ทฤษฎี : บทที่ 12
น่าโมโห...
เปมทัตลุกจากเตียงนอนแต่เช้าตรู่ทุกวันโดยที่ผมไม่เคยลืมตาตื่นทันเขาเลยสักที อย่างเช้านี้ก็เห็นปั่นจักรยานคู่ใจที่ยึดมาได้จากเจ้านอฟไปร้านสะดวกซื้อ มีกาแฟและขนมนมเนยมาฝากสามทหารถุงใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังทำคะแนนแทนลูกสมุนคนเก่าหรืออย่างไร ผมที่ยังงัวเงียคล้ายคนละเมอก็ได้แต่ส่งสายตาปรามว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของแคชเชียร์
ผมเงยหน้ามองซาลาเปารูปกระต่ายที่ถูกหยิบยื่นมาขณะที่กำลังนั่งชันเข่าเช็คสต็อกของหลังร้านที่ระลึก เอกสารรายการสินค้าที่ต้องส่งเมลให้พ่อก่อนเที่ยงตรงยังถืออยู่เต็มมือทำให้ผมไม่สามารถรับความเอื้อเฟื้อ จึงได้แต่บอกปัดด้วยการส่ายหน้าเพราะกาแฟที่ณิชาชงวางไว้ให้บนเคาน์เตอร์ก็ยังดื่มไม่หมด แต่ดูเหมือนเปมทัตแกล้งรวนทำเป็นมองไม่เห็นอวัจนภาษาถึงได้ยืนยันที่จะส่งกระต่ายเจ้าปัญหามาให้
“มื้อเช้าดื่มกาแฟแค่แก้วเดียวไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม” ผมไม่ตอบแต่ลุกขึ้นยืน ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่พลาดมหันต์เพราะช่องทางเดินด้านหลังค่อนข้างคับแคบ ถ้าคิดจะเดินสวนกลับออกไปคงต้องแนบเบียดกันทั้งตัว
“ต้องรีบเช็คของให้เสร็จ เดี๋ยวไม่ทันรถส่งสินค้าจากไร่องุ่นรอบบ่าย”
“ให้ฉันทำแทนไหม”
“ไม่เป็นไร ไปดูหน้าร้านเถอะ”
“ยังเช้าอยู่เลยคนไม่เยอะขนาดนั้นหรอก และอีกอย่างฉันทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่นายยัง” ผมประสานสายตาแล้วมองหาความจำเป็นที่เขาต้องทู่ซี้ให้ผมทานอาหารเช้าในมุมอับลับตา แค่เขาหายใจยังรู้สึกถึงลมแผ่ว ๆ ที่ปลายคางดังนั้นจงอย่าคาดหวังว่าผมจะยืนนิ่งนานไปกว่านี้ เอื้อมมือคว้าซาลาเปาเนื้อนุ่มมากัดคำใหญ่ เปมทัตดูมีสีหน้าพอใจก่อนจะก้าวถอยกลับไปยังประตูกระจก
บ่ายวันนี้มีลมแรงจัด หลังจากทานข้าวเที่ยงและโทรศัพท์สำทับกับพ่อว่าส่งใบสั่งซื้อสินค้าอย่างไม่ค่อยเป็นทางการให้ท่านทางอีเมลเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินหลบฝูงชนมาแปรงขนให้เจ้าโอนิกซ์ฆ่าเวลาโดยมีพี่เมฆกวาดเศษหญ้าแห้งอยู่ใกล้ ๆ เป็นเพื่อน
“ตั้งแต่รับคุณอ้นเข้ามาทำงานดูเหมือนคุณซันจะอารมณ์ดีขึ้นมากเลยนะ” คำพูดของพี่เมฆแว่วมาแทรกเสียงแกรก ๆ จากแผงคอม้าสีนิล ผมหันมองว่าพี่เขาต้องการคำตอบหรือเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ซึ่งผมเลือกที่จะต่อความ
“แล้วก่อนหน้านี้ผมเป็นยังไงหรือครับ”
“คุณซันชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ มีหน้าที่อะไรก็ทำไปเหมือนจงใจทำให้ตัวเองดูยุ่ง ๆ อยู่ตลอดจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น” ผมเป็นคนอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ทุกอย่างที่เป็นไปคงไม่รอดพ้นสายตาเหยี่ยวเหนือเมฆ แล้วอย่างเรื่องความรู้สึกของนอฟที่มีต่อเรย์พี่เขาจะรู้ด้วยหรือเปล่าก็ได้แต่สงสัย
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“แล้วผมพูดถูกหรือเปล่า” พี่เมฆจงใจเดินลากเท้าเข้ามาหาเพื่อจะได้ไม่ต้องตะเบ็งเสียงคุยกัน
“ผมก็แค่ดีใจที่มีเพื่อนสนิทมาอยู่ใกล้ ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรือครับ”
“มีเพื่อนอย่างคุณอ้นถือว่าโชคดี เพราะเขาเองก็เป็นห่วงคุณไม่น้อยเลย” พี่เมฆหยิบโทรศัพท์ของเขามาส่งให้ “ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะทำลายความสุขของตัวเองด้วยความหลัง ตัวผมเองก็ถูกอดีตทำร้ายมามากและไม่อยากให้มันมีอิทธิพลกับอนาคตไปมากกว่านี้ คุณซันเองก็เหมือนกันนะ”
ผมเลื่อนดูภาพที่ถูกแอบถ่ายจากมุมต่าง ๆ ของฟาร์ม ในรูปไม่ได้โฟกัสที่ตัวผมแต่เป็นสายตาที่ถูกมองมาจากพนักงานใหม่ เปมทัตกับอิริยาบถหลายหลากจากหลายหน้าที่แต่มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันในทุกภาพคือเขาจ้องมาที่ผม จ้องอย่างหลบซ่อนโดยไม่ให้ผมรู้ตัว จ้องเหมือนกับละสายตาไปไม่ได้ พี่เมฆยิ้มให้เห็นอีกครั้งก่อนจะริบโทรศัพท์กลับคืนไป
“เห็นไหม อนาคตของคุณอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ”
ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำหน้าแบบไหนตอนที่พี่เมฆเดินกลับออกไปกวาดพื้นรอบ ๆ คอกม้า แต่ที่แน่ ๆ ผมลืมตาไม่ขึ้นเพราะตอนที่คุกเข่าลงไปแปรงเท้าเจ้าโอนิกซ์พี่เขาเกิดเปลี่ยนใจเปิดประตูคอกกลับเข้ามาอีกหน ลมที่พัดนำมาอย่างกับพายุนั้นพัดพาเศษฟางบนพื้นปลิวว่อนคละคลุ้งไปหมด
“พี่เมฆมีผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชูไหมครับ ฝุ่นเข้าตา” เสียงลากเท้าก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นประจำกายคล้ายเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา ไม่ใช่พี่เมฆแน่นอน
คนมาใหม่พาตัวเองมานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วเป่าลมมาจนได้กลิ่นพีชจาง ๆ จากหมากฝรั่งรสหวาน ไม่รู้ว่าเขาไปเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลแบบนี้มาจากไหน แต่พวกเราไม่ใช่นักแสดงในหนักรักโรแมนติกที่เป่าลมเข้าตาแล้วฝุ่นจะปลิวออก และต้องเป็นผมใช่ไหมที่มีจริตเขินอาย กลับกันผมนั่งปรือตามองหาตัวช่วยอื่นเพราะอาการระคายเคืองทำเอาน้ำตาแทบไหล เอาไว้ค่อยเล่าให้ตรัสฟังแล้วกันว่าเพื่อนรักของมันอยากเป็นพระเอก
“ทำแบบนั้นฝุ่นมันไม่ออกหรอก” ผมใช้ดวงตาข้างที่เป็นปกติมองไปรอบตัวทั้งวันก็คงจะหาทิชชูไม่ได้จากในคอกม้า เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเดินย้อนไปที่คาเฟ่ฮีโร่จำเป็นกลับถอดเสื้อยืดของตัวเองออกต่อหน้า อยากถามว่าเขาคิดจะทำอะไรก็ได้แต่อ้ำอึ้งเรียบเรียงประโยคไม่ถูก
“ไหน ตรงนี้หรือเปล่า” เขาใช้สาบเสื้อด้านในปัดฝุ่นตรงหัวตาให้อย่างเบามือ “ออกหรือยัง” ผมลองกะพริบตาแล้วพบว่ามันสัมฤทธิ์ผลเร็วกว่าลมหายใจหลายเท่าตัว
“ออกแล้ว ขอบใจมาก” และแทนที่จะสวมเสื้อแล้วลุกขึ้นยืนเขากลับนั่งนิ่งโชว์เนื้อหนังที่ชาตินี้ถ้าเป็นเปมทัตคนเก่าผมคงไม่มีวันได้เห็น อีกทั้งใบหน้าของเราใกล้ชิดเกินความจำเป็น ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าผมสานต่อเจตนาคลุมเครือ เบี่ยงองศาใบหน้าเข้าหาเพียงนิดเพื่อพิสูจน์ว่าเขาจะแบ่งรับแบ่งสู้แค่ไหน จะรีบเบือนหน้าหนีไปเลยหรือเปล่า แต่ก็ทำได้แค่ในความคิดเท่านั้น ผมไม่อยากล้อเล่นกับความรู้สึกของใครอีกแล้ว ไม่ว่ากับเขา น้องนิษฐา หรือว่าตัวผมเอง
การสบสายตาเนิ่นนานอย่างไร้เหตุผลมันทำให้ผมมีโอกาสพินิจวงหน้าที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีโอกาส ทั้งแพคิ้วและขนตาหนาเรียงเส้นสวยอย่างกับภาพวาด แก้วตาสีอ่อนสะท้อนภาพของผมคู่นั้น สันจมูกคมคายแต่ปลายจมูกโค้งมนน่าสัมผัส และมุมปากสีกลีบบัวหยักขึ้นอยู่เป็นนิจเหมือนกำลังยิ้มอยู่เสมอ
อนึ่งสุนทรียภาพของการหยุดเวลานำพาให้ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงผมกับเขาและสายลมโชยกลิ่นลีลาวดี จนกระทั่งเสียงฝีเท้าคุ้นหูจะเรียกเรากลับสู่โลกความเป็นจริง
“ลูกค้าเต็มร้านเลยคุณอ้น ณิชาบ่นใหญ่แล้ว” พี่ยักษ์จะตะโกนเรียกเปมทัตให้กลับไปร้านของฝากเพราะละทิ้งตำแหน่งประจำมานานแล้ว ณิชาคงทำหน้าที่แทนคนอู้งานจึงต้องดูแลทั้งสองร้านก็เลยวานให้พี่เขามาเรียก ผมรีบหยัดตัวลุกขึ้นขณะที่เปมสวมเสื้อลวก ๆ แล้วเดินตามมา ก่อนเสียงกระซิบของคนที่รีบก้าวเท้าแซงหน้าจะทำให้ยามบ่ายแก่ ๆ ที่แสนน่าเบื่อดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา
“ฉันไม่คิดจะยอมแพ้หรอกนะ ซันรอฉันมาตั้งแปดปี แค่นี้ฉันเองก็รอได้เหมือนกัน”
แม่โทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงติดจะน้อยใจเหมือนอย่างเคย บ่นคิดถึงอยากมาหาแต่ไม่มีคนอยู่บ้านแทนเพราะพ่อเองก็ต้องดูแลกิจการไร่องุ่น จะว่าทิ้งให้ท่านดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่คนเดียวก็ไม่เชิงเพราะผู้ช่วยของพ่อนั้นคอยเป็นที่ปรึกษาและสามารถตัดสินใจแทนท่านได้เกือบทุกอย่าง ส่วนผู้ช่วยที่ไร่อย่างคุณลุงเชี่ยวชาญผมเองก็อยากให้ท่านช่วยมาแสดงความคิดเห็นและให้คำแนะนำเกี่ยวกับฟาร์มของผมอยู่เหมือนกัน
(( แม่คิดถูกหรือเปล่าที่ให้เรากับพ่อจับธุรกิจการเกษตร พ่ออยู่เหนือ ลูกคนหนึ่งอยู่ตะวันออก อีกคนอยู่ใต้แบบนี้มันดูไม่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเท่าไหร่เลยนะแม่ว่า ))
“คิดถึงก็มาหาเถอะครับ แม่ไม่อยู่บ้านสักคนพี่นุชเขาคงไม่เหงาจนร้องไห้เหมือนนางเอกละครที่พี่เขาติดหรอก แต่ว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งมาจะดีกว่าครับ ฝนตกหนักเกือบทุกวันเลย ถนนหนทางอาจไม่สะดวกสักเท่าไหร่ อันตรายด้วย”
(( บอกแต่ให้แม่ไปหาแล้วไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องบ้างหรือยังไง ))
“ผมมีงานต้องรับผิดชอบนะครับ แม่ไม่อยากเห็นผมเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรอกใช่ไหม”
(( ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีเลย ข้ออ้างร้อยแปดพันอย่าง มีเพื่อนไปอยู่ด้วยแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องเห็นหัวแม่แล้ว ว่าแต่น้องอ้นไปอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เห็นโทรมาเล่าให้แม่ฟังเลย ))
“พูดถึงเปมทัตเรามีเรื่องต้องคุยกันนะครับ แม่เป็นคนพาเปมมาวันที่เจ้านอฟแข่งม้า ทำไมแม่ไม่บอกผมเลยสักคำ ผมก็หลงคิดว่าตาฝาดที่เห็นคนหน้าเหมือนเขาที่งาน ผมเป็นลูกแม่นะ แม่จะทำเป็นมีลับลมคมในกับผมแบบนี้ไม่ได้นะครับ” แกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรท่านเลย
(( แม่ไม่รู้นี่ว่าพวกเราทะเลาะอะไรกัน เห็นเขาสีหน้าไม่ค่อยดีมาขอร้องว่าอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าซันมีความสุขไหมหลังจากลาออก ตอนนั้นแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องอ้นเองก็เพิ่งลาออกกลับมา ถ้าแซนไม่เล่าให้ฟังแม่คงคิดว่าลูกคุณประภัสสรแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน ))
“แล้วแซนเป็นไงบ้างครับ กลับมาบ้านบ้างหรือเปล่า”
(( เพิ่งกลับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กับคุณพี ))
“คุณพี พีระมิด พี่รพีพิชญ์น่ะหรือครับ”
(( ใช่ เขามาทานข้าวเย็นด้วยแล้วก็กลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่พาน้องสาวมาด้วย ซ้ำร้ายดูจะสนิทกับเจ้าแซนมากกว่าคู่หมั้นตัวจริงเสียอีก ))
“ไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในคำทำนายอาจจะเป็นพี่ชายไม่ใช่น้องสาวก็ได้นะครับ”
(( พูดจาเลื่อนเปื้อน ก่อนอื่นเลยช่วยพาน้องนิษฐาของเรามาพบแม่ได้แล้ว และถ้าภายในเดือนนี้ซันไม่กลับบ้านนะ แม่จะไม่โทรหาอีกเลยคอยดู ))
“โธ่แม่ครับ” คุณโฉมฉายค่อนขอดไว้อย่างนั้นก่อนจะวางสายไปอย่างไม่ใยดี เห็นทีผมคงต้องมีการวางแผนอนาคตระยะสั้นใหม่ทั้งหมด
ไม่รู้คิดผิดหรือเปล่าที่วันนี้มอบหมายให้เปมทัตรับหน้าที่เป็นบาริสตาของคาเฟ่แทนณิชาที่ลาป่วยกะทันหัน ด้วยเห็นว่าคนที่เคยทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์น่าจะมีทักษะในการผสมเครื่องดื่มอยู่บ้าง สูตรการตักตวงน้องเขาก็ตระเตรียมไว้ให้อย่างชัดเจนเรื่องนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ผมกังวล แต่เพราะผ้ากันเปื้อนกับรอยยิ้มสิ้นเปลืองนั่นต่างหากคือปัจจัยสำคัญที่เรียกคนเข้าร้านอย่างต่อเนื่องจนเสียงกระดิ่งเหนือประตูดังไม่หยุด
ส่วนผมแต่งตั้งตัวเองเป็นพนักงานเฝ้าร้านของที่ระลึก ลอบมองจากหน้าร้านเป็นครั้งคราวว่าเขาติดขัดอะไรหรือเปล่าจะได้รีบไปช่วยเหลือเป็นลูกมือหรือบริกร แต่ดูแล้วปัญหาที่แท้จริงน่าจะมาจากพวกลูกค้าสาว ๆ เมื่อได้รับเครื่องดื่มแล้วไม่ยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะ ยืนรุมกันอยู่ที่เคาน์เตอร์เป็นสิบคนแบบนั้นมองอย่างไรก็คล้ายฮาเร็มขนาดย่อม ตัวต้นเหตุก็เอาแต่ยิ้มหวานเกลื่อนกลาดทั้งที่มือเป็นระวิง
