เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93  (อ่าน 945576 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 10

          หยาดฝนเป็นใจตกลงมาในวินาทีนั้นเอง กันสาดที่ยื่นบดบังทางเท้าไม่ช่วยให้เปมทัตหลบพ้นสายฝนที่โปรยปราย ผมส่งเสียงลอดไรฟันอย่างขัดใจก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบร่มหลังร้านแล้วกางให้คนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

          “มาทำไม” ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมสามารถสบตาเขาได้โดยไม่ต้องก้มหน้าลงเพราะความสูงที่แตกต่าง น้ำฝนที่เกาะแพขนตาหนาพาให้ใจวูบไหวแปลก ๆ คลื่นรังสีความคลุมเครือแผ่ผินมาหาคล้ายไอหมอกบนหน้าผาสูงชัน

          หนาวเย็น...จับขั้วหัวใจ

          “มาหานาย” เสียงทุ้มต่ำที่ทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้นทุกวินาที ไม่มีเหตุผลเลย ผมอุตส่าห์ตัดใจหนีมาไกลขนาดนี้ ขาดการติดต่อนานขนาดนี้ แต่เขากลับยืนนิ่งด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึก อีกทั้งยังพูดคำนั้นออกมาอย่างง่ายดาย ใจร้ายเกินไปหรือเปล่า

          “อ้นรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงกลับมา” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ตาคู่นั้นฉายแววขุ่นเคืองก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นปกติ ผมย่ำเท้าอยู่กับที่อย่างร้อนใจทั้งที่อากาศรอบกายชื่นฉ่ำ

          “รู้”

          “แล้วตามมาทำไม”

          “ก็บอกแล้วไงว่ามาหานาย จะถามย้ำอีกสักกี่ครั้งฉันก็ยังยืนยันคำตอบเดิม ฉันมาหาซัน” ผมกระแอมไอแล้วมองไปรอบตัวเพื่อหาสิ่งพักพิงสายตาแห่งใหม่ที่ไม่ใช่ดวงตาคมกริบ เปมทัตไม่หลบตาเลยตั้งแต่ผมมายืนอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน รู้สึกได้ถึงอัตลักษณ์บางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้เสื้อยืดตัวบางที่เปียกปอน รูปโฉมภาพนอกของเขาไม่เคยแสดงออกถึงความแข็งแรง เป็นเพียงคุณหนูเรียนดีมีผิวพรรณเหมือนผู้หญิงอย่างที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำสมัยมัธยมปลาย เวลาเพียงไม่กี่เดือนคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

          “ตรัสเป็นคนบอกฉันเรื่องที่นี่รับสมัครงาน”

          “แล้ว...”

          “ฉันมาสมัคร”

          “อ้นทำไม่ได้หรอก” เปมทัตไม่เคยทำงานหนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบกหามหรือรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยต้นไม้ แค่ยืนเฝ้าเครื่องบันทึกเงินสดแปดชั่วโมงต่อวัน เช็คสต็อกสินค้าสี่สิบแปดชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่หน้าที่และความรับผิดชอบนี้เขาก็คงยอมแพ้ตั้งแต่สามวันแรก มือคู่นั้นบอบบางเกินไป ผมไม่อาจยอมให้ลูกชายคนเดียวของคุณประภัสสรมาทำงานเหนื่อยยากเพื่อแลกเงิน

          “ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ”

          “ใครมาส่ง”

          “คนที่บ้าน” ผมถอนใจแล้วใช้มือข้างที่ว่างคว้าโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง แต่ยังไม่ทันได้กดติดต่อหาคุณแม่ของแขกที่ไม่ได้รับเชิญเพื่อถามถึงเบอร์โทรศัพท์ของคนขับรถ มือขาวจัดกลับเอื้อมมากุมทับขัดขวาง ฝ่ามือของเปมทัตที่ผมเคยสัมผัสไม่หยาบกร้านและมีเรี่ยวแรงมากขนาดนี้ ความนุ่มนวลที่เคยมีอันตรธานหายไปอย่างไร้วี่แวว

          “ฉันมากับคนสวนที่ลากลับบ้านต่างจังหวัด เขาคงไม่วนรถกลับมารับแล้วเพราะญาติของเขาป่วยหนัก” ผมชะงักงันอย่างคนเข้าตาจน ทั้งสับสนทั้งหมดหวัง ความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ยังไม่หมดสิ้นทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าอยากเจอก็ได้เจอแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าอยู่สุขสบายไหมก็เห็นกับตาว่ายังไม่ตายจาก แล้วเขาต้องการอะไรอีก

          “อ้น...”

          “อ้น ๆๆ อยู่ได้ ทำไมไม่เรียกฉันเหมือนอย่างที่เคยเรียก” น้ำเสียงราบเรียบแต่แอบแฝงอารมณ์เต็มเปี่ยมจนปลายนิ้วผมชาไปหมด ตลอดแปดปีที่พ้นผ่านผมไม่เคยเห็นเปมทัตโมโหเลยสักครั้ง ไม่เคยตะคอก ไม่เคยเสียงดัง ถ้าสถานการณ์เลวร้ายเกินเยียวยาเขาก็แค่นิ่งไปแต่ไม่ถึงกับร้องไห้เสียน้ำตา แต่สีหน้าโกรธจัดที่ผมเห็นอยู่นี้คืออะไร

          ชื่อเปมที่ผมจดสิทธิบัตรอยู่ในใจไม่ว่าใครในโลกก็ไม่ได้รับเกียรตินี้ กำลังผูกมัดให้ผมยึดติดอยู่กับเขาแต่เพียงผู้เดียว ผมอยากเป็นคนทั่วไปไม่ต้องพิเศษเหนือใครอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันเห็นค่า เหนื่อยมากแล้วควรหยุดได้แล้ว

          แต่ทำไมการปรับตัวจากจุดสูงสุดสู่สามัญของผมมันถึงได้ยากเย็นนัก มือที่ยังเกาะกุมกันอยู่ทำให้หน้าจอโทรศัพท์ที่ดำสนิทสว่างขึ้นฉายให้เห็นภาพที่ผมทำใจปรับเปลี่ยนไม่ได้สักที รีบชักมือกลับแล้วหย่อนโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ภาวนาให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นหลักฐานความในใจ และถ้ายังยืนอยู่ตรงนี้เราคงพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง กุญแจประตูทั้งหมดผมคงต้องปล่อยให้ยามจัดการแล้วเดินนำคนทู่ซี้ไปยังบ้านพัก บ้าน...ที่แม้แต่แม่ยังไม่เคยได้ก้าวเข้ามา

          เรื่องประหลาดใจของผมยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เปมทัตถอดหมวกแล้วโยนส่ง ๆ ลงบนกระเป๋าดัฟเฟิลใบเดียวที่เขานำมาอย่างกับมั่นใจหนักหนาว่าผมต้องรับทำงานแน่ ความแปรผันที่ค่อย ๆ เปิดเผยยิ่งกระตุ้นให้ผมตัดใจไล่เขาไม่ลง เส้นผมดำขลับทรงอันเดอร์คัตเมื่อครั้นยังอยู่ที่สถานทูต บัดนี้มีแมนบันขมวดเล็ก ๆ เหนือท้ายทอย ตอกย้ำชัดเจนว่าเปมทัตเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน

          “ทำไมไม่ตัดผม” เปมเลิกคิ้วให้อย่างกับคำถามของผมน่าแปลกใจนักหนา

          “ไม่ชอบหรือ” เขาถามกลับก่อนจะดึงยางมัดแล้วยีผมไล่ความชื้น หัวใจที่เต้นผิดจังหวะคงเป็นเพราะตั้งแต่เที่ยงผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยนอกจากกาแฟ ดังนั้นแกงรัญจวนของคุณยายขวัญเรือนน่าจะเป็นทางเลือกที่จรรโลงใจมากกว่ายืนมองคนมาใหม่ที่เอาแต่จ้องหน้าผม

          “หิวไหม” ผมเปิดพลาสติกที่ห่อหุ้มถาดสแตนเลสบนโต๊ะกลมตรงระเบียงหน้าบ้าน เปมส่ายหน้าแล้วเอนตัวพิงไหล่กับกรอบประตู ผมยังยืนกรานไม่ต้อนรับพนักงานใหม่และหวังว่ามื้ออาหารจะช่วยให้เซลล์สมองทำงานดีขึ้น อาจเป็นผมเองที่ต้องขับรถไปส่งเขาที่บ้านก่อนคุณประภัสสรจะทราบว่าผมบังอาจคล้อยตามน้ำคำและอยากรับลูกชายของท่านเข้าทำงานเต็มแก่ ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งไหนเหมาะสมกับเปมทัต ยกเว้น...หุ้นส่วนหัวใจ

          “ฉันขอนอนพักหน่อยได้หรือเปล่า ฉัน...นอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันแล้ว” ผมลุกจากเก้าอี้เปลไม้หวายไปไขกุญแจโดยไม่ตอบอะไร ด้วยความใกล้ชิดคนที่ยังยืนพิงกรอบประตูจึงหายใจรดใบหูทำเอาผมประหม่าจะเกือบลืมไปว่าลูกกุญแจดอกไหนเป็นดอกไหน เห็นจากหางตาว่าเขาลอบยิ้มก่อนจะก้มลงหยิบหมวกและกระเป๋าเดินตามเข้ามาในบ้าน

          ข้าวของเครื่องใช้เป็นระเบียบเหมือนอย่างเคย ไม่มีกรอบรูปหรือของแทนใจที่อาจทำให้แขกชั่วคราวรู้สึกอึดอัด หนึ่งเตียงควีนไซส์ หนึ่งตู้เย็น หนึ่งตู้เสื้อผ้า และหนึ่งห้องน้ำ บ้านทั้งหลังมีเพียงเท่านี้ หมอนหลายใบบนเตียงถูกซักทำความสะอาดอย่างดี ผมเอ่ยปากยินยอมให้เขาใช้งานได้ตามสะดวก

          “อยากอาบน้ำก่อนไหม ผ้าขนหนูอยู่ในตู้เสื้อผ้า” บอกแค่นั้นก่อนเดินหลบออกมา ได้ยินเขาพูดขอบใจเบา ๆ ก่อนที่ผมจะปิดประตูสนิท

          แกงรัญจวนอร่อยถูกปากแต่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ค่อยสมประดีจึงมีผลกับความอยากอาหารไม่น้อย วันนี้นอฟกับเรย์ขออนุญาตเลิกงานเร็วเพราะจะรีบกลับไปตระเตรียมสมุดหนังสือและชุดนักเรียน โดยหลานของยายขวัญเรือนมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นขนมช่อม่วง ส่วนเจ้าดุรงคีจะล้างคอกม้าให้เป็นการชดเชย ผมรวบรวมจานชามแล้วถือร่มเดินทอดน่องไปให้ห่างจากตัวบ้าน

          ผมโทรหาตรัสทันทีที่คิดว่าหลบพ้นจากรัศมีการได้ยินของคนที่นอนหลับ ท่านประธานรามานุสรณ์จิวเวลรี่ไม่ยอมรับสายจนผมเกือบหมดความอดทนแล้วเปลี่ยนใจโทรหาทูนหัวของมันแทน แต่เสียงตอบรับไม่ดังนักทำให้ผมคาดเดาได้ว่ามันยังอยู่ที่บริษัทในเวลาจวนค่ำ

          “มึงเอาเรื่องที่ฟาร์มกูรับคนเพิ่มไปบอกเปมทำไม”

          (( เพราะมึงไม่ได้ห้ามกูไปบอกใคร )) มันยวน

          “ตอนนี้อ้นของมึงอยู่ที่นี่ มึงจะให้กูทำยังไง..กูไม่รู้ว่ากูต้องทำยังไง”

          (( ก็รับไว้เสียสิ อ้นมันทำได้มึงรู้ดี ))

          “มึงช่วยไตร่ตรองด้วยมันสมองของนักธุรกิจสักนิดได้ไหม มึงก็รู้ว่าเปมเป็นลูกใครแล้วจะให้กูรับมาทำสวนดอกไม้กับดมกลิ่นปุ๋ยคอกน่ะหรือ”

          (( มึงเองนั่นแหละที่ลองใคร่ครวญดูให้ดี ว่ามึงกลัวพิรัตน์ไพศาลคนพ่อคนแม่ หรือว่าคนลูกกันแน่ ))

          “ทำไมกูต้องกลัวเปมด้วย”

          (( ถ้าไม่กลัวแล้วจะกระซิบทำไม )) ผมยืนนิ่งและยอมรับว่าที่ตรัสมันพูดก็ถูก ทั้งที่เดินมาตั้งไกลจนเกือบจะถึงคลองน้ำตื้นที่บัดนี้มีสายฝนตกกระทบจนเกิดเสียงคล้ายขิมบรรเลง (( ถ้ามึงตัดใจได้แล้วอย่างที่ปากว่าจะกลัวอะไร ))

          ผมส่งข้อความหาตรัสทันทีที่ทราบว่าเปมทัตกลับมาอยู่ไทย ตอนนั้นท่านประธานมันก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าสิ่งที่ผมสงสัย อ้างไปว่าเพราะความผูกพันฉันเพื่อนจึงเป็นห่วงและไม่อยากเห็นมิตรรักมีปัญหาเพราะเรื่องเชิงชู้สาว มันไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ตรัสมันก็รับปากว่าจะสืบมาให้ แต่จนแล้วจนรอดมันกลับเอาเรื่องของผมไปขายให้อีกฝ่ายแทนเสียนี่

          “มึงทำแบบนี้ทำไม กูถามจริง ๆ”

          (( มึงคงยังไม่รู้ว่าอ้นมันกลับมาทำอะไรที่ไทย ))

          “กูจะรู้ได้ไงในเมื่อมึงไม่เล่าให้กูฟัง ไอ้แซนก็หายหัวไปเลยตั้งแต่ทิ้งระเบิดไว้”

          (( แล้วอ้นไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยหรือ ))

          “ยัง พอดีฝนตก คุยกันไม่กี่คำเปมก็ขอนอนพัก น่าจะหลับไปแล้ว อย่าบอกว่าหมอนั่นโดนคุณปราโมทย์จับได้เรื่องนายธาวิน”

          (( ไม่ใช่ สองคนนั้นน่าจะเลิกติดต่อกันตั้งแต่มึงกลับมา )) ผมไม่ควรดีใจเพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย แต่ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ ใจผมเต้นแรงอีกระลอก (( จำคลับที่พวกเราไปบ่อย ๆ สมัยเรียนได้ไหม ที่อ้นเคยทำเป็นบาร์เทนเดอร์ฆ่าเวลาตอนปิดเทอม ))

          “จำได้ คลับที่ไอ้หมีโดนสาวทักว่าเป็นทอมใช่ไหม” แม้ปลายสายจะไม่ตอบแต่ผมรู้ว่ามันยิ้มอยู่ ความทรงจำคืนนั้นคงย้อนกลับมาเล่นงานได้เจ็บแสบและแสนหวานทีเดียว

          (( อ้นกลับไปทำงานฆ่าเวลาอีกรอบ แต่หนนี้เหมือนมันจะฆ่าตัวเองด้วย ))

          “ยังไง"

          (( มันไม่กลับบ้านเลยเป็นอาทิตย์ จากที่ไม่เคยดื่มก็ดื่มหนักจนคุณประภัสสรท่านโทรมาให้กูช่วยติดต่อหาลูกชาย มึงคิดว่าเพราะอะไร ))

          “คงเสียใจเพราะโดนไอ้ธาวินนอกใจอีกรอบ”

          (( เปมทัตมีภูมิคุ้มกันเรื่องนั้นแน่นหนากว่าที่มึงคิดไว้เสียอีก แต่กับของบางอย่างที่ได้มาง่าย ๆ เก็บไว้ข้างกายจนเบื่อหน่าย สะกดจิตตัวเองว่าจะทิ้งขว้างเมื่อไหร่ได้ แต่พอเสียไปจริง ๆ กลับเจ็บเจียนตาย มึงพอจะเข้าใจความหมายสิ่งที่กูพูดหรือเปล่า ))

          “ไม่เข้าใจ” เพราะไม่อยากเข้าใจ ไม่อยากเจ็บซ้ำซากกับความหวังที่ไร้ทิศทาง ต่อให้ตรัสพูดถึงขนาดนั้นก็ใช่ว่าจะรักษาแผลใจเรื้อรังที่ยังไม่สมาน อย่าเอาเชื้อร้ายจากน้ำลายที่หาความเชื่อถือไม่ได้มาซ้ำเติมให้ยากเลย

          (( กูเข้าใจความรู้สึกของมึงดีนะซัน การรอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุดมันน่าท้อใจ แต่ถ้าสักวันโชคชะตาเข้าข้าง จะไม่ให้โอกาสตัวเองหน่อยหรือ ))

          ถ้าความรักมีตัวตน ชั่งตวงด้วยมาตรวัด มองเห็นและสัมผัสได้โดยไม่ต้องคาดเดาจะดีสักแค่ไหนกัน

          ผมเผลอนั่งเล่นที่แคร่ไม้ริมน้ำนานจนฝนหยุดตก เมื่อตะวันลับขอบฟ้าจึงติดสินใจว่าจะเดินไปตรวจตรารอบ ๆ อีกหนเพื่อความมั่นใจว่ายามไม่ลืมล็อกประตูคลังสินค้า แสงไฟระยิบระยับจากโคมกลางแจ้งที่ติดประดับไว้ทั่วบริเวณแปรเปลี่ยนความวิเวกเป็นอ้างว้าง อากาศเฉียบเย็นและเสียงจิ้งหรีดเรไรพาลให้ผมนึกย้อนไปถึงคนที่ยังนอนหลับอยู่ในบ้าน หมดข้อกังขาว่าเปมทัตไปอดนอนที่ไหนมาถึงได้ของีบหลับบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย ผมเดาว่าการทำงานช่วงกลางคืนคงช่วยให้เขาทำใจเรื่องนายธาวินได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับตัวผมเองการทำชีวิตให้ยุ่งเหยิงก็เป็นวิธีที่ไม่เลวเหมือนกัน

          เสียงฮึดฮัดจากคอกม้ามีต้นตอมาจากเจ้าเท็กซัส ผมสุมฟืนเพิ่มความอบอุ่นที่เตาดินเผาก่อนจะเดินดูกรงสัตว์อื่น ๆ รอบสุดท้าย กระต่ายขดตัวรวมกันใต้เพิงหลังคาหนาเช่นเดียวกับเต่าและตัวอ้น ส่วนสมาชิกที่เหลือมีคอกใหญ่ให้พักพิงอยู่แล้วผมจึงเดินเลี่ยงมายืนใต้บ้านต้นไม้ เถียงกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าคืนนี้ผมจะนอนตากยุงที่โซฟาหน้าตู้หนังสือ

          เสียงนกร้องกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นจากการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน เกือบพลั้งใจเดินกลับไปบ้านเพื่อถามไถ่แขกพิเศษว่าหิวไหม นอนหลับสบายในที่ต่างถิ่นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ให้กับความคิดแง่ลบ เปมทัตอาจไม่ต้องการความหวังดี แค่มาที่นี่เพื่อพักผ่อน

          พี่เมฆที่กำลังใช้คราดกอบรวมฟางหญ้าหน้าคอกกลางแจ้งถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นผมก้าวลงมาจากบันได พื้นดินยังชื้นจัดแต่ไม่ถึงกับเฉอะแฉะเพราะมีหญ้าแพรกช่วยอุ้มน้ำ ทางเท้ายิ่งไม่ต้องกังวลเพราะมีหินเกล็ดละเอียดและแผ่นกระเบื้องกันลื่นอย่างดี แต่ที่น่าหนักใจคือคำถามจากคนที่เดินเข้ามาหาทันทีนี่ต่างหาก

          “บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคุณซัน เมื่อคืนยุงชุมอย่างกับอะไรดีแล้วทำไมมานอนที่นี่”

          “ไม่มีอะไรครับพี่ แค่เพื่อนผมแวะมา ก็เลยยกเตียงให้เขาไป”

          “เพื่อนคุณซัน คนนั้นหรือเปล่า” ผมมองตามปลายนิ้วโป้งเพื่อพบกับเจ้านอฟที่ยืนยิ้มร่าและเปมทัตที่มัดผมลวก ๆ ด้วยหน้าตาที่ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนสักนิด ผมพยักหน้าตอบพี่เมฆ พี่เขาหรี่ตาและคงประติดประต่อเรื่องได้เองเหมือนอย่างเคย “คนที่มาสมัครงานคนสุดท้ายเมื่อวานนี้ใช่ไหม”

          “ครับ คนนั้นแหละ”

          “จะให้เพื่อนมาทำแทนเจ้านอฟกับเรย์จริง ๆ น่ะหรือ”

          “ไม่หรอกครับ เขาคงแค่ล้อผมเล่น เมื่อวานฝนตกก็เลยยังไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่เช้านี้คงรู้เรื่องสักที ผมฝากกุญแจสำรองไว้ที่พี่ยามนะครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน” พี่เมฆพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปจัดการฟางแห้งกองโต

          แค่คืนเดียวแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศในบ้านถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เตียงนอนถูกจัดเรียงไว้อย่างดี รวมถึงผ้าขนหนูที่ผึ่งตากตรงระเบียงด้านหลัง ของใช้บางอย่างของเปมทัตก็ถูกนำมาวางหน้ากระจกข้างตู้เสื้อผ้า หรือผมเผลอหลุดปากอนุญาตให้เขามาอยู่ด้วยกันตอนไหนก็ยังไม่แน่ใจ

