[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[19]
"หนอย ไอ้สารเลวเอ๊ย!!"ร่างสูงใหญ่ของมนุเชษฐ์กระโจนเข้าใส่ร่างหนาพร้อมกับปล่อยหมัดลุ่นๆใส่ใบหน้าคมคายที่สาวๆหลงรักอย่างเต็มแรง เตชินท์พยายามสู้กลับ แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้มึนหนัก ยิ่งเจอหมัดไปสองสามทีก็ยิ่งมึนจนปัดป้องอะไรไม่ได้
ขณะที่อณุภาเดินตามมาอย่างช้าๆโดยไม่ห้ามปราม ส่วนอจลารีบกุลีกุจอเอาผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับวิสกี้ออกจากใบหน้าหวานที่ยังคงเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งประสบมา
อณุภาเอ่ยขึ้นในที่สุด "พอแล้ว... เชษฐ์ อย่าไปยุ่งกับคนอย่างมันเลย"
"แต่... แต่ว่า..."
เด็กหนุ่มหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเห็นสภาพร่างบอบบางแล้ว เขาถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
"ทำไมมึงถึงได้เลวจัญไรขนาดนี้! พี่นทรักมึง มึงไม่รู้รึไง?!"
"เชษฐ์ พอเถอะ"
เสียงหวานเอ่ยดังจากด้านหลัง ใบหน้าสวยนิ่งสนิทราวกับไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นมาก่อน แต่บรรยากาศสดใสเลือนหายไป กลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น อย่างคนที่เจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมา
"... พี่พอแล้วล่ะ"
ประโยคสั้นๆ ที่ทำให้แม้แต่เตชินท์ที่นอนอยู่ที่พื้นเองก็อดใจหายไม่ได้ น้ำเสียงเฉยชาในแบบที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากของนิชา แต่ด้วยความที่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กำลังเข้าควบคุมร่างกายของเขา บวกกับความมึนจากการถูกมนุเชษฐ์ต่อยอย่างหนักเข้าหลายหมัด ชายหนุ่มจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่ใส่ใจ ก่อนที่ดวงตาคมจะปิดลงในที่สุด
ก่อนที่เขาจะสิ้นสตินั้น เขาเหมือนกับได้ยินเสียงแว่วๆของใครบางคน เสียงที่เหมือนจะคุ้นหู แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครที่เดินเข้ามาใกล้
"รู้จักเหรอวะ ไอ้เอก"
"... อืม"
"ใครวะ หน้าตาก็ดี แต่ท่าทางจะสันดานหมาใช่ย่อยถึงได้โดนอัดหนักไม่มีคนช่วยแบบนี้"
"ก็ว่างั้น..."
"แล้วมันเป็นใครวะสรุป?"
"... พี่เขยกูเอง"
มนุเชษฐ์ทอดสายตามองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ บนเบาะหลังใน Accord สีดำสนิทของอณุภา โดยมีอจลานั่งอยู่ด้านหน้าที่มองผ่านกระจกหลังด้วยความเป็นห่วง
--- เจ็บในหัวใจ
ยิ่งได้เห็นแววตาเฉยชาที่ภายในปวดร้าวราวกับหัวใจแหลกสลายของร่างบอบบางที่นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตา ก็ยิ่งรู้สึกอยากคว้าร่างตรงหน้ามากอดเอาไว้แน่นๆ
อยากจะเป็นคนที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนคนนี้
อยากจะเป็นคนเติมเต็มความสุข และสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่เขารัก"... พี่รักเขามากใช่ไหม?"
ถามโดยที่ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ลึกๆเขาก็อดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะตอบปฏิเสธ
นิชามองใบหน้าคมที่สะท้อนผ่านกระจกใสติดฟิล์มมืด โดยไม่หันหน้ามาสบตาตรงๆ ดวงตาเจ็บช้ำหลุบลงเล็กน้อย พลางพยักหน้าอย่างนึกสมเพชตนเอง
ทำไมเขาถึงต้องรักเตชินท์มากขนาดนี้นะ?
