เล็งเห็นว่าคืนนี้มีแววจะลืมโพสเป็นแน่แท้.. เลยแอบมาโพสก่อนค่ะ (ไอ้เรื่องที่จบไปแล้วถ้าไม่ลงรวดเดียวเนี่ย.. มันลืมจริงๆ นะคะ=[]=!!)
ปล. ตอนพิเศษจะมีในรวมเล่มค่ะ (เหมือนนั่งๆ อยู่แล้วมันผุดขึ้นมาเพียบเลยล่ะ หุๆ)
-----------------------------------
6: ดำำดิ่งสู่ท้องธารา
เจ้าชายอัสธาราธ
น้ำเสียงอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบา ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน อัสธาราธรู้สึกร่างกายเบาหวิว คล้ายเป็นเส้นขนนกบางเบา ลอยล่องอยู่ในอากาศ นี่คือสภาพหลังความตายหรือ? คล้ายเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนมิไดรู้สึกเช่นนี้เลย ตอนนั้นทั้งรู้สึกหนักอึ้ง เจ็บปวด หวาดกลัว มีเพียงความดำมืดแห่งห้วงน้ำที่ไหลโอบล้อม แต่ครั้งนั้นเขายังรอดชีวิตมาได้ ครั้งนี้เล่า?
“เจ้าชายอัสธาราธ”
น้ำเสียงเดิมเอ่ยเรียกอีก คราวนี้เจ้าชายหนุ่มมีสติแจ่มใสขึ้น ปรือเปลือกตาเปิดอ้าออก พลันพบเห็นนัยน์ตาสีมรกตกำลังจ้องลงมาอยู่ ทำให้ผงะอย่างลืมตัว
“อา....ยังรู้สึกตัวดีอยู่หรือไม่ เราเป็นผู้ใด?”
คิ้วสีแดงหนาบนผิวสีน้ำผึ้งขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ถึงกระนั้นก็ยังตอบคำถามออกไป
“องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน ใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มงดงามผุดขึ้นบนใบหน้านั้น พลางกล่าวต่อ
“แล้วเจ้าเล่า เป็นผู้ใด?”
คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันอีก ตอบคำถามไป
“ย่อมต้องเป็นเจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์ พระองค์ไฉนตรัสคำถามแปลกๆ”
องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ระบายยิ้มบนใบหน้าอีกรอบ มองไปอบอุ่นชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง
“เรากลัวเจ้าเสียสติหลังดื่มโลหิตเรา เจ้าล้มลงคล้ายมิอาจหายใจบนบกได้อีก เราจึงนำเจ้าสู่ผืนน้ำ”
มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกร่างกายเบาหวิวนัก ทันใดนั้นมังกรหนุ่มพลันรู้สึกตัวเต็มที่ ที่หนุนศีรษะอ่อนนุ่มเบาสบายนี้มิใช่สิ่งอื่น แต่กลับเป็นตักขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน อัสธาราธรีบพรวดพราดลุกขึ้นทันที ก่อนจะเซถลาอย่างตั้งตัวไม่ได้ เบื้องหน้าเห็นเป็นผืนน้ำมืดสนิท มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมคว้าข้อมือของเขาไว้
“ไฉนจึงลุกอย่างไม่ระวังเช่นนี้ เจ้ามิเคยท่องใต้ผิวน้ำ ย่อมมิอาจกะน้ำหนักได้ถูกต้อง พลาดพลั้งร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนไปในเวิ้งน้ำนี้แล้ว ผู้ใดจะตามตัวเจ้ากลับมาเล่า”
นัยน์ตาสีแดงของอัสธาราธยังคงส่งประกายแตกตื่นเสียขวัญ ห้วงน้ำลึกนี้ครั้งหนึ่งเคยเกือบพรากไฟชีวิตของเขาไป องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเห็นดังนั้นจึงนึกสังเวชในตัวมังกรหนุ่มยิ่ง แม้หวาดกลัวเช่นนี้ ยังดึงดันจะตามลงมา ดังนั้นจึงดึงตัวเจ้าชายแห่งคอนเชียร์เข้าไปแนบพระอุระโดยจับหันหน้าไปยังส่วนหัวของตัวมังกรที่อาศัยนั่งอยู่ พลางโอบกอดไว้หลวมๆ
“เช่นนี้พอรู้สึกอุ่นใจขึ้นหรือไม่ มิต้องเห็นนัยน์ตาของเรา มิต้องกลัวพลัดตก”
อัสธาราธหัวใจเต้นแรง มิคาดหลังจากผ่านวินาทีแห่งความเจ็บปวดจากการดื่มโลหิตประหลาดนั้นแล้ว ยังต้องมาเผชิญห้วงน้ำที่เป็นดั่งฝันร้ายตามหลอกหลอน จะอย่างไรต้องรู้สึกแตกตื่นตกใจอย่างมิอาจห้ามได้ ยามนี้เจ้าชายหนุ่มนั่งตัวเกร็งอยู่ในวงแขนขององค์กษัตริย์ พยายามปลุกปลอบใจตัวเอง มองไปรอบๆ เห็นเพียงผืนน้ำดำมืด กับดวงไฟสีน้ำเงินน้อยๆ ตัดกับเงายาวพาดทับกันไปมา ผู้ตามเสด็จล้วนคืนร่างเดิมจนหมดสิ้น ถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกสงสัย
“ไยพระองค์มิคืนร่างเดิมเล่า หรือปกติเดินทางด้วยร่างกลางเช่นนี้?”
ผู้มีผิวสีน้ำผึ้งตัดกับเรือนผมสีแดงเพลิงเอ่ยถามพลางหันกลับมามองอย่างเคยชิน สบกับเนตรสีมรกตนั่นอีก พลันต้องหลบนัยน์ตา องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์กล่าวอย่างเอ็นดู
“หากเจ้าตื่นมาพบเราอยู่ในร่างนั้น ไยมิหวาดกลัวจนเสียสติ เรามิอยากเห็นเจ้าเพ้อคลั่งเพราะดวงตาของเรา หากมองไม่ได้ไม่ต้องหันกลับ เราไม่เคยต้องการให้ผู้ใดฝืนสบนัยน์ตา”
อัสธาราธอับจนคำพูดไปอีก รู้สึกองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีเมตตาต่อตนมากมายยิ่ง อับอายตนเองที่มิอาจฝืนทนสู้พระพักตร์พระองค์ได้ เพียงเพราะเหตุหวาดกลัวไม่เข้าเรื่องนั้น ยกมือขึ้นจับอาภรณ์เรียบลื่นอันหุ้มท่อนพระกรที่โอบไว้หลวมๆ พลางกล่าว
“ข้าพเจ้าสัญญา จะหยุดหวาดกลัวท่านให้ได้ในเร็ววัน มิทำให้ท่านต้องเดือนร้อนเพราะเรื่องนี้อีก”
“ความหวาดกลัวย่อมห้ามกันมิได้ เรามิได้เดือดร้อนอันใด อืม... หากจะมีเรื่องเดือดร้อนอยู่บ้างคงเป็นเจ้า โดยปกติเวลาในการเดินทางจากคอนเชียร์ไปวังของเรานั้น ไม่สั้นไม่ยาว เนื่องเพราะร่างมังกรเราใหญ่โตยิ่ง เพียงผู้เดียวนำพาคณะผู้ติดตามมาจนถึงคอนเชียร์เพียงไม่กี่อึดใจ แต่เพราะเหตุเราเกรงใจหวาดวิตกจนเสียสติ ดังนั้นไพร่พลจึงต้องเดินทางด้วยตัวเอง อาจกินเวลาหลายวันสำหรับการเดินทางนี้”
เจ้าชายหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน คล้ายดั่งถูกผู้คนอุ้มอย่างเอ็นดูแล้วตีอย่างแรง อดมิได้ต้องหันมาอีกรอบ
“เช่นนั้นทรงคืนร่างเดิม..”
พูดได้เท่านั้นพอประสบกับสายตาสีเขียวมรกต พลันกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ในปาก องค์กษัตริย์ทรงพระสรวล
“เยาว์วัยยิ่ง อืม เราจักเพิ่มความสนุกสนานให้เจ้าเสียหน่อย ระหว่างมองนัยน์ตาเราในร่างนี้ กับมองนัยน์ตาเราในร่างเดิม เจ้าเลือกอันใด?”
“ข้าพเจ้าตอบตามตรง ไม่ต้องการเลือกสักอย่าง เพียงอยากกล่าว หากทรงคืนร่างเดิม ข้าพเจ้าจะปิดตาเอาไว้ รับรองไม่เสียสติแน่นอน”
เสียงหัวร่อดังกังวานไปทั่วท้องน้ำดำมืด มังกรหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะถูกมือเรียวลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“ช่างพูดช่างจายิ่งนัก วาจาทารกของเจ้าคล้ายทำให้เรารู้สึกบันเทิงอยู่บ้าง”
คำว่าทารกกระทบกับโสตประสาทพลันทำให้อัสธาราธรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก หันกายกลับมาโดยมินึกถึงสิ่งใดอีก
“ข้าพเจ้ามิใช่ทารกน้อย ปีนี้ข้าพเจ้าอายุสองร้อยยี่สิบแล้ว อย่างไรนับเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง!”
องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์หัวร่อเสียงยาว คล้ายรู้สึกขบขันมากจริงๆ จนมิอาจหยุดยั้งเสียงหัวเราะนั้นได้ เนิ่นนานจึงได้กล่าว
“ขออภัยหากเราแสดงกิริยาไม่สุภาพต่อเจ้า อืม... ดูคล้ายมังกรแห่งคอนเชียร์นั้นจะมีการนับอายุต่างจากชาวเราอยู่บ้าง บอกต่อเจ้า อายุสองร้อยกว่าปีของเจ้านั้น สำหรับเราน้อยนิดยิ่ง”
คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันทันที ทรงเฉลยความต่อ
“อายุขัยชาวบาดาลย่อมสูงกว่าพวกบนบก เพราะมิค่อยมีศัตรูมาก เจ้าทราบหรือไม่ ปีนี้เราอายุเท่าใด?”
“เท่าใด?”
อัสธาราธเอ่ยถาม แม้รู้ชาวบาดาลอายุยืนนัก แต่นึกไม่ออก จะอายุยืนขนาดไหน
“คล้ายจะถึงสามพันปีแล้ว ตอนพระอัยกาเจ้าเกิด เราเคยไปร่วมงานด้วยซ้ำ”
“ทรงอยู่มานานถึงเพียงนั้น!”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจ ผู้สูงวัยกว่าหัวร่ออีกครา
“เข้าใจหรือไม่ สำหรับเรา เจ้าคล้ายทารกผู้หนึ่ง มิประสีประสาเรื่องใด”
ถึงจะตกใจกับความจริงเรื่องอายุ แต่เจ้าชายหนุ่มยังมิยอมแพ้ ถือทิฐิตามประสาวัยรุ่น กล่าววาจาตอบโต้
“สำหรับท่านเรารู้สึกคล้ายคนชราขี้เล่นผู้หนึ่ง อืม บางครั้งใจดีอย่างยิ่ง บางครั้งคล้ายต้องการหยอกเล่น”
“เจ้าพูดมิผิด เราผู้เฒ่าชมชอบหยอกเย้าผู้คนจริงๆ”
กล่าวพลางหัวเราะชอบใจยิ่งขึ้น ก่อกวนทิฐิในจิตใจมังกรหนุ่ม ให้เอ่ยวาจาโต้ตอบ
“แต่ดูคล้ายร่างกลางเรามิต่างกันนัก ข้าพเจ้ายังดูสูงใหญ่กว่าท่านหลายส่วน”
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าร่างกลางเราเล็กกว่าเจ้า?”
“ย่อมประเมินเอาจากสายตาได้”
ผู้ถูกถามตอบฉะฉาน คล้ายลืมเลือนสิ้นเคยหวาดกลัวนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นอยู่ ท่าทางจะเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว องค์กษัตริย์แย้มยิ้มพริ้มพราย
“งั้นทดลองดูหรือไม่ เรายืนเจ้ายืน หากเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริง เราจะยอมรับว่าเจ้ามิใช่ทารกน้อย”
“ทดลองกัน”
อัสธาราธเอ่ย พลันเหยียดกายลุกขึ้น และเซถลาไปเล็กน้อย แต่ด้วยความดื้อรั้น ไม่ต้องการฉวยข้อพระกรขององค์กษัตริย์ที่ยื่นเข้ามา พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง
“จะให้เราเดินไปหาหรือเดินมาหาเราเล่า?”
อัสธาราธเริ่มรู้สึกยุ่งยากลำบากใจขึ้นมาแล้วจริงๆ นี่อย่าว่าแต่เดิน แค่ยืนก็ลำบากอย่างยิ่ง หากให้ก้าวเดินมิเสียหลักล้มหงายลงไปหรือ ในสายน้ำนี้เรื่องการทรงตัวผิดจากบนบกลิบลับ หนำซ้ำยังอยู่บนหลังมังกรซึ่งเคลื่อนที่ไม่นิ่งสนิทเสียทีเดียว แต่ครั้นจะให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาก็ยิ่งเป็นเรื่องเสียหน้า
“ข้าพเจ้าจะเดินไปหาพระองค์เอง”
กล่าวพลางก้าวกระย่องกระแย่งอย่างไม่คุ้นชิน ทำเอากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหัวร่องอหงาย
“ทารก เจ้าช่างทำให้เรารู้สึกสนุกนัก”
คำว่าทารกนั้นยิ่งทำให้มังกรหนุ่มนึกฮึดสู้ขึ้นมาอีก คำว่าเด็กว่ารับยากแล้ว ถึงกับเรียกทารกย่อมเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้อย่างยิ่ง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถือทิฐิมานะก้าวย่างอย่างยากลำบากบนหลังมังกรไปหาองค์กษัตริย์
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินรู้สึกสนุกสนานกับการละเล่นนี้นัก เนิ่นนานแล้วที่พระองค์มิได้ทรงพระสรวลยาวนานเช่นนี้ ตอนนี้กำลังจดจ้องมังกรหนุ่มที่ก้าวด้วยท่าทางชวนขบขันเข้ามาใกล้ พยายามยั้งพระโอษฐ์ไม่ให้หัวร่อออกไปอีก ทรงเกรงอีกฝ่ายจะนึกโกรธเคืองขึ้นมาจริงๆ
“อยากให้เราช่วยหรือไม่?”
น้ำเสียงกังวานเอ่ยขึ้นอีกหน ฟังดูก็รู้ว่าอดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เพียงไหน อัสธาราธขมวดคิ้ว มิยอมปริปาก ทั้งไม่ย่อมสัมผัสมือเรียวที่ยื่นมาหาอย่างช่วยเหลือ องค์กษัตริย์เพียงแย้มยิ้ม มังกรหนุ่มตัวนี้มีร่างกลางน่าเกรงขามก็จริง ทั้งสูงใหญ่ ทั้งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ อีกทั้งสีผิวยังคล้ำตัดกับผมแดงเพลิง กะคะเนตามหลักอายุด้านบน คงไม่ใช่ทารกเท่าไร แต่สำหรับตัวพระองค์แล้ว นี่ถือเป็นทารกเพิ่งคลอดตนหนึ่ง
ผู้ถือทิฐิเรื่องเพียงเท่านี้ ไหนเลยมิใช่ทารกน้อย
แม้จะดูถูลู่ถูกังอยู่บ้าง แต่ในที่สุดอัสธาราธก็เดินมาถึงหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์ โดยใช้เวลานานพอสมควร ทั้งๆ ที่ตอนยืนนั้นถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าวเลย แต่ครั้นจะเดินมาหา กลับรู้สึกยุ่งยากยิ่ง คงเป็นเพราะต้องเดินทวนกระแสน้ำนี่เอง
“ข้าพเจ้าคล้ายสูงกว่าท่านอยู่หรือไม่?”
อัสธาราธเอ่ยปาก หลังพยายามที่จะเหยียดตัวให้ตรงที่สุดตรงหน้าพระพักตร์องกษัตริย์ ผู้ทรงอำนาจใต้บาดาลอดมิได้หัวร่อออกมาอีก ยามนี้ใบหน้าของพระองค์แทบจะชนกับแผ่นอกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็มิได้อนาทรแต่อย่างใด
“อืม ร่างกลางเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริงอยู่ นี่คล้ายไม่ผิดที่เรา ร่างกลางผู้ใดเล่าเลือกสรรได้”
“ท่านคล้ายมิกล้ายอมรับว่าเราแท้จริงเป็นบุรุษหนุ่มมิใช่เด็กทารก”
องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยกพระหัตขึ้นปิดพระโอษฐ์อย่างขบขัน เบือนพระพักตร์ขึ้นมามองมังกรหนุ่ม
“เจ้า..อืม ดูสูงใหญ่ไม่คล้ายทารกน้อยจริง งั้นเรามิเรียกเจ้าทารกน้อย แบบนี้สมควรเรียกทารกใหญ่จึงเหมาะสม”
สีหน้าของอัสธาราธดั่งถูกบังคับให้กลืนกินน้ำแข็ง สรรค์หาถ้อยคำอยู่เป็นเวลานานยังมิอาจตอบโต้ได้ อีกฝ่ายจึงเอ่ยสืบต่อ
“ไยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”
“ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”
อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม
“ไยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”
ผู้ถูกถามพลันอับจนคำพูดอีก ขบคิดในใจ ไยจึงต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คำถามนี้คล้ายมิเคยไถ่ถามตัวเองมาก่อนจริงๆ มือเรียวยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าได้รูปอย่างเอ็นดู ประหนึ่งบุรุษตรงหน้าเป็นทารกน้อยผู้หนึ่งจริงๆ ทรงเอ่ยวาจาต่อ
“เจ้ามิเคยหาคำตอบในความดื้อรั้นของตน? นี่มิใช่พฤติกรรมเด็กทารก? อืม.. เราคาดเจ้าคงต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เอาเถิด อย่างน้อยทารกเจ้าทำเราสำราญยิ่ง นานแล้วมิได้หัวร่อมากมายเพียงนี้”
อัสธาราธรู้สึกอับอายมากจริงๆ ใคร่ปัดมือที่ลูบไล้อย่างนุ่มนวลนั้นออก แต่วาจาขององค์กษัตริย์นั้นให้ข้อคิดยิ่ง กระทำการเช่นนี้มิคล้ายผู้ใหญ่เลย ดังนั้นสุดท้ายจึงถอนหายใจ
“ข้าพเจ้ายอมรับ ยังกระทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่จริง”
“อา... เจ้าคล้ายหัวไวอยู่บ้าง”
องค์กษัตริย์ตรัส พลางแย้มยิ้ม
“ต้องการนั่งลงแล้วหรือไม่?”
ยังมิทันได้ตอบคำถาม แรงสั่นสะเทือนแผ่พุ่งออกมาตามผืนน้ำที่ลอมรอบอยู่ บนหลังอูห์รูนพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างตกใจไม่มีเวลาคิดถึงสาเหตุ ตรงเข้าคว้าร่างบอบบางขององค์กษัตริย์โอบกอดไว้ในอ้อมแขน จ้องมองผืนน้ำรอบตัวที่แปรเปลี่ยนอย่างพิสดารด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก แรงกดมหาศาลแทบจะกระแทกให้ร่างเซถลาร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนอยู่หลายครา แต่อัสธาราธหยั่งเท้าลงอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจพิทักษ์องค์กษัตริย์ที่อยู่ในอ้อมกอดตามสัญชาติญาณ
“เจ้ามิต้องกอดเราแน่นเช่นนี้ คล้ายทำเราหายใจลำบาก”
ซุ่มเสียงใสเอ่ยขึ้นในอ้อมกอด ร่างแกร่งผงะ คลายอ้อมแขนออก พบเห็นรอยยิ้มชวนประทับใจกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่น
“เรากำลังจะบอกเจ้า ว่าจะผ่านร่องน้ำใหญ่ คล้ายเอ่ยเชื่องช้าไปบ้าง จึงทำให้เจ้าต้องเผชิญเรื่องน่าหวั่นใจอีกคราหนึ่ง”
พลางถอดถอนใจกับตัวเอง
“อืม...เราเริ่มเชื่องช้าแล้ว ความชรานี้คล้ายมิรีรอผู้ใดเลย”
“ย่อมมิใช่พระองค์ชราอย่างเด็ดขาด เป็นข้าพเจ้าพยายามเล่นมากจนเกินเหตุ หากนั่งลงอยู่แต่แรก คงไม่ต้องทรงเผชิญอันตราย”
“อันตราย?”
องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ย ก่อนจะพยักพระพักตร์ แย้มยิ้มอีกครา
“เจ้าคล้ายต้องการปกป้องเรา? ห้วงน้ำหมุนวนนั่นใช่น่ากลัวอย่างยิ่ง? ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับคว้าตัวเราก่อน อืม... นับว่าเรามองเจ้าผิดไปอยู่บ้าง”
ทรงนิ่งตรึกไปอีกพักใหญ่ ก่อนกล่าววาจา
“เราว่าเจ้าเป็นทารกคล้ายมีผิดหลายที่ การกระทำเมื่อครู่ของเจ้าคล้ายผู้ห้าวหาญคนหนึ่ง แม้เขลาไปบ้าง ความจริงเจ้าควรทราบ ต่อให้เราร่วงหล่นลงไปในห้วงน้ำนั้น ก็มิสะดุ้งสะเทือนอันใดเลย ลืมเลือนแล้วหรือ เราคือผู้ใด?”
อัสธาราธอ้าปากค้าง ในตอนนั้นเขาลืมเลือนไปชั่วขณะ แม้ร่างกลางจะดูบอบบาง แต่นี่คือองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือสายนทีแห่งอิลห์ลารินทั้งปวง การช่วยพระองค์จากสายน้ำ มีแต่ผู้โง่เขลาเท่านั้นจึงคิดออก
(อ่านต่ออีกประมาณ6รีพลายล่างนะคะ พอดีโพสขาดค่ะ ลืมค่ะ^^")