เมื่อลูกค้าที่ร้านของผมบางตาลงจึงเดินมานั่งเล่นที่โต๊ะยาวด้านหน้า เฝ้าสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่งก่อนที่พี่เสือจะเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามานั่งด้วย ผมยื่นขวดน้ำเย็นที่หยิบติดมือมาแต่ยังไม่ทันได้ดื่มให้พี่เขาไป ได้รับคำขอบใจเบา ๆ ก่อนเจ้าของท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจะบุ้ยใบ้ไปทางบาริสตาเนื้อหอม
“กลายเป็นว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยวสำหรับเด็กไปแล้วนะครับ”
“นั่นสิครับ ไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่ามีลูกค้าผู้หญิงเยอะมากขนาดนี้”
“เริ่มเยอะตั้งแต่คุณอ้นเข้ามาหรือเปล่า” ผมหันมองคนที่ถูกกล่าวหา จากหลักฐานและพยานบุคคลทำให้คำพูดของพี่เสือนั้นมีมูลความจริงไม่น้อย ก่อนที่เสียงนุ่ม ๆ ของเจ้านอฟจะแว่วมาในความคิด ‘ผู้หญิงแถวนี้เรดาร์สืบหาคนหน้าตาดีไวมากเลยนะครับขอเตือน’
“คุณซันไม่คิดจะห้ามทัพหน่อยหรือ กระจกร้านจะแตกอยู่แล้วนะนั่น”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ดีเสียอีก ช่วยเรียกลูกค้า”
“แต่ผมว่าถ้าปล่อยไว้อีกนิดจะกลายเป็นสงครามปะทะคารมแย่งคุณอ้นแล้วนะ คุณซันไปเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมกับเมฆจะช่วยดูเอง” ผมลังเล “เถอะครับ ข้างนอกนี่แทบจะไม่มีคนแล้ว ไปเบียดเสียดอยู่ในคาเฟ่กันเกือบหมด เมื่อเช้านี้ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมวันธรรมดาถึงมีรถที่ลานจอดเยอะขนาดนั้น ถ้าเป็นวันหยุดก็ว่าไปอย่าง ที่ไหนได้...มีศึกชิงนาย” ผมหัวเราะกับการขนานนามสนามประลองเสน่ห์ ยอมแพ้ให้กับความหวังดีของพี่เสือแม้จะมีแรงกระตุ้นในใจอยู่ก่อนแล้ว ก้าวอาด ๆ พาตัวเองไปยืนหลังเคาน์เตอร์กับบาริสตาจำเป็น แสร้งทำมองไม่เห็นแววตาหลุกหลิกคู่นั้น
“ทำไมวันนี้คุยเก่งนัก” ผมทัก
“ลูกค้าเขาถามแล้วจะให้ฉันแกล้งเป็นใบ้หรือ”
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย คุยอะไรกันบ้าง โดนขอเบอร์ฯ อีกหรือเปล่า” เปมทัตเหลือบมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวกลับไปคว้าแทมเปอร์เพื่อกดกาแฟบดละเอียดแล้วหมุนเกลียวเข้าเครื่องชงแรงดันไอน้ำ ผมอ่านจากกระดาษที่ลูกค้าเขียนไว้ว่าเพิ่มวิปครีมจึงหันไปหยิบขวดอลูมิเนียมมารอ เขย่าพอเป็นพิธีแล้วพยายามบีบใส่แก้วแต่กดเท่าไหร่ก็ไม่ออก คนที่เริ่มชำนาญงานจึงขยับตัวมายืนซ้อนหลังแล้วช่วยกดอีกแรง
ความโกลาหลประหนึ่งผึ้งแตกรังเมื่อครู่ค่อย ๆ ลดหลั่นลงก่อนผู้หญิงผมสีเทาเข้มจะพูดแทรกขึ้นมา “พี่อ้นจะมาแทนพี่ณิชาทุกวันเลยหรือเปล่าคะ”
“เรื่องนั้นพี่เองก็ไม่แน่ใจ ต้องถามเจ้านายอีกทีครับ” ลมหายใจอุ่นจนร้อนกระทบหลังใบหูทำเอามืออ่อนแรงจนเกือบประคองขวดไม่ไหว ครั้นจะเดินหนีไปช่วยหยิบฉวยอย่างอื่นคนที่ประสานมือกุมทับกลับไม่ยอมให้ผมทำตามใจ “ว่าไงครับเจ้านาย ให้ผมทำแทนณิชาเลยหรือเปล่า”
“เปม” ผมกัดฟันปรามเขาด้วยเสียงที่หวังว่าจะได้ยินกันแค่สองคน ท้ายที่สุดเมื่อวิปครีมเกือบล้นแก้วเขาก็ยอมปล่อยมือ ผมเดินหนีทำทีเป็นคว้าผ้ามาเช็ดไปรอบ ๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรเลอะเทอะเลย
“แล้วที่ลือกันว่าพี่อ้นก็มีคนรักอยู่แล้วเหมือนพี่ซันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” เจ้าของผมลอนใหญ่เป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง ทุกคนพยายามสืบประวัติเหมือนอย่างที่คิดไว้ ไม่ใช่แค่ชวนคุยเรื่องทั่วไปอย่างดินฟ้าอากาศ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์หวงห้ามอะไรไม่ใช่หรือ เปมทัตเองก็ดูมีความสุขกับการเป็นจุดสนใจ สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการยืนฟังเงียบ ๆ
“ตอนนี้ไม่มีครับ” อิสตรีที่ยืนห้อมล้อมเคาน์เตอร์เริ่มแสดงปฏิกิริยาเชิงบวก“แต่กำลังจะมี อาจเป็นคนแถวนี้ก็ได้ใครจะรู้” เป็นคำตอบที่เรียกคลื่นเสียงคล้ายกรีดร้องอยู่ในลำคออย่างเก็บอาการจากทุกคน ไม่ไหว ถ้าต้องขึงหน้าตึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งที่ใจสั่นยิ่งกว่าเครื่องทำกาแฟผมต้องยอมแพ้แล้วเผลอพูดอะไรที่ไม่สมควร รู้อย่างนี้นั่งคุยเล่นอย่างเปล่าประโยชน์กับพี่เสือพี่เมฆเสียยังดีกว่า
“แล้วพี่ซันล่ะคะ”
“ครับ...”
“แฟนพี่ซัน ช่วงนี้ไม่เห็นมาที่ฟาร์มบ้างเลย ครั้งก่อนคนเห็นกันทั่ว สวยจนไม่มีใครกล้าแอบมองพี่ซันอีกเลยนะคะ” มองเผิน ๆ ก็พอจะจำได้ว่าคนที่ถามเป็นลูกค้าประจำของคาเฟ่ ผมแค่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร คนที่ชงโกโก้อยู่ใกล้ ๆ ผินมองอย่างสงสัย
“นิษฐาเคยมาที่นี่ด้วยหรือ” เปมถามขณะย่อตัวลงหยิบแก้วพลาสติกใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมาเพิ่ม ภายใต้แววตาที่ถามเหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไปผมสังเกตได้ว่าเขากำลังเก็บซ่อนอารมณ์บางอย่าง
“เคย มาเที่ยวหลังสอบเสร็จ...กับเพื่อนหลายคน” ประโยคหลังหวังว่าจะชัดเจนสำหรับคนที่ไม่เคยถูกเชิญชวน ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่เคยโทรหาผมเลยสักครั้ง แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้ผมติดต่อไปก่อนทั้งที่เป็นฝ่ายหนีหน้า เช่นว่า ‘มาเที่ยวกันนะ ฟาร์มฉันเสร็จแล้ว’ อย่างนั้นหรือ
“พักที่นี่ด้วยใช่ไหม”
“เปมเห็นฉันเป็นคนยังไง น้องก็นอนกับเพื่อนน้องสิ ที่บังกะโลใกล้สวนเบญจมาศ” สีหน้าของเขาอ่อนลงก่อนจะส่งแก้วโกโก้ที่ปั่นเสร็จแล้วให้ลูกค้าเจ้าของลายมือหวัด ๆ
“ฉันไม่เคยเห็นซันขับรถออกไปไหนเลย ไม่เบื่อบ้างหรือ”
“น่าเบื่อตรงไหน อยู่แบบนี้สบายใจกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
“สถานทูตที่มีฉันอยู่ด้วยมันทำให้ซันไม่สบายใจขนาดนั้นเลย”
“หาความ ฉันไม่ได้พูดถึงสถานทูต ฉันหมายถึงบ้าน ไม่อยากอยู่เฉย ๆ เป็นภาระพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน อย่าลืมสิว่าฉันสมัครใจขอสอบตามเปมไปเอง ใช่ว่ามีใครข่มเขาโคขืนเสียที่ไหน”
“ซันเป็นวัวหรือ วัวดื้อเสียด้วย”
“อุปมาอุปไมยไหมล่ะ” แฟลตไวท์ฟองนมรูปหัวใจมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เปมทัตส่งแก้วกาแฟที่ก่อนหน้านี้นึกว่าเขาชงให้ลูกค้าทั้งที่เอะใจอยู่ว่ากระดาษออเดอร์ที่เหล็กเสียบใบสุดท้ายถูกหยิบออกมาแล้ว
“แต่ฉันถามจริง ๆ นะไม่อยากไปเที่ยวที่อื่นบ้างหรือ อยู่แต่กับม้าทั้งวัน”
“ปกติคนรุ่นเราหย่อนใจไปกับอะไรบ้าง ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์อย่างวัดวาอารามซากเมืองเก่าก็ไม่ใช่ทาง เชิงอนุรักษ์อย่างปลูกป่าชายเลนก็เคยไปจนเบื่อ ที่ไอ้แซนโดนเท็ตปาโคลนใส่หน้าแล้วแอบถ่ายรูปส่งให้ผู้หญิงที่มันคั่วอยู่ตอนนั้นจำได้ไหม แต่ถ้าพูดถึงเชิงเกษตรหรือธรรมชาติแค่มองไปรอบตัวก็มีทุกอย่างครบหมดแล้ว ไม่เห็นต้องขับรถออกไปไหนให้เหนื่อยเลย”
“คิดเยอะจัง ฉันแค่จะชวนไปดูหนังในเมือง” ผมเสหยิบแก้วกาแฟขึ้นชิดริมฝีปาก “บ้านอะไรทีวีก็ไม่มี คอมฯ ตัวเองก็ยังทิ้งไว้ที่บ้านใหญ่อีก อยู่เฉย ๆ แล้วมันทำให้ฉันคิด...ฟุ้งซ่าน ซันไม่รู้สึกเหมือนกันหรือ” ไม่ได้การ หลายสายตาที่รุมมองมาแม้รู้ว่าพวกเขาคงไม่ได้ยินหรอกว่าเราสองคนคุยอะไรกัน แต่มันก็อดแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้ว่าผมกำลังรู้สึกเหมือนเป็นนาฬิกาทราย เมื่อไหร่ที่กรวดเม็ดสุดท้ายตกลงผมจะละทิ้งความรู้ผิดชอบแล้วยอมเล่นไปตามเกมหัวใจ
หลังจากหลบฉากมาได้กลับกลายเป็นว่าผมไม่กล้ายื่นหน้าไปขัดจังหวะโลกส่วนตัวของพี่เสือกับพี่เมฆที่กำลังคุยเล่นกันอย่างออกรสในร้านของที่ระลึก เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเจ้าเท็กซัสที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล แผงคอหนาพัดปลิวตามแรงลมทำให้มันดูมีความสุขจนผมเองยังอิจฉา พี่ยักษ์ที่กำลังยกถั่วฝักยาวเดินผ่านมาพอดีร้องทักด้วยเสียงไม่เบานัก
“คุณซันวันนี้เจ้าโอนิกซ์อารมณ์ดีมากเลยนะ เราไปลองฝึกกันอีกรอบดีไหม ไม่น่าจะพยศเพราะมันเริ่มคุ้นกับคุณแล้วด้วย”
“พี่ยักษ์ว่างแล้วหรือครับ”
“คุณซันพามันออกมาเดินเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวรอคนบางตากว่านี้อีกหน่อยแล้วผมจะตามไป”
“ได้ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”
เสียงฝีเท้าก้าวดังสาบ ๆ บนพื้นหญ้าสีเขียวสดที่เริ่มรกชัฏเพราะฝนที่ตกหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็คงไม่เป็นอุปสรรคในกิจกรรม เจ้าโอนิกซ์ดูอารมณ์ดีเหมือนอย่างที่พี่ยักษ์บอกจริง ๆ เพราะปลายหูของมันชี้ขึ้นฟ้าพู่หางก็สะบัดไปมาอีกทั้งยังสับเท้าอย่างตื่นเต้นที่ได้ออกกลางแจ้ง เส้นขนดำขลับสะท้อนแสงแดดอ่อนยามเย็นชวนมอง สายลมโชยเอื่อยยิ่งเป็นใจให้ทุกอย่างน่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ผมต้องมีท่าขี่ม้าสวย ๆ ไปอวดเจ้านอฟได้แน่
บูทผิดไซส์ที่พี่ยักษ์ให้ยืมมาหลวมนิดหน่อยแต่ก็พอถูไถไปได้เพราะจวนตัว พี่เขานำบังเหียนอานและโกลนมาสวมให้โอนิกซ์ทั้งที่เคยเห็นว่านอฟสามารถขึ้นบังคับอาเกตได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ พี่เขาก็ย้อนทันทีว่าไม่อยากเห็นคนแถวนี้ตกหลังม้าก้นจ้ำเบ้า
ผมทำได้ดีตั้งแต่การเหยียบโกลนขึ้นนั่งบนอานหนัง พี่เขาสอนคร่าว ๆ เกี่ยวกับการบังคับเดินและวิ่งเหยาะ ยกตัวและทิ้งน้ำหนักให้สอดคล้องกับการยกขาของเจ้าม้าดำ ซึ่งมันก็ดูจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมจึงใช้เวลาหลังจากนั้นพามันเดินไปรอบคอกกลางแจ้ง สังเกตอาการของมันอยู่เรื่อย ๆ ว่าหงุดหงิดไหม เหนื่อยแล้วหรือเปล่า แต่ปลายหูคู่นั้นก็ยังชี้ตรงเป็นธรรมชาติ ผมเหลียวหลังยกนิ้วโป้งให้พี่ยักษ์ที่ยังยืนกอดอกมองมาอย่างเป็นห่วง
พักใหญ่จนใกล้ค่ำเต็มที เมื่อผมตัดสินใจที่จะควบม้าสีราตรีเข้าร่มก็หันมาเห็นว่าเปมทัตมายืนอยู่ข้างพี่ยักษ์ด้วยอีกคน เย็นป่านนี้เขาคงปิดประตูร้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่เสือกับพี่เมฆผมยอมให้เขาสร้างโลกสีชมพูได้นานเท่าที่ต้องการ
ในขณะที่กำลังย่ามใจบังคับโอนิกซ์มาจวนถึงประตูคอกไม้อยู่แล้วแท้ ๆ งูตัวเลื่อมพลายไม่รู้โผล่มาจากไหนเลื้อยตัดหน้าฝีเท้าจนเจ้าโอนิกซ์ยกสองขาหน้าแล้วสะบัดผมตกลงจากอานก่อนจะวิ่งหนีไปทางโรงปุ๋ย ผมจุกจนไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาเป็นคำ มิหนำซ้ำยังรู้สึกชาด้านซ้ายตั้งแต่ต้นขาจนถึงปลายเท้า
เปมทัตวิ่งมาถึงก่อนใคร ได้ยินเสียงพี่ยักษ์พูดไล่หลังอย่างใจเย็นคงเพราะไม่อยากให้ผมเสียขวัญ “งูแสงอาทิตย์น่ะคุณซัน ไม่มีพิษ เลื้อยหนีไปทางโน้นแล้ว ช่วงนี้ฝนตกหนักคงหนีน้ำมา พรุ่งนี้ผมคงต้องเอาเครื่องตัดหญ้ามาจัดการแถวนี้สักหน่อย”
“ดีครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะหญ้ามันรกมากด้วย” ผมยังมีแก่ใจตอบด้วยน้ำเสียงล้อเล่นไม่จริงจัง แต่คนที่จริงจังเห็นจะเป็นเปมทัตที่นั่งย่อตัวอยู่ข้าง ๆ “รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ อย่าเพิ่งขยับมากนะ”
พี่เมฆกับพี่เสือคงได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงรีบกุลีกุจอตามมา ก่อนพี่ยักษ์จะตะโกนบอกให้รีบขับจี๊ฟตามโอนิกซ์ที่เตลิดหนีหายไป เปมไม่รอถามความสมัครใจว่าผมอยากไปโรงพยาบาลอย่างที่เขาบอกไหม ผมจึงหยัดตัวลุกขึ้นยืนให้ดูว่าผมยังสบายดีไม่มีอะไรแตกหัก
“ฉันแค่ตกใจ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“แน่ใจ” ผมพยักหน้า “ไหนลองเดินให้ดูหน่อย” ผมกัดฟันก้าวขาทั้งที่เท้าซ้ายยังชาสนิท ไม่เกินห้าก้าวก็ล้มลงอย่างหมดรูปทั้งที่อุตส่าห์ปากเก่ง ไม่น่าเลย
“ว่าแล้ว” เปมทัตประคองผมลุกขึ้นมายืนพิงขอบรั้ว เมื่อสังเกตดี ๆ เขามีสีหน้าวิตกกังวลผิดกับน้ำเสียงติดโมโห “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะฉันจะไปเอากุญแจออดี้ ซันเก็บไว้ที่ไหน”
“ลิ้นชักในตู้เสื้อผ้า”
“อย่าเพิ่งฝืนเดินเด็ดขาดเลยนะ...”
“...ถ้าอยากอวดเก่ง เอาไว้ตอนเจอหมอดีกว่า”▩▩▩