     “เอาจริง ๆ ฉันก็อยากได้เป็นแบงค์ม่วง ๆ แดง ๆ แนบเบอร์โทรเจ้าของแบงค์มาแบบคุณภูริมากกว่าล่ะนะ”

    กวินบอกพลางยักไหล่ แต่ทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะมีลูกค้าใจถึงให้ทิปเยอะขนาดนี้ แถมยังกล้าให้เบอร์โทรเพื่อให้ฝ่ายชายติดต่อมาก่อนอีก

    “เป็นอะไรไปโย หน้าแดง ๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า”

    กวินถามพลางยกหลังมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย ส่วนอีกมือก็แตะหน้าผากตัวเองเช็คอุณหภูมิ การกระทำของทั้งคู่ทำให้ลูกค้าหญิงบางคนที่หันมาเห็น ถึงกับหน้าแดงแล้วหันไปซุบซิบกับเพื่อนของเธออย่างถูกใจ

    “มะ...ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้เป็นไข้หรอก อ๊ะ ลูกค้าเรียกแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

    วาโยรีบตัดบท แล้วตรงไปหาลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่ต้องการจะเติมน้ำเปล่า ชายหนุ่มไม่กล้าบอกเพื่อนหรอกว่าเขาเผลอคิดถึงเรื่องส่วนตัวฉันท์ชู้สาวของคนอื่น ถ้ากวินรู้เข้า มีหวังต้องล้อเลียนเขาแน่เลยทีเดียว

   

    หลังจากรับมือช่วงเที่ยงที่ค่อนข้างวุ่นวายกว่าวันแรก ก็ถึงช่วงพักของกวินและการิน ทำเอาวาโยชักกังวลว่าคู่ปรับคู่กัดทั้งสองจะมีเรื่องทะเลาะกันหลังร้านหรือไม่

    “นี่... ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ดูแลหน่อยสิ”

    ภูริที่เดินถือเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าผ่านวาโย กระซิบดุอีกฝ่ายที่เผลอยืนเหม่อ ทำให้วาโยสะดุ้งโหยง เขารีบหันไปทางลูกค้าแล้ววิ่งไปต้อนรับ และพาลูกค้าไปนั่งที่นั่ง ก่อนจะเหลือบมองภูริ แล้วลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเข้าใจว่าตนเองคงเผลอทำเรื่องให้อีกฝ่ายรำคาญและหมั่นไส้เพิ่มขึ้นอีกแน่

    “น้องคะ ...น้องคะ ...”

    ลูกค้าสาวคนหนึ่งย้ำเรียกวาโยที่เผลอยืนเหม่อซ้ำสอง จนวาโยรู้สึกตัว เขาสะดุ้งเฮือก รีบโค้งปลก ๆ ขอโทษอีกฝ่ายทันที

    “ขอโทษนะครับ ขอโทษจริง ๆ ผมเผลอไปหน่อย”

    ลูกค้าสาวคนนั้นชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องซีเรียสถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่อยากทราบรสชาติของเครื่องดื่มพวกนี้สักหน่อยน่ะค่ะ พอดีมีหลายอย่างที่ไม่คุ้นชื่อ ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยจะได้ไหมคะ”

    วาโยยิ้มเขิน ๆ ตอบ ดีใจที่ลูกค้าไม่ถือสา จากนั้นเขาจึงตั้งใจอธิบายอย่างขยันขันแข็งตามที่ได้จดจำและเรียนรู้มา จนลูกค้าพึงพอใจ  ส่วนทางด้านภูรินั้นเหลือบมองเพื่อนรุ่นน้องของเขาชั่วครู่ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับงานตรงหน้าของตนต่อจนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยงของเขาและวาโย



    “โย...คิดถึงนายชะมัดเลย!”