          เมื่อเดินกลับออกมาที่คอกม้าหลังจากอาบน้ำอาบท่าก็ต้องประหลาดใจอีกหนกับรอยยิ้มของพี่เมฆ ปกติแล้วพี่เขาเป็นคนยิ้มยาก กับพี่เสือยังแค่ทำหน้านิ่งมีแต่ตาเท่านั้นที่ยิ้มและบ่งบอกถึงความรู้สึก ต้นเหตุก็คงไม่ใช่ใครแต่เป็นคนที่ช่วยพี่เขาถือบุ้งกี๋สำหรับมูลม้า แล้วคิดว่าคนอย่างผมยอมจะให้คุณหนูเปมทัตไปคลุกคลีกับโรงทำปุ๋ยหมักน่ะหรือ ให้โอนิกซ์กลายเป็นตัวเมียเสียก่อนเถอะ

          “ฉันทำเอง” ผมยื้ออุปกรณ์ตักของเสียจากมือคนสวมเสื้อยืดสีเข้มแต่กลับไม่เป็นผลเพราะเปมจับมันไว้แน่น ด้วยแรงฉุดจึงเผลอดึงตัวผมเข้าใกล้ แก้วตาสีอำพันวูบไหวบอกกับผมว่าเขาไม่พอใจแต่ก็ไม่มีคำผรุสวาทใดเล็ดลอดให้ได้ยิน

          “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ไม่ให้คุณอ้นทดลองงานหน่อยหรือ” พี่เมฆออกความเห็นแทรกแซงอีกทั้งยังเรียกชื่อเล่นเสียสนิทสนม ผมคงโดนเปมทัตซื้อใจหนึ่งในสามทหารไปแล้วแน่ ๆ แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายผมได้เจ้านอฟมาเสริมทัพ เด็กตัวสูงวางพิงแปรงขัดคอกม้ากับรั้วไม้แล้วเดินมาคว้าบุ้งกี๋เจ้าปัญหา ขยิบตาให้ผมทีหนึ่งก่อนก้าวฉับไปยังท้ายรถจี๊ปที่มีลังขนาดใหญ่สำหรับขนถ่ายไปยังโรงปุ๋ย ผมปัดมือปกปิดอาการปั่นป่วนทางความคิดเพราะสายตาที่ยังมองมาไม่ลดละ

          “ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมว่าก่อนจะเดินนำเปมมาที่หน้าคาเฟ่ เห็นณิชากำลังเตรียมร้านรอต้อนรับลูกค้าอยู่พอดี ผมจึงมีข้ออ้างเป็นอาหารเช้าอย่างบาเกิลสักชิ้น

          “ทำไมไม่กลับมานอนที่บ้าน” เมื่อได้รับแฟลตไวท์และอเมริกาโนร้อนจัดมาวางบนโต๊ะเปมทัตก็เริ่มบทสนทนาทันที ผมที่ยังไม่รู้จะเกริ่นนำอย่างไรจึงสบโอกาสนี้สานต่อ “ไปนอนที่ไหนมา”

          “บ้านต้นไม้” ผมชี้ไปยังแหล่งกบดานเดิมของเจ้านอฟที่สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมของฟาร์ม “จะกลับตอนไหนบอกนะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

          “ถ้าฉันจะกลับ ฉันกลับเองได้ไม่รบกวน แต่ที่อยากบอกคือฉันยังไม่กลับและจะทำงานที่นี่ ต่อให้นายรับใครคนอื่นอีกฉันก็จะอยู่ ไม่ต้องให้เงินฉันก็ได้แต่ขออย่างเดียว...อย่าไล่กันนักเลย” ผมปล่อยมือจากแก้วกาแฟแล้วประสานตากับคนที่พูดปาว ๆ อย่างดื้อรั้นดันทุรัง บอกแล้วหรือว่าเต็มใจรับ ก็เปล่า แล้วทำไมต้องมัดมือชกกันอย่างนี้ด้วย

          “แค่มาเที่ยวหรือพักผ่อนฉันต้อนรับเสมอ แต่ถ้าเรื่องทำงานฉันรับนายไว้ไม่ได้จริง ๆ”

          “เพราะฉันเป็นลูกของพ่อน่ะหรือ”

          “ก็ส่วนหนึ่ง”

          “แล้วอะไรอีก บอกกันหน่อยได้ไหมฉันจะได้ทำตัวถูก ฉันไม่ใช่คนขี้เกียจ ไม่เลือกงานและรักความสงบ ที่นี่ให้ฉันได้ทุกอย่างแม้แต่สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุด”

          “อย่างเช่นการเอาชนะ” เขาถอนหายใจแทนการตอบโต้ พูดไปอย่างนั้นแต่ทำไมเป็นตัวผมเองที่รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ นมอุ่น ๆ ไม่ช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวชัดเจนขึ้นได้เลย

          “หนึ่งอาทิตย์” ผมยกธงขาวผืนใหญ่ “แค่หนึ่งอาทิตย์ถ้าเปมทำได้ ฉันจะรับเปมไว้อยู่ประจำที่เคาน์เตอร์” ชี้ส่ง ๆ ไปยังร้านขายของที่ระลึก เห็นเจ้าเรย์วิ่งลนลานมาจากประตูด้านหน้าพอดี มีกุญแจของพี่ยามติดมือมาด้วย

          “พี่ซันสวัสดีครับ” เด็กมืออ่อนหันมองเปมทัตก่อนจะก้มไหว้ทั้งที่ผมยังไม่ได้แนะนำอะไร “ยายหนีมาก่อนจนได้ ผมก็เลยตื่นสายเพราะไม่มีคนปลุก ขอโทษนะครับ”

          “ไม่เป็นไร ยายขวัญมานานแล้วหรือ”

          “ครับ มาพร้อมพี่เมฆ น่าจะอยู่ในโรงครัวแล้ว พี่ซันรับอะไรอีกไหมครับเดี๋ยวผมเอามาให้”

          “ไม่เป็นไร ขอบใจมาก” เจ้าของทรงผมจุกน้ำพุยิ้มให้ก่อนก้าวผ่านไปเพื่อไหว้และทักทายณิชาอีกคน

          “ฉันรับคนเพิ่มก็เพราะเรย์กับนอฟต้องกลับไปอยู่หอของโรงเรียนสัปดาห์หน้า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็อาจรับเพิ่มแค่คนหรือสองคน มันไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งแล้วจบ ๆ ไป ที่นี่คนน้อยและงานหนัก ฉันอยากทำงานกับคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ เรื่องมิจฉาชีพก็น่ากังวลเพราะที่นี่ตอนกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว”

          “แล้วฉันไม่น่าไว้ใจตรงไหน ฉันไม่ขโมยขนมกินแน่ ต่อให้คุกกี้ลูกเกดพวกนั้นจะยั่วน้ำลายแค่ไหนก็เถอะ” ผมกลั้นยิ้มกับคนที่นาน ๆ ทีจะมีอารมณ์ขัน สุดท้ายแล้วก็ต้องลุกขึ้นไปหยิบคุกกี้ที่เปมแสร้งจ้องมองมาให้กล่องหนึ่ง

          “มันเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไร่องุ่นของพ่อ ถ้าเบื่อที่นี่แล้วฉันจะพาไปเที่ยวที่นั่นบ้าง”

          “คงไม่เบื่อง่าย ๆ หรอก” เปมพูดก่อนจะหยิบขนมอบกลิ่นน้ำผึ้งขึ้นชิมรส ผมฟังไม่ได้ความเพราะใช้สมาธิไปกับการมองริมฝีปากที่เปื้อนเศษแป้งสาลี ลืมตัวส่งมือไปปัดให้อย่างเคยชินเหมือนเวลาที่อยู่กับยี่หวา จะแตกต่างก็ตรงที่น้องไม่ยกมุมปากตอบรับปลายนิ้วจนผมต้องรีบชักมือกลับ

          ผมปล่อยให้เปมทัตศึกษางานจากรุ่นพี่ที่สันทัดเรื่องเครื่องบันทึกเงินอย่างเจ้าเรย์แล้วหยิบสมุดบัญชีเล่มหนาจากหลังเคาน์เตอร์คาเฟ่แล้วไปหามุมสงบนั่งคิดคำนวณงบกำไรขาดทุนอยู่คนเดียว จดจ่อสมาธิจนไม่รู้ตัวว่ามีเพื่อนมานั่งด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ หันไปอีกทีเจ้านอฟก็กินแซนด์วิชจนหมดชิ้นแล้ว

          “ล้างคอกม้าเสร็จแล้วหรือ” เจ้าของคิ้วหนาพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ “เมื่อวานเตรียมของใช้เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม พร้อมกลับไปเรียนแล้วใช่หรือเปล่า”

          “เรียบร้อยแล้วครับ การบ้านก็ปั่นจนเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ไม่อย่างนั้นมีหวังไอ้เรย์โทรมาจิกจนไม่ต้องหลับต้องนอนแน่” ผมหัวเราะเพราะเห็นภาพจำลองทันที เรย์ชะเง้อมองหาเหมือนรู้ว่าเพื่อนสนิทแอบมานั่งอู้ ส่งสายตาอาฆาตมาปราดเดียวเจ้าคนขายาวก็ลุกพรวดทันที

          “เดี๋ยว ๆ เมื่อเช้านี้คุยอะไรกับเพื่อนพี่”

          “เพื่อนคนที่อยู่ในโทรศัพท์ของพี่ซันน่ะหรือครับ ทำไมถึงยัดเยียดให้พี่เขาเป็นแค่เพื่อนล่ะ...”

          “ผมว่าพี่เขาไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับพี่ซันเท่าไหร่เลย”

▩▩▩

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ได้กลิ่นการพลิกบทบาทจากเคะเป็นเมะลอยลมมา ว่าแต่...อ้นเป็นพวกโตช้าเรอะ ความสูงถึงได้เพิ่มเอาป่านนี้ ฮา
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อยากกรี๊ดดดดดด คุณเปมของซัน....โคตรเท่อ่ะ มาแบบพลิกบทบาทมากอ่ะค่ะ ชอบๆๆๆๆ
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เอ หรือ หนุ่มหน้าสวยจะเป็นรุก

ออฟไลน์ Fragrant

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
มีความเท่ห์  :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ byeenn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อย่าเห็นคุณตรัสเป็นของตายอีกนะคะคุณอ้น ดีกันๆๆๆ รอค่าา  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
 :-[ :-[ :-[ :-[ คิดถึงแล้วครับ

ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เขินตรัส :katai4: เท็ตน่ารัก จุ้บๆ :o8: :-[ ตรัสหึงหื่น  :impress2: ชอบตอนที่เท็ตงอแงร้องไห้ใส่ตรัส 55555555555 น่ารักกกกกกกกก ตรัสจัดหนักเลย :oo1: เขินนนนน!

ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านรวดเดียวจบ ตอนของ ตรัสเท็ตนะ 55555555  สนุกมาก ชอบมาก แต่จะตี5แล้วยังไม่ได้นอนเลย 5555555 เดี๋ยวนอนก่อนพรุ่งนี้จะมาอ่านต่อ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตรัสเท็ต รักกันนานๆนะ รักมากมาย  :กอด1:

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 11

          ผมประเมินความสามารถของบุตรชายท่านทูตต่ำเกินไป เขาดูแลร้านของฝากแทนเรย์ได้โดยไม่มีปัญหาติดขัดอะไร อีกทั้งยังช่วยเหลือพี่เสือดูแลคลังอาหารม้า ช่วยพี่เมฆเฝ้าซุ้มถั่วฝักยาว ช่วยพี่ยักษ์จัดการคอกนานาสัตว์ และหน้าที่พิเศษอย่างเป็นพี่เลี้ยงให้น้องยี่หวา

          “กรงนี้มีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่า” เปมทัตถามขึ้นขณะที่ผมเดินผ่านเพื่อไปช่วยพี่ยักษ์ทำความสะอาดคอกแพะกับแกะ ยี่หวากำลังซบหลับอยู่กับบ่าของคนผิวดีที่ตอนนี้เริ่มหม่นลงเพราะฤทธิ์แสงแดด ผมนึกข้ออ้างไม่ออกก็เลยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จะให้โกหกอย่างไรว่าเจ้าหนูอ้นตาตี่ที่เดินเล่นไปมาอยู่ในกรงนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขาเลย ทั้งที่ตอนตัดสินใจซื้อก็เพราะสะดุดตากับชื่อของพวกมันแท้ ๆ

          “เห็นว่ามันน่ารักดี ยี่หวาเองก็ชอบด้วย” เขาพยักหน้าเหมือนคำพูดของผมน่าเชื่อถือเสียเต็มประดา ไม่อยากต่อความยาวก็เลยรีบเดินเลี่ยงมาเพราะไม่รู้ว่าเจ้าของชื่อจะนึกสงสัยอะไรอีก

          “จะรีบไปไหน” แต่ก็ไม่พ้นโดนเปมทัตเดินตามประชิดตัว

          “จะไปช่วยพี่ยักษ์ล้างคอกแพะกับแกะ” โดยไม่ทันได้เตรียมใจ เมื่อได้รับคำตอบเขาก็ส่งยี่หวามาให้อย่างเบามือเพราะกลัวน้องจะตื่น แต่กลับไม่กลัวว่าผมคนนี้จะขวัญหนีเพราะจู่ ๆ คนที่แอบมีใจมานานปีกลับเบียดตัวเข้าใกล้จนได้กลิ่นเส้นผมกรุ่นอวลไอแดดก่อนจะย้ายแก้มน้องมาพิงไว้กับซอกคอโดยที่หลังมือเขาเองก็ลากผ่านอย่างจงใจ

          “ฉันบอกว่าจะไปช่วยงานพี่ยักษ์แล้วส่งน้องมาทำไม นายไม่พาน้องเข้าร่มแล้วไปนั่งพักสักหน่อย เห็นอยู่กลางแดดมาตั้งแต่บ่ายแล้ว” ผมกระซิบ

          “ซันพาน้องเข้าร่ม เดี๋ยวฉันไปช่วยพี่ยักษ์เอง”

          “นายไม่ไหวหรอก ต้องทำคอกม้าลายกับอัลปากาต่ออีก ไปพักสักหน่อยเถอะ”

          “ถ้านายพูดดูถูกฉันอีกคำเดียวนะศิรานุวัฒน์” อยากย้อนถามกลับว่าจะทำไม แต่ดูจากสายตาที่จ้องมายังต้นกำเนิดเสียงแล้วทำให้ผมล้มเลิกความคิด ก้าวเท้าเปลี่ยนทิศทางพาลูกสาวของพี่ยักษ์มานอนบนโซฟาในคาเฟ่ที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เสยเส้นผมชื้นเหงื่อพ้นจากหน้าผากให้เด็กขี้เซา ไม่ลืมฝากให้ณิชาช่วยดูน้องก่อนที่ผมจะเดินกลับออกไปหาพี่ยักษ์เพื่อทำงานต่อให้เสร็จ

          เปมกำลังกวาดฟางหญ้าเก่าบนพื้นไปไว้มุมหนึ่งของคอกเพื่อวางฟางแห้งชุดใหม่ลงไปแทนที่ เสียงเซ็งแซ่จากนักท่องเที่ยวที่ได้ยินมาทั้งวันเริ่มเบาบางลงเพราะใกล้เวลาปิด แต่ยังมีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งลอบมองพนักงานใหม่อย่างเปิดเผย อีกทั้งยังกระซิบกระซาบแล้วผลักกันเข้าหาเหมือนจะส่งหน่วยกล้าตายไปทำความรู้จัก สักพักน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ใจกล้ากว่าเพื่อนเดินเข้าใกล้พร้อมยื่นโทรศัพท์ให้แล้วพูดอะไรบางอย่างที่ผมเดาได้ว่าน่าจะเป็นการขอเบอร์ติดต่อ เปมทัตแค่ยิ้มแล้วพูดไม่กี่คำสำทับด้วยการชี้มายังจุดที่ผมยืนสังเกตการณ์ เขายักคิ้วให้อย่างรู้ทันว่าผมแอบมองก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง เด็กคนนั้นเดินย้อนมาหาเพื่อน ๆ ด้วยอาการเขินจัดอีกทั้งยังจ้องผมไม่วางตา

          เมื่อเห็นว่าพี่ยักษ์มีคนช่วยแล้วผมก็เลยย้ายตัวเองมาจัดการคอกอัลปากา เจ้านอฟที่เพิ่งกลับมาจากการตัดหญ้าวิ่งมาประสมโรงเป็นลูกมือ ไม่นานทั้งคอกอัลปากาและม้าลายก็สะอาดเอี่ยมเรียบร้อย หันมองอีกฝั่งหวังอวดภูมิทีมพี่ยักษ์ว่าพวกผมทำงานลุล่วงด้วยเวลาน้อยกว่า แต่กลายเป็นว่าสองคนนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงม้าหินอย่างคนว่างงานมานานแล้ว

          “พี่ซัน ตกลงให้พี่อ้นมาทำงานแทนพวกผมจริง ๆ ใช่ไหม เพราะดูเหมือนพี่ไม่เรียกใครมาสัมภาษณ์เพิ่มแล้ว” ผมหรี่ตาใส่เจ้านอฟ ไม่รู้ไปฝึกความช่างสังเกตมาจากไหนหรือวัน ๆ เอาแต่จ้องจับผิดชีวิตผมกันแน่ แต่ที่มั่นใจคือคุณยายขวัญเรือนก็ดูจะถูกชะตาลูกจ้างคนใหม่ไม่น้อยหน้าคนอื่นถึงได้จัดอาหารจานพิเศษให้ทั้งสามมื้อ

          “ยังไม่รู้ กำลังดู ๆ อยู่ ยังไม่พ้นช่วงฝึกงาน”

          “ต้องดูอะไรอีกล่ะครับ ผมว่าพี่เขาทำงานดีออก รูปลักษณ์เหมือนเป็นคนที่มาจากตระกูลผู้ดีแต่ไม่เห็นพี่เขาจะเลือกงานแล้วยังไม่สนใจสภาพอากาศ ยืนกลางแดดทั้งวันก็ยังยิ้มออก ดูสิ ยิ้มมาทางนี้ใหญ่เลย” ประโยคหลังฟังไม่เข้าหูเพราะรู้สึกถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่รอยยิ้มบางที่ส่งมาไม่มีนัยยะอะไรแอบแฝงนอกจาก...เขากำลังอารมณ์ดี

          “ทำไมถึงคิดว่าคนที่เรียนรด. อย่างฉันถึงอ่อนแอไม่เหมือนกับคนที่จับได้ใบดำอย่างนาย” ผมยืนพิงรั้วไม้มองพนักงานใหม่ป้อนถั่วฝักยาวให้อูฐตัวหนึ่งหลังจากทุกคนแยกย้ายกลับบ้านกันหมดแล้ว ฟังดูเป็นถ้อยคำถากถางที่หาความเจ็บแสบไม่พบ น่าขำที่อยู่ดีไม่ว่าดีจับเอาประเด็นนี้มาโต้แย้ง ผมผิดตรงไหนที่จับได้ใบดำแทนใบแดงตอนเกณฑ์ทหารกองเกิน ไม่ปฏิเสธว่าผมถึงกับไปไม่เป็นเมื่อรู้ว่าเจ้าหญิงของเพื่อน ๆ สมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหาร บางคนในชั้นเรียนถึงกับลงคัดเลือกตามกันเป็นทิวแถว ส่วนตัวผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ตามน้ำไปกับเหล่าสามัญชนที่อยากแปลงร่างเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง

          “ฉันขอถามกลับบ้าง ทำไมถึงคิดว่าการตามฉันมาใช้ชีวิตกลางป่าเขาถึงดีกว่าการอยู่สถานทูตเบอร์ลินกับท่านปราโมทย์” เขาไม่ตอบ เพียงหันมามองหน้าแต่มือยังหยิบยื่นอาหารให้เจ้าตัวที่มีขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อน “แล้วยังมีนายธาวินอีกทั้งคน” ประโยคหลังผมพึมพำกับต้นไมยราบ วัชพืชมหัศจรรย์ที่ชาตินี้คงไม่มีวันได้รู้จักถ้ายังทำกิจวัตรอยู่ในเมืองใหญ่ ผมย่อตัวลงแตะใบสีเขียวเข้มของมันที่พับหุบอย่างขี้อาย เหมือนกับหัวใจที่ห่อเหี่ยวฉับพลันเพราะกลัวคำตอบที่ได้ฟังจะทำให้แผลในอกปริแตกอีกหน

          “ตั้งแต่รู้ตัวว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องความสนใจจากใครบางคนมาตั้งหลายครั้ง วินเขาคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนอย่างฉันอีกแล้ว” ผมหยัดตัวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่ายิ่งกว่าสับสน น้ำเสียงราบเรียบราวกับชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศไม่น่าหวาดระแวงเท่าแววตาที่แฝงด้วยความขบขัน ผมชิงแบ่งถั่วฝักยาวจากกำมือขาวมาให้เต่าซูลคาต้าที่อาศัยอยู่ในบ่อน้ำจำลองเพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตา

          “เรียกร้องความสนใจจากใคร”

