เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93  (อ่าน 945518 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
:hao3: :hao3: :hao3:
จะพยายามมาลงบ่อย ๆ นะคะ อย่าเพิ่งท้อใจกับนักเขียนสันหลังยาวคนนี้เลยน้า~

ทฤษฎี : บทที่ 2

          ผมบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ปะดังปะเดเข้ามาในเวลานี้คืออะไร แต่ที่แน่ ๆ คำแรกที่หลุดออกจากปากไม่ใช่การทักทายแสนสุภาพอย่างกล่าวสวัสดีแล้วประนมมือไหว้ ผมเผลอเรียกชื่อพี่เขาแผ่วเบาแล้วหยุดฝีเท้าเพียงแค่นั้น ใบหน้าด้านชาระดับที่ไม่คณามือไอ้ตรัส ไม่อยากถามถึงความเป็นมาเป็นไป รู้เพียงว่าสีหน้าของเปมตอนนี้ไม่สู้ดีและมีความเสี่ยงสูงว่าผมจะใช้น้ำเสียงกรรโชกแทนการโอภาปราศรัย

          “ผมขอตัวนะครับ” เสียงแหบแห้งของเปมช่วยเตือนให้ผมผ่อนลมหายใจอีกครั้งหลังจากหยุดนิ่งไปหลายวินาที ผมทำได้เพียงสาวเท้าตามแรงดึงจากชายเสื้อสูท โดยไม่คิดจะมองย้อนกลับไปหาคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

          ทั้งที่อยากเห็นหน้าคนอมทุกข์ยิ้มได้สักครั้งในรอบสัปดาห์เมื่อเห็นหน้าเพื่อนสนิทบินลัดฟ้ามาหาถึงห้องพัก แต่สถานการณ์กลับตาลปัตร เป็นตรัสเสียอีกที่เป็นฝ่ายประหลาดใจเมื่อเห็นขอบตาชื้นของคนที่โปรดปราณการยิ้มแย้มมากกว่าสิ่งใด เปมยกมุมปากเจื่อน ๆ ขณะเดินไปจับไหล่ตรัสเพื่อทักทาย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว

          “เกิดอะไรขึ้น” ผมส่ายหน้าแล้วเหลือบมองแฟ้มเอกสารที่เปมหยิบติดมือมา และคล้ายว่าตรัสจะอ่านใจผมออก มันคว้ามาเปิดโดยไม่ขออนุญาตให้มากความ

          “แฟ้มประวัติ...ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจเเละการพาณิชย์” ตรัสพึมพำก่อนจะยื่นมันมาให้ผมเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม และคำตอบเดียวที่ผมจะให้ได้คือความเงียบ กระนั้นการกระวัดสายตาบนหน้ากระดาษก็ทำให้คุณชายถึงกับหรี่ตาอย่างฉุกใจ

          “ธาวิน หรือว่า...” ผมพยักหน้า อากัปกิริยาของไอ้คุณชายบอกผมได้ดีว่าแปลกใจแค่ไหน มันบังเอิญเกินไปจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะโลกกลมหรือผมมีกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน

          เปมเดินกลับออกมาจากห้องครัวพร้อมแก้วน้ำสำหรับตรัสและผม ก่อนจะหยิบแฟ้มเจ้าปัญหาแล้วพูดเปรย ๆ ว่าขอกลับห้องไปทำธุระส่วนตัว ช่วงค่ำ ๆ จะกลับมาพร้อมคำอธิบาย

          ผมมองตรัสยืนจ้องจอโทรศัพท์พร้อมถือขวดเบียร์อยู่ตรงระเบียงมานานร่วมชั่วโมง แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่ามันโทรหาใครสักที เลา ๆ ว่าน่าจะรอใครบางคนเขาโทรหาเสียมากกว่า ส่วนตัวผมได้แต่ลอบถอนใจกับแฟ้มประวัติสลับกับการเหลือบมองประตูห้อง

          เอาเข้าจริงเปมก็ไม่ได้กลับมาที่ห้องผมเลยตลอดทั้งคืน ผมนอนไม่หลับ สาเหตุหลักคงหนีไม่พ้นความกังวลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานใหม่ของเปมทัต และสาเหตุรองที่ยังเห็นอยู่ตำตา คุณชายตรัสลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านฉัตรพันธ์กำลังนั่งพิงพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ มิหนำซ้ำรอบตัวยังรายล้อมด้วยขวดเบียร์นับสิบ

          โชคดีเหลือเกินที่วันนี้เป็นวันหยุด ผมนึกชังน้ำหน้านายธาวินตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอตอนมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อน ยิ่งรู้วีรกรรมที่เขาก่อไว้กับเปมยิ่งเจ็บใจหนัก ถึงขั้นไม่อยากหายใจร่วมอากาศเดียวกันด้วยซ้ำ และนั่นคงเป็นเรื่องยากถ้าหากผมต้องก้าวเข้าสถานทูตในวันนี้ ผมตัดสินใจเหยียดตัวลุกขึ้น ใช้เวลาทำธุระในห้องน้ำครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปยังห้องตรงกันข้าม ปล่อยให้ตรัสนอนอยู่อย่างนั้นไม่รู้วันรู้คืน

          ผมเคาะประตูเบา ๆ ไม่กี่ครั้ง เจ้าของห้องที่ยังสวมเชิ้ตตัวเดิมก็ยอมเปิดประตูกว้างให้ผมล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ขอบตาคล้ำของเปมบอกผมได้ดีว่าเขานอนหลับสนิทแค่ไหน เห็นได้จากผ้าปูเตียงที่ยังไม่มีรอยยับย่นสักนิดยิ่งมั่นใจหนัก มีเพียงคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้และกระป๋องน้ำอัดลมที่วางอยู่ข้างกันเป็นหลักฐานว่าทั้งคืนเปมสูญเวลาไปกับอะไร

          “ทำงานทั้งคืนเลยหรือ” เปมยิ้มหน่าย ๆ พร้อมกับลูบท้ายทอย “ง่วงก็นอนก่อนนะ ฉันจะปิดคอมฯ ให้ ไว้ช่วงบ่ายออกไปหาอะไรทานกัน” ผมกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเอาใจ เปมว่าง่ายเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอน

          “ขอบใจนะซัน”

          “อยากอาบน้ำก่อนไหม”

          “ไม่ล่ะ ตอนบ่ายรบกวนปลุกฉันหน่อยแล้วกัน” ผมพยักหน้าพลางเดินไปปิดม่านให้อย่างเบามือ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟามองเจ้าของห้องที่ค่อย ๆ ปิดเปลือกตา ผมผ่อนลมหายใจ ไม่ดังนักแต่ก็ช่วยให้ความอัดอั้นในอกมันระบายออกมาได้บ้าง

          ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบคนแพ้อย่างนี้ ไม่มีเลยสักหนที่ผมจะแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ ทำได้เพียงเดินตามรอยเท้าที่เปมเหยียบย่ำนำทางไว้ให้ ไม่แม้แต่จะคิดบิดพลิ้ว ทั้งที่ก้าวเร็วขึ้นอีกนิดผมก็จะนำเขาอยู่แล้วแท้ ๆ แต่ผมเลือกที่จะมองแผ่นหลังเขาอยู่อย่างนี้...เรื่อยมา

          ครั้งสุดท้ายที่เห็นเปมเสียใจผมยังจำได้ดี มีเพียงฝ่ามือบนหัวไหล่ที่ช่วยปลอบโยนไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ถึงจะอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้เลยสักครั้ง มีเพียงแววตาที่สะท้อนบอกผมว่าเขาเป็นทุกข์ใจ และนั่นคือเหตุผลที่ผมเกลียดรักแรกของเขามากกว่าใคร

          ตั้งแต่รู้จักกันมาชีวิตของเปมทัตมีแต่ความสงบสุข จิตใจแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง ผลการเรียนดีเด่น อีกทั้งยังมีบุพการีคอยสนับสนุนทุกกิจกรรม ไม่มีใครหน้าไหนกล้าขัดใจผู้ชายคนนี้ แม้แต่ผมเองที่เป็นเพื่อนสนิท เส้นกั้นแบ่งความสัมพันธ์จะแน่นหนาแค่ไหน ผมยังไม่เคยอาจหาญล่วงล้ำเลยสักหน แล้วคนอย่างหมอนั่นกล้าดียังไง

          หนึ่งปีครึ่งกับความห่างเหินที่เปมหยิบยื่นให้ ผมไม่มีวันลืม ตั้งแต่ปีสุดท้ายของมัธยมปลายจนเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก จากคนที่เคยนั่งข้างกันเวลาเรียนกลับกลายเป็นความว่างเปล่า ผมต้องกลับคอนโดฯ คนเดียว กินข้าวคนเดียว ขับรถเล่นคนเดียว ผมไม่ใช่คนขี้เหงาถึงขนาดต้องคว้าเอาใครก็ได้มาแก้ขัด จึงไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเก็บคำล้อเลียนของเพื่อนมัธยมมาใส่ใจเวลาเจอกันในงานคืนสู่เหย้า ผมไม่ได้รอให้อ้นของเพื่อน ๆ มารับรัก ไม่เคยคิดให้เขาสงสารหรือเห็นใจ ไม่แม้แต่จะสาปแช่งให้พวกเขาเลิกกัน ผมภูมิใจด้วยซ้ำที่เปมวางผมไว้แค่ความเป็นเพื่อน ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาดสะบั้นง่าย ๆ เหมือนอย่างคำว่า ‘เราเลิกกัน’

          เปมขยับตัวตอนที่ผมลุกขึ้นมารินน้ำดื่มจากตู้เย็นก่อนจะกลับไปนั่งมองคนนอนหลับตรงโซฟาที่เดิม เพียงแค่เห็นเขากินอิ่ม นอนหลับสบาย เท่านี้เองความสุขง่าย ๆ ที่หาได้รายวัน เสียแต่ว่าความสุขของผมกำลังถูกบดบังด้วยหมอกควันจาง ๆ คล้ายมลพิษ มลพิษแสนอันตรายที่ชื่อว่านายธาวิน ประกรพิเภก

          ผมมองนาฬิกาดิจิตอลข้างหัวเตียงบอกเวลาบ่ายสองโมงตรง ตัดสินใจว่าถ้าคนบ้างานเขาอยากนอนผมก็จะปล่อยให้เขานอนไปก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที แต่ทว่าเสียงลูกบิดประตูคงจะดังเกินไป เปมจึงหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถามผมด้วยเสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นนอน

          “ไปไหน”

          “จะกลับห้องไปดูไอ้คุณตรัสมันหน่อย เมื่อคืนมันหลับไปทั้งที่มือยังถือขวดเบียร์อยู่ด้วยซ้ำ ไม่รู้ป่านนี้ตื่นหรือยัง” เปมยิ้มน้อย ๆ ทั้งที่ตาปรือจนเกือบปิดสนิท

          “ทะเลาะกับเท็ตใช่ไหม”

          “ก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้คนอย่างไอ้ตรัสจะเป็นจะตาย หิวหรือยัง” ผมจงใจเลี่ยงประเด็นเพราะไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องทุกข์ใจของใครอื่น ทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องหนักหนารออยู่ข้างหน้า

          “กลับไปรอที่ห้องก่อนก็ได้ ขออาบน้ำสักห้านาทีแล้วจะตามไป” ผมยิ้มรับคนที่พูดจบก็ก้มหน้าหาวกับฝ่ามือทั้งสองข้าง

          ท่านตรัสของเท็ดดี้แบร์นั้นสบายดีไม่มีอาการแฮงค์โอเวอร์ มันอาบน้ำเรียบร้อยแล้วตอนที่ผมก้าวกลับเข้ามาในห้อง เห็นมันนั่งสารวนอยู่บนโซฟากับแท็บเล็ตคู่ใจ เปรย ๆ ว่ากำลังจองตั๋วโดยสารเที่ยวบินตรงกลับไทย ผมก็ได้แต่หวังว่าการตัดสินใจของมันคราวนี้จะมีผลเชิงบวก เพราะอย่าว่าแต่เท็ตเลย ผมเองก็เบื่ออาการเด็กเก็บกด ปากหนักแต่รักจริงของมันเหลือเกิน

          “อร่อยไหม” ผมถามคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามในชุดลำลองอย่างเสื้อไหมพรมสีเข้มและกางเกงยีนส์ เปมพยักหน้าเป็นคำตอบ ส่วนตรัสปฏิเสธที่จะร่วมทานอาหารมื้อนี้ด้วยกันเพราะมันรีบร้อนไปสนามบิน

          ผมสังเกตได้ว่าตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน เปมทัตจงใจมองเมินโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านหลังผม พยายามไม่คิดมากแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีผลกับความอยากอาหารของเปม ผมตัดสินใจแกล้งทำกระเป๋าเงินหล่น และในขณะที่ก้มเก็บก็เอี้ยวตัวมองจึงได้เห็นเต็มตา นายธาวินกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นตามลำพัง

          “เปม...”

          “ไม่เป็นไร ทานต่อเถอะ” ถึงเปมจะว่าอย่างนั้น แต่ไม่กี่อึดใจผมก็อดรนทนอยู่กับบรรยากาศชวนคลื่นไส้อย่างนี้ไม่ไหว จนต้องออกปากอีกครั้ง

          “ไปร้านอื่นกัน” ไม่ใช่คำร้องขอแต่คล้ายว่าเป็นคำสั่งในน้ำเสียง กอปรกับการที่ผมลุกขึ้นยืนแล้วถือวิสาสะยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่ไกล ก่อนที่เปมจะนำไปที่หน้าร้านแล้วยืนผ่อนลมหายใจอยู่ตรงนั้นจนผมเสร็จธุระ

          เราเดินรับลมไปเรื่อย ๆ โดยที่เปมยังตั้งมั่นที่จะไม่คุยเรื่องนายธาวิน ผมตามใจเขาเฉกเช่นที่เคยทำเสมอมา เว้นแต่ว่าเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินประชิดจะทำให้ผมเสียศูนย์ไปไม่น้อยก็ตามที

          “อ้น” ถ้าเทียบกับสรรพสิ่งรอบตัวเวลานี้ เสียงนั่นก็คงมีค่าไม่ต่างอะไรกับสายลมที่พัดอื้ออึงอยู่ในหู แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าของชื่อหยุดยืนนิ่ง เปมเม้มปากก่อนจะหันกลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับคนที่เขาพยายามมองเมิน “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม แค่ห้านาที”

          แววตาคู่นั้นไม่บ่งชัดถึงคำตอบใด ๆ เป็นเวลาครู่หนึ่งจนกระทั่งเขาผินหน้ามาหาผม ก่อนจะยกมุมปากเล็กน้อยเป็นนัยแทนคำว่าไม่เป็นไร ซึ่งการกระทำนั้นก็บอกกับผมอีกเช่นกันว่าจงตระหนักถึงคำว่าส่วนเกิน

          ผมก้าวห่างออกมาให้เวลาส่วนตัวกับเขาสองคนโดยไร้ซึ่งจุดหมาย นึกถึงวีรกรรมในอดีตของนายธาวินแล้วร่ำ ๆ อยากเดินกลับไปขัดขวางบทสนทนา เดินมาสักพักมองเห็นโบสถ์เก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล ผมจึงตัดสินใจถ่ายภาพฆ่าเวลา แต่ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นเจ้าของเบอร์คุ้นตาเป็นสายเรียกเข้า

          “สวัสดีครับน้องฐา โทรมาเร็วจังเลยวันนี้”

          (( ไม่เร็วหรอกค่ะ หกโมงกว่าแล้วต่างหาก พี่ซันทำอะไรอยู่คะ ))

          “พี่ออกมาทานข้าวค่ะ กำลังรอเพื่อนทำธุระ” ธุระที่พี่ไม่เต็มใจจะรอ

          ด้วยเหตุนี้กิจกรรมลดความเหนื่อยหน่ายของผมจึงกลายเป็นการพูดจ้ออยู่หน้าโบสถ์ มีนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกไม่ขาดสาย ผมไม่เคยชินกับการถูกจับจ้องก็เลยถอดใจเดินกลับไปทางเดิม จนเห็นเปมกับนายธาวินอยู่ในระยะสายตา

          รู้แก่ใจดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ช่วยไม่ได้ที่ผมจะหาข้อแก้ตัวว่าทำไมผมถึงมองเขาสองคนไม่วางตา เปมเป็นเพื่อนสนิท สถานะที่ควรค่าต่อการใช้เป็นข้ออ้าง ปากยังตอบคำน้องฐาว่าจะถ่ายรูปไปฝากมากมาย แต่ในใจกลับนึกกลัวภาพที่เห็น ธาวินแตะปลายนิ้วกับต้นแขนของคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะปัดป้อง ด้วยความสูงระดับสายตาทำให้ผมมองเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทไม่ถนัดนัก ผมจึงตัดสินใจไม่ขอทิ้งระยะห่างไปมากกว่านี้

          “เพื่อนพี่เสร็จธุระแล้ว ไว้พี่จะโทรกลับนะคะ”

          (( ค่ะ ฐาจะรอนะคะ ))

          ผมข่มใจให้เย็นเท่าที่แรงฝืนการก้าวเท้าจะทานไหว สองมือในกระเป๋ากางเกงคงจะพอทำให้ดูสงบลงมาก ผมมองเห็นแล้วว่าสีหน้าของเปมไม่ต่างไปจากเมื่อสิบนาทีก่อนสักนิด เว้นแต่เพียงแววตาคู่นั้นดูอ่อนลงมากเหลือเกิน

          “หมดเวลาแล้ว” ผมพูดรวบรัดตัดความกับคนอาวุโสกว่า ช่วงโอกาสสั้น ๆ ที่เปมทัตปราณีให้ เท่านี้ก็มากเกินพอ

          (( ท่านพี่ ข้าได้ยินข่าวไม่สู้ดีนักเกี่ยวกันนางในดวงใจของท่าน เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรไม่ติดต่อข้าบ้างเลย )) กลับมาถึงห้องก็ได้รับเสียงจากปลายสายโดยที่ผมยังไม่ทันได้กรอกวลีใด ๆ ทักทาย ไอ้แฝดผู้น้องตัวแสบคงรู้เรื่องเปมจากตรัส ถึงได้ส่งความปรารถนาดีก้ำกึ่งเยาะเย้ยมาเป็นกำลังใจ

          “ตรัสมันแปลงร่างเป็นม้าไวไปบอกมึงใช่ไหม”

          (( มาในร่างตัวอักษรว่ะ ส่วนร่างกายไอ้คุณชายน่าจะยังไม่ถึงไทย นี่กูยังช็อกอยู่เลยเถอะ นึกว่าไอ้คุณพี่วินอะไรนั่นจะล้มหายตายห่าไปแล้วซะอีก ))

          “ถึงจะยังไม่ตาย แต่ตอนนี้เมืองสวรรค์อย่างเบอร์ลินก็กลายเป็นนรกไปแล้วในสายตากู”

          (( ซัน มึงมีน้องฐาแล้วนะ อย่าลืมบ่อยนักได้ไหมวะ ))

          “จะให้กูย้ำอีกกี่ครั้งว่ากูยังทำใจไม่ได้ กูยังตัดใจจากเปมไม่ได้”

          (( โถ พ่อคุณ ต่อให้มึงมีกำลังภายในแก่กล้าแค่ไหน ถ้าต้องเจอหน้ากันยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนั้น มีหวังรักเขาข้างเดียวจนใจขาดตายแน่ ))

          “ถ้าจะโทรมาซ้ำเติมกัน กูวางแล้วนะ”

          (( เฮ้ยเปล่าครับลูกพี่ นี่กูกำลังเตือนสติมึงอยู่นะ และกูก็พยายามสุดกำลังของกูแล้วด้วย มึงรักใครคนหนึ่งนานเกินไปแล้ว ซึ่งมันอาจจะนานเกินเยียวยา แต่ถ้ามึงไม่ก้าวถอยห่างออกมาบ้าง คนที่จะเจ็บเจียนตายก็มีแค่มึงคนเดียวเท่านั้นนะซัน อ้นไม่ได้เกลียดมึง แค่ไม่รัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรัก แต่มันไม่ได้รัก เข้าใจไหมซัน ))

          เข้าใจ กูเข้าใจ แต่กูยังไม่พร้อมจะเสียเขาไป แล้วมึงล่ะ เข้าใจกูไหมแซน

          ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล แค่แง้มประตูห้องเปิดออกก็เห็นหน้าคนที่อยากเจอเป็นคนสุดท้ายในโลกใบนี้ ธาวินยกมุมปากส่งให้จากหน้าห้องเปมทัตเมื่อสบตาผม รู้ได้ในทันทีว่าเช้านี้ผมต้องเดินไปที่ทำงานคนเดียวแน่แล้ว

          ผมพอจะจับต้นชนปลายได้ด้วยประสาทสัมผัสว่าเมื่อวานนี้เขาสองคนปรับความเข้าใจกัน ในจุดที่รู้ซึ้งอย่างสุดใจว่าคนนอกเป็นอย่างไรก็สายเกินไปเสียแล้ว ผมทำใจไม่ทัน ผมไม่ได้ดั้นด้นมาถึงเยอรมันเพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างนี้ ผมตัวคนเดียวกับเปมทัตที่เอื้อมไม่ถึง โหดร้ายเกินไป ผมรับไม่ไหว

          แปดชั่วโมงกับการจดจ่อสมาธิให้อยู่กับเอกสารตรงหน้า และดึงสายตากลับมาบนโต๊ะตัวเองทุกครั้งที่รู้ตัวว่าเผลอมองไปยังโต๊ะเปมทัตทุก ๆ ห้านาที เขาเองก็คงรู้ตัวว่าถูกจ้องด้วยความคลางแคลงใจ ไม่อย่างนั้นร่างสูงโปร่งคงไม่เดินตรงมาหาผม

          “กลับห้องเลยไหม ฉันมีเรื่องจะปรึกษา” ทั้งที่เป็นคำถามแสนธรรมดาแท้ ๆ แต่มือผมกลับเริ่มขยับเพื่อจัดเก็บข้าวของโดยทันที

          “แล้วคุณธาวิน ไม่กลับกับเขาหรือ” แต่ก็ไม่วายถามไปอย่างที่ใจนึก เมื่อเช้ายังอนุญาตให้หมอนั่นไปรับถึงหน้าประตูห้องแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับเฉไฉไม่ตอบคำ หรือเพื่อความสบายใจ เพราะเปมก็คงเข้าใจดีว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคนที่มีฐานะไม่ต่างอะไรกับคู่แข่งหัวใจ

          เรื่องตลกร้ายในรอบสัปดาห์ที่ทารุณยิ่งกว่าได้รับรู้ว่าต้องเจอหน้าคู่ปรับเก่าตลอดเวลาทำงานก็คือ นายธาวินเชิญชวนเปมทัตไปปราสาทนอยชวานชไตน์ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ คาบเกี่ยวระหว่างการท่องเที่ยวส่วนตัวกับเป็นทางการเพราะมีท่านปราโมทย์เป็นหัวเรือใหญ่ โดยให้ชื่อการทัศนาจรครั้งนี้ว่าทริปต้อนรับคุณชายธาวิน ผู้เป็นถึงลูกชายคนรองของเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโท

          “ฉันอยากให้ซันไปด้วย” ผมก็เป็นเสียแบบนี้ ยังมีลมหายใจแท้ ๆ แต่ทำตัวไม่ต่างจากของตาย รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าต้องไปเห็นภาพบาดตา แต่ก็ยังเอ่ยปากตอบรับคำโดยไม่คิดให้เสียเวลา

          “ยังไงคุณพ่อก็ต้องชวนนายไปด้วยอยู่แล้ว ฉันแค่กลัวนายปฏิเสธ” ด้วยความสัตย์จริง บางครั้งผมอยากพูดอยากระบายทุกอย่างที่วิ่งวนอยู่ในหัวของผม ให้อีกฝ่ายเขาได้รับรู้ความทุกข์ยากลำบากใจของผมบ้าง แต่ผมทำไม่ได้ ผมบอกไม่ได้

          จะให้ผมย้อนถามเขาหรือ ว่าตั้งแต่รู้จักกันมามีครั้งไหนบ้างที่ผมไม่ยินยอมน้อมรับความหวังดีที่รังแต่จะบั่นทอนจิตใจ หลายปีก่อนเปมทัตชวนไปบ้าน ผมก็ไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าบ้านนี้มีลูกชายคนเดียว ห้องนอนก็ต้องมีเตียงเดียว แล้วจุดจบของคำว่าบรรยากาศพาไปคือผมเผลอบอกความในใจ ก่อนที่เปมจะบ่อนทำลายความหวังอันน้อยนิดของผมด้วยคำว่า...เราเป็นเพื่อนกัน

          และในครั้งนี้ ผมมีเสี้ยนหนามตำใจให้สำนึกอยู่ร่ำ ๆ ว่าเปมกับนายธาวินกำลังจะก้าวข้ามความบาดหมางอย่างกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น อย่างกับ...นายธาวินไม่เคยนอกใจไปกับใครต่อใครมากหน้าหลายตา

          รถโค้ชของสถานทูตเดินทางมุ่งหน้าลงทิศใต้จากเบอร์ลินสู่มิวนิคตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง กว่าจะถึงจุดหมายก็จวนจะบ่ายโมงอยู่รอมร่อ บ้านพักที่ท่านปราโมทย์เลือกสรรเป็นเรือนรับรองสไตล์ชาเลย์ที่ห้อมล้อมไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ ผมเห็นเปมยืนนิ่งประหนึ่งชั่งใจว่าจะแบ่งแยกห้องพักกันอย่างไร แต่ในที่สุดเขาก็ลากกระเป๋าของผมติดมือไปด้วยกัน ส่วนนายธาวินนั้นคงต้องอาศัยบ้านหลังเดียวกับท่านปราโมทย์

          หลังจากลูกทัวร์กิตติมศักดิ์และเจ้าหน้าที่จากฝ่ายพาณิชย์อีกสี่คนกลับขึ้นรถด้วยความพร้อมเดินทางอีกครั้ง ผมก็ได้ยินจากพลขับว่าเรากำลังจะเดินทางไปยังภัตตาคารที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะกลับมาเดินทัศนาความงามของปราสาทนอยชวานชไตน์จากมุมมหาชนบนสะพานควีนแมรี่ที่ไม่ไกลจากที่พัก

          ผมสังเกตเห็นว่าธาวินพยายามชวนน้องอ้นของเขาพูดคุยตลอดมื้ออาหาร แต่อีกฝ่ายกลับทำตรงกันข้าม เปมเว้นวางตัวกับคนรักเก่าได้อย่างน่าวางใจ ถามคำตอบคำ ยิ้มรับบ้างในบางกรณี ส่วนผมกำลังคุยอย่างออกรสกับคุณปราโมทย์ เรื่องการเมืองบ้าง รสชาติอาหารบ้าง บรรยากาศที่พักบ้างตามแต่น้ำคำจะพาไป

          เราเดินเท้ามาถึงใจกลางสะพานควีนแมรี่ก็ตอนที่อากาศติดลบและดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า นายธาวินแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการหยิบยื่นผ้าพันคอของตัวเองให้กับเปมทัต แต่รายนั้นเขาไม่ใช่สาวน้อยแต่โดยกำเนิด คำตอบรับของเปมจึงกลายเป็นการส่ายหน้าแล้วขยับเข้ามายืนชนแขนกับผมแทน

          ผมจะไม่ขอคิดเข้าข้างตัวเองด้วยเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเจ็บมามากเกินพอ ประสบการณ์ที่สั่งสมเพาะบ่มให้ผมตายด้านกับอาการที่เสมือนการทอดสะพานของเพื่อนสนิท และเดาว่านายธาวินคงไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะถูกปฏิเสธบ่อยนัก เขาถึงแสดงสีหน้าไม่เข้าใจกับท่าทางอย่างกับลูกแมวขาดความอบอุ่นของน้องอ้น ที่ตอนนี้กำลังวางแก้มไว้ข้างต้นแขนของผม ผลคือคุณพี่วินมองมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรโดยสิ้นเชิง

          ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเปมพยายามทำตัวติดกันแจเพื่อเว้นระยะห่างจากเขาคนนั้น ผมไม่โกรธเคืองเปมทัตเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมรู้สึกดีที่มีประโยชน์เป็นก้างชิ้นใหญ่ เพราะต่อให้นายธาวินอยากย้ายร่างมายืนข้างเปมแค่ไหน ถ้าเจ้าตัวไม่อนุมัติก็คงทำไม่ได้อยู่ดี

          คณะเรากลับมาถึงที่พักตอนพลบค่ำ แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวหลังจากสิ้นสุดตารางการเดินทางของวัน เปมทัตที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังสวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งอยู่ข้างโซฟาทั้งที่แผ่นหลังยังไม่แห้งสนิทดี ที่ผมสังเกตเห็นถึงขนาดนั้นเพราะผมจ้องไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินพ้นประตูห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว

          “ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น ซันรีบไปอาบสิ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เจือความห่วงใยในน้ำเสียงอย่างนั้นผมขัดใจไม่ลง เดินอาด ๆ ไปหยิบของใช้จำเป็นทันที

          ผมสูญเวลาในห้องน้ำเพียงชั่วอึดใจ เพราะปกติสภาพอากาศอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครเขาสนเรื่องความสะอาดกันสักเท่าไหร่ ห่วงสุขภาพร่างกายเสียมากกว่า ส่วนตัวผมกังวลแค่ว่าเพื่อนร่วมเตียงเขาจะรังเกียจก็เท่านั้น

          “เบียร์ไหม” ผมแปลกใจไม่น้อย เพราะเมื่อก้าวออกมาจากห้องน้ำพร้อมชุดคลุมของบ้านพักแล้วพบว่าคนที่ไม่เคยเห็นข้อดีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กำลังถือมันอยู่เต็มสองมือ และขวดหนึ่งถูกส่งต่อมาให้ ผมเพียงรับมาวางไว้ข้างโซฟาก่อนจะรนรานแต่งตัวด้วยความร้อนใจ

          ผมนั่งลงข้าง ๆ เขาแล้วมองหาสาเหตุที่ทำให้ขวดเบียร์พวกนี้มาอยู่ในมือเราสองคน “มีอะไรหรือเปล่า”

          “วันนั้น...พี่ธาวินเขาขอคืนดี ก็ไม่เชิงว่ารบเร้าให้กลับไปคบกันเหมือนเดิม เขาแค่ขอโอกาส” เปมถ้อยบรรยายด้วยเนื้อเสียงราบเรียบ แปรผกผันกับแรงเต้นในอก ผมนับลมหายใจตัวเองอย่างห้ามอยู่ ก่อนจะตอบคำด้วยเสียงทุ้มต่ำในลำคอ

          “น่าอึดอัดเหมือนกันนะ เพราะไม่ว่าจะเลือกคำตอบแบบไหนก็ยังต้องเจอเขาทุกวันอยู่ดี ความทรงจำเดิม ๆ ที่เหมือนจะลืมไปนานแล้ว มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายซ้ำ ๆ จนรู้สึกสมเพชตัวเอง” ผมจะไม่ถือว่านี่เป็นวิบากกรรมของใคร จุดยืนของผมเองก็คงน่าระอิดระอาไม่น้อยไปกว่าการแอบรักข้างเดียวของมนุษย์ทุกชาติพันธุ์ จะต่างก็ตรงที่ผมไม่มีโอกาสได้คบหาดูใจกับคนที่เฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมเขามาตลอดหลายปี ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีบนความโชคร้ายหรือเปล่า เพราะผมมั่นใจว่าต่อให้เปมทัตเปิดใจ ผมก็คงไม่ใช่ผู้ชายคนสุดท้ายในชีวิตเขาอยู่ดี ดังนั้นสถานะนี้ผมควรภาคภูมิใจ ไม่ใช่ขุ่นเคืองจนเกือบจะล้ำเส้นไปเฉียดการหึงหวงอย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้

          “สิ่งที่เปมควรทำคือถามใจตัวเองว่าอยากเจอ หรือไม่อยากเจอเขากันแน่ และความทรงจำเดิม ๆ ที่ว่าคือช่วงเวลาที่เคยมีความสุขร่วมกัน หรือช่วงเวลาที่ทุกข์ใจหลังจากเขาหายหน้าไป” เขาไม่ตอบคำถาม เพียงแค่แกว่งขวดเบียร์ไปมา  ผมจึงถือโอกาสนี้พูดต่อ “ฉันคือหนึ่งในหลาย ๆ คนที่อยากเห็นเปมมีความสุข อยากเห็นเปมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ซึ่งเปมก็ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าควรเปิดโอกาสให้นายธาวินแค่ไหน เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะคลุมเครือต่อไปไม่สิ้นสุด”

          การลงทุนมีความเสี่ยงผมรู้ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลักทรัพย์ในครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างหัวใจของเปมทัต และคำพูดของเขาทำให้ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าประเทศไทยคือสถานีถัดไปของผม

          “ฉันอยากจะลองให้โอกาสเขา...อีกสักครั้ง”

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2017 23:10:28 โดย Lipstick_Murder »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
:hao7: :hao7: :hao7:
มาช้าดีกว่าไม่มา

ทฤษฎี : บทที่ 3

          เมื่อทริปสุขกายแต่ไม่สบายใจสิ้นสุดลงชีวิตของผมก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ...ที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่ เปมที่เคยเดินไปทำงานด้วยกันก็มีสารถีรับส่งเช้าเย็น ผมยังไม่ได้คุยกับเปมเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ผมเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของเขา ผมจะไม่ย้ำเตือนแล้วว่าพฤติกรรมในอดีตของนายธาวินแสดงความจริงใจแค่ไหน เพราะต่อให้พูดพร่ำไปก็กลัวว่าเปมจะมองผมเป็นเพียงหมาหวงก้าง