ทำไมเขาถึงต้องรักคนที่ไม่รักเขา --- คนที่ไม่เห็นความรักของเขามีค่า
"นท ไม่ให้ฉันค้างเป็นเพื่อนจริงๆเหรอ?"
อจลาเอ่ยอย่างเป็นกังวลเมื่อมาส่งเพื่อนสนิทจนถึงหน้าตึกคอนโด เขารู้ดีว่าปกติแล้วเตชินท์จะกลับดึกมานอนด้วย แต่มั่นใจว่าไม่ใช่คืนนี้อย่างแน่นอน เขาจึงเป็นห่วงที่เพื่อนของเขาต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่หัวใจเจ็บร้าวเช่นนี้
เจ้าของนามสั่นศีรษะน้อยๆ พยายามฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้ผู้เป็นเพื่อนต้องเป็นห่วง
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"
คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อมนุเชษฐ์ก้าวลงจากรถตามลงมา ใบหน้าหล่อเหลาที่สาวน้อยใหญ่หลงรัก และดวงตาสีน้ำตาลเข้มสวยดุจเมล็ดอัลมอนด์ที่เต็มไปด้วยแววจริงจังสะท้อนภาพใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี นิชาอุทานเมื่อมือแกร่งคว้าข้อมือเล็กแล้วรั้งให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะโอบรอบร่างบอบบางเอาไว้แน่น
"เชษฐ์?!"
"... พี่นท อยู่นิ่งๆเถอะ"
"... เชษฐ์?"
น้ำเสียงของร่างตรงหน้า --- สั่นไหว --- เสียจนคนที่โวยวายต้องเป็นฝ่ายเงียบเสียงลง
"ผมขอร้อง พี่ช่วยอยู่นิ่งๆแบบนี้ก่อน... ได้ไหม?"
ศีรษะก้มลงคล้ายกับจะซบลงบนบ่าบาง ทว่าไม่กล้าพอ และมือแกร่งคู่นั้นกอดไหล่เล็กเอาไว้มั่น ทว่าเบา ทะนุถนอม ราวกับว่าร่างที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นพร้อมจะแตกสลายได้ทุกวินาที
"พี่ตัวเย็นจัง"
นิชาไม่ตอบคำ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการคำตอบอะไร
"... พี่เจ็บมากใช่ไหม?" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยแผ่วเบา อย่างนุ่มนวล "...พี่ไม่ผิดหรอกครับที่ยังเลือกที่จะรักเขา"
ประโยคสั้นๆไม่กี่ประโยค ทำให้ทำนบน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นเอาไว้อย่างสุดชีวิตพังทลายในเสี้ยววินาที
คิดอยู่เสมอ โทษตัวเองอยู่เสมอ
ทำไมเขาถึงโง่เง่าเช่นนี้ ทำไมเขาถึงยังรักคนคนนั้น
ทั้งๆที่สิ่งที่ได้รับมา เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่หัวใจ ก็ยังเฝ้าเถียง
ต่อให้พบเจอสิ่งที่เลวร้ายมากมายทุกค่ำคืน และร่องรอยน้ำตาบนใบหน้าที่ไม่เคยแห้งได้ทัน
หักลบกับความสุขที่พวกเขาร่วมกันสร้างมาด้วยกัน
--- ก็ยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆที่เขาไม่อยากให้จางหายไป
แม้ว่านับวัน ความรักก็ยิ่งถูกลืมเลือน
แต่หัวใจของเขาเลือกแล้ว ว่าต่อให้ดีหรือร้ายมากไปกว่านี้ เขาก็เลือกที่จะรักผู้ชายคนนั้นอยู่ดีเสียงสะอื้นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ดังลอดริมฝีปากที่ซุกอยู่กับแผ่นอกกว้าง
--- เป็นเสียงร้องไห้ที่ทำให้ร่างสูงใหญ่เจ็บปวดหัวใจไม่แตกต่างกัน