          “จากซัน” ผมก้มหน้าไม่กล้าหันมองคนที่ตอบตรงเสียจนใจแกว่ง ความยียวนทั้งหมดนี้มันมีอยู่ในตัวเขาตั้งแต่ต้นหรือว่าเพิ่งค้นพบแล้วมีพัฒนาการในช่วงเวลาที่เราห่างกันก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ตอนนี้เจ้าเต่ากำลังจะแทะมือผมแทนผักจึงต้องรีบชักมือกลับ

          “หิวแล้ว ไปทานข้าวเถอะ” พูดเฉไฉแล้วเดินไปยังคาเฟ่ที่ยังไม่ได้ล็อกประตูเพราะผมเป็นคนถือกุญแจ มีถาดอาหารวางอยู่สองใบที่ถูกหุ้มไว้ด้วยพลาสติกแรปเหมือนอย่างเคย เห็นใบกรีนโอ๊กกับมะเขือเทศสีดาจึงเดาสุ่มทันทีว่าวันนี้เป็นสลัด แต่เมื่อพินิจดี ๆ จะเห็นว่ามีพริกขี้หนูสวนหั่นหยาบโรยอยู่บนยำเซี่ยงไฮ้ แม้จะมีสีสันชวนลิ้มลองแต่คนที่ทานเผ็ดไม่ได้อย่างเปมทัตคงต้องมองหาเมนูอื่น นึกโทษตัวเองที่ไม่เคยบอกแม่ครัวว่าคนมาใหม่มีอาหารต้องห้ามอะไรบ้าง

          “ขอโทษที ฉันลืมบอกคุณยายขวัญว่านายไม่ทานอาหารรสจัด ออกไปหาอะไรทานข้างนอกแล้วกัน”

          “นั่นฉันตอนม.ปลาย ฉันทานเผ็ดได้หลายปีแล้วนะซัน” เขาล้างมือหลังเคาน์เตอร์แล้วเดินมานั่งทานอาหารที่มีพริกสดเป็นส่วนประกอบอย่างหน้าตาเฉย ถ้าเป็นเปมทัตตอนมัธยมคงได้เห็นคนน้ำตาไหลพรากคาช้อนส้อม ทำไมผมถึงไม่เคยสังเกตเลย หรือเพราะส่วนใหญ่เขาเป็นคนเลือกร้านและผมก็ไม่เคยขัดขวาง เขาเห็นชอบอะไรผมก็ไม่เคยเห็นต่าง ทุกอย่างจึงผ่านสายตาไปโดยไม่ฉุกใจอย่างเคยชิน อาจรวมถึงภาพลักษณ์ที่ผิดแผกทั้งหมดนี้ด้วย

          ครั้งสุดท้ายที่ผมมองหน้าแล้วสบตาเขาอย่างจริงจัง ไม่ใช่เอาแต่ก้มหน้าแล้วอืออารับคำโดยไม่ไตร่ตรองมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้มาดมั่นว่าความรู้สึกข้างในไม่เคยแปรเปลี่ยนแต่พฤติกรรมที่สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ล่วงล้ำอาณาเขตแห่งมิตรภาพเด็ดขาดนั้นมันทำให้การแสดงออกของผมมันบิดเบี้ยวไม่ซื่อตรง

          “ตรัสบอกว่าก่อนหน้านี้นายกลับไปช่วยงานที่คลับ ทำที่สถานทูตก็ดีอยู่แล้วแท้ ๆ ไม่น่าหาเรื่องเลย นักศึกษาจบใหม่อีกหลายร้อยคนคงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งงานของนาย แต่นายกลับหันหลังจากมาเฉย ๆ ไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือ”

          “ตัวซันเองยังไม่รู้สึกอะไรเลยแล้วทำไมฉันต้องเสียดายด้วย ผู้ช่วยดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศที่ทำอยู่แลกมาด้วยอะไรตั้งมากมาย รวมถึงคำปรามาสที่ว่ามีเส้นสายในฐานะที่สนิทกับลูกชายเอกอัครราชทูต”

          “มันไม่เหมือนกัน ฉันมีความฝัน ก็แค่อยากเริ่มต้นในสิ่งที่เคยตั้งใจไว้ ที่สำคัญครอบครัวฉันไม่มีตำแหน่งอะไรให้สืบทอด ท่านปราโมทย์คงอยากให้นายรับช่วงต่อ”

          “ทำไมถึงชอบคิดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย ซันชอบมองไปรอบตัวเพื่อสังเกตความคาดหวังของคนทุกคน แต่กับฉันที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำไมถึงถูกมองข้ามตลอด เคยถามฉันสักคำไหมว่าอยากได้ตำแหน่งงานที่ทำอยู่หรือเปล่า เคยถามฉันสักคำไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกหยุดความสัมพันธ์ของเราไว้เพียงเพื่อน และเคยถามฉันสักคำไหมว่าธาวินมีดีที่ตรงไหนทำไมฉันถึงเลือกคบกับเขา ทั้งที่...ชีวิตนี้ฉันมีแค่ซันคนเดียวก็พอแล้ว” ผมทำช้อนหลุดมือ หายใจติดขัดเหมือนอากาศเบาบางลง อีกทั้งเสียงหัวใจเต้นยังดังก้องกังวานจนหูอื้อไปหมด

          ใช่ผมเคยคิด ถ้าชีวิตนี้มีแค่เราสองคน ไม่ต้องมีคนรัก ไม่ต้องแต่งงาน ไม่ต้องวุ่นวายกับปัญหาชีวิตคู่ที่เห็นอยู่เกลื่อนเมืองอย่างมือที่สาม ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจจากการเลิกรา ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงว่าบ่วงคล้องใจที่มีเลือดเนื้อจะอยู่อย่างไรถ้าขาดบุพการีไปคนหนึ่ง มลพิษทางอารมณ์จะหมดไปทันทีเพียงถ้าเราหยุดแค่มีกันและกัน มีแค่ผมกับเปมทัตในสถานะเพื่อนรักจนวันตาย

          “ซันไม่เคยถามอะไรเลย คิดเองเออเองแล้วก็หนีมา ปล่อยให้ฉันคิดมากเป็นบ้าเป็นหลังว่าทุกอย่างที่ลงแรงไปมันสูญเปล่า โทรหากันสักครั้งก็ไม่มี ไม่คิดว่าตัวเองใจร้ายเกินไปหน่อยหรือกับคนที่อยู่ด้วยกันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงในทุก ๆ วันมาตลอดแปดปี แล้วจู่ ๆ ทิ้งให้ฉันต้องอยู่คนเดียวแบบกะทันหัน ไม่ได้เห็นหน้านาย ไม่ได้ยินเสียงนาย คิดบ้างไหมว่า...ความคิดถึงมันอาจจะฆ่าฉันตายอย่างช้า ๆ ก็ได้” ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเพราะไม่รู้ว่าในเวลาอย่างนี้จะมีคำพูดอะไรที่เหมาะสมนอกจากสารภาพว่ายังรัก แต่มันอาจจะผิดกาลเทศะอย่างที่สุด เราสบตากันอยู่อย่างนั้นนานจนได้ยินเสียงฟ้าร้องแว่วมา ฝนกำลังจะตกอีกแล้ว

          เราเดินกลับบ้านด้วยกันทันทีโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากชวน บทสนทนาที่ค้างคาทำให้ผมรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างลบล้างความผิด กลุ่มเมฆสีดำทมิฬค่อย ๆ เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาแต่เปมทัตกลับสาวเท้าอย่างอ้อยอิ่งเหมือนลมพัดชายเขา ผมไม่อยากให้คนป่วยง่ายต้องเปียกฝนเหมือนอย่างวันแรกที่มาถึงจึงคว้าข้อมืออุ่นมาจับจูง เขากระชับฝ่ามือแล้วรีบเดินตามมาโดยไม่ปริปากอะไร

          บางทีผมควรซื้อโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์สักเครื่องมาติดบ้านไว้เพราะไม่อย่างนั้นผมกับเปมคงต้องนอนมองตากันฆ่าเวลาหลังเลิกงาน ซึ่งผมอาจมีสติฟั่นเฟือนไปก่อนที่เจ้าเท็กซัสจะโตเป็นหนุ่ม คืนก่อนผมเลือกที่จะหอบหมอนและผ้าห่มสำรองมานอนบนพื้นห้องเพราะไม่อยากเบียดเสียดกันบนเตียงแคบ คงต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ไปสักพักก่อนตัดสินใจได้ว่าจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์คับขัน ถ้าผมต้องย้ายไปอยู่บ้านต้นไม้ชั่วคราวมีหวังเป็นไข้เลือดออกตลอดหน้าฝน

          “สัปดาห์ก่อนมีงานแข่งม้า เจ้านอฟลงแข่งฉันก็เลยไปอยู่ที่งานด้วย บังเอิญเจอใครคนหนึ่งหน้าคล้ายเปมมาก ใช่เปมหรือเปล่า” คนผิวขาวจัดที่อาบน้ำเสร็จแล้วสวมเสื้อสีหม่นและกางเกงผ้าคอตตอนมานั่งรับลมที่เปลญวนหน้าบ้าน ฝนตกเป็นละอองบาง ๆ ผมจึงนำหนังสือที่หยิบติดมือจากตู้ไม้ของลูกสมุนมาอ่านเล่นอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องคาใจ

          “คิดว่าคุณแม่จะหลุดปากบอกนายไปแล้วเสียอีก”

          “นายมากับแม่ฉันหรือ”

          “พอดีท่านทราบเรื่องที่ฉันไปทำงานที่คลับจากแม่ของฉันแล้วเป็นห่วงก็เลยโทรมาชวน ฉันไม่กล้าปฏิเสธทั้งที่ไม่พร้อมจะเจอหน้านาย”

          “ก็เลยเดินหนีทั้งที่ฉันรีบเดินตามแทบตาย”

          “ช่วยไม่ได้ นายเป็นฝ่ายหนีฉันมาก่อนเอง” ผมคว้าเปลือกพิสตาชิโอที่กำลังแกะกินเล่นระหว่างอ่านหนังสือปาใส่คนยิ้มกว้าง เปมทัตส่งมือมาขอแบ่งโดยที่แขนอีกข้างยังใช้หนุนแทนหมอน ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ที่ปกติใช้นั่งทานข้าวส่งถั่วเปลือกแข็งให้กำหนึ่งโดยที่ยังไม่รู้ตัวว่าตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง เขาคว้าข้อมือผมแรงจนเสียหลักลงไปนอนทับอยู่บนเปลไม้หวาย โชคดีที่ข้อศอกผมค่อมช่วงท้องไปเท้าอยู่บนฟูกนิ่มไม่อย่างนั้นคงได้เห็นเปมทัตนอนร้องโอดโอยด้วยอาการจุกเจ็บ

          “ปล่อยเถอะ สองคนมันหนักเกินไป เดี๋ยวเปลขาด”

          “ซันหนักตรงไหน เหลือตัวแค่นี้เอง” เขาจับเอวผมปุบปับจนเผลอสะดุ้ง เหมือนเวรกรรมตามทันเพราะชอบแกล้งทัศนัยอยู่บ่อยครั้งทั้งที่ตัวผมเองก็บ้าจี้ไม่น้อยไปกว่ากัน “ผอมลงมาก ไม่ค่อยทานข้าวหรือ”

          “ทาน แต่บางมื้อก็ลืมเพราะมัวแต่ยุ่ง ๆ กับงาน”

          “ยุ่งกับงาน แล้วว่างคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า” รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนมุม จะก้มหน้าหรือเบือนหนีหลบสายตาทุกอากัปกิริยาของผมก็ยังถูกจับจ้องด้วยลูกแก้วสีเข้มระยะประชิด เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบเขาจึงยอมปล่อยมือ ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงแต่ยังทิ้งน้ำหนักอยู่บนฟูกอีกฟากหนึ่งของเปลสาน

          “แกะให้หน่อย” พิสตาชิโอหลายเม็ดที่ยังอยู่ในกำมือเกือบถูกลืม ผมแกะเปลือกออกให้อย่างที่แขกร้องขอ แต่เขาก็ยังไม่พอใจเพราะแทนที่จะส่งมือมารับไปกลับอ้าปากรอให้ผมป้อน แล้วผมมีทางอื่นให้เลือกด้วยหรือ

          เปมทัตจงใจให้ริมฝีปากสีกลีบบัวสัมผัสกับปลายนิ้วที่เริ่มสั่นเพราะความประหม่าชักพา จะยื้อมือกลับเขาก็ยึดไว้จนชิดแก้ม “เลิกกับนิษฐาหรือยัง”

          “ยะ...ยัง” ผมพึมพำ ตั้งใจจะตัดขาดอย่างปรานีแต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้สักที ผมไม่อยากเลิกรากับน้องทางโทรศัพท์ เมื่อหลายชั่วโมงก่อนก็เพิ่งส่งข้อความตอบกลับเรื่องสภาพอากาศและอาหารการกิน น้องโทรหาหลังเลิกงานในบางวัน พูดซ้ำ ๆ ว่าอยากมาเที่ยวอีกครั้งและรอคอยให้ผมไปหาที่บ้านอย่างที่เคยสัญญาไว้ แต่สุดท้ายไม่มีเรื่องไหนบรรลุจุดประสงค์เลยสักอย่างเดียว อุตส่าห์พยายามเป็นสุภาพบุรุษแทบตายแต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่วายร้ายในละคร

          “ใจของซันอยู่ที่ใครฉันรู้ดี แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องใจดีกับคนอื่นไปทั่ว”

          “แล้วคนที่เอาใจฉันไป...เขาเคยใจดีกับฉันด้วยหรือ”

          “ฉันผิดฉันยอมรับ แล้วซันล่ะ ได้โปรดยกโทษให้คนขลาดเขลาอย่างฉันได้หรือเปล่า” ไม่จำเป็นต้องให้อภัยเพราะผมไม่เคยโกรธแต่กำลังสับสน เขาพูดเต็มปากว่าความรักของผมนั้นชัดเจนตำตาแต่ก็ไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่าใจตรงกัน มาวันนี้กลับมีท่าทีต่างออกไป ผมทำตัวไม่ถูก แค่ได้อยู่ใกล้กันอีกหนก็ใจสั่นยิ่งกว่ารู้ตัวแรก ๆ ว่าแอบรักเขาเสียอีก

          “คิดจริง ๆ หรือว่าจะมีใครมาแทนที่ฉันได้” ไอ้แซนปากโป้งเรื่องแผนดามใจที่มันกับเท็ตเป็นคนต้นคิดหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ความมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เปมทัตกำลังแสดงออกมามันคือสันดานของน้องชายฝาแฝดตัวดี หรือว่าเท็ตจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกคน

          “ใครบอกว่าฉันคบน้องแทนที่ใคร ฉันอาจจะรักน้องฐาจริง ๆ ก็ได้”

          “ถ้ารักน้องเขาจริง ฉันจับมือแค่นี้...ทำไมซันต้องหน้าแดง” ถือว่าเป็นความอับโชคของคนที่โกหกไม่เก่ง ความจริงผมเป็นคนเก็บความลับมิดชิดระดับตู้เซฟนิรภัยแต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเรื่องของเขาทีไรกลไกทางร่างกายมันก็เป็นไปตามธรรมชาติเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน สัมผัสฉาบฉวยทำให้การหักห้ามใจแสนทรมานที่ผ่านมาไร้ค่าทันที ผมควรทำอย่างไรกับหัวใจของตัวเองดี

          ฝนตกหนักขึ้นจนเริ่มสาดกระเซ็นเข้ามากระทบพื้นไม้ลามิเนต ผมลุกขึ้นหยิบหนังสือเดินเข้าบ้านเพราะไม่อยากให้ตำราพฤกษชาติมีตำหนิจนโดนเจ้านอฟจับได้ว่าแอบลอบหยิบมาโดยไม่ขออนุญาต เปมเองก็ผละจากเปลเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าอ่านยาก

          “อยากเปิดใจคุยกันหน่อยไหม”

          “ฉันยังไม่พร้อม” ผมตอบทันควัน

          “รออะไร”

          “รอให้พร้อม” ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วเปิดหนังสืออ่านด้วยความพยายามอย่างยิ่งที่จะแปรผันอาการพรั่นใจเป็นสุขุมเยือกเย็นโดยมีหนังสือเป็นตัวช่วย เปมทัตสอดตัวใต้ผ้าห่มแล้วเท้าศีรษะมองงานอดิเรกของผมอย่างเงียบสงบ แต่พฤติกรรมแบบนี้มันรบกวนยิ่งกว่าเสียงอึกทึก หมอนที่หนุนหลังอยู่จึงถูกใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายบุตรชายท่านทูต เปมหัวเราะเสียงทุ้มต่ำก่อนหยิบหมอนออกจากใบหน้าแล้วคว้าหนังสือจากมือผมไปซ่อนไว้ใต้เตียงฝั่งของเขา

          ทางหนีทีไล่ของผมเป็นเตียงนอนชั่วคราวบนพื้นเฉียบเย็นในเวลาที่บรรยากาศด้านนอกมืดสนิทเพราะตะวันลับฟ้าไปแล้ว เปมทัตรู้ทันจึงรวบผ้าห่มที่ผมใช้แทนเบาะเมื่อคืนนี้ไปกกไว้ในอ้อมแขนแล้วนอนจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นอย่างผู้กุมชัย ได้กลิ่นคล้ายชินนามอนไม่ใช่จากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกายในห้องน้ำแต่เป็นกลิ่นประจำตัวของเปมทัตที่ก่อนหน้านี้จะคล้ายพายแอปเปิลที่เพิ่งออกจากเตาร้อน ๆ มากกว่า ซึ่งความหอมหวานแบบนี้มันไม่ใช่แค่น่ามอง...แต่น่ากิน

          “ไม่อยากถามอะไรฉันเลยหรือ”

          “อย่างเช่น...”

          “อย่างเช่นเรื่องธาวิน เรื่องลาออก หรือว่าเรื่องของเรา”

          “ถ้าให้ฉันตั้งคำถาม คืนนี้คืนเดียวเปมไม่มีทางหาคำตอบให้ฉันได้จนครบ อยากเล่าอยากบอกอะไรแค่ไหนก็ทำเถอะ” ผมไม่อาจจับต้นชนปลายได้ ใจจริงอยากหลบไปโทรหาไอ้ตรัสเผื่อมันรู้อะไรมากไปกว่าคนที่นั่งมือไม้อ่อนอยู่ตรงนี้ แต่คงไม่พ้นถูกเดินตามเพราะเขากลัวว่าผมจะไปนอนตากยุงที่บ้านต้นไม้อีกหน

          “ทิฐิของฉันมันทำร้ายซันมาตลอดเลยใช่ไหม”

          “ฉันเข้าใจว่าทุกคนมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีใครถูกหรือผิด เราจะห้ามความคิดใครได้ในเมื่อฉันเองก็เลือกที่จะเชื่ออีกอย่างหนึ่ง เชื่อว่าความรักมีสองประเภทคือเสน่หา...ความรักที่ต้องช่วงชิงมาเป็นของตัวเอง กับเมตตา...รักที่ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ความปรารถนาดีปรนเปรอให้อีกฝ่ายโดยไม่สนว่าสถานะระหว่างเราคืออะไร เพื่อนร่วมโลกหรือแค่คนรู้จัก เพื่อนรักหรือแม้แต่ศัตรู และความรักของฉันจัดอยู่ในหมวดหลัง”

          สายฝนที่ตกหนักขึ้นไม่ช่วยกลบเสียงหัวใจที่กระดอนเหมือนค้อนปอนด์ในอก จะว่าเป็นการสารภาพสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจก็ไม่เชิงเพราะที่ผ่านมาผมบอกรักเขาด้วยการกระทำเสมอ ไม่เคยเลยสักครั้งที่พลั้งปากเพราะกลัวจะเสียมันไป...ความอบอุ่นที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา

          “คิดว่ามีแต่ตรัสที่เป็นพ่อพระ” ถูกแค่ครึ่งเดียว บอกตามตรงว่าผมยังไม่คุ้นชินกับการร่วมเตียงกับเปมทัตแบบนี้สักที ใช่ว่าเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่แต่นับไม่ถ้วนแล้วต่างหาก สาบานได้ว่าไม่เคยคิดลึกซึ้งเพราะที่คอนโดฯ ของเราอย่าว่าแต่ร่วมเตียง ร่วมหมอนร่วมผ้าห่มเดียวกันในคืนก่อนสอบก็เคยมาแล้ว แต่ ณ ตอนนี้เวลานี้ที่นั่งพิงพนักเตียงสบตากันมันทำให้ความคิดนอกรีตนอกรอยก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

          “เลิกกับนิษฐาเมื่อไหร่แล้วฉันจะบอกซันทุกอย่าง”

          “แล้วถ้าฉันไม่เลิก”

          “ซันก็จะไม่มีวันได้รู้”

          “พี่ซัน พวกผมไม่อยู่อย่าร้องไห้นะครับ” ผมเขกมะเหงกเบา ๆ ใส่เจ้าเด็กปากกล้าที่แวะมาบอกลาก่อนเดินทางกลับหอพัก ผมอวยพรให้ตั้งแต่การทำงานวันสุดท้ายพร้อมค่าจ้างและทุนการศึกษาก้อนพิเศษที่เด็กกิจกรรมสัญญาว่าจะประหยัดและอดออมไว้จนกว่าจะเรียนจบ

          “ถ้าเดินทางถึงแล้วผมจะโทรมาบอกนะครับ” เรย์พูดจบก็เดินเข้ามากอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เจ้านอฟที่พูดฉอด ๆ เมื่อครู่ถึงกับสงบปากสงบคำ ผมแกล้งกอดตอบแน่น ๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะคว้าคนตัวสูงที่แกล้งเบ้ปากเหมือนอยากร้องไห้มาอยู่ในวงแขนด้วยอีกคน

          “ตั้งใจเรียนนะนอฟ อย่าให้ได้ยินว่าสอบซ่อมอีกรอบ จะไม่ให้ยืมเจ้าอาเกตอีกเลยคอยดู”

          “โธ่ ผมสัญญาแล้วนี่นา ผมไม่กลืนน้ำลายตัวเองหรอก พี่ซันเองก็เหมือนกันอย่าตั้งแง่มากนักนะครับ ระวังจะเสียของรักไปอีกแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน” ไม่รู้ไปได้ยินอะไรมาแต่ว่าสายตาที่มองผ่านเลยไปหาเปมทัตที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้านของฝากอธิบายความหมายของคำพูดอย่างชัดเจน

          “ทำเป็นรู้มาก ระวังหมองูจะตายเพราะงู งูผมจุกตัวขาว ๆ คนนั้น”

          “อย่าให้มันได้ยินเชียวนะครับ ไก่ตื่นพอดี” ผมกล้าแกล้งเย้าเพราะคนที่ถูกพาดพิงเป็นงูและไก่เดินไปกอดลาณิชาที่คาเฟ่จึงสบโอกาส “พี่ยักษ์เล่าให้ฟังว่าวันก่อนมีสาวมาขอเบอร์พี่อ้นด้วย ผู้หญิงแถวนี้เรดาร์สืบหาคนหน้าตาดีไวมากเลยนะครับขอเตือน ที่พี่ซันรอดตัวเพราะเขาไปลือกันว่ามีแฟนแล้วหรอก ไม่อย่างนั้นหัวบันไดไม่แห้งแน่ ๆ”

          “พี่ยักษ์บอกด้วยไหมว่าพี่อ้นของนายเขาให้ไปหรือเปล่า” ลอยหน้าเหมือนไม่ใส่ใจแต่ไม่เนียน เจ้านอฟก็เลยหัวเราะอย่างรู้ทันก่อนได้รับคำตอบที่พาลให้ใจพองคับอก

          “พี่เขาบอกว่าให้ไม่ได้...มีเจ้าของหัวใจแล้ว”

▩▩▩

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอติดตามอยู่นะคะ……… นานแค่ไหนก็รอ

ขอตอนต่อไปเน็วหน่อยนะคะ ใจจะขาด 5555

 :hao3:

ออฟไลน์ bearjunjun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รีบเคลียกับนิษฐาเลยนะพี่ซันนนนนนนน

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
อูยน เข้มข้น อยากรู้ใจจะขาดแล้วอ้นจ๋า

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อยากจะให้เลิกกับสาวซะวันนี้เดี๋ยวนี้ซะเลย..... ซันนนนนนนน .....อ้นเค้ามีเจ้าของหัวใจแล้วนะจ๊ะ ใครน๊าาาาาาาาา

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 12

          น่าโมโห...

          เปมทัตลุกจากเตียงนอนแต่เช้าตรู่ทุกวันโดยที่ผมไม่เคยลืมตาตื่นทันเขาเลยสักที อย่างเช้านี้ก็เห็นปั่นจักรยานคู่ใจที่ยึดมาได้จากเจ้านอฟไปร้านสะดวกซื้อ มีกาแฟและขนมนมเนยมาฝากสามทหารถุงใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังทำคะแนนแทนลูกสมุนคนเก่าหรืออย่างไร ผมที่ยังงัวเงียคล้ายคนละเมอก็ได้แต่ส่งสายตาปรามว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของแคชเชียร์

          ผมเงยหน้ามองซาลาเปารูปกระต่ายที่ถูกหยิบยื่นมาขณะที่กำลังนั่งชันเข่าเช็คสต็อกของหลังร้านที่ระลึก เอกสารรายการสินค้าที่ต้องส่งเมลให้พ่อก่อนเที่ยงตรงยังถืออยู่เต็มมือทำให้ผมไม่สามารถรับความเอื้อเฟื้อ จึงได้แต่บอกปัดด้วยการส่ายหน้าเพราะกาแฟที่ณิชาชงวางไว้ให้บนเคาน์เตอร์ก็ยังดื่มไม่หมด แต่ดูเหมือนเปมทัตแกล้งรวนทำเป็นมองไม่เห็นอวัจนภาษาถึงได้ยืนยันที่จะส่งกระต่ายเจ้าปัญหามาให้

          “มื้อเช้าดื่มกาแฟแค่แก้วเดียวไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม” ผมไม่ตอบแต่ลุกขึ้นยืน ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่พลาดมหันต์เพราะช่องทางเดินด้านหลังค่อนข้างคับแคบ ถ้าคิดจะเดินสวนกลับออกไปคงต้องแนบเบียดกันทั้งตัว

          “ต้องรีบเช็คของให้เสร็จ เดี๋ยวไม่ทันรถส่งสินค้าจากไร่องุ่นรอบบ่าย”

          “ให้ฉันทำแทนไหม”

          “ไม่เป็นไร ไปดูหน้าร้านเถอะ”

          “ยังเช้าอยู่เลยคนไม่เยอะขนาดนั้นหรอก และอีกอย่างฉันทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่นายยัง” ผมประสานสายตาแล้วมองหาความจำเป็นที่เขาต้องทู่ซี้ให้ผมทานอาหารเช้าในมุมอับลับตา แค่เขาหายใจยังรู้สึกถึงลมแผ่ว ๆ ที่ปลายคางดังนั้นจงอย่าคาดหวังว่าผมจะยืนนิ่งนานไปกว่านี้ เอื้อมมือคว้าซาลาเปาเนื้อนุ่มมากัดคำใหญ่ เปมทัตดูมีสีหน้าพอใจก่อนจะก้าวถอยกลับไปยังประตูกระจก

          บ่ายวันนี้มีลมแรงจัด หลังจากทานข้าวเที่ยงและโทรศัพท์สำทับกับพ่อว่าส่งใบสั่งซื้อสินค้าอย่างไม่ค่อยเป็นทางการให้ท่านทางอีเมลเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินหลบฝูงชนมาแปรงขนให้เจ้าโอนิกซ์ฆ่าเวลาโดยมีพี่เมฆกวาดเศษหญ้าแห้งอยู่ใกล้ ๆ เป็นเพื่อน

          “ตั้งแต่รับคุณอ้นเข้ามาทำงานดูเหมือนคุณซันจะอารมณ์ดีขึ้นมากเลยนะ” คำพูดของพี่เมฆแว่วมาแทรกเสียงแกรก ๆ จากแผงคอม้าสีนิล ผมหันมองว่าพี่เขาต้องการคำตอบหรือเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ซึ่งผมเลือกที่จะต่อความ

          “แล้วก่อนหน้านี้ผมเป็นยังไงหรือครับ”

          “คุณซันชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ มีหน้าที่อะไรก็ทำไปเหมือนจงใจทำให้ตัวเองดูยุ่ง ๆ อยู่ตลอดจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น” ผมเป็นคนอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ทุกอย่างที่เป็นไปคงไม่รอดพ้นสายตาเหยี่ยวเหนือเมฆ แล้วอย่างเรื่องความรู้สึกของนอฟที่มีต่อเรย์พี่เขาจะรู้ด้วยหรือเปล่าก็ได้แต่สงสัย

          “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”

          “แล้วผมพูดถูกหรือเปล่า” พี่เมฆจงใจเดินลากเท้าเข้ามาหาเพื่อจะได้ไม่ต้องตะเบ็งเสียงคุยกัน

          “ผมก็แค่ดีใจที่มีเพื่อนสนิทมาอยู่ใกล้ ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรือครับ”

          “มีเพื่อนอย่างคุณอ้นถือว่าโชคดี เพราะเขาเองก็เป็นห่วงคุณไม่น้อยเลย” พี่เมฆหยิบโทรศัพท์ของเขามาส่งให้ “ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะทำลายความสุขของตัวเองด้วยความหลัง ตัวผมเองก็ถูกอดีตทำร้ายมามากและไม่อยากให้มันมีอิทธิพลกับอนาคตไปมากกว่านี้ คุณซันเองก็เหมือนกันนะ”

          ผมเลื่อนดูภาพที่ถูกแอบถ่ายจากมุมต่าง ๆ ของฟาร์ม ในรูปไม่ได้โฟกัสที่ตัวผมแต่เป็นสายตาที่ถูกมองมาจากพนักงานใหม่ เปมทัตกับอิริยาบถหลายหลากจากหลายหน้าที่แต่มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันในทุกภาพคือเขาจ้องมาที่ผม จ้องอย่างหลบซ่อนโดยไม่ให้ผมรู้ตัว จ้องเหมือนกับละสายตาไปไม่ได้ พี่เมฆยิ้มให้เห็นอีกครั้งก่อนจะริบโทรศัพท์กลับคืนไป

          “เห็นไหม อนาคตของคุณอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ”

          ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำหน้าแบบไหนตอนที่พี่เมฆเดินกลับออกไปกวาดพื้นรอบ ๆ คอกม้า แต่ที่แน่ ๆ ผมลืมตาไม่ขึ้นเพราะตอนที่คุกเข่าลงไปแปรงเท้าเจ้าโอนิกซ์พี่เขาเกิดเปลี่ยนใจเปิดประตูคอกกลับเข้ามาอีกหน ลมที่พัดนำมาอย่างกับพายุนั้นพัดพาเศษฟางบนพื้นปลิวว่อนคละคลุ้งไปหมด

          “พี่เมฆมีผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชูไหมครับ ฝุ่นเข้าตา” เสียงลากเท้าก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับกลิ่นประจำกายคล้ายเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา ไม่ใช่พี่เมฆแน่นอน

          คนมาใหม่พาตัวเองมานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วเป่าลมมาจนได้กลิ่นพีชจาง ๆ จากหมากฝรั่งรสหวาน ไม่รู้ว่าเขาไปเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลแบบนี้มาจากไหน แต่พวกเราไม่ใช่นักแสดงในหนักรักโรแมนติกที่เป่าลมเข้าตาแล้วฝุ่นจะปลิวออก และต้องเป็นผมใช่ไหมที่มีจริตเขินอาย กลับกันผมนั่งปรือตามองหาตัวช่วยอื่นเพราะอาการระคายเคืองทำเอาน้ำตาแทบไหล เอาไว้ค่อยเล่าให้ตรัสฟังแล้วกันว่าเพื่อนรักของมันอยากเป็นพระเอก

          “ทำแบบนั้นฝุ่นมันไม่ออกหรอก” ผมใช้ดวงตาข้างที่เป็นปกติมองไปรอบตัวทั้งวันก็คงจะหาทิชชูไม่ได้จากในคอกม้า เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเดินย้อนไปที่คาเฟ่ฮีโร่จำเป็นกลับถอดเสื้อยืดของตัวเองออกต่อหน้า อยากถามว่าเขาคิดจะทำอะไรก็ได้แต่อ้ำอึ้งเรียบเรียงประโยคไม่ถูก

          “ไหน ตรงนี้หรือเปล่า” เขาใช้สาบเสื้อด้านในปัดฝุ่นตรงหัวตาให้อย่างเบามือ “ออกหรือยัง” ผมลองกะพริบตาแล้วพบว่ามันสัมฤทธิ์ผลเร็วกว่าลมหายใจหลายเท่าตัว

          “ออกแล้ว ขอบใจมาก” และแทนที่จะสวมเสื้อแล้วลุกขึ้นยืนเขากลับนั่งนิ่งโชว์เนื้อหนังที่ชาตินี้ถ้าเป็นเปมทัตคนเก่าผมคงไม่มีวันได้เห็น อีกทั้งใบหน้าของเราใกล้ชิดเกินความจำเป็น ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าผมสานต่อเจตนาคลุมเครือ เบี่ยงองศาใบหน้าเข้าหาเพียงนิดเพื่อพิสูจน์ว่าเขาจะแบ่งรับแบ่งสู้แค่ไหน จะรีบเบือนหน้าหนีไปเลยหรือเปล่า แต่ก็ทำได้แค่ในความคิดเท่านั้น ผมไม่อยากล้อเล่นกับความรู้สึกของใครอีกแล้ว ไม่ว่ากับเขา น้องนิษฐา หรือว่าตัวผมเอง

          การสบสายตาเนิ่นนานอย่างไร้เหตุผลมันทำให้ผมมีโอกาสพินิจวงหน้าที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีโอกาส ทั้งแพคิ้วและขนตาหนาเรียงเส้นสวยอย่างกับภาพวาด แก้วตาสีอ่อนสะท้อนภาพของผมคู่นั้น สันจมูกคมคายแต่ปลายจมูกโค้งมนน่าสัมผัส และมุมปากสีกลีบบัวหยักขึ้นอยู่เป็นนิจเหมือนกำลังยิ้มอยู่เสมอ

          อนึ่งสุนทรียภาพของการหยุดเวลานำพาให้ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงผมกับเขาและสายลมโชยกลิ่นลีลาวดี จนกระทั่งเสียงฝีเท้าคุ้นหูจะเรียกเรากลับสู่โลกความเป็นจริง

          “ลูกค้าเต็มร้านเลยคุณอ้น ณิชาบ่นใหญ่แล้ว” พี่ยักษ์จะตะโกนเรียกเปมทัตให้กลับไปร้านของฝากเพราะละทิ้งตำแหน่งประจำมานานแล้ว ณิชาคงทำหน้าที่แทนคนอู้งานจึงต้องดูแลทั้งสองร้านก็เลยวานให้พี่เขามาเรียก ผมรีบหยัดตัวลุกขึ้นขณะที่เปมสวมเสื้อลวก ๆ แล้วเดินตามมา ก่อนเสียงกระซิบของคนที่รีบก้าวเท้าแซงหน้าจะทำให้ยามบ่ายแก่ ๆ ที่แสนน่าเบื่อดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา

          “ฉันไม่คิดจะยอมแพ้หรอกนะ ซันรอฉันมาตั้งแปดปี แค่นี้ฉันเองก็รอได้เหมือนกัน”

          แม่โทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงติดจะน้อยใจเหมือนอย่างเคย บ่นคิดถึงอยากมาหาแต่ไม่มีคนอยู่บ้านแทนเพราะพ่อเองก็ต้องดูแลกิจการไร่องุ่น จะว่าทิ้งให้ท่านดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่คนเดียวก็ไม่เชิงเพราะผู้ช่วยของพ่อนั้นคอยเป็นที่ปรึกษาและสามารถตัดสินใจแทนท่านได้เกือบทุกอย่าง ส่วนผู้ช่วยที่ไร่อย่างคุณลุงเชี่ยวชาญผมเองก็อยากให้ท่านช่วยมาแสดงความคิดเห็นและให้คำแนะนำเกี่ยวกับฟาร์มของผมอยู่เหมือนกัน

          (( แม่คิดถูกหรือเปล่าที่ให้เรากับพ่อจับธุรกิจการเกษตร พ่ออยู่เหนือ ลูกคนหนึ่งอยู่ตะวันออก อีกคนอยู่ใต้แบบนี้มันดูไม่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นเท่าไหร่เลยนะแม่ว่า ))

          “คิดถึงก็มาหาเถอะครับ แม่ไม่อยู่บ้านสักคนพี่นุชเขาคงไม่เหงาจนร้องไห้เหมือนนางเอกละครที่พี่เขาติดหรอก แต่ว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งมาจะดีกว่าครับ ฝนตกหนักเกือบทุกวันเลย ถนนหนทางอาจไม่สะดวกสักเท่าไหร่ อันตรายด้วย”

          (( บอกแต่ให้แม่ไปหาแล้วไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องบ้างหรือยังไง ))

          “ผมมีงานต้องรับผิดชอบนะครับ แม่ไม่อยากเห็นผมเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรอกใช่ไหม”

          (( ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีเลย ข้ออ้างร้อยแปดพันอย่าง มีเพื่อนไปอยู่ด้วยแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องเห็นหัวแม่แล้ว ว่าแต่น้องอ้นไปอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เห็นโทรมาเล่าให้แม่ฟังเลย ))

          “พูดถึงเปมทัตเรามีเรื่องต้องคุยกันนะครับ แม่เป็นคนพาเปมมาวันที่เจ้านอฟแข่งม้า ทำไมแม่ไม่บอกผมเลยสักคำ ผมก็หลงคิดว่าตาฝาดที่เห็นคนหน้าเหมือนเขาที่งาน ผมเป็นลูกแม่นะ แม่จะทำเป็นมีลับลมคมในกับผมแบบนี้ไม่ได้นะครับ” แกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรท่านเลย

          (( แม่ไม่รู้นี่ว่าพวกเราทะเลาะอะไรกัน เห็นเขาสีหน้าไม่ค่อยดีมาขอร้องว่าอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าซันมีความสุขไหมหลังจากลาออก ตอนนั้นแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องอ้นเองก็เพิ่งลาออกกลับมา ถ้าแซนไม่เล่าให้ฟังแม่คงคิดว่าลูกคุณประภัสสรแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน ))

          “แล้วแซนเป็นไงบ้างครับ กลับมาบ้านบ้างหรือเปล่า”

          (( เพิ่งกลับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กับคุณพี ))

          “คุณพี พีระมิด พี่รพีพิชญ์น่ะหรือครับ”

          (( ใช่ เขามาทานข้าวเย็นด้วยแล้วก็กลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่พาน้องสาวมาด้วย ซ้ำร้ายดูจะสนิทกับเจ้าแซนมากกว่าคู่หมั้นตัวจริงเสียอีก ))

          “ไม่แน่ว่าคนที่อยู่ในคำทำนายอาจจะเป็นพี่ชายไม่ใช่น้องสาวก็ได้นะครับ”

          (( พูดจาเลื่อนเปื้อน ก่อนอื่นเลยช่วยพาน้องนิษฐาของเรามาพบแม่ได้แล้ว และถ้าภายในเดือนนี้ซันไม่กลับบ้านนะ แม่จะไม่โทรหาอีกเลยคอยดู ))

          “โธ่แม่ครับ” คุณโฉมฉายค่อนขอดไว้อย่างนั้นก่อนจะวางสายไปอย่างไม่ใยดี เห็นทีผมคงต้องมีการวางแผนอนาคตระยะสั้นใหม่ทั้งหมด

          ไม่รู้คิดผิดหรือเปล่าที่วันนี้มอบหมายให้เปมทัตรับหน้าที่เป็นบาริสตาของคาเฟ่แทนณิชาที่ลาป่วยกะทันหัน ด้วยเห็นว่าคนที่เคยทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์น่าจะมีทักษะในการผสมเครื่องดื่มอยู่บ้าง สูตรการตักตวงน้องเขาก็ตระเตรียมไว้ให้อย่างชัดเจนเรื่องนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ผมกังวล แต่เพราะผ้ากันเปื้อนกับรอยยิ้มสิ้นเปลืองนั่นต่างหากคือปัจจัยสำคัญที่เรียกคนเข้าร้านอย่างต่อเนื่องจนเสียงกระดิ่งเหนือประตูดังไม่หยุด

          ส่วนผมแต่งตั้งตัวเองเป็นพนักงานเฝ้าร้านของที่ระลึก ลอบมองจากหน้าร้านเป็นครั้งคราวว่าเขาติดขัดอะไรหรือเปล่าจะได้รีบไปช่วยเหลือเป็นลูกมือหรือบริกร แต่ดูแล้วปัญหาที่แท้จริงน่าจะมาจากพวกลูกค้าสาว ๆ เมื่อได้รับเครื่องดื่มแล้วไม่ยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะ ยืนรุมกันอยู่ที่เคาน์เตอร์เป็นสิบคนแบบนั้นมองอย่างไรก็คล้ายฮาเร็มขนาดย่อม ตัวต้นเหตุก็เอาแต่ยิ้มหวานเกลื่อนกลาดทั้งที่มือเป็นระวิง

          เมื่อลูกค้าที่ร้านของผมบางตาลงจึงเดินมานั่งเล่นที่โต๊ะยาวด้านหน้า เฝ้าสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่งก่อนที่พี่เสือจะเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามานั่งด้วย ผมยื่นขวดน้ำเย็นที่หยิบติดมือมาแต่ยังไม่ทันได้ดื่มให้พี่เขาไป ได้รับคำขอบใจเบา ๆ ก่อนเจ้าของท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจะบุ้ยใบ้ไปทางบาริสตาเนื้อหอม

          “กลายเป็นว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยวสำหรับเด็กไปแล้วนะครับ”

          “นั่นสิครับ ไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่ามีลูกค้าผู้หญิงเยอะมากขนาดนี้”

          “เริ่มเยอะตั้งแต่คุณอ้นเข้ามาหรือเปล่า” ผมหันมองคนที่ถูกกล่าวหา จากหลักฐานและพยานบุคคลทำให้คำพูดของพี่เสือนั้นมีมูลความจริงไม่น้อย ก่อนที่เสียงนุ่ม ๆ ของเจ้านอฟจะแว่วมาในความคิด ‘ผู้หญิงแถวนี้เรดาร์สืบหาคนหน้าตาดีไวมากเลยนะครับขอเตือน’

          “คุณซันไม่คิดจะห้ามทัพหน่อยหรือ กระจกร้านจะแตกอยู่แล้วนะนั่น”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ดีเสียอีก ช่วยเรียกลูกค้า”

          “แต่ผมว่าถ้าปล่อยไว้อีกนิดจะกลายเป็นสงครามปะทะคารมแย่งคุณอ้นแล้วนะ คุณซันไปเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมกับเมฆจะช่วยดูเอง” ผมลังเล “เถอะครับ ข้างนอกนี่แทบจะไม่มีคนแล้ว ไปเบียดเสียดอยู่ในคาเฟ่กันเกือบหมด เมื่อเช้านี้ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมวันธรรมดาถึงมีรถที่ลานจอดเยอะขนาดนั้น ถ้าเป็นวันหยุดก็ว่าไปอย่าง ที่ไหนได้...มีศึกชิงนาย” ผมหัวเราะกับการขนานนามสนามประลองเสน่ห์ ยอมแพ้ให้กับความหวังดีของพี่เสือแม้จะมีแรงกระตุ้นในใจอยู่ก่อนแล้ว ก้าวอาด ๆ พาตัวเองไปยืนหลังเคาน์เตอร์กับบาริสตาจำเป็น แสร้งทำมองไม่เห็นแววตาหลุกหลิกคู่นั้น

          “ทำไมวันนี้คุยเก่งนัก” ผมทัก

          “ลูกค้าเขาถามแล้วจะให้ฉันแกล้งเป็นใบ้หรือ”

          “ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย คุยอะไรกันบ้าง โดนขอเบอร์ฯ อีกหรือเปล่า” เปมทัตเหลือบมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวกลับไปคว้าแทมเปอร์เพื่อกดกาแฟบดละเอียดแล้วหมุนเกลียวเข้าเครื่องชงแรงดันไอน้ำ ผมอ่านจากกระดาษที่ลูกค้าเขียนไว้ว่าเพิ่มวิปครีมจึงหันไปหยิบขวดอลูมิเนียมมารอ เขย่าพอเป็นพิธีแล้วพยายามบีบใส่แก้วแต่กดเท่าไหร่ก็ไม่ออก คนที่เริ่มชำนาญงานจึงขยับตัวมายืนซ้อนหลังแล้วช่วยกดอีกแรง

          ความโกลาหลประหนึ่งผึ้งแตกรังเมื่อครู่ค่อย ๆ ลดหลั่นลงก่อนผู้หญิงผมสีเทาเข้มจะพูดแทรกขึ้นมา “พี่อ้นจะมาแทนพี่ณิชาทุกวันเลยหรือเปล่าคะ”

          “เรื่องนั้นพี่เองก็ไม่แน่ใจ ต้องถามเจ้านายอีกทีครับ” ลมหายใจอุ่นจนร้อนกระทบหลังใบหูทำเอามืออ่อนแรงจนเกือบประคองขวดไม่ไหว ครั้นจะเดินหนีไปช่วยหยิบฉวยอย่างอื่นคนที่ประสานมือกุมทับกลับไม่ยอมให้ผมทำตามใจ “ว่าไงครับเจ้านาย ให้ผมทำแทนณิชาเลยหรือเปล่า”

          “เปม” ผมกัดฟันปรามเขาด้วยเสียงที่หวังว่าจะได้ยินกันแค่สองคน ท้ายที่สุดเมื่อวิปครีมเกือบล้นแก้วเขาก็ยอมปล่อยมือ ผมเดินหนีทำทีเป็นคว้าผ้ามาเช็ดไปรอบ ๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรเลอะเทอะเลย

          “แล้วที่ลือกันว่าพี่อ้นก็มีคนรักอยู่แล้วเหมือนพี่ซันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” เจ้าของผมลอนใหญ่เป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง ทุกคนพยายามสืบประวัติเหมือนอย่างที่คิดไว้ ไม่ใช่แค่ชวนคุยเรื่องทั่วไปอย่างดินฟ้าอากาศ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์หวงห้ามอะไรไม่ใช่หรือ เปมทัตเองก็ดูมีความสุขกับการเป็นจุดสนใจ สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการยืนฟังเงียบ ๆ

          “ตอนนี้ไม่มีครับ” อิสตรีที่ยืนห้อมล้อมเคาน์เตอร์เริ่มแสดงปฏิกิริยาเชิงบวก“แต่กำลังจะมี อาจเป็นคนแถวนี้ก็ได้ใครจะรู้” เป็นคำตอบที่เรียกคลื่นเสียงคล้ายกรีดร้องอยู่ในลำคออย่างเก็บอาการจากทุกคน ไม่ไหว ถ้าต้องขึงหน้าตึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งที่ใจสั่นยิ่งกว่าเครื่องทำกาแฟผมต้องยอมแพ้แล้วเผลอพูดอะไรที่ไม่สมควร รู้อย่างนี้นั่งคุยเล่นอย่างเปล่าประโยชน์กับพี่เสือพี่เมฆเสียยังดีกว่า

          “แล้วพี่ซันล่ะคะ”

          “ครับ...”

          “แฟนพี่ซัน ช่วงนี้ไม่เห็นมาที่ฟาร์มบ้างเลย ครั้งก่อนคนเห็นกันทั่ว สวยจนไม่มีใครกล้าแอบมองพี่ซันอีกเลยนะคะ” มองเผิน ๆ ก็พอจะจำได้ว่าคนที่ถามเป็นลูกค้าประจำของคาเฟ่ ผมแค่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร คนที่ชงโกโก้อยู่ใกล้ ๆ ผินมองอย่างสงสัย

          “นิษฐาเคยมาที่นี่ด้วยหรือ” เปมถามขณะย่อตัวลงหยิบแก้วพลาสติกใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมาเพิ่ม ภายใต้แววตาที่ถามเหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไปผมสังเกตได้ว่าเขากำลังเก็บซ่อนอารมณ์บางอย่าง

          “เคย มาเที่ยวหลังสอบเสร็จ...กับเพื่อนหลายคน” ประโยคหลังหวังว่าจะชัดเจนสำหรับคนที่ไม่เคยถูกเชิญชวน ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่เคยโทรหาผมเลยสักครั้ง แล้วจะมีเหตุผลอะไรให้ผมติดต่อไปก่อนทั้งที่เป็นฝ่ายหนีหน้า เช่นว่า ‘มาเที่ยวกันนะ ฟาร์มฉันเสร็จแล้ว’ อย่างนั้นหรือ

          “พักที่นี่ด้วยใช่ไหม”

          “เปมเห็นฉันเป็นคนยังไง น้องก็นอนกับเพื่อนน้องสิ ที่บังกะโลใกล้สวนเบญจมาศ” สีหน้าของเขาอ่อนลงก่อนจะส่งแก้วโกโก้ที่ปั่นเสร็จแล้วให้ลูกค้าเจ้าของลายมือหวัด ๆ

          “ฉันไม่เคยเห็นซันขับรถออกไปไหนเลย ไม่เบื่อบ้างหรือ”

          “น่าเบื่อตรงไหน อยู่แบบนี้สบายใจกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”

          “สถานทูตที่มีฉันอยู่ด้วยมันทำให้ซันไม่สบายใจขนาดนั้นเลย”

          “หาความ ฉันไม่ได้พูดถึงสถานทูต ฉันหมายถึงบ้าน ไม่อยากอยู่เฉย ๆ เป็นภาระพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน อย่าลืมสิว่าฉันสมัครใจขอสอบตามเปมไปเอง ใช่ว่ามีใครข่มเขาโคขืนเสียที่ไหน”

          “ซันเป็นวัวหรือ วัวดื้อเสียด้วย”

          “อุปมาอุปไมยไหมล่ะ” แฟลตไวท์ฟองนมรูปหัวใจมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เปมทัตส่งแก้วกาแฟที่ก่อนหน้านี้นึกว่าเขาชงให้ลูกค้าทั้งที่เอะใจอยู่ว่ากระดาษออเดอร์ที่เหล็กเสียบใบสุดท้ายถูกหยิบออกมาแล้ว

          “แต่ฉันถามจริง ๆ นะไม่อยากไปเที่ยวที่อื่นบ้างหรือ อยู่แต่กับม้าทั้งวัน”

          “ปกติคนรุ่นเราหย่อนใจไปกับอะไรบ้าง ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์อย่างวัดวาอารามซากเมืองเก่าก็ไม่ใช่ทาง เชิงอนุรักษ์อย่างปลูกป่าชายเลนก็เคยไปจนเบื่อ ที่ไอ้แซนโดนเท็ตปาโคลนใส่หน้าแล้วแอบถ่ายรูปส่งให้ผู้หญิงที่มันคั่วอยู่ตอนนั้นจำได้ไหม แต่ถ้าพูดถึงเชิงเกษตรหรือธรรมชาติแค่มองไปรอบตัวก็มีทุกอย่างครบหมดแล้ว ไม่เห็นต้องขับรถออกไปไหนให้เหนื่อยเลย”

          “คิดเยอะจัง ฉันแค่จะชวนไปดูหนังในเมือง” ผมเสหยิบแก้วกาแฟขึ้นชิดริมฝีปาก “บ้านอะไรทีวีก็ไม่มี คอมฯ ตัวเองก็ยังทิ้งไว้ที่บ้านใหญ่อีก อยู่เฉย ๆ แล้วมันทำให้ฉันคิด...ฟุ้งซ่าน ซันไม่รู้สึกเหมือนกันหรือ” ไม่ได้การ หลายสายตาที่รุมมองมาแม้รู้ว่าพวกเขาคงไม่ได้ยินหรอกว่าเราสองคนคุยอะไรกัน แต่มันก็อดแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้ว่าผมกำลังรู้สึกเหมือนเป็นนาฬิกาทราย เมื่อไหร่ที่กรวดเม็ดสุดท้ายตกลงผมจะละทิ้งความรู้ผิดชอบแล้วยอมเล่นไปตามเกมหัวใจ

          หลังจากหลบฉากมาได้กลับกลายเป็นว่าผมไม่กล้ายื่นหน้าไปขัดจังหวะโลกส่วนตัวของพี่เสือกับพี่เมฆที่กำลังคุยเล่นกันอย่างออกรสในร้านของที่ระลึก เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเจ้าเท็กซัสที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล แผงคอหนาพัดปลิวตามแรงลมทำให้มันดูมีความสุขจนผมเองยังอิจฉา พี่ยักษ์ที่กำลังยกถั่วฝักยาวเดินผ่านมาพอดีร้องทักด้วยเสียงไม่เบานัก

          “คุณซันวันนี้เจ้าโอนิกซ์อารมณ์ดีมากเลยนะ เราไปลองฝึกกันอีกรอบดีไหม ไม่น่าจะพยศเพราะมันเริ่มคุ้นกับคุณแล้วด้วย”

          “พี่ยักษ์ว่างแล้วหรือครับ”

          “คุณซันพามันออกมาเดินเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวรอคนบางตากว่านี้อีกหน่อยแล้วผมจะตามไป”

          “ได้ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”

          เสียงฝีเท้าก้าวดังสาบ ๆ บนพื้นหญ้าสีเขียวสดที่เริ่มรกชัฏเพราะฝนที่ตกหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็คงไม่เป็นอุปสรรคในกิจกรรม เจ้าโอนิกซ์ดูอารมณ์ดีเหมือนอย่างที่พี่ยักษ์บอกจริง ๆ เพราะปลายหูของมันชี้ขึ้นฟ้าพู่หางก็สะบัดไปมาอีกทั้งยังสับเท้าอย่างตื่นเต้นที่ได้ออกกลางแจ้ง เส้นขนดำขลับสะท้อนแสงแดดอ่อนยามเย็นชวนมอง สายลมโชยเอื่อยยิ่งเป็นใจให้ทุกอย่างน่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

          ผมต้องมีท่าขี่ม้าสวย ๆ ไปอวดเจ้านอฟได้แน่

          บูทผิดไซส์ที่พี่ยักษ์ให้ยืมมาหลวมนิดหน่อยแต่ก็พอถูไถไปได้เพราะจวนตัว พี่เขานำบังเหียนอานและโกลนมาสวมให้โอนิกซ์ทั้งที่เคยเห็นว่านอฟสามารถขึ้นบังคับอาเกตได้เลยโดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ พี่เขาก็ย้อนทันทีว่าไม่อยากเห็นคนแถวนี้ตกหลังม้าก้นจ้ำเบ้า

          ผมทำได้ดีตั้งแต่การเหยียบโกลนขึ้นนั่งบนอานหนัง พี่เขาสอนคร่าว ๆ เกี่ยวกับการบังคับเดินและวิ่งเหยาะ ยกตัวและทิ้งน้ำหนักให้สอดคล้องกับการยกขาของเจ้าม้าดำ ซึ่งมันก็ดูจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมจึงใช้เวลาหลังจากนั้นพามันเดินไปรอบคอกกลางแจ้ง สังเกตอาการของมันอยู่เรื่อย ๆ ว่าหงุดหงิดไหม เหนื่อยแล้วหรือเปล่า แต่ปลายหูคู่นั้นก็ยังชี้ตรงเป็นธรรมชาติ ผมเหลียวหลังยกนิ้วโป้งให้พี่ยักษ์ที่ยังยืนกอดอกมองมาอย่างเป็นห่วง

          พักใหญ่จนใกล้ค่ำเต็มที เมื่อผมตัดสินใจที่จะควบม้าสีราตรีเข้าร่มก็หันมาเห็นว่าเปมทัตมายืนอยู่ข้างพี่ยักษ์ด้วยอีกคน เย็นป่านนี้เขาคงปิดประตูร้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่เสือกับพี่เมฆผมยอมให้เขาสร้างโลกสีชมพูได้นานเท่าที่ต้องการ

          ในขณะที่กำลังย่ามใจบังคับโอนิกซ์มาจวนถึงประตูคอกไม้อยู่แล้วแท้ ๆ งูตัวเลื่อมพลายไม่รู้โผล่มาจากไหนเลื้อยตัดหน้าฝีเท้าจนเจ้าโอนิกซ์ยกสองขาหน้าแล้วสะบัดผมตกลงจากอานก่อนจะวิ่งหนีไปทางโรงปุ๋ย ผมจุกจนไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาเป็นคำ มิหนำซ้ำยังรู้สึกชาด้านซ้ายตั้งแต่ต้นขาจนถึงปลายเท้า

          เปมทัตวิ่งมาถึงก่อนใคร ได้ยินเสียงพี่ยักษ์พูดไล่หลังอย่างใจเย็นคงเพราะไม่อยากให้ผมเสียขวัญ “งูแสงอาทิตย์น่ะคุณซัน ไม่มีพิษ เลื้อยหนีไปทางโน้นแล้ว ช่วงนี้ฝนตกหนักคงหนีน้ำมา พรุ่งนี้ผมคงต้องเอาเครื่องตัดหญ้ามาจัดการแถวนี้สักหน่อย”

          “ดีครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะหญ้ามันรกมากด้วย” ผมยังมีแก่ใจตอบด้วยน้ำเสียงล้อเล่นไม่จริงจัง แต่คนที่จริงจังเห็นจะเป็นเปมทัตที่นั่งย่อตัวอยู่ข้าง ๆ “รีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ อย่าเพิ่งขยับมากนะ”

          พี่เมฆกับพี่เสือคงได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงรีบกุลีกุจอตามมา ก่อนพี่ยักษ์จะตะโกนบอกให้รีบขับจี๊ฟตามโอนิกซ์ที่เตลิดหนีหายไป เปมไม่รอถามความสมัครใจว่าผมอยากไปโรงพยาบาลอย่างที่เขาบอกไหม ผมจึงหยัดตัวลุกขึ้นยืนให้ดูว่าผมยังสบายดีไม่มีอะไรแตกหัก

          “ฉันแค่ตกใจ ไม่เป็นอะไรหรอก”

          “แน่ใจ” ผมพยักหน้า “ไหนลองเดินให้ดูหน่อย” ผมกัดฟันก้าวขาทั้งที่เท้าซ้ายยังชาสนิท ไม่เกินห้าก้าวก็ล้มลงอย่างหมดรูปทั้งที่อุตส่าห์ปากเก่ง ไม่น่าเลย

          “ว่าแล้ว” เปมทัตประคองผมลุกขึ้นมายืนพิงขอบรั้ว เมื่อสังเกตดี ๆ เขามีสีหน้าวิตกกังวลผิดกับน้ำเสียงติดโมโห “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะฉันจะไปเอากุญแจออดี้ ซันเก็บไว้ที่ไหน”

          “ลิ้นชักในตู้เสื้อผ้า”

          “อย่าเพิ่งฝืนเดินเด็ดขาดเลยนะ...”

          “...ถ้าอยากอวดเก่ง เอาไว้ตอนเจอหมอดีกว่า”

▩▩▩

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เอาแล้วๆๆ คนดื้อแห่งฟาร์ม.....คุณเปมต้องคอยดูแลนะคะ ^___^¥
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ยยยย ดีต่อใจ เข้าใจกันสะทีเถอะคะ จะได้สดชื่นแบบเต็มที่

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 13

          ผมกลัวเข็ม กลัวชนิดที่ว่าสามารถมือสั่นและหน้ามืดในคราวเดียว ไม่ต้องพูดถึงมีดหรือเลือดมันค่อนข้างเป็นคำต้องห้ามสำหรับคนที่พยายามออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อสุขอนามัยที่ดีจะได้ไม่เจ็บป่วยจนถึงมือหมอ แต่เห็นทีคราวนี้คงหนีไม่พ้นเพราะคำว่า ‘กล้ามเนื้อต้นขาฉีก’ คำเดียว

          ยาแก้อักเสบหนึ่งเข็มเล็ก ๆ ส่งผลไม่ต่างอะไรกับไม้หน้าสาม ผมไม่ได้ส่งเสียงหรือแสดงสีหน้าใด ๆ ว่าขยาดกลัวเพราะมันน่าอายที่ผู้ชายตัวใหญ่จะมานั่งหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้มเพียงเพราะมีจุดอ่อนเป็นเข็มฉีดยา สมัยมัธยมที่โรงเรียนเคยมีการตั้งโต๊ะบริจาคโลหิต ผมทำทีเดินหนีหายไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับเพื่อนฝูง ทั้งที่คิดว่าแนบเนียนแต่ทุกอย่างรอบกายก็ไม่เคยลอดพ้นสายตาช่างสังเกตของเจ้าหญิงเปมทัต ครับ...เปมทัตในเสื้อยืดทับด้วยเชิ้ตแฟลนเนลพับแขนที่กำลังยืนกอดอกกลั้นยิ้มอยู่ข้างเตียงคนไข้คนนี้

          “ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ฉันไม่บอกใครหรอก” ไม่บอกใครแต่โดนหัวเราะเยาะแน่นอน ผมจ้องตาเขาอย่างรู้ทัน คลำตะโพกตัวเองปอย ๆ ก่อนได้ยินคุณหมอที่กำลังพินิจฟิล์มเอกซเรย์บอกว่าไม่มีกระดูกส่วนใดแตกหัก แต่ให้ใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงตัวชั่วคราวเพราะอาจมีอาการบวมช้ำที่ข้อเท้าร่วมด้วย ผมคงเผลอทิ้งน้ำหนักลงเท้าซ้ายก่อนตกกระแทกพื้น

          “อ่า...แล้วต้องฉีดยาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ” ผมรีบถามเมื่อเห็นคุณหมอในเสื้อกาวน์ยังเดินไปมาภายในห้องตรวจ ความรู้สึกแปลก ๆ เริ่มปั่นป่วนในช่องท้อง

          “ไม่ครับ เรียบร้อยแล้ว รอรับยาด้านนอกได้เลยครับ” เหลือบมองคนข้างตัวเห็นว่าเขายังยืนยิ้มอยู่ผมเลยดึงชายเสื้อปรามแล้วถือโอกาสยึดเขาเป็นไม้เท้าเสียเลย เปมรับสมอ้างอย่างดีด้วยการช้อนใต้แขนซ้ายแล้วรั้งให้ยืนขึ้นเพื่อย้ายไปนั่งบนรถเข็น ผมทำเป็นมองไม่เห็นว่าเขาปฏิเสธน้ำใจของบุรุษพยาบาลที่พยายามเดินเข้ามาช่วยเหลือ

          ยาหนึ่งถุงใหญ่กับไม้ค้ำยันคุณภาพดีแลกมาด้วยอาการปวดแปลบตลอดซีกซ้าย มีรอยช้ำสีคล้ำที่ต้นแขนเป็นของแถม ผมเพิ่งสังเกตเห็นตอนที่ถอดเสื้อจนเหลือแต่ผ้าขนหนูเพื่ออาบน้ำ ส่วนเปมทัตหลังกลับมาจากโรงพยาบาลก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วแน่นิ่งไป คงหมดแรงเพราะโดนพวกผู้หญิงในคาเฟ่ดูดพลังแล้วยังต้องทำเรื่องเคลมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลหลังการรักษา ผมที่พอจะพึ่งพาตัวเองได้จึงเดินกะโผลกกะเผลกเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างคราบโคลนที่ยังเปรอะเปื้อน โดยอาศัยอ่างล้างหน้าเป็นเก้าอี้ชั่วคราว