    วาโยหันไปมองตามเสียง แล้วก็เห็นกวินที่เดินผ่านหลังแคชเชียร์ตรงมากอดเขา จนเขาตกใจ

    “อะไรกันวิน...เป็นอะไรไป”

    โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าในร้าน ไม่อย่างนั้นวาโยคิดว่าคงถูกสายตาแปลก ๆ มองพวกเขาแน่  แต่พอมาลองคิดดี ๆ ถ้าเห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่กวินคงไม่กล้าทำแบบนี้อยู่แล้วล่ะนะ

    “ก็หมอนั่นน่ะสิ  นั่งเป็นตุ๊กตาปูนปั้นทั้งชั่วโมงเลย ฉันชวนคุยอะไรก็ไม่คุยด้วย ...เหงาชะมัด น่าจะขอคุณปวีร์ให้จัดพักพร้อมนายตลอดยังดีเสียกว่า”

    กวินบ่นอุบ ทำให้วาโยลอบถอนหายใจ แล้วดันคนตัวใหญ่กว่าให้ออกห่าง ก่อนจะย้อนกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

    “นายแหย่เขาก่อนล่ะสิ”

    “อะไร! แม้แต่นายยังโทษว่าเป็นความผิดของฉันอย่างนั้นรึ! ฮึ…เสียทีเราเป็นรูมเมทกันแท้ ๆ”

    คนตัวใหญ่ทำท่างอนจนคนมองนึกขำ แต่วาโยก็ไม่ใส่ใจ เพราะเริ่มชินเสียแล้ว ถ้ากวินยังบ่นยังพูดได้แบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธได้งอนอะไรจริงจังนัก

    “ลำบากแย่สินะริน”

    วาโยหันไปทักทายคนที่กำลังเดินตามมา การินทำท่าถอนหายใจเบื่อหน่ายให้เห็นชัด ๆ แทนคำตอบ ทำเอาวาโยหัวเราะเบา ๆ

    “เอาน่า...เดี๋ยวก็ชินเอง”

    วาโยปลอบแล้วขอตัวไปพักบ้าง ซึ่งการินก็ยิ้มน้อย ๆ ระหว่างเดินสวนกัน  ทางด้านภูริยืนมองการสนทนาอยู่สักพัก แล้วจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับรุจที่ถึงเวลาพักพอดีเช่นเดียวกัน

   

    วาโยเริ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของกวินก็คราวนี้ เมื่อหลังจากเขาและภูริต้องมานั่งทานอาหารฝั่งตรงข้ามกัน แถมต่างฝ่ายต่างเงียบไม่สนทนาอันใด  โชคยังดีที่มีรุจ ชานนและขวัญตาคอยชวนคุย ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

    “งั้นฉันไปพักรอเวลาข้างบนก่อนนะ”

    ภูริที่เดินออกจากห้องน้ำหลังทานอาหารเสร็จบอกกับรุจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแย้มพลางพยักหน้าตอบ แล้วจึงมองนาฬิกาซึ่งติดฝาผนังในห้องนั้นบ้าง

    “เอ...ฉันก็ใกล้ได้เวลางานแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะโย ขอตัวก่อนนะครับ คุณนน คุณตา”

    ทั้งสามยิ้มตอบแล้วพยักหน้ารับรู้ ทว่าพอภูริและรุจออกจากห้องครัวไป วาโยก็นั่งขัด ๆ เขิน ๆ อยู่คนเดียว เพราะชานนกับขวัญตาที่ตั้งท่าจะเข้ามาเป็นเพื่อนชวนเขาคุย เริ่มมีออเดอร์งานครัวเข้ามาอีกครั้ง

    “ง่า...งั้นผมขึ้นไปพักบนชั้นสองนะครับ”

    วาโยบอกกับทั้งคู่เพราะไม่อยากอยู่รบกวนสมาธิในการทำอาหารของทั้งสองคน  แต่ก่อนหน้าที่จะขึ้นไป เขาก็แวะเข้าห้องน้ำล้างมือล้างหน้าให้สดชื่น ก่อนจะชะงักเพราะเหลือบไปเห็นบางอย่างในถังขยะใต้อ่างล่างหน้า ซึ่งมีเศษกระดาษเขียนเบอร์โทรศัพท์ด้วยลายมือหวัด ๆ คล้ายลายมือผู้หญิงเขียนทิ้งอยู่ในนั้น

    “นั่นมัน...”