ดวงตาคู่สวยที่บวมช้ำหลังจากผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาตลอดคืน กะพริบปริบ เมื่อรับรู้ถึงแสงแดดอ่อนๆในยามเช้าที่ส่องสว่างเข้ามายังในห้อง เขาลืมตากว้างด้วยความแปลกใจ เนื่องจากปกติแล้ว ห้องนอนของเขาจะมืดสนิทเนื่องจากเตชินท์จะหงุดหงิดถ้าหากจะต้องถูกปลุกด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้า เพราะฉะนั้น แม้ว่าหลายครั้งนิชาจะอยากเปิดหน้าต่างรับอากาศอันสดชื่น เขาก็ทำได้เพียงแอบแง้มผ้าม่านชมทิวทัศน์ในตอนเช้าเท่านั้น
แต่วันนี้ ผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มในห้องนอนกลับถูกเปิดกว้างแล้วรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย และหน้าต่างที่ไม่เคยได้เปิดก็ถูกเปิดออกรับกระแสลมอ่อนๆในยามเช้า อากาศดีๆพุ่งพวยเข้ามาภายในห้องที่ไม่เคยได้รับสิ่งดีๆเหล่านี้มานาน
นิชาค่อยๆชันกายลุกขึ้นจากที่นอน ส่งผลให้ร่างสูงที่ยืนบดบังแสงแดดอยู่ที่ขอบหน้าต่างหันมามองพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
"อรุณสวัสดิ์ครับ พี่นท"
เจ้าของนามกะพริบตาปริบๆอีกครั้งด้วยความงุนงง เมื่อแว่บหนึ่งเขามองเห็นร่างตรงหน้าเป็นเหมือนผู้ใหญ่เต็มตัว ทั้งๆที่เมื่อชั่วข้ามคืนที่แล้ว อีกฝ่ายยังตื่นเต้นกับการได้เข้าผับเป็นครั้งแรกอยู่เลย
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มสะท้อนกับแสงแดดจนแวววาวนั้นกระดกเล็กน้อยตรงปลาย ผ้านวมหนาเลื่อนตกจากเรียวบ่าเล็ก เผยให้เห็นผิวเนียนสีน้ำนมกระจ่างตาที่ทำให้ร่างสูงตรงหน้ามีผิวแก้มขึ้นสีในพริบตา
นิชาคลี่ยิ้มน้อยๆให้กับอาการเขินอายที่น่ารักนั้น
"อรุณสวัสดิ์..."
"อะ อืม... ผมทำอาหารเช้าไว้ให้แล้วนะครับ พี่รีบๆตามออกมากินนะ"
มนุเชษฐ์รีบออกไปจากห้องนอน ส่งผลให้ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง จนกระทั่งก้มลงมองสภาพของตนเอง เขาติดนิสัยไม่สวมเสื้อผ้านอน เพราะทุกคืนที่อยู่กับเตชินท์ เขาก็ไม่เคยได้สวมเสื้อผ้าในเวลานอนเสียที
เมื่อคืนมนุเชษฐ์มาค้างที่ห้องเป็นเพื่อนเขา คอยปลอบประโลม ซับน้ำตาให้ โดยไม่พูดคำใดนอกจากคอยเรียกชื่อของเขาเอาไว้ ราวกับคอยเรียกสติให้เขารับรู้ว่ายังมีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างตรงนี้ ในทุกวินาทีที่ความโศกเศร้าเข้ากอบกุมจิตใจเสียจนมองไม่เห็นแสงสว่างใด
นิชามองไปที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ไม่ได้มองเห็นอย่างเต็มตามาแสนนาน
คำทักทายในยามเช้าที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
--- ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานเหลือเกิน
แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาได้อยู่กับมนุเชษฐ์
ร่างบอบบางหลับตาลง รับรู้ถึงเสียงของสายลมอ่อนโยนที่พัดพาเอากลิ่นหอมของผืนดินหลังฝนตกเข้ามา
"อื้ม อร่อย"
"จริงเหรอครับ?"