          โชคดีเหลือเกินที่ผ้าขนหนูยังอยู่ในที่ในทางของมันตอนที่เปมทัตก้าวพรวดเข้ามาแบบไม่เคาะประตูเลยสักครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลยิ่งฉายชัดด้วยความตื่นตะหนก ซึ่งความจริงแล้วฝ่ายที่ต้องตกใจสมควรจะเป็นผมมากกว่า

          “ขอโทษที ฉันเผลอหลับ”

          “ไม่เป็นไร ง่วงก็นอนไปเถอะ ลุกมาทำไม”

          “เห็นซันเงียบไป ฉันกลัวว่าจะล้ม” เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วจับแขนผมพลิกดูหลักฐานที่เจ้าม้ามืดฝากไว้ “พี่เสือโทรมาบอกตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลว่าพาโอนิกซ์เข้าคอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวฉันดูแลทุกอย่างแทนเอง ซันพักผ่อนอยู่ที่บ้านแล้วกัน”

          “ไหวหรือ”

          “ฉันไหวแน่ แต่คนที่ไม่ไหวน่ะ...” เขาแกล้งลงน้ำหนักแรง ๆ ที่รอยช้ำจนผมเผลอสบถ “ทำไมต้องฝืนตัวเอง ไม้ค้ำมีทำไมไม่ใช้ ถ้าหายช้าก็อย่าโทษคนอื่นแล้วกัน”

          “ฉันไม่ได้ฝืน ไม้มันเกะกะก็เลยไม่ได้เอาเข้ามา ก็แค่อาบน้ำ”

          “โอเค จะอาบยังไง ไหนทำให้ดูหน่อย” ไม่ขอเถียงว่าฝักบัวอยู่ไกลและผมยังนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ไม้ ขยับไปไหนไม่ได้เพราะยาแก้ปวดเริ่มหมดฤทธิ์ กล้ามเนื้อต้นขาสำแดงอาการปวดถี่ ๆ ก่อนหน้านี้มีความคิดจะกระโดดขาเดียวจนถึงวาล์วน้ำและคงทำไปแล้วถ้าอยู่ตามลำพัง แต่ในเวลาที่มีสายตาอีกคู่จับจ้องผมคงไม่กล้าเสี่ยงดวงด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น

          “ไม่อยากอาบแล้ว เปมหยิบผ้าผืนเล็กให้หน่อยได้ไหม”

          “จะทำอะไร”

          “เช็ดตัว ขามันเริ่มเจ็บอีกแล้ว อยากนอน” ได้ยินเขาถอนหายใจแต่ผมไม่กล้าเงยหน้ามอง “เปม เรื่องวันนี้อย่าบอกคนที่บ้านได้ไหม ไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง”

          “ไม่ทันแล้ว” ผมค่อย ๆ หันหน้ามองหาความหมายในคำตอบสั้น ๆ ของคนที่กำลังเอื้อมมือหยิบผ้าที่อยู่ในตู้ติดผนังเหนือหัว “คุณแม่ซันโทรมาตอนที่กำลังติดต่อเรื่องประกัน ฉันบอกท่านไปหมดแล้ว อีกสองสามวันซันได้ฟังคำบ่นจนหูชาแน่ ๆ”

          “แม่จะมาหรือ” เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มสัพยอกพร้อมกับรองผ้าที่อ่างน้ำ บิดมาด ๆ ก่อนจะฉวยข้อมือผมไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “อย่าเกร็งสิ ฉันจะช่วย”

          “ไม่เป็นไรฉันทำเองได้ เปมกลับไปนอนต่อเถอะ ส่วนเรื่องแม่ถ้าท่านโทรมาอีกฉันขอคุยเองแล้วกัน” ผมพูดเร็วจนลิ้นพัน แค่นั้นเปมทัตก็หลุดขำทั้งที่คิ้วขมวด

          “ซันเคยเช็ดตัวให้ฉันตอนป่วยตั้งหลายครั้ง แล้วพอถึงตาฉันบ้างทำไมต้องปฏิเสธเสียงแข็ง เกรงใจหรือ”

          “เปล่า ไม่ได้เกรงใจ”

          “แล้วเพราะอะไร ถ้าอาย อย่าลืมว่าตอนม.ปลายฉันเห็นหมดแล้ว”

          “เปม เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้” เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำเท่าไหร่ ถ้าเขาไม่จุดประเด็นขึ้นมาผมเองก็คงจะลืมไปแล้วเหมือนกัน ช่วงใกล้สอบปลายภาคตอนม.สี่มีรายงานกลุ่มต้องรีบทำให้เสร็จก็เลยพากันเฮโลไปนอนบ้านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่ร่มรื่นน่าอยู่มากแต่ติดตรงที่มีข้อเสียเป็นลูกบิดประตูห้องน้ำ ด้วยผลกรรมของการเผางานคงดลบันดาลให้มันชำรุด ความซวยจึงตกอยู่กับคนแรกที่อาบน้ำอย่างผม แล้วใครจะไปคิดล่ะว่าทูนหัวของเพื่อน ๆ เกิดง่วงนอนอยากล้างหน้าขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ผมเก็บภาพติดตาเป็นใบหน้าแดงระเรื่อของเปมทัตไปนอนฝันถึงเสียตั้งหลายคืน

          “พูดถึงเรื่องตอนนั้นซันเปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะ จากที่เป็นฝ่ายไล่ตามมาตลอดแต่ตอนนี้กลับเป็นตัวฉันเอง” เปมเปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ที่หายใจติดขัดคงไม่ใช่เพราะความอึดอัดแต่เป็นแรงบีบรัดในอกนี่ต่างหาก เขาไม่สบตาแค่ไล้ผ้าไปตามช่วงแขนและหัวไหล่ “ฉันจะไม่ขอให้ซันเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่เราเคยอยู่ด้วยกัน แต่ที่อยากขอคือโอกาสแค่สักครั้ง แล้วต่อจากนี้ฉันจะไม่ขออะไรอีกเลย”

          การที่เขาเพิ่งตื่นนอนคงไม่ใช่สาเหตุของความรู้สึกอ่อนไหวจนต้องพูดสิ่งที่เก็บอยู่ในใจ มือที่หยุดอยู่นิ่งทำให้ผมเองก็ไม่กล้าขยับ สมองว่างเปล่าคล้ายตกอยู่ในห้วงความคิด กำแพงมิตรภาพระหว่างเรามันถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนไหน ทำไมรังสีความห่วงใยจึงได้แผ่ผินรุนแรงโดยไม่ทันรู้ตัว

          “ฉันคิดมาตลอดว่าเปมกลัวการเลิกรา”

          “ฉันไม่เคยกลัวเลิกรา แต่ฉันกลัวจะเสียเพื่อนอย่างนายไปมากกว่า” คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าสัตย์จริงทุกคำ “ตอนเลิกกับพี่วินฉันยอมรับว่าเจ็บใจที่ถูกสวมเขา แต่ไม่ได้เสียใจเพราะรักมากมายขนาดนั้น เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนยังไม่สะใจเท่าที่ได้หลอกให้ความหวังเมื่อตอนที่เขากลับมาขอคืนดี แต่ก็ลืมนึกไปว่ามันเป็นดาบสองคม ฉันได้กู้หน้าและเสียของมีค่าไปพร้อม ๆ กัน”

          หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างนิ่งเงียบไปนานจนมือของผมเริ่มสั่นเพราะอากาศเย็น เปมคงสังเกตเห็นจึงเดินไปเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วรองผ้ากับสายน้ำก่อนเดินกลับมาเพื่อทำหน้าที่พี่เลี้ยงชั่วคราว ผ้าชื้นไอร้อนเลื่อนไปตามแผ่นหลังก่อนจะหยุดที่ข้างเอวนานเกินความจำเป็นทำให้ผมต้องหันไปมอง “อะไร”

          “เปล่า ฉันแค่...ดีใจ”

          “ดีใจที่ฉันตกม้าเนี่ยนะ” ประกายวิบวับฉายชัดในดวงตาบ่งชี้ได้ว่าเขากำลังยินดีที่เห็นผมเจ็บปวด

          “ไม่ใช่ ฉันหมายถึงฉันดีใจที่ได้ดูแลซันบ้าง คนอะไรเกือบสิบปีไม่เคยป่วยให้เห็นเลยสักครั้ง” ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมไม่ขอยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดถูกต้องทั้งหมด ผมเคยเป็นหวัดช่วงเปลี่ยนฤดูกาลแต่ไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ทุกครั้งที่ไม่สบายจะอาศัยลูกล่อลูกชนหลบเลี่ยงไม่เจอหน้าใครเพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าสำออย อีกทั้งยังอยากดูเท่ในสายตาของเปมทัต ฝันไปได้เลยที่จะเห็นผมหอบสังขารอันอิดโรยไปเผชิญหน้ากับคนที่เจ้าสำอางทุกกระเบียดนิ้ว

          “อันที่จริงฉันเห็นซันเจ็บ...ฉันก็เจ็บนะ” เขาคว้าแขนอีกข้างไปซับเบา ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีหมัดหนักฮุกเข้าที่อกซ้าย “แต่มันก็เป็นโอกาสที่ช่วยให้ฉันได้ทำดีชดเชยเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำกับซันไว้เหมือนกัน”

          “ทำไมถึงคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทดแทนกันได้ แล้วเรื่องเอาคืนนายธาวินก็เหมือนกัน ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษาเลย ตอนที่เปมย้ายกลับมาที่นี่เขาไม่ชวนทะเลาะเหมือนทุกทีที่มีปัญหาระหองระแหงกันใช่ไหม”

          “ฉันไม่อยากดึงซันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยาก ทั้งที่ฉลาดเป็นกรดแต่คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างรุ่นพี่ยังเชื่อสนิทใจเลยว่าฉันจะยอมกลับไปคบทั้งที่ในอดีตสร้างเรื่องไว้เจ็บแสบ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเคยพูดให้ร้ายอะไรซันไว้บ้าง แต่ซันไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องไร้สาระแบบนั้นมาใส่ใจเพราะคนที่คิดจะประจบสอพลอพ่อของฉันเพื่อหาลู่ทางความเจริญก้าวหน้าคือตัวเขาเอง ฉันรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาซันทำเพื่อใคร รู้...มาตลอด” ได้ยินเขาพึมพำอะไรอีกสองสามคำก่อนจะเดินไปชุบน้ำมาใหม่แล้วส่งต่อให้ผม “ที่เหลือจัดการเองนะ ฉันจะรออยู่หน้าประตู เสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกแล้วกัน” ผมพยักหน้าก่อนพูดขอบคุณเบา ๆ

          น่าหงุดหงิดไม่ใช่เล่นเลยที่ต้องมานอนหายใจทิ้งไปหลายต่อหลายชั่วโมงโดยไม่เกิดประโยชน์ คุณยายขวัญเรือนใช้ให้คนครัวคอยมาส่งข้าวส่งน้ำตลอดสองวันที่ผ่านมา ส่วนเปมทัตนั้นหายตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่ คืนก่อนหลังจากผมจัดการธุระตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาขอตัวอาบน้ำต่อก่อนจะหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ถ้าคุณประภัสสรทราบว่าผมใช้แรงงานลูกท่านจนหมดมาดคุณหนูแบบนี้ ผมคงไม่มีหน้าไปพบคนตระกูลพิรัตน์ไพศาลอีกแล้ว

          พูดถึงแม่ของเปมทัต ท่านจะเหงาหรือเปล่าที่ผมยึดลูกชายของท่านไว้กับตัวเองแบบนี้ คุณโฉมฉายที่มีทายาทถึงสองหน่อยังบ่นเช้าเย็นว่าคิดถึง แต่เปมเป็นลูกคนเดียว ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะหาเวลาว่างโทรกลับบ้านบ้างเพราะต่อหน้าผมแทบไม่เคยเห็นเขาหยิบจับเครื่องมือสื่อสารเลยสักครั้ง

          “ซัน มีคนมาหาแหนะ” เปมในเสื้อยืดสีดำเปิดประตูเข้ามาตอนที่ผมกำลังนั่งดูบัญชีไปพลางอ่านข่าวในโทรศัพท์ไปพลางเพื่อฆ่าเวลา เขาเสยผมที่ปรกหน้าขณะก้าวเข้ามาก้มมองเอกสารที่ผมกำลังกรอกข้อมูล รู้สึกถึงลางร้ายจนต้องรีบถามสวนกลับว่าใคร

          “ไปดูเองดีกว่า ส่วนสมุดบัญชีเล่มนี้พอแค่นี้เถอะ ฉันเห็นแล้วเหนื่อยแทน” ผมวางปากกาก่อนจะหันไปคว้าไม้ค้ำ ได้เปมช่วยพยุงอีกแรงเพื่อพาเดินไปทางคาเฟ่ ด้วยความใกล้ชิดทำให้ผมได้กลิ่นดินที่ติดตัวเขามา “วันนี้เปมทำอะไร ไม่ได้อยู่ที่ร้านขายของที่ระลึกหรอกหรือ”

          “รู้ได้ยังไง หรือว่าได้กลิ่นเหงื่อ” เขายกคอเสื้อขึ้นมาพิสูจน์แต่ผมบอกปัด “เมื่อกี้ไปช่วยพี่เมฆพรวนดินกับแต่งกิ่งต้นแวววิเชียร คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กอย่างเรย์จะปลูกไม้ประดับเก่งขนาดนี้ ทั้งที่แปลงไม่ใช่เล็ก ๆ เลย”

          “เรย์มีพรสวรรค์หลายอย่าง ทำอาหารก็อร่อย ขนมไทยโบราณหาทานยากยังทำเป็นเลย” ผมจงใจเปลี่ยนเรื่องเพราะความจริงนอกจากกลิ่นอายไอแดดแล้วยังมีความหอมหวานแปลก ๆ ที่เป็นกลิ่นกายของเขาจริง ๆ ไม่ใช่โคโลญจ์หรือน้ำหอม ยกมือขึ้นปัดปลายจมูกเพื่อปกปิดความคิดทั้งที่ผมควรกังวลว่าจะรับมือกับถ้อยคำพร่ำบ่นเพราะรักของแม่ได้อย่างไร

          แต่ที่ไหนได้...

          “ซันนี่!” ทัศนัยยืนยิ้มร่าอยู่หน้าประตูคาเฟ่พร้อมด้วยไอ้คุณชายในชุดลำลองสีสะอาดตา ซึ่งค่อนข้างคอนทราสต์กับฉากหลังไม่น้อยเพราะมีลูกค้ากลุ่มใหญ่กำลังยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปประธานบริษัทอัญมณีเป็นคนดัง ผมยืนตกตะลึงได้ครู่เดียวก็ถูกตุ๊กตาหมีถลาเข้ากอดทั้งตัว “คิดถึงว่ะ”

          “ที่จริงฉันจะพาสองคนนี้ไปหาซันที่ห้อง แต่กลัวว่าซันจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน เลยพาเดินออกมายืดเส้นยืดสายบ้าง” เปมที่ยังช่วยประคองโน้มตัวมากระซิบบอก ผมยิ้มตอบความปรารถนาดี

          “คิดถึงแล้วทำไมเพิ่งมา”

          “ตรัสอะดิ ทำงานตลอดไม่เคยว่างเลย พอขอขับรถมาเองมันก็ไม่ยอม”

          “แล้วเท็ตเป็นไง สบายดีนะ”

          “สบายดี ไม่ได้ไปเล่นซนจนตกม้าที่ไหน” คนปากร้ายโดนผมดีดผึงเข้าที่หน้าผากจนร้องโอย ชำเลืองมองสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจของไอ้ตรัสที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด เราแลกรอยยิ้มกันเสี้ยววินาทีก่อนเปมทัตจะช่วยรับรองแขกด้วยน้ำองุ่นที่โต๊ะยาว เท็ตคงตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัวเพราะนั่งสับขาอยู่ไม่สุขเหมือนอยากเดินชมสถานที่เต็มแก่ แต่ตรัสปรามไว้เพราะกลัวว่าแสงแดดของเที่ยงวันจะทำร้ายคนผิวเนียน

          “นี่ซันเจ็บจริงหรือแค่อยากอ้อนคุณหนูอ้น”

          “ลองดูไหม เดี๋ยวพาไปจำลองเหตุการณ์ที่คอกแล้วจะได้รู้ว่าฉันเจ็บจริงหรือหลอก” เท็ตส่ายหน้าพัลวัน มันน่ารักสมกับที่ไอ้เทพบุตรมันคลั่งรักจริง ๆ นั่นแหละผมไม่เถียง แต่ความทะเล้นก็คู่ขนานไปกับความน่าเอ็นดู ไม่รู้จะดีใจกับไอ้ตรัสดีไหม “เปมเป็นคนโทรบอกใช่ไหมเรื่องฉันตกม้า”

          “อือ โทรบอกตรัส ส่วนไอ้แซนเดี๋ยวตอนเย็นก็คงตามมา” ผมเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อน้องชายครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ และส่วนใหญ่จะได้ยินด้วยน้ำเสียงติดใจน้อยของแม่มากกว่า หันมองคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังยิ้มหวานให้กับลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่งที่เคาน์เตอร์คิดเงิน สักวันผมจะหาสายสะพายมาให้พร้อมตำแหน่งขวัญใจมหาชน

          “เท็ตโทรคุยกับมันบ่อยไหม”

          “แซนเหรอ ก็บ่อยนะ เกือบทุกอาทิตย์เลยหลังกลับจากบริษัท ส่วนใหญ่จะโทรคุยเรื่องทั่วไป แต่พักหลังมานี่มันชอบโทรมาปรึกษาเรื่องอื่น”

          “ปรึกษา...เรื่องอะไร”

          “บอกไม่ได้ ไว้มันพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะเล่าให้ซันฟังเอง ห้ามบอกมันด้วยว่ากูพูดเรื่องนี้” พูดจบก็หันขวับมองคนนั่งข้าง ๆ เหมือนหลุดปาก สงสัยวิชาภาษาไทยของคู่รักดีเด่นจะยังไม่แตกฉาน ทัศนัยจึงพ่นสำเนียงพ่อขุนรามมาคำโต ส่วนไอ้คุณชายคงกลัวน้ำลายบูดถึงได้ตัดสินใจเอ่ยถามเป็นคำแรก

          “เจ็บมากหรือเปล่า พักมาตั้งสองสามวันแล้วทำไมยังเดินกะเผลก”

          “ไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่หมอไม่ให้ลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายมากก็เลยเป็นอย่างที่เห็น แล้วนี่มึงมีเวลาว่างได้ไง นึกว่าหายใจเป็นเพชรเป็นพลอยไปแล้ว” เห็นเท็ตแอบยกนิ้วขึ้นมาชมเชยที่ช่วยพูดสิ่งที่อยู่ในใจ

          “ที่บริษัทกำลังยุ่ง ๆ เรื่องงานรับตำแหน่งก็เลยหลบมา”

          “ใคร รับตำแหน่งอะไร” มันทำปากคำว่ากูเร็วจนเกือบมองไม่ทันเพื่อหลบสายตาของเท็ต ก่อนจะพูดออกเสียงในประโยคถัดมา “งานต้อนรับประธานคนใหม่รวมกับงานเลี้ยงประจำปี ความจริงก็ทำตำแหน่งนี้อย่างเต็มตัวมาสักพักแล้วแต่คุณปรมัตถ์กับคุณเทวัญอยากให้มันเป็นทางการ”

          “งานมีเมื่อไหร่ จัดที่ไหน”

          “โรงแรมเดียวกับที่จัดงานแต่งคุณปรมัตถ์นั่นแหละ อีกสองสัปดาห์ จะหายทันไหมอยากให้ไปด้วยกัน”

          “อาทิตย์หน้าหมอนัดดูอาการ ค่อยบอกอีกทีตอนนั้นแล้วกันว่าไปได้ไหม ต้องดูสภาพกล้ามเนื้อต่อไปอีกหน่อยเพราะกลัวว่ามันจะเจ็บเรื้อรัง แต่กูว่ามันก็ไม่ค่อยระบมเหมือนวันแรกแล้ว ช่วงนั้นนั่งแล้วแทบไม่อยากลุกเลย”

          “ได้พยาบาลดีล่ะสิ” เท็ตที่เมื่อครู่หันรีหันขวางจู่ ๆ ก็หันมาพูดหน้าตาเฉย หลงนึกว่าไม่ได้ฟังว่าคนอื่นกำลังคุยอะไรกัน “แล้วสรุปยังไงเรื่องซันกับอ้น คบกันแล้วเหรอ”

          “ยัง ฉันยังคบกับฐาอยู่” อยากขำแต่ก็ขำไม่ออกที่เห็นเท็ตเบิกตากว้างประหนึ่งเพิ่งรับรู้ว่าอีกห้าวินาทีอุกาบาตจะชนโลก “จริงดิ ยังคบกันอยู่จริงดิ นึกว่าเลิกคุยกันตั้งแต่ซันไปเยอรมันแล้วเสียอีก”

          “เปล่า น้องฐายังโทรมาหาตลอด ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันก็เลยไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธการรับสาย อีกอย่างน้องเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คนผิดคือฉันเองที่โลเลและคิดน้อย จริง ๆ เมื่อเช้าก็เพิ่งคุยกัน รู้แล้วด้วยว่าฉันตกม้าแต่ไม่รู้ว่าจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมได้หรือเปล่า” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดบทสนทนาคนที่คิดว่าอยู่ไกลเกินได้ยินจะมายืนซ้อนหลังแล้ววางแก้วน้ำแร่ลงตรงหน้าพร้อมยาก่อนอาหาร เขาไม่พูดอะไรเลย แค่เดินกลับไปเงียบ ๆ

          “มึงว่าอ้นของมึงดูแปลกตาไปบ้างไหม”

          ผมทันเห็นการหยักยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ ก่อนตรัสจะถามกลับ “หมายความว่าไง”

          “หมายถึงรูปลักษณ์ภาพนอก ไม่ก็การแสดงออกอะไรแบบนี้”

          “ก็ไม่นะ เหมือนเดิมทุกอย่างเลย ยกเว้นทรงผมกับสีผิว” ริมฝีปากระเรื่อชื้นน้ำองุ่นที่ไอ้ตรัสหันมองเป็นพัก ๆ เป็นฝ่ายตอบบ้าง ”อ้นผิวคล้ำลงคงเพราะแดด ส่วนทรงผมก็เห็น ๆ กันอยู่ ไม่เคยเห็นเปมทัตปล่อยยาวแล้วมัดแบบนั้นเลย เท่ดี กูไว้บ้างดีไหม”

          “ลองอ้อนตรัสดูสิ กูไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น”

          “อย่ารวนสิครับ ว่าแต่ซันถามแบบนี้จะสื่ออะไร อ้นไม่เหมือนเดิมยังไง”

          “พูดถึงความสูง หน้าตา หรือว่านิสัย ดูเปลี่ยนไปบ้างไหม” เท็ตคงไม่เข้าใจในคำถามของผมจริง ๆ ถึงได้ส่ายหน้าพลางนั่งลูบเส้นผมตัวเองแทนการคิดคำตอบก่อนจะลุกไปเดินเล่นในร้านของฝาก ผิดกับอีกคนที่เริ่มอรัมภบทถึงนิทานอุปมาน

          “อ้นคงเข้าใจถูกแล้วจริง ๆ เรื่องความเคยชิน เหมือนกับสิ่งของสักชิ้นที่เห็นเป็นประจำทุกวันจนชินตา ไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง หาความแตกต่างไม่พบจนกระทั่งวันหนึ่งที่สูญเสียมันไป กว่าจะกลับมาค้นเจออีกครั้งรูปลักษณ์ที่เคยจำได้ก็เริ่มเลือนหาย แทนที่ด้วยรูปโฉมใหม่ที่ไม่ได้แปลกไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอเลย” ตรัสเล่าช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย แต่ผมกลับจับใจความได้ชัดเจนทุกพยางค์

          “เรื่องความสูง อ้นสูงทันมึงตั้งแต่ม.ห้าแล้วซัน ส่วนหน้าตากูก็ไม่เห็นว่ามันเปลี่ยนไปตรงไหน มันไม่ได้เป็นเจ้าหญิงของใคร ๆ มานานแล้ว หนวดเครายาวเร็วกว่ากูเสียอีก ส่วนนิสัยต้องให้ไล่เลียงไหมว่ามันตรงกันข้ามกับหน้าสวย ๆ ของมันทุกอย่างเลย” ผมไม่ตอบแต่นั่งหายใจทิ้งไปหลายนาที ก่อนจะก้มหน้าลงหยิบยาขึ้นกรอกปาก

          “มีสมมติฐานง่าย ๆ จากทฤษฎีของลูกชายท่านทูตบอกเอาไว้ว่า...มึงอาจจะเห็นมันเป็นแค่ตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งท่ามกลางลิงทโมนในโรงเรียนชายล้วน ผิวพรรณที่ไม่ได้หยาบกร้านกับตาสีน้ำตาลเป็นต้นเหตุให้ทุกคนแต่งตั้งฉายาว่าเจ้าหญิง แต่รู้หรือเปล่าว่าเจ้าตัวคิดว่าคำชมพวกนั้นเป็นปมด้อย และรู้หรือเปล่าว่ามันเองก็ไม่ได้ทรมานน้อยไปกว่าใครที่ต้องข่มใจไม่ให้รู้สึกลึกซึ้งกับเพื่อนสนิท”

          จนถึงตรงนี้...สมองของผมทำงานเหมือนไฟฟ้าลัดวงจร

          “กูเองก็เพิ่งรู้ว่ามันคิดแบบนี้ตอนที่มันลาออกจากสถานทูต อ้นโทรหากูทุกวันตั้งแต่มึงหนีกลับมาโดยไม่บอกใคร” ผมหันมองคนที่ยังยิ้มได้ทั้งที่มีลูกค้ารุมล้อมจนไม่เป็นอันทำอะไร เขามีความรับผิดชอบสูงแต่ยังติดนิสัยขี้เกรงใจ “ลองทบทวนดูแล้วกัน ว่ามึงชอบที่มันเป็นมัน หรือแค่ผูกใจไว้กับคำว่ารักครั้งแรก”

          ผมสามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้เสียเวลา แต่ของแบบนี้ผมขอเก็บไว้พูดกับเจ้าตัวในเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า ส่วนท่านผู้ประสงค์ดีเองนั่นแหละที่ควรระวังศัพท์แสงให้มากกว่านี้เพราะเกรงว่าคนที่กำลังก้าวกลับมานั่งที่โต๊ะจะได้ยินคำแสลงหู

          “คุกกี้มะพร้าวกับลูกเกดอร่อยมากเลยว่ะ อ้นแกะให้ก็เลยแอบชิมไปหลายชิ้นเลย ไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับคุณเจ้าของสวนสัตว์”

          “จะว่าอะไรได้ พนักงานขายเองยังแอบกินทุกวันเลย หิวหรือยัง ไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม”

          “อย่าเพิ่ง ขอเดินดูรอบ ๆ ก่อนได้หรือเปล่าแดดร่มนานแล้ว ไปด้วยกันนะตรัส” สังเกตจากสีหน้าอ้อนได้อ้อนเอา ไอ้คุณชายไม่มีทางปฏิเสธได้แน่นอน

          เปมทัตเดินกลับมาหาผมอีกครั้งหลังจากปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านตรัสและเท็ดดี้แบร์ตกลงกันได้ว่าจะฝากท้องมื้อเย็นเป็นร้านอาหารแนวการ์เดนลอฟท์ที่ขับรถไปไม่เกินยี่สิบนาที ผมขอเวลาแต่งตัวโดยให้แขกสองคนไปรอที่รถแล้วจะรีบตามไป โดยมีเปมทัตเป็นขาที่สามพากลับมาที่บ้าน

          “โทรคุยกันบ่อยหรือ กับนิษฐา” ผมที่กำลังค้นกางเกงในตู้เสื้อผ้าต้องชะงักมือแล้วหันมองเจ้าของคำถาม

          “ไม่บ่อย ทำไม”

          “ฉันให้ซันอยู่ที่ห้องเพราะอยากให้พักผ่อน ไม่ใช่ฆ่าเวลาด้วยการโทรหาใครก็ได้ เข้าใจหรือเปล่า”

          “ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายโทรไป ส่วนใหญ่น้องโทรมาเอง”

          “ข้ออ้างมีตั้งเยอะแยะ ทำงาน นอนหลับ ไม่สบาย หรืออะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่คุยกันลับหลังฉันแบบนี้ เพราะต่อหน้าฉันเห็นแต่ซันโทรหาคนที่บ้านอย่างเดียว” ผมต้องวิเคราะห์อีกพักใหญ่ว่าทำอะไรผิด กว่าจะบรรลุก็ตอนที่ผมเลือกได้แล้วว่าจะใส่เชิ้ตสีไหน ซึ่งคนผิดไม่ใช่ใครหรอก แต่เป็นเขาเองที่จู่ ๆ ก็ชวนทะเลาะ

          หลังจากที่พยายามจะเดินตัวตรงแต่ไม่เป็นผล ผมจึงหันไปคว้าแขนคนข้างตัวแทนไม้เท้าที่ไม่ได้เอามาด้วย เราเถียงกันที่บ้านอยู่พักใหญ่เนื่องจากผมไม่อยากดูเหมือนคนพิการในที่สาธารณะ ทว่าท้ายที่สุดเปมก็ยอมแพ้แม้จะแกล้งทำเป็นใจร้ายไม่ช่วยพยุงเดินแต่ก็ไม่สะบัดแขนหนี

          ตรัสเปลี่ยนรถคันใหม่ไม่คุ้นตาแต่ผมก็พอจะแยกแยะได้ว่าไอ้หมีมันคงไม่ขับตามมาอีกคันให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และรถที่เพิ่งจอดเทียบหน้ารั้วก็ไม่ใช่รถของไอ้แซนเหมือนกัน เมื่อครู่ที่โทรถามมันก็นัดกันไว้ว่าจะไปเจอที่ร้านอาหารเลย ผมจึงไม่แน่ใจว่าลูกค้าที่มาใหม่จะจำเวลาฟาร์มปิดผิดหรือเปล่า

          “น้องซัน”

          “แม่...” เปมคงรู้สึกได้ว่าผมกำมือที่แขนของเขาแน่นมาก เพราะไม่ได้มีแต่แม่ของผมที่ก้าวลงจากรถคันนั้น คุณประภัสสรแม่ของเปมทัตก็ส่งยิ้มสวยเหมือนลูกชายตามมาติด ๆ และถ้าเรื่องประหลาดใจในเย็นวันนี้ยังเล่นงานไม่สาสม คนขับรถก็ไม่ใช่พนักงานของบ้านใดบ้านหนึ่งเหมือนกัน

          แต่เป็น...นายธาวิน

▩▩▩

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ยยยย ค้าง…………อยากอ่านต่อแล้ว

ทำ e-book ขายเถอะคะ ไม่อยากรอ

 :o12:

ออฟไลน์ AgotoZ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ค้างมากกกกกกกก มาต่อไวๆๆๆเถอะค่า   :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 675
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เอาเข้าไป เรื่องกำลังจะดีข้น ตัวแปรโผล่กันมาพรึบพั่บ

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
โอ้ย!!!!! อยากอ่านต่อเลยอ่ะ จะต่อประโยคให้ซันเลยว่า "วันนี้เป็นวันพบญาติ" รึเปล่าครับ 555555
อะไรมันจะมากันแบบไม่ได้นัดหมาย สู้ๆนะซันและคุณเปมด้วยจ้า :mew5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 ลุ้น :ling1: :ling1: :ling1:

ตรัส เท็ต  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ชอบเวลาเท็ตอ้อนตรัส

เอาล่ะสิ ซันศัตรูหัวใจคนเก่าก็มาด้วย
แต่ซันคงสบายใจแล้ว เพราะอ้นบอกให้ฟังแล้ว
ซัน ก็รีบดีกับอ้นเถอะ อ้นมาง้อซันแล้วนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ byeenn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กำลังจะดีกันอยู่แล้วเชียว วินจะกลับมาทำไมเนี่ย  :katai4: :katai4:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
แล้วเดี่ยวน้องฐา ก็จะตามมาใช่มั้ยคะ  :katai1:

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 14

          สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความโชคร้ายของมื้ออาหารที่สุดแสนเก้อเขินคือผมสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาตัวเองว่านายธาวินกับเปมทัตตัดขาดความสัมพันธ์กันจริงหรือไม่ ด้วยความที่เป็นคนประจักษนิยมผมจึงเฝ้ามองอากัปกิริยาของทุกคนรอบโต๊ะโดยเฉพาะท่านผู้อาวุโสทั้งสองที่กำลังสนทนาภาษาผู้หญิง

          “แม่บอกแล้วไงว่าวันนี้มีงานเลี้ยงเกษียณของคนรู้จักที่โรงแรมแถวนี้ ไม่มีเจตนาจะมาตำหนิเราเรื่องตกม้าอย่างที่พูดเล่นกับน้องอ้นทางโทรศัพท์ ไม่เห็นต้องทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นเลย” แม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดข้ามศีรษะของตรัสและเท็ตมาถึงผม ส่วนคุณประภัสสรและน้องอ้นของแม่กับอดีตคนรักของเขานั่งอยู่ข้างกันอีกฝั่งหนึ่งพร้อมด้วยไอ้แซนที่เมื่อแรกเห็นหน้าผมอยากจะคว้าไหล่มันมาต่อยแรง ๆ ให้สาสมกับความคิดถึง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่สวมกอดแน่น ๆ หนึ่งทีก่อนมันจะถูกคุณโฉมฉายสวดเสียกัณฑ์ใหญ่เป็นการชดเชย

          “ผมแค่รู้สึกเพลีย ๆ ครับแม่”

          “เจ็บแผลตรงไหนหรือเปล่าลูก” เป็นเสียงของคุณประภัสสรที่แสดงความโอบอ้อมอารี ส่วนลูกชายตัวจริงที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้วเลิกคิ้วสูงก่อนทำท่าจะลุกขึ้นมาหา แต่ผมยกฝ่ามือขึ้นปราม

          “ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น วันนี้ช่วงบ่ายอากาศค่อนข้างร้อนผมคงเพลียแดดเพราะไม่ได้ออกจากห้องหลายวันแล้ว” เปมทัตหรี่ตาเหมือนรู้ทัน ใครจะไปคิดล่ะว่าการสวมบทบาทเป็นนักสืบของผมจะแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย

          “ไม่เป็นไรแน่นะ” เท็ตที่นั่งข้างกันหันมากระซิบถาม ก่อนห่วงใยคนอื่นผมว่ามันควรเก็บอาการตื่นตะหนกเมื่อเห็นบริกรนำชีสกรูว์แยร์กับผลไม้ถาดใหญ่และไวน์ปีโนนัวร์มาเสิร์ฟ เดาได้ทันทีว่าท่านตรัสไม่เคยพาสุดที่รักผู้ติดดินของมันไปทานดินเนอร์แฟนซี

          “กูไม่เป็นไร แต่ชีสนั่นน่ะกินเป็นหรือเปล่า”

          “ไม่เป็นว่ะ ปกติกินกับพิซซ่าเพิ่งรู้ว่ามันเอามากินคู่กับผลไม้ได้ด้วย”

          “ชีสมันมีหลายชนิดเหมือนนมนั่นแหละ ทั้งนมวัว นมควาย นมแพะ ที่อยู่บนหน้าพิซซ่าส่วนใหญ่จะเป็นมอซซาเรลลา ส่วนชีสกรูว์แยร์เนี่ยตั้งชื่อตามเมืองต้นกำเนิดในสวิสเซอร์แลนด์ รสชาติออกหวานและติดเค็มนิดหน่อย อะลองดู กินกับองุ่นนี่ก่อนก็ได้ ถ้าไม่ชอบก็นั่งจิบไวน์ไปเฉย ๆ แล้วไม่ต้องพูดมาก” ทัศนัยรับไปชิมตามประสาคนซื่อก่อนจะเบ้หน้าแล้วคว้าแก้วไวน์มากระดก

          “กลิ่นมันแปลกไปหน่อย กูขอกินแต่ผลไม้แทนแล้วกัน” ไอ้หมีทำตามที่ปากว่าได้ครู่เดียวก็เปลี่ยนเรื่องคุยวกเข้าตัวผม “ว่าแต่รุ่นพี่ธาวินคนนั้นเขากลับมาทำไมไหนว่าตามอ้นไปทำงานที่เยอรมัน หรือว่าอุปทานหมู่ยกโขยงลาออกตามพวกมึงมาอีกคน ฟังดูน่าสนุกดีเหมือนหนังอินเดียที่วิ่งไล่จับกันข้ามประเทศ” เท็ตรับรู้ตัวตนของหมอนั่นได้ก็เพราะก่อนเดินทางมายังร้านอาหารมีการแนะนำตัวอย่างย่อ ด้วยว่าคนแปลกหน้าในกลุ่มพวกเรามีแค่นายธาวินเพียงคนเดียวจึงไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อให้มากความ

          “ตลก เห็นเป็นเรื่องตลกไปหมด เท็ตถามทำไม”

          “คือกูนั่งมองเขามาสักพักแล้วนะ แล้วความคิดของกูมันบอกว่าเขาคล้ายมึงมากเลยอะซัน กูไม่ได้พูดถึงหน้าตาหรอกเพราะคงไม่มีใครคล้ายมึงเท่าไอ้แซนอีกแล้ว แต่กูหมายถึงบุคลิกภาพ อย่างเช่นการแสดงสีหน้าหรือว่าการวางตัว ออร่าพี่เขาเหมือนมึงมากจริง ๆ มึงพอจะเข้าใจที่กูพูดไหมวะ” เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ แต่เมื่อมองผ่านใบหน้าของคนที่พูดฉอด ๆ แต่รักษาระดับความเบาได้อย่างน่าทึ่งก็พบกับการรอยยิ้มเล็ก ๆ ของไอ้เทพบุตรเหมือนกับว่ามันกำลังตั้งใจฟังทุกประโยคที่คนรักของมันพยายามอธิบาย แล้วเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ปริปากสักคำ

          “ยังไง”

          “ไม่รู้สิ บางทีมันอาจจะมีเหตผลบางอย่างซ่อนอยู่ในความคล้ายคลึงนี้ก็ได้”

          ก่อนกลับนายธาวินร้องขอให้เปมทัตไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวบริเวณสวนไม้ดัดด้านหน้าร้านก่อนที่จะพาคุณแม่ทั้งสองไปยังโรงแรมที่พวกท่านติดต่อสำรองที่พักไว้ แม่ของผมท่านทราบดีอยู่แล้วว่าที่ฟาร์มไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคน ส่วนผมใช้เวลาช่วงนี้สาวไส้ไอ้น้องชายฝาแฝดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันทำอะไรที่ไหนกับใคร

          “กูก็อยู่ที่รีสอร์ทคุณพีนั่นแหละ ที่เดิม ถ้ากูเปลี่ยนงานมึงก็รู้เป็นคนแรกอยู่แล้ว”

          “แล้วทำไมไม่โทรหาแม่บ้าง”

          “คนเรามันก็ต้องมีโหมดอึดอัดใจกันบ้างไม่ใช่หรือวะ กูกลัวว่าถ้าโทรไปแล้วจะหลุดปากเรื่องที่ไม่สมควรพูดเอามาก ๆ ซึ่งมันร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าถ้าแม่รู้ ท่านอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนคนที่อยากเป็นฝ่ายตัดขาดการติดต่อก็คือตัวท่านเอง”

          “มันเรื่องอะไรกันแน่วะแซน ทำไมแม่ต้องโกรธขนาดนั้น หลอกถามเอาจากเท็ตมันก็ไม่ยอมพูด บอกแต่ว่าถ้ามึงพร้อมก็คงจะเล่าเอง แล้วเมื่อไหร่มึงจะพร้อมสักที”

          “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ หยุดเรื่องของกูไว้แค่นี้เถอะ เรามาคุยเรื่องของมึงกับลูกชายคุณประภัสสรกันดีกว่า ยังไงวะ สรุปอ้นมันตามมึงมาทำอะไรที่นี่”

          “ปรับความเข้าใจ แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังไม่ยอมกลับบ้านสักที ที่ฟาร์มขาดคนก็เรื่องหนึ่งเพราะแค่กูโทรเรียกคนที่เคยมาสมัครเขาก็พร้อมเริ่มงานได้ทันที”

          “ไม่ใช่ว่าเพิ่งรู้ใจตัวเองหรอกหรือ”

          “ไอ้ตรัสเองก็พูดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน แต่กูไม่อยากเก็บเอาคำพูดไม่ชัดเจนมาคิดมากเพราะตัวอย่างก็มีให้เห็น ดูอย่างไอ้หมีก่อนหน้านี้สิ ความสัมพันธ์ทางกายล่วงหน้าไปถึงไหนต่อไหน แต่กลับหลอกหัวใจตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไร”

          “แต่รอบนี้กูเห็นเองกับตา ที่โต๊ะอาหารอ้นมองมึงอย่างกับว่าถ้ากะพริบตาแล้วมึงจะหายตัวไปอีกรอบอย่างนั้นแหละ ปกติมันเป็นคนเก็บอาการจะตายไป”

          “แปลกตรงไหน เขาแค่อยากสังเกตปฏิกิริยาของกูที่เห็นนายธาวินตัวเป็น ๆ มานั่งให้เหม็นขี้หน้า คนบ้าอะไรตายยากฉิบ คิดว่าชาตินี้จะไม่ต้องเจอกันแล้วเสียอีก”

          “เออ กูเองก็ไม่ถูกชะตา กูอยากขอโทษมึงเรื่องน้องฐาด้วย รู้ทั้งรู้ว่ามึงเป็นพวกปฏิเสธคนไม่เป็นแต่ก็ยังอุตริอยากเป็นพ่อสื่อช่วยทอดสะพานมาให้ กูก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เลยเถิดจนกู่ไม่กลับ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะ กูเริ่มคิดได้แล้วว่าถ้าปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้น้องจะยิ่งน่าสงสาร นิษฐาเป็นเด็กดี ในอนาคตอาจจะเจอคนที่รักและจริงใจไม่ตีค่าแค่เป็นตัวแทนของใครเหมือนอย่างที่พวกเราทำลงไป”

          “ต้องบอกน้องด้วยไหมว่าทั้งหมดเป็นแผนของมึงกับเท็ต”

          “อย่าเชียวนะเว้ย ถึงขั้นเสียหมามองหน้าไม่ติดเลยเถอะ กูนี่รุ่นพี่ดีเด่นเลยนะครับ บอกไม่ได้เด็ดขาด”

          “กูต้องรับผิดคนเดียวเลยอย่างนั้นสิ”

          “ใช่ เพราะคนที่จูบนิษฐามีแค่มึงคนเดียว” แซนมันยกยิ้มมุมปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เพราะเสียงที่ดังขึ้นชิดท้ายทอยของผมทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วถึงขั้นติดลบ “กลับกันหรือยัง”

          “ปะ...ไปสิ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องติดอ่าง แค่เห็นประกายแวววาวในดวงตาของน้องชายแล้วพอจะอ่านสถานการณ์ได้อย่างเดียวว่ามันจงใจเปิดเผยความลับ

          ศาสตราวุธ...ไอ้คนทรยศ

          หลังจากตรัสขับรถมาส่งผมกับเปมทัตที่ฟาร์มแล้วต้องเดินทางกลับเมืองหลวงทันทีเพราะวันรุ่งขึ้นมีงานสำคัญรออยู่ ส่วนไอ้แซนตัดสินใจวอล์คอินพักโรงแรมเดียวกันกับแม่ด้วยว่ามีเรื่องให้เทศนากันยาว ผมจะไม่ขอแสดงความเห็นใจใด ๆ เพราะมันก็สร้างเรื่องเอาไว้ได้เจ็บแสบไม่ต่างกัน

          เปมรับแล็ปท็อปที่ดูคุ้นตามาจากเท็ตก่อนจะร่ำลากันพอเป็นพิธี ส่วนผมแค่อวยพรให้คู่รักทรหดเดินทางอย่างปลอดภัยและสัญญาว่าจะรีบรักษาตัวให้หายเพื่องานรับตำแหน่งประธานของไอ้คุณชาย ซึ่งดูจากลักษณะการก้าวย่างของผมในตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงและคงหายทันสัปดาห์หน้า

          แต่ปัญหาที่น่ากังวลเห็นจะเป็นคนที่กลับถึงบ้านก็หลบไปอาบน้ำโดยไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ผมนั่งมองคอมพิวเตอร์ของเขาที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า เปมทัตคงเบื่อการนอนฟังเสียงแมลงกับสายลมแล้วจริง ๆ

          “เอามาคอมฯ มาดูหนังฟังเพลง ที่นี่น่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือ” อยากรู้ก็ต้องถามเมื่อคนที่ตอบได้ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดลำลอง แต่คำตอบมันค่อนข้างพลิกโผไปแสนไกล

          “เอามาทำบัญชี เห็นซันนั่งทำแบบแมนนวลอยู่ได้ ว่างมากนักหรือไง”

          “ก็...ไม่ได้ยุ่งอะไรนี่”

          “แต่แบบนี้มันน่าเชื่อถือมากกว่า ฉันบอกให้ตรัสลงโปรแกรมไว้แล้วด้วย พรุ่งนี้ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ลองกรอกข้อมูลดูแล้วกัน เดี๋ยวฉันช่วยตรวจสอบให้”

          “ขอบใจ” ผมพูดเบา ๆ ก่อนเดินกะโผลกกะเผลกไปอาบน้ำบ้าง คาดหวังว่าหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเห็นเปมทัตนอนหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้าเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่วันนี้เขากลับยังนอนพิงพนักเตียงในมือถือโทรศัพท์เหมือนกำลังพิมพ์อะไรบางอย่าง กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมเขาก็วางอุปกรณ์สื่อสารลงข้างหมอน ก่อนจะเลื่อนตัวลงนอนมองผมเดินไปปิดไฟจนเหลือเพียงแสงจากโคมหน้าบ้านที่เล็ดลอดบานหน้าต่างเข้ามา

          “ไม่ง่วงหรือ” ผมถามขณะแทรกตัวใต้ผ้าห่ม เครื่องปรับอากาศไม่ถูกเปิดใช้งานเพราะคืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นต่างจากความระอุเดือดของแดดเที่ยงวัน เปมทัตตอบรับด้วยเสียงต่ำในลำคอก่อนจะเงียบไปอีกหนจนผมนึกว่าเขาหลับไปแล้ว แต่เมื่อภูเขาหมอนที่คั่นกลางระหว่างเราค่อย ๆ หายไปทีละใบผมจึงมั่นใจว่าเขายังมีสติเต็มร้อย

          “ฉันได้ยินที่แซนพูดถึงนิษฐา เป็นความจริงหรือเปล่า”

          “เรื่องไหน เราคุยกันหลายเรื่อง”

          “ซันรู้ดีว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร” เขาพูดถูก แต่ก็เพราะการอ่านใจได้นี่เองที่ทำให้ผมต้องย้อนถาม ด้วยสาเหตุหลักคืออยากมั่นใจว่าเขาแคร์หรือแค่ถามลอย ๆ ถึงประโยคที่ฟังผ่านหู เหลือบมองเครื่องหมายคำถามในดวงตาที่ฉายชัดผ่านความมืดแล้วต้องส่งมือไปยื้อปราการด่านสุดท้ายไว้ข้างตัว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกผิดกับแค่การแสดงออกทางเพศที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน คล้ายว่าความต้องการของผมถูกผูกขาดไว้เพียงแค่เขาตั้งแต่รู้ตัวว่าแอบมีใจ ไม่ยุติธรรมเลย

          “แค่จูบ แค่การแสดงความรักรูปแบบหนึ่งมันแปลกมากหรือ”

          “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าซันรักน้อง” ผมเลือกที่จะไม่ตอบเพราะคำพูดมันติดค้างอยู่ที่ปลายลิ้น แม้การที่คนรอฟังเขาเท้าแขนขึ้นมาจ้องหน้ากันตรง ๆ จะทำให้สมองของผมกลายสภาพเป็นเนบิวลาไร้ค่าไปโดยปริยายก็ตาม

          “รักตั้งแต่ตอนไหน เล่าให้ฟังได้ไหม”

          “เปมไม่ง่วงแต่ฉันง่วงแล้ว นอนเถอะ” บางครั้งบางคราวความรักก็ทำให้คนเราขี้ขลาดได้อย่างน่าประหลาด พอจะเข้าใจความรู้สึกของเท็ดดี้แบร์คนปากแข็งขึ้นมาลางเลา เรื่องบางเรื่องมันยากที่จะอธิบายและไร้เหตุผลจนน่าโมโห

          “ฉันทำให้ซันลำบากใจหรือเปล่า ความจริงแล้วซันไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่แต่เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนก็เลยไม่กล้าออกปากอย่างจริงจังอย่างนั้นใช่ไหม” น่าสับสนและปวดใจ ผมอยู่ในช่วงวัยที่ไม่สมควรจะทะเลาะกับใครด้วยปัญหาการสื่อสารไม่ชัดเจน แต่ในเวลาอย่างนี้ เวลาที่มีสายตาสัมผัสถึงทุกความเคลื่อนไหวผมไม่อาจปล่อยให้สิ่งที่เก็บอยู่ในใจพรั่งพรูออกมา ไม่ใช่ไม่กล้าแต่ผมกลัวว่าจะหยุดมันไม่ได้

          “ไม่ใช่”

          “แค่ซันพูดมาคำเดียว ฉันจะกลับพร้อมแม่พรุ่งนี้”

          “ก็บอกว่าไม่ใช่” ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียงแต่เพราะทุกสรรพสิ่งกำลังเงียบสงัด “ฉันอยากให้เปมอยู่ที่นี่ ฉันดีใจที่เปมมา พอใจหรือยัง” เขาไม่ตอบแค่ถอนหายใจก่อนขยับถอยไปนอนหนุนหมอนของเขา ส่วนหมอนส่วนกลางอีกใบที่ยังอยู่ในมือของผมถูกวางไว้เป็นกำแพงอีกครั้งก่อนปล่อยให้ความเงียบช่วยกล่อมนอนเพราะผมเหนื่อยเกินกว่าจะโต้เถียงด้วยเรื่องที่ห่างไกลความจริง แต่เปมทัตกลับยังไม่ละความพยายามที่จะทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าที่เป็นอยู่

          “ซันรู้สาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ฉันเลิกกับวินครั้งแรกหรือเปล่า มันไม่ใช่เพราะเขานอกใจหรือมีมือที่สามเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจ เราทะเลาะกันรุนแรงก่อนหน้านั้นหลายครั้ง เพราะอะไรรู้ไหม” ผมจ้องมองเพดานที่มีเงาของผ้าม่านพลิ้วไหวไปมา เนื้อเสียงทุ้มกังวานทำให้ความเย็นของอากาศภายในห้องอบอ้าวขึ้นมาทันตา

          “ส่วนเดียวในร่างกายที่ฉันกับเขาเคยสัมผัสต้องกันคือ...มือ หรืออย่างมากก็แค่โอบไหล่ไม่เคยลึกซึ้งไปกว่านั้น ฉันจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเสาะหาใครอื่นที่พร้อมยอมให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ยอมให้ในสิ่งที่ฉันไม่พร้อมจะให้” ฝ่ามืออ่อนนุ่มแทรกผ่านผ้าห่มมากอบกุมมือของผมไว้

          “ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาเหมือนสายลมฤดูหนาวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตอนที่ซันถามฉันว่าเสียใจไหมที่ต้องเลิกกัน ฉันตอบว่าเสียใจ ความจริงไม่ใช่เพราะการเลิกราแต่เพราะซันทำเหมือนกับว่าฉันไม่อยู่ในสายตาอีกแล้วต่างหาก และนั่นคือสิ่งเดียวฉันยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เรา...อยู่เคียงข้างกันมานานเกินไป” ผมสะดุดลมหายใจตัวเองอีกครั้ง ผิวหน้าร้อนผะผ่าวเหมือนกำลังอ่านบทอัศจรรย์ในวรรณกรรมชั้นยอด แต่อีกฝ่ายกลับพูดปาว ๆ เหมือนเล่านิทานกล่อมเด็ก ต่างก็เพียงกระแสเสียงที่สั่นเครือกับผิวมือที่เย็นจัด

          สรุปแล้ว...ผมผิดเต็มประตูที่ปล่อยใจไปจูบกับนิษฐา ทั้งที่ตัวเขาเองคบ ๆ เลิก ๆ กับนายธาวินหลายครั้งยังทำมากที่สุดแค่เพียงจับมือ อย่างนั้นใช่ไหม

          นิ้วมือที่สอดประสานกันทั้งคืนหายไปในเวลาย่ำรุ่ง เหลือเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ ในหัวใจตอนที่ผมลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันด้วยสังขารกะปลกกะเปลี้ย แว่วเสียงเครื่องตัดหญ้าที่คาดว่าพี่เสือจะได้ฤกษ์จัดการความรกร้างของคอกกลางแจ้งเสียทีหลังจากมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอแวะมาทักทาย ตั้งใจว่าจะเปิดคอมพิวเตอร์ของเปมทัตเพื่อเริ่มต้นทำบัญชีแต่กลับมีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะและคนที่อยู่หลังประตูก็ไม่ใช่คนที่คิดเอาไว้เสียด้วย

          “ทำหน้าอย่างกับเห็นผี แม่จะมาหาเราอีกไม่ได้หรือไง เมื่อวานนี้ยังไม่ทันได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย” ไอ้แซนที่ยืนอยู่ข้างท่านกำลังอมยิ้มเยาะเย้ยคล้ายว่าถึงตาผมแล้วที่ต้องโดนสังคายนา แต่บังเอิญว่าข้อหาลูกรักที่ใกล้ถูกตัดจากกองมรดกมีแค่มันคนเดียว

          “ไม่ครับผมแค่แปลกใจ เข้ามาข้างในก่อนไหมครับ แม่ทานอะไรมาหรือยัง”

          “เรียบร้อยจากที่โรงแรมแล้ว เรามานั่งคุยกันที่ระเบียงนี่ก็ได้ อากาศกำลังดี” แซนชะโงกหน้าผ่านกรอบประตูเข้ามาสอดส่องภายในก่อนจะเห็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้มันตาโต

          “เตียงห้าฟุตเนี่ยนะ พวกมึงนอนทับกันหรือยังไง”

          “เปมมากะทันหันกูจะเอาเวลาที่ไหนหาเตียงสำรอง แค่นี้ห้องกูก็แทบจะไม่มีที่เดินอยู่แล้ว ความคิดของมึงสกปรกไม่เคยเปลี่ยน” โชคดีที่แม่เดินห่างออกไปเพื่อหย่อนตัวนั่งบนเปลไม้หวาย ท่านจึงไม่ได้ยินการโต้เถียงที่อย่างมากก็ทำได้เพียงใส่อารมณ์กับมือไม้มากกว่าคำพูด

          “ข้ออ้าง ข้ออ้างทั้งนั้นว่ะ”

          “ถ้าไม่เลิกรวนกูจะยุให้แม่เค้นถามความลับของมึง และกูไม่ได้ล้อเล่น” ไม่หวังว่าจะเห็นมันทำหน้าตื่นกลัวเพราะนอกจะไม่เลิกหยอกด้วยสายตาแล้วยังมีหน้ามายิ้มปากคว่ำเหมือนจับไต๋ได้ แต่รู้เอาไว้เถอะแซนว่าฝ่ายที่เสียเปรียบไม่ใช่เปมทัตแน่นอน

          “คนชับรถของแม่ไปไหนเสียล่ะครับ”

          “คุณธาวินขับรถพาคุณประภัสสรกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่เห็นว่ามีธุระสำคัญ ส่วนแม่ตั้งใจจะลากเจ้าแซนกลับบ้านพอดีเลยถือโอกาสนี้บังคับเจ้าลูกตัวแสบให้ไปส่งเพราะแม่ยังไม่อยากกลับ”

          “ดีครับ” ถึงคราวผมยกยิ้มเย้ย แซนมันไม่ต่อความแค่เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างกันเงียบ ๆ เมื่อมองผ่านต้นไม้และทางเดินหินสีจะเห็นว่าพี่ยักษ์ยังยืนอยู่ไม่ไกลจากคอกม้าพร้อมด้วยเครื่องตัดหญ้า ส่วนคนผิวขาวจัดที่ควรจะยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านของฝากก็กำลังยืนท้าแสงแดดอยู่แถวนั้นเหมือนกัน

          “ดูเถอะ ถ้าคุณประภัสสรมาเห็นว่าเราใช้ลูกเขาเยี่ยงกรรมกรแม่คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน แปลกใจอยู่เชียวว่าทำไมเมื่อคืนน้องอ้นถึงดูคล้ำนัก นึกว่าเป็นเพราะแสงในร้าน ที่ไหนได้เราให้ลูกเขาทำงานกร้านแดดกร้านลมถึงขนาดนี้เลยหรือเจ้าซัน”

          “ผมเป็นคนเอ่ยปากใช้งานเขาเสียที่ไหนล่ะครับ เปมทัตเสนอตัวทำเองทั้งนั้น เตือนก็แล้วห้ามก็แล้วแต่เขาก็ไม่เคยฟัง หน้าที่จริง ๆ ของเขาคือแคชเชียร์ร้านของที่ระลึกนะครับแม่ แต่ที่เห็นนี่เป็นความปรารถนาดีเกินไปของเขาเองทั้งนั้น ถ้าผมผิด อ้นของแม่ก็ผิดครึ่งหนึ่ง”

          “ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลเขาให้สมกับความทุ่มเทหน่อยแล้วกัน เราเองก็เถอะแม่เบื่อจะทักเรื่องผิวพรรณหน้าตาแล้วนะ อีกนิดเดียวก็เงาะป่าแล้วนะซัน แม่ขอร้องล่ะเรื่องทาครีมกันแดด” ไอ้แซนขำพรืดทั้งที่ตัวมันเองก็หมองลงผิดตา แต่ก่อนแต่ไรผมไม่เคยเห็นประโยชน์ของเครื่องประทินผิว แต่เมื่อแม่บ่นเอามาก ๆ ก็ต้องจำทนทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำจนบางครั้งได้รับสายตาแปลก ๆ จากเพื่อนร่วมห้อง             

          “พ่อสบายดีนะครับ”

          “พ่อสบายดี แต่เพราะงานที่ไร่องุ่นเลยทำให้มาหาเราบ่อยมากไม่ได้ เราสองคนอยากไปไร่ของพ่อบ้างไหมล่ะ”

          “ผมเคยไปแล้วแต่ก็อยากกลับไปอีกเหมือนกัน บรรยากาศคล้าย ๆ ฟาร์มนี้แต่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี” ไอ้แซนคงเคยไปตั้งแต่คราวที่ผมพาแม่มาสำรวจที่นี่เพื่อตัดสินใจซื้อขายส่วนมันแยกไปกับพ่อ ถ้ามันไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาผมเองก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเป็นสมาชิกคนเดียวในบ้านที่ยังไม่เคยไปเยือนธุรกิจรอง

          “แล้วขาเราเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า แล้วนี่กินข้าวกินปลาหรือยัง”

          “ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บหรอกครับ มันชามากกว่า ส่วนข้าวเช้าอีกสักพักคนจากครัวของคุณยายขวัญคงเอามาส่งให้ คุณยายขวัญเรือนที่แม่เจอตอนงานแข่งม้าจำได้ไหมครับ”

          “จำได้สิ คุณยายเป็นคนคุยสนุกมาก ความจริงที่แม่ยังไม่อยากกลับบ้านก็เพราะต้องการมาไหว้ขอพรจากท่านก่อน โรงครัวอยู่ที่ไหนล่ะซันพาแม่ไปหน่อยได้ไหม” ด้วยความอายุยืนของท่านเพียงแค่กล่าวถึงหญิงสูงวัยในชุดผ้าไทยก็ปรากฏตัวที่ทางเดินหน้าบ้านพร้อมถาดอาหารในมือ รอยยิ้มสวยโดดเด่นด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์สว่างไสวเหมือนแสงแดดยามเช้า

          “อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาย ทำไมวันนี้มาเองล่ะครับ ลูกมือไปไหนกันหมด”

          “ยายได้ยินจากพ่อเสือบอกว่าคุณแม่ของคุณซันมา ยายเลยเดาสุ่มเอาว่าน่าจะอยู่กันที่นี่ แล้วก็คิดไม่ผิดจริง ๆ” ผมรับถาดอาหารหลังจากยกมือไหว้คุณยายพร้อมไอ้แซน คุณแม่เองก็เช่นกันแต่มีอ้อมกอดเป็นเครื่องยืนยันด้วยว่าท่านทั้งสองสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคุย

          ผมใช้เวลากับมื้อเช้าไม่นานเพราะมีสัมภเวสีช่วยทานอยู่ไม่ห่างก่อนจะปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้คุยกันตามประสาคนไกล ผมกับไอ้แซนเดินอ้อยอิ่งมายังธารน้ำเพื่อยืดเส้นยืนสาย

          “กูนอนเอาตีนก่ายหน้าผากคิดมาทั้งคืนแล้วว่าถ้าคนบนใบโลกนี้เป็นศัตรูกับกูทั้งหมด คนเดียวที่ยังคิดจะปกป้องกูอยู่ก็คงจะมีแค่มึง เพราะฉะนั้นเรื่องต่อไปนี้ที่กูกำลังจะเล่าให้ฟัง มึงช่วยรับฟังเฉย ๆ อย่าเพิ่งตำหนิหรือออกความเห็นได้ไหม” ผมจ้องหน้ามันครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ไม่แน่ใจว่าอรัมภบทยาวเหยียดนั้นเกี่ยวข้องกับความลับที่เก็บงำมาตลอดมากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ดีใจที่ในที่สุดมันก็รับรู้เสียทีว่าผมมีแต่ความหวังดีหยิบยื่นให้

          “คือ...กูแค่คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้ามึงรับรู้จากปากกู ไม่ใช่คนอื่น และไม่ได้ผ่านเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ตาจ้องตาแล้วระบายกันตรง ๆ แบบนี้”

          “อืม กูเข้าใจ กูรอได้ ค่อย ๆ เล่า”

          “กูขอเกริ่นก่อนว่าไม่ใช่เพราะว่ามึงกับอ้น หรือตรัสกับเท็ตเป็นต้นเหตุให้กูเป็นแบบนี้ แต่คงเพราะเวรกรรมที่กูทำไว้กับผู้หญิงหลายคนกำลังตามทันโดยไม่ต้องรอชาติหน้า หรือไม่ก็เพราะว่ากูไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง”

          “เรื่อง...”

          “เรื่องความรักระหว่างผู้ชาย” ทั้งที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้แต่ไม่รู้ทำไมพื้นผิวไผ่ถึงได้วูบไหวแปลก ๆ แค่ถ้อยคำเกริ่นนำก็ทำให้รู้สึกได้ถึงลางหายนะ “กูไม่เคยรักพิชญ์เลยมึงรู้ดี แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกที่มีต่อพี่ชายของเขาถึงได้ตรงกันข้ามขนาดนี้”

          “มึงรักคุณพีระมิด”

          “มันมากมายเกินกว่านั้นมานานแล้ว จนถึงตอนนี้เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของกู...”

          “...กูจะบอกแม่ยังไงดี”

▩▩▩

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ว่าเรื่องของซันยังคลุมเครือแล้วนะ เรื่องของแซนยิ่งหนักกว่าอีกอ่ะจ้า ลุ้นๆ .....แต่เราว่ามันก็ต้องผ่านไปได้ซิหน่าใช่มั้ยจ๊ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด