[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[20]
“สวัสดีครับ”
เสียงหวานสดใสเอ่ยดังขณะเจ้าของร่างบางหันไปทางประตูร้านเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่ผูกไว้กับประตูดังขึ้น ก่อนที่คำทักทายอื่นจะเลือนหายไปชั่วขณะเมื่อได้ประจักษ์ว่าเป็นหญิงสาวร่างระหงที่เห็นจนชินตา ทว่าวันนี้กลับทำให้ลมหายใจสะดุด
“คุณนท สวัสดีค่ะ ขอลาเต้เย็น แล้วก็คุกกี้ข้าวโอ๊ตกับบราวน์นี่กล่องใหญ่กลับบ้านค่ะ”
“คุณหญิง สวัสดีครับ วันนี้... มาแต่เช้าเลยนะครับ” เอ่ยพลางเลี่ยงหันไปชงกาแฟ ด้วยความที่ลูกมือยังมาไม่ถึงร้าน นับเป็นข้อดีที่เขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้แสนดีคนนี้โดยตรง
“ค่ะ พอดีเดี๋ยวแวะกลับไปหาอากงค่ะ อากงชอบขนมที่ร้านนี้มากเลย”
“ขอบคุณครับ... อ้อ คุณหญิง เมื่อวันก่อนขอโทษนะครับที่ไม่ได้แวะไปร่วมแสดงความยินดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็ได้ส่งของขวัญไปให้ ขอบคุณนะคะ ก็ว่าอยู่เหมือนวันนั้นจะเห็นคนคล้ายๆน้องเชษฐ์ แต่พอดีต้อนรับแขกวุ่นๆเลยไม่ได้เข้าไปทักทาย ว่าแต่คุณนทผอมลงรึเปล่าคะ?”
“นิดหน่อยครับ คุณหญิงเองก็เหมือนกัน รักษาสุขภาพบ้างนะครับ”
นิชาอดเอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าในใจลึกๆจะนึกปรารถนาให้ร่างตรงหน้าหายไปให้ไกล เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงผู้ชายคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามี’ ของผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป ทว่าเมื่อได้เห็นนภิสากับตา กลับรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาคาดเอาไว้ว่าจะได้พบกับหญิงสาวที่มีความสุขดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง แต่กลับไม่ใช่แบบนั้นเลย เบื้องหน้านั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาดีในชุดที่ดูดีไม่แตกต่างจากวันก่อน ทว่ากลับมีสีหน้าอมทุกข์และประกายยิ้มในแววตาเหือดหายไปอย่างคนที่ไร้ความสุข
“ค่ะ ก็คิดว่าวันนี้กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่คงจะดีขึ้น”
นิชารู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ได้เห็นนัก นภิสาพูดคล้ายกับไม่อยากอยู่กับเตชินท์เอาเสียเลย หรือสิ่งที่ชายหนุ่มพูดจะเป็นความจริงกันนะ
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมคือ เขาเป็นแค่คนนอก และผู้หญิงตรงหน้านี้คือภรรยาตามกฎหมายของชายหนุ่ม เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้อีกต่อไปอยู่แล้ว
อยากรู้เหลือเกินว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีเขาอยู่แล้วสบายดีรึเปล่า ทานอาหารตรงเวลารึเปล่า มีความสุขดีจริงรึเปล่า?
คำถามมากมายวิ่งวนอยู่ในสมอง แต่ที่เขาถามไปกลับเป็นเพียงแค่
“แล้ว... สามี... ของคุณหญิงล่ะครับ?”
น้ำเสียงใสพยายามปรับให้เป็นปกติเมื่อเอ่ยคำที่ทำให้เขาเจ็บเสียดไปถึงขั้วหัวใจนั่น แม้ว่าจะเลิกกันไปแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ถึงชายคนนั้น
“เขาก็ทำงานยุ่งตลอดเวลาค่ะ แทบไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เพราะพี่เองก็ยุ่งเหมือนกัน”
“ไม่เหงาแย่เหรอครับ คุณหญิง?”
“ไม่เหงาหรอกค่ะ ดีซะอีก ทำงานเยอะๆ จะได้มีเงินเข้าบ้านเยอะๆไงคะ”
เธอพูดติดตลก แม้ว่าในใจจะไม่นึกขำกับมุขตลกนี้นัก แต่เรื่องที่จนป่านนี้เธอยังไม่ยอมร่วมหลับนอนกับชายหนุ่มคนนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็บอกให้ใครคนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด ขนาดเพื่อนสนิทของเธอยังไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่ต้องพูดถึงครอบครัว ไม่มีใครคาดหวังจะได้เห็นหน้าหลานกันนัก เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของเธอยังเป็นประเด็นร้อนของครอบครัวไม่เลือนหาย และเธอที่หายไปจากตระกูลร่วมสัปดาห์ กำลังจะกลับไปตรวจสอบว่าในตอนนี้เรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว เพราะโทรศัพท์หาลลดาก็ไม่ยอมรับสายเสียที วันนี้แหละเธอจะกลับไปหาถึงที่เสียเลย
นิชาคลี่ยิ้ม ในใจรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด อดคิดไม่ได้ว่าหญิงคนนี้อาจจะเหมาะกับเตชินท์ดีแล้วก็ได้ หากไม่มีปัญหาเมื่อเตชินท์กลับดึกจนไม่ได้พบหน้า ก็คงไม่ต้องทะเลาะกันอย่างที่พวกเขาเคยเป็น แบบนี้ก็คงจะสร้างครอบครัวที่ดีด้วยกันได้โดยที่เขาไม่ต้องเป็นห่วง
นภิสารับกาแฟและของหวานที่ถูกห่อเอาไว้ในกล่องกระดาษอย่างดีมาถือไว้ ก่อนจะยื่นเงินให้แล้วก้าวออกจากร้านไป รอยยิ้มที่เธอปั้นแต่งขึ้นนั้นเลือนหายในวินาทีที่ก้าวออกจากร้าน เรียวขางามก้าวขึ้นรถมินิคูเปอร์สีขาวที่เตชินท์เพิ่งซื้อให้หมาดๆ โดยอ้างว่ารถยนต์ที่เธอใช้มาแล้วสองปีนั้นเก่าแล้ว เดี๋ยวจะเป็นอันตราย ซึ่งเธอมองไม่เห็นเหตุผลในเหตุผลข้อนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ขี้คร้านจะโต้เถียงจึงรับมา ในใจนึกรำคาญขนาดของรถคันนี้ที่แตกต่างจากราคาโดยสิ้นเชิง
เพียงไม่นาน เธอก็มาถึงประตูรั้วของตระกูลหลิน
เธอกดปุ่มเปิดประตูไฟฟ้าแล้วขับรถเข้าไปในตัวบ้าน ได้แลเห็นบ้านใหญ่ที่เธอเกิดและเติบโตมาแล้วยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนค่อยรู้สึกสบายใจ เธอหยิบขนมและกาแฟที่ยังเหลืออยู่ค่อนแก้วแล้วเดินเข้าไปด้านใน ไหว้ทักทายพี่เลี้ยงสูงวัยที่รีบเดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ ขณะปรายสายตามองหาบิดามารดาที่ควรจะอยู่ในห้องนั่งเล่นตามปกติ
“ป๊ากับม้าล่ะจ๊ะ?”
“คุณท่านไปตีกอล์ฟค่ะ ส่วนคุณนายพาคุณเล็กไปตรวจครรภ์”
“อ้อ... เอกล่ะ?”
“คุณเอกอยู่คอนโดค่ะ พักนี้ไม่ค่อยยอมกลับบ้านเท่าไหร่ คุณนายบ่นน่าดูเหมือนกัน”
“เอาน่า เอกก็โตแล้ว ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่แปลกหรอก”
นภิสานึกถึงน้องชายตัวแสบของเธอแล้วก็ระอาใจ อายุก็สมควรจะเริ่มตั้งใจหางานและเก็บเงินเตรียมสร้างรากฐานให้กับชีวิตได้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังเห็นเที่ยวเล่นอยู่ไม่เลิกรา ล่าสุดก็เพิ่งซื้อห้องที่คอนโดแถวสาทรไปอีก ทั้งๆที่ห้องแถวนั้นราคาไม่ใช่ถูกๆเลยแท้ๆ มารดาของเธอนั้นก็ตามใจน้องชายเสียเหลือเกิน อยากได้อะไรเป็นต้องได้ นี่ล่ะนะ อภิสิทธิ์ของลูกชายในบ้านของคนจีน
“แล้วนี่ไปกันนานรึยังจ๊ะ? ว่าจะคุยกับเล็กซะหน่อย”
“ไปกันตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ น่าจะกลับมาเร็วๆนี้เพราะเห็นว่ายังไม่ได้ทานกลางวันกัน ให้จัดด้วย”
“ดีเลย หญิงหิวอยู่พอดี เดี๋ยวรอทานพร้อมกันเลยละกัน”
“ค่ะ อู๊ย ป้าล่ะดีใจจังที่ได้เห็นหน้าคุณหญิงบ้าง ห่างบ้านไปเหงาไหมคะ?”
“อื้อ เหงาสิ เดิมบ้านเราคนเยอะแยะ จู่ๆไปอยู่บ้านเดี่ยวคนเดียว เหงาจะตาย”
“คนเดียวอะไรกันคะ ก็มีคุณเตชินท์ด้วยนี่นา คุณท่านคงอยากให้คุณหญิงรีบๆมีหลาน เลยให้ไปอยู่ด้วยกันเป็นส่วนตัวแบบนั้น แล้วนี่คุณเตชินท์ไม่มาด้วยหรือคะ?”
“ไม่หรอกจ้ะ รายนั้นน่ะยุ่งตลอด งานเยอะ”
“นักธุรกิจก็แบบนี้แหละค่ะ นี่ได้ยินท่านใหญ่เปรยไว้อยู่ว่าจะให้สืบทอดกิจการ”
นภิสาเลิกคิ้ว เธอไม่คิดว่าอากงของเธอจะยอมปล่อยมือจากธุรกิจที่สร้างมากับมือจนเติบใหญ่แบบนี้ให้กับเตชินท์ง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับคนที่ทำให้น้องสาวของเธอต้องกลายเป็นแบบนี้ นอกเสียจากจะมีแผนอะไร
เธอรู้ดี ว่าคนอย่างคุณปู่ของเธอ ไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายหลานสาวสุดที่รัก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวลใจนัก จากที่เธอเคยสนทนากับเตชินท์ แม้จะเพียงไม่กี่ครั้ง ก็รู้ดีว่าไม่มีวันเข้ากับผู้ชายที่ซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้คนนั้นได้แน่ ในใจก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้
“แน่ะ มาพอดีเลย”
เสียงรถที่นำเข้ามาจอดส่งผลให้หญิงสาวลุกขึ้นจากโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เห็นร่างของผู้เป็นมารดาและน้องสาวลงจากรถแล้วมุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่เข้าบ้าน เธอรีบเดินไปรับด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“หม่าม้า เล็ก คิดถึงจังเลย”
“หญิง มาไม่บอกเลยนะ เป็นยังไงบ้างลูก?”
ร่างท้วมโอบกอดบุตรสาวที่โผเข้าหาราวกับตนเองเป็นเพียงเด็กเล็กๆที่งอแงคิดถึงแม่ พร้อมกับมือที่ลูบไล้เรือนผมนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมอ่อนๆของมารดาส่งผลให้นภิสารู้สึกตื้อในอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเลยที่หล่อนจะจากบ้านไปไกลเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นการจากไปอย่างถาวรอีกด้วย ใจจริงแล้วหล่อนก็กลัวไม่ใช่น้อยที่ต้องไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับผู้ชายที่หล่อนไม่ได้รักหรือแม้แต่จะรู้จักมาก่อน
“สบายดีค่ะ หม่าม้าล่ะ ผอมลงรึเปล่าเนี่ย?”
“นิดหน่อย พักนี้นอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่”
“เป็นอะไรไป ต้องนอนเยอะๆนะ เดี๋ยวความดันขึ้นอีกหรอกม้า”
“อื้อ รู้แล้วๆ ไปๆ กินข้าวกินปลามารึยัง?”
“ยังค่ะ รอกินพร้อมกันเนี่ยล่ะ”
“เอ้อ ดีเลย เล็กเองก็บ่นหิวตลอดทางเลย หายไปไหนแล้วล่ะ?”
“คุณเล็กไปข้างบนค่ะ ให้ตามไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวหญิงไปตามเอง”
ร่างระหงเอ่ยพร้อมกับก้าวขึ้นบันไดไปยังเส้นทางที่มุ่งสู้ห้องของน้องสาว เธอเคาะประตู ก่อนจะพบว่าไม่ได้ล็อกเอาไว้ ลลดาเองก็คงรู้อยู่แก่ใจดีว่าหากล็อกประตูแล้วพี่สาวจะเข้ามา อย่างไรก็ต้องหาทางเข้ามาจนได้อยู่ดี
“เล็ก พี่เข้าไปนะ”
ร่างเล็กสมชื่อของผู้เป็นน้องสาวนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ใบหน้าสวยหวานดูดีกว่าวันก่อนที่เธอจะแต่งงาน แม้ประกายในแววตาจะยังไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อนก็ตาม แต่ก็ยังดีที่เธอยังหันมาเผชิญหน้ากับนภิสาตรงๆ
“เป็นไงบ้างเรา?”
“ก็เรื่อยๆ”
“ไปหาหมอเป็นไงบ้าง?”
นภิสาเอ่ยถาม เนื่องจากนี่เป็นเพียงครั้งแรกที่น้องสาวได้ไปฝากครรภ์ ทว่าเจ้าตัวกลับเมินหน้าหนีอย่างไม่นึกอยากจะตอบตามตรง
“โกรธอะไรพี่อีกล่ะ?”
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วหลบหน้าพี่ทำไม? พี่โทรหาเราตั้งหลายครั้งก็ไม่รับโทรศัพท์พี่นะ”
“ก็ไม่อยากคุย”
นภิสาระบายลมหายใจยาวพร้อมกับเดินไปนั่งเคียงข้างน้องสาวที่ยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม เธอหันไปพินิจใบหน้าเนียนใสที่ดูซีดไปกว่าทุกทีอย่างนึกห่วงใย เห็นมารดาของเธอโทรไปบ่นเมื่อหลายวันก่อนว่าน้องสาวไม่ค่อยยอมทานอาหาร ก็หวั่นว่าจะป่วยหรือเป็นโรคกระเพาะเอาสักวัน
“ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้ดี หม่าม้าเป็นห่วงนะ”
“ห่วงเล็ก หรือห่วงใครกันแน่”
“ก็ห่วงทั้งคู่แหละ คนหนึ่งก็ลูก อีกคนก็หลาน”
“ฮึ หลานที่จะได้เป็นลูกของพี่หญิงน่ะเหรอ? ถ้าเลือกได้ ก็ไม่น่าจะต้องเกิดมาหรอก”
“เล็ก! ทำไมพูดจาแบบนั้น!”
“ก็มันจริงไม่ใช่เหรอ?! เล็กมันไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้ว! จะอยู่หรือไปก็ไม่มีผลกับใคร! ไม่เหมือนพี่หญิงที่เป็นคนสำคัญของบ้าน ได้แต่งงานกับคนดีมีหน้ามีตาในสังคมแบบนั้น!”
“นี่! หยุดนะ! พี่ไม่เคยอยากจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นเลยนะเล็ก!”
“แต่พี่หญิงก็แต่งไปแล้ว แต่งไปทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นของเล็ก”
“แล้วพี่เลือกได้ที่ไหน?”
“แต่พี่หญิงก็เลือกแล้ว พี่หญิงควรจะรู้นะ ว่าเล็กไม่มีวันให้อภัยพี่หญิงในเรื่องนี้แน่”
แววตาของเด็กสาวที่จับจ้องมาส่งผลให้นภิสารู้สึกสะท้านในอก มันเป็นแววตาเคียดแค้นในแบบที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ได้เห็นจากร่างตรงหน้า หญิงสาวกำมือแน่น อ้าปากนึกอยากจะโต้เถียง แต่ก็ไร้ประโยชน์ เธอสั่นศีรษะพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู ดูลังเลที่จะพูด แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจก้าวออกไปจากห้อง
นภิสาเดินลงบันไดมา เห็นผู้เป็นมารดากำลังรื้อข้าวของที่เจ้าหล่อนเป็นคนซื้อมาเก็บเข้าตู้เย็นอยู่จึงเดินเข้าไปช่วย
“ม้า หมอว่าไงมั่ง?”
“อ้าว น้องยังไม่ได้บอกลูกเหรอ?”
“ไม่เลย โมโหอะไรไม่รู้”
“น้องคงเสียใจอยู่น่ะ”
“เสียใจเรื่องอะไรคะ?”
ผู้เป็นแม่หยุดการเคลื่อนไหว แล้วหันไปมองใบหน้าสวยของลูกสาวคนโตตรงๆ นึกอยากจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก เรื่องที่ได้รู้ว่า ไม่รู้ว่าจะถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
“เล็กไม่ได้ท้อง น้องอาจจะคิดมากหรือกังวลเลยทำให้เมนส์ไม่มา หมอบอกว่ารอไปสักระยะก็คงหายเป็นปกติ หม่าม้าโทรบอกทุกคนแล้ว เดี๋ยวก็คงรีบกลับมาบ้านกัน ทุกคนสงสารน้องกันน่าดู หญิงก็ใจเย็นๆกับน้องหน่อยละกันนะ น้องกำลังเสียใจ”
นภิสาเบิกตากว้าง ใจนึกประหวัดไปถึงครั้งก่อนที่ทะเลาะกันใหญ่โต หรือน้องสาวของเธอเพียงแค่จะอ้างเพื่อเอาชนะเธอในวันนั้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้องเล่นไหลไปตามน้ำ และทำให้วันแต่งงานของเธอยิ่งต้องเร่งเข้ามาในเร็ววัน เพื่อให้เด็กในท้องสามารถออกมาได้ในช่วงจังหวะที่ดูไม่ผิดจากปกติ
แล้วเรื่องที่ว่าเตชินท์กับลลดาเป็นคนรักกัน นั่นเป็นเรื่องจริง หรือโกหกกันแน่?
เธอไม่มีความคิดหึงหวง แต่กลับรู้สึกเห็นใจผู้เป็นน้องสาวเสียมากกว่า หากลลดาพูดกับเธอตรงๆว่าคิดอย่างไรกับเตชินท์ ไม่แน่เธออาจจะสามารถวางแผนหาทางเกลี้ยกล่อมให้อากงสลับเธอกับน้องสาวก็เป็นได้ ในเมื่อเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าสาว กลับเป็นตัวของฝ่ายชายเท่านั้น
ถึงวันนี้ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เธอได้แต่ภาวนาให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ขอให้ลลดากลับมาเป็นน้องสาวที่น่ารักของเธออีกครั้ง --- แม้จะไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ก็ตาม
ผ่านมากี่สัปดาห์แล้วกันนะ นับตั้งแต่วันที่พวกเขาเลิกกัน?
ตั้งแต่วันที่เตชินท์โทรมาบอกให้เขานำที่ชาร์ตแบตไปให้ เขาก็ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มอีกเลย
ในวันนั้น เขานำของไปฝากเอาไว้ที่อณุภา เพราะชายหนุ่มนั้นไม่ปรากฏตัว ไม่แม้แต่จะรับสายที่เขาโทรไปเพียงเพื่อจะถามหาว่าอยู่ที่ไหน
ไม่แม้แต่จะโผล่มาให้เห็นหน้าหรือเจ็บปวดใดๆ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จนกระทั่งถึงวันนี้ เจ้าตัวก็ไม่ได้แวะเวียนไปรับที่ชาร์ตแบตอันนั้น จนอณุภาส่งคืนกลับมาไว้กับเขาเหมือนเดิม
และในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในห้องเดิม แต่ก็ได้เตรียมตัวย้ายออกไปยังคอนโดแห่งใหม่ที่ซื้อเอาไว้ด้วยเงินเก็บของเขาเรียบร้อยแล้ว ที่ชาร์ตแบตอันนี้ก็ยังอยู่ในห้องเดิมที่เคยเป็นของ ‘พวกเขา’ --- ในที่แห่งเดิมที่เตชินท์มักวางเอาไว้เป็นประจำ
เขาเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเตชินท์ และไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรอีกเลย
ไม่รู้แม้แต่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง รู้หรือยังว่าเขากำลังจะย้ายออกไป
และร้านนั้น เขาก็กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี
ทางเลือกมีอยู่สองทาง หนึ่งคือปิดไปเลย ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
ส่วนทางเลือกที่สอง ---
"ทายซิ ใครเอ่ย?"
เสียงนุ่มแฝงแววหัวเราะเอ่ยกระซิบพร้อมมือใหญ่ที่เอื้อมมาปิดตาจากด้านหลัง ส่งผลให้ความคิดหยุดชะงัก พร้อมกับมือนุ่มที่ยกขึ้นแตะข้อมือหนาเบาๆ
"เชษฐ์"
เจ้าของนามยื่นหน้ามาหาร่างบางที่นั่งอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขกกว้างขวาง ก่อนจะหอมแก้มนุ่มราวกับแก้มเด็กทารกอย่างอ่อนโยน
"คิดถึงพี่จังเลยครับ"
นิชาคลี่ยิ้ม นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้น มนุเชษฐ์ก็มาส่งเขาที่บ้านหลังเลิกงานบ่อยขึ้น จนบางคืนที่น้องสาวไปค้างบ้านเพื่อน เจ้าตัวก็มาค้างที่คอนโดแห่งนี้ เขาชักไม่แน่ใจว่าน้องสาวของมนุเชษฐ์ขอไปค้างบ้านเพื่อนเองหรือถูกบังคับให้ไปกันแน่แล้ว แม้แต่ในวันอาทิตย์เช่นนี้ ก็ยังอุตส่าห์แวะมาหา และในตอนนี้ภายในห้องก็เริ่มมีข้าวของส่วนตัวของอีกฝ่ายบ้างแล้ว
ร่างเพรียวมองไปทางตู้เก็บของที่ไม่เคยเปิดมานาน ภายในตู้นั้น เขาเก็บข้าวของส่วนตัวหลายอย่างที่ได้รับจากเตชินท์เอาไว้ โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ทิ้งไปเสียเลย
มนุเชษฐ์แอบปรายสายตามองตามดวงตาคู่สวยที่ฉายแววเหงาหงอยในยามที่มองตู้เก็บของที่วางอยู่ที่มุมห้อง
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเปิดดูว่าภายในนั้นมีสิ่งของใดเก็บซ่อนเอาไว้
เขาขอคบกับร่างตรงหน้า โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าหัวใจของอีกฝ่ายยังมีใครเป็นเจ้าของ
นิชาไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เขารู้ดีว่า เขาฉวยโอกาสเอ่ยปากขอร้องในช่วงจังหวะที่นิชากำลังท้อแท้มากที่สุด
เพราะเขายังหวัง ว่าวันหนึ่ง นิชาจะเปลี่ยนใจมาหาเขาที่สามารถมอบความรักให้อย่างเต็มหัวใจ
--- แม้ว่านิชาจะยังไม่เคยแม้กระทั่งทิ้งรูปถ่ายของเตชินท์ได้ลงเสียด้วยซ้ำ
"คิดถึงอะไรกัน เพิ่งเจอกันเมื่อวานแท้ๆเลยนะ"
"ก็ห่างกันไปตั้งเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนี่นา ผมหิวจัง"
"ที่แท้ก็คิดถึงข้าวนี่เอง ทำมาปากหวานนะเรา"
นิชาหัวเราะเบาๆ พร้อมกับลูบเรือนผมหนานุ่มของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
"ไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวฉันอุ่นข้าวให้ ทำไมวันนี้มาซะมืดเชียว หืม?"
"ไปหาแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อนน่ะครับ แล้วตอนค่ำก็ไปงานศพพ่อเพื่อนมา"
ร่างสูงเอ่ยพลางใช้ปลายนิ้วรูดเน็กไทสีเงินที่ตัดกับสูทสีดำแสนดูดี ทั้งๆที่เมื่อหลายเดือนก่อนเพิ่งจะบอกอยู่หยกๆว่าไม่เคยมีสูทใส่แบบใครเขา พักหลังมานี้เด็กหนุ่มดูดีขึ้นมาก ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ตั้งใจทำงานขยันขันแข็ง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นราวกับผู้ชายที่รู้ว่าตนมีคนต้องปกป้องดูแล ขณะที่ตัวเขานั้นยังเหมือนเดิม จมปลักอยู่กับความรู้สึกเดิมๆเสียจนนึกละอายใจ
"พี่นททานอะไรรึยัง?"
"ยังเลย”
“อ้าว นี่มันสองทุ่มแล้วทำไมยังไม่ทานล่ะครับ? บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ทานอาหารให้ตรงเวลา เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ดื้อจัง”
นิชาอมยิ้มให้กับสารพัดคำบ่นที่ถูกส่งมาเป็นชุด ก่อนจะเอ่ยตอบไปสั้นๆ
“ก็คิดว่านายจะมาเลยรอ"
มนุเชษฐ์เบิกตากว้าง สีหน้าดูระริกระรี้ขึ้นมาทันที พร้อมกับรีบก้าวไปที่โต๊ะอาหาร
"งั้นมากินกันเลยดีกว่า เดี๋ยวพี่ปวดท้อง วันหลังถ้าผมช้าไม่ต้องรอนะครับ ถ้าพี่เป็นโรคกระเพาะเพราะผม ผมคงเสียใจจริงๆ"
"โธ่ ไม่ต้องหรอกน่า รีบๆไปอาบน้ำได้แล้ว คลุกฝุ่นมาทั้งวัน ตัวเหม็นแล้ว"
"เหม็นขนาดนั้นเลยเหรอ งั้นไปอาบก็ได้ ขอเวลาห้านาทีเท่านั้นล่ะครับ!"
นิชาสั่นศีรษะกับท่าทางจริงจังของร่างสูงที่รีบวิ่งไปยังห้องอาบน้ำราวกับเด็กเล็กๆ แต่ในใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีที่มีใครมาคอยห่วงใยและดูแลอย่างอ่อนโยนเช่นนี้
--- แม้ว่าใจจริงแล้ว เขาปรารถนาเหลือเกินที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้จากเตชินท์มากที่สุด
ริมฝีปากคู่สวยเม้มหนัก รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ฉวยโอกาสเอาความใจดีของมนุเชษฐ์มาปลอบประโลมตัวเองในยามที่ทุกข์ใจเช่นนี้
"อ๊ะ!"
มือบางเผลอปล่อยให้ชามลื่นหลุดจนตกลงไปแตกกับพื้น ปลายนิ้วเรียวที่เอื้อมเก็บเศษแก้วที่แตกเกลื่อนบนพื้นห้องชุ่มไปด้วยเลือดจากแผลที่ถูกบาด ร่างเล็กสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังเก็บเศษแก้วที่แตกละเอียดไปทิ้งขยะได้อย่างเรียบร้อยก่อนที่มนุเชษฐ์จะออกมาจากห้องน้ำ
เขาปล่อยให้กระแสน้ำเย็นรินรดผ่านแผลเพื่อให้เลือดหยุดไหล ดวงตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ฉายแสงกลบดวงดาวที่รายล้อมอยู่มากมาย ความงดงามบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ทำให้เขาหวนคิดถึงค่ำคืนที่แสนหวานที่เขาเคยผ่านมากับเตชินท์
ณ ตอนนี้ เขากำลังรออะไรอยู่ --- ในห้องที่ไม่มีเตชินท์อีกต่อไปแล้ว
เสียงนาฬิกาเดินไปตามวินาที ราวกับเสียงฝีเท้าของคนที่เขาเฝ้าหวังให้กลับมา
"... พี่นท?"
เจ้าของนามสะดุ้ง เมื่อหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงสง่าที่เดินมาในชุดนอน เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง จะปิดบังอย่างไรก็ไม่ทัน จึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
"พี่ทำชามแตกน่ะ แก้วบาดนิ้วนิดหน่อย นายไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนเถอะ เดี๋ยวยกไปให้นะ"
นิชาเอ่ยพลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ แต่กลับถูกมือใหญ่รั้งเอาไว้ ปลายนิ้วหนาค่อยๆเช็ดน้ำตาบนใบหน้าสวยอย่างเบามือ
"... ไม่เป็นไรนะครับ"
ความอ่อนโยนและทะนุถนอมที่เขาปรารถนาจะได้จากเตชินท์ ที่ชายอีกคนกำลังมอบให้เขาอยู่นั้น ทำให้เขาทั้งรู้สึกดี --- และรู้สึกผิดอย่างร้ายกาจเหลือเกิน
"พอเถอะ..."
มือเล็กปัดข้อมือใหญ่ออก พร้อมกับใบหน้าหวานที่มีน้ำตาเอ่อท้นมากยิ่งกว่าเดิม
"... พี่นท"
"พอแค่นี้ดีกว่า..."
เสียงใสสั่นระริกอย่างเจ็บปวด ดวงตาที่ชุ่มน้ำมองตรงไปยังร่างสูงที่มองตอบกลับมาด้วยสีหน้าเจ็บร้าวไม่แตกต่างกัน
"... นายเองก็รู้ดีว่าพี่รักใคร... อย่าทำแบบนี้ อย่ามาดีกับพี่แบบนี้เลย"
มนุเชษฐ์นิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลเอ่ยแผ่วเบา
"ผมรู้ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรักพี่อยู่ดี พี่ไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่ขอแค่ในเวลาที่พี่เสียใจแบบนี้ ขอให้ผมอยู่ข้างๆพี่ตรงนี้ คอยซับน้ำตาให้พี่ อย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าพี่ร้องไห้อยู่ตามลำพัง"
นิชาปล่อยเสียงสะอื้นออกมาในที่สุด
ร่างสูงกอดร่างบอบบางที่สั่นสะท้านในอ้อมแขนเอาไว้โดยไม่พูดอะไร ปิดตาลงเพื่อกลั้นหยดน้ำใสที่พร้อมจะรินไหลออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่แตกต่างกัน
--- ทำไมนะ ทำไมถึงเป็นผมไม่ได้?"... ทำไมถึงมารักคนอย่างพี่?! ทำไม... ?!"
เสียงร่ำไห้พร้อมคำถามที่เอ่ยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังกระเส่าสลับกับเสียงสะอื้นอยู่เนิ่นนาน ราวกับจะถามน้ำตนเองมากเสียกว่าถามอีกฝ่าย
--- ทำไมหัวใจถึงไม่ยอมรับความรักจากคนดีๆที่อยู่ตรงหน้านี้เสียที
Talk: สวัสดีค่ำวันอาทิตย์ เตรียมรับมือพายุดีเปรสชั่นกันรึยังคะพี่น้อง
ชานมน่ะนะ ใจอยากจะเปิดโหวตมากเลยค่ะ
อยากรู้ว่า ทุกคนอยากให้ใครเป็นพระเอกของนิยายเรื่องนี้กันบ้าง
ตอนนี้มีใครเข้าตากรรมการกันมั่งนะ พี่ชิน น้องเชษฐ์ กับเฮียเอก (ซึ่งยังไร้บทบาท)
(แต่แน่นอน ผลจะออกมาเป็นยังไง ไม่กระทบพล็อตเรื่องที่ตั้งใจไว้ค่ะ << แล้วจะเปิดโหวตเพื่อ?!)
หลายคนบอกว่า นทโง่ นทควรจะสงสารพ่อแม่บ้าง นทควรจะรักตัวเองให้มากกว่านี้
หลายคนบอกว่า พี่ชินเลวแล้วยังบ้า แถมใช้ชีวิตโดยมีตรรกะประหลาด (5555)
ชานมขอบคุณมาก สำหรับความคิดเห็นทั้งหมดที่ทุกคนได้ช่วยกันจวกตัวละครหลักของเรื่องนี้ ด้วยใจจริงค่ะ
รู้สึกดีจริงๆ (อา... นี่เราเป็นมาโซรึเปล่าเนี่ย
)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพูดไว้จริงๆนะ ว่ามีคนใกล้ตัวของชานม เป็นเหมือนพี่ชิน และน้องนทจริงๆค่ะ
(แต่เหมือนจะอาการหนักกว่า เพราะของจริงมีติดพนันบอลด้วย และอีกคนต้องไปตามล้างหนี้ให้ คิดแล้วหงุดหงิดแทน แต่ก็เข้าไปยุ่งไม่ได้
)
ชีวิตจริง ยิ่งกว่าละคร จริงๆนะ (สังคมเรามีคนแบบนี้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ
)
เพราะงั้น อย่าเพิ่งเกลียดน้องนท หรือคิดว่าน้องนทอยู่เองคนเดียวไม่ได้นะคะ
แม้ว่าเด็กคนนี้ก็ยังร้องห่มร้องไห้ไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งถึงตอนที่ 20 แล้วก็ตาม
แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ และจะไม่จบที่น้ำตาของน้องนทแน่ๆค่ะ (อุ้ย สปอยล์รึเปล่าเนี่ย)
ป.ล. ขอหายตัวไปประมาณหนึ่งสัปดาห์นะคะ งานเข้าค่า TwT