    วาโยหวนนึกถึงเรื่องทิปที่คุยกับกวิน ว่าที่ภูรินั้นได้รับทิปส่วนตัวพร้อมเบอร์โทรของลูกค้า ชายหนุ่มนิ่วหน้า แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เขาก็พบว่าภูริกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนหนุนหมอนอิงบนพรมกว้างอ่านหนังสืออยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ

    “ทำไมคุณถึงทิ้งเบอร์โทรของลูกค้าไว้ในถังขยะแบบนั้นล่ะครับ”

    วาโยถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    “หือ...รู้ด้วยหรือ”

    ภูริเงยหน้าขึ้นมอง วางหนังสือลงข้าง ๆ และถามกลับไปอย่างแปลกใจ

    “วินบอกน่ะครับ ว่าเห็นคุณได้ทิปพร้อมเบอร์โทร...”

    วาโยบอกตามตรง นั่นจึงทำให้คนฟังยักไหล่

    “มันก็ใช่...ฉันได้ทิปพร้อมเบอร์โทรของลูกค้า แต่ฉันไม่อยากเก็บไว้ก็เลยทิ้ง มันผิดด้วยหรือไง”

    “แต่ลูกค้าเขาอุตส่าห์ให้นะครับ ถ้าเขามารู้ทีหลังมันจะไม่ดีนะครับ”

    ภูริมีสีหน้าเบื่อหน่าย เขากวักมือเรียกวาโย แล้วจึงฉุดแขนคนที่เดินมาใกล้ลงมา วาโยที่เสียหลักจึงล้มลงไปนอนคร่อมทับร่างอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

    “ฉันถึงได้เอามาทิ้งในห้องน้ำของพนักงานยังไงล่ะ ...ถ้าฉันไม่เกรงใจ ฉันคงปฏิเสธไปต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว ...ฉันว่านายน่ะ แทนที่จะเอาเวลามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น  สู้เอาเวลาไปทำงานของตัวเองให้มันได้เรื่องได้ราวไม่ดีกว่าหรือ... มัวแต่ห่วงโน่นห่วงนี่ชาวบ้านแต่ปล่อยปละละเลยงานตัวเอง ...คงไม่มีลูกค้าใจดีบ่อย ๆ เหมือนอย่างวันนี้หรอกนะ”

    ภูริบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตาคมกริบที่จับจ้องมา และถ้อยคำแทงใจดำที่เจ้าตัวพูด ทำให้วาโยไม่สามารถเถียงอะไรออกไปได้ เพราะสิ่งที่ภูรินั้นพูดก็เป็นความจริงทั้งหมด รวมไปถึงเหตุผลที่เจ้าตัวทิ้งเบอร์มือถือของลูกค้าด้วย

    “ขอโทษครับ...ผมมันยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ”

    วาโยพึมพำและมีสีหน้าสลดลงอย่างสำนึกผิด ทำให้ภูริสบถเบา ๆ แล้วผลักร่างนั้นไปข้าง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางล้วงบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง เดินไปทางระเบียงนอกห้อง ทำให้วาโยที่มองตามชะงัก แล้วลุกขึ้นจ้ำเท้าเดินไปดึงซองบุหรี่ของอีกฝ่ายออกมาจากมือ

    “นี่นาย!”

    ภูริหันมามองอีกฝ่ายอย่างเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ทว่าคราวนี้วาโยกลับจ้องมองชายหนุ่มเขม็งอย่างไม่ยอมหลบตา

    “เมื่อครู่ผมยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ ผมต้องขอโทษ และจะพยายามไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณอีก ...แต่เรื่องบุหรี่นี่ผมคงปล่อยไปไม่สนใจไม่ได้  ถึงกฎของร้านจะไม่ได้ห้ามเรื่องสูบบุหรี่นอกเวลาก็จริง  แต่หากสูบแล้วไปทำงานต่อยังไงลูกค้าก็ต้องได้กลิ่น มันจะสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีให้กับร้านค้าของเรานะครับ!”

    “นายมัน...”

    ภูริไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาพูดกับคนที่เขาไม่ถูกชะตาตรงหน้านี้ดี วาโยจ้องอีกฝ่ายนิ่งสักพัก แล้วจึงคืนซองบุหรี่ให้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยตามมา

    “ผมขอโทษที่เสียมารยาทกับคุณ...ผมคงขอให้คุณเลิกบุหรี่ไม่ได้ก็จริง ๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากขอร้องคุณให้สูบหลังเวลาเลิกงานได้ไหมครับ...”

