พิมพ์หน้านี้ - [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: juon ที่ 17-06-2012 21:21:43

หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-06-2012 21:21:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 17-06-2012 21:25:15
มานั่งรอเรื่องที่ชอบแบบสุดๆ อีกเรื่องหนึ่ง

จะรีไรท์ หรือปรับเป็นเรื่องยาวค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-06-2012 21:26:20
ปิดจองแล้วค่ะ
--------------------------------------
ขอออกตัวชัดๆ ก่อนว่า.. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เขียนจบมาหลายปีแล้ว

และเราไม่ถนัดแนวแฟนตาซีอย่างสุดๆ ภาษาในเรื่องนี้อาจจะแปลกๆ ไปบ้าง (และอาจจะผิดเพียบ.. กรุณาช่วยแจ้งค่ะ แต่ว่าเราอาจจะไม่แก้ลงในนี้นะคะ จะเอาไปแก้ในต้นฉบับค่ะ<<เนื่องจากตัวนี้ก๊อปมาจากเว็บที่เคยลงไว้แล้วแบ่งบรรทัดแล้วน่ะค่ะ)

เรื่องนี้มีทั้งหมด21ตอน จะทยอยลงให้วันละตอน (ถ้าไม่ลืมหรือติดธุระ)

อนึ่ง อิฉันไม่ถนัดแนวแฟนตาซีจริงๆ ต้องกราบขออภัยท่านนักอ่านทุกท่านล่วงหน้าเลยนะคะ

อ้อ ลืมบอกเพิ่มเติมค่ะ สำหรับใครที่เคยอ่านเรื่องสั้นซึ่งใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน แต่ชื่อตัวละครอาจจะคล้ายๆ กัน แจ้งว่าเนื้อหาเรื่องนี้กับเรื่องสั้น ไม่เกี่ยวข้องกันเลยนะคะ เรื่องสั้นเป็นแค่แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้ค่ะ แต่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันแต่อย่างใดค่ะ
-----------------------------------------
ตอนที่1 ดวงตาแห่งอิลห์ลาริน

สิ่งที่สัมผัสได้ในห้วงของเหลวที่มืดมิดนั่นคือดวงตาสีเขียวขนาดมหึมา สีของมันสุกสกาวราวก้อนมรกตก้อนยักษ์ นัยน์ตาดำราวเม็ดนิลตรงกลางหดขยายราวกับกำลังตรวจสอบสิ่งที่ลอยคว้างอยู่ตรงหน้า อากาศเหลือน้อยลงทุกที พร้อมๆ กับของเหลวรสเค็มเฝื่อนที่ไหลทะลักเข้ามาทั้งทางจมูกและช่องปาก  ในสติอันเลือนราง มองเห็นซี่ฟันสีขาวเรียวแหลมเรียงชิดอยู่ใต้ดวงตาสีเขียวมรกตนั่น ขนาดของมันใหญ่โตพอๆ กับเสากำแพงและความแหลมคมคงจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหอกดาบที่ถูกลับคมมาอย่างดีเลย ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวนั้นขยับเขยื้อนออกอย่างช้าๆ ฟันซี่เรียวแหลมบดขยี้ลงมาบนร่างที่ไร้ทางต่อสู้ซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ในความเจ็บปวดนั้น สติก็พลันขาดสะบั้นลง
 
-------------------------------------------------
          คอนเชียร์
          ชื่อเรียกอาณาจักรที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันตั้งอยู่บนเกาะภูเขาไฟที่มีชื่อว่าคอนซาร์ก ซึ่งในภาษามังกรโบราณแปลว่าเพลิงใหญ่ ดังนั้นคอนเชียร์จึงแปลตามคำโบราณว่าบ้านแห่งเพลิง
          อาณาจักรแห่งนี้กินเนื้อที่ตลอดทั้งเกาะคอนซาร์ก ซึ่งกว้างราวๆ ยี่สิบห้าราฟ (1ราฟ = 1,000ตารางกิโลเมตร) บนเกาะเต็มไปด้วยภูเขาไฟน้อยใหญ่ขนาดลดหลั่นกันไป ภูเขาไฟลูกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางของเกาะ มีชื่อว่าซาซาร์กัน บนซาซาร์กันนี่เองที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังโบราณที่สร้างขึ้นมาจากหินภูเขาไฟ และลาวาที่เย็นตัวลงแล้วอันมีชื่อเรียกเดียวกับตัวภูเขา ที่พำนักของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์แห่งสัตว์โบราณที่ทรงไว้ทั้งพละกำลังและอำนาจในการควบคุมเปลวเพลิง
          ราชวงศ์ซาร์เกวนส์ ผู้ปกครองนักรบแห่งเพลิง
          เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ปกครองอาณาจักรคอนเชียร์ซึ่งประกอบไปด้วยประชากรที่เป็นมังกรไฟระดับล่าง ราวๆ สี่พันสามร้อยตน อาศัยอยู่ตามซอกปล่องภูเขาไฟต่างๆ บนตัวเกาะ และเป็นเชื้อสายราชวงศ์อีกราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบตน ซึ่งเชื้อพระวงศ์เกือบทั้งหมดอาศัยอยู่รวมกันบนซาซาร์กัน  แน่นอนว่าแม้ซาซาร์กันจะใหญ่โต แต่คงไม่เนื้อที่มากพอจะให้มังกรไฟขนาดใหญ่ถึงหกสิบตนอยู่ร่วมกันได้ เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนซาซาร์กันนี้ จึงอยู่ในรูปร่างที่ต่างออกไปจากพวกระดับล่าง
          พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยร่างที่เรียกว่าร่างกลาง
          ร่างกลางของเหล่ามังกรนั้นใกล้เคียงกับร่างกายของมนุษย์ อาจจะมีขนาดและสัดส่วนใหญ่โตกว่าสักหน่อย แต่มีหลายๆ อย่างคล้ายคลึงกัน ทั้งหน้าตา ทรงผม และมัดกล้ามเนื้อ มังกรที่มีร่างกลางได้จำต้องมีเชื้อสายของมังกรชั้นสูงหรือไม่ก็มีอายุมากพอแล้วเท่านั้น และนี่เองที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถพำนักอยู่ในได้สถานที่ที่มีพื้นที่จำกันอย่างซาซาร์กัน
          เชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์นั้นมีศักดิ์ต่างกันไป มีทั้งที่อยู่ในระดับข้ารับใช้ ไปจนถึงในระดับผู้ครองอาณาจักร กษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันมีชื่อว่า อัสราน ดูล ซาร์เกวนส์
          ตอนนี้องค์ราชันย์แห่งไฟที่ว่านี้กำลังแหงนพระพักตร์ขึ้นมองไอคุกรุ่นสีแดงที่พุ่งตรงเข้ามายังราชวังของพระองค์ ไม่นานนักเสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังขึ้นด้านนอก
          “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเข้ามาด้วยร่างกายแบบนี้”
          เสียงเอ็ดอึงของหญิงสาวผมสีแดงดำรูปร่างสูงโปร่ง ในชุดกระโปรงยาวสีแดงเข้มดังขึ้น ท่ามกลางเศษฝุ่นจากหินราวระเบียงที่ถูกแรงกระแทกจนแตกละเอียดปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ กษัตริย์อัสรานเสด็จออกมายังระเบียงด้วยพระพักตร์ที่ไม่ได้แสดงอาการตกพระทัยหรือรุ่มร้อนแต่ประการใด ทรงอยู่ในฉลองพระองค์สีขาว มีผ้าคาดสีดำอันบ่งบอกถึงยศตำแหน่งพาดอยู่บริเวณพระศอ เรือนผมสีแดงจนดำตรงยาว พลิ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดอื้ออึงอยู่ด้านนอก พระกายสีขาวนวลผุดผ่องราวจันทร์ในคืนเพ็ญอ้อนแอ้นคล้ายอิสตรี ทรงแย้มพระโอษฐ์ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
          “องค์ราชันย์แห่งซาซาร์กัน ขอพระราชทายอภัยโทษแก่หม่อมฉันที่ปล่อยให้เจ้าคนไร้มารยาทนี่รบกวนเวลาพักผ่อนของพระองค์”
          หญิงสาวผมแดงกล่าวทันทีที่เห็นองค์กษัตริย์ หล่อนโน้มกายลงอย่างคารวะ และหันไปถลึงตาสีแดงดำใส่ผู้ที่ก่อเรื่องทั้งหมดขึ้น กษัตริย์อัสรานโบกพระหัตอย่างไม่ถือสา และทรงพระสรวล
          “อ่า ท่านพี่หญิง ท่านอย่าได้เกรงใจเช่นนั้นเลย จะอย่างไรเราล้วนแต่เป็นพี่น้องกันมาก่อน”
          “ถึงจะทรงตรัสเช่นนั้น แต่ว่า...”
          น้ำเสียงกังวานของหญิงสาวถูกเสียงคำรามของสัตว์ร้ายกลบเสียสิ้น
          “อรุณสวัสดิ์ ท่านพี่อัสราน”
          ซุ่มเสียงแตกพร่าถูกเปล่งออกมาจากปากกว้าง ผ่านฟันคมกริบสีงาช้างที่เรียกตัวกันแน่นภายในช่องปากที่มีเพลวเพลิงสีแดงพวยพุ่งออกมา กษัตริย์อัสรานแย้มพระโอษฐ์กล่าวตอบไป
          “อรุณสวัสดิ์อัสธาราธน้องข้า ไปเสียหลายวัน พอกลับมาก็ทำให้ท่านพี่หญิงขุ่นเคืองตั้งแต่ต้นวันเสียแล้ว”
          มังกรไฟสีแดงตัวมหึมาที่ขย้ำกรงเล็บหนาอยู่กับราวลูกกรงระเบียงของวังคำรามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เพลวไฟสีแดงเล็มเลียออกมาตามรูจมูกกว้าง กล่าวเสียงแหบห้าว
          “ท่านพี่หญิงอัสเธียร์จู้จี้จนเกินไปต่างหาก กับเสารั้วเสาวังแค่นี้ ใช้ทหารคนสองคนกับเวลาเพียงไม่ถึงค่อนวันก็ซ่อมเสร็จแล้ว ท่านจะขุ่นเคืองอันใดกัน”
          เจ้าหญิงอัสเธียร์อันเป็นราชนิกูลชั้นสูง และทรงเป็นพี่สาวของกษัตริย์อัสรานขมวดคิ้วของนางจนยุ่ง เขม่นมองมังกรสีแดงตัวนั้นราวกับจะใช้ดวงตาสีแดงของนางแผดเผาให้มอดไหม้ลงไปโดยพลัน กล่าวเสียงเครียด
          “อัสธาราธ เจ้าไฉนไม่เคยคิดรักษามารยาท ไม่มีผู้มีหัวคิดใดจะทะลึ่งพาร่างกายใหญ่โตเช่นนั้นเข้ามาเหยียบย่ำพระราชวังศักดิ์สิทธิ์นี่”
          “ร่างกายใหญ่โตมีอันใดไม่ดีเล่า?”
          อัสธาราธยังคงโต้เถียง อุ้งเท้าใหญ่ขยับอย่างหงุดหงิด ทำให้หินอันเป็นองประกอบของเสาศิลาแตกหักออกมาอีกหลายส่วน
          “ร่างนี้แท้จริงเป็นร่างเดิมของพวกเรา ไฉนเล่าข้าจึงใช้มันมาเหยียบที่นี่ไม่ได้”
          กษัตริย์อัสรานคิดว่าพระองค์ทรงเห็นไอควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากใบหูของพระเชษฐภัคคินีของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงตรัสถ้อยคำออกไปเพื่อยุติปัญหา
          “เอาเถิด อัสธาราธ เราทราบว่าเจ้ามิชอบใจการกลายร่างนัก แต่เสารั้วเสาวังก็มิได้ถูกสร้างมาให้เจ้าเหยียบย่ำเช่นกัน เจ้าไปเสียหลายวัน มิอยากหย่อนกายลงผ่อนคลายในสระน้ำอุ่นของเราหรือ?”
          อัสธาราธขยับศีรษะมหึมาอย่างเสียมิได้ ในเมื่ออัสรานพูดถึงสระน้ำอุ่นนั่น ก็คงเหมือนออกคำสั่งกลายๆ ให้เขาเปลี่ยนร่างที่ดำรงอยู่ ผู้ใดล้วนทราบ สระน้ำนั่นมีขนาดเพียงร่างกลางเท่านั้นที่ลงไปได้ และเขาเองก็ชื่นชอบการแช่น้ำในสระนั่นมากเสียด้วย
 
-------------------------------------------
          “น้ำอุ่นกำลังดีหรือไม่?”
          น้ำเสียงกังวานที่ทรงอำนาจแต่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาดังขึ้น อัสธาราธผงกศีรษะมองดูฟองน้ำเดือดปุดๆ ตรงหน้าอย่างพึงพอใจ สระน้ำร้อนบนคอนเชียร์นั่นมีมากมายหลายร้อยสระ สระใหญ่โตขนาดมังกรลงไปกลิ้งเกลือกได้ก็มีเป็นสิบ แต่ที่ร้อนจัดและเต็มไปด้วยไอควันของกำมะถันเข้มข้น คงมีแต่สระหินสีเหลืองอมฟ้า ที่ขนาดไม่กว้างไปกว่าปีกข้างหนึ่งของมังกรที่โตเต็มที่ที่นี่เพียงสระเดียวเท่านั้น สระน้ำร้อนที่อยู่ด้านหลังชิดกับห้องบรรทมขององค์ราชัยน์แห่งซาซาร์กัน สระที่มีเพียงผู้เดียวในอาณาจักรที่สามารถใช้ได้ แต่ถึงกระนั้นอัสธาราธก็ได้รับสิทธิพิเศษจากกษัตริย์ผู้เป็นพี่ชายให้สามารถเข้ามาแช่น้ำในนี้ได้ หากทำตัวอยู่ในโอวาท
          ขอบสระหินที่ถูกน้ำซึ่งเต็มไปด้วยซัดสาดอยู่ทุกวันกลายเป็นสีเหลืองอมฟ้าแบบเดียวกับสีของน้ำในสระ ควันสีเหลืองอ่อนกระจายตัวออกและม้วนเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ยามที่ผิวน้ำถูกกระทบกระเทือนจนแหวกเป็นสาย ขาเรียวสวยได้รูปค่อยๆ หย่อนลงมา ผิวกายของอัสรานนั้นขาวเสียจนเกือบจะซีด ผิดกับผิวของน้องชายซึ่งออกเป็นสีทองเข้มราวกับสีของน้ำผึ้ง ราชันย์แห่งซาซาร์กันหย่อนกายอ้อนแอ้นของพระองค์ลงในสระ ร่างกลางของพระองค์นั้นมิได้กำยำล่ำสันแต่ประการใดเลย ออกจะแลดูอ่อนแออยู่ด้วยซ้ำ แตกต่างจากผู้เป็นน้องชายซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่อัสธาราธรู้ดีว่าร่างอ้อนแอ้นนี้มิได้อ่อนแออย่างภาพลักษณ์ที่ปรากฏออกมาเลย อัสรานเป็นมังกรไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ มังกรไฟสีดำขนาดมหึมาที่เพียงแค่ขยับปีกก็สามารถจะทำลายเมืองให้แหลกไปได้ครึ่งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นอัสรานจึงแทบจะไม่คืนร่างเดิมเลย เขาดำรงอยู่ในร่างกลางเช่นนี้เสมอมา ร่างกลางที่สง่างามและน่าเคารพอย่างยิ่ง
          นัยน์ตาสีแดงก่ำจนกลายเป็นสีดำขององค์ราชันย์ทอดลงมองใบหน้าของน้องชาย ผมสีแดงจนดำของพระองค์ถูกรวบเอาไว้บนศีรษะเกล้าเป็นมวยหลวมๆ อัสรานไม่ต้องการคนในการช่วยสรงน้ำ พระองค์ต้องการคุยกับน้องชายคนนี้เป็นการส่วนตัว น้องชายผู้เป็นกำลังหลักในการปกป้องและแผ่ขยายอาณาจักรของพระองค์
          อัสธาราธมองดูเรือนผมสีแดงจนดำของผู้เป็นพี่ชายด้วยความรู้สึกเคารพ สีดำเป็นสีแห่งกษัตริย์ มังกรไฟที่แข็งแกร่งมากจริงๆ เท่านั้น จึงจะมีสีดำที่ว่านี้ พอคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้มังกรหนุ่มอดทอดถอนใจออกมามิได้ จนผู้เป็นพี่ชายต้องเอ่ยทัก
          “เจ้ามีเรื่องทุกข์ใจใด?”
          “ข้า...”
          ผู้ถูกเอ่ยถามกล่าว และเงียบไปพักหนึ่ง นัยน์ตาสีแดงมองดูเรือนผมสีดำนั้นอย่างซึมเซา กษัตริย์แห่งซาซาร์กันแย้มพระโอษฐ์อย่างคาดเดาความคิดของผู้เป็นน้องชายออก
          “เจ้ากำลังนึกถึงสีผมของข้าอยู่หรือน้องชายข้า เจ้าเองก็มิใช่ผู้อ่อนแออันใดเลย จงอย่าเป็นกังวลถึงมันเถิด”
          “หากข้ามิได้อ่อนแอ ไฉนสีดำจึงมิปรากฏขึ้นมาบ้างเล่า”
          “บางคราสีดำที่ว่านี้อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
          กษัตริย์แห่งซาซาร์กันตรัส ทรงมองดูเรือนผมสีแดงสยายของผู้เป็นน้องชาย อัสธาราธนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก พระองค์ซาบซึ้งถึงความแข็งแกร่งของน้องชายคนนี้ดี อัสธาราธนั้นแทบไม่มีที่ใดที่ด้อยไปกว่าพระองค์เลย แต่ไม่ทราบเพราะเหตุผลอันใด จึงมิยอมมีสีดำขึ้นปรากฏบนร่าง แม้กระทั่งอัสเธียร์ พี่สาวของพระองค์ ก็ยังมีเรือนผมและนัยน์ตาสีแดงดำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์และความแข็งแกร่ง
          “หรือบางทีข้าอาจจะมิได้มีเชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์”
          อัสธาราธตั้งข้อสังเกต ถึงกับทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงดุออกมา
          “อย่าได้กล่าวถ้อยคำเหลวไหล ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาแต่ยังเล็ก เหตุไฉนเราจะไม่ใช่เชื้อสายกัน เจ้าเป็นวงศ์วานแห่งซาร์เกวนส์แท้ไม่ผิดแน่ เพียงแต่อาจจะยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพื่อให้สีแห่งราชันย์ปรากฏ”
          “ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดเล่า”
          อัสธาราธเอ่ยถาม มองดูเรือนผมสีแดงเพลิงหยักสกของตัวเองที่แผ่สยายไปบนผิวน้ำสีเหลือฟ้า แลดูตัดกันอย่างประหลาด เขาไม่ใส่ใจที่จะรวบผมเอาไวด้านบนเหมือนผู้เป็นพี่ชาย แม้ว่าผมของเขาเองจะยาวอยู่มากเหมือนกัน อัสรานมองหน้าน้องชายอย่างครุ่นคิด
          “บางทีสาเหตุอาจจะมาจากการบาดเจ็บหนักในครั้งนั้นของเจ้า…”
          กล่าวถึงตรงนี้ อัสธาราธรีบยกมือขึ้นห้ามทันที
          “อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนั้นอีก คงเป็นเพราะข้ายังอ่อนแออยู่ คงจำต้องเคี่ยวกรำตัวเองให้มากกว่านี้”
          อัสรานมองดูน้องชายและเงียบไปพักใหญ่ อัสธาราธไม่ชอบให้พูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น ดูเหมือนน้องชายของเขาคนนี้จะยังฝังใจเรื่องที่พลาดพลั้งเสียท่าให้กับเหล่ามนุษย์อยู่ แผลในจิตใจนี้อาจจะเป็นสาเหตุของสีดำที่ไม่ยอมเกิดขึ้นสักทีก็ได้ บางทีอาจเพราะจิตใจของอัสธาราธยังไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่แข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดในอดีตของตนได้ แต่ครั้นจะกล่าวออกไปตอนนี้ก็คงป่วยการ เรื่องเช่นนี้คงต้องรอให้เจ้าตัวเข้าใจเองนั่นแหละ กษัตริย์แห่งซาซาร์กันจึงได้แต่แย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดูต่อผู้เป็นน้องชาย
          “เจ้าหายไปเสียหลายวัน เขตแดนทางด้านเหนือเป็นอย่างไรบ้าง?”
          “ถูกรุกล้ำเข้ามาพอสมควร”
          อัสธาราธเอ่ยตอบ และเร่งเสียงอย่างมีอารมณ์
          “พวกมนุษย์นั้นรุกรานรวดเร็วยิ่ง เพียงห่างสายตาไปสองสามเดือน ป่าแห่งอิลดูร์นถูกแผ้วถางไปหลายส่วน แม้จะไล่พวกมันออกไปหมดแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าพื้นที่นั้นจะกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม”
          อัสรานพยักหน้า มังกรนั้นจำเป็นต้องมีแหล่งอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายแหล่ที่อยู่ห่างออกไปจากเกาะ อยู่ในแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นจึงจำต้องสร้างอาณาเขตเพื่อให้มีอาหารพอจะเลี้ยงประชากรบนเกาะได้ ปัญหาใหญ่คือพวกมนุษย์นั้นขยายชุมชนของตัวเองโดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมใดทั้งสิ้น พวกนั้นแผ้วถางป่า ขุดคูระบายน้ำ ดักจับสัตว์เล็กสัตว์น้อย หากปล่อยให้บุกรุกเข้ามามากๆ อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ ราชันย์แห่งซาซาร์กันไม่ต้องการทำสงครามใหญ่กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ แต่เจ้าเล่ห์พวกนี้ ดังนั้นพระองค์จึงจำต้องตัดไฟแต่ต้นลม โดยการส่งกำลังออกไปดูแลพื้นที่ส่วนต่างๆ ไว้ ยามที่พบผู้บุกรุก จะได้ไล่ออกไปทันก่อนที่จะกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่
          “ข้าให้ริเรียรธ์กับทิลเธอร์อยู่เฝ้าที่นั่น คงจะกันการบุกรุกไปได้อีกพักใหญ่”
          ผู้เป็นน้องชายรายงานต่อ กษัตริย์อัสรานโคลงพระเศียรเป็นเชิงรับรู้ และเอ่ยปากชม
          “ขอบใจเจ้ามาก เรื่องคราวนี้คงสร้างความลำบากให้เจ้ามิใช่น้อย แม้ข้ามิอาจสร้างวังใหม่เพื่อให้ร่างมังกรของเจ้าเข้าออกอย่างสะดวกได้ ตอนนี้ข้าทำได้เพียงอนุญาตให้เจ้าใช้สระแห่งนี้ได้ตามพอใจ แล้วข้าจะหนทางอื่นตอบแทนความเหนื่อยยากของเจ้า”
          “ทรงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น พี่ชายของเรา”
          อัสธาราธเอ่ยขึ้นทันที เขาโค้งศีรษะให้ผู้เป็นพี่ชายอย่างเคารพ
          “ท่านเป็นกษัตริย์แห่งคอนเชียร์ มีอันใดเล่าที่ข้าจะไม่กระทำให้ มีภาระใดเล่าที่ข้าลำบาก ข้าเต็มใจทำอย่างยิ่ง เพื่อองค์กษัตริย์แห่งข้า เพื่อท่านพี่ที่ข้าเคารพ แค่เพียงท่านอนุญาตให้ข้าใช้สระน้ำนี่ก็มากพอแล้ว ทรงอย่าได้คิดกระทั่งสร้างวังใหม่เพื่อรองรับอารมณ์บ้าๆ ของข้าเลย”
          กษัตริย์อัสรานทรงพระสรวลออกมา
          “หากเจ้าทราบว่ามันเป็นอารมณ์บ้าๆ ไฉนเจ้าจึงยังแสดงมันออกซ้ำๆ ซากๆ รู้หรือไม่ ท่านพี่หญิงอัสเธียร์บ่นเรื่องนี้กับข้าจนข้าเบื่อจะฟังเต็มที ข้าหวังให้เจ้าเพลาๆ การเป็นสาเหตุที่ทำให้นางบ่นบ้าง”
          “บางทีข้าชอบให้นางบ่นใส่ท่าน”
          อัสธาราธว่าและรีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาถือสาของพี่ชาย
          “ล้อเล่นหรอก ท่านพี่หญิงเข้มงวดจนข้ารำคาญ เอาเถิด คราวหลังข้าจะไม่เข้ามาที่นี่ด้วยร่างนั้นอีก”
          “หวังว่าเจ้าคงไม่ถึงกับประชดโดยไม่เข้ามาเลยหรอกนะ”
          อัสรานค่อนแคะ ผู้เป็นน้องชายยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างจนแต้ม
          “ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก ถ้าท่านเดือดร้อนเพราะถูกท่านพี่หญิงบ่นจริงๆ ข้าจักเข้ามาด้วยร่างกลางก็ได้”
          องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อย่างพอใจ วักพระหัตลงในน้ำ ลูบไล้ลงบนเรือนร่างขาวเกลี้ยง ไอควันสีเหลืองอ่อนขยับตัวเต้นระริกไปพร้อมกับเงากระเพื่อมในผืนน้ำ
          “จริงสิ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ ราชันย์แห่งอิลห์ลารินทรงขึ้นมาที่นี่”
          “ว่าอย่างไร! ราชันย์แห่งอิลห์ลารินน่ะรึ?”
          อัสธาราธซึ่งเพิ่งโผล่ศีรษะพ้นผิวน้ำเดือดเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
อิลห์ลาริน นั่นคือชื่อของอาณาจักรใต้ผิวน้ำที่ล้อมรอบคอนเชียร์อยู่ อาณาจักรใต้ผืนน้ำดำมืดลึกสุดลูกหูลูกตาที่ไม่มีมังกรไฟตัวใดอยากเฉียดเข้าไปใกล้ เนื่องเพราะในอาณาจักรใต้น้ำแห่งนี้ นอกเสียจากเหล่าสัตว์น้ำใหญ่น้อย และภูตพรายทั้งหลายแล้ว ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์โบราณอันมีที่มาร่วมกันกับเขา เหล่ามังกรน้ำ
แม้จะอยู่ติดกัน และมีผู้ครองอาณาจักรที่สืบเชื้อสายมาจากวงศ์วานเดียวกัน แต่คอนเชียร์กับอิลห์ลารินแทบจะไม่ต้องเกี่ยวกันเลย มิมีมังกรไฟตัวใดอยากลงไปในน้ำเย็นชืดนั่น และคงไม่มีสัตว์น้ำหรือมังกรน้ำตนใดอยากสัมผัสผืนแผ่นดินที่อุดมไปด้วยหินหลอมเหลวและเปลวเพลิงเผาผลาญเช่นนี้หรอก แล้วเหตุใดราชัน์แห่งอิลห์รารินจึงขึ้นมาที่นี่เล่า?
“เจ้าฟังมิผิด ข้ากล่าวว่าราชันย์แห่งอิลห์ลารินมาเยือนที่นี่จริงๆ”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามออกไป จอมกษัตริย์วักน้ำเดือดระอุขึ้นมาลูบพระพักตร์อีกครั้งก่อนตอบคำถาม
“ทรงมีปัญหาเรื่องเขตแดนในทิศตะวันตก ทรงเกรงว่าพวกมนุษย์จะรุกล้ำเข้ามาจนถึงทะเล ดังนั้นจึงเสด็จขึ้นมาขอคำปรึกษา”
“เรื่องมีเท่านี้?”
อัสธาราธถามออกไปอย่างสงสัย และได้รับสายตาสงสัยตอบกลับมา
“มีเพียงเท่านี้ เจ้ายังติดใจเรื่องใด  อืม...กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยถามถึงเจ้าด้วย เจ้าเคยพบพระองค์มาก่อนหรือ?”
คนถูกถามสั่นศีรษะทันที แต่ก็ถามออกมาอีก
“ทรงถามถึงข้าว่าอย่างไร?”
“ทรงถามคำถามธรรมดา ถามว่าเจ้าเป็นเช่นไร ข้าจึงได้ถามไปว่าทรงรู้จักกับเจ้าหรือ พระองค์ไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะออกมาแทน เจ้าเคยไปทำอะไรในเขตแดนของพระองค์รึเปล่า”
ศีรษะของอัสธาราธสั่นจนน่ากลัวจะหลุดออกจากบ่า เขารีบเอ่ยย้ำ
“ข้าไม่เคยพบพระองค์มาก่อน จะทราบได้อย่างไร บางทีอาจเพราะข้าบินไปบินมาบ่อยกระมัง”
“อาจเป็นได้”
อัสรานตรัส ทรงเก็บคำพูดที่ว่า มังกรสีแดงคงเตะตาเอาไว้ในพระโอษฐ์ด้วยเกรงว่าผู้เป็นน้องชายอาจไม่พอใจนักหากได้ยินได้ฟัง
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงยังมิทราบ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก”
“ทรงเป็นสตรี?”
          อัสธาราธถามอย่างแปลกใจ และได้รับการปฏิเสธด้วยการสั่นศีรษะเป็นคำตอบ กษัตริย์แห่งซาซาร์กันเอ่ยต่อ
          “ทรงเป็นบุรุษ แต่ทรงเป็นบุรุษที่งดงามอย่างยิ่ง หากทรงเป็นสตรี น่ากลัวข้าจำต้องเชื้อเชิญพระองค์ให้ทรงประทับที่นี่ถาวร”
          “นี่ท่านเกิดไปชอบพอพวกมังกรตัวลื่นหรือ?”
            อัสธาราธโพล่งออกมา ผู้เป็นพี่ชายขมวดคิ้ว
          “ข้ามิได้ชอบพอมังกรตัวลื่น เจ้าไฉนเสียมารยาท ทรงเป็นถึงกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินควรเรียกให้สมพระเกียรติ ข้าแค่จะอธิบายกับเจ้าว่า พระสิริโฉมในร่างกลางนั้นงดงามนัก”
            “ผู้ใดจะงดงามน่าเคารพไปกว่าท่านอีกเล่า”
          อัสธาราธเอ่ย เขารู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง อัสรานทรงพระสรวลอีก
          “เจ้าต้องเห็นเอง ทรงจะขึ้นมาอีกครั้งในคืนวันเพ็ญนี้ เจ้าเองก็ยังมิมีธุระอื่นไม่ใช่หรือ รั้งไว้อยู่เป็นเพื่อนข้า รอยลโฉมพระองค์หน่อยเถิด”
          แม้อยากเอ่ยปากปฏิเสธ แต่องค์ราชันย์แห่งซาซาร์กันถึงกับลงทุนขอร้องแบบนี้ ต่อให้อัสธาราธจิตใจแข็งเป็นหินเพชรก็คงยากจะปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าออกไป
 
-------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-06-2012 21:27:55
            ความเย็นชืดนั้นน่ากลัวราวกับผุดพุ่งออกมาจากขุมนรก สายน้ำเย็นยะเยียบไหลทะลักเข้าสู่ร่าง สร้างความเจ็บปวดทรมานที่อึดอัดเสียยิ่งกว่าอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังเดือดทะลัก เย็นเยียบน่าหวาดหวั่น ไหลกรรโชกจนน่าตกใจ ราวกับอุ้งมือมัจจุราชที่ฉีกกระชากชีวิตออกอย่างไร้ซึ่งความปราณี
          นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น...
 
-------------------------------------------------
          อัสธาราธนอนพลิกตัวอยู่บนฟูกนอนนุ่มบนเตียงหินสลักขนาดใหญ่ที่เบื้องล่างต่อเชื่อมเข้ากับปากปล่องภูเขาไฟ ทำให้มันร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา สะดวกสบายสำหรับมังกรไฟที่นิยมอุณหภูมิสูงมากๆ แม้จะไม่ชอบอยู่ในร่างกลางนัก แต่การแช่น้ำร้อนจัด และการนอนบนเตียงอย่างนี้กลับเป็นที่โปรดปรานของเขาไม่น้อยไปกว่าการรบพุ่งเลย มันสบายกว่านอนแช่เย็นอยู่บนพื้นหินเป็นไหนๆ แต่ไฉนคืนนี้เขาจึงนอนไม่หลับ หรือเป็นเพราะความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนั่น
          ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไถลตัวลงจากเตียงนอนอบอุ่น เคลื่อนกายไปยังหน้าต่างหิน เรือนผมสีแดงสะท้อนกับแสงจันทร์ตัดกับความมืดเบื้องนอก ใกล้ถึงคืนวันเพ็ญเข้าไปทุกที นัยน์ตาสีแดงราวเลือดของอัสธาราธมองต่ำลงไปยังเบื้องล่างอย่างไม่ตั้งใจ เลยออกไปจากเกาะภูเขาไฟแห่งนี้ ก็คือพื้นน้ำเย็นยะเยียบที่เรียกกันว่าอิลห์ลาริน
          อัสธาราธแน่ใจว่าพี่ชายของเขาคงต้องนึกสงสัยอยู่บ้าง ไฉนเจ้านครแห่งอิลห์ลารินจึงได้ถามถึงเขา หรือว่ามีผู้ใดไปรายงาน อา... เจ้าตัวนั้นอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ได้ แค่ย้อนคิดกลับไปถึงช่วงเวลานั้นก็รู้สึกอับอายเต็มที ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่อาจลบเหตุการณ์น่าหวาดกลัวนั่นออกไปจากหัวสมอง
          นี่สินะ คือความอ่อนแอที่ว่า
          ถึงจะพยายามลืมเลือนยังไง แต่เหตุการณ์พวกนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัวสมอง บางครั้งบางคราวก็กลับมากำเริบจนแทบจะทำให้กลายเป็นโรคประสาทอ่อนๆ อัสธาราธเคลื่อนกายออกจากหน้าต่าง เดินไปยังโต๊ะหินข้างเตียงนอน รินเครื่องดื่มบางอย่างออกจากคนโทหิน ลงในแก้ว ไอร้อนสีขาวครีมพวยพุ่งขึ้นมาทันที เขายกเครื่องดื่มที่ร้อนจัดนั้นขึ้นซดจนหมดสิ้น ก่อนจะระบายลมหายใจยาว
          เขาควรจะต้องทำอย่างไรกับความหวาดกลัวนี้”
 
---------------------------------------
          อัสรานนั้นงดงามอย่างยิ่ง น่าเคารพอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายธรรมดาก็ตาม และเมื่อทรงแต่งพระองค์เต็มยศแล้ว ยิ่งงดงามดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก เรือนผมแดงจนดำนั้นถูกประดับด้วยอัญมณีสีแดงเพลิงหุ้มด้วยทองคำอย่างวิจิตร ฉลองพระองค์ประดับประดาด้วยมณีนิลที่หุ้มเรือนทองคำอีกชั้นหนึ่ง สร้อยพระศอสีดำหลายเส้นสลักตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ ยามเมื่อสวมใส่แล้วยิ่งขับให้ดูมีสง่าราศีมากขึ้น
          วันนี้เป็นวันที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะทรงเสด็จขึ้นมาเพื่อขอคำปรึกษาอีกครา กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จึงจำต้องต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ อัสธาราธมองดูผู้เป็นพี่ชายอย่างชื่นชม จะมีผู้ใดอีกเล่างดงามได้เยี่ยงนี้ แม้แต่อิสสตรีเองยังไม่อาจเทียบเทียมรัศมีความงามของอัสรานเลย เขาชักนึกสงสัยว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินที่อัสรานชมนักชมหนาว่าทรงพระสิริโฉมยิ่งนั้น อัสรานเองได้เปรียบเทียบกับตัวเองแล้วหรือยัง เจ้าชายหนุ่มแน่ใจว่าคงไม่มีผู้ใดงดงามได้เท่านี้อีกแล้ว เขาโค้งให้พี่ชายอย่างเคารพในตอนที่เสด็จผ่าน
          “ออกไปด้วยกันสิ อัสธาราธ ข้ามิได้ต้อนรับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินบนซาซาร์กันนี่หรอกนะ”
          สีหน้าของอัสธาราธปรากฏความงุนงงขึ้นมาทันที
          “ไม่ได้ทรงจะขึ้นมาบนนี้หรอกรึ?”
          อัสรานสั่นพระพักตร์
          “กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงไม่คุ้นชิ้นกับสภาพอากาศร้อน คราวที่แล้วทรงอดทนจนแทบล้มลง ข้าไม่อยากให้ทรงประชวรเพียงเพราะฝืนพระองค์เองเสด็จขึ้นมาถึงที่นี่”
          ผู้เป็นน้องชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินตามออกไป
 
--------------------------------------------
            สถานที่พบปะนั้นเป็นป้อมปราการหินขนาดใหญ่ป้อมหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลมากที่สุด สถานที่นั้นถูกตกแต่งอย่างวิจิตรสมกับฐานะของจอมกษัตริย์ทั้งสองแล้วก่อนที่อัสรานเสด็จจะไปถึง ราชันย์แห่งคอนเชียร์หยุดประทับอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า เมื่อทอดพระเนตรเห็นแสงไฟสีน้ำเงินริบหรี่ที่ใกล้เข้ามา
          ขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นไม่ได้ใหญ่โตเลย เป็นขบวนเล็กๆ ที่มีพรายน้ำในชุดคล้ายกับกอสาหร่ายเดินนำหน้า ต่างถือโคมไฟที่ดูเหมือนจะทำขึ้นจากหินใต้ทะเลและปะการัง ภายในมีดวงไฟสีฟ้าซึ่งไม่เคยมีให้พบเห็นในคอนเชียร์ลุกโชนอยู่ ด้านหลังพวกพราย มีเหล่าผู้ติดตามที่ดูเหมือนจะเป็นเชื้อสายชั้นสูงเดินตามมาอีกสองสามคน ต่างถือโคมไฟสีฟ้าที่ประดับประดาอย่างวิจิตรกว่าพวกที่อยู่ด้านหน้า และที่ตามมานั้น
          อัสธาราธถึงกับอ้าปากค้าง เขาเข้าใจในทันทีว่าทำไมพี่ชายถึงได้ชมกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนัก
          เรือนร่างนั้นสูงโปร่ง อยู่ในชุดคล้ายกับผ้าคลุมสีดำออกน้ำเงิน นิ้วเรียวยาวได้รูปประคองโคมไฟที่ตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารอยู่คล้ายกับจะมากำนัล ใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมานั้น แม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด ริมฝีปากบางที่ดูจะแย้มยิ้มอยู่ในที พอต้องกับแสงไฟสีฟ้าที่ไล้ใบหน้าได้รูปนั้นแล้วยิ่งขับความงามลึกลับนั้นให้เด่นออกมาอีกราวกับว่าร่างกายนั้นเปล่งแสงได้ เรือนผมสีน้ำเงินยาวสยายทอดลงจนแทบระพื้น ปลายของมันเป็นลอนคล้ายเกลียวของฟองคลื่น เมื่อดำเนินเข้ามาใกล้พอ จึงทรงยกผ้าคลุมศีรษะขึ้น
          อัสธาราธแทบหยุดหายใจ วินาทีที่ใบหน้านั้นถูกเปิดออก เขารู้สึกเหมือนถูกจับแช่แข็ง วินาทีที่ได้เห็นนัยน์ตาคู่นั้น
          นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น
 
----------------------------------------------
          เหล่าผู้ติดตามต่างโค้งลงเพื่อแสดงความเคารพให้กับกษัตริย์แห่งคอนเชียร์ที่ทรงประทับรออยู่ และขยับตัวเป็นแถวยาวเพื่อให้กษัตริย์ของตนเสด็จผ่านเข้ามาโดยง่าย ผู้นั่งบนบัลลังก์แห่งสายนทีกว้างย่อตัวลงอย่างเคารพ แย้มพระโอษฐ์กล่าววาจาด้วยน้ำเสียวราวแก้วผลึก
          “ขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ทรงรอ หากมิทรงขุ่นเคืองพระทัยนัก เราอยากจะขอถวายดวงไฟแห่งอิลห์ลารินนี้ให้แก่ท่าน”
          มือเรียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมบรรจงยื่นโคมไฟที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรนั้นให้กับกษัตริย์ของอีกฝ่าย อัสรานแย้มพระโอษฐ์ กล่าวอย่างยินดี
          “เรามิได้ขุ่นเคืองอันใดเลย ท่านผู้ทรงนั่ง ณ บัลลังก์แห่งสายน้ำ ของกำนัลนี่ทรงคุณค่ายิ่ง เราจักเก็บรักษามันไว้อย่างดี”
          ตรัสจบจึงรับโคมไฟจากมือเรียวนั้น รับสั่งให้ผู้ติดตามนำไปประดับภายในห้องทันที ก่อนจะหันมากล่าวว่าจาต่อ
          “ท่านลำบากมากหรือไหม? เราเกรงว่าท่านจักมิอาจทนทานไอร้อนของที่นี่ได้นาน”
          “หามิได้”
          ถ้อยคำราวแก้วผลึกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มยิ้มอย่างจริงใจ
          “ทรงกรุณามากแล้วที่เสด็จมาให้พบถึงที่นี่ เรากลับเกรงว่าจะรบกวนท่านเกินไปด้วยซ้ำ”
          “อย่าได้ทรงเกรงใจให้มากความเลย ถึงอย่างไรท่านกับพระราชบิดาของเราก็เคยเป็นสหายกันมาก่อน”
          “อา...ทรงกล่าววาจาราวกับพระราชบิดาของท่านมิผิดเพี้ยน เรานี้คงชราภาพมากแล้วจริงๆ”
          “อย่าได้ตีความเช่นนั้นเลย”
          อัสรานรีบเอ่ย
          “เผ่าพันธุ์ของท่านถือว่าอายุยืนยิ่ง ทรงภูมิปัญญายิ่ง หากแม้นเคยรู้จักกับพระอัยกาของเราก็ไม่น่าแปลกใจเลย เชิญท่านเข้าไปประทับด้านในก่อนเถิด”
          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์อีกครั้ง ก่อนจะเสด็จตามคำเชื้อเชิญเข้าไปยังพลับพลาที่จัดไว้ ขณะที่ทรงดำเนินนั้นพลันทอดพระเนตรไปเห็นผู้ติดตามคนหนึ่ง แลดูคุ้นตาเป็นยิ่งนัก ทรงตรัสออกมา
          “อ้อ..เจ้ามังกรไฟเมื่อตอนนั้น”
          นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองมานั่นคล้ายดั่งพะเนินเหล็กใหญ่ที่ถ่วงให้อัสธาราธจมลึกลงไปในห้วงเหวแห่งความหวาดกลัว ร่างแกร่งเอ่ยเรียกออกไปอย่างไม่ทันคิด
          “เรเธียร์!”
 
----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 17-06-2012 22:27:49
งืมมม ทำไมคุ้นๆ แต่อาจจะเคยอ่านเรื่องสั้นมั้ง จำได้ว่าชอบเรื่องนั้นมากเลย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-07-2012 12:44:40
2 : เปลวเพลิงสีแดงแห่งคอนเชียร์

          สีเขียวมรกต ท่ามกลางสายน้ำมืดสนิท นัยน์ตาวาวโรจน์ที่มองมาอย่างไม่อาจคาดเดาได้ คมเขี้ยวยาวยื่นที่ง้างออกมา ความน่าพรั่นพรึงที่อยู่ภายใต้พื้นน้ำเย็นยะเยียบ

                นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ในวังวนแห่งความมืดนั่น ดวงตาสีมรกตคู่นั้น เยือกเย็น มืดทะมึน เคลื่อนคล้อยมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางรสชาติเค็มเฝื่อนของน้ำทะเลที่เจือปนไปด้วยโลหิตสดๆ
 
------------------------------------

          “เรเธียร์!”

                ถ้อยคำที่เปล่งออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนั้น ก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมาชนิดที่คาดไม่ถึง ทันทีที่เสียงนั้นกระทบเข้ากับคลื่นอากาศ กระเทือนเข้าสู่โสตสัมผัสของทุกผู้คนบริเวณนั้น สีหน้าของผู้ติดตามแห่งท้องทะเลแปรเปลี่ยนไปทันที ผู้ร่วมขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินชักอาวุธขึ้นมาและวาดมันไปยังร่างของผู้เอ่ยถ้อยคำนั้นอย่างประสงค์ร้ายเต็มที่ กษัตริย์อัสรานทรงตกพระทัยเสียจนโพล่งออกมา

          “มีเรื่องอันใด!”

          “มันผู้นั้นกล้ากล่าวพระนามขององค์ราชันย์ออกมาโดยตรง ช่างไร้มารยาทสิ้น!!”

          หนึ่งในผู้ติดตามชั้นสูงเอ่ย ใบดาบคมเกลี้ยงรูปร่างราวเสี้ยวจันทร์สีเงินยวงพุ่งตรงไปยังผู้ที่เอ่ยถ้อยคำต้องห้ามนั้นออกมา อัสรานถึงกับงุนงงเป็นอย่างยิ่ง

          “มัน?”

          พระองค์ทวนคำและผินพระพักตร์กลับไปมอง ผู้ที่ถูกเล็งเข้าใส่คือน้องชายแท้ๆ ของพระองค์เอง นี่มันเรื่องอันใดกันเล่า

          “คนผู้นี้เป็นน้องชายของเรา เจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์ รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งบัลลังก์เพลิงนี้ เหตุไฉนจึงจะกล่าววาจาเสียมารยาทเช่นนั้นได้”

          ถึงแม้จะเข้าใจว่าอัสธาราธมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เรื่องเสียมารยาทเช่นนี้คงไม่กระทำเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นอัสธาราธบอกเองว่ามิได้เคยพบกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเลย แล้วจักรู้ชื่อได้อย่างไร พระนามของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้แต่พระองค์เองยังไม่เคยทราบมาก่อนเลยเช่นกัน

          “พวกเจ้าอย่าได้เสียมารยาท”

          น้ำเสียงราวแก้วผลึกกล่าวขึ้น ใบหน้าผุดผาดงดงามราวรูปสลักจากฝีมือเทพเจ้าโผล่พ้นขอบผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มนั้นออกมาจนสิ้น ขนคิ้วสีน้ำเงินเรียงได้รูปสวย นัยน์ตาเรียวยาวรับเข้ากับใบหน้าเรียวอันบ่งบอกถึงภูมิปัญญาอันสูงส่งและความสูงศักดิ์ของเชื้อสาย เหนือสิ่งอื่นใด นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น นัยน์ตาที่ต่อให้หลับตาสักกี่ครั้ง พยายามลืมสักกี่ครั้งก็คงไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด นัยน์ตาที่อยู่ใต้กระแสน้ำเย็นนั่น

          “เรเธียร์เป็นนามของเรา เราบอกนามนั้นแก่เขาเอง”

          พวกผู้ติดตามทั้งหมดงงงันวูบ แม้แต่อัสรานเองก็ยังรู้สึกงุนงงสงสัยหนักเข้าไปอีก ราชันย์แห่งคอนเชียร์หันไปหาผู้เป็นน้องชาย

          “เจ้ารู้จักกับพระองค์หรือ?”

          อัสธาราธยืนนิ่งอยู่อีกเนิ่นนาน จนทุกคนเข้าใจว่าคนผู้นี้หูหนวก ไม่ก็กลายเป็นใบ้ แต่ในที่สุดเจ้าชายหนุ่มก็สั่นศีรษะ

          “ข้ามิเคยพบพานพระองค์มาก่อน อาจจะทรงจำคนผิด”

          “จำคนผิด?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทวนคำ ความตรึงเครียดผุดขึ้นมาอีกครั้ง กษัตริย์อัสรานรู้สึกเหมือนมีหยาดเหงื่อซึมขึ้นมาบนใบหน้า ทรงหันไปมองน้องชายอย่างตำหนิ แล้วเสียงหัวเราะราวเสียงขยับของสายพิณก็ดังขึ้น

          “อา.. คงใช่ เราอาจจะจำคนผิด เจ้าชายอัสธาราธ ขออภัยที่คนของเราเสียมารยาทต่อท่าน เพื่อเป็นการขออภัย โปรดรับของสิ่งนี้เอาไว้”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินสยายมวยผมที่กล้าไว้อย่างหลวมๆ ของพระองค์ออก ดึงเอาปิ่นปักผมสีดำสนิทที่ประดับอัญมณีสีน้ำเงินเข้มออกมา เสียงกระทบของโลหะสูงค่าดังกังวานไปทั่วบริเวณ โดยไม่มีผู้ใดกล้าคาดคิด ทรงเสด็จเข้าไปหาเจ้าชายแห่งคอนเชียร์และมอบปิ่นปักผมนั้นให้ด้วยพระองค์เอง

          “คำขอโทษจากเรา”

          อัสธาราธถอยหลังออกไปอย่างตระหนก เขารู้ว่าไม่บังควรเลยที่จะแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ต่อหน้าพระพักตร์จอมกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ทว่านัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองมานั้นได้ก่อกวนความรู้สึกหวาดหวั่นที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจของเขา นัยน์ตาสีเขียวมรกตกับสายน้ำเย็นยะเยียบความน่าสะพรึงกลัวที่เขาไม่เคยลืม

          ริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าที่ราวกับรูปสลักปรากฏรอยยิ้มอนาทร ทรงทอดตาดูเจ้าชายหนุ่มอย่างเอ็นดูยิ่ง ช่างเยาว์วัยจนน่าอิจฉานัก กับอารมณ์คนหนุ่มที่พลุ่งพล่าน คงยังมิอาจระงับจิตใจจากเรื่องในคราวนั้นได้แน่แท้

          ผ้าพลิ้วเนื้อลื่นไหลเลื่อนออกจากข้อมือของกษัตริย์แห่งสายน้ำ ในตอนที่พระองค์ทรงยื่นปิ่นปักผมให้เจ้าชายหนุ่ม ผิวขาวผุดผาดที่งดงามยิ่งกว่าแพรพรรณใดๆ ปรากฏให้ประจักแก่สายตาตัดกับสีดำสนิทของปิ่นปักผมนั้น

          “ได้โปรดรับไว้เถิด”

          ดูท่าอัสธาราธจะเกร็งจนไม่อาจรับมือกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินได้ อัสรานเกือบจะอ้าปากออกมาอยู่แล้วในตอนนั้น หากนิ้วเรียวยาวได้รูปของจอมกษัตริย์แห่งสายน้ำมิได้เลื่อนลงไปดึงมือของผู้เป็นน้องชายขึ้นมาและวางปิ่นปักผมนั้นลงไป

          สัมผัสของไอเย็นบนมือเรียวนุ่มนั้นยิ่งฉุดความพรั่นพรึงของอัสธาราธให้มีมากขึ้น ความรู้สึกของสายน้ำเย็นยะเยียบกับคมเขี้ยวแหลมคมที่ฝังลงมาบนผิวหนังผุดขึ้นราวลาวาที่ปะทุออกมาจากปล่อง อย่างไม่ทันได้ตั้งสติ เขาปัดมือเรียวนั้นออกอย่างตกใจ

          เสียงวัตถุสูงค่ากระทบเข้ากับพื้นหินเบื้องล่างดังเสียดเข้าไปในโสตประสาท ท่ามกลางความตกตะลึงของสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมา อัสรานอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายของเขาจะกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา

          “ขออภัย!”

          น้ำเสียงที่ยังตกประหม่าแต่ก็พอจะประคองสติได้แล้วดังขึ้น พร้อมๆ กับร่างแข็งแรงของอัสธาราธที่คุกเข่าลงตรงหน้ากษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน เจ้าชายหนุ่มรู้สึกอับอายจนอยากจะตายไปให้พ้นๆ ในตอนนี้ เมื่อครู่นี้เขาได้แสดงความหวาดกลัวออกไปต่อหน้าสาธารณะชน และยังเสียมารยาทต่อแขกคนสำคัญของพี่ชายอีก แบบนี้จะมีน้ำหน้าอยู่ดูโลกต่อไปได้อย่างไร

          นิ้วมือของอัสธาราธเกร็งแน่น เขาสมควรจะควักหัวใจของตัวเองออกมาในตอนนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ทันใดนั้นน้ำหนักกดมหาศาลก็กดลงบนไหล่ของเขา

          “ขออภัยแทนน้องชายของเราด้วย”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ย พลางบีบมือลงไปบนหัวไหล่ของผู้เป็นน้องชายอย่างเตือนสติ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอัสธาราธจึงแสดงกิริยาเช่นนั้นออกมา แต่เขาแน่ใจว่าน้องชายคนนี้คงคิดจะรับผิดชอบด้วยชีวิตเป็นแน่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะให้เกิดขึ้น กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มยิ้มออกมา พลางถอนหายใจ

          “มิได้ ยังคงเป็นเราที่ต้องขออภัย เราคงทำการอันน่าตระหนกเกินไป ต้องขออภัยมากจริงๆ”

          ราชันย์แห่งสายน้ำเว้นจังหวะ ทอดนัยน์ตาสีเขียวมรกตลงมายังเจ้าชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          “ได้โปรดรับคำขอโทษของเราไว้เถิด เจ้าชายอัสธาราธ เรามิได้มีเจตนาจะทำให้ท่านหวาดกลัวเลย”

          อัสธาราธมิได้เอ่ยปาก มิได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาเอื้อมมือไปเก็บปิ่นปักผมนั้นด้วยความรู้สึกราวถูกทวีปทั้งทวีปทับอยู่ น้ำหนักของปิ่นนั้นไม่มาก แต่สำหรับเขาในตอนนี้ มันหนักยิ่งเสียกว่าทั่งเหล็กที่ซ้อนทับกันหลายสิบชั้นเสียอีก

          ความอัปยศในครานี้ อีกกี่ปีกี่ชาติจึงจะล้างหมดสิ้น

          “อัสธาราธเพิ่งกลับมาจากราชการชายแดน อาจจะยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เป็นความผิดของเราเองที่ยังดันทุรังจะพามาด้วย เจ้าจงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

          อัสรานกล่าว ประโยคหลังหันไปพูดกับน้องชาย อัสธาราธพยักหน้า รู้ดีว่าพี่ชายกำลังหาช่องทางในการปลีกตัวออกไปให้เขาอยู่  เจ้าชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้น โค้งให้กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอีกครั้ง ก่อนจะบ่ายหน้ากลับมายังที่พักด้วยความรู้สึกอัปยศเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

                ความอัปยศที่ตัวเขาเองเป็นคนก่อไว้ทั้งสิ้น

------------------------------------------------

                เยือกเย็นและเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง  สายนทีไพศาลที่ไหลกระแทกเข้ากับร่างกาย ปลายประสาททุกส่วนเต้นร้องไปกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น นัยน์ตาพร่ามัวดังถูกม่านหนาบดบัง ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถประจักษ์ถึงสิ่งนั้น

          นัยน์ตาสีมรกตและฟันเรียวแหลมที่เรียงกันอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงนั่น
 
-------------------------------------------

          อัญมณีสีน้ำเงินสะท้อนประกายของแสงจันทร์ในคืนเพ็ญคล้ายประกายแห่งสายรุ้ง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์มิอาจข่มตานอนลงไปได้ ความรู้สึกสับสนปนเปประดังประเดเข้ามาให้ห้วงความคิด ความรู้สึกของสัมผัสเย็นยะเยียบและนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ได้ยลเมื่อครู่ยังคงคั่งค้างอยู่ในความทรงจำ

          ก่อกวนความกลัวที่ฝังตัวลึกอยู่ภายในจิตใจของเขา
          นัยน์ตาสีแดงก่ำเหม่อมองปิ่นสีดำนั้นอย่างซึมเซา เจ้าของปิ่นนี้คงกำลังปรึกษางานราชการกับพี่ชายของเขาอยู่ เจ้าของปิ่นนี้ ราชาแห่งดินแดนใต้สมุทรอันเย็นเยียบนั่น ช่างน่าตระหนกนักที่ถึงกับทรงมอบปิ่นปักผมที่อยู่บนพระเศียรให้ด้วยตัวของพระองค์เอง ทรงต้องการขอโทษอย่างนั้นหรือ กับนัยน์ตาสีมรกตที่มองมานั่น ต้องทรงสมเพสเขาอยู่แน่ๆ จะทรงเล่าเรื่องนั้นให้ผู้เป็นพี่ชายของเขารับรู้ด้วยหรือเปล่า หากทรงเล่า จะทรงเล่าในรูปแบบใด

          อัสธาราธขยับร่างสูงใหญ่บนเตียงหินอย่างอึดอัด ช่างน่าอัปยศนัก นัยน์ตาสีเขียวอันน่าพรั่นพรึงคู่นั้น ไฉนจึงกลับกลายเป็นนัยน์ตาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไปได้ มาถึงขั้นนี้เขาจะพูดอย่างไรกัน กับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น กับสิ่งที่เขาเคยเผชิญ กับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไป หากกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงแสดงความขุ่นเคืองออกมาคงจะดีกว่านี้ แต่สิ่งที่พระองค์ทำคือการแสดงความเห็นใจอย่างถึงที่สุด สมเพสเวทนาเขาเป็นยิ่งนัก เขาที่เพียงแค่ได้พบเห็นนัยน์ตาคู่นั้นก็ถึงกับหวาดกลัวจนมิอาจเก็บอาการได้

          นี่หรือผู้เข้มแข็งแห่งคอนเชียร์

          เจ้าชายหนุ่มบีบมือเข้ากับขอบเตียงหิน เศษหินน้อยใหญ่ร่วงหล่นลงบนผ้าปูเตียงหนาด้วยแรงขย้ำ ผู้เข็มแข็งประเภทใดกันเล่าที่แสดงความหวาดกลัวออกไปอย่างน่าละอายเช่นนั้น ผู้เข้มแข็งใดเล่าที่กระทำการอันน่าละอายอย่างที่เขาเคยทำ จวบจนกระทั่งได้พบพาลแล้ว ก็ยังมิอาจยับยั้งความหวาดกลัวนั้นได้ มิอาจรักษาสติเอาไว้ได้เลย

          เช่นนี้ยังจักกล้าใช้คำว่าผู้เข้มแข็งอีกหรือ

          เศษหินร่วงหล่นลงพร้อมหยาดน้ำระอุอุ่นที่ไหลซึมออกมาจากร่องหางตา น้ำตาแห่งความอัปยศหลั่งออกมาจากดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้น ผ่านพ้นคืนนี้ เขาจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายได้อย่างไร จะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนได้อย่างไร ในเมื่อเขาได้แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเองออกไปแล้ว ว่าเขานั้นขลาดเขลามากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้านัยน์ตาสีมรกตนั่น

          ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าเป็นผู้เอ่ยพระนามออกไป

          เมื่อนึกถึงนัยน์ตาสีน้ำทะเลของผู้ติดตามจากห้วงนทีที่มองมายังเขาอย่างสมเพสนั่นแล้ว อัสธาราธอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ จากความอัปยศนี้ แต่เมื่อนึกถึงมือของผู้เป็นพี่ชายที่บีบลงมาแล้ว เขาก็รู้สึกตัวทันทีว่า นั่นมิใช่ทางออกที่เหมาะสม หากจะต้องตาย เขาควรจะตายอย่างมีประโยชน์กว่านั้น

          แต่การต้องทนอยู่กล้ำกลืนความอัปยศนี้แม้เพียงอีกนาทีเดียวก็ทรมานเต็มทน

          อัสธาราธพลันนึกถึงสงคราม หากมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น หากเขาได้ตายในสงครามเพื่อองค์ราชา เพื่อคอนเชียร์แห่งนี้ เยี่ยงนั้นจึงสมประโยชน์ สมศักดิ์ศรี แต่สงครามใดเล่าจะอุบัติขึ้นในยามนี้

                พวกมนุษย์

          เมื่อนึกถึงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่แสนเจ้าเล่ห์นั่นแล้ว เจ้าชายหนุ่มพลันมิคิดอยากตายอีก หากต้องสิ้นด้วยน้ำมือของสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจพวกนั้น คงอัปยศพอๆ กับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นี่แหละ ช่างน่าหัวร่อ ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเกือบจะพลาดท่าให้พวกมันมาแล้วเช่นกัน  ถ้าหากมิได้พบพานกับนัยน์ตาสีมรกตนั่น

          นัยน์ตาที่สร้างความพรั่นพรึงเสียยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
 
-------------------------------------------

          “อัสธาราธเล่า?”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ยขึ้น หลังจากเสร็จจากการหารือกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแล้ว ก็ตรงมายังซาซาร์กันในทันที ทรงมองผู้เป็นพี่สาวซึ่งรั้งเฝ้าอยู่ที่ปราสาทอย่างร้อนใจ

          “เข้านอนแล้ว เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

          อัสเธียร์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกแปลกใจอยู่ก่อนแล้วที่จู่ๆ อัสธาราธที่ตามขบวนเสด็จออกไปแต่ช่วงหัวค่ำ กลับมาก่อนเวลาด้วยสีหน้าชวนให้ไม่สบายใจเป็นยิ่งนัก ราวกับว่าเพิ่งพ่ายต่อสงครามมาอย่างไรอย่างนั้น นางมิกล้าเอ่ยถามสิ่งใด เนื่องจากน้องชายผู้นี้ยามมีสีหน้าแบบนี้ไม่พึงพอใจการต่อปากต่อคำกับผู้ใดทั้งสิ้น ทำได้เพียงเฝ้าวนเวียนอยู่หน้าห้อง เผื่ออาจมีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น

          นางรู้สึกไม่ไว้ใจกับนัยน์ตาสีแดงที่ดูสับสนคู่นั้น

          “อัสธาราธก่อเรื่องเล็กน้อย อืม..ข้าจึงให้เขากลับมาก่อน?”

                อัสรานเอ่ย นั่นทำให้ผู้เป็นพี่สาวโพล่งออกมา

          “อย่างไร? อัสธาราธก่อเรื่องต่อหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหรือ?”

          แม้นางจะเคยพร่ำบ่นเรื่องมารยาทกับอัสธาราธหลายต่อหลายครั้งจนน่าเอือมระอา แต่นางรู้ดีว่าน้องชายผู้นี้ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ แค่เอาแต่ใจและหัวดื้อเท่านั้น มิคาดว่าจะกล้าเสียมารยาทต่อกษัตริย์ผู้ครอบครองสายน้ำกว้างนั้น

          อัสรานโคลงศีรษะ นั่งลงบนแท่นที่ประทับภายในห้องรับรองด้านหน้า และกล่าวสืบต่อ

          “ท่านพี่หญิงคงคิดเช่นเดียวกับข้า อัสธาราธไม่น่าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินได้ แต่เขาทำลงไปเสียแล้ว ข้าเกรงว่าบางทีเขาอาจเคยพบกับพระองค์มาก่อน”

          “ได้อย่างไร?”

          อัสเธียร์กล่าวอย่างแปลกใจ แม้คอนเชียร์และอิลห์ลารินนั้นจะมีเขตแดนติดกัน แต่ไม่มีมังกรไฟตัวใดอยากเข้าไปเฉียดผิวน้ำเย็นยะเยียบนั่น เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้น้ำนั้น มิมีตนใดอยากเฉียดเข้ามาใกล้อาณาเขตอันเต็มไปด้วยไอพิษของเถ้าภูเขาไฟและธารลาวาเช่นนี้หรอก คิ้วของอัสรานขมวดเข้าหากัน

          “ข้ามิทราบ อัสธาราธนั้นเอ่ยพระนามขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินออกไปตรงๆ ราวกับเคยพบพานกันมาก่อน และองค์กษัตริย์ก็ทรงตรัสเองว่าเป็นผู้บอกนามนั้นแก่อัสธาราธเอง”

          “เช่นนั้นไฉนจึงเกิดเรื่องเล่า หากต่างฝ่ายต่างรู้จักกันย่อมน่ายินดีมิใช่หรือ?”

          “เนื่องเพราะอัสธาราธกลับปฏิเสธการรู้จักกับพระองค์ เขากล่าวว่าพระองค์ทรงจำคนผิด”

          “ใยจึงกล้ากล่าววาจากลับกลอกเช่นนั้น!”

          อัสเธียร์โพล่งออกมา นางมิคาดน้องชายของนางจะกล้ากล่าววาจากลับกลอกกับองค์กษัตริย์ของอีกอาณาจักรหนึ่งได้ โดยปกติเขามิใช่คนกลับกลอกเลย อัสรานถอนหายใจหนักหน่วง

 
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ 1 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/06/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-07-2012 12:46:10
         “เกรงว่าอัสธาราธจงใจบิดบังบางอย่างกับพวกเรา กับทุกคนด้วย เขามิกล้ายอมรับว่ารู้จักกับองค์กษัตริย์ จะด้วยเหตุผลได้มิทราบได้ แต่องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระเมตตามากถึงกระทั่งออกปากเอ่ยคำขอโทษจากพระโอษฐ์และถอดปิ่นปักผมกำนัลให้แก่อัสธาราธด้วยพระองค์เอง”

          “มีเรื่องเช่นนั้น!”

          อัสเธียร์กล่าวอย่างตกใจอีกรอบ การมอบเครื่องประดับบนศีรษะของกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่กระทำกันนัก ยกเว้นเสียแต่ว่าต้องการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ไฉนกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจึงประทานปิ่นปักผมบนศีรษะของพระองค์ให้แก่อัสธาราธซึ่งมิได้ทรงยศเทียบเท่ากษัตริย์เล่า แม้หากทรงอยากขอโทษจริงๆ ก็ไม่สมควรจะทำเยี่ยงนี้

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นทรงพระชนมายุยืนยิ่งท่านก็ทราบ ทรงดำรงอยู่มาก่อนที่พวกเราจะถือกำเนิดเสียอีก ทรงเป็นพระสหายแต่ครั้งพระอัยกา....”

          “เกรงว่าจะทรงดำรงอยู่มานานกว่านั้น แต่เหตุไฉนจึงกระทำการเช่นนี้เล่า นี่มิใช่การดูถูกอัสธาราธ แต่ด้วยฐานะของเขา พระองค์ไม่น่าจะถึงกับทรงประทานเครื่องประดับศีรษะให้เพียงเพื่อแทนคำขออภัย”

          อัสเธียร์เอ่ยต่อ ผู้เป็นน้องชายผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย ก่อนจะกล่าวขึ้น

          “แต่ที่ยิ่งกว่านั้น อัสธาราธกลับแสดงทีท่าหวาดกลัวพระองค์เป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งปัดพระกรออกจนปิ่นนั้นร่วงลงสู่พื้นดิน”

          “พระแม่แห่งเพลิงทรงโปรด!!!”

          อัสเธียร์อุทานอย่างตระหนก หน้าของนางถอดสีอย่างเห็นได้ชัด นางมองดูราชันย์แห่งคอนเชียร์ผู้เป็นอนุชาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

          “นั่นถือว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง! หากเป็นผู้อื่น น่ากลัวถูกกุดหัวทิ้งไปแล้ว ไฉนอัสธาราธจึงกริ่งเกรงพระองค์จนกระทำเยี่ยงนั้น เขามิเคยแสดงท่าทีหวาดเกรงผู้ใดมาก่อน”

                “ข้ามิทราบ”

          อัสรานพูดพลางสั่นศีรษะ

          “เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้น ข้าเกรงอัสธาราธจะคิดสั้น เขาตั้งสติได้หลังจากนั้นและเอ่ยปากขอพระราชทานอภัยโทษ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมิเพียงไม่ถือโทษเท่านั้น ยังทรงเอ่ยปากขอโทษซ้ำและกำชับให้รับปิ่นนั้นไป ทรงกล่าวทำนองว่าได้ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อัสธาราธหวาดกลัว”

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีอันใดน่าหวาดกลัว ทรงงดงามน่ามองด้วยซ้ำ ทั้งยังรักษากิริยามารยาทงดงามยิ่ง ยามแย้มพระโอษฐ์นั้นหัวใจข้าถึงกับจะกระดอนออกมา”

          อัสเธียร์กล่าวจากความรู้สึกของนางจริงๆ มิว่าผู้ใดได้พบเห็นกษัตริย์ผู้ทรงสิริโฉมพระองค์นั้น ย่อมไม่มีทางคิดหวาดกลัวเป็นแน่ นอกเสียจากมันผู้นั้นสัญญาวิปลาส แต่อัสธาราธไม่ใช่คนสัญญาวิปลาส ถ้าเช่นนั้น เป็นเรื่องราวใดแน่ อัสรานแย้มพระโอษฐ์ออกมาบ้าง

          “คิดเช่นเดียวกัน องค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินนั้นงดงามยิ่ง ข้ายังหวังให้อัสธาราธได้ยลสิริโฉมของพระองค์สักครั้งจึงได้กล่าวรั้งตัวไว้ มิคาด นอกเสียจากจะมิได้เป็นดังหวังแล้ว เรื่องราวดูเหมือนจะลึกลับยิ่ง คล้ายดั่งทั้งสองเคยพบพานกันมาก่อน”

          “หากเคยพบกันจริง ไฉนอัสธาราธมิเคยบอกกล่าวเรื่องนี้เลยเล่า?”

          “บางทีอาจเพราะเขาต้องการปิดบังบางอย่าง”

          “บางอย่าง บางอย่างใด? การรู้จักกับกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีส่วนใดให้อับอายน่าปิดบัง หรืออัสธาราธเคยไปทำเรื่องน่าอับอายกับองค์กษัตริย์เข้า!?”

          เอ่ยถึงตรงนี้พระพี่นางถึงขั้นหน้าถอดสีอีกรอบ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางย่อมต้องเดินเข้าไปลากศีรษะของอัสธาราธลงไปขอขมาต่อองค์กษัตริย์แห่งท้องน้ำนั้นให้จงได้ อัสรานสั่นศีรษะอย่างอับจนปัญญา

          “ข้ามิกล้าคาดเดา เพราะเหตุเช่นนั้น ข้าจึงให้อัสธาราธกลับมาก่อน และข้าเองก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องราวกับองค์กษัตริย์ เพราะทรงเอ่ยยอมรับวาจาของอัสธาราธว่าทรงจำคนผิด และไม่ทรงเอ่ยเรื่องนั้นออกมาอีกเลย บางทีเรื่องนี้อาจต้องไต่ถามจากปากของอัสธาราธเอง”

          “เช่นนั้นข้าจะไปปลุกเขา”

          อัสเธียร์เอ่ยพลันผุดลุกขึ้น อัสรานเอื้อมมือยุดนางเอาไว้

          “อย่าเพิ่งเลย ท่านพี่หญิง ให้อัสธาราธพักผ่อนไปก่อนเถิด ถึงเรียกมาถามตอนนี้ ก็คงหวังคำตอบมิได้ อัสธาราธมิเคยเอ่ยปากเล่าในสิ่งที่ไม่ต้องการเล่าเลย ท่านเองก็ทราบ น้องชายของเราคนนี้ดื้อดึงเพียงใด”

          พระเชษฐภัคคินียืนนิ่งอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง จึงยอมนั่งลง กล่าววาจาออกมา

          “เช่นนั้นจะทำอย่างไร นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จะอย่างไรเสียอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ราชันย์แห่งท้องน้ำ หากทรงปิดบังความไม่พอใจไว้ คงไม่ดีกับทางเราเป็นแน่”

          “ข้าจะหาทางเกลี้ยกล่อมอัสธาราธเอง ท่านพี่หญิงไปพักผ่อนเถิด”

          “แล้วพระองค์เล่า?”

          อัสเธียร์เอ่ยอย่างอาดูร นางทราบ อนุชาผู้ยิ่งใหญ่ของนางองค์นี้มีเรื่องให้ขบคิดอีกเป็นแน่แท้ อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมาปรึกษาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ในเมื่ออัสรานมิได้เอ่ยปากออกมาก่อน นางก็มิต้องการละลาบละล้วง เนื่องเพราะเรื่องบริหารมิใช่กิจของอิสตรี

          อัสรานแย้มยิ้มให้กับพี่สาวแทนคำตอบ และโบกมือลานางที่เดินออกไปอย่างแช่มช้า พลางถอนหายใจยืดยาวหลังจากนั้น ข้อราชการที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงยกขึ้นมาปรึกษานั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยอีกเช่นกัน ดินแดนฝั่งตะวันตก ดินแดนที่เป็นผืนน้ำกว้างทอดตัวออกไปสุดลูกหูลูกตา ผืนน้ำแห่งอิลห์ลารินที่มิมีมังกรตัวใดบนคอนเชียร์เคยข้ามผ่าน บนแผ่นดินอีกฟากหนึ่งนั่น การคุกคามที่ไม่น่าไว้วางใจกำลังเกิดขึ้นอยู่ องค์กษัตริย์ทรงวิตกพระทัยว่าการรุกล้ำนั้นจะกร้ำกรายเข้ามาสู่อาณาเขตของพระองค์ในอีกไม่นาน ดังนั้นจึงเสด็จมาขอความช่วยเหลือ เพราะทหารของพระองค์นั้นไม่เก่งกาจในการสู้รบบนบก และพ่ายแพ้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว อัสรานเข้าใจถึงความยุ่งยากใจในเรื่องเขตแดนของผู้เป็นกษัตริย์เป็นอย่างดี แต่เขาจะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อท้องน้ำนั้นไม่เคยมีผู้ใดบินผ่านได้มาก่อน มันกว้างและไร้ที่พักพิง ไม่มีมังกรตัวไหนสามารถบินดั้นด้นในระยะทางแสนไกลนั้นได้ แม้องค์กษัตริย์จะมีข้อเสนอ พระองค์จะหาแหล่งพักให้ แต่แหล่งพักนั้นจะเป็นอะไรไปได้เล่า นอกจากวังบาดลของพระองค์ ซึ่งคงไม่มีมีมังกรตัวใดในคอนเชียร์สามารถลงไปได้แน่ แม้ทราบกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไม่กล่าววาจาโดยไม่เตรียมการเอาไว้ กระนั้นการลงไปในอิลห์ลารินนั้นไม่เคยมีผู้ใดบนคอนเชียร์กระทำมาก่อน และคงไม่มีผู้ใดต้องการจะทดสอบ เขาจำต้องปรึกษาข้อราชการนี้กับอัสธาราธ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึก แต่ก่อนอื่น คงต้องหาทางให้น้องชายผู้นี่เอ่ยสิ่งที่เป็นความลับนั้นออกมาเสียก่อน

          หวังว่าอัสธาราธคงจะมิดื้อด้านจนเกินไปนัก
 
----------------------------------------------

          สีแดง…

          สีแดงที่แดงฉานราวโลหิตสดๆ อา... สีแดงนั้นแดงฉานอยู่ในม่านหมอกของโลหิตไม่ผิดแน่ ช่างเป็นสีสันที่สวยงามยิ่ง แดงสด..ตัดกับสีดำมืดของท้องน้ำเย็นยะเยือก โลหิตสีแดงไหลทะลักออกมา พร่างพรายอยู่ในฟองอากาศขุ่น ตะเกียกตะกายอยู่ในสายน้ำ ดิ้นรนหนีจากความตายที่ไม่อาจต่อต้าน หวาดกลัวต่อวินาทีสุดท้ายของชีวิต

          ช่างเยาว์วัยยิ่งนัก
 
-------------------------------------------------

          “ท่านเคยพบเห็นสีแดงหรือไม่?”

          น้ำเสียงราวแก้วผลึกเอ่ยขึ้น ดังสะท้อนทั่วท้องน้ำภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังใต้สมุทรอันลึกลับ ที่แทบจะถูกลืมเลือนชื่อเรียกขานเช่นเดียวกับนามของเจ้าของราชวังนั้น

          อัลโดรท์

          พระราชวังอัลโดรท์นั้นตั้งชื่อตามเงื้อมผาใต้ทะเลลึกอันเป็นที่ตั้งของมัน ราชวังหินแห่งนี้ถูกสลักเข้าไปในหุบผาลึกนั่น เป็นห้องต่างๆ มากมายหลายร้อยห้อง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาภูตพรายรับใช้ และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งอิลห์ลิเรีย ผู้ปกครองห้วงสายน้ำอันลี้ลับ

          เพราะเชื้อสายแห่งสายน้ำนั้นอายุยืนยาวอย่างยิ่ง กระทั่งกษัตริย์บางพระองค์ลืมพระนามไปก่อนจะเสด็จสวรรคตหลายร้อยปีด้วยซ้ำ พระนามที่นานวันไปยิ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยเรียก เพียงเอ่ยเรียกชื่อดินแดนที่ปกครองแทน

          อิลห์ลาริน

          ในเมื่อไม่เห็นว่ามีผู้ใดอยู่ตรงนั้นอีก ผู้รับใช้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทอจากเส้นใยของพืชทะเลจึงเบือนหน้าจากโคมไฟสีฟ้าที่ถือนำทางอยู่กลับมาตอบคำถามองค์กษัตริย์

          “พระองค์หมายถึงสีแดงใดหรือ? หากเป็นสีแดงของกุ้ง เม่น ปู ข้าพระองค์เคยเห็นมามาก สีแดงของปะการังและดอกไม้ทะเลนั้นก็หลายอยู่ หากแม้เป็นสีแดงโลหิตก็ยังเคยพอเห็น”

          “สีแดงของมังกรเพลิงเล่า?”

          ทรงตรัสเพิ่ม ผู้รับใช้แย้มยิ้ม

          “กำลังตรึกถึงสีแดงแห่งคอนเชียร์หรือ? ข้าพระองค์พบเห็นตั้งแต่คราวที่ตามเสด็จไปครั้งก่อน กษัตริย์แห่งคอนเชียร์นั้นทรงมีเรือนผมและนัยน์ตาสีแดงดำน่าเกรงขามยิ่ง ยิ่งวันนี้ ทรงพระองค์เต็มยศเสด็จลงมาต้อนรับยิ่งงดงามเกินจะบรรยาย”

                กล่าวด้วยนัยน์ตาแสดงถึงความชื่นชมจากใจจริงอย่างยิ่ง กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์บางๆ

          “แล้วสีแดงสดเล่า?”

          อีกฝ่ายขยับคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะเอ่ยตอบอีกครั้ง

          “แดงสด? ทรงหมายถึงเจ้าชายที่ไร้มารยาทผู้นั้น?”

          “ใยกล่าวว่าไร้มารยาทเล่า”

          องค์กษัตริย์กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผู้รับใช้เอ่ยตอบ

          “หากมิเอ่ยว่าไร้มารยาท สมควรเอ่ยคำใดเล่า.. ผู้ใดเลยกล้าปัดของจากพระหัตของพระองค์เช่นนั้น แม้พระองค์มิถือโทษโกรธเคือง แต่ข้าพระองค์กลับโกรธเคืองยิ่ง”

          “แล้วกัน ไฉนเจ้าพาลโกรธแทนเราเล่า”

          “เนื่องเพราะข้ามิเคยเห็นพระองค์ทรงถอดที่ประดับพระเศียรให้ผู้ใดมาก่อน นั่นมิใช่ปิ่นประดับที่พระองค์ทรงรักมากหรือ? ไฉนจึงกำนัลให้แก่คนไร้มารยาทนั่น”

          “นั่นเพราะเราอยากขอโทษเขา”

          องค์กษัตริย์เอ่ย ผู้รับใช้มีสีหน้างุนงง

          “ใยพระองค์จึงต้องกล่าวคำขอโทษเล่า เป็นฝ่ายนั้นเอ่ยนามของพระองค์ขึ้นมาลอยๆ ก่อน เอ่ยออกมาอย่างไร้มารยาทอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ยังไม่กล้ายอมรับ ช่างขลาดสิ้นดี”

          จอมราชันย์แห่งสายน้ำรีบโบกพระหัต

          “เราพอเข้าใจความไม่พอใจของเจ้าอยู่ แต่เรื่องที่เจ้าชายทรงแสดงกิริยาเช่นนั้นเป็นความผิดเราเช่นกัน เรามิคาด จะยังกลัวเราอยู่ถึงเพียงนั้น”

          “พระองค์ทรงเคยพบมังกรตนนั้นมาก่อน? ไฉนผู้นั้นถึงได้หวาดกลัวพระองค์นัก ข้าพระองค์ไม่เล็งเห็นว่ามีอันใดน่าหวาดกลัว”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์บางๆ พลางถอนหายใจ

          “นั่นเพราะตอนพบกันครั้งแรก เราไม่ใคร่น่าดูเท่าไหร่นัก”

          “ออ..”

          ผู้รับใช้ครางพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ

          “พระองค์พบเขาในตอนที่ทรงออกไปว่ายน้ำเล่น?”

          “มิตอบจึงประเสริฐ”

          องค์กษัตริย์ตรัสพลางโบกพระหัต ทรงดำเนินมาจนถึงหน้าประตูหินบานใหญ่บานหนึ่ง ผู้รับใช้โค้งให้พระองค์

          “กลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้เรารบกวนเจ้าอย่างยิ่งแล้วอูห์รูน”

          “หามิได้ ข้าพระองค์ยินดีถวายการรับใช้เสมอ”

          อูห์รูนกล่าว พลางโค้งถวายความเคารพให้องค์กษัตริย์ของตนอีกรอบ ก่อนจะนำโคมสีฟ้าเดินออกไป กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินผลักประตูหินบานนั้น

          ห้องโถงหินขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา มิได้ประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตามากมายนัก มีเพียงหินปะการังและดอกไม้ทะเลขึ้นแซมอยู่เป็นส่วนๆ เปลวไฟสีฟ้าสว่างวาบขึ้นทันทีที่องค์กษัตริย์ก้าวเข้าไป ถัดจากแทนบรรทมหลังใหญ่ที่สลักเสลาจากหินผาอย่างวิจิตร บนผนังหินกลางห้องนั้น ปรากฏรูปสลักนูนต่ำขนาดใหญ่เท่าตัวมนุษย์ เป็นรูปสลักของหญิงสาวนางหนึ่ง ในชุดนักรบน่าเกรงขามยิ่ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบนริมฝีปากงาม ยามถูกแสงหักเหกับคลื่นน้ำทาบทาลงไป ก็ดูคล้ายดั่งมีชีวิต องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตขึ้นสัมผัสริมรูปสลักนั้น รำพึงรำพันอยู่ในห้วงหฤทัย

          ใยบางเรื่องราวจึงละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก
         
----------------------------------------------
(จบตอน)

ฮ่าๆ ลืมอัพ (แถมอัพก็อัพผิดตอนอีกต่างหาก) ถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะมาอัพต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 1/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 01-07-2012 14:17:34
= ='' เหมือนเคยอ่านแล้วมันซ้ำ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 1/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 01-07-2012 14:21:50
^เคยอัพไปแล้วบอร์ดมันล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 1/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: misso ที่ 01-07-2012 15:35:56
ตามมาให้กำลังใจ อัพตอนใหม่วันเกิดเราพอดี เห็นไม่ค่อยมีใครกลัวคุณจูเหงา ฮ่าๆ เรื่องนี้เคยตามไปอ่านในบล็อกคุณจูปีที่แล้ว แต่ไม่เคยเม้น :a5:

จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องสั้นชื่อคล้ายๆกันแล้วชอบมากเลยตามไปอ่านเรื่องยาวในฐานะอยู่สปีชีส์เดียวกัน :o8:

เรื่องนี้สนุก ชอบ แต่ไม่ค่อยชอบตอนจบเท่าไร(มันแฮปปี้แหละแต่เราเรื่องมากเอง ฮ่าๆ) แต่ยังไงก็ชอบมากอยู่ดี โรแมนติก~

เห็นเปิดจองนกยูงแดงแล้ว เก็บเงินก่อนแล้วจะตามไปจองนะจ๊ะ :กอด1:



หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 1/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 02-07-2012 11:09:10
^ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันค่ะ (อันที่จริงไม่ค่อยเหงา แต่.. มันพานจะลืมเอาค่ะ ฮ่าๆ<<นี่แหละประเด็น)

---------------------------------
3 : อัสรานและอัสธาราธ

เย็นชืดอย่างยิ่ง เย็นชืดยิ่งกว่าสายน้ำใดๆ ร่างเย็นชืดที่ถูกย้อมทาด้วยสีแดงฉานปานชาดแต้ม สีแดงที่ไหลซึมออกมาจากร่างกายเย็นยะเยียบ แผ่กระจายอาบทาผิวกายขาวผ่องซีดเซียว บนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก หยาดน้ำสีแดงสด ไหลรินย้อมริมฝีปากนั้นจนแดงฉาน
ประกายแดงฉานของโลหิต
 
-----------------------------------------------
 
         แดง...

          สีแดงที่ปรากฏอยู่แก่สายตาของอัสธาราธมิใช่สีของโลหิต แต่เป็นสีผมของเขาเอง เจ้าชายหนุ่มนอนจมร่างอยู่บนฟูกนุ่ม แทบมิได้หลับเลยตลอดทั้งคืน เขาเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุของสีดำที่ไม่ยอมปรากฏแล้ว

          คงเพราะเขายังอ่อนแอเกินไปจริงๆ

          แต่ชายหนุ่มก็ยังมิอยากจะผุดลุกขึ้น แม้จะรู้เช่นนั้นแล้ว แต่ในเวลานี้เขายังไม่ทราบว่าควรจะปฏิบัติตัวเช่นไร มิทราบว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินส่งกล่าวอะไรกับผู้เป็นพี่ชายของเขาบ้าง อัสธาราธยังไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์ของเขาในตอนนี้ เจ้าชายหนุ่มยอมรับ ตอนนี้เขากลายเป็นขลาดไปแล้วจริงๆ ขลาดกลัวการเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง ตั้งแต่ทำเรื่องอัปยศลงไปเมื่อคืนนั่น อา...ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี การนอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกทั้งวันย่อมไม่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นแน่  แต่ถึงอย่างนั้น..เขาควรจะทำอย่างไรล่ะ?

          “อัสธาราธ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”

          เสียงกังวานที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจและความเมตตาดังขึ้นด้านนอกกำแพงห้อง ผู้ถูกเรียกผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ด้วยไม่คาด องค์กษัตริย์จะเสด็จมาหาเขาเองถึงห้อง เจ้าชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากเตียง ออกไปเปิดประตูทันที

          “ท่านพี่อัสราน ใยมิใช้ให้ใครมาตามตัวข้า เสด็จมาให้เหนื่อยยากทำไมเล่า”

          “เหนื่อยยากอันใด ห้องพักเจ้าอยู่ห่างจากห้องนอนข้าไม่ไกลนัก ใยข้าจะออกมาหาเจ้ามิได้ นั่งก่อนสิ”

          กษัตริย์อัสรานหย่อนกายลงบนที่นั่งหินในห้อง และเชื้อเชิญน้องชายให้นั่งลงข้างๆ

          “ดีใจเหลือเกินที่เจ้ามิได้คิดสั้น”

          ทรงเอ่ยหลังจากอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว อัสธาราธก้มหน้าอย่างละอาย กล่าววาจาไม่ออกแม้ครึ่งคำ องค์กษัตริย์ตรัสต่อ

          “พูดตามตรงไม่อ้อมค้อม ข้ามาเพื่อถามคำถามเจ้า อัสธาราธน้องข้า ใยเจ้าจึงปิดบังเราเรื่องขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน เจ้าเคยพบพระองค์มาก่อน?”

          อัสธาราธยังคงนิ่งเงียบ อัสรานรออยู่เนิ่นนานจึงกล่าวซ้ำ

          “เจ้าไม่ใช่กลายเป็นใบ้ไปแล้ว? ใยมิตอบคำถามข้าเล่า หรือจำต้องให้ข้าคุกเข่าอ้อนวอน”

          “หามิได้ พี่ชายของข้า!”

                อัสธาราธโพล่งขึ้นทันที ยิ่งรู้สึกผิดบาปหนักเข้าไปอีก

          “ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น เพียง...”

          “เพียงอันใด?”

          “เพียงมิอาจตอบทำถามนั้น”

          “เพราะเหตุใดเล่า?”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ถามอย่างแปลกพระทัย อัสธาราธมีสีหน้ายุ่งยากใจ ปกติแล้วอัสรานไม่เคยรุกเร้าให้เขาตอบคำถามที่ไม่อยากตอบมาก่อน แต่คราวนี้เห็นทีผู้เป็นพี่ชายคงจะตั้งใจไม่ปฏิบัติดังเช่นผ่านมา

          “ข้าทราบ เจ้าดื้อรั้นยิ่ง ต่อให้ข้าคุกเข่าลงอ้อนวอนเจ้า หากเจ้ามิอยากตอบ เจ้าก็คงมิตอบ แต่ได้โปรดเถิดน้องข้า ฝ่ายนั้นเป็นถึงกษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน หากเจ้ามีเรื่องใดควรบอกแก่ข้า หรือเจ้าชมชอบให้ข้าเป็นคนโง่งม”

          “มิใช่เลย องค์กษัตริย์”

          อัสธาราธรีบตอบคำ นัยน์ตาสีแดงมองดูผู้เป็นพี่ชายอย่างเจ็บปวด อัสรานเองก็หันกลับไปมองดูผู้เป็นน้องชายเช่นกัน นัยน์ตาสีแดงดำนั้นหรี่ลงอย่างอ่อนล้า

          “ไฉนเจ้าจึงถือทิฐินัก ไม่ว่าเจ้าจะกระทำเรื่องราวอัปยศใดไว้ เรายอมให้อภัยเจ้า ได้โปรดบอกกล่าวแก่เรา เจ้ากับองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินพบกันได้อย่างไร ไฉนเจ้าจึงหวาดกลัวพระองค์เช่นนั้น”

          “พระองค์มิใช่เล่าให้ท่านฟังแล้ว?”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจ อัสรานสั่นศีรษะ

          “มิได้เอ่ยถึงเลย”

          “มิได้เอ่ยถึง? มิได้ทรงพูดถึงเรื่องนั้นเลย?”

          ผู้ถูกถามพยักหน้า พลางกล่าว

          “หรือเจ้าต้องการให้ข้าเอ่ยปากถามพระองค์เอง?”

          “มิได้!”

          อัสธาราธรีบปฏิเสธ เจ้าชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ก่อนเอ่ยวาจาต่อ

          “ท่านพี่อัสราน ท่านเคยคิดตัดพี่ตัดน้องกับข้าหรือไม่?”

           “ไฉนข้าจึงคิดตัดพี่ตัดน้องกับเจ้า?”

          อัสรานถามอย่างแปลกใจ พลันนึกขึ้นได้ หรืออัสธาราธจะก่อเรื่องร้ายแรงเอาไว้

          “บอกต่อข้าเถิด เจ้ากระทำเรื่องใดกันแน่ ข้าสัญญา มิตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าเด็ดขาด”

          “หากเล่าจบแล้ว ท่านจะตัดพี่ตัดน้องกัน ข้าจักมิถือโทษท่านเลย เพียงเสียใจอยู่บ้าง ที่ไม่อาจกล้าหาญดั่งที่ท่านวาดหวังไว้”

          “เป็นเรื่องราวใด?”

          องค์กษัตริย์ถามอย่างรุ่มร้อนใจ เรื่องราวใดเล่าที่ทำให้ผู้แข็งกร้าวอย่างอัสธาราธขลาดกลัวถึงเพียงนี้ ทรงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกระทำเรื่องใดกับน้องชายของพระองค์กันแน่

          “จะกล่าวไปก็น่าอัปยศยิ่ง ท่านยังจำคราที่ข้าพ่ายต่อมนุษย์ที่เขตแดนตะวันออกได้หรือไม่?”

          “ย่อมจำได้เสมอมา แม้เจ้าจะมิชอบให้พูดถึงนัก ข้ามิลืมเลือนได้หรอก ครานั้น เราคาดต้องเสียเจ้าไปแน่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ทั้งข้าทั้งท่านพี่หญิงทุกข์ใจเพียงใด”

                “ข้าทราบพวกท่านรักข้าอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงรู้สึกอัปยศเสมอมา”

          “พ่ายแพ้มิใช่เรื่องน่าอัปยศ ไม่ว่าผู้ได้ล้วนพ่ายแพ้ได้ทั้งสิ้น ใยเจ้าจึงเก็บมาคิดให้มากความเล่า ข้ามิเคยตำหนิเจ้าเรื่องนั้นเลย”

          อัสรานกล่าว พลางมองน้องชายด้วยสายตาเอ็นดู อัสธาราธสั่นศีรษะ

          “สำหรับข้า ความพ่ายแพ้ต่อมนุษย์ถือเป็นความอัปยศยิ่ง แต่..ท่านพี่อัสราน หลังจากผ่านเรื่องอัปยศนั่นแล้ว ข้ากลับกระทำเรื่องราวแย่ยิ่งกว่า”

          “อย่างไร? ข้าคาดเจ้าต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หากต้องซ่อนตัวเพื่อรักษา ย่อมไม่นับเป็นความอัปยศ เพราะชีวิตนั้นมีค่ายิ่ง”

          “ท่านทราบ ข้าซ่อนตัวเพื่อรักษา? เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ ผู้ใดช่วยเหลือข้า?”

          “เป็นผู้ใด?”

          นัยน์ตาของอัสธาราธเบือนไปทางอื่น อย่างบังเอิญพลันเหลือบไปมองปิ่นปักผมสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะหิน ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น

          “เป็นองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน”

          “ออ....”

          อัสรานครางออกมา เขามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย

          “เช่นนั้น เจ้าเคยพบกับพระองค์มาก่อนจริงๆ แต่หากพระองค์ช่วยเหลือเจ้า ไฉนเจ้าจึงได้หวาดกลัวพระองค์นัก หรือพระองค์ทรงทำอันตรายเจ้า?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ กล่าววาจาต่อ

          “มิใช่เลย เป็นความขลาดของข้าเองทั้งสิ้น บอกแก่ท่านด้วยความละอายยิ่ง ข้ามิได้กล้าหาญแต่อย่างใดเลย”

          “จงหยุดกล่าวถ้อยคำไร้สาระนั้น เล่ามา ไฉนเจ้าจึงได้หวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนัก”

          ผู้เป็นพี่ชายตัดบท องค์ราชันย์ทราบดีว่าน้องชายของพระองค์กล้าหาญยิ่ง ทรงไม่อยากให้ความผิดพลาดครั้งเดียวกลายเป็นสนิมกัดกินความภาคภูมิใจนั้น

          “เพราะในยามนั้นข้ากำลังหวาดกลัวยิ่ง ข้าพลาดท่าพลัดตกลงในห้วงน้ำแห่งอิลห์ลาริน พร้อมเหล่าไพร่พล ห้วงน้ำนั้นหนาวเหน็บนัก ซ้ำยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จัก พวกมันรุมทึ้งซากศพพี่น้องร่วมรบของข้าอย่างบ้าคลั่ง ผิวหนังหนาแข็งที่น่าภูมิใจของเรานั้น ยามอยู่ใต้ผืนน้ำก็ไม่อาจทานคมฟันน่าสยดสยองนั่นได้เลย”

          เล่าถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอัสธาราธสั่นสะท้านยิ่ง ภาพความทรงจำในเวลานั้นผุดพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ  เจ้าชายหนุ่มฝืนใจเล่าต่อ

          “สายน้ำแห่งอิลห์ลารินนั้นไหลแรงยิ่ง ไหลลึกยิ่ง เย็นอย่างยิ่ง ข้ามิเคยสัมผัสรสชาติเค็มเฝื่อนนั่นมาก่อน รสชาติของน้ำเค็มที่เต็มไปด้วยคาวเลือด มันไหลทะลักเข้าปากและจมูกของข้าทำให้หายใจลำบากนัก  ไม่มีเปลวไฟที่น่าภูมิใจหลุดลอดออกมาอีก ข้าจมดิ่งลงลึกท่ามกลางฝูงสัตว์ร้ายนั้น ได้แต่เตะเปะปะออกไปอย่างไร้ท่า คมเขี้ยวโฉบลึกผ่านรอยแผลบนชั้นเกล็ด แม้จะฆ่ามันไปได้มาก แต่ข้ามิรู้สึกยินดีเลย กล่าวต่อท่านอีกครั้ง ยามนั้นข้าหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างที่สุด”

          “ในความมืดมิดไร้ก้นบึ้งนั่น น้ำทะเลเย็นยะเยียบอัดทะลักเข้าไปในปอด แทบหายใจไม่ออก ความตายน่ากลัวยิ่งนัก ข้ามองเห็นเงาเลือนรางอันเกิดจากโลหิตและเศษซากเนื้ออยู่เหนือขึ้นไป สัตว์ร้ายพวกนั้นยังคงวนเวียน แล้วข้าก็เห็น นัยน์ตาสีมรกตนั่น กับฟันซี่ยาว ใหญ่โตจนไม่อาจจะเชื่อได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น นัยน์ตานั่นมองตรงมายังข้า ในความหวาดกลัวนั่น ข้ามองเห็นคมเขี้ยวแวววาวงับลงมา ข้า...”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์บีบมือลงบนหัวไหล่กว้างของผู้เป็นน้องชาย ทรงมิได้รู้สึกเสียพระทัยหรือหมดศรัทธาในตัวน้องชายของพระองค์เลย ตรงกันข้าม ทรงรู้สึกสะเทือนใจยิ่ง อัสธาราธที่ต่อสู้เพื่อพระองค์ จนตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพไร้ทางรอดนั่น ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ในสายน้ำแห่งอิลห์ลารินนั้นไม่เคยมีมังกรบนคอนเชียร์ตนใดรอดมาได้เลย

          สายน้ำที่ดับสิ้นทุกอนุภาพของแสนยาแห่งเปลวเพลิง

          “เช่นนั้น กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงต้องการลิ้มรสเจ้า?”

          อัสรานเอ่ยออกมาหลังจากทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่ อัสธาราธสั่นศีรษะ

          “มิได้ เพราะหลังจากนั้นข้าฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็พบว่าอยู่บนที่ใดที่หนึ่งซึ่งมีพื้นดินชื้นแฉะและเต็มไปด้วยพรรณไม้สีเขียว”

          “คงเป็นเกาะใดเกาะหนึ่งในอิลห์ลารินแน่แท้”

          กล่าวถึงตรงนี้ กษัตริย์อัสรานถอนหายใจอย่างโล่งอก ทรงรู้สึกดีพระทัยที่กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมิได้ทำร้ายน้องชายของพระองค์ มิเช่นนั้นทรงไม่ทราบจริงๆ ว่าหากพบกษัตริย์แห่งท้องน้ำนั่นอีกรอบ จะวางพระพักตร์เช่นใด ทรงมิยอมให้อภัยผู้ทำร้ายน้องชายของพระองค์เป็นอันขาด

          “ทรงแนะนำพระองค์กับเจ้าบนเกาะนั่น?”

          อัสธาราธพยักหน้า กล่าวอย่างขมขื่น

          “สารภาพต่อท่าน ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก พระองค์ในร่างมังกรนั้นมีกายใหญ่โตนัก ทรงมิได้แนะนำตนเองว่าเป็นผู้ใด บอกแต่เพียงนามให้ข้าทราบ แต่ข้าหวาดกลัว หวาดกลัวจนลนลาน….”

          ผู้เล่าหยุดไปอีก คล้ายรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่นยามนึกถึงทีไร ความหวาดกลัวที่ไม่อาจยับยั้งได้ก็แล่นตรงเข้าสู่ขั้วหัวใจทุกครั้ง

          อัสรานนั่งฟังอย่างระทึก ไม่คาดมาก่อน คนอย่างอัสธาราธจะแสดงหวาดกลัวได้ขนาดนี้เพียงนี้ น้องชายของเขาผู้นี้ไม่ใช่ผู้ขลาดมาก่อนเลย คงจะเพราะอายุยังเยาว์อย่างยิ่ง เด็กหนุ่มที่ยังเยาว์วัยกลับต้องมาเผชิญกับความตายในสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก หากจำมิผิดเมื่อคราวนั้นอัสธาราธเพิ่งอายุครบร้อยห้าสิบปี หากนับตามอายุเฉลี่ยแล้วก็เพิ่งโตเต็มที่ได้ไม่นาน ยังคงมีความคึกคะนองอยู่บ้างตามประสาคนหนุ่ม และแม้อายุเพียงร้อยห้าสิบปีก็กลับต้องมาเผชิญหน้ากับห้วงน้ำเย็นลึกแห่งอิลห์ลาริน ที่รอดมาได้นับว่าปาฏิหาริย์ยิ่งนัก ปาฏิหาริย์ที่ได้พบกับองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลาริน ที่ทรงพระเมตตาช่วยเอาไว้

          “อย่างไรต่อเล่า?”

          ผู้เป็นพี่ชายกระตุ้นเตือนเมื่อเห็นน้องชายเงียบไปอีก แม้เวลาผ่านมากว่าหกสิบปีแล้ว แต่อัสธาราธคงไม่ลืมเลือนรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นหรอก ผู้เป็นน้องชายทำหน้าปั้นยาก

          “ดังนั้นพระองค์จึงไม่มาปรากฏตัวอีก แต่จะเอาสัตว์ทะเลที่กินได้มาทิ้งไว้ให้ทุกเช้า จนข้าหายดี..... ข้า... ข้าออกมาจากที่นั่นโดยไม่ได้กล่าวขอบคุณหรือตอบแทนอะไรกับพระองค์เลย ข้า...ข้ากลัวจนไม่กล้าแม้จะอยู่เพื่อเจอหน้า”

          “เจ้าจากมาโดยมิบอกมิกล่าว มิกระทำการสิ่งใดตอบแทนเลย?”

          อัสรานกล่าวอย่างตกใจ ผู้เป็นน้องชายพยักหน้า

          “ข้าในยามนั้นขลาดกลัวยิ่ง เมื่อกลับมาก็รู้สึกละอายจนไม่กล้าเล่าให้ผู้ใด พอท่านบอกข้าว่ากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าวถึงข้า ข้าตกใจ เข้าใจว่ามังกรตนนั้นคงไปเล่าเรื่องของข้าให้พระองค์ฟัง น่าอับอายอย่างยิ่ง ข้า..ข้ารู้สึกอัปยศนัก ยิ่งคาดมิถึง มังกรตนนั้นถึงกับเป็นองค์กษัตริย์เอง ข้า..ข้าไม่อาจะทนรับได้ ท่านพี่อัสราน ข้ามิได้เข้มแข็งแต่อย่างใดเลย ข้าขลาดกลัวยิ่งนัก”

          กษัตริย์อัสรานนิ่งเงียบไปนาน พระองค์ทรงพอเข้าใจความหวาดกลัวของอัสธาราธ แต่การหนีความจริงเช่นนี้มิใช่สิ่งสมควรนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังทรงเอ็นดูน้องชายผู้นี้อยู่มาก จึงตรัสขึ้น

          “อัสธาราธ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่?”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายอย่างงงงัน องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์แย้มพระโอษฐ์อย่างอ่อนโยนและกล่าวซ้ำ

          “ออกไปเดินเล่นกันหน่อยเถิด”
 
--------------------------------------------------

          บนคอนซาร์กนั้น ภูเขาไฟนับพันๆ ลูก ผลัดกันพ่นเถ้าถ่านและไอกำมะถันอันเป็นพิษร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิด ยกเว้นเหล่ามังกรไฟที่ดูจะชื่นชอบไอสารพิษนี้เป็นพิเศษ ยิ่งหากเมื่อไรที่มีการระเบิดอย่างรุนแรง เหล่ามังกรบินได้ทั้งหลายเหล่านี้ จะพากันไปบินไปรุมล้อมเพื่อสูดกลิ่นอายกำมะถันเข้มข้น และรับเอาไอร้อนจากหินหลอมเหลวพวกนั้น บางคราก็มีการละเล่นแปลกๆ เช่นการบินผ่านน้ำพุลาวา ไม่ก็การแข่งความอดบนบนปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังพ่นหินหลอมเหลวเดือดปุดๆ

          ขณะนี้อัสธาราธกำลังบินผ่านภูเขาไฟซึ่งกำลังปะทุลูกหนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่ผู้เป็นพี่ชายขอให้เขาคืนร่างเดิมและอาศัยนั่งมาด้วย อัสรานให้เหตุผลว่าอยากออกมาชมทัศนียภาพของคอนซาร์กบ้าง

          ไอร้อนระอุพร้อมด้วยกลิ่นอายกำมะถันลอยมาปะทะใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดหนาสีแดง ได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายหัวเราะ

          “เป็นเช่นไร อัสธาราธ แบบนี้รู้สึกสบายดีกว่าอยู่ในปราสาทหรือไม่?”

          “พอสมควร”

          ผู้ถูกถามตอบด้วยเสียงแตกพร่า เพราะขากรรไกรที่ใหญ่และฟันซี่แหลมไม่ค่อยจะเหมาะแก่การออกเสียงพูดเท่าใดนัก อัสรานยกมือขึ้นลูบเกล็ดสีแดงเพลิงของผู้เป็นน้องชาย มันหนาและแข็งแรงขนาดทนความร้อนของหินหลอมเหลวได้ ฟันชนิดใดที่เจาะผิวหนังนี้เข้าได้เล่า หากมิใช่ฟันคมกริบของเผ่าพันธุ์เดียวกันได้

          ได้ยินว่าผู้คุ้มครองแห่งอิลห์ลารินดุร้ายยิ่งนัก คงใช่เจ้าพวกนั้นแน่ นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกโชคดีเป็นยิ่งนักที่อัสธาราธสามารถรอดมาได้ แม้จะได้บาดแผลทางจิตใจมาบ้าง แต่อัสรานเชื่อว่าบาดแผลนั้นจะจางหายไปได้ไม่ยาก เนื่องเพราะอัสธาราธยังเยาว์นัก และมีจิตใจฮึกเหิมกล้าหาญอยู่แล้ว หากเขาเติมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวที่ฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นอีกสักหน่อย น้องชายผู้นี้จะต้องเติบใหญ่และกลายเป็นผู้เข้มแข็งอย่างแท้จริงได้แน่นอน

          “นี่น้องข้า เจ้าเดี๋ยวนี้มิใคร่ชื่นชอบเล่นละอองหินร้อนแล้วหรือไร ใยจึงได้บินห่างจากปากปล่องที่กำลังพ่นหินร้อนสีแดงเช่นนี้เล่า?”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์กล่าว หลังทรงสังเกตว่าน้องชายของพระองค์ดูเหม่อลอย อัสธาราธโคลงศีรษะอย่างรู้สึกตัว

          “มิได้ ข้ายังชื่นชอบอยู่ เพียงแต่...”

          “เพียงแต่อันใด?”

          “เพียงแต่เล่นอยู่ตนเดียวนั้นไม่สนุกเท่าที่ควร”

          “ต้องการให้ข้าร่วมเล่นด้วยหรือไม่?”

          อัสรานกล่าว ยังคงดำรงอยู่ในร่างกลางอย่างปกติ สวมฉลองพระองค์สีแดงเข้มดั่งทรงตั้งใจจะพรางพระองค์เอาเข้ากับร่างกายใหญ่โตของน้องชาย อัสธาราธสั่นศีรษะใหญ่โตนั้น

          “อย่าเลยพี่ชายข้า หากท่านคืนร่างตอนนี้ ข้ามิถูกสลัดตกลงไปในปล่องร้อนนั่นล่ะหรือ ผู้ใดล้วนทราบ ร่างเดิมของท่านใหญ่โตอย่างยิ่ง”

          “คล้ายดั่งแต่ก่อนมิใหญ่โตถึงเพียงนี้”

          อัสรานเอ่ยและหัวร่อออกมา

          “อิจฉาองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยิ่งนัก ทรงสามารถว่ายน้ำเล่นไปมาได้โดยร่างกายใหญ่โตเช่นนั้น”

          อัสธาราธฝืนยิ้มด้วยเขี้ยวคับปาก ไม่แน่ใจว่าผู้เป็นพี่ชายกล่าวออกมาโดยมิทั้งได้ยั้งคิดหรือจงใจกล่าวเรื่องกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินให้เขาฟังกันแน่ ทันใดนั้นเสียงทักทายแหบห้าวตามประสามังกรทีมีเขี้ยวเรียงโง้งเต็มปากก็ดังขึ้นด้านหลัง

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 1/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 02-07-2012 11:11:09
          “อรุณสวัสดิ์เจ้าชายอัสธาราธ”

          ผู้เอ่ยทักเป็นมังกรตัวหนึ่งซึ่งเคยออกสนามรบกับเขามาก่อน อัสธาราธเอ่ยอย่างยินดี

          “สบายดีหรือ?”

          “มิเท่าใดนัก อากาศแถวปล่องที่ข้าอาศัยมิร้อนจัดเท่าที่ควร จึงปวดเมื่อยอยู่บ้าง ได้กลิ่นไอลาวาที่นี่ จึงแวะเข้ามา ท่านเล่า?”

          “ข้าแวะมาเที่ยวเล่น”

          อัสธาราธตอบออกไป อีกฝ่ายหัวร่อตามประสามังกร เปลวไฟสีแดงแลบออกมาตามร่องปากและรูจมูก

          “พระองค์ยังคงรักสนุกยิ่ง หากมิรังเกียจ ข้าอยากร่วมเล่นด้วย”

          “มีสองตนจะสนุกได้อย่างไร”

          อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น มังกรสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่งบินรี่เข้ามา ด้านหลังยังมีมาอีกสามสี่ตน ทั้งหมดเอ่ยทักทายอัสธาราธอย่างสนิทสนม

          “มิได้พบกันเสียนาน เจ้าชายอัสธาราธ ท่านยังคงได้กลิ่นกำมะถันรวดเร็วอยู่เสมอ”

          “ข้าบังเอิญผ่านมาหรอก”

          อัสธาราธตอบ เขาแค่บินมาตามสัญชาติญาณด้วยความคิดเหม่อเลยจนมาถึงที่นี่โดยบังเอิญแค่นั้นเอง ที่เหลือพากันหัวเราะ

          “อย่าได้พยายามถ่อมตัว ถึงท่านจะอ้างโน่นนี่ แต่พวกเรามิต่อให้ท่านหรอก”

          อัสธาราธแค่นหัวเราะ

          “อย่างไร? พวกเจ้าหกตนจะรุมข้าหรือ?”

          ทั้งหกผงกศีรษะใหญ่โตแทบจะพร้อมกัน

          “ดูยุติธรรมดียิ่ง ท่านเห็นด้วยหรือไม่? จากขนาดร่างกายแล้ว ท่านสมควรต่อให้พวกเราบ้าง”

          เหมือนได้ยินเสียงอัสรานหัวเราะอยู่ข้างหู อัสธาราธมองดูมังกรอีกหกตนที่เหลือ รวมกันแล้วทั้งหมดนี่ก็คงได้ราวๆ ครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัวเขาพอดี มังกรหนุ่มหัวร่อออกมาอีก

          “ตกลง หวังว่าคงไม่มีใครปลิวร่วงลงไปแบบคราวที่แล้วหรอกนะ หากจะโอดโอยเรื่องโดนลาวาลวกล่ะก็ ถอนตัวออกไปก่อนได้เลย”

          “แข่งขันกับท่าน ผู้ใดกล้าโอดครวญเล่า”

          อีกเสียงหนึ่งกล่าว มังกรสีน้ำตาลอีกสี่ห้าตนบินมาสมทบ

          “ฤกษ์ดีอย่างยิ่ง วันนี้ท่านอัสธาราธมิได้พกพาผู้ใดมาร่วมการแข่ง โอกาสนี้นับว่ามีไม่มาก พวกท่านเห็นเป็นประการใด?”

          “เหมาะสมแก่การละเล่นเป็นยิ่งนัก หากมีจำนวนเท่านี้ ย่อมใกล้เคียงท่านแล้ว”

          ได้ยินเสียงอัสรานหัวเราะและกระซิบเบาๆ

          “เจ้าดูเป็นที่นิยมยิ่ง”

          “แลดูข้าคล้ายถูกจ้องกลุ้มรุม”

          อัสธาราธเอ่ย พลังสะบัดปีกออกอย่างแรง

          “จงเข้ามาเถิด สหายเอ๋ย หากพวกท่านโดนลาวาลวกล่ะก็ อย่าเคืองข้าก็แล้วกัน”
 
--------------------------------------------------------

                “เหนื่อยมากหรือไม่?”

          อัสรานเอ่ยคล้ายห่วงใย แต่ในน้ำเสียงเจือปนด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน อัสธาราธสะบัดเศษหินร้อนออกจากลำคอ เขาซัดมังกรเจ็ดตัวร่วงลงไปในธารลาวา และเพิ่งถูกอีกห้าตัวที่เหลือรุมกระหน่ำซ้ำจนร่วงตามลงมาด้วย มังกรหนุ่มส่งเสียง

          “ท่านอยากทดลองมาเล่นเอง?”

          องค์กษัตริย์หัวเราะร่วน เหนือขึ้นไปได้ยินเสียงกล่าวเยอะเย้ย

          “ท่านเพลี่ยงพล้ำเพียงแค่นี้ใยกล่าววาจาเหลวไหลอยู่ผู้เดียว ขึ้นมาเถิด พวกเรายังสู้ได้อยู่”

          อัสธาราธเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

          “ว่าผู้ใดเหลวไหล อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าจักได้ลิ้มรสชาติความร้อนของหินเหลวนี่บ้าง”

          ปีกใหญ่กางออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างมหึมาที่พุ่งทะยานขึ้น

          นับว่าอัสธาราธมีทักษะการบินไม่เลวจริงๆ บางครั้งออกจะผาดโผนจนน่ากลัวอยู่ด้วยซ้ำ ที่พลาดเมื่อครู่คล้ายจงใจมากกว่า หากลงมือเต็มที่ เหล่ามังกรจิ๊บจ้อยพวกนี้คงมิอาจทนทานได้แล้ว มิน่าเล่าถึงได้รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ถึงอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายดูจะสนุกสนานดีกับการละเล่นนี้ เล่นกันจนเกล็ดแทบจะลุกไหม้ จึงได้แยกย้ายกันไป

          “ความจริงเราอยากเล่นด้วยยิ่งนัก แต่เกรงพวกนั้นจะพากันหนีจากไปเสียสิ้น ให้เหลือเพียงเรากับเจ้าสองคน”

          องค์กษัตริย์อัสรานเอ่ยขึ้นหลังจากที่น้องชายบินออกมาจากหุบร้อนนั่นแล้ว อัสธาราธหัวเราะร่วน

          “อย่างนั้นข้าคงถึงคราวต้องพ่ายแพ้ เพียงท่านสลัดปีก ข้าคงจมดิ่งลงไปในลาวาร้อนนั่นเป็นแน่แท้”

          “เจ้ามิเคยลองจะรู้ได้อย่างไร?”

                “ข้ามิอยากลอง ทั้งมิอยากรู้ ท่านอย่าได้พยายามทดลองกับข้าเลย”

          อัสธาราธกล่าวอย่างขอความเห็นใจ ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะอีก

          “ถึงแม้ข้ามิได้เล่นเองแต่กลับมีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง”

          “ปัญหาใด?”

          อัสธาราธเอ่ยถามอย่างสงสัย นึกหวั่นใจว่าองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จะกลายร่างออกมาเล่นด้วยจริงๆ ครั้งหนึ่งหลังขึ้นครองราชย์ อัสรานเคยคืนร่างเดิมในการปราบกบฏกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับการขึ้นครองราชย์นี้ จำได้ว่าในครั้งนั้น เพียงแค่เงาปีกของพระองค์ก็ปกคลุมพื้นที่ในคอนซาร์กไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว ด้วยความยิ่งใหญ่เพียงนั้น พวกกบฏจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นร่างมังกรของอัสรานมิได้ใหญ่โตถึงขั้นนี้ ยังเคยเล่นหินหลอมเหลวนั้นด้วยกันมาก่อน

          “ปัญหาอยู่ที่เสื้อผ้า”

          กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เอ่ย พลางมองดูฉลองพระองค์ที่ขาดวิ่น แม้จะถูกถักทอขึ้นจากใยหินทนความร้อน แต่ในระดับหินหลอมเหลว แม้ผิวหนังร่างกลางของพระองค์จะไม่สะดุ้งสะเทือน แต่เสื้อผ้านั้นมิอาจทนได้ และอัสธาราธเองก็เล่นอย่างสนุกสนานไม่ยั้งสิ่งใด ดังนั้นฉลองพระองค์จึงเสียหายอย่างหนัก ผู้เป็นน้องชายกล่าวอย่างนึกขึ้นได้

          “ลืมไปเสียสนิท! เสื้อผ้าของท่านล้วนแต่ท่านพี่หญิงอัสเธียร์และบริวารเป็นผู้ถักทอให้ หากได้พบเห็นเป็นสภาพเช่นนี้ย่อมต้องเอ่ยถามถึงเหตุผล..”

          “และหากทราบว่าเรามาเล่นลาวากับเจ้า….”

          “ต้องโมโหจนควันออกหูแน่ๆ!!”

          สองพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ยามปกตินั้นอัสเธียร์เป็นเจ้าหญิงโฉมงามไม่น้อย แต่หากโกรธขึ้นมาแล้วล่ะก็ ดุร้ายหาอันใดเปรียบได้ อัสธาราธกล่าวด้วยน้ำเสียงปริวิตก

          “เอาอย่างไรดี ท่านพี่อัสราน?”

          “..................”

          อัสรานเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

          “ข้านึกออก หากเราดวลกันจนเสื้อผ้าพินาศ ท่านพี่หญิงต้องมิว่ากระไรแน่!”

          “ว่าอย่างไร ดวล? ท่านคิดจะดวลกับข้า?”

          “ถูกต้องอย่างยิ่ง”

          อัสรานพยักหน้า และชี้ลงไปยังชะเงื้อมหินเบื้องล่าง

                “ลงที่ตรงนั้น เพราะกษัตริย์มิอาจตรัสโป้ปด เจ้าจงดวลกับเราเสียดีๆ”

                “ท่านเอาจริง?”

          อัสธาราธถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อนัก อัสรานตอบเสียงหนักแน่น

          “เอาจริง เจ้าเห็นข้ากล่าววาจาล้อเล่นหรือไร?”

          ผู้เป็นน้องชายมิถามอะไรอีก ร่อนลงบนลานกว้างบนชะเงื้อมหินนั่น เบื้องล่างเป็นธารหินหลอมเหลวร้อนฉ่า

          “สถานที่นี้เหมาะแก่การเป็นลานประลองยิ่ง เจ้าอยากดวลกับเราในร่างใด?”

          “ท่านต้องการร่างใด?”

          อัสธาราธถามย้อน ผู้เป็นพี่ชายยิ้มร่า พลางกระโดดลงมาจากลำตัวที่เต็มไปด้วยเกล็ด เสื้อผ้าขาดวิ่นค่อยๆ ถูกเกราะที่สร้างมาจากเกล็ดจากร่างมังกรดันจนฉีกขาด ร่างกลางนอกจากแบบปกติที่คล้ายมนุษย์แล้ว ยามสงครามหรือต้องทำศึกยังสามารถดึงเอาความแข็งแกร่งจากร่างมังกรมาใช้ในรูปแบบของชุดเกราะและอาวุธได้อีกด้วย ร่างกลางของมังกรแต่ละตนนั้นแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะถนัดด้านการใช้เวทย์มนต์เป็นหลัก และอัสรานนั้นก็ถนัดเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

          “เรามิเกี่ยงขนาด”

          องค์ราชันย์แห่งคอนเชียร์กล่าว ร่างของพระองค์ตอนนี้หุ้มด้วยเกราะสีแดงดำอันเกิดจากการเรียงตัวกันอย่างหนาแน่นของเกล็ดแข็งเสียยิ่งกว่าเพชร ในมือของพระองค์ปรากฏหอกสีดำเล่มหนึ่ง ขนาดมันสูงกว่าพระองค์ไม่มาก เป็นหอกทรงเรียว ปลายหอกมีไอสีดำแดงพวยพุ่งออกมา

          อัสธาราธรู้ดีว่าหากดำรงอยู่ในร่างใหญ่โตนี้ย่อมไม่สามารถหลบหอกสีแดงดำนั่นได้พ้นแน่นอน มันเป็นอาวุธที่อัสรานไม่ค่อยนำมาใช้นัก โดยปกติพี่ชายของเขาไม่ค่อยออกรบ และแม้ต้องแสดงแสนยานุภาพ ก็มักจะเลือกใช้เวทย์มนต์มากกว่า ที่สร้างหอกขึ้นมานี้คงต้องการจะดวลอาวุธกับเขาเป็นแน่

          “ข้าชมชอบดูเจ้าในร่างออกรบนี้ยิ่ง”

          อัสรานเอ่ย เมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายกลายร่าง ผมบนศีรษะของอัสธาราธนั้นแดงเพลิงสีสันแสบลูกนัยน์ตาเป็นอย่างยิ่ง แต่สีเกราะบนลำตัวของเขานั้นแดงยิ่งกว่า แดงฉานปานฉาบทาด้วยโลหิตมิปาน

          “บอกกล่าวแก่ท่าน ข้ามิชอบร่างนี้เท่าใดเลย”

          กล่าวจบง้างมือออก หอกสีแดงปานหินหลอมเหลวที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากปากปล่องแห่งซาซาร์กันปรากฏขึ้น ขนาดของมันทั้งใหญ่และหนัก องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์แย้มพระโอษฐ์

          “เราทราบ เจ้าไม่ค่อยถนัดใช้หอก”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางกล่าวตอบ

          “ท่านเองก็ไม่ค่อยถนัดการใช้อาวุธนักมิใช่หรือ?”

          อัสรานหัวร่อออกมา

          “รู้ได้อย่างไร เจ้าเคยเห็นเราใช้มันหรือ?”

          กล่าวจบวาดมือทั้งสองข้างขึ้น หอกยาวแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมตัวกันเป็นหอกขนาดกลางด้ามสั้นๆ หลายสิบเล่มลอยอยู่รอบตัวของผู้ใช้ อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงกว้าง

          “หากคิดเปลี่ยนอาวุธยังทันอยู่ เรามิต้องการเอาเปรียบเจ้านัก”

          “ดูท่าท่านมิหวังเพียงการดวลเพื่อเป็นคำแก้ตัวเสียแล้ว ข้าไหนเลยจะถอยได้ ในเมื่อข้าเลือกอาวุธไปแล้ว ข้าย่อมไม่ลังเลใดอีก เริ่มกันเถิด พี่ชายข้า”

          กษัตริย์อัสรานทรงพระสรวลอย่างพอพระทัย ขยับนิ้วมือเล็กน้อย หอกนับสิบที่มีไอควันสีแดงดำห่อหุ้มก็พุ่งเข้าใส่ผู้เป็นน้องชาย อัสธาราธมิได้เตรียมการหลบ เขายกหอกหนาหนักในมือขึ้น เงื้อและพุ่งสวนออกไป

          “ไม่เลว ไม่เลว”

          อัสรานพึมพำ พลางวาดมือที่เต็มไปด้วยไอควันสีแดงดำนั้นขึ้นอีก มิได้ทรงตั้งท่าหลบหอกใหญ่นั้นเช่นกัน บนฝ่ามือของพระองค์ปรากฏหอกสองเล่ม ยามเมื่อคลายฝ่ามือออก หอกสองเล่มแตกกระจายออกเป็นหอกยี่สิบเล่ม พุ่งเข้าสวนปลายหอกใหญ่นั้น

          อัสธาราธแลเห็น หอกชุดแรกพุ่งเฉียดเข้ามาในระยะประชิด หากหลบตอนนี้คงมิทัน เจ้าชายหนุ่มกางมือออก ม่านพลังสีแดงแผ่ขยายเต็มเบื้องหน้าเพื่อป้องกันหอกเวทย์ที่ซัดมานั้น มิคาด ยามเมื่อปลายหอกกระทบกับม่านพลังนั้นแล้ว พลันแตกออกเป็นลิ่มเล็กๆ พุ่งทะลวงม่านกั้นนั้นเข้าไปอีก อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างแปลกใจ

          “ของเล่นประหลาดยิ่งนัก”

          “หากเทียบกับเจ้าแล้ว ย่อมมิใช่ประหลาดเกินไป”

          อัสรานกล่าว คิ้วสีแดงดำขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อปลายหอกใหญ่แตกอ้าออกยามกระทบกับหอกที่ส่งออกไปต้อนรับ กลืนกินหอกเพลิงสีแดงดำของพระองค์ไปสิ้น และคล้ายดั่งใช้พลังจากหอกนั้นเพิ่มพูนพลังงานแก่ตนเอง ทรงขยับมือ ร่ายม่านพลังสีแดงดำคลุมพระองค์ไว้

          เสียงระเบิดดังสนั่น ดังลั่นไปทั่วท้องนภากว้างของคอนซาร์ก ไอเปลวเพลิงแห่งเวทย์มนต์แผ่กระจายพุ่งสูกขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ เพลงสีแดงดำแตกกระจายกลายเป็นเพลิงสีเหลืองทอง ทะลวงหมู่เมฆที่สะท้อนแสงสีอำพันของตะวันในยามใกล้อัสดง ก่อนจะถูกสายลมกลืนกินไปเสียสิ้น

          ณ เบื้องล่าง เสียงหัวร่อดังขึ้น

          “บันเทิงอย่างยิ่ง ท่าเมื่อครู่มีชื่อเรียกอย่างไร?”

          อัสรานเอ่ย ฉลองพระองค์สีแดงนั้นขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีแล้วจริงๆ แต่เกราะและส่วนอื่นๆ แลดูไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด อัสธาราธขมวดคิ้วสีแดงยุ่ง ตามร่างกายมีรอยขีดข่วนหลายแห่ง ละอองเข็มเมื่อครู่สาดเข้าใส่เขาเต็มๆ ถึงอย่างนั้นก็ดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

          “ยังมิได้เรียบเรียง ข้าเพิ่งคิดท่านั้นออกตอนที่ท่านพูดถึงเรื่องหอก”

          “ข้าประทับใจยิ่ง นานไปเจ้าเริ่มมีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าจะตั้งชื่อให้ เรียกท่าหอกเขมือบเป็นอย่างไร?”

          “ฟังดูไม่ค่อยเข้ารูหูนัก”

          อัสธาราธกล่าวพลางมุ่ยหน้า ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะชอบใจ

          “หัวสมองข้าไม่ดีในการตั้งชื่อเสมอมา เอาเถิดน้องข้า เจ้าว่าหอกเวทย์ของข้าด้อยไปหรือไม่?”

          “หากด้อยไปแล้วร่องรอยบนตัวข้านี้เล่า?”

          อัสธาราธเอ่ยตอบ พลางปัดเศษเกราะบนลำตัวออก เกราะนี้ แม้ลาวาร้อนที่สุดยังมิอาจระคายผิว แต่กลับถูกฝนหอกเล็กๆ นั้นเสียดพุ่งจนกะเทาะแตกออก หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น น่ากลัวสิ้นชีพไปนานแล้ว

          “เวทย์มนต์ท่านยิ่งนานยิ่งร้ายกาจ ซ้ำยังเพิ่มลูกเล่นเข้าไปอีก ท่านคิดเอาไว้กระทำการใด?”

          “ย่อมเพื่อเอาไว้ประลองกับเจ้าโดยเฉพาะ ยังมีผู้ใดในคอนเชียร์นี้สามารถรองรับพลังของข้าได้อีกเล่า”

          “เช่นนั้นข้าคงต้องฝึกฝนให้มาก”

          อัสธาราธกล่าว ได้ยินพี่ชายหัวร่ออย่างพอใจ

          “เจ้ายังต้องฝึกฝนอีก เนื่องเราเองก็ยังจะฝึกฝนอีก เราแข็งแกร่งเจ้าย่อมแข็งแกร่ง เมื่อเจ้าแข็งแกร่งเราเองจะยิ่งแข็งแกร่ง เข้าใจหรือไม่ น้องชายข้า เจ้ามิใช่ผู้อ่อนแอใด เจ้าคือกำลังของเรา คือกำลังของคอนเชียร์นี้ จงอย่าได้ถือทิฐิอยู่กับความผิดพลาดครั้งอดีต”

          เจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที

          “ทราบหรือไม่ ใยเราชวนเจ้าออกมาเดินเล่น ใยเราจึงชวนเจ้าประลองกำลัง”

          ทรงเว้นจังหวะไประยะหนึ่งจึงกล่าวต่อ

          “นั่นเพราะข้าต้องการให้เจ้าทราบ เจ้าล้วนเป็นที่รักยิ่ง เจ้ามีคุณค่า และเจ้ามิได้อ่อนแอ ไม่มีผู้อ่อนแอได้ทนรับหอกเวทย์ของข้าได้โดยไม่ถอยแม้เพียงหนึ่งก้าว ใช่หอกเวทย์ข้าคุณภาพเลวยิ่ง? หรือเจ้าแน่ใจ ข้าย่อมมิทำอันตรายเจ้า หรือเจ้าเพียงคิด ต่อให้ต้องตายจักมิยอมหลบ บอกกล่าวมาตามความสัตย์!”

          “กล่าวตามตรง ข้ามิคิดอันใดอย่างท่านกล่าวเลย”

          อัสธาราธตอบออกมาในที่สุด ก่อนจะขยายความ

          “ข้าเพียงคิด ไม่อาจหลบพ้นก็ไม่ต้องหลบ ไม่ได้คิดถึงความตายไม่ได้คิดถึงเรื่องใดทั้งสิ้น หากบาดเจ็บแล้วจึงค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ฟังดูคล้ายโง่เขลาหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์โคลงพระเศียร

          “บางคราวโง่เขลากับกล้าหาญอยู่ใกล้กัน ความโง่เขลาบางคราวทำให้ผู้คนห้าวหาญ ความห้าวหาญบางคราวก่อกวนให้ผู้คนโง่เขลา ผู้กล้าหาญบางคราวหลงตัวเองยิ่ง ทระนงตนยิ่ง โง่งมในความแข็งแกร่งของตนอย่างยิ่ง ครั้นเผชิญความจริงพบว่าตนมิได้เข้มแข็งอย่างที่คิด หากนึกหลีกหนีคิดท้อแท้ใยไม่ใช่อ่อนแอและโง่เขลาเล่า ตรงข้าม หากสำเหนียกถึงความอ่อนแอ ยอมรับในความโง่เขลา เผชิญหน้ากับตนได้นั้นไซร้จึงเรียกกล้าหาญยิ่ง แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้กล้าหาญเผชิญกับตัวเองเท่านั้นจึงเรียกว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”

          ผู้ฟังยืนตะลึงงันไปแล้ว เนิ่นนานร่างที่มีผมแดงเพลิงนั้นจึงได้กล่าววาจาออกมา

          “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง.. ข้า...”

          อัสธาราธเงียบไปอีก คล้ายมีความในใจอัดอั้นจนกล่าวออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ อัสรานยิ้มให้น้องชายอย่างเอ็นดู พลางกล่าว

          “มิต้องเอ่ยถ้อยคำใด ขอเพียงเจ้าเข้าใจ ข้าถือเป็นประโยชน์ยิ่งแล้ว”

          เจ้าชายหนุ่มมิได้ปริปากอะไรอีก เพียงแต่พยักหน้าอยู่เงียบๆ

---------------------------------------

(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 02-07-2012 12:49:45
แอร๊ยยยย เพิ่งเห็นเรื่องใหม่ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-07-2012 15:27:36
อะฮ้า แล้วจะได้เจอกันแบบไหนอีกนะ น่าลุ้น
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 02-07-2012 15:49:29
มาตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 02-07-2012 16:06:44
แม๊ มังกรเค้าถกกัน ลึกซึ้งยิ่งนัก นับถือๆ 555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Firebird ที่ 02-07-2012 17:41:52
เค้าเคยอ่านเรื่องสั้นนะ แต่ใช่เรื่องเดียวกันป่าวอ่า
เค้าอยากบอกว่าาาา เค้าอยากให้อัธราราสเป็นเคะมากกว่า
มาดให้อ่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 02-07-2012 19:41:16
เค้าเคยอ่านเรื่องสั้นนะ แต่ใช่เรื่องเดียวกันป่าวอ่า
เค้าอยากบอกว่าาาา เค้าอยากให้อัธราราสเป็นเคะมากกว่า
มาดให้อ่ะ

คนละเรื่องกันค่ะ แค่สายพันธุ์กับชื่อตัวละครใกล้เคียงกันเฉยๆ ค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 03-07-2012 19:04:36
รออ่านต่อเพราะสนุกอย่างยิ่ง  o13
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-07-2012 20:41:17
-*- เวรจริงๆ โครมรีเซ็ตตัวเอง ที่โพสไว้หายสิ้น....

---------------------------------
4 : นิทานของชายผู้ดำเนินใต้สายน้ำ

                ร้อนรน ดิ้นทุราย ในสายน้ำดำมืดดั่งอุ้งหัตมัจจุราช แสงเรืองชนิดขึ้นปรากฏขึ้น แวววาว เรืองรอง เขียวมรกต  นัยน์ตาดวงโตจนไม่อาจจินตนาการได้ ในห้วงน้ำล้ำลึก ความหวาดกลัวเกาะกุมในหัวใจ ดวงตาสีเขียว กับรสชาติน้ำทะเลเค็มข้น ดันแทรกทะลวงเข้าไปในปอดและบาดแผล เจ็บปวด ทุรนทุราย

          ทรมานและหวาดหวั่น...กับความตายที่ไม่เคยรู้จัก
 
-------------------------------------------

          “นั่งกับเราเงียบๆ เช่นนี้ เจ้าเคยเบื่อบ้างรึไม่?”

          น้ำเสียงก้องกังวานเอ่ยขึ้น ในท้องพระโรงแห่งท้องน้ำของอันโดรท์ ที่ว่างเปล่าไร้เงาสิ่งมีชีวิตใด มีเพียงดวงไฟสีฟ้าแห่งอิลห์ลาริน และข้ารับใช้ใกล้ชิดที่มีนาม อูห์รูน

                อูห์รูนนั้นมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินองค์ก่อน แต่โดยพื้นฐานปกติของอิลห์ลาริน การสืบราชสมบัตินั้นมิได้สืบทอดจากกษัตริย์ถึงลูกหลาน เพราะชนชาวบาดาลมีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณของกษัตริย์องค์ก่อนจะจุติลงในครรภ์ของพระมารดาแห่งสายชลที่อยู่ลึกลงไปในห้วงเหวดำมืดที่มีชื่อเรียกขานว่าหุบเหวแห่งนิรันดร์ ดังนั้น แม้จะมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินองค์ก่อน แต่อูห์รูนมิได้มีสิทธิ์ในการนั่งบัลลังก์แห่งสายน้ำนี้แต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นมังกรหนุ่มก็มิได้นำพา นั่นเพราะนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่นคือสัญลักษณ์อันชอบธรรมอย่างยิ่งในการขึ้นครองบัลลังก์ บรรดาเชื้อสายของกษัตริย์องค์ก่อนมีหน้าที่คอยรับใช้กษัตริย์องค์ใหม่ตราบชีวิจจะหาไม่ และตัวเขาเองก็รับช่วงนี้ต่อจากผู้เป็นบิดา

          มังกรหนุ่มผู้มีร่างกลางเป็นบุรุษผมยาวคลุมช่วงขาสั่นศีรษะน้อยๆ เรือนผมสีฟ้าเทาพลิ้วไหวไปกับสายน้ำเอื่อยเฉื่อยในห้องพระโรงแห่งอันโดรท์ นัยน์ตาสีฟ้าเทาขึ้นมองพระพักตร์ขององค์กษัตริย์ สำหรับอูห์รูนแล้ว กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพระองค์นี้เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า นอกจากจะทรงพระสิริโฉมงดงามแล้ว ยังมีพระทัยเปี่ยมเมตตา มีพระจริยะวัตรงดงามหาใดเปรียบ ทรงมุ่งมั่นทุ่มเทกับงานบริหารราชการมาตลอดประชนม์ชีพ มิเคยมีวันใดเลยที่ทรงหยุดพักผ่อน หากมิออกตรวจไปตามท้องน้ำกว้าง ก็จักนั่งว่าราชการอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้ รอคอยผู้มีเหตุเดือดร้อน มาตรแม้นมิมีผู้ใดมาร้องเรียน ก็ยังทรงประทับรออยู่จนถึงเวลาบรรทม

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น เมื่อถึงช่วงอายุหนึ่ง ก็ไม่ต้องการบรรดาเสนาอำมาตย์อีก เนื่องเพราะทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวอย่างยิ่ง ในเวลานั้นจักทรงรอบรู้ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ รอบรู้มากกว่าผู้ใดในอาณาจักร ดังนั้นจึงไม่ค่อยต้องการรบกวนบุคคลอื่นให้มาทุกข์ร้อนแทนนัก อย่างไรก็ตามบางครั้งทรงต้องการผู้รับฟังที่ดีอยู่บ้าง และอูห์รูนนั้นปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างดีเสมอมา

          “มิเคยเบื่อ แต่หากทรงพระเมตตา กล่าววาจาออกมาบ้าง ข้าพระองค์ผู้ฟังจะรู้สึกยินดียิ่ง อย่างน้อยยังพอมีประโยชน์อยู่”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำแย้มพระโอษฐ์ มองดูพระนัดดาแห่งกษัตริย์องค์ก่อนด้วยความอาทรแม้มิอาจจดจำเรื่องราวในหนหลังได้เลย เชื่อกันว่าดวงวิญญาณของกษัตริย์นั้นจะกลับมาเกิดและขึ้นครองราชย์ใหม่เสมอ แต่จะหามีความทรงจำเกี่ยวเนื่องกันไม่ ถึงอย่างนั้น ก็ยังเอ็นดูข้ารับใช้ผู้นี้มากนัก ราวกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมิปาน

          “วาจาเรากล่าวใยไม่น่าเบื่อยิ่ง เรารู้สึกอายุมากยิ่งกล่าววาจาน่าเบื่อ”

          “น่าเบื่ออันใด พระองค์ทรงดำรงอยู่มานานนม ย่อมต้องรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง หากเมตตากรุณาบอกเล่าข้าพระองค์ผู้มืดบอดให้ได้รับรู้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

          “เจ้ายังอยากฟังนิทานจากเรา?”

          อูห์รูนผงกศีรษะ องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อีกรอบ

          “เรามิใช่เคยเล่าออกไปมากมายแล้ว? เอาเถิด ครานี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราตรึกอยู่”

          “เป็นเรื่องราวใด?”

          ข้ารับใช้หนุ่มเอ่ย คล้ายมิคาด องค์กษัตริย์กำลังตรึกถึงนิทานอันใดอยู่ ยามปกติพระองค์ล้วนมีต้องตรองสิ่งใดนานนัก นี่อาจจะเป็นนิทานมีความหมาย

          “เรื่องราวเกี่ยวกับชาวมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งเคยมาเหยียบย่างในเวิ้งน้ำกว้างแห่งอิลห์ลาริน”

          “อ้อ..”

          อูห์รูนส่งเสียงออกมา และกล่าวบ้าง

          “ท่านคล้ายชมชอบเล่าเรื่องชาวมนุษย์ยิ่ง แต่เรื่องนี้แม้ข้าพระองค์เคยได้ยิน ก็เลือนรางเต็มที คล้ายดั่งเชื่อถือมิได้”

          “นั่นเพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว”

          องค์กษัตริย์ทรงตรัส และยิ้มให้ข้ารับใช้อย่างเอ็นดู

          “เรื่องเกิดในสมัยรัชกษัตริย์โบราณ แต่หากคล้ายยังเป็นสัญญาหลงเหลือตกทอดมาถึงเราอยู่บ้าง”

          “ทรงระลึกถึงเรื่องเมื่อยามก่อนได้หรือ?”

          ผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำสั่นศีรษะ เรือนผมสีน้ำเงินสลวยราวเกลียวคลื่นพลิ้วไหวน้อยๆ อัญมณีประดับศีรษะส่องประกายยามต้องสะท้อนกับดวงไฟสีฟ้าคราม

          “เรามิอาจจดจำเรื่องราวในหนหลังได้ชัดเจนนัก แต่คล้ายพอมีเชื้ออยู่บ้าง จึงมิใคร่แน่ใจ เรื่องราวอาจจะมิถูกต้องเท่าใด”

          “อย่าได้ทรงวิตก ยามนี้ข้าพระองค์ต้องการรับฟังอย่างยิ่ง เรื่องราวว่าอย่างไร?”

          “เรื่องราวนั้นมีอยู่”

          กษัตริย์แห่งท้องน้ำเอ่ย พระเนตรสีเขียวมรกตเหม่อมองออกไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก คล้ายมองย้อนไปยังอดีตชาติของพระองค์อยู่มิปาน ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง

          “ครั้งอดีต กษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงออกเที่ยวเล่นไปตามผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน ในครานั้นยังทรงพระเยาว์ยิ่ง จึงแหวกว่ายไปติดแหของชาวประมงมนุษย์ผู้หนึ่ง”

          “มีเรื่องน่าอายเช่นนั้น!?”

          อูห์รูนอุทานขึ้น พลันรีบกล่าวอย่างรู้สึกผิด

          “ขอพระราชทานอภัย ข้าพระองค์ได้กล่าววาจามิสมควรยิ่ง”

          องค์กษัตริย์ทรงโบกมืออย่างไม่ถือสา พลางแย้มยิ้ม

          “เจ้ากล่าวมิผิด เรายังคิดน่าอายอย่างยิ่ง ตัวเราในอดีตเคยกระทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นเราจึงกล่าว เรื่องราวอาจมิใคร่ถูกต้องนัก”

          “ทรงเล่าต่อเถิด ข้าพระองค์จักมิกล่าวสอดแทรกอีก”

          “มีเจ้าสอดแทรกบ้างเรากลับรู้สึกสนุก เห็นแย้งอย่างไรจงรีบกล่าว หากเจ้าขืนเงียบให้มากนักเราอาจไม่เล่าต่อ”

          “อย่างนั้นทรงกล่าวต่อเถิด ข้าพระองค์จะสอดแทรกเมื่อเห็นสมควร”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย ทรงชมชอบให้มีผู้คนกล่าวถ้อยคำด้วยยิ่งนัก นั่นเพราะน้อยผู้เหลือเกินที่จะสนทนากับพระองค์ ส่วนใหญ่จะนิ่งฟังทั้งสิ้น นั่นเพราะทุกผู้ล้วนนึกไม่ออก ควรสรรค์หาวาจาใดมากล่าวต่อองค์กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และทรงประชนม์ยืนยาวพระองค์นี้ได้

          “เล่าถึงที่ใด..อืม... ทรงติดแหของชาวประมงมนุษย์ หากเจ้ายังรู้สึกน่าอาย พระองค์ยิ่งรู้สึกน่าอายกว่านัก ดังนั้นจึงหมายปลิดชีพมนุษย์นั้นเสีย แต่แหอวนนั้นสำหรับพระองค์เป็นของประหลาดยิ่ง แม้ดิ้นรนหมายเข้าถึงมนุษย์ผู้นั้นเพียงใด ยิ่งบาดเข้าไปในพระสรีระ เราได้กล่าว ยามนั้นทรงพระเยาว์ยิ่งนัก พระวรกายมิได้ทนทานอย่างที่ควรจะเป็น”

          “พระองค์มิมีผู้รับใช้ติดตามไป?”

          อูห์รูนแทรกขึ้นอย่างสงสัย องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์

          “คาดว่าองค์กษัตริย์ทรงซุกซนอยู่มาก จึงหนีจากผู้รับใช้ไปเที่ยวเล่นพระองค์เดียว”

          “อย่างนั้นต้องโทษผู้รับใช้เลินเล่อแล้ว”

          มังกรหนุ่มกล่าว กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงพระสรวล

          “เจ้าท่าทางจริงจังกับเรื่องนี้ยิ่ง ความซุกซนล้วนห้ามกันมิได้ เราจะเล่าต่อ ยามนั้นองค์กษัตริย์ดิ้นรนจนติดอยู่ในร่างแหมิอาจไปไหนได้อีก ทั้งเจ็บปวดทั้งตกใจ ด้วยมิเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ชาวประมงมนุษย์ผู้นั้นคล้ายรู้สึก สิ่งมาติดแหไฉนดิ้นรนและมีเรี่ยวแรงมหาศาล จึงเพียรพยายามลากแหขึ้นมาบนเรือ เมื่อพบเห็นสัตว์ทะเลรูปร่างประหลาดอยู่ด้านในจึงตกใจเป็นอันมาก”

          อูห์รูนคล้ายถูกสะกดไปแล้ว นิ่งฟังเรื่องราวอย่างใจจดจ่อ นัยน์ตาสีฟ้าเทามองมาอย่างใคร่รู้ยิ่งนัก องค์กษัตริย์คล้ายทรงอยากแกล้ง มิเอ่ยปากอยู่เป็นนาน จนอีกฝ่ายอดรนทนไม่ได้

          “แล้วอย่างไรต่อเล่า?”

          “เราพลันนึกไม่ออก”

          “แล้วกัน!”

          มังกรหนุ่มโพล่ง สีหน้าผิดหวังเป็นยิ่งนัก เสียงหัวร่อกังวานดังตามขึ้นมา

          “ล้อเล่นหรอก เราเพียงอยากเห็น เจ้าสนใจฟังเพียงใด ใช่อยากติดตามต่อหรือไม่”

          “ข้าพระองค์สนใจอย่างยิ่ง โปรดเล่าต่อเถิด”

          อูห์รูนอ้อนวอน องค์กษัตริย์บางคราวขี้เล่นยิ่งนัก ถึงกับชมชอบปั่นหัวผู้อื่นเล่นเพื่อนความสำราญส่วนพระองค์

          “เล่าถึงที่ใด อืม...ชาวประมงทรงพบองค์กษัตริย์ติดอยู่ในแห ยามนั้นยังอยู่ในร่างมังกร คาดว่ารูปลักษณ์คงประหลาดตาสำหรับมนุษย์ยิ่ง ทรงอับอายแทบตายที่ติดอยู่เยี่ยงนั้น ดำริอยู่ในพระทัย หากมิอาจสังหารมนุษย์ผู้นี้จักกลั้นใจตายเสียเอง ยามนั้นมนุษย์ผู้นั้นถือมีดด้ามใหญ่เข้ามาใกล้ ทรงนึกว่าจักถูกสังหารแน่แล้ว จึงได้ดิ้นรนสุดชีวิต ทันใดนั้นได้ยินเสียงกล่าวอย่างอ่อนโยน”

          “อย่าได้ตระหนก เราอยากช่วยเจ้า”

          “น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเปี่ยมเมตตายิ่ง มาตรแม้นเป็นถ้อยคำจากปากมนุษย์ย่อมยากเชื่อถือ แต่ยามนั้นพระองค์ลืมพระเนตรขึ้นอย่างแปลกใจ คมมีดใหญ่ถูกกดลงมาอย่างเบามือ ตัดเอาแหอวนที่พันตัวพระองค์ออกหมดสิ้น”

          “องค์ยุวกษัตริย์ยามนั้นยังตกพระทัยอยู่ ครั้นหลุดจากแหอวนก็ดิ้นรนอย่างเสียพระทัย จนครีบหางฟาดเอามือของชาวประมงหนุ่มเป็นแผลใหญ่ มิคาดนอกจากมิได้สังหารองค์กษัตริย์ในร่างมังกรแล้ว ยังไม่เคืองเรื่องบาดแผลด้วย ชาวประมงหนุ่มรีบถลันไปหาองค์กษัตริย์ ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อหยุดโลหิตที่ไหลจากบาดแผลบนร่างมังกรนั้นไว้”

          “ใยถึงใจดีขนาดนั้น บาดแผลบนข้อมือเขาเล่า มิได้สาหัส?”

          อูห์รูนกล่าว รู้สึกแปลกใจอยู่มาก ไม่คาด ยังมีมนุษย์ที่มีจิตใจดีงาม กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยตอบ

          “ย่อมสาหัส หางมังกรนั้นมีพิษ แต่ถึงอย่างนั้น กลับห่วงใยสัตว์ทะเลประหลาดในสายตาของตนยิ่ง พยายามหยุดเลือดให้องค์กษัตริย์ก่อน จึงได้หยุดเลือดให้ตัวเอง ถือเป็นโชคดี เพราะพิษนั้นไหลออกจากบาดแผลไปมากแล้ว ดังนั้นจึงมิเป็นอันตรายต่อร่างกายมากนัก”

          “ถือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง”

          ผู้รับใช้หนุ่มกล่าว องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์

          “นั่นเพราะมีน้ำใจห่วงใยองค์กษัตริย์ก่อน จึงพ้นอันตรายจากพิษไป องค์กษัตริย์ยามนั้นแม้มิหวาดกลัวอย่างเริ่มแรก แต่ก็ไม่ไว้พระทัยในชาวมนุษย์ เมื่อขยับได้จึงรีบหลีกเร้นลงทะเลไปทันที กระนั้นด้วยบาดแผลฉกรรจ์จึงมิอาจว่ายไปได้ไกลนัก”

          “ผู้รับใช้เล่า มัวกระทำเรื่องราวใดอยู่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินทรงพระสรวลขึ้น

          “แลดูเจ้าข้องใจเรื่องนี้ยิ่ง เราจักกล่าวถึงตอนหลัง ชาวประมงนั้นมิรู้สมควรทำเช่นใด จึงล่องเรือจากไป มิคาดวันรุ่งขึ้นยังกลับมาอีก กลับมาพร้อมปลาทะเลจำนวนหนึ่ง”

          “ชาวประมงหนุ่มตะโกนเรียกองค์กษัตริย์ เรียกด้วยถ้อยคำน่าขบขันยิ่ง เอ่ยเรียก เจ้าปลาประหลาด เรานี้นำสัตว์ทะเลมาให้เจ้า หากยังวนเวียนอยู่ จงมารับไปเถิด”

          “องค์กษัตริย์ทอดร่างอยู่ใต้ผืนน้ำ ได้ยินหมดทุกสิ่ง มิทราบสมควรทำเช่นใด ทั้งรู้สึกอับอาย แต่ก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง ใยมนุษย์ผู้นี้จึงห่วงใยตนนัก ถึงกระนั้นก็มิได้ปรากฏพระองค์ขึ้นมา ชาวประมงเรียกอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจเทปลาทะเลที่หามาได้ลงตรงนั้น”

          “เราคิด เจ้าอาจหวาดกลัวเรา เราจะทิ้งปลาไว้ที่นี่ เพื่อให้เจ้าทานได้ง่าย”

          “แม้มิใคร่เข้าใจนัก แต่องค์กษัตริย์ก็ได้รับประทานปลาดังกล่าว เนื่องจากบาดเจ็บจนมิอาจออกไปไล่ล่าสังหารเองได้ วันรุ่งขึ้นชาวประมงกลับมาอีก เมื่อไม่เห็นซากปลาจึงเข้าใจได้เองว่าสัตว์น้ำประหลาดยังคงอยู่แถวนั้น จึงได้เทปลาเอาไว้อีก”

          “ชาวมนุษย์ผู้นี้เมตตาอย่างยิ่ง ไม่คล้ายชาวมนุษย์ทั่วไป”

          อูห์รูนรำพึงรำพันขึ้นเบาๆ องษ์กษัตริย์แย้มยิ้มตอบ

          “บางคราว พวกเราอาจมองสายพันธุ์อื่นเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น องค์กษัตริย์ทรงรับความหวังดีจากชาวมนุษย์นั้นด้วยความตื้นตันพระทัยอย่างยิ่ง ทรงแข็งใจไม่ปรากฏพระองค์หลายวันจนกระทั่งวันหนึ่ง”

          “ชาวประมงนั้นมาอีก ยังคงเอ่ยเรียกเช่นทุกวัน แต่คราวนี้น้ำเสียงดูเศร้าสร้อยนัก”

          “เจ้าปลาประหลาดเอย เราทราบ เจ้าคล้ายใกล้หายดีแล้ว เรายินดียิ่ง แต่เรายังมีข่าวร้ายข่าวหนึ่ง เราคล้ายมิอาจหาปลาจำนวนเท่าเดิมมาให้เจ้าได้อีก เราหวัง เจ้าจะหายดีก่อนต้องทนหิวโหย”

          “องค์กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นรู้สึกสงสัยในพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ใยหาสัตว์น้ำได้น้อยลงเล่า หรือเพราะต้องเอาไปดำรงเลี้ยงชีพ ตรึกอยู่พักใหญ่จึงได้ปรากฏพระองค์ออกมา”

          “ชาวประมงหนุ่มตื่นตะลึงยิ่ง มิคาดปลาประหลาดที่พบหลายวันก่อน ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน กลับใหญ่โตขึ้นมากจนคล้ายเป็นคนละตัวแล้ว แต่ยังจดจำบาดแผลและดวงตาสีมรกตนั้นได้อยู่ จึงเอ่ยปากไป”

            “เป็นอย่างไรเล่า หายดีแล้ว? เจ้าช่างโตไวอย่างยิ่ง”

                “น้ำเสียงแสดงความยินดีอย่างไม่อำพราง องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรดูชาวประมงอยู่ครู่หนึ่ง เป็นคราแรกที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรดูผู้สร้างบาดแผลและดูแลพระองค์อย่างชัดตา ชาวประมงนี้มิใช่ตัวใหญ่โตใดเลย เรือประมงนั้นก็มิได้ใหญ่โต ทรงระลึกได้ว่าครั้งนั้นพระวรกายยังเล็กอยู่มากจริงๆ จึงได้เกิดเรื่องน่าอับอายนั้น ทรงอยากจะเอ่ยปากขอบคุณชาวประมงหนุ่ม จึงได้ย่อกายลงใกล้ๆ คลื่นน้ำจากการเคลื่อนไหว กระแทกลำเรือเบาๆ ชาวประมงเซถลาพยายามคว้ากราบเรือเพื่อพยุงตัว ยามนั้นจึงได้เห็น มือข้างหนึ่งของชาวประมงกุดด้วนเสมอข้อไปเสียแล้ว”

          “เป็นมือข้างที่ถูกคมหางบาดเอา?”

          อูห์รูนเอ่ย กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพยักหน้า

          “แม้นมิได้ถูกพิษถึงตาย แต่บาดแผลนั้นฉกรรจ์ยิ่ง เพราะมัวแต่ห่วงอาการขององค์กษัตริย์ พิษร้ายซึมซาบเข้าทำลายเนื้อเยื่อไปหลายส่วน ถึงกับมิอาจรักษามือข้างนั้นได้อีก จึงกุดด้วนอย่างที่เห็น องค์กษัตริย์เมื่อได้ทอดพระเนตรข้อมือของชาวประมง ทรงเข้าใจทุกอย่างทันที เนื่องเพราะขาดมือไปข้างหนึ่ง จึงมิอาจหาปลาได้เท่ายามปกติอีก ทรงถอดถอนใจ เอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก”

            “นี่ล้วนเป็นความผิดเราทั้งสิ้น”

          ชาวประมงหนุ่มตะลึงลาน มิคาดจะได้ยินวาจาจากปากปลาประหลาด นิ่งอึ้งอยู่นานจึงได้กล่าววาจา

            “หรือท่านคือเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ ข้าพเจ้าบังอาจล่วงเกินไป จำต้องขออภัยอย่างยิ่ง”

          “มิต้องขออภัย เป็นเราที่ผิดเอง เจ้าช่วยเหลือเรา มือข้างนั้นเสียไปเพราะเราเป็นต้นเหตุใช่หรือไม่?”

          “มิคาดชาวประมงหนุ่มกลับสั่นศีรษะ เอ่ยวาจาอย่างฉะฉาน”

          “ล้วนไม่ใช่ต้นเหตุจากท่าน เป็นข้าพเจ้าประมาท หากจะโทษ ย่อมโทษตัวข้าพเจ้าเองที่บังเอิญไปล่วงเกินท่านเข้า”

          “องค์กษัตริย์ในยามนั้นรู้สึกประทับใจชาวประมงเป็นยิ่งนัก อยากจะตอบแทนน้ำใจและความเด็ดเดี่ยวนั้น แต่เนื่องจากทรงพระเยาว์อยู่ ยังมิทราบควรตอบแทนประการใด พลันเกิดความคิดพิสดารขึ้นมา”

          กล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดไปอีกเนิ่นนาน คล้ายต้องการก่อกวนผู้ฟังให้กระวนกระวายอีกคราแล้ว อูห์รูนจำต้องเอ่ยปากกระตุ้น

          “ข้าพระองค์รอฟังจนแทบหยุดหายใจแล้ว ทรงตั้งใจจะทรมานข้าพระองค์หรือไร?”

          กษัตริย์สูงวัยหัวเราะชอบใจ จึงได้เอ่ยปากเล่าต่อ

          “เนื่องจากทรงพระเยาว์ องค์กษัตริย์จึงโปรดปราณการเสวยเลือดยิ่งนัก ทรงรู้สึกดื่มง่าย คล่องคอ ดังนั้นจึงคิด ผู้อื่นคงชื่นชอบเช่นกัน จึงได้แปลงพระองค์มาอยู่ในร่างกลาง เยื้องกรายขึ้นบนเรือประมงที่ลอยลำอยู่ หยุดยืนตรงหน้าชาวประมงหนุ่ม ยกพระกรข้างหนึ่งขึ้น กรีดเล็บลงไปบนผิวหนัง จนพระโลหิตไหลออกมาเป็นทางยาว หยิบภาชนะที่อยู่ใกล้ๆ รองพระโลหิตเอาไว้ ก่อนจะยื่นส่งให้ชาวประมง”

            “เราให้เจ้า จงกินเสีย แทนคำขอโทษจากเรา”

          อูห์รูนที่ฟังอยู่ ตกตะลึกอีกครา ตะกุกตะกักพูด

          “ทรงมอบโลหิตเป็นของขวัญ ทรงคิดของขวัญได้พิสดารยิ่ง”

          กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งอิลห์ลารินพยักหน้า

          “เราจึงกล่าว ทรงมีความคิดพิสดารนัก เจ้าทราบหรือไม่ โลหิตนั้นสีเยี่ยงไร?”

          ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ

          “ข้าพระองค์เพียงทราบโลหิตสิ่งมีชีวิตบนบกนั้นเป็นสีแดงชาด โลหิตชาวเราเป็นสีน้ำเงิน แต่ยังมิเคยเห็นโลหิตขององค์กษัตริย์ จึงมิทราบเป็นสีใด”

          “ย่อมเป็นสีน้ำเงิน เพียงแต่น้ำเงินเข้มอย่างยิ่ง คล้ายสีน้ำหมึก”

          “อ้อ...เป็นเช่นนั้น”

          ผู้รับใช้พยักหน้าอย่างเข้าใจ องค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “ชาวประมงยามนั้นคล้ายรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ ด้วยคาดไม่ถึง ปลาประหลาดที่พบนั้นพลันพูดได้ ยังกลายร่างได้ หนำซ้ำยังเสนอเลือดสีประหลาดให้ลองดื่มกิน แต่ไม่กล้าขัด เนื่องเพราะเข้าใจ องค์กษัตริย์นั้นเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล จึงขืนใจดื่มลงไปจนหมดสิ้น”

          อูห์รูนนิ่งฟัง ลุ้นอยู่ลึกๆ ว่าองค์กษัตริย์ของเขาคงไม่นึกพิสดารหยุดเล่าเสียกลางคัน ราวกับเดาความคิดได้ ทรงตรัสต่อ

          “มิคาด ทันทีที่ดื่มจนหมด ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นอย่างฉับพลัน มิอาจพยุงกายได้อีก เนื่องจากอยู่ใกล้กราบเรือมากเกินไป ดังนั้นชาวประมงหนุ่มจึงร่วงหล่นลงในน้ำ”

          “องค์กษัตริย์ตกพระทัยยิ่ง กระโดดตามชาวประมงลงไป รู้สึกเกรงจะเป็นต้นเหตุให้ชาวประมงนั้นเสียชีวิต เมื่อลงไปใต้น้ำ ทรงเห็นชาวประมงมองพระองค์อย่างตื่นเต้น

            “ข้าพเจ้าหายใจใต้ผิวน้ำได้!”

          “มนุษย์นั้นกล่าวอย่างยินดี มองมายังองค์กษัตริย์อย่างสนเท่ห์”

          “ท่านใช้เล่ห์กลใดให้ข้าพเจ้าหายใจในสายน้ำได้ หรือต้องการให้ข้าพเจ้าตามลงไปเบื้องล่าง?”

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 2/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-07-2012 20:42:21
          “องค์กษัตริย์ยามนั้นตกตะลึงบ้างเหมือนกัน ด้วยนึกไม่ถึงชาวมนุษย์จะหายใจในน้ำได้ ทรงลำดับเรื่องราวและคาดเดาว่า คงมาจากโลหิตของพระองค์แน่แท้ จึงทรงนำพาชาวประมงลงมาถึงอันโดรท์แห่งนี้ ถึงทรงทราบ ผู้รับใช้คนเดิมนั้นสิ้นอายุขัยลงระหว่างที่พระองค์เสด็จหนีออกไป เพิ่งมีการแต่งตั้งผู้รับใช้คนใหม่”

          “อ้อ..เรื่องเป็นเช่นนี้”

          อูห์รูนกล่าวขึ้น องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม

          “คงพอให้อภัยได้? ดังนั้นจึงทรงเล่าให้ผู้รับใช้คนใหม่และเหล่าอำมาตย์ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฟังเรื่องราวจบ ทุกผู้ล้วนกล่าววาจาสรรเสริญชาวประมงมนุษย์นั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งเสนอว่าควรมอบอัญมณีและสิ่งของสูงค่าให้ เนื่องเพราะในสังคมเบื้องบน ของมีค่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินตราเพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่มิคาดชาวประมงหนุ่มนั้นปฏิเสธที่จะรับพระราชทานสิ่งของมีค่าดังกล่าว เพียงต้องอยากชมความงามใต้ทะเลสักครั้ง”

          “ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพามนุษย์ผู้นั้นออกชมความงามของอิลห์ลารินด้วยพระองค์เอง ในวันสุดท้ายทรงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยตั้งแต่คราแรกที่พบ ทรงอยากทราบสาเหตุที่ทำให้ชาวประมงหนุ่มช่วยเหลือพระองค์........”

          “เล่าเถิด ข้าพระองค์ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง”

          อูห์รูนเอ่ย เมื่อเริ่มเห็นว่าองค์กษัตริย์เงียบไป คาดว่าคงมิใช่ทรงเหนื่อย แต่คงอยากแกล้งอีกเป็นแน่แท้ น้ำเสียงกังวานลอบหัวร่อเล็กน้อย และเอ่ยสืบต่อ

          “เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่ง ชาวประมงเพียงรู้สึก ปลาประหลาดตัวนี้ดูเยาว์วัยนัก พลันนึกถึงลูกน้อยที่คอยอยู่กับภรรยาที่บ้าน ใยมิคล้าย ต่างยังเยาว์วัยไร้ประสีประสา ดังนั้นจึงช่วยเหลือ มิโกรธเคืองแม้ถูกทำร้าย เพียงเพราะตระหนัก ทารกย่อมหวาดกลัว ย่อมไร้เดียงสา ย่อมต้องการความช่วยเหลือ องค์กษัตริย์ทรงตื้นตันอย่างยิ่ง ถอดสร้อยพระศอประทานให้กับชาวประมง ก่อนนำขึ้นไปส่งบนบก กำชับบริวารทั้งหลายให้อำนวยความสะดวกกับชาวประมงผู้นี้ มิให้สัตว์ร้ายหรือผู้พิทักษ์ตนใดเข้าใกล้หรือทำร้ายเชื้อสายชาวประมงหนุ่ม ซ้ำยังกล่าวให้ไล่ต้อนฝูงปลาที่มีมากในอาณาเขตของพระองค์ให้ชาวประมงหนุ่มยามต้องการ ชาวประมงหนุ่มซาบซึ้งยิ่งนัก กล่าววาจาขอบคุณอยู่หลายครา จึงกลับขึ้นบกไป เนิ่นนานหลายปี มีพรายผู้หนึ่ง นำพาขวดแก้วใส่กระดาษน้อยใบหนึ่งมาถวาย ภายในถ่วงด้วยหินหนัก ย่อมมิอยากให้ลอย มุ่งหมายให้จมลงถึงก้นทะเลเป็นแน่ องค์กษัตริย์ทรงเปิดจดหมายในขวดแก้วนั้น จดหมายเก่า ยามถูกน้ำทะเลก็เลอะเลือน ถึงอย่างนั้นยังพอจับใจความได้ว่าเป็นจดหมายจากชาวประมงหนุ่มในตอนนั้น”

            “ข้าพเจ้าเคยคิดอยากนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้พระองค์ แต่หลังจากวันนั้นข้าพเจ้ากลับมิอาจหายใจใต้ผิวน้ำได้อีก คาดว่าเวทย์มนต์นั้นคงเสื่อมสิ้นแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้เพียรเขียนจดหมายฉบับนี้ ใส่โหลแก้ว ถ่วงน้ำหนักไว้ หวังมีผู้ใดนำพาไปสู่พระองค์ได้ในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องการแจ้งให้พระองค์ทราบ ยามนี้ข้าพเจ้ามีความสุขอย่างยิ่งด้วยความกรุณาของพระองค์ บุตรชายของข้าพเจ้าใกล้แต่งงานในไม่กี่วันนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขยิ่งนัก จึงใคร่ขอขอบคุณพระองค์อย่างสูงสุด และเหนืออื่นใด สร้อยพระศอนี้ข้าพเจ้าขอถวายคืนให้กับพระองค์ มิใช่รังเกียจ แต่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้ปรึกษากันแล้ว เล็งเห็นตรงกันว่าของสูงค่านี้เหมาะแก่การกลับไปอยู่กับพระองค์เป็นที่สุด ย่อมไม่มีผู้ใดสวมใส่สร้อยเส้นนี้ได้งดงามเช่นพระองค์อีก  ถึงกระนั้นเพื่อแทนความระลึกถึง ข้าพเจ้าและบุตรได้พยายามตกแต่งตัวสร้อยเพิ่มขึ้นบ้าง หวังพระองค์จะโทรงโปรดกับการต่อเติมนี้ หากมิสมควรอย่างใดข้าพเจ้าขออภัยอย่างยิ่ง เพียงอยากถวายความรำลึกถึงเท่านั้น
ด้วยความเคารพและเทิดทูลอย่างสูงสุด”

 
                “จบเพียงแค่นี้?”

          อูร์รูนเอ่ยขึ้นหลังองค์กษัตริย์เงียบไปพักใหญ่ ทรงผงกพระเศียร

          “เล่าได้สมจริงสมจังหรือไม่?”

          “สมจริงสมจังยิ่งนัก ทรงละลึกได้มากมายชัดเจนถึงเพียงนี้”

          คราวนี้องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินสั่นศีรษะ

          “มิใครละเอียดนัก ถึงกระนั้น เราพาลใส่สีตีไข่เพื่อให้เจ้าฟังดูสนุก สนุกสมใจรือไม่??”

          ผู้รับใช้หนุ่มคล้ายมีสีหน้าปวดหัวอยู่บ้าง เดามิใคร่ออกนัก ทรงต้องการสร้างความบันเทิงส่วนพระองค์หรือทรงมีเรื่องอีกอีก จึงกล่าวออกไป

          “ดูท่าพระองค์ตรึกเรื่องนี้เป็นเวลานาน? ทรงมีเวลาต่อเติมเนื้อหา ข้าพระองค์ใคร่ขอบังอาจ นี่มิใช่เพียงเพื่อเล่าสู่กันฟังแค่สนุกปาก?”

          ทรงพยักพระพักตร์อีกครา

          “ย่อมมิใช่เพื่อเรื่องสนุกประการเดียว สร้อยเส้นนั้นคล้ายยังเก็บไว้อยู่”

                “เรื่องราวนี้จริง?”

          อูห์รูนโพล่งขึ้น องค์กษัตริย์ขยับพระองค์ หยิบสร้อยสวมพระศอเส้นหนึ่งขึ้นมา

          “เป็นจริงแน่แท้ แม้เราใส่รายละเอียดบ้างก็เพื่อความสนุกสนาน มิใช่คลาดเคลื่อนเรื่องราว สร้อยที่ว่าคงเป็นเส้นนี้ เคยสงสัยอยู่เนิ่นนานยิ่ง ใยลักษณะตัวเรือนของสร้อยพิสดาร มิคล้ายฝีมือช่างในอิลห์ลาริน…..”

          สร้อยพระศอที่ว่าเป็นหินสีฟ้าอ่อน หุ้มด้วยตัวเรือนทองคำที่เป็นวงซ้อนทับกัน อูห์รูนเหม่อมองอยู่พักใหญ่จึงกล่าว

          “ลวดลายนี้คล้ายสิ่งที่ชาวมนุษย์เรียกกันว่าดอกไม้?”

          “คาดว่าเช่นนั้น เราจำได้สมัยหนึ่ง เคยมีผู้คนนิยมโปรยดอกไม้ลงในอิลห์ลาริน”

          อูห์รูนพยักหน้า กล่าวต่อ

          “ทรงตรึกเรื่องนี้หลายวันแล้ว? ถึงกระทั่งนำสร้อยพระศอนั้นมาแสดงแก่ข้าพระองค์ ดำริจะกระทำเรื่องราวใดหรือ?”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินถอนถอนพระทัย พลางกล่าว

          “เรากำลังคิด โลหิตเราจะนำพาเอามังกรจากคอนเชียร์ลงมาที่นี่ได้หรือไม่”

          “ทรงคิดจะนำพามังกรไฟเหล่านั้นลงมาที่นี่?!”

          ผู้รับใช้หนุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างตระหนก องค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “เราทราบ จากคอนเชียร์ไปยังเขตแดนตะวันตกของอิลห์ลารินนั้น ไม่มีเกาะใหญ่พอให้มังกรไฟเหล่านั้นสามารถพักพิงได้เลยแม้แต่เกาะเดียว และไม่มีมังกรในคอนเชียร์ตัวใดสามารถบินดั้นด้นเป็นระยะทางไกลขนาดนั้นได้ เราแม้อยากเอ่ยปากขอความช่วยเหลือกับองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ก็มิอาจกล่าวได้เต็มปาก เนื่องเพราะเราเองมิแน่ใจ จะนำพามังกรแห่งคอนเชียร์ลงมาพักที่นี่ก่อนได้อย่างไร และเท่าที่เราทราบ นักรบแห่งคอนเชียร์ทุกตนหวาดกลัวสายน้ำแห่งอิลห์ลารินของเราสิ้น”

          “นั่นเพราะสายน้ำแห่งพระองค์ล้วนดับสิ้นทุกอานุภาพแห่งเปลวเพลิง ไม่มีนักรบหาญกล้าผู้ใดปรารถนาการสิ้นสูญเช่นนี้”

          อูห์รูนเอ่ยต่อ องค์กษัตริย์โคลงพระเศียร

          “กล่าวถูกต้องยิ่ง นักรบแห่งคอนเชียร์มิใช่ขลาด แต่หากสูญเสียเปลวไฟที่ภาคภูมิแล้วไซร้ มิใช่เป็นเรื่องอัปยศยิ่ง เราครั้งหนึ่งเคยคิดหากใช้ร่างของเราแทนเกาะให้พวกเขาพักจะได้หรือไม่..”

          “ย่อมไม่ได้เด็ดขาด!”

          ผู้รับใช้หนุ่มโพล่งขึ้นมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “แม้มิเคยสัมผัสโดยตรง แต่ทุกคนล้วนทราบ มังกรแห่งคอนเชียร์นั้นร่างกายร้อนผ่าวยิ่งกว่าหินภูเขาไฟใด ได้ยินว่าพวกเขาอาบลาวาเดือดแทนน้ำ กับพวกตัวร้อนเป็นไฟเช่นนั้น หากให้ขึ้นไปอยู่บนสรีระของพระองค์ แม้จะทรงแข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบ แต่อานุภาพความร้อนนั้นเป็นพิษกับผิวหนังเปียกลื่น ข้าพระองค์ยังจำได้ คราตามเสด็จไปครั้งก่อน ที่คอนเชียร์นั้นร้อนแทบตาย หากพวกเหล่านั้นอยู่บนหลังพระองค์มิใช่ต้องทรงรับความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งหรือ? ถ้าทรงต้องการกระทำเช่นนั้น สมควรใช้ข้าพระองค์แทนจึงประเสริฐ”

          “หากใช้เจ้าคาดว่าเราคงเสียเจ้าไปเป็นแน่แท้ หากเรายากทนทาน เจ้าไหนเลยทนทานได้”

          ทรงตรัสตอบ ทำเอาอูห์รูนนิ่งไปพักหนึ่ง

          “เอาเถิด วิธีนั้นดูลำบากเกินไป หนำซ้ำต่อให้อยู่บนหลังเรา ก็ใช่สะดวกดาย มีบ้างต้องขยับ อาจพลาดพลั้งตกหล่นลงในผืนน้ำ นักรบแห่งไฟตนใดจะกล้าเสี่ยงเล่า เจ้าเองก็ทราบ พวกเขาสิ้นสูญภายใต้สายน้ำแห่งอิลห์ลารินนี้มากมายเหลือเกิน”

          “ข้าพระองค์ทราบ มังกรแห่งคอนเชียร์มิอาจว่ายแหวกสายน้ำในอิลห์ลาริน มิอาจหลงเหลือเปลวไฟที่ภาคภูมิภายใต้ผืนน้ำนี้ หากร่วงลงมา ย่อมสูญสิ้นชีวิตเป็นแน่แท้ ได้ยินว่าเลือดมังกรแห่งคอนเชียร์ร้อนอย่างยิ่ง หากกลืนกินคงแทบลุกไหม้อยู่ในตัว ถึงอย่างนั้นมีบางจำพวกชมชอบลิ้มรสมังกรแห่งคอนเชียร์นัก”

          “เราคล้ายเคยทดลองมาบ้าง”

          อูห์รูนหันมามองอย่างตกใจ องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดี

          “เพียงนิดหน่อย เราทราบ ผู้พิทักษ์ของเราดุร้าย ชมชอบสรรค์หาของพิสดารรับประทานเป็นนิจ แต่ไฉนเลยมิอาจดุร้ายเช่นนั้นได้บนบก เอาเถิด ยังพอมีเวลาคิดเรื่องนี้อยู่ คืนเพ็ญหน้าเราจะขึ้นไปบนคอนเชียร์อีกรอบ แม้จะทำให้องค์อัสรานไม่สบายพระทัย แต่เรามิอาจปล่อยให้อาณาจักรถูกรุกรานมากกว่านี้”

          อูห์รูนพยักหน้า เข้าใจเป็นอย่างดีว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินลำบากพระทัยเพียงใด หากทรงลสะพระองค์เพื่อปกป้องดินแดนได้ คงทำไปแล้ว ผู้รับใช้หนุ่มเพียงหวัง จอมกษัตริย์องค์นี้จะคิดหนทางที่ไม่เสี่ยงพระองค์จนเกินไปนัก

                กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมองเห็นใบหน้าผู้รับใช้หมองลง คาดเดาได้ว่าคงมาจากเรื่องที่พระองค์กล่าวเป็นแน่แท้ จึงเอ่ยวาจาขึ้นอีก

          “อย่าได้ทำหน้าไม่รับแขกเช่นนั้น เราเห็นแล้วรู้สึกไม่แปลกใจเลย ไฉนเจ้ายังหาคู่ครองไม่ได้เสียที”

          “ข้าพระองค์ทำสีหน้าใด?”

          อูห์รูนกล่าวอย่างงงงัน พลันนึกได้ จึงกล่าวตอบ

          “ที่ยังมิตกแต่งเป็นเรื่องเป็นราวเพราะต้องการรับใช้พระองค์อย่างเต็มที่หรอก เรื่องอิสตรีนั้นยังไม่ค่อยจำเป็นนัก”

          องค์กษัตริย์พลันหัวร่ออย่างเอ็นดู กล่าวต่ออีก

          “เรากลับคิดตรงข้าม หากเจ้ามิรีบตกแต่งภรรยา ระวังคล้ายเป็นดั่งเรื่องเล่า องค์กษัตริย์ผลัดเปลี่ยนผู้รับใช้ผลัดเปลี่ยนตามมิทัน ไม่กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ?”

          อูห์รูนมีสีหน้าราวกับจะเป็นลมมิปาน รีบกล่าววาจา

          “ใยทรงตรัสเป็นลางเช่นนั้น พระองค์ยังทรงครองราชย์อีกนานยิ่ง ข้าพระองค์ย่อมตกแต่งภรรยาเองวันใดวันหนึ่ง ยังมิต้องเร่งร้อน”

          “ตามใจเจ้าเถิด เราเพียงต้องการกระตุ้นให้เจ้ากระชุ่มกระชวยบ้าง มิใช่มาจมปลักอยู่กับคนแก่เช่นเรา”

          “ได้รับใช้พระองค์เป็นเรื่องราวที่ข้าพระองค์มีความสุขที่จะกระทำยิ่ง ขออย่าได้กล่าววาจามิเป็นมงคลอีก”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินผงกพระเศียรอีกรอบ ขณะทำท่าจะตรัสสิ่งใดเพิ่มอีกเสียงแหวกของสายน้ำที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เร่งร้อน อ่อนล้า ดังก็ดังวูบขึ้นในท้องพระโรงใหญ่ ผู้รับใช้หนุ่มขยับตัว มีบางผู้กำลังจะมายังท้องพระโรงแห่งนี้แล้วแน่แท้  เป็นผู้ใด?

          สายธาราปั่นป่วนเป็นระลอกน้อย เงือกหนุ่มตัวหนึ่งว่ายลอดผ่านซุ้มประตูหินทรงแปลกตาเข้ามายังส่วนลานหน้าของท้องพระโรง ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเมื่ยยล้ายิ่ง ยังมิทันได้เงยหน้าก็เร่งกล่าววาจาอย่างร้อนรน

          “ถวายพระพรพระผู้เป็นใหญ่แห่งอิลห์ลาริน ข้าพระองค์มาจากชายแดนฝั่งตะวันตก ยามนี้...!”

          ยังกล่าววาจามิจบก็ระลึกขึ้นได้ จึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อประสบพบพระพักตร์องค์กษัตริย์ถึงกับกล่าววาจาใดมิออกอีก ตะลึงลานด้วยไม่คาดยังมีผู้ใดงดงามเพียงนี้ อูห์รูนคล้ายชินชากับเรื่องราวทำนองนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าผู้ใดที่พบพระพักตร์องค์กษัตริย์เป็นครั้งแรก ย่อมตะลึงลานเช่นนี้ทุกครั้ง บางผู้ถึงกับลืมเลือนเรื่องราวที่จะทำมาทูลจนหมดสิ้น

          “มีเรื่องราวใดต้องการกราบทูลเล่า?”

          น้ำเสียงของอูห์รูนนั้นแม้มิได้กังวาน แต่หนักแน่นขึงขังยิ่งนัก ดึงสติเงือกหนุ่มกลับมายังปัจจุบัน จึงละล่ำละลักเอ่ยขึ้น

          “ทูลพระองค์ ชายแดนฝั่งตะวันตกที่ผู้นำเราชาวเงือกปกครองอยู่นั้น ไม่กี่วันมานี้พบเรื่องไม่ชอบมาพากลยิ่ง คล้ายมีผู้ใดเอาบางสิ่งมาอย่างมาเทลงบนผิวน้ำ แทบจะบดบังแสงตะวันจนมืดมิด พวกข้าพเจ้ามิอาจระบุ สิ่งที่เทลงมานั้นเป็นสิ่งใด คาดอาจเกี่ยวกับผู้บุกรุกที่อยู่บนบก จึงได้ส่งข้าพระองค์มานำเรียนให้ทรงทราบ”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นพยักพระพักตร์อย่างตระหนักในเรื่องราว ดูวิตกพระทัยอย่างเห็นได้ชัด

          “เราขอบใจเจ้ายิ่งนักที่ดั้นด้นมารายงานต่อเราถึงอัลโดรท์แห่งนี้ นำเรื่องไปกล่าวกับผู้นำเจ้า ว่าเรากำลังพยายามเจรจาขอยืมกำลังจากองค์กษัตริย์จากโลกด้านบน อย่าได้วิตก หากไม่สำเร็จเราจักนำทัพไปด้วยตนเอง มิยอมให้เพศภัยนี้ก่อกวนพวกเจ้าให้ได้รับความเดือดร้อนมากกว่าที่ควรจะเป็นโดยเด็ดขาด เจ้าเดินทางมาไกลท่าทางเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หากไม่เสียเวลานักเชิญพักที่นี่ก่อน เราจักให้คนเตรียมห้องไว้ให้ หากเร่งรีบขอให้เราได้เลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อหนึ่ง เพื่อตอบแทนที่อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมา”

          เงือกหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความปลื้มปิติ แม้เดินทางมาเหนื่อยแทบตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหายเหนื่อยสิ้น น้ำเสียงนั้นกังวานราวเครื่องแก้วอย่างดี ใสสะท้อนอยู่ในพื้นน้ำกว้าง พระพักตร์งดงามหาใดเปรียบ ดวงตาสีมรกตอันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะแห่งองค์กษัตริย์นั้นมองลงมาอย่างเปี่ยมด้วยพระเมตตา ยิ่งชมดูยิ่งรู้สึกตื้นตันเกินบรรยาย ก้มลงถวายความเคารพ

          “ทรงพระกรุณายิ่ง ข้าพระองค์ใคร่ขอเพียงลิ้มรสอาหาร มิบังอาจรบกวนถึงกระทั่งพักแรม”

          “ตามใจเจ้าเถิด หากเปลี่ยนใจจงบอกกล่าวคนของเรา จักได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้ ขอจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ ฝากความห่วงใยถึงผู้นำแห่งเจ้าด้วย”

          เงือกหนุ่มกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนถวายพระพรและว่ายออกจากท้องพระโรงไป อูห์รูนตามออกไปเพื่อสั่งการเรื่องอาหาร เมื่อกลับมายังท้องพระโรงแห่งอัลโดรท์อีกครั้ง พบว่าองค์กษัตริย์กำลังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าช่องหน้าต่างซึ่งเบื้องนอกเป็นห้วงน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ดั่งคล้ายจมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้งยิ่งนัก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเพิ่งระลึกได้ว่าผู้รับใช้มายืนอยู่ข้างกายแล้ว ทรงหันมาและแย้มพระโอษฐ์บางๆ

          “มายืนอยู่นานแล้วหรือ? ไม่ทราบเงือกตนนั้นพอใจอาหารที่นี่หรือไม่?”

          “พอใจยิ่ง เอ่ยชมมิขาดปากเลยทีเดียว ยังฝากขอบคุณซ้ำมาอีก”

          อูห์รูนกล่าว องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ พลางทอดถอนใจ

          “ดูท่าเราจักต้องขึ้นไปยังคอนเชียร์ก่อนเวลาที่กำหนดเสียแล้ว”

 
---------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 3/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 03-07-2012 20:55:07
-0-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 3/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 03-07-2012 22:37:14
แอบฮามังกรน้ำอะ คุยกันฮาดี
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 3/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 04-07-2012 13:53:53
เรื่องเล่าของเรเธียร์สนุกดีอะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 3/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-07-2012 20:22:43
5 : ผู้เสียสละ

          แผ่กระจายอยู่ในผืนน้ำสีคราม สีแดงเจิดจ้าที่แผ่กระจายออกจากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส สีแดงสดถูกอณูน้ำสีครามม้วนกลืนเจือจาง กลับยิ่งดูแดงสดใส คล้ายสีของท้องนภายามรุ่งอรุณมิปาน
 
------------------------------------------------

          ท้องนภาในยามพลบค่ำเมื่อมองจากซาซาร์กันนั้น แดงโรจน์ราวผืนฟ้าถูกอาบทาด้วยเปลวเพลิง สายลมจากทะเลไกลเบื้องนอกพัดวูบ หอบเอาทั้งไอน้ำและความร้อนจากภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่มิเคยหยุดหย่อยในคอนซาร์กเข้ามาในตัวราชวัง กระทบต้องเข้ากับผิวกายขาวของบุรุษผู้มีเรือนผมสีแดงซึ่งยืนอยู่ตรงกรอบหน้าต่างหินบานแคบ ดวงตาสีแดงดำบนใบหน้าได้รูปหลุบต่ำลงมองไปยังพื้นผิวเบื้องล่างพลางถอดถอนใจ

          “มีเหตุไม่สบายพระทัยหรือ?”

          เสียงไพเราะราวระฆังแก้วของหญิงสาวเอ่ยขึ้น ผู้ถูกทักเบือนหน้าจากกรอบหน้าต่าง ก่อนจะฝืนยิ้ม

          “กล่าวไม่ผิด ท่านพี่หญิงอัสเธียร์ ข้ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจเรื่องหนึ่ง”

          “ใช่เรื่องของอัสธาราธหรือไม่?”

          อัสรานพยักหน้า ขยับออกจากกรอบหน้าต่าง เชื้อเชิญให้ผู้เป็นพี่สาวนั่งลงบนแท่นหินใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในห้อง

          “วิตกเรื่องใดเล่า ทรงบอกเองมิใช่หรือ อัสธาราธนั้นเข้มแข็งยิ่ง ย่อมต้องกลับมาเผชิญหน้าความเป็นจริงได้ในเร็ววัน ยังตรัสเพิ่มเติมว่าคล้ายองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเองก็มิได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด”

          อัสเธียร์เอ่ยอย่างสงสัย นางนึกมิออก ยังมีเรื่องอันใดเกี่ยวกับตัวอัสธาราธให้กังวลอีก นอกเหนือจากเรื่องมารยาทที่สมควรถูกขัดเกลาใหม่เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดที่ทำให้องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ทอดถอนใจเช่นนี้ นอกจากเรื่องน้องชายของพระองค์

          “เรามิได้กังวลเรื่องเหล่านั้น”

          องค์กษัตริย์ตอบ พลางทอดถอนใจอีก คล้ายมีเรื่องกังวลหนักหนายิ่ง อดมิได้ต้องไต่ถามไปอีกครา

          “เช่นนั้นกังวลเรื่องใดกันเล่า?”

          อัสรานมีสีหน้ายุ่งยาก เนิ่นนานจึงเอ่ยวาจา

          “คล้ายเป็นเรื่องมิเป็นเรื่อง แต่กลับรบกวนจิตใจข้านัก”

          “บอกกล่าวแก่เราพี่สาวท่านได้หรือไม่?”

          “เรื่องนี้เห็นสมควรต้องปรึกษาท่านดีที่สุด”

          อัสรานเอ่ย และยิ้มออกมา

          “วันสองวันนี้ข้าฝันมิใคร่ดีนัก สะดุ้งตื่นอยู่บ่อยครั้ง ในความฝันนั้นข้ามองเห็นอัสธาราธเดินตามกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินลงไปในอาณาจักรของพระองค์”

          “ท่านคล้ายฝังใจกับเรื่องราวของอัสธาราธนัก คล้ายดั่งเกรงองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำจะช่วงชิงชีวิตน้องชายเราไป มิใช่เป็นผู้ช่วยชีวิตอัสธาราธไว้ก่อนหรอกหรือ?”

          องค์กษัตริย์ฝืนยิ้มอีกครา

          “หากมิใช่เพราะพระองค์ น่ากลัวเราคงไม่มีโอกาสได้สนทนากับอัสธาราธอีก แต่เรากลับเกรงว่าหากอัสธาราธได้พบพระองค์อีกหน จะไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล”

          “ใยรู้สึกเช่นนั้นเล่า?”

          อัสเธียร์ถามอย่างแปลกใจ ผู้ถูกถามนิ่งไปอีกครั้ง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากต่อ

          “เนื่องจากเห็นเป็นเรื่องราวของพี่น้อง ข้าขอรบกวนท่านฟังข้อราชการสักอย่างหนึ่ง ทราบหรือไม่ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินประสงค์สิ่งใดในการมาเยือนยังคอนเชียร์แห่งนี้?”

          เจ้าหญิงแห่งคอนเชียร์สั่นศีรษะ

          “ข้ามิอาจเอื้อมคิดแทนพระองค์ ทรงประสงค์สิ่งใดเล่า?”

                “ทรงอยากขอยืมไพร่พลไปช่วยยังแนวชายแดนตะวันตก”

          “แนวชายแดนตะวันตก?!”

          อัสเธียร์ทวนคำ และกล่าวต่อทันที

          “นั่นมิใช่หมายถึงท้องน้ำอันไพศาล ไร้ซึ่งเกาะแก่งใดให้พักพิง? แม้นมีเรื่องจำเป็นต้องขอยืมกำลัง แต่จะนำพาไปยังที่นั่นได้อย่างไรเล่า?”

          อัสรานพยักหน้า และกล่าวตอบ

          “ยังมิได้ระบุแน่ชัด กล่าวเพียงจะทรงไปคิดหาวิธีที่ดีที่สุด ให้ไพร่พลของเรามิต้องสัมผัสธารน้ำเย็นยะเยือกแห่งอิลห์ลาริน มิต้องสูญสิ้นอนุภาพแห่งไฟก่อนถึงชายแดนตะวันตก”

          “เช่นนั้นไม่เห็นมีสิ่งใดต้องกังวล ทรงคงอยู่มาเนิ่นนานยิ่ง ย่อมต้องมีวิธีจัดการปัญหาดังกล่าว”

          “ข้าทราบว่าทรงประปรีชาญาณหาผู้ใดเปรียบได้ แต่ข้ากลับหวั่นใจอย่างยิ่ง หวั่นใจว่าอัสธาราธจะเป็นผู้อาสาติดตามพระองค์ไป”

          “สำหรับเรานั่นนับเป็นเรื่องน่ายินดี”

          อัสเธียร์เอ่ย ผู้เป็นน้องชายหันมามองอย่างสงสัย นางกล่าวต่อ

          “ท่านมิใช่บอกเอง อัสธาราธยังมิได้ตอบแทนความช่วยเหลือขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเลย หนีมาทั้งๆ อย่างนั้น ทำให้รู้สึกอับอายและสมเพสตัวเองยิ่ง นี่ใยมิใช่โอกาสดีที่อัสธาราธจะได้ชำระล้างความอัปยศดังกล่าว หากอาสาติดตามองค์กษัตริย์แห่งท้องน้ำไปจริง เราผู้พี่สาวมิเสียใจได้เกิดร่วมสายเลือดกัน”

          “มิกลัวอัสธาราธไปแล้วไม่ได้กลับมาหรือ?”

          นางพลันผงกศีรษะ

          “ข้าอย่างไรล้วนรักพวกเจ้าผู้เกิดร่วมสายเลือด ย่อมมิต้องการให้เสี่ยงชีวิต แต่เชื้อกษัตริย์ย่อมต้องรักษาศักดิ์ศรีและคุณธรรมยิ่งอื่นใด แม้หากติดตามองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินไปแล้วมิอาจกลับมาพบเจอเราได้อีก แม้รู้สึกเศร้าใจ แต่เรามิเสียใจเลย”

          “อา....”

          อัสรานครางออกมา เหม่อมองผู้เป็นพี่สาวเนิ่นนานจึงกล่าว

          “ท่านพี่หญิงเข้มแข็งเป็นยิ่งนัก ในฐานะราชาข้ารู้สึกละอายความคิดนี้ของตัวเองเหลือเกิน เช่นนั้น ข้าจะให้อัสธาราธมาลาท่านก่อน”

          “?”

          นัยน์ตาสีแดงดำของอัสเธียร์ตวัดขึ้นมององค์กษัตริย์ผู้เป็นน้องชายอย่างงงงัน อัสรานจึงได้กล่าวต่อ

          “คาดว่าองค์ราชันย์แห่งอิลห์ลารินจะเสด็จมาในอีกไม่นานแล้ว”
 
----------------------------------------------------

          “ท่านพี่อัสราน ไฉนเรียกประชุมไพร่พลเวลาดึกเยี่ยงนี้?”

          อัสธาราธกล่าวอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มผู้มีผิวสีน้ำผึ้งและเรือนผมสีแดงเพิ่งก้าวลงมาจากปีกด้านซ้ายของซาซาร์กัน อันเป็นที่พำนักของเจ้าหญิงแห่งคอนเชียร์

          “เจ้าไปพบท่านพี่หญิงอัสเธียร์มาแล้วหรือยัง?”

          ผู้ถูกถามกลับถามกลับโดยมิได้ตอบคำถามก่อน แม้ยังงงงัน แต่ผู้เป็นน้องชายก็พยักหน้า

          “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ?”

          อัสธาราธอ้าปากถามอีก เมื่อเห็นผู้เป็นพี่ชายทำท่าจะหันหน้าเดินออกไป อัสรานหันกลับมามองหน้าน้องชายอยู่พักใหญ่

          อัสธาราธนั้นเกิดห่างจากเขาเป็นร้อยปี ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกผูกพันรักใคร่น้องชายผู้มีเรือนผมสีแดงเพลิงผู้นี้นัก คราแรกตั้งใจปรึกษาเรื่องราวขององค์กษัตริย์กับอัสธาราธ แต่เมื่อได้ฟังถึงความสัมพันพิสดารหนหลัง จึงพลันเปลี่ยนความคิด อัสธาราธนั้นคอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังให้เขาเสมอ ยามมีเรื่องร้อนใจใดก็ได้น้องชายผู้นี้อาสาขจัดให้ อา... เกล็ดสีแดงเพลิง นัยน์ตาสีเพลิงนี้ เขาเกือบไม่ได้เห็นมันแล้วเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน หากว่าหลังจากนี้.....

          “เจ้าเป็นน้องชายที่ข้ารักยิ่ง”

          อัสรานเอ่ย พลันรีบกล่าวต่อ

          “รีบไปกันเถิด คาดว่าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว”

          อัสธาราธขมวดคิ้วอย่างงุนงง รีบก้าวเท้าตามผู้เป็นพี่ชายออกไป พลางเอ่ยถาม

          “องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน? ไม่ใช่ว่าจะทรงขึ้นมาคืนเพ็ญหน้าหรือ?”

                “คาดว่าอาจมีเหตุเดือดร้อนด่วน เจ้าไม่เห็นสายธารแห่งอิลห์ลารินที่ขุ้นข้นขึ้นหรือ?”

          อัสธาราธพยักหน้า ถามสวนไป

          “นั่นคือขบวนเสด็จ?”

          “มิผิด องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีพระวรกายในร่างมังกรใหญ่โตอย่างยิ่ง ยิ่งเพิ่มผู้ติดตามยิ่งก่อกวนให้สายธารขุ่นข้น”

          “ข้าเข้าใจแล้ว แต่เหตุไฉนจึงต้องประชุมขุนทหารด้วยเล่า”

          อัสรานมองหน้าน้องชายอีกพักหนึ่ง จึงกล่าวตัดบท

          “ตามเรามาเถิด เดี๋ยวเจ้าจักรู้เองว่าเพราะเหตุใด”
 
-----------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้นดูจะรู้สึกแปลกพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อขึ้นมาถึงฝั่งแล้ว พบขบวนขององค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์รอต้อนรับอยู่พร้อมด้วยขุนทหาร ถึงกับเอ่ยวาจาออกมา

          “ท่านทราบว่าเราจะมาล่วงหน้า?”

          อัสรานสั่นศีรษะ แย้มพระโอษฐ์ตอบ

          “เรามิทราบมาก่อนจริงๆ ยังคาดว่าจะพบท่านวันเพ็ญเดือนหน้า แต่เราเห็นกระแสธารแห่งอิลห์ลารินขุ่นข้นยิ่ง ฉุกคิดได้ว่าท่านอาจมีธุระด่วน”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำพยักพระพักตร์พลางทอดถอนใจออกมา

          “เราคล้ายรบกวนท่านมากแล้ว ถึงกับต้องให้ระดมไพร่พลมาในเวลาดึกเช่นนี้”

          “ทราบว่าท่านจะต้องมีเหตุเดือดร้อนยิ่ง และคงเตรียมการเรื่องนั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

          “เรื่องนั้น...”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าวค้างไปชั่วครู่ คล้ายเกิดลังเล

          “วิธีนั้นเราได้มาแล้ว หวั่นเกรงแต่จะไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยง”

          การสนทนานั้นดูเร่งร้อนจริงจังจนกระทั้งสองกษัตริย์มิได้นำพาสถานที่พบปะ กระทั่งยืนเสวนากัน ณ ที่นั่น เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รู้สึกแปลกใจอยู่มาก แม้นยังหวาดเกรงอยู่ในใจเมื่อพบพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน แต่ในเมื่อไม่มีพลทหารคนใดปริปากบอกเรื่องราว และตัวอัสรานเองก็ไม่ได้อธิบายอย่างไรเลย จึงได้เอ่ยถามออกไป

          “ข้าพเจ้าใคร่ขอบังอาจกล่าววาจาแทรก มิทราบนี่เป็นเรื่องอย่างไร?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเบือนพระพักตร์มาและแย้มยิ้มอย่างใจดี พระเนตรสีมรกตทอดมองเจ้าชายอย่างเอ็นดู พลันกล่าวขึ้น

          “คล้ายดั่งท่านมิได้หวั่นเกรงเราดั่งคราก่อนอีกแล้ว เราเคยปรึกษาเรื่องราวนี้กับพระเชษฐาของท่านเมื่อคราวก่อน แต่มิใคร่ได้สรุปรายละเอียดนัก ครั้งนี้เราจักกล่าวโดยย่อ”

          ทรงเว้นระยะไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองขุนทหารแห่งคอนเชียร์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูง และที่เป็นทหารหน่วยหนุนซึ่งบางส่วนยังคงร่างเดิมอยู่ พลางกล่าว

          “เรามีเรื่องเดือดร้อนที่ชายแดนตะวันตก จึงใคร่ขอยืมกำลังพวกท่านไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งพวกท่านล้วนทราบดี ดินแดนตะวันตกของเรานั้น ไร้ซึ่งเกาะแก่งใด วิธีที่จะนำพาพวกท่านไปนั้น พวกท่านจักต้องลงสู่สายธาราแห่งอิลห์ลารินอย่างเลี่ยงไม่ได้”

          แม้จะเป็นขุนทหารที่ผ่านสงครามมาหลายหน แต่เมื่อได้ยินว่าจะต้องลงไปในผืนน้ำเย็นเบื้องล่าง ก็อดมองหน้ากันมิได้  ผู้กล้าหาญย่อมไม่กริ่งเกรงสิ่งใด ไม่กลัวแม้ความตาย แต่กลับกลัวสิ่งหนึ่ง กลัวสูญสิ้นฝีมืออันภาคภูมิใจไปก่อนการสู้รบ  สายธารแห่งอิลห์ลารินนั้นดับสิ้นทุกสิ่งแห่งเปลวเพลิง ไม่มีมังกรแห่งคอนเชียร์ตนใดรอดมาได้จากสารธารเย็นยะเยือกนั่น ไม่มีมังกรตนใดเฉียดใกล้ผืนน้ำกว้างนั่น เพราะหากสูญสิ้นฝีมือแล้วไซร้ ย่อมยิ่งกว่าตายทั้งเป็น

          “กล่าวกับท่านตามตรง วิธีของเรานั้นเสี่ยงอย่างยิ่ง ด้วยเราเองไม่แน่ใจว่าหากกระทำแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อมังกรไฟแห่งคอนเชียร์บ้าง”

          “จะทรงใช้วิธีใดเล่า?”

          อัสรานเอ่ยอย่างใคร่รู้ เพราะยังนึกไม่ออก วิธีใดสามารถนำคนของพระองค์ลงไปในสายน้ำเย็นนั้นได้ องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเอ่ยขึ้น

          “โลหิตแห่งเรานั้นมีคุณสมบัติชั่วคราว ทำให้ผู้อาศัยอยู่บนบกแปรสภาพระบบหายใจไปเป็นแบบชาวบาดาลได้หากดื่มกินลงไป แต่ผลข้างเคียงนั้นเรามิอาจระบุ…. เนื่องเพราะพวกท่านมีสภาพร่างกายแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง เราเกรงว่าอาจมีผลข้างเคียงถึงชีวิต”

                ผู้อยู่ที่นั่นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที แม้แต่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เองก็ยังอึ้งไปครู่หนึ่ง ดังนั้นฝ่ายเดิมจึงยังเอ่ยปากต่อ

          “เรามิต้องการให้ท่านลำบากใจกับเรื่องนี้ เพราะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง หากท่านปฏิเสธคำขอของเรา เราก็มิเคืองอันใดท่านเลย”

          “เราความจริงอยากช่วยเหลือท่านมาก”

          องค์อัสรานกล่าว สีหน้ายุ่งยากใจ

          “แต่มิทราบจักมีผู้ใดกล้าเสี่ยงเช่นนั้น”

          “ข้าพเจ้าอาสาเอง”

                ผู้เอ่ยปากมิใช่ใครอื่น เป็นผู้ที่คาดไว้ตั้งแต่แรก อัสธาราธก้าวขึ้นมาจากแถวทางด้านหลังของผู้เป็นพี่ชาย เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน นัยน์ตาสีมรกตดวงนั้น ปลุกเร้าความกลัวในตัวของเขาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ยังยืนหยัด

          หากหวาดกลัวกับเรื่องเท่านี้ เมื่อใดเล่าจักลบความอัปยศที่เกิดขึ้นได้

          “นี่มากเกินไปแล้ว”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตรัสออกมาทันที ก่อนจะกล่าววาจาอย่างจริงจัง

          “เรามิได้หวังนำพาเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ไปเสี่ยงชีวิต นี่คล้ายเกินความรับผิดชอบของเรา ย่อมมิอาจนำพาท่านไปได้”

          อัสธาราธกล่าวสวนทันที

          “ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวในนามเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ แต่กล่าวในนามมังกรตนหนึ่ง ท่านเคยมีบุญคุณช่วยเหลือข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ายังมิเคยได้ตอบแทนบุญคุณนั้น ซ้ำยังกระทำการล่วงเกินท่านไว้ในคราวก่อน ด้วยเหตุนี้ สมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะนำพาข้าพเจ้าไป”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์นิ่งไปพักหนึ่ง รอบข้างพลอยเงียบไปด้วย ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เนื่องจากอัสธาราธไม่เคยประกาศ และหลังจากเล่าให้ผู้เป็นพี่ชายฟังแล้ว อัสรานเองก็ไม่ได้บอกต่อผู้ใดอีกนอกจากพี่สาว ดังนั้นทุกคนในที่นั่นจึงรู้สึกงุนงงสงสัย

          “ในเมื่อกล่าวเช่นนั้น เราคงมิอาจขัดท่านได้”

          ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินเอ่ยขึ้นในที่สุด เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก อัสรานแม้ห่วงน้องชายเป็นอันมาก แต่เข้าใจด้วยเหตุผล จึงได้เอ่ยถามออกไป

          “เจ้ายังต้องการให้ผู้ใดติดตามไปอีกหรือไม่?”

          กล่าววาจานี้กับน้องชายโดยตรง อัสธาราธสั่นศีรษะ ก่อนหันไปมองพระพักตร์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอีกรอบ

          “ทรงต้องการกำลังทหารเท่าไรเล่า ครึ่งกองพันได้หรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มออกมา

          “ครึ่งกองพันเกรงว่าเลือดเรานั้นคงมิพอจะหลั่งออกมาได้ คงสักร้อยตนพอเถิด”

                อัสธาราธระบายลมหายใจออกมา

 
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 3/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-07-2012 20:24:24
         “แม้ท่านอาจมิใคร่เชื่อถือข้าพเจ้าเท่าไรนัก แต่ข้าพเจ้ากล่าวคำสัตย์ ตัวข้าพเจ้านี้เทียบเท่าทหารครึ่งกองพัน”

          วาจาเหมือนยกตนสูงส่ง แต่นี่เป็นความจริงที่ทุกคนในคอนเชียร์ยอมรับ กำลังของอัสธาราธเทียบเท่ากองพันมังกรชั้นสูงหนึ่งก่องพันจริง มิเช่นนั้นไหนเลยองค์กษัตริย์อัสรานจะไว้วางใจให้ดูแลแนวชายแดนที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกบุกรุก ถึงอย่างนั้นในสายตาชาวบาดาลเล่า คำพูดนี้จะเชื่อถือได้หรือ ในเมื่อทรงเป็นผู้ช่วยเหลืออัสธาราธจากห้วงวิกฤต ย่อมต้องรู้สึกว่าเจ้าชายผู้นี้ไม่เข้มแข็งเท่าใดนัก

          “เราเชื่อถือท่านจากใจจริง”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าว คล้ายสร้างความแปลกใจแก่ผู้ฟังอยู่บ้าง จึงได้เอ่ยเฉลย

          “เจ้าเคยผจญกับผู้พิทักษ์แห่งเรามาแล้ว และต่อสู้อย่างกล้าหาญ เราไหนเลยจักมิยอมเชื่อ ต่อให้กล่าวเทียบเท่าหนึ่งกองพัน ก็ไม่รู้สึกน่าเกลียดเลย”

          คราวนี้อัสธาราธเกิดอาการตกประหม่าเสียเอง คาดไม่ถึงองค์กษัตริย์จะตรัสเยินยอออกมาเช่นนี้ ถึงกับคุกเข่าลง เอ่ยวาจา

          “ทรงอย่าได้ยกข้าพเจ้าสูงเช่นนั้น ข้าพเจ้าบังเกิดความละอายยิ่ง เพียงหวังว่าจักสามารถช่วยท่านได้โดยมิต้องรบกวนผู้อื่น ข้าพเจ้าเพียงหวังจะรับผิดชอบเรื่องแต่เพียงผู้เดียว”

          “เราชื่นชมท่านมีความรับผิดชอบ ลุกขึ้นเถิด”

          กล่าวจบหันมาตรัสกับองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์

          “เราคล้ายต้องขออภัยท่านอย่างยิ่งที่ไม่ได้เรียนให้ทราบเรื่องการพบกับระหว่างเรากับน้องชายท่านก่อนหน้าเลย”

          “มิได้ นี่ล้วนความผิดพลาดของอัสธาราธทั้งสิ้น”

          อัสรานกล่าว มองดูน้องชายด้วยความรู้สึกสับสนปนเป

          “เรายินดีให้อัสธาราธติดตามท่านไปยังใต้ผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน มิว่าเขาจะเป็นหรือตาย เราจะไม่เคืองท่านเลย เนื่องเพราะ ชีวิตของอัสธาราธถูกท่านช่วยเหลือไว้”

          “ทรงเข้มแข็งยิ่ง”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำกล่าวพลางย่อกายถวายความเคารพ

          “เรารบกวนท่านอย่างยิ่งแล้ว ดังที่ได้กล่าว เรามิอาจประกัน หากดื่มโลหิตเราไปแล้วจะเกิดเหตุประการใดขึ้น หากน้องชายท่านสิ้นชีวิต เราจักจัดขบวนให้สมเกียรติ”

          อัสรานฝืนยิ้ม มองดูน้องชายด้วยสายตาเศร้าสร้อย

          “เราหวัง จักไม่เป็นเช่นนั้น เราอยากให้น้องชายเราแทนบุญคุณท่านก่อน ได้ลบความอับอายในหนหลัง เช่นนั้นคาดว่าหากตายไปคงไม่มีสิ่งใดติดค้าง ใช่หรือไม่?”

          “ข้ากลับมาแน่นอน”

          อัสธาราธเอ่ยกับพี่ชายเสียงหนักแน่น กระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นรู้สึกสะทกสะท้อนขึ้นมา ใยนี่มิใช่การหลอกตัวเองเล่า เลือดของมังกรน้ำนั้นผู้ใดเคยทดลองดื่ม มิใช่เย็นยะเยียบอย่างยิ่งหรือ หากกินเข้าไปมิต้องถูกดับไฟภายในจนหมดสิ้นหรือ แม้ลงไปได้ แล้วจะอย่างไรเล่า พลังอำนาจที่มีอยู่จะรักษาไว้ได้หรือ กับความสูญสิ้นทุกอย่างเช่นนั้น ผู้กล้าหาญใดจะทนได้เล่า  หากมิตายเสียก่อนย่อมคล้ายตายทั้งเป็นอยู่ดี ดังนี้ท่ามกลางความปวดร้าว หลายผู้นึกขอบคุณเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ อย่างก็ยอมเสียสละตนเองเพียงผู้เดียว ลงไปในน้ำเย็นลึกนั่น รักษาไมตรีน้ำมิตรระหว่างสองอาณาจักร และชีวิตของไพร่พลเอาไว้ ทุกคนทราบ แม้กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินจะนอบน้อม มารยาทงดงามยิ่ง ไม่เคยแสดงความอาฆาต แต่หากทรงพิโรธ คอนเชียร์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวไฉนเลยจะต้านทานพระองค์ได้  นี่นับเป็นการสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของเชื้อพระวงศ์แห่งคอนเชียร์  โดยมิทันได้ตกลงกัน เสียงเอ่ยสรรเสริญก็ดังขึ้น

          “ขอเชื้อสายแห่งซาร์เกวนส์ทรงพระยศเลอเลิศสืบต่อไปด้วยเถิด ท่านผู้น้องชายทำคุณแก่แผ่นดินคอนเชียร์นี้ยิ่งแล้ว”

          อัสรานรู้สึกตีบตันในลำคอ คล้ายอยากกล่าวสิ่งใดมิอาจกล่าวได้โดยง่ายดายแล้ว กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงเอ่ยขึ้น

          “เราจักลงไปรอริมหาด หากท่านพร้อม โปรดไปพบเราที่นั่น”

          ตรัสจบเสด็จออกพร้อมเหล่าบริวาร คล้อยหลังไปได้พักใหญ่ องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์จึงระบายลมหายใจออกอย่างหนักหน่วง

          “มิน่าเล่า ท่านจึงใช้ให้ข้าไปพบท่านพี่หญิงก่อน คาดไว้แล้วหรือว่าข้าจะกระทำการเช่นนี้”

          อัสธาราธเอ่ยขึ้น ผู้เป็นพี่ชายพยักหน้า

          “เราทราบนิสัยเจ้าดียิ่ง  อัสธาราธเอย เราเกรงสูญเสียเจ้ายิ่งกว่าผู้ใด แต่นี่คือประสงค์ของเจ้า และเราไม่ปรารถนาทำลายความกล้าหาญนี้”

          ทรงหยิบเครื่องประดับศีรษะคล้ายแป้นหนีบผมเรือนทองตกแต่งอย่างวิจิตรที่ประดับพลอยสีแดงสดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ประคองให้แก่น้องชาย

          “เจ้ามิเคยชื่นชอบประดับสิ่งใดไว้บนศีรษะ แต่ครั้งนี้เราขอร้องเจ้าแล้ว จงประดับสิ่งนี้ไว้ให้ติดตัวอย่าได้ห่าง เพื่อเป็นตัวแทนเรา”

          อัสธาราธรับเครื่องประดับนั้นจากมือพี่ชาย ฝืนยิ้ม

          “ท่านใยคล้ายแน่ใจ ข้าจะไม่หวนกลับมาอีก เอาเถิดข้าจะติดเอาไว้”

          พลางเหน็บเครื่องประกับนั้นเข้ากับเรือนผมสีแดงเพลิง กษัตริย์อัสรานยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ จึงกล่าวคำพูดออกมา

          “อัสธาราธน้องเรา เราภูมิใจในตัวเจ้า ภูมิใจเสมอมา ไม่ว่าเมื่อไหร่อย่างไร เจ้าคือน้องชายของเรา น้องชายที่เรารักยิ่ง แม้จากไปในครานี้ทำเราโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่เรามิเสียใจ ไม่เสียดายที่ได้เกิดร่วมสายเลือดกับเจ้า”

          ก้อนแข็งประหลาดบีบขึ้นมาตีบตันลำคอของอัสธาราธบ้างแล้ว ตลอดมาเขารังเกียจการล่ำลาเช่นนี้เป็นที่สุด เนื่องเพราะแลดูคล้ายลางร้าย แลดูคล้ายลาแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนมา จึงเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายและกล่าววาจา

          “กล่าววาจาเช่นนี้ข้ามิชื่นชอบเลย ควรกล่าวสั้นๆ พบกันคราหน้า ข้าจะขอไปแช่น้ำในอ่างท่านให้สำราญสักหลายวัน”

          แม้จะอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า แต่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ก็อดแย้มพระโอษฐ์ออกมาไม่ได้ ยกพระหัตขึ้นลูบศีรษะผู้เป็นน้องชายอย่างเอ็นดู

          “กลับมาเถิด เราจะยกให้เจ้าใช้ตามพอใจเลย”
 
-------------------------------------

          ขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้ในที่มืดครึ้มอย่างชายหาดอันเป็นส่วนเชื่อมต่อ ห่างไกลแสงสว่างจากก้อนลาวาสีแดง และไร้แสงจันทร์ในคืนเดือนมืด แต่กระนั้นก็หามิยาก เนื่องเพราะดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโชนอยู่ภายในโคมไฟวิจิตรที่เหล่าผู้ตามขบวนเสด็จนำติดตัวมาด้วย อัสธาราธก้าวเท้าย้ำลงบนทรายละเอียด ตรงไปยังชายหาดอันเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินนั้น ก่อนหันมองแสงเพลงของภูเขาไฟที่ปะทุอยู่เบื้องหลัง นี่อาจะเป็นภาพของคอนเชียร์ภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็น  ยืนจารึกภาพนั้นอยู่ในความทรงจำครู่หนึ่งจึงได้เดินต่อ ในที่สุดก็พบขบวนเสด็จกับลังรออยู่ริมน้ำ

          “ขอบใจเจ้าอย่างยิ่ง”

          น้ำเสียงกังวานอย่างแก้วผลึกเอ่ย องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินประทับอยู่ใจกลางขบวน ผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นมังกรหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาโดยไม่มีผู้ติดตามอื่นอีก

          “ยังลำบากใจการพบปะเราอยู่หรือไม่?”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมาอย่างไม่อำพราง อัสธาราธผงกศีรษะ

          “กล่าวด้วยความสัตย์ ข้าพเจ้าตอนนี้ยังหวั่นกลัวพระองค์อยู่ แม้ทราบไม่มีอันใดน่าหวั่นกลัว แต่ข้าพเจ้ายังคงสั่นยามได้พบพระองค์”

          องค์กษัตริย์ระบายลมหายใจออกมา นิ่งมองเจ้าชายหนุ่มเนิ่นนานยิ่ง กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเอ็นดูระคนสงสาร

          “เป็นเราผู้ใหญ่คล้ายรังแกเจ้าไว้มากอย่างยิ่ง ปิ่นปักผมนั้นเล่า เก็บไว้อยู่หรือไม่?”

          อัสธาราธหยิบห่อผ้าใยหินห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แบะอ้าออก ปิ่นสีดำสนิทประดับอัญมณีสีน้ำเงินปรากฏสะท้อนแสงของแสงจากดวงโคมเป็นประกายสีแปลก

          “ถวายคืนแด่ท่าน เครื่องประดับนี้สูงค่ายิ่ง ข้าพเจ้ามิอาจรับไว้”

          “เจ้ามิพึงใจ? หรือปิ่นประดับนี้มิใคร่ถูกใจเจ้า?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ ทรงกล่าววาจาต่อ

          “เช่นนั้นเก็บไว้เถิด เรากำนัลให้แก่เจ้าแล้ว ย่อมไม่ต้องการรับคืน เว้นเสียแต่เจ้ารังเกียจมันยิ่ง”

          “ข้าพเจ้าไม่ได้รังเกียจ!”

                อัสธาราธเอ่ยค้าง เมื่อประสบสายตาสีมรกตที่มองมานั้นคล้ายถูกอำนาจประหลาด คุกคามจนต้องยินยอมเก็บปิ่นนั้นไว้ในอกเสื้อ

          “หากเจ้าสิ้นชีวิตลงคืนนี้ เราย่อมยังกำนัลปิ่นนั้นไว้บนร่างของเจ้า เพื่อเป็นตัวแทนเรา”

          ทรงเอ่ยพลางสรวลเบาๆ มิทราบขบขันเรื่องใดแน่ อัสธาราธขมวดคิ้ว

          “ข้าพเจ้าต้องมิตายง่ายๆ พระองค์เล่า เตรียมการไว้หรือยัง?”

                วาจาอาจหาญท้าทาย คาดมิถึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่เคารพและทรงอำนาจยิ่ง กระนั่นคล้ายยิ่งทำให้ทรงพระสรวลมากกว่าเก่าอีก

          “เรารู้สึก เจ้าน่าเอ็นดูนัก น่าเสียดายหากต้องตายกับโลหิตเรา เอาเถิด เราลั่นวาจาจะไปแก้ไขปัญหาที่ชายแดนแล้ว เจ้าได้เสนอตนมาเพื่อการนี้ ย่อมมิสำนึกเสียใจทีหลัง?”

          “ข้าพเจ้ามิเสียใจ”

          นัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์อย่างประหลาดท่ามกลางแสงไฟสีน้ำเงิน ทรงเอ่ยเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งซึ่งก้าวออกมาพร้อมแก้วรูปร่างประหลาด คล้ายทำจากหินใต้น้ำสีดำสนิทเป็นทรงถ้วยขนาดเล็กก้านสูง ปลายกลับเป็นลายสลัก คาดว่ามิถูกสร้างมาเพื่อให้ถือได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้คุกเข่าลงตรงหน้าองค์กษัตริย์ ทรงยกพระหัตซ้ายขึ้น เลิกอาภรณ์ที่หุ้มคลุมออก ผิวผุดผาดกระจ่างตายิ่งกว่าแสงใดปรากฏขึ้นบนท้องแขนนั้น ยื่นพระหัตอีกข้างหนึ่ง จิกเล็บลงไปบนเนื้อแขนผ่อง กรีดลงจนถึงข้อศอก โลหิตสีประหลาดไหลเนิบผ่านท้องแขน หยดลงในแก้วสีดำ สีของมันคล้ายสีน้ำเงินของผืนน้ำ คล้ายสีประกายของท้องฟ้า คล้ายสีเงินพราวของเมล็ดทราย ดูไม่ออกว่าเป็นสีใดแน่ อัสธาราธยืนดูจนตะลึงไปแล้ว คล้ายได้ยินองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเปรยด้วยความขบขัน

          “คล้ายเราบริโภควิปริต เลือดไฉนสีประหลาดเยี่ยงนี้”

          มิทราบจะมีผู้ใดกล้าหัวเราะกับมุขตลกนี้หรือไม่ มีเพียงผู้หนึ่งเอ่ยตอบ

          “พระองค์มิเคยหลั่งโลหิตมาก่อน อย่าได้เป็นกังวล โลหิตแห่งกษัตริย์ย่อมมีสีผิดแผกไปบ้าง”

          ผู้เอ่ยมิใช่ใครอื่น ย่อมเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดนามอูห์รูนที่หมอบรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆ ทรงพระสรวลขึ้นอีก

          “จำได้คลับคลา ในกาลก่อนมิได้มีโลหิตสีนี้ เอาเถิด ร่ายกายต่างภายในย่อมต่างบ้าง อืม..แค่นี้คงเพียงพอ”

          กล่าวจบคล้ายโลหิตสีประหลาดนั้นหยุดไหลเองโดยฉับพลัน แผลอันเป็นรอยครูดสมานกันอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ผิวท้องแขนนั้นกลับไปเรียบเนียนคล้ายไม่เคยมีร่องรอยใดเลย ทรงตรัสขึ้น

          “ถึงคราวเจ้าแล้ว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ ทดลองดูเถิดโลหิตเราถูกปากหรือไม่?”

          ผู้รับใช้ประคองแก้วประหลาดนั้นมาตรงหน้าเจ้าชายหนุ่ม อัสธาราธแม้รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ปลุกปลอบใจ อย่างไรจักต้องผ่านด่านหน้านี้ไปให้ได้ รับแก้วนั้นมา มองดูของเหลวภายในอย่างพินิจ

          ของเหลวคล้ายมีชีวิต สีเลื่อมพรายที่สับสนปะปนกันไปหมด นึกเห็นด้วยกับคำตรัสขององค์กษัตริย์ แต่ท่าทางเขาเองจะกลายเป็นผู้บริโภควิปลาส ที่กำลังพยายามกล้ำกลืนฝืนกินของเหลวนี้ พลันนึก องค์กษัตริย์จะเคยบริโภคเลือดร้อนระอุของมังกรแห่งคอนเชียร์บ้างหรือไม่

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงเหลือบมองผู้ยิ่งใหญ่ที่หยัดยืนอยู่เบื้องหน้า ประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตอย่างจัง แม้จะปลุกปลอบขวัญมาเท่าไหร่ ก็มิอาจลบเลือนภาพแห่งความหวาดกลัวที่ฝังใจนั้นได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตาดังกล่าว เจ้าชายหนุ่มจึงยกแก้วนั้นขึ้น กลั้นใจดึ่มลงไปรวดเดียวหมดสิ้น

          ความรู้สึกเย็นวานจนทุกข์ทรมานแทบตายปรากฏขึ้นมาฉับพลันราวถูกแท่งน้ำแข็งใหญ่เสียดแทงเข้าไปในช่องท้อง อณูความเย็นแผ่ขยายไปทุกปลายประสาท เจ็บปวดทรมานยากจะบรรยาย ภาพเบื้องหน้าพลันพร่ามัว เลอะเลือนราวภาพสะท้อนในสายน้ำ ณ ที่นั่น นัยน์ตาสีเขียวมรกตสะท้อนประกายแสงประหลาดอยู่ภายในหมู่ภาพกันเลื่อนลอย
 
---------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 4/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 04-07-2012 21:08:36
=[]= กริ๊กก ! ตูมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 4/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pnatbutter ที่ 04-07-2012 21:53:54
เป็นเรื่องที่อ่านจบแล้วอยากให้มีตอนพิเศษอ่านต่อมากเลยฮ้าฟ

//เข้ามาให้กำลังใจในการโพสต์
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 4/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 04-07-2012 22:07:11
ตกใจกับคำว่าจบตอน T T
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 4/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 04-07-2012 22:17:50
งืมมม มังกรไฟจะเปนไงบ้างหว่า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 4/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-07-2012 07:05:34
เล็งเห็นว่าคืนนี้มีแววจะลืมโพสเป็นแน่แท้.. เลยแอบมาโพสก่อนค่ะ (ไอ้เรื่องที่จบไปแล้วถ้าไม่ลงรวดเดียวเนี่ย.. มันลืมจริงๆ นะคะ=[]=!!)

ปล. ตอนพิเศษจะมีในรวมเล่มค่ะ (เหมือนนั่งๆ อยู่แล้วมันผุดขึ้นมาเพียบเลยล่ะ หุๆ)

-----------------------------------
6: ดำำดิ่งสู่ท้องธารา

          เจ้าชายอัสธาราธ

น้ำเสียงอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบา ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน อัสธาราธรู้สึกร่างกายเบาหวิว คล้ายเป็นเส้นขนนกบางเบา ลอยล่องอยู่ในอากาศ นี่คือสภาพหลังความตายหรือ? คล้ายเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนมิไดรู้สึกเช่นนี้เลย ตอนนั้นทั้งรู้สึกหนักอึ้ง เจ็บปวด หวาดกลัว มีเพียงความดำมืดแห่งห้วงน้ำที่ไหลโอบล้อม แต่ครั้งนั้นเขายังรอดชีวิตมาได้  ครั้งนี้เล่า?

“เจ้าชายอัสธาราธ”

น้ำเสียงเดิมเอ่ยเรียกอีก คราวนี้เจ้าชายหนุ่มมีสติแจ่มใสขึ้น ปรือเปลือกตาเปิดอ้าออก พลันพบเห็นนัยน์ตาสีมรกตกำลังจ้องลงมาอยู่ ทำให้ผงะอย่างลืมตัว

“อา....ยังรู้สึกตัวดีอยู่หรือไม่ เราเป็นผู้ใด?”

          คิ้วสีแดงหนาบนผิวสีน้ำผึ้งขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ถึงกระนั้นก็ยังตอบคำถามออกไป

          “องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน ใช่หรือไม่?”

          รอยยิ้มงดงามผุดขึ้นบนใบหน้านั้น พลางกล่าวต่อ

          “แล้วเจ้าเล่า เป็นผู้ใด?”

          คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันอีก ตอบคำถามไป

          “ย่อมต้องเป็นเจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์ พระองค์ไฉนตรัสคำถามแปลกๆ”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ระบายยิ้มบนใบหน้าอีกรอบ มองไปอบอุ่นชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง

          “เรากลัวเจ้าเสียสติหลังดื่มโลหิตเรา เจ้าล้มลงคล้ายมิอาจหายใจบนบกได้อีก เราจึงนำเจ้าสู่ผืนน้ำ”

                มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกร่างกายเบาหวิวนัก ทันใดนั้นมังกรหนุ่มพลันรู้สึกตัวเต็มที่ ที่หนุนศีรษะอ่อนนุ่มเบาสบายนี้มิใช่สิ่งอื่น แต่กลับเป็นตักขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน อัสธาราธรีบพรวดพราดลุกขึ้นทันที ก่อนจะเซถลาอย่างตั้งตัวไม่ได้ เบื้องหน้าเห็นเป็นผืนน้ำมืดสนิท มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมคว้าข้อมือของเขาไว้

          “ไฉนจึงลุกอย่างไม่ระวังเช่นนี้ เจ้ามิเคยท่องใต้ผิวน้ำ ย่อมมิอาจกะน้ำหนักได้ถูกต้อง พลาดพลั้งร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนไปในเวิ้งน้ำนี้แล้ว ผู้ใดจะตามตัวเจ้ากลับมาเล่า”

          นัยน์ตาสีแดงของอัสธาราธยังคงส่งประกายแตกตื่นเสียขวัญ ห้วงน้ำลึกนี้ครั้งหนึ่งเคยเกือบพรากไฟชีวิตของเขาไป องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเห็นดังนั้นจึงนึกสังเวชในตัวมังกรหนุ่มยิ่ง แม้หวาดกลัวเช่นนี้ ยังดึงดันจะตามลงมา ดังนั้นจึงดึงตัวเจ้าชายแห่งคอนเชียร์เข้าไปแนบพระอุระโดยจับหันหน้าไปยังส่วนหัวของตัวมังกรที่อาศัยนั่งอยู่ พลางโอบกอดไว้หลวมๆ

          “เช่นนี้พอรู้สึกอุ่นใจขึ้นหรือไม่ มิต้องเห็นนัยน์ตาของเรา มิต้องกลัวพลัดตก”

          อัสธาราธหัวใจเต้นแรง มิคาดหลังจากผ่านวินาทีแห่งความเจ็บปวดจากการดื่มโลหิตประหลาดนั้นแล้ว ยังต้องมาเผชิญห้วงน้ำที่เป็นดั่งฝันร้ายตามหลอกหลอน จะอย่างไรต้องรู้สึกแตกตื่นตกใจอย่างมิอาจห้ามได้ ยามนี้เจ้าชายหนุ่มนั่งตัวเกร็งอยู่ในวงแขนขององค์กษัตริย์ พยายามปลุกปลอบใจตัวเอง มองไปรอบๆ เห็นเพียงผืนน้ำดำมืด กับดวงไฟสีน้ำเงินน้อยๆ ตัดกับเงายาวพาดทับกันไปมา ผู้ตามเสด็จล้วนคืนร่างเดิมจนหมดสิ้น ถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกสงสัย

          “ไยพระองค์มิคืนร่างเดิมเล่า หรือปกติเดินทางด้วยร่างกลางเช่นนี้?”

          ผู้มีผิวสีน้ำผึ้งตัดกับเรือนผมสีแดงเพลิงเอ่ยถามพลางหันกลับมามองอย่างเคยชิน สบกับเนตรสีมรกตนั่นอีก พลันต้องหลบนัยน์ตา องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์กล่าวอย่างเอ็นดู

          “หากเจ้าตื่นมาพบเราอยู่ในร่างนั้น ไยมิหวาดกลัวจนเสียสติ เรามิอยากเห็นเจ้าเพ้อคลั่งเพราะดวงตาของเรา หากมองไม่ได้ไม่ต้องหันกลับ เราไม่เคยต้องการให้ผู้ใดฝืนสบนัยน์ตา”

          อัสธาราธอับจนคำพูดไปอีก รู้สึกองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีเมตตาต่อตนมากมายยิ่ง อับอายตนเองที่มิอาจฝืนทนสู้พระพักตร์พระองค์ได้ เพียงเพราะเหตุหวาดกลัวไม่เข้าเรื่องนั้น ยกมือขึ้นจับอาภรณ์เรียบลื่นอันหุ้มท่อนพระกรที่โอบไว้หลวมๆ พลางกล่าว

          “ข้าพเจ้าสัญญา จะหยุดหวาดกลัวท่านให้ได้ในเร็ววัน มิทำให้ท่านต้องเดือนร้อนเพราะเรื่องนี้อีก”

          “ความหวาดกลัวย่อมห้ามกันมิได้ เรามิได้เดือดร้อนอันใด อืม... หากจะมีเรื่องเดือดร้อนอยู่บ้างคงเป็นเจ้า โดยปกติเวลาในการเดินทางจากคอนเชียร์ไปวังของเรานั้น ไม่สั้นไม่ยาว เนื่องเพราะร่างมังกรเราใหญ่โตยิ่ง เพียงผู้เดียวนำพาคณะผู้ติดตามมาจนถึงคอนเชียร์เพียงไม่กี่อึดใจ แต่เพราะเหตุเราเกรงใจหวาดวิตกจนเสียสติ ดังนั้นไพร่พลจึงต้องเดินทางด้วยตัวเอง อาจกินเวลาหลายวันสำหรับการเดินทางนี้”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน คล้ายดั่งถูกผู้คนอุ้มอย่างเอ็นดูแล้วตีอย่างแรง อดมิได้ต้องหันมาอีกรอบ

          “เช่นนั้นทรงคืนร่างเดิม..”

          พูดได้เท่านั้นพอประสบกับสายตาสีเขียวมรกต พลันกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ในปาก องค์กษัตริย์ทรงพระสรวล

          “เยาว์วัยยิ่ง อืม เราจักเพิ่มความสนุกสนานให้เจ้าเสียหน่อย ระหว่างมองนัยน์ตาเราในร่างนี้ กับมองนัยน์ตาเราในร่างเดิม เจ้าเลือกอันใด?”

          “ข้าพเจ้าตอบตามตรง ไม่ต้องการเลือกสักอย่าง เพียงอยากกล่าว หากทรงคืนร่างเดิม ข้าพเจ้าจะปิดตาเอาไว้ รับรองไม่เสียสติแน่นอน”

          เสียงหัวร่อดังกังวานไปทั่วท้องน้ำดำมืด มังกรหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะถูกมือเรียวลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

          “ช่างพูดช่างจายิ่งนัก วาจาทารกของเจ้าคล้ายทำให้เรารู้สึกบันเทิงอยู่บ้าง”

          คำว่าทารกกระทบกับโสตประสาทพลันทำให้อัสธาราธรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก หันกายกลับมาโดยมินึกถึงสิ่งใดอีก

          “ข้าพเจ้ามิใช่ทารกน้อย ปีนี้ข้าพเจ้าอายุสองร้อยยี่สิบแล้ว อย่างไรนับเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง!”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์หัวร่อเสียงยาว คล้ายรู้สึกขบขันมากจริงๆ จนมิอาจหยุดยั้งเสียงหัวเราะนั้นได้ เนิ่นนานจึงได้กล่าว

          “ขออภัยหากเราแสดงกิริยาไม่สุภาพต่อเจ้า อืม... ดูคล้ายมังกรแห่งคอนเชียร์นั้นจะมีการนับอายุต่างจากชาวเราอยู่บ้าง บอกต่อเจ้า อายุสองร้อยกว่าปีของเจ้านั้น สำหรับเราน้อยนิดยิ่ง”

          คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันทันที ทรงเฉลยความต่อ

          “อายุขัยชาวบาดาลย่อมสูงกว่าพวกบนบก เพราะมิค่อยมีศัตรูมาก เจ้าทราบหรือไม่ ปีนี้เราอายุเท่าใด?”

          “เท่าใด?”

          อัสธาราธเอ่ยถาม แม้รู้ชาวบาดาลอายุยืนนัก แต่นึกไม่ออก จะอายุยืนขนาดไหน

          “คล้ายจะถึงสามพันปีแล้ว ตอนพระอัยกาเจ้าเกิด เราเคยไปร่วมงานด้วยซ้ำ”

          “ทรงอยู่มานานถึงเพียงนั้น!”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจ ผู้สูงวัยกว่าหัวร่ออีกครา

          “เข้าใจหรือไม่ สำหรับเรา เจ้าคล้ายทารกผู้หนึ่ง มิประสีประสาเรื่องใด”

                ถึงจะตกใจกับความจริงเรื่องอายุ แต่เจ้าชายหนุ่มยังมิยอมแพ้ ถือทิฐิตามประสาวัยรุ่น กล่าววาจาตอบโต้

          “สำหรับท่านเรารู้สึกคล้ายคนชราขี้เล่นผู้หนึ่ง อืม บางครั้งใจดีอย่างยิ่ง บางครั้งคล้ายต้องการหยอกเล่น”

          “เจ้าพูดมิผิด เราผู้เฒ่าชมชอบหยอกเย้าผู้คนจริงๆ”

          กล่าวพลางหัวเราะชอบใจยิ่งขึ้น ก่อกวนทิฐิในจิตใจมังกรหนุ่ม ให้เอ่ยวาจาโต้ตอบ

          “แต่ดูคล้ายร่างกลางเรามิต่างกันนัก ข้าพเจ้ายังดูสูงใหญ่กว่าท่านหลายส่วน”

          “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าร่างกลางเราเล็กกว่าเจ้า?”

          “ย่อมประเมินเอาจากสายตาได้”

          ผู้ถูกถามตอบฉะฉาน คล้ายลืมเลือนสิ้นเคยหวาดกลัวนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นอยู่ ท่าทางจะเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว องค์กษัตริย์แย้มยิ้มพริ้มพราย

          “งั้นทดลองดูหรือไม่ เรายืนเจ้ายืน หากเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริง เราจะยอมรับว่าเจ้ามิใช่ทารกน้อย”

          “ทดลองกัน”

          อัสธาราธเอ่ย พลันเหยียดกายลุกขึ้น และเซถลาไปเล็กน้อย แต่ด้วยความดื้อรั้น ไม่ต้องการฉวยข้อพระกรขององค์กษัตริย์ที่ยื่นเข้ามา พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง

          “จะให้เราเดินไปหาหรือเดินมาหาเราเล่า?”

          อัสธาราธเริ่มรู้สึกยุ่งยากลำบากใจขึ้นมาแล้วจริงๆ นี่อย่าว่าแต่เดิน แค่ยืนก็ลำบากอย่างยิ่ง หากให้ก้าวเดินมิเสียหลักล้มหงายลงไปหรือ ในสายน้ำนี้เรื่องการทรงตัวผิดจากบนบกลิบลับ หนำซ้ำยังอยู่บนหลังมังกรซึ่งเคลื่อนที่ไม่นิ่งสนิทเสียทีเดียว แต่ครั้นจะให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาก็ยิ่งเป็นเรื่องเสียหน้า

          “ข้าพเจ้าจะเดินไปหาพระองค์เอง”

          กล่าวพลางก้าวกระย่องกระแย่งอย่างไม่คุ้นชิน ทำเอากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหัวร่องอหงาย

          “ทารก เจ้าช่างทำให้เรารู้สึกสนุกนัก”

          คำว่าทารกนั้นยิ่งทำให้มังกรหนุ่มนึกฮึดสู้ขึ้นมาอีก คำว่าเด็กว่ารับยากแล้ว ถึงกับเรียกทารกย่อมเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้อย่างยิ่ง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถือทิฐิมานะก้าวย่างอย่างยากลำบากบนหลังมังกรไปหาองค์กษัตริย์

          ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินรู้สึกสนุกสนานกับการละเล่นนี้นัก เนิ่นนานแล้วที่พระองค์มิได้ทรงพระสรวลยาวนานเช่นนี้ ตอนนี้กำลังจดจ้องมังกรหนุ่มที่ก้าวด้วยท่าทางชวนขบขันเข้ามาใกล้ พยายามยั้งพระโอษฐ์ไม่ให้หัวร่อออกไปอีก ทรงเกรงอีกฝ่ายจะนึกโกรธเคืองขึ้นมาจริงๆ

          “อยากให้เราช่วยหรือไม่?”

          น้ำเสียงกังวานเอ่ยขึ้นอีกหน ฟังดูก็รู้ว่าอดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เพียงไหน อัสธาราธขมวดคิ้ว มิยอมปริปาก ทั้งไม่ย่อมสัมผัสมือเรียวที่ยื่นมาหาอย่างช่วยเหลือ องค์กษัตริย์เพียงแย้มยิ้ม มังกรหนุ่มตัวนี้มีร่างกลางน่าเกรงขามก็จริง ทั้งสูงใหญ่ ทั้งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ อีกทั้งสีผิวยังคล้ำตัดกับผมแดงเพลิง กะคะเนตามหลักอายุด้านบน คงไม่ใช่ทารกเท่าไร แต่สำหรับตัวพระองค์แล้ว นี่ถือเป็นทารกเพิ่งคลอดตนหนึ่ง

          ผู้ถือทิฐิเรื่องเพียงเท่านี้ ไหนเลยมิใช่ทารกน้อย

          แม้จะดูถูลู่ถูกังอยู่บ้าง แต่ในที่สุดอัสธาราธก็เดินมาถึงหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์ โดยใช้เวลานานพอสมควร ทั้งๆ ที่ตอนยืนนั้นถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าวเลย แต่ครั้นจะเดินมาหา กลับรู้สึกยุ่งยากยิ่ง คงเป็นเพราะต้องเดินทวนกระแสน้ำนี่เอง

          “ข้าพเจ้าคล้ายสูงกว่าท่านอยู่หรือไม่?”

          อัสธาราธเอ่ยปาก หลังพยายามที่จะเหยียดตัวให้ตรงที่สุดตรงหน้าพระพักตร์องกษัตริย์ ผู้ทรงอำนาจใต้บาดาลอดมิได้หัวร่อออกมาอีก ยามนี้ใบหน้าของพระองค์แทบจะชนกับแผ่นอกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็มิได้อนาทรแต่อย่างใด

          “อืม ร่างกลางเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริงอยู่ นี่คล้ายไม่ผิดที่เรา ร่างกลางผู้ใดเล่าเลือกสรรได้”

          “ท่านคล้ายมิกล้ายอมรับว่าเราแท้จริงเป็นบุรุษหนุ่มมิใช่เด็กทารก”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยกพระหัตขึ้นปิดพระโอษฐ์อย่างขบขัน เบือนพระพักตร์ขึ้นมามองมังกรหนุ่ม

          “เจ้า..อืม ดูสูงใหญ่ไม่คล้ายทารกน้อยจริง  งั้นเรามิเรียกเจ้าทารกน้อย แบบนี้สมควรเรียกทารกใหญ่จึงเหมาะสม”

          สีหน้าของอัสธาราธดั่งถูกบังคับให้กลืนกินน้ำแข็ง สรรค์หาถ้อยคำอยู่เป็นเวลานานยังมิอาจตอบโต้ได้ อีกฝ่ายจึงเอ่ยสืบต่อ

          “ไยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ไยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”

          ผู้ถูกถามพลันอับจนคำพูดอีก ขบคิดในใจ ไยจึงต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คำถามนี้คล้ายมิเคยไถ่ถามตัวเองมาก่อนจริงๆ มือเรียวยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าได้รูปอย่างเอ็นดู ประหนึ่งบุรุษตรงหน้าเป็นทารกน้อยผู้หนึ่งจริงๆ ทรงเอ่ยวาจาต่อ

          “เจ้ามิเคยหาคำตอบในความดื้อรั้นของตน? นี่มิใช่พฤติกรรมเด็กทารก? อืม.. เราคาดเจ้าคงต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เอาเถิด อย่างน้อยทารกเจ้าทำเราสำราญยิ่ง นานแล้วมิได้หัวร่อมากมายเพียงนี้”

          อัสธาราธรู้สึกอับอายมากจริงๆ ใคร่ปัดมือที่ลูบไล้อย่างนุ่มนวลนั้นออก แต่วาจาขององค์กษัตริย์นั้นให้ข้อคิดยิ่ง กระทำการเช่นนี้มิคล้ายผู้ใหญ่เลย ดังนั้นสุดท้ายจึงถอนหายใจ

          “ข้าพเจ้ายอมรับ ยังกระทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่จริง”

          “อา... เจ้าคล้ายหัวไวอยู่บ้าง”

          องค์กษัตริย์ตรัส พลางแย้มยิ้ม

          “ต้องการนั่งลงแล้วหรือไม่?”

          ยังมิทันได้ตอบคำถาม แรงสั่นสะเทือนแผ่พุ่งออกมาตามผืนน้ำที่ลอมรอบอยู่ บนหลังอูห์รูนพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างตกใจไม่มีเวลาคิดถึงสาเหตุ ตรงเข้าคว้าร่างบอบบางขององค์กษัตริย์โอบกอดไว้ในอ้อมแขน จ้องมองผืนน้ำรอบตัวที่แปรเปลี่ยนอย่างพิสดารด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก แรงกดมหาศาลแทบจะกระแทกให้ร่างเซถลาร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนอยู่หลายครา แต่อัสธาราธหยั่งเท้าลงอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจพิทักษ์องค์กษัตริย์ที่อยู่ในอ้อมกอดตามสัญชาติญาณ

          “เจ้ามิต้องกอดเราแน่นเช่นนี้ คล้ายทำเราหายใจลำบาก”

          ซุ่มเสียงใสเอ่ยขึ้นในอ้อมกอด ร่างแกร่งผงะ คลายอ้อมแขนออก พบเห็นรอยยิ้มชวนประทับใจกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่น

                “เรากำลังจะบอกเจ้า ว่าจะผ่านร่องน้ำใหญ่ คล้ายเอ่ยเชื่องช้าไปบ้าง จึงทำให้เจ้าต้องเผชิญเรื่องน่าหวั่นใจอีกคราหนึ่ง”

          พลางถอดถอนใจกับตัวเอง

          “อืม...เราเริ่มเชื่องช้าแล้ว ความชรานี้คล้ายมิรีรอผู้ใดเลย”

          “ย่อมมิใช่พระองค์ชราอย่างเด็ดขาด เป็นข้าพเจ้าพยายามเล่นมากจนเกินเหตุ หากนั่งลงอยู่แต่แรก คงไม่ต้องทรงเผชิญอันตราย”

          “อันตราย?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ย ก่อนจะพยักพระพักตร์ แย้มยิ้มอีกครา

          “เจ้าคล้ายต้องการปกป้องเรา? ห้วงน้ำหมุนวนนั่นใช่น่ากลัวอย่างยิ่ง? ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับคว้าตัวเราก่อน อืม... นับว่าเรามองเจ้าผิดไปอยู่บ้าง”

          ทรงนิ่งตรึกไปอีกพักใหญ่ ก่อนกล่าววาจา

          “เราว่าเจ้าเป็นทารกคล้ายมีผิดหลายที่ การกระทำเมื่อครู่ของเจ้าคล้ายผู้ห้าวหาญคนหนึ่ง แม้เขลาไปบ้าง ความจริงเจ้าควรทราบ ต่อให้เราร่วงหล่นลงไปในห้วงน้ำนั้น ก็มิสะดุ้งสะเทือนอันใดเลย ลืมเลือนแล้วหรือ เราคือผู้ใด?”

          อัสธาราธอ้าปากค้าง ในตอนนั้นเขาลืมเลือนไปชั่วขณะ แม้ร่างกลางจะดูบอบบาง แต่นี่คือองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือสายนทีแห่งอิลห์ลารินทั้งปวง การช่วยพระองค์จากสายน้ำ มีแต่ผู้โง่เขลาเท่านั้นจึงคิดออก

(อ่านต่ออีกประมาณ6รีพลายล่างนะคะ พอดีโพสขาดค่ะ ลืมค่ะ^^")
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 05-07-2012 08:35:09
แหม หยอกกันน่ารักเชียว หรือเปล่า 5555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 05-07-2012 08:43:44
ลุ้นอะ ลุ้นอะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: moneza ที่ 05-07-2012 09:08:55
 :-[ เหมือนอ่านนกยูงแดงเวอร์ชั่นนุ่มนวล 555555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: misso ที่ 05-07-2012 09:12:27
เอ ตอนล่าสุดนี่จบหรือยังน้อ ยังดูค้างคา ชอบตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันหยอกเย้ากันจัง :o8:

พอดีเห็นนิดนึง


          “ใยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ใยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”

ใช้ ไย ค่ะ

อันนี้พอดีไปเจอมา

ใย-ไย

          คำที่ออกเสียงว่า [ไย] ในภาษาไทยเขียนด้วยสระใอไม้ม้วนคำหนึ่งและสระไอไม้มลายอีกคำหนึ่ง มีความหมายต่างกัน

          ใย ที่ใช้สระใอไม้ม้วน หมายถึง สิ่งที่เป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ เช่น ใยบัว คือ เส้นบาง ๆ ที่อยู่ในก้านบัว. ใยแมงมุม คือ เส้นเล็ก ๆ ที่แมงมุมขึงไว้ดักเหยื่อ.  ใยฟ้า คือ เส้นละเอียดอ่อนมากจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งลอยอยู่ในอากาศ. นอกจากนี้ยังมีคำว่า ใยหิน หมายถึง แร่ชนิดหนึ่ง เป็นแร่ประเภทซิลิเกต มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทนไฟ จึงนำไปใช้ทำวัสดุทนไฟและฉนวนกันความร้อน. ใยสังเคราะห์ หมายถึง ใยที่ทำขึ้นจากวัสดุซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

          ส่วน ไย ที่ใช้สระไอไม้มลาย แปลว่า ไฉน อะไร ทำไม เช่น เรานัดกันไว้แล้วไยเธอไม่มา. นอกจากนี้ยังมี ไย ไม้มลายอีก เช่น ไยดี ไยไพ. ไยดี หมายถึง พอใจ ยินดี มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น เธอเดินจากเขาไปอย่างไม่ไยดี, ใครเขาจะมาไยดีกับคนอย่างเรา. ไยไพ หมายถึงพูดให้เขาอาย หรือเยาะเย้ย มีในบทกลอน เช่น จะเยาะเย้ยไยไพไปไยเล่า.

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182 (http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 05-07-2012 19:28:25
มาฝากตัวเป็นสมาชิกใหม่ของเรื่องนี้จ้า!!!
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tuang31007 ที่ 05-07-2012 21:06:51
ขอฝากตัวด้วยเจ้าค้าา ชอบเรื่องแนวนี้ที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 05-07-2012 21:13:24
 :-[
น่ารักอะ
มังกรตัวลื่น ชอบคำนี้มาก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 05-07-2012 21:32:15
สนุก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-07-2012 21:57:21
เอ ตอนล่าสุดนี่จบหรือยังน้อ ยังดูค้างคา ชอบตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันหยอกเย้ากันจัง :o8:

พอดีเห็นนิดนึง


          “ใยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ใยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”

ใช้ ไย ค่ะ

อันนี้พอดีไปเจอมา

ใย-ไย

          คำที่ออกเสียงว่า [ไย] ในภาษาไทยเขียนด้วยสระใอไม้ม้วนคำหนึ่งและสระไอไม้มลายอีกคำหนึ่ง มีความหมายต่างกัน

          ใย ที่ใช้สระใอไม้ม้วน หมายถึง สิ่งที่เป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ เช่น ใยบัว คือ เส้นบาง ๆ ที่อยู่ในก้านบัว. ใยแมงมุม คือ เส้นเล็ก ๆ ที่แมงมุมขึงไว้ดักเหยื่อ.  ใยฟ้า คือ เส้นละเอียดอ่อนมากจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งลอยอยู่ในอากาศ. นอกจากนี้ยังมีคำว่า ใยหิน หมายถึง แร่ชนิดหนึ่ง เป็นแร่ประเภทซิลิเกต มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทนไฟ จึงนำไปใช้ทำวัสดุทนไฟและฉนวนกันความร้อน. ใยสังเคราะห์ หมายถึง ใยที่ทำขึ้นจากวัสดุซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

          ส่วน ไย ที่ใช้สระไอไม้มลาย แปลว่า ไฉน อะไร ทำไม เช่น เรานัดกันไว้แล้วไยเธอไม่มา. นอกจากนี้ยังมี ไย ไม้มลายอีก เช่น ไยดี ไยไพ. ไยดี หมายถึง พอใจ ยินดี มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น เธอเดินจากเขาไปอย่างไม่ไยดี, ใครเขาจะมาไยดีกับคนอย่างเรา. ไยไพ หมายถึงพูดให้เขาอาย หรือเยาะเย้ย มีในบทกลอน เช่น จะเยาะเย้ยไยไพไปไยเล่า.

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182 (http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182)

ขอบคุณมากค่า~ >/<
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-07-2012 22:02:53
อ้าว เพิ่งเห็นว่าโพสขาดค่ะ ฮ่าๆ 30วิมีผลได้อีก (ฮือๆ เราอยากให้เพิ่มจำนวนตัวอักษรจังค่ะ เราโพสไม่เคยพอใน20kเลยอ่ะค่ะ TTATT)


   “ข้าพเจ้าคล้ายแสดงความเขลากับท่านบ่อยครั้งแล้ว”
   
ทรงโบกพระหัตอย่างไม่ถือสา แย้มยิ้มกล่าว

   “ย่อมมิใช่สิ่งผิด เจ้ามิเคยลงน้ำ ย่อมรู้สึกอันตรายไปบ้าง กระนั้นยังมีจิตใจช่วยเหลือเราผู้เฒ่า เรายอมรับ เจ้าเป็นเด็กโตผู้หนึ่ง และย่อมโตไปเป็นผู้ใหญ่ดีเยี่ยม”

   เหม่อมองใบหน้าผุดผาดนั้นอยู่นาน ด้วยความรู้สึกคล้ายถูกตบสั่งสอนเบาๆ เอาเถิด เด็กย่อมโตกว่าทารก สักวันหนึ่ง คงมองเห็นเป็นผู้ใหญ่บ้าง

   ผู้มีดวงตาสีมรกตคล้ายมองความคิดนี้ออก เอ่ยถ้อยคำหยอกเย้า

   “เด็กย่อมดีกว่าทารกใช่หรือไม่? อืม.. เรารู้สึก ยามเจ้าถือทิฐิคล้ายลืมเลือนความหวาดกลัวทุกอย่างชั่วคราว จ้องตาเราเช่นนี้ ไม่รู้สึกอันใดแล้ว?”

   อัสธาราธสะดุ้ง รู้สึกตัวทันทีว่ากำลังจ้องมองดวงตาสีมรกตนั้นอยู่ ทันใดนั้นคล้ายถูกจับโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็ง รู้สึกสั่นกลัวขึ้นมาอีกครา ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่ออีกรอบ

   “เด็กน้อยเอย เด็กน้อยเอย.. เราไหนเลยไม่เอ็นดูเจ้าอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่มีที่ใดให้แอบอิง เราจักไม่ทิ้งเจ้าเอาไว้ในสายธาร”

   คล้ายกับเป็นบทกลอนง่ายๆ ทรงเอ่ยซ้ำอยู่หนสองหนและทดลองใส่ทำนอง นัยน์ตาสีมรกตปรากฏแววยินดี

   “เพลงนี้ฟังดูไม่เลว เจ้าว่า?”

   ทรงเอ่ยถาม อัสธาราธทั้งไม่พยักหน้า ทั้งไม่สั่นศีรษะ เพียงกล่าวเบาๆ

   “ข้าพเจ้ามิทราบ ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการนั่งลงแล้ว”

   องค์กษัตริย์มีสีหน้าแปลกพระทัย ก่อนหัวร่ออีก

   “อ่า... ผู้ไม่คุ้นชินเมื่อยืนแล้วย่อมนั่งลงลำบาก เอาเถิด นี่มิใช่เรื่องน่าอาย เราจักช่วยเหลือเจ้า”

   กล่าวพลางฉวยมือของอีกฝ่ายไว้และฉุดให้นั่งลง เวลานั้นคล้ายสายน้ำหยุดไหลชั่วครู่ จากทีทรงกายลำบาก กลับทรุดตัวลงนั่งได้ง่ายๆ

   “ทรงควบคุมกระแสน้ำได้?”

   มังกรหนุ่มเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พลางเหลียวมองไปรอบๆ องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์

   “ย่อมได้ ในสายธาราแห่งอิลห์ลารินนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เราผู้เป็นราชากระทำมิได้”

   “อย่างนั้น... เร่งเร้าสายน้ำช่วยนำพาพวกเราไปยังปราสาทของท่านให้รวดเร็วขึ้นได้หรือไม่?”

   อัสธาราธเอ่ยถามต่อ ครานี้ส่งส่ายพระพักตร์

   “เรื่องนั้นคล้ายมิใคร่อยากกระทำนัก เราเกรงหากเร่งเร้าสายชลมากเกินไป อาจนำพาเด็กเจ้าพลัดหลงระหว่างทาง นี่เราก็เร่งอยู่ หรือเจ้าคิด สายน้ำไหนเลยไหลรวดเร็วเพียงนี้”

   เจ้าชายหนุ่มฝืนยิ้ม

   “ข้าพเจ้าเข้าใจ น้ำที่ใดก็ต้องไหลแรงเช่นนี้”

   ทรงเงยขึ้นมองอย่างรู้สึกสำนึกผิดบ้าง

   “หากมีเวลา เราจะพาเจ้าท่องไปในที่ที่กระแสน้ำมิไหลเชี่ยว เจ้าสมควรทราบ ในพื้นน้ำนี้ยังมีสิ่งสวยงามอีกมาก”

   “ข้าพเจ้าทราบ ใต้พื้นน้ำมีสิ่งสวยงาม”

   อัสธาราธเอ่ย ผู้ทรงศักดิ์หันมองอย่างแปลกใจ

   “เจ้าหวาดกลัวท้องน้ำแห่งเราเป็นอย่างยิ่ง แม้ลืมตามองยังยากลำบาก ไฉนกล้ากล่าว ใต้พื้นน้ำมีสิ่งสวยงาม”

   “เนื่องเพราะพระองค์อยู่ใต้พื้นน้ำ”

   ทรงนิ่งอึ้งคล้ายงุนงงสงสัยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา

   “เจ้าช่างสรรค์หาวิธีชมโฉมของเราได้พิสดารยิ่ง อืม.. นี่หายหวาดกลัวเราแล้ว?”

   “กล่าวตามตรง ไม่รู้สึกหวาดกลัวน้อยลงเท่าไหร่เลย”

   อัสธาราธตอบไปตามจริง แม้ตอนนี้ก็ยังรู้สึกร่างกายสั่นสะท้านอยู่ องค์กษัตริย์ขมวดคิ้วสีน้ำเงินเข้มเข้าหากัน

   “เช่นนั้นใยจึงอุตริชมโฉมเราเล่า?”

   “เนื่องเพราะหากมิหวาดกลัวนัยน์ตาท่าน ข้าพเจ้าย่อมต้องพูด ท่านนี้สวยงามยิ่ง ยามลงสู่พื้นน้ำ เส้นผมของท่านพลิ้วไหวคล้ายภาพลวง ก่อกวนให้ข้าพเจ้าชมดูจนตาลายแล้ว”

   “คล้ายต้องการกล่าว หากเราตาบอดสิ้นยังต้องงดงามกว่านี้มาก?”

   “มิได้ต้องการหมายเช่นนั้นเลย”

   เจ้าชายหนุ่มรีบตอบ พลันถูกอีกฝ่ายโบกมือ

   “ถึงเจ้าหมายก็อย่าหวังเราจะสละดวงตาให้ การมองเห็นอย่างไรย่อมดีกว่ารูปโฉม เราแม้อัปลักษณ์หากมีดวงตายังพอเห็นความสวยงามได้ หากมีรูปโฉมงามไร้ดวงตา โลกมืดบอด จะมีคุณค่าใดเล่า”

   “กล่าวได้ความหมายดียิ่ง ถึงอย่างไรแม้ข้าพเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาท่าน ก็ยังมิปรารถนาให้ท่านตาบอด เนื่องเพราะหากไม่มีดวงตานี้ ข้าพเจ้าคงไม่มีทางรอด.. ถ้าไม่เพราะท่านมองเห็นข้าพเจ้าในตอนนั้น ข้าพเจ้าไหนเลยมีโอกาสมากล่าววาจาโต้ตอบกับท่านเช่นนี้”

   “อืม.. นี้ต้องการเอ่ยขอบคุณเรา?”

   อัสธาราธพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

   “ข้าพเจ้าขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก แม้หวาดกลัวตัวสั่น แต่ข้าพเจ้าสำนึกบุญคุณท่านและรู้สึกผิดอยู่เรื่อยมา ต้องการเอ่ยให้ท่านเข้าใจ หากมีเหตุให้ชีวิตข้าพเจ้าต้องสูญสิ้นระหว่างกิจการในครานี้ ท่านมิต้องกังวลเสียใจ เพราะชีวิตข้าพเจ้านั้นคล้ายกลายเป็นของท่านตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

   “เจ้าเมาคลื่น?”

   องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยพลางขมวดคิ้ว ทำเอาอีกฝ่ายขมวดคิ้วตามไปด้วย

   “ข้าพเจ้ามิเมาคลื่น รู้สึกปลอดโปร่งสมองยิ่ง”

   “งั้นเราว่าสมองเจ้ามีปัญหา ใยเอ่ยวาจาไม่สมตัวเช่นนั้น”

   คราวนี้คิ้วสีแดงของอัสธาราธขมวดเข้าหากันอย่างจริงจัง

   “ข้าพเจ้าเอ่ยวาจาจากใจจริง ไฉนท่านกลับคิดสมองข้าพเจ้ามีปัญหา หรือท่านไม่เชื่อถือวาจาทารก?”

   ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มออกมา พลางกล่าว

   “เจ้าเด็กน้อยยอมรับตนเป็นทารกแล้ว อืม... เราขออภัย มิได้ตั้งใจดูถูกน้ำใจเจ้า เราเพียงรู้สึก นี่มิใคร่เป็นวาจาที่เด็กเจ้าสมควรกล่าว ทราบหรือไม่ความหมายที่กล่าวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?”

   “แม้เรายังเล็กในสายตาท่าน แต่วาจาที่กล่าวนั้น เราล้วนเข้าใจและทำใจมาแล้วทั้งสิ้น หากมิคิดมาก่อนไฉนเลยกล้าดื่มโลหิตท่าน กล้าติดตามท่านลงมาในห้วงน้ำแห่งนี้”

   คล้ายองค์กษัตริย์อับจนถ้อยคำไปชั่วครู่ เนิ่นนานจึงระบายลมหายใจเป็นฟองคลื่นขาว

   “เราคล้ายนึกเอ็นดูเจ้าดั่งทารกมากไปจริงๆ ลืมเลือนว่าเจ้ากล้าหาญยิ่ง แต่ยังมิต้องกล่าววาจาเช่นนั้น ด้วยฐานะเราผู้เฒ่า ย่อมไม่ยอมให้เจ้าได้รับอันตรายอย่างไม่สมควรโดยเด็ดขาด”

   “อืม... แต่ท่านทดลองให้ข้าพเจ้าดื่มโลหิตท่านโดยมิรับรองความปลอดภัย วาจาของท่านยังเชื่อถือได้?”

   เจ้าชายหนุ่มสวนกลับ ทำเอาองค์กษัตริย์ถึงกับอึ้งไปนาน สุดท้ายจึงได้แค่นหัวร่อ

   “ร้ายกาจๆ สนทนากันไม่นานกลับค้นหาวาจาเรื่องราวมาตอบโต้สวนกลับเราได้หมดสิ้น”

   นิ่งไปพักหนึ่งจึงกล่าวสืบต่อ

   “แม้เราไม่มั่นใจ แต่รู้สึกอยู่ลึกๆ หากเป็นเจ้าย่อมไม่ถึงแก่ชีวิต”

   “ไยรู้สึกเช่นนั้น?”

   อัสธาราธถามอย่างแปลกใจ องค์กษัตริย์นิ่งนึกอยู่นาน ก่อนสั่นศีรษะ

   “มิทราบได้ เรื่องบางอย่างแม้อยู่มายาวนาน ยังมิอาจหาคำตอบ นี้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น”
   
“กล่าวเช่นนี้ใยมิฟังดูเลื่อนลอยเกินไป คล้ายชีวิตข้าพเจ้าขึ้นกับความรู้สึกของท่าน”

   “บอกกล่าวแก่เจ้า ชีวิตเจ้าขึ้นอยู่กับความรู้สึกเราเนิ่นนานแล้ว หากเรามิรู้สึกอยากช่วยเจ้าในตอนนั้น ไหนเลยเจ้าจะมีน้ำหน้ามากล่าวโต้ตอบเราเช่นนี้”

   อัสธาราธพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อ

   “วาจานี้คล้ายคลึงที่ข้าพเจ้ากล่าวเมื่อครู่ ข้าพเจ้ารู้สึกเข้าใจทันที เพียงไม่เข้าใจบ้าง ไยท่านเอ็นดูข้าพเจ้ายิ่ง หรือท่านเอ็นดูผู้อื่นเป็นนิจอยู่แล้ว”

   “เราผู้ชราอย่างไรก็เอ็นดูทารกน้อยเช่นเจ้าเสมอ”

   องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตอบคำถาม พลางถอนหายใจ

   “ทารกเจ้าวันนี้ทำเราสำราญยิ่ง แต่ตอนนี้กลับทำเราเหน็ดเหนื่อยแล้ว”

   เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มองเห็นองค์กษัตริย์คล้ายทำตัวแก่ชราเต็มที ถึงกับแสดงสีพระพักตร์เหนื่อยอ่อน อดมิได้ต้องถามออกไป

   “ทำไมเล่า หรือท่านมิขบขันกิริยาข้าพเจ้าแล้ว?”

   “ตอนหลังล้วนขบขันไม่ออก เจ้าคล้ายจริงจังจนเราเหน็ดเหนื่อยแทน นี่ นั่งเองคนเดียวได้หรือไม่?”
   อัสธาราธมองดูหน้าผู้พูดด้วยความงงงัน นึกหวาดเสียวว่าจะทรงกลายร่างเดิมเพื่อสำแดงอำนาจปรามเขาหรือไม่ องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

   “เรารู้สึกเมื่อยขบอย่างยิ่ง หากเจ้ายังนั่งทรงตัวดี เราขออาศัยตักเจ้าต่างหมอน?”

   เจ้าชายหนุ่มเกือบอ้าปากกล่าวคำพูดว่าคงไม่เหมาะสม แต่นึกขึ้นได้ยามตื่นมาตนก็หนุนตักนุ่มขององค์กษัตริย์อยู่ จึงพยักหน้าตอบไป ร่างบางเอนกายลง คล้ายเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนเต็มที่ ศีรษะได้รูปที่มีเรือนผมสีน้ำเงินยาวสยายไปตามกระแสน้ำวางลงบนตักเขาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีมรกตพริ้มลงโดยไม่แม้แต่เหลือบมอง กล่าวว่าจาเนิบนาบ

   “อืม.. ดูมั่นคงแข็งแรงพอใช้ เราจักถือนี่เป็นข้อดีของการมีร่างกลางสูงใหญ่ และมิต้องหวาดกลัว เราสัญญาจะมิลืมตาขึ้นมาข่มขวัญเจ้าระหว่างนี้ และหากเจ้ารู้สึกเมื่อย ย่อมขยับร่างกายได้บ้าง ระวังอย่าให้ร่วงหล่นจากหลังอูห์รูนเป็นพอ เข้าใจวาจาเราหรือไม่?”

   กล่าวคล้ายสั่งความกับเด็กๆ อัสธาราธพยักหน้า พลางนึกว่าที่มานอนทับตักเขานี่เพราะเกรงว่าจะร่วงลงไประหว่างที่ตัวเองหลับรึเปล่า มังกรหนุ่มพิศมองรูปหน้าสวยงามที่หลับตาพริ้มอยู่บนตัก พอไม่ต้องมองนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นแล้ว ใบหน้านี้ช่างน่าหลงใหลนัก ไม่แปลกใจเลย ทำไมอัสรานถึงได้ชักชวนให้เขาอยู่ยลโฉมจอมกษัตริย์ผู้นี้ก่อน ทรงความงามหาผู้ได้เสมอ หากมิใช่บุรุษ หากมิใช่เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้น หากมิใช่กษัตริย์ หากมิใช่ต่างเผาพันธุ์กันอย่างสุดขั้ว น่ากลัวนี่อาจกลายเป็นรักแรกพบก็เป็นได้ คิดพลางถอนหายใจยืดยาว

   ตอนนี้อย่าว่าแต่รักเลย ไม่หวาดกลัวจนถอยหนีก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

   เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจในสายน้ำ องค์กษัตริย์เอ่ยสืบต่อ

   “ลำบากใจกับศีรษะเราหรือ?”

   “มิได้ ข้าพเจ้าเพียงครุ่นคิดไร้สาระ”

   ได้ยินเสียงครางอืมเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะมีถ้อยคำสั้นๆ

   “ยังจำนามเราได้หรือไม่?”

   อัสธาราธพยักหน้าอย่างเคยชิน ก่อนนึกได้ว่าอีกฝ่ายมิได้ลืมตามองตน จึงตอบไป

   “ย่อมจำได้”

   “เรียกให้เราฟัง เราชมชอบให้ผู้อื่นเรียกชื่อ”

   “แต่คล้ายผู้รับใช้ส่วนใหญ่มิใคร่พอใจให้เรียกนัก”

   มังกรหนุ่มกล่าว ยังจำได้ถึงช่วงเวลาที่เอ่ยน้ำนี้ออกไปครั้งแรก ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนใจยืดยาว

   “ผู้รับใช้หาใช่เรา เราชมชอบฟังผู้อื่นเรียกชื่อ ดังนั้นเจ้าเรียกชื่อเราอีกได้หรือไม่?”

   แม้ไม่เข้าใจนัก แต่ผู้ถูกร้องขอก็ปฏิบัติ เอ่ยนามนั้นออกมาเบาๆ

   “เรเธียร์..... อืม... นามท่านยามกล่าวในกระแสน้ำฟังดูไพเราะยิ่ง ผู้ใดขนานนามนี้ให้เล่า?”

   “คล้ายเราตั้งของเราเอง อืม..”

   ผู้นอนอยู่ส่งเสียงงืมงำ คล้ายกำลังเข้าสู่ห้วงภวังค์เต็มที่

   “เสียงเจ้าเรียกชื่อเราฟังเข้าหูอยู่ เราอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อตรงๆ”

   กำลังจะอ้าปากว่า ไม่เกรงข้าพเจ้าถูกผู้รับใช้กลุ้มรุมทำร้ายหรือ? ร่างบอบบางก็คล้ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ทรวงอกแบนรามกระเพื่อมเป็นจังหวะตามละอองฟองฝอยที่ผุดพรายออกมาจากจมูกได้รูป เรือนผมสีน้ำเงินโลมไล้ใบหน้าและร่างกายของผู้ที่นั่งแทนหมอนอยู่ บังเกิดความรู้สึกประหลาดชนิดหนึ่ง คล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงมนต์สะกด ในสติเลื่อนลอย อัสธาราธเอ่ยชื่อที่เพิ่งเรียกไปอีกครั้ง

   “เรเธียร์”

----------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [อัพโพสตกบท6ค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 05-07-2012 22:09:11
=w='' เห๊ะ
หัวข้อ: Re: [อัพโพสตกบท6ค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 05-07-2012 23:06:08
หนุกเว่อ!!!!.... มาต่ออีกไวๆนะค้าบ
หัวข้อ: Re: [อัพโพสตกบท6ค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 05-07-2012 23:20:04
อ่านทีไรเคลิ้มทุกทีเลย

เรเธียร์สวยแต่ไม่บอบบาง ทระนงสมเป็นเจ้า แต่ก็น่าถนอม
หัวข้อ: Re: [อัพโพสตกบท6ค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-07-2012 10:14:38
เราอยากจะบอกว่า เรื่องนี้คำผิดเยอะมากค่ะ และเรายังไม่ได้แก้(เนื่องจากไม่มีเวลา)

แต่ยังรับคำแนะนำเรื่องคำผิดอยู่นะคะ (จะเอาไปแก้ในต้นฉบับเลยค่ะ)

ขอบคุณค่ะ^^

ปล.ใครที่อ่านตอนนี้แล้วงงๆ ว่ามันเหมือนไม่ต่อกับบทที่แล้ว อันที่จริงแล้วเราลงบทที่แล้วตกไปหน่อยหนึ่ง สามารถอ่านย้อนหลังได้ตรงที่อัพต่อด้านบนนะคะ^^

---------------------------------------

7 : อ้อมกอดแห่งสายน้ำ

          แรงสั่นสะเทือนบางเบาแต่สัมผัสได้ปลุกให้นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งโพลงขึ้นมา สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาจ้าวแห่งสายน้ำคือปอยผมสีแดงที่พลิ้วไสวอยู่ตรงหน้า และอีกเสี้ยววินาทีต่อมาคือริมฝีปากได้รูปที่โน้มต่ำลงมา กับนัยน์ตาของผู้เป็นเจ้าของที่หลับสนิท

          !!

          อัสธาราธสะดุ้งเฮือก เมื่อบางสิ่งบางอย่างที่เย็นยะเยียบสัมผัสกับใบหน้าของเขา และปิดบังการมองเห็นจนหมดสิ้น เจ้าชายหนุ่มผงะอย่างลืมตัว ก่อนจะได้ยินเสียงพูด

          “อยู่นิ่งๆ”

          น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นจนแทบจะเป็นเสียงดุ อัสธาราธนั่งตัวแข็งทื่อทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมปล่อยมือออก

          “ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะหลับทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนหลังอูห์รูน อืม...แลดูเจ้ามีความสามารถในการหลับไม่น้อย”

          น้ำเสียงหยอกเย้า จ้าวแห่งสายน้ำเอ่ยพลางแย้มยิ้มพริ้มพราย เจ้าชายหนุ่มถึงกับอ้ำอึ้งไปเป็นเวลานานด้วยรู้สึกอับอายที่สัปหงกต่อหน้าองค์กษัตริย์ เรเธียร์มองดูใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้นด้วยความรู้สึกสำนึกผิดอยู่บ้าง คราแรกกลัวว่าอัสธาราธจะตกใจหากลืมตาขึ้นมาแล้วประสบเข้ากับนัยน์ตาของตน ดังนั้นจึงใช้มือปิดไว้ ไม่ได้ตั้งใจจะก่อกวนให้อีกฝ่ายรู้สึกตระหนก พอเห็นว่ามังกรหนุ่มสะดุ้งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาหยอกล้อออกไป ดูท่าจะกลายเป็นสร้างความอับอายแทนแล้ว ดังนั้นจึงทรงกล่าวปลอบ

          “เราไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าตระหนก เพียงกลัวเจ้าลืมตาขึ้นมาเจอนัยน์ตาเรา อืม.. เรายังอยากบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ในห้วงนทีแห่งนี้ยังมีภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่”

          นัยน์ตาสีแดงตวัดขึ้นมองอย่างใคร่รู้ทันที ผู้สูงวัยกว่าแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน เชื้อสายแห่งคอนเชียร์คงไม่คาด ภายใต้ผืนน้ำเย็นยังมีสิ่งเช่นนั้น จึงทรงกล่าววาจาต่อ

          “เจ้าสัมผัสได้หรือไม่ กระแสน้ำรอบตัวนี้ใช่อุ่นขึ้นกว่าปกติ? มาเถิด เราจะชี้ให้เจ้าชม ภูเขาไฟยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน”

          กล่าวจบพลันผุดลุกขึ้น ยื่นพระหัตมาให้เจ้าชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ ครั้นจะปฏิเสธความหวังดีนี้ก็ดูจะเสียมารยาทจนเกินไป อัสธาราธจึงฉวยพระหัตของจอมกษัตริย์เอาไว้ และดึงตัวเองขึ้นมา การเคลื่อนไหวในน้ำนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คล้ายน้ำหนักไม่มีผลในห้วงน้ำแห่งนี้ จะลุกจะเดินดูเบาไปหมด เจ้าชายหนุ่มก้าวตามผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินสลวยไปตามแผ่นหลังกว้างของผู้รับใช้ที่ชื่ออูห์รูน มือเรียวชี้ชวนให้ก้มลงมองดูเบื้องล่าง

          ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เบื้องล่างนั่น ภูเขาไฟลูกมหึมากำลังผุดพ่นลาวาสีแดงเพลิง สีของมันแดงฉานตัดกับสีดำน้ำเงินของอณูน้ำทะเล หากเป็นบนคอนเชียร์ ตอนนี้ท้องฟ้าคงกลายเป็นสีเหลืองขุ่นเพราะไอกำมะถันเข้มข้น แต่ใต้ห้วงน้ำแห่งนี้ รอบๆ ภูเขาไฟกลับกลายเป็นควันเมฆสีเทาครึ้ม ม้วนตัวอย่างช้าๆ ในรูปร่างประหลาดตา ล้อมรอบปากปล่องภูเขาไฟนั้นอยู่ นัยน์ตาสีแดงเพลิงสั่นระริก เพียงแค่เห็นธารลาวานั้น ร่างกายก็ตอบสนองอย่างประหลาด คล้ายมีพลังเหนือธรรมชาติปลุกเร้าให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด

          “หินหลอมเหลวนั่น ใช่ร้อนเช่นที่คอนเชียร์หรือไม่? ข้าพเจ้าปรารถนาทดลองสัมผัสสักครั้ง..”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำหัวร่อออกมาเบาๆ เห็นท่าทีคึกคักของมังกรหนุ่มแล้ว หากเป็นยามปกติคงโอนอ่อนให้ตามคำขอร้องพิสดารนี้แล้วแน่ ในอิลห์ลาริน น้อยสิ่งมีชีวิตนักปรารถนาจะเข้าใกล้ปากปล่องร้อนนั่น ยกเว้นเสียแต่สิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายหนอนที่อาศัยอยู่ในท่อริมปล่องร้อน จะว่าไปหนอนเหล่านั้นคล้ายมีสีแดงสดเยี่ยงมังกรหนุ่มจากคอนเชียร์ หรือพวกสิ่งมีชีวิตทนร้อนเหล่านี้ดูดกลืนสีสันแห่งเปลวเพลิงเข้าไปไว้ในตัวได้

          “เกรงว่าในยามนี้จะไม่ค่อยสะดวกนัก ภายหน้าหากโอกาสเหมาะ เรารับรองจะพาเจ้าหวนกลับมายลภูเขาไฟนี้อีกครั้ง”

          อัสธาราธรีบสั่นศีรษะทันที ก่อนกล่าว

          “อย่าได้ทรงลำบากเพราะความคึกคะนองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น”

          “เรามิใคร่เข้าใจเผ่าพันธุ์แห่งไฟนัก พวกเจ้าใยชื่นชอบที่ร้อนๆ”

          ผู้ถูกถามเงยหน้าขึ้นและยิ้ม

          “คำตอบนั้นไม่ยากไม่ง่าย แม้ท่านเองก็ย่อมเข้าใจได้”

          คิ้วได้รูปสีน้ำเงินขมวดเข้าหากันทันที จับจ้องผู้พูดอย่างใคร่ได้ยินคำตอบ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบอยู่นาน อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากกระตุ้น

          “เด็กน้อย คำตอบเจ้าว่าอย่างไร ใยบอกว่าเราเองย่อมเข้าใจได้”

          อัสธาราธยิ้มอีกรอบ รอยยิ้มแลดูไร้เดียงสาอย่างประหลาด ริมฝีปากได้รูปเอ่ยถ้อยคำชัดเจน

          “คำตอบย่อมอยู่ในคำถาม ข้าพเจ้าเองก็มิใคร่เข้าใจนัก พวกท่านใยนิยมอาศัยอยู่ท่ามกลางสายน้ำเย็นยะเยือกเช่นนี้”

          “เนื่องเพราะสรีระเราไม่อำนวยให้ใช้ชีวิตอยู่บนบก หากไม่อาศัยอยู่ใต้น้ำ ผิวหนังเปียกลื่นไหนเลยจะทานทนไอร้อนเบื้องบนได้”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

          “เฉกเช่นเดียวกัน สรีระข้าพเจ้าไม่อำนวยให้อาศัยอยู่ใต้น้ำ ยิ่งไม่นิยมชมชอบการอยู่ในที่เย็นๆ ท่านทราบ ภายใต้ผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน พวกข้าพเจ้าจักสูญสิ้นทุกอย่างที่ภาคภูมิ ไม่มีเปลวเพลิง ไม่มีความแข็งแกร่งใดหลงเหลืออยู่อีก ในเมื่อข้าพเจ้าหวาดกลัวความเย็น ย่อมเป็นปกติที่จะพึงใจสิ่งร้อนระอุเช่นนั้น”

          “คำตอบของเจ้าคล้ายเราพอเข้าใจได้จริงๆ”

          องค์กษัตริย์ตรัสหลังจากนิ่งตรึกอยู่พักใหญ่ ระหว่างบทสนทนา อูห์รูนได้ว่ายผ่านภูเขาไฟใต้น้ำนั้นไปเนิ่นนานแล้ว แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในดวงตาสีมรกตทั้งสองข้างคือสีแดงเพลิงของเปลวไฟ เปลวไฟสีแดงที่ยืนประจันอยู่ตรงหน้า ในจิตใจของเรเธียร์พลันเกิดคำถามขึ้นมาเบาๆ

          ไยเราจึงช่วยเหลือมังกรตนนี้ ไยเราจึงช่วยเหลือเผ่าพันธุ์แห่งไฟที่เรามิเคยปรารถนาอยากเฉียดใกล้ ไยเราจึงโอนอ่อนให้ความร้อนระอุที่เราพ่ายแพ้นี้นัก?

          “อืม... นี่คล้ายมีชีวิตยืนยาวจนความคิดเริ่มพิสดารเสียแล้ว”

          จอมกษัตริย์พึมพำเบาๆ แต่ก็ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน แม้รู้สึกเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่อัสธาราธอดไม่ได้ที่จะเลียบเคียงถามออกไป

          “พระองค์มีความคิดพิสดารใด?”

          องค์กษัตริย์เงยพระพักตร์พลางถอนหายใจ

          “มีพิสดารอยู่หลายเรื่อง อย่างน้อยเราดั้นด้นไปพาดวงไฟสีแดงแห่งคอนเชียร์ดวงหนึ่ง ลงมาสู่นครใต้น้ำ เจ้าว่านี่ยังมิพิสดารพอ?”

          “การกระทำของพระองค์ย่อมมีเหตุผลรองรับ กษัตริย์ใดเล่าไม่ทำสุดความสามารถเพื่อปกป้องราชอาณาจักร กับเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามีอันใดพิสดาร”

                นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งกว้างอย่างแปลกใจ พิศมองดวงหน้าคมสันตรงหน้าอย่างงงงวย ก่อนจะกล่าววาจาออกมาบ้าง

          “แต่เรากลับคิดว่านี่เป็นเรื่องพิสดารนัก เจ้าผู้พ่ายแพ้ต่อสายน้ำ ใยจึงยินยอมติดตามเรามาโดยง่าย?”

          อัสธาราธสูดหายใจลึก เบือนดวงตาสีแดงสบกับนัยน์ตาสีมรกตนั้น พลางกล่าววาจา

          “เนื่องเพราะครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยหวาดกลัวท่านซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิต เนื่องเพราะการพบกันหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กระทำเรื่องราวอันแสนอัปยศ แม้ท่านมิใคร่อยากเชื่อ แต่ข้าพเจ้ายังไงก็ยังหลงเหลือจิตสำนึกอยู่บ้าง บุญคุณช่วยชีวิตข้าพเจ้าย่อมต้องหาโอกาสทดแทน โอกาสไหนเลยจะเหมาะมากไปกว่าการนี้อีกแล้ว”

          “เรามิได้ช่วยเหลือเจ้าเพื่อหวังให้เจ้าสละชีวิตให้เรา”

          องค์กษัตริย์เอ่ย และถูกพูดแทรกขึ้นทันที

          “ข้าพเจ้ามิได้ต้องการให้ท่านช่วยเหลือเพื่อเป็นหนี้ชีวิตเช่นกัน แต่ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว ข้าพเจ้าย่อมต้องหาหนทางชดใช้ แต่ข้าพเจ้าเรียนกับท่าน ข้าพเจ้าย่อมไม่สละชีพง่ายๆ อย่างไรเสียข้าพเจ้ายังอยากกลับไปแช่น้ำร้อนจัดด้านบนนั้นอยู่”

          องค์กษัตริย์นิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดก็ยิ้มออกมา

          “คล้ายหลับไปหนึ่งตื่น เจ้าดูโตขึ้นเสียแล้ว อืม... ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เด็กน้อยจะพลันโตขึ้นในข้ามงีบเดียว”

                อัสธาราธขมวดคิ้วจนมุ่นเข้าหากัน จดจ้องมององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอย่างพินิจพิเคราะห์

          “พระองค์ใยชอบมองข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ปรารถนาให้ข้าพเจ้าโต? หรือชมชอบรังแกเด็ก?”

          ผู้ถูกถามแย้มยิ้ม เรือนผมสีน้ำเงินปลิวไสวไปในสายน้ำ

          “เราเพียงคิด เด็กๆ ล้วนน่าเอ็นดู พอโตก็ไม่น่าเอ็นดูแล้ว”

          อัสธาราธถึงกับอับจนคำพูดไปชั่วครู่ ได้แต่ยิ้มตอบค้างคาเป็นครึ่งค่อนวัน จึงกระท่อนกระแท่นเอ่ยวาจาออกมาได้

          “อย่างนั้น ข้าพเจ้าสมควรยอมรับตัวเองเป็นเด็กน้อยจึงประเสริฐกว่า? อย่างน้อยยังพอให้พระองค์เอ็นดูได้บ้าง?”

          เสียงหัวร่อดังกังวานขึ้นอีกครั้ง ยามทรงพระสรวล องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินคล้ายเพิ่มเสน่ห์ลึกลับขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว คงมิมีผู้ใดในโลกทนทานความงดงามนี้ได้มากนัก แต่เจ้าชายหนุ่มคล้ายมีสีหน้างุนงงจนกล่าววาจาไม่ออกอีกแล้ว

          “เจ้าคล้ายพยายามจะเอาใจเรา? อืม...กล่าวกับเจ้าตามตรง สนทนามาถึงตอนนี้ เรามองเจ้าโตขึ้นเล็กน้อย คล้ายเด็กเจ้าพยายามจะเติบโตให้ทันเราในข้ามวัน แต่ถึงอย่างไรทารกย่อมเป็นทารก เจ้าสบายใจ เราย่อมไม่ถือสาวาจาทารกให้มากความ”

          อัสธาราธไม่รู้ว่าสมควรจะยินดีกับประโยคคำพูดนี้หรือไม่ ถึงกับยังนิ่งอึ้งอยู่อีกเนิ่นนาน ดั่งลืมเลือนไปแล้วว่าสามารถสนทนาได้ จนกระทั้งองค์กษัตริย์ต้องตรัสถาม

          “เจ้าใยเงียบไปแล้ว? หรือเป็นใบ้ไปชั่วขณะ? เรามิต้องการคู่สนทนาที่ไร้ปาก ไหนลองหยิบยกวาจาอาจหาญขึ้นมาตอบโต้เราบ้าง”

          ผู้ถูกถามยังมิปริปาก ได้แต่ใช้ดวงตาสีแดงจับจ้องใบหน้าผู้พูดอยู่อีกเนิ่นนาน กว่าที่จอมกษัตริย์จะรู้ตัว ก็แทบจะถูกอีกฝ่ายจ้องมองจนทะลุแล้ว

          “อืม...เจ้ามองเรา..?”

          อัสธาราธพยักหน้า แต่ยังไม่เอ่ยวาจาอันใด คล้ายกับว่าไม่อาจแบ่งแยกสมาธิมาใช้ประดิษฐ์คำพูดได้ แต่ความเงียบกับนัยน์ตานั่น ดูราวจะส่งผลมากมายเสียยิ่งกว่าพูด องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่แม้จะเผชิญเหตุการณ์ใด สีหน้ามิใคร่แปรเปลี่ยนนัก ยามนี้คล้ายนัยน์ตาสีมรกตนั่นสั่นระริกขึ้นบ้างแล้ว ทรงเอ่ยขึ้นอีกคราหนึ่ง

          “เจ้า...ไฉนจ้องเราเยี่ยงนี้...?! หรือเด็กน้อยเจ้าเกิดสติฟั่นเฟือนไปแล้ว?”

          ประโยคที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประหวั่นอย่างจริงจังนั้นทำให้อีกฝ่ายอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา และกล่าววาจาในที่สุด

          “ข้าพเจ้ายังมิได้ฟั่นเฟือน ไฉนกล่าวหาเช่นนั้นเล่า?”

          “เนื่องเพราะเจ้าจ้องเราราวกับจะเอาให้ทะลุ เราจึงหวั่น หรือเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาเราจนเสียสติไปแล้ว”

          “หากข้าพเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาท่านจนเสียสติ ย่อมไม่เพียรพยายามจ้องมองท่านจริงๆ จังๆ เยี่ยงนี้”

          “เช่นนั้นเพราะเหตุใด?”

          ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถาม อัสธาราธถอนหายใจเฮือก เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้ากำลังพยายามนึก ตัวท่านมีส่วนใดน่ากลัว ใยข้าพเจ้าจึงหวาดกลัวท่านนัก”

          “ออ”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำส่งเสียงในลำคอ พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ และแย้มยิ้มออกมา

          “เจ้าเริ่มรู้สึก เรามิน่ากลัวอย่างที่เคยคิดใช่หรือไม่?”

          ผู้ถูกถามกลับสั่นศีรษะ

          “ถึงตอนนี้ข้าพเจ้ายังรู้สึกหวั่นกลัว แต่ข้าพเจ้าคิด หากจ้องมองไปนานๆ อาจเกิดความเคยชินขึ้นบ้าง”

          “ตอนนี้ชินบ้างหรือยัง?”

          อัสธาราธพยักหน้าน้อยๆ และกล่าวสืบต่อ

          “ดังนั้น ขออนุญาตพระองค์ ระหว่างที่เดินทางอยู่นี้ หากข้าพเจ้าจะจ้องท่านอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คงมิทำให้ลำบากพระทัยมากนัก”

          น้อยครั้งนักที่จะมีผู้กล่าววาจาให้องค์กษัตริย์แห่งพื้นน้ำอับจนถ้อยคำตอบโต้ได้ เรเธียร์ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ อึ้งไปนานมากจริงๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตจับจ้องนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นเนิ่นนาน คล้ายดั่งย้อนถามซ้ำๆ

          นี่เจ้าเอาจริง?

          หากแต่แววตามุ่งมั่นและสีหน้าแน่วแน่ตั้งใจที่ส่งกลับมา ทำให้องค์กษัตริย์คล้ายจำต้องยอมรับคำขอร้องอย่างไม่อาจปริปากเถียง

            หรือนี่เราจะพ่ายแพ้ต่อเปลวเพลิงในดวงตานั้นเสียแล้ว
 
--------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: [อัพโพสตกบท6ค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ6 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 5/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-07-2012 10:15:31
          แม้จะคุ้นชินกับการถูกจ้องมองมาเนิ่นนาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินรู้สึกอึดอัด โดยปกติแล้วผู้อื่นมักจ้องมองพระองค์ด้วยความตกตะลึง จ้องมองอย่างหลงใหลในความงาม แต่กับเจ้าชายจากคอนเชียร์ผู้นี้ หาได้มีสายตาเช่นนั้นไม่ อัสธาราธนั้นดูจะจ้องอย่างมุ่งมั่น จดๆ จ้องๆ คล้ายพยายามพินิจพิเคราะห์ทุกสัดส่วน ไม่ทราบต้องการหาจุดด่างพร้อยหรือต้องการหาสิ่งใดในตัวของพระองค์แน่ ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงรู้สึกไม่ใคร่เป็นสุขนัก ถึงกระนั้นก็ไม่อยากทำลายความตั้งใจอันดีของมังกรหนุ่มที่จะเอาชนะความหวาดกลัวในตนเอง จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไปอย่างสุภาพ

          “ใช่รู้สึกคุ้นชินขึ้นมากหรือยัง?”

          อัสธาราธได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม แต่คล้ายกับยังมิอาจจะระบุถึงคำตอบได้ เจ้าชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับการพิจารณาเรือนร่างที่เดินไปเดินมาอย่างไม่ใคร่มีความสุขนัก ใจหนึ่งก็รู้ว่าทำให้องค์กษัตริย์ไม่ค่อยสบายพระทัย แต่อีกใจก็ถือมานะว่าหากยังไม่หายกลัวก็จะไม่หยุดจ้องเด็ดขาด

          ปัญหาคือหลังจากจ้องมาเป็นค่อนวัน ยังมองไม่ออก องค์กษัตริย์มีอันใดน่ากลัว แต่ความกลัวในใจนั้นกลับไม่ยอมหายไปไหน คล้ายยึดโยงที่มั่นเอาไว้อย่างแน่นหนา ยามเมื่อมองสบนัยน์ตาสีเขียวนั่นทีไร คล้ายหัวใจจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ดังดึงดันจะฝืนมองต่อ อยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่าการสบตานั้นจะทำให้ถึงตายได้หรือไม่

          อาการอึดอัดจากการถูกจับจ้องนั้น ราวกับยิ่งทำให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่างน่าตลกนัก สำหรับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำแล้ว โดยปกติเวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเชื่อ ยังมิได้ทันทำอะไรก็ดำรงอยู่มาใกล้สามพันปีแล้ว แต่ยามนี้กลับรู้สึกเวลาไฉนผ่านไปเชื่องช้าอย่างยิ่ง หากต้องเผชิญกับการจ้องมองเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใยมิใช่ทำให้อึดอัดตาย? การตัดรอนความตั้งใจของมังกรหนุ่มอย่างไม่หักหาญนั้นเห็นทีจะมีอยู่หนทางเดียว หากไปถึงอัลโดรท์ได้โดยเร็ว คงมิต้องถูกจับจ้องเช่นนี้ต่อไปอีก

                คิดดังนั้นจึงกวักมือเรียกเจ้าชายแห่งคอนเชียร์เข้ามา และเอ่ยถาม

          “เจ้ามั่นใจสามารถดำรงกายอย่างหนักแน่นอยู่บนหลังของอูห์รูนได้แล้วหรือไม่?”

          อัสธาราธพยักหน้าพลางกล่าวอย่างสงสัย

          “ย่อมกระทำได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ พระองค์มีประสงค์ใด?”

          “เราต้องการเร่งรัดการเดินทางให้เร็วขึ้นอีก จงจับไว้ให้มั่น เรามิต้องการเสียเวลาลงไปตามหาเจ้าที่หล่นลงไปในห้วงน้ำใหญ่”

          อัสธาราธแย้มยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้ารับรองจะไม่สร้างปัญหาเช่นนั้น ท่านกระทำตามประสงค์เถิด”

          องค์กษัตริย์มองซ้ำคล้ายย้ำความแน่ใจ ก่อนจะเร่งเร้าสายน้ำให้ไหลรุนแรงขึ้นอีก พลางถอดถอนใจเงียบๆ

          ไยกลายเป็นเราเองที่เป็นฝ่ายร้อนใจก่อนเช่นนี้เล่า
 
----------------------------------------------
          อัลโดรท์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการจริงๆ เมื่อเทียบกับซาร์ซากันแล้ว ดูพระราชวังแห่งคอนเชียร์จะเล็กลงไปถนัด อัสธาราธได้แต่เหม่อมองอย่างตะลึงลาน ท่าทีนี้สร้างความพอใจให้กังองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยิ่งนัก นอกจากจะทรงภูมิใจในภูมิทัศน์ของอัลโดรท์แล้ว ยังทรงโล่งใจที่ไม่ต้องถูกนัยน์ตาสีแดงนั้นจดๆ จ้องๆ อีกด้วย ปล่อยให้เจ้าชายหนุ่มชมความงามของพระราชวังอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยปากขึ้น

          “สวยงามใช่หรือไม่? หากเจ้าสนใจ เมื่อถึงแล้วเราจะให้คนพาเจ้าชมบริเวณ”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า โดยที่ยังคงจ้องมองราชวังที่ถูกสลักขึ้นจากหินผาภูเขาอย่างไม่วางตา องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอมยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ

            หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงอัลโดรท์ย่อมมิต้องถูกจดๆ จ้องๆ อีกแล้วอย่างแน่นอน
 
-----------------------------------------------

          การเดินทางเป็นระยะทางไกลโดยมิได้พึ่งพิงอาศัยร่างของประมุขนั้น สร้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้กับคณะข้าราชบริพารเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งอูห์รูนที่มีร่างมังกรใหญ่โตอาจหาญ ยามคืนร่างกลางดำเนินเข้าสู่อัลโดรท์ ยังแสดงอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้มีสายน้ำแห่งอิลห์ลารินช่วยโอบอุ้มมาตลอดทาง แต่ระยะจากคอนเชียร์ถึงอัลโดรท์นี้ไม่ใกล้เลยจริงๆ

          เมื่อเห็นเหล่าผู้ติดตามอิดโรยกันถึงเพียงนี้ องค์กษัตริย์ก็มิกล้าเอ่ยปากรบกวนให้ทำตามประสงค์ จึงทรงอนุญาตให้ทั้งหมดรีบไปพักผ่อน ก่อนจะดำเนินไปในพระราชวังกว้างกับพระราชอาคันตุกะเพียงลำพัง

          ดูอัสธาราธนั้นจะประทับใจกับความวิจิตรของราชวังใต้น้ำเป็นอย่างมาก ถึงกับเอ่ยถามแทบไม่หยุดปาก สร้างความสบายพระทัยให้กับองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะไม่ต้องเผชิญกับสายตาจ้องมองอย่างจริงจังนั้นอีก

          ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การถูกจ้องแบบนั้น จะสร้างความทุรนทุรายแทบเป็นแทบตายกับผู้ถูกมองได้

          “ข้าพเจ้ามีเรื่องสงสัยใคร่เรียนถามพระองค์อีกหนึ่งเรื่อง”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงทางเดินยาวอันเป็นระเบียงใหญ่และวิจิตที่สุดในอัลโดรท์แห่งนี้ จ้าวแห่งสายน้ำซึ่งกำลังพินิจร่างกายของมังกรหนุ่มตรงหน้า เงยขึ้นมองอย่างสงสัย อัสธาราธหันมาเอ่ยวาจา

          “ดวงไฟแห่งอิลห์ลารินนี้ ใช่เป็นเวทย์มนต์ของท่านหรือไม่?”

          คงหมายถึงดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโชนอยู่ตามคบไฟสีดำมะเมื่อม ที่สลักจากหินทั้งแท่ง โดยหลักในทางบกแล้ว หินทั้งก้อนไม่มีทางจะจุดไฟพวกนี้ขึ้นมาได้เด็ดขาด องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์พลางแย้มยิ้มกล่าว

          “ย่อมเป็นเวทย์มนต์ของเราทั้งสิ้น อย่างที่เจ้าทราบ ไม่มีเปลวไฟใดสถิตอยู่ใต้ผืนน้ำมืดมิดแห่งนี้ได้ นอกจากดวงไฟที่เราเป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทราบหรือไม่ ดวงไฟสีน้ำเงินนี้ลุกโพลงมานานเพียงใด?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ กล่าวตอบวาจา

          “ข้าพเจ้ามิทราบ เพียงรู้คงต้องถูกจุดมานานยิ่งแล้ว เพราะใต้บาดาลไร้แสงสว่าง หากปราศจากแสงตะเกียงสีน้ำเงินนี้ ใครเลยจะมองเห็นทัศนียภาพสวยงามนี้ได้ คาดว่าดวงไฟของท่านคงสว่างโพลงอยู่เช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดมาเนิ่นนาน”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพยักพระพักตร์อีกครั้งพลางกล่าวสืบต่อ

          “กล่าวมิผิด ดวงไฟนี้ลุกโชตช่วงมานานแล้วจริงๆ นานตั้งแต่ครั้งเราถือกำเนิดใหม่ๆ”

          ตรัสพลางเหม่อมองดวงไฟสีน้ำเงินราวกับย้อนหวนระลึกไปถึงอดีตกันไกลโพ้น มังกรหนุ่มอดถามออกมามิได้

          “ท่านเมื่อครู่กล่าว ดวงไฟนี้ลุกโพลงมาตั้งแต่ทรงถือกำเนิด เช่นนั้นดวงไฟนี้ถูกสร้างถวายแด่พระองค์?”

          อัสธาราธกล่าวพลางนึกตระหนกในใจ ดวงไฟสีประหลาดนี้ลุกโพลงมาเกือบสามพันปีล่ะหรือ? จินตนาการไม่ออกเลยว่าไฟเวทย์จะมีความสามารถคงทนยาวนานได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าพลังลึกลับใต้ผืนน้ำกว้างที่เรียกขานกันว่าอิลห์ลารินนี้จะยิ่งใหญ่สมกับคำร่ำลือจริงๆ ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ

          “มิได้สร้างถวายแก่เรา แต่เป็นเราสร้างขึ้นมาเอง”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า นิ่งฟังเรื่องราวที่จอมราชันย์กำลังจะเอื้อนเอ่ย องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมีความพอพระทัยเป็นการส่วนพระองค์ ยามให้เห็นผู้คนสนใจฟังเรื่องที่ทรงเล่า ดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ

          “ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อองค์กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ จะประดิษฐ์ดวงไฟนี้แจกให้แก่เหล่าข้าราชบริพาร และประชาชนในเวิ้งน้ำแห่งอิลห์ลาริน”

                “แต่เมื่อครู่พระองค์เพิ่งตรัส ดวงไฟนี้สร้างมาแต่ครั้งพระองค์ถือกำเนิด ใยมิดูขัดแย้งอยู่บ้าง ผู้เพิ่งถือกำเนิดไหนเลยจักขึ้นครองราชย์ได้”

          อัสธาราธกล่าวแย้งอย่างสงสัย องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกคราพลางเฉลย

          “เนื่องเพราะใต้บาดาลนี้ การสืบราชบัลลังก์หาได้เป็นเช่นบนบกไม่ บัลลังก์แห่งอิลห์ลารินมิได้สืบทอดกันทางสายเลือด เจ้ารู้หรือไม่ อูห์รูนนั้นแท้จริงมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาของกษัตริย์องค์ก่อน”

          ผู้ฟังขมวดคิ้วอย่างฉงน องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “คงสงสัย ใยอูห์รูนกลายเป็นข้ารับใช้เรา เนื่องเพราะเชื้อสายกษัตริย์แห่งคิลเรี่ยนอันเป็นเชื้อสายต้นกำเนิดของเรามิได้สืบทอดกันทางสายเลือด แต่สืบทอดกันทางวิญญาณ เมื่อกษัตริย์องค์ก่อนเสด็จสวรรคต ร่างกายของพระองค์จะถูกทิ้งลงในหุบเหวแห่งนิรันดร์ และดวงวิญญาณดวงเดิมที่หลุดออกจากร่างเก่าจะปฏิสนธิในครรภ์แห่งพระมารดาในส่วนลึกสุดของหุบเหว ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นจากหุบเหวแห่งนิรันดร์หลังวันเสด็จสวรรคตจึงมีสิทธิ์ตั้งแต่ถือกำเนิดในการครองบัลลังก์แห่งอิลห์ลาริน”

          อัสธาราธอ้าปากค้าง ด้วยคาดไม่ถึงโลกยังมีเรื่องเช่นนี้ พอตั้งสติได้จึงเอ่ยถามอีก

          “เช่นนั้น... พระองค์ย่อมมีอายุเกินสามพันปีแล้ว แม้นมิคิดอายุสรีระ แต่ความทรงจำที่ผ่านกาลเวลามายาวนานเช่นนั้น อืม... คล้ายข้าพเจ้ามิใช่ทารกในสายตาพระองค์ แต่คงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น”

          องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลขึ้นมาทันที กล่าวตอบอย่างเอ็นดู

          “เราคล้ายมีความคิดชราเพียงนั้น? บอกกับเจ้า มิมีผู้ใดในโลกทนรับอดีตอันยาวนานมากๆ ได้ เราหาได้มีความทรงจำชัดเจนเกี่ยวกับอดีตชาติของเราไม่ บางเรื่องหากจำได้ ก็เลือนรางเต็มที ดังนั้นความทรงจำของเรา จึงเป็นความทรงจำในชาตินี้ เพียงแต่บางครา อาจระลึกความทรงจำเดิมๆ ขึ้นมาได้บ้าง”

          “อ้อ..”

          คนฟังครางอย่างรับรู้ สบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง หากต้องเอ่ยถ้อยคำสนทนากับผู้มีความทรงจำยาวนานเหลือคณานับนั้นดูคล้ายเป็นเรื่องน่าลำบากใจอยู่ แค่เพียงเกือบสามพันปีก็ยากจะหาวาจาใดมากล่าวตอบโต้แล้ว

          “เช่นนั้นพระองค์ทรงสร้างดวงไฟสีน้ำเงินนี้ได้ตั้งแต่ครั้งยังแบเบาะ แล้วดวงไฟของกษัตริย์องค์เดิมเล่า ยามเสด็จสวรรคตใช่ดับมอดลงตามองค์กษัตริย์หรือไม่?”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำองค์ปัจจุบันพยักพระพักตร์ กล่าวตอบคำ

          “ย่อมดับมอด เพียงแต่เหล่าประชาชนในอิลห์ลาริน มิรอให้กาลล่วงเลยถึงเพียงนั้น ยามเสร็จกลับสู่ครรภ์พระมารดา ดวงไฟของกษัตริย์องค์เดิมจะถูกปล่อยขึ้นสู่ผิวน้ำ เราคาดภาพต้องสวยงามยิ่งนัก เสียดายมิเคยได้ชมดูเองสักครั้ง”

          อัสธาราธถึงกับฝืนยิ้มออกมา อดไม่ได้ต้องกล่าวสวนคำ

          “ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน ผู้ใดอยากทดลองชมดูงานฉลองวันตายของตัวเองมาก่อน คล้ายเพิ่งพบท่านเป็นคนแรก”

          องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลบ้าง

          “เราตั้งใจอยากจะทดลองดูเองสักครั้งจริงๆ เสียดาย งานตายคนตายย่อมมิอาจอยู่ดู ถึงแม้เรากลับมาลืมตาในวันนั้น ใช่ว่าจะทันได้มองดวงไฟงดงามถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ผิวน้ำ ได้ยินว่าระยะเวลาการดับมอดนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่นานก็เลือนหายไปกับสายลมเบื้องบนแล้ว”

          อัสธาราธกระพริบตาตัวเองถี่ๆ ในที่สุดจึงเอ่ยสืบต่อ

          “ข้าพเจ้ากลับมิหวังยลแต่ประการใด ดวงไฟไหนเลยจะงามเท่าผู้สร้าง หากท่านสิ้นลงแล้วสิ่งใดจะสวยงามอีกเล่า”

          “โลกนี้ยังมีหลายสิ่งสวยงามกว่าเรา”

          กล่าวพลางทอดถอนใจเงียบๆ เหม่อมองดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโพลงอยู่เบื้องหน้า เนิ่นนานจึงเอ่ยวาจาต่อ

          “เจ้าต้องการพักผ่อนแล้วหรือไม่? เดินทางกับสภาพไม่คุ้นชินยังถูกเราลากไปลากมาเช่นนี้ ต้องสนทนากับคนสูงวัยเช่นเรา คงทำเจ้าอ่อนอกอ่อนใจแล้ว มาเถิด เราจะนำเจ้าไปพักผ่อน การเดินทางไปชายแดนตะวันตกนั้น ยาวไกลกว่าการเดินทางวันนี้มาก แม้เจ้าจะเกรงใจเรา แต่เรามิอาจทรมานเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ที่เสียสละตัวเองเพื่ออาณาจักรมากจนเกินไปนัก มาเถิด อัสธาราธ เราจะนำพาเจ้าสู่ห้วงนิทรารมอันแสนสุขอย่างที่เจ้ามิเคยพาลพบ มาเถิดเด็กน้อยของเราเอย”

          มือเรียวได้รูปยกขึ้นสัมผัสใบหน้าอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างอนาทร อัสธาราธทำได้แค่ยิ้มตอบ น้ำเสียงกังวานนั้นคล้ายมีมนต์สะกด สิ่งที่จำได้อย่างสุดท้ายนอกจากเรือนผมสีน้ำเงินที่พลิ้วไหวราวระลอกคลื่นนั้นแล้ว คือนัยน์ตาสีมรกตที่โน้มมองลงมาอย่างเอ็นดู ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เคลื่อนออกจากร่างไป

            อ้อมกอดแห่งสายน้ำนั้น แม้เยือกเย็นแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด
 
-----------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 06-07-2012 11:00:29
ชอบทั้งเนื้อเรื่องและภาษาเลย มาต่ออีกเยอะๆ เลยได้ไหมอ่ะ อ่านแล้วเพลินมากๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-07-2012 13:48:00
ที่อัสธาราธคิดว่ากลัว ดวงตาสีมรกตของเรเธียร์ อาจจะเป็นเพราะชอบรึป่าวนะ เลยคิดไปอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 06-07-2012 16:10:10
มาตามอ่านเรื่องนี้ของพี่จูนะคะ

ภาษากับเนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆเลย

ชอบมากเลยค่ะแนวแฟนตาซี >[]<b
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 06-07-2012 16:46:54
=w=
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 06-07-2012 17:52:27
 :-[
ผู้เฒ่า กับ เด็กทารก  รวมแล้วเท่ากับ  เฒ่าทารก  ลองหาความหมายเอานะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tuang31007 ที่ 06-07-2012 19:19:52
อัสธาตุ .คุงจ้องแบบนั้นเดียวเรจังก็ท้องหรอก
(มังกรนะไม่ใช่ปลากัด!!!)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: elieanna ที่ 06-07-2012 20:03:52
ชอบมากค้าสนุกมากๆๆๆๆๆ
ถูกใจคอนิยายแนวแฟนตาซีมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: catwander ที่ 07-07-2012 02:01:52
ชอบมากเลยครับ แฟนตาซีมากมาย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-07-2012 06:12:16
เมื่อวานไม่ว่างมาอัพค่ะ วันนี้อัพให้สองตอนรวดชดเชยนะคะ^^

----------------------------------

8 : การเสด็จออกขององค์กษัตริย์

          สีเขียวมรกต.. บางครั้งพร่าเลือน บางครั้งแจ่มชัด ในสีเขียวมรกต จุดสีดำบางครั้งหดวูบ บางครั้งขยายกว้าง สีเขียวมรกต...สีของนัยน์ตาทรงอำนาจคู่นั้น

------------------------------------------     

          อัสธาราธลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นความรู้สึกคล้ายมีกระแสพลังประหลาดแล่นอยู่ตามเส้นเลือดก็กระจายไปทั่วทั้งร่าง ราวกับการหลับใหลในครานี้เพิ่มพูนพลังชีวิตให้เขาได้อีกอักโข มังกรหนุ่มระลึกได้ถึงภาพก่อนหน้าที่ตนได้เห็น

          เรเธียร์

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ผุดลุกขึ้น ศีรษะของเขาถูกรองด้วยบางสิ่งบางอย่าง แม้อ่อนนุ่ม แต่กลับมิได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเท่าตักขององค์กษัตริย์ ทันทีที่ลุกขึ้นนั่งได้ พื้นสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา อัสธาราธผงะร่างทันใด ก่อนที่มือเย็นยะเยียบของใครคนหนึ่งจะกดหัวไหล่ของเขาไว้

          “ท่านตื่นรวดเร็วไปแล้ว”

           น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่คุ้นหูเลย แต่คล้ายเคยได้ยินมาแล้ว เจ้าชายหนุ่มหันหลังกลับในทันที เรือนผมสีฟ้าเทาและใบหน้าเรียบเฉยราวรูปปั้นปรากฏให้เห็นในคลองจักษุ อัสธาราธขมวดคิ้วคู่งาม พลางคิดว่าเคยพบเห็นใบหน้าเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฝ่ายตรงข้ามก็ได้แนะนำตน

          “เราคืออูห์รูน ข้ารับใช้แห่งองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน” น้ำเสียงของอูห์รูน แม้มิได้เย่อหยิ่ง แต่เย็นชาจับใจจริงๆ อัสธาราพลันนึกได้คร่าวๆ ว่ามังกรตนนี้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์องค์เก่า

          ที่แท้ก็เป็นมังกรตนที่พาเขามายังนครใต้น้ำนี่เอง เช่นนั้น...สิ่งที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้เล่า

          สีหน้าของอัสธาราธแปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด พื้นสีดำที่เห็นในตอนแรก เมื่อพิจารณาให้ชัดเจน นี่คล้ายเกล็ดเกล็ดหนึ่ง เกล็ดสีดำเลื่อมน้ำเงินเป็นมันวาว ขนาดเขื่องเพียงใด ย่อมทราบได้ไม่ยาก เพราะครั้งแรกที่เขามองเห็น ยังเข้าใจว่านี่เป็นพื้นผิวอะไรสักอย่าง ต่อเมื่อทอดตามองออกไปนั่นแหละ จึงได้ทราบ พื้นผิวนี้มีพื้นผิวแบบเดียวกันซ้อนเหลื่อมอยู่แต่กระนั้น เขาและอูห์รูน สามารถนั่งสนทนากันได้สองคนบนพื้นเรียบๆ ไร้รอยต่อ โดยยังมีที่ว่างให้มังกรในร่างกลางขนาดเขื่องสี่ห้าตนนั่งล้อมวงกันได้

          ผู้ใดเล่าจักมีเกล็ดขนาดใหญ่โตเพียงนี้

          “ท่านตื่นรวดเร็วไปจริงๆ “ อูห์รูนเอ่ยเสียงราบเรียบเหมือนผิวน้ำในอ่างแก้ว นัยน์ตาสีเทาน้ำเงินพิศดูบุคคลตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะหยั่ง ทันใดนั้นมือเรียวก็ยื่นเข้ามา อัสธาราธแม้จะแตกตื่นอยู่แต่ยังไวพอจะคว้าตะปบมือนั้นไว้

          “จะกระทำสิ่งใด?!” มังกรหนุ่มแห่งคอนเชียร์เอ่ยถาม คนถูกจับยังคงมีสีหน้าราบเรียบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเดียวกัน “ข้าพเจ้าเพียงจะทำตามดำรัสแห่งองค์กษัตริย์ หากท่านตื่นมามีท่าทีคล้ายจะเสียสติ ให้รีบกล่อมให้หลับเสีย”

            คิ้วสีแดงของอัสธาราธขมวดเข้าหากันอีกหน ยังคงคว้ามือเย็นยะเยียบไว้แน่น ท่าทางของอูห์รูนดูยังไงก็ไม่เหมือนอยากจะกล่อมให้เขาหลับ เหมือนอยากจะจัดการทำให้สลบมากกว่า เจ้าชายแห่งคอนเชียร์กล่าวโต้ตอบออกไปทันที

          “ข้าพเจ้ายังมิเสียสติ ไม่ต้องรบกวนท่านทำเรื่องดังกล่าว”

          “ออ” ผู้รับใช้แห่งสายน้ำครางในลำคอ ก่อนจะดึงมือเลื่อนหลุดออกไปอย่างง่ายๆ สีหน้าของเจ้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนไปอีกครา นัยน์ตาสีฟ้าเทาทอดมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

          “จะอธิบายให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง ในกระแสน้ำแห่งอิลห์ลาริน มิว่าผู้ใดย่อมไม่สามารถคร่ากุมตัวเราได้ ท่านมิต้องตระหนกหรือกังวลเกี่ยวกับพละกำลังของตนเอง เราคาด เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ท่านย่อมได้รับความสามารถเดิมขึ้นมา”

          “ขึ้นฝั่ง?” อัสธาราธเอ่ยอย่างฉงนสนเท่ห์ ทางนั้นจึงอธิบายต่อ

          “เรียนต่อเจ้าชาย ท่านควรต้องทราบ ราชอาณาจักรเรายามนี้มีภัยฉุกเฉินยิ่งนัก องค์กษัตริย์ดั้นด้นไปขอยืมกำลังถึงคอนเชียร์นั้นย่อมมิใช่ภาวะยุ่งยากธรรมดา ขากลับแม้ได้ท่านมาแต่ยังต้องเสียเวลาเดินทางอย่างยิ่งยวด เพราะเหตุใดเราคงไม่ควรกล่าวถึง”

          แม้ไม่กล่าว แต่ก็ทำให้คนฟังสะอึกไปได้พักใหญ่ อัสธาราธพลันรู้สึก ผู้รับใช้ตนนี้มิใคร่เป็นมิตรกับเขาเท่าไรนัก กระนั้นอูห์รูนยังคงเอ่ยปากสืบต่อ

          “องค์กษัตริย์แม้เปี่ยมพระเมตตา ทรงต้องการให้ทุกคนได้พักผ่อน แต่ภัยรุกรานหาได้หยุดพักให้แก่พวกเราไม่ ดังนั้นจึงดำริจะดำเนินไปด้วยพระองค์เอง เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง และมิต้องรบกวนเหล่าข้าราชบริพารมากเกินไปนัก กระนั้นยังคงห่วงใยท่านซึ่งหวาดกลัวพระองค์แทบตาย สั่งเราให้คอยจับตาดูท่านมิห่าง ด้วยเกรงหากท่านตื่นมาพบร่างจริงของพระองค์ จะพาลเสียสติมิเป็นอันได้ทำการสิ่งใด”

          “ข้าพเจ้ามิใช่คนขวัญอ่อนปานนั้น” อัสธาราธกล่าวอย่างขุ่นเคือง ถึงเขาจะหวาดกลัวร่างจริงขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเพียงใด ย่อมไม่ขลาดกลัวขนาดพาลจะเสียสติไปง่ายๆ แน่ๆ กระนั้น พอทราบว่าพื้นผิวที่นั่งอยู่เป็นสิ่งใด หัวใจก็พาลจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ

          คล้ายความกลัวพวกนี้ ชอบเล่นตลกกับหัวใจของเขาเสียจริง

          “ออ...” อูห์รูนพลันส่งเสียงในลำคออีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่แม้คาดเดามิออก แต่คงมิใช่ยินยอมเชื่อถือวาจาของมังกรไฟแห่งคอนเชียร์เป็นแน่แท้ เว้นระยะไปพักหนึ่ง ผู้รับใช้จึงเอ่ยปากต่อ

          “อธิบายต่อท่านอีกเรื่อง ชายแดนตะวันตกของเรานั้น ไกลเสียยิ่งกว่าการเดินทางไปนครแห่งไฟของท่านหลายเท่า ดังนั้นหากมิใช่ร่างจริงขององค์กษัตริย์ การเดินทางย่อมต้องกินระยะเวลานานหลายสัปดาห์แน่นอน”

          “ข้าพเจ้าทราบถึงความจำเป็นนี้ มิต้องให้ท่านอธิบายซ้ำให้เสียเวลา” เจ้าชายหนุ่มตอบกลับ รู้สึกคล้ายอูห์รูนจงใจตอกย้ำว่าความกลัวของตัวเขาเป็นอุปสรรค์ถ่วงองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเสียนี่กระไร อูห์รูนยังคงกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย

          “เราคาดหวังว่าท่านคงมีความสามารถสมกับที่องค์กษัตริย์ทุ่มเทพระองค์ในการนำพาท่านลงมา”

          อัสธาราธขยับปากอย่างหงุดหงิดในอารมณ์เต็มที่ แต่ไม่ทราบจะค้นหาวาจาใดไปกล่าวโต้ตอบอีกฝ่าย เขาทราบว่าตนเองแสดงความหวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำออกไปมากเพียงใด จึงไม่แปลกที่ทางนั้นจะนึกสงสัยและดูถูก พอนึกถึงจุดนี้เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาดื้อๆ

          ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าทำไมจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังนึกหวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอยู่

          “จะไปที่ใด?” อูห์รูนเอ่ยปากถามเมื่อเห็นเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์พลันหันหลัง เดินออกไปท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวเบื้องหน้า ดูท่ามังกรไฟตนนี้จะเรียนรู้หลักการยืนภายใต้สายน้ำเคลื่อนไหวได้ดีจนน่าตกใจ คนถูกถามตอบโดยไม่หันหน้ากลับ

          “ข้าพเจ้าจักไปดูว่ายังมีผู้อื่นพอจะสนทนาด้วยได้อีกหรือไม่”

          คำพูดแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจการกระทำของอีกฝ่าย แต่คล้ายอูห์รูนมิได้รู้สึกในเชิงนั้น น้ำเสียงเดิมยังคงพูดอย่างราบเรียบ

          “ผู้อื่นล้วนอยู่ในร่างจริง อาศัยคลื่นน้ำใต้พระกายขององค์กษัตริย์ในการนำพาไปสู่ที่หมาย หากท่านต้องการสนทนา ท่านจำต้องเดินกลับหัวลงไปด้านล่าง”

          อัสธาราธขมวดคิ้วยุ่ง เดินกลับหัว? ความหมายนั้นเป็นอย่างไร ใช่เดินเกาะไปตามเกล็ดใหญ่โตนี่จนถึงท้องขององค์กษัตริย์หรือไม่? พอพิศมองลานเกล็ดสีดำเลื่อมน้ำเงินซึ่งทอดยาวไปอย่างดูจะไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกคล้ายเกิดอาการเข่าอ่อน

          พระวรกายที่แท้จริงขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินใหญ่โตจนยากแม้แต่จะจินตนาการ

          ขณะที่กำลังพยายามปลุกปลอบใจตัวเองอยู่นั้น คล้ายได้ยินเสียงบางอย่างดังเลื่อนมากับกระแสน้ำเชี่ยว

          “ใยพวกเจ้ามิสนทนากันต่อ เราฟังอยู่รู้สึกขบขันเป็นยิ่งนัก”

          น้ำเสียงแม้ผิดแผกแตกพร่าไป แต่อย่างไรย่อมต้องเป็นน้ำเสียงขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่ อัสธาราธมิทราบเผลอยิ้มออกไปได้อย่างไร ส่งเสียงสอบถามอย่างตื่นเต้น

          “พระองค์ยังสนทนาได้?”

          “ย่อมได้ เราไหนเลยใช้ปากในการว่ายน้ำ หากแต่เรามิอาจมองเห็นสีหน้าพวกเจ้า ความบันเทิงจึงอาจลดน้อยลงไปบางส่วน”

          “หากมีพระประสงค์เช่นนั้น ข้าพระองค์จักดำเนินบทสนทนาต่อ” อูห์รูนกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แต่หากคู่สนทนากลับรู้สึกขนลุกเกรียว หากต้องสนทนากับผู้รับใช้ที่มีวาจาราวแท่งหินเช่นนี้ เขามิต้องอกแตกตายก่อนหรือ

          อัสธาราธคล้ายหวาดกลัวการสนทนาของอูห์รูนจนลนลาน รีบละล่ำละลักกล่าว

“หากพระองค์ยากฟังเรื่องตลก ข้าพเจ้ายังพอเล่าให้ฟังได้หลายเรื่อง”

          เสียงหัวเราะก้องกังวานดังแว่วมากับสายน้ำ ดั่งคำพูดนี้ก็เป็นเรื่องตลกมากมายมากแล้วสำหรับองค์กษัตริย์ คิ้วสีเทาน้ำเงินของอูห์รูนขมวดเข้าหากัน

          “เมื่อครู่เจ้าเล่าเรื่องตลกใด?”

          สีหน้าผู้รับใช้ที่ก่อนหน้าดูราวรูปสลักยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นฉงนใจอย่างเห็นได้ชัด อัสธาราธตอบไปตามซื่อ

          “ข้าพเจ้ายังไม่ได้เอ่ยเรื่องตลกอันใด”

          เสียงหัวร่อคล้ายดังยิ่งกว่าเดิม กระทั่งแผ่นเกล็ดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งคู่พลันสั่นน้อยๆ ทั้งเจ้าชายแห่งคอนเชียร์และผู้รับใช้แห่งอิลห์ลารินพลันสบตากันโดยมิได้นัดหมาย

          “พวกเจ้าทำเราสำราญเป็นยิ่งนัก จงเร่งสนทนากันให้มาก ไม่นานเราจักข้ามพ้นห้วงน้ำลึกแห่งริยาห์แล้ว หากเชื่องช้ารอให้เราข้ามพ้นห้วงน้ำนี้ เราพาลอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมา พวกเจ้าอาจได้รับโทษทัฑณ์สถานหนัก”

          อัสธาราธไม่คาด องค์กษัตริย์จะจริงจังกับเรื่องราวเช่นนี้ ขณะที่กำลังตกประหม่า เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “ข้าพระองค์จะสนองพระประสงค์อย่าสุดความสามารถ ท่านมีเรื่องตลกอันใดจงเร่งรีบกล่าว” ประโยคสุดท้ายหันมากล่าวกับเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์ด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ อัสธาราธรู้สึกคล้ายถูกจับโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็งอีกรอบ ใยเรื่องจึงมาหล่นที่เขาได้เล่า

          ราวกับได้ยินเสียงหัวร่อขององค์กษัตริย์ดังแว่วมาอีก เจ้าชายหนุ่มสูดหายใจลึก แลดูองค์กษัตริย์จะสำราญในทุกสิ่ง แม้ในสมองจักนึกเรื่องตลกไม่ค่อยออก แต่หากเล่าออกไป คงทำให้องค์กษัตริย์สำราญอยู่บ้าง

          “ข้าพเจ้าจะเล่า...อืม....เรื่องตลก....” อัสธาราธพลันเงียบไปอีกพักหนึ่ง เรื่องใดเล่าเรียกว่าตลก ตลอดชีวิตของเขาจำเรื่องตลกได้ไม่มาก ที่พูดออกไปเมื่อครู่เพียงเพราะกลัวที่จะต้องสนทนากับข้ารับใช้ที่มีวาจาราวแท่งหิน

          สายน้ำแลดูเงียบกริบ แม้แต่อูห์รูนเองยังดูจะรอฟังอย่างตั้งใจ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกตรึงเครียดขึ้นมาทันที

          “เรื่องตลก อืม... ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยลงเล่นอยู่ในเพลิงหินร้อนจนปลายหางลุกไหม้ไปส่วนหนึ่ง”

          “ว่าอย่างไร!!??” สองเสียงแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่เห็นสีหน้าขององค์กษัตริย์ อัสธาราธจึงไม่ทราบว่าพระองค์ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร แต่กับอูห์รูน สีหน้าเฉยชาเมื่อครู่กลับแปลเปลี่ยนเป็นตกใจถึงขีดสุด

          “พะ..พวกท่านฟังดูไม่ตลก? ท่านไม่ทราบ...? ไม่ค่อยมีมังกรในคอนเชียร์ตนใดเล่นหินร้อนจนหางลุกไหม้ได้แบบที่ข้าพเจ้าทำ”

          “เรามิเห็นสิ่งใดตลก... เจ้าว่า เจ้าเล่นหินหลอมเหลวพวกนั้น ร่างกายเจ้าทำกับสิ่งใด?”

          อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าตระหนกตกใจเต็มที่ อัสธาราธคาด แม้องค์กษัตริย์มิทรงสำราญกับเรื่องที่เขาเล่า อย่างน้อยหากได้เห็นหน้าข้ารับใช้ในยามนี้ คาดจะต้องหัวร่อออกมาบ้างแน่ๆ เสียดายแต่องค์กษัตริย์มิอาจเห็น และเสียงหัวเราะใดก็ยังมิได้ปรากฏให้ได้ยิน เจ้าชายหนุ่มแข็งใจสาธยายความต่อ

          “ร่างกายข้าพเจ้าย่อมเป็นร่างกายของข้าพเจ้า จะทำจากสิ่งใดกันเล่า ร่างกายก็คือร่างกาย ข้าพเจ้าต้องอธิบายต่อท่าน? ร่างกายของมังกรไฟย่อมไม่เหมือนกับพวกท่าน การแช่หินหลอมเหลวสำหรับพวกเรา ก็คล้ายการแช่น้ำร้อนเดือดจัดนั้นแล.. เพียงแต่แช่หินร้อนอาจมีบางส่วนลุกไหม้ได้หากแช่นานไป ท่านเข้าใจหรือไม่?”

          อูห์รูนพยักหน้า แต่ไม่วายกล่าวตอบ “เราไม่เห็นสิ่งใดเป็นเรื่องตลก หากปลายหางลุกไหม้ย่อมคล้ายคนเสียขา เราไม่นิยมหัวเราะคนพิการมาก่อน”

          ได้ยินเสียงมังกรหนุ่มแห่งคอนเชียร์ครางออกมา “ข้าพเจ้ายังมิพิการ หางไหม้ก็เพียงหางไหม้ ใช่ไหม้หมดตัวเสียหน่อย”

          “อย่างไรหางไหม้ย่อมเป็นเรื่องใหญ่โต ท่านไฉนเล็งเห็นเป็นเรื่องตลกไปได้”

          อัสธาราธรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ นอกจากองค์กษัตริย์จะไม่ขำแล้ว เขายังพาลจะรู้สึกไม่ขำไปกับเรื่องตลกของตนอีกด้วย สาเหตุคงเป็นเพราะความจริงจังของผู้รับใช้ตรงหน้านี้แหละ เจ้าชายหนุ่มพลันย้อนถามกลับไป

          “งั้นเรื่องใดท่านเห็นว่าเป็นเรื่องตลก?”

          คิ้วสีเทาน้ำเงินของอูห์รูนพลันขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด นิ่งไปนานจึงได้เอ่ยปาก

          “เรื่องตลกเป็นเช่นไร?”

          อัสธาราธขมวดคิ้วตอบบ้าง ยังไม่ทันจะหาถ้อยคำตอบโต้ เสียงหัวร่อดังสนั่นก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน แถมพื้นที่ยืนยังสั่นไหวหนักขึ้นกว่าเดิม

          “ตลก ตลกอย่างยิ่ง เราไม่เคยได้ยินเรื่องใดตลกเช่นนี้มาก่อน?” องค์กษัตริย์กล่าวขณะที่ลำตัวยังคงสั่นไหวเป็นเวลานาน สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววสนเท่ห์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

          “พระองค์ขบขันในสิ่งใด?”

            “ย่อมขบขันทุกสิ่ง พวกเจ้าสนทนากันได้ครึ่งคำ ก็ทำเราแทบกลั้นหัวร่อไม่อยู่แล้ว ไหนลองสนทนากันอีกมากๆ คาดพวกด้านล่างคงพอได้อกสั่นขวัญหายกับการสั่นไหวของร่างกายเรา”

          “หากเป็นเช่นนั้นย่อมมิใช่เรื่องดีแน่” ผู้รับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าพระองค์มิอยากถูกพวกด้านล่างก่นด่า หากทำพระองค์สั่นไหวเช่นนี้”

          “เช่นนั้นเราอนุญาตให้เจ้าลงไปอยู่รวมกับพวกด้านล่าง อืม... หากเจ้าลงไปแล้วยังคงพอมีเจ้าชายแห่งคอนเชียร์คอยสร้างความสำราญให้กับเราหรอก”

          น้ำเสียงของอูห์รูนแปรเปลี่ยนทันที

          “ข้าพระองค์อยู่รับใช้เช่นนี้แลดูถูกต้องกว่า อย่างไรต้องคอยระวังมิให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ร่วงหล่นลงไป”

          อัสธาราธอ้าปากจะแย้งว่าตัวเขาเองไม่หล่นลงไปง่ายๆ แบบนั้นหรอก แต่ถูกเสียงหัวเราะขององค์กษัตริย์ดังแทรกขึ้นมาก่อน

          “เจ้าคล้ายกลัวถูกผู้อื่นแย่งตำแหน่ง วางใจ ตำแหน่งผู้รับใช้ใกล้ชิดเราไม่ให้ใครเป็นนอกจากเจ้าแน่ๆ แต่ก่อนอื่น เราเพิ่งข้ามพ้นห้วงน้ำแห่งริยาห์มา เจ้าพร้อมจะเปลี่ยนมาแทนเราแล้วหรือไม่?”

          สีหน้าของอูห์รูนกลับมาจริงจังอีกครั้ง กล่าวตอบองค์กษัตริย์

          “ข้าพระองค์พร้อมแล้ว แต่มิทราบเรื่องนี้ต้องอธิบายให้เจ้าชายฟังหรือไม่?”

          “ยังมิต้อง ให้เราอธิบายเองคล้ายง่ายกว่า เจ้าชายอัสธาราธ กรุณาเดินมาด้านหน้าสักห้าก้าวได้หรือไม่”

          อัสธาราธส่งเสียงตอบรับอย่างงุนงง พลางก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างว่าง่าย ได้ยินน้ำเสียงขององค์กษัตริย์กล่าวขึ้นอีก

          “ยืนให้มั่น เราจะไปดูสีหน้าเด็กน้อยเจ้าแล้ว”

          ยังไม่ทันที่เจ้าชายหนุ่มจะส่งเสียงใด เกล็ดสีดำด้านล่างก็พลันคล้ายแยกเป็นฟองคลื่นเล็กละเอียด กระจายพราวม้วนไปโดยทั่ว อัสธาราธได้แต่ยืนตะลึงลาน ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองยังยืนอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นในตอนที่อูห์รูนกระโดดออกจากเกลียวฟองและคืนร่างเป็นมังกรน้ำตัวใหญ่ ในฟองพราย คล้ายได้ยินเสียงหัวร่อเบาๆ

          “สีหน้าเด็กน้อยเจ้ามองคราใด ยังดูสนุกอยู่เสมอ”

          น้ำเสียงกังวานดังขึ้น ในม่านฟองเล็กละเอียดสีน้ำเงินเลื่อม เรือนผมสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีผิวขาวผุดผาด รอยยิ้มบนริมฝีปากงดงามยิ่งกว่าภาพวาดใด มือเรียวนุ่มลื่นที่แม้จะเย็นแค่คล้ายมีความอบอุ่นบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเข้ามากุมมือของเจ้าชายเอาไว้เมื่อใดไม่ทราบ รู้ตัวอีกที นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

          อัสธาราธมิได้ผงะถอย มิได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งไปนานราวกับถูกแช่แข็ง จวบจนกระทั่งปลายเท้าแตะถึงหลังของอูห์รูนนั้นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเกิดอาการเข่าอ่อน

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำคล้ายมิคาด เจ้าชายผู้มีร่างกายสูงใหญ่จะเกิดอาการเข่าอ่อนในยามนี้ แม้ดำรงพระองค์อยู่ในสายน้ำมาแทบตลอดชีวิต ไม่มีสิ่งใดทำพระองค์เสียการทรงตัวได้ แต่กระนั้นก็ยังโดนร่างกายสูงใหญ่ของมังกรหนุ่มฉุดดึงให้ทรุดเซตามไปด้วย อัสธาราธเองก็ไม่คิด ตนเองจะเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นได้ ยามตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงเอื้อมมือไปคว้าร่างองค์กษัตริย์เอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ

          จังหวะนั้นคล้ายมีคลื่นระรอกใหญ่พัดลอดเข้ามา คล้ายต้องการแกล้ง ทั้งๆ ที่อัสธาราธเป็นฝ่ายเข่าอ่อนลงไปก่อนแท้ๆ แต่ผู้ที่ถูกร่างเสียหลักล้มทับกลับเป็นราชาแห่งสายน้ำผู้ซึ่งไม่เคยถูกผู้ใดอยู่เหนือมาก่อน

          เรเธียร์ขมวดคิ้วสีน้ำเงินคู่งาม เป็นกริยาที่พระองค์มิใคร่ได้ทำบ่อยนัก มิเคยคาดคิด สายน้ำแห่งอิลห์ลารินจะเล่นตลกกับพระองค์เช่นนี้ ถึงกับบันดาลให้เกิดคลื่นวิปริตพัดพาพระองค์ให้ตกอยู่ใต้ร่างมังกรไฟซึ่งมาจากผืนดินเบื้องบน ครั้นจะออกแรงยันตัวเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ออก สีหน้าแตกตื่นเสียขวัญก็พลันทำให้พระองค์เกิดอาการมือไม้อ่อน ยอมให้เจ้าชายแนบชิดอยู่เยี่ยงนั้นเป็นนานสองนาน

          อัสธาราธมิได้ตั้งใจจะล่วงเกินองค์กษัตริย์ แต่คลื่นเจ้ากรรมดันพัดมาได้ถูกจังหวะ แถมเข่าที่จู่ๆ ก็อ่อนยวบ นึกจะให้กลับมายืนได้ในสายน้ำเช่นนี้ย่อมทำได้ไม่ง่าย อีกทั้งมังกรหนุ่มยังไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน เรียกได้ว่านี่เป็นอาการเข่าอ่อนครั้งแรกในชีวิต เกิดมาสองร้อยกว่าปี ไม่เคยนึกฝันว่าจะต้องมามีอาการอันน่าละอายเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ทั้งยังเป็นต่อหน้าพระพักตร์ขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกเล่า เรียกได้ว่าอับอายจนแทบแทรกผืนหินร้อนหนีหน้าจริงๆ

          มังกรหนุ่มหน้าแดงจัดจนกลายเป็นสีเข้ม เห็นสภาพเช่นนี้องค์กษัตริย์สูงวัยอดรู้สึกเห็นใจขึ้นมามิได้ จึงเอื้อมพระหัตขึ้นลูบปลอบ พอถูกมือเย็นสัมผัสใบหน้า ร่างของมังกรหนุ่มก็สะดุ้งเฮือกทันที องค์กษัตริย์เองก็หดพระหัตกลับอย่างรวดเร็ว

          ทรงมิเคยสัมผัสความอุ่นร้อนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย

          อัสธาราธทราบองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คงนึงเวทนาตนอยู่เป็นแน่แท้ ความอับอายก่อตัวขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ร่างกายมิเป็นดั่งใจแต่ยังฝืนดึงดันลุกขึ้นยืนอีกหน ผลคือร่างใหญ่ล้มฮวบลงไปอีกครั้ง ครานี้ถึงกับทับทาบลงไปบนร่างกายขององค์กษัตริย์แทบทั้งตัว

          “ขออภัย!” น้ำเสียงลนลานของมังกรเยาว์วัย ทำเอาองค์กษัตริย์เอื้อนเอ่ยวาจามิออก จะโกรธก็ใช่ที่ แต่จะให้อยู่ในสภาพนี้ก็ใช่ว่าจะน่าดู ครั้นจะยกแขนขึ้นผลักร่างสูงใหญ่นั้นออกจริงๆ ก็มิใช่เรื่องยุ่งยาก แต่จะผลักอย่างไรจึงจะมิให้ฝ่ายนั้นบังเกิดความอับอายไปมากกว่านี้เล่า ระหว่างนึกดำริหาวิธีต่างๆ นานา ลมหายใจอุ่นร้อนก็สัมผัสกับผิวพระพักตร์ เมื่อเบือนสายตากลับไปก็พบหน้ามังกรหนุ่มกลายเป็นสีขาวจัด สภาพเช่นนี้ไหนเลยองค์กษัตริย์จะหักใจผลักไสออกไปได้ จึงเอื้อมพระหัตกอดปลอบร่างสูงใหญ่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          “ค่อยๆ ตั้งสติเถิด เรามิดูถูกดูแคลนเจ้าหรอก”

          อัสธาราธพยักหน้า นัยน์ตาสีแดงที่แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจจะลุกออกให้ได้แลดูน่าเอ็นดูเป็นยิ่งนัก มังกรหนุ่มพยายามสูดหายใจหลายหน ฟองคลื่นน้อยผุดพรายอยู่ใกล้ใบหน้าองค์กษัตริย์ สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ทรงเลื่อนพระหัตลูบไล้เรือนผมสีแดงเพลิงนุ่มมืออย่างเพลิดเพลิน พลางพิศดูดวงหน้าคมคายที่ดูตั้งอกตั้งใจและเชื่อฟังอย่างเต็มที่ กระทั่งยังเกือบจะเผลอใช้พระหัตดึงรั้งร่างนั้นไว้เพื่อชมดูอากับกิริยาน่ารักอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ในตอนที่เจ้าชายหนุ่มยันตัวลุกออก

          เสียงหัวร่อเบาๆ ทำให้อัสธาราธที่เพิ่งผุดลุกได้หน้าเสียไปอีกรอบ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้นจึงรีบแก้เป็นพัลวัน

          “เรามิได้หัวเราะเยาะเจ้า เราเพียงหัวเราะให้ตัวเอง”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างไม่เข้าใจ กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงตรัสคำพูดต่อ “เราหัวเราะตัวเอง เนื่องเพราะเรารู้สึกเด็กน้อยเจ้าน่ารักอย่างยิ่ง น่ารักจนเราเกือบมิยอมให้เจ้าลุกออก”

          “ท่านชอบให้ข้าพเจ้านอนทับ?”

          คำถามพาซื่อของมังกรจากคอนเชียร์ทำให้องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลขึ้นมาอีกรอบ หัวร่ออยู่นานจึงกล่าววาจาออกมาได้

          “เจ้า...ตลกยิ่งนัก เอาเถิด เราควรพูดถึงเรื่องสำคัญได้แล้ว อีกสักพักเจ้าจะได้ขึ้นเหยียบแผ่นดิน”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงลุกโชนขึ้นมาทันที ร่างสูงขยับตัวฟังอย่างตั้งใจ ผู้สูงวัยกว่าจึงพูดต่อ

          “บอกกับเจ้า ที่เราคืนมาสู่ร่างกลางเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตนัก เรามิทราบ ผู้ก่อการครั้งนี้มีจุดประสงค์ใดแน่ ชายแดนตะวันตกนี้แม้แต่เราเองก็มิใคร่ได้มาเยี่ยมเยียนเท่าใดเลย บอกให้เจ้าทราบ เรามาในคราวนี้เตรียมกำลังทหารมาเต็มอัตราศึก ซึ่งนับรวมเจ้าด้วย แต่ต้องขออภัยที่มิได้บอกให้ทราบล่วงหน้า เรามิอยากรบกวนจิตใจเจ้าที่เพิ่งเดินทางลงมาในนครบาดาล”

          อัสธาราธพลันสั่นศีรษะ กล่าวตอบคำองค์กษัตริย์

          “การสงครามมิใช่สิ่งรบกวนจิตใจข้าเลย เชื้อสายแห่งไฟอย่างเรา โปรดปรานการรบพุ่งเป็นยิ่งนัก ข่าวการสงครามถือเป็นข่าวน่ายินดีสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมต้องทุ่มเทให้ท่านอย่างสุดความสามารถ ว่าแต่..พวกเราจะไปสู้รบกับสิ่งใด?”

          “เรายังมิทราบแน่ชัด”

          องค์กษัตริย์ตอบตามตรง พลางกล่าวสืบตอบ

          “มีผู้มารายงานเรามากอย่างยิ่ง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่แผ่ขยายไปทั่วผืนน้ำแห่งดินแดนตะวันตก เราสั่งกำลังทหารให้ขึ้นไปตรวจดู แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง เหมือนสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลจากอำนาจแห่งอิลห์ลาริน เรามิอาจจัดการเพสภัยครั้งนี้ด้วยกำลังของชาวบาดาลได้ จึงจำต้องขอยืมกำลังของชาวแห่งไฟเข้าช่วยเหลือ แต่เจ้าวางใจ เรายังมิเปิดศึกเต็มรูปแบบหากยังมิทราบความเป็นมาของศัตรู เมื่อถึงชายแดนตะวันตกแล้ว เราจะส่งกำลังส่วนหนึ่งขึ้นไปสอดแนมก่อน แน่นอนว่าเรื่องนี้เองที่เราต้องพึ่งพาอาศัยเจ้า รอจนแน่ใจแล้วว่าศัตรูเป็นพวกใด เราจะจัดการศึกครั้งใหญ่เพื่อขุดรากถอนโคนความวุ่นวายครั้งนี้”

          อัสธาราธพยักหน้า เมื่อองค์กษัตริย์เสด็จมาเองเช่นนี้ย่อมหมายใจจะกำราบศัตรูจนราบคาบ กระนั้นตั้งแต่มาถึงเมืองบาดาล จนถึงตอนนี้ เพียงผู้เดียวที่ดูจะน่าไว้ใจสำหรับเขา ก็คือตัวองค์กษัตริย์เองนี่แหละ เจ้าชายหนุ่มเผลอถามออกไปอย่างไร้เดียงสา

          “พระองค์จะไปกับข้าพเจ้าด้วยหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เราอย่างไรต้องนำทัพใหญ่ แม้ใจนึกสงสารเด็กน้อยเจ้าต้องออกไปกับเหล่าทหารของเราโดยมิได้รู้จักมักคุ้นมาก่อน ก็คงมิอาจออกไปเป็นเพื่อนได้ เอาเถิด เราจะให้อูห์รูนติดตามเจ้าไปด้วยแล้วกัน

          พอได้ยินชื่ออูห์รูน สีหน้าของอัสธาราธเปลี่ยนไปทันที

          “ข้าพเจ้ามิได้หมายจะรบกวนท่านถึงเพียงนั้น อูห์รูนเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิด จงอย่าได้ใส่ใจกับคำถามไร้สาระของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะไปกับกองทหารของท่าน ทำงานให้ท่านอย่างเต็มที่”

          องค์กษัตริย์โบกพระหัตอย่างไม่ถือสา

          “มิได้รบกวนเราแต่อย่างใด เราจะให้อูห์รูนไปกับเจ้า หากมีเรื่องใดจะได้ช่วยเหลือกันได้ อย่างไรเสียอูห์รูนเองก็มีฤทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเราเท่าใด”

          “ข้าพระองค์มิกล้ารับเกียรติเช่นนั้น” น้ำเสียงแตกพร่าดังมาตามเกลียวฟองกล่าว ย่อมเป็นน้ำเสียงเรียบเฉยที่แฝงแววเคารพเทิดทูนของอูห์รูนไม่ผิดแน่ องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์กล่าวสืบต่อ

          “เป็นอันตกลงตามนี้ ก่อนจะถึงแดนน้ำตื้น เราจะเรียกทหารขึ้นมา ให้พวกเจ้าได้รู้จักกันก่อน แล้วเราจะอธิบายแผนการขั้นต้นให้ฟังอีกที”
--------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-07-2012 06:18:21
9 : ณ ดินแดนตะวันตก

          อัสธาราธเพิ่งรู้ว่าชาวบาดาลมิได้มีร่างกลางบอบบางอ้อนแอ้นไปเสียทุกตน ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ ล้วนเป็นมังกรน้ำชั้นสูงที่มีร่างกลางสูงใหญ่แลดูน่าเกรงขาม แบบนี้จึงค่อยดูคล้ายกองทหารหน่อย อย่างไรก็ดี อูห์รูนซึ่งเป็นหัวหน้านั้นยังดูห่างไกลจากคำว่าสูงใหญ่นัก ร่างเพรียวกำลังน้อมตัวรับฟังคำสั่งจากองค์กษัตริย์ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหยั่งทัพของพระองค์ลงก่อนจะถึงเขตน้ำตื้น ใกล้กับดินแดนของเงือก แน่นอนว่าย่อมต้องมีกำลังจากทางนั้นส่งมาสมทบ แต่กองกำลังสอดแนมที่จะส่งขึ้นไปเป็นชุดแรกนั้นเป็นมังกรน้ำระดับสูงทั้งหมด พระองค์ทรงใช้อำนาจสร้างวังน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อพักไพร่พล อัสธาราธยังไม่ได้มีโอกาสมองสำรวจให้ทราบชัดถึงทัพที่องค์กษัตริย์จัดมาในครั้งนี้ แต่คำนวณจากเงาร่างเพรียวยาวของเหล่ามังกรและสัตว์ทะเลดุร้ายที่ว่ายไปมาก็คงไม่ต่ำกว่าหลักพันเป็นแน่ พอคิดว่าจะเกิดสงครามแล้วจิตใจก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

          หลังจากอธิบายแผนการจบ ก่อนจะขึ้นบก องค์กษัตริย์ทรงเดินมากล่าววาจากับเขาเป็นการส่วนพระองค์

          “เจ้าชายอัสธาราธ หากมีเหตุจำเป็นอันใด อย่าได้หนีลงน้ำเป็นเด็ดขาด เพราะอำนาจแห่งโลหิตของเราจักพลันสูญสลายไปทันที เมื่อเจ้าก้าวขึ้นบก”

          อัสธาราธพยายามรักษามารยาทด้วยการไม่หัวเราะออกมา ถึงเขาจะหายใจในน้ำได้ในตอนนี้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของมังกรไฟ ไม่มีตนใดพอถึงยามฉุกเฉินจะหนีลงน้ำหรอก และอีกอย่าง ในหัวของมังกรหนุ่มไม่เคยมีคำว่าหนี หากต้องหนี สู้ให้ตายตกตามกันไปเสียดีกว่า ดูคล้ายองค์กษัตริย์จะอ่านความคิดเขาออกจากแววตา จึงตรัสสืบต่อ

          “อย่าได้คิดสละตัวเพื่อเรา หากถึงยามคับขัน เราจะขึ้นไปรับตัวเจ้าเอง”

--------------------------------------------------

          ผืนดิน ณ ดินแดนตะวันตก ไม่ใช่พื้นดินแบบที่อัสธาราธรู้จัก เขาเคยเห็นผืนดินมากมาย ทั้งผืนดินที่เต็มไปด้วยไอร้อนเช่นที่คอนเชียร์ ผืนดินที่เต็มไปด้วยหญ้านุ่ม ผืนดินที่เต็มไปด้วยธารน้ำใสสะอาด แต่ผืนดินที่เต็มไปด้วยโคลนเน่าเหม็นหึ่ง อัสธาราธเพิ่งพบเห็นที่นี่เป็นที่แรก ทันทีที่กวาดตาสำรวจจนทั่ว และไม่เห็นสิ่งใดอีกนอกจากปลักโคลนเหม็นเน่า และซากตะไคร่น้ำสีดำคล้ำที่ปรากฏอยู่ทั่วไป กับตอไม้ระเกะระกะ เจ้าชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถามเพื่อนร่วมทาง

          “ที่นี่เป็นแบบนี้แต่แรก?”

          “เปล่า” ผู้ตอบคืออูห์รูน ที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาด อัสธาราธเองก็ถูกเรเธียร์จับเปลี่ยนโฉมเล็กน้อย เส้นผมที่เคยเป็นสีแดงยามนี้กลายเป็นสีเทาขุ่นๆ ผิวสีน้ำผึ้งก็กลับกลายเป็นสีเทาซีดได้ และยังสวมเครื่องแต่งกายของชาวบาดาลซึ่งนุ่มๆ ลื่นๆ จนรู้สึกจั๊กจี๋ อย่างไรก็ดี ดวงตาสีแดงนั้นมิอาจปกปิด ดังนั้นเพื่อเป็นการอำพรางอย่างเต็มที่ คนอื่นๆ ในกลุ่มจึงต้องสวมผ้าคลุมศีรษะด้วย คราวนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่รู้ว่าท่ามกลางเหล่ามังกรน้ำมีมังกรไฟแฝงอยู่ตนหนึ่ง

          “เราจำได้ ครั้งหนึ่งที่นี่เป็นหนองน้ำใหญ่น้อยที่มีพรรณไม้น้ำตื้นขึ้นสลับ มิคาดแปรเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”

          ผู้รับใช้แห่งสายน้ำกล่าวสืบต่อ เพราะมีผ้าคลุมหน้าอยู่ จึงมิทราบว่าใบหน้าเฉยชานั้นยามนี้เป็นเช่นไร อัสธาราธพยักหน้า และก้าวเดินตามอูห์รูนผ่านแอ่งโคลนเน่าไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นนอกจากพวกเขาทั้งหกตนแล้ว รอบๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอีก ในแอ่งโคลนเหม็นเน่า ยังมีคราบสีดำบางอย่างลอยอยู่ แม้กลิ่นเหม็นเน่าของโคลนผสมตะใคร่จะกลบเกลื่อนกลิ่นของมันจนแยกลำบาก แต่อัสธาราธซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนบกมานาน พอจะจำแนกได้ว่าคราบสีดำเหล่านั้นเป็นสิ่งใด ลางสังหรณ์ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทันที

          ทั้งหกตนเดินย่ำแอ่งโคลนอย่างเงียบเชียบ อัสธาราธเพิ่งรู้อีกเรื่องว่าชาวบาดาลมีฝีเท้าที่เงียบมาก ดังนั้นเพื่อให้กลมกลืน เขายิ่งต้องเพิ่มความระวังในการเดินอีกหลายเท่าตัว เดินต่อไปไม่เท่าไหร่ เศษซากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า กลิ่นเหม็นเน่าฉุนเฉียวขึ้นมาในทันใด ผู้เดินทางทั้งหมดถึงกับผงะ มองทอดไปเบื้องหน้า ท่ามกลางแอ่งโคลนและซากต้นไม้ซึ่งมีรอยดำคล้ำ ซากศพสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ทอดกายเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ไม่ต้องเดามากก็พอรู้ว่านี่คือเหล่าทหารสอดแนมที่ถูกส่งขึ้นมาก่อนหน้านี้ หลายซากเน่าเปื่อยไปเยอะแล้ว หลายซากยังพอระบุได้ว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด กลิ่นเหม็นบางอย่างที่ลอยปะปนมากับกลิ่นซากและโคลนเน่าทำให้อัสธาราธรู้สึกหวั่นวิตก มิใช่หวั่นวิตกกับชีวิตตนเอง แต่หวั่นวิตกกับพวกที่มาด้วยกันต่างหาก ความกังวลนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นเบาๆ

          “ข้าพเจ้าว่า เราควรหยุดเสียตรงนี้ก่อน”

                ทั้งห้าตนหันมามองเขาทันที คนพูดเลยพูดต่อ

          “พวกท่านทราบหรือไม่ ซากศพเหล่านี้ตายเพราะเหตุใด”

          “ย่อมเพราะถูกไฟผลาญ” ผู้ตอบยังคงเป็นอูห์รูนเช่นเดิม อัสธาราธพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

          “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงว่าพวกเราสมควรหยุดก่อนเถิด”

          “ท่านมิต้องเป็นกังวล แม้พวกเราพ่ายแพ้ต่อเปลวเพลิง แต่หากมิใช่เพลิงขนาดใหญ่ ย่อมมิอาจทำอันตรายพวกเราได้ เรามิได้อ่อนแอบอบบางเช่นเจ้าพวกประดานี้” เสียงทุ่มต่ำของผู้ร่วมทางตนหนึ่งเอ่ยขึ้น อูห์รูนส่งเสียงอย่างเห็นด้วย

          “อย่างไรเสียเราจะต้องได้ข่าวกลับไป ว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดแน่”

          “เรื่องนั้นข้าพเจ้าจะ..”

          ยังกล่าวไม่จบ ซุ่มเสียงบางอย่างก็ดังแทรกขึ้นก่อน เป็นเสียงแหวกอากาศของลูกธนูที่ทำจากไม้ขนาดเล็ก ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งคว้าตะปบเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้น พวกมันก็ถูกยิงออกมาจากรอบทิศราวกับสายฝน ท่ามกลางหาธนู อัสธาราธได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร่ายเวทย์ด้วยเสียงทุ้มต่ำ ม่านน้ำสีใสพุ่งขึ้นโอบรอบทั้งหกเอาไว้ทันที ผลักดันลูกธนูเหล่านั้นให้เบนเป้าออก และยังระเบิดเป็นวงกว้างทันทีที่ห่าธนูสิ้นสุดลง

          “พวกก๊อบลิน” เสียงคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นอีก อัสธาราธเคยเห็นก๊อบลิน สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ชั้นต่ำที่น่าขยะแขยง แต่แค่สิ่งมีชีวิตด้อยสติปัญญาพวกนั้นจะมีความคิดรุกรานอาณาจักรใต้น้ำเชียวหรือ

          แรงระเบิดของม่านน้ำชะล้างเอาคราบสกปรกและกลิ่นเหม็นเน่าออกไปได้บางส่วน และยังเผยสภาพแห่งที่ซ่อนของเหล่าก๊อบลินที่แอบอยู่หลังเศษซากตอไม้ที่กองสุมกันราวกับกิ่งไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เพียงแต่ว่าที่กองอยู่ไม่ใช่กิ่งไม้ แต่เป็นไม้ทั้งต้นต่างหาก สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำพวกนั้น ยามถูกเผยที่ซ่อน ที่ไม่บาดเจ็บล้มตายก็พากันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดคิดติดตาม เพราะทั้งหกล้วนนึกตรงกัน พวกก๊อบลินคงไม่มีสติปัญญาพอจะกล้าท้าหาเรื่องกับผู้มาจากบาดาลเป็นแน่ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง

          กองทัพก๊อบลินล่าถอยไปได้เพียงชั่วครู่ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายพร้อมด้วยกลิ่นสาปสางก็ลอยมาแตะจมูก อัสธาราธกล่าวขึ้นเป็นตนแรก

          “หมาป่า!!”

          แทบจะพร้อมกัน เสียงคำรามและเงาร่างสีดำขนาดใหญ่โตกว่าร่างกลางของเหล่าบรรดาผู้เดินทางทั้งหกราวครึ่งเท่าก็กระโจนพรวดเข้ามา ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง แต่เป็นจำนวนที่ไม่อาจนับด้วยสายตาได้ กระนั้นสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้ขวัญกำลังใจของมังกรไฟหนุ่มแห่งคอนเชียร์ลดถอยลงเลย ตรงข้ามยิ่งทำให้รู้สึกคึกคักอักโข อัสธาราธเคยเผชิญกับการโจมตีที่ร้ายแรงกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า มังกรหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เตรียมจะลงมือซัดเต็มที่ ทว่ามือแกร่งข้างหนึ่งพลันยื่นมาจับไหล่เขาไว้

          “ท่านไม่ต้อง พวกนี้ข้าพเจ้าจัดการเอง”

          ร่างสูงใหญ่ราวหินผาก้าวล้ำเข้ามาด้านหน้าของเขา แม้เจ้าชายหนุ่มจะมีร่างกลางสูงใหญ่แล้ว ยังต้องเงยหน้าถึงจะมองเห็นศีรษะของมังกรน้ำตนนี้ได้ สองแขนกำยำถูกยกขึ้นในลักษณะเตรียมพร้อม เสี้ยววินาที ร่างสูงใหญ่นั้นพลันอันตรธานหายไป หลังจากนั้นเหล่าสุนัขป่าตัวยักษ์ก็ถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว

          “มิได้เห็นฝีมือนาน คล้ายท่านพัฒนาท่าร่างให้รวดเร็วยิ่งขึ้นแล้ว”

          ซุ่มเสียงหนึ่งเอ่ยชมขึ้น หลังจากมังกรน้ำตนนั้นกลับมาหยั่งเท้า ณ จุดเดิม เหล่าสุนัขป่าที่รอดจากการโจมตีซึ่งเหลือไม่มากมิกล้าแม้แต่จะขึ้นเสียงคำรามอีก ทันทีที่ตั้งตัวได้ก็รีบเผ่นหนีออกไปจนหมดสิ้น อัสธาราธตระหนักว่าทหารกองนี้มีฝีมือไม่ธรรมดาเลย การโจมตีเมื่อครู่รวดเร็วเสียจนเขามองไม่ทัน หากได้ต่อสู้กันคงเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย

          เจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์เกิดนึกอยากประลองกำลังกับพวกประดานี้ขึ้นมาในบัดดล แต่ก็ต้องบอกตนเองว่า นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องแบบนี้ หน้าที่ตอนนี้คือสืบให้ได้ว่าพวกใดกันแน่ที่กระทำเรื่องเดือดร้อนจนกระทั่งจ้าวแห่งบาดาลต้องกรีฑาทัพเสด็จมาด้วยตนเอง

          กองทัพสุนัขป่าล่าถอยไปแล้ว ทั้งหกตนออกเดินทางต่อ ยิ่งเดินลึกเข้าไปในดงไม้ที่แห้งกรังในแอ่งโคลนเน่า กลิ่นฉุนเฉียวยิ่งหนาแน่นขึ้น เศษซากอสูรทะเลที่ถูกส่งขึ้นมาก่อนหน้านอนตายเรียงรายไปตลอดทาง คล้ายต้องการข่มขวัญผู้มาใหม่ แต่กระนั้นมังกรน้ำทั้งห้าตนก็ยังก้าวเดินอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว คงจะมีเพียงมังกรไฟแห่งคอนเชียร์เท่านั้น ที่ยิ่งเดินนานไปยิ่งรู้สึกว่าควรจะรีบหยุด

          อัสธาราธมิได้กลัวตนเองจะเป็นอันตราย แต่หวั่นเกรงแทนพวกมังกรน้ำประดานี้ต่างหาก

          เจ้าชายหนุ่มสู้ศึกมามาก เห็นมาหลายกลยุทธ์ ระหว่างย่ำลงไปในแอ่งโคลนเน่า มังกรหนุ่มตรึกอยู่หลายอย่าง ใครกันหนอที่มีอำนาจบังคับทั้งฝูงก๊อบลิน ทั้งฝูงสุนัขป่าพวกนั้น ใครกันที่ทำลายผืนดินแห่งนี้ ทั้งยังคราบสีดำพวกนั้นอีก

          เพราะคราบสีดำนั้นแหละ อัสธาราธถึงได้เป็นกังวลนัก แม้มิใช่สหายเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ก็เป็นสหายร่วมรบ เจ้าชายหนุ่มมีใจอารีและรักสหายร่วมรบของตนในยามสงครามเสมอมา และไม่ต้องการให้ไปเผชิญกับอันตรายโดยไม่มีเหตุผลจำเป็น

          “พวกท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าน้ำมันดิบหรือไม่?”

          มังกรไฟแห่งคอนเชียร์เอ่ยทำลายความเงียบ หลังจากทั้งหมดเพิ่งผ่านดงไม้แห้งมายังลานโคลนกว้าง เหมือนทั้งห้าตนชะงักร่างไปแว้บหนึ่ง อูห์รูนเป็นผู้เอ่ยออกมา

          “มันคือสิ่งใดเล่า?”

          คำถามนี้ทำให้อัสธาราธรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าการเดินทางนี้จำต้องหยุด เจ้าชายหนุ่มเร่งพูดต่อ

          “เช่นนั้นพวกท่านเร่งหาที่กำบังก่อนเถิด ลานโล่งกว้างเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับพวกท่านแน่ เดี๋ยวข้าพเจ้าจะอธิบายเรื่องราวให้พวกท่านฟัง”

          ขณะที่ทั้งห้าตนกำลังมองดูมังกรผู้มาจากคอนเชียร์อย่างงุนงงนั้น เสียงปรบมือพลันดังขึ้น พร้อมกับซุ่มเสียงที่ดังลอยมา

          “มิคาด มิคาด ชาวบาดาลยังมีผู้รู้จักน้ำมันดิบ หรือว่าเจ้ามิใช่ชาวบาดาล?”

                ทั้งหกตนหันหน้ามองหาที่มาของเสียง แต่รอบๆ ไม่ปรากฏสิ่งใดนอกจากลานโคลนกว้าง เสียงนั้นดังขึ้นต่อ

          “ข้าพเจ้าคาด พวกท่านทั้งหมดล้วนเป็นชาวบาดาลระดับสูง ผู้ใดมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าจงก้าวออกมา ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากจะเจรจา”

          อูห์รูนส่งเสียงขึ้นทันที

          “พวกเรามิมีใครเป็นผู้นำ หากต้องการเจรจาใยเจ้ามิปรากฏกายออกมาก่อน ทำเช่นนี้คล้ายต้องการเล่นไม่ซื่อแต่ต้น”

          “ถึงข้าพเจ้าอยากปรากฏกายก็มิใช่ทำได้ง่ายๆ ผู้ใดจะประกันว่าพวกท่านจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า”

          “เราประกันเอง” อูห์รูนเอ่ย เสียงเดิมถามต่อ

          “ท่านมีสิ่งใดรับประกันได้ เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้เห็นฝีมือพวกท่านแล้ว คล้ายพวกท่านสั่งสมความแค้นกับข้าพเจ้ามานมนาน ไหนเลยข้าพเจ้าจะออกไปเจอหน้าได้”

          อัสธาราธพลันรู้สึก เจ้าของเสียงนี้มีพฤติกรรมน่าเกลียดอย่างยิ่งยวด เป็นฝ่ายโจมตีก่อนแท้ๆ แต่กลับโบ้ยโทษให้ผู้อื่น โดยลืมคำนึงถึงมารยาท เจ้าชายหนุ่มเอ่ยสวนไปทันที

          “กล่าววาจาได้น่าคลื่นเหียน ทั้งหมดนี่เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หากยังมิแสดงตัวออกมาเราจะทำลายที่นี่เสีย”

          เสียงจุ๊ปากดังขึ้นทันที

          “ท่านไม่อาจทำลายที่นี่... ณ ดินแดนนี้ อำนาจแห่งสายชลของพวกท่านเข้าไม่ถึง หรือพวกท่านไม่รู้? ลองมองบรรดาซากเหล่านั้นที่พวกท่านเดินผ่านมาดู ทั้งหมดนั่นข้าพเจ้าทำไปเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น”

          อัสธาราธขยับตัวทันที รู้สึกร่ำๆ อยู่เต็มทีจะเผาที่นี่ให้วอด เพื่อให้ฝ่ายนั้นแสดงตนออกมา มือของอูห์รูนยื่นมาดึงไหล่ของเขาไว้

          “อย่าเพิ่งใจร้อน เราต้องทราบ มันเป็นผู้ใด กระทำเรื่องนี้เพราะเหตุผลใด”

          “หากต้องการทราบ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใด รับประกันมาว่าพวกท่านทั้งหมดจะไม่ทำร้ายหากข้าพเจ้าปรากฏตัวออกไป”

          “เราประกันให้ท่าน ด้วยศักดิ์ผู้รับใช้แห่งอิลห์ลาริน”

          “โอ้!!” เสียงเดิมอุทาน ก่อนจะพูดต่อ “เช่นนั้นเปิดเผยใบหน้าของท่าน ข้าพเจ้าต้องการทราบ ท่านคือผู้รับใช้ที่แท้จริง”

          อูห์รูนปลดผ้าคลุมหน้าออก เรือนผมสีฟ้าเทาปรากฏให้เห็นแก่สายตา รวมถึงผิวกายขาวละเอียด ยามต้องแสงแดดคล้ายจะเปล่งประกายได้ เสียงปริศนาเงียบไปพักใหญ่

          “งดงาม งดงามยิ่งนัก นี่หรือคือโฉมหน้าของชาวบาดาล ผู้อื่นเล่า ปรากฏโฉมให้ข้าพเจ้าชมได้หรือไม่”

          อูห์รูนกล่าวตัดบททันที ด้วยไม่ต้องการให้ความแตก

          “ผู้อื่นล้วนไม่น่าดูเท่าเรา ปรากฏตัวออกมาได้แล้ว”

          เสียงนั้นหัวร่อขึ้น

          “หากท่านกล่าวเช่นนั้น ข้าพเจ้าย่อมไม่เซ้าซี้ต่อ แต่กระนั้นข้าพเจ้ายังทราบ มีอีกผู้หนึ่งที่มีรูปโฉมงดงาม”

          ขณะเสียงกล่าว กลุ่มควันสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใช้เวลาไม่นานก็รวมตัวกันเป็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำสนิท ขอบปลายเสื้อผ้าขลิบดิ้นทองเป็นอักษรเวทย์ประหลาด ได้ยินเสียงผู้เดินทางพึมพำขึ้นทันที

          “จอมเวทย์!”

          “อา...ใช่ ข้าพเจ้าเป็นจอมเวทย์ ขอแนะนำตัวแก่พวกท่าน ข้าพเจ้ามีนามรุซซาร์ค ตั้งแต่ยังเด็กข้าพเจ้ามีความปรารถนาประการหนึ่ง...”

          หูของอัสธาราธพลันไม่ได้ยินเสียงใดเสียแล้ว ทันทีที่ได้เห็นร่างของเสียงปริศนา ห้วงสมองพลันระลึกได้ทันที ความขมขื่น ความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เรื่องที่ตนหล่นลงในห้วงน้ำกว้าง สาเหตุเพราะจอมเวทย์ผู้นี้

          จอมเวทย์ชาวมนุษย์ที่โผล่เข้ามาในตอนท้าย มิทันได้ตั้งตัว มิทันได้เตรียมสิ่งใด กับการลอบโจมตีอย่างน่ารังเกียจ เพลิงโทสะในใจมังกรหนุ่มพลันลุกท่วมขึ้นมาทันที เขาก้าวเท้าออกไปอย่างลืมตัว กางสองมือออก ตระเตรียมจะเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ไปต่อหน้าต่อตา ทันใดนั้นมือแกร่งข้างหนึ่งก็กดร่างของเขาเอาไว้ด้วยกำลังรุนแรง อัสธาราธในยามลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะไม่ทันได้คิดถึงการห้ามปราม พลันปัดมือนั้นออก อาศัยจังหวะพุ่งตรงออกไปทันที ได้ยินเสียงรุซซาร์คอุทานขึ้น

          “ท่านผิดคำสัญญาแล้ว”

          เงาร่างสีดำพลันสูญสลายไปทันที อัสธาราธที่พุ่งออกไปถึงกับเสียหลัก เขาหยุดยืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยสีหน้าแตกตื่น

          “ท่านทำเราเสียเรื่อง!!” น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจถูกเอ่ยออกมาจากกลุ่มผู้ร่วมทาง แต่ดูเหมือนเจ้าชายหนุ่มมินำพากับน้ำเสียงนั้น อัสธาราธรีบพูดตอบ

          “พวกท่านรีบหลบ รีบกลับไปยังผืนน้ำ เร่งรีบกลับให้เร็วที่สุด เร็วเข้า!!!”

          พูดยังไม่ทันขาดคำ ของเหลวสีดำสนิทถูกสาดเข้ามาจากทุกทิศทาง อัสธาราธเบิ่งตากว้าง รีบปราดเข้าไปหาพวกที่ยืนอยู่ทั้งหก

          “เร่งรีบหนีไป!!!”

          เจ้าชายหนุ่มกล่าว พลางถอดผ้าคลุมออกบังของเหลวสีดำนั้นไว้ กลิ่นของมันฉุนเฉียวจนแม้แต่อูห์รูนผู้มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจยังต้องเอ่ยปากถามด้วยอาการงงงัน

          “นี่เป็นสิ่งใด?”

          “น้ำมันดิบ”

          อัสธาราธเอ่ยตอบ และรีบพูดต่อ

          “รีบกลับไปหาราชาของท่าน ระวังอย่าให้ร่างต้องเปลวเพลิงเป็นอันขาด ของเหลวพวกนี้ติดไฟได้ง่าย พวกที่ตายก่อนหน้านี้ล้วนถูกสิ่งนี้ทั้งนั้น”

          สีหน้าของอูห์รูนตระหนกกว่าเดิม รีบกล่าวตอบ

                “พวกมันหวังจะฆ่าเราแต่แรก?”

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ7 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 6/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-07-2012 06:20:35
          อัสธาราธพยักหน้า

          “ข้าพเจ้าเคยพบพานจอมเวทย์นี้มาแล้ว มันกลิ้งกลอกชั่วร้าย คงหวังจะทำร้ายท่านเพื่อให้องค์ราชันย์ปรากฏตัวเป็นแน่”

          “องค์ราชัยน์ย่อมไม่ปรากฏตัวเพราะเรื่องแบบนี้หรอก” อูห์รูนกล่าวเสียงหนัก อัสธาราธทั้งมิสั่นศีรษะทั้งมิพยักหน้า ได้แต่กล่าวย้ำ

          “เร่งไป!! รายงานต่อราชาของพวกท่าน อย่างไรอย่าให้พระองค์ปรากฏตัวเด็ดขาด เราคาด เจ้ารุซซาร์คคงหวังล่อพระองค์ออกมาสังหาร เพื่อครอบครองน่านน้ำแห่งอิลห์ลารินเป็นแน่”

          “ไม่มีผู้ใดสังหารองค์กษัตริย์ได้” อูห์รูนกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ผลักไสอีกฝ่าย

          “รีบไป รีบไป!!”

          กล่าวไม่ทันขาดคำ ธนูไฟห่าหนึ่งก็ถูกยิงเข้ามา แม้พวกชาวบาดาลจะไม่ได้ถูกน้ำมันดิบอาบร่าง แต่รอบๆ ล้วนเป็นแอ่งน้ำมัน ดังนั้นเมื่อธนูไฟตกลงบนพื้น ทั่วทั้งพื้นที่จึงกลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ถึงตอนนี้พวกทั้งหมดเริ่มแตกตื่นกันแล้ว

          “นี้...เป็นไปไม่ได้!!!!”

          ข้ารับใช้อุทาน ตระหนกจนหน้าถอดสี แม้ทั้งหมดจะเป็นทหารกล้า แต่อย่างไรก็เป็นชาวน้ำ ย่อมมิอาจทนทานต่อเปลวเพลิงใหญ่เช่นนี้ อัสธาราธคำรามอย่างหงุดหงิดใจ

          “ข้าพเจ้าบอกแล้วให้ท่านรีบไป!”

          ยังไม่ทันที่อูห์รูนจะหาวาจาใดมากล่าวตอบ ร่างกายของเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์ก็พลันขยายใหญ่ขึ้น เกล็ดสีแดงแผ่กระจายไปทั่ว ผู้รับใช้เพิ่งตระหนัก ร่างจริงของเจ้าชายแห่งแดนภูเขาไฟใหญ่โตนัก เพียงย้ำเท้าลงบนแอ่งโคลนก็ดับไฟไปได้กว่าครึ่ง แต่ก็เพียงเท่านั้น ไม่นานไฟก็ลามเลียขึ้นไปบนร่างกายใหญ่โต เนื่องเพราะน้ำมันดิบที่อาบอยู่

          “เจ้าชาย!!”

          “ข้าพเจ้าจะส่งพวกท่านกลับ” อัสธาราธกล่าวอย่างไม่รอช้า ก้มหัวลง ช้อนเอาพวกนั้นทั้งหมดและเหวี่ยงออกไปยังทิศทางที่เดินเข้ามา ได้ยินเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้น

          “อย่าให้พวกมันรอดไปได้!!!”

          ห่าธนูไฟถูกยิงตามออกไป เจ้าชายหนุ่มสยายปีกออกรับลูกธนูเหล่านั้น แผงปีกอ่อนบางพลันถูกแทงทะลุ ถึงกระนั้นก็ยังพอจะกันห่าธนูนั้นได้ อัสธาราธคำรามเสียงก้อง

          “โผล่หัวออกมา เจ้ามนุษย์!!”

                “โอ้... เจ้ามังกรไฟเมื่อตอนนั้น” รุซซาร์คเอ่ย แต่ยังมิยอมปรากฏกายออกมา อัสธาราธเหลียวมองไปรอบๆ นอกจากทะเลเพลิงตรงหน้าแล้ว ยังไม่มีกองทัพใดปรากฏอีก รอบๆ ล้วนเป็นดงไม้แห้งตายกว้างสุดลูกหูลูกตา ไกลลิบๆ เหมือนมีแท่นอะไรบางอย่างมีควันพวยพุ่งออกมาอยู่

          “ไม่ยักรู้ว่ามังกรแห่งคอนเชียร์จะรอดมาจากสายน้ำแห่งอิลห์ลารินได้ ดูท่าตำราของข้าพเจ้าจะเขียนผิดไปบ้าง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจ้าวแห่งอิลห์ลารินจะเลี้ยงดูมังกรไฟเช่นท่านด้วย”

          “หุบปาก!!”

          อัสธาราธคำราม กวาดหางฟาดไปทั่วบริเวณ เศษซากกิ่งไม้ปลิวว่อน ยิ่งเพิ่มเชื้อไฟให้ปะทุขึ้นอีก ตอนนี้มังกรหนุ่มตกอยู่กลางทะเลเพลิงอย่างสมบูรณ์แบบ เปลวเพลิงสีแดงแทบจะกลืนไปกับร่างกายใหญ่โตนั้น

          เสียงนั้นเงียบไป พลันมีลมสายหนึ่งพัดวูบ

          “อย่าได้คิดหนี!!”

          เสียงคำรามดังกึกก้อง เปลวเพลิงที่ลามอยู่รอบตัวพลันม้วนเป็นก้อนใหญ่ พุ่งเข้าใส่สายลมที่พัดผ่านไป ได้ยินเสียงอุทาน ก่อนที่ร่างสีดำจะปรากฏขึ้นกลางอากาศ ที่ทราบว่ามนุษย์หากสำเร็จเวทย์มนต์จนถึงระดับจอมเวทย์ ย่อมข้ามขีดจำกัดของร่างกายได้หลายอย่าง จนแทบจะเรียกว่ามนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่นิสัยเจ้าเล่ห์ที่มีติดตัวมาเท่านั้น ดังนั้นแม้เวลาล่วงเลยมากว่าห้าสิบปี รุซซาร์คยังมีมีโฉมหน้าแบบเดิมไม่เปลี่ยน นัยน์ตาสีแดงของอัสธาราธเบิ่งกว้างอย่างเคียดแค้น คมเขี้ยวขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่ปราณี รุซซาร์คซึ่งลอยอยู่ในอากาศประกาศเสียงก้อง

          “เผา!!!”

          น้ำมันดิบถูกราดลงมาอีก เปลวเพลิงลามลุกขึ้นเรื่อยๆ แม้แผนนี้จะใช้ได้ผลดีกับมังกรน้ำ แต่พอมาพบกับมังกรเพลิงผลที่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กระนั้นดูรุซซาร์คจะมีสีหน้าพอใจกับเรื่องดังกล่าว

          “อยากฆ่าข้าหรือ? เจ้ามังกรไฟโง่ เช่นนั้นจงไล่ตามข้าให้ทันสิ”

          เงาร่างสีดำหายวูบไปอีกครั้ง อัสธาราธแม้ร่างกายจะถูกเพลิงลุกท่วม แต่ยังพอจับกระแสลมได้ ปีกที่ขาดทะลุก็สมานดีแล้ว ขยับวูบเดียวก็มาขวางหน้าจอมเวทย์เอาไว้ สายลมขยับหนีไปทางทิศอื่น กระนั้นยังถูกมังกรสีแดงเพลิงตามอย่างไม่ลดละ

          ระหว่างที่ไล่ติดตามจอมเวทย์ ในหัวของอัสธาราธพลันฉุกคิดถึงบางอย่าง คล้ายจอมเวทย์ไม่คิดจะหนีจริงๆ ดั่งต้องการหลอกล่อให้เขาวิ่งไปวิ่งมา แต่เพื่อสิ่งใดเล่า?

          มังกรไฟหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบ

          “อย่าเพิ่งหยุด เด็กน้อยของเรา”

          ลักษณะการพูดและน้ำเสียงดูคุ้นเคยยิ่งนัก ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานก็รู้ว่าเป็นพระสุระเสียงขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ อัสธาราธถึงกับงงงั้น ด้วยนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงได้ยินเสียงขององค์กษัตริย์ในยามนี้ หนำซ้ำเสียงคล้ายดังก้องอยู่ในหัว หรือจอมเวทย์นั่นใช้เล่ห์กลบางอย่างทำให้เกิดเสียงหลอน ได้ยินน้ำเสียงเดิมกล่าวต่อ

          “เราติดต่อกับเจ้าผ่านสายน้ำ ไม่รู้สึกเลยหรือ?”

          อัสธาราธเพิ่งรู้สึก ได้ฝ่าเท้ามหึมาของตนคล้ายมีน้ำเอ่อ ยังไม่ได้ทันจะได้ก้มมองดี เสียงของจอมกษัตริย์ก็ดังขึ้นต่อ

          “อย่าให้ศัตรูรู้ตัว เจ้าจงแสร้งว่ากำลังไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ เราทราบแล้วว่ามันจงใจจะให้เจ้าวิ่งไล่ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เพลิงแผดผลาญแผ่นดินบนนั้นจนวอดวายหมดสิ้น”

          มังกรหนุ่มมองไปรอบๆ มองเห็นทุ่งเพลิงกว้างสุดลูกหูลูกตา เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าตนเองเป็นต้นเพลิงทั้งหมด แต่ไม่ทราบจะกล่าวโต้ตอบกับองค์กษัตริย์เยี่ยงไร น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยช้าๆ

          “มันคงคาด หากแผ่นดินถูกแผดเผา เราต้องอยู่ไม่ติดที่ หากดินแดนแห่งนี้ถูกเพลิงผลาญ ไหนเลยจะยังความอุดมสมบูรณ์ไว้อีก หากไม่มีแอ่งน้ำ ไม่มีสิ่งใด ไหนเลยชาวบาดาลจะเหยียบย่างขึ้นมาได้ แน่นอนเราหวั่นเกรงข้อนี้ แต่เรามีชีวิตมาเนิ่นนานยิ่ง ย่อมไม่หลงกลอุบายตื้นๆ เช่นนี้ ดังนั้นอ้อนวอนเด็กเจ้าจงเสแสร้งต่อ ไล่ตามมันไปพลางสังเกตไปพลาง แหล่งน้ำมันดิบอยู่ที่ใด ใช่อยู่ลึกไปบนแผ่นดินหรือไม่? มองหามันให้กับเรา เราต้องการทำลายต้นตอความวิบัตินั่นให้สิ้นซาก”

          อัสธาราธแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเชื่อฟังใครง่ายๆ เสมอมา ด้วยมีนิสัยดื้อรั้นในตัวเป็นหลัก แต่ยามนี้กลับรู้สึกเชื่อถือต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเป็นยิ่งยวด คล้ายดั่งต้องมนต์สะกด อาจเพราะไม่เคยพบผู้ใดทำให้ตนทั้งตกประหม่าหน้าซีดได้ขนาดนี้ ยังไม่เคยพบผู้ใดทรงอำนาจถึงเพียงนี้ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตเอาไว้

          มังกรหนุ่มเสแสร้งไล่ตามจอมเวทย์ต่อ พลางสอดส่ายสายตามองหาแหล่งน้ำมันดิบที่ว่า

          ชาวคอนเชียร์นั้นมีการติดต่อในแง่สงครามกับพวกมนุษย์มากกว่าเหล่าชาวน้ำ เรื่องน้ำมันดิบสำหรับอัสธาราธจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เขาเคยพบแท่นขุดของมันมาแล้ว ส่วนใหญ่อยู่บนผืนทรายกว้าง เพิ่งเคยพบเห็นอยู่ใกล้ผืนทะเลนี่แหละ

          ด้วยร่างกายมหึมา ใช้เวลาไม่นานก็สังเกตเห็นแท่นขุดอยู่ไกลออกไปลิบๆ ขณะกำลังตรึกว่าจะติดต่อกับองค์กษัตริย์ด้วยวิธีใด น้ำเสียงนุ่มก็ดังขึ้นอีกครา

          “เราทราบแล้วจากจิตของท่านที่ไหลตามสายน้ำ วิงวอนท่านอีกเรื่อง มิทราบกองทหารของมันมีจำนวนมากเพียงใด”

          “ข้าพเจ้ามิอาจบอกจำนวนแน่ชัด คาดว่ามีมากพอสมควร แต่นอกจากเหล่าพวกก๊อบลินและหมาป่าแล้ว ยังไม่รู้ว่าจอมเวทย์ผู้นี้มีเล่ห์กลใดอีก ข้าพเจ้าเคยมันมาก่อน เรียนต่อพระองค์มันเป็นผู้เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายยิ่งนัก”

          “เราน้อมฟังคำเตือนของเจ้า”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตรัสตอบ อัสธาราธรู้สึกเหมือนน้ำใต้ขาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทอดตาออกไปก็พบว่าไม่ได้คิดไปเอง ยามนี้พื้นดินเบื้องล่างมีน้ำเอ่อท่วม เหมือนรุซซาร์คเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน

          “มาแล้วหรือ ท่านจ้าวแห่งสายชล!!”

          รุซซาร์คได้ยินมานานแสนนาน ได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของพละอำนาจแห่งสายน้ำ กระนั้นด้วยความละโมบและมั่นใจในแผนการซับซ้อนของตน จึงมุ่งหวังจะทำลายองค์กษัตริย์ที่ปกครองท้องน้ำมาเนิ่นนาน เพื่อตั้งจนเป็นเจ้าของผืนนทีกว้าง หลังจากอดทนทดลองอยู่หลายสิ่ง ในที่สุดก็พบวิธีจะหลอกล่อองค์กษัตริย์ให้ขึ้นมาบนบก รุซซาร์คมีความมั่นใจ มิว่าเป็นมังกรน้ำรูปแบบใด หากขึ้นบกมาแล้วไซร้ ย่อมมิอาจอวดฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่เป็นแน่ ต้องพลาดพลั้งเสียทีในที่สุด ที่คาดไม่ถึงคือจ้าวแห่งสายน้ำยังเลี้ยงมังกรไฟไว้อีกตนหนึ่ง แต่แม้คาดไม่ถึง ด้วยมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่อง ยังสามารถดึงสิ่งคาดไม่ถึงนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดูจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น อีกไม่นานองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คงปรากฏโฉม หากปรากฏเมื่อไร กับดักที่ตระเตรียมไว้จะทำงานในทันที

          แต่รุซซาร์คคาดไม่ถึง คาดไม่ถึงจริงๆ คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าอำนาจแห่งผืนน้ำจะยิ่งใหญ่เหนือประมาณมากถึงเพียงนี้ ที่ปรากฏต่อหน้าเขามิใช่มังกรตัวยักษ์ มิใช่สัตว์ประหลาดขนาดเขื่องใดๆ แต่เป็นคลื่นสูงแทบจรดขอบฟ้า ไอน้ำทะเลเค็มเฝื่อนพุ่งมากระทบใบหน้า ปลายหางตาถูกถ่างจนแทบฉีก ไม่ว่ากับดักหรือเล่ห์กลใด คงมิอาจต้านอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้

          อัสธาราธได้แต่ยืนตะลึง ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็นผืนน้ำด้วยซ้ำ พวกเขาเดินเข้ามาลึกพอสมควร แต่บัดนี้ ผืนน้ำมาปรากฏตรงหน้า ซ้ำยังตั้งสูงแทบจะชนกับขอบฟ้า แลเห็นปรายฟองม้วนตัวอยู่บนยอดคลื่นสูงขึ้นไปลิบๆ หากถูกคลื่นสูงขนาดนี้ซัด ต่อให้ร่างกายใหญ่โตมีรากงอกหยั่งลงไปในดิน ก็คงปลิวกระเด็นออกไปอยู่ดี ที่สำคัญ สายน้ำนี้มิใช่ของหลอกเล่น เป็นสายน้ำจริงๆ ไฟบนตัวอัสธาราธถูกละอองน้ำเค็มที่ปลิวเข้ามาซัดจนดับ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่แห่งสายน้ำ สัญชาตญาณส่วนลึกของมังกรไฟถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้ง

          หากถูกสายน้ำนี้กลืนกิน เปลวเพลิงแห่งคอนเชียร์คงสูญสิ้น

          จะอย่างไรอัสธาราธก็ถือกำเนิดบนเกาะที่ล้อมรอบด้วยเปลวเพลิง แม้เคยผ่านห้วงน้ำแห่งอิลห์ลารินมาถึงสองครั้งสองครา ก็ยังมิอาจคุ้นชินกับสายน้ำได้ และเมื่อพบกับอำนาจมหาศาลเช่นนี้ ต่อให้มีขวัญกล้าเพียงใด คงไม่อาจสยบความหวาดกลัวเอาไว้ได้ กระนั้นเจ้าชายหนุ่มสาบานกับตัวเองไว้แล้ว จะอย่างไรต้องไม่หันหน้าหนีเด็ดขาด

          อัสธาราธหยั่งเท้าลึกลงไปในโคลน เตรียมรับคลื่นน้ำนั้นเต็มที่ มิว่าจะเป็นอย่างไร หวาดกลัวแค่ไหนก็จะไม่ยอมหนีอีก เขาเคยหนีมาหนหนึ่งแล้ว และจะไม่มีหนที่สอง ท่ามกลางเสียงคำรามของฝืนน้ำ ซุ่มเสียงอ่อนโยนดังขึ้นเบาๆ

          “เรามารับเจ้าแล้ว”

------------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: zhiki ที่ 08-07-2012 06:36:50
 :z2:

// ได้จิ้มไว้ก่อน ยังไม่ได้เม้น สมองอย่างเบลออ

อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ได้กลับมาอ่านอีกทีก็ยัง .. :-[

อัสธาธาร  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 08-07-2012 07:48:28
ตื่นเต้นๆ
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 08-07-2012 09:22:21
อ่านอีกรอบก็ปลื้มเรเธียร์
แบบว่าสวยเท่สุขุมมาก ปลื้ม

ส่วนอัสราธารแบบเด็กน่ารักจริงจัง แต่ก็มีส่วนเป็นผู้ใหญ่ เป็นมังกรที่เท่มาก
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 08-07-2012 16:01:54
อ่านแล้วชอบคิดถึงก่งก๋งคงฉ่วย อิอิ
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: l2ozen ที่ 08-07-2012 22:59:09
ยิ่งอ่านยิ่งเชียร์ให้กดทารกเล่น
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 08-07-2012 23:40:08
>[]<
หัวข้อ: Re: [อัพรวด2ตอนจ้ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ9 P.2 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 8/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-07-2012 11:20:57
10 : ทิฐิของจอมกษัตริย์

          รสชาติของการจมน้ำทะเลอัสธาราธเคยทดลองแล้ว แต่กับคลื่นแรงขนาดนี้เขาเพิ่งเคยเผชิญเป็นครั้งแรก เกลียวคลื่นยักษ์พัดม้วนทุกอย่างเข้าไปในตัวของมัน ราวกับจะบดขยี้ อย่าว่าแต่หยัดยืนอยู่กับที่ ตอนนี้ร่างกายใหญ่โตหมุนวนอยู่ในห้วงน้ำอย่างไร้ทิศทาง ถูกเกลียวคลื่นหฤโหดกระแทกซัดจนวิงเวียนไปหมด น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักเข้าปากเข้าจมูก ในความพร่าเลือนของฟองอากาศสีขาว นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันปรากฏขึ้น อัสธาราธเหมือนได้ยินเสียงตัวเองพึมพำ

          “พระองค์มาแล้ว...”

          “ดื่มโลหิตเราเสีย” น้ำเสียงราวปรายฟองดังสะท้อนก้อง ร่างสีดำเลื่อมน้ำเงินขนาดโตจนไม่อาจจินตนาการพาดเข้ามา อัสธาราธอ้าปากขย้ำลงไปบนเกล็ดขนาดใหญ่นั้นเต็มแรง เลือดสีน้ำเงินพราวกระจายฟุ้งไปทั่วผืนน้ำที่ม้วนวนเกิดเป็นวงประหลาด คล้ายร่างมโหฬารนั้นสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด กระนั้นมังกรไฟหนุ่มซึ่งอยู่ในห้วงภาวะคับขันมิได้นำพา สัญชาตญาณแห่งการรักษาชีวิตเหนี่ยวนำให้บดซี่ฟันลงไปลึกขึ้น ดื่มกินโลหิตจากร่างใหญ่โตนั้นอย่างบ้าคลั่ง จวบจนหายใจในน้ำได้คล่อง จึงค่อยดึงสติกลับมาได้

          “เด็กน้อยเจ้าคิดจะกินเรา?”

          น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยคล้ายติดตลก ร่างมโหฬารพลันเลอะเลือนกลายเป็นเกลียวคลื่นสีน้ำเงิน ก่อนจะกลับมารวมกันอีกครั้ง รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม

          “แลดูเด็กน้อยเจ้าดูตัวใหญ่ขึ้นมากว่าครั้งนั้นเล็กน้อย”

          อัสธาราธรู้สึกตกประหม่าทันที โดยปกติหากคืนร่างมังกรแล้วย่อมไม่อยากกลับไปสู่ร่างกลางง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกหากต้องเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ สู้ลงไปเผชิญกันในร่างกลางจะดีกว่า อย่างน้อยส่วนสูงยังเหนือกว่ากันบ้างเล็กน้อย เกล็ดสีแดงค่อยๆ เคลื่อนสลับตำแหน่ง ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าองค์กษัตริย์ ทันใดนั้นผู้มีเรือนผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง

          “บาดแผลนั่น...?”

          แม้ถูกเรือนผมสีน้ำเงินบดบัง แต่บาดแผลฉกรรจ์บนเนินไหล่ขาวก็มิอาจถูกปิดได้หมด กษัตริย์แห่งสายน้ำหัวร่อเบาๆ

          “บาดแผลเล็กน้อย เจ้าอย่าได้กังวล”

          แม้จะกล่าววาจาเช่นนั้น แต่ขนาดบาดแผลไม่เล็กน้อยดั่งคำพูดเลย อัสธาราธเหม่อมองอย่างรู้สึกผิด ท้ายที่สุดองค์กษัตริย์จึงดึงคอเสื้อขึ้นปิดมันเสีย ก่อนจะกล่าวสืบต่อ

          “เราไม่คาดเลยว่าผืนดินจะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เพิ่งรู้สึกตัวว่าสายน้ำรอบตัวหยุดลงแล้ว ยามนี้ทั้งเขาและองค์กษัตริย์ลอยอยู่เหนือผืนดินเน่าเฟะ โดยมีห้วงน้ำกว้างช่วยพยุง

          “พระองค์บันดาลให้น้ำท่วม?”

          อัสธาราธถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นองค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ก็พลันตระหนักถึงอำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นมาได้ หากต้องถูกน้ำท่วมเช่นนี้ ดินแดนแห่งคอนเชียร์คงไม่เหลือซากแน่ๆ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกการเสียสละของตนคุ้มค่าที่สุดแล้ว มองเห็นจ้าวแห่งสายน้ำแย้มยิ้ม

          “เจ้าว่าเราโหดร้ายหรือไม่?”

          อัสธาราธเหลียวมองไปรอบกาย พลทหารแห่งบาดาลในรูปร่างต่างๆ ทะยานผ่านผืนน้ำเข้ากลุ้มรุมศัตรูที่อยู่ในสภาพมิอาจต่อต้านอะไรได้อีก สีเลือดสาดกระจายไปทั่วคุ้งน้ำ พาให้รู้สึกสยดสยอง เพราะตนเองก็เคยเผชิญสภาพเช่นนี้มาก่อน พอเห็นอีกฝ่ายมิตอบคำถาม องค์กษัตริย์จึงทรงทอดถอนใจจนเป็นฟองพราว

          “เราทราบ ความจริงเราเป็นผู้โหดร้าย”

          “หามิได้!”

          อัสธาราธรีบกล่าว ก่อนจะพูดต่อเร็วปรื๋อ

          “ข้าพเจ้ายอมรับ เคยพบพานเรื่องน่ากลัวในสายน้ำของพระองค์ ยอมรับว่าภาพตรงหน้าสยดสยอง แต่นี่เป็นการทำศึก ผู้ใดเลยจะหลีกเลี่ยงความโหดร้ายได้ ในฐานะที่พระองค์เป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรเป็นที่สุดแล้ว”

            “แต่เราทำเด็กเจ้าเกือบตาย ใช่หรือไม่?”

          คนถูกถามสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ายังไม่ตาย ท่านอย่าได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้”

          “อืม...” จ้าวแห่งสายน้ำพึมพำในลำคอ ก่อนจะแหงนพระพักตร์ขึ้น กล่าวถ้อยคำ

          “คล้ายยังเหลือตัวเสนียดใหญ่รอดอยู่อีกตัวหนึ่ง”

          พูดจบพลันทะยานร่างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว มังกรหนุ่มว่ายตามขึ้นไปทันที
 

          รุซซาร์คลอยตัวอยู่เหนือฝืนน้ำด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น น้ำจากมหาสมุทรไหลท่วมสูงมิดยอดไม้ อำนาจใดเลยจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้รอดจากสายน้ำ แต่มองไปทิศใดก็พบเห็นแต่ห้วงนทีกว้าง ขณะพยายามหาหนทางหนี เกลียวน้ำสายหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นมา

          ละอองน้ำต้องแสงแดดเป็นประกายพราวระยับ กระนั้นเรือนผมสีน้ำเงินและดวงหน้าผุดผาดที่ปรากฏขึ้นหลังม่านละอองน้ำนั้น ยิ่งดูระยิบระยับยิ่งกว่า จอมเวทย์พลันชะงักสายตา ด้วยมิคาดในโลกจะมีสิ่งสวยงามถึงเพียงนี้ ใช้ชีวิตมายาวนานหลายร้อยปี ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งใดงดงามเช่นนี้มาก่อน ร่างกายนั้นมิได้ตกแต่งอัญมณีใดเป็นพิเศษ มิได้สวมใส่เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าสวยหรูใด แต่กลับดูงามสง่าจนมิอาจบรรยายได้

          ในความสวยงาม น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยขึ้นช้าๆ ชัดๆ

          “ผู้ล่วงละเมิดดินแดนแห่งอิลห์ลาริน จักต้องได้รับโทษทัณฑ์”

         
          อัสธาราธว่ายขึ้นไปยังไม่ทันถึงผิวน้ำ ก็พบบางสิ่งบางอย่างร่วงหล่นลงมา เสื้อผ้าสีดำขลิบทองแบบนั้น ย่อมเป็นจอมเวทย์ผู้นั้นไม่ผิดแน่ แต่เหตุไฉนถึงได้ร่วงหล่นลงมาในน้ำด้วยสีหน้าหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า ยังมิทันได้คิดหาคำตอบ มือเรียวก็ยื่นมาจับไหล่เขาเอาไว้

          “คิดจะติดตามเราขึ้นไปบนผิวน้ำ? หรือเด็กเจ้ายังดื่มเลือดมิพอ?”

          ใบหน้าสวยงามขององค์กษัตริย์พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังจนคนถูกถามเกิดอาการหวั่นเกรง รีบสั่นศีรษะ

          “มิได้ ข้าพเจ้ามิปรารถนาทำร้ายพระองค์อีก”

          “เช่นนั้นอย่าได้ขึ้นไปเหนือผิวน้ำ เราคาดคงเหลือเลือดไม่มากพอให้เด็กเจ้าดื่มเล่น”

          เจ้าชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่าเมื่อครู่หน้ามืดเพราะกลัวตายจริงๆ ไม่รู้ว่าดื่มกินไปเท่าไร แต่คงมากเสียจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากบอก คิดแล้วช่างน่าอับอายเป็นยิ่งนัก

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำพิศดูสีหน้ามังกรหนุ่มพลันหัวร่อเบาๆ

          “สีหน้าเด็กเจ้าไฉนทำเราขบขันอีกแล้ว อืม...เจ้าสร้างผลงานน่าประทับใจ ไว้กลับถึงอัลโดรธ์เมื่อไหร่ เราจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม”

            อัสธาราธเงยหน้ามององค์กษัตริย์ก่อนเอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้

          “จอมเวทย์นั่น!”

          ยังไม่ทันจะหันกลับไปมอง เงาร่างสีดำสนิทก็ว่ายเฉี่ยวศีรษะไป แค่แวบเดียวร่างกายของเจ้าชายหนุ่มพลันสั่นกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม

          “ผู้พิทักษ์แห่งเรา เหมือนเจ้าเคยพบแล้ว..”

          น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย อัสธาราธพยักหน้า เขาเคยพบผู้พิทักษ์ที่ว่า และแทบเอาชีวิตไม่รอด ไม่นึกเลยแค่ได้พบอีกเพียงเสี้ยววินาที อาการหวาดกลัวก็ผุดพุ่งออกมาเสียแล้ว องค์กษัตริย์ลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

          “เรารับรองจะไม่ให้เด็กเจ้าพบเจออีก”

          เจ้าชายหนุ่มพลันสั่นศีรษะ

          “มิได้ ข้าพเจ้าหวาดกลัวจริง แต่ข้าพเจ้ามิปรารถนาจะหวาดกลัวไปโดยตลอด ดังนั้น.....”

          มังกรแห่งคอนเชียร์พลันเบือนหน้าไปด้านหลังช้าๆ แทบจะหยุดหายใจ ผู้พิทักษ์แห่งอิลห์ลารินรูปร่างแปลกประหลาด จะเป็นปลาก็ไม่ใช่ จะเป็นคนก็ไม่เชิง คล้ายเป็นหลายสิ่งหลายอย่างปะปนกัน เกล็ดสีดำคล้ำออกเลื่อมพรายสีใดนั้นยากจะบอก แถมมิได้ปกคลุมไปตลอดตัว แต่ปกคลุมอยู่บางส่วน หูยาวเป็นครีบมีเดือยแหลมงอกยื่นสั้นบ้างยาวบ้างอย่างไร้รูปแบบ นัยน์ตาสามคู่ที่เรียงลำดับจากส่วนที่ดูจะเป็นใบหน้ายาวไปจนถึงบนศีรษะ สีเหลืองปูดโปน ฟันยาวยื่นสีขาวออกคล้ำ ร่างกายใหญ่โต สภาพน่าเกลียดน่ากลัวเกินจะบรรยาย

          ผู้พิทักษ์ที่ปรากฏตรงหน้า มิใช่มีเพียงหนึ่งตน แต่มีราวๆ ห้าตน ทั้งห้าตนกำลังว่ายล้อมจอมเวทย์ซึ่งพยายามจะดิ้นรนหนีห้วงความตายสุดชีวิต พวกมันไม่ได้เข้าโจมตีในทีเดียว ต่างตนต่างโฉบทึ้งส่วนต่างๆ จากร่างเล็กนั่นราวกับต้องการสร้างความทุกข์ทรมานให้เหยื่อ อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตากว้าง ยามนี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นชิงชังต่อจอมเวทย์อีก ในหัวมีความคิดเพียงแต่ต่อสู้กับความหวาดกลัวที่ผุดพุ่งขึ้นในจิตใจ

          เหตุการณ์เช่นนี้เขาเองก็เคยเผชิญมาก่อน

         
          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำทอดพระเนตรดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ทรงทราบเป็นเวลานานแล้วว่าผู้พิทักษ์ของพระองค์มีนิสัยโหดร้าย และแม้แต่พระองค์เองยังมิอาจทนดูผู้พิทักษ์เหล่านี้จัดการกับเหยื่อ แต่อาคันตุกะซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกพวกบรรดานั้นทำร้าย กลับพยายามจะเผชิญหน้ากับสิ่งดังกล่าว

          เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนหวาดกลัว

          ฉับพลันภาพของใครคนหนึ่งพลันซ้อนขึ้นมาในห้วงความคิด ใครคนนั้นที่ประทับอยู่ในดวงใจของพระองค์มาเนิ่นนาน ความกล้าหาญที่มีช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน

          องค์กษัตริย์พลันสืบเท้าไปตรงหน้าอย่างลืมตัว เอื้อมมือจะคว้าร่างตรงหน้าไว้ แต่ก็พลันระลึกรู้สึกตัว

          นี่มิใช่นางผู้นั้น....

            ความปวดแปลบแล่นสะท้านจากขั้วหัวใจไปตลอดเส้นประสาท ตั้งแต่ดำรงพระชนม์มายังไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน องค์กษัตริย์ถึงกับผงะร่าง คราแรกคิดว่าหัวใจของพระองค์อาจจะกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ครั้งอดีต แต่พอสำรวจร่างกายอีกที จึงพบว่าบาดแผลบริเวณเนินไหล่ขยายตัวลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนแผ่พุ่งออกมาตามรอยพุพองบนบาดแผล ระลึกได้ทันทีว่าไม่เคยถูกสิ่งมีชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนแห่งเพลิงกาฬทำร้ายมาก่อน ความร้อนระอุทำร้ายพระวรกายจากภายใน คล้ายดั่งพิษร้ายที่เริ่มลามไปทั่ว เรเธียร์เงยหน้าขึ้นมองมังกรไฟหนุ่มตรงหน้า คาดไม่ถึงเลยว่านี่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต บาดแผลเช่นนี้ปล่อยให้ลุกลามย่อมไม่เป็นการดีแน่ แต่จะแก้ไขอย่างไรเล่า....

          ขณะที่กำลังตรึกถึงเรื่องบาดแผลอย่างจริงจัง อัสธาราธก็เบือนหน้ากลับมา องค์กษัตริย์พยายามปั้นสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด พลางเอ่ยปากถาม

          “หายหวาดกลัวแล้ว?”

          คนถูกถามไม่สั่นศีรษะ ทั้งไม่พยักหน้า ได้แต่ยืนกะพริบตา สักพักใหญ่จึงเอ่ยปาก

          “ท่านบาดเจ็บ?!”

---------------------------------------------------

            อัสธาราธพูดอะไรไม่ออกตลอดทาง ระหว่างพยายามต่อสู้กับความกลัวในจิตใจของตนเอง ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปรของสายน้ำเบื้องหลัง คล้ายองค์กษัตริย์ที่มีท่าร่างมันคงในฝืนน้ำมาโดยตลอด ซวดเซไปเล็กน้อย สมองของมังกรหนุ่มพลันฉุกคิด เรื่องใดเล่าทำพระองค์ยังกายไว้ไม่อยู่ได้ ครั้นพอหันกลับไปจึงได้พบเห็นบาดแผลที่กำลังลุกลามกว้าง ผู้สร้างบาดแผลฉกรรจ์นั้นย่อมมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง ดูคล้ายแม้ร่างกายขององค์กษัตริย์จะสมานตัวเองได้รวดเร็ว แต่กับบาดแผลที่เกิดจากปากของมังกรไฟแล้ว การสมานนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ กระนั้นองค์กษัตริย์เองยังยืนยันหนักแน่น ว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องน่ากังวล ทั้งยังฝืนพระวรกายคืนร่างเดิมเพื่อดำเนินกลับสู่อัลโดรธ์ ตลอดทางในห้วงน้ำลึกล้ำ เลือดสีน้ำเงินพรายไหลซึมออกจากปากแผลโดยตลอด

          ระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังจ้าวแห่งสายน้ำ อัสธาราธลืมความหวาดกลัวในตัวของพระองค์จนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกผิดจับขั้วหัวใจ มือกว้างแนบลงไปบนแผ่นเกล็ดหนา คล้ายต้องการถ่ายทอดความรู้สึกของตนให้พระองค์ได้รับรู้

          หากโอบกอดสรีระนี้แล้วพาดำเนินลงไปเองได้ ตัวเขาเองก็พร้อมที่จะทำ....

-----------------------------------

          องค์กษัตริย์ทรงพระประชวนทันทีที่เสด็จถึงอัลโดรธ์ หรือจะพูดให้ถูกคือเพิ่งได้พักการตรากตรำพระวรกายที่บาดเจ็บ บาดแผลนั้นฉกาจฉกรรจ์เพียงใดมิมีผู้ใดมีโอกาสพบเห็น นอกเสียจากแพทย์หลวงและผู้รับใช้ใกล้ชิดนามอูห์รูน ตอนแรกอัสธาราธยังมีความหวังว่าหลังจากผ่านการร่วมรบด้วยกัน ข้ารับใช้ผู้นี้จะรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาบ้าง แต่พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ความไม่พอใจที่มีอยู่ก่อนหน้าคล้ายถูกถมเพิ่มเข้าไปอีก เจ้าชายหนุ่มไม่กล้าอยู่สู้หน้าผู้รับใช้ กระนั้นก็อยากจะฟังความคืบหน้าของพระอาการ วันหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าไปถาม

          “องค์กษัตริย์ มีพระอาการเช่นไร?”

          อูห์รูนมีสีหน้าดั่งรูปปั้นเช่นเคย กระนั้นก็ยังเอ่ยปากตอบคำถาม

          “ไม่ดีเท่าไหร่”

          อัสธาราธสีหน้าสลดลงทันที ขณะที่คิดหาคำพูดต่อ เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “เราทราบ ท่านมิได้ตั้งใจจะทำร้ายพระองค์ พระองค์ไม่ถือโทษท่าน เราก็ไม่ถือโทษท่าน ทรงมีพระดำรัสมา ว่าหากท่านปรารถนาสิ่งใดให้จัดหาให้ท่าน แม้พระองค์จะไม่อาจเสด็จไปส่งท่านได้ในยามนี้ แต่จะเขียนพระราชสาส์นให้ท่านเป็นการส่วนพระองค์ และฝากมอบถึงองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ด้วย”

          เจ้าชายหนุ่มนิ่งงันไปพักใหญ่ มองดูผู้รับใช้อยู่นาน ก่อนสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ามิต้องการจะไปในตอนนี้”

          สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววสนเท่ห์อย่างเห็นได้ชัด ไม่รอให้ทางนั้นเอ่ยปาก อัสธาราธรีบพูดต่อ

          “ให้ข้าพเจ้าเข้าไปดูอาการของพระองค์ได้หรือไม่?”

          “ทรงไม่ต้องการพบผู้ใด” ผู้รับใช้ตอบคำในทันที อัสธาราธมองหน้าเขาอีกพักหนึ่ง จึงเอ่ยสั้นๆ

          “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์”

------------------------------------------

          อูห์รูนนำอัสธาราธมาจนถึงหน้าห้องบรรทม หลังจากหยุดยืนอยู่พักหนึ่ง จึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง โดยสั่งให้เจ้าชายหนุ่มยืนรอก่อน

          ยืนรออยู่พักหนึ่ง ผู้รับใช้จึงเปิดประตู

          “เข้ามา”

          อัสธาราธเพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเยือนห้องบรรทมขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเป็นครั้งแรก สิ่งที่สะดุดตาดุจะเป็นรูปสลักหญิงสาวที่อยู่ตรงผนังห้อง แต่เจ้าชายหนุ่มไม่มีแก่ใจจะชมความงามของรูปสลักมากนัก นัยน์ตาสีแดงเพลิงกวาดสำรวจไปรอบห้อง ก่อนจะพบแท่นบรรทมอยู่ถัดออกไป หน้าแท่นมีฟองอากาศสีขาวผุดพรายขึ้นราวกับม่านกั้น อัสธาราธก้าวเท้าไปช้าๆ นอกจากตัวเขาและอูห์รูนแล้ว ในห้องไม่มีผู้ใดอยู่อีก

          “มีเรื่องใด?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น แม้ไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงนั้นไม่แจ่มใสเหมือนทุกที หัวใจของมังกรหนุ่มหวิววูบ

          “ข้าพเจ้าต้องการมาดูพระอาการของพระองค์”

          “เรามิเป็นอะไรมาก เด็กเจ้ามิต้องวิตก”

          “เช่นนั้นข้าพเจ้าขอพบพระพักตร์?”

          เสียงราวฟองคลื่นเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา

          “เรื่องนั้นคล้ายไม่จำเป็นเท่าใดนัก”

          “เรเธียร์!” การเอ่ยชื่อเฉยๆ ยังความไม่พอใจให้แก่ผู้รับใช้เป็นอันมาก แต่ที่หนักข้อกว่านั้นคือพฤติกรรมของเจ้าชายหนุ่ม มิใช่เพียงแต่เรียกชื่อองค์กษัตริย์ห้วนๆ กระทั่งยังพยายามจะแหวกม่านฟองเข้าไปหาพระองค์ถึงแท่นบรรทมอีกด้วย พบเหตุเช่นนี้มีหรืออูห์รูนจะไม่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ผู้รับใช้ปราดเข้าไปหมายจะคว้าตัวเจ้าชายเอาไว้ด้วยอารมณ์โทสะ แต่ดูจะช้าไปเพียงครู่ เมื่อผู้มาจากเบื้องบนหายเข้าไปในม่านฟอง

          “องค์กษัตริย์!!”

          อูห์รูนได้แต่ส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง เขามิอาจฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเข้าไปหลังม่านฟองนี้ได้ แต่ผู้นั้นได้บุกรุกเข้าไปแล้ว จะให้เขาทำอย่างไรดีเล่า ได้ยินเสียงของผู้เป็นที่เคารพตอบกลับ

          “เรา..ไม่เป็นไร”

          อัสธาราธยืนเผชิญหน้าอยู่กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่ทอดพระกายอยู่บนแท่นบรรทม สีหน้าที่เคยแย้มยิ้มพริ้มพรายดูซูบซีดไปถนัด บาดแผลพุพองลุกลามมาจนแทบจะถึงใบหน้า ดูได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหลับตาลงด้วยความสลด

          “ข้าพเจ้า.....”

          มังกรหนุ่มกล่าวได้แค่นั้นก็พลันคุกเข่าลง ซบใบหน้าลงกับขอบหินซึ่งเป็นแท่นบรรทมด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่มิอาจอธิบายได้ ได้ยินเสียงตรัสอ่อนโยน

          “เราไม่ต้องการให้เจ้าเห็นเราในสภาพนี้เลย เด็กเอย”

          มือเรียวเลื่อนมาลูบศีรษะของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากต่อ

          “นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นเราที่ประเมินพลาดเอง อืม...ชีวิตหนึ่งย่อมต้องมีเรื่องพลาดพลั้งกันบ้าง”

          “แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่!” เจ้าชายหนุ่มโพล่ง เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ซูบซีดขององค์กษัตริย์ ผู้ถูกมองยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

          “เรื่องใหญ่ใดเล่า แม้เราสิ้นชีวิตไปยามนี้ รับรองได้ไม่มีผู้ใดถือโทษเจ้า และไม่มีผู้ใดเดือดร้อน แม้จะโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของชีวิต อีกอย่าง เรามีชีวิตในร่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว การตายสำหรับเราคล้ายการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้นเอง”

            อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองอย่างตระหนก

          “ความทรงจำของท่านเล่า? เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านยังจดจำชุดเก่าได้อยู่หรือ? หากไม่มีความทรงจำ จะถือเป็นตัวท่านได้อีกหรือ หากพบกันในร่างใหม่ ท่านจะยังรู้จักข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้ายังมิอยากให้ท่านจากไป ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านเลย”

          มือเรียวยังคงลูบศีรษะที่มีเรือนผมสีแดงนั้นอย่างเอ็นดู พลางกล่าวตอบคำ

          “ถึงเรามิสิ้นในยามนี้ อีกไม่นานเราก็สิ้นอายุขัยอยู่ดี ถึงอย่างไรเจ้ามิอาจรั้งชีวิตเราเอาไว้ได้หรอก”

          “เช่นนั้น พระองค์อยู่ต่อไปอีกไม่ได้หรือ อยู่ต่อไปจนสิ้นอายุขัยของพระองค์ อย่าได้สิ้นเพราะตัวข้าพเจ้าเลย”

          “เรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว บาดแผลไม่อาจรักษา ความร้อนของเจ้าเป็นภัยกับร่างเราจนเกินไป นับเป็นความผิดพลาดของเราทั้งหมด”

          “ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าไม่มีทางรักษา” อัสธาราธกล่าวออกมา องค์กษัตริย์เพ่งนัยน์ตามองเขาอย่างงุนงง

          “เจ้ามีความรู้?”

          ผู้ถูกถามพลันสั่นศีรษะ กล่าวต่อ “ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ด้านการรักษา เผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้าไม่เคยนิยมการรักษา กระนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาแพทย์ของเผ่าพันธุ์ท่านกลับเป็นที่ร่ำลือในดินแดนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากเรียนถามพระองค์สักเรื่องหนึ่ง ครั้งก่อนตอนพระองค์ช่วยข้าพเจ้าไว้ ทรงใช้วิธีใดเยียวยาบาดแผลข้าพเจ้าเล่า?”

          “เรื่องนั้น.....” น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยค้างได้แค่นั้น ก่อนจะเบือนหน้าไปทิศอื่น

          “วิธีนั้นย่อมไม่อาจใช้กับเราได้”

          “เพราะเหตุใด?”

          “เนื่องเพราะมีเพียงเราเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนั้น ผู้อื่นไม่อาจทำได้”

          “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ” อัสธาราธตอบ มองดูองค์กษัตริย์อย่างงุนงง ผู้นอนอยู่บนเตียงดูมีสีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

          “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอเพียงรับรู้ หากเราสิ้นมิใช่ความผิดของเจ้า”

          “ข้าพเจ้าต้องการรับรู้ ท่านรักษาข้าพเจ้าด้วยวิธีใด”

          “เจ้าจะรู้ไปเพื่อเหตุใด?”

          “เพราะข้าพเจ้าจะใช้วิธีนั้นรักษาให้ท่าน”

          “ไม่ได้!”

          เรเธียร์กล่าวเสียงหนักแน่น มังกรหนุ่มถามต่อ

          “ทำไมเล่า? บอกแก่ข้าพเจ้าเถิด มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจำต้องเดาเอาเอง”

          “เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา เราบอกไม่มีคือไม่มี ไม่ได้คือไม่ได้!”

          น้ำเสียงขององค์กษัตริย์ดูขุ่นเคืองขึ้นมาทันใด อัสธาราธมองดูร่างที่นอนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอดถอนใจ

          “ข้าพเจ้าเพิ่งทราบ คนสูงวัยเช่นท่านบางทีกลับถือทิฐิไม่เข้าท่า แม้ท่านตัดสินใจจะสิ้นไปแบบนี้แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป”

          “เจ้า!”

          องค์กษัตริย์ตวาดด้วยโทสะ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง มังกรหนุ่มก็ทะลึ่งตัวเข้ามา แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของพระองค์ เรียวลิ้นร้อนฉ่าชำแรกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย เรเธียร์ตกตะลึงจนลืมขยับตัว นอนนิ่งให้อีกฝ่ายคว้านปลายลิ้นไปจนทั่วโพรงปาก อัสธาราธถอนริมฝีปากออกหลังจากนั้น ดึงอาภรณ์ที่ปกปิดเรือนร่างขององค์กษัตริย์ออก และแนบริมฝีปากลงไป

          ความเย็นซ่านผสมกับความอุ่นร้อนแผ่กระจายไปทั่วสรรพางกายอย่างรวดเร็ว อัสธาราธแนบจูบประโลมไปทั่วบาดแผล ได้สักครู่หนึ่งก็โน้มตัวลงจูบองค์กษัตริย์ใหม่ ครั้งนี้ผู้มีวัยสูงกว่ามีท่าทีฮึดฮัดขึ้นมานิดหน่อย แต่พอริมฝีปากแตะถูกบาดแผล เสียงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายก็ตามมา

          บาดแผลฉกรรจ์สร้างความทุกข์ทรมานให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมานานหลายเวลาแล้ว พอได้ประสบกับความเย็นซ่านแบบแปลกๆ เช่นนี้ แม้ขุ่นเคืองอยู่ในพระทัย แต่ก็ยินยอมให้มังกรหนุ่มดำเนินการกระทำต่อ อัสธาราธแนบริมฝีปากสลับกันไปเช่นนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงพบว่าบาดแผลค่อยๆ สมานตัวอย่างช้าๆ สีหน้าของมังกรหนุ่มดีขึ้นในบัดดล

          “ข้าพเจ้าคาดถูก น้ำลายท่านที่แท้มีฤทธิ์รักษาได้”

          มือเรียวรีบยื่นมาปิดปากนั้นไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ

          “ผู้ใดใช้ให้เจ้าพูดเสียงดัง นี้เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้มาก่อน”

          “ทำไมเล่า?” เจ้าชายหนุ่มถาม หลังจากอีกฝ่ายยอมยกมือออกไปแล้ว องค์กษัตริย์เบือนหน้าไปทางอื่น

          “หากผู้อื่นรู้ มิถ่อมาให้เราเลียทั้งวันหรือ”

          “แต่ท่านเคยเลียข้าพเจ้า”

          มือเรียวยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้อีกรอบ ครั้งนี้อัสธาราธดึงออก

          “ครั้งนั้นข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านหมายจะรับประทานข้าพเจ้าเป็นอาหาร เพิ่งมานึกได้ว่าบาดแผลของข้าพเจ้าหายขาดหลังจากนั้นไม่นาน”

          “ตอนนั้นเราเพียงอยากทดลองชิมเลือดมังกรไฟดูหรอก”

          องค์กษัตริย์ตรัสเสียงค่อย ยังคงเบือนพระพักตร์ไปในทิศอื่น ได้ยินเสียงมังกรหนุ่มหัวร่อเบาๆ

          “ชิมแล้วเป็นอย่างไร ถูกปากท่านหรือไม่?”

          “หากถูกปาก ไหนเลยเราจะปล่อยเจ้าไว้”

          “เช่นนั้นเป็นโชคดีที่เลือดข้าพเจ้าไม่อร่อย”

          อัสธาราธกล่าว และยิ้มกว้าง

          “บาดแผลท่านรักษาได้ ข้าพเจ้าจะรักษาให้ท่าน”

          เรเธียร์ยังไม่ทันกล่าววาจาใด ริมฝีปากร้อนฉ่าก็แนบมาอีกคราหนึ่ง

--------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: misso ที่ 09-07-2012 18:41:28
ดันบวกจิ้ม อะฮึ้บ~

อยากบอกว่าชอบเรเธียร์มากๆเลย รักคน(มังกร)แก่ :o8:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 09-07-2012 19:14:03
-,,-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 09-07-2012 19:59:22
อร๊ายยยยยย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 09-07-2012 20:10:54
วิธีรักษา  o13
ขออีกได้ไหม
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 09-07-2012 20:20:40
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: พิรุณสีเงิน ที่ 09-07-2012 20:43:05
วิธีรักษามัน  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaeonly ที่ 09-07-2012 20:46:01
ค้างอย่างแรง  ไงต่อดีน้ออออออออออออออ :z1: :z1: :z1:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 09-07-2012 22:29:38
เลียกันเพลินไปเลย 555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ10 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 9/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-07-2012 09:11:40
11 : ในห้วงจิตถวิลหา

          อัสธาราธได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเป็นการส่วนตัวหลังม่านน้ำอีกหลายวัน อาการดีวันดีคืนหลังจากนั้นทำให้ผู้รับใช้นามอูห์รูนมีความสงสัยอยู่ในจิตใจเป็นยิ่งนัก พอเอ่ยปากถามกับองค์กษัตริย์เองก็ถูกปฏิเสธกลับมา คล้ายกับวีธีรักษานั้นเป็นความลับยิ่งนัก โดยปกติอูห์รูนเป็นคนเชื่อฟังคำกล่าวขององค์กษัตริย์เสมอมา แต่ด้วยไม่เคยได้ยินว่ามังกรไฟมีความสามารถในการรักษา แม้ถูกองค์กษัตริย์บอกกล่าวแล้วก็ยังไม่อาจทิ้งข้อสงสัยนั้นลงไปได้ วันหนึ่งขณะกำลังจะออกไปค้นหาตัวยามาทำโอสถบำรุงให้องค์กษัตริย์บังเอิญสวนกับเจ้าชายแห่งคอนเชียร์

          “ท่าน....”

          “เรามีนามอูห์รูน เรียกเราอูห์รูน”

          อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย อัสธาราธมิทราบสมควรทำหน้าเยี่ยงไรเมื่อพบกับผู้รับใช้ตนนี้ จึงพยายามแค่นรอยยิ้มตอบกลับไป

          “อนุญาตให้ข้าพเจ้าเรียกชื่อตรง?”

          “มีเหตุใดแปลก? นอกจากองค์กษัตริย์ ด้วยฐานะเช่นท่านสามารถเรียกชื่อผู้อื่นตรงๆ ได้”

          “อ้อ...” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์พยักหน้า พลางรู้สึกคล้ายถูกสั่งสอนทางอ้อม แม้รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ยังตระหนักรู้ว่าอยู่ในเขตอำนาจผู้ใด หากก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นมายามนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่แท้ จึงฝืนกล่าวสืบต่อ

          “ท่านกำลังจะไปที่ใด?”

          “ออกไปหาตัวยามาปรุงโอสถให้กับองค์กษัตริย์” อูห์รูนตอบ อัสธาราธทำท่าจะอ้าปากต่อ แต่ถูกอีกฝ่ายชิงถามขึ้นก่อน

          “วันนี้ท่านไม่ไปเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์?”

          “มิต้อง” อัสธาราธกล่าว ยังไม่ทันจะพูดต่อ อูห์รูนก็กล่าวขึ้นอีก

          “เช่นนั้นท่านสะดวกไปเก็บตัวยากับเรา?”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ตั้งแต่พบเห็นหน้ากัน ข้ารับใช้ผู้นี้คล้ายไม่ชมชอบขี้หน้าตนมาแต่ต้น ยิ่งเป็นสาเหตุให้องค์กษัตริย์ได้รับบาดเจ็บบางตาย ยิ่งถูกสายตาสีฟ้าเทามองอย่างจงเกลียดจงชัง ที่จริงอัสธาราธตั้งใจจะช่วยเหลือเรื่องหาตัวยาจริง แต่ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะออกปากชวนก่อน อึ้งอยู่เป็นนานจึงพยักหน้าออกไปได้

          นัยน์ตาสีฟ้าเทาเหลือบมองมาอีกพักหนึ่ง จึงพยักหน้าตอบ

          “ตามเรามา”

----------------------------------

          สถานที่เก็บตัวยาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพระราชวังยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินมากนัก เป็นหน้าผาลึกหน้าผาหนึ่ง เป็นหนที่สองที่อัสธาราธได้นั่งบนร่างมังกรของอูห์รูน

          “ที่นี่เรียกว่าอะไร?” เจ้าชายหนุ่มถามหลังจากผู้รับใช้แห่งอิลห์ลารินปล่อยเขาลงสู่ยอดผาและคืนสู่ร่างกลาง

          “หุบผาเสียงสะท้อน” ข้ารับใช้ตอบสั้นๆ แต่ทำให้ผู้ถามคิ้วขมวด

          “เรียกชื่อเช่นนี้ ใช่มีที่มา?”

          “ย่อมมีที่มา” อูห์รูนกล่าวพลางพลิ้วกายลงไปในปากเหว ทำให้อัสธาราธต้องกระโดดตามลงไปด้วย

          หุบผาลึกแม้ลึกพอสมควร แต่พอกระโดดลงมาแล้วร่างกายกลับมิได้ร่วงละลิ่วเหมือนยามอยู่บนบก คล้ายค่อยๆ ลอยลงมามากกว่า ริมขอบผามีพรรณไม้ใต้น้ำสีสันแปลกตามากมาย อัสธาราธชมดูจนตะลึงลาน ระหว่างนั้นคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

          “นี่นี่มีผู้อื่นอาศัยอยู่?” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยปากถามอีกครา อูห์รูนสั่นศีรษะ

          “ที่นี่มิมีผู้ใดอาศัยอยู่”

          อัสธาราธรู้สึกงงงันวูบ “ได้ยินเสียงพูดคุยอยู่ชัดๆ ใยบอกมิมีผู้ใดอยู่อาศัย”

          “ออ...” อูห์รูนส่งเสียงในลำคอ พลางกล่าวสืบต่อ “รบกวนเจ้าชายเงี่ยหูสดับฟังให้ชัดๆ คงจะจำได้ว่าเป็นเสียงผู้ใด”

          อัสธาราธอดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้ กระนั้นก็ยังสู้อุตส่าห์ทำตามคำแนะนำ เสียงกระซิบกระซาบคล้ายดังขึ้นมาบ้างนิดหน่อย

          “วันนี้ท่านมิต้องไปเฝ้าองค์กษัตริย์?” “มิต้อง” “เช่นนั้นท่านสะดวกไปเก็บตัวยากับเรา?”

          ถ้อยคำคล้ายเคยได้ยิน น้ำเสียงก็คุ้นหู นัยน์ตาสีแดงเบิ่งโพลง

          “ข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำที่พวกเราสนทนากันเมื่อครู่!”

          อูห์รูนพยักหน้าและกล่าวสืบต่อ “หุบผานี้สะท้อนเสียงที่อยู่ในภวังค์ความคิด มิมีผู้ใดทนอยู่กับเสียงของความของตนได้ เราจึงบอกท่าน ที่นี่มิมีผู้ใดอาศัยอยู่”

          “อา...ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์กล่าวพลางพยักหน้า หันไปมองหน้าข้ารับใช้ พลางนึกสงสัยว่าอูห์รูนได้ยินเสียงใดบ้างรึเปล่า

          “ท่านมาที่นี่บ่อยหรือไม่?”

          “ย่อมไม่บ่อย เรามิชอบได้ยินเสียงสนทนา”

          “ออ” อัสธาราธพยักหน้าอีกครา อูห์รูนเหลือบมองเจ้าชายแห่งคอนเชียร์แวบหนึ่ง และเอ่ยขึ้น

          “เราอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง?”

          “?”

          “ท่านใช้วิธีใดรักษาองค์กษัตริย์?”

          “อ้อ...” อัสธาราธร้อง ก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องนี้พระองค์สั่งห้ามมิให้ข้าพเจ้าบอกผู้ใด?”

          อูห์รูนพยักหน้า ในเมื่อองค์กษัตริย์แสดงพระประสงค์จะปกปิดเช่นนี้ ก็ไม่ควรหาเรื่องสอบถามเพื่อรบกวนพระราชหฤทัย แต่กระนั้นยังคงมีข้อสงสัย

          “เราสังเกตเห็นพระโอษฐ์ดูบวมแดงผิดปกติ นี่ใช่ผลสืบเนื่องจากการรักษา?”

                อัสธาราธพลันรู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้า ตะกุกตะกักถามออกมา

          “พระโอษฐ์ดูบวมขึ้นจริงๆ ?”

          “ย่อมจริง ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เอ่ยถามท่าน” อูห์รูนกล่าวและเบือนหน้ากลับมามองผู้พูด ใบหน้าที่ยามปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใดกลับปรากฏแววแตกตื่น

          “ท่านเป็นอะไรแล้ว ไฉนใบหน้ากลายเป็นสีแดงเยี่ยงนั้น?”

          “!”

          เสียงพูดของอูห์รูนได้ยินชัดก็จริง แต่เสียงกระซิบในห้วงคำนึงคล้ายดูจะดังกว่า

          “ริมฝีปากขององค์กษัตริย์นุ่มนวลชวนให้อยากสัมผัสซ้ำเป็นยิ่งนัก”

            “ผิวกายก็ละเอียดละมุนลิ้น หากได้สัมผัสยิ่งกว่านี้....”

            “หากได้ยลพระสิริโฉมใกล้ชิดมากกว่าที่เป็นอยู่”

            “หาก...”

          อัสธาราธพลันยกมือขึ้นตบบ้องหูตัวเองฉาดใหญ่ จนรู้สึกหูอื้อตาลาย ได้ยินเสียงอูห์รูนอุท่านซ้ำ
“เจ้าชาย!!!”

                อัสธาราธหันกลับไปมอง พลางฝืนยิ้ม

          “ท่านมิต้องตกใจ ข้าพเจ้ากำลังรักษาโรคของตนเองอยู่”

          “โรค?” อูห์รูนทวนคำด้วยสีหน้าสนเท่ห์ “เมื่อครู่ท่านไม่สบาย?”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รีบพยักหน้า และกล่าวสืบต่อ “นี่เป็นโรคเฉพาะของชาวคอนเชียร์ ท่านมิต้องตกใจหากพบเห็นข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้อีก โรคนี้ไม่ร้ายแรง ย่อมสามารถหายได้เองในระยะเวลาหนึ่ง”

          อูห์รูนพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไม่เคยพบเห็น ผู้ใดรักษาโรคด้วยการตบบ้องหู แต่สีหน้าของเจ้าชายก็กลายเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น คงต้องจดจำไว้ว่าพวกมังกรไฟมีวิธีรักษาโรคประหลาดแบบประหลาดๆ
 

          อัสธาราธนึกสาปแช่งตัวเอง ใยต้องคิดลามกแบบนั้นกับองค์กษัตริย์ด้วย นี่มิใช่เรื่องสมควรแม้จะจินตนาการด้วยซ้ำ พอได้ยินเสียงแช่งด่าตัวเองดังเตือนสติอยู่ในหัว จึงพอจะมีสติกลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ

          “ท่านต้องการหาตัวยาใด”?

          มองเห็นข้ารับใช้เอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ทะเลสีสันคล้ายรุ้งเลื่อมพรายมียอดเป็นพุ่มกลม ยามถูกเด็ดเห็นละอองคล้ายเกสรกระจายวาบเป็นสีสันสดใสกระจายแล้วเลือนหายไป

          “ท่านต้องการต้นพวกนี้” อัสธาราธถามอีกครา คนถูกถามพยักหน้า

          “ต้องการอีกสองต้น ท่านช่วยเรามองหา หากพบอย่าได้ทดลองเด็ดเอง เกสรนี้มีพิษอยู่”

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์พยักหน้า และถามต่อ “นี่เรียกว่าต้นอะไร?”

          “ผู้พยุงจิต” อูห์รูนตอบ คนฟังอดไม่ได้ต้องขมวดคิ้วกับชื่อเรียก คล้ายข้ารับใช้ยังพอมีแก่ใจอธิบายต่อ

          “องค์กษัตริย์แม้ทรงพระสิริโฉมงดงาม ไร้ร่องรอยความแก่ชรา แต่พระวรกายนี้ดำรงมานานนัก ยิ่งถูกอาการบาดเจ็บสาหัสรุมเร้าย่อมมิอาจรองรับดวงจิตแกร่งกล้านั้นได้อย่างเต็มที่อย่างที่ผ่านมา เรามีความเป็นห่วงจึงจำต้องจัดโอสถไปถวาย”       

          “ออ” เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าอีกครา คล้ายเคยได้ยินองค์กษัตริย์ตรัสถึงเรื่องนี้เช่นกัน ที่ว่าดวงจิตดวงเดิมจะจุติเพื่อกลับมาหยั่งลงยังร่างใหม่เพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ

          “หากร่างกายมิอาจรองรับดวงจิตนั้นได้ จะเกิดสภาพเช่นไรเล่า”

          “ดวงจิตย่อมละทิ้งร่างเดิม เพื่อเปลี่ยนไปสู่ร่างใหม่ที่แข็งแกร่งพอจะทนทานอำนาจจิตนั้นได้”

          อัสธาราธพลันรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งร่าง นั่นมิใช่หมายถึงการสิ้นสูญขององค์กษัตริย์หรอกหรือ? แม้ทราบว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนร่างใหม่ แต่ความทรงจำในร่างนี้ย่อมต้องเลอะเลือนไปยามดวงจิตเคลื่อนออก มังกรหนุ่มรีบสอดส่ายสายตามองหาตัวยาที่ว่าทันที

          ระหว่างนั้นคล้ายได้ยินเสียงตนเองกล่าวถ้อยคำ
“ความทรงจำของท่านเล่า? เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านยังจดจำชุดเก่าได้อยู่หรือ? หากไม่มีความทรงจำ จะถือเป็นตัวท่านได้อีกหรือ หากพบกันในร่างใหม่ ท่านจะยังรู้จักข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้ายังมิอยากให้ท่านจากไป ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านเลย”

                หนำซ้ำยังคล้ายเห็นพระพักตร์องค์กษัตริย์ลอยเลื่อนมาในห้วงความคิด

          อัสธาราธเบือนสายตาไปมอง ประสบกับวัตถุรูปร่างประหลาด ทรงกลมเป็นพุ่มหนาสีเลื่อมพราย ทรงกลมนั้นอยู่ใกล้จนแทบจะทิ่มเข้าไปในลูกนัยน์ตา ยามประสบพบ พุ่มกลมพลันกระเพื่อมเหมือนกำลังเต้นระบำ ละอองเกสรกระจายวาบเข้าสู่ใบหน้า ได้ยินเหมือนเสียงอูห์รูนอุทาน

          “แย่แล้ว!”

--------------------------------------------

          วินาทีนั้นอัสธาราธคล้ายรู้สึกเหมือนถูกคลื่นใหญ่ถ่าโถม เพียงแต่ไม่คล้ายคลื่นน้ำ คล้ายคลื่นควันสีเลื่อมพราย ดำบ้าง ขาวบ้าง มีสีสันบางสลับกันไป ประสาทการรับรู้ทั้งห้าเหมือนถูกจับหมุนควงสว่าน ไม่สามารถแยกแยะทิศทาง รับรู้เสียง รสชาติ หรือความรู้สึกใดเพื่อให้คำจำกัดความได้ ระหว่างที่กำลังงุนงงแตกตื่น ก็พลันพบว่าตนเองถูกซัดกระเด็นเข้ามาในไอม่านควันบางอย่าง สีสันแปลกตา หมุนคว้างลอยอยู่โดยรอบ

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์มองไม่เห็นตัวเอง คล้ายรับรู้ทุกอย่างโดนสภาพจิต ไม่รู้สึกร้อนหนาว ไม่รู้สึกว่าตนเองเคลื่อนที่ แต่กลับรู้สึกเหมือนกลุ่มควันรอบๆ เคลื่อนผ่านไป

          กลุ่มควันพร่าเลือน บางคราสีออกคล้ำ บางคราใสคล้ายแผ่นแก้ว รวมตัวบ้าง แผ่กระจายบ้าง ไหลผ่านการรับรู้ไป ในความเคลื่อนไหวอันน่าประหลาด เหมือนเห็นเงาร่างหนึ่งสะท้อนอยู่ไกลๆ

          รูปลักษณ์คล้ายสตรีชาวมนุษย์นางหนึ่ง

          รูปลักษณ์นั้นดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ยามเคลื่อนเข้ามาใกล้ เป็นสตรีชาวมนุษย์ที่สวมชุดคล้ายนักรบยืนอยู่บนหน้าผาหินริมทะเล มองเห็นเกลียวคลื่นสีขาวซัดต้องโขดหินฟุ้งกระจาย ในมือของนางถือดาบที่เปรอะไปด้วยสีแดงของหยาดโลหิต

          สตรีนางนั้นกวัดแกว่งดาบในมืออย่างห้าวหาญ แต่กระนั้นยังมิอาจต้านทานห่าธนูที่ถูกยิงออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ลูกธนูนับไม่ถ้วนทะลวงร่างของนางจนเสียหลักพลัดตกหน้าผา เลือดสีแดงฉานฟุ้งกระจายไปทั่วผืนน้ำ ร่างบอบบางจมดิ่งลงเรื่อยๆ กลิ่นโลหิตดึงดูดเหล่าสัตว์ร้ายในทะเลให้กลุ้มรุมเข้ามา กระนั้น แม้บาดเจ็บสาหัส สตรีนางนี้ยังกัดฟันเงื้อดาบในมือ ฟันเข้าใส่สัตว์ร้ายพวกนั้นอย่างอาจหาญ

          อัสธาราธพลันรู้สึกสะท้อนในจิต สตรีนางนี้ช่างกล้าหาญอย่างยิ่ง ซ้ำยังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกับที่ตนเคยผ่านมา

          ครั้งหนึ่งเขาก็เคยบาดเจ็บและหล่นสู่ห้วงน้ำแบบนี้เช่นกัน

          สตรีนางนั้นแม้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ก็มิอาจต้านทานพิษบาดแผล รวมถึงกระแสน้ำ และความดุร้ายของสัตว์ทะเลประดานั้นได้ ไม่นานร่างก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลง และถูกกัดทึ้ง

          รสชาติความทรมานและสิ้นหวังเป็นอย่างไรนั้น อัสธาราธรับรู้เต็มอก

                เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกไม่อยากทนดูต่อไปอีก แต่คล้ายภาพที่เห็นนั้นสือผ่านจิต ต่อให้ไม่อยากชมดูอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ระหว่างมองภาพร่างบอบบางถูกฉีกทึ้งท่ามกลางไอเลือดกระจายเต็มท้องน้ำ สีเขียวมรกตแวววาวพลันปรากฏขึ้นมาม่านหมอกพร่าเลือน

          อัสธาราธสะท้านในจิตอีกครา สีเขียวนี้ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยพบเห็น ย่อมมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากนัยน์ตายิ่งใหญ่คู่นั้น

          นัยน์ตาคู่ใหญ่พลันหดหรี่ลงยามประสบพบร่างไร้วิญญาณนั้น เงามหึมาพลันพร่าเลือน หดเคลื่อนกลายเป็นร่างสูงโปร่งดำรงเกศาสีน้ำเงินพราย ร่างนั้นแม้สง่างาม แต่ราศีคล้ายยังไม่แจ่มชัดเท่าปัจจุบัน คาดว่าคงเป็นเหตุที่เกิดในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ร่างอ่อนช้อยยื่นวงแขนช้อนมนุษย์สตรีที่ร่างกายไม่ครบส่วนเอาไว้แนบอก นัยน์ตาสีเขียวโน้มลงมองด้วยความรู้สึกบางอย่าง

          อย่างไม่คาดคิด ร่างสวยงามพลันโน้มใบหน้าลงจูบหน้าผากสตรีผู้ไร้ชีวิตเบาๆ ร่างที่อาบเลือดพลันแยกหายกลายเป็นฟองคลื่นสีประหลาด ล้อมรอบผู้โอบกอดไว้ มองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตหรี่ลง ฟองคลื่นสีแปลกล้อมร่างนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะถูกกลืนหายเข้าไปในร่าง คล้ายเห็นร่างเพรียวทอดถอนใจ

          อัสธาราธพลันนึกขึ้นได้ สตรีนางนั้นตนเคยพบเห็นมาก่อน

          เป็นสตรีคนเดียวกับรูปสลักในห้องบรรทมขององค์กษัตริย์

          แทบจะพร้อมกับที่นึกได้ แรงกดดันมหาศาลก็กดดันเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ ภาพตรงหน้าพลันพร่าเลือนลง ได้ยินเสียงกล่าวอย่างคุกคาม

          “ผู้ใดเข้ามาในจิตของเรา?!”

          แรงกดดันมหาศาลจนอัสธาราธเกือบจะประคองสติไม่อยู่ หากจดจำน้ำเสียงนั้นไม่ได้ คงจิตกระเจิงไปแล้วแน่แท้ เจ้าชายหนุ่มพยายามสื่อสารกลับไป

          “เป็นข้าพเจ้าเอง”

          “?”

          แรงกดดันมหาศาลยังคงมิคลายออก คล้ายต้องการบดขยี้ผู้บุกรุกให้สูญสิ้นไปในบัดดล อัสธาราธตะเกียกตะกายประคองจิตให้หลุดพ้นจากห้วงจิตรุนแรงนั่น และสื่อสารซ้ำๆ

          “นี่ข้าพเจ้าเอง เจ้าชายจากคอนเชียร์ พระองค์จำไม่ได้หรือ?”

          “??”

          ห้วงจิตคล้ายหยุดคุกคามชั่วครู่ น้ำเสียงเดิมถามต่อ “เจ้าชายแห่งคอนเชียร์?........ใยเจ้ามาอยู่ที่นี่ เราได้ยินว่าเจ้าไปกับอูห์รูน....หรืออูห์รูนพาเจ้าไปหุบผาเสียงสะท้อน...โอ.....เจ้าคงโดนเกสรดอกพยุงจิตมาแน่แท้.....โอ...เด็กเอยเด็ก......”

          ความรู้สึกกดดันพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที อัสธาราธรู้สึกรอบตัวกลายเป็นสีเขียวอร่าม มองไปด้านหน้าเหมือนเห็นเงาร่างพร่าเลือน มือเรียวข้างหนึ่งยื่นมาสัมผัสกับศีรษะ

          “กลับร่างเจ้าเสีย”

--------------------------------------

                “เจ้าชาย!!!”

          อัสธาราธกะพริบตาปริบๆ สีหน้าวิตกจริตของอูห์รูนพลันปรากฏขึ้นในคลองจักษุ ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง จึงจะรู้สติว่าตนเองอยู่ที่ใด

          “ข้าพเจ้าไม่เป็นไรแล้ว” อัสธาราธเอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแทบกระดอนออกมา ขณะที่ยังนึกสงสัยอยู่ว่าที่รู้สึกเมื่อครู่คือสิ่งใดแน่ ผู้รับใช้แห่งสายน้ำก็เอ่ยปากต่อ

          “โชคดีอย่างยิ่ง เราคิดว่าท่านจะไม่กลับมาแล้ว ไม่นึกเลยว่าดอกพยุงจิตจะเคลื่อนมาหาท่านเอง ปกติมันมักไม่ค่อยย้ายที่ไปไหนมาไหนนัก”

          อัสธาราธได้ฟังต้องขมวดคิ้วขึ้น

          “ท่านว่าอย่างไร ดอกไม้เดินได้?”

          อูห์รูนพยักหน้า กล่าวสืบต่อ สีหน้ายังคงแตกตื่น ดูผิดหูผิดตายิ่งนัก

          “ดอกไม้ที่นี้บางอย่างเคลื่อนที่ได้ แต่โดยปกติมักไม่ค่อยเคลื่อนย้าย คล้ายท่านมีเคราะห์ แต่ก็ยังดูจะเคราะห์ดีอยู่บ้าง ปกติหากถูกเกสรพวกนี้ จิตจะถูกดึงออกจากร่าง พุ่งตรงไปยังที่ที่คำนึงถึงอยู่ คนส่วนใหญ่มักเคราะห์ไม่ดี ดวงจิตมักติดอยู่กับที่ที่นึกถึง จนไม่ยอมกลับเข้าร่าง นับว่ากรณีของท่านยังโชคดีอยู่ หากท่านเป็นอะไรไป เราคงไม่มีหน้าไปพบองค์กษัตริย์”

          อัสธาราธฟังพลางพยักหน้า เมื่อครู่ตนคงหลงเข้าไปในห้วงจิตขององค์กษัตริย์ ไม่รู้เคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายกันแน่ หากองค์กษัตริย์จำตนไม่ได้ มิใช่ถูกบีบจนจิตแตกไปแล้วหรือ? พอนึกถึงจุดนี้ ความกลัวพลันเข้าเกาะกุมจิตใจอีกครา

          กับความกดดันเมื่อครู่ ไม่ว่าอย่างไรคงไม่อาจหลีกพ้นคำว่าน่าหวาดกลัวได้เลย

          อูห์รูนมองหน้าเจ้าชายแห่งคอนเชียร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเรียบๆ

          “พวกเรากลับกันเถอะ”

-------------------------------------

          อัสธาราธไม่มีอารมณ์จะตามไปดูว่าอูห์รูนปรุงโอสถด้วยวิธีการใด เจ้าชายหนุ่มแยกตัวออกไปพักผ่อนยังที่พัก ความรู้สึกน่าประหวั่นเมื่อครู่ยังคงกินลึกอยู่ในจิตใจ แต่ที่แจ่มชัดกว่านั้น ภาพของอิสตรีที่ถูกจุมพิตยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด

          เจ้าชายหนุ่มล้มตัวลงนอน รู้สึกสมองหมุนคว้างสับสนไปหมด ทั้งหวาดกลัวทั้งงุนงง และยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ปะปนอยู่

          ขณะที่กำลังนอนขมวดคิ้วมุ่น ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีแดงลืมโพลงขึ้นทันที

          “อา...เจ้านอนหลับอยู่?” น้ำเสียงอ่อนโยนคราวฟองคลื่นเช่นนี้ย่อมมิใช่ใครอื่น องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแง้มประตูเข้ามา เมื่อพบเห็นมังกรหนุ่มผุดลุกขึ้นจึงยืนค้างอยู่ระหว่างประตูแบบนั้น คล้ายหวั่นว่าจะทำให้คนอยู่ในห้องตกใจ

          “ข้าพเจ้าเปล่า” คนถูกถามตอบพลางสั่นศีรษะ มองดูร่างที่ยืนค้างอยู่ระหว่างประตูอย่างงุนงง ด้วยนึกไม่ถึงว่าองค์กษัตริย์จะเสด็จมาเอง”

          “พระองค์หายดีแล้ว?”

          “อืม” เรเธียร์ส่งเสียง และเอ่ยถามแผ่วเบา “เราเข้าไปได้หรือไม่?”

          “ได้” อัสธาราธกล่าวและรู้สึกงุนงงมากกว่าเดิม “นี่เป็นวังท่านใยท่านจะเข้ามาไม่ได้”

          “เราเกรงเด็กน้อยเจ้าหวั่นกลัวเราจนสติแตกอีก เมื่อครู่เราคล้ายทำเจ้าหวาดกลัวมากจริงๆ”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกล่าว ขณะสืบเท้าเข้ามาในห้อง เรือนผมสีน้ำเงินเลื่อมพรายสยายกระจายอยู่ในห้วงน้ำ อัสธาราธนิ้งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ

          “ข้าพเจ้ายังมิขวัญอ่อนปานนั้น”

          “เราทราบ เจ้าย่อมไม่ขวัญอ่อน หากขวัญอ่อนคงไม่มาอยู่ที่นี่ เรายอมรับต้องการจะทำลายดวงจิตของเด็กเจ้าจริงๆ ได้โปรดให้อภัยความเลินเล่อของเราด้วย”

          อัสธาราธรีบตะลีตะลานลงจากเตียง ประคององค์กษัตริย์ที่ค้อมศีรษะลงหมายขอโทษเอาไว้

          “ท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ ข้าพเจ้าผิดเองที่หลงเข้าไปในจิตของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตช้อนขึ้นมอง ทำเอาคนถูกจ้องผงะไปหน่อยหนึ่ง

          “เราคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลงเข้ามา... เราไปสอบถามอูห์รูนแล้ว นับว่าเจ้าเคราะห์ร้ายนักเรื่องดอกไม้นั่น ยังดีที่เรายั้งตัวเองไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้จะขึ้นไปกล่าววาจากับพี่ชายเจ้าว่าอย่างไร”

          “เรื่องนั้นช่างมันเถิด ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไร ท่านมิต้องวิตกกังวลแล้ว”

          อัสธาราธกล่าว พยายามยิ้มออกมาให้ดีที่สุด แลเห็นบนใบหน้าองค์กษัตริย์มีรอยยิ้มปรากฏตอบ

          “เราเกรงเจ้าหวาดกลัวเรายิ่งกว่าเดิม”

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่หวาดกลัวท่าน” อัสธาราธไม่พูดเปล่า ยังถือวิสาสะบังอาจดึงพระหัตขององค์กษัตริย์ขึ้นมาจับเอาไว้ด้วย ได้ยินเสียงกังวานหัวเราะร่วน

          “เด็กเจ้ามิต้องแสร้งทำขวัญกล้ากับเรามากมาย จับมือเรามิใช่เจ้าสั่นแทบตายแล้ว?”

          “!”

          อัสธาราธพูดต่อไม่ออก เนื่องเพราะมือตนสั่นอยู่จริงๆ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้นพลันถอนหายใจ มองมาอย่างเอ็นดู

          “เราไม่เขย่าขวัญเจ้าแล้ว พักผ่อนเถิด วันพรุ่งเราจะจัดพิธีขอบคุณ”

          “พิธีขอบคุณ?” อัสธาราธทวนคำอย่างงุนงง องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “ราชอาณาจักรเราพ้นภัยได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าช่วยเหลือ เรามาถึงก็ล้มป่วยไม่มีเวลาจัดงานใด ยามนี้หายดีแล้วสมควรกระทำให้สมแก่เกียรติของเจ้า จงพักผ่อนให้สบายเถิด เด็กน้อยของเรา ไม่นานเราจะนำเจ้าส่งคืนสู่บ้านที่จากมาแล้ว”

          อัสธาราธมองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตลอยเข้ามาใกล้ มองเห็นพระโอษฐ์แย้มยิ้มพริ้มพราย ผมสีน้ำเงินเลื่อมสยายอยู่ในผืนน้ำกว้าง สัมผัสของมือเรียวนุ่มลื่นยังคงค้างคาอยู่ในฝ่ามือ ทันใดนั้นสติก็พร่าเลือนลง

-----------------------------------------------------------

                ในห้วงฝันเลื่อนลอย อัสธาราธเห็นตนเองกำลังเอื้อมมือคว้าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิใช่ดวงแก้ว มิใช่อัญมณีใด แต่เป็นเรือนผมสีน้ำเงินเลื่อมพราย ยามต้องฝ่ามือคล้ายกระจายตัวออก เจ้าของเรือนผมเบือนหน้ากลับมา เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือดึงใบหน้านั้นเข้ามา รอยยิ้มงดงามประดับอยู่บนริมฝีปาก ดั่งเป็นมนต์สะกด เจ้าชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ หมายจะสัมผัสริมฝีปากงดงามนั้น พลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างสัมผัสริมฝีปาก เป็นมือเรียวนุ่มลื่นข้างหนึ่ง

          เจ้าชายหนุ่มช้อนนัยน์ตาขึ้นมองผู้อยู่ตรงหน้า คล้ายสอบถามเหตุผลเรื่องมือข้างนั้น นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลง ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้ม กระนั้นมือเรียวยังมิเคลื่อนย้ายออก ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา

          “เด็กน้อยเจ้าพักผ่อนได้แล้ว”

          เหมือนฟังไม่เข้าใจ อัสธาราธดึงมือเรียวนั้นออก ดึงดันจะผนึกริมฝีปากลงไปให้จงได้ คล้ายร่างในฝันสะดุ้งเล็กน้อย ยามริมฝีปากถูกบดเบียด อัสธาราธหลับนัยน์ตาลง รับรู้รสชาติละมุนของเรียวลิ้นและริมฝีปากอ่อน

          เรื่องบังอาจเช่นนี้ หากไม่กระทำในฝันแล้วจะกระทำเมื่อไร…….

          เจ้าชายหนุ่มไม่ทราบเหตุใดจึงมีความคิดบังอาจถึงเพียงนี้ ทราบเพียงตอนนี้อยากแนบชิดองค์กษัตริย์ อยากสัมผัสริมฝีปากงามคู่นั้น อยากถูกริมฝีปากนั้นสัมผัส เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวที่ตนพบเห็นในห้วงคำนึงอันกดดัน

                อยากให้นัยน์ตาสีมรกตมองตนเช่นนั้นบ้าง

----------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 10-07-2012 10:12:56
หญิงลึกลับนั้นเกี่ยวอะไรกับองค์อิลห์ลารินกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 10-07-2012 20:31:09
โถ T^Y ยังไม่ลืมรักเก่า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 10-07-2012 20:55:55
Omg!!
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-07-2012 22:59:41
ฝัน...จริงดิ่...ละเมอมากกว่าม้าง 555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 10-07-2012 23:03:46
งืมม งั้นอัสธาราธคือผู้หญิงคนนั้นเหรอ งืมๆ งงแต๊ๆ 555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ11 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 10/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-07-2012 06:48:27
12 : ดั่งต้องมนต์

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รู้สึกตัวตื่น โดยคล้ายยังมีเศษเสี้ยวความฝันตกค้างอยู่บนริมฝีปาก เมื่อเบือนหน้าไปก็พบข้ารับใช้ตนหนึ่งยืนรออยู่ เสียงนุ่มดั่งสายน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์บาดาลเอ่ยขึ้น

          “เรามาเชิญท่านไปร่วมพิธี”

--------------------------------------

          พิธีขอบคุณจัดขึ้นบนลานกว้างตรงระเบียงใหญ่ที่สุดในพระราชวังอัลโดรธ์ อัสธาราธเห็นมังกรน้ำระดับสูงหลายสิบตนในเครื่องทรงเต็มยศยืนเรียงรายเป็นแถวยาวขณะที่ตนเดินตรงไปในลาน บางคนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางอยู่ในคณะที่ขึ้นไปบนชายฝั่งตะวันตก เมื่อพบเห็นก็แย้มยิ้มให้หน่อยหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้มตอบ หลังเหตุการณ์ยังมิได้มีโอกาสสอบถามสารทุกข์สุกดิบพวกนี้เป็นเรื่องเป็นราวนัก แต่พอเห็นทุกตนยังอยู่กันครบก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย

          อูห์รูนยืนอยู่หน้าแท่นหินที่สลักอย่างวิจิตรแท่นหนึ่ง ใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเคย กระนั้นเมื่อเห็นอัสธาราธเดินเข้ามาใกล้ยังค้อมตัวทำความเคารพให้ครั้งหนึ่ง เหนือออกไปบนแท่นหิน องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินในเครื่องทรงบอกยศกษัตริย์ ประทับยืนอยู่ และแย้มพระโอษฐ์ให้อย่างอ่อนโยน

          อัสธาราธชะงักฝีเท้าอย่างลืมตัว ด้วยไม่เคยเห็นองค์กษัตริย์แต่ตัวเต็มพระยศเช่นนี้มาก่อน อาภรณ์สีฟ้าอ่อนประดับอัญมณีสีน้ำเงินพรายต้องประกายแสงไฟสีน้ำเงินเป็นประกายแปลกตา สร้อยพระศอเส้นย่อมจำนวนหลายสิบเส้นที่ห้อยคล้องอยู่เป็นงานประณีตดูวิจิตร ยังมีเครื่องประดับอีกหลายสิบชิ้นส่องประกายอยู่บนตัวองค์กษัตริย์ แต่นั่นมิได้ดึงดูดสายตาไปกว่าพระสิริโฉมของพระองค์เลย คล้ายเครื่องประดับประดาสวยงามเหล่านั้นยิ่งขับให้องค์กษัตริย์ดูงดงามมากยิ่งขึ้นในห้วงน้ำกว้างและเงาเลื่อมพรายของดวงไฟสีน้ำเงินที่รายล้อมอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบปิ่นน้อยสีเงินพราวประดับอยู่บนพระเกศา เจ้าชายหนุ่มพลันยกมือขึ้นทาบอกอย่างลืมตัว

          ปิ่นสีดำมะเมื่อมที่เคยประทานให้ยังถูกเก็บรักษาอยู่ในอกเสื้อนั้นเป็นอย่างดี

          “ในนามของเรา ผู้เป็นจ้าวแห่งอิลห์ลาริน”

          สุรเสียงก้องกังวานถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ดึงสติของเจ้าชายหนุ่มออกจากภวังค์มาอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า

          “เราใคร่ขอประกาศต่อหน้าสายน้ำแห่งมารดา ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ว่าเจ้าชายอัสธาราธ ดูล ซาเกวนส์ พระเชษฐาแห่งองค์อัสราน ดูล ซาเกวนส์ กษัตริย์ผู้งดงามแห่งอาณาจักรอันอุดมด้วยเปลวแห่งเพลิง คอนเชียร์ ราชอาณาจักรแห่งไฟซึ่งเป็นมิตรแท้กับพวกเราเสมอมา ได้ทำการออกรบเพื่อนครอิลห์ลารินของเราอย่างกล้าหาญ ช่วยเหลือพี่น้องของเรา และยังช่วยขจัดต้นตอแห่งเพสภัยที่คุกคามอาณาจักรให้สูญสิ้น ความกล้าหาญและการเสียสละนี้สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกสดุดีต่อหน้าสายธารแห่งมารดา สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกร่ำลือให้ทั่วท้องน้ำกว้างแห่งอิลห์ลาริน มาร่วมกับเราเถิด เชื้อสายแห่งชลที ร่วมกันขับขานบทเพลงสดุดีให้เลื่องระบือไปจนถึงโลกเบื้องบน”

          อัสธาราธพลันรู้สึกขนทั้งร่างลุกเกรียวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขณะที่เสียงขับขานทำนองเพลงอันเป็นภาษาโบราณเฉพาะของเผ่าพันธุ์แห่งบาดาลเริ่มต้นขึ้น ท่วงทำนองทุ้มต่ำสะท้อนก้องอยู่ในผืนน้ำกว้าง

          “แด่เจ้าชายเยาว์วัยผู้ทรงไว้ด้วยความกล้า
ดั้นด้นฝ่าสายน้ำใสไร้สิ่งนำพา เสด็จมายังห้วงแห่งวังวน
เพียงหนึ่งตนลำพังไร้คู่คิด พาชีวิตเข้าเสี่ยงความดับสูญ
ถึงกระนั้นก็มิทรงอาดูร เพราะเทิดทูลคำสัตย์ ยิ่งสิ่งใด
ก้าวลงยังสายน้ำ ไร้ทางกลับ ดำริรับผิดชอบตามเงื่อนไข
ความกล้าหาญมีอยู่เต็มดวงฤทัย แม้สิ้นไร้ผู้ใดในวังวน

          ช่วยรบทัพจับศึกบนฝืนบก มิสะทกวกเกรงเพสภัยผลาญ
เพื่อปกป้องเหล่าเราชาวบาดาล ด้วยเพลิงกาฬแห่งดินแดนที่แสนไกล
แม้นมิได้มีเชื้อสายอันใกล้ชิด แต่เป็นมิตรร่วมรบแสนดีได้
ความกล้าหาญประจักษ์ตาเหล่าพลไกร หาผู้ใดมาเทียบไม่มีเลย

          สมควรยิ่งควรถวายความเคารพ กล่าวบรรจบสดุดีให้ลือเลื่อง
ให้ประชากล่าวขานอยู่เนืองเนือง อย่างเช่นเรื่องในกาลแต่ก่อนมา

          ให้เป็นที่สดุดีจนสุดหล้า ใต้แผ่นน้ำผืนฟ้าร่วมขับขาน
บทกวีแด่ผู้หาญรอนราน อริราชภัยพาลแห่งปวงเรา

          แด่เจ้าชายอัสธาราธผู้ยิ่งยศ ผู้ยอมลดตัวเองมาช่วยผลาญ
ปวงศัตรูผู้บุกรุกให้แหลกลาญ ด้วยความหาญกล้าแกล้วไม่เกรงกลัว

          สดุดีแด่ความกล้าในครานี้ ให้เป็นที่ขับขานนานเนื่องทั่ว
ตลอดทั่วผืนน้ำพรายทุกตัว ระรัวร้องก้องกังวานขับขานไป

          แด่เจ้าชายอัสธาราธ ดูล ซาเกวนส์ แห่งคอนเชียร์”

         
อัสธาราธก้มหน้าลงกลางวงล้อมแห่งมังกรวารีเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แม้นึกแย้งว่าตนมิได้ทำการใดยิ่งใหญ่สมควรแก่การสดุดีเช่นนี้ แต่พอได้ยินได้เห็นการขับขานบทเพลงที่จริงจังตั้งใจ และซาบซึ้งไปกับเนื้อหา ก็อดจะรู้สึกเต็มตื้อขึ้นมาไม่ได้

          มิทราบบทเพลงนั้นถูกขับนานก้องอยู่ในสายน้ำเนิ่นนานเพียงใด รู้เพียงว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกที องค์กษัตริย์ก็เสด็จมาอยู่ตรงหน้า ยื่นพระหัตข้างหนึ่งออกมาแตะไหล่เบาๆ

          “เรารู้สึกขอบใจเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์”

          อัสธาราธอันจนถ้อยคำจะกล่าวตอบ ด้วยความตื้นตันเต็มแน่นอยู่ในอก ได้แต่ค้อมศีรษะในเชิงตอบรับ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินแย้มพระโอษฐ์กว้าง พลางกล่าวสืบต่อ

          “ในนามของเรา กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน ไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใดในอาณาจักรแห่งนี้ เราพร้อมส่งมอบให้เจ้า เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนการช่วยเหลือนี้”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์ พิศมองดวงหน้างดงามราวความฝัน เรือนผมสีน้ำเงินพรายยังคงพลิ้วไหวเป็นระรอกล้อมรอบ นัยน์ตาสีมรกตมองมาอย่างอาดูร ริมฝีปากของมังกรหนุ่มขยับเขยื้อนช้าๆ

          “ข้าพเจ้าต้องการ......”

          ความคิดที่แล่นแวบเข้ามาในสมองหยุดยั้งริมฝีปากคู่นั้นไว้ อัสธาราธสำนึก ว่าสิ่งที่ตนเกือบจะเอ่ยปากขอออกไปนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ จึงพาลสั่นศีรษะออกมา ขัดกับถ้อยคำที่เริ่มไว้เมื่อครู่ สีหน้าขององค์กษัตริย์แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

          “เจ้าประสงค์สิ่งใดแน่?”

          “ข้าพเจ้ามิประสงค์สิ่งใด” เจ้าชายหนุ่มตอบ และฝืนยิ้ม

          “ข้าพเจ้ามาที่นี่เพียงเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของพระองค์ ไหนเลยจะรับของตอบแทนได้ ขอเพียงข้าพเจ้ามีประโยชน์ นั่นนับเป็นของตอบแทนแล้ว”

          “เจ้ากล่าวเช่นนี้คล้ายเรากลายเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบ มิมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการจากเราเลย?”

          อัสธาราธร่ำๆ จะพูดออกไปให้รู้แล้วรู้เรื่อง แต่ก็ยังพอระลึกสติได้ว่าเป็นสิ่งไม่สมควรแม้แต่จะคิด ดังนั้นจึงฝืนยิ้มกล่าวต่อ

          “ไม่มี”

          ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างนั้นทันที แลเห็นพระพักตร์ขององค์กษัตริย์แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กล่าวทวนคำอีกรอบ

          “ไม่มี เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจริงๆ ?”

          คล้ายกับการที่อัสธาราธบอกว่าไม่ต้องการสิ่งใดดูเป็นเรื่องใหญ่โตเอาการ ขนาดสายตาทุกคู่จับจ้องมาด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจยืนยันคำตอบเดิม

          “ไม่มีจริงๆ”

          ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์ทอดถอนใจ พลางพึมพำ

          “แล้วกัน อาณาจักรเราใหญ่โตกว้างขวาง กลับไม่มีของที่เด็กเจ้าต้องการเลย นี่คล้ายเราไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แล้ว”

          อัสธาราธเพิ่งระลึกได้ว่าการไม่ต้องการสิ่งใดเลยในเวลานี้คล้ายเป็นการหมิ่นเกียรติขององค์กษัตริย์อยู่ในที จึงรีบกล่าวตอบ

          “มิได้ ข้าพเจ้าเพียงยังนึกไม่ออก อืม....”

          เจ้าชายหนุ่มทดลองนึกทบทวน ยังมีสิ่งใดที่ตนอยากได้ในนครแห่งนี้ นึกไปนึกมาสายตาคล้ายวนเวียนมาจับจ้องดวงหน้าองค์กษัตริย์มิเว้นวาย รู้สึกตัวว่าหากยังยืนคิดเนิ่นนานต่อไปอีก อาจเผลอกล่าววาจาพล่อยๆ ออกมาก็ได้

          “อาณาจักรพระองค์ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าต้องการสิ่งใด”

          “เจ้านึกไม่ออกจริงๆ?” องค์กษัตริย์กล่าวทวนและมีสีหน้าลำบากใจ ในที่สุดก็กล่าวออกมา

          “เอาเถิด เราให้เวลาเจ้านึกสักสองสามวัน เราหวังจะมีของที่เจ้าต้องการบ้าง”

          อัสธาราธฝืนยิ้ม

          “ข้าพเจ้าจะเอ่ยปากขอในสิ่งที่ไม่ทำให้ท่านลำบากใจ”

------------------------------------------------

          แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่พอกลับถึงที่พัก อัสธาราธยิ่งรู้สึกว่าตนเองนึกไม่ออก ยังต้องการสิ่งใดในอาณาจักรนี้อีก นอกจากนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น  เจ้าชายหนุ่มมิได้ปรารถนาจะควักดวงตาขององค์กษัตริย์ออก เพียงปรารถนาถูกดวงตานั้นจ้องมองอย่างที่ตนเคยเห็นในภาพภวังค์บ้าง

          แต่เรื่องแบบนั้นใช่ว่าจะขอได้

          เจ้าชายหนุ่มจึงจำต้องนั่งนึก ว่าจะขอสิ่งใดดี

          ดูคล้ายเรื่องง่ายๆ จะกลายเป็นเรื่องยากลำบากไปเสียแล้ว

------------------------------------------------

          “อูห์รูน เจ้าว่าเราน่ากลัวเกินไปหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยถามออกมา หลังเสด็จดำเนินมาจนถึงท้องพระโรง งานพิธีขอบคุณคล้ายจะจบลงด้วยดี ปัญหาคือเจ้าชายแห่งคอนเชียร์กลับไม่มีความประสงค์สิ่งใดเป็นพิเศษ

          ผู้รับใช้เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ก่อนสั่นศรีษะ

          “ข้าพระองค์ไม่เห็นว่ามีที่ใดน่ากลัว”

          “เช่นนั้น ใยเด็กน้อยนั่นมิกล้าเอ่ยขอสิ่งใดกับเรา เจ้าว่า...นี้ผิดที่เราหรือไม่?”

          ดูท่าองค์กษัตริย์จะเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง อูห์รูนกล่าวตอบ

          “ต้องไม่ผิดที่พระองค์แน่แท้ บางทีเจ้าชายอาจยังนึกสิ่งที่ต้องการไม่ออก ราชอาณาจักรพระองค์กว้างขวาง บางทีอาจมีสิ่งให้เลือกสรรมากเกินไป”

          “เราหวังจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า หากเด็กน้อยนั่นเกิดไม่ต้องการสิ่งใดเลย มิใช่อาณาจักรเราไม่มีค่าหรือ?”

          คำกล่าวอย่างปริวิตกออกมาจากปากองค์กษัตริย์ องค์กษัตริย์ที่ครองราชย์มาเป็นพันปี มีความทรงจำยาวนาน กลับปริวิตกกับเรื่องเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นน่ากลัวหัวเราะออกมาแล้ว แต่อูห์รูนเข้าใจข้อกังวลนี้ขององค์กษัตริย์เป็นอย่างดี

          แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธน้ำใจของราชาแห่งอิลห์ลารินมาก่อน แต่เจ้าชายพระองค์นี้กลับกระทำลงไปถึงสองหน หนแรกนั้นปัดปิ่นปักผมสูงค่าหล่นร่วงลงพื้น หนที่สองยังไม่ยินยอมรับของตอบแทนใด กระทำเช่นนี้มิใช่เจตนาให้องค์กษัตริย์รู้สึกตนเองด้อยค่าหรอกหรือ

          พอคิดดังนั้นความรู้สึกโกรธเกรี้ยวพลันประจุตัวขึ้นในหัวใจของผู้รับใช้ ถึงกับหลุดปากออกมา

          “ข้าพระองค์จะไปคาดคั้นจากปากเจ้าชาย หากมิประสงค์สิ่งใดจริงก็สมควรจะมาเอ่ยปากขอขมาต่อพระองค์ก่อนขึ้นไป”

          “แล้วกัน!” องค์กษัตริย์พลันอุทานออกมา กล่าวสืบต่อ “เราต้องการตอบแทนน้ำใจเขา ไฉนเจ้ากลับต้องการให้เขามาขอขมาเรา”

          “เนื่องเพราะเจ้าชายผู้นี้หมิ่นพระเกียรติของพระองค์มากเกินไป!” ผู้รับใช้ที่โดยปกติมิค่อยแสดงอารมณ์ออกมาบ่อยนักกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธขึง “ข้าพระองค์มิเคยพบเห็นผู้ใดกล้าปฏิเสธน้ำใจของพระองค์มาก่อน เรื่องนี้เจ้าชายทำเกินไปแล้ว”

          กล่าวเสร็จทำท่าจะผลุนผลันออกไปนอกท้องพระโรง องค์กษัตริย์รีบตรัสห้ามไว้

          “ช้าก่อนอูห์รูน เจ้าจะไปที่ใด?”

          “ย่อมไปเค้นปากเจ้าชาย ดูว่าประสงค์สิ่งใดแน่”

          “โอย แล้วกันแล้วกัน” องค์กษัตริย์พลันอุทานพลางเอามือแตะหน้าผาก “กลับมาก่อนอูห์รูนของเรา เราทราบแล้วว่าเจ้าไม่พอใจ แต่อย่าได้ทำเช่นนั้นเลย รังแต่จะทำให้เราถูกตราหน้าเป็นผู้วางอำนาจบาตรใหญ่เสียเปล่าๆ”

          อูห์รูนชะงักฝีเท้า นิ่งอยู่พักใหญ่จึงยอมเดินย้อนกลับมายืน ณ ตำแหน่งเดิม รอจนเห็นข้ารับใช้อารมณ์สงบลง องค์กษัตริย์จึงได้เอ่ยปากต่อ

          “หรือเจ้าชายน้อยจะเกรงใจเรา เลยมิกล้าเรียกร้องสิ่งใด?”

          “อาจเป็นไปได้” ผู้รับใช้กล่าว พยายามปลอบตัวเองให้อารมณ์เย็นลง

          “เช่นนั้น เราสมควรจะจัดหาของเอาไว้ให้? แต่เรามิประสงค์จะจัดสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ต้องการ”

          “บางทีเจ้าชายอาจจะอายหากต้องเอ่ยปากขอต่อหน้าคนหมู่มาก”

“ฟังดูมีเหตุผล เช่นนั้นเราสมควรจะไปถามด้วยตนเอง?”

อูห์รูนพลันรู้สึกว่าองค์กษัตริย์พลันวิตกกังวลกับเจ้าชายจากต่างแดนผู้นี้มากจริงๆ อดไม่ได้ต้องเอ่ยคำพูดออกไป

          “มิต้องลดพระองค์ถึงเพียงนั้น ข้าพระองค์จะไปไถ่ถามให้”

          “อืม..” องค์กษัตริย์นิ่งนึกทบทวนอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวสืบต่อ

          “เราไปถามเองคล้ายจะดีกว่า ในเมื่อเราเอ่ยปากเป็นผู้ต้องการให้ เราก็สมควรจะได้ยินคำขอตัวตนเอง เรื่องนี้เจ้าคงเห็นว่าสมควร?”

                ถูกย้อนถามเช่นนี้อูห์รูนจำแต่ต้องพยักหน้า องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์อย่างพึงพอใจ

          “เช่นนั้นไปกันเถิด”

---------------------------------------------

                อัสธาราธคิดว่าต่อให้ตนนิ่งนึกอยู่ในห้องคนเดียวเป็นพันปีก็คงยังนึกสิ่งที่ประสงค์อื่นใดไม่ออก ดังนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงคิดจะออกมาเดินเล่น เผื่อว่าจะพอนึกอะไรออกบ้าง ขณะที่ยังไม่ก้าวพ้นประตูออกมา  นัยน์ตาพลันเหลือบไปเห็นเรือนผมสีน้ำเงินพรายที่แผ่กระจายไปในห้วงน้ำ องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินกำลังดำเนินมาพร้อมกับข้ารับใช้

          มิทราบเป็นเพราะเหตุใด พอได้เห็นพระพักตร์องค์กษัตริย์ ขาของอัสธาราธพลันตรึงแน่นอยู่กับพื้นราวกับมีรากงอก เหม่อมองดวงหน้าในฝันนั้นอย่างเหม่อลอย แลเห็นริมฝีปากงามแย้มยิ้มอ่อนโยน

          “เด็กน้อยเจ้าจะไปที่ใด?”

                แต่เดิมอัสธาราธมักหงุดหงิดทุกครั้งหากมีผู้ใดเอ่ยเรียกตัวเขาเช่นนี้ แต่เมื่อคำนี้ออกมาจากพระโอษฐ์องค์กษัตริย์ กลับคล้ายรู้สึกพอใจที่ถูกเรียกเช่นนั้น เจ้าชายหนุ่มถึงกับยืนยิ้มโดยไม่ได้ตอบคำถาม คิ้วได้รูปขององค์กษัตริย์ขมวดเข้าหากัน

          “เจ้าชาย” น้ำเสียงของอูห์รูนปลุกอัสธาราธตื่นขึ้นจากภวังค์ ความร้อนแผ่วูบไปทั่วใบหน้า ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์ตรัสถาม

          “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?”

          อัสธาราธตอบคำถามไม่ออก เกิดมาเป็นร้อยปี ไม่เคยรู้สักขัดเขินเช่นนี้มาก่อน ยิ่งพอมาเป็นต่อหน้าองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งรู้สึกว่าน่าอับอายเป็นยิ่งนัก อูห์รูนมองใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงจัดแล้วพลันอุทานขึ้น

          “เจ้าชาย โรคท่านกำเริบอีกแล้ว?”

          “โรค?” องค์กษัตริย์ตรัสทวนคำ มีสีหน้าแปลกพระทัย ผิวของอัสธาราธนั้นเป็นสีน้ำผึ้ง ยามเปลี่ยนเป็นสีแดง หากไม่ถึงกับแดงจัดย่อมมองไม่ค่อยออก ยามนี้มองเห็นได้ชัดเจน เจ้าชายหนุ่มรีบพยักหน้า

          “เป็นโรคส่วนตัวของข้าพเจ้า ไม่มีความร้ายแรงแต่อย่างใด”

          “ออ” ได้ยินเสียงขององค์กษัตริย์ดังขึ้นแผ่วเบา ริมฝีปากงามปรากฏรอยยิ้มลึกลับที่ผู้ใดก็เดาจุดประสงค์ไม่ออก น้ำเสียงกังวานเอ่ยขึ้น

          “โรคนี้ประหลาดนัก เราคล้ายต้องการชมดูอีก”

          อัสธาราธนิ่งอึ้ง ด้วยไม่คาดองค์กษัตริย์จะมาไม้นี้ ใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มพริ้มพราย

          หรือพระองค์จะรู้ว่านี่เป็นอาการอะไร?

          ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถาม องค์กษัตริย์พลันเสด็จดำเนินเข้าไปใกล้ ฉวยท่อนแขนของมังกรหนุ่มขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวร่อ

          “เอ้า เจ้ารีบตอบเราเร่งด่วน กำลังจะไปที่ใด ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เจ้าโรคกำเริบอีกมากๆ”

          อัสธาราธคิดว่าหากตนเป็นภูเขาไฟ ตอนนี้คงมีสภาพใกล้ปะทุอยู่รอมร่อ อูห์รูนมองใบหน้าเจ้าชายหนุ่มที่กลายเป็นสีแดงจัดจนหน้ากลัวอย่างตื่นตระหนก ด้วยหวาดหวั่นจะมีอันตราย แต่เมื่อเห็นองค์กษัตริย์ยังมีพระพักตร์สบายๆ ซ้ำยังคล้ายชอบอกชอบใจ จึงไม่กล้ากล่าวอันใดอีก

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้า” อัสธาราธกล่าวตะกุกตะกักดูน่าสงสาร ใบหน้าแดงซ่าน เกิดมายังไม่เคยรู้สึกอะไรมากเช่นนี้มาก่อน ดั่งองค์กษัตริย์ต้องการกลั่นแกล้งอย่างจริงจัง ถึงขั้นยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ กระทั่งพระเกศาสัมผัสกับดวงหน้ามังกรหนุ่ม

          “จะไปที่ใดเล่า?”

          อัสธาราธรู้สึก หากยังตอบไม่ได้ มีหวังได้โดนองค์กษัตริย์กลั่นแกล้งจนอกแตกตายแน่ๆ คิดดังนั้นจึงกลั้นใจกล่าวออกไป

          “ข้าพเจ้าจะออกไปเดินเล่น!”

          “ออ” องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ ถอยห่างออกไป และกล่าวสืบต่อ

          “ทิวทัศน์แห่งอิลห์ลารินล้วนงดงามแปลกใจ โอ... เราลืมเสียสนิท เคยบอกเด็กเจ้าไว้ว่าหากมีโอกาสจะพาเจ้าเยี่ยมชม เจ้ายังอยากชมอยู่หรือไม่?”

          สีหน้าคล้ายเพิ่งนึกได้ คราวนี้เจ้าชายหนุ่มรีบผงกศีรษะรับทันที องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม หันไปกล่าววาจากับผู้รับใช้

          “อูห์รูน เรารบกวนเจ้าให้นั่งเฝ้าท้องพระโรงแทนเราสักวันหนึ่งจะได้หรือไม่?”

          อูห์รูนค้อมตัวรับคำสั่ง แต่ไม่วายเอ่ยปากถาม

          “พระองค์จะทรงให้ผู้ใดตามเสด็จอีกหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์สั่นพระเศียร “เรื่องแค่นี้ใยต้องมีขบวนให้มากความ ให้ทุกตนทำหน้าที่ไปเถิด”

          อูห์รูนผงกศีรษะอีกครา และถอยเท้าก้าวออกไป แลเห็นองค์กษัตริย์หันมาแย้มยิ้ม

          “เด็กน้อยเจ้าอยากไปที่ใด?”

------------------------------------------------

          อัสธาราธนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนจะไปที่ใด เนื่องด้วยมิใช่คนในบาดาล และเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์ มิทราบเป็นอย่างไร ไม่ว่าเรื่องใดพลันนึกไม่ออกไปเสียดื้อๆ เมื่อเห็นเจ้าชายนิ่งอึ้ง องค์กษัตริย์จึงกล่าวสืบต่อ

          “เมื่อวานเจ้าไปหุบผาเสียงกระซิบแล้ว อืม....จำได้เหมือนคราก่อนเจ้าจะสนใจอัลวาธา ภูเขาไฟในน่านน้ำเรา มาเถิด เราจะพาเจ้าไปเยี่ยมชม”

          ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพาเจ้าชายหนุ่มออกมายังนอกวัง เดินออกมาได้ครึ่งทางจึงนึกขึ้นได้

          “แล้วกัน เราลืมเสียสนิท เจ้าหวาดกลัวร่างจริงเราอย่างยิ่งยวด”

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างไม่เข้าใจ องค์กษัตริย์จึงกล่าวต่อ “อัลวาธาอยู่ห่างไกลพอสมควร เราสามารถพาเจ้าไปเที่ยวชมได้ แต่ต้องคืนร่างเดิมเสียก่อน ใยเราลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท”

          องค์กษัตริย์ตรัสคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง เจ้าชายหนุ่มแย้มยิ้ม

          “เรื่องนั้นอย่าได้วิตก ข้าพเจ้ามิได้หวาดกลัวท่านเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว”

                “เจ้าแน่ใจ?” องค์กษัตริย์ตรัสถามอีกครั้ง อัสธาราธพยักหน้า

          “ข้าพเจ้าแน่ใจ ท่านต้องการทดสอบดูหรือไม่?”

          “เจ้าจะทดสอบอย่างไร?”

          อัสธาราธมิกล่าววาจาตอบ เพียงช้อนนัยน์ตาสีแดงขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ เรเธียร์มองดวงตาสีแดงนั้นอยู่พักหนึ่ง จึงพอเข้าใจความหมาย

          “ออ... เด็กน้อยเจ้ามิหวาดกลัวนัยน์ตาเราแล้ว ดูน่ายินดี แต่เรารู้สึกเสียใจอยู่สักหน่อย”

          “?” เจ้าชายหนุ่มมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด องค์กษัตริย์มองดวงหน้านั้นอยู่สักครู่ และตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

          “เมื่อเจ้าไม่กลัวเราแล้ว ไหนเลยเราจะเล่นสนุกแกล้งหยอกให้เจ้าหน้าซีดได้อีก เห็นทีมีแต่แกล้งให้เจ้าหน้าแดงแล้ว”

          กล่าวจบพลันยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ อัสธาราธรู้สึกครั้งนี้ตนหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าเพิ่งทราบ พระองค์มีนิสัยชอบแกล้งผู้เยาว์” ไม่คาดเลยจะมีวันที่ต้องกล่าววาจาตะกุกตะกักต่อหน้าผู้อื่น ได้ยินเสียงหัวร่อกังวาน

          “เจ้ายอมรับตัวเองเป็นผู้เยาว์แล้ว ฮา ฮา เราไม่นิยมแกล้งเด็กเปล่า ยังคล้ายเอ็นดูเด็กเจ้าอยู่หลายส่วน นี้ยังไม่ดี?”

          “ดี ดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าอยากดูภูเขาไฟแล้ว” อัสธาราธถึงกับต้องรีบกล่าวตัดบท แม้รู้ว่าจะเสียมารยาท ไม่เช่นนั้นมิทราบจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด ได้ยินองค์กษัตริย์ทรงพระสรวลอีกรอบ

          “เช่นนั้นเข้ามาใกล้ๆ”

          อัสธาราธเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย ทันใดนั้นวงแขนเรียวก็รั้งร่างเขาเข้าไปกอดไว้ เจ้าชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นอื้ออึง ขณะที่องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “กอดเราไว้ให้แน่น”

          วงแขนแกร่งรวบแน่นเข้ามาทันที ได้ยินเสียงหัวเราะต่ออีกหน่อย ร่างผอมเพรียวก็พลันกระจายแยกเป็นไอสีน้ำเงินพราย แผ่ขยายและรวมตัวกันด้วยลักษณะแปลกประหลาด  ชั่วอึดใจอัสธาราธก็พบตัวเองเกาะอยู่บนเกล็ดกว้างเกล็ดหนึ่ง พอเงยหน้าก็เห็นฝูงปลากำลังไหลผ่านตัวเองไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนก อัสธาราธเกาะพื้นผิวเรียบนั้นไว้แน่นกว่าเดิม ด้วยกลัวจะพลัดหล่น ได้ยินเสียงราวพรายฟองดังแว่วมา

          “ไหวหรือไม่?”

          “ข้าพเจ้าไม่เป็นไร” เจ้าชายหนุ่มกล่าวตอบไป เนื่องเพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ จึงไม่อาจมองเห็นภาพรอบกายได้ชัดเจนนัก อัสธาราธจึงทำได้เพียงนั่งมองเกล็ดสีน้ำเงินขนาดยักษ์ ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่อึดใจ เขาถูกโอบกอดโดยเจ้าของเกล็ด หัวใจในตอนนั้นเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าองค์กษัตริย์จะเป็นเช่นไรบ้าง บางทีอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย บางทีอาจจะเป็นตัวเขาเพียงผู้เดียวที่ว้าวุ่นหัวใจ

          เจ้าชายหนุ่มแนบใบหน้าลงไปบนแผ่นเกล็ด ด้วยหวังอยากได้ยินเสียงหัวใจดวงใหญ่กำลังเต้น อยากรู้ว่าราชันย์แห่งสายน้ำผู้นี้มีความหวั่นไหวบ้างหรือไหม ว้าวุ่นบ้างหรือไม่

          ตุบ...ตุบ.....

          ราวกับหัวใจนั้นอยู่ใต้แผ่นเกล็ดนี้เอง พอตั้งใจสัมผัสดีๆ ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนมาได้ อัสธาราธรู้สึกสะท้านอยู่ลึกๆ เขาอาจจะอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจขององค์กษัตริย์ แต่ว่าในดวงใจของพระองค์เล่า เขาอยู่ ณ ตำแหน่งใด

          อัสธาราธขยับใบหน้า แนบจูบแผ่วเบาลงไปในแผ่นเกล็ดนั้น

          อย่างไม่รู้ตัว..เจ้าชายหนุ่มแห่งดินแดนเพลิงต้องมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำจนมิอาจถอนตัวขึ้นได้อีกแล้ว

----------------------------------------------------------------
(จบตอน)
 *ตอนนี้อายแท้ๆ^///^ แบบว่า ไม่ได้เขียนกลอนมานานมาก แต่ก็ยังกระแดะอยากจะใส่เข้าไป เขียนแล้ว...ไม่กล้าอ่าน กร๊าสส ไว้ถ้าหาที่มันเขียนได้ดีกว่านี้จะมาแก้ให้นะคะ หรือถ้าใครมีอะไรแนะนำใส่ไว้ให้ได้เลยเน้อ...
คิดว่านิยายแฟนตาซีน่าจะมีกลอนบ้าง แต่พอลงมือแต่งเอง มันจั๊กเดี่ยมยังไงก็ไม่รู้^^""
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 11-07-2012 07:09:57
กลอนเพราะดีออกค่ะ เราชอบ อ่านแล้วขนลุกเลย 555

ขำอัสธาราธอะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 11-07-2012 15:22:31
อัสธาราธ รู้ตัวแล้วอะ เรเธียร์อะชอบแกล้ง
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 11-07-2012 17:13:56
 ถถถถถถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 11-07-2012 19:43:21
โว้ว.....เย้...... จูบ ณ ตำแหน่งของหัวใจ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2012 06:12:39
13 : สิ่งที่ปรารถนา

          ด้วยลำตัวขนาดมหึมายากจะจินตนาการ อัสธาราธก็มาถึงบริเวณที่เรียกกันกว่าอัลธาวา เจ้าชายหนุ่มตัวแต่เหม่อลอยคิดถึงเรื่องในภวังค์จนลืมไปแล้วว่ามีจุดประสงค์อันใด กระทั่งองค์กษัตริย์หยุดกายลงแล้วก็ยังมินึกเอะใจ รอจนพระองค์คืนมาเป็นร่างกลางและฉวยมือเอาไว้นั่นแหละ จึงได้รู้สึกตัว

          “ที่นี่คืออัลธาวา” เรเธียร์กล่าวพลางชี้มือลงไปบนกองหินรูปร่างประหลาดที่โอบล้อมปากปล่องที่พ่นหินร้อนสีแดงออกมา เพียงแวบเดียวที่หินกระทบกับสายน้ำนอกปล่อง ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ และกลิ้งลงไปตามทางลาด นี่เองเป็นที่มาของกองหินรูปร่างประหลาด

          สายเลือดในกายของมังกรไฟหนุ่มระอุขึ้นทันที

          “นั่นเป็นหินร้อนจริงๆ ?”

          ยังไม่ทันที่เรเธียร์จะเอ่ยปากตอบ เจ้าชายก็พูดต่อ “ข้าพเจ้าอยากลงไปสำรวจ”

          เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจแล้วก็หักใจทัดทานไม่ลง องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ ปล่อยมือที่จับเอาไว้ อัสธาราธแหวกสายน้ำลึกล้ำตรงไปยังปากปล่องที่พ่นหินหลอมเหลวสีแดงนั่นทันที ด้วยนึกสงสัยในใจอย่างยิ่งยวด หินในน้ำจะร้อนเช่นบนบกหรือไม่ จะสร้างเปลวเพลิงสีแดงในห้วงธาราลึกเช่นนี้ได้หรือไม่

          องค์กษัตริย์ขมวดคิ้วอย่างกังวลพระทัย เมื่อเห็นมังกรหนุ่มว่ายพุ่งลงไปในปล่องร้อนนั้น แม้ทราบว่าคงไม่เป็นอันตราย แต่เนื่องด้วยมีชีวิตสืบมาหลายพันปี ยังไม่เคยเห็นผู้ใดพุ่งลงปล่องหินร้อนของอัลธาวามาก่อน หุบเขาแห่งนี้ได้ชื่อว่าร้อนจัดที่สุดในอิลห์ลาริน ยากนักจะมาผู้ใดเข้ามาเยี่ยมกราย พอเห็นท่าทีชวนหวาดเสียวนั้นก็อดห่วงไม่ได้

          “อุบ!” เจ้าชายหนุ่มอุทาน ก่อนจะหัวเราะเสียงลั่น จนองค์กษัตริย์ต้องเอ่ยปากถาม

          “เจ้าเป็นอะไรแล้ว?”

          “ข้าพเจ้าร้อน” เจ้าชายหนุ่มกล่าว เขาเพิ่งโผล่ศีรษะออกมาจากบ่อหินร้อนนั่น ร่างกลางทนทานไอความร้อนได้มากกว่าร่างมังกร แต่อัสธาราธลืมเสียสนิท เสื้อผ้าไม่ทนความร้อนเช่นนั้น ยามที่อยู่ซาซากันก็มักจะโดนท่านพี่หญิงเอ็ดอยู่บ่อยๆ เรื่องทำเสื้อผ้าเสียหาย ขนาดเสื้อที่ทอจากใยหินทนไฟที่สุด เจ้าชายหนุ่มก็พาไปละเลงในปล่องร้อนมาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น เสื้อผ้าของชาวบาดาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “หินร้อนในปล่องนี่ร้อนจริงๆ” เจ้าชายหนุ่มยังคงกล่าวด้วยสีหน้ารื่นเริง เนื่องจากไม่ได้สัมผัสไอร้อนมาหลายวัน การได้แช่หินร้อนในร่างกลางเช่นนี้จึงเป็นการผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด เรเธียร์ที่มีความทรงจำยาวนานยังมิอาจเข้าใจความพึงพอใจนี้ จึงกล่าวออกไปอย่างเป็นกังวล

          “เจ้ารีบขึ้นมา เราไม่อยากเห็นเจ้าสุกอยู่ในนั้น”

          อัสธาราธหัวเราะร่าเริง “ข้าพเจ้าไม่กลายเป็นมังกรต้มหรอก อย่างดีก็คงเส้นผมไหม้บ้างเท่านั้น”

          “แล้วกัน! เช่นนั้นรีบขึ้นมาเถิด หากเจ้าหัวล้านเราคงขำไม่ออก”

          คนที่ขำกลับกลายเป็นผู้มีที่โอกาสจะหนังศีรษะไหม้ “พระองค์อย่าได้วิตก หากผมข้าพเจ้าจะไหม้ ก็คงไหม้แค่ปลายๆ เท่านั้น อืม...”

          พูดไม่ทันจบก็มุดหายลงไปในปล่องนั้นอีก ตั้งแต่ดำรงร่างนี้มา นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ราชันย์แห่งสายน้ำคิดว่าหัวใจจะหยุดเต้นเนื่องเพราะความตื่นตกใจ เจ้าชายนั่นทำราวกับปล่องร้อนนั้นเย็นจัด พวกมังกรไฟนี่ยากจะเข้าใจจริงๆ

          อัสธาราธดำหายลงไปในปล่องหินร้อนอยู่นานสองนานยังไม่มีท่าทีจะกลับขึ้นมา องค์กษัตริย์เริ่มรู้สึกปริวิตก หากเจ้าชายนั่นไม่กลับขึ้นมา จะทำเช่นไร จะให้ลงไปตามในปล่องร้อนนั่นคงเป็นไปไม่ได้ ครั้นจะให้ไปรายงานกับองค์กษัตริย์แห่งซาซากันก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร จะให้บอกว่าเพราะพาน้องชายของพระองค์มาเที่ยวปล่องภูเขาไฟจึงเกิดเรื่องก็ดูจะน่าขายหน้า ขณะตรึกนึกหาคำแก้ตัว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก็โผล่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง

          “โอ๊ยๆ ข้าพเจ้าจะไหม้แล้ว” น้ำเสียงร่าเริงไม่มีความทุกข์ร้อนเลยสักนิด แต่รูปประโยคทำเอาผู้ที่นึกปริวิตกอยู่แล้วยิ่งกังวลหนัก

          “อัสธาราธ เจ้ารีบขึ้นมา อย่าได้เล่นพิเรนทร์เช่นนี้อีก เราผู้เฒ่าจะหัวใจวายตายแล้ว”

          องค์กษัตริย์ตรัสด้วยความวิตกจริต หากร่างกายไม่พ่ายแพ้แก่ไอร้อนแห่งอัลธาวา พระองค์คงมุ่งเข้าไปฉุดตัวมังกรหนุ่มขึ้นมาด้วยพระองค์เองแล้ว

          อัสธาราธมิได้ตอบองค์กษัตริย์ในทันที ดูเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในปล่องร้อน สักพักก็ผลุบหายไปอีก เรเธียร์แทบจะลมจับไปจริงๆ

          อัสธาราธผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในปล่องร้อนหลายหน จนเรเธียร์ต้องสร้างบัลลังก์ชั่วคราวขึ้นมาเอนกายพลางพร่ำบอกตนเองว่านั่นคือสายพันธุ์แห่งไฟ พระแม่แห่งเพลิงต้องทรงปราณีอย่างมิต้องสงสัย
 

          “ขออภัยหากข้าพเจ้าทำให้พระองค์ทรงวิตก” น้ำเสียงของเจ้าชายหนุ่มดังขึ้น ขณะที่องค์กษัตริย์กำลังดำริในพระทัยว่าจะให้อูห์รูนปรุงยามาให้ทานเพิ่ม คล้ายเรื่องมุดเล่นในลาวาร้อนนี้จะสร้างความสะเทือนพระทัยเสียยิ่งกว่าเรื่องถูกกัดเสียอีก

          “เจ้าทำเราวิกต..!” เรเธียร์กล่าววาจาค้าง เมื่อเบนสายตามามองผู้พูด อัสธาราธยังไม่รู้สึกผิดปกติในกิริยานั้น ดูจะสนใจกับของที่อยู่ในมือมากกว่า

          “ข้าพเจ้าให้ท่าน” พูดพลางยื่นมืออกมา ในฝ่ามือมีวัตถุบางอย่างสีดำมีลายทองเลื้อยอยู่ ลักษณะคล้ายมังกรขดตัวเข้าหากัน

          “เจ้าทำเอง?” องค์กษัตริย์ตรัสถามอย่างแปลกพระทัย นี่เป็นรูปตราประจำพระองค์ไม่ผิดแน่ ไม่นึกว่าเจ้าชายแห่งคอนเชียร์จะทำของเช่นนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือจะทำจากหินหลอมเหลวนั่น

          อัสธาราธพยักหน้า “ในหินร้อนมักมีแร่ทองคำละลายอยู่ เมื่อครู่ข้าพเจ้าพยายามหาหินร้อนที่พอเย็นแล้วจะมีลายสวยงาม ขออภัยที่ทำท่านตกใจ”

          เรเรียร์ผงกศีรษะ พิศดูวัตถุในมือ “กลับไปเราจะให้ช่างทำสายสร้อย จะได้ไว้ใส่ยามออกท้องพระโรง” องค์กษัตริย์กล่าว เจ้าชายหนุ่มยิ้มกว้างทันที เรเธียร์กวาดตามองผู้ยืนอยู่ตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ อีกหลายรอบ ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าว

          “เราขอถอนคำพูดเรื่องเคยกล่าวหาว่าเจ้าเป็นทารก ทารกย่อมไม่มีสรีระอุจจาดตาเช่นนี้ เจ้าตั้งใจจะอวดความเติบโตกับเราหรือไร?”

          อัสธาราธขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะก้มลงมองร่างกายตนเอง ก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังเปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าองค์กษัตริย์ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแทบจะเป็นสีเดียวกับเส้นผมด้วยความอับอายในทันที ลืมไปเสียสนิทว่าเสื้อผ้านั้นไม่ทนความร้อน

          อารามความอับอาย เจ้าชายหนุ่มสั่งงอกผิวเกล็ดขึ้นมาปิดบังร่างเอาไว้ แต่คงจะอับอายมากจริงๆ ถึงกระทั่งงอกคลุมใบหน้าไปด้วย องค์กษัตริย์เช่นเช่นนั้นอดหัวร่อออกมาไม่ได้

          “ตอนนี้เจ้าดูคล้ายปูตัวหนึ่งแล้ว”

          อัสธารายอมกลายเป็นปูจริงๆ จะให้เสนอหน้าออกไปได้อย่างไร ในเมื่อกระทำเรื่องน่าอายอย่างนั้นออกไปแล้ว

          “นี่... โผล่หน้าออกมาเถิด เรารู้แล้วเจ้าอับอาย”

          “....................”

          เรเธียร์รู้สึกเหมือนคุยกับปะการัง เริ่มรู้สึกสำนึกผิดนิดหน่อยที่เย้ามังกรหนุ่มไปแรงขนาดนั้น วัยฉกรรจ์ย่อมต้องอับอายเป็นธรรมดา แต่จะให้ปลอบอย่างไรดีเล่า?

          “นี่...เด็กน้อย...อืม...หนุ่มน้อย ออกมาเถิด เจ้าอย่าได้แง่งอนเป็นอิสตรีเลย”

          อัสธาราธเกือบจะเถียงออกไป ติดที่เกล็ดงอกค้ำปากเอาไว้ ครั้นจะคลายออกก็ไม่กล้าสู้หน้า จึงยังคงเงียบอยู่

          เรเธียร์จ้องมองก้อนเกล็ดสีแดงตรงหน้าอย่างจนใจ ไม่นึกไม่ฝันจะต้องมาปลอบประโลมตัวประหลาดเช่นนี้ แต่คล้ายเหตุการณ์นี้ตนมีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย จึงทดลองทอดน้ำเสียงอ่อนโยน

          “นี่...เจ้าชาย...ออกมาคุยกับเราเถิด ร่างกายเจ้ามิใช่ไม่ดีอะไร เราผู้เฒ่าออกจะปากไวไปหน่อย อืม...จริงๆ เราเห็นว่าเจ้าเป็นมังกรหนุ่มรูปงามตนหนึ่ง”

          คล้ายคำป้อยอจะใช้ได้ผล อัสธาราธพูดออกมาเป็นครั้งแรก

          “พระองค์พูดจริง?”

          องค์กษัตริย์ผงกพระพักตร์ กล่าวสืบต่อ “เราเป็นกษัตริย์ ย่อมกล่าววาจาสัตย์ เมื่อครู่เราพูดไปเพียงเพราะอยากจะเย้าเจ้าเล่น เด็กน้อยเจ้าอวดร่างใส่ ไม่กลัวเราผู้เฒ่าเก็บเอาไปน้อยใจหรือ?”

          “ท่านจะน้อยใจเรื่องใด?”

                “ร่ายกายวัยเยาว์ย่อมเป็นที่ปรารถนา เรานี้เข้าสู่วัยชราแล้ว ร่างกายคล้ายไม้ผุง่อนแง่นเต็มที จะทำอะไรก็ดูติดขัดไปเสียหมด เด็กเจ้าไม่เคยชราย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกเราแน่นอน”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจแน่นอน อืม.. ข้าพเจ้าไม่ได้ดูแย่?”

          แลดูคล้ายเจ้าชายหนุ่มยังคงเป็นกังวลกับประโยคเย้าเมื่อครู่ เรเธียร์ยิ้มอย่างเอ็นดู กล่าวเสียงกังวาน

          “ย่อมไม่ดูแย่ อาจจะน่าดูสักหน่อย เสียดาย เราไม่เคยนึกชอบดูรูปร่างบุรุษมาก่อน”

          “เช่นนั้นท่านชมชอบดูเรือนร่างอิสรตรี?”

                มีเรียวยกขึ้นเขกลงไปบนแผงเกล็ดตรงหน้าผากเบาๆ

          “ผู้ใดใช้เด็กเจ้ากล่าววาจาน่าละอายเช่นนั้น อืม..บริเวณนี้ไม่มีผู้ใด เราพอจะบอกกล่าวกับเจ้าได้ สรีระสตรีชาวบาดาลไม่เลวทีเดียว น่าเสียดายพวกนางมักไม่ค่อยปรากฏโฉมต่อหน้าเรา ดั่งเกรงกลัวว่าเราจะงามกว่า อืม...เรายังเห็นพวกนางงามกว่าเราหลายเท่านัก”

          อัสธาราธนึกสงสารนางมังกรพวกนั้นอยู่ในใจ หากต้องทาบรัศมีกับองค์กษัตริย์ผู้มีสิริโฉมงดงามเช่นนี้ ต่อให้พวกนางมีทรวดทรงงดงามอย่างใด คงไร้ความหมายเป็นแน่แท้ เนื่องด้วยองค์กษัตริย์นั้นมีความงามในแบบที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดที่เปรียบเทียบความงามได้

          “แต่สตรีในฝันของท่านมิใช่ชาวบาดาล?” อัสธาราธเผลอหลุดปากพูดออกไป เพราะย้อนไปนึกถึงสรีระของสตรีในฝันนางนั้น นัยน์ตาสีมรกตชะงักกึกทันที

          “โอ...เจ้าเห็นนางแล้ว?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

          “นางเป็นสตรีที่เราคำนึงถึงมากที่สุด”

          “นางเป็นผู้ใด?”

          “เราไม่ทราบ”

          “?” อัสธาราธมององค์กษัตริย์อย่างงุนงง เรเธียร์จึงอธิบายความต่อ

          “นางเป็นสตรีชาวมนุษย์ ที่พลัดตกลงมาในห้วงน้ำแห่งเรา นางมีชื่อใด มีที่มาอย่างไร เราไม่ทราบ”

          “เช่นนั้น ใยท่านจึงคำนึงถึงนางมากเช่นนั้น?”

          “โอ....” องค์กษัตริย์มีสีพระพักตร์ปั้นยาก อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานจึงกล่าววาจาออกมา

          “คล้ายเราหลงรักนาง เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด เนื่องเพราะผู้ยิ่งใหญ่เช่นเรากลับหลงรักสตรีชาวมนุษย์ที่ยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ผู้ใดรู้น่ากลัวหัวร่อไม่จบสิ้น”

          “แต่นางตายไปแล้ว?”

          เรเธียร์ผงกศีรษะ กล่าวสืบต่อ

          “เช่นนี้เราจึงยิ่งต้องปิดบัง คล้ายเราไร้โชคเรื่องความรัก เราพบสตรีนางหนึ่ง เราหลงรักนาง แต่กลับหลงรักนางยามที่นางสิ้นลมไปแล้ว โอ...เราเรเธียร์ หลงรักสตรีที่ตายไปแล้ว”

          ตอนท้ายคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง นัยน์ตาสีมรกตคล้ายจมสู่ห้วงภวังค์ยิ่งใหญ่ที่แสนแปลกประหลาดเกี่ยวกับสตรีนางนั้น อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์ มิทราบเพราะเหตุใด หัวใจคล้ายปวดจนมิอาจทนทาน เผลอหลุดคำพูดออกมา

          “หากข้าพเจ้าตาย ท่านจะรักข้าพเจ้าบ้างหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์หลุดออกจากห้วงภวังค์ทันที “เจ้าว่าอย่างไร?”

          “...................” อัสธาราธนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ ทราบดีว่าได้กล่าวถ้อยคำไม่สมควรออกไปแล้ว กับเรื่องเช่นนี้จะให้องค์กษัตริย์รู้ได้อย่างไรเล่า คิดเช่นนั้นจึงอ้อมแอ้มตอบไป “ข้าพเจ้าเปล่า”

          “อืม...” องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินส่งเสียงลึกในลำคอ “ยังอยากไปเที่ยวที่ใดอีกหรือไม่?”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเม้มริมฝีปากด้วยความขัดเขิน

          “แลดูข้าพเจ้ารบกวนท่านมากแล้ว พวกเรากลับกันดีกว่า”

          “โอ...เจ้าไม่อยากท่องเที่ยวแล้ว?”

          “ข้าพเจ้าอยาก แต่....”

          “เช่นนั้นก็ไปกับเรา หรือเจ้าไม่พอใจที่มีเราเป็นเพื่อนร่วมทาง?”

          “มิได้”

          “เช่นนั้นอย่าได้เกรงใจเรา เจ้าอยากเห็นที่ใดอีก?”

          อัสธาราธมองหน้าองค์กษัตริย์แล้วนึกไม่ออกว่าตนอยากชมสิ่งใด คล้ายมองเพียงพระพักตร์ของพระองค์ก็เพียงพอแล้ว องค์กษัตริย์เห็นเจ้าชายหนุ่มเงียบไปเช่นนั้นจึงกล่าววาจาสืบต่อ

          “อืม....เราลืมเลือน คล้ายเจ้าไม่รู้จักสถานที่ มาเถิด เราจะพาเจ้าไปดูสวนที่คลัสเตอร์”

          ตรัสพลางยื่นพระหัตออกมา อัสธาราธจึงต้องโดยสารไปกับร่างเดิมขององค์กษัตริย์อีกรอบ ระหว่างนั้นอดไมได้ที่จะถามคำถาม

          “ข้าพเจ้าใคร่บังอาจถามสักหนึ่งเรื่อง”

          “เรื่องใด?” น้ำเสียงพร่าในฟองพรายถามกลับมา อัสธาราธนิ่งเงียบไปอย่างลังเล ท้ายที่สุดก็ถามออกมา

          “เหตุใดท่านช่วยข้าพเจ้าเมื่อคราวนั้น”

          เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาตามกระแสน้ำ

          “ช่วยชีวิตยังต้องมีเหตุผล? เอาเถิด เจ้าเห็นสตรีนางนั้นในความทรงจำของเราแล้วย่อมต้องนึกสงสัย เรายอมรับ เจ้ากับสตรีนางนั้นมีส่วนใกล้เคียงกันบางอย่าง”

          อัสธาราธรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล หรือจะโกรธเรื่องที่ถูกเปรียบเทียบกับสตรี แต่ไม่คล้ายว่ามีความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้นเลย

          “อืม..นี่เราไม่ได้ตั้งใจเปรียบเทียบเจ้ากับอิสตรี” องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ “เราเพียงรู้สึก ทั้งเจ้าทั้งนางล้วนกล้าหาญนัก ผู้อื่นเมื่อร่วงหล่นลงสู่สายน้ำแห่งเราล้วนถูกความหวาดกลัวเล่นงานจนสิ้นท่า น้อยนักจะกระทำการกล้าหาญเช่นพวกเจ้า”

          “ข้าพเจ้า....” อัสธาราธรู้สึกเหมือนน้ำเสียงหลุดหายไปในลำคอ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงแค่นออกมาได้ “ข้าพเจ้าไม่ได้กล้าหาญแต่อย่างใด ตอนนั้นข้าพเจ้ากลัวแทบตาย”

          “เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก หากเจ้าไม่กลัวเลยสิแปลก ตอนเจ้าหนีหายไป เรายังนึกหวั่น ใช่เรากลายเป็นภาพอดีตเลวร้ายในใจเจ้าหรือไม่ โอ...เรารู้สึกดีที่ช่วยเจ้าเอาไว้ได้ แต่ก็หวั่นว่าเจ้าจะจดจำเราในแง่เลวร้าย”

          “ข้าพเจ้าฝันถึงท่านบ่อยครั้ง” เจ้าชายหนุ่มกล่าว พลางหวนนึกถึงยามที่ต้องสะดุ้งตื่นมาเพราะนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้น ในเวลานั้นตนหวาดกลัวองค์กษัตริย์ผู้นี้จริงๆ

          “ฝันว่าอย่างไร?” น้ำเสียงนั้นดูสนใจใคร่รู้อย่างเห็นได้ชัด ดูจะอยากทราบความฝันของผู้อื่น

          “อืม....” อัสธาราธลำบากใจที่จะพูด “ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันดี”

          “อืม...เราทราบ หากเจ้าฝันดี ไหนเลยจะหวาดกลัวเราถึงขนาดนี้”

          “แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่กลัวท่านแล้ว” อัสธาราธตอบกลับทันที เหมือนได้ยินเสียงหัวร่ออีกครา

          “เราคล้ายต้องการให้เจ้ากลัวเราต่อไปสักหน่อย ได้เห็นเจ้าบัดเดียวหน้าซีด บัดเดี๋ยวหน้าแดง เรารู้สึกบันเทิงอยู่หลายส่วน”

          อัสธาราธขมวดคิ้วมุ่นทันที ไม่เข้าใจห้วงอามรณ์ขององค์กษัตริย์ชราเลยสักนิด

          “ท่านบอกกลัวข้าพเจ้าจดจำในแง่ร้าย แต่พอกล่าวอีกทีก็คล้ายพอใจที่ถูกข้าพเจ้าจดจำเช่นนั้น สรุปแล้วท่านมีนิสัยเช่นไรแน่?”

          ได้ยินเสียงหัวเราะดังชัดเจนเป็นเวลานาน คล้ายอัสธาราธกล่าววาจาอย่างไร องค์กษัตริย์ล้วนเห็นเป็นเรื่องขำขันทั้งสิ้น

          “ขออภัยกับความเสียมารยาทของเรา” ในที่สุดองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงตรัสต่อ “เราอยู่มาเนิ่นนาน พอแก่ตัวลงคล้ายมีนิสัยชอบหยอกเย้าผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อย อืม...ตั้งแต่มีนิสัยนี้มา ยังหยอกผู้ใดไม่สนุกเท่าหยอกเจ้า”

          อัสธาราธย่นคิ้ว ไม่ทราบองค์กษัตริย์เคยนึกถึงจิตใจผู้ถูกพระองค์หยอกล้อบ้างหรือไม่

          “คล้ายเจ้าหยอกสนุกมาตั้งแต่ยังเล็กๆ”

          “?”

          “อืม...ยังไม่เคยเล่าให้เจ้าฟัง เราเองก็เพิ่งมานึกได้ เราเคยขึ้นไปงานครบรอบวันเกิดปีที่สิบของเจ้า อืม...ตอนนั้นเจ้ายังคงจำความไม่ได้กระมัง เรานึกออกเพราะเราไปงานฉลองวันเกิดของเชื้อพระวงศ์ซาเกวนส์แทบทุกตน เรายังจำพี่ชายเจ้าตอนเกิดใหม่ๆ ได้ น่าตาน่ารักน่าชังทีเดียว อืม.. ยังพี่สาวเจ้าอีก เติบโตขึ้นก็เป็นเจ้าหญิงโฉมงามแล้ว อืม....ไหนจะพ่อเจ้า...อาเจ้า....โอ...ปู่ของเจ้าเองก็ดูจะเย้าสนุกไม่แพ้กัน”

          “ท่านพูดถึงแต่ข้าพเจ้าเถิด” เจ้าชายอดไม่ได้ต้องกล่าวออกไป ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกไม่ตนเองเป็นเด็กทารก องค์กษัตริย์ก็ดูชราภาพยิ่ง ขืนฟังต่อคงได้กลั้นใจตายแน่ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย

          “เรายิ่งชรายิ่งชอบพูดถึงอดีตไม่จบไม่สิ้นเสียแล้ว อา..เล่าถึงที่ใด อืม...วันเกิดเจ้า..วันเกิดเจ้า..ใช่แล้ว เจ้าเพิ่งอายุสิบปี ทารก...ทารกน้อยอัสธาราธ”

          คล้ายชอบอกชอบใจคำว่าทารกนั้นอย่างยิ่ง อัสธาราธเริ่มรู้สึก องค์กษัตริย์อาจมีนิสัยกวนประสาทผู้อื่นมาเนิ่นนานมากแล้ว อดไม่ได้ต้องกล่าวแทรกออกไป

          “ข้าพเจ้าตอนนั้นยังเด็ก เป็นทารกมีอันใดประหลาด?”

          “ไม่มีอันใดประหลาด เราเพียงรู้สึก เจ้าดูน่ารักน่าชังจริงๆ มังกรไฟสีแดงตัวน้อยๆ ที่ริอาจจะพ่นไฟใส่เรา พอเราเข้าใกล้ก็จะงับเราอีก แลดูเจ้าดุร้ายมาแต่ยังเล็กๆ”

          อัสธาราธนึกภาพตัวเองยามนั้นไม่ออก ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์กล่าวต่อ

          “ทั้งบิดามารดาเจ้าล้วนเป็นกังวล เจ้าได้สิบปีแต่ยังมิยอมแสดงร่างกลางออกมา แม้ทารกยังต้องรู้จักวิธีเปลี่ยนร่าง พี่ชายเจ้าเองพอย่างปีที่หกก็เปลี่ยนร่างได้แล้ว เห็นเจ้าสิบปีมิยอมกลายร่าง จึงกังวลว่าเจ้าจะใหญ่โตจนคับซาร์ซารกัน อืม....เมื่อครู่เหมือนเรากล่าวคำบรรยายผิดพลาดไปบ้าง เจ้าดูตัวน้อยสำหรับเราก็จริง แต่เมื่อเทียบกับห้องของเจ้าในซาร์ซากันแล้ว นับว่าสิบปีเจ้าก็โตแทบจะคับห้อง”

          “ข้าพเจ้าชอบอยู่ในร่างมังกรมาแต่ไหนแต่ไร” อัสธาราธว่า รู้สึกอับอายนิดหน่อยที่เพิ่งทราบว่าตัวเองก่อปัญหาให้พระราชบิดากับพระราชมารดาเช่นนั้น ได้ยินเสียงหัวร่ออีก

          “เราเห็นสองพระองค์วิตกเช่นนั้นก็อยากลองช่วยเหลือ จึงเนรมิตครอบน้ำมาล้อมตัวเจ้าไว้ คิดว่าหากบีบการเคลื่อนไหวของเจ้าให้จำกัดลง เจ้าน่าจะยอมเปลี่ยนมาเป็นร่างกลาง”

          “ที่แท้ท่านเป็นต้นเหตุ!” อัสธาราธโพล่งออกมา ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์กล่าวอย่างแปลกพระทัย “เจ้าจำได้?”

          “ข้าพเจ้าจำไม่ได้ทั้งหมด รู้แต่เวลานึกจะเปลี่ยนเป็นร่างกลางทีไร คล้ายมีผู้ใดคอยบีบข้าพเจ้าด้วยความเย็นเข้ากระดูกอยู่ ข้าพเจ้าจึงเกลียดการเปลี่ยนร่างเสมอมา”

          “โอ....” องค์กษัตริย์อุทานลากเสียง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “นั่นไม่นับเป็นความผิด เราทำลงไปเพราะความหวังดีล้วนๆ”

          อัสธาราธรู้สึกอยากจะกัดองค์กษัตริย์สักคำ ยังมีผู้ใดกล้าหยอกล้อทารกด้วยวิธีทารุณเช่นนั้นนอกจากพระองค์อีกเล่า นึกๆ ดูแล้วน่าตกใจจริงๆ ที่จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เป็นต้นเหตุแห่งความทรงจำเลวร้ายทั้งหลายทั้งมวลของตน

          ดั่งกลัวถูกรื้อฟื้นความผิด องค์กษัตริย์มิกล่าววาจาใดต่ออีก เร่งรีบฝ่ากระแสน้ำลึกไปยังที่หมายทันที

--------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ12 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 11/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2012 06:18:05
          “ที่นี่คือคลัสเตอร์” เรเธียร์ที่เปลี่ยนมาสู่ร่างกลางแล้วเอ่ยวาจาขึ้น พลางผายมือไปยังดงปะการังกว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องล่าง แต่คล้ายเจ้าชายแห่งคอนเชียร์จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า นัยน์ตาสีแดงเพลิงเขม่นมองพระองค์อย่างเอาเรื่อง

          “เจ้าไยจ้องหน้าเราอย่างกับจะกลืนกินเช่นนั้น” องค์กษัตริย์เอ่ยถาม ด้วยสีหน้าที่รู้อยู่แล้วว่าถูกจ้องเพราะเรื่องอะไร อัสธาราธกล่าวเสียงหนัก “ข้าพเจ้าอยากจะกินท่านจริงๆ”

          เรเธียร์แสร้งทำหน้าวิตก ก่อนจะกล่าวออกมา “โอ...เรากลัวเป็นที่ลำบากปากทารกเจ้า คล้ายแค่ปลายหางของเราเจ้าคงใช้เวลาแทะหลายวัน”

          อัสธาราธถึงกับเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้วอย่างเถียงไม่ออก เห็นดังนั้นองค์กษัตริย์จึงพลันหัวร่อเบิกบาน

          “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าริอาจคิดจะกินเราให้ยาก”

                กล่าวพลางถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ร่วงละลิ่วลงสู่พื้นปะการังเบื้องล่าง

          “ขอต้อนรับสู่อุทยานที่สวยที่สุดในอิลห์ลาริน”

          น้ำเสียงกังวานอยู่ในห้วงน้ำพราวใส อัสธาราธเพิ่งสังเกตจริงๆ ว่าที่แห่งนี้มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านจากเบื้องบน ยังไม่ทันได้หันไปสำรวจว่าอยู่ห่างจากผิวน้ำไปเท่าไร มือเรียวก็ยื่นมาดึงมือของเขาลงไป

          ปะการังหลากสีสันละลานตาอยู่เบื้องล่าง มีทั้งสีเหลือง แดง ส้ม ชมพู ยามกระทบกับแสงแดดที่ส่องผ่านผิวน้ำลงมาดูงดงามแปลกตา แต่ที่เหนืออื่นใดคือนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่อยู่บนดวงหน้าผุดผาด เรือนผมสีน้ำเงินพรายพลิ้วสยายตัดกับสีสดใสของเหล่าปะการังเบื้องล่าง ความงดงามขององค์กษัตริย์คล้ายถูกสภาพแวดล้อมดังกล่าวขับให้ยิ่งงดงามมากเข้าไปอีก มองเห็นริมฝีปากได้รูปนั้นเผยออ้าขึ้น

          “เจ้าชอบหรือไม่?”

          อัสธาราธที่มองดูความงดงามตรงหน้าจนตะลึงลาน ตอบออกไปอย่างไร้สติ

          “ชอบ ข้าพเจ้าชอบมาก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะชี้มือขึ้นไปด้านบน อัสธาราธหันตัวกลับไปตามนิ้วมือ มองเห็นแสงอาทิตย์สีทองต้องผิวน้ำใสด้านบน เป็นประกายวาววับ

          “เราชื่นชอบมานอนดูแสงอาทิตย์ที่นี่” องค์กษัตริย์กล่าว อัสธาราธมองเห็นฝูงปลาสีสันสวยงามว่ายผ่านหน้าตนไป ทั้งสีเหลือง สีขาว สีส้ม สีน้ำเงิน ดูลายตาไปหมด อดไม่ได้ต้องเอื้อมมือออกไปคว้า แต่พอยื่นมือออกไป ฝูงปลาก็แตกกระจาย ว่ายหนีไปหมด ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ

          “เจ้าทำพวกนั้นตกใจ”

          อัสธาราธหันหน้ากลับมาอีกทีก็พบองค์กษัตริย์อยู่ท่ามกลางฝูงปลาหลากสีจำนวนมาก คล้ายที่แตกฮือเมื่อครู่หนีมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้หมดสิ้น

          “ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจ” มังกรหนุ่มแก้ตัว เมื่อครู่เพียงอยากจะจับเอาไว้เท่านั้น องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม

          “อยู่ในน้ำเจ้าต้องรู้จักเบามือบ้าง” พูดพลางยกมือขึ้นค่อยๆ โอบรอบปลาน้อยตัวหนึ่ง คล้ายปลาสีแดงตัวนั้นพอใจจะถูกจับ ถึงกับแทบจะว่ายเข้ามาอยู่ในอุ้งมือขององค์กษัตริย์เองก็ไม่ปาน เรเธียร์โอบฝ่ามือเข้าหากันหลวมๆ ก่อนจะยื่นมาให้อัสธาราธ

          “ลองสัมผัสดู”

          เจ้าชายหนุ่มมองเห็นปลาสีแดงส้มลายพาดขาวตัวขนาดพอเต็มฝ่ามือกำลังจ้องหน้าตนอยู่ ครีบหางพลิ้วไปตามกระแสน้ำ มองอยู่สักพักก็เงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์อย่างไม่แน่ใจ

          “ลองแตะดูเถิด ระวังให้เบาๆ มือก็พอ”

          อัสธาราธรู้สึกคำว่าเบามือเป็นอะไรที่กระทำยากลำบาก ใช้ชีวิตมาเป็นสองร้อยปี ไม่เคยแตะอะไรอย่างเบามือมาก่อน ขนาดเสาหินในวัง ยามรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ก็บีบจนแหลกมาแล้ว แต่เมื่อองค์กษัตริย์อยากให้ลองแตะ ตนก็จะลองแตะดูสักหน่อย

          เจ้าชายหนุ่มยกมือขึ้น พยายามที่สุดที่จะแตะลงไปเพียงแผ่วเบา เจ้าปลาน้อยขยับหนีเล็กน้อย เมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัสส่วนศีรษะ อัสธาราธรู้สึกเหมือนแตะเมือกลื่นๆ จึงลองลูบเบาๆ คล้ายปลาน้อยติดใจสัมผัส จากที่อยู่นิ่งๆ ก็เริ่มว่ายมาคลอเคลียตามมือแล้ว

          เรเธียร์หัวเราะร่วน เมื่อเห็นปลาตัวสีแดงส้ม ไถตัวไปกับเกล็ดสีแดงเพลิงบนร่างกายของอัสธาราธ

          “ท่าทางจะชอบเจ้าแล้ว”

          อัสธาราธทำหน้าแปลกๆ แต่ด้วยความเกรงใจจึงยืนนิ่งๆ ปลาน้อยว่ายถูไถไปเรื่อย คล้ายนึกอยากชิม จึงว่ายขึ้นไป ใช้ปากตอดบริเวณใบหูเรียวยาวของมังกรหนุ่ม องค์กษัตริย์พลันหัวเราะชอบใจ

          “ไหนลองเอาไปอีกหลายๆ ตัว”

          สิ้นคำพูด เหล่าปลาน้อยก็ว่ายเข้าหาเจ้าชายหนุ่มทันที จะว่าเป็นภาพสวยงามก็คงพอพูดได้ แต่หากจะพูดว่าดูระทึกขวัญก็คงไม่ผิดนัก เนื่องเพราะฝูงปลาเหล่านั้นมุ่งหน้าเข้ามากลุ้มรุมตนเองอย่างจริงจัง

          อัสธาราธยืนตัวแข็งทื่อ เหล่าปลาเล็กปลาน้อยว่ายวนไปมารอบกาย คล้ายต้องการอวดเรือนร่างแปลกตาและสีสันสดใส บางตัวว่ายมุดเล่นเข้าไปในผมสีแดงยาวสยาย บางตัวว่ายมาตอดตามใบหน้าและส่วนต่างๆ ให้รู้สึกจั๊กจี๋

          “ตอนนี้เจ้าดูคล้ายปะการังไม่น้อย” องค์กษัตริย์พลางยิ้มร่าเริง อัสธาราธทำได้เพียงแค่นยิ้มตอบ ไม่กล้าเปิดปากพูด ด้วยกลัวฝูงปลาจะพากันตกใจว่ายหายไปอีก เรเธียร์ยืนมองอยู่เป็นนาน นัยน์ตาสีมรกตดูจะสนุกสนานที่ได้เห็นมังกรจากต่างแดนยืนตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์ตัวน้อยของพระองค์

          “นี่ เจ้ายังขยับตัวอยู่ได้หรือไม่?”

          “?” อัสธาราธมีสีหน้างุนงง องค์กษัตริย์ตรัสต่อ “เราอยากพาเจ้าเดินชมรอบๆ หรือเจ้าจะให้เราอุ้มไป?”

          “ข้าพเจ้าขยับตัวได้?” ขณะอ้าปากพูด ปลาเจ้ากรรมตัวหนึ่งเกิดอุตริมุดเข้าไปในปาก เจ้าชายหนุ่มหุบปากไปแล้วยังต้องรีบพ่นปลาตัวน้อยนั้นออกมา พ่นออกมาตัวหนึ่งอีกตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมุดเข้าไปในรูหู พอสลัดหัวไล่อีกตัวก็ว่ายรี่เตรียมจะมุดเข้าไปในรูจมูก อัสธาราธรู้สึกฝูงปลาพวกนี้จงใจหาเรื่องตนชัดๆ จึงสะบัดแขนขาไปมาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาการเหล่านี้ทำเอาผู้ยืนดูถึงกับหัวร่องอหงาย

          “คล้ายพวกตัวเล็กตั้งใจจะอาศัยอยู่ในตัวเจ้าแล้วแน่แท้ ฮา ฮา”

          พูดไปหัวเราะไปอย่างเบิกบานเป็นยิ่งนัก ชวนให้เข้าใจว่าเป็นตัวการสั่งให้สัตว์น้อยพวกนี้กระทำการเช่นนี้รึเปล่า

          อัสธาราธพยายามสลัดฝูงปลาพวกนั้นออก แต่คล้ายเหล่าปลาน้อยติดใจร่างกายของตนอย่างจริงๆ จังๆ ถึงกับไม่ยอมถอยห่าง ไล่ไปแล้วก็ว่ายกลับมาใหม่ บางตัวก็เข้าไปหลบอยู่ในผม เจ้าชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ปิดปากสนิท อย่างน้อยคงไม่มีปลาตัวใดว่ายเข้าไปในปากอีก

          เรเธียร์ดูสนุกสนานกับมหกรรมแปลกประหลาดนี้เป็นยิ่งนัก ยืนชมดูราวกับกำลังทอดพระเนตรมหรสพใหญ่ มองไปหัวเราะไป จนอัสธาราธต้องเอ่ยปาก

          “ท่านช่วยข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าใกล้แย่!”

          พูดไม่ทันจบ ปลาตัวเขื่องสีเหลืองแถบดำพลันว่ายมาเอาปากตอดริมฝีปากของผู้พูด แถมไม่ได้มาตัวเดียว ขนกันมาสี่ห้าตัวราวกับจะปิดปากไม่ให้พูดต่อ

          องค์กษัตริย์หัวเราะจนตัวโยน แต่พอเห็นมังกรหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจจริงๆ จังๆ จึงดำเนินเข้ามาใกล้ พอเห็นองค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินเสด็จมา ฝูงปลาเหล่านั้นก็รีบว่ายรี่เข้าไปทันที พออยู่ข้างตัวองค์กษัตริย์ก็ดูเรียบร้อยผิดกับตอนอยู่กับมังกรหนุ่มลิบลับ อัสธาราธรู้สึกเป็นการไม่ยุติธรรมจริงๆ อยากจะกลายร่างเป็นปลาตัวใหญ่ไปไล่ตอดไล่กัดองค์กษัตริย์บ้าง แต่ก็คงทำได้แค่คิด

          อัสธาราธพลันหงอยลงไปทันใด พอคิดว่าไม่มีอะไรพอจะทัดเทียมกับองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย เช่นนี้มิถูกหยอกล้อไปตลอดหรือ? ความปรารถนาที่จะให้องค์กษัตริย์มองตนอย่างที่ได้เห็นในห้วงคำนึงนั้นคงเป็นแค่ความฝันเลื่อนลอยจริงๆ แต่ไฉนฝันเลื่อนลอยถึงได้วนเวียนก่อกวนจิตใจนัก

          “โอ....พอไม่มีผู้ใดตอดแล้วเด็กน้อยถึงกับซึมเลยหรือไร?” องค์กษัตริย์ตรัสถามพลางยิ้มยั่ว อัสธาราธรีบสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที

          “ข้าพเจ้าไม่ต้องการถูกตอดแล้ว”

          เรเธียร์หัวเราะร่าพลางกล่าวสืบต่อ

          “เช่นนั้นใยทำหน้าซึมเศร้าเช่นนั้นเล่า โอ..หรือเจ้าจะเคืองเรา เรามิได้สั่งปลาน้อยเหล่านี้รังแกเจ้าแต่อย่างใด ทุกตัวล้วนรู้สึกเจ้าน่ารักน่าอยู่ใกล้ทั้งนั้น”

          อัสธาราธไม่ขำด้วย แต่ก็ไม่ทำสีหน้าซึมเซาอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มเงยหน้ามองพระพักตร์องค์กษัตริย์ คล้ายยิ่งนานวันยิ่งทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งขึ้นอีก ประกายแดดต้องผิวกายผุดผาดกับเรือนผมสีเงินพรายที่สะท้อนเงาระยับอยู่ยิ่งขับเน้นความงามให้ผู้มองชมดูจนตาลาย คล้ายนัยน์ตาสีมรกตยังเพิ่มความลึกลับขึ้นอีกด้วย

          “มาเถิด เด็กน้อยของเรา เจ้าบอกอยากออกมาเดินเล่น สถานที่แห่งนี้เหมาะสมแก่การเดินเล่นอย่างยิ่ง เดินไปตรึกไปไม่เป็นปัญหา เรารับรองไม่ให้ปลาน้อยเหล่านี้รังแกเจ้าอีก”

          พอมานึกว่าเพิ่งถูกฝูงปลาตัวจ้อยพวกนี้กลุ้มรุมจนหมดท่า อัสธาราธก็พลันนึกอนาถตัวเองจนเกือบจะครางออกมา ไม่รู้จะสู้หน้าองค์กษัตริย์อย่างไรจึงจำต้องเฉกายเดินไปในดงปะการังและดอกไม้ทะเลหลากสี เนื่องเพราะองค์กษัตริย์มีความสามารถในการควบคุมกระแสน้ำ แต่ละก้าวที่ก้าวไปจึงไม่ทำอันตรายกับพืชและสัตว์ทะเลสีสันสวยงามพวกนั้นแม้แต่น้อย คล้ายก้าวเดินอยู่บนพื้นที่มองไม่เห็น

          อัสธาราธเดินก้าวไปในดงปะกะรังด้วยจิตใจว้าวุ่น พยายามบอกตนเองว่าจะขอสิ่งใดจากองค์กษัตริย์แน่ แต่ก็คล้ายความคิดวนเวียนอยู่ที่ดวงตาสีมรกตนั้นไม่จบไม่สิ้น แม้จะมองดูปะการังสีแดงสวยตรงหน้า ภาพดวงตาคู่นั้นก็ยังซ้อนทับเข้ามา อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไรจึงหันไปมององค์กษัตริย์

          นัยน์ตาสีมรกตมองมายังตนอย่างไม่ต้องสงสัย องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำสืบเท้าสบายๆ ตามมาห่างๆ รอบตัวพระองค์ยังคงมีปลาหลากสีว่ายห้อมล้อมอยู่ และดูเป็นภาพสวยงามแปลกตา อัสธาราธอดยิ้มออกไปไม่ได้ สิ่งที่พบเห็นนี้จะขอได้หรือไม่ หากเอ่ยขอผู้งดงามที่สุดในห้วงน้ำแห่งนี้พระองค์จะประทานตัวเองให้เขารึเปล่า

          อัสธาราธอยากยกมือเขกศีรษะตัวเองให้แรงๆ สักทีหนึ่ง ยิ่งนานยิ่งฟุ้งซ่าน จึงเบือนหน้ากลับมาเสีย พอเบืยนหน้ากลับมาก็พบปลาทะเลสีดำสนิทว่ายตัดหน้าไปพอดี อัสธาราธเผลอเอามือทาบอก

          ปิ่นนั้นยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในร่องเกล็ดเป็นอย่างดี

          อัสธาราธยามนี้มิได้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างปกติ แต่เป็นเกราะซึ่งสร้างมาจากผิวเกล็ดเพื่อหุ้มร่างเอาไว้ ตอนลงไปแช่ในบ่อลาวา นึกอยู่เช่นกันว่าปิ่นคงเสียหายหากถูกความร้อน จึงสร้างแผ่นเกล็ดออกมาหุ้มเอาไว้ แต่ดันลืมว่าเสื้อผ้าจะเสียหายไปเสียสนิท หากนึกได้คงไม่ต้องมีความทรงจำน่าอับอายนั้นแล้ว คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกท้อแท้มากมายจริงๆ

          ใยตนถึงต้องเฝ้าฝันเพ้อเจ้อเช่นนี้ด้วย

          อัสธาราธเดินดุ่มด้วยจิตใจฟุ้งซ่านสุดบรรยาย ทัศนียภาพในสถานที่นี้สวยงามน่าชมดู แต่ความงามกลับไม่ซึมเข้าไปในหัวสมองเลยแม้แต่น้อย มีเพียงภาพองค์กษัตริย์อัดแน่นอยู่ในนั้น ยิ่งเดินนานไป ยิ่งหันไปเหลือบมองพระองค์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกงามเหลือจะกล่าว แม้จะทรงมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ช่วยชีวิต ซ้ำยังช่วยเหลือต่างๆ นาๆ ยังเป็นผู้อ่อนโยนมากอีกด้วย

          แล้วจะให้เอ่ยขอสิ่งใดเล่า....

          อัสธาราธคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ หากได้เห็นดวงหน้าผุดผาดนั้นอยู่ คงนึกจะขอสิ่งใดไม่ออกเป็นแน่ ท้ายที่สุดจึงเอ่ยปากขอกลับที่พัก

-----------------------------------------------------

          “โอ...พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว” อูห์รูนปราดเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่ไม่ค่อยเห็นทำมากนัก แต่ทำหน้าแบบนั้นได้เพียงครู่เดียว ก็กลับไปมีสีหน้าจริงจังเช่นเดิมอีก

          “พระองค์เหน็ดเหนื่อยมากหรือไม่ ข้าพระองค์ปรุงโอสถเอาไว้หลายขนาน เชิญเสด็จไปประทับเอนกายบนพระแท่นให้หายเหนื่อยล้าก่อน ข้าพระองค์จะได้ปรนนิบัติรับใช้”

           บทสนทนายาวยืนของอูห์รูนทำให้องค์กษัตริย์อดไม่ได้ต้องแย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดู

          “เราดูเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้น? เอาเถิด กินยาบ้างก็ดี เด็กน้อย เจ้าเหน็ดเหนื่อยหรือไม่?”

          ประโยคท้ายหันมาเอ่ยถามผู้ร่วมทาง อัสธาราธยืนเหม่อคล้ายไม่ได้ยิน จนองค์กษัตริย์ตรัสถาม

          “เจ้าเหนื่อย?”

          “ปะ..เปล่า” เจ้าชายหนุ่มกล่าวอย่างนึกขึ้นได้ และสั่นศีรษะ องค์กษัตรย์เขม่นมองอยู่พักหนึ่งจึงหันมากล่าวกับผู้รับใช้ต่อ

          “อืม...วันนี้มีเรื่องราวใดหรือไม่?”

          “ราชาของแคว้นทิลเมอเธียร์ส่งพลอยหยาดโลหิตมาเป็นเครื่องบรรณาการขอรับ”

          “ออ...อืม...จริงสิ” องค์กษัตริย์ตรัสอย่างนึกได้ ก่อนจะล้วงเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ

          “เจ้าจงสั่งช่างให้ใช้พลอยแดงนั่นทำสายสร้อยร้อยตรานี้ให้แก่เรา”

          อูห์รูนย่อกายรับของสิ่งนั้น พอเห็นก็อุทานอย่างแปลกใจ

          “นี่ใช่หินร้อนแห่งอัลธาวา? โอ...ผู้ใดสลักถวายแด่พระองค์ ช่างสวยงามแปลกตายิ่งนัก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้ม “เป็นเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ทำให้เรา อืม..มิได้สลัก แต่ปั้นออกมา”

          “โอ...” อูห์รูนคราง กลอกนัยน์ตาสีฟ้าเทามองอัสธาราธขึ้นลงอยู่หลายรอบ จนคนมองรู้สึกแปลกๆ

          “เจ้าชายมีฝีมือทางช่างไม่เลว” อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เดาไม่ออกว่าชมจากใจจริงหรือว่าประชดกันแน่ ก่อนจะหันไปพูดเรื่องอื่น

          “พระองค์จะเปลี่ยนเครื่องทรงหรือไม่?”

          เรเธียร์สั่นศีรษะ พลางหัวร่อเบาๆ

          “เราแนะนำ เจ้าควรถามเจ้าชายผู้นั้น อืม...เรารบกวนเจ้าเลยแล้วกัน ช่วยหาเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนให้เขาอีกสักชุดเถิด ชุดวันนี้เกิดปัญหาเล็กน้อย”

          อัสธาราธรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมาอีก เมื่อเห็นสายตาขบขันขององค์กษัตริย์ที่มองมายังตน

          ยืนฟังองค์กษัตริย์สนทนากับผู้รับใช้อยู่อีกพักใหญ่ อัสธาราธจึงขอตัวกลับห้องพัก

----------------------------------------

          คืนนั้นเจ้าชายหนุ่มยังคงนึกสิ่งที่จะเอ่ยปากขอไม่ออก ไม่ว่าหลับตาลืมตาล้วนมีแต่ภาพขององค์กษัตริย์ปรากฏอยู่ จิตใจว้าวุ่นหาความสงบใดมิได้เลย แม้แต่หูก็คล้ายได้ยินเสียงเอ่ยลอยมาตามกระแสน้ำ คล้ายถูกองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งยงตามหลอกตามหลอนไม่สุดสิ้น

          หากแต่คราวนี้มิได้รู้สึกหวาดกลัวดั่งเมื่อก่อน เป็นความรู้สึกโหยหาต้องการอย่างยากจะเก็บงำเอาไว้ได้

          อยากโอบกอด อยากครอบครอง อยากสัมผัส

          อยากเป็นผู้อยู่ในดวงตาสีมรกตคู่นั้น

          อยากเป็นผู้ที่อยู่ในดวงหทัยลึกล้ำนั่น

          อัสธาราธได้แต่เม้มริมฝีปาก ด้วยตระหนักว่าบางทีตนอาจจะเสียสติไปเสียแล้ว

-------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Tageszeit ที่ 12-07-2012 06:56:17
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อ่านแล้วคิดถึงคงฉ่วย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 12-07-2012 09:11:17
ดีมากๆ แต่งเก่งจัง-///-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-07-2012 09:50:14
ชอบจังค้าบ.... มาไวไม่ขาดตอน แล้วยังสนุกมากอีกต่างหาก... คุณผู้แต่ง...สุดยอดมาก!
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Ai_Rong_Kun ที่ 12-07-2012 10:12:22
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อ่านแล้วคิดถึงคงฉ่วย

จริง เห็นด้วยเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Have_a_hope ที่ 12-07-2012 11:25:06
สนุกมากกกกกก o13 o13

แทบรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้ว มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 12-07-2012 14:45:05
ฮ้า กังวลแทนอัสธาราธ เลยอะ จะทำงัยล่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 12-07-2012 17:25:45
ฮ้ากกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ13 P.3 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 12/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-07-2012 13:19:06
14 : ความคลุ้มคลั่ง

                ดวงไฟสีน้ำเงินพรายทอประกายประหลาดภายใต้ห้วงน้ำลึกในอัลโดรธ์ อูห์รูนค้อมกายให้องค์กษัตริย์ของตนอย่างเคารพรัก ก่อนจะถอยร่างและเดินกลับออกไปตามทางเดินยาว รอจนผู้รับใช้เดินลับเหลี่ยมทาง องค์กษัตริย์จึงค่อยเปิดประตูห้องบรรทมออก สิ่งแรกที่ปรากฏคือรูปสลักหินของสตรีที่พระองค์ไม่เคยทราบนาม

          เรเธียร์ก้าวเท้าผ่านทรณีประตูเข้าไป ยกมือขึ้นและนิ้วมือที่สลักจากหินนั้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์นางหนึ่ง และหลงรักนางเมื่อนางได้ตายจากไปแล้ว

          ริมฝีปากของเรเธียร์ปรากฏรอยยิ้มเศร้าๆ

          ไยความรักจึงได้เล่นตลกกับพระองค์เยี่ยงนี้

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมิเคยเปิดเผยเรื่องราวของนางในฝันนี้ให้ผู้ใดรู้มาก่อน มิใช่เพียงเพราะทรงอับอายในความรักที่แปลกประหลาดพิสดาร แต่เพราะดวงหทัยปวดแปลบอยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของนาง ยามยกมือขึ้นแตะรูปสลัก คลายเหมือนมีเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงผ่านนิ้วมือเข้าไปในหัวใจ แม้พระองค์อาศัยอยู่ภายใต้สายน้ำเย็นยะเยียบมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ แต่สัมผัสของแท่งหินไร้ชีวิตนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายน้ำเป็นไหนๆ

          สัมผัสแห่งชีวิตที่พระองค์ปรารถนาไม่มีวันได้มาโดยเด็ดขาด

          เรเธียร์พิศดูรูปสลักนางมนุษย์ ไม่ว่าส่วนใดก็ไม่อาจเทียบความงามของสตรีชาวบาดาลได้ แต่พระองค์ก็ยังหลงรักนางจนมิอาจโงหัว และมิอาจบอกเล่ากับผู้ใด ยกเว้นเสียแต่...มังกรจากโลกเบื้องบนตนนั้น

          ไม่ทราบเป็นโชคร้ายหรือโชคดีของอัสธาราธ ที่หลงเข้ามาในดวงจิตของพระองค์ ตลอดเวลาสามพันปี มีหลายร้อยชีวิตที่พลัดหลงเข้ามาในห้วงจิตไพศาล บางผู้ต้องการเข้ามาล้วงความลับในความทรงจำนับชาติไม่ถ้วนของพระองค์ บางผู้พลัดหลงเข้ามาโดยบังเอิญ แต่ไม่ว่าผู้ใด พระองค์ไม่เคยปล่อยให้เล็ดลอดกลับออกไปได้ ในห้วงจิตลึกล้ำเช่นนี้ ควรหรือจะปล่อยให้มีผู้บุกรุก กระนั้นพระองค์กลับปล่อยมังกรตนนั้นไป

          ไม่ทราบอัสธาราธรู้โทษของตนหรือไม่ การบุกรุกเข้ามาในห้วงจิตขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินนั้น แม้ปั่นศีรษะของราชวงศ์ซาร์เกวนส์ทั้งราชวงศ์ พ่วงด้วยคอนเชียร์ทั้งเกาะ ก็ยังมิอาจชดใช้ความบังอาจนั้น

          แต่เรเธียร์ไม่หวังเห็นศีรษะของผู้ใดหลุดออกจากบ่า ยังไม่ต้องการทำลายเกาะน้อยๆ ในห้วงน้ำกว้างของพระองค์ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ที่แตกแขนงออกไป ยิ่งไม่ต้องการเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของมังกรหนุ่มตนนั้น

          มิทราบเพราะเหตุใด พอสบนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นแล้ว หัวใจพาลอ่อนยวบยาบอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าเรื่องใดก็ดูจะน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียสิ้น

          หรือว่านี่จะเป็นอาการแปรปรวนในช่วงสุดท้ายของอายุขัย

          เรเธียร์วางมือลงบนแผ่นหินสลัก ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพริ้มพราย เพียงแค่นึกถึงสีหน้าของมังกรหนุ่มตนนั้น หัวใจของพระองค์ก็อุ่นวาบเหมือนมีดวงไฟเล็กๆ ผุดขึ้น ความเจ็บปวดราวถูกเข็มทิ่มแทงยามสัมผัสกับแผ่นหินก็พลันมลายหายไปสิ้น หากรั้งตัวอัสธาราธเอาไว้ได้จวบจนพระองค์สิ้นอายุขัย วาระสุดท้ายคงไม่ชืดชาเกินไปนัก

          คอนเชียร์ก็แค่เกาะเล็กๆ หากพระองค์ประสงค์จะได้ตัวเจ้าชาย ผู้ใดจะกล้าขัดเล่า

----------------------------------------------

          อัสธาราธลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอน เนื่องจากห้วงน้ำที่ปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่งจนกระแทกกำแพงศิลาดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระราชวัง คราแรกอัสธาราธคิดว่าตนคิดมากจนวิกลจริต แต่พอเปิดประตูออกมาก็พบเห็นมังกรน้ำหลายตน กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

          “เกิดอะไรขึ้น?!” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เอ่ยถามมังกรเหล่านั้น แต่พอพวกเหล่านั้นหันมาเห็นตน ก็พลันหน้าถอดสีเข้าไปอีก กระซิบกระซาบกันและพากันถอยห่าง อัสธาราธถึงกับยืนงุนงง

          “มีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสะเทือน หรือพวกท่านไม่ได้ยิน?”

          มังกรเหล่านั้นหันไปมองหน้ากัน สีหน้าซีดเผือดกว่าเดิม หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น

          “เจ้าชาย ท่านไม่ได้ยินหรือ ชื่อของท่าน”

          อัสธาราธมีสีหน้างุนงงกว่าเดิม ครั้นจะเดินเข้าไปถามตอน มังกรพวกนั้นก็รีบเดินหนีไปจนหมดสิ้น ราวกับหากเข้าใกล้เขาแล้วจะถูกลงโทษอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “เจ้าชาย!”

                สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด แต่อัสธาราธกลับยิ้มออกมา

          “ท่านมาพอดี ข้าพเจ้ากำลังอยากทราบ นี่เกิดอะไรขึ้น?”

          “ท่านไม่ได้ยิน?” อูห์รูนถามกลับ สีหน้าตื่นตระหนกกว่าเดิม อัสธาราธพยักหน้า ด้วยสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน

          “ข้าพเจ้าได้ยิน เสียงน้ำกระแทกหินเหมือนจะทลายให้แตกออก”

          “โอ...” ผู้รับใช้คราง และรีบกล่าวสืบต่อ “ท่านรีบติดตามเรามา แต่อย่าได้เกินใกล้เราเด็ดขาด”

          คิ้วของอัสธาราธขมวดเข้าหากันทันที เปิดประตูออกมาก็โดนมังกรพวกนั้นทำเหมือนรังเกียจ พอเจออูห์รูน เจ้าตัวก็ดูจะทำท่ารังเกียจอีก ทั้งๆ ที่ตนเองก็ดูแล้วว่าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยมิดชิด หน้าตาก็ไม่น่าผิดไปจากวันก่อนๆ ทำไมทุกคนถึงได้ดูรังเกียจรังงอนเช่นนี้

 
          “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” อัสธาราธพยายามจะตะโกนถามอูห์รูนที่เดินราวกับจะวิ่งอยู่ด้านหน้า เนื่องจากกระแสน้ำปั่นป่วนอย่างหนัก การเดินตามอูห์รูนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อัสธาราธเดินไปพลางเซไปพลาง ชนเข้ากับผนังหินรอบแล้วรอบเล่า จนนึกสงสัยว่ากระแสน้ำบ้าคลั่งนี้จงใจจะเล่นงานตนเองเพียงคนเดียวหรือเปล่า?
เพราะไม่มีใครอธิบายอะไรให้เขาฟังเลย อัสธาราธที่วิ่งเซไปเซมาและพยายามตะโกนถามจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

“ข้าพเจ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น!!!”

เกลียวน้ำตรงหน้าคล้ายตอบสนองกับเสียงตะโกน ม้วนตัวกราดเกรี้ยวซัดเข้าใส่ร่างของเขาทันที ความเจ็บปวดชนิดที่พูดไม่ออกแล่นเข้าสู่ร่างกายของมังกรหนุ่ม อูห์รูนหันหลังกลับมา มองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิ่งกว้างอย่างตระหนก
อัสธาราธถูกคลื่นน้ำกระแทกจนเซถลาไปด้านหลังเหมือนถูกดูด ทั้งเจ็บปวดทั้งงุนงงและแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ยังสับสนกับทิศทางที่กำลังกระเด็นไป ผ้าสีฟ้าเทาผืนหนึ่งก็พุ่งปราดเข้ามา มังกรหนุ่มยุดเอาไว้ตามสัญชาตญาณทันที แรงดึงมหาศาลกระชากเขาออกจากห้วงน้ำวนนั้น

“ท่านอย่าได้ตะโกนถามอะไรอีก รีบไปให้พ้นจากตัววังโดยเร็วเถิด”

          อูห์รูนกล่าว ผ้าสีฟ้าเทาเมื่อครู่มาจากเขานี่เอง แม้สงสัยหัวแทบแตก แต่เห็นสีหน้าจริงจังและการที่เจ้าตัวกระโดดถอยห่างออกไปทันทีที่เห็นตัวเขา อัสธาราธเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจปิดปากเงียบและวิ่งตามผู้รับใช้ไป เนื่องเพราะห้วงน้ำบ้าคลั่งเมื่อครู่น่าหวั่นกลัวยิ่งนัก
 

          กระแสน้ำในพระราชวังยังคงปั่นป่วนบ้าคลั่ง เสาหินน้อยใหญ่สั่นสะเทือนราวกับพร้อมจะถล่มได้ทุกเมื่อ อูห์รูนวิ่งไปได้สักพัก ก็หันหน้ากลับมา กล่าวอย่างร้อนรน

          “ท่านรีบวิ่งตรงไป ด้านหน้ามีประตูทางออก ท่านรีบตรงออกไป ไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน!!”

                ยังไม่ทันจะพูดจบ เกลียวน้ำที่ม้วนวนอย่างบ้าคลั่งก็พุ่งเข้าซัดใส่ผู้รับใช้ อูห์รูนกระเด็นไปกระแทกกับเสาหินที่อยู่ไม่ห่างไปนัก กระนั้นยังคงตะโกนสั่ง

          “รีบไป รีบไป!!!!”

          อัสธาราธมองหน้าผู้รับใช้แห่งสายน้ำเลิกลั่ก พอเห็นอีกฝ่ายตะโกนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจำใจต้องวิ่งต่อไป โดยที่ยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
 

                อูห์รูนยันกายอย่างยากลำบากหลังจากอัสธาราธออกไปแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าเทาหรี่เพ่งมองไปยังห้วงน้ำบ้าคลั่งเบื้องหน้า เงาสีเขียวดำค่อยๆ เคลื่อนคล้อยมาราวกับปิศาจร้าย ลูกกลมสีมรกตสองลูกที่มีจุดดำเล็กๆ อยู่ตรงกลางเต้นระริกอยู่ท่ามกลางหมู่เกลียวคลื่นสีสันน่าสยดสยอง อูห์รูนกลืนน้ำลาย

          “องค์กษัตริย์ ทรงควบคุมพระสติก่อนเถิด”

          ห้วงน้ำหมุนวนซัดกระแทกเขาอย่างไม่ปราณี ร่างเพรียวบางเซไปกระแทกกับเสาหินอีกรอบ ก่อนจะก้มลงหมอบกราบแทบพื้น

          “นี่ข้าพระองค์เอง ทรงจำไมได้หรือ?”

          คลื่นน้ำรุนแรงซัดกระแทกมาอีกรอบ หากบนบกมีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตา ตอนนี้สิ่งนั้นคงไหลอาบแก้มผู้รับใช้ อูห์รูนยันกายลุกขึ้นอย่างน่าสงสาร ละล่ำละลักกล่าว

          “พระองค์เป็นอะไรไปแล้ว…..”

                ลูกกลมสีมรกตยังคงเต้นระริกอย่างน่าหวาดหวั่นภายใต้เกลียวคลื่นรูปร่างประหลาด ห้วงน้ำหมุนวนบ้าคลั่ง ซัดกระแทกเสาหิน ผนังและเพดานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนกันเป็นชื่อชื่อหนึ่ง

          อัสธาราธ

----------------------------------------------

          อัสธาราธเคยไปที่หุบเหวเสียงสะท้อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่กระนั้นความทรงจำของเขาก็ยังดีเยี่ยม เจ้าชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ จึงว่ายมาถึงหุบเหวที่ว่า ยิ่งออกห่างจากพระราชวัง ความบ้าคลั่งของเกลียวคลื่นก็ดูจะลดน้อยลงตามลำดับ เจ้าชายหนุ่มยืนลังเลอยู่พักหนึ่งตรงปากเหว ก่อนจะกระโดดลงไป

                เสียงสะท้อนที่เขาได้ยินตอนอยู่ภายในวังดังเข้ามาในโสตประสาท ทั้งเสียงตะโกนถาม และเสียงตอบของผู้รับใช้แห่งสายน้ำ และยังมีเสียงอีกเสียงหนึ่ง ที่อัสธาราธแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

          อัสธาราธ

          เสียงนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำๆ น้ำเสียงแตกพร่าแต่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด อัสธาราธนึกทบทวนความทรงจำขณะที่เสียงนั้นดังซ้อนๆ อยู่ในหัว ตอนที่เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องนอน จนกระทั่งวิ่งหนีออกมา มีผู้หนึ่งที่ควรจะปรากฏตัวมากที่สุด และมักจะปรากฏตัวอยู่เคียงข้างเขาเสมอตั้งแต่ลงมาในห้วงน้ำแห่งนี้

          เรเธียร์

          มังกรหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว น้ำเสียงนั้นแม้แตกพร่าแต่เป็นเสียงขององค์กษัตริย์ไม่ผิดแน่ ไฉนตอนที่ยังอยู่ในวังเขาจึงไม่ได้ยินเล่า เสียงนั้นเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ราวกับต้องการให้กลับไปอยู่ใกล้ๆ อัสธาราธรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก นี่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วิปลาสที่เขาเพิ่งเผชิญมาหรือไม่ คลื่นน้ำเหล่านั้นบ้าคลั่งเกินกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดอะไรขึ้นกันแน่

          เกิดอะไรขึ้นกับเรเธียร์

          อัสธาราธลอยลิ่วลงสู่ก้นเหว ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง

----------------------------------------------------------

          อูห์รูนตะเกียกตะกายหนีจากห้วงน้ำบ้าคลั่งที่ถ่าโถมเข้าใส่ เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับอาการวิปลาสของกษัตริย์บางพระองค์ในช่วงบั้นปลายของอายุขัย เมื่อร่างกายไม่แข็งแกร่งพอจะรองรับดวงจิตที่ยังไม่ถึงกาลแตกดับ พลังงานจิตมหาศาลจะล้นทะลักออกมาและสร้างภัยพิบัติไปทั่วท้องน้ำแห่งอิลห์ลาริน

          แต่ว่ากษัตริย์พระองค์นี้ไม่มีแนวโน้มจะวิปลาสมาก่อน แม้ร่างกายจะเข้าสู่วัยชรามากแล้วก็ตาม อาการบาดเจ็บอย่างน่ากลัวก่อนหน้านี้ก็รักษาจนหายแล้ว ไฉนจู่ๆ จึงเกิดอาการคลั่งขึ้นมาได้เล่า หนำซ้ำยังมีเป้าหมายไปที่เจ้าชายจากต่างแดนนั้นอีกด้วย

          อูห์รูนไม่กล้าเสี่ยงให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันนี้ ไม่ว่าภายหลังองค์กษัตริย์จะคืนสติหรือไม่ก็ตาม หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างนั้น ต่อให้มีพระสติคืนมา ก็คงยากจะสะสางปัญหา และต่อให้มีกษัตริย์องค์ใหม่ ก็อาจจะเป็นชนวนบาดหมางกับดินแดนเบื้องบนได้ ดังนั้นอูห์รูนจึงจำต้องพาเจ้าชายหนีไปให้ไกลที่สุด หากไปถึงหุบเหวเสียงสะท้อน ดวงจิตขององค์กษัตริย์คงไม่ติดตามไป ตอนนี้เขาคงต้องหาวิธีทำให้พลังงานจิตที่บ้าคลั่งนี้สงบลงก่อน

          ปัญหาคือ ตอนนี้แค่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ก็แทบจะแย่แล้ว

          อูห์รูนถูกซัดไปชนเสาหินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกเหมือนกระดูกตัวทั้งตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าองค์กษัตริย์ผู้อ่อนโยนยามคลุ้มคลั่งจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ร่างเพรียวบางส่งเสียงอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เกลียวคลื่นสีสันน่าสะอิดสะเอียนแผ่ไปทั่วบริเวณ ความกดดันชนิดที่แทบจะทำให้ผู้สัมผัสโดนเสียสติอัดแน่นไปทั่วทุกอณูของผืนน้ำ อูห์รูนคิดว่าตนคงจะตายก่อนที่องค์กษัตริย์จะคืนสติเป็นแน่แท้ ส่งเสียงร่ำรองออกไปอย่างสิ้นหวัง

          “พระองค์ได้โปรดหยุดเถิด ได้โปรดหยุดเถิด”

          ดวงกลมสีมรกตเต้นระริก ก่อนที่เกลียวคลื่นบ้าคลั่งจะไหลกระแทกเข้าสู่ร่างผู้รับใช้อีกครั้ง

-------------------------------------------------

          อัสธาราธรู้สึกคลื่นไส้ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในทิศทางไหน ตั้งตัวขนานกับพื้น หรือกำลังกลับหัวกันแน่ ที่รู้อยู่อย่างหนึ่งคือเขาเพิ่งสัมผัสเกสรของผู้พยุงจิต และคงหลุดเข้ามาในจิตของผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำแล้ว แต่ครั้งนี้ ห้วงจิตดังกล่าวดูจะซับซ้อนสับสนยิ่งกว่าที่เขาเคยพบ

          คราก่อน อัสธาราธเข้ามาและพบเห็นเรื่องราวของอิสตรีนางนั้น แต่ครั้งนี้ เขาพบกับกระแสจิตที่หมุนวนคลุ้มคลั่ง กระแทกกระทั้นเข้าใส่ราวกับคลื่นน้ำที่เขาเพิ่งหนีออกมาไม่ปาน อัสธาราธไม่สามารถจับใจความของกระแสจิตนั้นได้ ยิ่งไม่อาจกระทำใดๆ ได้ นอกจากถูกพัดหมุนวนไปจนเวียนหัว ความสะอิดสะเอียนน่าคลื่นไส้ทับถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า มังกรหนุ่มรู้สึกเหมือนจิตจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาตะเกียกตะกายอยู่ในห้วงจิตสับสน และพยายามจะตะโกนเรียก

          “เรเธียร์!”

                ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด คล้ายห้วงจิตนั้นพะว้าพะวงอยู่กับบางสิ่งบางอย่างภายนอก อัสธาราธลองตะโกนอีกหลายครั้ง ก่อนจะถูกเหวี่ยงจนพูดไม่ออก อณูจิตไหลทะลักเข้าแทรกแซงจิตของเขาเหมือนจะเข้ายึดครอง อัสธาราธดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ตะโกนเรียกชื่อเรเธียร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สติถูกยึดครองอย่างรวดเร็ว

 
          มืดสนิท......................

          เหมือนหล่นลงไปในเหวที่ไม่มีก้น อัสธาราลอยละลิ่วอยู่ในความมืดที่ว่างเปล่า ไม่มีความกดดันหรือความสับสน มีเพียงความว่างเปล่าที่อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าลอยผ่านความมืดนั้นนานเท่าใด รู้อีกทีรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นสีขาว กระนั้นก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ไม่มีก้นบึ้ง เพียงแต่ร่วงหล่นลงไปเรื่อยๆ

          ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง เรือนผมสีน้ำเงินพรายนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นผู้ใด อัสธาราธอ้าปากเรียกชื่อออกไป

          “เรเธียร์!”

          ร่างเพรียวคล้ายไม่ได้ยิน ออกเดินไปโดยไม่หันหลังกลับ อัสธาราธวิ่งตามไป และรู้สึกเหมือนพื้นเบื้องหน้าสูงขึ้น ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าคล้ายถูกพื้นยกสูงขึ้นจนกลายเป็นแนวตั้งฉาก อัสธาราธยืนอึ้ง เขาหันหน้าไปมองด้านหลังและพบว่าเรเธียร์กำลังเดินออกไปในลักษณะกลับหัว

          แต่ไม่ใช่เรเธียร์ที่กลับหัว

          ยังไม่ทันที่อัสธาราธจะตั้งสติได้ ร่างของเขาก็ร่วงละลิ่วขึ้นสู่พื้นเบื้องบน กระแทกกับผนังขรุขระที่มองไม่เห็น และร่วงลงมากองกับพื้นเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถูกกัดและเหวี่ยงขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากระแทกพื้น

          มังกรหนุ่มรู้สึกคล้ายกระดูกกระเดี้ยวจะหลุดออกมานอกตัว ตะเกียกตะกายยันตัวลุกขึ้น และพบร่างคุ้นตากำลังยืนหันหลังให้ จึงตะโกนเรียกชื่อไปอีกครั้ง

          “เรเธียร์”

          เจ้าของชื่อเบือนหน้ากลับมาในที่สุด แต่แทนที่จะเป็นดวงหน้าสวยงามที่คุ้นเคย กลับกลายเป็นฟันสีขาวยื่นยาวออกมาและโพรงปากลึกที่มีลิ้นสีแดงยาวแลบเลียออกมา พร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตที่ลุกโพลงอย่างน่าสะพรึงกลัว

          อัสธาราธเคยเห็นภาพนี้มาแล้ว ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นในตอนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย

          เงาเขี้ยววาววับที่งับเข้ามาดูเชื่องช้าอย่างน่าแปลก ช้าจนเจ้าชายหนุ่มมีเวลาจะตั้งสตินึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้น เสี้ยววินาทีที่ทำให้เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด เสียววินาทีชีวิตที่เขารู้สึกผิดอยู่เสมอ จังหวะที่ฟันยาวโง้งกำลังงับเข้ามา อัสธาราธเอื้อมมือขึ้นไป แตะผิวฟันนั้นเบาๆ

          “ขอบคุณท่านมาก”

          ถ้อยคำที่เขาควรจะเอ่ยออกมาเสียแต่ตอนนั้น เขี้ยวยาวโง้งงับลงมาอย่างไม่ชะงักลังเล ก่อนจะกลืนกินเข้าไปในโพรงมืดสนิท

          อัสธาราธกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในปล่องมืดๆ ก่อนจะหล่นลงในห้วงน้ำที่ขุ่นข้นไปด้วยสีแดงของเลือด ที่อยู่ตรงหน้าคือเรือนผมสีน้ำเงิน และริมฝีปากงามที่กำลังกัดกินร่างกายของมนุษย์อยู่

          เป็นร่างของสตรีนางนั้นเอง

          เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจไม่เป็นผู้เฝ้าดูอีก เขาว่ายเข้าไปใกล้ แต่องค์กษัตริย์คล้ายไม่รู้สึกตัว ฉีกทึ้งร่างมนุษย์นั้นด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา อัสธาราธจึงดึงพระหัตออก นัยน์ตาสีเขียวมรกตจึงเบือนขึ้นมามอง ก่อนที่ริมฝีปากชุ่มโลหิตจะงับเข้าตรงลำคอ

          ความเจ็บปวดเสมือนจริงแล่นเข้าสู่ปลายเส้นประสาท อัสธาราธดึงรั้งตัวขององค์กษัตริย์ออก ก้อนเนื้อชุ่มโชกยังคาอยู่บนริมฝีปาก ท้องน้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ไม่มีร่างของสตรีนางนั้นอีกแล้ว มีเพียงตัวเขา

          เรเธียร์กลืนกินชิ้นเนื้อนั้นเข้าไป นัยน์ตาสีมรกตฉายแววประหลาด เรียวลิ้นเล็กเล็มเลียริมฝีปากบางอย่างปรารถนา อัสธาราธรั้งร่างนั้นเข้ามาหาตนอีกครา ความเจ็บแปลบจากการถูกกัดสมจริงจนแทบจะสิ้นสติ เจ้าชายหนุ่มอ้าปากออก และงับลงไปบนต้นคอของอีกฝ่ายบ้าง

          โลหิตสีน้ำเงินพรายเย็นเยือกแทรกเข้ามาตามโพรงปาก รสชาดของชิ้นเนื้อเย็นเฉียบอุ่นอ่อนดูน่าทดลอง อัสธาราธสะบัดศีรษะ ฉีกกระชากก้อนเนื้อนั้นออก เลือดสีน้ำเงินพรายพุ่งกระจายไปทั่วผืนน้ำ ปะปนอยู่กับสีแดงสดก่อนหน้า กลายเป็นสีสันแปลกประหลาด ได้ยินเสียงคำรามในลำคอ จากนั้นต่างฝ่ายต่างกัดกินอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดและรสชาดแปลกประหลาดแทบจะทำให้วิกลจริต

          สีน้ำเงินพรายซ้อนทับกับสีแดงเลือดจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำเข้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ นัยน์ตาของอัสธาราธค่อยๆ พร่ามัวลง ขณะที่ความเจ็บปวดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คำแล้วคำเล่า

          แล้วความมืดสนิทก็หวนคืนมาอีกครา.....

---------------------------------------------

                สัมผัสอ่อนโยนลูบลนบนศีรษะ อัสธาราธลืมตาขึ้นและสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกต ใบหน้าของเรเธียร์ไม่เปื้อนเลือดอีกแล้ว อาภรณ์สีขาวน้ำเงินพลิ้วไปตามกระแสน้ำอ่อนๆ เส้นผมสีน้ำเงินละเอียดไล้ลงบนใบหน้าจนรู้สึกจั๊กจี๋ น้ำเสียงราวฟองคลื่นดังขึ้นแผ่วๆ

          “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”

          อัสธาราธแย้มยิ้ม จับมือขององค์กษัตริย์ขึ้นมาจูบ และกล่าวตอบ “ข้าพเจ้าเป็นเด็กน้อยของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตขยับอย่างงงงัน ก่อนจะหัวเราะออกมา “เราไม่เคยมีเด็กน้อยตัวร้อนเช่นเจ้า”

          “อดีตอาจไม่มี แต่ปัจจุบันมีแล้ว” อัสธาราธกล่าวตอบ เรเธียร์ก้มลงมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

          อัสธาราธไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาดึงมือองค์กษัตริย์เข้ามจูบอีกหน และอ้าปากดูดกลืนนิ้วมือเรียวเข้าไปในปาก คมเขี้ยวที่งับลงมาเบาๆ ทำให้สีหน้าของเรเธียร์แปรเปลี่ยนทันที

          “คิดจะกินเราอีก?”

          อัสธาราธคายนิ้วมือนั้นออก ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์ ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

          “ข้าพเจ้าอยากกินท่านทั้งตัว อยากกินทั้งหมด”

          ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่อ “เจ้ากินเราไปแล้วเมื่อครู่ จำไม่ได้หรือ?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ และยกมือรั้งใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป

          “ข้าพเจ้าอยากกินตัวจริงของท่าน อยากสัมผัสทุกส่วนของท่าน อยากได้ตัวท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นระริก ขณะนิ่งฟังเสียงกระซิบข้างหู

          “ข้าพเจ้าอยากได้หัวใจของท่าน ให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?”

          “.......”

          “ข้าพเจ้าบังอาจทูลขอท่านที่นี่ สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่สุดในห้วงน้ำแห่งนี้คือตัวท่านและหัวใจของท่าน”

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นไหว เช่นเดียวกับร่างเพรียวบางในอ้อมกอด เนิ่นนาน พระองค์จึงสามารถตรัสออกมาได้

          “เราให้เจ้า เด็กน้อยของเราเอย...”

---------------------------------------------------

          อัสธาราธลืมตาตื่นขึ้นมา และพบตัวเองค้างเติ่งอยู่บนชะง่อนหินชะง่อนหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ เสียงกระซิบแผ่วเบาเมื่อครู่ยังสะท้อนอยู่ในหู เขากลับมาที่หุบเหวเสียงสะท้อนแล้วไม่ผิดแน่ เจ้าชายหนุ่มดีดกาย ว่ายกลับขึ้นไปบนปากเหว

          ไม่รู้ว่าเหตุปั่นป่วนในวังจะเกี่ยวเนื่องกับองค์กษัตริย์หรือไม่ แต่ตอนนี้เขาอยากจะพบพระองค์เต็มทน แม้จะต้องเผชิญกับคลื่นน้ำบ้าคลั่งนั้นอีกครั้งก็ตาม

----------------------------------------------------

          อูห์รูนเกือบจะขาดใจตาย ในตอนที่กระแสน้ำคลายออก ผู้รับใช้แห่งสายน้ำร่วงหล่นลงสู่พื้นหินเบื้องล่าง ขณะที่กลุ่มคลื่นสีประหลาดค่อยๆ กระจายตัวออก ลูกกลมสีมรกตค่อยๆ ดับมอดลง ความบ้าคลั่งจางหายไปกับสายน้ำ หลงเหลือเพียงร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นขององค์กษัตริย์ที่ตนคุ้นเคย ที่กำลังจะล้มฮวบลง แม้เจ็บปวดแทบสิ้นสติ แต่ทันทีที่เห็นองค์กษัตริย์กำลังจะล้มลงบนพื้น อูห์รูนก็ปราดเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสังขาร ช้อนร่างขององค์กษัตริย์เอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะล้มลงไปด้วยกัน

          แม้จะทรงร่างไม่อยู่แล้ว แต่ยามล้ม ผู้รับใช้ก็ยังอุตส่าห์ประคองเจ้านายของตนเอาไว้อย่างแข็งขัน นัยน์ตาสีมรกตหรี่ปรือขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะร่างที่อยู่ตรงหน้า

          “อูห์รูน....”

          อูห์รูนแย้มแย้มอย่างดีใจที่สุดในชีวิต เขากอดองค์กษัตริย์ไว้แน่น แทบจะตะโกนออกมา

          “พระองค์ได้สติแล้ว”

------------------------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 13-07-2012 14:22:18
จะมีทำเป็นหนังสือออกมาไหมค่ะ ถ้ามีจะสั่งซื้อเล่มหนึ่งค่ะ ชอบมากจนไปตามหาอ่านที่เวปอื่นมา อ่านแล้วยิ่งหลงรักเรเธียร์มากเข้าไปอีก ยังไงแต่งบทพิเศษน่ารักๆ เยอะๆ นะคะ แพงไม่ว่าแต่ขอเล่มหนาๆ หน่อย ได้ไหมค่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-07-2012 15:20:08
จะมีทำเป็นหนังสือออกมาไหมค่ะ ถ้ามีจะสั่งซื้อเล่มหนึ่งค่ะ ชอบมากจนไปตามหาอ่านที่เวปอื่นมา อ่านแล้วยิ่งหลงรักเรเธียร์มากเข้าไปอีก ยังไงแต่งบทพิเศษน่ารักๆ เยอะๆ นะคะ แพงไม่ว่าแต่ขอเล่มหนาๆ หน่อย ได้ไหมค่ะ

รวมเล่มคิดว่าน่าจะมีค่ะ แต่จะหนาหรือบางยังบอกไม่ได้นะคะ (แต่ที่แน่ๆ น่าจะเล่มเดียวจบค่ะ)

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 13-07-2012 17:23:43
เรเธียร์เปนไรหว่า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 13-07-2012 17:45:29
น่าสั่งจริงๆ owo ชอบอ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-07-2012 21:55:08
15 : หุบผาแห่งความฝัน

          หลังเหตุการณ์เขย่าขวัญที่เกิดขึ้นในพระราชวังแห่งอิลห์ลาริน เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่องค์กษัตริย์ทรงบรรทมอยู่ในห้อง ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัดของอาการคลุ้มคลั่งในครั้งนี้ แต่สายตาทุกคู่ยามหันมองมายังมังกรหนุ่มจากโลกเบื้องบนล้วนแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ราวกับว่าอัสธาราธเป็นต้นเหตุทำให้กษัตริย์ของพวกเขาเกิดอาการวิปลาส

           เจ้าชายหนุ่มก้าวเท้าไปตามทางเดินยาว ผ่านแนวเสาหินเรียงราย ตรงไปยังห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ เขาพยายามจะเข้าพบเรเธียร์ตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้ว แต่ก็โดนอูห์รูนห้ามเอาไว้ ด้วยเกรงว่าอาจจะทำให้องค์กษัตริย์เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีก พอเห็นสภาพสะบักสะบอมของอูห์รูน อัสธาราธจึงจำต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว

          “เจ้าชาย” อูห์รูนเอ่ยทักเขาทันทีที่เห็น ข้ารับใช้แห่งสายน้ำเพิ่งเปิดประตูห้องบรรทมออกมา เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถามออกไป

          “พระอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

          “ไม่มีสิ่งใดน่าวิตก เพียงแต่ยังไม่ยอมลืมพระเนตรขึ้นเองเท่านั้น” อูห์รูนกล่าว และพยายามจะฝืนยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยทำนัก “เราดีใจที่อย่างน้อยพระองค์มิได้วิปลาสไปเลย”

          อัสธาราธฝืนยิ้มตอบ ก่อนจะเอ่ยสืบต่อ “ให้ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าได้หรือไม่?”

          ผู้รับใช้ยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “เราจะพาท่านเข้าไป อย่าได้พูดหรือเอ่ยอะไรอย่างเด็ดขาด”

          อัสธาราธพยักหน้าหงึกหงัก และเดินตามอูห์รูนเข้าไป

          รูปสลักนางมนุษย์ยังคงตั้งอยู่ตรงประตูหน้าเช่นเดิม เยื้องออกไปบนแทนบรรทม ร่างเพรียวบางนอนราบอยู่ เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วสยายไปตามกระแสน้ำ อัสธาราธทำท่าจะเดินไปใกล้ แต่ก็ถูกฉุดเอาไว้

          “ให้ท่านดูเพียงเท่านี้”

          เจ้าชายหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่พอมาประสบกับสายตาหวั่นวิตกของอูห์รูนแล้วก็จำต้องยอมรับในเหตุผล ไม่ว่าองค์กษัตริย์จะคลุ้มคลั่งด้วยเรื่องใด ย่อมมีเขาเป็นต้นเหตุในส่วนหนึ่งแน่ๆ อัสธาราธไม่แน่ใจเรื่องที่เขาพูดกับเรเธียร์ในห้วงจิต ไม่รู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว องค์กษัตริย์จะจดจำได้หรือเปล่า ถ้าหากจำได้ เขาควรจะทำตัวเช่นไร และหากจำไม่ได้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อ

          เจ้าชายหนุ่มร้อนใจอยากพูดคุยกับองค์กษัตริย์ให้รู้เรื่องโดยไว แต่เมื่อองค์กษัตริย์ยังนิทราอยู่เช่นนี้ ก็จำต้องรอไปก่อน

-----------------------------------------------

                อูห์รูนออกไปส่งอัสธาราธจนถึงทางเดินยาว ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องบรรทม เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผู้รับใช้ต้องรีบยกมือปิดปากด้วยความปิติ เมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินชันตัวลุกขึ้นนั่งอยู่บนแทนบรรทม

          “พระองค์...พระองค์กลับมาแล้ว”

          นัยน์ตาสีมรกรเบือนกลับมา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากคู่งามนั้น “เราทำเจ้า ลำบากอีกแล้ว”

          อูห์รูนถลาเข้าไปเฝ้าแทบพระบาท ยกพระหัตขึ้นแตะเหนือศีรษะของตน กล่าวด้วยความตื้นตัน “หามิได้”

          กล่าวได้แค่นั้น ลำคอก็พลันตื้นเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เรเธียร์ลูบศีรษะผู้รับใช้อย่างเอ็นดู อูห์รูนเงยใบหน้าขึ้น ช้อนนัยน์ตาสีฟ้าเทามองดูองค์กษัตริย์

          “เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เพิ่งมาเข้าเฝ้าพระองค์เมื่อครู่ จะให้ข้าพระองค์ไปตามกลับมาหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์พลันสั่นศีรษะ “ยังไม่ต้อง เรายังไม่พร้อมจะพบหน้าผู้ใด”

          “เช่นนั้น อนุญาตให้ข้าพระองค์แจ้งข่าวออกไปได้หรือไม่ สองสามวันนี้ทุกผู้คนในอิลห์ลารินล้วนเป็นห่วงพระอาการของพระองค์จนไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้ว”

          “โอ....” องค์กษัตริย์คราง และพยักหน้าในที่สุด “เช่นนั้นรีบแจ้งเถิด คล้ายเราสร้างความวุ่นวายมากมายจริงๆ”

          “อย่าได้ทรงกล่าวเช่นนั้นเลย มิมีผู้ใดตำหนิพระองค์หรอก” อูห์รูนว่า องค์กษัตริย์คลี่ยิ้มบางๆ

          “ยามมีเหตุร้าย ตามปกติวิสัยย่อมต้องหาคนผิดเพื่อกล่าวโทษ ไม่กล่าวโทษเราจะกล่าวโทษผู้ใด”

          “เรื่องนี้มีผู้อื่นโดนกล่าวโทษไปแล้ว” อูห์รูนตอบ องค์กษัตริย์มีสีหน้าสงสัย ผู้รับใช้จึงกล่าวสืบต่อ

          “เป็นเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ผู้นั้นเอง”

-----------------------------------------------

          อัสธาราธเดินวนเวียนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องพักด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน องค์กษัตริย์ยังมิฟื้นจากการหลับใหล หนำซ้ำเขายังถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ อีก ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ยังไม่มีผู้ใดมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของเหตุการณ์ดังกล่าวให้ฟังเลย แล้วจะไม่ให้หงุดหงิดอย่างไรได้

          เจ้าชายหนุ่มค้ำมือลงกับราวระเบียงหิน อารามหงุดหงิดงุ่นง่านจึงเผลอบีบเสียจนแตก เศษหินร่วงกราวลงพื้น ขณะที่เสียงหนึ่งดังขึ้น

          “พละกำลังท่านไม่เลวทีเดียว”

          อัสธาราธเบือนหน้าไปมองอย่างแปลกใจ เป็นมังกรน้ำตนหนึ่งที่เคยร่วมทางกับเขาขึ้นไปบนดินแดนตะวันตก

          “ข้าพเจ้ามีนามคินอฟ” มังกรตนนั้นกล่าวแนะนำตน ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ทางเดินระเบียงจึงดูแคบไปถนัด อัสธาราธพยักหน้า เงยมองคินอฟอย่างสงสัย

          “ท่านมาหาข้าพเจ้า?”

          คนถูกถามพยักหน้า และกล่าวสืบต่อ “ทุกคนในวังล้วนโทษว่าท่านเป็นต้นเหตุให้องค์กษัตริย์เสียพระสติ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาพบท่าน”

          “ว่าอย่างไร?” อัสธาราธถามกลับออกไปอย่างไม่เชื่อหู “ข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้องค์กษัตริย์เสียสติ!?”

          คินอฟพยักหน้าอีกครั้ง และอธิบายเหตุผล “เนื่องเพราะองค์กษัตริย์เอ่ยเรียกชื่อท่านตลอดเวลา จึงพาลทำให้นึกไปว่า ท่านอาจจะไปทำอะไรล่วงเกินพระองค์เข้า”

          “ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไร!” อัสธาราธตอบ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนไปทำเรื่องบังอาจใดเข้าระหว่างนั้น ถ้าจะมี..ก็คงเป็นแค่ความคิด......

          “เราก็เชื่อว่าท่านคงไม่ทำเรื่องเช่นนั้น แลดูพระองค์จะโปรดปรานท่านมากเป็นพิเศษ” คินอฟกล่าวสืบต่อ อัสธาราธไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงได้แต่ครางฮือ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าองค์กษัตริย์จะเรียกหาตนในเวลานั้น หรือว่าจะเป็นเสียงน้ำกระแทกหินนั่น....

          เช่นนั้น เสียงที่ได้ยินตอนที่ไปถึงหุบเหวเสียงสะท้อนก็เป็นเสียงเรียกของพระองค์จริงๆ...

          ทรงเรียกหาตนด้วยเหตุใดกันเล่า?

          คินอฟเห็นเจ้าชายจากโลกเบื้องบนนิ่งไปนาน จึงได้กล่าวขึ้นอีก “แต่ท่านวางใจเถิด เมื่อครู่เราได้ข่าวว่าองค์กษัตริย์ตื่นจากบรรทมแล้ว อีกไม่นานคงทรงจัดการเรื่องราวเหล่านี้ให้กับท่าน”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงของอัสธาราธเบิ่งกว้างทันที

-------------------------------------------------

          เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ล้วนเป็นมังกรน้ำระดับสูงกรูกันมาขวางทางเดินเอาไว้ทันทีที่เห็นเจ้าชายจากดินแดนเพลิงก้าวเท้าเข้ามาในเขตที่ประทับ อัสธาราธขมวดคิ้วมุ่น

          “ข้าพเจ้ามาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์”

          “ทรงไม่โปรดให้ผู้ใดเข้าเฝ้าในตอนนี้” นายทหารผู้หนึ่งกล่าว เจ้าชายหนุ่มพูดต่อทันที “ข้าพเจ้าต้องการเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องด่วน ไปทูลถามพระองค์ก่อนแล้วค่อยมากล่าวกัน”

          นายทหารสั่นศีรษะ “ไม่อาจทำตามได้ องค์กษัตริย์มีบัญชา ไม่ให้ผู้ใดเข้าพบเลย”

          “อูห์รูนเล่า?” อัสธาราธถามต่อ รู้สึกรำคาญใจกับสายตาที่จ้องมองมายังตนจริงๆ

          “ท่านอูห์รูนไปเตรียมพระโอสถมาถวาย เชิญเจ้าชายกลับไปก่อนเถิด”

          อัสธาราธยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง คราแรกคิดจะใช้กำลังบุกเข้าไป แต่พอมาคิดทบทวนดูแล้ว อาจจะทำให้เรื่องราวแย่ลงก็ได้ ท้ายที่สุด เจ้าชายหนุ่มจึงยอมล่าถอยออกไป และพาเอาอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจกลับไปด้วย

          เหตุใดองค์กษัตริย์จึงมิยอมให้ผู้ใดเข้าเฝ้า หรือจงใจจะสั่งห้ามไม่ให้ตนเข้าเฝ้า

          อัสธาราธคิดไปต่างๆ นาๆ ด้วยความว้าวุ่นใจ หรือองค์กษัตริย์จะไม่พอพระทัยตนจริงๆ หรือจะทรงเคืองเรื่องในจิต หรือว่าจริงๆ แล้วทรงขุ่นเคืองมานานแล้วแต่ไม่ได้ปริปากออกมา จนกลายเป็นเหตุให้ทรงวิปลาส ไม่ว่าจะคิดไปในแนวทางไหน ก็ล้วนไม่เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

          เจ้าชายหนุ่มไม่ทราบจะทำเช่นไร เดินไปทางไหนก็มีแต่แววตาแสดงอาการตำหนิตนอย่างไม่ถามเหตุผล ครั้นจะไปหาอูห์รูน ก็ไม่อยากรบกวนเวลาปรุงยาให้องค์กษัตริย์ แถมไม่แน่ว่าอูห์รูนจะคุยด้วย คินอฟก็กลับไปเสียแล้ว อัสธาราธคิดพลางเดินพลาง ท้ายที่สุดก็ออกมาจากอัลโดรธ์อย่างไม่รู้ตัว

          ห้วงน้ำด้านนอกสงบนิ่งและแทบจะมืดสนิทเช่นเคย คงมีแต่แสงไฟสีน้ำเงินพราวที่ถูกจุดเป็นระยะๆ แสงไฟนี้เองที่นำทางเขาไปสู่หุบเหวเสียงสะท้อน และดูจะนำไปยังอีกหลายที่ อัสธาราธตัดสินใจเดินไปตามแนวแสงไฟสีน้ำเงินนั้น เดินไปได้สักพักใหญ่ เจ้าชายหนุ่มก็พบตัวเองอยู่ท่ามกลางชะง่อนผาสูงชันสีดำมะเมื่อม ที่มีทั้งปะการังและดอกไม้ทะเลขึ้นแออัดกันอยู่เต็มไปหมด แม้สีสันจะสดใสอย่างที่องค์กษัตริย์พาไปยล ณ เขตน้ำตื้น แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่แพ้กัน

          ดอกไม้ทะเลสีขาวอมเขียว ที่มีประกายเรืองคล้ายสายรุ้งอยู่ที่ขอบขึ้นอยู่มากมายที่นั่น ยังมีปลาประหลาดที่เหมือนมีแสงไฟเรืองออกมาจากลำตัว บางตัวมีฟันยาวโง้ง บางตัวเรียวเล็กคล้ายเข็ม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูคล้ายจะเปล่งแสงออกมาได้เองทั้งสิ้น

          อัสธาราธเดินลึกเข้าไปในทางเดินแคบ เหล่าปลาเรืองแสงพวกนั้นพอมองเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมก็ว่ายรี่เข้ามา คงหมายจะทดลองขย้ำกินดูกระมัง เจ้าชายหนุ่มไม่ใส่ใจ ลำพังฟันเล็กฟันน้อยพวกนี้ไม่ทำให้ระคายผิวด้วยซ้ำ ปลาเหล่านั้นว่ายมารุมได้พักหนึ่ง ก็ต้องถอยออกห่าง ด้วยทราบว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่กินได้ เจ้าชายหนุ่มแค่นหัวร่อกับตนเอง ตั้งแต่ดำดิ่งลงมาในห้วงน้ำแห่งอิลห์ลาริน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองห้วงน้ำมืดสนิทด้านบน

          หากได้องค์กษัตริย์มาอยู่เคียงข้างก็คงดี

          คิดพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างท้อแท้ หากจะมีเรื่องใดเป็นการบังอาจ ก็คงจะต้องเป็นเรื่องนี้ ความเพ้อฝันพิสดารที่ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึง แม้กล่าวออกไปแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าพระองค์จะเข้าใจจริงๆ และถึงเข้าใจ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปดั่งฝันได้เสียหน่อย

          อัสธาราธผู้แสนโง่เขลา....

          ในหุบเขามีเพียงดอกไม้ทะเลสีสันประหลาด และปลาที่เรืองแสงได้ อัสธาราธมองดูพวกมันอย่างซึมเซา มีตัวหนึ่งว่ายรี่เข้ามาใกล้ เจ้าชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไป เจ้าปลาน้อยรูปร่างคล้ายก้อนหินกลมๆ อ้าปากที่มีฟันเรียงระเกะระกะงับนิ้วมือนั้นทันที แต่งับอย่างไรก็งับไม่เข้า เจ้าปลาน้อยคล้ายรู้สึกไม่เข้าใจ ยังเพียรพยายามจะงับซ้ำๆ จนอัสธาราธอดหัวเราะออกมาไม่ได้

          ช่างโง่เขลาจริงๆ

          มังกรหนุ่มโอบมือรอบปลาน้อยตัวนั้น ดึงเข้ามาใกล้ เจ้าปลาหน้าตาตลกใช้ลูกตากลมปูดของมันมองเขาอย่างสงสัย อัสธาราธถอนหายใจยาว

          ต่อให้เจ้าปลาตัวนี้ใหญ่โตขึ้นอีกสิบเท่า ก็ยังไม่แน่ว่าจะงับเข้าสักครึ่งกระผีก อัสธาราธมองดูปลาตัวน้อยเนิ่นนาน จึงพึมพำออกมา

          “คล้ายเราสองโง่เขลาไม่แพ้กัน”

          ปลาประหลาดดิ้นขลุกขลักอยู่ในมือเหมือนไม่ยอมรับคำกล่าวหา เจ้าชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นี่คล้ายมีเราเพียงผู้เดียวที่ยอมรับตัวเองโง่เขลา?”

          “ผู้โง่เขลาที่ยอมรับตัวเองว่าทำเรื่องโง่เขลาแต่ยังฝืนทำต่อคล้ายมีอยู่ในโลกนี้ไม่มาก” น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยแทรกเข้ามา อัสธาราธหันไปมองด้วยความแปลกใจ จังหวะเดียวกับที่ปลาน้อยในมือดิ้นหลุดออกไปพอดี เจ้าชายหนุ่มคลี่ยิ้มละไม

          “ข้าพเจ้าเพ้อถึงท่านอีกแล้ว”

          เรือนผมสีน้ำเงินพรายสยายอยู่ในสายน้ำเหมือนภาพหลอน ดวงหน้างามผุดผาดปรากฏขึ้นในห้วงน้ำดำสนิท อาภรณ์สีฟ้าขาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวเดิน

          “ท่านไม่คิดจะยิ้มให้ข้าพเจ้าสักหน่อย” เจ้าชายหนุ่มกล่าวกับร่างที่เดินมานั้น ใบหน้าผุดผาดยังคงเรียบเฉย เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีมรกตที่คล้ายหลุดออกมาจากภาพวาด

          “เด็กน้อยเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งเราตั้งแต่เมื่อไร?”

                น้ำเสียงปรามอย่างเห็นได้ชัด แต่อัสธาราธกลับหัวเราะขึ้น “โอ....ในฝันท่านกลับปั้นหน้าปั้นปึงใส่ข้าพเจ้า คล้ายข้าพเจ้านี้มีเวรมีกรรมจริงๆ”

          ร่างในฝันไม่ตอบ ยังคงมีสีหน้าปั้นปึงเช่นเดิม เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “ในความเป็นจริงท่านแย้มยิ้มให้ข้าพเจ้าบ่อยครั้ง ก่อกวนจนหัวใจข้าพเจ้าปั่นป่วน คราวนี้ท่านมาปั้นหน้าดุข้าพเจ้าในฝัน คล้ายข้าพเจ้าโดนท่านก่อกวนได้ตลอดจริงๆ”

          ใบหน้าเรียบเฉยผุดรอยยิ้มขึ้นมาทันที “เราผู้เฒ่าความจริงต้องการก่อกวนเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

          อัสธาราธหัวเราะออกมา “ท่านเป็นผู้ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ ไม่สงสารข้าพเจ้าบ้างหรือ?”

          “เรายังมองไม่เห็นว่าเจ้าน่าสงสารที่ใด” เสียงเดิมตอบ อัสธาราธถอนหายใจอีกครา

          “ผู้อื่นกล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุให้ท่านคลุ้มคลั่ง แต่ข้าพเจ้านึกแย้ง ท่านดูพยายามจะก่อกวนให้ข้าพเจ้าคลุ้มคลั่งเสียมากกว่า”

          “เจ้าเป็นเหตุทำให้เราคลุ้มคลั่งจริงๆ”

          นัยน์ตาสีแดงจ้องมาอย่างงงงัน ก่อนจะหัวเราะอีก “ท่านถึงกับตามมาโทษข้าพเจ้าในความฝัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเดาเหตุผล ใช่ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจนคลุ้มคลั่งหรือไม่?”

          อัสธาราธถามไปอย่างนึกสนุก นี่เป็นฝันของตน คำตอบคงระรื่นหูอยู่ แล้วก็เป็นดั่งนั้นจริงๆ

          “เดาไม่ผิด เราคิดถึงเจ้าจนคลั่งจริงๆ ดังนั้น สมควรแล้วที่เด็กน้อยเจ้าต้องรับผิดชอบ”

          เจ้าชายหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้าพเจ้าอยากรับผิดชอบแทบตายแล้ว”

          “รับรองว่าเจ้าต้องรับผิดชอบแทบตาย” ร่างในฝันกล่าวพลางยิ้มกริ่ม “มาให้เรากินเสียดีๆ”

          ไม่พูดเปล่าทำท่าเดินเข้ามาหาอย่างน่ากลัว อัสธาราธหัวเราะจนตัวงอ “ท่านกินข้าพเจ้า แล้วจะเรียกว่าข้าพเจ้ารับผิดชอบได้อย่างไร ข้าพเจ้าต้องกินท่านถึงจะถูก”

          “มีปัญญา?”

          “ไม่ลองไม่มีผู้ใดรู้” เจ้าชายหนุ่มว่า และผุดลุกขึ้นประจันหน้ากับร่างเพรียวนั้นทันที รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏอยู่บนใบหน้าผุดผาด มือเรียวยกขึ้นวาดเบาๆ อัสธาราธก็ล้มลงดังตึง เนื่องเพราะสายน้ำที่ไหลอยู่จู่ๆ ก็พลันเชี่ยวกรากขึ้นมาจนทรงกายเอาไว้ไม่ได้

          “นี่ไม่ยุติธรรม!” เจ้าชายหนุ่มโวย พยายามจะตะกายลุกขึ้น แต่ถูกมือเรียวกดเอาไว้ ร่างผอมเพรียวทรุดตัวลงนั่งข้าง ไล้มือไปตามใบหน้าคมสัน

          “ไม่ยุติธรรมที่ใด?”

          “เนื่องเพราะอยู่ในน้ำ ท่านจึงได้เปรียบข้าพเจ้าทุกอย่าง”

          “ออ...เดี๋ยวนี้เด็กน้อยเจ้ามีนิสัยเกี่ยงงอนเช่นนี้แล้ว” ผู้มีวัยสูงกว่าว่า อัสธาราธดิ้นขลุกขลัก “เนื่องเพราะท่านตามมาหลอกหลอนข้าพเจ้าในความฝันบ่อยครั้ง มิหนำซ้ำ ยังได้เปรียบอยู่ทุกครั้งไป ไม่ให้ข้าพเจ้าเกี่ยงงอนได้อย่างไร”

          ร่างเพรียวพยักหน้า “ฟังแล้วรู้สึกสงสารเจ้าขึ้นมานิดหน่อย เช่นนั้น เราจะกินเจ้าเบาๆ เจ้าจะได้ไม่ทรมานมาก”

          อัสธาราธยังคงดิ้นรนอย่างไม่ยินยอม “ข้าพเจ้าไม่อยากถูกกิน”

          “ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์อุทร” เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินกล่าวพลางแย้มยิ้ม กดมือลงอีกหน่อยก็หยุดการดิ้นรนของร่างสูงใหญ่นั้นได้ง่ายๆ แม้อยู่ในฝัน พละกำลังของพระองค์ยังคงน่าตระหนกเช่นเดิม อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงมองดูดวงหน้างดงามในฝันโน้มเข้ามา ริมฝีปากเย็นเยือกแนบลงไปบนต้นคอ ขย้ำลงไปเบาๆ ร่างสูงใหญ่เขม็งเกร็งขึ้นมาทันที

          “เจ้ากลัว?”

          อัสธาราธไม่ได้ตอบคำถาม ริมฝีปากเม้มจนแทบจะเป็นเส้นตรง พาลเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ได้ยินเสียงเดิมหัวเราะเบาๆ

          “เรารับรองจะทำให้เบามือที่สุด”

          ว่าแล้วก็จัดแจงรวบมือของร่างที่นอนอยู่ขึ้นไปไว้เหนือศีรษะ ก้มหน้าลงสำรวจร่างกายใหญ่โตที่ยังคงดิ้นรนขัดขืนอยู่เป็นระยะ ผิวกายตึงแน่นของวัยหนุ่มฉกรรจ์ รับรู้ทุกอณูสัมผัสเย็นเยียบของริมฝีปากนุ่ม อัสธาราธสูดหายใจลึกอีกหลายครั้ง ขณะที่เรียวลิ้นอ่อนนุ่มเล็มเลียไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

          เรเธียร์เลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของร่างที่นอนอยู่ออก เล็มเลียแผงอกและหน้าท้องตึงแน่น สร้างความรู้สึกปั่นป่วนให้มังกรหนุ่มอย่างยากจะทนทาน ร่างสูงใหญ่กระตุกเกร็งขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจพาลติดขัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเพียงแต่พรมจูบกับลูบมือไปมาเท่านั้น ลูบไล้ไปได้พักหนึ่ง ร่างในฝันก็ปล่อยมือออก ขยับกายขึ้นมานั่งคร่อมร่างสูงใหญ่เอาไว้ แนบฝ่ามือลงบนสันกรามคมสัน กลอกนัยน์ตาสีมรกตอย่างพินิจพิเคราะห์

          “จะเริ่มกินจากส่วนใดดี?”

          อัสธาราธคำรามในลำคออย่างอดทนที่สุด “ส่วนใดก็ได้ ท่านจะกินก็รีบกิน”

          ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ “เราพาลไม่รีบดั่งเจ้าเรียกร้อง ยังอยากสำรวจเจ้าต่ออีกพักหนึ่ง”

          อัสธาราธมุ่นคิ้วพลางกัดฟันกรอด มองดูร่างในฝันที่กำลังหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ “ข้าพเจ้าแนะนำให้ท่านรีบๆ”

          “จะรีบไปใย เราอายุมากแล้วย่อมต้องเชื่องช้าบ้าง” เรเธียร์ว่า และก้มลงแลบลิ้นเสียใบหน้าด้านล่าง “เราจะกินเจ้าให้หมดตัว”

          ได้ยินเสียงครางต่ำๆ ขณะที่สองมือประโลมลูบไปตามเรือนร่างสูงใหญ่ จูบลูบไปได้อีกพักหนึ่ง ร่างเพรียวบางก็ยันตัวขึ้นมา

          “มีอันใดอีก?” อัสธาราธถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นองค์กษัตริย์นั่งนิ่ง

          “เราปวดเอวนิดหน่อย ต้องการพักสักครู่หนึ่ง”

          ร่างในฝันตอบ อัสธาราธเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ได้ยินเสียงถามอย่างพิศวง

          “ใยเจ้าทำสีหน้าเช่นนั้น?”

          ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ฝ่ามือใหญ่ก็ตะปบเข้าตรงเอวบาง เรี่ยวแรงมหาศาลถูกส่งเข้ามาตามฝ่ามือนั้น ร่างเพรียวไม่ทันได้ทำการตอบโต้ ก็ถูกกดลงไปบนพื้นแทนเสียแล้ว

          “เรื่องเปลืองแรงเช่นนี้ ให้คนหนุ่มอย่างข้าพเจ้าทำจึงจะถูก”

          อัสธาราธว่า มองเห็นนัยน์ตาสีมรกตเบิ่งค้างอย่างไม่เชื่อใจ “มีปัญญา?”

          มังกรหนุ่มไม่ตอบ กลับดึงอาภรณ์ขององค์กษัตริย์ออก แล้วนำไปพันธนาการแขนเพรียวบางทั้งสองข้าง

          “โอ....กระทำบังอาจเยี่ยงนี้ ไม่กลัวถูกเราลงโทษ?”

          อัสธาราธพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพเจ้ากลัว กลัวอย่างยิ่ง ดังนั้น ก่อนถูกท่านลงโทษ ข้าพเจ้ายังขอบังอาจอีกหลายๆ เรื่อง”

          พูดไปพลางดึงอาภรณ์ขององค์กษัตริย์ออกพลาง สุดท้ายเรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผุดผาดก็ปรากฏให้เห็นถนัดตา ช่างงดงามจนทำให้ผู้มองตะลึงลานไปพักใหญ่ๆ แม้เป็นความฝัน แต่อัสธาราธอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้ เรือนร่างงดงามหมดจดนี้ หากได้สัมผัสจริงๆ หากได้เป็นผู้ครอบครอง.....

          ร่างเพรียวบางสะดุ้งเฮือก เมื่ออีกฝ่ายฝังหน้าลงบนต้นคอ อ้าปากขบกัดผิวอ่อนจนรู้สึกเจ็บ มือใหญ่ตะปบลูบไปตามแผงอก บั้นเอว ลามไปถึงหนั่นสะโพก ร่างเย็นจัดเมื่อสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นร้อน ยิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ประหลาด

          “ดะ...เดี๋ยว!”

          เสียงห้ามปรามมิได้เข้าหูมังกรหนุ่มแม้แต่น้อย มือแกร่งรั้งร่างเพรียวบางขึ้นมา แนบจูบลงไปบนแผงอกเรียบ ไล้เลียปลายลิ้นไปตามเรือนร่างเย็นจัดอย่างกระหายหิว ขณะที่สองมือทั้งลูบทั้งคลำจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางต่ำในลำคอ

          การรุกเร้าเป็นไปอย่างรุนแรงและดุดัน ท่ามกลางกระแสน้ำปั่นป่วน ฝ่ามือร้อนผ่าวโลมลูบไปตามจุดซ่อนเร้น ขยับเปิดช่องทางพร้อมกับดึงรั้งเรียวขาขาวให้แบะอ้าออก

          “ดะ...เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่ง!!”

          คำพูดตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนหลุดจากริมฝีปากได้รูป อัสธาราธรั้งร่างเพรียวขึ้นมาไว้บนตัก ประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่งามนั้น  ลิ้มรสความเย็นยะเยือกในโพรงปากนั้นอย่างกระหายหิว ลากมือลงไปขย้ำขยี้ตะโพกเนียนลื่น ร่างนั้นฝันสะดุ้งอีกหลายครั้ง สองแขนที่ถูกพันธนาการอยู่ดึงรั้งศีรษะของมังกรหนุ่มเข้าท่อย่างไม่ตั้งใจ จุมพิตยิ่งแนบสนิทขึ้นอีก ฝ่ามืออุ่นร้อนเลื่อนลงไปจับปั้นเอวผอมบางให้ยกสูงขึ้น ก่อนจะดุนดันลงไปบนส่วนร้อนผ่าวที่รอท่าอยู่

          เหมือนจะได้ยินเสียงร้องครางลึกลงไปในโพรงปากที่ถูกประกบจูบเอาไว้แนบแน่น ร่างในฝันสั่นกระตุกอย่างน่ากลัว มือบางที่ไม่ทราบหลุดจากพันธนาการเมื่อไร กำลังจิกกดลงไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ปลายเล็บแหลมกดทะลุผิวหนังจนรู้สึกเจ็บแปลบ เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันและกันอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่การสอดใส่ลึกขึ้นเรื่อยๆ

          การร่วมรักในฝันดูรุนแรงและสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ความเจ็บปวด ความสุขสมแจ่มชัดอยู่ในทุกห้วงสัมผัส ยิ่งได้ยินเสียงอ้อนวอนให้ช้าลงเท่าไร การขยับยิ่งหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

          สายน้ำปั่นป่วนจนไม่อาจควบคุม อัสธาราธงับลงไปบนต้นคอขาวนั้นอย่างแรงระหว่างเติมเต็มความสุขระรอกแล้วละรอกเล่าให้กับร่างในความฝัน ฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาจนมิอาจมองสิ่งใดได้ถนัด รู้สึกเพียงวงแขนเย็นยะเยือกที่โอบรัดแนบแน่น และริมฝีปากอ่อนบางที่แนบลงมาบนต้นคอครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับจะย้ำให้รู้สึกถึงไอเย็นที่มีอยู่ในร่าง

          สองร่างตอบสนองซึ่งกันและกันจนถึงจุดสูงสุดของความฝัน ท่ามกลางความสุขเลื่อนลอย อัสธาราธตระกองกอดร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมอก จูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระซิบกระซาบเรียกชื่อนั้นแผ่วเบา

          “เรเธียร์”

-----------------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ15 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 14/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 14-07-2012 22:13:12
>[]< แอ๊ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ14 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 13/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: rinia ที่ 14-07-2012 22:27:22
 :jul1:ความฝันหรือว่าความจริง
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ15 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 14/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ชะรอยน้อย ที่ 15-07-2012 00:56:00
ฝันจริงหรอ?? เพลาๆแรงหน่อยเถิด นายเอกเราอายุมากแล้ว  :z1:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ15 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 14/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 15-07-2012 08:25:59
ฝันซะเหมือนจริง -///-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ15 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 14/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 15-07-2012 19:28:17
สรุปแล้ว ความจริงหรือความฝันกันแน่เนี่ย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ15 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 14/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-07-2012 21:22:42
16 : ห้วงอารมณ์ภายใต้ธาราลึก


          อัสธาราธลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนพบบางสิ่งบางอย่างส่องแสงเรื่อเรืองอยู่ตรงหน้า เมื่อหรี่ตามองให้ชัด จึงพบว่าเป็นปลาประหลาดตัวนั้นเอง เจ้าชายหนุ่มยันกายผุดลุกขึ้นจากพื้นทราย เสื้อผ้าอาภรณ์ยังดูครบเป็นปกติทุกอย่าง ตลอดร่างไม่เหลือเค้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย


          หรือว่าจะเป็นเพียงความฝันจริงๆ?
          อัสธาราธเหม่อมองไปรอบๆ ชะง่อนผาหินยังคงมีดอกไม้ทะเลสีประหลาดขึ้นอยู่โดยรอบ เหมือนตอนเดินเข้ามาไม่ผิดเพี้ยน เหล่าปลาน้อยปลาใหญ่ว่ายซอกซอนไปตามหลืบหินและแนวของปะการังสีซีดๆ เจ้าชายหนุ่มพลันนึกอับอายขึ้นมาทันที องค์กษัตริย์เพิ่งฟื้นจากบรรทมแท้ๆ แต่เขากลับเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว หากผู้ใดรู้เข้ามีหวังได้อับขายขายหน้าไปทั้งวงศ์ตระกูลแน่ๆ

          ขณะที่กำลังนึกตำหนิความเพ้อเจ้อของตัวเอง ดวงไฟสีน้ำเงินพรายก็ปรากฏขึ้นให้เห็นไกลๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเรียก

          “เจ้าชายอัสธาราธ ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่?”

-------------------------------------------------------

          “โอ.....เจ้าชายกลับมาแล้ว” อูห์รูนเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี เมื่อเห็นเจ้าชายจากต่างแดนก้าวเข้ามาในพระราชวังกว้างใหญ่ อัสธาราธพยักหน้า ก่อนจะพูดตอบ

          “ได้ยินว่าองค์กษัตริย์ต้องการพบข้าพเจ้า”

          อูห์รูนผงกศีรษะทันที “ทรงเรียกหาท่านตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่มิทราบท่านออกไปที่ใดแน่ เราส่งคนออกไปตามหาค่อนรุ่ง จึงเพิ่งเจอ นี่ท่านไปหลบอยู่ที่ใด?”

          อัสธาราธอธิบายถึงสภาพของช่องระหว่างชะง่อนหินที่ตนเดินเข้าไป นัยน์ตาสีฟ้าเทาของอูห์รูนเบิ่งกว้าง

          “ท่านได้นอนหลับที่หุบผานั้นหรือไม่?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า ผู้รับใช้กล่าวสืบต่อ “มิน่าเล่า ให้คนตามหาเท่าไรก็ไม่พบ ผู้ใดหลับใหลในหุบผานั้น จะถูกพรายบังตาไม่ให้ผู้อื่นหาพบ จนกว่าจะตื่นขึ้นมาเอง”

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตากว้าง “พราย? ที่นั่นมีภูติพราย?”

          อูห์รูนพยักหน้าอีก “เป็นพรายสายพันธุ์ที่เร้นลับอย่างยิ่ง แม้แต่เราเองก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน น่ากลัวมีแต่องค์กษัตริย์เท่านั้นที่รู้ แต่โดยปกติไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปนอนในหุบผานั้นหรอก เนื่องเพราะสภาพ...”

          “ข้าพเจ้าขออภัยที่ทำให้ลำบาก” อัสธาราธกล่าว และรู้สึกสงสัยเช่นกันว่าตนหลับลงไปได้อย่างไรในสภาพแวดลอมแปลกประหลาดเช่นนั้น

          “ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วที่ท่านตื่น ได้ยินว่าหากหลับลง ณ ที่นั่นได้ จะฝันดีจนไม่อยากตื่น”

          อัสธาราธยิ้มเจื่อน “โชคดีที่ข้าพเจ้าตื่น หุบผานั้นมีชื่อเรียกหรือไม่?”

          “มีอยู่“ อูห์รูนกล่าว “ที่นั่นเรียกหุบผาฝันสลาย”

----------------------------------------------

          อัสธาราธก้าวตามข้ารับใช้แห่งสายน้ำเพื่อไปยังท้องพระโรง ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

          คิดไปก็น่าอับอาย แม้รู้ว่าเป็นฝัน แต่ใจหนึ่งก็ยังหวังว่าอาจจะเป็นความจริงอยู่บ้าง เพราะสัมผัสนั้นแจ่มชัดในความทรงจำเสียเหลือเกิน แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวหุบผาดังกล่าว ความหวังน้อยนิดก็พลันพังพินาศ ช่างสมชื่อหุบผาฝันสลายจริงๆ

          กระนั้นเจ้าชายหนุ่มยังพอจะหาเรื่องปลุกปลอบใจตัวเองได้ ในเมื่อเรื่องราวเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน เขาคงไม่มีปัญหาในการสู้พระพักตร์ขององค์กษัตริย์

          แต่อัสธาราธคิดผิดถนัด

 
          องค์กษัตริย์ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงหน้างามผุดผาดผิดหูผิดตากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า คล้ายยังงดงามยิ่งกว่าในฝันหวานเมื่อคืน อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองแล้วพาลเห็นซ้อนกับภาพฝันลามกให้หุบผานั้น เจ้าชายหนุ่มพลันต้องรีบก้มหน้าลงทันที

          “โอ....เด็กน้อยเจ้ายังโกรธเคืองเราอยู่? เราได้ชี้แจงเรื่องราวของเจ้าให้ผู้อื่นฟังแล้ว มิมีผู้ใดถือโทษโกรธเจ้าหรอก”

          น้ำเสียงกังวานเสนาะหู ซ้ำยังเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่องค์กษัตริย์ดีแสนดี ตนเองยังกล้าฝันพิเรนเช่นนั้นอีก อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่พยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังก้มอยู่

          “เจ้าไม่อยากมองหน้าเราแล้ว?” น้ำเสียงเดิมถามอีก เจ้าชายหนุ่มสั่นศีรษะ แต่ก็ยังไม่เงยหน้าอยู่ดี

          ความเงียบเข้าปกคลุมห้วงน้ำในท้องพระโรงทันที ท้ายที่สุดอัสธาราธจึงต้องเอ่ยปากขึ้นก่อน

          “พระอาการปกติแล้ว?”

          “ย่อมเป็นปกติแล้ว เจ้าใยไม่เงยหน้าขึ้นมองเราเลย หรือยังหวาดกลัวเราอยู่”

          “มิได้” เจ้าชายหนุ่มตอบ แต่ยังไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร ดั่งความฝันบ้าบอนั้นยิ่งทำให้วางตนลำบากมากขึ้น

          “นี่....เงยหน้าขึ้นมองเราสักนิดเถิด เจ้าใยใจดำปล่อยให้เราผู้ใหญ่ขอร้องเจ้าอยู่ร่ำไป”

          อัสธาราธขบกรามแน่น รู้สึกราวกับความร้อนในกายจะระเบิดออก แข็งใจเงยหน้าขึ้นมององค์กษัตริย์อีกครา

          ยังคงงามผุดผาดไม่ผิดเพี้ยนไปเลย

          รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏขึ้นบนริมฝีปากงาม องค์กษัตริย์เสด็จลงจากราชบัลลังก์ ดำเนินเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดเรียบง่าย

          “ตามเรามา”

          อัสธาราธแม้ยังรู้สึกเขินอาย แต่ก็ไม่กล้าขัด จึงได้แต่ก้มหน้าเดินตามองค์กษัตริย์ไปเรื่อยๆ มองเห็นเพียงพื้นหินสีดำสนิท เดินมาได้สักพักหนึ่ง องค์กษัตริย์จึงหยุดฝีเท้าลง อัสธาราธเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก มีเพียงตนกับองค์กษัตริย์เพียงสองเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอยู่หน้าประตูห้องพักของตนเอง ผู้เป็นใหญ่แห่งสายน้ำยกมือขึ้นผลักบานประตูหินเข้าไป

          “ไม่เข้ามา?”

          น้ำเสียงเดิมเอ่ยถาม เมื่อเห็นอีกร่างยังคงยืนนิ่ง อัสธาราธรู้สึกงงงันไปหมด เอ่ยตะกุกตะกัก

          “นี่ห้องพักข้าพเจ้า...”

          “ถูกแล้ว มีอันใดประหลาด?”

          “ท่าน...ท่านใยพาข้าพเจ้ามาที่นี่”

          “เราคาดว่าเจ้าต้องการพักผ่อน อืม...เข้ามาเถิด ความจริงเรามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเล็กน้อย”

          อัสธาราธยังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ขององค์กษัตริย์ แต่ก็ยอมก้าวเข้าไปในห้อง ประตูปิดลงทันที องค์กษัตริย์ทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหินภายในห้อง ก่อนจะชี้มือไปยังแท่นที่ใช้นอน

          “นั่งลง เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

          เจ้าชายหนุ่มนั่งลงตามคำสั่ง ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์องค์กษัตริย์โดยตาง ได้แต่มองชายเสื้อที่ระพื้นอยู่

          “เจ้าทราบความผิดของตัวเองหรือไม่?”

          คราวนี้อัสธาราธจำต้องเงยหน้าขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีแดงเพลิงจ้องมองใบหน้าองค์กษัตริย์อย่างตระหนก

          “ข้าพเจ้าทำผิด?”

          นึกไม่ถึง เมื่อครู่ยังปลอบประโลมเขาอยู่ดีๆ พอเข้ามาก็คาดโทษทันที อัสธาราธงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
          “ขะ..ข้าพเจ้าผิดที่ใด?”

          “หลายที่อย่างยิ่ง” เรเธียร์กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังราวกับภาพฝันเมื่อคืนไม่ผิดเพี้ยน แต่อัสธาราธมิกล้าจิตนาการตอนจบ เพราะนี่เป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันเลื่อนลอย เจ้าชายหนุ่มได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ

          “ต้องการให้เราแจกแจงความผิดหรือไม่?”

          ร่างสูงใหญ่พยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าคมสันซีดเผือด เมื่อเห็นนัยน์ตาสีมรกจ้องมาอย่างเอาเรื่องเอาราว

          “บอกกับเรา การที่เจ้าเข้ามาในจิตเรา เป็นความตั้งใจของเจ้า หรือผู้อื่นใช้มา?”

          อัสธาราธอึ้งไปพักหนึ่ง จึงพอจะนึกได้ว่าองค์กษัตริย์คงหมายถึงเรื่องตอนที่ตนหนีออกไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน จึงพยักหน้า และตอบกลับ “เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้าเอง”

          “รู้หรือไม่ว่านี่เป็นเรื่องบังอาจเพียงไร”

          สีหน้าของอัสธาราธซีดลงกว่าเดิม “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อน”

          “เรื่องนี้ตัดหัวเจ้าสิบครั้งยังไม่สาสม” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำเอาเจ้าชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ กระทั่งจะหายใจเข้ายังลำบาก น้ำเสียงเดิมเอ่ยต่อ “เรื่องที่เจ้าบังอาจขอร้องเราที่นั่น เจ้ายังกล้าพูดซ้ำอีกหรือไม่?”

          อัสธาราธรู้สึกเหมือนลำคอถูกแช่แข็ง ที่แท้องค์กษัตริย์พิโรธตนเรื่องนี้เอง ก็ดูจะสมควรแล้ว เจ้าชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขาสมควรจะแก้คำพูดนั้นเสียใหม่

          “ข้าพเจ้า....” อัสธาราธเอ่ยค้างได้แค่นั้นก็พลันกัดฟันกรอด กับเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ เมื่อเขาตัดสินใจกล่าวออกไปแล้ว แม้จะเป็นในดวงจิต แต่องค์กษัตริย์ก็ทรงรับรู้แล้ว และเขาก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะได้รับโทษทัณฑ์ตามมา หากมาแก้คำพูดเอาตอนนี้ ยิ่งมิดูน่าทุเรศเข้าไปใหญ่หรือ พอคิดได้ดังนั้นอัสธาราธจึงกลั้นใจพูดออกไป

          “ข้าพเจ้ายืนยัน ข้าพเจ้าอยากได้ตัวท่าน อยากได้หัวใจของท่าน ถ้าหากท่านจะประหารข้าพเจ้า ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง...”

          อัสธาราธกำมือแน่น กดลงไปบนหน้าขาชาด้าน “แต่ขอร้องท่านเพียงหนึ่งเรื่อง อย่าได้บอกสาเหตุแก่พี่ชายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากทำให้ท่านพี่ผิดหวัง

          “มีเรื่องจะสั่งเสียแค่นี้?”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า ขบริมฝีปากจนแตก สกัดกั้นทำนบอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา เขาไม่ได้กลัวตายเลยสักนิด เพียงแต่รู้สึกปวดแปลบในหัวใจจนแทบบ้า ใยความรักจึงได้เล่นตลกเยี่ยงนี้เล่า

          คำสารภาพที่ต้องแลกด้วยชีวิต....

          หากจะต้องดับสูญเพราะดวงหน้างดงามนั้น

          อัสธาราธพลันเงยหน้าขึ้นมองผู้ทรงอำนาจที่นั่งอยู่ตรงข้าม งดงามผุดผาด ทรงอำนาจราวกับภาพฝัน นัยน์ตาสีมรกตดวงนั้น เคยมองเห็นตนบ้างหรือไม่...เคยรู้สึกเช่นเดียวกันบ้างหรือไม่

          ความอ่อนโยนที่เคยมอบให้ จะสิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือ?

          สิ้นสุดเพียงเพราะความโง่เขลาของเขาเองล่ะหรือ?

          อัสธาราธหยัดกายยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ละย่างก้าวที่ก้าวออกไปคล้ายถูกถ่วงด้วยพะเนินเหล็กหนักอึ้ง องค์กษัตริย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่คล้ายช่างห่างไกลยิ่งนัก ใบหน้าเรียบเฉยนั้นช่างน่าเจ็บปวดสิ้นดี อัสธาราธก้าวไปได้สองก้าว ก็ทรุดตัวลงคุกเข้า กล่าวเสียงแหบแห้ง

          “ประหารข้าพเจ้าเลยเถิด”

          มองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตสั่นระริก ร่างผอมบางหยัดยืนขึ้น สืบเท้าเข้ามาใกล้ อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองใบหน้านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหลับตาลง

          “เจ้า....ช่างโง่เขลานัก”

          ความรู้สึกเย็นยะเยือกประทับแนบลงบนริมฝีปาก เจ้าชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที และพบร่างเพรียวทรุดนั่งลงตรงหน้า ปลายลิ้นเย็นเยียบกำลังเล็มเลียบาดแผลที่ริมฝีปาก อัสธาราธยกมือขึ้นดันร่างนั้นออกอย่างงุนงง

          “เรากล่าวตอบเจ้าในตอนนั้นว่าอย่างไร ลืมแล้วหรือ?” ริมฝีปากได้รูปกล่าว พลางผุดรอยยิ้มอ่อนโยน ผู้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง

          “ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจขอเช่นเจ้า เราจึงต้องการทราบว่าเจ้าไม่ได้พูดออกมาเพียงเพราะความคะนองในอารมณ์”

          ริมฝีปากของมังกรหนุ่มยังคงเผยออ้า แต่ไม่มีคำพูดใดผุดออกมา

          “โกรธเราหรือ?”

          ร่างเพรียวบางถามเสียงอ่อน อัสธาราธอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ก็สลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ที่องค์กษัตริย์ทำไปเมื่อครู่ เพียงแค่จะทดสอบเขาเท่านั้นหรอกหรือ

          เจ้าชายหนุ่มไม่รู้จะระบายความในใจเช่นไร จึงยื่นมือตะปบเอวบางเอาไว้ แค่นเสียงคำรามในลำคอ

          “ให้ข้าพเจ้ากัดท่านแรงๆ สักคำ!”

          โดนหยอกล้อจนหัวปั่นเช่นนี้ ไม่งับแรงๆ สักทีคงต้องอกแตกตายแน่ๆ องค์กษัตริย์ทำสีหน้าคล้ายหวาดกลัวคำพูดนี้ยิ่งนัก

          “โอ...ใยเด็กเจ้าเอะอะก็จะกัดเรา ที่กัดไปเมื่อคืนยังไม่เพียงพอ?”

          อัสธาราธถึงกับอึ้งไปทันที เพิ่งสังเกต ที่เนินพระศอมีรอยแดงช้ำโผล่พ้นปลายอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างอยู่ เจ้าชายหนุ่มถึงกับพูดไม่เป็นภาษา

          “ทะ..ท่าน.... ที่นั่น... เมื่อคืน..?”

          ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ “นี่...รอยกัดเจ้าเมื่อคืนเจ็บไม่เบา ยังพอช่วยทุเลาให้ได้หรือไม่?”

          อัสธาราธทำหน้าเลิกลั่ก ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อาภรณ์เนื้อลื่นก็เลื่อนหลุดออกจากเนินพระศอ บาดแผลสีแดงช้ำน่ากลัวปรากฏขึ้นให้เห็นทันที เจ้าชายหนุ่มถึงกับหน้าซีด ตกใจในการกระทำของตน ที่น่าตกใจกว่านั้น ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นราวกับความฝันนั่นเป็นเรื่องจริง

          อัสธาราธพิศมองบาดแผล และเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย พอสบกับนัยน์ตาสีมรกตนั้นก็พลันต้องรีบหลบ ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ตนเป็นฝ่ายกระทำแท้ๆ แต่พอพบว่าทั้งหมดไม่ใช่ความฝันแล้ว ความขัดเขินกลับก่อตัวขึ้นในหัวจิตหัวใจอย่างเป็นทวีคูณ กระทั่งเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาก็ยังมิกล้าอีก ด้วยไม่ทราบยามนี้องค์กษัตริย์จะมองตนในแง่ใดแน่

          “เด็กเจ้าเป็นไรแล้ว? จงใจปล่อยให้เราทรมานกับบาดแผลเช่นนี้?” องค์กษัตริย์ตรัสขึ้น ยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายรีบกล่าวตอบละล่ำละลัก “มิได้ ข้าพเจ้าจะรีบจัดการให้!”

          แม้พูดไปเช่นนั้น พอเอาเข้าจริงๆ เจ้าชายหนุ่มเกร็งไปหมด กระทั้งใบหน้าจะชนกันแล้ว ยังไม่กล้าประกบริมฝีปากลงไป

          “นี่เจ้าจะเอาหัวโขกเรา?” เรเธียร์กล่าว เมื่อหน้าผากของตนแตะกับหน้าผากอีกฝ่าย อัสธาราธไม่ตอบคำถาม ยังคงนิ่งงันอยู่อีกพักใหญ่ๆ จึงพอจะทำใจรวบรวมความกล้าแนบริมฝีปากลงไป

          ช่างน่าขันนัก ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ คล้ายกับตนเป็นคนขลาดไปเสียทุกเรื่องจริงๆ

          ไอเย็นแผ่ซ่านเข้ามาในโพรงปากทันที น่าแปลก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เผ่าพันธุ์แห่งไฟเช่นเขา หวาดกลัวพลังไอเย็นนี้ยิ่งกว่าความตาย แต่ยามนี้...พอกลั้นใจแตะริมฝีปากลงไปแล้ว กลับไม่คิดอยากถอนออก อยากสัมผัสไอเย็นนั้นให้ลึกซึ้ง เนิ่นนานยิ่งขึ้นไปอีก

          สองแขนตวัดโอบร่างเย็นยะเยียบนั้นเข้าไว้ในอ้อมกอด ริมฝีปากแนบสนิทมากยิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวภายในร้อนรนขึ้นทุกขณะ กระทั่งองค์กษัตริย์ต้องยกมือผลักร่างสูงใหญ่ออก

          “เรายังมิอยากได้แผลเพิ่ม”

          เจ้าชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปอีกชั่วขณะ ด้วยยังดื่มด่ำในรสชาติแปลกประหลาดนั้นไม่เต็มอิ่ม นิ่งไปพักใหญ่ จึงพอนึกถึงจุดประสงค์แรกได้

          องค์กษัตริย์มองดูเจ้าชายหนุ่มจากดินแดนเบื้องบนรักษาบาดแผลให้ตนด้วยแววตาอาทร

          อา....เจ้ามังกรน้อยตนนี้......

          มือเรียวยื่นมาสัมผัสเรือนผมสีแดงเพลิง ขยุ้มเบาๆ อย่างเอ็นดู ความอุ่นร้อนที่ถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว ยังความอิ่มใจแปลกประหลาดให้กับผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายนที มีชีวิตยืนยาวมาเกือบสามพันปี เพิ่งรู้นี่เองว่าตนมีความพอใจกับเรื่องผิดธรรมชาติเช่นนี้ คงเพราะเด็กน้อยนี่ช่างน่าเอ็นดูนัก  เรเธียร์ลูบไล้เรือนผมนั้นอย่างเพลิดเพลิน กระทั้งสัมผัสกับเครื่องประดับผมที่ทำจากทองคำประดับด้วยอัญมณีสีแดง นัยน์ตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อย ขยับปลายนิ้วแผ่วเบา เครื่องประดับผมนั้นก็ร่วงลงมาในมือ เครื่องประดับที่แม้กระทั่งเจ้าชายหนุ่มมุดเล่นอยู่ในลาวาร้อนเป็นนานยังไม่เลื่อนหลุด กลับถูกองค์กษัตริย์ปลดออกมาอย่างง่ายๆ

          นัยน์ตาสีมรกตพิศดูเครื่องประดับในมือ ดูท่าทางตัวเจ้าชายเองจะยังไม่รู้สึกว่าเครื่องประดับของตนถูกปลดออกไป ร่างสูงใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับบาดแผลที่ตนก่อเอาไว้อย่างมุ่งมั่นจริงจัง

          ประกายสีแดงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกต องค์กษัตริย์กำลังตรึกนึกถึงที่มาของเครื่องประดับนี้ คล้ายเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน ตรึกอยู่เป็นพักใหญ่จึงพอจะจำความได้ คล้ายเป็นเครื่องประดับขององค์ราชันย์แห่งซาซาร์กันรุ่นก่อน โอ...นี่คงเป็นของที่ระลึกเตือนถึงนครบ้านเกิดที่องค์กษัตริย์แห่งซาซาร์กันองค์ปัจจุบันมอบมา

          นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงด้วยอารมณ์บางอย่าง สายน้ำรอบกายพลันเคลื่อนไหวรุนแรง จนเจ้าชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมา

          อัสธาราธรู้สึกเหมือนเห็นนัยน์ตาสีมรกตนั้นลุกวาวขึ้นอย่างน่ากลัว สายน้ำปั่นป่วนจนน่ากลัว เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง

          “เรเธียร์!”

          เสียงเรียกชื่อดึงสติขององค์กษัตริย์กลับมายังร่างอีกครั้ง นัยน์ตาสีเขียวมรกตกะพริบถี่ ขณะที่สายน้ำรอบข้างเริ่มสงบลง ฟองอากาศสีขาวผุดพรายออกมายามเมื่อองค์กษัตริย์ทอดถอนใจ

          “พระองค์เป็นอะไรอีกแล้ว?” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีพระพักตร์ดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด องค์กษัตริย์ทอดถอนใจซ้ำอีก ก่อนจะฝืนแย้มยิ้ม

          “ล้วนเป็นโรคทางใจของไม้ใกล้ฝั่งเช่นเรา”

          เจ้าชายหนุ่มหน้าแดงวาบ “กะ..เกี่ยวกับข้าพเจ้า?!”

          เห็นสีหน้าเช่นนั้น องค์กษัตริย์ก็อดหัวร่อออกมามิได้ ทรงยกพระหัตลูบศีรษะมังกรหนุ่มอย่างเอ็นดู “ถูกต้อง เกี่ยวกับเจ้าทั้งสิ้น ผู้ใดใช้ให้เจ้าน่ารักน่าเอ็นดูเยี่ยงนี้เล่า..”

          อัสธาราธทำหน้าไม่ถูก เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินผู้อื่นเอ่ยชมเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ได้ยินเสียงหัวร่อดังกังวาน

          “นี่... ออกไปเดินเล่นกับเราได้หรือไม่?” องค์กษัตริย์ตรัสต่อ เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าทันที

-----------------------------------

          อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงเพลิงมองดูหุบเหวสีดำสนิทเบื้องหน้า แม้เคยพบเจอสถานที่น่าหวาดหวั่นมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถึงกับต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  เหวนี้ไม่คล้ายหุบเหวใดที่เคยเห็น ราวกับผืนดินตรงหน้าถูกตัดหายไปเลยมิปาน บริเวณปากเหวเรียบสนิท เป็นระนาบเสมอกันราวกับมิใช่ฝีมือของธรรมชาติ เจ้าชายหนุ่มมองอีกฝั่งของเหวไม่เห็น กระทั่งตอนที่ยังอยู่บนตัวองค์กษัตริย์ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นอีกด้านของหุบเหวนี้ได้ คล้ายพื้นดินตัดเรียบตรงหน้า เป็นตัวแบ่งระหว่างโลกนี้กับอีกโลกหนึ่ง อัสธาราธรู้สึกสะท้านกายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

          “ที่นี่ที่ใด?”

          “ที่นี่เรียกหุบเหวแห่งนิรันดร์ เราเกิดที่นี่” พระสุรเสียงกังวานเอ่ยตอบ ร่างงดงามก้าวมายืนเคียงข้าง เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไปตามกระแสน้ำ อัสธาราธหันมองทันที

          “พระองค์เกิดที่นี่?”

          “เราเกิดจากก้นหุบเหวนี้” เรเธียร์กล่าว พลางก้าวเท้าสืบต่อ ทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องก้าวตามไปด้วย สองร่างหยุดยืนอยู่ริมปากเหว อัสธาราธมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิด

          “ก้นเหวนี้ลึกเพียงไร?”

          “เราไม่ทราบ” องค์กษัตริย์ตอบ และกล่าวต่อ “สิ่งที่อยู่ในความทรงจำยาวนานของเราคือดวงไฟสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มเราขึ้นมา”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า “พระองค์ประสูติได้ประหลาดยิ่ง อืม...ข้าพเจ้าจำตอนเกิดไม่ได้ด้วยซ้ำ”

          องค์กษัตริย์พลันหัวเราะร่วน “แต่เรากลับพอจำได้ ตอนเกิดเจ้าดุร้ายทีเดียว”

          อัสธาราธน่าแดงอีก “ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเป็นทารก.....”

          “ตอนนี้ก็ดูไม่ต่างเท่าไร..” องค์กษัตริย์ตอบ หันมองเจ้าชายหนุ่ม พลางแย้มยิ้มอีก

          “ไปที่อื่นกันเถิด ยังมีอีกหลายที่ที่เราอยากพาเจ้าไป”

---------------------------------

          องค์กษัตริย์มิได้คืนร่างเดิม แต่กลับดำเนินโดยใช้ร่างกลางไปตามกระแสน้ำที่ถูกสั่งให้เคลื่อนไปด้านหน้า โดยมีเจ้าชายหนุ่มดำเนินเคียงข้าง อัสธาราธรู้สึกหัวใจตนเองเต้นไม่เป็นจังหวะมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้พบพระพักตร์องค์กษัตริย์ และตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ดวงตาสีแดงเหลือบมองเสี้ยวหน้าของผู้ดำเนินข้าง ช่างงดงามราวภาพฝัน คล้ายดั่งงดงามขึ้นทุกชั่วขณะ

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอดลงต่ำ ขนตางอนยาวบดบังแววตางดงามเอาไว้ เรือนผมสีน้ำเงินพรายที่พลิ้วไล้ไปตามใบหน้าหมดจด อา...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งที่ผิดธรรมชาติกับเจ้าของเรือนร่างงดงามนี้แล้ว

          อัสธาราธไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าตนจะเกิดอารมณ์เช่นนี้กับองค์กษัตริย์ และไม่เคยคาดเช่นกันว่าจะหลงรักบุรุษเพศ

          แต่องค์กษัตริย์นั้นงดงามทั้งร่างกายและจิตใจจนทำให้ความรู้สึกอ่อนไหวก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

          อัสธาราธเดินเข้าไปชิดร่างเพรียวบางนั้นอย่างลืมตัว ยกมือขึ้นสัมผัสเรือนผมสีน้ำเงินเรียบลื่น ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าพระหัตขององค์กษัตริย์มาจับไว้ นัยน์ตาสีมรกตผินกลับมามองทันที

          อา....นัยน์ตาที่ครั้งหนึ่งตนเคยหวาดกลัวแทบตาย

          อัสธาราธพิศมองดวงตานั้น ตลอดจนใบหน้างดงาม ลามลงไปถึงแผงไหล่บอบบาง ก่อนจะโน้มใบหน้าลง สัมผัสริมฝีปากของตนกับริมฝีปากเย็นยะเยือกนั้น

          สายน้ำหยุดเคลื่อนไหวในทันที

          ฝ่ามืออุ่นร้อนตะปบเอวบอบบาง รั้งเข้ามาแนบชิด ริมฝีปากสนิทแน่น เรียวลิ้นร้อนเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจอยู่ภายในโพรงปากอ่อนบาง เมื่อถอนริมฝีปากออก ก็สบเข้ากับดวงตาสีมรกตที่มองตรงมาด้วยความรู้สึกบางอย่าง

          “......”

          ปลายนิ้วเรียวแตะเข้ากับริมฝีปากหนาที่ทำท่าจะเอื้อนเอ่ยวาจา นัยน์ตาสีมรกตหรี่ลงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้ม

          “ใยใจร้อนนัก รออีกสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือ?”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างแปลกใจ “รอ...รออันใดเล่า?”

          องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นดวงตานั้นเบิ่งมอง พลันรู้สึกว่าน่ารักจนลืมคำพูดไปชั่วขณะ ยามนั้นเองริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบเข้ามาอีกครา

          อัสธาราธมิทราบองค์กษัตริย์ตั้งใจพาตนไปที่ใดแน่ และถึงทราบก็นึกไม่ออกว่าสถานที่นั้นจะน่ามองกว่าผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดได้อย่างไร ยามนี้ฝ่ามือหนากว้างโลมลูบไปตามเรือนร่างเพรียวบางอย่างลืมตัวกลัวตาย ทุกสัมผัสเกี่ยวดึงสติให้ตกลงสู่ห้วงปรารถนาที่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ

          สายน้ำเริ่มปั่นป่วนแล้ว

          อาภรณ์เนื้อบางเลื่อนหลุดออก เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นจักต้องตะลึงลานจนกระทำสิ่งใดไม่ถูก อัสธาราธแนบริมฝีปากไปตามเรือนร่างเรียบลื่น อ้อยอิ่งอยู่กับหลายส่วนด้วยอารมณ์ปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

          มือเรียวสอดเข้ามาขยุ้มเรือนผมสีแดงนั้นอีกครั้ง เมื่อร่างตรงหน้าคุกเข่าลงต่ำ ปลายนิ้วเย็นซ่านขยับอย่างอ่อนไหวทุกครั้งเมื่อสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

          อัสธาราธยันตัวลุกขึ้น แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากอ่อนอีกครา มือเรียวเกี่ยวกระหวัดโอบไหล่กว้างเอาไว้ทันที

          สายน้ำสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่

          สัมผัสของสองร่างลึกซึ้งมากขึ้น ท่ามกลางสายธาราธที่บิดเกลียวอย่างว้าวุ่น การร่วมสังวาสอย่างผิดธรรมชาติระหว่างสองเผ่าพันธุ์ดำเนินไปอย่างเร่าร้อนรุนแรง เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดหรือจินตนาการได้

          ราวกับทั้งสองกระหายซึ่งกันและกันมานานแสนนาน

-------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 15-07-2012 21:53:21
อ่านะ ในที่สุด 555


แต่เหมือนยังมีปมบางอย่างค้างคาอยู่นะ งืมๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 15-07-2012 21:54:39
><!! ชอบเรเธียร์จังเลย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 15-07-2012 22:14:29
-,,,-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 15-07-2012 23:11:43
แหน่ะ. หื่นจริงๆนะเจ้าชายน้อย555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 16-07-2012 00:32:41
สนุกมากครับ  o13
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: warnana001 ที่ 16-07-2012 00:47:06
เฮือก!!!
รอฉากต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Have_a_hope ที่ 16-07-2012 09:21:55
 o13 o13 o13 o13

ชอบๆ เรื่องนี้มากๆ สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ16 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 15/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-07-2012 15:21:04
17 : ไม่ต้องการคำอธิบาย

          แดงฉานปานโลหิต เพลิงกาฬที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ ร้อนแรงยากแท้จะต้านทาน สัมผัสเพียงปลายนิ้ว ก็อาจลุกไหม้จนกลายเป็นจุลได้ กระนั้นใยเล่าถึงอยากไขว่คว้าเอาไว้นัก

          โอ....ความปรารถนาไม่เคยปราณีผู้ใดเลย....

--------------------------------------

          เรเธียร์ล้มป่วยลงอีกรอบ ครั้งนี้แม้อาการไม่หนักมาก แต่อัสธาราธกลับรู้สึกผิดอย่างเต็มที่ ทั้งเขินทั้งละอาย ที่วันนั้นตนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ฝืนร่างกายองค์กษัตริย์จนทรงประชวรอีก ดังนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงอาสาแข็งขัน ไปช่วยข้ารับใช้หายาสมุนไพรมาปรุงยาบำรุงให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ

          ครั้งนี้อูห์รูนมิได้ไปที่หุบเหวเสียงสะท้อน แต่ไปเสาะหาตัวยาจากอีกที่หนึ่ง ซึ่งไกลกว่าเดิมพอสมควร

          “ที่นี่เรียกว่าอะไร?” เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อลงจากหลังข้ารับใช้หนุ่ม อูห์รูนที่ดำรงร่างกลางดีแล้ว เดินช้าๆ เข้ามาหาและกล่าววาจาตอบ “ที่นี่เรียกที่ราบไถลลื่น”

          “ชื่อฟังดูแปลกหูจริงๆ” อัสธาราธกล่าวและก้าวเท้าออกไป ยังไม่ทันขาดคำ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าใยสถานที่นี้จึงมีชื่อเรียกแปลกหูดังกล่าว เนื่องเพราะพื้นที่สีเขียวอมฟ้าตรงหน้า ลื่นจนร่างกายไถลไปได้จริงๆ

                เจ้าชายหนุ่มพยายามตั้งสติ แต่อาการลื่นไถลกะทันหันส่งผลให้แทบล้มหน้าคว่ำ ดีที่อูห์รูนคว้าตัวไว้ทันเสียก่อน

          “ที่นี่มีวิธีไปอยู่” ข้ารับใช้หนุ่มกล่าวเรียบๆ หลังจากคว้าคอเจ้าชายจากต่างแดนมายืนในเขตที่ไม่ลื่นได้แล้ว แม้อูห์รูนจะไม่แสดงสีหน้าใด แต่อัสธาราธรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด ด้วยเกรงว่าแทนที่ตนจะมาช่วย จะกลายเป็นมาทำให้ยุ่งเสียมากกว่า กระนั้นข้ารับใช้หนุ่มก็ยังมีน้ำใจ อธิบายวิธีการเดินในที่ราบแสนลื่นดังกล่าวนี้

          “ที่นี่มิอาจใช้ร่างกลางของพวกเราเดินได้ ยิ่งมิอาจใช้ร่างเดิมของเราว่ายเข้าไปได้ ท่านเห็นต้นพืชสีขาวอมฟ้าที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ พวกนั้นหรือไม่?”

          พูดพลางชี้มือไปยังกอหย่อมของพืชที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวบกอย่างอัสธาราธ มันมีลักษณะคล้ายท่อเล็กๆ ยื่นลอยออกมาจากพื้นเป็นกระจุก พลิ้วไว้ไปตามสายน้ำที่กระเพื่อมไปมา

          “พืชตัวนี้เรียก ด้ายชีวิต แต่มิได้มีฤทธิ์อันตรายขนาดผู้พยุงจิต ท่านสามารถจับต้องได้โดยไม่ต้องเกรงเรื่องใด เพียงแต่จะไปเก็บพวกนั้นได้ จำต้องอาศัยความช่วยเหลือสักหน่อย”

          กล่าวจบก็พึมพำอะไรบางอย่างที่อัสธาราธฟังไม่เข้าใจ สักครู่ เงาดำเล็กๆ สองเงาก็ตรงเข้ามา เป็นปลารูปร่างประหลาดคล้ายถุงหนังเป่าลมสองตัวด้วยกัน ขนาดพอให้มังกรในร่างกลางสองตนขึ้นไปเกาะหลังได้

          “เหล่านี้เรียกปลาพองลม เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ปกติมันมีนิสัยเชื่องพอสมควร ท่านกล่าววาจาให้สุภาพ ขึ้นบนหลังมันแล้ว ก็บอกให้มันพาท่านไปยังจุดที่ต้องการ จากนั้นก็เด็ดพืชพวกนั้นขึ้นมาสักสองสามกำก็เพียงพอแล้ว”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางรู้สึกว่าเรื่องราวในเมืองบาดาลนี้แลดูยุ่งยากวุ่นวายจริงๆ เจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองปลาหน้าตาประหลาดดังกล่าว พลางพยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เจ้าปลาน้อย เราขอขึ้นหลังเจ้า”

          ปลาประหลาดใช้ดวงตาแยกข้างกลมโตสีดำราวเม็ดนิลจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง แลเห็นครีบน้อยๆ ที่ขัดกับขนาดลำตัวโบกไปมาเบาๆ เหมือนตื่นเต้น ทันใดนั้นเองปากเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็ขยับมาดูดใบหน้าของเจ้าชายหนุ่มโดยแรง จนร่างสูงใหญ่สะดุ้งเฮือก ได้ยินเสียงอูห์รูนกล่าวเนิบๆ “ท่าทางมันจะชอบท่านแล้ว”

          สีหน้าแบบนั้น ไม่ทราบกล่าวประชดหรือกล่าวเรื่องจริงกันแน่ หรือว่าตั้งใจให้ติดตลก? อย่างไรก็ดี อัสธาราธไม่ปรารถนาจะเป็นที่รักของปลาประหลาดเหล่านี้มากนัก เจ้าชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ อีกรอบ และพูดต่อ “ขอเราขึ้นหลังเจ้าเถิดนะ เจ้าปลาน้อย”

          เจ้าปลาพองลมใช้นัยน์ตาสีดำจ้องมองร่างตรงหน้า ก่อนจะจุ๊บเข้าอีกรอบ จากนั้นก็เหมือนถุงหนังที่ถูกปล่อยลมออก ตัวของมันฟีบลงจนแบนแทบติดพื้น อัสธาราธมองด้วยความตกตะลึง

          “ท่านขึ้นไปยืน อย่าลืมจับให้แน่นๆ” ได้ยินเสียงอูห์รูนกล่าวขึ้น อัสธาราธเดินไปบนตัวปลาตามคำบอก ทันใดนั้นถุงหนังฟีบๆ ก็พองขึ้นทันที ทำเอาเจ้าชายหนุ่มเกือบตั้งตัวไม่ทัน อัสธาราธเกาะอยู่บนหลังปลาตัวนั้นด้วยท่าทางที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ยอมให้ใครเห็นอีกเด็ดขาด ดีที่อูห์รูนมิใช่องค์กษัตริย์ จึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก คล้ายมองไม่เห็นด้วยซ้ำ อัสธาราธตะเกียกตะกายถอนต้นไม้ออกมาได้ตามกำหนด ก่อนจะลงจากหลังปลาด้วยอาการอึ้งไม่หาย

          อูห์รูนเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ รับพืชพวกนั้นไปจากมืออัสธาราธ ก่อนจะกล่าวขึ้นลอยๆ “น่าเสียดาย หากองค์กษัตริย์มาด้วย คงจะทรงสำราญพระทัยไม่น้อย”

          อัสธาราธหันไปมองทันที แต่อูห์รูนกำลังคืนร่างเดิมแล้ว

          “กลับกันเถิด วันนี้พอแค่นี้แหละ”

---------------------------------

          เรเธียร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเสวยเรียบร้อยแล้ว ตอนที่พวกอัสธาราธกลับไปถึงพระราชวัง พอเห็นดวงหน้าขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มก็พลันรู้สึกขัดเขินขึ้นมาทันที ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่า เคยได้ใกล้ชิดดวงหน้านั้นมาแล้วถึงสองหน

          อารามความเขินอาย ทำให้เจ้าชายหนุ่มเดินก้มหน้างุดๆ ตามหลังอูห์รูนไปโดยไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ข้ารับใช้หนุ่มเจรจาความเองเสร็จสรรพ

          “ข้าพระองค์ออกไปเก็บพระโอสถมาถวาย มิทราบพระองค์มีพระประสงค์จะเสวยสิ่งใดก่อนโอสถนี้หรือไม่?”

          นัยน์ตาสีมรกตเพ่งมองมา พลางแย้มยิ้ม “ลำบากเจ้าจริงๆ อูห์รูนของเราเอย อืม...รวมถึงเด็กน้อยด้านหลังนั้นด้วย ที่ราบลื่นไถล สนุกดีหรือไม่?”

          อัสธาราธได้แต่พยักหน้า ทั้งๆ ที่แทบจะแน่ใจว่า ที่ที่ไปไม่สนุกเลยสักนิด ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่อเบาๆ “ไว้วันหลังเราจะพาเจ้าไปด้วยตนเอง คาดว่าคงบันเทิงอยู่ไม่น้อย”

          ผู้ได้ยินถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก ไม่ทราบองค์กษัตริย์มองตนในรูปแบบใดแน่ ได้ยินน้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยสืบต่อ “อืม...เราไม่อยากทานสิ่งใดแล้ว เจ้าจะไปปรุงยา ก็ไปเถิด”

          อูห์รูนรับคำพลันถอยออกไป เหลือแต่อัสธาราธที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ เจ้าชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมององค์กษัตริย์แวบหนึ่ง พอเห็นดวงตาสีเขียวที่มองมาก็พลันรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

          “ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าจะไปช่วยอูห์รูนปรุงยา” อัสธาราธกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรีบเดินออกไปราวกับกลัวถูกเรียก องค์กษัตริย์มิได้กล่าววาจาใด ได้แต่ทอดตามอง และยิ้มบางๆ

--------------------------------

          ถ้วยยาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกนำใส่ถาดรูปทรงแปลกๆ มาวางถวายต่อองค์กษัตริย์ที่ยังคงนั่งเอนกายอยู่บนโต๊ะเสวย จะว่าไปแล้ว อัสธาราธไปถึงห้องปรุงยา ก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย อย่าว่าแต่ช่วย ขนาดขั้นตอนการทำ ยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ เจ้าชายหนุ่มไปถึงก็ถูกสั่งให้ยืนรออยู่ด้านนอก โชคดียาปรุงไม่นาน พอปรุงเสร็จ อูห์รูนก็ชวนเขากลับมายังห้องเสวยอีกครั้งหนึ่ง

          เรเธียร์เปิดฝาถ้วยยาออก ก่อนจะจรดมันเข้ากับริมฝีปาก ขณะกำลังทำเช่นนั้น สายตาสีมรกตก็เปรยไปเห็นเจ้าชายหนุ่มกำลังจ้องด้วยสีหน้าสนเท่ห์ใจอย่างที่สุด องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยกถ้วยยาออกจากริมฝีปาก หันไปแย้มยิ้มให้กับเจ้าชายจากต่างแดน

          “สงสัยหรือ ว่าอยู่ในน้ำ เราดื่มยาเช่นไร?”

          อัสธาราธสะดุ้งเฮือก ก่อนจะพยักหน้าด้วยอาการขัดเขิน เขาสงสัยเช่นนั้นจริงๆ แต่ที่เหม่อมองจนถึงขั้นไร้มารยาทเช่นนี้ ก็เพราะดวงหน้าขององค์กษัตริย์ แม้ยามป่วยไข้ กลับยิ่งดูผุดผาดมากขึ้นไปอีก พอมองแล้วก็เผลอตัวมองจนลืมมารยาทไปเลย ผิดกับอูห์รูนที่ยังคงก้มหน้า รอถวายการรับใช้อย่างใจเย็น คาดว่าผู้รับใช้ตนนี้คงมีประสบการณ์รับมือกับความงามแบบนี้มาจนชินชาแล้วแน่ๆ

          องค์กษัตริย์ไม่ตอบความในทันที กลับยื่นถ้วยยาออกมาให้มังกรหนุ่ม และกล่าวต่อ “เชิญดูเอาเถิด”

          อัสธาราธก้มลงมองยาในถ้วย และเข้าใจทันที ในถ้วยไม่ใช่ของเหลว แต่เป็นก้อนกลมๆ เรียงอัดกันอยู่ ได้ยินเสียงเดิมกล่าวต่อ “ลองชิมดู เรารับรอง ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”

          อูห์รูนที่ยืนนิ่งๆ มานาน เงยหน้าขึ้นและกล่าววาจาออกมาทันที “พระองค์...”

          องค์กษัตริย์หันกลับมา และทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ เอาเช่นนี้ดีกว่า”

          อัสธาราธยังไม่ทันได้หยิบ ถ้วยยาก็ถูกดึงคืนไปด้วยแรงกำลังแห่งสายน้ำ เรเธียร์ขยับนิ้วมือเรียวยาวเล็กน้อย ลูกกลมๆ ในถ้วยก็ลอยออก และถูกฟองอากาศห่อหุ้มไว้เป็นรูปทรงถ้วย จากนั้น ถ้วยใส่ยาที่สร้างจากเวทย์มนต์ก็ลอยไปตรงหน้าเจ้าชายหนุ่ม และตรงหน้าผู้รับใช้

          “ยานี้เป็นยาบำรุงทั่วไป ไม่เป็นอันตรายแน่นอน ไหนๆ พวกเจ้ามีน้ำใจอุตส่าห์ไปเสาะหาตัวยามาให้เรา เราขอแบ่งความมีน้ำใจนี้กลับบ้าง”

          อัสธาราธพยักหน้าทันที แต่พอเงยขึ้นไปเห็นสีหน้าของอูห์รูน กลับรู้สึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก เนื่องเพราะข้ารับใช้ที่มักจะตีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เสมอ ยามนี้กลับมีสีหน้าราวกับหวั่นกลัวลูกกลมในถ้วยนั้นอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนปรุงเองแท้ๆ

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มที่ริมพระโอษฐ์ กล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี “พวกใจจะใจร้ายไม่รับน้ำใจของเราหรือ?”

          ทั้งอัสธาราธทั้งอูห์รูนกะพริบตาปริบๆ พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ท้ายที่สุดก็จำใจต้องกลืนลูกกลมเหล่านั้นลงไป พอลูกกลมแตะปาก ก็เหมือนดิ้นพรวดเข้าไปทันที จากนั้นรสชาติแสนเลวร้ายที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดก็แพร่กระจายไปทั่วปาก ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นผู้ทดลองทั้งสองหน้าแดงหน้าเขียวสลับกัน

          “ดูท่าเด็กน้อยสองตนไม่ชอบกินยา แล้วมาเคี่ยวเข็ญให้คนแก่อย่างเรากินยาอยู่ทุกวันได้อย่างไรเล่า” กล่าวจบพลันหัวเราะครื้นเครง ขณะที่อีกสองตนที่เหลือร่ำๆ จะร้องออกมาให้ได้

          “เห็นแก่พวกเจ้า ที่เหลือเราจะจัดการให้หมดแล้วกัน” องค์กษัตริย์กล่าว พลางยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปาก จนหมดถ้วยแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะหน้าแดงหน้าเขียว หน้าตาก็ยังเป็นแบบเดิมนั้นเอง คนข้างกายสองคนถามพร้อมกัน

          “พระองค์รู้สึกอย่างไรแน่?”

          ผู้ถูกถามกล่าวยิ้มๆ “ไม่รู้สึกอันใด รสชาติใดสำหรับเราไม่มีความหมาย..เพียงแต่ เราคาด รสชาตินี้ สำหรับพวกเจ้า หากได้ชิมคงมีสีหน้าชวนสนุกไม่น้อย”

          อัสธาราธรู้สึกอยากกัดเรเธียร์จริงๆ ขณะที่อูห์รูนมีสีหน้าราวกับจะร่ำไห้ ทั้งๆ ที่ยังหน้าแดงหน้าเขียวอยู่อย่างนั้น

-------------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำหายจากประชวรในอีกวันถัดมา แต่อูห์รูนก็ยังขยันออกไปเก็บสมุนไพรมาปรุงยาให้อย่างไม่เข็ดไม่หลาบ อัสธาราธจึงมีหน้าที่คอยรับใช้องค์กษัตริย์ระหว่างนั้น ไม่ทราบตัวเองเปลี่ยนยศจากเจ้าชายแห่งคอนเชียร์มาเป็นข้ารับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงพอเห็นดวงหน้าผุดผาดกับดวงตาสีมรกตนั้นแล้ว มือไม้มันอ่อนปวกเปียกไปหมด แถมหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกด้วย

          วันนี้องค์กษัตริย์ออกว่าราชการอยู่เกือบครึ่งวัน อูห์รูนกลับมาระหว่างนั้น พอทรงเสวยพระโอสถเสร็จ ไม่ทราบสิ่งใดดลใจ อัสธาราธทูลถามออกไป

          “พระองค์อยากออกไปเดินเล่นบ้างหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์เงยพระพักตรผุดผาดขึ้นมอง “เดินเล่น? โอ...เด็กน้อยเจ้าอยู่ในนี้ทั้งวันคงเบื่อแล้ว อยากไปที่ไหนเล่า?”

          อัสธาราธรีบปธิเสธออกไปทันที “มิได้หมายความเช่นนั้น ข้าพเจ้าเพียงแค่อยาก...” กล่าวได้แค่นั้นจำต้องรีบหุบปากกลืนวาจาลงไป เนื่องเพราะอูห์รูนยังคงยืนอยู่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย อัสธาราธรู้สึกกระดากอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเบื่อ เพียงแต่...อยากมีเวลาคุยเล่นได้ใกล้ชิดกับองค์กษัตริย์บ้างเท่านั้น

          เรเธียร์คล้ายเดาความในใจของมังกรหนุ่มอก จึงคลี่ยิ้มบางๆ “เรามีที่อยากไปอยู่ที่หนึ่ง อืม....อูห์รูน รบกวนฝากท้องพระโรงเอาไว้กับเจ้าสักครึ่งวันได้หรือไม่?”

          ผู้รับใช้ค้อมศีรษะ “เชิญตามพระประสงค์เถิด”

---------------------------------------

          ในที่สุด อัสธาราธก็ได้ออกมากับองค์กษัตริย์เพียงสองต่อสอง ยามนี้เจ้าชายหนุ่มนั่งอยู่บนแผ่นเกล็ดกว้างบนร่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตาย คราวนี้พอได้สัมผัสอีก กลับอดไม่ได้ต้องจุมพิตลงไปทีหนึ่ง ได้ยินเสียงแทรกมาตามสายน้ำ

          “เจ้าจะแทะเราอีก?”

          อัสธาราธได้แต่หัวเราะเขินๆ และเฉไปพูดเรื่องอื่น “พระองค์จะเสด็จไปที่ใดเล่า?”

          “ยังไม่บอกก่อน แต่เราประกัน เด็กน้อยเจ้าต้องรู้สึกสนุกแน่ๆ”

                น้ำเสียงคล้ายแฝงเลศนัยบางอย่าง แต่อัสธาราธไม่ทันได้ฉุกคิด เพียงแต่รู้สึกว่า ได้อยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว

          “ข้าพเจ้าอยากอยู่ใกล้ๆ ท่าน”

          เหมือนได้ยินเสียงสะเทือนจากหัวใจมหึมาที่เต้นอยู่ใต้ผิวหนัง แต่เพียงชั่วเสี้ยวเดียวเท่านั้น แล้วเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ลอยแทรกมา “จับไว้ให้แน่น พลัดตกลงไป เราไม่ตามงมเจ้าแน่”

          อัสธาราธทำตามอย่างเคร่งครัด  ไม่รู้ว่าไปไกลเท่าไร รู้ตัวอีกที ปลาสีสันประหลาดก็ว่ายอยู่รอบๆ ตัวเขาแล้ว เจ้าชายหนุ่มหันมองรอบๆ สีเขียว สีฟ้า เรื่อเรืองไปหมด แต่ทว่า รูปร่างของเจ้าพวกนี้ผิดกับปลาทั่วไปลิบลับ คล้ายได้ยินเสียงกระซิบลอยมาด้วย

          “องค์กษัตริย์เสด็จเองหรือ? บนนั้นผู้ใดกัน? มีผู้เคยได้หยั่งลงบนพระวรกายยิ่งใหญ่นี้ด้วยหรือ?”

          “โอ...นั่นมิใช่ชาวบาดาลแน่แท้ สีสันเช่นนั้น น้อยนักจะปรากฏในหมู่พวกเรา”

          “ใช่เจ้าชายที่ร่ำลือกันหรือไม่?”

          “เจ้าชายจากโลกเบื้องบนตนนั้นหรือ?”

          “ผู้กล้าหาญ”

          ไม่รู้ทำไม อัสธาราธเกิดอาการกระดากจนอยากเอามือปิดหู อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามออกมา “เสียงพวกนี้ ท่านได้ยินหรือไม่ เป็นเสียงผู้ใด?”

          “เสียงภูติพราย” เรเธียร์ตอบ เจ้าชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก

          “เจ้าตัวสีๆ พวกนี้หรือ?” อัสธาราธถามออกไปอีก เขาเคยเห็นพรายน้ำมาบ้าง จากขบวนขององค์กษัตริย์ในครั้งก่อน แต่ที่เป็นแสงเรืองเช่นนี้ เพิ่งเคยพบเห็น จะว่าไปก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก คล้ายเป็นแค่แสงที่มีรูปร่าง แต่ไม่มีตัวตน

          “อืม...เหล่านี้เรียกพรายแสง” องค์กษัตริย์กล่าว และอธิบายสืบต่อ “ไม่ทราบเจ้ารู้หรือไม่ เรือของพวกมนุษย์หวาดกลัวพรายเหล่านี้พอๆ กับนางไซเรน ไม่สิ คล้ายท้องน้ำของเรามีแต่สิ่งน่าหวาดกลัวสำหรับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ พวกนั้น”

          “กระนั้นพวกมันก็ยังดั้นด้นเดินทางฝ่าสายน้ำของท่านมาโดยตลอดมิใช่หรือ?” อัสธาราธพูดสวนกลับ พอเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ ก็พาให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

          “สำหรับเรา สิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกนั้นมีส่วนหน้าเอ็นดูอยู่หลายส่วน คงเพราะเรามีความทรงจำมายาวนานมากกระมัง”

          อัสธาราธพลันนึกถึงอิสตรีในฝันนางนั้นทันที “ที่ท่านพึงใจหญิงชาวมนุษย์ เพราะความทรงจำยาวนานด้วยหรือ?”

          คล้ายร่างใหญ่โตชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “เราพอใจนางเพียงเพราะเรารู้สึกว่าเราพอใจ...กับเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายหรอก”

          อัสธาราธนิ่งงันไปบ้าง ไม่ทราบพรายแสงพวกนั้นหายไปเมื่อไร เหลือเพียงแต่ตนกับองค์กษัตริย์เท่านั้น

          จะว่าไปแล้ว การที่ตนรู้สึกพอใจองค์กษัตริย์ พอหาเหตุผลมารองรับได้บ้างรึเปล่า?

          เจ้าชายหนุ่มตรึกไป พลางรู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ ไม่ทราบด้วยอารมณ์ใดแน่ ท้ายที่สุดยังคงเป็นอีกฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน “เด็กน้อยเจ้าอย่าได้พูดเรื่องเข้าใจยากในยามนี้เถิด เราพาเจ้ามาที่นี่ เนื่องเพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้หาดูยากอย่างยิ่ง กระทั่งราชาอย่างเรา น้อยครั้งนักจะได้แวะมายล”

          อัสธาราธรู้สติทันใด จึงรีบถามขึ้น “ท่านพาข้าพเจ้ามาดูสิ่งใด?”

          ยังกล่าวไม่ทันจบ ด้านหน้าก็พลันสว่างวาบ แสงเงาเลื่อมพรายสีฟ้า สีเขียว สีน้ำเงินกระจายเต็มท้องน้ำ ฉวัดเฉวียนไปมา บ้างเป็นวงโค้ง บ้างม้วนไปม้วนมาดูน่างุนงง ใบหูได้ยินเสียงโอ่ประโคมมโหรีในแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อัสธาราธจ้องมองจาอ้าปากค้างไปครึ่งค่อนวัน ความตื่นตาตรงหน้าตรึงมังกรหนุ่มให้นั่งนิ่งโดยลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในสถานที่ใด

          “นี้คืองานเฉลิมฉลองของเหล่าพรายแสงที่จัดถวายแด่พระแม่แห่งวารี พันปีจึงจะมีสักหนหนึ่ง”

          เรเธียร์อธิบาย อัสธาราธเหม่อมองอย่างตะลึงลาน เสียงดนตรีที่ไม่รู้ที่มาที่ไปดังก้องอยู่ในโสตประสาท ประหนึ่งท่วงทำนองนั้นดังมาจากภายในตัวของเขาเอง ภาพแสงเงาตรงหน้าก็คล้ายเต้นระบำไปตามจังหวะเพลง ตัดกับผืนน้ำมืดสนิท

          กระนั้นหัวใจกับดูสงบอย่างประหลาด และถึงกับรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจอีกดวงที่อยู่ใต้ร่าง  อัสธาราธขบริมฝีปากอย่างลืมตัว ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกอยากให้องค์กษัตริย์ดำรงร่างกลางมาอยู่ข้างๆ หากได้สัมผัสพระหัตเย็นเยือกนั่น กลับให้รู้สึกจะร้อนขึ้นมาให้ได้ แต่องค์กษัตริย์ยังคงดำรงร่างเดิมไม่เปลี่ยนไปไหน เจ้าชายหนุ่มจึงทำได้เพียงลูบแผงเกล็ดมหึมาเบาๆ กระนั้นก็รู้สึกอิ่มเอิบในหัวใจมากแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ

          เรื่องราวเช่นนี้ ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย

          เงาสีเลื่อมพรายยังคงกระจายตัดกับผืนน้ำสีดำสนิท ท่วงทำนองแห่งจิตใจยังคงดังกังวานอยู่ในโสตประสาท ไม่ทราบชมดูอยู่นานเท่าใด สัมผัสแผงเกล็ดลื่นๆ นั้นไปเพียงไหน แสงเงาพราวระยับของเหล่าพราย จางไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกที ตรงหน้ากลับเป็นใบหน้างดงามคุ้นตา เรือนผมสีน้ำเงินพรายคล้ายมีละอองแสงเกาะอยู่ ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน

          นี้คือภาพหลอนหรือสิ่งใดแน่ เจ้าชายหนุ่มไม่มีแก่ใจจะคิดทบทวนอีกแล้ว เขาหลงใหลมังกรตนนี้เสียเหลือเกิน หลงใหลมากกว่าที่ตนคาดเอาไว้ คล้ายดั่งต้องมนต์แห่งห้วงธาราลึกนี้จนไม่อาจถอนตัวออก

          อัสธาราธไม่คิดจะประคองสติของตัวเองอีกแล้ว ปล่อยให้ความงดงามอันน่าคลั่งไคล้ รั้งดึงสติสัมปชัญญะลงสู่ห้วงอารมณ์ปรารถนาที่บิดเบี้ยวและยากจะต้านทาน

          เนื่องเพราะไม่อาจหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกนี้ได้ และคล้ายไม่ต้องการคำอธิบายอีกเช่นกัน

-------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 16-07-2012 16:20:52
-,,-
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 16-07-2012 19:40:32
รักกันๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 17-07-2012 02:32:26
น่ารักอีกแล้ว
เรเทียร์ช่างสรรหาที่เที่ยวเนาะ
สุดจะจินตนาการ ^^
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 17-07-2012 06:39:17
เพื่งได้อ่าน สนุกมากค่ะ
ถ้ารวมเล่ม ต้องขอจับจองไว้เล่มนึงจ้า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Ai_Rong_Kun ที่ 17-07-2012 07:44:21
 :-[ ฟิน
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-07-2012 10:12:07
18 : เปลวไฟในสายน้ำ

          เรเธียร์เหม่อมองเรือนผมสีแดงเพลิงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ด้วยสายตายากที่ผู้ใดจะเข้าถึงได้

          โอ....เจ้ามังกรน้อยเอย.....

          มือเรียวลูบไล้เรือนผมนั้นอย่างแผ่วเบา วังน้ำที่สร้างขึ้นจากอำนาจเวทย์มนต์ยังคงไหลสลับซับซ้อนอยู่โดยรอบ ร่างเพรียวค่อยๆ สอดมือประคองร่างสูงใหญ่ให้ขยับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ด้วยอำนาจเวทย์มนต์ที่มี ต่อให้ขยับแรงกว่านี้ มังกรในอ้อมกอดก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาเด็ดขาด ห้วงจิตน่าจะยังคงล่องลอยอยู่ในความฝันแสนหวาน ที่มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้

          แต่กับองค์กษัตริย์ ตลอดที่ทรงพระชนม์ชีพ ไม่เคยมีห้วงฝันแสนหวาน ฝันของพระองค์ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่ครั้งหนึ่งได้ทรงลืมเลือนไปแล้ว ความทรงจำในครั้งหลังที่ทับซ้อนกันจนนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้น พระองค์จึงไม่เคยมีฝัน

          มีเพียงความทรงจำอันยาวนานเท่านั้น

          นัยน์ตาสีมรกตคล้ายมีประกายอยู่ในตัวเอง สั่นระริก สะท้อนแสงแห่งสีเพลิงตรงหน้า ไร้ซึ่งแสงสีอื่น มีเพียงความมืดมิดล้อมรอบ ฟองอากาศผุดพรายจากการทอดถอนใจกระจายขึ้นระรอกแล้วระรอกเล่า มือเรียวยังคงลูบไล้เรือนผมสีแดงอย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นของสำคัญมีค่าหาสิ่งใดเทียบได้

          โอ....เจ้าผู้โชคร้ายเอย.......

          ริมฝีปากได้รูปโน้มลงจุมพิตหน้าผาก ความอุ่นวาบแผ่ซ่านทันทีที่สัมผัส นัยน์ตาสีมรกตหลุบลงต่ำ คล้ายเจ็บปวดจากจุมพิตนั้นก็มิปาน กระนั้นสองมือยังคงตระกองกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่น

          ตุบ..ตุบ...

          เสียงหัวใจของร่างที่แนบอยู่เต้นดังจนสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิต หัวใจที่ยังอายุน้อย มังกรที่ยังเยาว์วัย เพิ่งลืมตามาดูโลกได้เพียงไม่กี่ร้อยปี ภาพดวงตาสีแดงเพลิงที่มองมาด้วยอารมณ์ต่างๆ สะท้อนอยู่ในห้วงความคิด ทั้งโกรธ เกลียด ตื่นกลัว คาดหวัง อ่อนไหว

          โอ....ดวงตาที่น่าหลงใหล......

          นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเพียงประกายวูบวาบที่ไม่อาจระบุที่มาได้ เป็นเพียงเส้นแสงที่วิ่งสะท้อนไปมาอยู่ในดวงตาที่คล้ายแก้วกระจก องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมิเคยรู้สึกรู้สาประการใดเกี่ยวกับความงดงามของตนเอง เนื่องเพราะความงดงามนี้ หาได้สะท้อนถึงความมีชีวิตไม่ ความงดงามของพระองค์นั้นคล้ายภาพฝัน เช่นเดียวกับดวงจิตที่อัดแน่นด้วยความทรงจำมหาศาลที่ยากจะหยั่งและดึงออกมาในคราวเดียวได้

          คล้ายดั่งร่ายกายนี้เป็นเพียงแค่ภาชนะบรรจุจิตมหาศาลเท่านั้นเอง

          ตุบ...................................ตุบ...........................................

          ห่างไกลดั่งมิได้ดังมาจากร่างกายที่ดำรงอยู่ หัวใจชราภาพนี้จะเต้นไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน สัมผัสของร่างกายที่ลางเลือนลงเรื่อยๆ กระทั่งภาพต่างๆ บางคราก็มิอาจใช้ตามองได้อีกต่อไปแล้ว เรือนผมสีน้ำเงินพรายยังคงพลิ้วไหวอยู่ในห้วงกระแสน้ำ อณูแสงระยิบระยับเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น

          โอ....ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว......

          เรียวแขนเพรียวตระกองกอดร่างสูงใหญ่แนบแน่นขึ้นอีก จุมพิตซ้ำอีกหลายครั้ง คล้ายดั่งหากพลาดไปจะไม่มีโอกาสได้ทำอีก

          ไม่มีความฝันสำหรับพระองค์อีกแล้ว มีเพียงความจริงที่จะประทับเข้าไปในความทรงจำ

------------------------------

          อัสธาราธรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึกคล้ายมีสัมผัสอ่อนโยนแตะตรงเปลือกตา นัยน์ตาสีแดงเพลิงหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบปริบๆ ภาพดวงหน้าคล้ายความฝันปรากฏขึ้นในคลองจักษุ พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด อดไม่ได้ต้องแนบริมฝีปากลงไป ดื่มด่ำกับความเย็นยะเยือกที่ชวนให้หลงใหลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพอจะถอนออกมาได้

          “เรเธียร์” เสียงเอ่ยเรียกคล้ายคนตกอยู่ในห้วงฝัน ได้ยินเสียงอ่อนโยนตอบกลับ “อืม...เจ้าตื่นแล้ว?”

          อัสธาราธพยักหน้า แต่โดยใจจริงไม่อยากตื่นเลย ร่างสูงใหญ่ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ จุมพิตริมฝีปากนั้นอีกรอบ ตระกองกอดร่างเพรียวเอาไว้ในอ้อมอก กระซิบเรียกชื่อแผ่วเบา

          “เรเธียร์”

          นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหว คล้ายพึงพอใจคำเรียกนี้ยิ่งนัก สัมผัสของมือเรียวเย็นยะเยือกแตะลงตรงใบหน้า ริมฝีปากได้รูปขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ แนบลงอย่างแผ่วเบา

          อ่อนหวาน นุ่มนวล

          ดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน อัสธาราธสัมผัสริมฝีปากนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกองกอดร่างเพรียวแนบอก มองดูดวงตาสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตายอย่างหลงใหล

          อยากจะจมอยู่กับภาพฝันแสนหวานนี้ไปตลอดกาล

-------------------------------------

          “อัสธาราธ”

          เจ้าชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง และพบว่าตนเองกำลังนอนหนุนตักใครคนหนึ่งอยู่ ใบหน้าอ่อนโยนทอดยิ้มลงมา พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

                “ตื่นได้แล้วเถิด เด็กน้อยเจ้าจะนอนขี้เซาไปถึงไหนเล่า”

          อัสธาราธกะพริบดวงตาสีแดงเพลิงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ “ข้าพเจ้าไม่อยากตื่นเลย”

          กล่าวจบก็ฉวยข้อมือบางขึ้นมา จุมพิตลงไปครั้งหนึ่ง และกล่าวต่อ “ข้าพเจ้าอยากฝันแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

          ดวงหน้างดงามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกว่าเก่า ถอนหายใจน้อยๆ และก้มลงจุมพิตหน้าผากของมังกรหนุ่ม

          “เมื่อฝันแล้วย่อมต้องมีวันตื่น ลุกขึ้นเถิดเด็กน้อยของเรา มิเช่นนั้นเราจะกล่าวหาว่าเจ้าเป็นพวกสันหลังยาวแล้ว”

          อัสธาราธหัวเราะเขินๆ และยอมลุกขึ้นในที่สุด กระนั้นยังอดไม่ได้จะหันมาจุมพิตริมฝีปากในฝันนั้นอีกครา

          “ที่นี่ที่ใดเล่า?” เจ้าชายหนุ่มเพิ่งมาได้สติถาม หลังจากถูกผลักออกเบาๆ ผู้ถูกถามตอบยิ้มๆ “ห้องของเจ้า ลืมแล้วหรือไร?”

          เจ้าชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ อีกครั้ง และพอจะนึกขึ้นได้ว่า เป็นห้องพักของตนในวังขององค์กษัตริย์จริงๆ พลันให้รู้สึกกระดากอย่างบอกไม่ถูก เพราะเกือบจะจำไม่ได้เลยว่ากลับมาได้อย่างไร จำได้แต่ดวงหน้าขององค์กษัตริย์ที่ตนพยายามจะคลอเคลียเท่านั้น น่าละอายจริงๆ

          “ครั้งหลัง...ให้ข้าพเจ้าไปส่งท่านที่ห้องบ้าง” อัสธาราธกล่าวด้วยความรู้สึกอับอายอย่างที่สุดที่ต้องให้องค์กษัตริย์พากลับห้องพัก ผู้ได้ฟังผินดวงหน้าผุดผาดมามองและยิ้ม “เจ้ามิหึงนางแล้ว?”

          “นาง?” อัสธาราธนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ถึงพอนึกออกได้ “อ้อ...นาง...อืม...ข้าพเจ้า...”

          ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวร่อเบาๆ ก่อนที่มือเรียวจะยกมาลูบศีรษะ “เด็กน้อยเอย...เจ้าช่างเยาว์วัยอยู่จริงๆ”

          คำกล่าวทำเอาเจ้าชายหนุ่มอับอายจนหน้าแดง “ข้าพเจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่หึงนางหรอก”

          “เจ้ากล่าวตามความสัตย์จริง?” อีกฝ่ายย้อนถาม อัสธาราธอับจนคำพูดไปทันที ได้แต่ขบริมฝีปากอยู่อย่างนั้น องค์กษัตริย์หัวเราะอีกคราหนึ่ง

          “อย่าได้คิดมากเลย นี่เป็นเรื่องธรรมดาตามวัย มิใช่เรื่องน่าอายอย่างไรหรอก”

          เจ้าชายหนุ่มยังก้มหน้างุดอยู่อีกพักใหญ่ ถึงพอจะฝืนความอับอาย ผงกศีรษะได้ มือเรียวยื่นมาตรงหน้า และกล่าวสืบต่อ “ไปกันเถิด ป่านนี้อูห์รูนคงรอแย่แล้ว”

----------------------------------------------

                องค์กษัตริย์ออกว่าราชการดั่งเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้เจ้าชายหนุ่มขอปลีกตัวออกมา เนื่องเพราะอูห์รูนเลิกอาชีพการเก็บสมุนไพรกลับมารับใช้องค์กษัตริย์แล้ว และอีกประการ อัสธาราธกลัวตนเองเผลอเพ้อถึงองค์กษัตริย์ออกไปต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลายที่แวะเวียนมาเฝ้า ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า คล้ายองค์กษัตริย์นับวันยิ่งงดงามจนยากจะกล่าว

          ดั่งความงามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจมีในโลกนี้ได้อีกแล้ว

          สัมผัสอ่อนโยนยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึก เพียงนึกถึงก็พาลจะพาให้เพ้อคลั่งแล้ว เวลาอยู่กับองค์กษัตริย์ คล้ายดั่งความฝันกับความจริงซ้อนทับกันจนแยกจะยากว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใดแน่ รู้เพียงแต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเหลือเกิน           

          เจ้าชายหนุ่มหน้าแดงวาบ นี่ขนาดตื่นขึ้นมาแล้วยังคงอดไม่ได้จะระลึกวนเวียนอยู่ถึงแต่สัมผัสยามนั้น หากปล่อยไปคงกลายเป็นบ้าสักวันแน่ ขณะนึกหงุดหงิดใจกับความเพ้อเจ้อของตนเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

          “เจ้าชายอัสธาราธ”

          พอหันกลับไปก็พบว่าเป็นมังกรตนหนึ่งที่เคยออกเดินทางไปบนดินแดนตกวันตกด้วยกันนั่นเอง

          “มีอันใด?”

          “พวกเราจัดงานประลองเล็กๆ ขึ้นเป็นการภายใน หากเจ้าชายมิรังเกียจ....”

          แต่เดิมการออกแรงเป็นเรื่องชื่นชอบของอัสธาราธอยู่แล้ว เจ้าชายหนุ่มตอบตกลงไปทันที

          “เราไม่รังเกียจเลยสักนิด”

-----------------------------------------------

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเอนกายลงบนพระราชบัลลังก์หลังจากพวกที่ขอเข้าเฝ้ากลับไปแล้ว อูห์รูนยังคงอยู่รับใช้ข้างกายมิห่างเช่นเคย

          “ผู้อื่นคล้ายกระตือรือร้นมาดูวาระสุดท้ายของเราจริงๆ” องค์กษัตริย์ตรัสขึ้นลอยๆ พลางคลี่ยิ้มบางเบา ข้ารับใช้รีบกล่าวสวนขึ้น

          “พระองค์อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น ผู้มาเข้าเฝ้าล้วนอยากยลพระสิริโฉมเพียงสักครั้งหนึ่งหรอก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกครา พลางยกมือขึ้นสางพระเกศา เงาพราวระยับกระเพื่อมไปในกระแสน้ำ ราวกับเส้นผมพวกนั้นเคลือบด้วยเกล็ดแสงสว่างวาว

          นัยน์ตาสีมรกตทอดมองผู้รับใช้ตรงหน้า น้ำเสียงนุ่มนวลราวฟองคลื่นดังขึ้นอีกครา

          “อูห์รูน ยื่นมือมาให้เรา”

          ข้ารับใช้ทำตามอย่างว่าง่าย องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตมา และหย่อนเส้นพระเกศาสีน้ำเงินพราวลงไปในฝ่ามือนั้น ดวงตาของอูห์รูนเบิ่งโพลง

          “พระองค์.....”

          ดวงหน้างดงามผุดผาดแย้มยิ้มอีกครา “เจ้าคงเป็นข้ารับใช้คนสุดท้ายในรัชสมัยของเราแล้ว มิทราบจะชมชอบเก็บของพวกนี้หรือไม่ เราเพียงนึกออกลางๆ ว่าเคยมีหลายผู้ชมชอบเก็บเส้นผมไว้เป็นที่ระลึก”

          อูห์รูนรู้สึกมือตนเองสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เส้นพระเกศาไม่มีน้ำหนักใดเลย แต่ในความรู้สึกคล้ายเป็นพะเนินเหล็กใหญ่ที่ต้องโอบอุ้มเอาไว้ให้มั่น ข้ารับใช้นิ่งเงียบไปนาน ดวงตาสีฟ้าเทาสั่นระริกคล้ายมีความอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก ท้ายที่สุดก็กล่าวเสียงเครือ

          “เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว ข้าพระองค์จะเก็บรักษาตราบชีวิตจะหาไม่”

          กล่าวพลางประคองเส้นพระเกศานั้นเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ล้วงมืออีกข้างหนึ่งหยิบตลับฝาหอยสลักอย่างวิจิตรขึ้นมาอันหนึ่ง ค่อยๆ หย่อนพระเกศาลงไป เงาพราวระยับยังคงสะท้อนอยู่กระทั่งปิดฝา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบรอยยิ้มงดงามรออยู่แล้ว

          “เราโปรดเจ้ามาก ทราบหรือไม่?”

          อูห์รูนทรุดตัวลง แนบใบหน้าลงกับฝ่าพระบาท จุมพิตอย่างเคารพ “ข้าพระองค์ทราบ ข้าพระองค์ทราบเป็นอย่างดี”

          “เวลาเราเหลือน้อยเหลือเกินแล้ว” น้ำเสียงเดิมกล่าวต่อ ผู้รับใช้ซบหน้าลงกับฝ่าพระบาท “อย่าได้ตรัสเช่นนั้น พระองค์ยังมิได้เห็นบุตรข้าพเจ้าเลย พระองค์ต้องอยู่อวยพรให้บุตรข้าพเจ้าก่อน”

                “โอ....เจ้าคิดตบแต่งภรรยาแล้ว?” องค์กษัตริย์กล่าวพลางยกพระหัตลูบศีรษะข้ารับใช้อย่างเอ็นดู ผู้มีเรือนผมสีฟ้าเทาเงยหน้าขึ้นมา ทูลตอบตามตรง “ข้าพระองค์กำลังคิดเดี๋ยวนี้ หวังพระองค์จะอยู่ชมดูบุตรข้าพระองค์ก่อนเถิด”

          องค์กษัตริย์ทอดยิ้ม พลางถอนหายใจ “อูห์รูนของเราเอย....ในโลกนี้มีสองสิ่งที่แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นเราก็มิอาจห้ามหรือกำหนดได้ ไม่มีผู้ใดหามการเกิดกับการตายได้หรอก เราทราบวาระของเราดี แม้มิอยากกลับคืนเพียงไร สุดท้ายก็ต้องหวนกลับไปอยู่ดี แต่อย่ากังวลไปเลย รับรองว่ากษัตริย์รัชสมัยหน้า จะต้องดีใจหากได้เห็นบุตรของเจ้าแน่ๆ ครั้งหนึ่งเรายังเคยเย้าบิดาเจ้าให้รีบมีบุตรออกมา จะได้อยู่เป็นเพื่อนเล่นเรา แต่ดูบิดาเจ้าจะคิดช้าไปสักนิดหนึ่ง เจ้ายังถือว่าเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ”

          กล่าวพลางหัวร่ออย่างอารมณ์ดี อูห์รูนไม่กล่าวอะไร ซบหน้าลงกับพระบาทอีกครา องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตลงลูบเรือนผมสีฟ้าเทานั้นอีกครา ความสงัดเข้าปกคลุมท้องพระโรง มีเพียงแรงกระเพื่อมของกระแสน้ำ และร่างกายเพรียวบางที่สั่นไหวเบาๆ

----------------------------------------------------

          การประลองของพวกมังกรน้ำไม่เลวเลย สังเวียนใต้น้ำก็ดูแปลกตา เวทย์มนต์พวกนั้นก็ดูตื่นตาตื่นใจ อัสธาราธพลันนึกถึงผู้เป็นพี่ชาย หากอัสรานมีโอกาสได้มายลแล้วล่ะก็.....

          อัสราน

          อัสธาราธยกมือขึ้นลูบศีรษะ และต้องสะดุ้งวาบเมื่อพบว่าเครื่องประดับที่ได้รับจากผู้เป็นพี่ชายมิได้ประดับอยู่เสียแล้ว ทั้งๆ ที่นั่นเป็นสิ่งที่อัสรานกำชับให้ประดับเอาไว้กับตัวแท้ๆ ขณะที่กำลังนึกย้อนว่าไปทำหล่นไว้ที่ใด น้ำเสียงนุ่มนวลก็ดังขึ้นด้านหลัง

          “มีเรื่องอันใดฤา?”

          เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบดวงตาสีเขียวมรกตที่มองทอดมา พร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล อัสธาราธพลันลืมเรื่องเครื่องประดับศีรษะไปเสียสนิท ในหัวสมองมีเพียงภาพรอยยิ้มขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มปล่อยให้ร่างเพรียวบางเดินเข้ามาใกล้ กระทั่งเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของมือเรียวที่ยื่นมาลูบไล้เส้นผม

          “เรือนผมเจ้าสวยไม่เลว ปิ่นที่เรามอบให้เจ้าเมื่อคราวที่แล้ว เจ้าทิ้งแล้วหรือไม่?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที ก่อนจะล้วงเอาปิ่นออกมาจากอก “ข้าพเจ้าเก็บรักษาอย่างดี มิบังอาจทิ้งไปหรอก”

          องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกครา รับปิ่นมาจากมือของมังกรหนุ่ม ใช้มือสางเรือนผมสีแดงเพลิงเป็นมวยน้อยๆ และเสียบปิ่นสีดำสนิทนั้นลงไป

          “ปิ่นนี้เราชื่นชอบมากที่สุด เรามอบให้เจ้า เจ้าเข้าใจความหมายว่าอย่างไร?”

                อัสธาราธมิทราบตนเข้าใจหรือไม่ รู้เพียงมิอาจถอนสายตาออกจากองค์กษัตริย์ได้เลย กระทั่งมือก็ไม่รู้ว่ายื่นไปโอบเอวบางนั้นตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็กำลังดื่มด่ำริมฝีปากงามนั้นแล้ว

          คล้ายดั่งถูกนัยน์ตาสีมรกตนั้นดึงดูดจนไม่อาจดำรงสติเอาไว้ได้เลย

-----------------------------------------------

          สายลมพัดผ่านขึ้นมายังบานหน้าต่างกว้างในพระราชวังซาร์ซากัน พาเอาไอน้ำเค็มลอยมากระทบพระพักตร์งดงามของกษัตริย์หนุ่มแห่งคอนเชียร์ ดวงตาสีแดงดำทอดมองลงไปยังพื้นน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องล่าง เรือนผมสีแดงเช่นเดียวกับสีของดวงตาพลิ้วไปตามกระแสลม

          “องค์กษัตริย์”

          อัสรานเบือนหน้ากลับมาตามเสียงเรียก และยิ้มอ่อนโยน “ยังไม่มีข่าวคราวใดจากสายน้ำมายังเราเลย ท่านพี่หญิงอัสเธียร์”

          อัสเธียร์ผงกศีรษะ พลางถอนใจ “ไม่รู้ว่าอัสธาราธจะเป็นอย่างไรบ้าง หรือบางทีองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยังคงรณรงค์การศึกอยู่”

          “หลายวันก่อนเราเห็นกลุ่มควันอยู่ริมขอบฟ้าฝั่งตะวันตก มิแน่ว่านั่นอาจจะเป็นการยุทธ์ขององค์กษัตริย์ก็เป็นได้” อัสรานกล่าวเสริมต่อ เจ้าหญิงอัสเธียร์พยักหน้าอีกครา

          “เราหวังว่าอัสธาราธจะปลอดภัย โอ...นี่ก็กินเวลานานยิ่งแล้ว พระองค์สามารถสอบถามข่าวคราวจากนครบาดาลได้หรือไม่?”

          แม้เข้มแข็งและตัดสินใจเด็ดขาดเพียงไร แต่หากไม่ทราบข่าวเลยเช่นนี้ ความกังวลย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อัสรานผงกศีรษะบ้าง

          “วิธีย่อมมีอยู่ เราตรึกเอาไว้หลายวันแล้ว แต่นึกเกรงว่าจะเป็นการรบกวนองค์กษัตริย์หากยังทรงติดการศึกอยู่”

          “โอ....เช่นนั้นยังต้องรออีกนานเท่าใด?”

          อัสรานนิ่งตรึกไปอีกพัก ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา “เอาเถิด เราจะลองส่งสัญญาณเล็กๆ ลงไปสักครั้ง หากทรงเสด็จกลับมายังพระราชวังแล้ว คงจะทรงทราบอยู่”

          อัสเธียร์แย้มยิ้มด้วยความยินดี

---------------------------------------------------------------

          นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเงาสีแดงเพลิงระริกเลื่อนอยู่ในอณูคลื่น เรือนผมสีแดงจัดที่ไม่เคยมีปรากฏในอัลโดรธ์มาก่อน พลิ้วสยายอยู่ในกระแสน้ำ มือเรียวเคลื่อนเข้าสางเส้นผมนั้นอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากได้รูปจุมพิตหน้าผากอ่อนเยาว์ ขณะประคองร่างสูงใหญ่เอาไว้ในอ้อมกอด

          โอ....เด็กน้อยที่น่าสงสาร.......

          นิ้วมือเรียวยังคงสางเส้นผมนุ่ม ความอบอุ่นที่ไม่อาจพบเจอได้ทั่วไปในท้องน้ำกว้างแห่งอิลห์ลารินแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ดวงหน้างดงามโน้มลงจุมพิตหน้าผากของมังกรหนุ่มอีกครา

          ช่างเยาว์วัยเสียเหลือเกิน.....เด็กน้อยเอย......

          แม้อีกฝ่ายมิได้ลืมตา แต่ภาพของดวงตาสีแดงเพลิงยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก องค์กษัตริย์ก้มลงจุมพิตเปลือกตานั้นเบาๆ

          อยากเหลือเกิน อยากให้ดวงตาสีแดงเพลิงนี้จ้องมองพระองค์ตลอดไป

          ดวงตาสดชื่นแจ่มใส เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิต.....

          เป็นการง่ายเหลือเกิน หากจะสะกดมังกรตนนี้ให้จับจ้องมองเพียงแต่พระองค์ จะยากอันใดเล่า ด้วยอำนาจหาสิ่งใดมาประมาณได้นี้ หากประสงค์เสียอย่าง ล้วนไม่มีผู้ใดต้านทานได้แน่นอน

          ถึงกระนั้น.......

          ดวงตาสีแดงเพลิงยังคงปิดสนิท พระองค์ทราบดียิ่งกว่าใคร ว่ามิอาจล่อลวงดวงจิตของผู้อื่นไปได้ตลอด ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะต้องกล่อมเจ้าชายให้หลับใหลเช่นนี้เล่า

          ไม่มีความยิ่งใหญ่ใดคงอยู่ได้ตลอดกาล....

          เช่นเดียวกันกับความรู้สึก ที่สุดท้ายจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ถูกลืมเลือนไป

          แม้อย่างนั้น.......

          วงแขนเรียวตระกองกอดร่างสูงใหญ่แนบแน่นขึ้น จุมพิตลงไปบนหน้าผากและเปลือกตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          แม้ทราบความเป็นจริงอยู่เต็มอก แต่กลับมิอาจตัดใจจากสีแดงเพลิงนี้ได้เลย

          โอ....หัวใจเอย..........

          มืองดงามยังคงสางเส้นผมสีแดงเพลิงนั้นอย่างทะนุถนอม หากจะรั้งตัวมังกรน้อยตนนี้ไว้ตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จะเป็นความผิดมากหรือไม่

          หากจะทำตามใจตัวเองสักครั้ง......

-------------------------------------------------------

          อูห์รูนยืนรออยู่หน้าห้องพระบรรทมแล้ว ในตอนที่องค์กษัตริย์ก้าวออกมา ข้ารับใช้หนุ่มเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต้องรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

          “เจ้าชายอัสธาราธเล่า?”

          น้อยครั้งเหลือเกินที่อูห์รูนจะถามหาเจ้าชายจากเบื้องบนผู้นี้ องค์กษัตริย์ตรัสตอบไป

          “หลับอยู่  มีอันใด?”

          “ทูลเชิญพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเถิด” ข้ารับใช้แห่งสายน้ำกล่าว ก่อนจะเดินนำหน้าไป องค์กษัตริย์จึงต้องดำเนินตามไปทั้งอย่างนั้น

          พอถึงเบื้องหน้าบานประตูกว้างหน้าพระราชวัง ดวงตาสีมรกตพลันเบิ่งโพลง สีแดงเพลิงที่ไม่อาจมีอยู่ในอิลห์ลารินกำลังเต้นระริกอยู่เบื้องหน้า เล็กจิ๋วราวกับจุดแสงเล็กๆ ที่พรายแสงโยนเล่นใส่กัน แต่นี่เป็นเปลวเพลิงของคอนเชียร์ไม่ผิดแน่

          องค์กษัตริย์ยื่นพระหัตออกไป สร้างวงเวทย์ขนาดย่อมครอบดวงไฟสั่นระริกนั้นเอาไว้ก่อนที่จะดับมอดลง

          “นี้เป็นสิ่งใดเล่า?” อูห์รูนอดถามด้วยความใคร่รู้ไม่ได้ เมื่อเห็นองค์กษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพรักเงียบไปนาน เรเธียร์ยังคงนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเบือนหน้ามา แย้มยิ้มในความหมายอันยากจะมีผู้ใดเข้าใจได้
----------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 17-07-2012 10:22:57
เออ....ได้โปรดอย่าเบนไปที่โคมไฟ ประหนึ่งละครเลยครับ ผมติดใจฉากของทั้งสองคนไปซะแล้ว ... มันช่วยให้จินตนาการผมบรรเจิดมาก... ขออีก....เยอะๆ 555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ17 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 16/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 17-07-2012 14:08:14
อัสธาราธน่ารักอะ เรเธียร์ ไม่น่าเลยอะ แล้วอัสธาราธจะอยู่ยังงัยล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 17-07-2012 19:54:31
อ่านตอนนี้แอบเศร้าเบาเบา
จะละสังขารแต่ยังตัดรักไม่ได้ ทรมานดีแท้
เริ่มรู้สึกว่าเรเทียร์ช่างอาภัพรักเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 17-07-2012 20:45:49
ง่า มันกำลังจะมาม่าแล้ว เศร้าจัง ฮือๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 17-07-2012 20:59:02
owo
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 17-07-2012 21:19:51
แอบร้ายลึกนะ เรเธียร์
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 18-07-2012 14:37:44
พึ่งเข้ามาอ่านไงจะติดตามนะค้าบ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ18 P.4 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 17/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-07-2012 18:18:18
19 : ลาจาก

          แดงฉานยิ่งสีชาดใด กระจายไปทั่วผืนน้ำ กลิ่นคาวฟุ้งตลบ กระตุกหัวใจให้เต้นดังตุบๆ คราแรกยังมิทันได้สัมผัสสิ่งใด ก็พาลจากไปเสียก่อน ครานี้แม้ได้สัมผัสแล้ว แต่กลับมิอาจรั้งเอาไว้ได้เลย

          โอ.....ชีวิตช่างว่างเปล่านัก

----------------------------------------------------

          ดวงหน้าของอิสตรีนางนั้นยังคงสงบนิ่งอยู่บนแผ่นหินสลักเช่นเดิม ดวงหน้านี้ สตรีนางนี้ ดวงหน้าและร่างกายที่เคยสัมผัส ดวงหน้าและร่างกายที่รังสรรค์ขึ้นมาด้วยมือคู่นี้ แม้มิใช่เรือนร่างของสตรีนางนั้น มิใช่ใบหน้าของสตรีนางนั้นจริงๆ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันจนน่าเจ็บปวด

          ไร้ชีวิต

          นัยน์ตาสีเขียวมรกตเหม่อมองรูปสลักหินนั้นอย่างยากจะมีผู้ใดหยั่งถึงความนัย เนิ่นนานจึงค่อยๆ ยกพระหัตขึ้น บนฝ่าพระหัตมีดวงไฟสีแดงเล็กจิ๋วแห่งคอนเชียร์เต้นระริกอยู่ ทรงบรรจงวางดวงไฟที่ครอบด้วยเวทย์มนต์ลงบนมือของรูปสลักนั้น ทันทีที่ดวงไฟหยั่งลง รูปสลักทั้งรูปก็พลันพังทลาย

          ดวงตาสีเขียวมรกตยังคงทอดมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า ผ่านบริเวณที่รูปสลักเคยตั้งอยู่ ไปยังสถานที่ที่ยากจะจินตนาการได้

--------------------------------------------------------

          สีมรกต

          ดวงตาสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งคล้ายทูตแห่งความตายที่คอยหลอกหลอนแม้แต่ในฝัน ดวงตาที่สร้างความหวาดหวั่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมาเนิ่นนาน ดวงตาสีมรกต....

          ครั้งหนึ่งมิเคยต้องการเห็น ไม่เคยต้องการนึกถึง ไม่เคยต้องการคิดจะจดจำ ดวงเนตรที่คอยหลอกหลอนไม่มีวันสิ้นสุด โอ...ดวงเนตรแห่งสายน้ำเอย....

          ครั้งนี้กลับต้องการเอื้อมมือคว้าสีมรกตนั้น สิ่งที่เคยถอยหนีและหวาดกลัวมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับต้องการเดินไปให้ถึง เดินไปเผชิญหน้า เข้าไปโอบกอดเอาไว้

          เอื้อมถึงแล้ว คว้ามาแล้ว แต่ใยจึงคล้ายไม่อาจโอบเอาไว้ได้เล่า

          ดั่งสีเขียวมรกตนั้นยิ่งใหญ่จนไม่อาจรั้งไว้ได้เลย

          กระนั้นก็ยังคงเอื้อมมือไขว่คว้า....คว้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด

-----------------------------------------------------------

          อัสธาราธลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่มีตักนุ่มให้หนุนนอนอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มพบตัวเองอยู่บนแท่นหินในห้องพัก ไม่มีผู้ใดอีก คล้ายเพิ่งตื่นจากภวังค์ความฝันแสนหวานที่ผ่านมานานแสนนาน

          เจ้าชายหนุ่มหยั่งเท้าลงบนพื้นหิน รู้สึกเหมือนตนเองลืมเลือนเรื่องสำคัญบางอย่างไป แต่เป็นเรื่องอันใดกลับนึกไม่ออก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ เรือนผมสีฟ้าเทาปรากฏขึ้นตรงหน้า ผู้รับใช้คนสนิทที่สุดของจ้าวแห่งสายน้ำแง้มประตูเข้ามา ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

          “องค์กษัตริย์ต้องการพบท่าน”

-------------------------------------------------------------

          อัสธาราธชะงักฝีเท้าอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าอูห์รูนมิได้นำพาตนไปยังท้องพระโรง แต่กลับพามายังหน้าห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ ข้ารับใช้แห่งสายน้ำค้อมตัวให้เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวสั้นๆ

          “เข้าไปเถิด ทรงรออยู่”

          อัสธาราธผลักบานประตูเข้าไปด้วยความรู้สึกเคอะเขิน จู่ๆ ต้องมาเปิดประตูห้องนอนผู้อื่นต่อหน้าผู้รับใช้ ก็ดูน่ากระดากจริงๆ แต่ด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของอูห์รูน จึงพอจะทำให้คลายความกระดากลงไปได้หน่อยหนึ่งกระมัง

          พอผลักประตูเข้ามา สิ่งแรกที่อัสธาราธเห็นคือดวงไฟสีแดงเล็กจิ๋วที่ลอยค้างอยู่เบื้องหน้า เจ้าชายหนุ่มชะงักไปทันที

          ดวงไฟนี้.....

                “ท่านพี่อัสราน....” กล่าวพลางยื่นมือไปโอบดวงไฟนั้นมาอย่างทะนุถนอม ความอบอุ่นแผ่ที่ไม่ได้พบมานานแผ่ซ่านไปตามปลายนิ้ว เปลวไฟแห่งอัสราน จ้าวแห่งคอนเชียร์ พี่ชายที่เล่นกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

          ความอบอุ่นนี้ จะลืมได้อย่างไรเล่า.....

          อัสธาราธกอดดวงไฟนั้นไว้แอบอก จวบจนกระทั่งดวงไฟสีแดงจิ๋วมอดสิ้น จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา และมองเห็นร่างเพรียวขององค์กษัตริย์ประทับนั่งอยู่บนแท่นบรรทม ดวงหน้างดงามแย้มยิ้มอย่างใจดีเช่นเคย เล่นเอาเจ้าชายหนุ่มรู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก

          “ข้าพเจ้า...”

          พอนึกว่าอยู่ต่อหน้าองค์กษัตริย์แล้ว ตนพลันลืมเลือนเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดแล้ว ก็แสนจะอับอายนัก เจ้าชายหนุ่มกลั้นใจพูดต่อ “ข้าพเจ้าทำท่านพี่เป็นห่วงแล้ว”

          องค์กษัตริย์ยังคงแย้มยิ้มอยู่อีกพักหนึ่ง จึงเอ่ยวาจา “เด็กน้อย มาหาเราสักครู่”

          อัสธาราธเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย พระพักตร์งดงามชวนหลงใหลเช่นเคย แต่คล้ายความรู้สึกเหมือนมีมนต์ประหลาดคลายไปแล้ว เจ้าชายหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้า มองดูมือเรียวยื่นเข้ามาหา และต้องเบิ่งตากว้าง เมื่อเห็นเครื่องประดับที่วางอยู่ในฝ่ามือ

          “คืนให้เจ้า” น้ำเสียงราวฟองคลื่นกล่าว ก่อนจะยื่นมือขึ้นไปบนศีรษะของมังกรหนุ่ม อัสธาราธรู้สึกถึงนิ้วเรียวยาวที่ค่อยๆ บรรจงกลัดเครื่องประดับนั้นลงบนเรือนผม และรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกดึงออกไป พอเห็นปิ่นสีดำมะเมื่อมในมือขององค์กษัตริย์ เจ้าชายหนุ่มก็ยื่นมือไปคว้าไว้อย่างลืมตัว

          “ให้ข้าพเจ้า”

          มองเห็นดวงเนตรสีมรกตเบิ่งค้างครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มอีกครั้ง “ปิ่นนี้เรามอบให้เจ้าอยู่แล้ว”

          กระนั้นเจ้าชายหนุ่มก็มิได้ปล่อยมือในทันที ยังคงกุมเอาไว้เช่นนั้น ไอเย็นแผ่แทรกมาตามปลายนิ้ว ให้ความรู้สึกโหยหาอย่างประหลาด แม้เหมือนม่านมนต์สลายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหักใจได้อยู่ดี

          ริมฝีปากร้อนผ่าวโน้มแนบเข้ากับริมฝีปากเย็นยะเยือก ความเย็นซ่านกระจายไปทั่วโพรงปาก คล้ายร่างเพรียวบางชะงักหน่อยหนึ่ง ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นผลักร่างสูงใหญ่ออกเบาๆ

          “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้อีกแล้ว”

                ดวงตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ริมฝีปากจะแนบประกบเข้ามาอีกรอบ ตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่ปีนขึ้นมาบนแท่นบรรทม

          ร่างเพรียวถูกกดแนบลงบนแท่น นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งมองเหมือนแปลกใจ อัสธาราธจับจ้องเรือนร่างสวยสง่านั้น ความรู้สึกคล้ายม่านมนต์หายไปแล้วก็จริง แต่ตนกลับรู้สึกต่อองค์กษัตริย์รุนแรงมากเข้าไปอีก เนื่องเพราะที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

          ฝ่ามือร้อนผ่าวไล้ลงบนใบหน้าได้รูป ดวงเนตรสีมรกตซึ่งครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวนัก ตอนนี้กลับสามารถจับจ้องโดยไม่สั่นกลัวอีกแล้ว เจ้าชายหนุ่มบรรจงแนบริมฝีปากเข้ากับข้างแก้ม เรือนผมสีน้ำเงินพรายโลมไล้ปลายจมูกแผ่วเบา ความเย็นซ่านแผ่เข้าสู่ร่างกาย ริมฝีปากอุ่นจัดแนบเข้ากับริมฝีปากเย็นนั้นอีกครั้ง โลมไล้อย่างดึงดันอยู่พักหนึ่งจึงยอมปล่อย

          อาภรณ์พลิ้วไหวถูกเปลื้องออกหลังจากนั้น ร่างผอมเพรียวถูกจับขึ้นนั่งบนตัก ดวงตาสีมรกตทอดมองมาอย่างไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ กระนั้นอัสธาราธยังคงประโลมจูบลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องเพราะต้องการสัมผัสความจริงตรงหน้าให้ได้มากที่สุด

          เรือนผมสีน้ำเงินพรายสยายอยู่ในกระแสน้ำ แต่ไม่มีความปั่นป่วนในห้วงนทีอีกแล้ว มีเพียงร่างอ่อนไหวที่ถูกกระแทกกระทั้นอยู่ในอ้อมกอด ไม่มีซุ่มเสียงใด มีเพียงดวงตาสีมรกตที่มองมา และวงแขนเรียวที่โอบลงมา รัดลงแนบแน่น ริมฝีปากสองคู่บดเบียดกันจนแยกแยะไม่ออกว่าอุ่นหรือเย็นกันแน่ สองร่างแนบสนิทกันจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง

          ห้วงรักที่กินเวลาในความรู้สึกราวชั่วกัปล์ชั่วกัลป์ เมื่อสิ้นสุดลงกลับคล้ายผ่านไปเพียงชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง

          อัสธาราธไล้มือไปบนดวงหน้างดงามในอ้อมกอด และมองเห็นมือของตนสั่นเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ องค์กษัตริย์คล้ายงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ริมฝีปากได้รูประบายรอยยิ้มที่พาให้หัวใจแทบระเบิดออก ไม่ทราบเพราะเหตุใด แต่เจ้าชายหนุ่มกลับไม่อยากจะผละออกไปเลย

          คล้ายหากคลายวงแขนแล้ว จะไม่ได้วันได้โอบกอดอีกตลอดกาล

          วงแขนแกร่งตระกองกอดร่างเพรียวเอาไว้แนบอก ดึงมือเรียวขึ้นมา จูบลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาสีเขียวมรกตทอดมองมา คล้ายดวงแก้วเจียระไน ยากจะหาผู้ใดหยั่งได้อีกแล้ว มือเรียวขยับออกจากริมฝีปากอุ่น ยกขึ้นแตะดวงหน้าคมคายนั้นเบาๆ

          “เด็กน้อยของเราเอย....ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

---------------------------------------------------------------------

           อัสธาราธมิทราบ ยามตนลงมายังนครบาดาลกินเวลานานเท่าไร เนื่องเพราะยามนั้นตนหลับใหลเกือบตลอด กระทั่งตื่นบางครายังได้หนุนตักขององค์กษัตริย์ แต่ครั้งนี้ อัสธาราธมิได้หลับใหลอีกแล้ว ทั้งยังมิได้หนุนตักนุ่มนั้น เจ้าชายหนุ่มนั่งอยู่บนเกล็ดขนาดมหึมา

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเสด็จมาส่งเขาด้วยพระองค์เอง

          ไม่ทราบใช้เวลานานเท่าใด แต่ในความรู้สึกมังกรหนุ่มแล้ว คล้ายเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเอง อัสธาราธแนบมือลงไปบนเกล็ดสีน้ำเงินพรายนั้นแนบแน่น คล้ายดั่งต้องการซึมซับไอเย็นที่แสนจะไม่คุ้นชินนั้นไว้ให้ได้มากที่สุด

          ไม่มีคำพูดหรือเสียงหัวเราะใดอีกแล้ว ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจ

          ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างดับสิ้นไปหมดแล้ว

                ภูเขาไฟแห่งคอนเชียร์ปะทุลาวาสีแดงเพลิง พ่นเถ้าถ่านสีดำขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับจะต้อนรับการกลับมาของเจ้าชายหนุ่ม ไอร้อนที่คุ้นเคยพวยพุ่งมากระทบใบหน้า เรือนผมสีแดงเพลิงสัมผัสกับลมร้อนผ่าวเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ กระนั้นอัสธาราธกลับรู้สึกเหมือนเลือดในตัวเย็นหมดสิ้น แม้ขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่ยังมิอยากก้าวเท้าขึ้นบก เมื่อเหลียวมองกลับไปก็เห็นเจ้าของดวงหน้าในฝันก้าวเข้ามา

          “อีกสักครู่องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์คงเสด็จลงมา เรามาด้วยร่างจริงเช่นนี้คงทอดพระเนตรเห็นอยู่”

          อัสธาราธมองดูองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ น่าแปลกนักที่ยังมิมีผู้ติดตามใดโผล่ร่างขึ้นมา แต่ถึงมี เจ้าชายหนุ่มก็ไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ไว้อีกแล้ว มือใหญ่คว้ามือเรียวมากุมไว้

          “ข้าพเจ้าจะได้พบท่านอีกหรือไม่? มารับข้าพเจ้าลงไปหลังจากนี้ได้หรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเพียงแย้มยิ้มแต่มิได้ตอบความ เจ้าชายหนุ่มกล่าวสืบต่อ

          “ข้าพเจ้าจะทูลขอท่านพี่ จะลงไปอยู่นครบาดาลกับท่าน”

          นิ้วมือเย็นยะเยือกแตะลงบนริมฝีปากอุ่นเบาๆ “เรื่องนั้นไม่จำเป็นแล้ว”

          อัสธาราธดึงมือนั้นมาจูบอย่างดึงดัน “มารับข้าพเจ้าเถิด อย่าทิ้งข้าพเจ้าเอาไว้ หากท่านไม่สัญญาข้าพเจ้าจะลงไปเอง”

          พูดพลางช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาสีมรกตที่นิ่งสนิทราวกับแก้วเจียระไน องค์กษัตริย์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง คล้ายบางสิ่งบางอย่างที่หยุดไปแล้วกลับมาเต้นอีกครั้ง

          ตุบ.......

          คล้ายดังสะเทือนออกไปถึงด้านนอก และเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาสีมรกตยังคงจ้องดวงหน้าคมคายนั้นอีกพักหนึ่ง เรือนผมสีแดงเพลิงสะท้อนอยู่บนแก้วตา ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

          “เรา...สัญญา......”

          อัสธาราธขบริมฝีปากน้อยๆ แต่ก็อดจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ ริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงบนฝ่ามือเย็นยะเยือกอีกครั้ง

          “ข้าพเจ้ารักท่าน จะรักท่านเพียงผู้เดียว”

          มือเย็นยะเยือกขยับออก แตะหน้าผากมังกรหนุ่มเบาๆ “เด็กโง่เอย เจ้าช่างโง่เขลานัก ไปเถิด พี่ชายของเจ้ากำลังมาแล้ว ให้เราเหลือภาพพจน์ไว้กล่าวคำขอบคุณบ้าง”

          อัสธาราธหน้าแดงหน่อยๆ แต่ก็ยอมปล่อยมือ

                “ข้าพเจ้าจะมารอท่านที่ริมน้ำนี้ รอท่านมารับกลับลงไป”

          เรเธียร์ได้แต่ยืนนิ่ง นัยน์ตาสีมรกรสะท้อนเพียงเงาสีแดงเพลิงตรงหน้าเท่านั้น

----------------------------------------------------------

          “อัสธาราธ!” องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์รีบเร่งเสียจนไม่มีเวลาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทรงดำเนินมาทั้งๆ ที่ยังสวมชุดลำลองอยู่ พอเห็นใบหน้าผู้เป็นน้องชายก็ตรงเข้าสวมกอดด้วยความคิดถึงทันที

          “คิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน”

          อัสธาราธรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายหนุ่มโอบมือกอดตอบพี่ชาย ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เป็นห่วงมากขนาดนี้

          “โอ้...อัสธาราธ” เสียงของอัสเธียร์ดังแทรกเข้ามา พอเงยหน้าขึ้น อัสธาราธก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่หญิง ท่านลืมหวีผมอีกแล้ว”

          “เพราะเจ้าเป็นตัวการหรอก” อัสเธียร์ดุ และรีบใช้มือสางผมลวกๆ ก่อนจะยกมือเขกหัวน้องชายครั้งหนึ่ง อัสธาราธหัวเราะแหะๆ ขณะที่อัสรานยิ้มน้อยๆ ก่อนจะผละวงแขนออกอย่างนึกได้

          “เราดูจะเสียมารยาทต่อหน้าท่านแล้ว” กล่าวพลางหันไปค้อมกายให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่ประทับอยู่กับข้าราชบริพารด้านหลัง องค์กษัตริย์เพียงยิ้มน้อยๆ

          “รบกวนพระองค์มากมายจริงๆ”

          อัสรานรีบกล่าวตอบ “หามิได้ ท่านนำน้องชายของเรามาส่งคืนโดยสวัสดิภาพเช่นนี้ เราต่างหากรบกวนท่าน”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำยังคงแย้มยิ้ม “เราอยากกล่าวคำขอบคุณต่อท่านด้วยตนเอง องค์กษัตริย์หนุ่มแห่งคอนเชียร์ น้องชายท่านได้ช่วยเหลือราชอาณาจักรเราให้พ้นภัย เรามิทราบจะกำนัลสิ่งใดเป็นการตอบแทน มีเพียงของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ จากวังของเรา หวังว่าคงพอชดเชยเรื่องความลำบากของพระองค์ได้บ้าง”

          สิ้นพระสุรเสียง เหล่าพรายรับใช้ต่างพากันขนเอาหีบที่ประดิษฐ์ขึ้นจากหินสลักมาจำนวนหนึ่ง ด้านในมีไข่มุกจำนวนมาก และยังมีพลอยสีน้ำเงินอีกจำนวนหนึ่ง อัสรานเห็นแล้วถึงกับผงะ

          “นี่...นี่...เป็นพระกรุณามากแล้ว เราน้อมรับของขวัญจากท่านด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด ความจริงแล้วเรารู้สึกเป็นการค้ากำไรเกินควรจริงๆ”

          เรเธียร์ยังคงแย้มยิ้มต่อ “องค์กษัตริย์ช่างจำนรรจายิ่งนัก เราผู้เฒ่าดูจะทำตามใจตัวเองมากไปจริงๆ”

          “อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย พระองค์จะประทับที่นี่นานหรือไม่ ให้เราจัดการต้อนรับพระองค์สักหน่อย..?”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำพลันสั่นศีรษะ “เราจำต้องปฏิเสธคำเชื้อเชิญนี้อย่างเสียดายที่สุด ร่างกายเรายามนี้มิทนทานต่อไอร้อนเท่าใด ขอลาตรงนี้เลยเถิด”

                “ให้ข้าพเจ้าไปส่ง!” อัสธาราธโพล่งออกมา องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีก

          “สายน้ำแห่งอิลห์ลารินใช่ว่าผู้ใดก็ลงไปได้ ขอบคุณเด็กน้อยเจ้าจากใจ เราขอลาก่อน”

          ตรัสจบก็ผินพระพักตร์ ดำเนินลงสู่สายน้ำกว้างแห่งอิลห์ลารินท่ามกลางหมู่ข้าราชบริพาร อัสธาราธมองดูเรือนร่างผอมเพรียวกลับลงสู่สายน้ำ ก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกผู้ในบริเวณนั้นต้องอ้าปากค้าง

          “เรเธียร์!!” เจ้าชายหนุ่มร้องตะโกน พลางวิ่งไปสู่ผืนน้ำกว้างนั้นโดยไม่ทันมีผู้ใดต้าน ดวงหน้างดงามไม่หันมาอีกแล้ว เรือนผมสีน้ำเงินค่อยๆ จมหายลงไปในห้วงน้ำกว้าง

          “เรเธียร์!!!” อัสธาราธตะโกนพลางวิ่งย้ำลงไปในสายน้ำ ละอองน้ำกระเซ็นขึ้นเปื้อนใบหน้า กระนั้นเจ้าชายหนุ่มยังไม่ยอมหยุดฝีเท้า กระทั่งตนเองจมลงไปกว่าครึ่งแล้ว ก็ยังไม่หยุดยั้ง ยังคงตะโกนเรียกชื่อองค์กษัตริย์อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

          “เรเธียร์!!”

          อัสรานมองดูการกระทำของน้องชายอย่างตกตะลึง กว่าจะรู้สึกตัว อัสธาราธก็ถูกสายธารแห่งอิลห์ลารินดึงไปครึ่งตัวแล้ว องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ตะโกนเรียกน้องชาย

          “อัสธาราธ!!!”

          แต่อัสธาราธไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว ดวงตาสีแดงเพลิงมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า คล้ายยังเห็นดวงหน้างดงามนั้นอยู่ อยากได้ที่จะได้ชิดใกล้อีกสักครั้ง

          ไอร้อนชนิดที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องสะดุ้ง แม้แต่มังกรไฟที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจต้าน พุ่งเข้าใส่ร่างที่จมอยู่ในน้ำ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกกระชากด้วยอุ้งมือร้อนระอุ ร่างสูงใหญ่พ้นจากผืนน้ำกว้าง หล่นกระแทกผืนทรายริมชายฝั่ง อัสรานวิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าโมโหหรืออะไรกันแน่ องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์กระชากเสียงถามน้องชาย

          “เจ้าเป็นบ้าอะไรแล้ว?!”

          อัสธาราธก้มหน้านิ่ง ขบริมฝีปากจนโลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมา

          เรเธียร์……

-----------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 18-07-2012 18:37:01
 :sad4:
การลาจาก มันเศร้า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 18-07-2012 19:37:43
ทิ้งกันเสียแล้ว :(
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 18-07-2012 20:19:13
เศร้า....ฮึกๆ...ๆ....ๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 18-07-2012 20:27:44
เศร้าเลยตอนนี้
อ่า อย่างนี้เรียกว่าได้แล้วทิ้งใช่ม่ะเรเธียร์
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 19-07-2012 01:11:58
เศร้าอะ จะได้เจอกันอีกมั้ย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-07-2012 07:56:43
เศร้าอะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-07-2012 10:48:28
20 : งดงามในความสิ้นสูญ

          “อัสธาราธ”
 
         เรือนผมสีน้ำเงินพรายโผล่พ้นจากผืนน้ำกว้าง ดวงหน้างดงามราวภาพฝันแย้มยิ้มให้เช่นที่ผ่านมา อัสธาราธก้าวเท้าลงไปในผืนน้ำ ละอองน้ำเย็นยะเยือกกระแทกเข้ากับร่าง ได้ยินเสียงตัวเองร้องตะโกนออกไป

          “ท่านมารับข้าพเจ้าแล้ว”

          ดวงหน้าในความฝันไม่ตอบกระไร เพียงแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น อัสธาราธลุยน้ำไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะจมลึกลงไปเท่าไร ก็เหมือนไม่ใกล้ร่างเพรียวในฝันนั้นเสียที คล้ายไม่อาจเอื้อมไปถึงได้อีกแล้ว ดวงตาสีมรกตยังคงจับจ้องมองมา แต่ไร้แววยิ่งนัก ราวกับแก้วสลักก็ไม่ปาน

          ราวกับว่าไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

-------------------------------------------------

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงปรือขึ้นมา ก่อนจะหลับลงทันทีเมื่อต้องกับแสงสว่าง อัสธาราธไม่ทราบว่าความฝันกับความจริง สิ่งใดเลวร้ายกว่ากัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เจ้าชายหนุ่มอาศัยอยู่บนบกมาโดยตลอด ไม่เคยพิสวาสผืนน้ำกว้างที่ล้อมรอบนครแห่งไฟที่ตนเองอยู่เลยสักครั้ง ซ้ำยังหวาดกลัวแทบตาย แต่ยามนี้ ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ลงไปในนครบาดาลนั้น ช่วงเวลาที่แสนน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา ช่วงเวลาแสนสั้นที่กลับทำให้เขาโหยหาไอเย็นแห่งผืนน้ำนั้นเสียจนคลั่ง

          เรเธียร์.....

          แม้ลืมตาตื่นอยู่บางคราวยังรู้สึกได้ถึงเรือนผมสีน้ำเงินพรายเรียบลื่นที่เคยเคล้าเคลียใบหน้า หัวใจปวดแปลบราวกับจะแตกออกมา เพียงแค่นึกถึงดวงหน้างดงามในความฝันนั้น สัมผัสลึกซึ้งที่มีให้กันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงที่คล้ายดั่งภาพมายา ตราตรึงลงไปในห้วงความทรงจำอย่างไม่อาจลบล้าง

          ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้น ที่พอผ่านพ้นไปกลับสร้างความทรมานอย่างแสนสาหัส

          มือได้รูปไล้ไปตามผ้าปูที่นอน อยากเหลือเกินที่จะได้ผู้นั้นมานอนแนบข้างบนแท่นนอนนี้ อยากตระกองกอดเรือนร่างอ่อนบางเอาไว้แนบอก สัมผัสไอเย็นยะเยือกนั้นทุกวันทุกคืน อยากได้ยินเสียงหัวเราะนั้นอีกสักครั้ง ได้เห็นดวงหน้าที่ยิ้มมาอย่างอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง ได้มองดวงตาสีมรกตที่ครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวแทบตาย

          แต่สิ่งที่ได้มีเพียงภาพฝันซ้ำๆ ภาพฝันที่ไม่อาจจับต้องได้

          อัสธาราธล้วงเอาปิ่นสีดำมะเมื่อมออกมาจากอกเสื้อ เพียงแค่ได้เห็นหัวใจก็พลันปวดแปลบอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำตอนที่องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำประดับปิ่นนี้ กระทั่งพระองค์ถอดออกและมอบให้ยังบังอาจปัดทิ้ง เจ้าชายหนุ่มมองดูปิ่นสีดำในมือ ยามต้องประกายแสงแดดกลายเป็นสีพราวระยับ หากได้ประดับปิ่นนี้ลงบนศีรษะของผู้เป็นเจ้าของ

          เพียงนึกถึงเรือนผมสีน้ำเงินพรายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ภาพรอยยิ้มจับตาก็ตามมา หัวใจพลันอุ่นซ่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าเป็นเพียงภาพจากจินตนาการเท่านั้น หัวใจดวงเดิมก็พลันหดวูบลง

          เรเธียร์.....

          อัสธาราธจุมพิตลงบนปิ่นสีดำนั้น ไอเย็นยะเยือกอย่างไร้ชีวิตกระทบกับริมฝีปาก ครั้งหนึ่งเขาเคยสงสัย ใยองค์กษัตริย์จึงลุ่มหลงอยู่กับรูปสลักนางสตรีที่ไร้ชีวิตนั้นเล่า รูปสลักคือรูปสลัก เย็นยืดไร้ชีวิต ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใด ใยจึงต้องยึดติดกับสิ่งไร้ชีวิตเช่นนั้นนัก

          แต่ยามนี้อัสธาราธเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ปิ่นสีดำในมือไม่มีชีวิตเลยสักนิด ทั้งยังไม่มีรูปลักษณ์ส่วนใดคล้ายกับองค์กษัตริย์เลย กระนั้นตนยังสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะรู้สึกคล้ายเป็นตัวแทนขององค์กษัตริย์ คล้ายดั่งเป็นสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงความทรงจำงดงาม อ่อนหวาน อ่อนโยน

          ความทรงจำที่กลายเป็นอดีต ความทรงจำของเหตุการณ์ที่สิ้นสุดไปแล้ว

          ความทรงจำที่เป็นดั่งความฝัน

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงหลับลงอีกครา หากว่าเป็นได้เพียงความฝัน ก็อยากจะฝันให้ได้นานที่สุด

          เรเธียร์......

-------------------------------------------------------

          “อัสธาราธ”

          น้ำเสียงอ่อนโยน ห่วงใยยิ่งนัก แต่ไม่ใช่น้ำเสียงในภาพฝัน กระนั้นอัสธาราธก็ยังลืมตาตื่นขึ้นมา และพบดวงหน้าที่คุ้นเคยมาเนิ่นนาน

          “อัสธาราธ” อัสรานเรียกชื่อน้องชายที่เรียกหากันมาเนิ่นนานอีกครั้ง พลางมองดูดวงตาสีเพลิงที่คล้ายยังไม่รู้สึกตัวดีด้วยความเป็นห่วง สักพักจึงได้ยินเสียงตอบรับ

          “ท่านพี่อัสราน”

          อัสรานแย้มยิ้มด้วยความยินดี “อัสธาราธ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

          ผู้ถูกถามกะพริบตาอีกหลายครั้ง ก่อนจะสั่นศีรษะ อัสรานลากม้านั่งหินมา ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงน้องชาย กล่าวสืบต่อ

          “เช่นนั้น ลุกขึ้นมาเถิด ไปแช่น้ำกับเราสักพักหนึ่ง”

                อัสธาราธจ้องมองใบหน้าผู้เป็นพี่ชาย เงียบไปนาน จนอีกฝ่ายกล่าวขึ้นอีก

          “สระน้ำด้านหลังห้องเรา เจ้าไม่ชอบแล้วหรือ?”

          “มิได้” อัสธาราธตอบคำ พลางขบริมฝีปาก “ท่านพี่อัสราน ข้า.....”

          หัวใจพลันรู้สึกปวดแปลบอีกหน กี่วันมาแล้วที่รู้สึกเช่นนี้ อัสรานยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชาย

          “ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย อัสธาราธที่เรารู้จักมิใช่มังกรน้อยเยาว์วัยที่เอาแต่นอนซมเช่นนี้ ฤาสายน้ำสร้างบาดแผลยากเยียวยาให้เจ้าอีกแล้ว”

          อัสธาราธกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงผู้เป็นพี่ชายพูดขึ้นอีก

          “เช่นนั้นไปแช่น้ำร้อนกันเถิด”

-----------------------------------------------------

          บ่อน้ำร้อนด้านหลังห้องบรรทมของอัสรานร้อนระอุเช่นเดิม ไอสีเหลืองของกำมะถันยังลอยคลุ้ง กลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย อัสธาราธหย่อนกายลงไปในบ่อน้ำร้อน แต่แม้อยู่ในสถานที่ร้อนจัดเช่นนี้ ร่ายกายกลับไม่กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลย ซ้ำยังพาลให้นึกถึงตอนที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในบ่อหินร้อนในบาดาลเพื่อประดิษฐ์ของกำนัลให้องค์กษัตริย์

          ไม่รู้ว่าพระองค์จะยังทรงจดจำตราสัญลักษณ์อันนั้นได้อยู่หรือไม่....

 
          อัสรานหย่อนกายลงข้างน้องชาย ดวงตาสีแดงคล้ำจับจ้องใบหน้าที่ใกล้ชิดมาเนิ่นนานด้วยความเป็นห่วง อัสธาราธกลับมาได้หลายสัปดาห์แล้ว ท่ามกลางความดีใจของพี่น้องและบรรดาเหล่าทหาร แต่หลังจากนั้นก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ทราบไปเผชิญเรื่องราวใดในนครบาดาลมากันแน่ ยังตอนที่พยายามไล่ตามขบวนเสด็จขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอีกเล่า

                หรือจะต้องเสน่ห์ลึกลับแห่งอิลห์ลารินเข้าแล้ว

          อัสรานพลันนึกถึงเหล่าผู้ตามเสด็จ แม้เป็นบุรุษเพศ ชาวบาดาลล้วนงดงามน่ามองอย่างยิ่ง หากเป็นอิสตรีแล้วยิ่งมิน่ามองเข้าไปอีกหรือ? อัสธาราธอาจจะหลงเสน่ห์นางมังกรน้ำตนใดตนหนึ่งในนครบาดาลนั่น พอต้องแยกจากมาจึงไม่เป็นอันกินอันนอนเป็นแน่แท้

          “อัสธาราธ” อัสรานเอ่ยเรียกน้องชายตนเอง ผู้ถูกเรียกหันหน้ามามอง อัสรานมองไปยังใบหน้าคุ้นเคยนั้น พลันรู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก

          อัสธาราธเคยร่าเริงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ยามนี้กลับดูซูบเซียวหม่นหมองลงจนน่าใจหาย คล้ายผู้ถูกพิษรักกัดกินหัวใจก็ไม่ปาน

          “เราใคร่อยากถามอะไรเจ้าสักเรื่องหนึ่ง” อัสรานกล่าวสืบต่อ ผู้เป็นน้องชายผงกศีรษะ

          “เจ้าไปติดใจชาวบาดาลเข้าหรือ?”

          ใบหน้าซูบเซียวของอัสธาราธพลันแดงวาบขึ้นมา “ข้า....”

          อัสรานแย้มยิ้มให้น้องชาย กล่าววาจาต่อ “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายใด เจ้าเป็นหนุ่มเต็มที่ ย่อมมีหัวใจรักเป็นธรรมดา เจ้าไปชอบพอนางใดในนครบาดาลเล่า เราพอจะทูลขอกับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำได้”

          ใบหน้าของอัสธาราธพลันซีดลงอีกครา ผู้เป็นพี่ชายรีบกล่าวต่อ “เจ้าอย่าได้วิตก แม้เป็นนางมังกรน้ำ เราก็ไม่รังเกียจ แม้นางไม่อาจขึ้นบกได้นาน เรารับรองจะสร้างบ่อน้ำเย็นไว้ให้นาง สร้างวังให้เจ้าได้อยู่ใกล้นาง บอกกับเราเถิด เจ้าติดใจนางใดเล่า เราจักเตรียมขบวนสู่ขอต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำตามธรรมเนียมราชพิธีไม่ให้มีขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”

          อัสธาราธถึงกับมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาทันที รีบละล่ำละลักกล่าว “นั่นไม่ได้เด็ดขาด”

          “เพราะเหตุใดเล่า?” อัสรานกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ยศของเจ้ามิใช่น้อย ต่อให้เป็นนางมังกรเชื้อพระวงศ์ เรารับรองว่าองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำต้องไม่รังเกียจแน่ ยิ่งเจ้าทำความดีความชอบเอาไว้ถึงเพียงนี้ ไหนเลยมาอ้อมๆ แอ้มๆ อยู่เล่า บอกต่อเราเถิด เห็นเจ้าไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งเราทั้งพี่หญิง พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย สตรีนางใดเล่าที่ทำให้น้องรักของเราเป็นไข้ใจเช่นนี้”

          อัสธาราธนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ พอมองเห็นสีหน้าเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนของพี่ชายก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาทันที นี่ตนเองมัวแต่ตีโพยตีพายเสียจนผู้อื่นพลอยวิตกกันไปหมด คล้ายได้ยินเสียงราวฟองคลื่นดังอยู่ในหัวราวกับเย้า

          เจ้าเด็กน้อยเอย เจ้าเด็กน้อยเอย....

          อัสธาราธพลันหน้าแดงขึ้นมาอีก มิทราบจิตหลอนหรืออย่างไรแน่ แต่สิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่ตอนนี้ก็คลายเด็กทารกจริงๆ อัสรานมองหน้าน้องชายของตนอย่างเป็นห่วง

          “อัสธาราธ ดูท่าเจ้าหลงรักนางมากมายจริงๆ เร่งบอกต่อเราเถิด เราจะรีบจัดขบวนไปสู่ขอให้ในเร็ววัน”

          อัสธาราธหัวเราะออกมาในที่สุด หากอัสรานรู้ว่านางนั้นเป็นผู้ใด น่ากลัวจะหันมาด่าเขาแทนเป็นแน่แท้ มังกรหนุ่มรีบพูดตอบทันที

          “ใจเย็นๆ เถิด พี่ชายข้า ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้ท่านเป็นห่วงมากจริงๆ ต้องขออภัยด้วย”

          อัสรานผงกศีรษะ แต่ยังไม่วายพูดต่อ “เจ้ารู้ตัวถือว่าดีแล้ว เร่งบอกกับเรา นางมีนามใด เป็นบุตรผู้ใด อยู่ลึกมากหรือไม่ ยังมีพ่อมีแม่ มีผู้ใดดูแลอยู่หรือไม่ ชอบพออัญมณีใด เราจะหาไปสู่ขอให้เจ้า”

          เห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นพี่ชายแล้ว อัสธาราธมิทราบสมควรจะหัวเราะหรือว่าอย่างไรดี มังกรหนุ่มรีบกล่าวขัดไว้

          “ข้ารู้สึกซาบซึ้งกับความหวังดีของท่านพี่มาก เพียงแต่ผู้นี้มิอาจสู่ขอได้”

          อัสรานมีสีหน้าตระหนกอย่างเห็นได้ชัด “โอ...หรือเจ้าไปชอบพอสตรีมีสามีแล้ว?!”

          อัสธาราธเกือบยกมือตบหน้าผากตนเอง รีบกล่าววาจาตอบพี่ชาย “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงไปชอบ....” เจ้าชายหนุ่มเว้นระยะไปครู่หนึ่ง ด้วยกำลังนึกหาถ้อยคำหลีกเลี่ยงอยู่

          “ข้าบังเอิญไปหลงชอบรูปสลักสตรีนางหนึ่ง”

          “โอ...” อัสรานอุทานออกมา ใบหน้าถึงกับถอดสี “เป็นคราวเคราะห์อย่างยิ่งแล้ว ใยเจ้าจึงไปหลงรักรูปสลักได้เล่า”

          อัสธาราธหัวเราะขืนๆ นึกขออภัยต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอยู่เงียบๆ ที่นำเอาเรื่องของพระองค์มากล่าวเป็นวาจาแก้ตัวเช่นนี้

          “บังเอิญเป็นรูปสลักอิสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง ข้าเห็นแล้วตกหลุมรักทันใด แต่น่าเสียดาย รูปสลักนั้นพินาศไปแล้ว”

          กล่าวถึงตอนนี้อัสธาราธพลันรู้สึกวาบขึ้นในหัว รูปสลักสตรีนางนั้น...ห้องบรรทมขององค์กษัตริย์ ครั้งสุดท้ายที่เข้าไป หามีรูปนางสตรีนั้นแล้ว...

          หรือว่าองค์กษัตริย์...............

          อัสรานมองดูน้องชายที่มีสีหน้าคล้ายกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างก็พาลให้ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

          “เรื่องเช่นนี้...เรา....เราพูดไม่ออกเลยจริงๆ” นึกไม่ถึงน้องชายของตนจะไปหลงรักกับรูปสลักจนไม่เป็นอันกินอันนอน หากรู้ไปถึงหูท่านพี่หญิง มีหวังได้ก่นด่าให้ลั่นวังแน่ๆ

          อัสธาราธได้ยินเสียงพี่ชายกล่าววาจาจึงพอรู้สึกตัวจากภวังค์ หันมากล่าววาจาตอบ “ท่านอย่าได้วิตกไปเลย ข้าเพียงเสียใจชั่วคราว อีกไม่นานคงทำใจได้”

          “เราหวังให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววัน” อัสรานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สตรีมีชีวิตยังมีอีกมาก เจ้าไม่ควรจมจ่ออยู่กับรูปสลัก อาบน้ำแล้วไปกับเรา ท่านพี่หญิงตัดชุดใหม่ไว้ให้เจ้า สวมแล้วเราจะพาเจ้าไปชมดูนางมังกรในนครให้ถ้วนทั่ว ดูว่ามีนางใดพอจะถูกใจเจ้าบ้าง”

                อัสธาราธได้แต่ยิ้มขืนๆ ก่อนจะโดนอัสรานฉุดมือขึ้นจากบ่อน้ำ

-------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ19 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 18/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-07-2012 10:49:12
          นางมังกรในซาร์ซากันมีให้ชมดูจนตาลาย แต่ละนางล้วนไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ บางนางแข็งแกร่งราวกับบุรุษ บางนางอ้อนแอ้นงดงามแต่ดุร้ายไม่เบา เรียกได้ว่าถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อัสธาราธคงถูกใจเข้าหลายนาง แต่ยามนี้ ไม่ว่ามองนางใด ก็ให้เห็นเหมือนกันไปหมด แต่งองค์ทรงเครื่องมาขนาดไหน ก็ไม่ทำให้รู้สึกคึกคักขึ้นเลย

          อัสรานดูจะไม่ย้อมแพ้รูปสลักในฝันของน้องชายง่ายๆ เมื่อวันนี้อัสธาราธไม่พบสตรีถูกใจ วันรุ่งขึ้นพระองค์ก็เสด็จมาใหม่ ลากตัวน้องชายออกไปนอกวังอีกรอบ ถึงกับวางแผนจะพาออกไปยังอาณาจักรข้างเคียงดู เผื่อจะมีนางที่ถูกใจบ้าง ถึงตรงนี้อัสธาราธอดไม่ได้ต้องกล่าววาจาออกมาบ้าง

          “ท่านดูรีบร้อนหาเจ้าสาวให้ข้านัก แล้วตัวท่านเล่า มิตกแต่งราชินีเสียทีเล่า?”

          “ราชินีแห่งซาร์ซากันย่อมต้องเป็นสตรีดีเลิศ เรายังต้องการเวลาค้นหา เจ้าอย่าได้วิตกแทนเรา เรารับรอง ไม่หารูปสลักมาเป็นพี่สะใภ้ให้เจ้าแน่”

          อัสธาราธจำต้องหัวเราะขืนๆ ดูอัสรานจะฝังใจกับการหลงรักรูปสลักของเขาจริงๆ แต่ครั้นจะกล่าวความจริงออกไปก็เกรงเรื่องจะแย่ไปกว่านี้ ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตายอมรับการเป็นคนรักของรูปสลักต่อไป

          อัสรานวางแผนเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไปยลโฉมสตรีทางฝั่งตะวันออก แล้วก็พาเขาออกไปบินเล่นเสียค่อนวัน ทั้งผ่านปล่องร้อน บินลอดธารลาวาที่กำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พอถึงฝั่งตะวันออกจริงๆ เสื้อผ้าก็เละเทะไปหมดแล้ว
 

          “พรุ่งนี้เปลี่ยนเส้นทางกันเถิด” อัสรานกล่าวขณะลงจากหลังน้องชายตรงลานกว้างหน้าวัง อัสธาราธขย้ำฟันหัวเราะหึๆ เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมาตามร่องจมูก แต่ยังไม่ทันจะได้คืนร่างกลาง เสียงคุ้นเคยก็ดังให้ได้แสบแก้วหู

          “อัสธาราธ ไยเจ้าชอบใช้ร่างใหญ่โตนั่นมานี่นี่นัก รู้หรือไม่ว่าต้องใช้ผู้ใดมาซ่อมสิ่งที่เจ้าทำพังบ้าง”

          อัสเธียร์ก้าวออกมา หมายจะเอ็ดน้องชายคนเล็กให้มันปาก แต่พอเห็นใบหน้าน้องชายอีกคน หน้าก็พลันเปลี่ยนสีไปอีกรอบ

          “ข้าให้เขาเข้ามาเอง” อัสรานรีบกล่าว แต่สีหน้าของพี่สาวจ้องมาคล้ายกินเลือดกินเนื้อ

          “อัสราน เสื้อผ้านี้เราเย็บให้เจ้าอย่างดี ไฉนพังพินาศเช่นนี้ นี่พวกเจ้าไปมุดเล่นปล่องร้อนกันมาอีกแล้ว? โอ....พวกเจ้าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ยังเล่นเป็นเด็กๆ กันอีก”

          อัสธาราธในร่างมังกรถึงกับเบือนหน้าหนี ขณะที่อัสรานยกมือขึ้นอุดหู หน้าของอัสเธียร์แทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

          “เราจะฟาดพวกเจ้าให้ตาย”

          กล่าวจบก็กลายร่างเป็นมังกรไฟสีแดงดำขนาดมหึมา อัสรานวิ่งกลับไปหาน้องชาย ก่อนจะตะโกนสั่ง “อัสธาราธ รีบหนีเร็ว ท่านพี่หญิงจะตีเราแล้ว”

          กล่าวพลางกระโดดขึ้นไปบนหลังน้องชายอีกรอบ อัสธาราธขยับปีก ขณะที่เงาสีแดงดำโฉบเข้ามาใกล้ สองพี่น้องหัวเราะคิกคัก ขณะบินร่อนออกไป ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องด้านหลัง

          “ไว้หาสตรีดุร้ายได้พอกับท่านพี่หญิงก่อน เราจะตกแต่งนางมาเป็นราชินีที่นี่”

--------------------------------------------------------------

          กว่าที่อัสเธียร์จะหายโกรธ สองพี่น้องก็สะบักสะบอมกว่าเดิม อัสธาราธชักเริ่มสงสัยว่าระหว่างอัสรานกับอัสเธียร์ใครเก่งกว่าใครกันแน่ หากเปลี่ยนผู้นำจากอัสรานเป็นอัสเธียร์ น่ากลัวพวกเขาจะต้องนั่งจับเจ่าเฝ้าวังเป็นนางสตรีแน่แท้

          อัสธาราธกลับมาถึงห้อง เหนื่อยจนไม่มีแก่ใจจะคิดอันใดให้มากอีก ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

          ในฝันเลื่อนลอย ยังคล้ายเห็นดวงตาสีมรกตจางๆ

          เรเธียร์.....

----------------------------------------------------------------

          ยุทธการหาคู่ของอัสธาราธโดยอัสรานยังคงดำเนินไปอีกอาทิตย์กว่าๆ วันๆ เล่นเอาอัสธาราธเหนื่อยจนไม่มีแรงจะคิดมากอีกแล้ว พอกลับถึงห้องก็หลับเป็นตาย พอลืมตาขึ้นมาก็พบพี่ชายยืนรอท่าอยู่แล้ว มาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกซาบซึ้งกับความพยายามของอัสรานจริงๆ

          แต่วันนี้อัสรานไม่ได้มารอเช่นทุกวัน ผู้รับใช้คนหนึ่งแวะมาแจ้งข่าวว่าองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ติดภารกิจต้องรับพระราชอาคันตุกะจากต่างเมือง อัสธาราธจึงมีเวลาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

          เจ้าชายหนุ่มตัดสินใจออกมาเดินเตร็ดเตร่ที่ด้านนอก ห้วงอารมณ์ถวิลหาอย่างไร้สติเช่นตอนที่กลับมาใหม่ๆ ดูจะจางไปแล้ว มีเพียงความคิดถึงที่ผุดมาจากภาพฝันในบางเวลาเท่านั้น

          อัสธาราธเดินเล่นมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ก็มาอยู่อยู่ตรงริมหาดแล้ว เสียงคลื่นซัดฝั่งดังแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่คล้ายคลื่นลมดูสงบอย่างน่าประหลาด

          อัสธาราธเลือกโขดหินขนาดเขื่องที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นเป็นที่นั่งหย่อนกายชั่วคราว น่าแปลกที่พอสัมผัสกับไอน้ำเค็มของอิลห์ลารินแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด คล้ายได้สัมผัสกับร่างเย็นยะเยือกนั้นอีกครั้ง

          เจ้าชายหนุ่มเหม่อมองไปยังท้องน้ำกว้างเบื้องหน้า พลางนึกในใจว่าจะใช้คำพูดอย่างไรบอกกล่าวกับผู้เป็นพี่ชายหากตนต้องกลับไปยังนครบาดาลอีกรอบ ยังมีพี่หญิงอีกเล่า อัสธาราธรู้สึกว่าเขารักพี่น้องสองคนนี้มากจริงๆ หากต้องทำให้ทั้งสองมีสีหน้าทุกข์ใจเพราะเรื่องราวนี้อีกคงจะกลับไปยังนครบาดาลอย่างไม่สงบใจแน่ๆ

          เงาสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในท้องน้ำกว้าง อัสธาราธผุดลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เงาสีดำนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ฝั่งเรื่อยๆ ก่อนที่ผู้หนึ่งจะปรากฏร่างขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

          “เจ้าชายอัสธาราธ”

          เจ้าของเรือนผมสีฟ้าเทาเช่นเดียวกับสีของดวงตาเอ่ยเรียกและโค้งตัวให้ความเคารพคราหนึ่ง อัสธาราธกะพริบตาปริบๆ และพยายามยิ้มตอบออกไป “เป็นท่าน....มีเรื่องอันใดเล่า?”

          อูห์รูนมิตอบคำถาม เพียงล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ดูคล้ายจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายที่เขียนลงบนสิ่งที่ประดิษฐ์จากของในเมืองบาดาล พอถึงมือเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก็พลันแห้งผากลงทันใด

          อัสธาราธมองหน้าอูห์รูน สีหน้าของผู้รับใช้ดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด พอให้จดหมายแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงโค้งให้อีกครั้งและหายกลับลงน้ำไป

          อัสธาราธเหม่อมองเงาสีดำขนาดใหญ่พาดหายลงไปในห้วงน้ำลึก รู้สึกจดหมายในมือหนักอึ้งราวกับมีพะเนินหินถ่วง สายลมแห่งอิลห์ลารินยังคงพัดพาคลื่นซัดกระทบกับโขดหิน ละอองน้ำกระเซ็นซ่านขึ้นมา กระทบกับซองจดหมาย จนหมึกที่จางไปแล้วกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง

 
          ถึง...เจ้าชายอัสธาราธ
 
          ภาษาคอนเชียร์ที่เขียนด้วยลายมืองดงามเสียยิ่งกว่าที่ชาวคอนเชียร์เขียนเองเสียอีก อัสธาราธรู้สึกว่ามือของตนเองสั่นเทา ละอองน้ำยังคงกระเซ็นสาด ซองจดหมายค่อยๆ ถูกพลิกช้าๆ ด้านหลังมีตราประทับที่เขาจำได้ดี

          ตราประจำพระองค์ขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน

          เจ้าชายหนุ่มขบริมฝีปาก หลับตาลงชั่วครู่ คล้ายหวาดกลัวถ้อยความในจดหมายนี้เสียเหลือเกิน จดหมายจากบาดาล หากทิ้งเอาไว้ให้สัมผัสไอร้อนแห่งคอนเชียร์เพียงไม่นาน ก็จะสลายไปเอง ถ้อยความด้านในก็จะไม่มีใครรับรู้ไปตลอดกาล

          อัสธาราธพลิกซองจดหมายอีกรอบ ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกของเมืองบาดาลยังคงเห็นเด่นชัด ลายมืองดงามทำให้นึกถึงความตั้งใจของผู้เขียน นึกถึงมือเรียวนั้นยามจรดปากกาลงบนกระดาษ ช่างงดงามเหลือเกิน

          เจ้าชายหนุ่มค่อยๆ แกะซองจดหมายด้วยมือสั่นเทา ด้านในมีกระดาษจดหมายที่พับเรียบร้อยอยู่สองสามแผ่น พอคลี่ออก ละอองไอน้ำก็สาดกระเซ็นเข้ามาราวกับต้องการเน้นย้ำเนื้อความในจดหมายให้เด่นชัดมากขึ้น
 

          เด็กน้อยที่รักของเราเอย......

          เราใช้เวลาคิดนานเหลือเกินในการเขียนจดหมายฉบับนี้ ประการหนึ่งเนื่องเพราะเราสูงวัยมากแล้ว ทำสิ่งเหล่านี้บางคราอาจเป็นการประจานตัวเองให้ได้อับอาย และอีกประการ ภาษาคอนเชียร์นั้น เราจำได้ไม่มากเท่าไรเลย อาจมีเขียนผิดบ้าง โปรดอภัยด้วย

          เราตรึกอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเจ้า คงจะเป็นจดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวที่เราจะเขียนในชาตินี้ อูห์รูนและผู้รับใช้คนอื่นดูจะวิ่งหาวัตถุดิบทำกระดาษให้วุ่นวายไปหมด ร่างกายเราแย่มากแล้ว จะให้ออกไปหาเองก็คงไม่ไหว ดูเราจะรบกวนผู้อื่นจนกระทั้งถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิตจริงๆ

          เราเขียนจดหมายฉบับนี้ในห้องนอนของเราเอง บนแท่นนอนที่เคยมีเจ้าเคียงด้วย ยามนี้ห้องนอนของเราว่างเปล่ายิ่งนัก แม้กระทั้งรูปสลักสตรีมนุษย์ที่เราเคยพิศมองทุกเช้าเย็น ก็ได้พังทลายไปแล้ว ชีวิตของเราว่างเปล่าลงเรื่อยๆ

          กระนั้นเรายังคงคิดถึงยามได้ใกล้ชิดเจ้าเสมอๆ

          ยามจมลงสู่ห้วงนิทรา ความทรงจำครั้งได้อยู่ร่วมกับเจ้าผุดชัดขึ้นมาราวกับได้ย้อนเวลากลับไปมิปาน เรามีความสุขมากเหลือเกิน แต่เรามิอาจจมจ่ออยู่ในห้วงอดีตได้ตลอด เช่นเดียวกับที่เจ้าเองก็ไม่อาจฝันอยู่ได้ตลอด ความทรงจำนี้ สักวันหนึ่งเราคงลืมเลือนมันไป

          เรากลัวเหลือเกิน เราไม่อยากจะลืมเจ้าเลย....

         
          วันนี้ช่างในวังเอาสายสร้อยที่เราสั่งทำมาให้ ตราประจำตัวที่เจ้าทำให้เราจากหินภูเขาไฟตอนนั้น เราให้ช่างนำไปเข้ากับเม็ดพลอยสีแดงก่ำ พอเสร็จออกมาแล้วก็ดูสวยงามมากจริงๆ เรายังแอบหวังจะให้เจ้าได้เห็นสักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ร่างกายเราย่ำแย่เต็มที เราทำได้เพียงสวมไว้ให้ได้นานที่สุด เผื่อจะคลายความคิดถึงเจ้าได้บ้าง

          พอสวมแล้ว พาลให้นึกถึงภาพเจ้าตอนมุดเล่นในปล่องร้อนนั่นเสียทุกที เรายังรู้สึกตกใจไม่หาย ชาวคอนเชียร์ช่างประหลาดแท้ พอนึกถึงเจ้าทีไร เรามักยิ้มขึ้นมาทุกที ท่าทางอูห์รูนคงเข้าใจว่าเราใกล้เสียสติเต็มทีแล้ว วาระสุดท้ายรุกคืบมาถึงเราเหมือนเงาดำที่เคลื่อนมาบดบังดวงจันทร์ ช้าๆ แต่ชัดเจนในความรู้สึกของเราเสียเหลือเกิน

 
          ยามนี้ เราแทบไม่รับรู้สิ่งภายนอกได้อีกแล้ว แม้กระทั่งดวงตาก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอูห์รูนได้อีก ดังนั้น เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเขียนจดหมายอ่านออกหรือไม่ เราทำทุกอย่างโดยใช้ความทรงจำและกระแสจิตแทบทั้งหมด ร่างกายเราหมดความรู้สึกไปแล้ว กระทั่งปากกาที่ถืออยู่ยังต้องคอยให้อูห์รูนจับใส่มือเลย ความตายนอกจากน่ากลัวแล้วยังทำให้ผู้อื่นลำบากอีกด้วย

          ยังดีที่เราพอได้ยินเสียงบ้าง เลยยังพอกล่าววาจาได้อยู่ พอได้ยินแต่เสียงแล้ว ก็นึกถึงเจ้าขึ้นมาอีก หากมีเจ้าอยู่ เราคงพอจะหัวเราะได้มากกว่านี้

          ครั้งหนึ่งเราเคยคิดจะรั้งตัวเจ้าเอาไว้อยู่ข้างเราจนวาระสุดท้าย เนื่องเพราะเราพอใจเจ้ามากจริงๆ เราคงเป็นผู้ชราที่ขี้เหงาจนเห็นแก่ตัวไปแล้ว เราคิดกระทั่งจะรอให้ตัวเองดับสิ้นไปก่อน จึงค่อยส่งเจ้ากลับบ้าน แต่..โอ.....ไม่ใช่มีแต่เราผู้เดียวที่คิดถึงเจ้า ยังมีพี่ชายเจ้า พี่สาวเจ้า ชาวเมืองที่คอนเชียร์อีกเล่า เราเป็นเพียงผู้ที่เพิ่งเข้ามาเท่านั้น จะลุแก่อำนาจรั้งตัวเจ้าไว้ด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัวเช่นนี้ดูจะไม่สมควรกับฐานะของเราเลย และเราพาลนึกถึงใบหน้าเจ้ายามได้เห็นวาระสุดท้ายของเรา โอ....หากเห็นเจ้าเศร้าในวาระสุดท้ายเช่นนั้น เราจะไปสงบได้อย่างไร
ดังนั้น เราจึงตัดสินใจส่งเจ้ากลับ เจ้าคงคิดถึงเราบ้าง แต่ในไม่ช้า ผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเจ้าจะทำให้เจ้าคลายความคิดถึงต่อเราไปได้เอง เนื่องเพราะเจ้ายังมีผู้อื่นให้ควรคิดถึงมากกว่าเรา

          แต่เราไม่อาจคิดถึงผู้ใดได้นอกจากเจ้าอีกแล้ว ยิ่งวาระสุดท้ายใกล้เข้ามาเท่าใด เรายิ่งคิดถึงเจ้ามากเป็นทวีคูณ คิดถึงจนทุรนทุรายไปหมด เราจึงตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อแบ่งเบาความคิดถึงนั้นลงบ้าง และให้อูห์รูนวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่ บอกกับเจ้า ทุกวันนี้เราได้แต่นั่งๆ นอนๆ แล้ว มีผู้คนมาเยี่ยมบ้าง แต่เราไม่ค่อยจะได้ยินหรือรับรู้เท่าไรแล้ว

          วาระสุดท้ายของเราคล้ายเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้อื่น ได้ยินว่ายิ่งความตายใกล้เข้ามาเท่าไร ร่างกายของเราจะดูงดงามมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับเราแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายค่อยๆ หายไปทีละส่วน ทุกวันนี้เราหาความสุขด้วยการจิตนาการถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่เราคงไม่มีโอกาสได้เห็น และเขียนจดหมายถึงเจ้า

          ดวงไฟสีน้ำเงินยามผุดขึ้นมาจากท้องน้ำแห่งอิลห์ลารินจะเป็นภาพอย่างไรกัน ตอนนี้ตาของเราก็มองไม่เห็นเสียแล้ว ยังไม่ทันถึงวาระสุดท้าย หลายส่วนก็ด่วนจากไปล่วงหน้า หูก็คล้ายจะเงียบลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าได้อีกเท่าไร

 
          เราเขียนจดหมายถึงเจ้าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอ่านออกหรือไม่อีกแล้ว เราไม่กล้าใช้ให้อูห์รูนอ่านดู เพราะรู้สึกถ้อยความในจดหมายนี้ช่างน่าอายนัก เราผู้เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่เขียนจดหมายพร่ำเพ้อถึงมังกรหนุ่มจากเมืองด้านบน มีชีวิตมาถึงตอนนี้เรายังพอเหลือยางอายอยู่บ้าง แต่ร่างกายเราในยามนี้แทบจะหมดความรู้สึกแล้ว เราไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้ว ยังรู้สึกอยู่แค่มือของอูห์รูนที่คอยประคองร่างของเราในบางครั้ง พอไม่ได้ยินเสียงคนอื่นแล้ว ในหัวของเราก็ได้ยินแต่เสียงของเจ้า ภาพที่เราเห็นก็มีแต่ภาพความทรงจำที่มีเจ้าอยู่

          เด็กน้อยที่น่ารักของเราเอย......

          มาถึงตอนนี้เรามีสิ่งหนึ่งที่จะต้องขอโทษเจ้า เราได้ทำสัญญาที่ไม่อาจเป็นจริงได้กับเจ้าไปเสียแล้ว เพราะทนเห็นสีหน้าจริงจังของเจ้าไม่ได้แท้ๆ เชียว เราจึงสัญญาเช่นนั้นลงไป ดูท่าเราจะใจอ่อนกับเจ้าจนถึงวาระสุดท้ายจริงๆ

          เราคงไม่อาจขึ้นไปรับเจ้าตามสัญญาได้

          เจ้าไม่ต้องรอเราอีกแล้ว มนต์สะกดทุกอย่างที่เราเคยใช้เล่นกับเจ้าเบื้องล่างนี้ เราคลายให้เจ้าจนสิ้นแล้ว อาจมีร่องรอยเหลืออยู่บ้าง แต่คงสลายไปในไม่ช้า เราคงไม่อาจได้เห็นดวงหน้าของเจ้าอีกแล้ว คงไม่อาจได้ยินเสียงเจ้าอีกแล้ว คงไม่อาจหัวเราะเยาะเจ้าได้อีกแล้ว

          แต่เราคงคิดถึงเจ้าจวบจนถึงลมหายใจสุดท้าย

          เราคงต้องจบจดหมายแล้ว เพราะเราแทบไม่รู้สึกว่าเขียนอยู่อีกแล้ว เรารู้ว่าจดหมายฉบับนี้คงทำให้เด็กน้อยเจ้าโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่จงระลึกไว้เถิดว่านี่เป็นเพียงความทรงจำส่วนหนึ่งของเราที่อยากถ่ายทอดถึงเจ้าเท่านั้น ไม่มีค่าให้เสียใจนานเท่าไร แต่หากเจ้ามีจิตใจเอื้อต่อเราสักนิด จงระลึกถึงเราบ้างในวันข้างหน้า จดจำสิ่งดีๆ ที่เราเคยให้กับเจ้า ส่วนสิ่งร้ายๆ เอาเถิด...เจ้าจะจำเราก็ไม่ว่ากระไร ขอเพียงอย่าโศกเศร้าก็พอแล้ว

          เราอยากให้เจ้ายิ้มหลังอ่านจดหมายจบ ยิ้มให้กับเราที่จะกลับสู่จุดเริ่มต้น

          ขอให้พระแม่แห่งสายธารคุ้มครองเจ้าด้วย เด็กน้อยของเราเอย.......

 
          หูของอัสธาราธยังคงได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดโขดหินได้อย่างชัดเจน ดวงตายังคงมองเห็นลายมือบนกระดาษจนถึงบรรทัดสุดท้าย นิ้วมือยังคงรู้สึกถึงตัวจดหมายที่ขยับตามแรงลมที่พัดมา

          แต่หัวใจคล้ายถูกแช่แข็งไปแล้ว

          กระทั่งจะกลืนน้ำลายยังรู้สึกเหมือนลำคอถูกบีบเอาไว้ เนิ่นนาน อัสธาราธจึงพอจะเงยหน้าขึ้นจากจดหมายฉบับนั้น ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว กระทั่งคลื่นลมเองก็เหมือนจะสงบลงอย่างน่าประหลาด ละอองน้ำไม่กระเซ็นสาดเข้ามาอีกแล้ว เมื่อก้มลงอีกครั้ง เนื้อความในจดหมายก็เลือนไปเพราะความร้อนจนแทบสิ้นแล้ว และเมื่อลมทะเลพัดมาอีกวูบหนึ่ง จดหมายทั้งหมดก็พลันสลายกลายเป็นฝุ่นละอองไป

          ละอองสีขาวฟ้าพราวระยับปลิวไปในกระแสลม ต้องกับแสงแดดสีทองสุดท้ายของวัน กลายเป็นเกล็ดแสงสีรุ้งพราว

         
          อัสธาราธยังคงนั่งอยู่บนโขดหิน ปล่อยให้ละอองคลื่นกระเซ็นสาดร่างเป็นระยะ ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว รอบกายมืดสนิท ดวงหน้าคมคายเรียบเฉยราวกับรูปสลัก ดวงตาสีแดงเพลิงทอดมองไปยังท้องน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า ภาพความทรงจำตั้งแต่ครั้งร่วงหล่นลงไปในท้องน้ำแห่งอิลห์ลารินครั้งแรกผุดขึ้นในห้วงความคิด

ทั้งความหวาดกลัว ความขลาด ความเขลา ความกล้าหาญ ความขัดเขิน ความรัก ความเสียใจ ถูกนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้นดึงให้แสดงออกมาจนหมดสิ้น อัสธาราธรู้สึกเหมือนตนเองผ่านห้วงฝันอันยาวนาน และลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกยากจะลืมเลือน

---------------------------------

ในความมืดแห่งอิลห์ลาริน ดวงจุดสีน้ำเงินเล็กๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ หนึ่งดวง...สองดวง....สามดวง ทยอยผุดขึ้นมาทีละดวงสองดวงจนกลายเป็นจุดสีน้ำเงินสว่างสุดลูกหูลูกตา
งดงามสมฐานะและบารมีขององค์กษัตริย์จริงๆ

                “ทรงเสด็จกลับสู่ครรภ์แห่งพระมารดาเสียแล้ว...” อัสรานพึมพำเบาๆ ขณะมองดวงไฟสีน้ำเงินพราวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ พระองค์เพิ่งเสร็จจากการว่าราชการ ร่างสูงสง่าเดินไปยังมุมห้องประทับ ประคองเอาโคมไฟวิจิตที่มีดวงไฟสีน้ำเงินเต้นระริกอยู่ภายใน เดินมายังบานหน้าต่าง อัสเธียร์ที่อยู่ในห้องด้วย เดินมายืนเคียงข้างอย่างเงียบๆ

          ไร้ซึ่งถ้อยคำใดอีก องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์เพียงเปิดโคมออก ดวงไฟสีน้ำเงินลอยออกจากตัวโคม ขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สองพี่น้องแหงนมองตามขึ้นไป ก่อนจะโค้งตัวถวายความเคารพอย่างสูงสุดให้กับวาระสุดท้ายขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน

         
          ดวงไฟสีน้ำเงินผุดขึ้นจากผิวน้ำและสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงหนึ่งสูญไป ดวงอื่นก็ผุดขึ้นมาแทนที่ จนคล้ายไม่มีวันจบสิ้น ดวงไฟมากมายลอยพ้นผิวน้ำขึ้นมานับจำนวนไม่ถ้วน งดงามราวภาพฝัน เงาประกายสีน้ำเงินยังคงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีแดงเพลิง อัสธาราธผุดลุกขึ้นเงียบๆ

          ไม่เคยมีในบันทึกมาก่อน และต่อไปก็อาจจะไม่มีอีก ท่ามกลางดวงไฟสีน้ำเงินแห่งอิลห์ลาริน ดวงไฟสีแดงเพลิงขนาดใหญ่สว่างวาบขึ้นกลางท้องน้ำ ย้อมทาแสงสีน้ำเงินจนแดงฉานไปทั่ว เพียงชั่วอึดใจก็มลายหายไป คงเหลือไว้แต่ดวงไฟสีน้ำเงินพรายที่ยังผุดขึ้นมาเช่นเดิม

          อัสธาราธยืนอยู่บนโขดหิน ไม่ทราบเป็นคราบน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาต้องใบหน้าหรืออะไรกันแน่ที่เปื้อนอยู่ กระนั้นบนใบหน้าได้รูปก็ปรากฏรอยยิ้มบางเบา

 
          ลาก่อน....ผู้ที่ข้าพเจ้าจะรักจนตราบสิ้นชีวิต........

------------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-07-2012 11:09:55
ง่า เศร้ายิ่งกว่าเดิม ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 19-07-2012 11:45:30
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :a5: :a5: :a5: o22 o22

น้ำตาไหลตามเลย

+1 ให้เลยอินมาก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 19-07-2012 12:08:08
 :o12:เศร้า น้ำตาไหลพรากๆเลย
ไม่น่าแอบอ่านตอนทำงานเลย
หมดแรงทำงาน แถมตาบวมด้วย โฮวววว
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 19-07-2012 12:55:53
ToT
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 19-07-2012 13:13:38
เศร้า
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Have_a_hope ที่ 19-07-2012 13:14:27
 :sad4: :sad4:

เศร้าค่ะ เศร้า รอตอนต่อไป อาจมีอะไรพลิกผัก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 19-07-2012 15:00:43
เศร้าเลย TT^TT
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 19-07-2012 16:08:48
 :m15:
มันเศร้า น้ำตาแทบล่วง
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 19-07-2012 18:04:43
เศร้ามากๆ น้ำตาร่วงเลย ไม่รู้ว่าสงสารใครมากกว่ากันT^T
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 19-07-2012 20:25:29
ร้องไห้แทนอัสธาราธเลยอะ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 19-07-2012 21:20:30
โอ้.... T-T
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ20 P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 19/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-07-2012 06:16:40
21 : บทอวสาน

                อัสรานเหม่อมองออกไปยังลานระเบียงด้านหน้าห้องทรงงาน พลางยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสภาพครบสมบูรณ์พร้อมของราวระเบียงที่เริ่มเก่าไปตามสภาพ หากเป็นเมื่อห้าสิบปีก่อน รับรองว่าพระองค์คงไม่มีวันได้เห็นราวระเบียงที่สมบูรณ์จนเก่าได้ขนาดนี้เป็นแน่แท้ เงาสีแดงขนาดมหึมาโฉบผ่านหลังคาพระราชวัง เงาสีดำหดเล็กลงทันทีที่มาถึงหน้าที่ประทับ พอองค์กษัตริย์ก้าวออกไป ผู้มีเรือนผมสีแดงเกือบดำสนิทก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

          “ชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง?”

          “เรียบร้อยดีทุกประการ ข้าจัดการวางแนวเขตและตกลงเป็นพันธมิตรกับชาวเมอร์กิเดียนที่อาศัยอยู่แถวนั้นแล้ว”

          องค์อัสรานแย้มยิ้มอย่างพอพระทัย ก้าวเท้าเข้ามา ยกมือตบบ่าร่างสูงใหญ่นั้นเบาๆ

          “ขอบใจเจ้าจริงๆ อัสธาราธน้องชายข้า”

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย และยิ้มบางๆ เรือนผมสีแดงดำไล้ไปตามใบหน้าได้รูป ร่างกายดูสูงใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก ดวงตาที่เคยเป็นสีแดงเพลิงก็ดูคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าก็ดูสงบเรียบร้อยขึ้น เรียกได้ว่าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว

          อัสรานยิ้มให้กับผู้เป็นน้องชาย “เจ้านับวันดูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สักวันเราจะสละตำแหน่งให้เจ้านั่ง จะได้หนีออกไปเที่ยวเล่นบ้าง”

          อัสธาราธยิ้มจนเห็นฟันในปาก พลางกล่าว “ท่านไม่ต้องสละตำแหน่ง ก็บังคับข้าให้พาออกไปเที่ยวเล่นไม่เว้นวันอยู่แล้ว เอาอย่างนี้เถิด ให้ข้าหาเจ้าสาวให้ท่านสักคน ท่านจะได้ถูกนางขู่บังคับบ้าง”

          “อืม....เราถูกท่านพี่หญิงขู่คนเดียวก็เกินพอแล้ว” อัสรานตอบ พลางหัวเราะอีก “กลับมาคราวนี้ อยากแช่น้ำเล่นกับเราก่อนหรือจะไปนั่งเล่นริมหาดก่อนเล่า?”

          “ท่านก็ทราบ ข้าเลือกข้อแรกก่อนเสมอ”

-----------------------------------------------

          อัสรานมองดูแผ่นหลังของน้องชาย อัสธาราธดูโตขึ้นมากจริงๆ กระทั่งสีผมเองก็เปลี่ยนแล้ว ถึงอย่างนั้นกลับมีพฤติกรรมแปลกประหลาดที่ดูน่าเป็นห่วงหน่อยๆ หลังจากเรื่องเมื่อห้าสิบปีก่อน น้องชายผู้นี้ก็เริ่มไปนั่งเล่นที่ริมหาด แม้จะไม่ได้ไปทุกวัน แต่ไม่เคยมีมังกรในคอนเชียร์ตนใดพิศวาสชายหาดมาก่อน อัสธาราธมักใช้เวลาว่างไปกับการนั่งคนเดียวตรงโขดหินแถวนั้น ไม่รู้ว่ารอใครหรือคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือยังอาวรณ์ถึงรูปสลักนั้นอยู่

          ถึงจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่ดูอัสธาราธจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้นอีก อัสรานเลยพยายามทำใจว่าน้องชายคงแค่มีงานอดิเรกที่แปลกออกไปเท่านั้น

          อัสธาราธแช่น้ำจนพอใจก็ขื้นจากสระ แต่งตัวและเดินออกไปนอกวัง ตรงไปยังชายหาดอย่างที่เคยทำประจำมาตลอดห้าสิบปี

          แรกๆ เดินมาเพราะยังอาวรณ์ในตัวขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่สิ้นไปแล้วอยู่ แต่หลังๆ มานี้ คล้ายเป็นความเคยชินเสียแล้ว พอได้เห็นห้วงน้ำแห่งอิลห์ลารินก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้พบอีกแล้วก็ตาม

          อัสธาราธปีนขึ้นนั่งบนโขดหิน ปล่อยให้ละอองคลื่นกระเซ็นใส่ร่างกายอยู่พักหนึ่ง จึงหยิบเอาหินลาวาในอกเสื้ออกมา จะนั่งเฉยๆ ก็ใช่ที่ อัสธาราธจึงหางานอดิเรกเพิ่มเติมโดยการแกะหินเป็นรูปอาวุธต่างๆ เอาไว้ให้บรรดาลูกของเหล่าพลทหารเอาไปหัดเล่นกัน

          การได้อยู่ท่ามกลางเสียงคลื่นทำให้จิตใจสงบอย่างประหลาด อัสธาราธรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ ยามถูกละอองคลื่นกระเซ็นใส่ตัว เจ้าชายปล่อยให้เรือนผมสีแดงก่ำถูกสายลมพัดสยาย ขณะลงมือแกะสลักหินภูเขาไฟอย่างตั้งใจ

          !!

          อัสธาราธเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่ รู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบางอย่างว่ายอยู่ในห้วงน้ำตรงหน้า แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจากอิลห์ลารินมาปรากฏตัวที่นี่หลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่การมาของข้ารับใช้แห่งสายน้ำในครั้งนั้น อัสธาราธยิ้มให้กับตนเอง ผ่านมานานแล้ว แต่บางครา ภาพความทรงจำในคราวนั้นก็ยังตามมาให้คิดถึงอยู่

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ก้มลงเตรียมจะสลักหินต่อ แต่แล้วก็พบว่ามีเงาสีดำว่ายผ่านผืนน้ำตรงหน้าไปจริงๆ หัวใจที่เต้นอย่างสงบมาหลายปีดูจะเต้นแรงขึ้นมาทันที อัสธาราธผุดลุกขึ้น มองตรงไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า และแทบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา

          นัยน์ตาสีเขียวมรกต

          อัสธาราธรู้สึกว่าตัวเองตาฝาด มันจะเป็นไปได้อย่างไร ดวงตาสีนั้น... ผู้ที่มีดวงตาสีนั้น สิ้นไปเมื่อนานมาแล้ว เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ชะโงกมองลงไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าอีกรอบ ท้องน้ำถูกก่อนกวนจนขุ่นข้น แสดงให้เห็นว่ามีตัวอะไรว่ายอยู่จริงๆ กระนั้นกลับไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นอีก ยืนอยู่เป็นนานยังไม่เห็นอะไร อัสธาราธจึงบอกตัวเองว่าคงจะตาฝาดไปจริงๆ

          ขณะที่กำลังจะกลับลงไปนั่ง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

          “เจ้าเป็นผู้ใด?”

          อัสธาราธถึงกับสะดุ้ง เนื่องเพราะเสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลัง หากผู้นี้หมายปองชีวิต ตนคงตายไปแล้วแน่แท้ เจ้าชายหันหน้ากลับไป และต้องงุนงงอีกครั้งเมื่อเผชิญกับความว่างเปล่า

          “เราอยู่ตรงนี้” เสียงเดิมดังขึ้น เหมือนจะดังมาจากตรงหน้านี่เอง อัสธาราธมองซ้ายมองขวา จวบจนก้มลงนั่นแหละ ถึงได้เห็นร่างเจ้าของเสียง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์อุทานออกมาอย่างลืมตัว

          “เรเธียร์!”

          เจ้าของร่างนั้นสูงแค่เลยหัวเข่าเขาเล็กน้อยเท่านั้นเอง เรือนผมเป็นสีฟ้าอ่อนแทบจะขาว นัยน์ตาสีมรกตมองขึ้นมาอย่างสงสัย

          “เรียกชื่อผู้ใด?”

          อัสธาราธนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งด้วยความสับสน พอตั้งสติได้จึงค่อยนั่งลงคุกเข่าให้เสมอกับร่างเล็กตรงหน้า กล่าวยิ้มๆ

          “ชื่อของผู้ที่เรารู้จักผู้หนึ่ง ท่านมีนามใดเล่า?”

          ดวงตาสีเขียววาวจ้องมองเขาอีกครั้ง ด้วยสายตาตำหนิ “เจ้ายังไม่ได้ตอบเราว่าชื่ออะไร แล้วจะให้เราตอบเจ้าได้อย่างไร”

          อัสธาราธยิ้มเขินๆ และพูดตอบไป “ข้าพเจ้ามีนามว่าอัสธาราธ”

          ดวงตาสีเขียวกะพริบปริบๆ “ชื่อฟังดูแปลกหูพิลึก เจ้าเป็นชาวบกที่นี่?”

          ผู้ถูกถามพยักหน้า ดวงหน้าน้อยๆ เอียงคอมองอย่างสนเท่ห์ “เท่าที่เราจำได้ ชาวบกล้วนไม่ถูกกับสายธารแห่งอิลห์ลาริน เจ้าเป็นพวกผิดปกติ?”

          อัสธาราธหัวเราะออกมา พอเห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้า จึงรีบพูดต่อ “ข้าพเจ้าไม่ได้ผิดปกติ ข้าพเจ้าเพียงแต่มารอผู้หนึ่ง รอไปรอมาเลยกลายเป็นเคยชินไปเสียแล้ว”

          “เจ้ารอผู้ใด?”

          อัสธาราธนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ อีกครั้ง “ไม่แน่ว่าผู้ที่ข้าพเจ้ารอจะจำสัญญาที่ให้ไว้ได้อีกหรือเปล่า”

          ร่างเล็กนิ่วหน้าอีกครั้ง “ผู้ใดให้สัญญาไว้ย่อมต้องจำได้”

          อัสธาราธยิ้มกว้างออกมา “เช่นนั้น ท่านยังจำได้สัญญาได้”

          “จำไม่ได้แล้ว” ร่างเล็กตอบสวนกลับทันที ก่อนจะทำหน้ามุ่ย “เราเพิ่งลืมตาได้ไม่กี่ปี ผู้อื่นก็หวังให้เราจำนั่นจำนี่ได้เสียแล้ว ใยไม่หัดจดจำกันเองบ้าง เรายังเป็นทารกอยู่ จะไปจำหมดได้อย่างไรเล่า”

          อัสธาราธเผลอหัวเราะออกมาอีก อีกฝ่ายยิ่งหน้านิ่วกว่าเดิม “ชาวบกช่างไร้มารยาทนัก!”

          กล่าวพลางสะบัดหน้าทำท่าจะกระโดดลงจากโขดหิน เจ้าชายแห่งคอนเชียร์รีบยื่นมือไปรั้งตัวไว้

          “ขออภัย เผอิญผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักเคยกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นทารก พอได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าเลยอดขำมิได้”

          “โอ...ผู้เห็นเจ้าเป็นทารกต้องตาบอดแน่แท้” ร่างเล็กค่อนแคะ พลางดึงมือที่รั้งไว้ออกจากตัว “มือเจ้าร้อนยิ่ง เอาออก เรารู้สึกไม่สบายเลย”

          อัสธาราธปล่อยมือออกทันที และเอ่ยถามบ้าง

          “ท่านเล่า มาทำอะไรที่นี่ ดินแดนแห่งนี้ไม่มีชาวบาดาลมาปรากฏหลายสิบปีแล้ว”

          ดวงตาสีเขียวมรกตกะพริบปริบๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยวาจาออกมา “ไม่รู้”

          “แล้วกัน...” อัสธาราธคราง ได้ยินเสียงเดิมรีบพูดต่อ “เราแค่หนีผู้รับใช้ออกมา ผู้รับใช้นั้นจู้จี้จุกจิกกับเรายิ่งนัก เล่นด้วยก็ไม่สนุก เราจึงว่ายหนีออกมา ว่ายมาจนมาเจอเจ้านี่แหละ”

          อัสธาราธพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ร่างเล็กถลึงตาใส่ทันที “บอกกับเจ้าก่อน เรามิใช่เด็กหลงทางเด็ดขาด ที่ว่ายมาถึงนี่เพราะรู้สึกเหมือนมีใครรออยู่หรอก...”

          รอยยิ้มบนใบหน้าอัสธาราธกว้างกว่าเดิม “จำได้หรือไม่ ผู้ใดรอท่านอยู่”

          “จำไมได้” เสียงเดิมตอบปัดๆ พลางเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย อัสธาราธขยับตัวเข้าไปใกล้อีก “ท่านจำไม่ได้จริงๆ ?”

          ร่างเล็กหันมาถลึงตาใส่ “เจ้าจะเซ้าซี้ไปใย เราบอกจำไม่ได้ก็คือจำไม่ได้ เราไม่รู้ว่าคนที่เรามาหาคือเจ้าหรือไม่ จะให้เราตอบไปได้อย่างไร”

          “นึกไม่ออกสักนิดเลยฤา?”

          มือน้อยผลักร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาออกทันที “อย่าเข้าใกล้เรามาก”

          “ทำไมเล่า?”

          “เรากลัวหัวใจวายตาย”

          อัสธาราธมองหน้าฝ่ายนั้นอย่างงงๆ ร่างเล็กกล่าวต่อ “พอเจ้าเข้ามาใกล้ หัวใจเราก็เต้นแรงแปลกๆ เจ้าต้องนำโรคมาสู่เราแล้วแน่แท้”

          ดวงหน้าน้อยๆ เริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อ อัสธาราธขยับเข้าไปใกล้อีก และถูกผลักออกมา “ออกไป เจ้าเอาโรคมาติดเราแล้ว เราร้อนไปทั้งตัวแล้ว”

          อัสธาราธอดไม่ได้ต้องหัวเราะขึ้นมาอีก ก่อนจะรีบพูดต่อ “ท่านใจเย็นๆ เถิด โรคเช่นนี้ข้าพเจ้าเคยเป็นอยู่ รักษาได้ไม่ยาก”

          “รักษาอย่างไร? ให้เจ้าไปให้พ้นเรา?”

          “หากข้าพเจ้าไปพ้นท่าน ระวังท่านจะเป็นโรคหนักกว่าเก่า”

          “หึ เจ้าไปให้พ้น เรามีแต่จะหายจากโรค”

          “งั้นข้าพเจ้าไปแล้ว” กล่าวพลางกระโดดลงจากโขดหินทันที ได้ยินเสียงเล็กร้องเรียก “เดี๋ยว!!”

          “มีอันใด?”

          ร่างเล็กยืนเม้มปากอยู่บนโขดหิน พวงแก้มอูมๆ เป็นสีแดงเรื่อดูน่ารัก ได้ยินเสียงเดิมพูดต่อ “บอกเรามาก่อน โรคนี้รักษาอย่างไร?”

          อัสธาราธยิ้มอีกรอบ “ท่านจะลงมาก่อนหรือไม่?” กล่าวพลางเดินไปยกมือขึ้นอ้าแขนรอรับ ร่างเล็กยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมให้อุ้มลงมา

          “บอกเจ้าไว้ก่อน ความจริงแล้วเราขึ้นไปเอง ย่อมต้องลงมาเองได้”

          “ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าเพียงอยากจะอุ้มท่านเท่านั้น”

          “หึ....”

          “อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

          “.......................”

          “ท่าน......”

          มือน้อยๆ ตวัดโอบรอบคอร่างสูงใหญ่ ดวงหน้าน้อยๆ ซุกลงตรงอกอุ่น ริมฝีปากส่งเสียงอ้อมแอ้ม “อุ้มเราอย่างนี้อีกสักพัก”

          อัสธาราธพยักหน้า พลางประคองร่างเล็กในอ้อมกอดให้กระชับขึ้น ได้ยินเสียงเหมือนอัญมณีกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง สร้อยพระศอสีแดงก่ำขยับโผล่พ้นอาภรณ์นิ่มออกมา

          “สร้อยนี่....”

          “เป็นสร้อยของเราเอง ไม่ได้ขโมยมา” ร่างเล็กรีบตอบ อัสธาราธพยักหน้าอีกครั้ง และพูดต่อ “ขอข้าพเจ้าชมดูได้หรือไม่?”

          “ย่อมได้ เราสวมมา ย่อมอยากให้ผู้อื่นเห็นอยู่แล้ว”

          อัสธาราธยิ้มให้กับคำตอบนั้น ร่างเล็กขยับมือลงไปหยิบสร้อยออกมา “เราตอนนี้ยังตัวเล็กอยู่ เลยต้องคล้องเอาไว้สองทบ แต่ไม่นานคงสวมได้อย่างสง่า”

          ดวงตราประจำพระองค์ขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินที่ทำมาจากหินลาวามีลายสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้า อัสธาราธหยิบขึ้นมาชมดูพักหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นถาม “เหตุใดท่านจึงเลือกใส่สร้อยเส้นนี้เล่า?”

          “ไม่รู้”

          อัสธาราธผงกศีรษะอีกหน กระนั้นก็ยังไม่วายโดนอีกฝ่ายต่อว่า “เจ้าจะถามอะไรเรานัก เจ้าน่าจะรู้แก่ใจ”

          “ข้าพเจ้าอยากฟังจากปากท่าน”

          “ไว้ให้เราจำได้ก่อนแล้วกัน”

          “ตอนนี้ท่านยังจำไม่ได้”

          “ยัง”

          “แล้ว......”

          ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา “องค์กษัตริย์ เจ้าชายอัสธาราธ”

          พอมองออกไปยังริมโขดหินติดผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน เรือนร่างผอมเพรียวและเรือนผมสีฟ้าเทาก็ปรากฏอยู่ อูห์รูนมองตรงมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินปราดเข้ามา

          “โอ.....ข้าพระองค์เป็นห่วงแทบตาย ที่แท้พระองค์มาหาเจ้าชายจริงๆ “

          ร่างเล็กถลึงตาใส่ข้ารับใช้ ก่อนกล่าวย้อน “เรามิได้มาหาเจ้าชาย เราหนีเจ้ามาเฉยๆ เราไม่เห็นเจ้าชายสักคน”

          อัสธาราธอดไม่ได้ต้องยิ้มอีก ขณะที่อูห์รูนมีสีหน้างุนงง “พระองค์ยังจำไม่ได้? เจ้าชายอัสธาราธอุ้มพระองค์อยู่ โอ...เช่นนั้นเชิญเสด็จกลับวังเถิด เหล่าข้าราชบริพารเป็นห่วงพระองค์อย่างยิ่งแล้ว”

          ร่างเล็กสั่นศีรษะทันที “เราไม่กลับลงไปหรอก พวกเจ้าทุกคนเล่นด้วยไม่สนุกสักนิด มีแต่คนแก่เต็มไปหมด ให้เรานั่งๆ นอนๆ นึกเรื่องเก่าๆ ไปวันๆ เราเป็นเพียงเด็กทารกคนหนึ่ง ควรต้องมีเพื่อนเล่นบ้าง” พูดพลางหันไปมองผู้ที่อุ้มอยู่ “เจ้าเป็นเพื่อนเล่นให้เราได้หรือไม่?”

                “ข้าพเจ้าไม่มีปัญหา” อัสธาราธตอบ ร่างเล็กหันไปค้อนใส่ผู้รับใช้ทีหนึ่ง อูห์รูนกล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง

          “พระองค์ไม่อาจทนอยู่บนที่ร้อนๆ เช่นนี้ได้ เสด็จกลับลงไปกับข้าพระองค์เถิด”

          “ผู้ใดว่าเราทนไม่ได้” เสียงเดิมกล่าว พลางหันไปมองผู้ที่อุ้มอยู่อีกรอบ “ตัวเจ้าร้อนราวกับไฟ เรายังทนให้อุ้มได้เลย พาเราไปที่ที่เจ้าอยู่สิ”

          “เจ้าชายอัสธาราธ” อูห์รูนเรียกอย่างเป็นห่วง ผู้ถูกเรียกหันมายิ้มน้อยๆ “อืม...ที่อยู่ข้าพเจ้าร้อนอย่างยิ่ง ไม่เหมาะกับพระองค์แน่แท้ เอาเช่นนี้เถิด ข้าพเจ้าจะสร้างวังริมน้ำสักหลัง หากพระองค์ประสงค์จะมาหาข้าพเจ้าอีก จะได้มาพบกันที่นี่”

          “อืม...เราไม่มาหาเจ้าหรอก” ร่างเล็กกล่าว ก่อนจะพูดต่อ “เราจะอยู่กับเจ้าที่นี่เลย”

          อูห์รูนมีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที “ทำเช่นนั้นไม่ได้...”

          “ไยจะไม่ได้ หรือเจ้ากังวลว่าที่นี่ร้อนจัด อย่างนั้นเราจะเรียกน้ำมาดับให้สิ้น”

          “ทำเช่นนั้นยิ่งไม่ได้เด็ดขาด” อัสธาราธพูดขึ้นมาบ้าง นัยน์ตาสีมรกตช้อนมองมาอย่างไม่เข้าใจ “แล้วจะให้เราทำอย่างไร?”

          อัสธาราธหันไปมองหน้าอูห์รูน ข้ารับใช้แห่งสายน้ำกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยอมจำนน “หากเป็นพระประสงค์ ข้าพระองค์ก็คงไม่อาจขัดได้ ข้าพระองค์จะอยู่รับใช้ที่นี่ด้วย”

          “อืม....งั้นเราจะใช้เจ้าทันที ลงไปบอกพวกข้างล่าง ให้ขนหินขึ้นมาสร้างวังที่นี่ให้แก่เรา บอกด้วยว่าเราได้ชื่อให้ตัวเองแล้ว”

          “โอ....พระองค์จะฉลองพระนามแล้ว?”

          ร่างเล็กพยักหน้า ก่อนจะกล่าวออกมา “เราจะใช้ชื่อว่าเรเธียร์”

--------------------------------------------------------------

          ดวงตะวันลับขอบฟ้าแล้ว อัสธาราธมองดูร่างเล็กที่หลับผล็อยอยู่ในอ้อมกอด ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เรเธียร์ที่ไม่ใช่เรเธียร์ แต่ก็คือเรเธียร์ เรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกอีกหรือ?

          อูห์รูนหน้าไม่ค่อยสู้ดีเพราะไอร้อน ยืนมองไพร่พลแห่งคอนเชียร์ที่กำลังสร้างประรำชั่วคราวเพื่อเป็นที่พักขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอยู่

          พออัสรานรู้ว่าองค์ยุวกษัตริย์แห่งอิลห์ลารินดำริจะอยู่บนคอนเชียร์ ก็เร่งเรียกรวมไพร่พล และมาควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง

          “ลำบากพระองค์มากจริงๆ “ อูห์รูนกล่าวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่ทราบ องค์อัสรานแย้มยิ้มอย่างใจดี “ไม่เป็นไรหรอก เป็นพระประสงค์ขององค์กษัตริย์ จะขัดได้อย่างไร”

          กล่าวพลางหันกลับไปมององค์กษัตริย์วัยเยาว์ในอ้อมกอดของน้องชาย

          “อัสธาราธ เราสร้างวังให้เจ้าแล้ว อย่าได้วิ่งหนีลงน้ำไปอีก”

          อัสธาราธพลันหน้าแดงวาบ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที อัสรานแย้มยิ้มอีกครา ก่อนจะหันหน้าไปออกคำสั่งกับไพร่พลต่อ

----------------------------------------------------

                กว่าประรำชั่วคราวจะเสร็จ ก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว อูห์รูนขอกลับลงไปอยู่ในน้ำ เพราะทนอากาศร้อนด้านบนไม่ไหว บอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ตะโกนเรียก ขณะที่องค์ยุวกษัตริย์ยังคงหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ ไม่มีทีท่าว่าทรมานเลยสักนิด

          คล้ายคุ้นชินกับไอร้อนไปแล้ว

          ดังนั้นยามนี้ในประรำชั่วคราวจึงมีเพียงอัสธาราธและองค์กษัตริย์ที่หลับอยู่เท่านั้น อัสธาราธอุ้มองค์กษัติรย์ไว้ในอ้อมกอด พลางนึกว่าจะให้พระองค์นอนที่ใดดี ในพระอู่ก็ออกจะเล็กเกินไป บนแท่นนอนก็ดูจะกว้างเกินไป ท้ายที่สุดจึงตกลงใจจะนอนเคียงกัน เผื่อว่าองค์กษัตริย์นอนดิ้นจะได้ไม่ตกจากแท่นลงไป

          ขณะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน รู้สึกคล้ายมีสัมผัสเย็นยะเยือกแตะลงตรงใบหน้า น้ำเสียงแผ่วเบาแต่คุ้นเคยเอ่ยกระซิบที่ข้างหู

          “เรากลับมาหาเจ้าแล้ว เด็กน้อยของเราเอย...”

------------------------------------------------------------

 (อวสาน)
*******************************
*******************************
*******************************
*******************************
ในที่สุดก็มาถึงบทสุดท้ายจนได้สำหรับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าแทบไม่มีออกทะเล เขียนได้ตามแผนที่วางไว้ทุกประการค่ะ (จริงๆ คือต้องพยายามออกทะเลในบางตอนด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้เรื่องมันห้วนจนเกินไป<<เอ๊ะ แต่มันก็อยู่ในทะเลอยู่แล้วนี่ฝ่า)
 
ฉากที่วางแผนจะเขียนให้ยิ่งใหญ่สุดๆ ในเรื่องนี้คือฉากตายของเรเธียร์ค่ะ แต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนจะได้เขียนนิดเดียวเอง (แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร อัสธาราธเองก็ไม่ได้ลงไปอยู่เล่าเรื่องแล้ว)

เหมือนจะเป็นเรื่องยาวเรื่องแรกที่สโคปตัวละครได้เป๊ะสุดๆ และน้อยสุดๆ คือคู่หลักแค่คู่เดียว และมีประเด็นหลักประเด็นเดียว (เรื่องอื่นนี่คู่เพียบ ประเด็นรองก็อื้อ) จริงๆ คือเรื่องแนวแฟนตาซีเป็นอะไรที่ไม่ค่อยถนัดอยู่แล้ว กลัวว่าถ้ามีตัวละครเยอะไป แล้วประเด็นมากไป จะกลายเป็นไม่จบในที่สุด เรื่องนี้เลยเป๊ะทุกอย่าง แล้วก็เขียนจบอย่างชิลๆ ไม่เหนื่อยเหมือนเรื่องอื่นๆ

อัสธาราธกับเรเธียร์มีคนเชียร์ให้สลับฝ่ายกันมากมาย (หลายคนถึงกับกรีดร้อง บีบคอให้คนเขียนจับสลับฝ่ายให้จงได้) แต่เราอยากให้คู่นี้เป็นที่จดจำค่ะ ฮ่าๆ (ถูกโบก) นิสัยแบบอัสธาราธเป็นเคะมีเยอะแล้ว เราจะให้เป็นเมะล่ะ!! ส่วนเรเธียร์ เคะไปเถอะ เมะขนาดนี้... แต่สารภาพกันตามตรงคือ อิมเมจอัสธาราธตอนแรกๆ ไม่เด็กน้อยขนาดนี้นะคะ แต่พอจับมาประกบคู่กับเรเธียร์(ที่แก่หงืบมาก) เลยกลายเป็นเด็กไปโดยอัตโนมัติ เขียนไปเขียนมาก็น่ารักดี.. น่ารักน่าเลี้ยงดีมากค่ะ ฮ่าๆ

โดยส่วนตัวชอบคาแรคเตอร์เรเธียร์มากกว่า เพราะเขียนยากดี(อีกแล้ว) เรเธียร์เป็นคาแรคเตอร์ที่เรียกว่าต้องระดมจินตนาการมาเขียน ตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ยันลักษณะนิสัย เขียนมาจนถึงบทสุดท้าย ก็ยังกลัวอยู่ว่ามันจะไปขัดหูขัดใจคนอ่านรึเปล่าน๊า เรเธียร์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาโดยตลอด มากลายเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจแบบนี้ แต่แบบว่าตั้งใจจะให้อัสธาราธเอาคืนเรเธียร์มาแต่แรกแล้วค่ะ (เพราะโดนแกล้งเยอะมากมาย)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดนะคะ

Ju~oN 13/04/2554

**ทอล์กต่อ ฮ่าๆ เรื่องนี้จบตั้งกะเดือน4ปีที่แล้วหรือนี่!! (อ้าว จบก่อนคุณไพฯนิดเดียวเอง ฮ่าๆ) อันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เขียนไว้นานมากค่ะ มีความผิดพลาดบานเบอะ เพราะว่าใช้ศัพท์ยาก+เก่า เรื่องที่มีกำหนดรวมเล่ม (น่าจะ) หลังนกยูงแดงนะคะ น่าจะรวมพร้อมกับคุณพนิตค่ะ ไว้มีข่าวความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกทีในกระทู้นี้นะคะ^^
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: owo llยมuมข้u ที่ 20-07-2012 08:47:07
อัสธาราธ จะกินเด็กแล้วสิ 55555
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 20-07-2012 10:25:17
แอร๊ยยยยยยยยยมเขิลๆๆ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 20-07-2012 12:00:42
ฮา อัสธาราส เลี้ยงเด็กอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 20-07-2012 14:20:41
สนุกมากค่ะ ความรักและการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มังกร
เรื่องนี้ชอบเรเธียร์ที่สุด ทั้งสวยสง่า ยิ่งใหญ่ (ตอนร่างมังกรเหมือนจะมหึมา น่ากลัวอยู่) ฉลาด แต่ขี้เล่น น่ารักดี
อัสธาราธ มังกรสีแดงดูร้อนแรง เข้มแข็ง จริงจัง แต่ก็อ่อนไหวไม่น้อย ตอนแรกได้ภรรยาแก่ ตอนจบ(จะ)ได้ภรรยาเด็ก อิอิ
แล้วก็ปลื้มอัสรานอ่ะ รูปร่างบางๆ (น่าเคลิ้ม) เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่น พึ่งพาและปรึกษาได้ น่าจิ้นนะคนนี้ หุๆ
อูห์รูนก็มีบทบาทมากๆเลยนะ ทื่อๆ เถรตรง จงรักภักดีสุดๆ บางทีก็ตลกดี

 :pig4:
+vote+duck
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: sunshine538 ที่ 20-07-2012 16:41:43
ติดใจแนวแฟนตาซีของคนเขียนตั้งแต่รวมเรื่องสั้นแล้วแหละค่ะ แต่เรื่องยาวนี้ก็แจ่มไม่ใช่น้อย :-[

ท่านเรเธียร์...งามล้ำงามยิ่ง แต่นิสัยบางมุมแอบเหมือนใครหว่า ประมาณแกล้งเล็กแกล้งน้อย แกล้งบ่อยๆ ทำนองนั้น 555

คุณน้องมังกรไฟก็น่ารัก ตอนแรกแอบขัดใจที่ทำไมเป็นเด็กดื้อไม่ยอมรับความจริงแบบนี้ แต่หลังๆ อภัยให้ ตอนที่แยกจากท่านเรเธียร์มาแล้วเศร้าตามคุณน้องมากๆ สงสารจับใจเลยอ่ะ

ตอนจบทิ้งท้ายไว้ดีมากค่ะ แต่ก็แอบกังวลแทนเล็กๆ งั้นคราวต่อไปน้องมังกรไฟต้องไปก่อนสิ เพราะอายุขัยสั้นกว่าเยอะเลยอ่ะ  :a5:

ขอบคุณสำหรับเรื่องแฟนตาซีดีๆ นะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 20-07-2012 17:31:03
เรเทียร์เวอร์ชั่นเด็กน้อย
น่ารักเนาะ
จบแบบอมยิ้มแก้มปริ
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 20-07-2012 18:12:09
เนื้อหาดีมากเลย
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 20-07-2012 20:53:06
อร๊ายยยย ชอบตอนจบมากอะ เรเธียร์มาเกิดใหม่น่ารักดีเนอะ


request ตอนพิเศษอะ 5555

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 21-07-2012 01:21:46
เรเธียร์กลับมาแล้ววววววววว
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 21-07-2012 17:13:43
 :-[
เขินอะ  สุดท้ายอัสธาราธคงต้องรอไปอีกหน่อยกว่า เรเธียร์  จะโต
เรื่องนี้ขอบอกว่าชอบรองจากนกยูงที่ชอบมาก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: warnana001 ที่ 21-07-2012 21:45:02
หลงรักเรื่องนี้ซะแล้ว~ :-[
เรเธียร์เอ๋ยเรเธียร์ เคยว่าอัสธาราธว่าเป็นทารกสุดท้ายตัวเองก็เป็นทารกเสียเอง
คิดถึงคนแก่ที่น่ารัก แต่เด็กน้อยที่น่ารักก็น่าเอ็นดูไม่เบา~
ในที่สุด....ก็เหมาะสมกับการเป็นเคะแล้วสินะ!!! o18
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 13-10-2012 01:01:04
ประทับใจ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Silver-Ray ที่ 17-12-2012 19:43:46
น่ารักที่สุด ชอบเรื่องนี้ๆๆ  :really2:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 19-12-2012 23:32:54
++++ 1 อยากให้หลายๆคะเเนนเพราะความถูกใจ o13
ชอบอ่านแนวแฟนตาซีอยู่เดิม  พอเจอว่าเป็นของพี่จูเลยรีบกดอย่างไม่รอช้า
แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
อ่านไปแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนตาแกกินเด็กนิดๆ  แต่ตาแก่ก็น่ารักเกินอภัยได้ :-[
ใช้เวลาอ่าน 3 วันกว่าจะจบ  แต่ละตอนยาวสะใจมากจริงๆ
ชอบตอนที่ทั้งสองคนรักกัน ดูหวานแล้วก็ร้อนแรงถูกใจมากๆค่ะ
อ่านตอนท้ายๆเริ่มเศร้า  ยิ่งตอนที่ 20 ถึงขั้นต้องหยิบทิชชู่มาซับน้ำตากันเลยทีเดียว :sad4:
แต่ตอนที่ 21  ก็ทำให้ยิ้มออกเรเธียร์ตอนยังเล็กน่ารักมากเหลือเกิน ขี้อ้อนด้วย 
แบบนี้คงถูกใจพ่อมังกรแดงใหญ่
แต่จะว่าไปกว่าเรเธียร์จะโตมาสวยงามเหมือนเดิม  ตำนานคนแก่กินเด็กมันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้  ฮ่าๆ :z2:
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Rouk_Uknow ที่ 22-12-2012 09:27:29
สนุกและซึ้งกินใจมากค่ะ อยากได้รวมเล่มเก็บไว้ซักเล่ม
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 22-12-2012 10:07:28
เขียนได้อารมณืมาก
หัวข้อ: Re: [Fantasy]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 22-12-2012 11:31:32
เรื่องนี้ผลัดกันเลี้ยงต้อย 555
สนุกมากเลยค่ะ ซึ้งมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-01-2013 16:26:33
แจ้งเปิดจองรวมเล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 15-01-2013 23:32:26
 :pig4: อยากอ่านตอนพิเศษจังค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-01-2013 13:30:51
^ มีลงในรวมเล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: shinachan ที่ 18-01-2013 11:35:42
ถ้าจองแล้วให้ส่งไปรษณีย์ ลงชื่อได้ทางไหนเหรอคะ ทางนี้ได้เลยหรือเปล่า อ่านแล้ว งง งง *_*
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-01-2013 12:35:31
รายละเอียดการโอนเป็นไฟล์ภาพนะคะ

ถ้าโหลดไม่ขึ้น รบกวนลองกดลิ้งไปที่ไฟล์โดยตรงดูค่ะ^^

http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/fictioncover/E230E320E220E250E300E400E2D0E350E220E140E010E320E230E420E2D0E190E400E070E340E190_zpsa2e8dc3b.jpg

ปล. รับจองเฉพาะทางอีเมลเท่านั้นนะคะ ทางอื่นไม่รับจองค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: shinachan ที่ 19-01-2013 02:27:02
ขอบคุณค่ะ ไว้จะส่งเมล์ไปนะคะ :D
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 01-03-2013 00:33:20
อ๊ายยยยยย มีเรื่องนี้ในเล้าด้วยหรอคะเนี่ย

เราเคยอ่านที่นอกเล้า แล้วเหมือนจะไม่ได้เม้นมั้ง..

ของมาเม้นตามฟลังนะคะ โดยส่วนตัวเราติดตามนิยายของคุณนักเขียนอยู่แล้ว (หลงไหลเคะราชินี)
แม้เรื่องนี้จะต่างออกไป แต่ขอบอกว่าชอบมากกกก
เป็นแฟนตาซีบอยเลิฟเรื่องแรกที่อ่านและฟินมากกกกค่ะ
เพราะเป็นคนชอบแฟนตาซีอยู่แล้ว

ขอบคุณนะคะที่แต่งให้อ่านกัน ขอโทษด้วยค่ะที่แอบอ่านข้างนอกแล้วเสียมารยาทไม่ได้เม้น แหะๆ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 01-03-2013 21:14:02
ซึ้งน้ำตาพาลจะไหลกับตอนอวสาน .. เยี่ยมไปเลยครับ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 02-03-2013 09:54:00
สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 02-03-2013 21:24:45


สนุกมาก ๆ น่ารักมากเลยเรื่องนี้

หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 04-03-2013 21:52:18
สนุกมากค่ะ o13
ฉากที่เรเธียร์แยกจากอัสธาราธนี่น้ำตาไหลเลย :sad4:
ยิ่งตอนที่อ่านจดหมายยิ่งเศร้า ปวดใจสุดๆ :o12:
แต่ชอบตอนจบมาก ถึงจะรอนานไปหน่อย
แต่เรเธียร์ก็กลับมาหาเด็กน้อยของเขา :กอด1:
เป็นทารกที่เอาแต่ใจแต่น่ารัก :-[
สุดท้ายอัสธาราธก็กินเด็ก :z1:
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: erng ที่ 05-03-2013 22:43:34
น่ารักมากกกกกกกกค่ะ
กษัตริย์ดูเป็นผู้ใหญ่ขี้เหงาที่น่ารักมากกกกกกก
อ๊ายยยยยย ชอบบบบบบบบบบ
ส่วนเจ้าชายเด็กน้อยก็น่ารักมากกกกกกก
ความจริงผู้ใหญ่ขี้เหงาไม่ต้องใช้มนต์ เด็กน้อยก็หลงจะแย่แล้วนะค่ะ

ตอนจบนี่ชอบมากกกกกกกกกก
น่ารักกกกกกกมากกกกกกกกกกกกก
สุดท้ายก็ได้กลับมาคู่กัน
ขอบคุณมากนะค่ะ สำหรับนิยายเรื่องนี้
ชอบบบบบค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 06-03-2013 12:05:40
ทำไมเราพลาดไม่ได้อ่านเรื่องนี้ของคุณ Juon นะเรา พลาดจริงๆ ปกติแล้วไม่ค่อยอ่านแล้วแฟนตาซีซักเท่าไร
เรื่องนี้ประทับใจจริงๆ ค่ะ ชอบเรเธียร์ทั้งตอนที่ยังแก่ ชอบแกล้งเด็กน้อย อ่านแล้วคิดถึงคงฉ่วย 555 แต่เรเธียร์ที่มาจุติใหม่ก็น่ารักอ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 08-03-2013 12:44:56
ภาษาสวยมากอ่ะ ชอบๆ อยากอ่านอีก
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: toonsora ที่ 09-03-2013 00:19:27
 :o8: อ่านตั้งแต่ต้นเรื่องเพิ่งจะได้มาเม้นต์ค่ะ ปกติเราเป็นคนชอบนิยายแนวนี้มากค่ะ เนื้อเรื่องเขียนดีมากก
 โดยเฉพาะตอนที่เรเธียร์ เขียรจดหมายหาอัสธาราธ ช่วงนี้อินมากน้ำตาร่วงงเลย ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pokkyza ที่ 09-03-2013 05:56:58
มาอ่านตั้งแต่ต้นยันจบแล้วค่าาา ดีใจมากๆ ที่ได้มาเจอนิยายเรื่องนี้ และเมื่อได้อ่านก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ^ - ^
ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบอ่านแนวแฟนตาซีมากถึงมากที่สุดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ แต่ก็มีไม่กี่เรื่องที่จะประทับใจได้ถึงขนาดนี้
ภาษาเขียนของเรื่องนี้สวยมาก ถ่ายร้อยเนื้อความออกมาได้สวยและซึ้งกินใจมากๆ ไม่ได้ร้องไห้ให้นิยายเรื่องไหนแบบนี้มานานแล้ว อ่านไปถึงตอนที่เรเธียร์เขียนจดหมายให้อัสธาราธแล้วมือสั่น น้ำตาไหลตามเบย TT ที่เสียใจคือแม้แต่จดหมายยังไม่สามารถเก็บไว้ได้ สลายไปซะอย่างนั้น (คือเราแอบคิดค่ะว่าถ้าเราเป็นอัสธาราธ จะเอาจดหมายจุ่มน้ำต่อ -.-) และเราก็ค้นพบตอนสุดท้ายว่าความจริงแล้วทั้งอัสธาราธและเรเธียร์คือคนที่เข้มแข็งเหนือใครจริงๆ ค่ะ การที่สามารถยิ้มกับความทรงจำดีๆ และไม่จมปลักกับความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ยาก แต่อัสธาราธกลับทำได้และทำดีเสียด้วย และเรเธียร์ก็มีใจเด็ดเดี่ยวพอที่จะไม่เก็บมังกรน้อยไว้กับตัวจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต อาจจะดูเจ็บปวด แต่ก็รู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างรักกันมากๆ เช่นเดียวกันค่ะ ^^
คาแร็คเตอร์ของคู่นี้เป็นอะไรที่ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกค่า :D ไม่ได้ติดใจคาแร็คเตอร์ตัวละครมานานแล้ว ส่วนตัวแล้วชอบชื่อแบบนี้นะคะ อย่างอัสธาราธ อูห์รูน ฟังแล้วรู้สึกอินเหมือนเป็นภาษาที่มีอยู่จริงในเรื่องเลย แล้วเห็นด้วยกับคอมเมนท์หนึ่งว่าถึงเรเธียร์จะสวยแต่ก็ไม่บอบบางอ่อนแอ กลับฉลาดและมีความภาคภูมิในเกียรติของตนเอง ซึ่งเช่นเดียวกับอัสธาราธที่แม้จะยังเด็กไปบ้าง แต่ก็รู้จักหาวาจาตอบโต้ ฟังที่สองคนนี้เค้าคุยกันแล้วเพลินค่ะ ถึงกับขำกลิ้งไปเลยก็มี เอิ๊กๆ
ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเรื่องนี้ขึ้นแท่นเรื่องโปรดของเราแล้วค่ะ :D เสียดายมากๆ ที่ไม่สามารถอุดหนุนหนังสือได้เพราะไม่ได้อยู่ไทย อยากอ่านตอนพิเศษมากๆ เลยค่ะ T _ T ~ แต่อย่างไรก็ตามจะติดตามผลงานต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ มีคุณภาพเช่นนี้ค่ะ! #โปรยหัวใจ ❤❤❤❤
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-03-2013 10:59:09
คู่นี้เหมาะกันมากกก
น่ารักอ้ะ แล้วยิ่งเรเธียร์เด็กน้อย
ถึงจะออกมาแค่ตอนสุดท้าย แต่ได้ใจไปเต็มๆ เลย >//<
หัวข้อ: Re: [เปิดจอง p.1]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-03-2013 22:10:14
ภาษาเรื่องนี้อิฉันใช้ผิดเยอะแยะมากนะคะ สำหรับฉบับสมบูรณ์จะอยู่ในรวมเล่มค่ะ (แน่นอนว่าแก้บาน)

สำหรับเรื่องนี้จะมีวางขายเป็นE-book นะคะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 16-03-2013 21:55:55
 o13

ชอบตอนจบที่สุดละ

เป็นอะไรที่ลงตัวมากกก แต่น่าจะสร้างวังตั่งแต่ที่พี่ชายบอกจะสร้างให้แล้วนะ
ไหนๆก้ไปนั่งริมหาดตลอดๆๆ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: sylvia ที่ 18-03-2013 14:15:46
เข้ามาอ่านรวดเดียวจบค่ะ ต้องบอกว่าชอบมากๆ >.<  :L2:  :L2:  :กอด1:
ประทับใจสุดๆ  อยากได้แบบรวมเล่มจัง  :sad4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: AB^Ton^ ที่ 18-03-2013 17:05:49
ซึ้งหง่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: amyrang ที่ 30-03-2013 18:00:20
อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบตาเปียกตาแฉะ
อ่านแล้วไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ สนุก และซึ้งมาก
ตอนที่เรเทียร์ตายนี่น้ำตาไหลพราก :m15:

อยากให้มีแนวนี้อีกอ่ะค่ะ ชอบแฟนตาซี :-[

 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nimfadora ที่ 31-05-2013 11:34:05
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน รวดเดียวจบ
แงงงงงงงงงง เศร้าาาาาาาาา :sad4:
ตอนที่ยี่สิบนี่ อลังทั้งจดหมายของเรเธียร์ กับฉากการตายที่ทั้งสวยทั้งทรมานตับ  :hao5:
ยังดีที่สุดท้ายยังได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่มันก้ยังหน่วงๆอยู่อ่าาาาาาาา
เป็นการจบที่สมบูรณ์นะ แต่มันก็ยังทำให้คนอ่านต้องนึกถึงอัสธาราธกับเรเธียร์ต่อไป
ทั้งเศร้าทั้งฟิน :hao5:
คนแต่งออกตัวว่าไม่ถนัด แต่คห.นี้ว่าๆ คนแต่งเขียนแนวแฟนตาซีออกมาได้สนุกมากๆเลยล่ะ
ลองตามไปดูที่บล็อก ก็มีเรื่องสั้นแนวแฟนตาซีของคนเขียนหลายเรื่อง แต่ละเรื่องสนุกๆทั้งนั้น
อย่างเรื่องนี้ ชอบตรงที่ถึงจะแฟนตาซี ออกแนวจักรๆวงศ์ๆ เพราะเป็นเรื่องของพระราชาแต่บทบรรยายไม่เยอะเวิ่นเว้อเลย กำลังอ่านพอดี ไม่น่าเบื่อ แถมมีแบบนิทานซ้อนนิทาน (ความทรงจำของเรเธียร์ที่เล่าให้อูห์รูนฟัง) มันทำให้สนุกและเรื่องมีเสน่ห์ขึ้นมาเลยอ่าาาา
ที่สำคัญ  คห.นี้นิยมแนวโอจิอยู่เล็กน้อย ๕๕๕๕๕ (แต่ตอนจบเป็นโชตะ ๕๕๕๕๕๕)
ในเล้าหายากมากเลยนะที่จะมีนายเอกอายุเยอะกว่าพระเอก แถมเยอะกว่าเป็นพันปีจนพระเอกดูเป็นเจ้าเด็ก(ทารก)ไปเลยแบบนี้ o13
สรุปคือ ชอบนะ ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เสียดายที่มาเจอไม่ทันตอนเปิดจอง
เป็นกำลังใจให้คนแต่งในเรื่องต่อๆไปด้วยแล้วกัน :bye2:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: yearrayoeng ที่ 01-06-2013 10:30:28
ชอบจัง อ่านไป ร้องไป ไว้กลับมาอ่านอีกหลายๆรอบ ชอบมากๆเลยจ้า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 01-06-2013 12:40:28
ซึ้งมากคะ ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: amito ที่ 01-07-2013 10:29:45
โอ้ย หลงรักมังกรไฟ หลงไหลมังกรน้ำ

เพิ่งตามอ่านจบค่ะ  ขนาดออกตัวล้อฟรีว่าไม่ถนัดแนวนี้ ยังบรรจงเขียนถ่ายทอดจิตนาการออกมาได้ชัดแจ๋ว

จะติดตามผลงานเรื่อยๆนะคะ / ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: junnozefis ที่ 07-07-2013 03:16:39
เ้พิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ สารภาพตามตรงค่ะ

ว่าชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านแล้วอินมากเลยค่ะ ต้องอ่านรวดเดียวจบเลย

อยากอ่านตอนพิเศษด้วยเลยค่ะ 55555

แอบอยากรู้ว่า หนังสือนี่ ยังขายอยู่ไหมคะเนี่ย อยากมีเก็บไว้จังเลย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-07-2013 21:39:58
มีวางขายตามร้านที่แจ้งไว้ และเป็นแบบE-book นะคะ

รายละเอียดดูเพิ่มเิติมได้ที่ http://jumemon.wordpress.com ค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: uzosou ที่ 23-07-2013 15:26:39
สนุกกกกกกก เรเธียร์ถูกเขียนออกมาให้ดูสง่างามได้จริงๆค่ะ

เราชอบตอนมาเกิดใหม่น่ารัก อาจเพราะเราชอบพวกโชตะค่อนมั้ง

เด็กๆพูดจาน่ารักทีเดียว 55+ ภาษาที่ใช้ก็สวยมากค่ะ

อ่านได้เรื่อยๆเลย เป็นเรื่องที่ดูไม่ได้มีปมหนาแน่น แต่อ่านแล้วไม่เบื่อ

ตอนจบก็ประทับใจด้วย ชอบบบบ น่าจะมีสเปของเรเธียร์น้อย น่ารักจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 21-11-2013 13:08:36
แฟนตาซีแบบนี้หาอ่านยากมาก ชอบมากๆ เหมือนกัน
หลังท่านรักเรเธียร์เต็มเปา ยิ่งตอนท่านสิ้นทำเราร้องไห้เลย
แอบอยากได้หนังสืออยากอ่านตอนพิเศษอีก
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Dr.ghostriser ที่ 29-11-2013 18:00:58
นุกมากเลยค่า :katai2-1: :katai2-1: :impress3:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-12-2013 09:39:25
เป็นแฟนตาซีที่สวยงามมาก
และขอบคุณที่ทำให้มังกรทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
คนอ่านเป็นสุขและก็ซาบซึ้งมากค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: maxiyorka ที่ 26-12-2013 19:27:37
นิยายแฟนตาซีมังกร~ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: infinitez123 ที่ 31-12-2013 13:03:36
เพิ่งได้อ่าน ติดใจผลงานนักเขียนของท่านนี้มากเลย สนุกทุกเรื่อง
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-06-2014 20:34:34
เพิ่งเห็นน่าสนใจ

มาเป็นกำลังใจให้ก่อนครับ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 21-06-2014 13:48:56
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 22-06-2014 04:38:06
อ่านคืนเดียวจบ อยากจะบอกว่ารักเลย  ถ้าไม่ได้ตอนสุดท้าย คงจะร้องไห้ไปแล้ว ขอบคุณคนเขียนที่เขียนเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน  ซึ้งมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Orange151987 ที่ 22-06-2014 17:31:27
พึ่งได้เข้ามาอ่าน แอบเศ้ราตอนจบอะ :sad4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-06-2014 01:17:10
เพิ่งอ่านจบ ชอบมาก อยากอ่านตอนพิเศษยังมีวางขายอยู่ไหมคะเนี่ย

โฮร ไว้เราไปดูที่ร้าน
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 29-06-2014 14:24:32
อ่านจบแล้วร้องไห้ ในที่สุดเรเธียร์ก็กลับมา  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 30-06-2014 17:28:54
กลิ้งงงงงง โอ้ยยยยย ราเธียร์ตอนเด็กน่ารักมากกก แอบอยากให้มีตอนพิเศษงะะะะ
อยากเห็นตอนราเธียร์โดนอัสธาราธแกล้งบ้าง ตอนแก่ผู่เฒ่าแกล้งเด็กเอาไว้มากเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 01-07-2014 15:23:27
ชอบมากเลยค่ะ
ร้องไห้ไปหลายก๊อกเลย ;____;
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 07-07-2014 12:49:37
ขอบคุณสำหรับนิยาย สนุกมากเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 07-09-2014 04:24:35
สุดยอดๆของความสนุกค่ะ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ จบซึ้งสวยงามมาก รักตัวละครหรือมังกรในเรื่องนี้ทุกตัวเลย
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 13-09-2014 12:20:44
อ่านแรกๆก็ทั้งสนุก ทั้งขำ แต่พออ่านตอนท้ายๆแล้วน้ำตาไหลพรากๆเลย
ยิ่งตอนอัสธาธารอ่านจดหมายยิ่งร้องไห้หนักกว่า ฮือ เศร้าแท้ ; ^ ; แต่ก็ยังดี
ที่ทั้ง2ยังได้อยู่ด้วยกันอีก ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ชอบการบรรยาย ชอบคาแรคเตอร์
ชอบการดำเนินเรื่อง ชอบหมดเลย สนุกมากจริงๆ >_< ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้เราอ่านน้า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 01-10-2014 19:13:51
ชอบเรื่องนี้มา
มาแอบอ่านจนจบ แบบชอบสุดๆๆ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 15-12-2014 11:05:42
อ่านแล้วชอบมากค่ะ ถึงกับหลงรักเด็กน้อยและคนแก่ตามไปเลย

ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Nutaro0330 ที่ 29-12-2014 02:37:47
สนุกมากเลยจ้า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PRiiNZE ที่ 12-01-2015 00:08:04
โอ้ยยย เพิ่งมาได้อ่านเอาตอนนี้
ชอบมากๆเลย
อ่านสองวันรวดจบเลย 555
ตอนอ่านจดหมายนี่น้ำตาแตกT_T
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: JasmineP ที่ 08-03-2015 23:28:24
พึ่งได้อ่าน เรื่องนี้สนุกมากกกก
เรเธียร์น่ารักสุดๆอ่ะ ปลื้ม :impress2:
อัสธาราธนี่จากรูปร่างก็เมะดีนะ แต่นิสัยนางนี่ดูเคะมาก
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: lolata ที่ 09-03-2015 06:57:59
อ่านแล้วอินมาก
ตอนแรกทำใจแล้วว่าจบแบบไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พอมาเจอแบบนี้แล้วดีใจมากๆ
ชอบที่ทั้งสองยังจดจำสัญญาที่ให้ไว้ ยังระลึกถึงกันไม่เปลี่ยนแปลง
เสียน้ำตาไปหลายปีป แต่คุ้มค่าค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะค่ะ เป็นเรื่องนึงที่ประทับใจและน่าจดจำมากๆ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 10-03-2015 03:13:35
สนุกมากกกกกกกกค่ะ เป็นอะไรที่สุดยอดอ่ะ o13
ทั้งคู่น่ารักมากๆๆๆๆ ยิ่งตอนที่จะจากกันนะเราร้องไห้ตามซะเยอะเลยอ่ะ!!!  :sad4:
แต่แอบสงสัยอยู่อย่าง.........
คือ....สรุปแล้วคุณพี่ชายอัสราน รู้เรื่องหรือระแคะระคายความสัมพันธ์ของอัสธาราธกับเรเธียร์ ยุใช่ป่ะ??!!!

ถึงไงก้อยากบอกว่าคนเขียนแต่งได้เก่งมากค่ะ(นี่ขนาดบอกว่าไม่ถนัดนะเนี้ยยยย!!!?) คึคึ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :pig4: :pig4:
หลงรัก อัสธาราธ กับ เรเธียร์!!!!! :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: baifern1234 ที่ 06-04-2015 21:31:18
สนุกมากเลยคะ อ่านจดหมายแล้วร้องไห้เลบคะ แต่สนุกมากจริงๆ ของคุณที่แต่งมานะคะ :mew6: :sad4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: meakhakhanum ที่ 12-07-2015 17:29:36
อ่านรวดเดียวจบเลย คือ ชอบมาก อ่านจบไปเมื่อคืน เกือบๆสว่าง
ว่าจะให้กำลังใจไรเตอร์ซะหน่อย ดันหลับไปก่อน -*-
แต่ท่านมังกรถึงกะตามเข้ามาในฝันซะงั้น 555+  มาเป็นไฟเลยนะเออ
ขอบคุณมากๆ  ประทับใจเรื่องนี้มากกกก
ทำให้อยากติดตามเรื่องอื่นๆของไรเตอร์เลยอะ
 :pig4:
 
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 13-07-2015 19:08:31
อ่านถึงตอนที่20 นึกว่าจะเป็นbad endละ น้ำตาไหลพรากกก
ถึงบทสุดท้ายกลายเป็นวัวหนุ่ม(?)แทะหญ้าอ่อน555

ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 15-07-2015 22:32:40
ขอบคุณนะคะ  :pig4:

ชอบมากๆเลย อ่านเพลิน~~~~

หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Teaw_HC+MJ ที่ 28-07-2015 20:22:03
คือออ ประทับใจมากกกกกกกก

ฮืออออ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Kob17 ที่ 13-10-2015 12:27:17
ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ ให้อ่านนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Fal2_Away ที่ 27-12-2015 21:09:10
อ่านรวดเดียวจบ วางไม่ลงเลย  แรกๆไม่คุ้นกับภาษา แต่พอเริ่มคุ้นเท่านั้นล่ะ  สนุกมากกก ก.ไก่ล้านตัวว
อ่านเพลินเลยจริงๆ โดยส่วนตัวเราชอบแฟนตาซีอยู่ล่ะ ยิ่งมาเจอเรื่องนี้ที่พล็อตลงตัวมากๆ แถมภาษายังสวยสุดๆ
บอกได้คำเดียวว่า "หลงรัก" เรื่องนี้สุดๆ   //ขอบคุณผู้แต่งสุดๆเลยนะคะ  :กอด1:   :pig4:   :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 04-06-2016 17:09:02
สนุกมาก ๆ ครับ อ่านแรก ๆ รู้สึกแปลกนิดหน่อยกับภาษา แต่อ่านเพลินจนจบสนุกมากจริง ๆ อัสธาราธ-เรเธียร์ น่ารักมาก

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: hczmtp ที่ 04-06-2016 22:30:38
อ่านรวดเดียวจบ เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเลยครับ   o13
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 05-06-2016 12:21:10
สนุกมาก อ่านแล้วลุ้น คิดว่าจะเป็นรักไม่สมหวังแล้ว รักต้องห้าม น้ำไฟ รักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ชอบเรื่องนี้ในที่สุดก็กลับมาเกิดใหม่ อยากได้ตอนพิเศษจัง
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 05-06-2016 19:33:11
เคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว
ชอบบบบบบบ o13
ตอนจากกันเศร้าอ้ะ ยิ่งตอนอ่านจดหมายนะหืมมม ร้องไห้
แต่ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 06-06-2016 13:48:04
มาอ่านอีกรอบก็ยังสนุกอยู่ดีค่า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 14-07-2016 19:41:46
สนุกมากคะ อ่านแล้วติดลมสุดๆ

ขนาดขับรถยังจะอ่าน (ไม่ควรทำ) อิอิ

ชอบมากกกกก  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-07-2016 14:44:54
เพิ่งตามามาอ่านรวดเดียวจบ

สนุกมากเลยค่า

ขอบคุณคนเขียนนะคะ สำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 17-08-2016 04:46:02
อ่านรวดเดียวจบเลยสนุกมากๆๆอ่านตอนอัสธาราธอ่นจดหมายเรเธียร์เขียนลานะเราร้องเลยอ่ะมันเศร้าแบบคอตีบมาก
แต่เราว่าตอนจบนี้จบได้ดีมากมันเป็นตอนจบที่อยู่ในความรู้สึกดีๆเลยก็ว่าได้จากเพื่อพอกันใหม่และจำกันได้
เราว่าดีนะจบแบบนี้ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆอบอุนไปด้วยความรักของตัวละครนนะคะคนเเต่ง
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 27-12-2016 18:53:38
โอ้ย ดีมาก ตอนอ่านจดหมายนี่ร้องไห้เลย ฮือ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 02-01-2017 03:45:52
ขอบคุณมากๆค่ะ แต่งดีมากๆเลย ทั้งฮา ทั้งน่ารัก
ตอนอ่านจดหมายถึงกับน้ำตาแตก
นิยายในดวงใจเลย
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 26-04-2017 14:55:38
ดีงามมากๆ..ชองนางเอกแนวนี้..จัมีภาคพี่ชายพระเอกไหมอะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 26-04-2017 21:28:49
อ่านจบแล้วก็ชื่นใจ
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน
 :L2:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ๋Jennay ที่ 22-06-2019 12:17:29
เป็นเรื่องที่กินใจมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
เริ่มหัวข้อโดย: reginasorn ที่ 10-08-2020 17:59:07
ชอบมากกกก อยากให้เรื่องยาวกว่านี้อีก ชอบตอนองค์กษัตริย์ตอนเด็ก :katai2-1: