ทฤษฎี : บทที่ 15
รอยฟกช้ำภายนอกจากอุบัติเหตุน่าอับอายลบเลือนจนเกือบจางหายไป หลงเหลือก็แต่บาดแผลภายในที่ต้องอาศัยหยูกยาหลายขนานที่ได้รับตามใบสั่งแพทย์ คุณหมอกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่าถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบกลับมาตรวจซ้ำ ส่วนอาการอื่น ๆ นั้นคงไม่จำเป็นต้องนัดหมายกันอีกในครั้งหน้า
ผมยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับทางออกของปัญหาใหญ่ที่ศาสตราวุธฝากไว้ให้แก้ไขก่อนจะเดินทางกลับพร้อมรอยชื้นที่หางตา บางทีอุปสรรคความรักของตัวเองที่คิดว่าหนักหนาก็ยังไม่อาจเทียบได้กับขวากหนามของคนอื่นรอบตัว หลังจากวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดแล้วมีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือคุณแม่ไม่ใช่คนที่จะเห็นอนาคตของลูกเป็นเรื่องล้อเล่น แต่คำสัญญาท่านก็ยึดมั่นถือมั่นเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งคนเดียวที่จะเป็นประตูฉุกเฉินของเขาวงกตคลุมถุงชนครั้งนี้เห็นจะเป็นรพีพิชญ์เท่านั้น ผมไม่รู้ว่าน้องสาวของคุณพีระมิดรู้สึกอย่างไรกับน้องชายของผม ก็ได้แต่หวังว่าพิชญ์เองก็ไม่เคยมีใจให้กับไอ้แซนเหมือนกัน
“เป็นอะไร ทำไมคิ้วขมวดแบบนั้น” เปมทัตเข้ามาขัดจังหวะความคิดในขณะที่ผมกำลังกรอกชื่อบัญชีใส่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตรงโต๊ะยาวหน้าบ้านตามลำพัง ถาดอาหารเย็นถูกนำมาวางสักพักใหญ่แล้วก่อนที่คนขยันจะเดินกลับมาพร้อมเหงื่อกาฬผุดผาดบนหน้าผากได้รูป “ช่วยไหม”
“อาบน้ำทานข้าวก่อน คุณยายขวัญทำเสร็จนานแล้ว” เปมยืนพินิจหน้าจอครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังไปอาบน้ำอย่างที่ผมชี้นำ แต่เพราะสายตาเหลือบไปเห็นหญ้าเจ้าชู้ที่ติดชายเสื้อยืดเนื้อดีทำให้ผมต้องเอื้อมไปรั้งข้อมือเขาไว้แล้วค่อย ๆ หยิบออกให้ด้วยกลัวว่ามันจะฝากแผลไว้ที่ปลายนิ้ว เมื่อหนามแหลมคมถูกดึงออกจนหมดผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสื้อที่กำลังมองตอบมาด้วยสายตาอ่านยาก
“ไปทำอะไรที่สวนไม้ดอกมาอีกแล้วใช่ไหม”
“แค่เอากาแฟไปให้พี่เสือ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้และไม่อยากต่อความ คาดหวังให้เขารีบไปอาบน้ำก่อนอาหารจะเย็นชืดไม่อร่อย แต่คนรับสารกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อแถมยังจ้องหน้าตาไม่กะพริบจนผมเสียสมาธิ “มีอะไรติดหน้าฉันหรือเปล่า”
“ไม่มี...” ปากตอบอย่างนั้นแต่การที่เปมทัตใช้หลังมือปัดผ่านเบา ๆ ที่ข้างแก้มบอกกับผมว่าคำพูดและการกระทำช่างสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง “คือว่าวันก่อนฉันใช้มือเปล่าดึงวัชพืชที่แปลงดอกบลูซันเวีย ทีแรกคิดว่าเป็นพันธุ์เดียวกันเพราะตรงนั้นมีหญ้าหนวดเสือเต็มไปหมด จนพี่เมฆทักว่ามันเป็นวัชพืชฉันก็เลยอาสาจัดการให้ แต่วันนั้นถุงมือที่โรงเก็บของไม่เหลือสักคู่ผลก็เลยเป็นแบบนี้” เขาแบมือให้เห็นริ้วแผลแดงช้ำบนฝ่ามือที่เคยอ่อนนุ่มไร้รอยขีดข่วน ไม่มีคำพูดใด ๆ ในหัวของผมเลยนอกจากคำสบถ ผมกำลังพาตัวเองไปยืนในจุดที่สามารถโดนฟ้องจากท่านทูตได้อย่างง่ายดายด้วยกฏหมายคุ้มครองแรงงาน แม้ลูกจ้างคนนี้จะดื้อรั้นทำตัวเองทั้งนั้นก็ตาม
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่ใช่หน้าที่” ผมวางเอกสารในมือก่อนหันไปสบตาด้วยหวังว่าเขาจะฟังที่ผมพูดบ้าง เคยกำชับแล้วแท้ ๆ ว่างานกลางแจ้งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามทหาร ส่วนเขาจัดการในส่วนร้านของฝากกับคาเฟ่ก็พอแล้ว
“ทำแผลหรือยัง” เขาส่ายหน้า “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวทายาให้”
“แต่ฉัน...ไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว” ผมเลิกคิ้ว มองไปยังปลายผมที่ขมวดเป็นปมยุ่ง ๆ ที่ท้ายทอยด้วยความไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับแผลที่มืออย่างไร แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายก็กระจ่างใจตามนิสัยคนมือบอนเหมือนกัน “มันเจ็บ”
“พาไปสระที่ร้านเอาไหม” ผมถามกลับภาษาซื่อ
“ฉันไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจับผม”
“แล้วเปมจะรอจนกว่าแผลสมานอย่างนั้นหรือ”
“ซันสระให้หน่อยได้ไหม” สาบานได้ว่าผมไม่ได้ตกใจจนเผลอทำตาโต แค่นั่งนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเปมทัตจะร้องขอในสิ่งที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม “แค่สระผม ฉันจะไม่ถอดเสื้อผ้าเลยสักชิ้นถ้าซันไม่สบายใจ ฉันแค่อยากสระผมจริง ๆ” ผมกระแอมไอ เกรงว่าความรู้สึกของผมจะไม่ใช่อาการไม่สบายใจแต่เป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า
“ไม่เป็นไร เปมอาบน้ำก่อนเดี๋ยวฉันตามไป” พยายามแล้วที่จะบังคับสุ้มเสียงไม่ให้สั่นจนคนฟังจับได้ว่าผมกำลังตกประหม่ายิ่งกว่าสัมภาษณ์งาน เมื่อเปมทัตก้าวเข้าบ้านผมถึงผ่อนลมหายใจที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่าจะดึงดูดความสนใจของผมไปทั้งหมด
เจ้านอฟกับเรย์กำลังเดินยิ้มแป้นมาจนถึงปลายบันไดพร้อมด้วยถ้วยเซรามิกในมือ “อะแฮ่ม”
“เรารู้จักกันด้วยหรือ” คือคำทักทายที่สวยหรูที่สุดเท่าที่ผมพอจะให้เจ้านอฟได้หลังรับไหว้ ส่วนหลานของคุณยายขวัญเรือนส่งข้อความมาบ่อย ๆ ว่าเรียนหนักบ้างการบ้านเยอะบ้าง ผิดกับอีกคนที่หายเข้ากลีบเมฆพร้อมคำสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เดาว่าเจ้าเด็กเดือนพฤศจิกายนคงตั้งใจเกินไปจนหลงลืมสิ่งอื่น
“โธ่พี่ซัน อาจารย์สั่งงานกองใหญ่เท่าภูเขาเอเวอร์เรสเชียวนะครับ ผมไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย นี่ ผมเอาขนมอินทนิลสูตรพิเศษมาง้อพี่ซันด้วย หายโกรธเถอะนะครับ”
“ใช่หรือ ไม่ใช่คุณยายฝากมาหรอกหรือ”
“รู้ทันตลอด” ผมหัวเราะหึมองเครื่องปั้นลายน้ำทองที่ถูกวางลงข้างถาดอาหาร “ยังไม่ทานข้าวอีกหรือครับ ยายให้คนเอามาให้ตั้งนานแล้วนี่”
“รอคนดังของฟาร์มเขามาทานพร้อมกัน เพิ่งปลีกตัวกลับมาอาบน้ำได้”
“ผมก็เพิ่งเดินสวนกับพวกสามทหารที่รั้วด้านหน้า ว่าแต่แค่คุยกันทำไมพี่ซันกับพี่อ้นต้องจับไม้จับมือกันด้วยล่ะครับ เมื่อกี้ผมเห็นนะ” ทุกอย่างไม่เคยรอดพ้นคนหูตาไว เรย์ก็เอาแต่ยืนยิ้มมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ปล่อยให้เจ้านอฟพูดอยู่ฝ่ายเดียว พูดมากเกินความจำเป็นเสียด้วย
“แปลกมากหรือ นายกับเรย์ไม่เคยจับมือกันเลยหรือไง” เรย์ส่ายหน้ายิกก่อนรีบตอบจนลิ้นพัน
“ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องจับนี่ครับ”
“ความจำเป็นเขาใช้อะไรมาวัดพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ที่เห็นคือพี่อ้นของนายเขายื่นมือมาให้ดูแผลที่โดนหญ้าบาดเมื่อวันก่อนเท่านั้นเอง”
“อ้าวแล้วไม่รีบทำแผลหรือครับ มีแอลกอฮอล์กับยาสามัญหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปซื้อให้เอาไหม” นอฟเสนอตัว
“ไม่เป็นไรขอบใจมาก ถ้าพี่เห็นก่อนก็คงรีบจัดการให้ตั้งแต่วันที่ได้แผล เคยเตือนหลายทีแล้วว่างานบางอย่างของที่นี่มันไม่เหมาะกับเขา แต่ก็ไม่เคยฟัง เด็กอย่างพวกนายยังพูดเตือนง่ายกว่าเสียอีก”
“พี่อ้นคงคิดเหมือนผม ต่อให้เป็นสิ่งที่เกลียดที่สุดแต่ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ทำให้สบายใจก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย คับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยากนะครับ”
“แก่แดด” คนถูกตำหนิหัวเราะชอบใจก่อนหันไปมองคนข้างตัวที่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลูบมือไปตามสันโต๊ะไม้แก้เก้อ “แล้วนี่กลับมากันกี่วัน เป็นวันหยุดยาวหรือเปล่า”
“แค่อาทิตย์เดียวครับ อาจารย์ไปสัมมนา เอาไว้พรุ่งนี้พวกผมจะมาช่วยงานแต่เช้าแล้วกัน วันนี้พักผ่อนนะครับ ฝากบอกพี่อ้นด้วยว่าหายไว ๆ แล้วอย่าไปทำอะไรที่แปลงดอกไม้บ่อย ๆ เพราะอากาศกึ่งร้อนกึ่งฝนแบบนี้เริ่มมีแมลงชุม”
“พี่จะลองขู่ดูแต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า ฝากขอบคุณคุณยายขวัญสำหรับขนมด้วย เดี๋ยวพี่เอาถ้วยชามกลับไปเก็บที่ครัวเอง แล้วพวกนายมากันยังไงให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ได้ข่าวว่าจักรยานของผมโดนพี่อ้นยึดไปแล้วก็เลยเอาอีกคันของเรย์มาใช้แทน”
“กลับดี ๆ แล้วกัน อย่าไปท้าแข่งกับพวกแก๊งบิกไบค์” ได้ยินเสียงหัวเราะส่งท้ายพร้อมการประนมมือไหว้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่บรรยากาศระหว่างเด็กสองคนนี้เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบ
ประโยคพึมพำของเปมทัตทำให้ผมชะงักมือที่กำลังวางคอมพิวเตอร์ลงบนปลายเตียง จากเนื้อเสียงที่ลอยเข้าหูแม้จะผะแผ่วแต่ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าไม่ใช่บุพการีทั้งสองท่าน ตั้งใจจะเงี่ยหูฟังเงียบ ๆ เพราะอยากรู้ว่าเปมกำลังคุยอะไรกับเพื่อนคนไหน ซึ่งถ้าเป็นไอ้คุณชายผมจะได้ฝากถามไถ่ว่าเตรียมงานใหญ่ไปถึงไหนแล้ว แต่สุดท้ายคำสร้อยที่แทรกเสริมนำหน้าชื่อนั้นได้เฉลยข้อสงสัยไปพร้อมกับสร้างความตกตะลึง
“สัดตรัส เพราะสันดานแบบนี้หรือเปล่าเท็ตมันถึงตกหลุมพรางเอาง่าย ๆ” ไตร่ตรองจากคลื่นอารมณ์สงครามน้ำลายคงไม่น่าจะเพิ่งเริ่มต้น ไม่อย่างนั้นเปมคงได้ยินเสียงแขกมัธยมปลายผู้มาเยือนและเดินกลับออกไปทักทายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ผมไม่ปล่อยให้อาการตื่นตะหนกครอบงำนานนัก เดินลากเท้าไปยืนระหว่างกรอบประตูห้องน้ำที่แง้มกว้างจนแสงสว่างลอดผ่าน ยืนรออยู่เงียบ ๆ จนกว่าเขาจะรู้ตัวว่าผมได้ยินบทสนทนาแสลงหูที่ฟังอย่างไรก็ไม่เข้ากับหน้าหวาน ๆ นั่นเลยสักนิด
“กูไม่เคยฝืนใจใคร ค่อยเป็นค่อยไปอย่างทุกวันนี้โดยที่เขาไม่ไล่กูไปจากชีวิตก็ดีแค่ไหนแล้ว” เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองอาจถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคารมเกรี้ยวกราดที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเปมทัตก็โกรธเป็น ผมจึงเคาะประตูเบา ๆ สองสามทีก่อนที่เขาจะเผลอหลุดปากอะไรที่ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด
“ซัน...มานานแล้วหรือ”
“นานพอที่จะได้ยินที่นายคุยกับตรัส” เขาอ้ำอึ้งก่อนจะหันหลังกลับไปกระซิบกระซาบกับปลายสาย เดินเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ข้างอ่างล้างหน้าแล้วหันมาสบตาอย่างคนที่ต้องการจะเปิดใจ
“ซันได้ยินตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า”
“ถ้าเข้ามาทันฉันจะได้ยินอะไร” เปมทัตดูสับสนและโล่งอกในคราวเดียวก่อนบอกปัดแล้วหันหนีไปให้ความสนใจกับเก้าอี้ไม้ที่เขาคงยกมาจากหลังบ้าน เสื้อยืดสีเทาถูกถอดออกเหลือไว้เพียงยีนส์ตัวเก่งก่อนนั่งลงพร้อมส่งขวดแชมพูมาให้ ผมเผลอยื่นมือไปรับโดยไม่ทันได้ตริตรองว่าเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่เมื่อครู่นั้นควรจะปล่อยให้มันค้างคาหรือเค้นหาความจริงจากปากคนตีเนียน ผมเลือกอย่างแรก
“ถ้าอาบน้ำเองได้แล้วทำไมถึงสระผมเองไม่ได้”
“ถ้าไม่รังเกียจจะอาบน้ำให้ฉันด้วยก็ได้ ฉันจะซาบซึ้งน้ำใจของซันมาก ๆ เลย” เขาเอียงคอมองลอดเส้นผมที่ปลกตาย้อนความด้วยกระแสเสียงเรื่อยเฉือยเหมือนขอยืมโทรศัพท์โทรกลับบ้าน ถ้าก้าวผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินตอนนี้ไปได้คนแรกที่ผมจะสังคายนาก็คือไอ้ตรัส...ไอ้นกสองหัว
“ทำไมซันมือเย็น”
“อากาศเย็น”
“แต่มือฉันร้อนนะ”