    ภูริจเองอีกฝ่ายเขม็ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบกับแววตาจริงจังและบริสุทธิ์ใจของอีกฝ่ายจ้องมองเขาตอบ

      “คุณภูริ...คุณน่ะเป็นหน้าเป็นตาและมีส่วนทำให้แขกเข้าร้านเป็นอันดับต้น ๆ ...เป็นความภูมิใจของร้านคนหนึ่ง ถึงร้านนี้จะเพิ่งเปิดมาได้แค่สองวัน ...ถึงผมจะได้รู้จักคุ้นเคยกับทุกคนแค่ไม่กี่วัน ...แต่ผมน่ะ...ผมเริ่มรักร้านแห่งนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว  ผมอยากเป็นแรงกำลังและมอบสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่ทำให้ร้านนี้สามารถคงอยู่ได้  ...ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือทุกคนในร้านแห่งนี้ ...แน่นอน มันก็รวมไปถึงตัวคุณด้วยเหมือนกัน”

    ภูริจ้องมองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ยอมหลบตาเขา ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ ตามมา

    “ยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง คนอย่างนายน่ะเป็นประเภทที่ฉันไม่สบอารมณ์มากที่สุดเลยรู้ไหม!”

    ภูริกระแทกเสียงใส่ ทว่าเขากลับเก็บซองบุหรี่ใส่ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วกลับเข้าไปนั่งพักในห้องต่อ ทำให้วาโยที่มองตามนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออก เขาเดินเข้าไปในห้องพัก ทว่าเลือกนั่งคนละมุมกับอีกฝ่าย แล้วหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาด้วยเช่นกัน พวกเขานั่งพักกันเงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ และเมื่อต่างเหลือบดูเวลาซึ่งใกล้ถึงช่วงเข้างาน ทั้งคู่จึงลุกขึ้นแล้วเดินตามกันลงไปชั้นล่างโดยต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยสักคำ ทว่าบรรยากาศอึมครึมชวนกดดันระหว่างพวกเขาที่เคยมีมา กลับค่อย ๆ สลายไปทีละน้อยอย่างน่าอัศจรรย์



    มื้อค่ำในวันนั้นบางคนก็ต้องพบกับความแปลกใจในบรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะรุจที่เป็นรูมเมทของภูริและสังเกตอีกฝ่ายมาตลอด เขาเห็นว่าชายหนุ่มนั้นลดกำแพงอคติที่มีกับวาโยลงไปมากทีเดียว ซึ่งเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าใครที่เป็นคนทำให้อีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนนิสัยไปทีละน้อยแบบนั้น

    “พริกไทยอยู่ไหนนะ...พริกไทย...”

    วาโยที่เดินมาตักกระเพาะปลาเพิ่มถ้วยที่สองมองหาขวดพริกไทยที่จะเติมลงในชามเขา ก่อนจะชะงักเมื่อมีใครบางคนจากด้านหลังหยิบขวดพริกไทยจากในตู้ด้านหน้าส่งมาให้

    “อ๊ะ ขอบคุณ... คุณภูริ”

    “จะเหยาะหรือเปล่าพริกไทยน่ะ ถ้าไม่ฉันจะได้ใช้ต่อ”

    ภูริบอกเรียบ ๆ ทำเอาวาโยสะดุ้ง เขารีบเหยาะพริกไทยใส่ชามเขา ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างลังเล ภูริเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงยื่นชามกระเพาะปลาของตนส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งวาโยก็รีบเหยาะพริกไทยใส่ให้ทันที

    “เฮ้ย พอ ๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นกระเพาะปลาคลุกพริกไทยพอดี”

    ชายหนุ่มบ่นอุบ ทำเอาคนเหยาะยิ้มแห้ง ๆ ก่อนเอ่ยขอโทษเสียงอ่อย ภูริถอนหายใจอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเดินไปนั่งกินต่อที่โต๊ะ ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนนั่งข้าง ๆ

    “มีอะไร...”

    “ก็แค่รู้สึกว่าบรรยากาศของร้านมันดูแจ่มใสขึ้น ก็เลยอารมณ์ดีหัวเราะขึ้นมาเองน่ะ”

    รุจบอกยิ้ม ๆ นัยน์ตาสีดำหลังแว่นเป็นประกายวิบวับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน จนภูริทำเสียงฮึในลำคอ แล้วกินอาหารในชามของตนต่ออย่างไม่สนใจ ทำให้รุจต้องสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา แล้วจึงเหลือบมองวาโยที่เดินกลับมานั่งคุยกับกวินและการินอย่างร่าเริง  ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับอาหารของตัวเองต่อเช่นเดียวกัน



    วันเวลาแห่งงานหนักผ่านพ้นไปแต่ละวัน จนทุกคนในร้านเริ่มปรับตัวทำงานได้เข้าที่เข้าทาง และแล้วในเช้าวันเสาร์ ปวีร์กับราเมศ และปยุตก็มาหาทุกคนที่บ้านพักแต่เช้าตรู่ และนำเครื่องแบบใหม่มาให้แต่ละคนสวมใส่ เล่นเอาหนุ่ม ๆ ที่เห็นเครื่องแบบของพวกเขา ต่างพากันนิ่งอึ้งไปตามกัน

    “ต่อไปนี้เราจะเรียนลัดติวเข้มหลักสูตรพ่อบ้านฝึกหัดภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนอาหารเช้า และก่อนเวลาเข้างานก็มาทบทวนบทเรียนกันอีกที โดยฉันจะให้ปยุตเป็นคนฝึกสอนพวกเธอแต่ละคนเอง รับรองว่าไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะพวกเราเป็นพ่อบ้านคอสเพลย์ไม่ใช่พ่อบ้านอาชีพ ที่สำคัญเท่าที่ฉันสังเกตในตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเธอก็ถือว่าสอบผ่านงานบริการพวกนี้เป็นอย่างดีล่ะนะ  มีใครมีอะไรจะถามไหม”

    พอปวีร์บอกจบแต่ละคนก็ยกมือพรึบแทบจะพร้อมกัน ปวีร์มองไปรอบ ๆ อย่างนึกขำ ก่อนจะบอกตามมา

    “อย่างที่เคยบอกตอนเซ็นสัญญาใช่ไหม นี่ล่ะอีเวนท์พิเศษที่ว่า จัดเฉพาะทุกวันเสาร์เท่านั้น ส่วนเครื่องแบบก็เปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ธีมที่กำหนด ซึ่งสัปดาห์แรกของพวกเราก็คือ ‘คาเฟ่พ่อบ้าน’ ยังไงล่ะ”

     พอปวีร์พูดจบภูริ กวิน และการินก็ลดมือลง เพราะได้รับคำตอบที่ตนสงสัยเรียบร้อย แต่ยังมี รุจ กับ วาโย ที่ยังคงยกมือค้างไว้  โดยเฉพาะวาโย ชายหนุ่มมีสีหน้าบึ้งตึงระคนสงสัยสุดขีด  ทว่าปวีร์นั้นเมินมองอีกฝ่าย แต่หันไปชี้ให้รุจเป็นฝ่ายถามเขาก่อน

    “ผมก็ต้องแต่งชุดนี้ด้วยหรือครับ สำหรับคนอื่นผมเข้าใจว่าต้องคอยบริการลูกค้า แต่ว่า...”

    รุจเอ่ยค้างแค่นั้นเพราะปวีร์ยกมือห้ามแล้วจึงอธิบายตามมา

    “แต่เธอก็ต้องคุมพวกตู้ขนมใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็คือการบริการอย่างหนึ่ง ...ซึ่งแน่นอนว่าเฉพาะวันนี้ ฉันอนุญาตให้เธอบริการคุณลูกค้าของเราได้อย่างเต็มที่ตามสบาย”

    รุจถอนหายใจเบา ๆ พลางพยักหน้ารับรู้  ปวีร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงหันมามองวาโยที่ยังคงยกมือค้างไว้ไม่ยอมลง

    “ยังมีอะไรข้องใจอีกหรือวาโย”

    “มีสิครับ มีมากด้วย ...”

    วาโยบอกแล้วกัดฟันนิด ๆ ก่อนจะโชว์ชุดของเขาให้อีกฝ่ายดู

    “ไหนคุณบอกว่าเป็นคาเฟ่พ่อบ้านยังไงล่ะครับ แล้วทำไมของผมนี่ดูยังไงก็ชุดเมดชัด ๆ”

    คนอื่นเหลือบมามองชุดของวาโย มีบางคนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตนไม่ต้องถูกหางเลขไปพร้อมกับอีกฝ่ายเข้าด้วย

    “ก็เธอไม่เหมาะกับชุดพ่อบ้านนี่นา อย่าห่วงไปเลย ฉันมีวิกให้ยืมน่า ไม่ให้แต่งไปทั้งผมสั้น ๆ แบบนี้หรอก อ้อ แล้วเดี๋ยวแก้วกับตาจะมาช่วยเมคอัพให้เธอเอง รับรองว่าสวยจริงหญิงอายแน่”

    “ไม่มีทางครับ! จะให้แต่งหญิงนี่นะ!”

    วาโยโวยวาย รู้สึกรับไม่ได้แม้จะเป็นเรื่องงานก็ตาม

    “เฮ้อ...เสียดายแจกันใบนั้นจริงน้า ทั้งที่น่าจะได้มาประดับห้องของฉันแล้วแท้ ๆ ...อุตส่าห์หาแทบตาย กว่าจะเจอใบที่ถูกใจแบบนั้น”

    จู่ ๆ ปวีร์ก็เปรยขึ้นดัง ๆ ทำเอาวาโยสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ส่วนราเมศลอบถอนหายใจ นึกสงสารวาโยที่โดนเพื่อนสนิทของเขาแกล้งเข้าให้อีกแล้ว

    “กะ...ก็ได้ครับ แต่งก็แต่ง”

    วาโยรับคำเสียงอ่อย ทำเอาบางคนที่ไม่รู้เรื่องหนี้ของชายหนุ่มแปลกใจ การินทำท่าจะถามอีกฝ่าย แต่แล้วปวีร์ที่หันมาเห็นเข้าก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

    “ความจริงชุดเมดของรินก็มีนะ อาทำเผื่อไว้ให้ ...สนใจจะแต่งคู่กับโยไหมล่ะ จะเปลี่ยนตอนนี้ก็ยังทันนะ”

    “ไม่มีทาง!”

    การินบอกเสียงห้วน แล้วตีหน้าบึ้งใส่ผู้เป็นอา ความคิดที่จะถามวาโยหายวับเพราะความโมโหที่ถูกปวีร์กวนประสาท ส่วนปวีร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าของหลานชาย ...และเพราะรู้ว่าการินนั้นดื้อดึงออกขนาดนี้ จะบังคับให้ใส่ชุดเมดคงไม่ยอมแน่ ๆ แต่สำหรับหนุ่มหน้าสวยอย่างการินแล้ว จะแต่งชายหรือแต่งหญิงก็ดูดีเข้ากันทั้งสองแบบอยู่ดี

    “เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเธอไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แล้วค่อยลงมาเรียนหลักสูตรเร่งรัด ของการเป็นพ่อบ้านฝึกหัดกับปยุตเขา  อ้อ...สำหรับวาโย เธอมาทางนี้ เดี๋ยวฉันจะฝึกการเป็นเมดคาเฟ่ให้เธอเอง”

    ปวีร์บอกอย่างร่าเริง แล้วดึงตัววาโยไปฝึกต่างหากที่ร้าน แม้แต่ตอนที่ทุกคนฝึกการเป็นพ่อบ้านเสร็จและถึงเวลาอาหารเช้าพวกเขาก็ยังไม่เห็นวาโยกลับมาร่วมมื้อเช้าด้วย ทางด้านชานนจึงบอกกับทุกคนว่าปวีร์กับวาโยจะกินมื้อเช้าที่ร้าน อาบน้ำและเปลี่ยนชุดเตรียมทำงานกันที่นั่นเลย  ส่วนทุกคนทางนี้หลังจากทบทวนบทเรียนกันเรียบร้อย ก็ค่อยไปพร้อมกันที่ร้านได้โดยไม่ต้องรอพวกเขา

    “หมอนั่นจะแต่งออกมาเป็นเมดแบบไหนกันนะ”

    กวินพึมพำอย่างสนใจ คนอื่น ๆ ก็พากันคิดตาม และจินตนาการกันไปต่าง ๆ นานา ...ทว่าพอไปถึงร้าน พวกเขาต่างก็ต้องพบกับความตกตะลึง เมื่อได้เห็นสาวน้อยผมยาวหน้าตาน่ารักยืนรออยู่ บนผมเธอมีผ้าระบายลูกไม้สีขาวคาดประดับ ชุดที่ใส่เป็นชุดกระโปรงสีดำสั้นเกินเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ผูกผ้ากันเปื้อนระบายลูกไม้สีขาวที่เอว สวมถุงน่องยาวสีขาวถึงเข่า ส่วนรองเท้าก็เป็นส้นเตี้ยสีดำมีสายคาดเป็นโบอันใหญ่  เจ้าหล่อนหันมามองทุกคนด้วยสีหน้าเขินอาย ทว่าหนุ่ม ๆ แต่ละคนนั้นตอนนี้กำลังนิ่งอึ้งยืนตาค้างกันเป็นแถว จนสาวน้อยในชุดเมดเริ่มหน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกระทืบเท้าดัง ๆ อย่างหงุดหงิด

    “เออ! ผมยอมแพ้ก็ได้ วันนี้ผมจะยอมทำตัวสมกับเป็นเมดให้ทั้งวันเลย!”

    คนอื่นสะดุ้งเฮือก แล้วจึงตั้งสติได้ ก่อนจะหันไปตามเสียงหัวเราะของใครบางคนที่นั่งมองอยู่ตรงที่นั่งมุมหนึ่งในร้าน

    “ฉันบอกแล้ว ว่าพวกเขาต้องอึ้ง และไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอแน่”

    ปวีร์บอกกึ่งขำ ซึ่งขวัญแก้วและขวัญตาที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็หัวเราะคิกคัก แล้วจึงเอ่ยตามมา

    “พนันกับใครไม่พนัน ดันพนันกับวี มันก็แพ้กันตั้งแต่เริ่มเอ่ยปากแล้วล่ะจ้ะ เด็กน้อย”

    ขวัญแก้วบอกยิ้ม ๆ ซึ่งขวัญตาเองก็เอ่ยตามมาอย่างเห็นดีด้วย

    “นั่นสิคะ พี่วีน่ะ ถ้าไม่เห็นทางชนะไม่มีทางเสี่ยงพนันกับใครหรอกค่ะ”

    “พอ ๆ สองสาว เดี๋ยวคนแถวนี้เขาจะกลัวฉันกันพอดี”

    ปวีร์ห้ามอย่างไม่เอาจริงเอาจังนัก ส่วนราเมศที่มองทั้งสามอยู่ตรงหลังเคาเตอร์ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอือมระอา และเอ่ยตัดบทขึ้นดัง ๆ

    “อีกสิบกว่านาทีร้านก็จะเปิดแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะ อย่าลืมอธิบายกับลูกค้าให้เข้าใจด้วยแล้วกันว่าวันนี้ร้านมีอีเวนท์พิเศษ พวกเขาจะได้ไม่คิดว่าเข้าผิดร้าน”

    คำพูดของราเมศ ทำให้คนอื่นเริ่มแยกย้ายกันทำงาน  วาโยนั้นตีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ส่วนหนุ่ม ๆ คนอื่นพากันเตรียมร้านด้วยความเงียบสงบ ไม่มีใครชวนใครคุยเลยสักคน แม้แต่กวินที่มักร่าเริงและชอบหาเรื่องชวนคนอื่นคุย  ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดโต๊ะเงียบ ๆ ทว่าหากมีใครสักคนลองเข้าไปใกล้และจ้องหน้าชายหนุ่มชัด ๆ ก็จะเห็นได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังหน้าแดงระเรื่ออย่างผิดปกติเลยทีเดียว





... TBC ...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด