14 : ความคลุ้มคลั่ง
ดวงไฟสีน้ำเงินพรายทอประกายประหลาดภายใต้ห้วงน้ำลึกในอัลโดรธ์ อูห์รูนค้อมกายให้องค์กษัตริย์ของตนอย่างเคารพรัก ก่อนจะถอยร่างและเดินกลับออกไปตามทางเดินยาว รอจนผู้รับใช้เดินลับเหลี่ยมทาง องค์กษัตริย์จึงค่อยเปิดประตูห้องบรรทมออก สิ่งแรกที่ปรากฏคือรูปสลักหินของสตรีที่พระองค์ไม่เคยทราบนาม
เรเธียร์ก้าวเท้าผ่านทรณีประตูเข้าไป ยกมือขึ้นและนิ้วมือที่สลักจากหินนั้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์นางหนึ่ง และหลงรักนางเมื่อนางได้ตายจากไปแล้ว
ริมฝีปากของเรเธียร์ปรากฏรอยยิ้มเศร้าๆ
ไยความรักจึงได้เล่นตลกกับพระองค์เยี่ยงนี้
องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมิเคยเปิดเผยเรื่องราวของนางในฝันนี้ให้ผู้ใดรู้มาก่อน มิใช่เพียงเพราะทรงอับอายในความรักที่แปลกประหลาดพิสดาร แต่เพราะดวงหทัยปวดแปลบอยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของนาง ยามยกมือขึ้นแตะรูปสลัก คลายเหมือนมีเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงผ่านนิ้วมือเข้าไปในหัวใจ แม้พระองค์อาศัยอยู่ภายใต้สายน้ำเย็นยะเยียบมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ แต่สัมผัสของแท่งหินไร้ชีวิตนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายน้ำเป็นไหนๆ
สัมผัสแห่งชีวิตที่พระองค์ปรารถนาไม่มีวันได้มาโดยเด็ดขาด
เรเธียร์พิศดูรูปสลักนางมนุษย์ ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่อาจเทียบความงามของสตรีชาวบาดาลได้ แต่พระองค์ก็ยังหลงรักนางจนมิอาจโงหัว และมิอาจบอกเล่ากับผู้ใด ยกเว้นเสียแต่...มังกรจากโลกเบื้องบนตนนั้น
ไม่ทราบเป็นโชคร้ายหรือโชคดีของอัสธาราธ ที่หลงเข้ามาในดวงจิตของพระองค์ ตลอดเวลาสามพันปี มีหลายร้อยชีวิตที่พลัดหลงเข้ามาในห้วงจิตไพศาล บางผู้ต้องการเข้ามาล้วงความลับในความทรงจำนับชาติไม่ถ้วนของพระองค์ บางผู้พลัดหลงเข้ามาโดยบังเอิญ แต่ไม่ว่าผู้ใด พระองค์ไม่เคยปล่อยให้เล็ดลอดกลับออกไปได้ ในห้วงจิตลึกล้ำเช่นนี้ ควรหรือจะปล่อยให้มีผู้บุกรุก กระนั้นพระองค์กลับปล่อยมังกรตนนั้นไป
ไม่ทราบอัสธาราธรู้โทษของตนหรือไม่ การบุกรุกเข้ามาในห้วงจิตขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้ปั่นศีรษะของราชวงศ์ซาร์เกวนส์ทั้งราชวงศ์ พ่วงด้วยคอนเชียร์ทั้งเกาะ ก็ยังมิอาจชดใช้ความบังอาจนั้น
แต่เรเธียร์ไม่หวังเห็นศีรษะของผู้ใดหลุดออกจากบ่า ยังไม่ต้องการทำลายเกาะน้อยๆ ในห้วงน้ำกว้างของพระองค์ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ที่แตกแขนงออกไป ยิ่งไม่ต้องการเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของมังกรหนุ่มตนนั้น
มิทราบเพราะเหตุใด พอสบนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นแล้ว หัวใจพาลอ่อนยวบยาบอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าเรื่องใดก็ดูจะน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียสิ้น
หรือว่านี่จะเป็นอาการแปรปรวนในช่วงสุดท้ายของอายุขัย
เรเธียร์วางมือลงบนแผ่นหินสลัก ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพริ้มพราย เพียงแค่นึกถึงสีหน้าของมังกรหนุ่มตนนั้น หัวใจของพระองค์ก็อุ่นวาบเหมือนมีดวงไฟเล็กๆ ผุดขึ้น ความเจ็บปวดราวถูกเข็มทิ่มแทงยามสัมผัสกับแผ่นหินก็พลันมลายหายไปสิ้น หากรั้งตัวอัสธาราธเอาไว้ได้จวบจนพระองค์สิ้นอายุขัย วาระสุดท้ายคงไม่ชืดชาเกินไปนัก
คอนเชียร์ก็แค่เกาะเล็กๆ หากพระองค์ประสงค์จะได้ตัวเจ้าชาย ผู้ใดจะกล้าขัดเล่า
----------------------------------------------
อัสธาราธลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอน เนื่องจากห้วงน้ำที่ปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่งจนกระแทกกำแพงศิลาดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระราชวัง คราแรกอัสธาราธคิดว่าตนคิดมากจนวิกลจริต แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบเห็นมังกรน้ำหลายตน กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น?!” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เอ่ยถามมังกรเหล่านั้น แต่พอพวกเหล่านั้นหันมาเห็นตน ก็พลันหน้าถอดสีเข้าไปอีก กระซิบกระซาบกันและพากันถอยห่าง อัสธาราธถึงกับยืนงุนงง
“มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสะเทือน หรือพวกท่านไม่ได้ยิน?”
มังกรเหล่านั้นหันไปมองหน้ากัน สีหน้าซีดเผือดกว่าเดิม หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น
“เจ้าชาย ท่านไม่ได้ยินหรือ ชื่อของท่าน”
อัสธาราธมีสีหน้างุนงงกว่าเดิม ครั้นจะเดินเข้าไปถามตอน มังกรพวกนั้นก็รีบเดินหนีไปจนหมดสิ้น ราวกับหากเข้าใกล้เขาแล้วจะถูกลงโทษอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น
“เจ้าชาย!”
สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่อัสธาราธกลับยิ้มออกมา
“ท่านมาพอดี ข้าพเจ้ากำลังอยากทราบ นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านไม่ได้ยิน?” อูห์รูนถามกลับ สีหน้าตื่นตระหนกกว่าเดิม อัสธาราธพยักหน้า ด้วยสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน
“ข้าพเจ้าได้ยิน เสียงน้ำกระแทกหินเหมือนจะทลายให้แตกออก”
“โอ...” ผู้รับใช้คราง และรีบกล่าวสืบต่อ “ท่านรีบติดตามเรามา แต่อย่าได้เกินใกล้เราเด็ดขาด”
คิ้วของอัสธาราธขมวดเข้าหากันทันที เปิดประตูออกมาก็โดนมังกรพวกนั้นทำเหมือนรังเกียจ พอเจออูห์รูน เจ้าตัวก็ดูจะทำท่ารังเกียจอีก ทั้งๆ ที่ตนเองก็ดูแล้วว่าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยมิดชิด หน้าตาก็ไม่น่าผิดไปจากวันก่อนๆ ทำไมทุกคนถึงได้ดูรังเกียจรังงอนเช่นนี้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” อัสธาราธพยายามจะตะโกนถามอูห์รูนที่เดินราวกับจะวิ่งอยู่ด้านหน้า เนื่องจากกระแสน้ำปั่นป่วนอย่างหนัก การเดินตามอูห์รูนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อัสธาราธเดินไปพลางเซไปพลาง ชนเข้ากับผนังหินรอบแล้วรอบเล่า จนนึกสงสัยว่ากระแสน้ำบ้าคลั่งนี้จงใจจะเล่นงานตนเองเพียงคนเดียวหรือเปล่า?
เพราะไม่มีใครอธิบายอะไรให้เขาฟังเลย อัสธาราธที่วิ่งเซไปเซมาและพยายามตะโกนถามจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“ข้าพเจ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น!!!”
เกลียวน้ำตรงหน้าคล้ายตอบสนองกับเสียงตะโกน ม้วนตัวกราดเกรี้ยวซัดเข้าใส่ร่างของเขาทันที ความเจ็บปวดชนิดที่พูดไม่ออกแล่นเข้าสู่ร่างกายของมังกรหนุ่ม อูห์รูนหันหลังกลับมา มองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิ่งกว้างอย่างตระหนก
อัสธาราธถูกคลื่นน้ำกระแทกจนเซถลาไปด้านหลังเหมือนถูกดูด ทั้งเจ็บปวดทั้งงุนงงและแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ยังสับสนกับทิศทางที่กำลังกระเด็นไป ผ้าสีฟ้าเทาผืนหนึ่งก็พุ่งปราดเข้ามา มังกรหนุ่มยุดเอาไว้ตามสัญชาตญาณทันที แรงดึงมหาศาลกระชากเขาออกจากห้วงน้ำวนนั้น
“ท่านอย่าได้ตะโกนถามอะไรอีก รีบไปให้พ้นจากตัววังโดยเร็วเถิด”
อูห์รูนกล่าว ผ้าสีฟ้าเทาเมื่อครู่มาจากเขานี่เอง แม้สงสัยหัวแทบแตก แต่เห็นสีหน้าจริงจังและการที่เจ้าตัวกระโดดถอยห่างออกไปทันทีที่เห็นตัวเขา อัสธาราธเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจปิดปากเงียบและวิ่งตามผู้รับใช้ไป เนื่องเพราะห้วงน้ำบ้าคลั่งเมื่อครู่น่าหวั่นกลัวยิ่งนัก
กระแสน้ำในพระราชวังยังคงปั่นป่วนบ้าคลั่ง เสาหินน้อยใหญ่สั่นสะเทือนราวกับพร้อมจะถล่มได้ทุกเมื่อ อูห์รูนวิ่งไปได้สักพัก ก็หันหน้ากลับมา กล่าวอย่างร้อนรน
“ท่านรีบวิ่งตรงไป ด้านหน้ามีประตูทางออก ท่านรีบตรงออกไป ไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน!!”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เกลียวน้ำที่ม้วนวนอย่างบ้าคลั่งก็พุ่งเข้าซัดใส่ผู้รับใช้ อูห์รูนกระเด็นไปกระแทกกับเสาหินที่อยู่ไม่ห่างไปนัก กระนั้นยังคงตะโกนสั่ง
“รีบไป รีบไป!!!!”
อัสธาราธมองหน้าผู้รับใช้แห่งสายน้ำเลิกลั่ก พอเห็นอีกฝ่ายตะโกนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจำใจต้องวิ่งต่อไป โดยที่ยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อูห์รูนยันกายอย่างยากลำบากหลังจากอัสธาราธออกไปแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าเทาหรี่เพ่งมองไปยังห้วงน้ำบ้าคลั่งเบื้องหน้า เงาสีเขียวดำค่อยๆ เคลื่อนคล้อยมาราวกับปิศาจร้าย ลูกกลมสีมรกตสองลูกที่มีจุดดำเล็กๆ อยู่ตรงกลางเต้นระริกอยู่ท่ามกลางหมู่เกลียวคลื่นสีสันน่าสยดสยอง อูห์รูนกลืนน้ำลาย
“องค์กษัตริย์ ทรงควบคุมพระสติก่อนเถิด”
ห้วงน้ำหมุนวนซัดกระแทกเขาอย่างไม่ปราณี ร่างเพรียวบางเซไปกระแทกกับเสาหินอีกรอบ ก่อนจะก้มลงหมอบกราบแทบพื้น
“นี่ข้าพระองค์เอง ทรงจำไมได้หรือ?”
คลื่นน้ำรุนแรงซัดกระแทกมาอีกรอบ หากบนบกมีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตา ตอนนี้สิ่งนั้นคงไหลอาบแก้มผู้รับใช้ อูห์รูนยันกายลุกขึ้นอย่างน่าสงสาร ละล่ำละลักกล่าว
“พระองค์เป็นอะไรไปแล้ว…..”
ลูกกลมสีมรกตยังคงเต้นระริกอย่างน่าหวาดหวั่นภายใต้เกลียวคลื่นรูปร่างประหลาด ห้วงน้ำหมุนวนบ้าคลั่ง ซัดกระแทกเสาหิน ผนังและเพดานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนกันเป็นชื่อชื่อหนึ่ง
อัสธาราธ
----------------------------------------------
อัสธาราธเคยไปที่หุบเหวเสียงสะท้อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่กระนั้นความทรงจำของเขาก็ยังดีเยี่ยม เจ้าชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ จึงว่ายมาถึงหุบเหวที่ว่า ยิ่งออกห่างจากพระราชวัง ความบ้าคลั่งของเกลียวคลื่นก็ดูจะลดน้อยลงตามลำดับ เจ้าชายหนุ่มยืนลังเลอยู่พักหนึ่งตรงปากเหว ก่อนจะกระโดดลงไป
เสียงสะท้อนที่เขาได้ยินตอนอยู่ภายในวังดังเข้ามาในโสตประสาท ทั้งเสียงตะโกนถาม และเสียงตอบของผู้รับใช้แห่งสายน้ำ และยังมีเสียงอีกเสียงหนึ่ง ที่อัสธาราธแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
อัสธาราธ
เสียงนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำๆ น้ำเสียงแตกพร่าแต่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด อัสธาราธนึกทบทวนความทรงจำขณะที่เสียงนั้นดังซ้อนๆ อยู่ในหัว ตอนที่เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องนอน จนกระทั่งวิ่งหนีออกมา มีผู้หนึ่งที่ควรจะปรากฏตัวมากที่สุด และมักจะปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเขาเสมอตั้งแต่ลงมาในห้วงน้ำแห่งนี้
เรเธียร์
มังกรหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว น้ำเสียงนั้นแม้แตกพร่าแต่เป็นเสียงขององค์กษัตริย์ไม่ผิดแน่ ไฉนตอนที่ยังอยู่ในวังเขาจึงไม่ได้ยินเล่า เสียงนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ราวกับต้องการให้กลับไปอยู่ใกล้ๆ อัสธาราธรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก นี่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วิปลาสที่เขาเพิ่งเผชิญมาหรือไม่ คลื่นน้ำเหล่านั้นบ้าคลั่งเกินกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เกิดอะไรขึ้นกับเรเธียร์
อัสธาราธลอยลิ่วลงสู่ก้นเหว ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง
----------------------------------------------------------
อูห์รูนตะเกียกตะกายหนีจากห้วงน้ำบ้าคลั่งที่ถ่าโถมเข้าใส่ เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับอาการวิปลาสของกษัตริย์บางพระองค์ในช่วงบั้นปลายของอายุขัย เมื่อร่างกายไม่แข็งแกร่งพอจะรองรับดวงจิตที่ยังไม่ถึงกาลแตกดับ พลังงานจิตมหาศาลจะล้นทะลักออกมาและสร้างภัยพิบัติไปทั่วท้องน้ำแห่งอิลห์ลาริน
แต่ว่ากษัตริย์พระองค์นี้ไม่มีแนวโน้มจะวิปลาสมาก่อน แม้ร่างกายจะเข้าสู่วัยชรามากแล้วก็ตาม อาการบาดเจ็บอย่างน่ากลัวก่อนหน้านี้ก็รักษาจนหายแล้ว ไฉนจู่ๆ จึงเกิดอาการคลั่งขึ้นมาได้เล่า หนำซ้ำยังมีเป้าหมายไปที่เจ้าชายจากต่างแดนนั้นอีกด้วย
อูห์รูนไม่กล้าเสี่ยงให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันนี้ ไม่ว่าภายหลังองค์กษัตริย์จะคืนสติหรือไม่ก็ตาม หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างนั้น ต่อให้มีพระสติคืนมา ก็คงยากจะสะสางปัญหา และต่อให้มีกษัตริย์องค์ใหม่ ก็อาจจะเป็นชนวนบาดหมางกับดินแดนเบื้องบนได้ ดังนั้นอูห์รูนจึงจำต้องพาเจ้าชายหนีไปให้ไกลที่สุด หากไปถึงหุบเหวเสียงสะท้อน ดวงจิตขององค์กษัตริย์คงไม่ติดตามไป ตอนนี้เขาคงต้องหาวิธีทำให้พลังงานจิตที่บ้าคลั่งนี้สงบลงก่อน
ปัญหาคือ ตอนนี้แค่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ก็แทบจะแย่แล้ว
อูห์รูนถูกซัดไปชนเสาหินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกเหมือนกระดูกตัวทั้งตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าองค์กษัตริย์ผู้อ่อนโยนยามคลุ้มคลั่งจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ร่างเพรียวบางส่งเสียงอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เกลียวคลื่นสีสันน่าสะอิดสะเอียนแผ่ไปทั่วบริเวณ ความกดดันชนิดที่แทบจะทำให้ผู้สัมผัสโดนเสียสติอัดแน่นไปทั่วทุกอณูของผืนน้ำ อูห์รูนคิดว่าตนคงจะตายก่อนที่องค์กษัตริย์จะคืนสติเป็นแน่แท้ ส่งเสียงร่ำรองออกไปอย่างสิ้นหวัง
“พระองค์ได้โปรดหยุดเถิด ได้โปรดหยุดเถิด”
ดวงกลมสีมรกตเต้นระริก ก่อนที่เกลียวคลื่นบ้าคลั่งจะไหลกระแทกเข้าสู่ร่างผู้รับใช้อีกครั้ง
-------------------------------------------------
อัสธาราธรู้สึกคลื่นไส้ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในทิศทางไหน ตั้งตัวขนานกับพื้น หรือกำลังกลับหัวกันแน่ ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือเขาเพิ่งสัมผัสเกสรของผู้พยุงจิต และคงหลุดเข้ามาในจิตของผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำแล้ว แต่ครั้งนี้ ห้วงจิตดังกล่าวดูจะซับซ้อนสับสนยิ่งกว่าที่เขาเคยพบ
คราก่อน อัสธาราธเข้ามาและพบเห็นเรื่องราวของอิสตรีนางนั้น แต่ครั้งนี้ เขาพบกับกระแสจิตที่หมุนวนคลุ้มคลั่ง กระแทกกระทั้นเข้าใส่ราวกับคลื่นน้ำที่เขาเพิ่งหนีออกมาไม่ปาน อัสธาราธไม่สามารถจับใจความของกระแสจิตนั้นได้ ยิ่งไม่อาจกระทำใดๆ ได้ นอกจากถูกพัดหมุนวนไปจนเวียนหัว ความสะอิดสะเอียนน่าคลื่นไส้ทับถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า มังกรหนุ่มรู้สึกเหมือนจิตจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาตะเกียกตะกายอยู่ในห้วงจิตสับสน และพยายามจะตะโกนเรียก
“เรเธียร์!”
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด คล้ายห้วงจิตนั้นพะว้าพะวงอยู่กับบางสิ่งบางอย่างภายนอก อัสธาราธลองตะโกนอีกหลายครั้ง ก่อนจะถูกเหวี่ยงจนพูดไม่ออก อณูจิตไหลทะลักเข้าแทรกแซงจิตของเขาเหมือนจะเข้ายึดครอง อัสธาราธดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ตะโกนเรียกชื่อเรเธียร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สติถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว
มืดสนิท......................
เหมือนหล่นลงไปในเหวที่ไม่มีก้น อัสธาราลอยละลิ่วอยู่ในความมืดที่ว่างเปล่า ไม่มีความกดดันหรือความสับสน มีเพียงความว่างเปล่าที่อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าลอยผ่านความมืดนั้นนานเท่าใด รู้อีกทีรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นสีขาว กระนั้นก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ไม่มีก้นบึ้ง เพียงแต่ร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง เรือนผมสีน้ำเงินพรายนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นผู้ใด อัสธาราธอ้าปากเรียกชื่อออกไป
“เรเธียร์!”
ร่างเพรียวคล้ายไม่ได้ยิน ออกเดินไปโดยไม่หันหลังกลับ อัสธาราธวิ่งตามไป และรู้สึกเหมือนพื้นเบื้องหน้าสูงขึ้น ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าคล้ายถูกพื้นยกสูงขึ้นจนกลายเป็นแนวตั้งฉาก อัสธาราธยืนอึ้ง เขาหันหน้าไปมองด้านหลังและพบว่าเรเธียร์กำลังเดินออกไปในลักษณะกลับหัว
แต่ไม่ใช่เรเธียร์ที่กลับหัว
ยังไม่ทันที่อัสธาราธจะตั้งสติได้ ร่างของเขาก็ร่วงละลิ่วขึ้นสู่พื้นเบื้องบน กระแทกกับผนังขรุขระที่มองไม่เห็น และร่วงลงมากองกับพื้นเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถูกกัดและเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้น
มังกรหนุ่มรู้สึกคล้ายกระดูกกระเดี้ยวจะหลุดออกมานอกตัว ตะเกียกตะกายยันตัวลุกขึ้น และพบร่างคุ้นตากำลังยืนหันหลังให้ จึงตะโกนเรียกชื่อไปอีกครั้ง
“เรเธียร์”
เจ้าของชื่อเบือนหน้ากลับมาในที่สุด แต่แทนที่จะเป็นดวงหน้าสวยงามที่คุ้นเคย กลับกลายเป็นฟันสีขาวยื่นยาวออกมาและโพรงปากลึกที่มีลิ้นสีแดงยาวแลบเลียออกมา พร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตที่ลุกโพลงอย่างน่าสะพรึงกลัว
อัสธาราธเคยเห็นภาพนี้มาแล้ว ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นในตอนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย
เงาเขี้ยววาววับที่งับเข้ามาดูเชื่องช้าอย่างน่าแปลก ช้าจนเจ้าชายหนุ่มมีเวลาจะตั้งสตินึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้น เสี้ยววินาทีที่ทำให้เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด เสียววินาทีชีวิตที่เขารู้สึกผิดอยู่เสมอ จังหวะที่ฟันยาวโง้งกำลังงับเข้ามา อัสธาราธเอื้อมมือขึ้นไป แตะผิวฟันนั้นเบาๆ
“ขอบคุณท่านมาก”
ถ้อยคำที่เขาควรจะเอ่ยออกมาเสียแต่ตอนนั้น เขี้ยวยาวโง้งงับลงมาอย่างไม่ชะงักลังเล ก่อนจะกลืนกินเข้าไปในโพรงมืดสนิท
อัสธาราธกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในปล่องมืดๆ ก่อนจะหล่นลงในห้วงน้ำที่ขุ่นข้นไปด้วยสีแดงของเลือด ที่อยู่ตรงหน้าคือเรือนผมสีน้ำเงิน และริมฝีปากงามที่กำลังกัดกินร่างกายของมนุษย์อยู่
เป็นร่างของสตรีนางนั้นเอง
เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจไม่เป็นผู้เฝ้าดูอีก เขาว่ายเข้าไปใกล้ แต่องค์กษัตริย์คล้ายไม่รู้สึกตัว ฉีกทึ้งร่างมนุษย์นั้นด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา อัสธาราธจึงดึงพระหัตออก นัยน์ตาสีเขียวมรกตจึงเบือนขึ้นมามอง ก่อนที่ริมฝีปากชุ่มโลหิตจะงับเข้าตรงลำคอ
ความเจ็บปวดเสมือนจริงแล่นเข้าสู่ปลายเส้นประสาท อัสธาราธดึงรั้งตัวขององค์กษัตริย์ออก ก้อนเนื้อชุ่มโชกยังคาอยู่บนริมฝีปาก ท้องน้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ไม่มีร่างของสตรีนางนั้นอีกแล้ว มีเพียงตัวเขา
เรเธียร์กลืนกินชิ้นเนื้อนั้นเข้าไป นัยน์ตาสีมรกตฉายแววประหลาด เรียวลิ้นเล็กเล็มเลียริมฝีปากบางอย่างปรารถนา อัสธาราธรั้งร่างนั้นเข้ามาหาตนอีกครา ความเจ็บแปลบจากการถูกกัดสมจริงจนแทบจะสิ้นสติ เจ้าชายหนุ่มอ้าปากออก และงับลงไปบนต้นคอของอีกฝ่ายบ้าง
โลหิตสีน้ำเงินพรายเย็นเยือกแทรกเข้ามาตามโพรงปาก รสชาดของชิ้นเนื้อเย็นเฉียบอุ่นอ่อนดูน่าทดลอง อัสธาราธสะบัดศีรษะ ฉีกกระชากก้อนเนื้อนั้นออก เลือดสีน้ำเงินพรายพุ่งกระจายไปทั่วผืนน้ำ ปะปนอยู่กับสีแดงสดก่อนหน้า กลายเป็นสีสันแปลกประหลาด ได้ยินเสียงคำรามในลำคอ จากนั้นต่างฝ่ายต่างกัดกินอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดและรสชาดแปลกประหลาดแทบจะทำให้วิกลจริต
สีน้ำเงินพรายซ้อนทับกับสีแดงเลือดจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำเข้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ นัยน์ตาของอัสธาราธค่อยๆ พร่ามัวลง ขณะที่ความเจ็บปวดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คำแล้วคำเล่า
แล้วความมืดสนิทก็หวนคืนมาอีกครา.....
---------------------------------------------
สัมผัสอ่อนโยนลูบลนบนศีรษะ อัสธาราธลืมตาขึ้นและสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกต ใบหน้าของเรเธียร์ไม่เปื้อนเลือดอีกแล้ว อาภรณ์สีขาวน้ำเงินพลิ้วไปตามกระแสน้ำอ่อนๆ เส้นผมสีน้ำเงินละเอียดไล้ลงบนใบหน้าจนรู้สึกจั๊กจี๋ น้ำเสียงราวฟองคลื่นดังขึ้นแผ่วๆ
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”
อัสธาราธแย้มยิ้ม จับมือขององค์กษัตริย์ขึ้นมาจูบ และกล่าวตอบ “ข้าพเจ้าเป็นเด็กน้อยของท่าน”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตขยับอย่างงงงัน ก่อนจะหัวเราะออกมา “เราไม่เคยมีเด็กน้อยตัวร้อนเช่นเจ้า”
“อดีตอาจไม่มี แต่ปัจจุบันมีแล้ว” อัสธาราธกล่าวตอบ เรเธียร์ก้มลงมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
อัสธาราธไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาดึงมือองค์กษัตริย์เข้ามจูบอีกหน และอ้าปากดูดกลืนนิ้วมือเรียวเข้าไปในปาก คมเขี้ยวที่งับลงมาเบาๆ ทำให้สีหน้าของเรเธียร์แปรเปลี่ยนทันที
“คิดจะกินเราอีก?”
อัสธาราธคายนิ้วมือนั้นออก ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“ข้าพเจ้าอยากกินท่านทั้งตัว อยากกินทั้งหมด”
ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่อ “เจ้ากินเราไปแล้วเมื่อครู่ จำไม่ได้หรือ?”
อัสธาราธสั่นศีรษะ และยกมือรั้งใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป
“ข้าพเจ้าอยากกินตัวจริงของท่าน อยากสัมผัสทุกส่วนของท่าน อยากได้ตัวท่าน”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นระริก ขณะนิ่งฟังเสียงกระซิบข้างหู
“ข้าพเจ้าอยากได้หัวใจของท่าน ให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?”
“.......”
“ข้าพเจ้าบังอาจทูลขอท่านที่นี่ สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่สุดในห้วงน้ำแห่งนี้คือตัวท่านและหัวใจของท่าน”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นไหว เช่นเดียวกับร่างเพรียวบางในอ้อมกอด เนิ่นนาน พระองค์จึงสามารถตรัสออกมาได้
“เราให้เจ้า เด็กน้อยของเราเอย...”
---------------------------------------------------
อัสธาราธลืมตาตื่นขึ้นมา และพบตัวเองค้างเติ่งอยู่บนชะง่อนหินชะง่อนหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เสียงกระซิบแผ่วเบาเมื่อครู่ยังสะท้อนอยู่ในหู เขากลับมาที่หุบเหวเสียงสะท้อนแล้วไม่ผิดแน่ เจ้าชายหนุ่มดีดกาย ว่ายกลับขึ้นไปบนปากเหว
ไม่รู้ว่าเหตุปั่นป่วนในวังจะเกี่ยวเนื่องกับองค์กษัตริย์หรือไม่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะพบพระองค์เต็มทน แม้จะต้องเผชิญกับคลื่นน้ำบ้าคลั่งนั้นอีกครั้งก็ตาม
----------------------------------------------------
อูห์รูนเกือบจะขาดใจตาย ในตอนที่กระแสน้ำคลายออก ผู้รับใช้แห่งสายน้ำร่วงหล่นลงสู่พื้นหินเบื้องล่าง ขณะที่กลุ่มคลื่นสีประหลาดค่อยๆ กระจายตัวออก ลูกกลมสีมรกตค่อยๆ ดับมอดลง ความบ้าคลั่งจางหายไปกับสายน้ำ หลงเหลือเพียงร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นขององค์กษัตริย์ที่ตนคุ้นเคย ที่กำลังจะล้มฮวบลง แม้เจ็บปวดแทบสิ้นสติ แต่ทันทีที่เห็นองค์กษัตริย์กำลังจะล้มลงบนพื้น อูห์รูนก็ปราดเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสังขาร ช้อนร่างขององค์กษัตริย์เอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะล้มลงไปด้วยกัน
แม้จะทรงร่างไม่อยู่แล้ว แต่ยามล้ม ผู้รับใช้ก็ยังอุตส่าห์ประคองเจ้านายของตนเอาไว้อย่างแข็งขัน นัยน์ตาสีมรกตหรี่ปรือขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะร่างที่อยู่ตรงหน้า
“อูห์รูน....”
อูห์รูนแย้มแย้มอย่างดีใจที่สุดในชีวิต เขากอดองค์กษัตริย์ไว้แน่น แทบจะตะโกนออกมา
“พระองค์ได้สติแล้ว”
------------------------------------------------------------------------
(จบตอน)