          ไม่รู้ทำไมคนที่รังเกียจความเฉื่อยชาอย่างผมจึงมักนำพาตัวเองให้จมจ่อมอยู่กับความสิ้นหวัง สลัดความคิดที่ทำให้เสียงานเพื่อจดจ่อกับกองเอกสารตรงหน้าก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่างกรายเข้ามาใกล้

          “ไม่แปลกใจว่าทำไมนายถึงยังตามติดอ้นเป็นเงาตามตัว” ผมมองแฟ้มเล่มหนาที่วางลงบนโต๊ะ เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะรับฝากมาจากคุณปราโมทย์ เมื่อเช้าตอนที่เดินผ่านหน้าห้องทำงานของท่านทูตผมถูกไหว้วานให้ตรวจสอบเอกสารการวิเคราะห์ข้อมูลของสหภาพยุโรปที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย ท่านบอกว่ายังไม่เรียบร้อยดีแต่บ่ายนี้คงเสร็จทัน ผมจึงสาละวนอยู่กับงานที่คั่งค้างระหว่างรอ แต่ไม่คิดว่าคนที่นำมาให้จะเป็นนายธาวิน

          “ทำไมครับ”

          “ก็ดูนายจะเข้ากับท่านปราโมทย์ได้ดีเหมือนกัน ลิ้นไม่สากไปหมดแล้วหรือ” ธาวินตัดบทเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินหนีไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้โต้ตอบ มือข้างหนึ่งที่กำหมัดแน่นจึงทุบลงกับโต๊ะไม่เบานัก

          คนอย่างผมน่ะหรือที่ต้องใช้วิธีประจบประแจงสอพลอ ไม่ปฏิเสธว่าท่านปราโมทย์มีส่วนที่ทำให้ได้รับตำแหน่งงาน แต่เพราะท่านมองข้ามคำว่าเพื่อนสนิทของลูกชาย พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ผมมีดีพอตัวผมกล้าพูดได้เต็มปาก แต่ไม่คิดว่าคนอย่างธาวินจะใช้จุดอ่อนตรงนี้โจมตีซึ่ง ๆ หน้า

          เราไม่เคยญาติดีกันอยู่แล้วตั้งแต่มัธยมปลาย ผมเห็นแก่เปมจึงพยายามหลีกเลี่ยงจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันให้เสียบรรยากาศภายในสถานศึกษา แต่ดูนายธาวินจะสนุกสนานกับการยุแหย่ให้ผมฉุนเฉียว ทั้งเรื่องบาสเก็ตบอลที่มาไล่ต้อนให้ผมต้องลาออกจากชมรม ทั้งการแข่งขันเชิงวิชาการที่ผลัดกันชนะอย่างสมน้ำสมเนื้อ

          จนกระทั่งนายธาวินเริ่มเปิดตัวว่าคบหากับเปมทัตอย่างจริงจัง ผมจึงถอยห่างออกมาเพื่อเว้นระยะให้ความสัมพันธ์ เขาถึงได้ยอมแพ้รามือจากชีวิตผมไป

          ผมโทรศัพท์หาตรัสเย็นวันหนึ่งเพื่อไถ่ถามถึงเรื่องที่ค้างคา ไม่รู้ว่าเจ้าข้อความที่หายไปอย่างปริศนาสุดท้ายแล้วจบลงอย่างไร เพราะตั้งแต่มันกลับไทยก็ขาดการติดต่อไปเลยเหมือนกัน

          (( เท็ตส่งเข้าเครื่องตัวเองจริง ๆ แต่กูแกล้งทำเป็นไม่รู้ ))

          “แล้วหมีมันทำยังไง”

          (( เท็ตอ่านให้กูฟัง อ่านจากความทรงจำ เท็ตพูดทุกคำที่กูพิมพ์ในข้อความ ทุกตัวอักษรทุกพยางค์ กูดีใจว่ะซัน ))

          “ข้อความไหน”

          (( ข้อความที่กูบอกว่ารักเขา )) ผมเผลอยิ้มตามน้ำเสียงเปี่ยมสุข ผมเองก็ดีใจที่ในที่สุดความรักอันยาวนานของไอ้เจ้าชายสมบูรณ์แบบก็เข้าใกล้เส้นชัยอีกขั้นหนึ่ง ทุกคนเชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วคนที่เท็ตแพ้ทางก็คือคนที่ยิ้มกว้างกว่าใคร อยากให้เท็ตรู้ตัวสักทีว่าโชคดีแค่ไหน เมื่อคนที่รักยอมทำทุกอย่างให้สมรัก

          ทุกอย่าง...ที่แม้แต่ตัวเท็ตเองก็จะไม่มีวันได้รับรู้

          เมื่อก่อนนี้หน้าที่ยามเย็นของผมคือสายลมรอบตัวของเปมทัต ผมถนัดที่สงบปากสงบคำแล้วใช้ความเงียบสานต่อความสัมพันธ์ที่ดูอย่างไรก็ไร้ผล เขาอยากไปไหนทำอะไรผมก็เต็มใจจะเดินตามโดยไม่ปริปากสักคำ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ผมอยากทำคือนั่งผ่อนคลายในสวนสาธารณะ

          ผมรักธรรมชาติ รสนิยมของผมเคยเป็นปัญหามาแล้วในวัยเด็ก คุณหนูแซนดี้ที่ชื่นชอบการต่อเลโก้เป็นชีวิตจิตใจกับพี่ชายฝาแฝดผู้ฝักใฝ่แต่สนามเด็กเล่น หลังเลิกเรียนผมเคยเดินออกจากบ้านโดยลำพังไปยังสวนสาธารณะที่มีชิงช้า ม้ากระดก ท่อลอดอุโมงค์ และซุ้มเชือกสำหรับปีนป่าย ใช่ว่าชอบเล่นดื้อซนจนหมดแรง แต่ที่ผมสนใจคือทิวทัศน์โดยรอบเป็นสำคัญ และกว่าพี่เลี้ยงจะตามตัวเจอแม่ก็มีเวลาหาไม้เรียวไว้ตีจนขาลาย โทษฐานที่หนีหายไปโดยไม่บอกกล่าว ซึ่งวันนั้นก็เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมโดนแม่ทำโทษอย่างจริงจัง

          นึกย้อนกลับไปแล้วก็ได้แต่ขำขันด้วยความไม่ประสา แต่ถ้าครุ่นคิดให้ดีแล้วเสียงนกที่ร้องเพลงให้ฟังระหว่างนั่งชิงช้านั้นไพเราะยิ่งกว่าซาวด์เอฟเฟกต์ในวีดิโอเกมเป็นไหน ๆ ไม่รู้ทำไมไอ้แซนถึงเปิดเสียงดังกรอกหูได้ทุกวี่วัน

          ผมหัวโบราณก็ยอมรับแต่โดยดี โชคยังมีที่ผมใช้โทรศัพท์เป็น รถราก็ได้ไอ้แซนเป็นคนสรรหาให้ ถ้าไม่มีความจำเป็นว่าต้องเดินทางไปมหาวิทยาลัยผมก็ไม่อยากซื้อมาให้สิ้นเปลืองเงินทองด้วยซ้ำ ซึ่งกว่าจะหัดขับจนชำนาญก็ถูกพ่อท่านเคี่ยวเข็ญจนเบื่อหน่าย

          ความอนุรักษนิยมของผมยังส่งผลกับการตัดสินใจ ว่าคนที่จะเดินเคียงข้างกายต้องมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกัน เปมทัตไม่ถึงกับต่อต้านเทคโนโลยี แต่มีมุมเล็ก ๆ อย่างชอบอ่านหนังสือสิ่งพิมพ์แทนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผมคาดเดาผิดว่ามีวิถีการดำเนินชีวิตที่คล้ายกันก็ใช่ว่าหัวใจตรงกันเสมอไป

          วันหยุดราชการติดต่อกันหลายวันครั้งถัดมา จากที่ตั้งใจว่าจะไปปราสาทนอยชวานชไตน์กับเปมสองคน บังเอิญจับพลัดจับผลูกลายเป็นทริปหมู่ต้อนรับนายธาวินก่อนหน้านี้ ผมจึงยังไม่มีแผนใหม่มารองรับ โชคดีเหลือเกินที่ไอ้แซนโทรติดต่อมากู้หน้าพอดี ไม่อย่างนั้นผมอาจต้องนอนแห้งแล้งในห้องพักขณะที่เพื่อนรักกับแฟนเก่าผู้ขยับสถานะมาเป็นแฟนใหม่ไปท่องเที่ยวกันตามลำพังถึงไหนต่อไหน

          (( รอบนี้มึงหยุดกี่วัน ))

          “ห้า ถามทำไม จะมาหาหรือไง”

          (( เปล่า กูจะไปเชียงใหม่เป็นเพื่อนพ่อ ส่วนมึงช่วยขับรถพาแม่ไปแถวเขาใหญ่หน่อยได้ไหม ))

          “ไปทำไม”

          (( นายหน้าติดต่อมาว่ามีชาวบ้านจะขายที่ดินหกสิบกว่าไร่ แม่ไม่กล้าตัดสินใจคนเดียว มึงไปเป็นเพื่อนท่านหน่อยสิ ))
         
          “แล้วไร่องุ่นของพ่อมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

          (( ไม่มี ๆ แค่ไปดูไปแลตามปกตินั่นแหละ ลุงชาญเขามือหนึ่งอยู่แล้ว ไว้ใจได้ ))

          ผมเองก็เพิ่งทราบว่าพ่อตัดสินใจซื้อไร่องุ่นต่อจากคนขับรถที่ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด ลุงเชี่ยวชาญเคยขับรถพาผมกับไอ้แซนไปโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยม มาทราบอีกทีว่าแกลาออกก็ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปีแรก พ่อที่เข้าใจดีว่าลุงยังรักและหวงแหนแผ่นดินมรดก จึงแต่งตั้งให้ลุงแกเป็นหัวหน้าคนงานสั่งการแทนพ่อได้ทุกอย่าง

          (( มานะซัน แม่เห็นจากโฉนดว่าที่แปลงนี้สวยมาก อยากไปดูกับเรา )) แล้วจู่ ๆ เสียงเข้มของไอ้แซนก็เปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำชื่นใจ

          “คิดถึงจังครับแม่”

          (( คิดถึงแล้วทำไมไม่โทรหาแม่บ้างเลย ))

          “ก็เวลาเราไม่ตรงกัน ผมกลัวแม่หลับไปแล้ว ไม่อยากให้แม่นอนไม่เป็นเวลา”

          (( ข้ออ้างทั้งนั้นน่ะลูกคนนี้ งานยุ่งหรือเปล่า ))

          “นิดหน่อยครับ”

          (( แล้วสรุปมาไหม หรือว่าติดงานอะไรหรือเปล่า ))

          “ไม่ครับ วันหยุดที่ประเทศนี้สำคัญมาก ไม่มีทำงานล่วงเวลาเหมือนอย่างบ้านเรา ถ้าผมถึงสุวรรณภูมิเมื่อไหร่แล้วผมจะโทรบอกนะครับ”

          คุณปราโมทย์เรียกผมเข้าพบกะทันหัน หลงคิดว่าเป็นเรื่องเอกสารที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบมีความผิดพลาด แต่กลับกลายเป็นว่าท่านทูตมีความสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผมกับลูกชายคนเดียวของท่าน

          “มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า ช่วงนี้ไม่เห็นสนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน” ผมนั่งนิ่งเพื่อนึกคำตอบที่เหมาะสม การโกหกไม่ใช่นิสัยแต่ถ้าคุณพ่อของเปมทัตต้องหนักใจกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ผมก็ไม่รู้จะมีหน้าทำงานที่นี่ต่อได้อย่างไร

          “ไม่มีอะไรหรอกครับ คงเป็นเพราะอยู่กันคนละสายงานทำให้ไม่มีเวลาให้กันเหมือนก่อน แต่ตอนกลับถึงหอพักพวกผมก็พูดคุยตามปกติครับ”

          “อย่างนั้นหรือ”

          “ครับผม”

          “ไม่เกี่ยวกับคุณธาวินใช่ไหม คิดว่ารู้จักกันตั้งแต่สมัยม.ปลายแล้วน่าจะสนิทกันมากกว่านี้”

          “เปมทัตสนิทกับรุ่นพี่ธาวินครับ ส่วนตัวผมรู้จักเพียงผิวเผิน เคยเล่นกีฬาด้วยกันบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันครับ”

          “ถ้ารู้สึกกดดันหรือเครียดอะไรก็บอกผมได้นะ ผมไม่อยากให้พ่อแม่คุณตำหนิผมได้ว่าพาลูกท่านมาลำบาก ว่าแต่งานช่วงนี้หนักเกินไปหรือเปล่า”

          “ไม่ครับ ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ท่านเรียกใช้ผมได้ทุกเมื่อนะครับ ผมยินดี”

          ยิ่งได้ยินอย่างนี้ยิ่งย้ำชัดว่าคำพูดของนายธาวินคือความจริง คำติฉินส่งผลโดยตรงกับเกียรติและศักดิ์ศรี ผมไม่อยากเป็นคนมีเส้นสายให้เพื่อนร่วมงานต้องเปลืองน้ำลาย คล้ายว่าฟางเส้นสุดท้ายได้ถูกตัดขาดสะบั้นลง

          ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเคาะประตูห้องเปมจะแสนยากเย็น ผมยืนกอดอกพิงกำแพงมาหลายนาทีแล้ว ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเจ้าของห้องเขากลับมาหรือยัง หวังเพียงมาลากลับไทย แต่อีกใจก็กลัวเห็นหน้าแล้วพาลอาลัยไม่อยากจากไปไหนทั้งสิ้น

          “ซัน...” แล้วเปมก็เพิ่งกลับมาจริง ๆ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสิบนาที คงไม่มีธุระอะไรให้ทำจนดึกดื่นป่านนี้ที่สถานทูต “รอนานหรือยัง”

          ผมไม่ตอบคำ แต่รอให้มือเรียวปลดล็อกประตูด้วยคีย์การ์ดก่อนจะเดินตามเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเหมือนอย่างเคย “ไปไหนมา”

          “กินข้าวกับ...” เขาชี้นิ้วโป้งบุ้ยใบ้เชิงรู้กัน ซึ่งผมก็รู้ดีและยิ่งสะท้อนในใจว่าต่อให้เปมทัตรู้ทันกันแค่ไหน เขาก็ไม่พร้อมจะถนอมน้ำใจของผมอยู่ดี

          รู้ทั้งรู้ว่าแม้แต่ชื่อผมก็ไม่อยากได้ยิน รู้ทั้งรู้ว่าเขาคนนั้นเคยทำให้อดีตที่ควรค่าแก่การจดจำต้องแปดเปื้อนด้วยรอยน้ำตา รู้ทั้งรู้ว่าผมยอมรับให้เป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่คนที่เคยทำให้คนที่ผมรักสุดหัวใจล้มทั้งยืน

          “เขาดีกับเปมหรือเปล่า” สีหน้าติดกังวล อาการภาษาที่ผมตีความได้อย่างเดียวว่าเพื่อนคนนี้กำลังก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว เปมใจดีเกินกว่าจะเอ่ยปากผมจึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “มะรืนนี้ฉันจะกลับไทยนะ ไปทำธุระกับแม่ อยากกลับด้วยกันหรือเปล่า”

          “ฉัน...มีนัดแล้ว”

          “ไม่เป็นไร” ผมตั้งใจมาเพื่อบอกแค่นี้ และอยากรับรู้แค่เรื่องที่ต้องการได้ยิน แต่เปมเป็นฝ่ายเรียกรั้งผมไว้ก่อนก้าวถึงประตู

          “ฝากของให้แม่หน่อยได้ไหม”

          ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าบางครั้งการพูดคุยกับน้องฐาก็นำพาความสงบได้อย่างน่าประหลาด จากที่กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะนึกถึงแต่เรื่องของเปมทัต ได้แลกเปลี่ยนคำถามกันว่าตื่นกี่โมง มื้อเช้าทานอะไร ไปดูหนังกับใคร หรือเมื่อคืนนอนดึกไหม เพียงเท่านี้ก็ช่วยฆ่าเวลาได้ไม่น้อย

          เครื่องฆ่าเวลาที่มีหัวใจ

          ความรู้สึกผิดบาปที่กัดกินอยู่ภายในลึก ๆ ช่วยย้ำเตือนอีกแรงว่าสารบบชีวิตของผมมันเรรวน ผมไม่ควรพาตัวเองมายืนในจุดที่เป็นทางตัน มองไปทางไหนก็ไม่เห็นลู่ทางแห่งความสุข มีแต่ความทุกข์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีวันได้สมหวัง

          (( ถึงแล้วเหรอคะ ))

          “ถึงแล้วค่ะ กะเวลาโทรมาพอดีอย่างกับนั่งมาด้วยกันเลย”

          (( ก็พี่ซันบอกรหัสเที่ยวบินไว้แล้วนี่นา ฐาก็เช็คได้น่ะสิคะ ))

          “ดึกแล้วไม่เห็นต้องโทรมาเลย ยังไม่นอนหรือคะ”

          (( นอนแล้วค่ะ แต่ฐาตั้งนาฬิกาปลุก ))

          “เสียสุขภาพแย่ นอนต่อเถอะค่ะ เอาไว้พี่จะโทรหาอีกทีแล้วเราไปทานข้าวกันนะคะ”

          “ค่ะ ฐาจะรอนะคะ”

          ก้าวเหยียบพื้นมาตุภูมิตอนตีสองกว่า แต่น้องนิษฐาก็ยังมีแก่ใจโทรศัพท์มาไถ่ถามความปลอดภัย หลังจากส่งข้อความบอกแม่แล้วว่าผมมาถึงโดยสวัสดิภาพ และไม่อยากรบกวนคนขับรถเพราะค่ำมืดเกินกว่าจะให้ใครมาฝืนสังขารนั่งรอจึงตัดสินใจใช้บริการรถแท็กซี่สาธารณะ ซึ่งผมยังไม่ทันได้เดินพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองโทรศัพท์สายที่สองก็โทรเข้ามา

          (( อยู่ไหนแล้ว ))

          “แลนดิ้งแล้ว เพิ่งได้กระเป๋า มึงอยู่ไหน”

          (( ลานจอดรถโซนสองชั้นสาม ))

          “นึกว่ามึงยังอยู่สุราษฎร์ฯ”

          (( เออน่า มาเร็ว ๆ กูหลับไปหลายงีบแล้ว )) ผมตัดสายไอ้แซนแค่นั้น

          เห็นได้จากระยะไกลว่ามีใครสักคนยืนพิงกระโปรงรถออดี้สีบรอนซ์เงิน เจ้าของรถดูคล้ำลงนิดหน่อยจากฤทธิ์แสงแดดแดนใต้ มันชักสีหน้าอย่างกับรอจนเบื่อเสียเต็มประดา เว้นแต่มุมปากหยักยิ้มที่เห็นได้ชัดสะท้อนหลอดฟลูออเรสเซนต์

          เมื่อก้าวประชิดตัว ผมใช้หลังมือตีแก้มคนที่หน้าคล้ายแต่ก็ไม่เหมือนจนถอดแบบเสียทีเดียว แซนสวมกอดผมหลวม ๆ ก่อนจะบอกให้ขึ้นรถ

          “เป็นอะไรตาแดง ๆ”

          “ไม่ได้เป็นอะไร”

          “มารับกูเพราะอยากมาหรือว่ามีอะไรแอบแฝง”

          “ทำไม กูจะคิดถึงพี่กูบ้างไม่ได้เลย ทำได้แค่โทรคุยอย่างเดียวหรือไง” ยิ่งได้ยินน้ำเสียงแหบพร่ายิ่งย้ำชัด ผมชักไม่มั่นใจแล้วว่ามันงีบหลับหรือร้องไห้รอผมมาถึงกันแน่

          “คิดถึงกูขนาดนั้นเลย”

          “กูเพิ่งโทรคุยกับอ้น” ถึงคราวที่ผมต้องอ้ำอึ้งบ้างแล้ว “กูเห็นใจมึงนะซัน แต่กูก็สงสารตัวเองด้วย”

          “ทำไม มีเรื่องอะไร”

          “กู...รู้สึกผิดยังไงไม่รู้ว่ะ” โชคดีที่รถจอดติดสัญญาณไฟ เพราะมือที่กำพวงมาลัยนั้นแน่นเสียจนผมกลัวมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ

          “เรื่องอะไร”

          “เรื่องรพีพิชญ์” ผมขมวดคิ้วฉับ

          “เกิดอะไรขึ้นกันแน่แซน” มันส่ายหน้าอย่างคนใช้ความคิด “ไม่เป็นไร ยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร”

          “มึงอยากถอยออกมาบ้างไหม จากทุกวันที่เป็นอยู่ ธุรกิจที่บ้านก็มีนะซัน ไม่จำเป็นต้องฝืนทำในสิ่งที่ใจไม่ต้องการแล้ว มึงรักงานที่สถานทูตหรือว่าแค่รักคนที่สถานทูตกันแน่”

          “พูดอย่างกับมึงอยากกลับมาอยู่บ้านเหมือนกัน”

          “ก็กำลังคิด ๆ อยู่"

          “กูก็จะลองคิดดู”

          ผมโทรบอกตรัสว่ากลับมาถึงไทยตอนเช้าตรู่ ได้ยินเสียงคนร่วมเตียงงัวเงียถามสารทุกข์ อย่างน้อยก็มีคู่หนึ่งที่สมหวังก็น่าพึงพอใจแล้วไม่ใช่หรือ แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกหนักหน่วงในใจถึงไม่เคยผ่อนคลายลงบ้างสักนาที

          กว่าจะเคลื่อนย้ายร่างจากคอนโดไปยังบ้านใหญ่ได้ก็เกือบเที่ยงตรง ยืนฟังแม่ยิงคำบ่นเรื่องไม่ยอมโทรหาตั้งแต่มาถึงเป็นดอกที่หนึ่ง ไม่ยอมกลับมานอนที่บ้านแต่ไปสิงสู่อยู่ที่คอนโดเป็นดอกที่สอง อีกทั้งยังกลับมาพร้อมไอ้แซนโดยไม่บอกแม่ล่วงหน้าเป็นดอกที่สาม ก่อนจะโดนสวมกอดเต็มรักจนลูกอีกคนได้แต่เบ้หน้า

          “เนี่ยลำเอียงชัด ๆ เลยพี่นุชดูสิ ผมเองก็เพิ่งขึ้นมาจากสุราษฎร์ฯ แท้ ๆ แต่แม่กลับกอดแต่พี่ซัน” ได้ยินมันเรียกพี่แล้วก็ขนลุกแปลก ๆ พี่นุชแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะคิกคักทั้งที่ถูกพาดพิง สังเกตจากรอยยิ้มเต็มแก้มของแม่แล้วก็ได้แต่กอดตอบให้หายคิดถึง

          เสียงเข้มที่ตะโกนแว่วมาจากหลังบ้านทำให้ผมต้องผละจากวงแขนของแม่

          “มาเจ้าแซน แม่ไม่กอดเดี๋ยวพ่อกอดเอง” พ่อที่มาพร้อมสายยางรดน้ำต้นไม้ก็ปล่อยอุปกรณ์ลงพื้นก่อนจะโอบไอ้แซนไปทั้งตัว

          “โอ๊ยพ่อ เปียกไปหมดเลยเนี่ย ผมขี้เกียจเปลี่ยนชุดใหม่แล้วนะ”

          “ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งกินข้าวทั้งที่ตัวเปียก ๆ แบบนี้นี่แหละ”

          หัวเราะครั้งแรกในรอบหลายเดือน ช่วยย้ำเตือนว่าสถาบันครอบครัวคือที่หนึ่ง

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2017 23:47:38 โดย Lipstick_Murder »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รพีพิชญ์คือใคร
ใจหนึ่งก็สงสารซัน แต่อีกใจก็กระซิบมาว่าเขายอมเอง (หรือว่าซันจะเป็นพวกมาโซ ฮา)
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ขอให้กลับมาไทยครั้งนี้ซันได้เจอคนใหม่ เจอตอนไปเขาใหญ่เลยยิ่งดี ขอให้เจอคนที่รักจริง ไม่ทิ้งขว้างความรู้สึกด้วยเถิดดดดด :hao5: :z3:

ออฟไลน์ Krajeeqx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สงสารซัน ห่างออกมาแบบนี้ก็ดีแล้ว

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 4

          แซนออกจากบ้านไปสนามบินกับพ่อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปยังไร่องุ่น ส่วนตัวผมกับแม่อาจมีสวนปาล์มหรือไร่มันสำปะหลังรออยู่ข้างหน้า ก็แค่เดาสุ่มเพราะแม่เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าที่ดินผืนนี้มีผลหมากรากไม้อะไรจับจองพื้นที่ไว้บ้าง

          คุณโฉมฉายคนสวยวันนี้แต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมลุยป่า แต่ด้วยว่าแม่เป็นคนรักสวยรักงามจึงยังคงไว้ซึ่งเครื่องประทินผิวเพียงบางเบา อีกทั้งให้เกียรติเป็นตุ๊กตาหน้ารถพร้อมสำทับหนักแน่นว่าจะไม่เผลอหลับ อยู่เป็นเพื่อนคุยกับผมจนกว่าจะถึงที่หมาย

          “กลับมารอบนี้ดูโทรม ๆ นะเรา งานหนักมากเลยหรือ”

          “ไม่หรอกครับแม่ ผมแค่เพลียเพราะพักผ่อนน้อยมากกว่า”

          “แล้วน้องอ้นล่ะ ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”

          “ผมชวนแล้วแต่เขาปฏิเสธ อ้นของแม่เขาคงอยากให้เวลากับเพื่อนสนิทคนใหม่”

          “ใคร แม่รู้จักหรือเปล่า”

          “เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ไม่แน่ใจว่าผมเคยเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า”

          “วิน ๆ อะไรนั่นใช่ไหม”

          “ครับ ธาวินคนนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เขามาสมัครตำแหน่งงานที่เพิ่งเปิดรับ ช่วงหลังมานี้เปมทัตก็เลยต้องต้อนรับขับสู้สมาชิกใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน”

          “คู่ปรับเก่าเราไม่ใช่หรือ ธาวินคนนี้น่ะ คนที่หาเรื่องจนลูกต้องลาออกจากชมรมกีฬา แม่จำได้”

          “ครับ แต่ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กมัธยมกางเกงน้ำเงินอีกต่อไปแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นบทเรียน ผมขออยู่กับปัจจุบันดีกว่า”

          “โตขึ้นเยอะเลยนะ ซันนี่ของแม่เนี่ย”

          ผมยังไม่กล้าบอกท่านว่าบทเรียนจากอดีตมันส่งผลกับปัจจุบันของผมมากเพียงไหน ดังนั้นเพื่ออนาคตที่สว่างไสวผมขอใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้างสักครั้ง หลังจากแปดปีที่พ้นผ่านกับความรักที่ไม่เคยมีรสชาติหอมหวานในความรู้สึก

          เราเดินทางมาถึงที่ดินร่มรื่นผืนใหญ่เมื่อตะวันตั้งฉาก จากที่คาดหวังไว้ว่าจะเจอสวนปาล์มกลับกลายเป็นฟาร์มอาชา คอกม้ากว้างสุดลูกหูลูกตาดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีม้าเพียงสองตัวอย่างที่มองเห็น ตัวหนึ่งสีดำขลับกับอีกตัวสีมะฮอกกานี

          “คุณโฉมฉายที่จะมาดูที่ดินวันนี้หรือเปล่าครับผม” เดาว่าคนที่เดินเข้ามาเมื่อรถของผมจอดสนิทคงเป็นนายหน้าที่ติดต่อมาผ่านทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ เขาชี้แจงข้อมูลทุกอย่างผ่านเอกสารที่ยื่นให้แม่หลายต่อหลายแผ่นก่อนจะหยุดยืนรับลมเย็นที่เพิงไม้สักหลังใหญ่ มองเห็นได้จากระยะไกลแม้จะมีไม้ยืนต้นมากมาย แต่บ้านต้นไม้หลังนั้นก็ยังคงเด่นสะดุดตา

          “เดิมทีที่ดินแปลงนี้เป็นของคนต่างชาติ จุดประสงค์มีไว้เพาะพันธุ์ม้าแข่ง แต่หลังจากเขาล้มป่วยจนดูแลไม่ไหวก็ไม่มีใครมาทำแทนได้ ภรรยาคนไทยที่แต่งงานกันก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ส่วนลูกม้าที่เคยเพาะเลี้ยงไว้ก็มีคนที่สนใจทยอยซื้อไปปรับปรุงสายพันธุ์จนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่สองตัวเท่าที่เห็นนี่แหละครับ”

          “หน้าดินแถวนี้สมบูรณ์หรือเปล่าคะ เผื่อว่ามีการเพาะปลูกอะไรจะมีปัญหาหรือเปล่า”

          “สมบูรณ์แน่นอนครับ มูลม้านี่ปุ๋ยชั้นดีทีเดียว” แม่พยักหน้า “เสียแต่ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีอยู่มาก ถ้าเพาะปลูกที่ผิวดินอาจต้องตัดออกบ้าง แต่ก็น่าเสียดายแย่ เพราะเหลืองปรีดียาธรกับกาสะลองคำเวลาออกดอกสวยอย่าบอกใครเชียว”

          คุณนายหน้าเขาคงสังเกตเห็นว่าผมยังยืนจ้องมองบ้านต้นไม้จึงพาเดินมาชมใกล้ ๆ ต้นจามจุรีใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนเต็มพื้นที่ บันไดที่ทอดยาวลงมาดูแข็งแรงและดึงดูดให้ก้าวขึ้นไป ซึ่งผมก็ไม่รอให้คุณนายหน้าเชิญชวน คุณแม่เองก็เอ่ยปากห้ามปรามผมไม่ทันเหมือนกัน

          “บ้านนี้นายฝรั่งเขาสร้างไว้ให้เด็กเลี้ยงม้าครับ กลับมาอยู่เฉพาะเวลาปิดเทอม เป็นแค่เด็กระแวกนี้แต่มีใจรักสัตว์มาก เจ้าของฟาร์มเขาก็เลยเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เห็นคนงานเล่าให้ฟังแบบนี้ แต่ผมเองก็ไม่เคยเจอเจ้าตัวเขาเหมือนกัน ถ้ายังไงเชิญคุณนายเดินชมรอบ ๆ ตัดสินใจอย่างไรก็บอกผมได้ครับ” คุณนายหน้าพูดจ้อก่อนจะเดินปลิวหายไปกับดอกหญ้า

          “แม่อยากขึ้นมาไหมครับ ข้างบนนี้อากาศดีมากเลย” ผมส่งมือให้แม่ที่ก้าวขึ้นมาตามคำชวน ประตูด้านหน้าถูกล็อกไว้ก็จริง แต่พื้นที่ตรงระเบียงกว้างขวางเพียงพอจะยืนชมทัศนียภาพโดยรอบ ทั้งคอกม้ากลางแจ้งและในร่ม กระท่อมมุงจากแต่ดูแข็งแรงหลังหนึ่ง รวมถึงเพิงไม้สักที่เราเพิ่งเดินจากมา และที่แปลกตาเห็นจะเป็นริมขอบรั้วที่กั้นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีคลองน้ำธรรมชาติไหลผ่าน ทำให้ผมถึงกับหลงรักตั้งแต่แรกเห็น

          “ผมชอบที่นี่”

          “แม่ก็เหมือนกัน แต่แม่เลี้ยงม้าไม่เป็นนะ คงต้องให้เจ้าของเดิมเขานำไปเลี้ยง” ผมยิ้มตอบรอยยิ้มสดใสของแม่ แต่ผมมีความคิดที่ดีกว่านั้น

          “แม่คงไม่คิดว่าจะเพาะปลูกอะไรอย่างที่บอกคุณนายหน้าเขาไปหรอกใช่ไหมครับ”

          “ไม่หรอก แม่ยังไม่ได้คิด”

          “แล้วพวกรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศอะไรจำพวกนี้”

          “แม่ก็ยังไม่มีแผนเหมือนกัน บ้านจัดสรรโครงการล่าสุดยอดขายก็ยังไม่ถึงเป้า แม่ยังไม่อยากลงทุนอะไรมากในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้”

          “มิน่าพ่อถึงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปบุกเบิกไร่องุ่น”

          “อุตริน่ะสิพ่อเรา เคยจับเสียมจับพลั่วอย่างจริงจังเสียที่ไหน ไร่ออกกว้างใหญ่ปานนั้นจะไปเทียบกับสวนไม้ดอกไม้ประดับข้างบ้านได้ยังไง ถ้าไม่มีคุณเชี่ยวชาญแม่ก็ไม่ยอมให้พ่อเราซื้อมาเล่นสนุกหรอก”

          “แล้วถ้าผมอยากกลับมาอยู่ไทย กลับมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลธุรกิจ แม่จะว่ายังไงครับ” แม่หันขวับมองอย่างกับตกใจหนักหนา

          แรกเริ่มเดิมทีการที่ผมเลือกเรียนภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ อยากให้ศึกษาในคณะที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจที่บ้านมากกว่า เพียงแต่ท่านไม่อาจหักหาญน้ำใจเพราะอาการติดเพื่อนของผมแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่มัธยมปลาย อีกทั้งยังจำยอมให้ผมทำงานตรงสายที่ร่ำเรียน ไกลก็แสนไกล ห่วงก็แสนห่วง แต่ท่านก็ไม่เคยขัดขวาง ท้ายที่สุดคนที่ทำร้ายผมก็คือตัวผมเอง

          “พูดจริงหรือเปล่าซัน หรือแค่แกล้งให้แม่ดีใจเก้อ”

          “ผมคิดมาสักพักแล้วว่างานที่สถานทูตเหมาะกับผมจริงหรือเปล่า หรือว่าผมแค่สนุกกับบรรยากาศแปลกใหม่ ผมเองก็เพิ่งให้คำตอบตัวเองได้ไม่นานก่อนหน้านี้”

          “แล้วน้องอ้นล่ะ”

          “เขาไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงนี้เขามีคนอื่นให้ตามติดกันแจ ผมคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” แม่ขยับฝีปากเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ ผมจึงเลือกที่จะแกล้งเย้าเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แม่ ผมกลับไทยทั้งทีขอมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อยได้ไหมครับ”

          “ว่าแล้วเชียวเจ้าลูกคนนี้ มีอะไรก็ว่ามาเลย”

          “ที่แปลงนี้ ผมขอได้ไหม”

          “จะเอาไปทำอะไร อย่าบอกว่าปลูกองุ่นอีกคนนะ แม่ค้านหัวชนฝาจริง ๆ ด้วย”

          “เปล่าครับ ๆ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ผมว่าผมถูกชะตากับม้าสองตัวนั้น”

          “ม้า ลูกชอบม้าเหรอซัน ทำไมไม่เห็นเคยบอกแม่”

          “ความจริงผมชอบเสือ แต่น่าจะเลี้ยงยากกว่ากันเยอะเลย” ผมเหลือบมองเพราะคิดว่าแม่จะเข้าใจในมุกตลกที่ผมปั้นแต่ง แต่ท่านกลับพยักหน้า “ผมล้อเล่นครับแม่ แค่เห็นว่ามันสวยดี ไม่ได้ชื่นชอบสัตว์อะไรเป็นพิเศษ ที่สำคัญแม้แต่คนเรายังไม่อยากย้ายบ้านบ่อย ๆ นับประสาอะไรกับม้าแข่งพวกนี้ จากเคยมีพื้นที่กว้าง ๆ ให้วิ่งเล่น ลองคิดแทนมันว่าถ้าต้องถูกจำกัดอยู่ในคอกแคบ ๆ มันจะน่าอึดอัดขนาดไหน”

          “สรุปอยากได้มากเลยใช่ไหม ที่ดินผืนนี้”

          “ครับ มันน่าจะทำประโยชน์ได้เยอะเลยเพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยว ถนนหนทางสะดวก อากาศก็ดีไม่มีมลภาวะ มิหนำซ้ำสินค้าแปรรูปจากไร่องุ่นของพ่อก็น่าจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของที่ระลึกแถบนี้ได้มากพอดู แม่เชื่อสิว่าผมทำได้”

          “ยังไม่ลาออกจากสถานทูตเลยแท้ ๆ ดูพูดเข้า”

          “ผมอยากให้แม่มั่นใจไงครับ เพราะนี่คำสัญญา...ว่าผมจะกลับมาจริง ๆ”

          พลบค่ำหลังจากเดินทางกลับถึงบ้านก็ได้เวลานัดกับน้องฐาที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ เส้นทางการเดินรถในเมืองหลวงยังติดคงขัดเหมือนอย่างเคย นี่อาจเป็นหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจย้ายไปอยู่เบอร์ลิน ถึงแม้จะจดจำความคิดของตัวเองในช่วงแรกไม่ได้มาก แต่ผมก็ไม่อยากกลับไปทำผิดพลาดในเรื่องเดิม ๆ ซ้ำอีก

          “รอนานไหมคะ” น้องฐาในชุดจัมพ์สูทสีครีมดูสมวัยกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ โต๊ะที่ผมโทรจองไว้ยังไม่มีจานอาหารอะไรยกเว้นแก้วน้ำดื่ม

          “ไม่นานค่ะ ฐาเองก็เพิ่งมาเหมือนกัน”

          “ขอโทษที่ให้รอนะคะ พี่ไม่คิดว่ารถจะติดมากขนาดนี้”

          “ไม่เป็นไรหรอกคะ ฐาเข้าใจว่าที่ไหนก็แย่งชิงตำแหน่งการคมนาคมดีเยี่ยมอันดับหนึ่งจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรไปไม่ได้” ผมหัวเราะ “ร้านนี้สวยดีนะคะ พี่ซันรู้จักได้ยังไงหรือว่าเคยพาใครมา”

          รอยยิ้มจริงใจกับนัยน์ตาใสซื่อทำให้ผมไม่อาจโกหก ผมเคยพาเปมทัตมาคือเรื่องจริง มาบ่อยเสียจนบริกรจำได้ว่าพวกเราสั่งอะไรในทุกมื้อที่มาเยือน แต่ผมเลือกที่จะบิดเบือนไม่ตอบตามตรง

          “พี่ไม่ได้มานานแล้วค่ะ เจ้าแซนก็ไม่ค่อยถูกโรคกับอาหารรสจัด พี่ก็เลยหาโอกาสมาไม่ได้สักที”

          “เหรอคะ ถ้าคราวหน้าอยากมาอีกชวนฐาได้นะคะ ฐาทานได้หมด แต่ว่าวันนี้พี่ซันต้องช่วยฐาสั่งอาหารแล้วล่ะค่ะ ฐาเลือกไม่ถูกมีแต่เมนูน่าทานทั้งนั้นเลย” ผมยกมือเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาพอดี

          “อ้าวคุณซันสวัสดีครับ” ผมรับไหว้ด้วยใจระส่ำ “วันนี้รับเป็นปลาหิมะอบขมิ้นกับปู่นิ่มทอดกระเทียมเหมือนเดิมไหมครับ” ไม่กล้าเงยหน้าจากเมนู เพราะไม่คิดว่าดวงจะสมพงษ์กับบริกรที่เคยรับรายการอาหารจากเปมทัต สายตาน้องฐาที่มองมาก็เรียบนิ่งเกินกว่าจะเสแสร้ง

          “น้องฐาแพ้อาหารอะไรหรือเปล่าคะ จำพวกกุ้ง ถั่ว หรือกลูเตน”

          “ไม่ค่ะฐาไม่แพ้ เลือกที่พี่ซันชอบเลยค่ะ ฐาทานได้หมดจริง ๆ” ยิ่งได้ยินอย่างนี้ผมยิ่งละอายแก่ใจ

          การพาใครก็ตามมาทับรอยเปมทัตเป็นเรื่องไม่เหมาะสมผมทราบดี แต่ตอนที่โทรนัดแนะกับน้องฐาเรื่องร้านอาหารผมไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ ผมที่พยายามจะหลีกหนีจากการมีตัวตนของเปมทัตกลับยิ่งถล่ำลึกในเส้นทางที่เขาวางไว้ เราอยู่ด้วยกันนานเกินไป มองทางไหนก็มีแต่รอยเท้าของเขาเหยียบย่ำไว้เต็มไปหมดในความทรงจำ

          สุดท้ายแล้วผมเลือกเมนูอาหารที่ไม่เคยทานกับเปมเลยสักครั้งอย่างเมี่ยงแซลมอนทอดและควินัวอบหม้อดินพร้อมไวน์ขาว แม้จะไม่รู้มาก่อนว่ารสชาติเป็นอย่างไรแต่ก็ดีใจที่น้องฐาละเลียดทานโดยไม่ติเตียน

          คนคุยเก่งทำลายความเงียบด้วยเรื่องราวสารพัด อีกไม่นานก็จะถึงงานรับปริญญาของน้องฐา แม้ว่าจะเรียนคณะเศรษฐศาสตร์เหมือนเท็ตและแซน แต่ความฝันของว่าที่บัณฑิตคือการเป็นคุณครู เป้าหมายถัดไปคือมหาบัณฑิตครุศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่วาดหวังไว้

          น้องวกกลับมาถามเรื่องส่วนตัวผมบ้าง แต่ก็เล่าอะไรให้ฟังมากไม่ได้เพราะผมยังไม่อยากบอกใครเรื่องโยกย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย นัยหนึ่งคือติดเกรงใจคุณปราโมทย์ นอกจากพ่อแม่แล้วผมอยากให้ท่านทูตได้รับทราบถึงสาเหตุในการตัดสินใจเป็นคนแรก สาเหตุ...ที่ผมขอใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเองเสียที

          “แหวนคู่รักที่กูเห็นตำตาอยู่นี่มันอะไรวะ”

          ผมหรี่ตามองทองคำขาวฝังเพชรแทนใจที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของทายาทเกียรติพัชรเมธีและรามานุสรณ์จิวเวลรี่เมื่อไอ้แซนเอ่ยทัก แก้วกาแฟที่ถืออยู่ก็พาลจะหลุดจากมือเท็ดดี้แบร์เอาดื้อ ๆ อีกทั้งใบหน้าก็เปลี่ยนสีดูมีพิรุธ แต่ไอ้ตรัสกลับไม่ทุกข์ร้อน ยกเอสเพรสโซ่ขึ้นจิบแอบมีลอบยิ้มอยู่หลังถ้วยแค่เสี้ยววินาทีเป็นขวัญตา

          “ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกกู” ถึงคราวที่ผมต้องเปลืองน้ำลาย ตอนมีปัญหาฟ้าจะถล่มดินจะทลายไอ้ตรัสก็มีแค่ผมที่คอยรับฟัง ส่วนเท็ตมีไอ้แซนเป็นศิราณีจำเป็น แต่ทำไมช่วงเวลาดี ๆ ถึงไม่เคยแบ่งปัน เลือกที่จะเก็บงำเอาไว้แค่สองคน แต่ปฏิกิริยาของหมีทำให้ผมโกรธไม่ลง ทั้งหลุกหลิกหลบตา หยอดยิ้มกับขอบโต๊ะ แล้วยังจ้องมองช้อนกาแฟอย่างกับมีอะไรน่าสนใจหนักหนา ยิ่งไปกว่านั้นยังนั่งกุมมือแล้วหมุนแหวนเล่นให้คนไร้คู่อย่างผมรู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้า

          “สองอาทิตย์ก่อน” หลังจากอ้ำอึ้งกันสักพักใหญ่ไอ้ตรัสก็เค้นเสียงตอบมา อีกทั้งยังปากกล้าเอ่ยชื่อเปมทัตทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร “วันหยุดทำไมอ้นไม่กลับมาด้วยกัน”

          “นายธาวินอยู่ด้วยทั้งคน ป่านนี้คงขับรถเล่นกันเพลินจนข้ามเขตแดนถึงโปแลนด์แล้ว”

          “ธาวินนี่ใคร” ผมลืมตัว ตรัสมันห้ามไม่ให้เพื่อนทุกคนเอาเรื่องทุกข์ร้อนไปใส่หัวคนรักของมัน แต่ครั้งนี้สุดวิสัย ถือว่ากูพลั้งปากไปก็แล้วกัน

          “แฟนเก่าอ้น ตั้งแต่ม.ปลาย” แซนเลือกที่จะตอบแทนกัน

          “อ้นเคยคบกับผู้ชายด้วยเหรอ แล้วมึงไปรู้เรื่องอ้นได้ยังไง”

          “ไม่รู้สิแปลก พี่ธาวินอะไรนี่ตอนอยู่โรงเรียนเก่าดังจะตายห่า งานกีฬาสีแต่ละทีมีแต่คนไปตามเชียร์ ข้างสนามก็แฟนคลับพี่แกทั้งนั้น”

          “แล้วไหงแฟนเก่าอ้นตั้งแต่ม.ปลายไปโผล่ตั้งไกลถึงเยอรมัน”

          ถามว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนั่งประชุมสภากาแฟบ่ายวันนี้ คงต้องโบ้ยไปให้น้องชายฝาแฝดตัวดี เพราะตั้งแต่กลับจากเชียงใหม่ก็ร่ำ ๆ อยากออกไปเที่ยวไม่เว้นวัน แต่ด้วยสภาพร่างกายของผมยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ ก็เลยไม่อยากออกไปไหนไกลให้ฉุนเฉียว

          “ไม่เป็นไรแน่หรือวะซัน มึงกำลังปล่อยปลาย่างไว้กับแมว”

          “ตัวของเขา ใจของเขา กูจะทำอะไรได้” ผมตอบคำถามไอ้แซนตอนที่เท็ตลุกไปเข้าห้องน้ำ “อ้นของมึงพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะให้โอกาสหมอนั่น พูดต่อหน้ากูทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ากูเกลียดมันแค่ไหน กูไม่เข้าใจเปมเลย เท็ตที่ว่าเข้าใจยากแล้ว แต่นี่เหมือนกูคบกับใครมาก็ไม่รู้ตั้งแปดปี” ผมผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ให้ก้อนหนัก ๆ ในอกมันเบาบางลงบ้าง “กูว่ากูจะถอยแล้ว กูไม่ไหว ทู่ซี้เดินหน้าต่อไปก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”

          “ถอย ความหมายไหน” ตรัสถามเสียงเย็น

          “เอาไว้กูจัดการทุกอย่างลงตัวแล้วกูจะโทรบอกพวกมึงคนแรก”

          “ใครคนแรก กูหรือตรัส มาเป่ายิ้งฉุบ” ผมได้แต่ชักสีหน้าใส่ไอ้คนชอบกวนน้ำให้ขุ่น ก่อนมันจะยกมือขึ้นมาบีบไหล่ผมเบา ๆ แล้วหันไปเช็คราคาหุ้นในแฟบเล็ตของมันอีกหน

          กว่าจะตัดสินใจหิ้วของฝากถุงใหญ่ไปบ้านพิรัตน์ไพศาลได้ก็เกือบใช้เวลาวันหยุดจนหมด เพราะมั่นใจว่าไม่มีของชิ้นไหนใกล้หมดอายุจึงไม่รีบร้อน ขับรถไปจอดที่เดิมอย่างที่เคยมาทุกที คนสวนหรือแม่ครัวก็จวนจะมองว่าผมเป็นสมาชิกของบ้านนี้ คิดในแง่ดีมันก็แค่อดีตเท่านั้น เพราะต่อไปผมคงไม่มีธุระอะไรให้มาที่นี่บ่อย ๆ อีกแล้ว

          บางครั้งผมก็สงสัยว่าคุณประภัสสรรู้สึกโดดเดี่ยวบ้างไหมที่ต้องห่างจากคู่ชีวิตไกลถึงคนละขอบฟ้า ครอบครัวตัวป.ดูสดใสทุกครั้งที่พร้อมหน้า และกว่าคุณปราโมทย์กับเปมทัตจะหักใจให้เดินทางกลับไปทำงานอีกครั้งก็รั้งรอพอดู

          “อ้าวซัน ทำไมมาเอาป่านนี้ลูก” ผมน้อมไหว้คุณแม่ของเปมทัตตั้งแต่ก้าวลงจากรถ ก่อนจะหอบหิ้วของฝากส่งให้แม่บ้าน ไม่ลืมทักทายถามสารทุกข์รายคน

          “ผมขอโทษที่มารบกวนตอนนี้ครับ เพิ่งมีเวลาว่างนำของฝากจากอ้นมาให้คุณแม่” รู้สึกผิดจนแสดงออกทางสีหน้า ผมรู้ตัวดีแต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อบ้านหลังนี้มีแต่รูปเขาเต็มไปหมดตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ไม่ใคร่ขอยืนชมเป็นรอบที่ร้อย ยิ่งมาดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลับเร็วเท่านั้น

          “เมื่อไหร่ตอนไหนแม่ก็ยินดีต้อนรับ คนแก่เหงาจะแย่ คนในบ้านหนีไปทำงานไกล ๆ กันหมด นี่ก็ไม่รู้ติดธุระอะไรถึงกลับไม่ได้ทั้งลูกทั้งพ่อ เราก็อีกคน คุณพ่อคุณแม่ไม่บ่นบ้างหรือวันหยุดก็น้อยงานก็หนัก”

          “มีบ้างครับ แต่ท่านจำยอมอย่างเสียไม่ได้มากกว่า” ท่านหัวเราะก่อนจะพาผมไปนั่งที่เก้าอี้สีโอ๊กตัวโปรด

          “หิวอะไรไหม ทานอะไรมาหรือยัง”

          “เรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้าคุณแม่ยังไม่ทาน ผมทานเป็นเพื่อนได้ครับ”

          “อายุป่านนี้แล้วทานมื้อเย็นช้าไปก็ไม่ไหว” คุณแม่ของเปมทัตชอบถ่อมตัวว่าอายุมากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่จริงเลย ท่านยังสะสวยผิวพรรณดีอย่างคนรักสุขภาพ ผมก็ได้แต่ยิ้มรับ “ว่าแต่เจ้าอ้นฝากอะไรมาเยอะแยะ ทุกทีไม่เคยซื้อฝากมากขนาดนี้”

          “เขาคงกลัวคุณแม่จะน้อยใจที่วันหยุดไม่ได้กลับมาหา ก็เลยส่งของกำนัลมาอ้อนหรือเปล่าครับ” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดดู แต่เห็นลาง ๆ จากภายนอกว่ามีทั้งกระเป๋ารองเท้าแว่นตารวมไปถึงเครื่องสำอาง โชคยังเข้าข้างที่ไม่โดนกรมศุลกากรสุ่มตรวจ

          “หรือไม่ก็แค่หาเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือย นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ”

          “แต่ก็ดีใจไม่ใช่หรือครับ ที่ลูกชายคิดถึงคุณแม่ขนาดนี้”

          “โทรมาทุกวันอยู่แล้ว ข้าวของพวกนี้ไม่มีความจำเป็นสักนิดเดียว เดี๋ยวคืนนี้โทรมาต้องโดนแม่เอ็ดสักหน่อย” แย่ล่ะสิ ผมไม่เคยรู้เลยว่าเปมทัตโทรหาคุณแม่ของเขาทุกวัน ป่านนี้ไม่สงสัยแล้วหรือว่าผมเอาของเขาไปเก็บไว้ไหน ทำไมเพิ่งเอามาให้วันนี้

          หลังจากพูดคุยกันอีกสักพักผมก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนเวลาจนดึกดื่น คุณแม่เสียอีกที่เป็นฝ่ายรั้งไว้ ผมเองก็อยากจะอยู่คุยเล่นกับท่านเหมือนแต่ก่อน ต่างก็ตรงที่ตอนนี้ไม่มีทายาทคอยนั่งฟังด้วยรอยยิ้ม

          คุณโฉมฉายวางมือที่ไหล่ตอนที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าและวาทะศิลป์จัดพิมพ์จดหมายลาออก ผมเหลือบมองแม่ครู่หนึ่งก่อนจะเอียงคอซบหลังมือที่หอมกว่าใคร

          “พรุ่งนี้เราต้องไปสำนักงานที่ดินก่อนกลับนะ”

          “ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลยครับแม่”

          “ไม่รีบไม่ได้หรอก แม่กลัวเราเปลี่ยนใจ แม่รู้นะว่าซันไม่ใช่คนโลเล ความคิดความอ่านเด็ดขาด แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ห่วงแสนห่วงขนาดไหน แค่โทรหาแค่ได้ยินเสียงมันจะไปพออะไร สู้เห็นหน้ากันก็ไม่ได้ อย่างเจ้าแซนอยู่สุราษฎร์ฯ ก็จริง แต่ก็ยังใกล้กว่าเราเป็นไหน ๆ”

          “ผมตัดสินใจไปแล้ว ผมไม่ผิดคำพูดกับแม่หรอกครับ ผมรู้ว่าแม่ไม่อยากให้ผมไปตั้งแต่แรก ผมมันรั้นเอง แต่คราวนี้ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแน่นอน”

          “แม่ก็เชื่ออย่างนั้น แม่รู้ว่าซันชอบธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว”

          “แม่รู้หรือครับ”

          “รู้สิ นี่แม่ทั้งคนนะ ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน ลูกรักชอบอะไรทำไมแม่จะไม่สังเกต” กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เพราะไม่รู้ว่าแม่หมายความรวมถึงกรอบรูปที่มีแต่ภาพผมกับเปมทัตเต็มห้องนอนนี่ด้วยหรือเปล่า ผมจึงต้องจนใจเปลี่ยนเรื่องคุย

          “ว่าแต่ทันแน่หรือครับ ผมต้องไปสนามบินก่อนสองทุ่ม”

          “ทันสิ ทนายเตรียมเอกสารไว้หมดแล้ว รอลูกไปเซ็นเท่านั้นเอง” ผมสวมกอดเอวนุ่ม ๆ ก่อนจะได้รับจูบอุ่น ๆ ที่ไรผม “พรุ่งนี้ตอนเย็นแม่จะเข้าบริษัท ถ้าไปสนามบินตอนไหนโทรบอกแม่ก่อน แม่จะไปส่ง”

          “ครับ ขอบคุณนะครับแม่ สำหรับทุกอย่าง”

          แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมไม่กระวนกระวายใจหรือคิดถึงคนอีกฟากฟ้ามากเท่าที่ควรจะเป็น มีบ้างที่ใจเขวไป กังวลว่าเขากำลังทำอะไร กินอิ่มนอนหลับหรือไม่ แต่เมื่อภาพในหัวตัดไปที่นายธาวิน ความห่วงหาก็แปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา และคนที่กินข้าวไม่ลงก็คงเป็นผมเอง

          ด้วยเหตุผลสนับสนุนหลายอย่างทำให้การที่โทรศัพท์ของผมดังขึ้นพร้อมชื่อเปมทัตแสดงอยู่มันจึงเหมือนกับอาการตาฝาดเพราะนอนไม่พอ

          (( เดินทางกลับวันนี้หรือเปล่า ))

          “อืม”

          (( ถึงตอนไหน ให้ไปรับไหม ))

          “ไม่เป็นไร โทรบอกคนขับรถของสถานทูตให้มารับแล้ว”

          (( แต่ฉันอยากไปรับ ถึงสองทุ่มพรุ่งนี้ใช่ไหม ))

          “มีอะไรหรือเปล่า ไม่ต้องมารับหรอก เอาไว้ถึงที่พักแล้วจะไปหาที่ห้อง”

          (( อย่างนั้นก็ได้ ))

          ผมควรจัดการกับความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไร ทั้งดีใจ เป็นห่วง และกังวล ดีใจที่อย่างน้อยเปมก็โทรหาทั้งที่ผมไม่เคยมีค่าอะไรในสายตาของเขาอยู่แล้ว เป็นห่วงเพราะน้ำเสียงที่ได้ยินเปรียบเสมือนมีดกรีดพร้อมน้ำกรดรดลงกลางใจ และกังวลที่ไม่รู้ว่าเขาจะคุ้มดีคุ้มร้ายโทรหาผมอีกไหม เมื่อรับรู้ว่าผมไม่ขอใช้ชีวิตใต้ร่มเงาของเขาอีกต่อไป

          จิตสำนึกฝ่ายแซนตะโกนลั่นว่าให้เปลี่ยนเบอร์ แต่จิตสำนึกฝ่ายตรัสกลับบอกว่าเก็บไว้เถอะ อย่างไรก็เพื่อนกัน

          กว่าจะเดินทางถึงสำนักงานที่ดินต่างจังหวัดก็จวนเจียนเที่ยงอีกเหมือนเคย คุณทนายตระเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนอย่างที่คุณแม่บอก มีโอกาสได้พบอดีตเจ้าของฟาร์มที่เดินทางมาพร้อมภรรยาและคุณนายหน้า ผมจึงสอบถามถึงข้อมูลเกี่ยวเจ้าอาชาทั้งสองตัว

          โอนิกซ์กับอาเกต

          เขาว่าชื่อมันมาจากอัญมณี โอนิกซ์ตัวสีดำคือแร่ควอตซ์ชนิดหนึ่งกับอาเกตแปลว่าหินโมรา ผมไม่อยากถามความเป็นมาเพราะดูก็รู้ว่าเรียกตามสีขนอันเงางามของพวกมัน ได้ความรู้อีกมากเกี่ยวกับการเลี้ยงดู ทั้งอาหาร หยูกยา และการขี่ม้าเบื้องต้น เขายังฝากฝังให้ผมว่าจ้างคนงานชุดเดิมที่คุ้นเคยกับม้าให้ดูแลต่อไป จะได้ไม่เสียเวลากับการฝึกฝนพนักงานใหม่ อีกทั้งสุ่มเสี่ยงเพราะความไม่ชำนาญ เขายืนยันว่าทั้งสามคนทำงานได้ดีและขยันขันแข็งไม่เกี่ยงงอน รวมถึงเด็กเจ้าของบ้านต้นไม้หลังนั้นด้วย ผมรับปากและยินดีให้เจ้าของเก่าเขามาเยี่ยมเยียนม้าที่รักได้ทุกเวลาที่ต้องการ

          “แม่จะให้ผมเข้าไปหาที่บริษัทหรือว่ารออยู่ที่บ้านครับ”

          ผมสายตรงหาแม่ทันทีที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่หลงลืมอะไร จะว่าไปการเดินทางคราวนี้ผมแทบไม่มีสัมภาระเลยด้วยซ้ำ หนึ่งกระเป๋ากับหนังสือเดินทาง โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และจดหมายฉบับหนึ่ง บ่งถึงว่าผมเตรียมใจไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริง ๆ

          “เข้ามาหาแม่ที่บริษัทเลยก็ได้ ติดพันเอกสารของพ่อนิดหน่อย” ผมตอบรับก่อนจะขับรถออกไปหาท่านทันที

          มีโอกาสโทรลาน้องฐาครู่หนึ่งเพราะไม่อยากโทรทางไกลให้น้องที่ยังเป็นนักศึกษาต้องเดือดร้อน แค่โทรหากันเกือบทุกวันก็เกรงใจจะแย่ ผมผิดที่ทุกครั้งเมื่ออยากโทรหา กว่าจะค้นเจอเบอร์ก็เสียเวลาไปกับอุปสรรคอย่างภาพพื้นหลังหน้าจอ ภาพผมกับเปมทัตในวันรับปริญญา

          ว่ากันว่าตัดบัวอย่าเหลือใย ผมไม่ได้ไปหาเปมทัตที่ห้องตามสัญญาเมื่อเดินทางถึงเบอร์ลินตามเวลาพอดิบพอดี เช้าวันรุ่งขึ้นจดหมายที่ผมปราณีตเรียบเรียงอย่างจริงใจก็ถูกส่งให้คุณปราโมทย์ถึงโต๊ะประจำตำแหน่ง ท่านเรียกผมเข้าไปพบทันทีที่เปิดผลึก

          “ตัดสินใจดีแล้วหรือ”

          “ครับ ผมคิดมาสักพักแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเหน็ดเหนื่อยอย่างที่ท่านถามผมก่อนหน้านี้ สาเหตุเป็นไปตามที่ผมชี้แจงในเนื้อจดหมายครับ”

          “ผมเข้าใจดี ผมขอให้คุณมีความสุขกับฟาร์มในฝันนะศิรานุวัฒน์” ท่านกล่าวส่งท้ายก่อนจะลงลายมือชื่ออย่างชัดเจน

          ลายเซ็นที่เปรียบดังปีกกล้าให้ผมโผบินออกจากกรงทองของเปมทัตเสียที

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2017 10:59:52 โดย Lipstick_Murder »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชักอยากเจอเด็กเลี้ยงม้าเสียแล้วสิ ว่าแต่กับน้องฐานี่คบกับอยู่เหรอ คบกันทั้งที่ไม่ได้รักนี่นะเหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ลึกๆแล้วเราก็ยังเชียร์เปมนะ
เด็กเลี้ยงมาคืออะไร มีผลกับซันแน่ๆเลย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
เมื่อไหร่จะเจอกันนน เมื่อไหร่จะเจอกับคนที่ใช่คนนั้นนน  :hao5: :z3:

ออฟไลน์ Nell

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีแล้วที่ออกมา มีความรู้สึกสงสารซัน เปมคือไม่เห็นค่ามากมาย ถ้าเปมไม่แรดไปหาวินแบบออกนอกหน้าเรายังพอเชียให้รักกันแต่ที่นางทำคือไม่เหมาะกันคนอย่างซัน ซันควรออกจากตำแหน่งเพื่อน(ของ)ตาย บางทีกลับมาอาจมีคอยเติมใจให้ก็ได้ ก่อนอื่นควรเลิกทำร่ายฐา เพราะซันจะกลายเป็นเหมือนเปม
เหนือสิ่งอื่นใดคือความอิจอิตรัสกับน้องหมี

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 5

          สองอาทิตย์กับการสะสางงานเอกสารที่คั่งค้าง พยายามไม่คิดทบทวนว่าผมทำถูกแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจอย่างนี้ ตอนเช้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานตอนเย็นกลับห้องเพื่อตระเตรียมข้าวของเพื่อย้ายกลับปิตุภูมิเป็นการถาวร มีหนังสือและเสื้อผ้าบางส่วนที่ผมต้องใช้บริการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง

          การหลีกเลี่ยงไม่พบเจอเปมทัตเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ ถ้าใส่ใจกันบ้างเขาจะรู้ได้ทันทีว่าในสารบบของผู้ชายคนนี้สถานที่หลบหน้าเพียงหนึ่งเดียวคือสวนสาธารณะ แต่เขาก็แค่ไม่สนใจ ยังคงทานข้าวมื้อเช้าเที่ยงเย็นและไปกลับรับส่งด้วยรถของนายธาวินเฉกเช่นเดิม เป็นเหตุให้คำกล่าวลาสุดท้ายของผมคือกระดาษใบเล็กที่ติดอยู่หน้าประตูห้องของเปมทัต แสนขี้ขลาดแต่ผมไม่อาจสู้หน้ากาวใจที่มีผลทำให้ผมอยากยื้อเวลาอยู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

          รถครอบครัวเจ็ดที่นั่งเคลื่อนผ่านรั้วบ้านภัทรกูลอย่างสวัสดิภาพ กลับมาคราวนี้ผมมีโอกาสรบกวนคนขับรถของแม่เพราะตะวันยังส่องแสงเจิดจ้า อีกทั้งสัมภาระมากมายที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะขนย้ายได้ด้วยระบบขนส่งมวลชน แม่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาสวมกอดพร้อมหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ก่อนจะลุกลี้ลุกลนกลับไปที่รถตู้อีกคัน

          “ซันมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนนะลูก พ่อเรายังอยู่ที่ไร่องุ่น ส่วนเจ้าแซนกลับไปสุราษฎร์ฯ ได้หลายวันแล้ว”

          “แล้วนี่แม่จะไปไหนครับ”

          “แก้บน” ตอบสั้น ๆ ยิ้มหวานแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนนิ่งเป็นหุ่นปูนปั้นประดับสวนหย่อม ก่อนที่เสียงหัวเราะของพี่นุชจะดึงสายตาให้ละมาจากหลังไว ๆ ของแม่

          “คุณนายไปบนบานไว้ที่ศาลเจ้านานหลายเดือนแล้วล่ะค่ะ ขอให้คุณซันกลับมาทำงานที่ไทยเพราะอยู่ไกลขนาดนั้นแล้วท่านเป็นห่วง” พี่นุชเล่าไปพลางยกกระเป๋าที่เหลือลงจากรถไปพลาง ส่วนพี่คนขับเดินล่วงหน้าเข้าบ้านด้วยสัมภาระเต็มสองมือ

          “อะไรนะครับ”

          “ทั้งหัวหมูทั้งไก่ต้มเต็มรถไปหมด ถ้าไม่เชื่อคุณซันลองตามไปดูก็ได้ค่ะ แต่รีบหน่อยนะเพราะข้าวของเตรียมพร้อมแล้ว อีกสักพักก็คงจะออกเดินทาง” ผมทำตามที่พี่นุชแนะนำจ้ำตามแม่ไปติด ๆ หลังจากไหว้วานมือคู่สวยช่วยจัดการกระเป๋าที่เหลือเข้าห้องนอน วางใจได้เพราะเห็นคนสวนเดินมาให้หยิบยืมแรงอีกสองคน

          “แม่พูดจริงหรือครับ”

          “จริงน่ะสิ แม่บนไว้อย่างละเก้าก็ดูเอาแล้วกันว่าแม่พูดเล่นตรงไหน” ไม่ใช่เรื่องตลกแน่เพราะเครื่องสักการะถูกจัดเรียงไว้เสียกองพะเนินเต็มเบาะรถ พี่คนขับที่รับผมมาจากสนามบินก็โดดขึ้นนั่งประจำตำแหน่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          “ที่ไหนครับ ไกลหรือเปล่า ผมไปด้วยได้ไหม”

          “อย่าเลยวันนี้อากาศร้อน เราเพิ่งกลับจากเมืองหนาวเดี๋ยวจะจับไข้เอา เสร็จพิธีเมื่อไหร่แม่ก็กลับไม่แวะที่ไหนหรอก เข้าห้องเปิดแอร์นอนแล้วเย็นนี้รอทานอาหารฝีมือแม่ดีกว่า” ได้ยินแม่พูดอย่างนั้นแล้วหนังตาก็หนักขึ้นมาเฉียบพลัน การเดินทางไกลแม้ที่นั่งชั้นธุรกิจจะสบายอย่างไรก็ไม่เหมือนเตียงที่บ้าน ใจหนึ่งก็ยังอยากไปกับแม่เพราะเป็นต้นเรื่องให้ท่านลำบากพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อีกใจผมก็เพลียเกินไปจริง ๆ

          ผมคงไม่จำเป็นต้องสาธยายให้ไอ้ตรัสฟังเป็นรอบที่ร้อยว่าทำไมบ้านผมถึงมีเรื่องแต่ยุ่งยากเกี่ยวกับความเชื่องมงายของท่านผู้หญิงโฉมฉาย เรื่องการหมั้นของศาสตราวุธกับรพีพิชญ์ยังคงเป็นสมการที่แก้ไม่ได้ เห็นหน้ามันทีไรก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทว่าจะออกตัวรับสมอ้างหมั้นหมายแทนกันแม่ก็ยืนกรานว่าหมอดูเขากำชับให้เจ้าบ่าวต้องเป็นแฝดผู้น้องที่คลอดก่อนเท่านั้นจึงจะสมรสสมรัก

          เมื่อตอนที่แซนไปรับที่สนามบิน ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันมีแผนการตัดช่องน้อยแต่พอตัว ถึงกับเอ่ยปากว่ารู้สึกผิดเรื่องพิชญ์มันจะมีอะไรไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ยังคิดไม่ตกว่ามันจะมีทางออกที่ดีให้กับเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อฝ่ายนี้ก็ไม่ได้รัก ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้อยากมีคำนำหน้าว่านางตั้งแต่ยังเยาว์

          กระเป๋าเดินทางหลายใบที่อาศัยแรงคนในบ้านช่วยกันยกขึ้นมายังถูกวางไว้ที่เดิม หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดท่าเพราะความเมื่อยล้าที่สั่งสม แต่ผมก็นอนไม่หลับ กรอบรูปรอบห้องที่มีเปมทัตร่วมเฟรมยังมองจ้องผมอยู่อย่างนี้ต่อให้มียากล่อมประสาทเป็นร้อยชนิดก็คงไม่ช่วยอะไร เรียกแรงเฮือกสุดท้ายควานหากล่องพลาสติกใกล้มือแล้วปลดภาพทั้งหมดลงโดยข่มใจไม่คร่ำครวญหาพระแสงของ้าว ผมรวบรวมทุกอย่างไว้ในกล่องทั้งภาพถ่าย ความทรงจำ และความรู้สึกที่ปิดผนึกล็อกกุญแจปิดตาย

          “มึงถามกูว่าอยากถอยออกมาบ้างไหม แล้วทำไมมึงยังกลับไปสุราษฎร์ฯ”

          หลังจากตื่นเต็มตาผมก็ควานหาโทรศัพท์เพื่อเม้งใส่คนกลับกลอก ตงิดใจตั้งแต่แม่บอกว่ามันกลับไปรีสอร์ทของว่าที่พี่เขย แต่ยังไม่มีเวลาถามไถ่เพราะข้องใจกับเรื่องแก้บนมากกว่า

          (( คุณพีระมิดยังหาคนมาแทนกูไม่ได้ ))

          “ไม่ยักรู้ว่าเขาให้มึงทำตำแหน่งสำคัญ”

          (( กูก็ได้แต่หวังว่ามันสำคัญ ))

          “ตำแหน่งอะไรผู้จัดการห้องอาหาร ฝ่ายจัดเลี้ยง หรือฝ่ายห้องพัก”

          (( เดาผิดหมด )) น้ำเสียงหม่นหมองพาลให้คุยไม่สนุก ไม่รู้ทำไมคนที่รักความสำเริงสำราญถึงได้ยอมไปอยู่ใต้อาณัติของครอบครัวคู่หมั้น ผมเคยตั้งคำถามแต่ไม่เคยได้รับคำตอบ คิดเอาเองว่าเพราะบรรยากาศที่ดีทำให้มันมีใจรักธรรมชาติอย่างพลเมืองโลกคนหนึ่ง

          “ไม่บอกกันบ้างเลยว่าแม่เหงาถึงขนาดไปบนบานศาลกล่าวให้กูกลับมา”

          (( อ้าว นึกว่าเด็กที่บ้านแอบกระซิบให้มึงรู้แล้วซะอีก )) มันหัวเราะร่วน

          “เพิ่งรู้จากพี่นุชวันนี้ นี่ก็พากันไปแก้บนเสียใหญ่โต”

          (( แม่ทำเรื่องเล่นเป็นเรื่องใหญ่ตลอด ความจริงกูนี่แหละเป็นคนต้นคิดเรื่องบน เพราะท่านเอาแต่บ่นคิดถึงมึงทุกวัน อยากโทรหาแต่ก็กลัวรบกวนเวลานอนอย่างนั้นอย่างนี้ กูเป็นลูกคนอีกแท้ ๆ ยังอิจฉาตาร้อนเป็นไฟเลย เอาไว้กูหายไปอยู่อีกซีกโลกบ้างอยากรู้นักว่าแม่จะบ่นเช้าบ่นเย็นแบบนี้ไหม )) ผมไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ามันพูดจาเลอะเทอะหรือแม่นมั่น แม้สุ้มเสียงฟังดูติดตลกไม่ทิ้งลายคนขี้เล่น แต่ประโยคถัดมานี่ต่างหากที่เรียกอย่างเต็มปากว่าจริงจัง

          (( ซัน... )) ผมอืออาตอบรับว่าฟังอยู่ (( กูดีใจนะที่มึงยอมทิ้งหัวใจตัวเองแล้วบินกลับมา กูดีใจที่มึงเข้มแข็งพอที่จะเริ่มต้นใหม่ กูขอให้ต่อจากนี้ไปมึงเจอคนที่ใช่จริง ๆ สักที ))

          แม่จัดสำรับอาหารชาววังชุดใหญ่ตบท้ายขนมหวานจานโปรด ไม่ลืมถ่ายภาพส่งไปอวดพ่อกับไอ้แซนเพื่อแสดงแสนยานุภาพว่าลูกรักตัวจริงกลับมายึดตำแหน่งคืนเรียบร้อยแล้ว

          “ผมว่าจะสร้างบ้านเล็ก ๆ สักหลังข้างคลองท้ายฟาร์ม แม่ว่าดีไหมครับ” ระหว่างรอข้าวเรียงเม็ดที่ม้านั่งตรงชานบ้าน ถือโอกาสเอนหนุนตักแม่แล้วเท้าความถึงมโนคติที่จินตนาการไว้ว่าอยากให้ฟาร์มในฝันเป็นอย่างไร

          “จะปักหลักตั้งรกรากที่นั่นเลยหรือ”

          “ที่เราเห็นมันมีแค่เพิงไม้สักกับกระท่อมเก่า ๆ เท่านั้นเองนะครับแม่ หรือแม่อยากให้ผมนอนในคอกม้า”

          “จริงด้วยสินะ แม่ไม่ทันคิด”

          “เรื่องนี้ผมขอจัดการเองนะครับ รบกวนแม่มามากแล้ว กระท่อมผมตั้งใจไว้ว่าจะใช้เป็นโรงเก็บของเก่า ส่วนเพิงหลังนั้นใหญ่พอสมควรผมว่าจะปรับปรุงเป็นร้านสำหรับขายของที่ระลึก”

          “พ่อต้องชอบใจแน่ นี่แม่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าซันซื้อที่ดินผืนนี้ เอาไว้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วพาเขาไปดูพร้อมกันเลยดีไหม”

          “ดีครับ ถ้าแม่ไม่ว่าอะไรผมขอไปสำรวจที่ดินว่าต้องปรับปรุงหรือเพิ่มเติมอะไรภายในอาทิตย์นี้ได้ไหมครับ”

          “ต้องรีบขนาดนั้นเชียว แม่ยังไม่หายคิดถึงเลยนะ”

          “ถ้ามีที่พักเป็นหลักแหล่งและไม่ลำบากผมก็อยากพาแม่ไปด้วยครับ แต่ผมไม่อยากอยู่เฉยนานเกินไป ยิ่งเราเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตผมยิ่งไม่อยากปล่อยปละละเลยพวกเขา อยากไปทำความรู้จักกับผู้คนและสถานที่ให้มากกว่านี้ แม่เข้าใจผมนะครับ”

          “แม่เข้าใจแต่ต้องอนุญาตให้แม่ไปหาบ่อย ๆ นะ เรื่องลำบากแม่ไม่กลัวหรอก”

          “ไม่มีปัญหาครับ”

          เป้หนึ่งใบกับใจพองโตในรถออดี้ปัดฝุ่น โชคดีที่มีคุณพ่อคอยเอาใจใส่ดูแลเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ตรวจเช็คเครื่องล่าง หรือแม้แต่ต่อประกันภัยภาคบังคับตามพระราชบัญญัติ อีกทั้งยังมีเด็กในบ้านวนเวียนมาขัดสีฉวีวรรณ สภาพทั้งคันจึงไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่ได้จับต้องเท่าไหร่นัก

          ด้วยว่าอยากซึมซับบรรยากาศย่ำรุ่งจึงกล่าวลาแม่ตั้งแต่ก่อนเข้านอน ได้รับพรมงคลเสร็จสรรพ อีกทั้งผมยังกำชับให้พี่นุชและพรรคพวกช่วยกันขนกล่องของเหลือใช้ไปวางไว้ที่จุดทิ้งขยะเพื่อรอรถขนถ่าย มีทั้งเอกสารเก่าเก็บและขยะทั่วไปจากในห้องนอน แต่ตอนที่ผมขับรถผ่านกำแพงหน้าบ้านดูเหมือนกล่องของไม่จำเป็นจะเกินจำนวน พี่นุชหยิบเอากล่องกรอบรูปของผมกับเปมทัตติดมาด้วย ใจแข็งขับผ่านไปได้ไม่เกินร้อยเมตรก็ต้องจำทนถอยรถกลับมา แล้วพาเสี้ยนหนามแทงใจไปฟาร์มม้าด้วยกัน

          เมื่อยุรยาตรเข้ามาในฟาร์มภาพที่เห็นคือผู้คนพลุกพล่านกว่าที่ผมคิดไว้มาก ไม่เพียงคนงานทั้งสาม พี่เสือ พี่ยักษ์ และพี่เมฆ แต่ลูกเล็กเด็กแดงจากระแวกใกล้เคียงก็พากันมาเยี่ยมเยียนเพื่อนม้า อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดเรียนพอดี และเจ้าของเดิมคงมีใจเมตตา มิตรสหายจึงแวะเวียนมาหามากมาย

          คุณทนายช่วยสื่อสารไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผมจะรับช่วงต่อทุกอย่าง ทั้งเรื่องอาหารการกินและชีวิตความเป็นอยู่ ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถติดต่อมายังเบอร์โทรศัพท์ของผมที่ให้ไว้ แต่ความโชคดีในช่วงเลี้ยวหัวต่อนี้ก็คืออาหารม้าทั้งข้นหยาบ หญ้าสดหญ้าแห้ง ข้าวเปลือกและรำยังมีตุนไว้ในโรงเลี้ยงอยู่มาก อีกทั้งพี่สามคนนั้นแก่วิชารู้ว่าเกลือแร่และสารอาหารต่าง ๆ ต้องกะเกณฑ์อย่างไร แม้ผมจะศึกษามาบ้างระหว่างสังคายนางานคงค้างที่สถานทูต แต่จะเทียบเคียงกับผู้มีประสบการณ์มานานปีได้อย่างไร

          ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้เปลี่ยนเบอร์หนีใครเพราะแค่นี้ก็เหมือนคนขี้แพ้เต็มทน ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าเปมทัตจะติดต่อมา ผมขนกล่องกรอบรูปที่คล้องกุญแจใส่รหัสแน่นหนาไปเก็บไว้ใต้แคร่ไม้ไผ่ในกระท่อมมุงจาก ภายในมีหน้าต่างหนึ่งบานกับไม้กวาดหยากไย่หนึ่งอัน ผมว่าผมค้นพบแล้วว่าจะพำนักที่ไหนระหว่างรอวิมานหลังน้อยสร้างเสร็จ

          “พี่พักที่ไหนกันหรือครับ” ผมถามพี่เสือระหว่างนั่งทานข้าวกล่องที่โต๊ะหินอ่อนข้างลำธาร วันนี้อากาศดีจึงไม่มีความจำเป็นต้องหลบแดดในร่มข้างคอกเจ้าโอนิกซ์ พูดคุยกันมาก็ตั้งหลายวันแต่ไม่เคยถามเป็นเรื่องเป็นราวสักที พอได้เวลาเลิกงานก็พร้อมใจเดินหายกันไปทั้งกลุ่ม

          “พี่กับไอ้เมฆเช่าตึกแถวของยายขวัญเรือน ส่วนไอ้ยักษ์อยู่บ้านกับครอบครัว ลูกสาวมันน่ารักเหมือนตุ๊กตา ไว้ว่าง ๆ จะให้มันพามาเที่ยว เพิ่งสองขวบแต่คุยเก่งอย่างกับนักข่าวภาคสนาม” ผมหัวเราะ

          พี่เสือดูอย่างไรอายุอานามก็ไม่น่าจะเกินสี่สิบ แต่ด้วยหนวดเครายาวเฟิ้มและรอยสักจึงหนุนนำให้ดูล้ำหน้าไปกว่านั้นมาก ส่วนพี่ยักษ์รูปลักษณ์ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับฉายานาม ละม้ายคล้ายกับพี่เมฆที่สมส่วนและมีกล้ามเนื้อเพราะทำงานหนัก สองคนนี้ดูอ่อนวัยกว่าพี่เสืออย่างเห็นได้ชัด

          “คุณซันยังไม่เคยเจอเจ้านอฟลูกกะจ๊อกพวกผมใช่ไหม มันอยู่หอโรงเรียนชายล้วนในตัวเมือง จะกลับมาเฉพาะวันหยุดยาวแล้วก็ช่วงปิดเทอม บ้านต้นไม้ตรงโน้นก็เคยเป็นของมัน ไม่แน่ใจว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่านายฝรั่งเขาขายฟาร์มแล้ว” พี่ยักษ์ทำให้ผมได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าถิ่นเสียที แม้ว่าตอนนี้ผมจะเป็นเจ้าของที่นี่แล้วแต่ก็ไม่อยากไปแตะต้องข้าวของที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้าย เดี๋ยวจะกลายเป็นขโมยโดยไม่รู้ตัว เอาไว้เจอหน้าแล้วค่อยหารือว่าจะทำอย่างไร

          ปกติแล้วพี่ทั้งสามคนจะผลัดเวรกันนอนเฝ้าคอกเพราะบ้านเจ้าของเดิมไม่ได้อยู่ในขอบรั้วของฟาร์ม แต่ ณ ตอนนี้มีผมเป็นยามนอนเฝ้ากระท่อมก็เลยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าใครจะมาลักลอบขนของในคลัง อีกทั้งต้องดูอาการผิดปกติของเจ้าโอนิกซ์กับอาเกต ไฟฉายคู่ใจที่เตรียมมาจากบ้านจึงได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

          “เจ้านอฟมันใช้ง่ายนะครับ วานให้ซื้ออะไรก็ปั่นจักรยานไปทันที อย่างร้านชำของยายขวัญเรือนเจ้านอฟมันไปบ่อยมาก ไม่รู้ติดใจอะไรทั้งที่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังก็มาเปิดใกล้กันตั้งนานแล้ว หรืออย่างเวลาที่พวกผมไม่ว่างมานอนเฝ้าคอก มันก็หอบเสื่อผืนหมอนใบมานอนกอดเจ้าอาเกตหน้าตาเฉย คุณซันช่วยเอ็นดูมันหน่อยแล้วกัน เด็กกำพร้าแม่แต่ขยันเรียนที่หนึ่งเลย” ตบท้ายด้วยพี่เมฆที่อธิบายสรรพคุณของเด็กนอฟให้ผมฟัง สีหน้าสีตาทุกคนดูรักใคร่ลูกน้องหัวเกรียนคนนี้ไม่น้อย ผมใคร่ขอยลเองกับตาสักวันแล้วกัน

          ช่างรับเหมาสร้างบ้านและต่อเติมเพิงไม้สักเป็นคนของวิศวกรมืออาชีพที่ได้ทนายช่วยประสานงานให้ เพียงเดือนเดียวเรือนหลังน้อยของผมก็แล้วเสร็จ บ้านหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องน้ำที่สร้างด้วยโครงเหล็กสำเร็จรูปและพนังอิฐเทียม ความสมถะของผมถูกแม่ท้วงติงว่าพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายจะอยู่อาศัยเข้าไปได้อย่างไร ผมไม่ให้ค่าความโอ่โถงเท่าไหร่นัก คุณโฉมฉายก็ได้แต่สายหน้าแล้วงอนตุ๊บป่องกลับไป

          จุดเริ่มต้นกิจการอาจไม่สวยหรูเพราะผมไม่มุ่งหวังผลกำไร แค่ได้ยินเสียงนกร้องในทุกเช้า มีข้าวให้กินทุกมื้อ อีกทั้งยังมีสายน้ำเย็นให้แช่เท้าเล่นก่อนนอน เท่านี้ก็ไม่มีเงินตราสกุลใดซื้อขายความสุขอันเรียบง่ายของผมได้

          เว้นแต่เสี้ยวความคิดที่วนเวียนกลับไปหาเจ้าของหัวใจคนเดิม

          กระจ่างชัดจากปากตรัสว่าเปมทัตเพื่อนรักยังมีชีวิตผาสุกที่เยอรมัน นายธาวินก็เช่นกัน ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่าการสานต่อความสัมพันธ์ครั้งใหม่จบลงเช่นไร และอุปสรรคมากบารมีอย่างท่านปราโมทย์จะทราบหรือไม่ว่าลูกชายของเพื่อนรักเคยมีประวัติลึกซึ้งกับผู้สืบสกุล ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณประภัสสรต้องระแคะระคายเรื่องมุมมองความรักของเปมทัตด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่

          “คุณซัน เกลือแร่ใกล้หมดแล้วสั่งล็อตใหม่มาลงเลยดีไหม” ผมกำลังแปรงขนดำเงาของเจ้าโอนิกซ์อยู่ในคอกปิดตอนที่พี่เมฆเดินเข้ามาพร้อมเกลือแร่ถังสุดท้าย

          “แบบน้ำหรือผงครับที่ใกล้หมด”

          “ผมว่าแบบผงกลิ่นราสเบอร์รี่เจ้าโอนิกซ์มันจะชอบมากกว่า แต่เจ้าอาเกตชอบแบบไม่มีกลิ่น คุณซันมีเบอร์บริษัทส่งของใช่ไหม” พูดไปมือก็ผสมน้ำกับเกลือแร่ในสัดส่วนที่เคยชิน พี่เขาเคยบอกผมไว้ก่อนแล้วว่าพวกอาหารและเกลือแร่ต้องจัดสรรอย่างไร ค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละอย่างจนตอนนี้ก็เกือบจะเชี่ยวชาญ ยกเว้นการขี่ม้า

          “มี ๆ เดี๋ยวผมสั่งมาเพิ่มทั้งสองแบบเลย แล้วนี่พี่ยักษ์กับพี่เสือไปไหนกันหมดครับ” ผมถามเสียงอู้อี้เพราะยกมือขึ้นปิดจมูกระหว่างฉีดสเปรย์ไล่ยุงไปทั่วตัวจนถึงพวงหาง

          “พี่เสือพาอาเกตไปเดินเล่น ส่วนไอ้ยักษ์น่าจะเอารถออกไปตัดหญ้าสดมาเพิ่ม มีอะไรจะเรียกใช้หรือเปล่า เดี๋ยวพี่ไปตามมาให้”

          “ครับ ว่าจะแปรงขนอาเกตอีกตัว รบกวนบอกพี่เสือพามันเข้าคอกหน่อย”

          “ให้พี่ทำเองก็ได้นะ คุณซันไปพักเถอะ”

          “ไม่เป็นไรครับ สนุกดี ผมยังรู้สึกตื่นเต้นกับที่นี่อยู่เลย” พี่เมฆเขาหัวเราะร่วนก่อนจะเดินออกไปตามคำขอหลังจากจัดการปิดถังเกลือแร่เรียบร้อยแล้ว

          คนที่พาเจ้าอาเกตกลับมาไม่ใช่ผู้ชายตัวใหญ่พร้อมรอยสักเต็มท่อนแขน แต่กลับเป็นเด็กผู้ชายร่างสูงชะลูดพร้อมรอยยิ้มสดใส ได้ยินเสียงเจ้าม้าสีน้ำตาลเข้มพ่นลมหายใจฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ที่ต้องถูกลากจูงกลับเข้าคอกแคบ ๆ

          “พี่ซันใช่ไหมครับ ผมนอฟลูกสมุนของสามทหารเสือ” เจ้าเด็กนอฟประนมมือจรดจมูกไหว้อย่างถูกต้องตามตำรามารยาทไทยเป๊ะ ผมเสียอีกที่สงสัยจนต้องเลิกคิ้วรับไหว้ “อ๋อ ผมหมายถึงพวกพี่เสือน่ะฮะ ผมตั้งฉายาให้ว่าสามทหารเสือ อย่างพี่ยักษ์เองแกก็ไม่ได้ชื่อยักษ์ ชื่อยุทธแต่เพราะหน้ายักษ์ ๆ ไม่เป็นมิตรผมก็เลยตั้งให้ใหม่ แต่ไม่รู้ทำไมลูกสาวพี่แกถึงได้น่าร้ากน่ารัก” ไอ้เด็กนี่มาถึงก็พูดฉอดไม่รอให้ผมตอบรับอะไรบ้างเลย

          “แล้วชื่อเราแปลว่าอะไร นอฟจากบานอฟฟี่อะไรจำพวกนี้ใช่ไหม”

          “ไม่ใช่ครับ นอฟอักษรย่อเดือนพฤศจิกายน” ผมพยักหน้าระหว่างรอเด็กนอฟปลดบังเหียนออกจากปากเจ้าอาเกต จากที่นึกภาพเอาไว้ว่าคงเป็นเด็กมัธยมต้นผมสั้นติดหนังศีรษะ แต่กลับกลายเป็นทรงเซิร์ฟคัทกับความสูงที่น่าจะพ้นผ่านคำว่าเด็กเร็ว ๆ นี้

          “เกิดเดือนพฤศจิกาฯ อย่างนั้นสิ”

          “ครับ แล้วพี่ซันเกิดเดือนอะไร”

          “มกราฯ”

          “เขาว่าคนเกิดเดือนนี้มีเสน่ห์แต่อารมณ์อ่อนไหว ทะเยอทะยานและรักการเรียนรู้ เลือกคบคนอย่างพิถีพิถัน ที่สำคัญข้อเสียคือขี้หึง ผมเดาถูกไหม” เจอกันครู่เดียวก็ร่ายยาวอุปนิสัย ไม่แปลกใจว่าทำไมสามทหารเสือถึงรักชอบ

          อ่า...เผลอเรียกตามเจ้าเด็กนอฟเสียแล้วสิ

          “ม.ปลายมีแต่สายวิทย์กับสายศิลป์ แต่นี่เรียนสายไสยฯ หรือไงเรา”

          “ไสยฯ อะไรฮะ”

          “ไสยศาสตร์” คนเกิดเดือนสิบเอ็ดหัวเราะชอบใจก่อนจะแบมือขอแปรงขนอ่อนขนาดใหญ่ ผมยอมส่งให้เพราะเริ่มเมื่อยแขนแล้วเหมือนกัน มองมืออาชีพขัดเกลาเจ้าอาเกตอย่างชำนิชำนาญแล้วหายห่วง ก่อนจะเดินไปหอบหญ้าแห้งมาใส่ในรางเพิ่มเติม

          “อ้อ พี่เสือกับพี่เมฆเขาฝากมาบอกว่าจะไปเดินเก็บอึเจ้าสองตัวนี้มาทำปุ๋ยนะฮะ มีโรงปุ๋ยหมักอยู่ท้ายที่ พี่ซันน่าจะยังเดินไปไม่ถึง”

          “มีด้วยหรือ”

          “มี ๆ โรงไม่ใหญ่หรอกครับ แต่กลิ่นอลังการอย่าบอกใคร” แค่ได้ยินกลิ่นก็เตะจมูก ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนช่างจำนรรจา เห็นทีมีเจ้านี่แล้วผมคงคลายเหงาไปได้เยอะ

          “แล้วนี่กลับมากี่วัน จะมายึดบ้านต้นไม้คืนด้วยไหม”

          “ยึดคืนอะไรกัน พี่ซื้อที่ดินผืนนี้ไปแล้วมันก็ไม่ใช่ของผมแล้ว อีกอย่างปีหน้าผมก็ต้องเข้ามหา’ลัยคงไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นบ่อย ๆ ฝากพี่ซันดูแลมันแทนผมด้วย”

          “ไม่ได้มานอนที่นี่ประจำหรอกหรือ”

          “เปล่าครับผมนอนที่บ้านพ่อ ในบ้านต้นไม้มีแต่ตู้หนังสือกับโซฟา และถ้าไม่เป็นการรบกวนมากไปอย่าให้ปลวกแทะเชียวนะครับ”

          ผมรับกุญแจบ้านต้นไม้คืนมาจากเด็กนอฟพร้อมกุญแจรถจี๊ปซีเจไฟฟ์จากพี่ยักษ์ เปิดเข้าไปตรวจสอบพร้อมเจ้าของเดิมว่ายังอยู่ในสภาพเดิมหรือเปล่า ภายในห้องหกเหลี่ยมมีตู้กระจกขนาดใหญ่พร้อมหนังสือปกหนาหลายสิบเล่ม และโซฟาสีครีมบุนวมกลางเก่ากลางใหม่ ไม่มีอะไรนอกจากนี้

          “เห็นล็อกกุญแจเสียแน่นหนา นึกว่าจะเปิดมาเจอหีบสมบัติ”

          “สมบัติน่ะมีแน่ฮะ แต่มันเป็นแค่ลายแทงซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งนี่แหละ” ผมพ่นลมออกจมูกให้รู้ว่าผมเชื่อมาก “จริงจริ๊ง”

          “แล้วนี่จะกลับหรือยัง ให้พี่ไปส่งไหม”

          “ได้กุญแจไปก็ไล่เลยนะครับ ขออยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม ไว้ใกล้มื้อเย็นแล้วจะพาไปร้านเด็ด”

          “ร้านคุณยายขวัญเรือนอะไรนั่นหรือเปล่า โดนพี่เสือเผาไว้เยอะเลย”

          “ตลอด ทำไมไม่เผาตัวเองบ้างว่าวันไหนยายแกทำแกงรัญจวนทีไร เหมาหมดหม้อคนเดียวทุกที”

          “อร่อยขนาดนั้นเชียว” ผมแกว่งกุญแจรถในมือ ชักเปรี้ยวปากขึ้นมาตงิด ๆ

          “ไม่เชื่อใช่ไหม ๆ อย่างนี้ต้องพาไปพิสูจน์ แต่ผมไม่รู้นะว่าวันนี้ยายแกแกงอะไรบ้าง แต่ในช่วงปิดเทอมนี้แกต้องทำแกงรัญจวนสักวันแหละ แล้วผมจะหิ้วมาฝากเพราะถ้ารอพี่ไปกินต้องไม่ทันเฮียเสือแน่นอน”

          “มีแค่อาหารเท่านั้นเหรอ ยายแกทำอะไรขายบ้าง เห็นว่าเป็นร้านชำ”

          “ก็พวกของกินของใช้จิปาถะนั่นแหละ แต่เพราะมีร้านสะดวกซื้อมาเปิดแข่งแกก็เลยปรับปรุงเป็นร้านอาหารด้านหน้าเสียเลย อย่างพวกขนมไทยก็อร่อยนะฮะ แต่ยายแกไม่ได้เป็นคนทำเองหรอก หลานแกทำ สายตาไม่ค่อยดีก็เลยไม่มีเวลามาเพ่งจับจีบหรือแกะสลักอะไรพวกนี้”

          “ถ้าอย่างนั้นไปเลยไหม ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”

          รถจี๊ปที่ซื้อต่อมาจากชาวบ้านใช้งานได้คุ้มค่าเหลือเชื่อ ด้วยว่าภายในฟาร์มยังไม่มีพาหนะไว้ขนย้ายผมจึงตัดสินใจซื้อมา นี่คงเป็นหนแรกกระมังที่ขับออกนอกอาณาเขต เพราะไม่ว่าพี่ยักษ์จะต้องไปตัดหญ้าที่ไหนก็ไม่เคยไกลกว่าคลองท้ายคอกสักที

          “พี่ซันไม่อยากตั้งชื่อฟาร์มหน่อยหรือครับ” ลมแรงทำให้ผมยาวที่เคยปรกหน้าปลิวขึ้นจนคล้ายอัลปาก้าที่มีคิ้วดกดำ “นายฝรั่งเขาอยากได้ชื่อภาษาไทยเก๋ ๆ แต่คิดไม่ตกก็เลยยังไม่ได้ตั้งยันทุกวันนี้ นี่ก็น่าเสียดายที่พี่มาซื้อต่อช้าไปหน่อย ไม่อยากนั้นเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยก็คงยังไม่ถูกขายไป”

          “โอนิกซ์กับอาเกตเคยมีลูกหรือยัง”

          “ยังครับ ๆ ตัวเล็กตัวน้อยที่ผมว่าเป็นลูกจากพ่อแม่พันธุ์ตัวอื่นที่ถูกขายไปแล้วเหมือนกัน ถึงแล้ว ๆ ร้านข้างหน้าเลยครับพี่” จู่ ๆ เจ้านอฟก็ชี้ร้านค้าเล็ก ๆ ข้างทาง ผมค่อย ๆ ชะลอรถจนจอดสนิท

          “คิดว่าร้านจะใหญ่กว่านี้เสียอีก ถ้าอร่อยอย่างเราว่าลูกค้าน่าจะเยอะ”

          “ลูกค้าเยอะจริงครับ แต่ส่วนใหญ่จะซื้อกลับบ้านไม่ค่อยนั่งกินที่ร้านกันหรอก” เห็นขายาว ๆ วิ่งถลาไปกอดคุณยายขวัญเรือนก่อนจะยกมือไหว้ แล้วหลบหายเข้าไปหลังร้าน

          “สวัสดีครับคุณยาย เจ้านอฟเขาโฆษณาอาหารฝีมือคุณยายจนผมอดใจไม่ไหวต้องมาลองด้วยตัวเอง”

          “โถพ่อหนุ่ม นั่งก่อน ๆ เจ้าเด็กคนนี้ปากมากจริง ถ้าไม่ถูกปากยายจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

          “วันนี้ทำอะไรบ้างหรือครับ” ก้มมองสีสันพริกแกงในหม้อท้องไส้ก็พาลจะร้องเสียงดัง

          “แกงคั่วสับปะรดกุ้งกับแกงชักส้ม เคยกินไหม”

          “ไม่เคยครับ แม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ยินเลย”

          “เด็กรุ่นใหม่ก็แบบนี้แหละ ของดีโบร่ำโบราณมักถูกละเลย มาเดี๋ยวยายตักให้” ผมหันมองคนนำทางก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับออกมาสักที ไม่อย่างนั้นจะได้ให้คุณยายตักมาให้ทานพร้อมกันเลย

          “แล้วขนมล่ะครับ ได้ยินมาว่าหลานสาวของคุณยายก็ทำอาหารเก่งไม่แพ้กัน”

          “หลานสาวที่ไหนเล่าพ่อ ยายมีแต่หลานชาย”

▩▩▩

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ้าว หรือว่าจะคดีพลิก ตอนนี้มีหลานชายคุณยายเพิ่มมาให้เขวอีกคนแล้ว ฮา

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนแรกก็เข้าใจว่าคนที่จะมาแทนเปมคือเจ้าเด็กบ้านไม้ แต่ดูท่าจะไม่ใช่ใช่ไหมคะ5555 จริงๆจะดีใจถ้านายธาวินของเปมจะเป็นไนซ์กายที่พร้อมดูแลเปมแต่ดูท่าจะไม่ใช่อีกนั่นล่ะ ยังไงก็ดีใจค่ะที่ตัดสินใจออกมามีชีวิตใหม่เสียที ลุ้นไปเลยว่าตกลงจะคู่ใครกันแน่น้อ

รู้สึกไม่ได้เม้นท์เรื่องนี้นานมากๆ ตั้งแต่เรื่องเก่าจบ ภาษาคุณคนเขียนดีขึ้นมากกว่าเดิมอีกนะคะ ดีใจสุดๆที่กลับมาต่อ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2017 23:56:56 โดย Starry[Blue] »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
รอตอนต่อไปนะคะ เดาทางไม่ถูกอ่ะ .....^____^¥ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 6

          คนที่ยกขนมอินทนิลในถ้วยดินเผาออกมาจากหลังร้านเป็นเด็กหนุ่มตัวขาวจัดพร้อมปอยผมหน้าที่ถูกมัดขึ้นเป็นจุกน้ำพุ ตามสมทบมาด้วยเจ้านอฟที่ยิ้มกว้างจนตาหยี

          “มีขนมให้กินฟรีเป็นลาภปากด้วยนะพี่ซัน” กระซิบกระซาบพอเป็นพิธีก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงตรงกันข้าม ส่วนผู้มาใหม่แค่ยกมือไหว้เมื่อนอฟพูดแนะนำให้รู้จักกันหลังจากนั้นจึงเดินไปช่วยคุณยายยกจานอาหารมาส่ง

          “เมื่อวานนี้เรย์ทำช่อม่วงด้วย น่าเสียดายผมกลับมาไม่ทัน”

          “หลานคุณยายขวัญเรือนชื่อเรย์หรือ ชื่อเพราะดี”

          “จริง ๆ มีอีกชื่อที่ผมตั้งให้ เพราะกว่านี้อีกขอบอก” แปลกคน มีอย่างที่ไหนขนานนามให้คนอื่นเขาไปทั่ว เจอกันไม่กี่ชั่วโมงผมอาจจะโดนเจ้าเด็กแสบตั้งชื่อสำรองให้เรียบร้อยแล้ว

          “เมื่อวานกูบอกให้รอกลับรถตู้เที่ยวเดียวกันทำไมไม่รอ มึงมันคนใจร้ายใจดำ”

          “ยังไม่จบใช่ไหม ทำขนมมาให้แดกแบบไม่คิดตังค์แล้วนี่ไง ใจดำตรงไหน” เรย์วางจานข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมแกงคั่วสับปะรดกุ้งตัวเขื่องกับแกงชักส้มลอยไข่ปลาริวกิวเต็มชามกระเบื้อง ก่อนเบนความสนใจมาหาผม “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่ไอ้บ้านี่มันกวนประสาทชะมัด”

          “ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ” เจ้านอฟทำหน้าเป๋อเหลออย่างคนไร้พรรคพวก “แล้วไปทำอีท่าไหนเขาถึงหนีกลับมาคนเดียว”

          “ก็หลังจากสอบปลายภาคเสร็จผมต้องอยู่สอบซ่อมอีกวิชาหนึ่ง พอตอนเย็นกลับไปที่หอก็เห็นว่ามันไม่อยู่แล้ว ส่งข้อความมาบอกสักหน่อยก็ไม่มี”

          “ก็บอกแล้วไงว่ากูคิดถึงยายคิดถึงบ้าน ไม่รู้จะอยู่รอให้เสียเวลาทำไม ยังไงก็ต้องจ่ายค่ารถเท่าเดิมอยู่ดี” เจ้าของแพขนตาหนาพูดไปก็เช็ดโต๊ะข้าง ๆ ไปด้วย เห็นคุณยายขวัญเรือนยังตักแกงใส่ถุงหยิบนั่นจับนี่อย่างหัวไม่วางหางไม่เว้น ผู้คนก็เริ่มเดินเข้าร้านเพราะคงได้เวลาเลิกงานพอดี

          “ว่าแต่พี่ซันอยู่ที่นี่คนเดียวหรือครับ” หลานคุณยายมีน้ำใจหันไปกดน้ำจากตู้มาวางให้ทั้งที่มีป้ายติดอย่างชัดเจนว่าน้ำดื่มบริการตนเอง เจ้านอฟทำปากบ่นปอดแปดว่าใจดำของแท้แค่นี้ยังไม่กดน้ำมาเผื่อมันเลย

          “ครับ พื้นเพพี่ไม่ใช่คนแถวนี้หรอก แต่อยากบุกเบิกอะไรใหม่ ๆ ก็เลยมาทดลองบริหารจัดการที่นี่ดู”

          “เคยทำฟาร์มมาก่อนหรือครับ”

          “ไม่เคยหรอก พี่เพิ่งลาออกจากสถานทูต” คนตัวขาวทำตาโตแต่ก่อนที่จะได้พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวก็ถูกคุณยายเรียกใช้ให้ยกอาหารไปส่งยังโต๊ะของลูกค้าที่มาใหม่

          “พี่ซันเคยทำงานสถานทูตจริงหรือเปล่า”

          “จริงน่ะสิ จะโกหกทำไม”

          “ที่ไหนฮะ ไทยเทศ”

          “เยอรมัน ถามทำไมสนใจอาชีพสายนี้หรือ แต่ต้องตั้งใจเรียนหน่อยนะเรา สอบซ่อมบ่อย ๆ นี่ไม่น่าจะไหว”

          “คนที่สนใจน่ะไม่ใช่ผมหรอก แต่ไอ้คนที่เก่งภาษาตั้งแต่แรกคลอดนั่นต่างหาก” เด็กคิ้วปลิงเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ แล้วพยักพเยิดไปทางบริกรที่ยังง่วนกับการยกจานชาม

          “เรย์พูดภาษาอะไรได้บ้าง”

          “อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เรียนพิเศษมาตั้งแต่ประถมแล้วครับ ลูกคนมีตังค์นะหมอนั่น บ้านจริง ๆ ก็อยู่กรุงเทพฯ แต่ว่ายายขวัญแกยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปอยู่กับครอบครัวลูกสาว ขอเฝ้าบ้านเกิดจนลมหายใจสุดท้าย ใครจะอยู่สุขสบายที่ไหนยายแกก็ไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาขายแกงลูกเดียว”

          “เรย์ก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างที่นี่กับบ้านตัวเองอย่างนั้นสิ”

          “เปล่าครับ เรย์มันอยู่ที่นี่เป็นหลักกับหอพักที่ช่วยกันหารค่าเช่ากับผม ไม่ค่อยได้กลับบ้านที่กรุงเทพฯ มีบ้างที่พ่อแม่กับพี่สาวเดินทางมาหาแต่ว่าไม่บ่อย ช่วงอยู่หอมันก็โทรมาหายายทุกคืน ดีที่มีพี่เสือกับพี่เมฆคอยเป็นหูเป็นตาให้”

          “เราสองคนอยู่โรงเรียนชายล้วนด้วยนี่พี่ยักษ์บอก”

          “ครับ รู้จักกันเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว ถึงเพื่อนจะกลุ่มใหญ่แต่ผมก็สนิทกับมันที่สุด” คนถูกพาดพิงเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำอีกใบก่อนส่งให้คนที่พูดไปกินไปไม่หยุดปาก

          “พี่ซันเล่าเรื่องที่สถานทูตให้ผมฟังบ้างสิครับ”

          “อยากฟังเรื่องไหนก่อนดี”

          “ผมอยากรู้ว่าต้องเรียนจบอะไรคณะไหน เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ สมัครยากไหม พี่ทำตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ อะไรจำพวกนี้อะครับ”

          “เอาไว้ว่าง ๆ พี่จะทำพาวเวอร์พอยต์มาบรรยายให้ฟังดีไหม” นอฟหัวเราะจนเกือบสำลักน้ำ แต่เรย์แค่นั่งลงข้างเพื่อนสนิทแล้วมองผมด้วยแววตาที่เต็มตื้นด้วยความหวัง ที่กระเซ้าไปเพราะนึกสนุกกลับกลายเป็นความรู้สึกผิดเต็มประตู

          “เอาแบบนี้ดีกว่า ตอนนี้เราก็ยุ่ง ๆ อยู่ด้วย พรุ่งนี้ว่างตอนไหนไปหาพี่ที่ฟาร์มแล้วจะเล่าให้ฟังตั้งแต่แนวข้อสอบเข้ามหา’ลัยเลยดีไหม เพราะนี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานของสามทหารแล้ว เดี๋ยวไม่มีใครอยู่เฝ้าโอนิกซ์กับอาเกตล่ะแย่เลย”

          “ได้ครับ ๆ ถ้าพรุ่งนี้เก็บร้านแล้วผมจะปั่นจักรยานไปหานะ”

          “ถ้าไปแล้วหาพี่ไม่เจอก็นั่งเล่นกับเจ้านอฟที่บ้านต้นไม้ก่อนก็ได้ แล้วนี่กินอิ่มหรือยังเรา ตัวแค่นี้ทำไมกินจุนัก เดี๋ยวต้องปั่นจักรยานกลับบ้านอีกไม่ใช่หรือ ระวังจุกจนนอนไม่หลับ”

          “อิ่มละครับ ๆ อินทนิลอร่อยมากว่ะเรย์ ถ้าไม่บอกว่าทำครั้งแรกกูไม่เชื่อนะเนี่ย”

          “นี่เพิ่งทำครั้งแรกจริงหรือเปล่า อร่อยมาก” ผมให้ความสนใจกับขนมที่เพิ่งลิ้มรสไปจนเกือบหมด

          “พรุ่งนี้จะลองทำปั้นสิบไส้เผือก เพิ่งได้สูตรแป้งมา เดี๋ยวผมเอาไปให้พี่ซันลองชิมนะครับ ค่าครู” ยักคิ้วหลิ่วตาก่อนจะเดินไปต้อนรับลูกค้าที่ก้าวเข้ามาอีกกลุ่ม เห็นอาการอ้าปากค้างของเด็กตัวสูงตรงหน้าก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงคุ้นตานัก เพราะไม่ว่าดูอย่างไรประกายวาววับในลูกแก้วคู่นั้นเหมือนภาพสะท้อนเวลาที่ผมเผลอมองเปมทัตไม่มีผิดเพี้ยน

          ก่อนลากลับไม่ลืมกล่าวคำชมเชยรสมืออันลือชื่อของคุณยายขวัญเรือนตอนจ่ายเงินค่าอาหารที่รู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยรับประทานมา ส่วนสเน่ห์ปลายจวักของคุณโฉมฉายนั้นไม่นับรวมเพราะผมไม่เคยต้องเสียสตางค์ในการฝากท้อง

          น้องนิษฐารับรู้เรื่องราวชีวิตที่ยุ่งเหยิงของผมทั้งหมดทางโทรศัพท์ ปกปิดไว้เพียงสาเหตุที่แท้จริงในการลาออก น้องเข้าใจว่าผมแค่เบื่อหน่ายกับภูมิอากาศและความแตกต่างทางวัฒนธรรม หลังจากกำชับว่าไม่ต้องติดต่อมาบ่อยนักเพราะผมกำลังปรับตัวและน้องกำลังเตรียมสอบปลายภาค เขาก็เชื่อฟังแต่โดยดีจากที่เคยโทรมาทุกวันก็เริ่มลดหลั่นตามสมควร อาจมีข้อความส่งมาว่าคิดถึงบ้างเป็นครั้งคราว ผมเองก็ตอบกลับเมื่อเว้นว่างจากเจ้าอาชาทั้งสองตัว

          ผมไม่เคยบอกว่ารักเพราะยังไม่คิดจะหลอกตัวเองถึงขั้นนั้น น้องฐาเองอย่างมากก็แค่เอ่ยคำว่าคิดถึงและห่วงใย ความปรารถนาดีอย่างกัลยาณมิตรมีให้เห็นอยู่เสมอและไม่เคยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย ผมพอใจในความสัมพันธ์อย่างนี้ ดีแค่ไหนที่มีเพื่อนคุยและปรับทุกข์ในเวลาที่ไม่อยากฝากภาระทางความคิดให้กับน้องชายฝาแฝดเพราะตัวมันเองก็มีปัญหาเกินกำลังอยู่แล้ว

          ผมโทรหาแม่อีกครั้งหลังจากที่คิดว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและอยากให้ผลผลิตจากไร่ของพ่อได้ขยับขยายมาทางนี้เสียที เพิงไม้สักถูกต่อเติมจนสวยงามพร้อมพื้นที่ใช้สอยด้านหลังที่ค่อนข้างกว้างขวาง สามารถแปลงสภาพเป็นโกดังเก็บของได้อย่างเหลือเฟือ

          (( แม่นึกข้ออ้างไม่ออกแล้วนะซัน พ่อกลับมาบ้านแต่ละหนแม่ก็อ้างว่าเราไปสุราษฎร์ฯ หาเจ้าแซนบ้าง ไปเที่ยวหย่อนใจต่างประเทศบ้าง ซ้ำร้ายรอบนี้อีตากิตติชัยกลับมาหลายวันเสียด้วย แม่นี่โกหกจนศีลห้าแม่ขาดสะบั้นไม่เหลือคำสัตย์ให้ถือแล้ว )) ผมหัวเราะกลบเสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งแต่ฟังรื่นหูเหลือเกิน

          “แม่แน่ใจหรือครับว่าไอ้แซนไม่ได้ปากโป้งบอกพ่อไปแล้ว”

          (( ยังหรอก แม่บอกอะไรพ่อเราก็เชื่อไปหมด มารอบนี้เอาไวน์กลับมาเป็นลัง ๆ เลยด้วยนะ อยากได้ไปลองชิมกับเขาสักขวดสองขวดไหมล่ะ ))

          “ที่ผมโทรมาก็เพราะเรื่องนี้ แม่ไม่ต้องแกล้งหลอกพ่อเพื่อผมแล้วล่ะครับ สมควรแก่เวลาพาพ่อมาเยี่ยมชมที่นี่ได้แล้ว ช่วงวันหยุดพวกเด็ก ๆ ยังชวนกันมาเล่นสนุกอยู่มากแต่ผมอยากทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างจริงจังสักที”

          (( แม่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ การซ่อมบำรุงสิ่งก่อสร้างของเราก็เสร็จมาสักพักแล้วนี่นะ อย่างน้อยพ่อก็ให้คำแนะนำได้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ไม่ใช่อยู่ไปวัน ๆ หลักลอย แม่รู้ว่าซันไม่ชอบใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมายแต่ถ้าเบื่อเมื่อไหร่อย่าลืมบริษัทเรานะลูกรัก ))

          “ฟาร์มยังไม่ทันเปิดอย่างเป็นทางการแม่ก็จะอวยพรให้ผมล้มเลิกโครงการม้วนเสื่อกลับบ้านแล้วหรือครับ” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้รู้ว่าแม่แค่เพียงหยอกเล่น “อีกอย่างที่สำคัญ แม่ต้องช่วยผมตั้งชื่อที่นี่ด้วย”

          (( เอาอย่างนั้นหรือ ให้พ่อกับเจ้าแซนช่วยระดมความคิดอีกสองคนดีกว่าไหมเพราะแม่ไม่ถนัดด้านนี้ มีไร่องุ่นภัทรกูลแล้ว ไม่เอาฟาร์มม้าภัทรกูลอีกหรอกนะ ))

          “แย่จริง ทำไมพ่อต้องแย่งตัวเลือกแรกของผมไป” แม่หัวเราะยกใหญ่หลังจากขัดคอผมได้ ชื่อสกุลเป็นความคิดพื้นฐานที่เรียบง่ายแต่มีคุณค่าทางจิตใจมหาศาล แต่ถ้าแม่พูดถึงขนาดนี้ผมคงต้องตรึกตรองใหม่ให้ถูกใจเจ้าของงบประมาณ

          (( แซนติดต่อมาบ้างไหม ช่วงนี้เงียบไปเลยแต่แม่ก็ไม่กล้าโทรหา กลัวรบกวนเวลางาน )) แม่เป็นแบบนี้เสมอ เก็บความห่วงหาไว้ในใจแม้จะกระสับกระส่ายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กรณีของผมเองยังต้องพึ่งพาเครื่องรางของขลังแล้วนับประสาอะไรกับลูกชายที่ฝากความหวังไว้เรื่องทายาท แต่ดูเหมือนการสานต่อความสัมพันธ์กับรพีพิชญ์จะมืดแปดด้านเพราะลูกชายมัวแต่ไปคลุกคลีอยู่ที่รีสอร์ทของพี่ชายคู่หมั้น

          “ผมโทรคุยกับมันครั้งล่าสุดตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว แม่โทรเถอะครับ เมื่อไหร่ตอนไหนมันก็รับสายแม่อยู่แล้วอย่าคิดมากเลย คิดถึงก็โทร อยากได้ยินเสียงก็โทรเหมือนผมนี่ไง ผมคิดถึงแม่นะ”

          (( อ้อนแบบนี้น่าตบรางวัลจริง ๆ )) ผมรู้ว่าแม่ดีใจ แค่แสร้งพูดกลบเกลื่อนไปเท่านั้น

          “แม่ว่างพาพ่อมาเมื่อไหร่ครับผมจะได้จัดเตรียมที่พักไว้ หรือผมจองโรงแรมให้ดีไหมเพราะบ้านผมแคบเกินไปสำหรับสามคน”

          (( ไม่ต้องหรอกซัน ไปกลับน่าจะสะดวกกว่า กลับจากไร่คราวนี้พ่อเราคงมาดูแลเรื่องเอกสารบ้านจัดสรรเพราะเห็นไปที่บริษัททุกวัน เอาไว้ขโมยคิวได้เมื่อไหร่แม่จะพาพ่อไปเซอร์ไพรส์ถึงถิ่นเลย ))

          “ครับแม่ ผมจะรอนะครับ”

          โอนิกซ์เป็นม้าหนุ่มที่มีกำลังวังชามาก หลังจากครั้งแรกที่ร้อนวิชาเรียนรู้ภาคทฤษฎีว่าต้องปฏิบัติอย่างไรให้บังคับมันได้อย่างใจคิดก็กระโดดขึ้นขี่จนมันพยศหนัก เคราะห์ดีที่ไม่มีเลือดตกยางออกให้เป็นที่ขายหน้าธารกำนัล พี่เมฆให้กำลังใจว่าตั้งสติไว้แล้วค่อยทดลองใหม่วันหลัง แต่จนถึงตอนนี้ใจผมก็ยังไม่กล้าหาญพอที่จะเสี่ยงชีวิตอีกหน

          แล้วทำไมเจ้าเด็กแขนขายาวเก้งก้างเป็นที่รักของผู้คนไม่พอยังเป็นทูนหัวของพวกม้าอีกด้วย จ๊อกกี้นอฟควบเจ้าอาเกตเสมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาจเพราะความคุ้นเคยที่สั่งสมมา ส่วนไม้นอกกออย่างผมที่เพิ่งเจอกันเพียงเดือนกว่าริอาจคาดหวังว่าโอนิกซ์จะยอมให้ขึ้นหลังทั้งที่ยังเป็นคนแปลกหน้า

          “ฝึกขี่ม้ามานานหรือยัง” หลังจากขับรถไปดูโรงปุ๋ยที่เจ้านอฟเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนก็กลับมาเห็นลูกน้องของสามทหารวาดลวดลายการขี่ม้าอย่างมืออาชีพให้ดูเป็นขวัญตา “ทำยังไงไม่ให้มันพยศ”

          “แสดงว่าไม่เคยเลี้ยงม้ามาก่อนจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย”

          “ก็จริงน่ะสิ ไม่เคยเลี้ยงไม่เคยอยู่ใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ในสวนสัตว์ก็มีแต่ม้าแคระไม่ใช่ม้าแข่ง” โดนเด็กถอนหงอกเข้าให้แล้วไหมล่ะ ไอ้นอฟเงยหน้าหัวเราะโชว์ลูกกระเดือกก่อนกระโดดลงจากหลังอาเกตแล้วปล่อยให้มันเดินเล็มหญ้าอยู่แถวนั้น

          “ไม่ยากหรอกครับพี่ แผงคอมันนั่นแหละจุดอ่อน เล่นกับมันบ่อย ๆ ตอนจะขึ้นจะลงก็ลูบคอมันก่อนไม่ให้มันตกใจ ตอนวาดขาข้ามตัวมันก็อย่าทิ้งน้ำหนักมาก ถึงมันจะตัวใหญ่แต่ก็มีจิตใจนะครับ” ทำตาปริบ ๆ อย่างล้อเลียน ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาปรึกษาเจ้าเด็กพูดเก่งจนลิงหลับ เพราะหลังจากนั้นมันก็สาธยายความรู้สึกที่ขี่ม้าครั้งแรกให้ฟัง น่าหมั่นไส้จนอยากได้ปั้นสิบของเรย์มากรอกปาก

          พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

          “คุณยายฝากข้าวผัดโบราณมาให้ด้วยครับ อะ อันนี้ของมึง” เรย์ส่งอาหารในห่อกระดาษคล้ายข้าวมันไก่มาให้หลังจากก้มไหว้อย่างเด็กมารยาทดี ส่วนอีกห่อก็ยื่นให้จ๊อกกี้ปากมากพร้อมขนมปั้นสิบไส้เผือกถุงใหญ่ ก่อนเราสามคนจะพากันไปบ้านต้นไม้ในช่วงแดดร่มลมตก

          “ยายขวัญปิดร้านเย็นแบบนี้ทุกวันเลยหรือ” ผมถามเพราะเห็นว่าใกล้หกโมงเต็มที

          “ครับ เปิดขายแค่ช่วงสายถึงเย็นเพราะตอนเช้าแกเตรียมข้าวของไม่ทัน อายุก็มากแล้วแต่ยังดื้อเหมือนเด็ก ผมบอกว่าถ้าอยากทำขายจริง ๆ ก็ทำแค่มื้อเที่ยงอย่างเดียวจะได้ไม่เหนื่อยมาก แต่แกก็ไม่ฟัง”

          “ท่านมีโรคประจำตัวอะไรไหม”

          “แค่ความดันตามประสาคนมีอายุแหละครับ” ปากว่ามือก็คว้าเป้เพื่อหยิบสมุดปากกา ส่วนเจ้านอฟคนท้องยุ้งพุงกระสอบพอมีขนมมาประเคนถึงปากก็เงียบเป็นเป่าสากไปพักใหญ่ มองจากระเบียงจะเห็นได้ว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน โคมไฟที่ติดไว้รอบนอกก็ได้เจ้าของเดิมเป็นคนยกสะพานไฟ โซฟาด้านในดูจะเล็กเกินไปสำหรับผู้ชายสามคนพวกเราจึงนั่งพื้นพิงพนังภายนอกที่มองเห็นบรรยากาศย่ำค่ำได้อย่างชัดเจน

          ผมเล่าทุกอย่างในเรย์ฟังจากประสบการณ์ตามสัญญา หน้าพยักมือก็ขีดเขียนอย่างใฝ่รู้ เห็นแววตาเสี้ยวหนึ่งของนอฟที่ลอบมองแล้วยิ่งกระจ่างชัด เจ้าเด็กผิวสีเข้มแอบยิ้มกับปั้นสิบไม่อายฝูงนกที่บินกลับรัง บังอาจมาล้อเลียนผมเรื่องขี่ม้าอิหรอบนี้น่าจะมีเรื่องให้เอาคืนได้เจ็บแสบกว่ากันหลายเท่า

          “ขอถามได้ไหมครับ เรียนก็ยากและกว่าจะได้งานนี้ก็แสนลำบาก ทำไมพี่ซันถึงลาออกทั้งที่ทำมายังไม่ครบปีเลยด้วยซ้ำ” จากที่พูดฉะฉานมาตลอดตั้งแต่จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ กลับใบ้กินเพราะคำถามเพียงสั้น ๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย ยากเหลือเกินหากต้องย้อนความคิดไปยังถ้อยคำหยามเหยียดที่นายธาวินพูดทับถมเอาไว้ น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมต้องให้ราคากับเรื่องที่มันไม่จริง

          “พี่...คิดถึงบ้าน”

          “โอ้โห ขนาดผู้ใหญ่อย่างพี่ซันยังเป็นโรคโฮมซิกได้ แล้วคนที่มีครอบครัวอยู่สองทางอย่างผมจะเหลืออะไร เคยนึกไว้เหมือนกันว่าถ้าเข้ามหา’ลัยผมจะทนคิดถึงยายได้หรือเปล่า ถ้าแกยังยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปไหนแบบนี้”

          “อย่าเพิ่งถอดใจสิ งานสายนี้จำเป็นต้องอยู่ต่างประเทศอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วค่อยปรับตัวกับเรื่องที่พาลให้ไขว้เขวในอนาคต อย่าตีตนไปก่อนไข้ ตั้งใจเรียนเพื่อความภาคภูมิใจของครอบครัว จะอยู่ใกล้ไกลมันไม่สำคัญเลยเพราะท่านรับรู้ถึงความห่วงใยของเราได้เสมอ” น่าแปลกที่สามารถปลอบโยนคนอื่นได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งที่ตัวเองกลับวางเรื่องหัวใจไว้เหนือสิ่งอื่นใดโดยไม่ใยดีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

          “ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นไม่ใช่หรือครับ ผมเห็นพี่ซันชอบจ้องรูปในโทรศัพท์บ่อย ๆ โดนสาวที่ไหนหักอกมา” โดนเจ้าดุรงคีคิ้วปลิงจับไต๋เข้าให้อีกอย่างผมจึงเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เที่ยวเล่นแก่นทโมนไปวัน ๆ ไม่คิดว่าจะช่างสังเกตสังกา อดสงสัยไม่ได้ว่าผมเผลอจ้องรูปเปมมัตให้มันเห็นเมื่อไหร่ตอนไหน คงต้องเปลี่ยนภาพใหม่อย่างจริงจังเสียที

          “ใช่ที่ไหนเล่า แค่หยิบขึ้นมาดูเวลา”

          “นาฬิกาข้อมือก็มี ไม่เนียนเลย” อย่าให้ต้องย้อนว่าสายตาที่มันชำเลืองมองเรย์ตอนที่น้องตั้งใจฟังผมร่ายยาวประวัติส่วนตัวนั้นก็ไม่แนบเนียนเอาเสียเลยเหมือนกัน แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำกับเด็กโข่งจึงเบี่ยงประเด็น

          “กลับหรือยังเดี๋ยวพี่ไปส่ง ยกจักรยานขึ้นท้ายรถจี๊ปเลยก็ได้ ปั่นกลับเองคุณยายจะเป็นห่วง”

          “แล้วผมล่ะ” ปล่อยให้เจ้านอฟเก็บเศษอาหารที่พวกเรานั่งกินกันไปพูดคุยกันไปใส่ถุงขยะก่อนจะปีนบันไดลงมาสู่พื้นดินที่เริ่มเย็นชื้นเพราะน้ำค้างยอดหญ้า

          “ยังไม่ได้พาอาเกตเข้าคอก ไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”

          “เอ้าผมลืมสนิทเลย ยุงคงห่ามแล้วป่านนี้ พี่ซันรอผมหน่อยนะอยากกลับพร้อมเรย์”

          “เร่งมือเลย ชักช้าไปก่อนไม่รู้ด้วย” ถือโอกาสแกล้งคนที่ขี่ม้าเก่งกว่าแล้วพาเรย์มานั่งรอที่รถ อากาศอุ่นอวลจากไอแดดเมื่อตอนกลางวันปะทะลมเย็นสบายทำให้ไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน นั่งสูดกลิ่นลีลาวดีโดยไม่รู้ว่ามีต้นตอมาจากที่ใดก่อนแสงไฟจากจอโทรศัพท์จะส่องมาขัดจังหวะ

          “นี่เบอร์ของคนที่รับซื้อลูกม้าจากฟาร์มนี้ไปครับ มีตัวหนึ่งชื่อเท็กซัส เป็นม้าที่ไอ้นอฟทำคลอดเองกับมือมันก็เลยผูกพันมากเป็นพิเศษ ตอนที่นายฝรั่งตัดสินใจขายต่อไอ้นอฟไม่เป็นอันกินอันนอน เห็นมันร้องไห้ครั้งแรกก็ตอนนั้นแหละ ผมสังเกตว่าพี่ซันจะถูกชะตากับมันไม่น้อย เพราะเพิ่งเจอกันเมื่อวานแท้ ๆ แต่กลับพูดคุยถูกคอ ผมรู้ว่ามันยังคิดถึงเท็กซัส ที่ขลุกอยู่กับอาเกตเพราะสีคล้ายกันแต่เท็กซัสจะสีอ่อนกว่านิดหน่อย ผมได้เบอร์เจ้าของใหม่มาจากนายฝรั่ง ถ้าพี่ซันไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้ไอ้นอฟเป็นเงินล่ะก็...ผมขอยืมล่วงหน้าได้ไหมครับ ผมอยากให้เพื่อนผมมีความสุขอีกครั้ง”

          อย่างที่เรย์บอกว่าผมกับคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานก็จริง แต่ผมรู้เท่าทันว่าความสุขที่สุดของเจ้านอฟตอนนี้เห็นที่จะไม่ใช่ม้าเท็กซัสอย่างที่คนตัวขาวเขาวิเคราะห์ แต่เห็นแก่แววตาและน้ำเสียงที่เป็นใครก็คงปฏิเสธไม่ลงผมจึงพยักหน้ายอมรับข้อเสนอ แม้ไม่รู้หรอกว่าลูกม้าจะราคาสูงเท่าม้ารุ่นหรือเปล่า แต่เพื่อแลกกับคุณค่าของคำว่าเพื่อนรัก รากศัพท์ที่สะท้อนบางอย่างจากก้นบึ้งของหัวใจ ชักนำความคิดกระหวัดเวียนไปหาทายาทตระกูลพิรัตน์ไพศาลอีกครั้ง

          “คุยอะไรกันหน้าเครียดเชียว” นอฟกระโดดขึ้นที่นั่งหลังคนขับเมื่อยกจักรยานคู่ใจซ้อนไว้กับอีกคันเรียบร้อยแล้ว

          “นินทามึงอยู่” เรย์เป็นคนตอบเปลี่ยนบรรยากาศ

          “ปากดี กินขี้ม้าซะเถอะมึง” นอฟส่งมือเปื้อนดินแกล้งปัดโดนแก้มของคนนั่งข้างผม พิสูจน์จากกลิ่นคงไม่ใช่ของเสียเจ้าอาเกตแต่เป็นโคลนจากล้อจักรยานมากกว่า

          “โสโครก พี่ซันรู้ไหมมันเคยเอาปุ๋ยคอกไปยัดใส่ใต้โต๊ะคู่อริที่โรงเรียนด้วย”

          “คงเปลืองไม่น้อยเลยใช่ไหม อย่างนายศัตรูน่าจะเยอะ”

          “อ้าวพี่ซันนี่น้องเอง ก็มันกวนตีนชอบเตะบอลอัดผม ถึงจะรับได้ทุกลูกก็เหอะแต่เพื่อความสะใจขอหน่อยแล้วกัน”

          “มันเหม็นแค่โต๊ะไอ้เกี้ยวคนเดียวที่ไหนอะ แม่งเหม็นไปทั้งชั้น โคตรเชี่ยเลย”

          “อ้าวเหรอ กูไม่เห็นได้กลิ่น”

          “ก็มึงอยู่กับขี้ม้าทั้งวันได้กลิ่นก็แปลกละ โชคดีที่พวกอาจารย์ไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นมึงโดนเรียกผู้ปกครองแน่ สุขภาพลุงรองก็ไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย”

          “พ่อเราป่วยเหรอนอฟ”

          “ครับ เป็นโรคหัวใจแต่ก็ยังไปทำงานที่ไปรษณีย์อยู่ได้ ไกลด้วยร้อนด้วย ผมจะไม่อยากเรียนต่อก็เพราะพ่อนี่แหละ ปล่อยให้อยู่คนเดียวกลัวแกเป็นอะไรไป”

          “ตอนนี้ท่านอยู่บ้านหรือเปล่า จะได้ถือโอกาสไปทักทายเสียหน่อยเพราะยังไงพี่ต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เอาไว้จะได้ช่วยดูแลยามฉุกเฉินด้วย ส่วนบ้านคุณยายขวัญเรือนมีพี่เสือกับพี่เมฆอยู่เป็นเพื่อนแล้วใช่ไหม”

          “ครับ พี่สองคนเขาเช่าห้องที่บ้านมาหลายสิบปีแล้ว คงไม่ย้ายไปไหนแล้วแหละ”

          “อายุป่านนี้พี่เสือยังไม่แต่งงานมีครอบครัวอีกหรือ เห็นมีแต่พี่ยักษ์ที่มีลูกสาว”

          “อ่า...น่าจะยัง” นอฟพูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยกับเรย์ที่สบตาผ่านทางกระจกมองหลัง

          “แล้วนี่พี่ต้องไปส่งใครก่อน ขับมาตั้งนานไม่เห็นบอกทางสักที เดี๋ยวก็พาเข้ากรุงเทพฯ เสียเลย”

          “ส่งไอ้เรย์ก่อนก็ได้ครับ บ้านมันไกลกว่าพี่ซันจะได้มีเพื่อนคุย” ไกลที่ว่าคำนวณอย่างไรก็ไม่น่าจะเกินสามกิโลเมตร แต่ที่ยังไม่รู้ก็คือบ้านเจ้านอฟที่เห็นมันปั่นจักรยานไปกลับแต่ละหนไม่พ้นห้านาทีสักครั้ง

          โต๊ะเก้าอี้บริเวณหน้าร้านชำคุณยายขวัญเรือนถูกยกเข้าบ้านหมดแล้วตอนที่จี๊ปสีทึมของผมจอดเทียบหน้าประตูที่แง้มอยู่นิด ๆ เรย์ไหว้ลาก่อนจะยกจักรยานคันของตัวเองลงแล้วพิงไว้ตรงรั้วบานพับเหล็กดัด ไม่ลืมโบกมือฉับหนึ่งให้เพื่อนสนิท

          ผมรอให้หลานเจ้าของบ้านก้าวเข้าไปและล็อกกุญแจอย่างปลอดภัยแล้วค่อย ๆ เคลื่อนรถออกมา แต่เจ้านอฟลีลาขอย้ายมานั่งหน้าจึงต้องจอดอีกครู่หนึ่ง และก่อนที่ผมจะได้มุ่งหน้าไปทำการทักทายคุณพ่อของลูกน้องวัยแตกเนื้อหนุ่ม เสียงร้องดังลั่นของเรย์ทำเอาผมเหยียบเบรคจนหน้าผากเจ้านอฟกระแทกกับคอนโซลรถเข้าอย่างจัง

          “พี่ซันช่วยด้วยครับ ยายล้ม!”

▩▩▩

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai4: :katai4:
มาแล้ววว
โอ ตอนนี้ก็หักมุมอีกแล้ว นอฟชอบเรย์ไปอี๊ก ฮือ ไม่เดาแล้วค่ะ 5555
เหมือนโดนสับขสหลอกไปเรื่อยๆเรย :z3:

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
มาเร็วดีแท้.....ลุ้นๆๆๆๆๆ นอฟ-เรย์  พี่เสือ-พี่เมฆ (น่าจะ)ใช่รึเปล่าจ๊ะ

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 7

          “เปลี่ยนเป็นกาแฟดีกว่าไหมครับ”

          นอฟยืนหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ ตอนที่ผมกำลังกดน้ำจากตู้บริการน้ำดื่มภายในโรงพยาบาล เผลอยืนเหมอจนน้ำเกือบล้นแก้วกระดาษต้องรบกวนให้เด็กกิจกรรมร้องเตือน “นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ซันกลับไปนอนที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวผมอยู่เฝ้ายายกับเรย์เอง แค่นี้ก็รบกวนพี่มากแล้วนะครับ ยายแกตื่นมาบ่นใหญ่ว่าทำไมไม่พาไปอนามัยใกล้ ๆ โรงพยาบาลเอกชนแบบนี้แกจ่ายไม่ไหว”

          “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพี่จัดการให้ บอกให้ท่านคิดเสียว่าเป็นค่าข้าวผัดกับขนมปั้นสิบก็ได้”

          “มันเทียบกันได้พี่ไหนอะพี่ ขืนบอกไปโดนบ่นหนักกว่าเดิม” ผมหัวเราะแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนือบ่ากว่าแรงเมื่อเปรียบกับน้ำใจที่คุณยายขวัญเรือนมีให้ ”ไปเถอะ พี่รีบกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้เห็นว่านายฝรั่งจะกลับมาเยี่ยมด้วยไม่ใช่หรือ”

          “เขามาช่วงเย็น แล้วเราไม่คิดจะอาบน้ำอาบท่าก่อนหรือไง เที่ยวเล่นมาทั้งวัน ให้พี่ไปส่งที่บ้านแล้วค่อยกลับมานอนเฝ้าคุณยายไม่ดีกว่าหรือ”

          “แค่คืนเดียวสบายมาก อดหลับอดนอนแถมไม่ได้อาบน้ำสามวันผมก็เคยมาแล้ว” ผมแกล้งยกนิ้วขึ้นปิดจมูกแต่เจ้านอฟกลับกอดอกอย่างภาคภูมิ หนึ่งในข้อดีของการเป็นเด็กวัยคะนองมีอะไรก็พูดได้อย่างสนุกปากไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง บางครั้งภาระติดพันงานสำคัญจะให้เอ่ยปากบ่นว่าหิวจนไส้แทบขาดก็ยังทำไม่ได้เลย

          “ฝากด้วยแล้วกัน พรุ่งนี้พี่จะมาแต่เช้า”

          “ขอบคุณมากนะครับพี่ จากใจแทนยายขวัญกับเรย์” มือเรียวกอบไหว้ปลก

          “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก”

          เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตอบคำถามสามทหารถึงอาการของคุณยายขวัญเรือนจนเป็นที่สบายใจและฝากฝังให้พี่เสือช่วยดูแลความเรียบร้อยภายในฟาร์มแล้วจึงขับรถไปโรงพยาบาลที่บังเอิญผ่านบ้านของเรย์ มีกระดาษกับปากกาติดรถมาพอดีจึงจัดการเป็นธุระเขียนป้ายหยุดแจ้งให้ลูกค้าขาประจำ ไม่ลืมซื้ออาหารเช้าเผื่อให้สองเพื่อนรักจากตลาดเล็ก ๆ ข้างทาง

          คุณหมอวินิจฉัยว่าคุณยายขวัญเรือนมีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ห้ามทำงานหนักและต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ได้รับยาบำรุงและคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยหลังจากผมจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล เรย์ดูโล่งใจเมื่อผมแจ้งให้ทราบว่าคุณยายได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ภายในวันนี้เลย

          “พ่อซันไม่เห็นต้องลำบาก ยายกินยานอนสักคืนก็หายแล้ว ดูสิสิ้นเปลืองเงินไปตั้งมากแล้วยายจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้คืน”

          “แค่คุณยายพักผ่อนให้หายดีแล้วมีแรงมาทำอาหารให้ผมทานอีกก็พอแล้วครับ อย่ากังวลเรื่องอื่นเลย”

          “ไม่ได้หรอก เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ อย่าให้ยายต้องติดหนี้บุญคุณพ่อเลย” คุณยายเกาะแขนผมแล้วก้าวขึ้นรถอย่างระมัดระวัง จะให้ผมรับเงินจากน้ำพักน้ำแรงของท่านได้อย่างไรในเมื่อการทำอาหารเป็นความสุขเดียวของคุณยายที่ดูอย่างไรก็ไม่มุ่งหวังผลกำไรสักนิด ผมกุมมือท่านเบา ๆ ตอนที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับเรียบร้อยแล้ว “เรื่องนั้นเอาไว้คุยทีหลังนะครับ วันนี้กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เรื่องร้านผมปิดป้ายแจ้งลูกค้าไว้ชั่วคราว ถ้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้เรย์เขียนให้ใหม่นะครับ”

          “ไม่รู้ล่ะ อย่างไรยายก็ต้องคืนเงินพ่อซันให้ได้” ความดื้อแพ่งอันเลื่องลือผมได้เข้าใจกระจ่างชัดก็วันนี้ เรย์ยิ้มบางผ่านกระจกมองหลังโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดก็เป็นอันรู้กันว่าคุณยายขวัญหัวรั้นที่หนึ่ง

          “เอาแบบนี้ดีไหม ไหน ๆ หมอก็ห้ามไม่ให้ยายทำงานหนักแล้ว ร้านข้าวก็ต้องปิดอีกนานเพราะขืนทำต่อไปยายไม่มีเวลาพักผ่อนแน่ ระหว่างรอเปิดเทอมผมขอไปทำงานพิเศษได้หรือเปล่า จะได้ไม่ขัดสนเพราะเงินจากพ่อแม่ยายก็ไม่รับเหมือนกันนี่นา”

          “ไม่ได้หรอกมันอันตราย ยายไม่ให้ทำ”

          “เรย์เห็นร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านเปิดรับพนักงานอยู่นะ ที่นั่นก็ไม่ได้หรือ”

          “เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าวันไหนต้องทำกะดึกถึงจะใกล้บ้านก็อันตราย ไม่มีกินก็ช่างแต่ยายจะไม่ยอมให้เรย์ต้องทำงานหนัก เงินเก็บเราก็พอมีช่วงนี้อยู่อย่างสมถะไปก่อนแล้วกัน”

          “ยายก็เป็นเสียแบบนี้ ผิวของไอ้เรย์ถึงได้สวยกว่าพวกผู้หญิงที่โรงเรียนแล้วเนี่ย” เจ้านอฟประสมโรงออกความเห็นบ้าง เห็นขาคนผิวสวยขยับหยุกหยิก เจ้านอฟคงโดนเหยียบเท้าไปเต็มรักจึงได้ทำหน้ายู่แล้วเงียบปากตลอดทาง

          โอนิกซ์กับอาเกตกำลังวิ่งเล่นล้อแสงแดดตอนที่คุณโจชัวกลับมาเยือนถิ่นเก่า เขาทักทายสามทหารเสือก่อนรับอาสาแปรงแผงคอให้สองสหาย ชวนคุยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันถึงความเป็นอยู่และชมเชยการปลูกเรือนพอตัวหวีหัวพอเกล้าของผม เขาแปลกใจที่คนหนุ่มคนนี้มักน้อยอาศัยในชนบทกับม้าสองตัว เมื่อพูดคุยกันจนทราบว่าผมมีความสนใจในการยกระดับฟาร์มเล็ก ๆ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจึงให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนสนิทที่ทำธุรกิจสวนสัตว์อยู่ทางภาคตะวันตก เมื่อสังเกตจากนามบัตรที่คุณโจชัวให้มาจะเห็นได้ว่าเป็นเบอร์เดียวกับเจ้าของเท็กซัสคนปัจจุบัน ถ้าทุนหนักสักหน่อยการยิงปืนครั้งนี้น่าจะมีนกติดมือกลับมาหลายตัว

          การเดินทางร่วมสี่ชั่วโมงจากฟาร์มม้าถึงสวนสัตว์มีเพื่อนร่วมทัวร์เป็นพี่ยักษ์กับน้องยี่หวาลูกสาวคนเดียวที่หน้าตาน่ารักสมคำคุย ความฉอเลาะช่วยให้ผมอารมณ์ดีตลอดการขับขี่ที่ยาวนาน วันนี้มีเมฆหมอกกระจายเต็มฟ้าทำให้เบาใจว่าไม่ได้พาลูกของพี่ยักษ์มาลำบากเพราะอากาศที่ร้อนจัด

          พวกเรามาถึงก่อนเวลานัดหมาย ผมอุ้มยี่หวาไว้กับอกเมื่อพี่ยักษ์ขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำหลังรถจอดเทียบบริเวณหน้าสำนักงาน ถือโอกาสพาเด็กหญิงในชุดกระโปรงชมพูเดินเตร็ดเตร่ชมดอกไม้และคอกนานาสัตว์ที่อยู่บริเวณซุ้มประตู

          “ซันซันแปลว่าอะไร” ผมยิ้มให้กับคำถามที่ยังไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำแต่ก็พอจับใจความได้

          “ซันแปลว่าดวงอาทิตย์ค่ะ”

          “ดวงอาทิตย์แบบนั้นเหรอ” นิ้วป้อมชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะ หยีตาเพราะเมฆที่บดบังอยู่ลอยผ่านไปเผยให้เห็นตะวันดวงใหญ่ส่องแสงลงมาเต็มกำลัง

          “ใช่ค่ะ เหมือนดวงนี้”

          “ซันซันรู้จักเพลงพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งหรือเปล่า” แล้วหลังจากนั้นเพลงเด็กอนุบาลก็ดังลั่นตลอดช่วงบ่าย เมื่อพี่ยักษ์กลับมาก็ช่วยประสานเสียงประโยคแก้มแด๊งแดงเรียกรอยยิ้มแฉ่งจากผู้คนรอบตัว

          ซันแปลว่าดวงอาทิตย์แต่ศิราจากศิรานุวัฒน์แปลว่าสายน้ำ เคยถามแม่ว่าทำไมชื่อของผมจึงไม่สอดคล้องกัน ท่านตอบว่าอยากให้ผมดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป ชีวิตผมจึงไม่ฝักใฝ่การตะเกียกตะกายหรือนิ่งเฉยเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนเปมทัตแปลว่าผู้ให้ความรัก เขามีความรักให้บุคคลทั่วไปทั้งพ่อแม่และเพื่อนฝูง ความรักแก่สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างนกหรือแมว ความรักแก่วิชาชีพและหน้าที่ แต่ไม่มีหลงเหลือเผื่อแผ่ให้แก่คนอย่างผม ข้อยกเว้นหนึ่งเดียวที่เฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าทำไม

          สรุปแล้วผมรับเลี้ยงเต่า กระต่าย แพะ แกะ อูฐ วัว กวาง ม้าลาย หมูดำ นกกระจอกเทศและนกยูง เดินผ่านอัลปากาแล้วนึกถึงหน้าเจ้าเด็กเลี้ยงม้าจึงรับมาไว้แก้เหงาอีกคู่หนึ่ง แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นสัตว์ตัวเล็กหน้าคล้ายหนูแต่รูปร่างเหมือนตัวตุ่น จากป้ายชื่อบ่งชี้ว่าพวกมันคือหนูอ้น ฟันหน้าสองซี่ใหญ่และดวงตาที่เล็กเรียวไม่มีอะไรละม้ายคุณหนูอ้นที่เยอรมัน แต่ก็พาลให้คิดถึงตั้งแต่แรกพบ

          หนูอ้นสองตัวคือสัตว์ชนิดสุดท้ายที่ผมได้ติดมือกลับมาที่ฟาร์ม ลงลายมือหนังสือมอบอำนาจให้ทนายทำเรื่องกับสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าเพื่อขอเปิดสวนสัตว์ขนาดย่อม เพียงสามอาทิตย์ทุกอย่างก็เรียบร้อยทั้งการขนส่งและหนังสือคำร้อง แล้วหนูอ้นหน้าตาตลกก็ถูกปล่อยลงในรั้วเล็กข้างบ่อเต่าที่พี่เมฆภูมิใจหนักหนาเพราะว่าเป็นคนออกแบบเอง

          “พี่ซันทราบเรื่องงานแข่งม้าเดือนหน้าหรือเปล่าครับ” นอฟเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเสียงแผ่วขณะที่ผมกำลังป้อนถั่วฝักยาวให้กับอูฐและอัลปากา แสงแดดร้อนจัดไม่อาจทำอันตรายกับผิวหนังหนา แต่กับยี่หวาคนตัวเล็กหลังจากซื้อไอศกรีมจากรถเร่ก็วิ่งเข้าไปขลุกอยู่กับอาเกตในคอกปิด

          “รู้แล้ว”

          “พี่ซันจะลงแข่งหรือเปล่า” ชั่วแวบแรกคิดว่าเจ้าเด็กเดือนสิบเอ็ดริอ่านล้อเลียนผม แต่ด้วยอาการกอปรกับสีหน้าทำให้เข้าใจว่าเจ้านอฟกำลังเล่นแง่อย่างมีจุดประสงค์ ป้ายเชิญชวนลงแข่งขันขี่ม้าระดับจังหวัดที่ปิดประกาศไปทั่วทุกตรอกซอกซอยเด่นชัดยิ่งกว่าสัญญาณไฟจราจร สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจ๊อกกี้ประจำฟาร์มจะสนใจหรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ผมก็กลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน

          “เปล่า”

          “ถ้าอย่างนั้น...ผมยืมอาเกตได้ไหมครับ” ผมทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินย้ายจากคอกอูฐขนทองมาหาเจ้าแพะตัวจ้อย ค่อย ๆ หยิบยื่นถั่วให้อย่างใจเย็น เสยิ้มและโบกมือให้กับเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งรุมเจ้าเต่าซูลคาต้าก่อนกำชับว่าห้ามจับเพราะฟันของมันแหลมคม

          “พี่ซันนะครับ ผมขอร้อง ถ้าชนะขึ้นมาละก็ฟาร์มนี้ดังเลยนะพี่”

          “แล้วถ้าแพ้ล่ะ”

          “ถ้าแพ้...ผมจะยอมเป็นลูกน้องพี่ตลอดไปเลยเอ้า”

          “ไม่เอาหรอกลูกน้องมีเยอะแล้ว แต่รับปากได้ไหมว่าถ้าพี่อนุญาตให้พาเจ้าอาเกตไปลงแข่งแล้วจะตั้งใจเรียน ห้ามสอบตก ห้ามโดดเรียน”

          “ไอ้เรย์ปากบอนอีกแล้วใช่ไหม นี่มันอยู่ไหนครับ วันนี้ยังไม่เห็นหน้าเลยทั้งวัน”

          “อย่าเปลี่ยนเรื่อง”

          “โธ่ ก็ได้ ๆ รับปากก็ได้” สามนิ้วยกขึ้นฉับแบบฉบับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ “ผมจะตั้งใจเรียน ไม่โดด ไม่ซ่อม ไม่นอนหลับในชั่วโมงเรียนแถมให้ด้วยอะ”

          “ดีมาก” ผมพยักหน้าอย่างยินดีแต่ก็ไม่ละความสนใจไปจากเจ้าแพะสีน้ำตาลที่ย้ำเท้าอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม ส่วนตัวเมียสีขาวก็ยืนลุ้นอยู่ไม่ไกลว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวมื้ออาหารของมันสักที

          “นี่พี่ซันอนุญาตแล้วใช่หรือเปล่า”

          “ยัง”

          “อ้าว หลอกเด็กบาปนะครับผม”

          “พี่มีอะไรจะให้ดู ไปด้วยกันหน่อย” ผมส่งต่อถั่วฝักยาวกำที่เหลือให้เด็กผู้ชายที่ยืนคุยกับม้าลายอย่างเป็นจริงเป็นจัง น่าเสียดายที่ฟังไม่ทันว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน ดูจากหน่วยก้านแล้วน่าจะไว้ใจให้ขุนถั่วแพะต่อได้เพราะจ้ำม่ำเหลือเกิน

          ยี่หวายิ้มร่าขี่คอพี่เมฆอยู่ข้างคอกเจ้าโอนิกซ์ ได้ยินเสียงลมหายใจฮึดฮัดเพราะอากาศร้อนจัดมาแต่ไกล ถ้านอฟตั้งใจฟังสักนิดคงตระหนักได้ว่ามีเสียงม้ามากกว่าสองตัว ผมตีเนียนวานเด็กโข่งตักน้ำมาให้โอนิกซ์เพิ่มเพราะพร่องไปมาก จงใจให้ก้าวผ่านคอกสุดปลายทางที่เคยเว้นว่างมานาน

          “เท็กซัส!” พี่เสือที่ขนถ่ายฟางหญ้าอยู่แถวนั้นหัวเราะออกมาด้วยความขำขันเพราะสีหน้าของเจ้านอฟตอนนี้ตลกกว่าพวกหนูอ้นหลายตัวรวมกัน เหมือนอยากจะร้องไห้แต่ก็อายยี่หวาสุดท้ายแล้วจึงกระลับกระเลือกไม่น่ามองเอาเสียเลย

          “พี่ซัน...” หันมาทำตาปริบแล้วกัดริมฝีปากอย่างคนไม่รู้จะพูดอะไร ผมไม่พร้อมรับคำขอบคุณจึงเดินเลี่ยงไปลูบหน้าผากเจ้าอาเกตที่กำลังจะถูกลืมเพราะที่หนึ่งในใจของคนที่วิ่งเล่นด้วยกันกลับมาแล้ว รู้สึกเศร้าแทนมะฮอกกานีสี่ขาแต่รอยยิ้มและบรรยากาศรอบตัวช่วยปัดเป่าความคิดไร้สาระ

          “ขอบคุณนะครับพี่ซัน” เพิ่งสังเกตเห็นว่าเรย์นั่งหลบมุมอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ บนกองฟาง แสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาคงเพียงพอกับสายตาเด็กมัธยม ผมส่ายหน้าแทนคำปฏิเสธ

          “ไม่อยู่ดูแลยายหรือวันนี้”

          “โดนไล่มาครับ แกกลัวผมเบื่อที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่บ้าน สองสามวันมานี้ไม่มีอาการหน้ามืดแล้ว แกฝากขอบคุณพี่ซันสำหรับข้าวต้มที่ฝากพี่เสือไปให้เมื่อเช้าด้วย”

          “ไม่เป็นไร ให้ท่านทานยาตรงเวลาแล้วทานอาหารให้ครบห้าหมู่ก็พอ”

          “ครับ ว่าแต่พี่ซันแอบพาเจ้าแท็กซัสมาตอนไหนทำไมพวกผมไม่ยักรู้” วางหนังสือลงข้างตัวแล้วเหลือบมองคนที่กำลังดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล ยี่หวาเดินเตาะแตะไปลูบใบหน้าให้อย่างปลอบประโลม

          “เมื่อคืนนี้ พอดีต้องให้วัคซีนก่อนพาขึ้นรถบรรทุก ตอนที่เราเล่าว่าเจ้านอฟเป็นคนทำคลอดพี่ก็หลงนึกว่าเป็นลูกม้า แต่ที่ไหนได้อีกไม่เท่าไหร่อายุจะครบสี่ปีแล้วไม่ใช่หรือ”

          “อ้าวหรือครับ รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานทำไมโตเร็วแบบนี้น้า” ลอยหน้าลอยตาอย่างคนไขสือ แต่ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ผมจึงเดินเข้าไปจับเอวเพื่อพิสูจน์ว่าไม่รู้จริงหรือแกล้งอำ คนบ้าจี้หัวเราะจนตัวงอ “ยอมแล้ว ๆ ผมยอมแล้ว”

          “เย็นนี้พี่ว่าจะแวะไปเยี่ยมคุณยาย เอาไว้เราไปชำระความกันตอนนั้น”

          “ดีครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินผมไม่มีให้ชำระนะบอกไว้ก่อน เดี๋ยวผมไปช่วยพี่ยักษ์เฝ้าซุ้มถั่วฝักยาวดีกว่า นั่งอ่านหนังสือนาน ๆ ชักเบื่อ ไปด้วยกันไหมครับหรืออยากอยู่ดูคนเป่าปี่โชว์ที่นี่” หันมองคนถูกพาดพิงก็ต้องชะงักไปเพราะนอฟไม่ได้ร้องไห้แต่กำลังจ้องมองมือของผมที่ถูกเรย์จับไว้เพื่อผลักให้ห่างจากจุดอ่อน

          จ้องมอง...ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

          แม้รู้ดีว่ากำลังถูกเข้าใจผิดแต่ผมก็นึกสนุกเกินกว่าจะแก้ต่างกับพฤติกรรมคึกคะนองที่แกล้งหยอกเพียงนิด ความรักครั้งนี้คงมีอุปสรรคอีกมากถ้าเจ้านอฟเป็นคนขี้หึงถึงขนาดที่ยังไม่ได้คบหาแต่ก็พาลพาโลไปกับมนุษย์ทุกคนที่เข้าใกล้เรย์

          หลังจากลูกน้องกางเกงน้ำเงินกอดรัดเจ้าเท็กซัสจนหน่ำใจก็พากันไปวิ่งเล่นท้าลมที่คอกกลางแจ้ง นอฟขี่อาเกตส่วนเรย์ควบโอนิกซ์โดยมีเด็กใหม่วิ่งรั้งท้าย ไม่นานความขุ่นมัวที่ก่อตัวเป็นหมอกจางก็มลายหายไป

          กลิ่นบุหงารำไปอวลอยู่ในอากาศเมื่อผมก้าวเข้าบ้านคุณยายขวัญเรือน ร้านข้าวแกงที่ปิดมาร่วมเดือนทั้งโต๊ะเก้าอี้ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ผมนั่งพับเพียบข้างคุณยายที่กำลังสานตะกร้าไม้ไผ่ ไม่แปลกใจว่าทำไมเรย์ถึงเป็นห่วงหนักหนา เพราะว่าคุณยายเป็นต้นแบบของคำว่าหนักเอาเบาสู้อย่างแท้จริง

          “จะให้เจ้าเรย์ไปเป็นพนักงานขายของที่ฟาร์มน่ะหรือพ่อซัน”

          “ครับ พอดีว่าพ่อของผมมีธุรกิจเกี่ยวกับไร่องุ่น ผมว่าจะรับผลผลิตจากทางนั้นมาวางขายในฟาร์มแต่ยังขาดคนดูแล แค่ช่วงปิดเทอมนี้ ถ้าใกล้เปิดเทอมเมื่อไหร่ผมจะหาคนมาแทน ได้ไหมครับ”

          “เอาสิใกล้แค่นี้เอง ไปกลับพร้อมพ่อเสือกับพ่อเมฆก็ได้ ยายไว้ใจพ่อซันหรอกนะเพราะถ้าเป็นที่อื่นยายไม่ยอมแน่ และที่สำคัญไม่ต้องให้เงินทองตอบแทนอะไรหรอก ถือว่าเป็นค่าโรงหมอที่พ่อจ่ายให้ยาย” เรย์วางแก้วน้ำเย็นลงข้างมือก่อนจะยิ้มอย่างพอใจเพราะเรื่องที่ผมร้องขอไม่ยากเกินกำลัง “เจ้าเรย์น่ะซื่อสัตย์ไม่ขี้ลักขี้ขโมย พ่อซันไว้ใจได้”

          “ครับ ผมพอจะมองออก อีกทั้งยังขยันได้คุณยายด้วย ตะกร้าพวกนี้สานไว้ใช้เองหรือครับ”

          “ยายสานไว้ใช้ แต่ถ้าใครอยากได้ยายก็ขาย” ผมยกน้ำขึ้นจิบมีกลิ่นตะไคร้หอมชื่นใจ คุณยายชวนคุยต่ออีกไม่นานก่อนผมจะลากลับเพราะไม่อยากรบกวนสมาธิ  มีหลานชายของบ้านเดินมาส่งที่รถก่อนจะไหว้ลา

          พ่อและแม่เดินทางมาถึงบ้านหลังใหม่ของผมในวันช่วงบ่ายสัปดาห์ถัดมา พ่อทำหน้าแปลกใจไม่น้อยเพราะคำว่าฟาร์มเล็ก ๆ ของผมมันเริ่มขยับขยายและเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งฝูงชนที่มาเที่ยวชมและพนักงานภายใน เรย์แสดงฝีมือทางการเกษตรทันทีที่เริ่มงาน ผมให้ทุนรอนคนมือเย็นไปซื้อต้นกล้าดอกไม้เมืองร้อนมาจำนวนหนึ่ง เพียงไม่กี่วันบุปผชาติหลากสีก็ช่วยปรุงแต่งให้สถานที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น พ่อยกนิ้วให้ผมตั้งแต่แรกเห็นหน้าก่อนจะก้าวเข้ามากอดแน่น ๆ อย่างภูมิใจ

          “ผมคิดว่าพ่อจะมาหาผมเร็วกว่านี้” โอบไหล่กว้างพาแขกกิตติมศักดิ์เดินชมรอบบริเวณ มีเสียงทุ้มนุ่มหูคล้ายบทเพลงสุนทราภรณ์เปิดคลอประกอบทำเอาผมหุบยิ้มไม่ลง

          “เผอิญต้องสะสางเรื่องโครงการบ้านจัดสรร แต่ตอนนี้พ่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ทำได้ดีนี่เรา เห็นใส่สูทนั่งห้องแอร์มาแต่ไหนแต่ไรไม่คิดว่าจะถนัดงานแบบนี้ ถ้าพ่อไม่มาเห็นกับตาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด”

          “ผมได้ผู้ช่วยดีครับ แล้วแม่บอกพ่อหรือยังครับเรื่องของจากไร่”

          “เกริ่นแล้วแต่ก็ต้องคุยกันเองนะ เรื่องขนส่งไม่น่ามีปัญหาเพราะว่าลุงเชี่ยวชาญเขามีเส้นสาย” แม่ถือร่มคันใหญ่พร้อมทาปากสีสันสดใสดูอารมณ์ดีเมื่อเห็นเด็ก ๆ วิ่งเล่นตรงกรงกระต่าย

          “พ่อเอาด้วย ดูจากทำเลแล้วน่าเหมาะกับการขายน้ำองุ่น แยม ลูกเกด หรือแม้แต่ไวน์ จำกัดอายุผู้ซื้อด้วยแล้วกัน”

          “ครับ เรื่องนั้นพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

          “อ้นไม่ติดต่อมาบ้างหรือ” ผมชะงักไปจนเกือบสะดุดพื้นดินว่างเปล่า

          คำตอบคือไม่เลย อย่าว่าแต่โทรหาข้อความสักนิดก็ไม่มี ผมพยายามจะไม่ใส่ใจใช้ชีวิตยึดติดกับปัจจุบัน ไม่ไขว่คว้าหาอากาศธาตุเหมือนที่แล้ว ๆ มา จะโหยหาไปทำไมในเมื่อตอนนี้ผมก็มีความสุข...ความสุขในแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะพึงมี

          ผมโทรหาน้องฐาเย็นวันนั้น

          “ผมเคยบอกพี่ซันว่าผมตั้งฉายาให้กับเรย์ จำได้ไหมครับ” นอฟชวนผมมานั่งเล่นดูพระอาทิตย์ตกดินที่แคร่ไม้ข้างคลอง เด็กมือบอนโยนหินลงน้ำดังจ๋อม ๆ ผมไม่ได้ทัดทาน เพียงสูดหายใจลึกเพื่อปลดปล่อยอาการหนักหน่วงบางอย่างที่ไม่จางหายไปเลยตั้งแต่กลับมาจากเยอรมัน

          “จำได้สิ”

          “ความจริงก็ไม่เชิงว่าฉายา แต่ว่าเป็นชื่อเต็มของหมอนั่นที่ผมบัญญัติขึ้นเอง...จากตัวตนของมันที่มีต่อผม”

          “คงไม่ใช่ชื่อประหลาดอะไรอย่างที่นายชอบใช้เรียกสัตว์ในฟาร์มหรอกใช่ไหม” มีอย่างที่ไหนเรียกหนูอ้นตัวหนึ่งว่าหมูตุ๋น ทั้งที่ใกล้กันก็มีลูกหมูอยู่ตั้งหลายตัว

          “เรย์ออฟซันไชน์” ผมหันมองแววตาเปล่งประกายแข่งกับดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า “รังสีแสงแดดที่บางครั้งร้อนจัดจนแสบตา แต่ว่าบางทีก็นุ่มนวลเกินห้ามใจ” พูดไปแต่สายตาก็ไม่ละจากภาพที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ตรงหน้า

          “ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่” เด็กขายาวทำหน้าตกใจแต่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธ เพียงอ้ำอึ้งก่อนก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง “คิดว่าพี่ดูไม่รู้หรือ กับคนที่แอบรักคนอื่นมาทั้งชีวิตเรื่องแค่นี้เดาง่ายยิ่งกว่าปัญหาเชาว์”

          “ใครหรือครับ คนในโทรศัพท์พี่ซัน”

          “เพื่อนสนิท”

          “เหมือนผมกับเรย์”

          “คล้ายกัน จะต่างก็ตรงที่เพื่อนของพี่มีเจ้าของอยู่แล้ว”

          “แล้วพี่ซันรู้ได้ไงว่าเรย์ยังว่าง” ผมไม่ปล่อยให้คำถามลอยวนอยู่ในหัว

          “เรย์มีแฟนแล้วหรือ เห็นวัน ๆ เอาแต่เรียกหายายกับปลูกต้นไม้แบบนั้น”

          “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้มันชอบตัวน่าสงสัยเหมือนมีความลับตลอดเวลา เมื่อก่อนผมเข้าออกห้องนอนมันเป็นว่าเล่นแต่เดี๋ยวนี้แค่เดินเฉียดยังไม่ได้เลย คอมฯ ของมันก็เหมือนกัน ไม่เคยได้แตะ ไม่แน่มันอาจจะมีแฟนออนไลน์ไปแล้วก็ได้”

          “ใช่หรือ คิดมาก คนเราก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวกันบ้าง”

          “แต่ไม่ใช่คนอย่างเรย์แน่ครับ”

          “แล้วทำไมไม่ถามเขาไปตรง ๆ ว่าคบใครอยู่หรือเปล่า”

          “คนเรามีความหวังเป็นแรงขับเคลื่อนนะครับพี่ ถ้ามันตอบว่ามีใครแล้วใจผมจะเป็นยังไงล่ะ” เป็นแค่เด็กมัธยมปลายแท้ ๆ แต่ก็ละเอียดอ่อนเหมือนกัน เรื่องของใจมันไม่เข้าใครออกใคร จะเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ก็เจ็บปวดได้เท่าเทียม

          ผมพยายามแล้วที่จะไม่ให้ความหวังกับนิษฐาเหมือนอย่างที่ได้รับมาจากเปมทัต ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ทำให้ทุกข์ตรมซ้ำซาก เลือกที่จะพูดคุยในขอบเขตของคนรู้จักไม่ใช่คนรู้ใจ ส่วนความลับก็วางไว้ในซอกใจที่ลึกที่สุด แต่บางครั้งความเหงาและพลั้งเผลอก็ทำให้หลุดปากบอกจุดยุทธศาสตร์เมื่อตอนไม่รู้ตัว

          น้องฐากับกระเป๋าใบเล็กจึงได้มายืนอยู่ต่อหน้าผมในเวลานี้

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2017 10:09:35 โดย Lipstick_Murder »

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
เดาว่าเรย์อาจจะชอบซันนี่ แต็ก็หวังอยากจะให้ซันคู่กับนอฟ เหมือนเคมีเข้ากันมากกว่า นอฟช่างสังเกตใส่ใจ อยู่ด้วยแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ สดใส

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 8

          อีโคคาร์สีเขียวมรกตจอดนิ่งอยู่เบื้องหลังผู้มาใหม่ หลังจากพี่ยักษ์เดินไปตามให้มาพบกับแขกพิเศษที่แนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของผมก็หลงคิดไปว่าน่าจะไม่พ้นท่านตรัส แต่ที่ไหนได้กลับเป็นน้องฐาในเดรสผ้าฝ้ายสีขาวบริสุทธิ์พร้อมกลิ่นน้ำหอมประจำตัว

          “น้องฐามาได้ยังไงคะ สอบอยู่ไม่ใช่หรือ”

          “ฐาสอบเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วต่างหากล่ะคะ ฐาบอกพี่ซันทางโทรศัพท์แล้วนี่นา น่าน้อยใจจริง ๆ เลย” ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันดูน่ารัก

          “พี่ขอโทษค่ะ เข้าร่มกันดีกว่า ตรงนี้แดดร้อนเดี๋ยวผิวจะเสียเอานะ”

          “พี่ซันทนได้ฐาก็ทนได้ค่ะ ผิวคล้ำไปเยอะเหมือนกันแต่สีน้ำผึ้งแบบนี้ก็เข้ากับพี่ซันดีค่ะ” แก้มเนียนแดงระเรื่อไม่รู้ว่ามีสาเหตุจากไอระอุของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า หรือว่าอีกดวงบนพื้นดินที่กำลังเดินนำคนตัวเล็กมายังโต๊ะสำหรับลูกค้าบริเวณเพิงไม้สักที่บัดนี้ถูกยึดครองด้วยผลิตภัณฑ์จากไร่องุ่นภัทรกูล เรย์กับนอฟที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์จ้องมองอย่างสนอกสนใจ ผมทำได้เพียงแนะนำว่าเป็นเพื่อนสนิท

          “ขอบคุณค่ะ” น้ำองุ่นเย็นจัดถูกส่งให้เรียวมือที่ตกแต่งปลายเล็บด้วยสีครีมเหลือบน้ำตาล “ที่นี่อากาศดีมากเลยนะคะ ถึงแดดจะร้อนแต่ลมเย็นมาก บรรยากาศก็ร่มรื่นเพราะไม้ยืนต้นเยอะ พี่ซันออกแบบเองหรือคะ”

          “ช่วย ๆ กันค่ะ สิ่งก่อสร้างหลายอย่างเป็นของเจ้าของเดิม พี่แค่ปรับปรุงเพิ่มเติมนิดหน่อย น้องฐาหิวหรือยังคะ” ผมทนสายตาสอดรู้ของสองเพื่อนซี้ไม่ไหว เจ้านอฟหนักข้อถึงขนาดผิวปากเบา ๆ จนผมต้องชี้หน้าคาดโทษ แกล้งเดินเข้าไปจัดเรียงคุ้กกี้มะพร้าวใกล้ ๆ ก่อนกระซิบ “เดี๋ยวมาดูกันว่านายจะแข่งม้ายังไงถ้าไม่มีม้า”

          “พี่ซัน...” มันกระซิบเสียงหวานก่อนประกบมือขึ้นชิดหน้าผาก ผมชี้นิ้วขู่อีกหนแล้วเดินกลับไปหาน้องฐาที่ตอบว่าหิวเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย

          “ทำไมไม่บอกกันก่อนคะว่าจะมา ถ้าหลงทางจะทำยังไง”

          “ถ้าหลงฐาก็โทรให้พี่ซันไปรับไงคะ” ความคิดง่าย ๆ ชนิดไม่แยแสอันตรายทั้งที่เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทำให้ผมฉุนเฉียวได้ไม่ยาก แต่การไม่ถือตัวและใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยใช้ส้อมจิ้มผัดบรอกโคลีฝีมือคุณยายขวัญเรือนที่วันนี้เป็นแม่ครัวกิตติมศักดิ์ประจำห้องอาหารของฟาร์มสามารถลบล้างความผิดได้อย่างน่าฉงน

          “พี่แค่บอกว่าเป็นฟาร์มม้าและสวนสัตว์ ชื่ออย่างเป็นทางการก็ยังไม่ได้ตั้ง พี่ยอมรับว่าน้องฐาเก่งจริง ๆ ที่มาถูกโดยไม่โทรถามสักคำ”