“ก็เพราะเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ไม่ใช่หรือไง” รอยยิ้มมุมปากที่สะท้อนชัดเจนในกระจกทำเอาผมเสียศูนย์ได้ไม่ยาก ผมไม่เคยรวนใส่ใคร ทุกคนรอบกายรู้ดีว่าผมเป็นคนมีเหตุผลมากเกินกว่าจะต่อปากต่อคำ กับเท็ตอาจมีบ้างเพราะหมอนั่นชอบทำตัวไม่ต่างจากเด็กไม่รู้จักโต ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคน แต่กับเจ้าของสายตาที่มองสบมาผ่านเงาสะท้อนคู่นั้นไม่ใกล้เคียงกับการเป็นพี่น้องกันเลยสักนิด
“อาบด้วยกันไหม”
“ไม่”
“อุณหภูมิน้ำกำลังอุ่นสบาย ไม่เปลี่ยนใจหรือ” ผมแกล้งลงน้ำหนักแรง ๆ ที่หลังใบหูจนคนที่เอาแต่พูดก่อกวนมุ่นคิ้ว รอยยิ้มบางยังไม่จางไปผมก็ได้แต่ทำใจว่าเขายังอารมณ์ดีที่มีโอกาสออกอุบายไหว้วานผมบ้างหลังจากถูกใช้แรงงานหนักมาแรมเดือน
“เหนื่อยหรือเปล่า”
“ไม่หรอก วันนี้ลูกค้าไม่มากเท่าไหร่”
“ฉันหมายถึงที่ผ่านมางานหนักเกินไปหรือเปล่า อยากให้รับคนเพิ่มไหม หรือถ้าคุณประภัสสรมีงานอื่นรองรับเปมกลับไปได้เสมอนะ ไม่ต้องเป็นห่วงที่นี่” จบคำพูดที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วเปมทัตก็หุนหันคว้าข้อมือของผมที่กำลังคลึงเบา ๆ ที่ขมับไปกำแน่น ผมไม่มีเจตนาจะขัดขืนอยู่แล้วเขาจึงผ่อนแรงลงเหลือเพียงกุมมือผมไว้หลวม ๆ
“ซันยังไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม” เขาผ่อนลมหายใจก่อนจะหันมาสบตากันโดยปราศจากกระจกเป็นสื่อกลาง สีหน้าไม่ถึงกับขัดเคืองแต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมฉุกใจถึงประโยคที่เคยพูดเตือนสติให้กับทัศนัย
‘คิดเยอะ ๆ นะเท็ต ถ้ายังคิดไม่ตกก็คิดใหม่ ถามใจตัวเองบ่อย ๆ แล้วเท็ตจะรู้เอง’ เรื่องของคนอื่นกลับปากดีแต่พอเป็นเรื่องของตัวเองผมกลับขี้ขลาดที่จะยอมรับว่าทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ แต่จะเปลี่ยนไปยังทิศทางใดนั้นคงต้องปล่อยให้อนาคตช่วยตัดสิน
“ฉันกำลังทำความเข้าใจ ขอเวลาอีกหน่อยแล้วกัน ที่เหลือจัดการเองนะ ฉันจะรอทานข้าวที่หน้าบ้าน”
ผมถือโอกาสระหว่างรอคนร่วมโต๊ะอาหารทำธุระในห้องน้ำให้เรียบร้อยเพื่อโทรสำเร็จโทษคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมก้อร่อก้อติกเมื่อครู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อ้นคนดีของเพื่อน ๆ ไม่เคยพูดจาเกี้ยวพานใครมาก่อน ดังนั้นลืมไปได้เลยที่จะเห็นทายาทตระกูลพิรัตน์ไพศาลชวนคนอื่นอาบน้ำหน้าตาเฉย
“เมื่อกี้มึงคุยอะไรกับเปม” ไอ้คุณชายมันรับสายทันที
(( อยู่ด้วยกัน คุยกันเองไม่ง่ายกว่าหรือ ))
“ถ้าเปมยอมเล่าดี ๆ แล้วกูจะโทรหามึงทำไม มึงโทรคุยกันแบบนั้นบ่อยแค่ไหน”
(( แบบไหน คงไม่หลงเปมจนหน้ามืดแล้วพาลหาเรื่องกูหรอกใช่ไหม ))
“กูไม่ได้พูดถึงที่พวกมึงแอบคุยโทรศัพท์กันลับหลัง กูหมายถึงคำสบถ แต่ก็ไม่เถียงหรอกว่าได้ยินเปมเรียกมึงด้วยชื่อเต็มแล้วมันลื่นหูดีชะมัด”
(( ชื่อเต็มอะไร เรียกตอนไหน ))
“สัดตรัสไง” ผมเน้นพยางค์แรกจนปลายสายหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่ผมจะปรับน้ำเสียง “ถามจริง เปมคุยแบบนี้กับมึงมาตลอดหรือ”
(( เฉพาะตอนที่โดนกูแกล้งยวนใส่ให้หงุดหงิด ต่อหน้ามึงอ้นมันก็คงอยากเป็นสุภาพบุรุษเหมือนอย่างที่มึงวาดภาพเอาไว้ อย่าตีกรอบใครด้วยสิ่งฉาบฉวยภายนอกอีกเลยซัน ความเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำในวันไร้ลมที่มึงเห็นมาตลอดก็เหมือนกัน ไม่มีใครสัมผัสได้หรอกว่าลึกลงไปอาจมีคลื่นระลอกใหญ่ซ่อนอยู่ ))
“สำบัดสำนวน”
(( แค่อยากเตือน อยากเห็นมันโหมดไหนก็เลือกเอาเองตามใจกูบอกได้แค่นี้ โทษทีซันกูมีประชุมต่อ ว่างเมื่อไหร่แล้วจะโทรกลับ ))
“ห้ามลืม ถ้าลืมกูตามถึงหน้าประตูห้องท่านประธานแน่”
(( เมื่อก่อนไม่เคยเห็นรบเร้าเอาแต่ใจ มึงเปลี่ยนไปมากนะ )) ตั้งท่าจะโต้กลับด้วยประโยคหวานหูก็มีอันต้องกลืนคำผุรสวาทลงคอเพราะคุณชายมันตัดสายไปก่อน และเปมทัตก็กำลังเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารพร้อมผมเผ้าที่ยังเปียกชื้น กล่องปฐมพยาบาลถูกนำมาวางไว้ก่อนแล้วผมจึงเอ่ยปากขอมือคนดื้อดึงมาทำแผลให้เรียบร้อยก่อนเริ่มทานมื้อเย็น
“โทรหาตรัสหรือ”
“ใช่ทำไม กลัวฉันรู้อะไร”
“เปล่าแค่ถามดู ความจริงซันอยากรู้อะไรถามจากฉันโดยตรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรับฟังผ่านคนอื่น”
“ตรัสมันคนอื่นที่ไหน คนกันเอง เพื่อนกันทั้งนั้น”
“ฉันไม่ได้เป็นแค่เพื่อน และเรื่องที่ซันอยากรู้...ถึงเป็นตรัสก็บอกไม่ได้” ก้านสำลีชุ่มเบตาดีนเกือบหล่นลงพื้น มีอยู่แค่สองมือเหมือนเดิมแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นมากะทันหัน ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันทำให้ผมไม่มีสมาธิคิดอะไรไม่ออกเหมือนคอมพิวเตอร์แรมต่ำยุคระบบปฏิบัติการดอส
“พรุ่งนี้เปมไม่ต้องทำงาน ฉันจะอยู่ร้านของฝากเอง”
“หายดีแล้วแน่หรือ หมอยังเตือนบ่อย ๆ เรื่องห้ามยืนนาน”
“ไม่เป็นไร ช่วงว่าง ๆ จะเอาโปรแกรมบัญชีไปนั่งทำที่นั่นด้วย” ไม่ใช่การร้องขอแต่เป็นคำสั่ง เขาคงพิเคราะห์ได้จากน้ำเสียงซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนเรื่องคุยที่แนบเนียนที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยมีประสบการณ์ และดูเหมือนเปมทัตจะไม่ระแคะระคายเลยสักนิด
“บอกตรัสแล้วหรือยังว่าซันจะไปงานรับตำแหน่ง”
“ยัง เพื่อนเปม เปมบอกเอง” เมื่อมองผลงานบนฝ่ามือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วสีเหลืองอมส้มอย่างพึงพอใจแล้วจึงเดินเอาสำลีไปทิ้งก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็นจริง ๆ สักที
“ใครเอาขนมมาให้ ก่อนอาบน้ำยังไม่มี”
“คุณยายขวัญฝากเจ้านอฟกับเรย์ยกมา ขนมอินทนิล”
“กลับมากันแล้วหรือ”
“หยุดหนึ่งสัปดาห์ โชคดีเหมือนกันนะ อาทิตย์หน้าว่าจะขอแรงเด็กสองคนนั้นให้ช่วยเป็นลูกมือสามทหารระหว่างที่เราไม่อยู่ อย่างน้อยเรย์ก็ทำแทนได้ทุกร้าน” เขาพยักหน้า เส้นผมที่เริ่มแห้งสนิทปลิวสลวยไปตามแรงลม ผมเผลอจ้องมองนานจนเจ้าของที่กำลังตักอาหารรู้ตัว
“ที่ซันถามในห้องน้ำว่าฉันเหนื่อยหรือเปล่า ฉันไม่เหนื่อย ฉันทำได้ทุกอย่างแค่ซันเอ่ยปากแต่ขอแค่อย่างเดียว ถือว่าเป็นการอ้อนวอนก็ได้ อย่าพูดจาทำร้ายน้ำใจกันอีกเลย เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่ซันไม่ร้องขอฉันก็จะทำเหมือนกัน” ผมชะงักมือที่กำลังใช้ส้อมเขี่ยอาหารในจานโดยไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร แต่ก็อดเฉลียวใจถึงคำพูดของไอ้ตรัสไม่ได้
‘ความเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำในวันไร้ลม ลึกลงไปอาจจะมีคลื่นระลอกใหญ่ซ่อนอยู่’
วันนี้ฝนตั้งเค้าแต่เช้า ผมหอบหิ้วสมุดบัญชีที่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำหมึกติดมือมาก่อนจะเริ่มกรอกข้อมูลจำเป็นไปพลางระหว่างรอลูกค้า แม้เสียงกระดิ่งเหนือประตูจะดังไม่บ่อยเท่าวันที่เปมทัตยืนประจำที่เคาน์เตอร์แต่ผมก็ยังดีใจที่ได้ยินคำทักทายเป็นระยะจากลูกค้าประจำ
“คุณซันหายดีแล้วหรือ” พี่ยักษ์ที่ถือถุงอาหารกระต่ายกำลังจะเดินผ่านหน้าร้านไป เป็นอันต้องหันกลับมามองอีกหนอย่างแปลกใจด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
“ครับพี่ แค่นี้สบายมาก ไม่เจอยี่หวาหลายวัน วันนี้น้องไปโรงเรียนหรือเปล่าครับ”
“ไป ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะพามาแต่เช้า หวาเองก็เอาแต่พูดถึงคุณซัน ซันซันอย่างนั้นซันซันอย่างนี้ ยกให้เป็นลูกบุญธรรมเสียดีไหม” ผมหัวเราะ “จะยินดีมากเลยครับ”
“ตั้งแต่เจ้าโอนิกซ์วิ่งเตลิดไปจนขาเจ็บเหมือนคุณซันก็ได้คุณอ้นนี่แหละช่วยทุ่นแรง ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายกันไปหมด ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะครับ หลังจากนี้ผมจะระมัดระวังเรื่องสัตว์ไม่พึงประสงค์ให้มากกว่านี้ ดีที่มันไม่ทันเลื้อยเข้ากรงสัตว์เล็กไม่อย่างนั้นผมต้องรู้สึกผิดมากแน่ ๆ”
“โอนิกซ์ขาเจ็บด้วยหรือครับ ไม่มีใครบอกผมเลย”
“เจ็บหนักเลยล่ะ มันวิ่งไปเหยียบตอไม้จนเกือบล้ม ผมเป็นคนโทรตามสัตวแพทย์ที่เคยดูแลม้าตัวเก่า ๆ ของนายฝรั่ง เขาฉีดยาให้แล้วยังเทียวไปเทียวมาอยู่หลายวัน คุณอ้นเขาคงไม่อยากให้คุณกังวลเพราะตัวคุณเองก็เจ็บไม่น้อย ผมขอตัวไปจัดการกรงกระต่ายก่อนแล้วกัน อย่าฝืนยืนนานนักเดี๋ยวจะแย่กันไปใหญ่”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ผืนเมฆมืดฟ้ามัวดินลอยผ่านไปโดยไม่กลั่นลงมาเป็นเม็ดฝนเลยสักหยดตลอดวันผมจึงชะล่าใจเดินลอยชายไปยังริมคลองหลังจากปิดร้านทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นเปมทัตเองก็นั่งอยู่ที่แคร่ไม้ประจำตำแหน่งของผมกับเจ้านอฟ
“บอกให้พักอยู่ที่ห้องไม่ใช่หรือ”
“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่” ผมนั่งลงข้าง ๆ พร้อมขอแบ่งก้อนกรวดเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือของเขา “แต่กางเกงเปมมีเศษหญ้าแห้งติดอยู่นะ” เขาก้มมองหลักฐานคาตาที่ดูอย่างไรก็รู้ว่ารั้นไปช่วยงานที่คอกม้ามาอีกแล้ว
“โดนจับได้อีกแล้วสิ” เราไม่พูดอะไรกันอีกแค่ผลัดกันโยนก้อนกรวดลงน้ำในเวลาที่แม้แต่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็มองไม่เห็นเพราะโดนเมฆฝนบดบังไว้จนหมด
“ทำไมไม่บอกเรื่องโอนิกซ์เจ็บ”
“อืม...เรื่องนี้ก็โดนจับได้ด้วย ใครเล่าให้ฟัง”
“พี่ยักษ์” ผมยังจ้องหน้ารอคำตอบเขาจึงถอนใจก่อนยิ้มบางแล้วยอมเปิดปากอย่างเสียไม่ได้ “ฉันกลัวซันกังวลแล้วฝืนไปทำงานทั้งที่ขายังไม่หายดี”
“ฉันเป็นเจ้าของ ฉันควรรับรู้ ปกปิดกันแบบนี้ไม่ดีเลยเปม แล้วไหนจะเรื่องสัตวแพทย์อีก”
“นี่ไง เพราะซันจริงจังกับทุกเรื่องแบบนี้ไงฉันถึงไม่สบายใจ เหมือนวางแผนชีวิตเอาไว้อย่างเฉียบขาดจนไม่อาจมีอะไรไปแทรกแซงได้เลยแม้แต่อุบัติเหตุสุดวิสัย มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าการที่ฉันปรากฏตัวโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้ามันทำให้ฉันกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของซันหรือเปล่า” ผมกำลังจะเอ่ยปากอธิบายแต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัด และหน้าจอบ่งชัดถึงชื่อคนที่โทรมาผิดเวลา ไม่ใช่ตรัสแต่เป็น...น้องฐา
“ทำไมไม่รับ” ผมกดปิดเสียงเตือนจนเงียบสนิท “ไม่อยากคุยตรงนี้”
“ฉันไปก็ได้” เปมกำลังจะลุกขึ้นยืนพร้อมสายลมโชยพัดผ่าน ชั่วพริบตาหยาดฝนก็โหมกระหน่ำลงมาจนเกือบลืมตาไม่ขึ้นเหมือนจะช่วยชะล้างความรู้สึกอึดอัดอักอ่วน
เราเลือกที่หลบฝนเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ที่ผมเคยใช้พักพิงระหว่างรอบ้านสร้างเสร็จตั้งแต่ย้ายมาใหม่ ๆ เพราะถ้าให้วิ่งกลับไปจนถึงบ้านคงเปียกโชกเสี่ยงจับไข้ แคร่ไม้ไผ่ที่ผมเคยใช้ต่างเตียงนอนถูกนำออกไปตั้งไว้ที่ริมธาร เหลือไว้ก็แต่เพียงกล่องกรอบรูปใบโตที่ผมยกขึ้นรถติดมือมาจากบ้านใหญ่ กุญแจยังถูกสลักไว้แน่นหนาเฉกเช่นเดิม แต่เพราะผมลืมไปแล้วว่ามันยังซ่อนอยู่ที่นี่ผมจึงเผลออุทานให้คนที่ยืนอยู่ด้วยกันหันมามองด้วยความสงสัย
“กล่องอะไร”
“ไม่มีอะไร” ผมตอบทันควัน เปมไม่เชื่อแน่เพราะเขาย่อตัวลงหน้ากล่องแล้วขยับกุญแจรหัสดังกุกกัก ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะเปมทัตค่อนข้างเก่งเรื่องอ่านสีหน้าคู่สนทนา เขาคงรู้ทันทีว่าผมมีเรื่องปิดบังและการหาทางออกของเขาคือการไขความลับให้แจ้งแก่ใจ ผมเหลือบมองเห็นว่าเขาใช้วันเกิดของผมเป็นตัวเลือกแรกของรหัสทั้งหมดหกตัวซึ่งมันไม่ใช่ ก่อนใช้วันเกิดของแม่และพ่อตามลำดับก็ยังไม่ถูกต้อง ก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าผมแล้วลองหมุนเป็นวันเดือนปีเกิดของตัวเขาเอง กุญแจถูกปลดดังกริ๊ก
รู้อย่างนี้ตั้งรหัสเดายากกว่านี้เสียก็ดีหรอก▩▩▩