"อื้ม อร่อยจริงๆนะ นายทำอาหารเก่งขนาดนี้ไม่บอกพี่ได้ยังไง"
"โล่งอกไปที ปกติผมทำทานเองกับครอบครัว ไม่เคยทำให้คนอื่นทานมาก่อนเลย"
"จริงเหรอ ไม่เคยทำให้แฟนทานเหรอ?"
"ผมไม่มีแฟนหรอกครับ"
"งั้นก็แปลว่าพี่เป็นคนแรกนอกเหนือจากครอบครัวนายน่ะสิ รู้สึกเป็นเกียรติจัง"
นิชาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าสวยที่แม้จะมีร่องรอยของการร้องไห้ดูสดใสมากกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะบรรยากาศดีๆที่ตื่นมาเห็นแต่เช้าก็เป็นได้ มนุเชษฐ์เห็นอย่างนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
มนุเชษฐ์ยิ้มให้กับท่าทางดูดีขึ้นของร่างที่นั่งทานอาหารฝีมือของเขาอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับเขาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนอกจากนี่จะเป็นครั้งแรกที่ทำอาหารให้คนอื่นทานเป็นครั้งแรกแล้ว คนนั้นที่ว่ายังเป็นคนพิเศษสำหรับเขาอีกด้วย
--- การทำให้คนที่เขารักหัวเราะได้ มันรู้สึกเต็มตื้นแบบนี้นี่เอง
"นายไม่กินเหรอ?"
"หืม ผมเห็นพี่นททานก็อิ่มแล้วครับ"
"นายหมายความว่ายังไงน่ะ? พี่ก็ไม่ได้กินมูมมามอะไรสักหน่อยนะ"
เด็กหนุ่มร่างสูงหัวเราะ "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ"
ปลายนิ้วเรียวหยิบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ตรงมุมปากสวย แล้วเลื่อนกลับมาทานเองโดยไม่ทันรู้ตัว เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าหวานแดงเรื่อน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายหน้าแดงวาบเสียเอง
"เอ่อ... ขอโทษครับ"
"มะ ไม่เป็นไร.. ว่าแต่... นายไม่กลับบ้านเหรอ?"
"เอ๊ะ?"
"ก็... น้องหมิวเขาต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวไม่เป็นไรเหรอ?"
"อ๋อ หมิวไปค้างบ้านเพื่อนครับ เพราะเมื่อคืนผมตั้งใจจะกลับดึกอยู่แล้ว"
“อ้อ ขอโทษนะ ทำให้ลำบาก”
“ไม่ลำบากหรอกครับ ก็เป็นพี่นทนี่นา”
รอยยิ้มดูดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลากระชากใจสาว เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเจ้าเล่ห์ในแบบของผู้ชายซุกซนเอาไว้ ทำเอานิชาใจเต้นน้อยๆกับความแปลกใหม่ที่เพิ่งประสบ ปกติแล้วในสายตาของเขา มนุเชษฐ์ก็เป็นเสมือนน้องชายขี้อ้อนคนหนึ่งที่เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะได้พบรัก และมีครอบครัวที่ดี ไม่เคยมองร่างตรงหน้าในมุมนี้มาก่อน
"แล้วเมื่อคืน..."
"... เมื่อคืนทำไม?"
มนุเชษฐ์กระแอมไอแก้เขิน "ก็... พอเห็นพี่เป็นแบบนั้นเมื่อคืน ผมก็รู้สึกว่า... ผม... อยากจะเป็นคนปกป้องพี่ขึ้นมา"
รอยยิ้มที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าดูดี ทำเอานิชาต้องเม้มริมฝีปากอย่างกระอักกระอ่วนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกดีๆกับมนุเชษฐ์
ทว่า ณ ตอนนี้ ---
ดวงตาสีน้ำตาลสวยปรายมองใบหน้างดงามที่เริ่มขึ้นสี มือแกร่งเลื่อนไปแตะสัมผัสปลายนิ้วเรียวสวยเบาๆ
"... แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ"
คนดี น้องชายที่แสนดี
ทำไมคนดีๆแบบนี้ถึงมารักคนอย่างเขา
คงจะดีไม่น้อย ถ้าหากเขารักคนที่รักเขาเช่นผู้ชายตรงหน้าคนนี้
"พี่นท วันไหนที่พี่รู้สึกว่าเดินต่อไปไม่ไหว... อย่าลืมเรียกผมนะครับ"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกระจ่างใสบนใบหน้าคมสัน พร้อมกับโบกมือลาด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่เก้ๆกังๆเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
นิชามองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆไกลออกไปด้วยความรู้สึกตื้อในอก ก่อนจะปิดประตูลงแล้วทรุดกายลงนั่งคิดอยู่หน้าประตูบานนั้นพักใหญ่
ถ้าหากการเริ่มต้นใหม่กับคนดีๆ จะช่วยให้ลืมการสิ้นสุดลงของคนที่รักแล้วล่ะก็
เขา ---
RRRR
RRRRRเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำเอาร่างบอบบางที่กำลังเหม่อถึงกับสะดุ้งตัวลอย ยิ่งได้เห็นชื่อคนที่โทรเข้ายิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
'พี่ชิน'ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา มือเรียวสั่นระริกกว่าจะกดปุ่มรับได้ หัวใจเต้นแรงเสียจนเขาได้ยินเสียงหัวใจดังก้องอยู่ภายในหูของตนเอง
"ฮะ ฮัลโหล"
"... นท?"
"... ครับ"
"อืม รับสายก็ดีแล้ว"
เสียงทุ้มต่ำอันแสนเคยคุ้น น้ำเสียงแบบเดิมที่ใช้พูดคุยกันอยู่เสมอ ทำให้นิชารู้สึกคลายอาการเกร็งขึ้น แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ดีนักก็ตาม
"พี่นึกว่านทจะโกรธเสียจนตัดสายทิ้งเสียอีก"
"นทไม่ทำแบบนั้นกับพี่หรอกครับ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากปลายสาย "น่ารักจริงๆ สมแล้วที่คบกันมานาน จากนี้ไปพี่คงลำบากแย่กว่าจะหาคนที่ใจอ่อนง่ายๆอย่างนท แต่ก็ดีแล้วล่ะนะ"
"... เอ๊ะ?"
"ที่พี่โทรมาเนี่ย เพราะว่าพี่หาที่ชาร์ตแบตไม่เจอ เลยจะฝากนทหาหน่อยว่าอยู่ที่คอนโดรึเปล่า พี่ว่ามันอาจจะอยู่ในลิ้นชักในโต๊ะข้างเตียงน่ะ พอดีพี่ไม่ว่างเข้าไป"
"ครับ เอาไว้เดี๋ยวจะหาให้นะครับ"
"อืม ขอบใจนะ ฝากเอาไปให้พี่ที่ผับด้วยละกัน ยังไงพี่ก็ไปที่นั่นประจำอยู่แล้ว"
“แล้ว... ทำไมพี่ไม่เข้ามาเอาเองล่ะครับ แบตจะหมดไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ล่ะ พี่คงไม่ได้เข้าไปที่นั่นเท่าไหร่แล้ว หญิงเขาก็บ่นเหมือนกันว่าถ้าไม่กลับบ้านจะดูไม่เนียน นทก็ใช้ห้องนั้นได้ตามสบายเลยนะ พี่ยกให้ แล้วก็อย่าลืมที่ชาร์ตแบตของพี่ล่ะ แค่นี้นะ”
เตชินท์เอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วก็วางสายไป โดยไม่คิดจะถามไถ่ถึงอีกฝั่งของปลายสายเลยแม้แต่น้อย
ร่างบอบบางเดินไปที่ห้องนอนด้วยจิตใจหดหู่ ความเจ็บปวดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปโดยที่สมองไม่ได้สั่งการ มือเรียวเปิดลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะหยิบที่ชาร์ตแบตที่อีกฝ่ายกล่าวถึงมาถือเอาไว้
หยาดน้ำตาแห่งความน้อยใจล้นเอ่อที่เบ้าตาบวมช้ำ ก่อนจะค่อยๆหยดลงสิ่งของที่วางอยู่บนฝ่ามือ
เขาจะเป็นอะไรบ้างไหม?
เจ็บปวดแค่ไหน ทนไหวรึเปล่า?
ไม่มีถ้อยคำใดแสดงถึงความห่วงใยหลุดลอดจากปากหยักที่เขารักคู่นั้น
หรือแม้แต่คำขอโทษสักคำ ก็ไม่มี ---
คงถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องเริ่มต้นชีวิตกับคนใหม่จริงๆจังๆเสียที
ผมกดปุ่มวางสายไป ขณะที่ปล่อยให้แผ่นหลังเอนพิงประตูบานใหญ่ของห้องในคอนโด หลังจากฝากให้นทนำของที่ผมลืมทิ้งเอาไว้ในห้องมาคืน
--- ทั้งๆที่นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ข้ออ้างที่ผมจะได้สามารถได้ยินเสียงหวานใสที่ผมอยากได้ฟังอีกครั้งเท่านั้น
ผมถอนหายใจออกมายาว พลางยกมือขึ้นขยี้เรือนผมสีนิลเสียจนยุ่งเหยิง แต่ในตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะใส่ใจกับมันนัก
ผมไม่กล้าเอ่ยคำขอโทษออกไป ทั้งๆที่ในใจนั้นเป็นห่วงนทจนแทบบ้า นอนไม่หลับ กินไม่ลง จนกว่าจะได้ฟังเสียงของนทว่าไม่เป็นไรจริงๆ
นึกอยากจะกระโจนไปหาถึงในห้องเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่กล้าพอ
ทั้งๆที่มาถึงหน้าห้องแล้ว แต่กลับไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป
กังวลมากมาย
นทจะเป็นอย่างไรบ้าง?
จะร้องไห้หนักไหม?
ยังต้องการผมอยู่รึเปล่า?
ผมไม่กล้า --- แม้แต่จะถามคำคำนี้ออกไป
ยังรักคนอย่างผมอยู่บ้างไหม?
ยังอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนอย่างผมรึเปล่า?
คนเลวอย่างผม --- ยังสมควรจะเป็นคนรักของนทอยู่รึเปล่า?
--- ในช่วงแรก ผมก็แค่ลองใจ ด้วยความที่พบเจอแต่คนที่หวังในตัวของผมโดยไม่รักจริงอยู่บ่อยครั้ง
แต่นานเข้า ก็ติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะทำอะไรก็เผลอทำให้นทต้องเจ็บปวดหัวใจเสมอ
แต่เด็กคนนั้นก็ยังให้อภัยผมมาตลอดทุกครั้ง
คิดมานาน หลายครั้งหลายครา ว่าจะปล่อยมือจากคนรักที่แสนดีคนนี้ไปซะ
แต่ว่า ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียคนดีอย่างนทไป จึงได้แต่มีความรักที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ตลอดมา
ที่ผมตอบนทไปเมื่อคืน ทั้งหมดเป็นความจริง
ใครว่าผมลืมวันเกิดของนท ไม่มีทาง ผมไม่มีวันลืมวันสำคัญเช่นนั้นอยู่แล้ว
ผมตั้งใจจะมอบของขวัญวันเกิดให้เป็นคนสุดท้ายที่ห้องของเราสองคน
สิ่งที่อยู่ในมือของผมในตอนนี้ ตามที่ผมวางแผนไว้ มันควรจะได้ไปอยู่บนร่างของนทตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
แต่เมื่อคืนนี้ ภาพที่ผมเห็น คือภาพของนทที่เดินมาหาผมทั้งน้ำตา เพื่อร้องขอให้ผมรักนทเพียงคนเดียว
ทั้งๆที่นั่นก็เป็นความจริงอยู่แล้ว
ผมรักนทมาคนเดียวมาตลอด แต่ด้วยความรักสนุก จึงแค่เปลี่ยนคู่นอนไปวันต่อวัน โดยไม่ได้มีใจให้หรือแม้แต่จะใส่ใจ
แต่กับนทนั้นไม่ใช่
ผมรัก หวง และห่วงใย แม้ว่าผมจะรักการเที่ยวเตร่ และยึดความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้งก็ตาม
ทว่า วินาทีที่ผมเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดในค่ำคืนที่ผ่านมา
ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากรับบทเป็นคนที่เลวที่สุด เพื่อให้นทเป็นฝ่ายจากผมไป
เพราะผมรู้ตัวดีว่า ผมไม่มีวันเป็นฝ่ายปล่อยมือจากคนรักที่เขารักที่สุดคนนี้ไปได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
ผมทำสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ออกจะเกินคาดเสียด้วยซ้ำไป
ผมทำถูกต้องแล้วใช่ไหม?
ในเมื่อผมไม่สามารถทิ้งนทไปได้ งั้นผมก็เลือกทางที่จะทำให้นทไปจากผมเสีย --- แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม?
แม้กระนั้น ผมก็ยังตัดใจจากนทไม่ได้
เป็นห่วง เป็นห่วง เป็นห่วงมากเหลือเกิน
--- มากเสียจนต้องหาข้ออ้างสารพัดสารเพเพื่อให้ได้ยินเสียงของนทอีกครั้ง ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้พบหน้านทอีกครั้ง
แล้วผมก็ได้เห็น เห็นร่างสูงของเด็กคนนั้นออกมาจากห้อง โดยมีนทเดินตามออกมาส่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดูมีความสุขยิ่งกว่าตอนอยู่กับผมด้วยซ้ำไป
นึกอยากจะเดินเข้าไปหา คว้าเด็กนั่นมาต่อยให้สมแค้น แต่ขา กลับยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับไม่ไหน
เพราะรู้ดี ว่าตัวผมในตอนนี้ ไม่มีสิทธิ์ใดๆที่จะทำแบบนั้น
ผมมันคนเลว ทั้งในสายตาของคนอื่น และในสายตาของคนที่ผมรัก ---
เสียงสะอื้นดังลอดบานประตูมาให้ได้ยินเพียงแผ่ว แต่มีอานุภาพรุนแรงต่อจิตใจเสียจนผมต้องจิกกำหมัดแน่นเพื่อหักห้ามตนเองไม่ให้เปิดประตูเข้าไป
เพราะรู้ดีว่า หากเข้าไปหานท ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะวนกลับมาเป็นแบบเดิม
นับจากนี้ ผมคงต้องรับบทเป็นคนเลวแบบนี้ต่อไป
--- ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่เพื่อนท คนที่ผมรักมากที่สุด ให้เดินถอยไปจากคนเลวอย่างผมเสียที
เด็กดี พี่ขอร้องนะ ร้องไห้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
จากนี้ ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับคนเลวอย่างพี่อีกแล้วนะ
Talk: สอบยังไม่เสร็จ แต่หนีมาลงแก้เครียดค่ะ
ชานมไม่ได้เรียนภาคอินเตอร์ แต่ทำไมต้องเรียน textbook เล่มเดียวกับพวกอินเตอร์ด้วย
มันทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือมากกว่าเดิมสองเท่า (เพราะต้องแปลอังกฤษเป็นไทย ก่อนจะแปลไทยเป็นไทยอีกรอบ)
อยากจะจุดธูปเรียกบรรพบุรุษมาเข้าสิง เผื่อจะสามารถตีความแนวข้อสอบที่ไม่ได้ช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องบันทึกลงสมองอันน้อยนิดนี้บ้างจริงๆ
(แวะมาบ่น แล้วก็จากไปค่ะ)