[[ THE CAGE ]] . . กรงรัก . .
[2]
หลายครั้งที่ค่ำคืนอันแสนทรมานผ่านพ้นไป โดยที่ร่างกายบอบบางถูกห่อหุ้มด้วยเรือนกายอันแข็งแกร่งของร่างสูงใหญ่
ไม่ใช่เพราะความเต็มใจ แต่เป็นเพราะหัวใจยอมอ่อนข้อให้กับชายผู้นี้เรื่อยไป
นิชาผลักแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อออกจากกาย หงุดหงิดทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาแล้วต้องพบกับใบหน้ายามหลับอันแสนสงบสุขของชายหนุ่ม
ไม่ใช่เพราะเกลียด แต่เพราะรักมาก มากเสียจนหงุดหงิดที่หัวใจหลงรักผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ร่างตรงหน้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ดวงตาคู่สวยต้องบวมช้ำทุกเช้าไป
มือเล็กไล้ใบหน้าคมเข้มอย่างแผ่วเบาราวกับใช้ขนนกปัด นัยน์ตาปรอยมองแพขนตาที่นิ่งสนิทของอีกฝ่าย ก่อนจะโน้มกายลงจุมพิตที่แก้มของเตชินท์เบาๆ
ทั้งรักคนคนนี้ ทั้งเจ็บใจที่รักคนคนนี้ เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งในหัวใจ แต่ก็ทนไม่ได้เมื่อคิดถึงวันเวลาที่ขาดผู้ชายคนนี้เคียงข้าง
ร่างสูงเพรียวลุกขึ้นยืน มือเรียวเอื้อมหยิบบ็อกเซอร์สีดำมาสวม ในใจคิดถึงคนซื้อให้ที่นอนหลับอยู่บนเตียงทุกครั้งที่หยิบเสื้อผ้าของตนมาสวม เพราะเตชินท์ซื้อเสื้อผ้าให้เขาใส่ทุกชิ้น หนำซ้ำ ยังไม่อนุญาตให้สวมเสื้อผ้าชิ้นอื่นที่เตชินท์ไม่ได้เป็นคนซื้อให้
ด้วยเหตุผลสั้นๆที่ว่า 'นทเป็นของพี่ชิน' ราวกับว่าการสวมเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มซื้อให้จะสามารถระบุได้ว่ามี ‘เจ้าของ’ แล้วอย่างนั้นแหละ
เขายิ้มน้อยๆอย่างนึกระอาตนเอง ช่างเป็นเหตุผลที่งี่เง่าและไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เขาก็ยังยอมทำตามมาตลอดห้าปีที่คบกัน จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ร่างบางเดินไปที่ริมหน้าต่าง มือเล็กแหวกผ้าม่านออกให้แสงตะวันส่องลอดเข้ามาเล็กน้อย ในใจอยากจะเปิดหน้าต่างรับลมหนาวในยามเช้า แต่ก็เกรงว่าเตชินท์จะตื่น ดวงตาคู่สวยได้แต่มองเหม่อออกไปด้านนอก ท้องฟ้าสีฟ้าสดอันกว้างใหญ่ไร้เมฆ ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง เขาอยากจะโบยบินไปยังอีกขอบของฟากฟ้านั่น แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกจองจำ ทั้งๆที่ไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ
--- อาจเป็นโซ่ตรวนหัวใจ ที่ทำให้แม้จะต้องเจ็บปวดสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลีกหนีเตชินท์ได้พ้นก็เป็นได้“อือ...”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้เขารีบหันไปมองทางร่างที่อยู่บนเตียงด้วยความยินดี เนื่องจากนานๆทีอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นในยามเช้าก่อนที่เขาจะออกไปทำงาน ทว่า เขากลับได้พบกับภาพของใบหน้าคมที่ฉายแววหงุดหงิด คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ
“เปิดม่านทำไม?! เห็นไหมว่าพี่นอนอยู่ เกรงใจกันหน่อยสินท!”
เตชินท์เอ่ยเพียงเท่านั้นเจ้าของร่างก็พลิกกายหันหนีไปอีกทาง พร้อมกันกับม่านที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อยถูกรูดปิดอย่างว่องไวและคำขอโทษอันแผ่วเบาที่หลุดออกจากเรียวปากงามที่ส่งไปไม่ถึงร่างที่จมลงสู่นิทรารมย์เบื้องหน้า
เขาเพียงแค่อยากเอ่ยทักทายอรุณสวัสดิ์ในยามเช้าเหมือนคนรักทั่วไปบ้างเท่านั้น
ทุกเช้า หลังจากตื่นนอน สิ่งแรกที่เขาเฝ้าปรารถนาก็คือ ขอให้คืนนี้เขาไม่ต้องเสียน้ำตา ไม่ต้องทะเลาะกับเตชินท์ และได้นอนหลับอย่างสงบสุขในอ้อมกอดของคนที่เขารัก
เป็นเพียงความปรารถนาเล็กๆ --- ที่ยังไม่เคยสมหวัง
ร่างเพรียวอยู่ชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบๆ และกางเกงสีน้ำตาลช็อกโกแลต คลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำสนิท ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของคาเฟ่เล็กๆสไตล์วินเทจในย่านเกษตร-นวมินทร์ที่เตชินท์ลงทุนให้ ชายหนุ่มเองก็บอกว่าไม่ต้องคืนเงิน แต่ให้ค้าขายดีๆให้คุ้มกับที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกออกแบบให้เป็นอย่างดี
ดวงตาคู่สวยเหม่อมองออกไปนอกร้าน เห็นรถยนต์วิ่งผ่านไปมาท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ทุกคนต่างเร่งรีบเข้าออฟฟิศในตอนเช้าเช่นนี้ แม้ว่าจะใกล้แปดโมงครึ่งแล้วก็ตามที ถนนในกรุงเทพฯก็ยังมีรถยนต์จำนวนมากที่เคลื่อนตัวอยู่อย่างเร่งร้อนและติดขัด
“ผ่านมาปีกว่าแล้วเหรอเนี่ย...”
เสียงใสเอ่ยพึมพำเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นภาพถ่ายที่ติดอยู่ริมเคาน์เตอร์ เป็นภาพของเตชินท์และตัวเขาเองในวันแรกที่ร้านเปิด ในตอนนั้นเขาเพิ่งเรียนจบได้หมาดๆ กำลังคิดอยู่ว่าจะทำงานอะไรดี เขาเรียนนิเทศเพราะที่บ้านอยากให้เข้าวงการบันเทิงตามพี่สาวที่เป็นดาราและพี่ชายที่เป็นศิลปิน ตัวเขาเองแม้จะหน้าตาดีไม่แตกต่างจากทุกคนในบ้าน ติดจะสวยเหมือนมารดาเสียด้วยซ้ำ หลายคนชมว่าเขาน่ารักเพราะตาโต แต่ตัวเขาเองนั้นไม่ได้เป็นคนกล้าแสดงออก และไม่ได้ชอบพบปะกับคนจำนวนมาก จึงรีรอไม่ทันได้สมัครงานที่ไหน
แล้ววันหนึ่งเตชินท์ก็ขับรถพาเขามาที่นี่ พร้อมกับยื่นกุญแจร้านให้ และประโยคสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มที่เขาแสนรักว่า ‘ร้านนี้เป็นของนทนะ’
นิชาทอดสายตามองภาพของพวกเขาทั้งสองที่ยืนยิ้มอยู่ข้างกัน แม้ว่าจะเป็นการถ่ายรูปกล้องหน้าซึ่งไม่ชัดนัก แต่ก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มในประกายตาได้อย่างชัดเจน
ในช่วงนั้น เขามีความสุขมากเหลือเกิน
การได้พบรัก การได้เป็นที่รัก ช่างมีความสุขเสียจนคิดอยู่หลายครั้งว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ความอบอุ่นที่ได้สัมผัสนั้นทำให้เขารับรู้ได้ถึงความมีตัวตนอยู่จริง
--- แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงอดีตไปแล้วก็ตาม"พี่นท อรุณสวัสดิ์คร้าบ ---"
เสียงทักทายอย่างสดใสพร้อมกับเสียงกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งในยามที่มีคนผลักประตูร้านเข้ามา ส่งผลให้เจ้าของนามเดาได้ทันทีว่าต้นเสียงเป็นใครโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง
"เชษฐ์ อรุณสวัสดิ์"
นิชาหันไปยิ้มให้กับรุ่นน้องร่างสูงที่รีบวิ่งเข้ามาในร้าน ผิวกายสีน้ำผึ้งอย่างคนไทยแท้รับกับเรือนผมสีปีกกา สีเดียวกันกับคิ้วเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่โตฉายแววใจดีและเป็นมิตร ตลอดจนเรือนกายสูงใหญ่กำยำที่มาพร้อมกับใบหน้าคมคายและฟันสะอาดที่เรียงขาว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสาวน้อยสาวใหญ่มาตอมให้หึ่ง ทว่าเจ้าตัวกลับปฏิเสธเสียงแข็งแล้วบอกว่าไม่เคยมีแฟนเสียนี่
ทีแรกนิชาเองก็ไม่นึกเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายที่เด็กกว่าเขาเพียงหนึ่งปีนัก มนุเชษฐ์อ่อนกว่าเขาสามปี ในตอนนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ตั้งใจหาความรู้ใส่ตัว ตอนนี้เก็บเงินและเรียนภาคพิเศษในตอนกลางคืนอยู่ นิชานับถือคนขยันเช่นนี้จึงรับมาเป็นพนักงานร้าน และในที่สุดเมื่อสนิทสนมกันจริงๆ เขาจึงพบว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นเป็นความจริง
"แบกอะไรมาเยอะแยะทุกวันนะเรา?"
กระเป๋าเป้ใบใหญ่สมตัวทำให้นิชาหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่มนุเชษฐ์ฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำถามที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะระอาน้อยๆ
"ก็มีเสื้อผ้า รองเท้าผ้าใบ สมุดโน้ต หนังสือเรียน น้ำดื่ม แล้วก็บิสกิต เท่านี้เองครับ"
"รองเท้าผ้าใบ? เอามาทำไมล่ะ? คู่นี้ก็ดีอยู่แล้วนะ ไม่หนักแย่เหรอ?" นิชาเอ่ยพลางตวัดสายตาลงมองรองเท้าหนังสีดำที่ไม่ใหม่นักแต่ก็ถูกขัดเสียจนขึ้นเงา เขาเห็นอีกฝ่ายสวมรองเท้าคู่นี้มาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาสมัครงาน และเด็กหนุ่มก็สวมรองเท้าคู่นี้มาตลอดทุกวัน
"เอามาเปลี่ยนเวลาไปเรียนครับ" เด็กหนุ่มร่างสูงพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเจ้าของร้าน “เวลาเดินทางผมต้องวิ่งครับ รถเมล์เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยยอมจอด แล้วก็ต้องวิ่งไปขึ้นรถสองแถวอีก กลัวจะเข้าห้องเรียนไม่ทันครับ ถ้าสวมเจ้าคู่นี้วิ่งป่านนี้คงสึกแย่”
นิชาพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ นึกนับถือความรู้จักคิดและรู้จักถนอมสิ่งของเพื่อประหยัดเงินของร่างตรงหน้า แต่ท่าทางตั้งใจอธิบายของมนุเชษฐ์ก็ทำให้เขาอมยิ้มออกมาจนได้
"เข้าใจแล้ว พ่อคนขยัน เออนี่ วันนี้เอาคุกกี้ไปให้แม่กับน้องสาวลองชิมดูหน่อยสิ ฉันเพิ่งลองสูตรใหม่"
“ดีเลยครับ แม่กับหมิวชอบขนมฝีมือพี่นทมากเลยครับ ฝากขอบคุณมาตลอดที่แบ่งมาให้”
“ไม่มากอะไรเลย ฉันสิต้องขอบคุณที่คอยเป็นคนทดลองเมนูใหม่ๆให้ตลอด”
“ได้ทดลองขนมฝีมือพี่นทเนี่ย ผมว่าโชคดีนะครับ ฝีมือพี่นทน่ะไม่ว่าใครก็ติดใจทั้งนั้น”
“พอเลยๆ เลิกอวยได้แล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา”
นิชาเอ่ยเมื่อเล็งเห็นว่าเข็มยาวเคลื่อนเข้าใกล้เลขสิบสองไปทุกที ร้านของเขาเปิดสิบโมงก็จริง แต่เช้ามาก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องตระเตรียม หน้าที่ของเขาจริงๆคือการทำขนม เบเกอรี่ในร้านของเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น เขาชอบทำอาหาร ทำขนม ตลอดจนตกแต่งสิ่งต่างๆ นับว่าเตชินท์รู้จักนิสัยของเขาดีพอจนสามารถหางานให้เขาได้อย่างลงตัว แม้พักหลังมานี้ลูกค้ามีไม่มากเหมือนแต่ก่อนก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไร
"คร้าบ หัวหน้า"
ร่างบอบบางมองตามร่างสูงที่แสนกระตือรือร้นเดินเข้าไปในห้องพักพนักงาน รู้สึกเป็นสุขกับท่าทางร่าเริงสดใส ยิ้มแย้มและพูดจาหยอกเย้าให้คนรอบข้างหัวเราะได้อยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พอมนุเชษฐ์มาเป็นพนักงานที่นี่ บรรยากาศที่เรียบง่ายในร้านเล็กๆแห่งนี้ก็มีเสียงหัวเราะมากขึ้น มีรอยยิ้มมากขึ้น จนลูกค้าหลายรายแวะเวียนมาเป็นประจำ เพราะรักความอบอุ่นในบรรยากาศของที่นี่
หลายครั้งที่คนรอบข้างบอกให้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ทำให้ทุกวันมีแต่รอยยิ้มสดใสเช่นนี้
แต่หัวใจก็รั้นที่จะเชื่อฟัง คอยปฏิเสธอยู่ร่ำไป
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด เขาจึงได้รักและเชื่อฟังเพียงแค่คำพูดของเตชินท์เท่านั้น
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นระหว่างที่เจ้าของกำลังวุ่นอยู่กับขนมอบในเตา ทำให้มนุเชษฐ์หันไปเรียกเบาๆขณะชงกาแฟให้ลูกค้าที่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่นท โทรศัพท์ครับ”
“อ้อ ขอบใจนะ” นิชาเอ่ยพร้อมกับรีบวางถาดขนมอบไว้บนที่พัก แล้วรี่เข้ามารีบกดรับสายอย่างลนลาน “สวัสดีครับ พี่ชิน”
“ทำไมถึงรับช้า มัวทำอะไรอยู่?”
“เมื่อกี้เอาคุกกี้ออกมาจากเตาอยู่ครับ พี่มีอะไรรึเปล่าครับถึงได้โทรมา?” น้ำเสียงใสฉายแววยินดี เนื่องจากหลายเดือนมานี้ ร่างสูงแทบไม่เคยโทรหาเขาในเวลากลางวันเช่นนี้มาก่อนเลย ร่างเพรียวเดินเข้าไปในห้องพักพนักงานเล็กๆที่อยู่ถัดไปจากครัวแล้วปิดประตูเพื่อกันเสียงดังรบกวนลูกค้า
“ไม่มีโทรมาไม่ได้เหรอนท? หรือว่าอยู่กับใคร?”
“ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะครับ... ผมก็อยู่ร้าน จะให้อยู่กับใคร”
“เออ อย่าให้จับได้ละกันนท พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องนี้พี่ไม่ยอมจริงๆ”
“ผมก็ไม่ได้มีใครสักหน่อย ทำไมพี่ต้องพูดแบบนี้ด้วย”
“ไม่มีใครแล้วจะร้อนตัวไปทำไม แบบนี้มันโกหกนี่นท”
“... พี่จะโทรมาหาเรื่องกันแค่นี้ใช่ไหม? ถ้าจะพูดจาแบบนี้ผมจะวางแล้วนะ”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เปล่า พี่หงุดหงิดที่นทรับช้า ขอโทษนะ”
เจ้าของนามลดเสียงอ่อนลงเมื่อได้ยินดังนั้น “อืม ไม่เป็นไรครับ พี่ชินก็รู้ว่านทรักพี่ชินคนเดียวนะ”
“อืม พี่รู้แล้ว แต่พักหลังมานี้นทไม่ได้บอกรักพี่เท่าไหร่เลยนะ”
นิชาปรอยสายตามองพื้นกระเบื้องที่ปลายเท้า ‘พักหลัง’ ที่ว่านี้คือช่วงเวลาหลายเดือนที่ชายหนุ่มเริ่มมีคู่ควงในยามค่ำคืนที่ไม่ซ้ำหน้า แม้อีกฝ่ายจะอ้างเพียงว่าเป็นคู่นอนชั่วข้ามคืน แต่ก็มีบางคนที่เตชินท์เผลอให้เบอร์โทรศัพท์ไปจนต้องออกเดทในตอนกลางวันด้วย และอีกหลายคนที่เตชินท์ยังควงพาไปไหนมาไหนเพื่อ ‘หลอกล่อ’ ให้ตายใจ ก่อนจะใช้ทฤษฎีเดิมคือ ‘ฟันแล้วทิ้ง’
“ก็พี่ชินไม่ค่อยกลับบ้านเลยนี่ครับ”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เมื่อคืนพี่ก็กลับนะ นทยังมารับพี่เลย จำไม่ได้เหรอ?”
“ผมหมายถึง กลับบ้านมากินข้าวเย็นด้วยกัน... พี่ชินให้นทกินข้าวคนเดียวมานานแล้วนะครับ นทเหงานะ”
เสียงหวานเศร้าสร้อยและหงอยเหงาเสียจนไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องใจอ่อนยวบ เขาไม่ได้พูดเพราะต้องการให้อีกฝ่ายมาเห็นใจ แต่เป็นประโยคที่ออกมาจากหัวใจ หลายเดือนมานี้ที่เขากลับบ้านที่ว่างเปล่าไม่มีแสงไฟ และเปิดโทรทัศน์ทานอาหารเย็นตามลำพัง ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามีคนรักที่อยู่นอกบ้าน มันช่างเหงาเสียจนปวดหัวใจ
ทว่าปลายสายเพียงหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยสั้นๆ
“ไว้พี่ฟันเล็กได้แล้วพี่จะกลับไปกินข้าวด้วยนะ”
“พี่ชิน พี่ทำแบบนี้มันไม่ดีรู้ไหม สงสารผู้หญิงเขา”
“ผู้หญิงมันก็ร่านมาหาถึงที่เอง พี่ไม่ได้บังคับขืนใจเขาสักหน่อย”
นิชาเม้มริมฝีปาก นึกอยากหาเหตุผลจะโต้เถียงแต่ก็พูดไม่ออก
“... คืนนี้พี่จะกลับกี่โมงครับ?”
“พี่ว่าคืนนี้คงไม่กลับนะ เดี๋ยวพี่จะรีบจัดการให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้เราจะได้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ดีไหม?”
ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าดี ยิ่งเตชินท์จบกับผู้หญิงคนใหม่ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี แต่อีกใจกลับรู้สึกเห็นใจผู้หญิงที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกมองเป็นเพียงของเล่นชั่วคราว ‘ครั้งเดียวจบ’ เท่านั้น
เขาทอดสายตามองข้อมือที่ถูกบีบเพื่อกันไม่ให้เขาดิ้นหนีเมื่อคืนนี้ รอยช้ำจางๆเปรียบเสมือนร่องรอยที่ฉายชัดว่าร่างกายของเขาเองนั้นมีใครเป็นเจ้าของ เจ้าของที่มีคู่ควงไม่ซ้ำหน้าโดยที่เขาเองก็ไม่สามารถว่าอะไรได้ หลายคนเข้าก็คิดว่าตนเองเริ่มชินชา แต่ไม่จริงเลย จะกี่คนก็ตาม หัวใจก็ยังคงเจ็บเหมือนถูกบีบในทุกครั้งที่ต้องปล่อยให้เตชินท์ไปนอนกับคนอื่น
หลายครั้งที่นึกโทษตัวเองที่ดีไม่พอ เติมเต็มให้กับร่างสูงไม่ได้ อีกฝ่ายจึงต้องหาคนใหม่อยู่ร่ำไป
หลายครั้งก็นึกอยากจะหายตัวไป หายไปจากชีวิตของเตชินท์เสียเลย แต่เขาก็ทำไม่ได้
แค่คิดว่าจะต้องจากเตชินท์ไป น้ำตาอุ่นๆก็รินไหลออกมา เจ็บและทรมานอย่างยากจะบรรยาย เขาคงอยู่ไม่ได้หากไม่มีเตชินท์
“... พี่ชิน”
“หืม? ว่าไงครับ?”
เสียงใสพยายามควบคุมอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้สั่นระริก หยดน้ำตาที่ปริ่มขอบตาหยดแหมะลงบนพื้นกระเบื้อง
“ใส่ถุงยางด้วยนะครับ”“ครับ พี่รู้แล้ว เจอกันคืนพรุ่งนี้นะครับ เดี๋ยวพี่พาไปดินเนอร์ที่ร้านโปรดของนทเลย พี่รักนทนะครับ”
เจ้าของนามเพียงแค่ยิ้มขื่นกับประโยคสุดท้าย
รักอย่างนั้นหรือ?เหมือนเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เขาเกลียดตัวเองที่ใจไม่แข็งพอ
เตชินท์รักเขาแต่กำลังจะไปนอนกับคนอื่น แล้วพอจบกับคนนี้ อีกไม่กี่วันก็จะมีคนใหม่ สลับเปลี่ยนวนเวียนไปเรื่อยๆ
โดยมีเหตุผลเดียวที่ใช้อ้างมาตลอด ‘ก็แค่คู่นอน มีแค่นทเท่านั้นที่เป็นตัวจริงของพี่นะ’
มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าสวยจนดวงตาเป็นรอยแดงช้ำ
เขารู้ดี รู้อยู่แก่ใจดีว่าคนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้
ไม่มีทางที่จะทำแบบนี้!แล้วเหตุใด หัวใจถึงยังรัก
‘คนรัก’ ที่เป็นแบบนี้?
Talk:

สุขสันต์วันทานาบาตะค่ะ
ถือเป็นฤกษ์ดีเลยเอามาม่าเบาๆมาให้ซดกัน
ตอบคอมเม้นท์อยู่ด้านบนในหน้านี้นะคะ ^ ^ เผื่อไม่เห็น อิอิ
เรื่องนี้อยากให้คนอ่านค่อยๆซึมซับความรู้สึกของตัวละครค่ะ
ทำไมนทถึงได้ทน ทำไมพี่ชินถึงได้ทำแบบนี้ แล้วสุดท้ายจะลงเอยยังไง
ชีวิตจริงมีแบบนี้หลายคู่ เชื่อแบบนั้นนะคะ
ตัวชานมเองไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัว แต่มีคนรู้จักที่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ก็เลยเอามาถ่ายทอดให้ฟังค่ะ
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
