ตอนที่ 2ยอมรับกับตัวเองว่าหัวใจกำลังเต้นไปตามแต่แนชจะพาไป
อารมณ์เปลี่ยนไปตามแต่แนชจะทำให้มันเปลี่ยน
เป็นอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่เคยคิดที่จะต่อต้าน
ตั้งแต่ตอนที่พบเขาครั้งแรก คือตอนที่เดินผ่านห้องเรียน แล้วเห็นรุ่นพี่ตัวเล็กคนนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ก็ทำให้ยิ้มได้
ยิ้มได้โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดจากอะไร
ต่อมาก็พยายามหาโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้นั่งใกล้กันในโรงอาหาร แอบฟังเขาคุยกันด้วยความอยากรู้ ก็มีความสุข
มีความสุขได้โดยที่ไม่รู้ว่าทำไม แค่นี้ก็มีความสุข
จนถึงตอนที่เล่นฟุตบอลอยู่ในสนามแล้วหันไปเห็นเขาเดินผ่านเพื่อจะกลับบ้าน ก็มีเรี่ยวแรงซ้อมบอลต่อได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หมดกำลังใจต่อให้แ้พ้ในการแข่งขัน
เรื่องพูดจาทักทายยอมรับเลยว่า นายก้านไม่มีความกล้ามากพอ ได้แต่ส่งยิ้มให้ ถึงจะโดนล้อชื่อว่าไอ้กล้ามก็ยังชอบ
ขอแค่นี้จริงๆ สำหรับการหล่อเลี้ยงหัวใจให้มีความสุขต่อไปได้อีกหลายชั่วโมง
ไอ้คำจำกัดความว่ารัก หรือหลงน่ะไม่ได้อยู่ในสมอง
รู้แต่ว่าขอแค่ได้เห็นก็พอ
ถึงแม้ว่าการเป็นนักกีฬาจะทำให้มีสาวๆ แวะเวียนเข้ามาทำความรู้จัก แต่สุดท้ายก็เดินผ่านไป เพราะนายก้านไม่ได้มีอะไรที่เหมือนพระเอกในละคร ไม่เคยเอาใจใส่ ไม่มีเวลา ไม่เคยจำเรื่องราวอะไรได้สักอย่าง
รู้แต่ว่าสักวัน จะต้องไปยืนอยู่ข้างกันให้่ได้...
จนกระทั่งได้พบอีกครั้งเมื่อแนชกลับมาบ้าน เพียงแค่แวบเดียวที่เห็นว่ายืนอยู่กับกิมที่ตลาด หัวใจมันก็กระโดดออกมาร้องตะโกน ว่านี่แหละคือคนที่ทำให้นายก้านเป็นคนไม่มีหัวใจ
เพราะยกหัวใจให้คนๆ นี้ไปตั้งนานแล้ว
แต่เพราะแนชอยู่กรุงเทพฯ การทำความรู้จักถึงได้แทบจะไม่ได้คืบหน้าไปจากการพบกันครั้งแรก ที่ไม่เคยกล้าคุยก็ยังคงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเมื่อเจอกัน
ท้อใจจริงๆ ที่แนชจำอะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้ไม่ได้เลยสักนิด
แล้วหัวใจมันก็หกคะเมนตีลังกา พอได้อยู่ใกล้ก็อยากกอด อยากเข้าไปมีพื้นที่อยู่ในชีวิตของแนชมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เตือนตัวเองว่าเขาอาจมีคนของเขาอยู่แล้วก็ตาม
ก็ปฏิกิริยาตอนที่ได้ฟังคำสารภาพรักมันเป็นแบบนั้น
....เหนือความคาดหมาย....
ดูลังเล ไม่แน่ใจ
ทุกอย่างบอกชัดเจนว่านายก้านไม่ควรเดินหน้าต่อไป เพราะมีแต่จะผิดหวัง
แต่ก็ยังทำ
ยังคงโทรหาอยู่ทุกวัน ทั้งคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่แนชคุยด้วยก็เพราะเขามีใจให้เราเหมือนกัน
สีหน้าท่าทางที่บอกถึงความไม่แน่ใจในวันนั้นค่อยๆ จางลงไป เหลือแต่เสียงหัวเราะกับน้ำเสียงที่ได้ฟังอยู่ทุกวัน
“แนช อาทิตย์นี้จะกลับบ้านหรือเปล่า”
“ยังๆ เสาร์นี้กูทำครึ่งวัน”
“แนชไม่ได้กลับบ้านมาเดือนนึงแล้วนะ”
“เหรอ.....” แนชนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “คงสักอาทิตย์หน้าน่ะ”
“ที่จริงทำครึ่งวันเสาร์ เลิกงานก็ตีรถมาระยองได้นะ หรือจะให้ผมไปรับ”
“เฮ้ย ไม่ต้อง เสาร์อาทิตย์งานมึงยุ่ง ไว้กูจะกลับเมื่อไหร่กูจะบอกแล้วกัน มึงไม่ต้องตีรถมาหรอก”
พอถึงวันศุกร์ของหลายสัปดาห์ถัดมารถปิคอัพคันใหญ่ก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ คนขับวางแผนที่ไว้หน้ารถแล้วลงไปทำความรู้จักกับร้านค้า จนถึงยามหน้าตึก พอหกโมงเย็นถึงได้กดโทรศัพท์หาคนที่คิดว่าเพิ่งเลิกงาน
“แนช เลิกงานหรือยัง”
“ยังๆ อีกแป๊บหนึ่ง”
“แล้วไปไหนต่อหรือเปล่า”
“ไปสิ วันนี้วันศุกร์นะ”
ก้านเงยหน้ามองฟ้าที่มืดลงอย่างรวดเร็ว “ขับรถเองหรือเปล่า อย่าเมานะ”
เสียงหัวเราะมาจากปลายสายทำให้ก้านยิ้มตาม “ไม่หรอก กินเลี้ยงเสร็จแล้วก็จะกลับ”
“งั้นก็คงสักสี่ทุ่มใช่มั้ย”
“คงงั้นแหละ มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า ไม่มีอะไร แนชทำงานหนักมาตลอดอาทิตย์ เป็นห่วงว่าถ้าดึกมาก เดี๋ยวจะหลับ”
“ไม่หรอก มึงก็พักผ่อนเสียบ้างนะ”
ก้านกดวางสายพร้อมกับเหลียวหาร้านข้าวฝากท้องอีก 1 มื้อแล้วก็เดินมาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในรถ เดินเล่นรอบรถ กลับไปนั่งดูโทรทัศน์กับยาม ที่ดูเหมือนจะพอใจมากกว่าที่คนแปลกหน้าคนนี้ ลงมาจากรถแล้วก็มานั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน แทนที่จะเดินไปทั่ว
เกือบ 5 ทุ่มรถญี่ปุ่นคันเล็กเลี้ยวผ่านประตูเข้ามาจอดที่ลานจอดรถด้านใน
ชายหนุ่ม 2 คนเดินข้างกัน
ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้จับมือกัน แต่เพราะคนหนึ่งหยุดรออีกคนจนเข้ามาใกล้ ส่งยิ้มให้กันแล้วเดินคู่กันมา ทำให้ก้านเหมือนหัวใจหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น
แต่ทันทีที่คนตัวเล็กมองเห็นว่าใครยืนอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์ ก็ร้องทักแล้ววิ่งเข้ามาหา
“ก้าน มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มาตั้งแต่บ่าย ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมไม่ควรมา แต่ผมคิดถึงแนชมากก็เลยแค่อยากมาหา อยากพบ....ผม...ขอโทษ...”
คำขอโทษที่แหบพร่าย้ำไปย้ำมา แล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถ
“ไปคุยกันที่ห้องก่อนมั้ย”
คนตัวสูงที่มาพร้อมกับแนชกลับเป็นคนเรียกไว้
“ไม่ครับ ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว” ก้านเดินก้มหน้าตรงกลับไปที่รถคันใหญ่
แต่ออกรถมาพ้นกรุงเทพฯ ได้ไม่เท่าไหร่ รถคันใหญ่ก็ต้องจอดชิดข้างทาง คนขับรถก้มหน้าลงแนบหลังมือที่จับพวงมาลัย
ปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทาง
รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำ ไม่โทษตัวเองแล้วจะโทษใคร
นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ไม่ถามกันสักคำหรือไงว่ามีแฟนหรือยัง
นี่คือคำตอบของช่องว่างยาวนานหลายปีที่ไม่ได้พบกัน
เวลาที่หายไป
เท่าที่คุยกับเพื่อนของแนช ทุกคนบอกว่าแนชกลับบ้านมาคนเดียว ไม่ค่อยได้เล่าเรื่องที่ทำงานสักเท่าไหร่ อาจเพราะงานที่ทำมันคนละเรื่องกับเพื่อน
เรื่องเล่าที่ชวนให้คิดเข้าข้างตัวเองว่า แนชไม่มีใคร
แต่ที่เห็นวันนี้มันไม่ใช่
เหมือนโลกหยุดหมุนไปเนิ่นนาน รู้สึกตัวเมื่อมีเสียงเคาะกระจกรถด้านคนขับ หนุ่มตัวเล็กยืนอยู่ แต่ใกล้กันคือผู้ชายคนที่พบกันที่อพาร์ตเมนต์
“เปิดประตู”
ก้านปาดน้ำตาแต่ยังไม่ยอมเปิดประตู
“เปิดประตู! อย่าให้กูต้องโมโห!”
“ไม่”
"ไม่ห่าอะไร สัดชอบทำให้กูโมโห เหี้ยไอ้ยักษ์บ้าขี้น้อยใจ เดี๋ยวพ่อทุบรถให้ช่างไม่รับซ่อมซะหรอก! กูบอกให้เปิดประตู!” ประโยคท้ายหนุ่มตัวเล็กเงื้อกระเป๋าในมือประกอบท่าทางจนก้านต้องรีบเปิดประตู
พอเปิดประตู แนชก็โยนกระเป๋าใบเล็กไว้ที่เบาะด้านหลัง แล้วดึงก้านมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นี่พี่มนตรี ทำงานที่เดียวกัน แต่เขาอยู่คอนโดฯ ใกล้ๆ เลยติดรถกลับมาด้วยกัน กูไม่ได้ไปกินเลี้ยงกับเขา 2 คนแต่ไปกันหลายคนเพราะพี่ที่ทำงานเขาเลี้ยงวันเกิด มึงเข้าใจมั้ย”
ก้านหันไปมองหน้าคนที่ยืนยิ้มขำอยู่ข้างๆ
“ไม่ใช่แฟนแนชหรือครับ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” มนตรียังคงตอบด้วยรอยยิ้ม จนก้านต้องลูบท้ายทอยเก้อๆ
“คุยกันนะ” มนตรีบอกแล้วกลับไปที่รถ
ก้านชี้ไปที่รถคันนั้น “นั่นรถแนชไม่ใช่หรือ”
“ใช่ รถกู แต่ถ้าไม่เอารถกูมา จะตามมึงมาทันมั้ยสัด ขึ้นรถเลย!” แนชด่าไม่หยุด ความดังของเสียงไม่ได้เบาลงกว่าเดิมเลยสักนิด
“ผมขับเองก็ได้”
“ไม่ได้!” แนชหันไปเสียงดังใส่หน้าคนตัวโตที่กำลังจ๋อยจืด “เดี๋ยวมึงน้อยใจอะไรขึ้นมา ขับรถชนต้นไม้ข้างทางทำไง ไม่ต้องยืดยาด ขึ้นรถเลย”
แต่แนชก็ขับรถไปทั้งที่ด่าไม่หยุด จนก้านชักเริ่มกังวลว่าใครกันแน่ที่จะขับรถชนต้นไม้ข้างทาง
กระทั่งเข้าเขตระยองแนชก็พลิกดูนาฬิกาข้อมือ
“สัด ดึกป่านนี้แม่เข้านอนแล้วแน่ๆ”
พอหันไปมองคนข้างๆ ที่ค่อยคลี่ยิ้มกว้าง แนชก็กลับรู้สึกแปลกๆ
“สัด กูบอกแล้วไงว่าห้ามยิ้ม”
ก้านกลับยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
ยิ้มแบบนั้นมันยิ่งทำให้คนนี้หน้าแดงจัด หัวใจก็เต้นแรงตามไปด้วย
“ให้ผมขับเองดีกว่า”
“ไม่ต้อง บอกทางมา”
ขับรถต่อไปอีกพักแนชก็บ่น “สัด ถ้านี่เป็นแผนมึงนะ กูจะถลกหนังหัวมึงมาทอดกรอบ” ดวงตากลมตวัดมองคนที่นั่งข้างๆ “คราวก่อนเอาตุ๊กตามาหลอกกู คราวนี้เอาน้ำตามาหลอกกูอีก กูเป็นห่าอะไรของกูวะเนี่ย”
ก้านมองคนที่ด่าด้วยเสียงสูง คงเพราะโกรธตัวเองมากกว่า
...อยากหยิกแก้มชะมัด....
“ขำอะไร” เสียงห้วนๆ ตวัดมาหาทันที
แต่คนนี้หุบยิ้มไม่ทันเสียแล้ว ก็เลยยิ้มค้างมันอยู่อย่างนั้น
...เออนะ แค่เขาตามกลับมาบ้าน ก็อารมณ์ดีได้ โดนด่ามาตลอดทางก็ไม่สะเทือน...
รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าโฮมสเตย์ ผ่านห้องพักที่คืนนี้มีคนพักอยู่เพียง 2 คนเป็นคู่สามีภรรยาศิลปินชาวตะวันตก ที่ยังนั่งเขียนรูปอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าห้องริมสุด
พอจอดรถก้านก็หันไปหยิบกระเป๋าของแนชแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน หันมามองคนที่เดินตามเข้ามา
ตอนที่เจอที่กรุงเทพแนชดูตกใจ ตอนที่ตามมาทันระหว่างทางดูโกรธ
แต่ตอนนี้ดูเหนื่อยๆ
ก้านเป่าลมหายใจจากปาก จนคนตัวเล็กสงสัย
“เป็นอะไร”
ก้านส่ายหน้า เดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่มมาส่งให้
แนชดื่มหมดแก้ว แล้วก็ส่งแก้วคืนให้ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนี้ควรจะคุยอะไรยังไงกันดี เพราะที่อยากด่าก็ด่าไปแล้ว ที่อยากบ่นก็บ่นแล้ว เลยเดินไปล้างหน้า เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วกลับออกมา ก้านยังยืนรออยู่
“ทำไมต้องไปรอ”
“แนชไม่ได้กลับบ้านกว่า 2 เดือนแล้ว”
“แล้วไง ที่ผ่านมากูก็เป็นงี้แหละ ถ้ามีงานวันเสาร์หรืออาทิตย์กูก็ไม่กลับบ้าน”
“ก็ผมไม่รู้”
“เออ งั้นก็รู้ไว้ซะ ไม่ต้องไปรอ”
ก้านกัดริมฝีปากแน่น ท่าทางผิดหวังจนแนชต้องเกาศีรษะแรงๆ
“ห่า ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจจริงๆ”
“ผมขอโทษ ต่อไปผมจะไม่ไปอีกแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือมัน....พูดยากจริงโว้ย” คนตัวเล็กยิ่งพูดยิ่งอึดอัดตัวเอง บ่นไปว่าไป เดี๋ยวยักษ์ร้องไห้ขึ้นมาอีกทำไง
“แนชอยากให้ผมทำอะไร”
“ทำแบบที่มึงเคยทำ”
“แบบที่ผมทำ” ก้านทวน ขณะที่รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ “เข้าใจแล้ว แนชขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ผมขอเดินดูรอบๆ นี่ก่อน”
ก้านออกมาที่ด้านนอก พูดคุยกับยามครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาที่บ้านพัก กะเวลาว่าแนชจะอาบน้ำเสร็จแล้ว
กลับเข้ามาแนชกลับยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน
“มึงหายไปนาน”
“ผมคุยกับลุงยามที่ด้านหน้า อากาศมันเย็นๆ เดี๋ยวแกหลับ”
แนชยิ้มขำ “มึงกลับเข้ามาแกก็หลับแล้ว”
“แนชหิวหรือเปล่า”
“ไม่หรอก เมื่อหัวค่ำกินบุฟเฟ่ต์อิ่มจนถึงพรุ่งนี้เที่ยงน่ะแหละ”
คนตัวเล็กเหลือบตามอง “มึงไปอาบน้ำเถอะ”
แนชเวลาอารมณ์เย็นลงนี่เป็นคนละคนกับคนที่ร้องด่าลั่นถนนคนนั้นจริงๆ
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนนั้น กลับทำให้ก้านต้องหัวเราะขำ
กูนี่ก็หลงเขาเสียหัวปักหัวปำ น้อยใจบ้าบออะไรก็ไม่รู้ อย่างกับเขาตกปากรับคำเป็นแฟนกันแล้วอย่าง
ออกมาจากห้องน้ำ แนชยังนั่งรออยู่บนเตียงใหญ่ “แอบไปร้องไห้อีกหรือเปล่า”
“เปล่า”
“เออ ดีแล้ว เพราะกูจะโมโหเวลาที่มึงร้องไห้”
ก้านใส่กางเกงนอนขาสั้นแล้วเดินมานั่งข้างๆ “ก็มีแต่แนชคนเดียวนี่แหละที่ทำให้ผมร้องไห้”
“อย่ามาโทษกู ก็มึงน่ะแหละ คิดเยอะเอง”
เมื่อหันไปมองคนที่ยังคงนั่งรออยู่ทั้งที่ดึกมากแล้ว ใจที่ยังกังวลเพราะกลัวคำตอบ กลับรู้สึกว่า ควรถามคำถามนั้น..
“แนช...มี..แฟนหรือยัง”
แนชกะพริบตางงๆ “มาถามอะไรตอนนี้”
“เพราะผมกลัวคำตอบ แล้วครั้งก่อนที่เราคุยกัน แนชทำเหมือนแนชมีแฟนแล้ว แต่แนชก็คุยกับผม”
“ก็แค่คุย” แนชบอกแล้วเกิดอาการอยากตบปากตัวเอง เพราะไอ้คนตัวโตหงอยลงไปทันที
“แนชมีแฟนแล้วจริงๆ ใช่มั้ย”
“ถ้ามีแล้วกูยังตามมึงมาถึงที่นี่ กลับไปกูคงได้กลายเป็นศพ”
ก้านหันไปมองคนที่ยังคงตอบโยกโย้ไปเรื่อย นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะมีวันที่ได้ยินคำว่ารักจากแนชสักครั้งหนึ่งมั้ย
คนตัวโตลุกไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงนอนหยิบกล่องไม้ใบเล็กจิ๋วมาส่งให้ แต่แนชกลับกอดอกแน่น
“ให้”
“ฮึ”
“ถ้าไม่เอาผมจะร้องไห้นะ”
แนชเหลือบตามองคนตัวโตแล้วหลุดขำ “ไอ้ห่า ไอ้บ้า ไอ้เพี้ยน ขู่บ้าบอคอแตก มีดีแค่สวยกว่าผู้หญิงเท่านั้นแหละ”
“รับไว้เถอะ ไม่ใช่แหวนหมั้นหรอกน่า”
คนตัวเล็กหน้าแดงไปถึงหู
“อ้าวนี่คิดว่าเป็นแหวนจริงๆ น่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะให้ แต่มันเร็วไป ให้แนชไปเลือกเองดีกว่า”
“มึงนี่คิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากเลยนะเนี่ย”
แนชบ่นอุบอิบ แต่ก็ยังไม่ยอมรับกล่องมาอยู่ดี ก้านเลยจับให้นั่งคร่อมตักหันหน้าเข้ามาหา แนชไม่ได้ขัดขืนสักเท่าไหร่ เพราะชักเริ่มเหนื่อยใจกับไอ้นิสัยทื่อๆ ของก้าน
“คงเพราะในสมอง และในหัวใจของผมมีแต่แนช บางครั้งเวลาที่เห็นกระเป๋า หรือเสื้อผ้า ผมจะเผลอคิดไปว่า ของชิ้นนี้เหมาะกับแนช ผมซื้อแล้วเอาไปฝากไว้ที่แม่ได้มั้ยนะ”
“เดี๋ยวนะ แม่ไหน แม่กูหรือแม่มึง”
“แม่แนชสิ”
“เหอะ เข้าบ้านครั้งเดียว เรียกแม่เลยนะ”
อันที่จริงก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพ่อกับแม่ เข้ากับก้านได้ดี อาจเพราะก้านเรียนจบก็กลับมาทำงานที่บ้าน คงได้เจอพ่อกับแม่บ่อย
ก้านก้มลงหอมแก้มที่เบี่ยงหลบทันที
“ห่านี่ ตลอดๆ ตามใจทีไรแม่งแถมทุกรอบ”
“ก็...เวลาอยู่ใกล้แล้วอยากทำแบบนี้” แขนแข็งแรงรัดแน่น “อยากกอดไว้แบบนี้ตลอดเวลา”
“ก้าน”
“ครับ”
“กูขอบใจที่มึงคิดดีๆ กับกู แต่กูไม่อยากให้มึงคาดหวังอะไรกับกูมากนัก คือ....มึงอาจชอบกูเพราะ มึงแค่เดินผ่าน หรืออยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้จัก กูเอาแต่ใจมากเลยนะ ปากจัดด้วย เรื่องมาก ขี้บ่น”
“แต่ผมว่า ผมเจอมาหมดแล้วนะ”
“เออ แล้วกูก็พูดอะไรซึ้งๆ อย่างที่มึงพูดไม่เป็น”
“ก็ไม่เป็นไร”
“แล้วอย่ามาเหนื่อยใจกับกูทีหลังแล้วกัน”
ก้านหันมาโอบกอดแนชไว้แน่น “ขอบคุณที่ให้โอกาสผม”
“ให้โอกาสอะไร ก็แค่...มึงอย่าร้องไห้อีกก็พอ”
ก้านก้มลงกดจมูกที่ข้างแก้ม “งั้นก็รับของที่ผมซื้อมาให้แนชนะ”
“อะไร”
แนชหันมามองมือใหญ่ แต่ริมฝีปากบางกลับหันมาสบกับคนที่รออยู่มือใหญ่ดันหลังศีรษะให้เงยหน้าขึ้นรับจูบ ดูดเม้มริมฝีปากแล้วบดขยี้
มือเล็กๆ ดันอกกว้างแต่แทบไม่ขยับ ยิ่งนานยิ่งเหมือนหมดแรง จนก้านผละออก แนชก็เอนตัวลงซบกับไหล่หนา
“ห่า เหนื่อย ทำไมจูบแล้วมันเหนื่อยอย่างนี้ทุกครั้งเลยวะ คนอื่นเขาจูบกันมันจะเหนื่อยอย่างนี้มั้ยเนี่ย”
ก้านยิ้มขำคนที่ยังบ่นไปเรื่อย ขณะที่เปิดฝากล่อง หยิบสร้อยข้อมือทำด้วยเงินมาใส่ให้
“ชอบมั้ย”
“ฮื่อ”
“ก้าน”
“ครับ”
“จะสว่างอยู่แล้ว กูนอนได้หรือยัง”
“ง่วงแล้วหรือ”
“ง่วงสิ กูไม่ใช่มนุษย์เหล็กอย่างมึงนะ”
พอก้านคลายแขนออกแนชก็คลานไปนอนที่อีกด้านหนึ่งของเตียง แล้วก็หลับไปทันที
เร็วจนคนที่เดินไปปิดไฟแล้วกลับมานอนข้างๆ ยังประหลาดใจ
(มีต่อครับ
)