          “ใจนำทางมากระมังคะ” แววตาเขินอายที่สบมองบอกผมว่าน้องไม่ได้พูดเล่น ฐากำลังรุกคืบโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จากการที่น้องเดินทางมาหาทั้งที่ยังเป็นนักศึกษาหญิงก็คล้ายจะบอกเป็นนัย ขออย่าให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะความรักที่มากขึ้นหรือน้อยลงระหว่างกัน

          “อาหารพอทานได้ไหมคะ อาจจะไม่หรูหราเหมือนภัตตาคารแต่ว่าแม่ครัวที่นี่ใช้ใจทำทุกจานเหมือนกัน”

          “อร่อยมากค่ะ ยิ่งผัดบรอกโคลีจานนี้ยิ่งอร่อยมาก สงสัยฐาต้องมาฝากท้องที่นี่บ่อย ๆ” คิ้วผูกเป็นปมกับคำตอบแปร่งหู

          “น้องฐาไม่ได้มาเที่ยวแค่วันเดียวกลับใช่ไหม”

          “เปล่าหรอกค่ะ ความจริงแล้วฐามากับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่าบังกะโลอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ถือโอกาสพักผ่อนหลังสอบ เผอิญว่าคนอื่นเขามากันเป็นคู่ ๆ ฐาไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอใครก็เลยพาตัวเองปลีกวิเวกออกมา พี่ซันไม่โกรธใช่ไหมคะ”

          “ไม่โกรธหรอกค่ะแต่อย่าทำแบบนี้อีกมันอันตรายรู้ไหม แล้วห้องหับนอนกันยังไงไม่เบียดเสียดแย่หรือ”

          “ฐาจองห้องแยกค่ะ ฐานอนคนเดียว” ผมพยักหน้าแล้วยกชามะนาวขึ้นจิบ “พี่ซันเหงาบ้างไหมคะ”

          “คะ” ผมถามกลับหลังพยายามตีความคำถามในแง่ของคนโลกสวย

          “ฐาหมายถึงอยู่ไกลบ้านไกลเพื่อน ไม่คิดถึงพวกเขาบ้างหรือคะ”

          “ถ้าเป็นเรื่องนั้นฐาก็รู้ว่าตอนอยู่เยอรมันพี่เคยโดดเดี่ยวมากกว่านี้ ที่นี่มีทั้งเด็ก ๆ ในฟาร์มมีทั้งพี่ ๆ ผู้ช่วยตั้งหลายคน อีกทั้งยังต้องจัดการดูแลหลายอย่าง วันหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วเสียจนพี่ไม่ทันได้หยุดคิดถึงอะไรเลย แต่ถ้าพูดถึงพ่อกับแม่พี่โทรหาท่านเกือบทุกวันช่วยคลายความห่วงใยไปได้มาก”

          “ที่เยอรมันพี่ซันมีเพื่อนสนิทอีกคนนี่คะ” ว่าจะไม่พูดถึงแล้วแท้ ๆ พยายามจะอ้อมค้อมให้มากที่สุดแต่จุดที่ผมยืนต้องมีเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

          “เราเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าไหร่ค่ะ” การที่น้องวางช้อนช่วยแก้สถานการณ์ได้ดีเพราะผมไม่มีอะไรติดค้างกับเยอรมันอีกต่อไป “อิ่มหรือยังคะ พี่จะพาไปชมรอบ ๆ แดดไม่จัดเท่าช่วงบ่ายแล้ว เดี๋ยวพี่หาร่มให้”

          “ไปค่ะ เมื่อครู่ฐาเห็นกระต่ายสีขาวน่ารักเชียว จะได้ถ่ายรูปไปฝากเพื่อน ๆ ดีไม่ดีพรุ่งนี้พี่ซันอาจจะได้ลูกค้าเพิ่ม”

          “ยินดีมากค่ะ”

          นิษฐาตื่นเต้นกับนกกระจอกเทศและม้าลาย คนยิ้มสวยแจกจ่ายมิตรภาพให้กับคนไปทั่วรวมถึงสามทหารเสือ พี่เมฆมีสีหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงไม่นานก่อนจะหันไปทำธุระกับคอกสัตว์นานาชนิด โชคยังดีที่เรย์กับนอฟมีหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ชำระสินค้ากับคอกม้า ไม่อย่างนั้นคงได้มาเดินตามล้อเลียนผมอีกนานสองนาน

          เมื่อตะวันใกล้ตกดินผมพาน้องฐามาที่ประจำของผมกับนอฟ แตกต่างตรงที่วันนี้ไม่มีเสียงก้อนหินกระทบผิวน้ำ ระยะห่างมือที่วางค้ำบนแคร่ไม้ทำให้ผมรู้สึกประหม่าแต่ไม่อยากดึงละกลับมา นิ้วก้อยที่ปัดต้องสัมผัสกันไม่ทำให้ใจผมเต้นโครมครามเหมือนอย่างที่คู่รักควรจะเป็น

          “ฐาน้อยใจรู้ไหมคะ ที่พี่ซันห้ามฐาโทรหาก่อนหน้านี้”

          “น้องฐา พี่ไม่ได้ห้ามค่ะ แค่ให้โทรหาเฉพาะเวลาที่จำเป็น พี่คิดว่าฐาต้องการเวลาส่วนตัวและสมาธิช่วงสอบ”

          “ฐาบอกอย่างนั้นหรือคะ ความจำเป็นของฐาคือกำลังใจในการอ่านหนังสือสอบ แต่พี่ซันกลับบอกมาแบบนั้นแล้วใครจะกล้าโทรหากัน” เริ่มแล้วใช่ไหมความกระเง้ากระงอดอย่างคนที่คบหากันพึงมี ผมควรวางตัวอย่างไรให้เป็นผู้ใหญ่และไม่เล่นไปตามบทคนรักแสนงอน

          “พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ทราบจริง ๆ ว่ามันทำให้ฐาไม่สบายใจ ในอนาคตถ้าพี่พูดหรือทำอะไรให้ฐารู้สึกไม่ดีบอกพี่ตรง ๆ นะคะ อย่าเก็บไปคิดมากแบบนี้อีก”

          “ฐาก็แค่น้อยใจอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ ฐาไม่ได้โกรธพี่ซันหรอก”

          “ให้พี่ไถ่โทษด้วยอะไรดี”

          “ไปส่งฐาที่บังกะโลได้ไหมคะ เย็นมากแล้วฐาไม่อยากขับรถเอง”

          “ได้ค่ะ ไปกันเลยไหม” ใบหน้าเรียวเล็กพยักช้า ๆ

          บ้านไม้ยางพารายกพื้นสูงหลายหลังที่เรียงต่อกันเป็นทิวแถวบอกผมว่าเรามาถึงบังกะโลที่พักของกลุ่มนักศึกษา ชะลอรถก่อนจอดสนิทเทียบเชิงบันไดบ้านหลังสุดท้ายแต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูลง น้องส่งปลายนิ้วมาพันธนาการมือผมไว้กับเกียร์สีดำ เราสบตากันนานจนผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ต้องกระแอมเบา ๆ เพื่อปัดเป่าความอาหลักอาเหลื่อ

          “เพื่อน ๆ ไปไหนกันหมดคะ”

          “น้ำตกค่ะ น่าจะกลับกันตอนค่ำ ๆ พี่ซันอยากไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฐาก่อนไหม” ผมมองสวนเบญจมาศประดับไฟที่อยู่ไม่ไกลแล้วพอจะลางเลาความหมายของน้องฐาได้ ฝีเท้าที่เดินป่ายปัดไปทั่วช่วยสนับสนุนให้สรรพสิ่งรอบตัวครอบงำความคิด ผมเหม่อมองตาข่ายกรองแสงเหนือแปลงดอกไม้ตอนที่น้องเอื้อมมือมาแตะแขนเรียกสติอีกหน

          “ฐาทำให้พี่ซันอึดอัดหรือเปล่าคะ” ผมคว้ามือเล็กมากุมไว้โดยไม่โต้ตอบอะไรตามสัญชาตญาณบุรุษเพศ “ฐาขอโทษนะคะที่มากะทันหัน หลงคิดไปว่าพี่ซันจะดีใจที่ฐามาเซอร์ไพรส์แต่ไม่ได้เผื่อใจว่าผลมันจะตรงกันข้าม”

          “พี่ดีใจค่ะที่ฐามา และขอบคุณมากที่มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ช่วงนี้พี่แค่กำลังเครียดเรื่องฟาร์ม ถ้าหมดเรื่องยุ่งแล้วพี่จะไปรับฐาที่บ้านแล้วเราไปเที่ยวกันนะคะ”

          “พี่ซันพูดจริงหรือคะ”

          “จริงค่ะ” กระหวัดก้อยเกี่ยวแทนคำสัญญา ดวงหน้าที่เงยขึ้นสบตาเป็นอวัจนภาษาที่ชัดถ้อยชัดคำ ด้วยการวิงวอนที่ไม่อาจปฏิเสธเพราะความรู้ผิดชอบที่สั่งสมทำให้ผมต้องโน้มตัวลงแตะแผ่วที่ริมฝีปากชุ่มลิปกลอส รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยให้เห็นก่อนน้องจะหันหนีไปอีกทาง เราเดินเล่นอยู่แถวนั้นอีกพักใหญ่ก่อนน้องจะชี้นิ้วไปยังหน้าบังกะโลหลังหนึ่ง

          “เพื่อน ๆ ฐาน่าจะมากันแล้วล่ะค่ะ” รถแวนห้าประตูถูกเปิดออก ผมไม่อยากพบปะผู้คนแปลกหน้าในเวลานี้จึงขอตัวกลับทันที

          “พี่ซันจะกลับยังไงคะ”

          “พี่ให้คนที่ฟาร์มขับรถตามมาค่ะ พี่ไปนะ ขอให้สนุกกับเพื่อน ๆ อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วย มีอะไรก็โทรหาพี่นะคะ”

          “ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ” โบกมือลาแต่ก่อนที่จะเดินหันกลับไปหากลุ่มเพื่อน น้องเอ่ยคำหนึ่งจนผมชะงักไป

          “ฐารักพี่ซันนะคะ”

          ผิดอย่างมหันต์ จิตสำนึกของผมตะโกนอยู่ใต้ผิวหนังว่าผมทำพลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ รอยจูบเมื่อครู่มีค่าไม่ต่างอะไรกับปลอกคอที่มีหนามแหลมคมอยู่ภายใน จะหันหน้าไปทางใดก็ถูกทิ่มแทงบาดลึกแสนเจ็บปวด

          พี่เมฆเหลือบมองผมเป็นระยะตลอดทางกลับบ้าน เหมือนมีคำถามแต่อยากให้ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง การที่พี่เขาเป็นคนพูดน้อยเป็นเรื่องดีระดับหนึ่ง ผมสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ทุกบทสนทนาเป็นไปตามความเหมาะสม เรื่องงานบ้างดินฟ้าอากาศบ้างแต่ไม่เคยละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว

          “แปลกมากหรือครับที่คนอย่างผมมีผู้หญิงมาหา”

          “ไม่แปลก แต่ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย” พี่เขายื่นซองบุหรี่มาให้แต่ผมปฏิเสธไปเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแตะเลยสักมวน แม้ตรัสจะสูบลับหลังทัศนัยให้เห็นอยู่บ่อยครั้งอีกทั้งยังบอกว่าช่วยคลายเครียด แต่ผมกลับมองเห็นโทษมากกว่าประโยชน์ของมัน

          “ผมมีความสุขดีครับ” ได้แต่หวังว่าสายลมที่สวนเข้ามาทางหน้าต่างรถจี๊ปจะช่วยบดบังแววตาของคนโกหกไม่เก่งได้บ้าง ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยผมรู้ดีว่ามีศาสตร์แห่งการวิเคราะห์บุคคลระดับปรมาจารย์ซ่อนอยู่

          “คบกันนานหรือยัง”

          “ไม่นานครับ” ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรเพราะผมจำวันที่เราเริ่มคบกันอย่างจริงจังไม่ได้ด้วยซ้ำ น้องแค่บอกกับผมว่าไม่มีใครและโดนไอ้แซนเป่าหูว่าพี่ชายยังโสดทั้งกายและใจ นิษฐาจึงเป็นฝ่ายอ้อมแอ้มว่าอยากลองศึกษากันไปก่อนโดยไม่ต้องผูกมัด ถึงจะอย่างนั้นน้องก็แสดงออกอย่างชัดเจนเสมอมาว่าคบหากับผมแค่คนเดียว

          “ผมไม่รู้นะว่าสาเหตุที่คุณทำแบบนี้เพราะอะไร แต่ถ้าเพื่อความเหมาะสมทางสังคมไม่ใช่ความรู้สึกทางใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นผู้หญิงเขาคงน่าสงสารแย่” พลขับละสายตาจากท้องถนนมามองหน้าผมครู่หนึ่ง “อย่าหาว่าผมสอนเลย แต่ผมผ่านมาหมดแล้วทั้งโดนพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน หน้าที่การงานล้มเหลวไปหมดเพียงเพราะคนที่ผมอยากอยู่ด้วยทั้งชีวิตไม่ใช่คนที่พวกท่านหาให้ แม้ตอนนี้จะได้รับการให้อภัยแล้วแต่ความรู้สึกผิดก็กัดกินใจไปกว่าครึ่ง ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทุกอย่างมันเลวร้ายเพราะไอ้คำที่มีความหมายง่าย ๆ อย่างการคาดหวัง” น้ำเสียงที่สั่นเครือท้ายประโยคช่วยเน้นย้ำว่าอดีตยังทำร้ายพี่เมฆทุกลมหายใจ ผมสะท้อนใจทั้งเรื่องของตัวเองและน้องชายฝาแฝดที่กำลังตกที่นั่งลำบากจ่อปากประตูนรก

          “ผมไม่ได้ถูกคลุมถุงชนอย่างที่พี่เข้าใจหรอกครับ ผมกำลังคบหาน้องเขาอยู่จริงโดยที่ผมสมัครใจ พ่อกับแม่ยังไม่เคยเห็นหน้าน้องเขาด้วยซ้ำ น้องชายของผมเป็นคนแนะนำให้รู้จักกันเพราะเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวันผมจะรักเขาได้อย่างที่เขารักผม”

          “ความคาดหวังน่ากลัวจริง ๆ เห็นไหม ถ้าวันนั้นไม่มีทางมาถึง แล้วการจูบที่ไร้ความหมายจะทำร้ายอีกฝ่ายได้มากขนาดไหนคุณลองตรองดูแล้วกัน” พี่เมฆเห็น ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายจนต้องทำในที่ลับ เพียงแต่การถูกจับได้ในเรื่องที่ผมเองก็อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันบั่นทอนจิตใจไม่น้อย

          “ผมควรทำยังไงดี”

          “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะคุณซัน สักวันเธอก็ต้องรู้ ถ้าคุณไม่ได้ถูกล้อมกรอบให้คบหาแต่เป็นตัวคุณเองที่ดื้อแพ่ง ก่อนที่ทุกอย่างถลำลึกไปกว่านี้คุณรู้ดีว่าต้องทำยังไง”

          สุดท้ายแล้วน้องฐาก็ไม่ได้กลับมาที่ฟาร์มของผมอีกเพราะเพื่อนชวนไปตั้งแคมป์บนเชิงเขาก่อนลากลับบ้านทางโทรศัพท์ ยืนมองเด็กฤดูหนาวซักซ้อมขี่ม้าเพื่อการแข่งขันที่ใกล้เข้ามาตั้งแต่เช้าแล้วช่วยให้จิตใจผ่อนคลายลงได้มาก

          “เหนื่อยหรือเปล่า ทานข้าวหรือยัง” ผมพักสายตาเดินมาหาเด็กมัดผมจุกที่ร้านขายของที่ระลึก ห้องอาหารและคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ข้างกันมีผู้คนบางตาเพราะว่าไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ จึงได้อาเมริกาโนและโกโก้เย็นจากบาริสตาสาวที่ทำงานมาตั้งแต่เปิดร้านวันแรก กาแฟเป็นของผมส่วนเครื่องดื่มรสหวานเป็นของพนักงานขายมัธยมปลาย

          “ผมทานแล้วครับแต่ไม่รู้ไอ้นอฟได้ทานอะไรหรือยัง เห็นอยู่กลางแดดมาทั้งวัน”

          “รายนั้นคุณยายขวัญท่านเอาผัดกะเพราไปป้อนถึงหลังม้า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เอ้า นี่โกโก้ของเรา”

          “ขอบคุณนะครับ ผมขอสั่งไปเผื่อนอฟด้วยได้ไหม ไม่รู้มันหิวน้ำหรือเปล่า” ไม่แปลกใจว่าทำไมเจ้านอฟถึงมีความรู้สึกดี ๆ ให้เพื่อนคนนี้ ทั้งที่ต่อหน้าทะเลาะกันทุกเวลาด้วยเรื่องไร้สาระแต่ลับหลังต่างฝ่ายต่างแสดงออกความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง คนกลางอย่างผมทำได้เพียงรับรู้และรับฟังทว่าไม่อาจสื่อสารออกไปเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

          “พี่สั่งชาไทยไว้ให้นอฟแล้ว กำลังเดินมาโน่นไง” ไม่นานเกินรอจ๊อกกี้ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมผ้าเย็นผืนเล็ก ถึงจะบอกเรย์ไปอย่างนั้นแต่เจ้าคนตัวสูงกลับเดินมาคว้าแก้วโกโก้ไปจากมือคนที่ยืนหลังเคาน์เตอร์ทั้งที่หลอดยังคาปาก โดนยางลบกระทบหน้าผากแล้วยังยิ้มได้อย่างหน้าไม่อาย ขอแค่ได้แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็ดูเจ้านอฟจะอารมณ์ดีขึ้นจม

          “หน้าด้านชะมัดของตัวเองก็มี” ณิชาบาริสตามืออาชีพเดินนำชาไทยมาส่งให้ได้จังหวะคนขี้เม้ง

          “ก็หลอดใหม่มันไม่อร่อย”

          “ถ้าอย่างนั้นพี่ให้เรย์กินแก้วนี้ก่อนแล้วเราค่อยกินต่อแล้วกันนะ” ณิชาว่าแล้วก็ยื่นเครื่องดื่มสีส้มนวลให้เรย์แทนที่จะเป็นคนที่เหงื่อผุดเต็มหน้าก่อนเดินกลับไปยืนประจำตำแหน่ง นอฟยอมเป็นฝ่ายกินทีหลังอย่างที่คนชงบอกก่อนจะได้รับแก้วกลับคืนมาพร้อมคำพูดเจ็บแสบ

          “กูถุยน้ำลายลงไปละ แดกให้อร่อยนะ”

          ผมเหม่อมองสปริงเกอร์ปล่อยสายน้ำเย็นกระเซ็นรดต้นอเมริกันบิวตี้และแวววิเชียร สีม่วงเหลือบชมพูช่วยเพิ่มสีสันให้กับความเงียบเหงายามเย็น ร้านค้าภายในฟาร์มล่วงเลยเวลาปิดมานานผู้คนจึงเริ่มทยอยกันกลับ วันนี้ยี่หว่าก็ไม่ได้มาวิ่งเล่นเพราะเป็นไข้หวัดทำให้พี่ยักษ์ดูเซื่องซึมผิดหูผิดตา ผมจึงอนุญาตให้พี่เขาเลิกงานเร็วเพื่อกลับไปดูแลลูกสาว เห็นพี่เสือเดินปัดมือออกมาจากโรงเก็บอาหารสัตว์ก่อนพี่เมฆจะก้าวตามมาพร้อมยื่นผ้าเช็ดมือให้

          ภายนอกพี่เมฆอาจเป็นคนแข็งกระด้างแต่ภายในจิตใจอ่อนโยนยิ่งกว่าธารน้ำไหล เขาเอาใจใส่ทุกสิ่งรอบกายไม่เว้นแม้แต่แมลงหรือตั๊กแตนตัวเล็กที่หลงมาบนทางเท้า พี่เขาไม่ใจร้ายปล่อยให้ใครเดินเหยียบย่ำ เลือกที่จะตะครุบจับแล้วปล่อยมันกลับสู่กิ่งไม้ใหญ่ กับผมเองยังได้รับความปรารถนาดีอยู่บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่พี่เขาไม่พูดถึงน้องนิษฐาอีกและไม่คิดจะปากสว่างเปิดเผยความลับกับใครอื่น เพียงเท่านี้ผมก็ขอบคุณมากแล้ว
 
          เรย์กับนอฟขอตัวไปทำการบ้านปิดเทอมที่บ้านต้นไม้หลังเลิกงาน คนเรียนเก่งดูตั้งอกตั้งใจผิดกับทหารม้าที่ตั้งท่าจะหลับลูกเดียว ผมลอบมองครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเพื่อส่งเสบียง ส่วนมื้อเย็นของผมได้พี่เมฆจัดสำรับไว้ให้ก่อนพาคุณยายขวัญเรือนกลับบ้าน

          ด้วยเห็นว่ายังไม่ค่ำเท่าไหร่ผมจึงหมายมั่นจะหยิบหนังสือปกสวยที่ชื่อปกรณัมปรัมปราจากตู้ไม้เก่ามาอ่านฆ่าเวลาที่โซฟา เล่มหนากำลังเหมาะอีกทั้งยังทำให้นึกถึงเพื่อนรักที่มักโดนเท็ดดี้แบร์แขวะเอาบ่อย ๆ เกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่เหมือนหลุดมาจากพิพิธภัณฑ์โรมัน แต่เจ้านอฟที่นอนเอกเขนกกลับลุกพรวดขึ้นมาฉกฉวยไปจากมือ

          “เล่มนี้ไม่ได้ครับ พี่ซันอ่านเล่มนี้ดีกว่า เนื้อหาคล้ายกัน ภาพก็สวยเหมือนกัน” หนังสือชื่อเทวดาฝรั่งกรีกโรมันถูกยัดใส่มือแทนเล่มเก่า นึกสงสัยแต่ในเมื่อเจ้าของเขาหวงก็ไม่รู้จะยื้อยุดกันไปทำไม เพราะอย่างไรก็ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านจนจบเล่มอยู่แล้ว เอาไว้วันหลังค่อยมาไขปริศนาว่าในหนังสือเล่มนั้นมีอะไรแอบซ่อน

          “ผมถามจริง ๆ ว่าพี่ซันไม่เหงาบ้างหรือ หลังจากพวกเรากลับกันหมดก็มีแต่พี่ยามหน้ารั้วกับสิงสาราสัตว์” มองหางตาเมื่อได้รับคำถามแก่แดดจากคนที่ทิ้งตัวนอนคว่ำลงกับพื้น เรย์ดูจะไม่ใส่ใจกับตัวทำลายสมาธิสักเท่าไหร่ เพ่งความคิดกับวิชาลำดับและอนุกรมอนันต์ “ว่าแต่พี่ผู้หญิงน่ารัก ๆ ที่มาหาเมื่อหลายวันก่อนนี้ใครหรือครับ แฟนใหม่พี่ซันใช่ไหม”

          “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

          “ก็เพราะว่าเป็นคนละคนกับในโทรศัพท์ ผมเลยเดาเอาเองว่าคนที่พี่ซันทำได้แค่มองภาพคือแฟนเก่า”

          “นายนี่มันสู่รู้ไม่เข้าเรื่อง การบ้านน่ะเสร็จหรือยัง เอาตัวเองให้รอดก่อนไหม”

          “ยังมีเวลาอีกตั้งหลายอาทิตย์ แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเปิดเทอมผมก็ยังมีเรย์อยู่ทั้งคน เนอะ” คนขยันไม่เห็นพ้องแต่คว้าเอาขนมตาลมายัดใส่ปากคนสันหลังยาวทั้งชิ้น พูดไม่เป็นคำไปอีกพักใหญ่เพราะคล้ายว่าแป้งจะติดคอ

          “แต่พี่คนนั้นน่ารักจริง ๆ นั่นแหละครับ ลูกค้ามองกันใหญ่ ผมกับไอ้นอฟเลยลงความเห็นว่าน่าจะเป็นแฟนพี่ซัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามมาถึงต่างจังหวัด” เรย์ปิดปลอกปากกาแล้วเริ่มทะยอยหยิบหนังสือเข้าถุงกระดาษที่เตรียมมา แม้อยากตอบให้ตายผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรไม่ให้ผู้หญิงเขาเสียหาย ใช้คำว่าคนรักชื่อก็บัญญัติชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องรัก จะตอบว่าเพื่อนก็คงไม่มีมิตรที่ไหนเขาจูบกันเพียงเพราะความจำเป็น

          “กำลังดู ๆ กันอยู่” สุดท้ายแล้วคำจำกัดความของผมกับน้องฐาก็มีค่าแค่นั้น เดินเลี่ยงไปเก็บหนังสือเข้าตู้แล้วยืนดูเล่มอื่นทั้งที่ไม่มีแก่ใจ ได้ยินนอฟกระแอมไออีกไม่กี่ครั้งก่อนการบ้านจะถูกจัดเก็บเรียบร้อย

          “ผมขอฝากไว้ที่นี่นะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้มาทำต่อ”

          “เอาสิ เรียงไว้ดี ๆ แล้วกันระวังลมพัด”

          “ครับ พวกเรากลับก่อนนะครับพี่ซัน ดึกกว่านี้กลัวยายเป็นห่วง พี่ซันอย่านอนดึกนะครับ” ผมยิ้มตอบน้ำเสียงน่าฟังก่อนจะเดินไปส่งที่หัวบันได

          “ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกเหมือนเดิมนะ”

          “ได้ครับ พรุ่งนี้เจอกัน สวัสดีครับ” ไหว้ปลกกันคนละทีสองทีก่อนจะปั่นจักรยานคู่ใจลับสายตาไป

          ปกติแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องของเปมทัตผมจะไม่เก็บเอามาใส่ใจหรือคิดกังวล แต่หลายวันมานี้ผมพูดได้เต็มปากว่านอนไม่หลับ คล้ายจะพะว้าพะวังถึงการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น ตามพฤตินัยจูบแรกของผมคือแม่ แต่นิตินัยและหลักศาสนาทำให้ไม่อาจบอกใครต่อใครได้ว่าเป็นท่าน ดังนั้นเมื่อคัดกรองคุณโฉมฉายออกจากสารบบ นิษฐาก็จะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งทันที

          ผมทำอะไรลงไป...

          (( ว่าไงไอ้พี่ชาย )) แซนรับโทรศัพท์ผมโดยมีเสียงคลื่นซัดหาดทรายดังอยู่เบื้องหลัง

          “กูมีเรื่องจะปรึกษา ขอถามหน่อยว่าถ้ามึงเผลอไปจูบกับคนที่ไม่ได้รักแล้วรู้สึกทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ มึงจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงทั้งที่อีกฝ่ายก็ดีแสนดี”

          (( มึงจูบกับใครซัน อย่าบอกว่าน้องฐา ))

          “น้องมาเที่ยวกับเพื่อนก็เลยถือโอกาสแวะมาหา กูผิดมากไหมวะ”

          (( น้องไปหามึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ))

          “สัปดาห์ที่แล้ว”

          (( มึงบุ่มบ่ามจูบเขาหรือสถานการณ์พาไป น้องมีท่าทีโกรธเคืองหรือเปล่า ถ้าเขาไปแจ้งความว่ามึงพรากผู้เยาว์กูไม่เกี่ยวนะครับ )) ผมรู้ว่าแซนพยายามปลอบโยนด้วยวิธีของมัน น้ำเสียงขุ่นมัวของผมบ่งบอกชัดเจนที่สุดว่าเครียดจนหัวแทบระเบิด ผมไม่เคยปฏิเสธใครเพราะไม่เคยเอาใจไปวางไว้ที่คนอื่นนอกจากเปมทัต อีกทั้งยังรู้ซึ้งถึงการผิดหวังจากความรักว่ามันทรมานเจียนบ้า ผมไม่อยากให้ใครต้องเผชิญหน้ากับประสบการณ์เลวร้าย

          ตรึกตรองบทสนทนาที่พี่เมฆฝากไว้ให้คิด ตัดให้ขาดเสียตอนนี้ยังดีกว่ายืดเยื้อ แต่การที่น้องไม่โทรมาเลยตั้งแต่กลับไปมันทำให้ผมไม่แน่ใจ น้องอาจรอให้ผมทำทุกอย่างให้กระจ่างชัดยกตัวอย่างเช่นการพาไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นการบอกลา ซึ่งถ้าผมพูดไปอย่างที่ใจคิดโดยไม่ใกล้เคียงความคาดหวังที่น้องตั้งขึ้นมา น้องจะเป็นอย่างไร

          “กู...แค่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความสัมพันธ์ยังคลุมเครือแต่น้องก็ยินดีที่คบกันทั้งแบบนี้ กูสงสารน้อง มึงช่วยกูคิดหน่อยได้ไหมว่าบอกเลิกยังไงให้เจ็บน้อยที่สุด”

          (( ขอเลิกปุบปับทั้งที่เพิ่งจูบกันยังไงก็เจ็บ กูแนะนำได้แค่ให้มึงรักษาระยะห่างไว้ เคยคุยมากแค่ไหน สองสามวันครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งก็ทำแค่นั้น อย่าให้ความหวังมากไปกว่านี้ และถ้าไม่จำเป็นอย่าเจอกันอีก ))

          “กูจะพยายาม”

          (( เออซัน มึงรู้หรือเปล่าว่าอ้นลาออกจากสถานทูต ตอนนี้กลับมาอยู่ไทยแล้ว ))

▩▩▩

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ความวัวไม่ทันหาย. ความควายเข้ามาแทรก เป็นคำสุภาษิตที่เหมาะกับซันในตอนนี้จริงๆเลย ....
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 9

          คำพูดของแซนรบกวนจิตใจของผมตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้แต่อาหารเลิศรสฝีมือคุณยายขวัญเรือนและขนมหวานของหลานรักก็ไม่อาจฉุดรั้งความรู้สึกไว้ ผมชิมรสบัวลอยดอกอัญชันไปได้ไม่กี่คำก็ต้องยอมแพ้กับความเบื่ออาหาร ตัวผมยังนั่งอยู่หน้าคอกม้าแต่ใจก้าวขึ้นบันไดบ้านพิรัตน์ไพศาลเรียบร้อยแล้ว

          “ช่วงนี้เป็นอะไรทำไมไม่ค่อยพูดค่อยจาเลยครับ” พี่ยักษ์อุ้มยี่หวาที่หายป่วยแล้วมานั่งข้างผม คงเพราะวันนี้อากาศดีไม่มีแดดกวนใจพี่เขาจึงยอมพาตัวเล็กออกจากบ้าน เด็กตาหวานยิ้มให้ด้วยความไม่ประสาผมจึงยิ้มตอบก่อนจะได้รับดอกหญ้าที่น้องถือเล่นติดมือมา

          “ซันซันยิ้มแล้ว”

          “นี่เป็นแผนของพี่ยักษ์หรือเปล่าครับ”

          “ไม่ใช่หรอก หวาบอกว่าวันนี้พี่ซันทำหน้าตาน่ากลัว แกคงดีใจที่ทำให้ซันซันของแกกลับมายิ้มแย้มได้”

          ผมอุ้มน้องแนบอกก่อนเดินไปสั่งให้ณิชาทำโกโก้เย็นเพื่อเป็นของสมนาคุณให้กับเด็กที่เรียกรอยยิ้มแรกของวันได้เป็นผลสำเร็จ วันนี้ผู้คนขวักไขว่คงเพราะสภาพอากาศเป็นใจก็เลยไม่ได้เห็นเรย์นำการบ้านปิดเทอมมายืนทำที่เคาน์เตอร์เหมือนอย่างเคย สองมือเป็นระวิงกับการหยิบจับสินค้าใส่ถุง ผมที่ทานข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้วจึงเสนอตัวทำหน้าที่แทนคนขยัน

          ส่วนเจ้านอฟหลังจากการซักซ้อมช่วงเช้าก็หลบเข้าซุ้มถั่วฝักยาวไปเป็นลูกมือพี่เมฆ การสวมวิญญาณนักขายช่วยให้ผมเลิกคิดฟุ้งซ่านได้เพียงชั่วครู่ก่อนสายตาเจ้ากรรมจะสบเข้ากับพี่เมฆโดยตรง คนสวมเสื้อผ้าฝ้ายลายตารางพยักพเยิดให้ลูกน้องเดินหยีตาเข้ามาหาอย่างสอดรู้

          “พี่เมฆให้ผมมาแทนครับ พี่ซันเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้าแปลก ๆ มาหลายวันแล้ว”

          “ไม่มีอะไรหรอกแค่รู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ตอนนี้ได้ยาดีจากยี่หวามาแล้ว ใช่ไหมคะ” คนตัวเล็กนั่งเล่นป๋องแป๋งอยู่บนเก้าอี้บาร์พร้อมพัดลมประจำตัวที่จ่อใบพัดเข้าหา คนช่างซักเดินมายืนข้างกันก่อนจะมองหายาที่ผมอ้าง

          “ไหนล่ะครับยา” ผมชี้ไปยังต้นหญ้าดอกขาวและหญ้าขจรจบที่ยี่หวาเด็ดมาให้ปลอบใจ ซึ่งตอนนี้ถูกนำมาจัดใส่แจกันอย่างสวยงามข้างเครื่องบันทึกเงินสด

          “โธ่พี่ซัน ผมก็นึกว่าพี่ป่วยจริง ๆ”

          “ก็ป่วย แต่ป่วยใจไม่ใช่กาย” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วอุ้มยี่หวาเดินหนีมาก่อนที่จะได้รับคำถามจากเจ้าหนูจำไมต่อไปไม่หยุด เห็นพี่เมฆยังมองมาอย่างกับมีเรื่องอยากพูดคุยผมจึงเดินไปแทนที่เจ้านอฟแล้วหยิบยื่นถั่วให้ยี่หวานำไปป้อนสัตว์เลี้ยงบริเวณนั้น

          “เรย์ไปไหนเสียล่ะ”

          “ทานข้าวครับ เรย์ยังไม่ได้พักทานข้าวเที่ยงเลย”

          “อีกไม่กี่อาทิตย์เรย์กับนอฟก็จะเปิดเทอมกันแล้ว คุณซันจะทำยังไงต่อไป จ้างคนเพิ่มไหมเพราะแค่พวกผมไม่น่าจะไหว ไหนจะเลี้ยงสัตว์ ไหนจะเฝ้าซุ้ม อีกทั้งยังต้องดูแลร้านของฝากอีก”

          “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมลงประกาศรับพนักงานผ่านเว็บไซต์ของฟาร์มมาได้สักพักแล้ว มีคนสนใจทยอยส่งใบสมัครมาเยอะเหมือนกันแต่ผมยังไม่มีเวลาพิจารณา พี่ไม่ต้องกังวลผมไม่ทำอะไรเกินตัวแน่นอน” เหม่อมองเด็กชุดขาวพร้อมโบว์สีชมพูผูกเอวที่ยังสนุกกับการให้อาหารแพะก่อนพี่เมฆจะยิงคำถามโดยที่ผมไม่ทันได้เตรียมใจ

          “ช่วงนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเพราะเครียดเรื่องผู้หญิงของคุณหรือเปล่า”

          “เรื่องนั้น...ผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับน้องเขาอีกเลยครับ สองสามวันมานี้ผมคงตื่นเต้นเรื่องงานแข่งม้าของเจ้านอฟมากไปหน่อย มะรืนนี้ก็จะถึงวันแข่งแล้ว” ผมเฉไฉแต่ก็มีมูลความจริง ผมไม่ต้องการให้พี่เขารับรู้หรอกว่าผมคบผู้หญิงเพื่อหักห้ามใจจากใครอีกคน เพราะเพียงเท่านี้ผมก็ดูเลวทรามมากเกินพอ

          ผมปิดป้ายบอกลูกค้าที่หน้าประตูใหญ่หลายวันแล้วว่าจะปิดทำการในวันที่มีการแข่งขันขี่ม้า คนในพื้นที่เองก็ตื่นตัวไม่น้อยเพราะเป็นงานเทศกาลที่ใคร ๆ ก็พูดถึงและต้องการมีส่วนร่วม คุณยายขวัญเรือนเชิญชวนแกมบังคับให้เพื่อนสนิทของหลานรักไปทำบุญในวันรุ่งขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคลและสร้างขวัญกำลังใจ ตัวผมเองที่ไม่ได้เข้าวัดสวดมนต์มานานจวนจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านับถือศาสนาพุทธ จึงถือโอกาสนี้อาสาเป็นคนขับรถพาทุกคนไปศาสนสถานใกล้ ๆ ที่คุณยายคุ้นเคยเป็นอย่างดี

          หลังจากนำดอกไม้ธูปเทียนถวายพระ กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลและแผ่เมตตา พวกเราก็ยกถ้วยรองน้ำมารดลงใต้ต้นหูกวางก่อนนอฟจะรวบรวมเครื่องทองเหลืองไปเก็บไว้ที่เดิม สีหน้าอิ่มเอมของผู้ลงแข่งขันตอนที่หลวงพ่อพร่างพรมน้ำมนต์บอกกับผมว่าคุณยายขวัญเรือนคิดไม่ผิดที่บังคับเด็กวัยห่ามมารับศีลรับพร

          “เป็นไง สบายใจขึ้นไหม”

          “มากเลยครับพี่ ก่อนหน้านี้ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่พรุ่งนี้ผมจะทำเต็มที่เชื่อมือได้เลย พี่ซันกับทุกคนในฟาร์มไม่ผิดหวังแน่นอน”

          “เรื่องเรียนก็ให้มันเต็มที่เหมือนทำกิจกรรมด้วยแล้วกัน เดี๋ยวเรย์ออฟซันไชน์ของนายจบมหา’ลัยโดยที่ตัวนายยังย่ำอยู่กับที่ ระวังเด็กเรียนเขาจะไม่รัก” ประโยคหลังผมกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน เจ้านอฟหน้าแดงเถือกก่อนจะหันมองคนที่ถูกกล่าวถึงเหมือนกลัวว่าจะถูกแอบฟัง แต่เรย์กำลังพูดคุยกับคุณยายโดยไม่สนใจผู้คนรอบตัว

          “คุณยายจะกลับบ้านเลยหรือให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ” ผมถามเมื่อพยุงท่านขึ้นนั่งบนเบาะนุ่ม

          “เดี๋ยวยายต้องไปเตรียมเครื่องปรุงสำหรับอาหารกลางวันที่โรงครัว คนอื่นยังไม่ค่อยชำนาญเรื่องเครื่องแกงโบราณ พ่อซันคงไม่อยากกินกับข้าวรสชาติพิลึกพิลั่นหรอกใช่ไหมจ๊ะ”

          “ไม่ครับ ไม่อยากครับ” ผมหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเรากลับฟาร์มด้วยกันเลยนะครับ”

          แม่ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่อท่านเดินเข้ามากอดตอนที่ผมกำลังยืนมองรถขนส่งเจ้าอาเกตไปยังสนามแข่ง ท่านทราบทางโทรศัพท์ว่าผมจะส่งลูกสมุนมือดีไปคว้าถ้วยรางวัลเพื่อโปรโมทกิจการ

          “แม่มาได้ยังไงครับ”

          “พ่อเราเขาไม่ว่าง กลับขึ้นไปดูแลไร่องุ่นได้สามสี่วันแล้ว แม่ก็เลยวานคนขับรถมาส่ง นี่ถึงกับปิดฟาร์มไปเชียร์กันหมดเลยหรือ” แม่คงเห็นจากป้ายด้านหน้า ผมอธิบายให้ท่านฟังว่านอฟเป็นเจ้าถิ่นก็เลยสนิทสนมกับทุกคนที่นี่เป็นอย่างดี มีงานใหญ่ทั้งทีจึงไม่มีใครอยากพลาดโอกาสเป็นแรงใจ

          “แล้วน้องนอฟที่ลูกพูดถึงอยู่ไหนเสียล่ะ”

          “ป่านนี้น่าจะอยู่ที่สนามแข่งแล้วครับ แม่สบายดีนะครับ ทำไมดูผอมลง ทานข้าวตรงเวลาบ้างหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วงระหว่างโอบท่านมาขึ้นรถของฟาร์มที่กำลังจะออกเดินทางไปยังงานประจำปี คุณยายและสองคู่หูไปพร้อมกับพี่เสือพี่เมฆ ตอนนี้ที่ฟาร์มจึงเหลือเพียงผม คุณแม่ พี่ยักษ์ แม่ครัวบางคนและยามหน้าประตู

          “ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงแม่เลย ดูสารรูปตัวเองเถอะ ผิวไหม้จนจะเกรียมอยู่แล้ว ให้แม่เครียดเรื่องเจ้าแซนตัวดีคนเดียวก็พอ อย่าให้แม่ต้องมาเป็นห่วงเราอีกคนเลย ดูแลตัวเองบ้างนะ ครีมกันแดดน่ะทาเสียบ้าง”

          “ผมทาทุกวันครับ แต่ก็อย่างที่แม่เห็น งานของผมไม่เอื้ออำนวยให้อยู่แต่ในร่มเสียด้วย” ผมกระโดดขึ้นนั่งคู่กับแม่โดยมีพี่ยักษ์เป็นสารถี ท่านรู้จักสามทหารเสือตั้งแต่การมาเยี่ยมเยียนครั้งก่อน เมื่อพบกันอีกหนพี่ยักษ์จึงทักทายและถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท

          “เมื่อกี้แม่พูดถึงแซน ไอ้แซนทำไมหรือครับ”

          “แม่ก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัดหรอกนะ แต่ไหน ๆ ก็เรียนจบมาสักพักแล้ว น้องพิชญ์เองอีกไม่กี่เดือนก็จะรับปริญญา แม่อยากให้จัดงานหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการไว้ก่อน ไม่ใช่หมั้นด้วยลมปากลอย ๆ ผู้หญิงเขาจะเสียหาย แต่ไม่รู้ยังไงน้องชายของเราถึงอ้างว่างานยุ่งทั้งปี ซักเอากับคุณพีระมิดก็เห็นพ้องกันว่ายังเร็วเกินไป เป็นน้องสาวของเขาแท้ ๆ แต่กลับเพิกเฉยอย่างกับไม่อยากได้ลูกชายของแม่ไปเป็นน้องเขยเสียอย่างนั้น ซันช่วยเกลี้ยกล่อมแซนให้แม่หน่อยได้ไหม”

          “ผมจะพูดอะไรได้ครับ แม่ก็รู้ว่านิสัยของไอ้แซนเป็นยังไง ดีแค่ไหนที่มันไม่หัวรั้นแล้วยอมตกลงตั้งแต่ต้น แม่ให้เวลามันหน่อยนะครับ ถ้ารักชอบกันจริงสักวันก็คงได้แต่ง”

          “กว่าจะถึงวันนั้นแซนไม่ไปคว้าผู้หญิงที่ไหนมาให้แม่ปวดใจหรอกหรือ แล้วนี่ยิ่งอยู่ไกลหูไกลตา ว่าแต่เราก็เหมือนกัน น้องนิษฐาที่เล่าให้แม่ฟังบ่อย ๆ ทำไมไม่พามาให้เจอสักที หรือว่าเลิกรากันไปแล้ว” ผมเหลือบมองพี่ยักษ์ที่ดูท่าจะไม่ใส่ใจในบทสนทนา เอาแต่จ้องมองถนนเบื้องหน้า ผมจึงเบาใจที่จะเล่าความ

          “ยังครับ น้องเพิ่งมาหาผมเมื่ออาทิตย์ก่อน”

          “เป็นผู้หญิงแต่เป็นฝ่ายมาหาผู้ชายนี่นะ”

          “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ น้องเขามาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนแถวนี้พอดีก็เลยถือโอกาสแวะมาหา เราเจอกันแค่ไม่นานก่อนน้องจะขอตัวไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ตามประสาเด็กปิดเทอม แม่อย่าคิดมากถึงขั้นนั้นเลยครับ”

          “เรายังไม่ได้รังแกน้องเขาแน่นะ”

          “ผมเป็นสุภาพบุรุษพอครับแม่” สุภาพบุรุษที่สภาพจิตใจย่ำแย่เต็มทน เพราะการจูบที่ไร้เหตุผลและเห็นแก่ตัว

          การแข่งขันขี่ม้าภายในงานแบ่งออกเป็นสามประเภทคือขี่ม้าโปโล ขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และศิลปะการบังคับม้า เจ้านอฟสมัครลงชิงถ้วยรางวัลในประเภทสุดท้าย การฝึกซ้อมอย่างหนักคือหนทางแห่งชัยชนะที่ทุกคนเอาใจช่วย ผมเลือกที่นั่งในร่มให้กับแม่และคุณยายขวัญเรือนพร้อมน้ำดื่มแก้กระหายเพราะวันนี้อากาศเป็นใจไม่มีเค้าลางของเมฆฝน

          เรย์กำลังยืนส่งยิ้มสวยให้กับจ๊อกกี้นอฟที่ใส่ชุดเต็มยศพร้อมหมวกและรองเท้าบูท ผมไม่ได้ยินว่าเขานัดแนะอะไรกันแต่แววตาของทหารม้าประหนึ่งว่ามีทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ปรากฎกลางสนาม ส่วนอีกสามคนกำลังคุยกันอย่างออกรส พี่ยักษ์บอกว่าวันนี้ยี่หวาต้องไปซื้อของใช้จำเป็นกับคุณแม่เพื่อเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลที่กำลังจะเปิดเทอมจึงไม่ได้มาเชียร์พี่นอฟสุดหล่อของแก แต่ก็ไม่ลืมฝากมาบอกว่าสู้ ๆ

          แม้ป้ายโฆษณารอบเมืองจะระบุว่าเป็นการแข่งขันระดับจังหวัด แต่ดูอย่างไรก็ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเพราะผู้เข้าแข่งขันมาจากทั่วทุกภูมิภาคตั้งแต่เหนือจรดใต้ ชื่อเสียงเรียงนามและภูมิลำเนาของจ๊อกกี้ที่ประกาศก่อนลงสนามบอกอย่างชัดเจนว่าต่อให้มาจากถิ่นแคว้นแดนไกลทุกคนก็มีความตั้งใจจริง นอฟกำลังเตรียมตัวอยู่ในเต็นท์รวมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ตอนที่มองตรงมาทางผม ยกนิ้วโป้งให้เป็นกำลังใจก่อนเด็กชายขายาวจะยกตอบพร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันซี่สวย

          เสียงเชียร์ดังขึ้นเป็นระยะเมื่อนอฟพาอาเกตลงสนามแข่ง ผมเพิ่งสังเกตเห็นกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียนชายล้วนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังเด็กผมจุกที่วันนี้ใส่เสื้อสีสันสดใสเป็นพิเศษ ฝูงชนวัยทะโมนร้องลั่นและผิวปากอย่างคึกคะนองเมื่อนอฟแสดงทักษะที่พยายามอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อท่าบังคับทั้งหมดได้แสดงแก่สายตากรรมการนอฟจึงควบคุมอาเกตทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากสนามอย่างสง่างาม

          “เป็นไง ตื่นเต้นไหม” ผมถามลูกสมุนที่วันนี้ดูเท่เป็นพิเศษหลังจากสามทหารพาอาเกตไปล่ามไว้ข้างรถบรรทุกพร้อมถาดอาหารและอ่างน้ำดื่ม เสียงเอ็ดตะโรจากกลุ่มเพื่อนเมื่อครู่เริ่มหรี่ลงเมื่อผู้เข้าแข่งขันคนถัดมาเดินลงสนาม

          “นิดหน่อยครับ ถึงบางท่าจะไม่ค่อยสมบูรณ์แต่ผมก็มั่นใจว่าต้องได้ถ้วยมาให้พี่ซันแน่นอน” ตบบ่าคนพูดห้าวหาญก่อนรับไหว้พอเป็นพิธีเมื่อนอฟแนะนำผมที่เป็นเจ้าของม้าคนปัจจุบันให้เพื่อน ๆ รู้จัก ไม่รู้ว่าเพราะแดดแรงจัดหรือรัศมีความหล่อของคนบังคับม้าที่ทำให้ใบหน้าของเรย์แดงระเรื่อ ผมไม่อยากกระเซ้าจึงเดินเลี่ยงมานั่งกับแม่และคุณยายขวัญเรือนที่ตอนนี้ท่านทั้งสองน่าจะกลายเป็นเพื่อนซี้ต่างวัย ฟังจากบทสนทนาพวกท่านกำลังคุยเรื่องฟาร์มและข่าวสารบ้านเมือง

          หลังจากนั่งชมความสามารถของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ได้ครู่หนึ่งผมจึงขอตัวเดินไปซื้อน้ำเย็นดับกระหาย แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมเดินอ้อมอัฒจันทร์ไปยังรถบรรทุกที่ตอนนี้มีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามารุมถ่ายรูปอาเกตและขอสัมภาษณ์สามทหาร แต่บุคคลนอกเหนือจากนั้นต่างหากที่สะดุดตา แว่นกันแดดบนใบหน้าไม่ช่วยบดบังความคุ้นเคย แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวฉับเข้าตรอกแคบข้างอัฒจันทร์อีกฝั่งหนึ่ง

          ตาฝาดแน่ ๆ เปมทัตจะมาทำอะไรที่นี่

          “คุณซันมาพอดีเลย” ผมเร่งฝีเท้าจะก้าวตามไปแต่ถูกขัดขาด้วยเสียงเรียกขานจากพี่เสือ “คุณซันเจ้าของอาเกตครับ” เขาแนะนำเพียงเท่านั้นก่อนนักข่าวภาคสนามจะกรูเข้ามาซักถามข้อมูลเกี่ยวกับนอฟและม้าคู่ใจ

          เจ้าเด็กฤดูหนาวเองก็ไม่รอดพ้นการรุมเค้นประวัติส่วนตัว ผมเห็นว่าเป็นผลดีกับธุรกิจจึงยินยอมเปิดปากโดยไม่อ้อมค้อม แต่ชื่อฟาร์มอย่างเป็นทางการที่ถูกย้ำถามเริ่มเป็นปัญหาหนักอก ในเอกสารราชการยังใช้ชื่อจริงของผมอยู่จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่งตั้ง แม้ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ผมจะบอกพ่อกับแม่เป็นคนแรก

          ผมถอดใจที่จะเดินตามหาคนหน้าเหมือนเปมทัตที่ไม่รู้ตอนนี้เขาเดินไปถึงไหนต่อไหน อยากเผชิญหน้าเพื่อความแน่ใจแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะภายในงานมีผู้คนพลุกพล่าน จนกระทั่งถึงเวลาประกาศผลการแข่งขันความตื่นเต้นทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

          เจ้านอฟถือถ้วยรางวัลและคล้องเหรียญเงินเดินตรงมาหาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

          “ยินดีด้วยนะนอฟ นายทำดีที่สุดแล้ว พี่ภูมิใจในตัวนาย”

          “ขอบคุณครับ ผมคงคาดหวังกับเหรียญทองมากเกินไป ที่สำคัญถ้าผมได้รางวัลชนะเลิศมันอาจจะทำให้ผมมีความมั่นใจไปขอความรักจากเรย์” นอฟกระซิบก่อนที่เพื่อนฝูงจะเดินเข้ามาตบบ่าตบไหล่ ทั้งชื่นชมและหยิบยื่นกำลังใจ แม้แต่เรย์เองยังยิ้มให้อย่างปลอบประโลม

          “มึงโคตรเท่เลยนะ ได้เหรียญเงินก็โคตรน่าปลื้มใจเลย ไม่ต้องถึงกับได้เหรียญทองหรอก แค่นี้ลุงรองก็คงยิ้มไม่หุบแล้ว” วันนี้คุณพ่อของนอฟต้องทำงานจึงไม่ได้มาเชียร์ลูกชายติดขอบสนาม แต่ทราบจากเรย์ว่าพ่อลูกเขาอวยพรอวยชัยให้กันตั้งแต่ที่บ้านแล้ว

          “กูขอบใจพวกมึงนะเว้ยที่อุตส่าห์มา”

          “แหม เพื่อนกูขี่ม้าให้ดูเป็นขวัญตาทั้งทีจะไม่มาได้ยังไงวะ แล้วยังได้ถ้วยรางวัลมาอวดอีก ปะ ไปฉลองกัน ร้านเหล้าปั่นแถวบ้านมึงดีมะ” เด็กผมหยิกคนหนึ่งจากกลุ่มเพื่อนออกความเห็น แต่ก่อนที่ทุกคนจะยินดียินร้ายนอฟยักคิ้วให้ทุกคนหันมามองหน้าผมก่อนจะร้องอุ้ย คำนวณอย่างไรเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายอายุน่าจะยังไม่ถึงสิบแปดแล้วจะยกโขยงพากันเข้าร้านเหล้าได้อย่างไร แม้จะเป็นเครื่องดื่มผสมวอดก้าปริมาณน้อยแต่แอลกอฮอล์ก็คือของต้องห้ามอยู่ดี

          “คาเฟ่ที่ฟาร์มแล้วกัน พี่เลี้ยงเอง”

          ผมขับรถจี๊ปไปส่งสามทหารที่บ้านคุณยายขวัญเรือนหลังจากพาอาเกตเข้าคอกเรียบร้อยแล้ว โดยท่านอนุญาตให้เรย์ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ที่ฟาร์มได้เพราะมีพี่เมฆและพี่เสือคอยดูแล เรย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกคุณยายเสียงอ่อนว่าจะรีบกลับและรับปากว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเครื่องมึนเมา

          วันนี้ณิชาหยุดงานจึงเป็นหน้าที่ของสองซี้ต้องชงเครื่องดื่มทานกันเอง อยากได้โกโก้ขมแค่ไหนหรือชาเขียวหอมหวานเท่าใดก็ตามแต่ใจคนชง ส่วนผมหยิบน้ำองุ่นมายืนจิบเงียบ ๆ คนเดียวใกล้กรงกระต่าย ถึงจะเป็นวันหยุดแต่ทุกคนก็ทำหน้าที่จนเสร็จสมบูรณ์แบบ ไม่มีสัตว์ชนิดใดอดอยากหรือแม้แต่ไม้ดอกไม้ประดับก็ได้รับน้ำปุ๋ยอย่างพอเหมาะ

          เสียงโหวกเหวกแต่ฟังรื่นหูเพราะเจือปนไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ผมมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เกือบลืมเรื่องที่อัฒจันทร์ไปแล้วถ้าไม่หยิบโทรศัพท์มาโทรหาแม่เพื่อถามไถ่ว่าท่านเดินทางกลับถึงไหนแล้ว ภาพหน้าจอยิ่งย้ำชัดว่าเขาคนนั้นเหมือนเปมทัตมากจริง ๆ

          เรื่องการลาออกจากสถานทูตและเดินทางกลับไทยโดยไม่มีวี่แววนั้นยิ่งสำทับความสับสน เปมทัตอาจจะโดนนายธาวินทำร้ายจิตใจอีกหนด้วยการนอกใจหรือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ชอบใช้อย่างเข้ากันไม่ได้ แม้จะปรับตัวอย่างมากทั้งที่เลิกรากันไปแล้วหนหนึ่งก็ยังไม่เป็นผล ผมขอเรียบเรียงเรื่องราวเอาเองเพื่อความสบายใจว่าเปมไม่ได้ถูกส่งตัวกลับเพราะเรื่องแดงถึงหูคุณปราโมทย์ว่าแท้จริงแล้วสองคนนั้นไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทสนมกัน

          “ไม่ไปนั่งด้วยกันหรือครับ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เรย์เดินมาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง มองกลับไปเห็นกลางโต๊ะกลมมีถ้วยรางวัลแต่เหรียญห้อยคอเจ้านอฟหายไป และเมื่อสังเกตดี ๆ เหรียญเงินวาววับเส้นนั้นย้ายมาดูที่คอคนข้างตัว

          “ไม่มีอะไร แค่อากาศดีพี่เลยมายืนรับลมตรงนี้” ผมชี้ไปที่คอ “เจ้านอฟให้มาหรือ”

          “ครับ อยู่ดี ๆ มันก็เอามาสวมให้ พอจะถอดออกมันก็ตั้งท่าจะโกรธ สงสัยโมโหหิว พี่ซันเอาอะไรเพิ่มไหมเดี๋ยวผมไปหยิบให้”

          “ไม่เป็นไร ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ อยากดื่มอยากทานอะไรก็หยิบได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”

          “อย่าไปพูดแบบนี้ให้ไอ้พวกนั้นได้ยินเชียวนะครับ ของหลังร้านไม่เหลือแน่” ผมหัวเราะ ถ้าพูดถึงเรื่องกินดื่มสิ้นเปลืองในโลกนี้คงไม่มีใครเกินไอ้แซน หมาคนข้างบ้านคลอดลูกก็ฉลอง การไฟฟ้ามาซ้อมแซมหลังจากไฟดับไปครึ่งวันก็ฉลอง พ่อแม่หายป่วยจากการเป็นหวัดก็ฉลอง กับท้องแห้ง ๆ ของเด็กไม่กี่คนคงไม่ทำให้ผมล้มละลาย

          “โอกาสพิเศษทั้งทีเต็มที่ไปเลย ส่วนเรื่องเหรียญก็อย่าไปหักหาญน้ำใจคนให้เขาเลยนะ เรย์เก็บเอาไว้เถอะ”

          “ครับ ผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับไอ้นอฟมันสักเท่าไหร่ ถ้วยรางวัลมันก็ให้วางโชว์ไว้ในคาเฟ่ด้วยนะครับ พี่ซันว่าเอาวางไว้ตรงไหนดี หลังเคาน์เตอร์พี่ณิดีไหม”

          “เอาสิ เดี๋ยวพี่อัดรูปที่พี่ยักษ์ถ่ายวันนี้ไปใส่กรอบมาตั้งโชว์ด้วยแล้วกัน” เรย์พยักหน้า

          “พี่ซันจะเหนื่อยมากขึ้นหรือเปล่าครับถ้าพวกเราเปิดเทอม พี่ซันไหวนะ”

          “ไม่ไหวก็ต้องไหว แต่พี่คงต้องรับคนเพิ่ม ถ้าวันไหนไม่มีเรียนหรือหยุดยาวก็แวะมาหากันบ้างนะ”

          “แน่นอนสิครับ บ้านผมอยู่ใกล้แค่นี้เอง ยังไงก็ต้องกลับมาหายายบ่อย ๆ อยู่แล้ว พี่ซันไม่ต้องห่วงเลย จะให้ทิ้งพวกม้ากับสัตว์ทั้งหลายที่เฝ้าประคบประหงมให้ผมสอบตกเสียยังดีกว่า”

          “แช่งตัวเองก็เป็นด้วยหรือคนเรา” ยกมือขึ้นลูบเส้นผมนิ่ม ๆ ของคนที่โตเร็วทันตาเห็น นอฟเองก็สูงชะลูดจนเกือบจะเท่าเทียมกัน ไม่รู้ว่าคุณพ่อเขาเลี้ยงดีหรือผมหมดวัยพัฒนาความสูงแล้วกันแน่

          คนที่ถูกนินทาในใจมองมาอีกครั้ง นอฟคงเป็นเด็กที่มีนิสัยหวงแหนของรักและจำกัดอาณาเขตพื้นที่ส่วนตัวอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ว่าใครต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่อาจลุกล้ำ ผมแกล้งลูบแก้มเนียนเย้ยซ้ำ ๆ เจ้าเพื่อนสนิทอดรนทนไม่ไหวถึงกับยกแก้วใบหนึ่งแล้วเดินตามมา

          “อะ น้ำแข็งละลายหมดแล้ว” มันว่าก่อนจะส่งน้ำขิงมะนาวให้เรย์ ผมยิ้มเยาะตอบคนตาขวางก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่ม้าหินใกล้ ๆ รั้วตัวอ้น เรย์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เจ้านอฟจึงรับแก้วกลับคืนมาแล้วหย่อนตัวลงข้าง ๆ กัน

          “พี่ซันอย่าแกล้งผมสิ”

          “รู้ว่าแกล้งแล้วทำไมต้องโมโหด้วย” คนถูกกระทำเขายังไม่ว่าอะไรเลยสักคำ แต่คนนั่งมองเฉย ๆ กลับลุกพลวดพลาดขึ้นมาอย่างกับจะท้าตี ทั้งที่ผมอายุมากกว่าตั้งห้าหกปี

          “มันควบคุมกันได้ด้วยหรือครับ อารมณ์ชั่ววูบน่ะ”

          “ทำไม ถ้าพี่ทำมากกว่านั้นนายจะต่อยพี่หรือไง”

          “ใครจะกล้าล่ะ มีหวังติดคุกหัวโต ดูคุณหญิงแม่ของพี่สิออร่าเศรษฐีจับอย่างกับตู้เพชรเคลื่อนที่ ผมไม่มีเงินไปประกันตัวเองออกจากคุกหรอก” ผมหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกของวัน มีเสียที่ไหนเครื่องเพชรที่เจ้าเด็กปากจัดกล่าวอ้าง แต่ผมก็ไม่เถียงว่าเครื่องประทินโฉมของคุณแม่มีความสรรพคุณบางอย่างนอกเหนือจากฉลากผลิตภัณฑ์

          “อย่าแสดงออกมากจนเรย์ตั้งตัวไม่ทันแล้วกัน คิดเสียว่าเป็นคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์”

          “แล้วสรุปว่าพี่ผู้หญิงที่มาวันนั้นคือแฟนของพี่ซันจริง ๆ ใช่ไหมครับ”

          “ขึ้นอยู่กับคำว่าแฟนของนายมีความหมายแบบไหน”

          “ในความหมายของผมก็คงเป็นคนที่ใจตรงกันตกลงคบกัน ใช่หรือเปล่า”

          “ถ้าอย่างนั้นพี่กับฐาก็ไม่ใช่แฟนในความเข้าใจของนอฟ”

          “แล้วพี่ฐาเป็นอะไรของพี่ซันหรือครับ” นอฟจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าระหว่างที่ล้วงความลับคนอื่นอยู่นั้นมันแอบดื่มน้ำจากหลอดของเรย์ไปหลายอึก “พี่ผู้ชายในภาพหน้าจอโทรศัพท์ก็ดูจะสำคัญกับพี่ซันมากเหมือนกัน ผมแค่อยากรู้ว่าความรักมันซับซ้อนขนาดไหนทำไมพี่ซันถึงดูไม่มีความสุข ผมขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่รอยยิ้มของพี่มันดูฝืนมากเลย”

          ผมนิ่งงัน ที่ก้มหน้าลงไม่ใช่เพราะคำพูดตรง ๆ จากเด็กอ่อนวัยมันทิ่มแทงจนอยากเสียน้ำตา แต่ว่าผมกำลังนึกคำตอบดี ๆ ที่ไม่ทำให้นอฟรู้สึกว่าความรักมันแย่ อาจมีแค่ผมคนเดียวที่ต้องพบเจอเรื่องราวพรรค์นี้ การที่ได้แบ่งปันความรู้สึกดี ๆ ให้กับเพื่อนสนิทไม่ใช่เรื่องผิดมหันต์อย่างที่บางคนเข้าใจ บางครั้งมันอาจเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไป ไม่จำเป็นต้องบัญญัติขนานนามว่าความสัมพันธ์ที่มีนี้เรียกว่าอะไร ก็แค่ใครสักคนที่พร้อมเดินเคียงข้างกันจนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง

          “พี่ชอบเขามาตั้งแต่มัธยมปลาย เหมือนนอฟกับเรย์ตอนนี้ เขามีคุณพ่อเป็นท่านทูตอยู่เยอรมัน พี่ไม่เคยคาดหวังหรอกว่าเขาจะรับรักและพี่ก็ไม่เคยเปรียบเทียบด้วยว่าสถานะทางบ้านของเราเหมาะสมกันหรือเปล่า แต่บางครั้งเวลาที่มีใครมาพูดสะกิดให้คิดมากพี่ก็เผลอคล้อยตามไปเหมือนกัน” ผมถอนหายใจ “ที่จริงความรักมันไม่ซับซ้อนหรอกนะถ้าเราไม่วางกรอบว่ามันควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ แค่มีมือให้กุม มีหลังให้ซบ มีไหล่ให้กอดก็เพียงพอแล้ว”

          “พี่ซันเคยได้รับมาไหม ไหล่ของเขา”

          “ไม่เคย เขาไม่เคยรู้สึกกับพี่เหมือนอย่างที่พี่รู้สึก และเขาเลือกที่จะกุมมือคนอื่น”

          “อย่างนี้พี่ฐาก็น่าสงสารแย่น่ะสิครับ” นอฟพูดเหมือนพี่เมฆไม่มีผิด

          “เอาเป็นว่าให้ดูพี่เป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาอย่างก็พอ รัก...ในระยะห่างที่ทุกฝ่ายสบายใจ”

          เย็นวันนี้มีเมฆฝนตั้งเค้า เช้าถึงบ่ายผมเรียกสัมภาษณ์คนที่ส่งใบสมัครงานมาทางอีเมล คัดเลือกจากที่อยู่อาศัยว่าใกล้ฟาร์มหรือไม่และความสามารถจากที่ทำงานเดิม แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครเข้าตา คุณยายขวัญเรือนเดินมาหาผมที่คาเฟ่ขณะกำลังดื่มกาแฟแก้วที่สองของวัน

          “เป็นอย่างไรบ้างพ่อ หาคนมาแทนเจ้าเรย์ได้หรือยัง”

          “ยังเลยครับคุณยาย ส่วนใหญ่จะมาจากต่างจังหวัด ที่นี่ไม่มีบ้านพักให้เสียด้วย ผมกลัวว่าเขาจะไม่สะดวก”

          “ค่อย ๆ ดูไปนะพ่อซัน อย่างไรรกคนก็ดีกว่ารกหญ้า ถ้าดูแล้วเขาน่าไว้ใจก็ลองให้ทำงานดูก่อนก็ได้ อาทิตย์หน้าเจ้าลิงสองตัวก็ต้องย้ายกลับเข้าหอกันแล้ว ไม่มีเวลาให้คิดตัดสินใจมากนัก”

          “ครับ ขอบคุณนะครับคุณยาย”

          “หิวหรือยังล่ะ ยายทำแกงรัญจวนที่พ่อซันเคยบ่นว่าอยากทานไว้ด้วย สำรับอยู่ที่หน้าระเบียงเหมือนเดิม” แกงรัญจวนที่เจ้านอฟเคยพูดถึงว่าคุณยายทำอร่อยที่หนึ่งในที่สุดผมก็จะได้ลิ้มรส แต่ยังไม่ทันได้ตอบคุณยายที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน พี่เสือกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพร้อมกับบอกว่า “มีคนมาสมัครงานอีกคนแหนะ”

          จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อวันนี้ผมนัดคนมาสัมภาษณ์แค่เจ็ดคน และเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งหมดตั้งแต่บ่ายสองโมงตรง พี่เสือก็แค่เดินมาบอกแล้วเดินจากไปไม่รอตอบคำถาม น่าจะกำลังเตรียมตัวกลับบ้านเหมือนคนอื่นเพราะเมฆฝนที่ว่าคงจะซัดสาดลงมาในไม่ช้านี้

          ผมเดินย้อนกลับไปโต๊ะยาวหน้าร้านของที่ระลึกเพราะทั้งวันผมใช้ตรงนี้เป็นที่สัมภาษณ์งาน คนสวมหมวกบีนนี่และเสื้อยืดสีขาวยืนหันหลังให้ สารภาพตามตรงว่าใจผมหยุดเต้นตั้งแต่สายลมแรงพัดพากลิ่นโคโลญแสนคุ้นเคยมาปะทะจมูก

          เปมทัต พิรัตน์ไพศาลหันมาอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

▩▩▩

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อุตส่าห์หนีมาพักใจ เขายังตามมาซ้ำแผล (หรือเปล่า)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด