[ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]Deep Blue Red Sky.เปลวไฟในสายน้ำ21(จบ) P.5 (มังกรน้ำvs.มังกรไฟ) 22/07/2555  (อ่าน 118991 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เล็งเห็นว่าคืนนี้มีแววจะลืมโพสเป็นแน่แท้.. เลยแอบมาโพสก่อนค่ะ (ไอ้เรื่องที่จบไปแล้วถ้าไม่ลงรวดเดียวเนี่ย.. มันลืมจริงๆ นะคะ=[]=!!)

ปล. ตอนพิเศษจะมีในรวมเล่มค่ะ (เหมือนนั่งๆ อยู่แล้วมันผุดขึ้นมาเพียบเลยล่ะ หุๆ)

-----------------------------------
6: ดำำดิ่งสู่ท้องธารา

          เจ้าชายอัสธาราธ

น้ำเสียงอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบา ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน อัสธาราธรู้สึกร่างกายเบาหวิว คล้ายเป็นเส้นขนนกบางเบา ลอยล่องอยู่ในอากาศ นี่คือสภาพหลังความตายหรือ? คล้ายเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนมิไดรู้สึกเช่นนี้เลย ตอนนั้นทั้งรู้สึกหนักอึ้ง เจ็บปวด หวาดกลัว มีเพียงความดำมืดแห่งห้วงน้ำที่ไหลโอบล้อม แต่ครั้งนั้นเขายังรอดชีวิตมาได้  ครั้งนี้เล่า?

“เจ้าชายอัสธาราธ”

น้ำเสียงเดิมเอ่ยเรียกอีก คราวนี้เจ้าชายหนุ่มมีสติแจ่มใสขึ้น ปรือเปลือกตาเปิดอ้าออก พลันพบเห็นนัยน์ตาสีมรกตกำลังจ้องลงมาอยู่ ทำให้ผงะอย่างลืมตัว

“อา....ยังรู้สึกตัวดีอยู่หรือไม่ เราเป็นผู้ใด?”

          คิ้วสีแดงหนาบนผิวสีน้ำผึ้งขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ถึงกระนั้นก็ยังตอบคำถามออกไป

          “องค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน ใช่หรือไม่?”

          รอยยิ้มงดงามผุดขึ้นบนใบหน้านั้น พลางกล่าวต่อ

          “แล้วเจ้าเล่า เป็นผู้ใด?”

          คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันอีก ตอบคำถามไป

          “ย่อมต้องเป็นเจ้าชายอัสธาราธแห่งคอนเชียร์ พระองค์ไฉนตรัสคำถามแปลกๆ”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ระบายยิ้มบนใบหน้าอีกรอบ มองไปอบอุ่นชวนเคลิบเคลิ้มยิ่ง

          “เรากลัวเจ้าเสียสติหลังดื่มโลหิตเรา เจ้าล้มลงคล้ายมิอาจหายใจบนบกได้อีก เราจึงนำเจ้าสู่ผืนน้ำ”

                มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกร่างกายเบาหวิวนัก ทันใดนั้นมังกรหนุ่มพลันรู้สึกตัวเต็มที่ ที่หนุนศีรษะอ่อนนุ่มเบาสบายนี้มิใช่สิ่งอื่น แต่กลับเป็นตักขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน อัสธาราธรีบพรวดพราดลุกขึ้นทันที ก่อนจะเซถลาอย่างตั้งตัวไม่ได้ เบื้องหน้าเห็นเป็นผืนน้ำมืดสนิท มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมคว้าข้อมือของเขาไว้

          “ไฉนจึงลุกอย่างไม่ระวังเช่นนี้ เจ้ามิเคยท่องใต้ผิวน้ำ ย่อมมิอาจกะน้ำหนักได้ถูกต้อง พลาดพลั้งร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนไปในเวิ้งน้ำนี้แล้ว ผู้ใดจะตามตัวเจ้ากลับมาเล่า”

          นัยน์ตาสีแดงของอัสธาราธยังคงส่งประกายแตกตื่นเสียขวัญ ห้วงน้ำลึกนี้ครั้งหนึ่งเคยเกือบพรากไฟชีวิตของเขาไป องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเห็นดังนั้นจึงนึกสังเวชในตัวมังกรหนุ่มยิ่ง แม้หวาดกลัวเช่นนี้ ยังดึงดันจะตามลงมา ดังนั้นจึงดึงตัวเจ้าชายแห่งคอนเชียร์เข้าไปแนบพระอุระโดยจับหันหน้าไปยังส่วนหัวของตัวมังกรที่อาศัยนั่งอยู่ พลางโอบกอดไว้หลวมๆ

          “เช่นนี้พอรู้สึกอุ่นใจขึ้นหรือไม่ มิต้องเห็นนัยน์ตาของเรา มิต้องกลัวพลัดตก”

          อัสธาราธหัวใจเต้นแรง มิคาดหลังจากผ่านวินาทีแห่งความเจ็บปวดจากการดื่มโลหิตประหลาดนั้นแล้ว ยังต้องมาเผชิญห้วงน้ำที่เป็นดั่งฝันร้ายตามหลอกหลอน จะอย่างไรต้องรู้สึกแตกตื่นตกใจอย่างมิอาจห้ามได้ ยามนี้เจ้าชายหนุ่มนั่งตัวเกร็งอยู่ในวงแขนขององค์กษัตริย์ พยายามปลุกปลอบใจตัวเอง มองไปรอบๆ เห็นเพียงผืนน้ำดำมืด กับดวงไฟสีน้ำเงินน้อยๆ ตัดกับเงายาวพาดทับกันไปมา ผู้ตามเสด็จล้วนคืนร่างเดิมจนหมดสิ้น ถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกสงสัย

          “ไยพระองค์มิคืนร่างเดิมเล่า หรือปกติเดินทางด้วยร่างกลางเช่นนี้?”

          ผู้มีผิวสีน้ำผึ้งตัดกับเรือนผมสีแดงเพลิงเอ่ยถามพลางหันกลับมามองอย่างเคยชิน สบกับเนตรสีมรกตนั่นอีก พลันต้องหลบนัยน์ตา องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์กล่าวอย่างเอ็นดู

          “หากเจ้าตื่นมาพบเราอยู่ในร่างนั้น ไยมิหวาดกลัวจนเสียสติ เรามิอยากเห็นเจ้าเพ้อคลั่งเพราะดวงตาของเรา หากมองไม่ได้ไม่ต้องหันกลับ เราไม่เคยต้องการให้ผู้ใดฝืนสบนัยน์ตา”

          อัสธาราธอับจนคำพูดไปอีก รู้สึกองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินมีเมตตาต่อตนมากมายยิ่ง อับอายตนเองที่มิอาจฝืนทนสู้พระพักตร์พระองค์ได้ เพียงเพราะเหตุหวาดกลัวไม่เข้าเรื่องนั้น ยกมือขึ้นจับอาภรณ์เรียบลื่นอันหุ้มท่อนพระกรที่โอบไว้หลวมๆ พลางกล่าว

          “ข้าพเจ้าสัญญา จะหยุดหวาดกลัวท่านให้ได้ในเร็ววัน มิทำให้ท่านต้องเดือนร้อนเพราะเรื่องนี้อีก”

          “ความหวาดกลัวย่อมห้ามกันมิได้ เรามิได้เดือดร้อนอันใด อืม... หากจะมีเรื่องเดือดร้อนอยู่บ้างคงเป็นเจ้า โดยปกติเวลาในการเดินทางจากคอนเชียร์ไปวังของเรานั้น ไม่สั้นไม่ยาว เนื่องเพราะร่างมังกรเราใหญ่โตยิ่ง เพียงผู้เดียวนำพาคณะผู้ติดตามมาจนถึงคอนเชียร์เพียงไม่กี่อึดใจ แต่เพราะเหตุเราเกรงใจหวาดวิตกจนเสียสติ ดังนั้นไพร่พลจึงต้องเดินทางด้วยตัวเอง อาจกินเวลาหลายวันสำหรับการเดินทางนี้”

          เจ้าชายหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน คล้ายดั่งถูกผู้คนอุ้มอย่างเอ็นดูแล้วตีอย่างแรง อดมิได้ต้องหันมาอีกรอบ

          “เช่นนั้นทรงคืนร่างเดิม..”

          พูดได้เท่านั้นพอประสบกับสายตาสีเขียวมรกต พลันกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ในปาก องค์กษัตริย์ทรงพระสรวล

          “เยาว์วัยยิ่ง อืม เราจักเพิ่มความสนุกสนานให้เจ้าเสียหน่อย ระหว่างมองนัยน์ตาเราในร่างนี้ กับมองนัยน์ตาเราในร่างเดิม เจ้าเลือกอันใด?”

          “ข้าพเจ้าตอบตามตรง ไม่ต้องการเลือกสักอย่าง เพียงอยากกล่าว หากทรงคืนร่างเดิม ข้าพเจ้าจะปิดตาเอาไว้ รับรองไม่เสียสติแน่นอน”

          เสียงหัวร่อดังกังวานไปทั่วท้องน้ำดำมืด มังกรหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะถูกมือเรียวลูบศีรษะอย่างเอ็นดู

          “ช่างพูดช่างจายิ่งนัก วาจาทารกของเจ้าคล้ายทำให้เรารู้สึกบันเทิงอยู่บ้าง”

          คำว่าทารกกระทบกับโสตประสาทพลันทำให้อัสธาราธรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก หันกายกลับมาโดยมินึกถึงสิ่งใดอีก

          “ข้าพเจ้ามิใช่ทารกน้อย ปีนี้ข้าพเจ้าอายุสองร้อยยี่สิบแล้ว อย่างไรนับเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง!”

          องค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์หัวร่อเสียงยาว คล้ายรู้สึกขบขันมากจริงๆ จนมิอาจหยุดยั้งเสียงหัวเราะนั้นได้ เนิ่นนานจึงได้กล่าว

          “ขออภัยหากเราแสดงกิริยาไม่สุภาพต่อเจ้า อืม... ดูคล้ายมังกรแห่งคอนเชียร์นั้นจะมีการนับอายุต่างจากชาวเราอยู่บ้าง บอกต่อเจ้า อายุสองร้อยกว่าปีของเจ้านั้น สำหรับเราน้อยนิดยิ่ง”

          คิ้วสีแดงขมวดเข้าหากันทันที ทรงเฉลยความต่อ

          “อายุขัยชาวบาดาลย่อมสูงกว่าพวกบนบก เพราะมิค่อยมีศัตรูมาก เจ้าทราบหรือไม่ ปีนี้เราอายุเท่าใด?”

          “เท่าใด?”

          อัสธาราธเอ่ยถาม แม้รู้ชาวบาดาลอายุยืนนัก แต่นึกไม่ออก จะอายุยืนขนาดไหน

          “คล้ายจะถึงสามพันปีแล้ว ตอนพระอัยกาเจ้าเกิด เราเคยไปร่วมงานด้วยซ้ำ”

          “ทรงอยู่มานานถึงเพียงนั้น!”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจ ผู้สูงวัยกว่าหัวร่ออีกครา

          “เข้าใจหรือไม่ สำหรับเรา เจ้าคล้ายทารกผู้หนึ่ง มิประสีประสาเรื่องใด”

                ถึงจะตกใจกับความจริงเรื่องอายุ แต่เจ้าชายหนุ่มยังมิยอมแพ้ ถือทิฐิตามประสาวัยรุ่น กล่าววาจาตอบโต้

          “สำหรับท่านเรารู้สึกคล้ายคนชราขี้เล่นผู้หนึ่ง อืม บางครั้งใจดีอย่างยิ่ง บางครั้งคล้ายต้องการหยอกเล่น”

          “เจ้าพูดมิผิด เราผู้เฒ่าชมชอบหยอกเย้าผู้คนจริงๆ”

          กล่าวพลางหัวเราะชอบใจยิ่งขึ้น ก่อกวนทิฐิในจิตใจมังกรหนุ่ม ให้เอ่ยวาจาโต้ตอบ

          “แต่ดูคล้ายร่างกลางเรามิต่างกันนัก ข้าพเจ้ายังดูสูงใหญ่กว่าท่านหลายส่วน”

          “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าร่างกลางเราเล็กกว่าเจ้า?”

          “ย่อมประเมินเอาจากสายตาได้”

          ผู้ถูกถามตอบฉะฉาน คล้ายลืมเลือนสิ้นเคยหวาดกลัวนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นอยู่ ท่าทางจะเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว องค์กษัตริย์แย้มยิ้มพริ้มพราย

          “งั้นทดลองดูหรือไม่ เรายืนเจ้ายืน หากเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริง เราจะยอมรับว่าเจ้ามิใช่ทารกน้อย”

          “ทดลองกัน”

          อัสธาราธเอ่ย พลันเหยียดกายลุกขึ้น และเซถลาไปเล็กน้อย แต่ด้วยความดื้อรั้น ไม่ต้องการฉวยข้อพระกรขององค์กษัตริย์ที่ยื่นเข้ามา พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง

          “จะให้เราเดินไปหาหรือเดินมาหาเราเล่า?”

          อัสธาราธเริ่มรู้สึกยุ่งยากลำบากใจขึ้นมาแล้วจริงๆ นี่อย่าว่าแต่เดิน แค่ยืนก็ลำบากอย่างยิ่ง หากให้ก้าวเดินมิเสียหลักล้มหงายลงไปหรือ ในสายน้ำนี้เรื่องการทรงตัวผิดจากบนบกลิบลับ หนำซ้ำยังอยู่บนหลังมังกรซึ่งเคลื่อนที่ไม่นิ่งสนิทเสียทีเดียว แต่ครั้นจะให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาก็ยิ่งเป็นเรื่องเสียหน้า

          “ข้าพเจ้าจะเดินไปหาพระองค์เอง”

          กล่าวพลางก้าวกระย่องกระแย่งอย่างไม่คุ้นชิน ทำเอากษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหัวร่องอหงาย

          “ทารก เจ้าช่างทำให้เรารู้สึกสนุกนัก”

          คำว่าทารกนั้นยิ่งทำให้มังกรหนุ่มนึกฮึดสู้ขึ้นมาอีก คำว่าเด็กว่ารับยากแล้ว ถึงกับเรียกทารกย่อมเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้อย่างยิ่ง เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ถือทิฐิมานะก้าวย่างอย่างยากลำบากบนหลังมังกรไปหาองค์กษัตริย์

          ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลารินรู้สึกสนุกสนานกับการละเล่นนี้นัก เนิ่นนานแล้วที่พระองค์มิได้ทรงพระสรวลยาวนานเช่นนี้ ตอนนี้กำลังจดจ้องมังกรหนุ่มที่ก้าวด้วยท่าทางชวนขบขันเข้ามาใกล้ พยายามยั้งพระโอษฐ์ไม่ให้หัวร่อออกไปอีก ทรงเกรงอีกฝ่ายจะนึกโกรธเคืองขึ้นมาจริงๆ

          “อยากให้เราช่วยหรือไม่?”

          น้ำเสียงกังวานเอ่ยขึ้นอีกหน ฟังดูก็รู้ว่าอดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เพียงไหน อัสธาราธขมวดคิ้ว มิยอมปริปาก ทั้งไม่ย่อมสัมผัสมือเรียวที่ยื่นมาหาอย่างช่วยเหลือ องค์กษัตริย์เพียงแย้มยิ้ม มังกรหนุ่มตัวนี้มีร่างกลางน่าเกรงขามก็จริง ทั้งสูงใหญ่ ทั้งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ อีกทั้งสีผิวยังคล้ำตัดกับผมแดงเพลิง กะคะเนตามหลักอายุด้านบน คงไม่ใช่ทารกเท่าไร แต่สำหรับตัวพระองค์แล้ว นี่ถือเป็นทารกเพิ่งคลอดตนหนึ่ง

          ผู้ถือทิฐิเรื่องเพียงเท่านี้ ไหนเลยมิใช่ทารกน้อย

          แม้จะดูถูลู่ถูกังอยู่บ้าง แต่ในที่สุดอัสธาราธก็เดินมาถึงหน้าพระพักตร์องค์กษัตริย์ โดยใช้เวลานานพอสมควร ทั้งๆ ที่ตอนยืนนั้นถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าวเลย แต่ครั้นจะเดินมาหา กลับรู้สึกยุ่งยากยิ่ง คงเป็นเพราะต้องเดินทวนกระแสน้ำนี่เอง

          “ข้าพเจ้าคล้ายสูงกว่าท่านอยู่หรือไม่?”

          อัสธาราธเอ่ยปาก หลังพยายามที่จะเหยียดตัวให้ตรงที่สุดตรงหน้าพระพักตร์องกษัตริย์ ผู้ทรงอำนาจใต้บาดาลอดมิได้หัวร่อออกมาอีก ยามนี้ใบหน้าของพระองค์แทบจะชนกับแผ่นอกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็มิได้อนาทรแต่อย่างใด

          “อืม ร่างกลางเจ้าสูงใหญ่กว่าเราจริงอยู่ นี่คล้ายไม่ผิดที่เรา ร่างกลางผู้ใดเล่าเลือกสรรได้”

          “ท่านคล้ายมิกล้ายอมรับว่าเราแท้จริงเป็นบุรุษหนุ่มมิใช่เด็กทารก”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยกพระหัตขึ้นปิดพระโอษฐ์อย่างขบขัน เบือนพระพักตร์ขึ้นมามองมังกรหนุ่ม

          “เจ้า..อืม ดูสูงใหญ่ไม่คล้ายทารกน้อยจริง  งั้นเรามิเรียกเจ้าทารกน้อย แบบนี้สมควรเรียกทารกใหญ่จึงเหมาะสม”

          สีหน้าของอัสธาราธดั่งถูกบังคับให้กลืนกินน้ำแข็ง สรรค์หาถ้อยคำอยู่เป็นเวลานานยังมิอาจตอบโต้ได้ อีกฝ่ายจึงเอ่ยสืบต่อ

          “ไยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ไยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”

          ผู้ถูกถามพลันอับจนคำพูดอีก ขบคิดในใจ ไยจึงต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คำถามนี้คล้ายมิเคยไถ่ถามตัวเองมาก่อนจริงๆ มือเรียวยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าได้รูปอย่างเอ็นดู ประหนึ่งบุรุษตรงหน้าเป็นทารกน้อยผู้หนึ่งจริงๆ ทรงเอ่ยวาจาต่อ

          “เจ้ามิเคยหาคำตอบในความดื้อรั้นของตน? นี่มิใช่พฤติกรรมเด็กทารก? อืม.. เราคาดเจ้าคงต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เอาเถิด อย่างน้อยทารกเจ้าทำเราสำราญยิ่ง นานแล้วมิได้หัวร่อมากมายเพียงนี้”

          อัสธาราธรู้สึกอับอายมากจริงๆ ใคร่ปัดมือที่ลูบไล้อย่างนุ่มนวลนั้นออก แต่วาจาขององค์กษัตริย์นั้นให้ข้อคิดยิ่ง กระทำการเช่นนี้มิคล้ายผู้ใหญ่เลย ดังนั้นสุดท้ายจึงถอนหายใจ

          “ข้าพเจ้ายอมรับ ยังกระทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่จริง”

          “อา... เจ้าคล้ายหัวไวอยู่บ้าง”

          องค์กษัตริย์ตรัส พลางแย้มยิ้ม

          “ต้องการนั่งลงแล้วหรือไม่?”

          ยังมิทันได้ตอบคำถาม แรงสั่นสะเทือนแผ่พุ่งออกมาตามผืนน้ำที่ลอมรอบอยู่ บนหลังอูห์รูนพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตาสีแดงอย่างตกใจไม่มีเวลาคิดถึงสาเหตุ ตรงเข้าคว้าร่างบอบบางขององค์กษัตริย์โอบกอดไว้ในอ้อมแขน จ้องมองผืนน้ำรอบตัวที่แปรเปลี่ยนอย่างพิสดารด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก แรงกดมหาศาลแทบจะกระแทกให้ร่างเซถลาร่วงหล่นลงจากหลังอูห์รูนอยู่หลายครา แต่อัสธาราธหยั่งเท้าลงอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจพิทักษ์องค์กษัตริย์ที่อยู่ในอ้อมกอดตามสัญชาติญาณ

          “เจ้ามิต้องกอดเราแน่นเช่นนี้ คล้ายทำเราหายใจลำบาก”

          ซุ่มเสียงใสเอ่ยขึ้นในอ้อมกอด ร่างแกร่งผงะ คลายอ้อมแขนออก พบเห็นรอยยิ้มชวนประทับใจกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั่น

                “เรากำลังจะบอกเจ้า ว่าจะผ่านร่องน้ำใหญ่ คล้ายเอ่ยเชื่องช้าไปบ้าง จึงทำให้เจ้าต้องเผชิญเรื่องน่าหวั่นใจอีกคราหนึ่ง”

          พลางถอดถอนใจกับตัวเอง

          “อืม...เราเริ่มเชื่องช้าแล้ว ความชรานี้คล้ายมิรีรอผู้ใดเลย”

          “ย่อมมิใช่พระองค์ชราอย่างเด็ดขาด เป็นข้าพเจ้าพยายามเล่นมากจนเกินเหตุ หากนั่งลงอยู่แต่แรก คงไม่ต้องทรงเผชิญอันตราย”

          “อันตราย?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ย ก่อนจะพยักพระพักตร์ แย้มยิ้มอีกครา

          “เจ้าคล้ายต้องการปกป้องเรา? ห้วงน้ำหมุนวนนั่นใช่น่ากลัวอย่างยิ่ง? ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับคว้าตัวเราก่อน อืม... นับว่าเรามองเจ้าผิดไปอยู่บ้าง”

          ทรงนิ่งตรึกไปอีกพักใหญ่ ก่อนกล่าววาจา

          “เราว่าเจ้าเป็นทารกคล้ายมีผิดหลายที่ การกระทำเมื่อครู่ของเจ้าคล้ายผู้ห้าวหาญคนหนึ่ง แม้เขลาไปบ้าง ความจริงเจ้าควรทราบ ต่อให้เราร่วงหล่นลงไปในห้วงน้ำนั้น ก็มิสะดุ้งสะเทือนอันใดเลย ลืมเลือนแล้วหรือ เราคือผู้ใด?”

          อัสธาราธอ้าปากค้าง ในตอนนั้นเขาลืมเลือนไปชั่วขณะ แม้ร่างกลางจะดูบอบบาง แต่นี่คือองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือสายนทีแห่งอิลห์ลารินทั้งปวง การช่วยพระองค์จากสายน้ำ มีแต่ผู้โง่เขลาเท่านั้นจึงคิดออก

(อ่านต่ออีกประมาณ6รีพลายล่างนะคะ พอดีโพสขาดค่ะ ลืมค่ะ^^")
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2012 22:03:41 โดย juon »

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
แหม หยอกกันน่ารักเชียว หรือเปล่า 5555

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ลุ้นอะ ลุ้นอะ

ออฟไลน์ moneza

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
 :-[ เหมือนอ่านนกยูงแดงเวอร์ชั่นนุ่มนวล 555555

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
เอ ตอนล่าสุดนี่จบหรือยังน้อ ยังดูค้างคา ชอบตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันหยอกเย้ากันจัง :o8:

พอดีเห็นนิดนึง


          “ใยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ใยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”


ใช้ ไย ค่ะ

อันนี้พอดีไปเจอมา

ใย-ไย

          คำที่ออกเสียงว่า [ไย] ในภาษาไทยเขียนด้วยสระใอไม้ม้วนคำหนึ่งและสระไอไม้มลายอีกคำหนึ่ง มีความหมายต่างกัน

          ใย ที่ใช้สระใอไม้ม้วน หมายถึง สิ่งที่เป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ เช่น ใยบัว คือ เส้นบาง ๆ ที่อยู่ในก้านบัว. ใยแมงมุม คือ เส้นเล็ก ๆ ที่แมงมุมขึงไว้ดักเหยื่อ.  ใยฟ้า คือ เส้นละเอียดอ่อนมากจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งลอยอยู่ในอากาศ. นอกจากนี้ยังมีคำว่า ใยหิน หมายถึง แร่ชนิดหนึ่ง เป็นแร่ประเภทซิลิเกต มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทนไฟ จึงนำไปใช้ทำวัสดุทนไฟและฉนวนกันความร้อน. ใยสังเคราะห์ หมายถึง ใยที่ทำขึ้นจากวัสดุซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

          ส่วน ไย ที่ใช้สระไอไม้มลาย แปลว่า ไฉน อะไร ทำไม เช่น เรานัดกันไว้แล้วไยเธอไม่มา. นอกจากนี้ยังมี ไย ไม้มลายอีก เช่น ไยดี ไยไพ. ไยดี หมายถึง พอใจ ยินดี มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น เธอเดินจากเขาไปอย่างไม่ไยดี, ใครเขาจะมาไยดีกับคนอย่างเรา. ไยไพ หมายถึงพูดให้เขาอาย หรือเยาะเย้ย มีในบทกลอน เช่น จะเยาะเย้ยไยไพไปไยเล่า.

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.


http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
มาฝากตัวเป็นสมาชิกใหม่ของเรื่องนี้จ้า!!!

tuang31007

  • บุคคลทั่วไป
ขอฝากตัวด้วยเจ้าค้าา ชอบเรื่องแนวนี้ที่สุดเลย

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :-[
น่ารักอะ
มังกรตัวลื่น ชอบคำนี้มาก

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เอ ตอนล่าสุดนี่จบหรือยังน้อ ยังดูค้างคา ชอบตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันหยอกเย้ากันจัง :o8:

พอดีเห็นนิดนึง


          “ใยเจ้าใส่ใจกับคำพูดเรานัก ทารกมีสิ่งใดไม่ดี?”

          “ย่อมไม่ดี ข้าพเจ้าต้องการโตเป็นผู้ใหญ่”

          อีกฝ่ายกล่าวตอบ ผู้ทรงอำนาจแห่งบาดาลแย้มยิ้ม

          “ใยต้องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เล่า?”

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้า....”


ใช้ ไย ค่ะ

อันนี้พอดีไปเจอมา

ใย-ไย

          คำที่ออกเสียงว่า [ไย] ในภาษาไทยเขียนด้วยสระใอไม้ม้วนคำหนึ่งและสระไอไม้มลายอีกคำหนึ่ง มีความหมายต่างกัน

          ใย ที่ใช้สระใอไม้ม้วน หมายถึง สิ่งที่เป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ เช่น ใยบัว คือ เส้นบาง ๆ ที่อยู่ในก้านบัว. ใยแมงมุม คือ เส้นเล็ก ๆ ที่แมงมุมขึงไว้ดักเหยื่อ.  ใยฟ้า คือ เส้นละเอียดอ่อนมากจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งลอยอยู่ในอากาศ. นอกจากนี้ยังมีคำว่า ใยหิน หมายถึง แร่ชนิดหนึ่ง เป็นแร่ประเภทซิลิเกต มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทนไฟ จึงนำไปใช้ทำวัสดุทนไฟและฉนวนกันความร้อน. ใยสังเคราะห์ หมายถึง ใยที่ทำขึ้นจากวัสดุซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

          ส่วน ไย ที่ใช้สระไอไม้มลาย แปลว่า ไฉน อะไร ทำไม เช่น เรานัดกันไว้แล้วไยเธอไม่มา. นอกจากนี้ยังมี ไย ไม้มลายอีก เช่น ไยดี ไยไพ. ไยดี หมายถึง พอใจ ยินดี มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น เธอเดินจากเขาไปอย่างไม่ไยดี, ใครเขาจะมาไยดีกับคนอย่างเรา. ไยไพ หมายถึงพูดให้เขาอาย หรือเยาะเย้ย มีในบทกลอน เช่น จะเยาะเย้ยไยไพไปไยเล่า.

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.


http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=3182

ขอบคุณมากค่า~ >/<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
อ้าว เพิ่งเห็นว่าโพสขาดค่ะ ฮ่าๆ 30วิมีผลได้อีก (ฮือๆ เราอยากให้เพิ่มจำนวนตัวอักษรจังค่ะ เราโพสไม่เคยพอใน20kเลยอ่ะค่ะ TTATT)


   “ข้าพเจ้าคล้ายแสดงความเขลากับท่านบ่อยครั้งแล้ว”
   
ทรงโบกพระหัตอย่างไม่ถือสา แย้มยิ้มกล่าว

   “ย่อมมิใช่สิ่งผิด เจ้ามิเคยลงน้ำ ย่อมรู้สึกอันตรายไปบ้าง กระนั้นยังมีจิตใจช่วยเหลือเราผู้เฒ่า เรายอมรับ เจ้าเป็นเด็กโตผู้หนึ่ง และย่อมโตไปเป็นผู้ใหญ่ดีเยี่ยม”

   เหม่อมองใบหน้าผุดผาดนั้นอยู่นาน ด้วยความรู้สึกคล้ายถูกตบสั่งสอนเบาๆ เอาเถิด เด็กย่อมโตกว่าทารก สักวันหนึ่ง คงมองเห็นเป็นผู้ใหญ่บ้าง

   ผู้มีดวงตาสีมรกตคล้ายมองความคิดนี้ออก เอ่ยถ้อยคำหยอกเย้า

   “เด็กย่อมดีกว่าทารกใช่หรือไม่? อืม.. เรารู้สึก ยามเจ้าถือทิฐิคล้ายลืมเลือนความหวาดกลัวทุกอย่างชั่วคราว จ้องตาเราเช่นนี้ ไม่รู้สึกอันใดแล้ว?”

   อัสธาราธสะดุ้ง รู้สึกตัวทันทีว่ากำลังจ้องมองดวงตาสีมรกตนั้นอยู่ ทันใดนั้นคล้ายถูกจับโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็ง รู้สึกสั่นกลัวขึ้นมาอีกครา ได้ยินเสียงองค์กษัตริย์หัวร่ออีกรอบ

   “เด็กน้อยเอย เด็กน้อยเอย.. เราไหนเลยไม่เอ็นดูเจ้าอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่มีที่ใดให้แอบอิง เราจักไม่ทิ้งเจ้าเอาไว้ในสายธาร”

   คล้ายกับเป็นบทกลอนง่ายๆ ทรงเอ่ยซ้ำอยู่หนสองหนและทดลองใส่ทำนอง นัยน์ตาสีมรกตปรากฏแววยินดี

   “เพลงนี้ฟังดูไม่เลว เจ้าว่า?”

   ทรงเอ่ยถาม อัสธาราธทั้งไม่พยักหน้า ทั้งไม่สั่นศีรษะ เพียงกล่าวเบาๆ

   “ข้าพเจ้ามิทราบ ตอนนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการนั่งลงแล้ว”

   องค์กษัตริย์มีสีหน้าแปลกพระทัย ก่อนหัวร่ออีก

   “อ่า... ผู้ไม่คุ้นชินเมื่อยืนแล้วย่อมนั่งลงลำบาก เอาเถิด นี่มิใช่เรื่องน่าอาย เราจักช่วยเหลือเจ้า”

   กล่าวพลางฉวยมือของอีกฝ่ายไว้และฉุดให้นั่งลง เวลานั้นคล้ายสายน้ำหยุดไหลชั่วครู่ จากทีทรงกายลำบาก กลับทรุดตัวลงนั่งได้ง่ายๆ

   “ทรงควบคุมกระแสน้ำได้?”

   มังกรหนุ่มเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น พลางเหลียวมองไปรอบๆ องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์

   “ย่อมได้ ในสายธาราแห่งอิลห์ลารินนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เราผู้เป็นราชากระทำมิได้”

   “อย่างนั้น... เร่งเร้าสายน้ำช่วยนำพาพวกเราไปยังปราสาทของท่านให้รวดเร็วขึ้นได้หรือไม่?”

   อัสธาราธเอ่ยถามต่อ ครานี้ส่งส่ายพระพักตร์

   “เรื่องนั้นคล้ายมิใคร่อยากกระทำนัก เราเกรงหากเร่งเร้าสายชลมากเกินไป อาจนำพาเด็กเจ้าพลัดหลงระหว่างทาง นี่เราก็เร่งอยู่ หรือเจ้าคิด สายน้ำไหนเลยไหลรวดเร็วเพียงนี้”

   เจ้าชายหนุ่มฝืนยิ้ม

   “ข้าพเจ้าเข้าใจ น้ำที่ใดก็ต้องไหลแรงเช่นนี้”

   ทรงเงยขึ้นมองอย่างรู้สึกสำนึกผิดบ้าง

   “หากมีเวลา เราจะพาเจ้าท่องไปในที่ที่กระแสน้ำมิไหลเชี่ยว เจ้าสมควรทราบ ในพื้นน้ำนี้ยังมีสิ่งสวยงามอีกมาก”

   “ข้าพเจ้าทราบ ใต้พื้นน้ำมีสิ่งสวยงาม”

   อัสธาราธเอ่ย ผู้ทรงศักดิ์หันมองอย่างแปลกใจ

   “เจ้าหวาดกลัวท้องน้ำแห่งเราเป็นอย่างยิ่ง แม้ลืมตามองยังยากลำบาก ไฉนกล้ากล่าว ใต้พื้นน้ำมีสิ่งสวยงาม”

   “เนื่องเพราะพระองค์อยู่ใต้พื้นน้ำ”

   ทรงนิ่งอึ้งคล้ายงุนงงสงสัยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา

   “เจ้าช่างสรรค์หาวิธีชมโฉมของเราได้พิสดารยิ่ง อืม.. นี่หายหวาดกลัวเราแล้ว?”

   “กล่าวตามตรง ไม่รู้สึกหวาดกลัวน้อยลงเท่าไหร่เลย”

   อัสธาราธตอบไปตามจริง แม้ตอนนี้ก็ยังรู้สึกร่างกายสั่นสะท้านอยู่ องค์กษัตริย์ขมวดคิ้วสีน้ำเงินเข้มเข้าหากัน

   “เช่นนั้นใยจึงอุตริชมโฉมเราเล่า?”

   “เนื่องเพราะหากมิหวาดกลัวนัยน์ตาท่าน ข้าพเจ้าย่อมต้องพูด ท่านนี้สวยงามยิ่ง ยามลงสู่พื้นน้ำ เส้นผมของท่านพลิ้วไหวคล้ายภาพลวง ก่อกวนให้ข้าพเจ้าชมดูจนตาลายแล้ว”

   “คล้ายต้องการกล่าว หากเราตาบอดสิ้นยังต้องงดงามกว่านี้มาก?”

   “มิได้ต้องการหมายเช่นนั้นเลย”

   เจ้าชายหนุ่มรีบตอบ พลันถูกอีกฝ่ายโบกมือ

   “ถึงเจ้าหมายก็อย่าหวังเราจะสละดวงตาให้ การมองเห็นอย่างไรย่อมดีกว่ารูปโฉม เราแม้อัปลักษณ์หากมีดวงตายังพอเห็นความสวยงามได้ หากมีรูปโฉมงามไร้ดวงตา โลกมืดบอด จะมีคุณค่าใดเล่า”

   “กล่าวได้ความหมายดียิ่ง ถึงอย่างไรแม้ข้าพเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาท่าน ก็ยังมิปรารถนาให้ท่านตาบอด เนื่องเพราะหากไม่มีดวงตานี้ ข้าพเจ้าคงไม่มีทางรอด.. ถ้าไม่เพราะท่านมองเห็นข้าพเจ้าในตอนนั้น ข้าพเจ้าไหนเลยมีโอกาสมากล่าววาจาโต้ตอบกับท่านเช่นนี้”

   “อืม.. นี้ต้องการเอ่ยขอบคุณเรา?”

   อัสธาราธพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

   “ข้าพเจ้าขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก แม้หวาดกลัวตัวสั่น แต่ข้าพเจ้าสำนึกบุญคุณท่านและรู้สึกผิดอยู่เรื่อยมา ต้องการเอ่ยให้ท่านเข้าใจ หากมีเหตุให้ชีวิตข้าพเจ้าต้องสูญสิ้นระหว่างกิจการในครานี้ ท่านมิต้องกังวลเสียใจ เพราะชีวิตข้าพเจ้านั้นคล้ายกลายเป็นของท่านตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

   “เจ้าเมาคลื่น?”

   องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเอ่ยพลางขมวดคิ้ว ทำเอาอีกฝ่ายขมวดคิ้วตามไปด้วย

   “ข้าพเจ้ามิเมาคลื่น รู้สึกปลอดโปร่งสมองยิ่ง”

   “งั้นเราว่าสมองเจ้ามีปัญหา ใยเอ่ยวาจาไม่สมตัวเช่นนั้น”

   คราวนี้คิ้วสีแดงของอัสธาราธขมวดเข้าหากันอย่างจริงจัง

   “ข้าพเจ้าเอ่ยวาจาจากใจจริง ไฉนท่านกลับคิดสมองข้าพเจ้ามีปัญหา หรือท่านไม่เชื่อถือวาจาทารก?”

   ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มออกมา พลางกล่าว

   “เจ้าเด็กน้อยยอมรับตนเป็นทารกแล้ว อืม... เราขออภัย มิได้ตั้งใจดูถูกน้ำใจเจ้า เราเพียงรู้สึก นี่มิใคร่เป็นวาจาที่เด็กเจ้าสมควรกล่าว ทราบหรือไม่ความหมายที่กล่าวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?”

   “แม้เรายังเล็กในสายตาท่าน แต่วาจาที่กล่าวนั้น เราล้วนเข้าใจและทำใจมาแล้วทั้งสิ้น หากมิคิดมาก่อนไฉนเลยกล้าดื่มโลหิตท่าน กล้าติดตามท่านลงมาในห้วงน้ำแห่งนี้”

   คล้ายองค์กษัตริย์อับจนถ้อยคำไปชั่วครู่ เนิ่นนานจึงระบายลมหายใจเป็นฟองคลื่นขาว

   “เราคล้ายนึกเอ็นดูเจ้าดั่งทารกมากไปจริงๆ ลืมเลือนว่าเจ้ากล้าหาญยิ่ง แต่ยังมิต้องกล่าววาจาเช่นนั้น ด้วยฐานะเราผู้เฒ่า ย่อมไม่ยอมให้เจ้าได้รับอันตรายอย่างไม่สมควรโดยเด็ดขาด”

   “อืม... แต่ท่านทดลองให้ข้าพเจ้าดื่มโลหิตท่านโดยมิรับรองความปลอดภัย วาจาของท่านยังเชื่อถือได้?”

   เจ้าชายหนุ่มสวนกลับ ทำเอาองค์กษัตริย์ถึงกับอึ้งไปนาน สุดท้ายจึงได้แค่นหัวร่อ

   “ร้ายกาจๆ สนทนากันไม่นานกลับค้นหาวาจาเรื่องราวมาตอบโต้สวนกลับเราได้หมดสิ้น”

   นิ่งไปพักหนึ่งจึงกล่าวสืบต่อ

   “แม้เราไม่มั่นใจ แต่รู้สึกอยู่ลึกๆ หากเป็นเจ้าย่อมไม่ถึงแก่ชีวิต”

   “ไยรู้สึกเช่นนั้น?”

   อัสธาราธถามอย่างแปลกใจ องค์กษัตริย์นิ่งนึกอยู่นาน ก่อนสั่นศีรษะ

   “มิทราบได้ เรื่องบางอย่างแม้อยู่มายาวนาน ยังมิอาจหาคำตอบ นี้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น”
   
“กล่าวเช่นนี้ใยมิฟังดูเลื่อนลอยเกินไป คล้ายชีวิตข้าพเจ้าขึ้นกับความรู้สึกของท่าน”

   “บอกกล่าวแก่เจ้า ชีวิตเจ้าขึ้นอยู่กับความรู้สึกเราเนิ่นนานแล้ว หากเรามิรู้สึกอยากช่วยเจ้าในตอนนั้น ไหนเลยเจ้าจะมีน้ำหน้ามากล่าวโต้ตอบเราเช่นนี้”

   อัสธาราธพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อ

   “วาจานี้คล้ายคลึงที่ข้าพเจ้ากล่าวเมื่อครู่ ข้าพเจ้ารู้สึกเข้าใจทันที เพียงไม่เข้าใจบ้าง ไยท่านเอ็นดูข้าพเจ้ายิ่ง หรือท่านเอ็นดูผู้อื่นเป็นนิจอยู่แล้ว”

   “เราผู้ชราอย่างไรก็เอ็นดูทารกน้อยเช่นเจ้าเสมอ”

   องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตอบคำถาม พลางถอนหายใจ

   “ทารกเจ้าวันนี้ทำเราสำราญยิ่ง แต่ตอนนี้กลับทำเราเหน็ดเหนื่อยแล้ว”

   เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มองเห็นองค์กษัตริย์คล้ายทำตัวแก่ชราเต็มที ถึงกับแสดงสีพระพักตร์เหนื่อยอ่อน อดมิได้ต้องถามออกไป

   “ทำไมเล่า หรือท่านมิขบขันกิริยาข้าพเจ้าแล้ว?”

   “ตอนหลังล้วนขบขันไม่ออก เจ้าคล้ายจริงจังจนเราเหน็ดเหนื่อยแทน นี่ นั่งเองคนเดียวได้หรือไม่?”
   อัสธาราธมองดูหน้าผู้พูดด้วยความงงงัน นึกหวาดเสียวว่าจะทรงกลายร่างเดิมเพื่อสำแดงอำนาจปรามเขาหรือไม่ องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

   “เรารู้สึกเมื่อยขบอย่างยิ่ง หากเจ้ายังนั่งทรงตัวดี เราขออาศัยตักเจ้าต่างหมอน?”

   เจ้าชายหนุ่มเกือบอ้าปากกล่าวคำพูดว่าคงไม่เหมาะสม แต่นึกขึ้นได้ยามตื่นมาตนก็หนุนตักนุ่มขององค์กษัตริย์อยู่ จึงพยักหน้าตอบไป ร่างบางเอนกายลง คล้ายเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนเต็มที่ ศีรษะได้รูปที่มีเรือนผมสีน้ำเงินยาวสยายไปตามกระแสน้ำวางลงบนตักเขาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีมรกตพริ้มลงโดยไม่แม้แต่เหลือบมอง กล่าวว่าจาเนิบนาบ

   “อืม.. ดูมั่นคงแข็งแรงพอใช้ เราจักถือนี่เป็นข้อดีของการมีร่างกลางสูงใหญ่ และมิต้องหวาดกลัว เราสัญญาจะมิลืมตาขึ้นมาข่มขวัญเจ้าระหว่างนี้ และหากเจ้ารู้สึกเมื่อย ย่อมขยับร่างกายได้บ้าง ระวังอย่าให้ร่วงหล่นจากหลังอูห์รูนเป็นพอ เข้าใจวาจาเราหรือไม่?”

   กล่าวคล้ายสั่งความกับเด็กๆ อัสธาราธพยักหน้า พลางนึกว่าที่มานอนทับตักเขานี่เพราะเกรงว่าจะร่วงลงไประหว่างที่ตัวเองหลับรึเปล่า มังกรหนุ่มพิศมองรูปหน้าสวยงามที่หลับตาพริ้มอยู่บนตัก พอไม่ต้องมองนัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นแล้ว ใบหน้านี้ช่างน่าหลงใหลนัก ไม่แปลกใจเลย ทำไมอัสรานถึงได้ชักชวนให้เขาอยู่ยลโฉมจอมกษัตริย์ผู้นี้ก่อน ทรงความงามหาผู้ได้เสมอ หากมิใช่บุรุษ หากมิใช่เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้น หากมิใช่กษัตริย์ หากมิใช่ต่างเผาพันธุ์กันอย่างสุดขั้ว น่ากลัวนี่อาจกลายเป็นรักแรกพบก็เป็นได้ คิดพลางถอนหายใจยืดยาว

   ตอนนี้อย่าว่าแต่รักเลย ไม่หวาดกลัวจนถอยหนีก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

   เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจในสายน้ำ องค์กษัตริย์เอ่ยสืบต่อ

   “ลำบากใจกับศีรษะเราหรือ?”

   “มิได้ ข้าพเจ้าเพียงครุ่นคิดไร้สาระ”

   ได้ยินเสียงครางอืมเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะมีถ้อยคำสั้นๆ

   “ยังจำนามเราได้หรือไม่?”

   อัสธาราธพยักหน้าอย่างเคยชิน ก่อนนึกได้ว่าอีกฝ่ายมิได้ลืมตามองตน จึงตอบไป

   “ย่อมจำได้”

   “เรียกให้เราฟัง เราชมชอบให้ผู้อื่นเรียกชื่อ”

   “แต่คล้ายผู้รับใช้ส่วนใหญ่มิใคร่พอใจให้เรียกนัก”

   มังกรหนุ่มกล่าว ยังจำได้ถึงช่วงเวลาที่เอ่ยน้ำนี้ออกไปครั้งแรก ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนใจยืดยาว

   “ผู้รับใช้หาใช่เรา เราชมชอบฟังผู้อื่นเรียกชื่อ ดังนั้นเจ้าเรียกชื่อเราอีกได้หรือไม่?”

   แม้ไม่เข้าใจนัก แต่ผู้ถูกร้องขอก็ปฏิบัติ เอ่ยนามนั้นออกมาเบาๆ

   “เรเธียร์..... อืม... นามท่านยามกล่าวในกระแสน้ำฟังดูไพเราะยิ่ง ผู้ใดขนานนามนี้ให้เล่า?”

   “คล้ายเราตั้งของเราเอง อืม..”

   ผู้นอนอยู่ส่งเสียงงืมงำ คล้ายกำลังเข้าสู่ห้วงภวังค์เต็มที่

   “เสียงเจ้าเรียกชื่อเราฟังเข้าหูอยู่ เราอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อตรงๆ”

   กำลังจะอ้าปากว่า ไม่เกรงข้าพเจ้าถูกผู้รับใช้กลุ้มรุมทำร้ายหรือ? ร่างบอบบางก็คล้ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ทรวงอกแบนรามกระเพื่อมเป็นจังหวะตามละอองฟองฝอยที่ผุดพรายออกมาจากจมูกได้รูป เรือนผมสีน้ำเงินโลมไล้ใบหน้าและร่างกายของผู้ที่นั่งแทนหมอนอยู่ บังเกิดความรู้สึกประหลาดชนิดหนึ่ง คล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงมนต์สะกด ในสติเลื่อนลอย อัสธาราธเอ่ยชื่อที่เพิ่งเรียกไปอีกครั้ง

   “เรเธียร์”

----------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
หนุกเว่อ!!!!.... มาต่ออีกไวๆนะค้าบ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านทีไรเคลิ้มทุกทีเลย

เรเธียร์สวยแต่ไม่บอบบาง ทระนงสมเป็นเจ้า แต่ก็น่าถนอม

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เราอยากจะบอกว่า เรื่องนี้คำผิดเยอะมากค่ะ และเรายังไม่ได้แก้(เนื่องจากไม่มีเวลา)

แต่ยังรับคำแนะนำเรื่องคำผิดอยู่นะคะ (จะเอาไปแก้ในต้นฉบับเลยค่ะ)

ขอบคุณค่ะ^^

ปล.ใครที่อ่านตอนนี้แล้วงงๆ ว่ามันเหมือนไม่ต่อกับบทที่แล้ว อันที่จริงแล้วเราลงบทที่แล้วตกไปหน่อยหนึ่ง สามารถอ่านย้อนหลังได้ตรงที่อัพต่อด้านบนนะคะ^^

---------------------------------------

7 : อ้อมกอดแห่งสายน้ำ

          แรงสั่นสะเทือนบางเบาแต่สัมผัสได้ปลุกให้นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งโพลงขึ้นมา สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาจ้าวแห่งสายน้ำคือปอยผมสีแดงที่พลิ้วไสวอยู่ตรงหน้า และอีกเสี้ยววินาทีต่อมาคือริมฝีปากได้รูปที่โน้มต่ำลงมา กับนัยน์ตาของผู้เป็นเจ้าของที่หลับสนิท

          !!

          อัสธาราธสะดุ้งเฮือก เมื่อบางสิ่งบางอย่างที่เย็นยะเยียบสัมผัสกับใบหน้าของเขา และปิดบังการมองเห็นจนหมดสิ้น เจ้าชายหนุ่มผงะอย่างลืมตัว ก่อนจะได้ยินเสียงพูด

          “อยู่นิ่งๆ”

          น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นจนแทบจะเป็นเสียงดุ อัสธาราธนั่งตัวแข็งทื่อทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมปล่อยมือออก

          “ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะหลับทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนหลังอูห์รูน อืม...แลดูเจ้ามีความสามารถในการหลับไม่น้อย”

          น้ำเสียงหยอกเย้า จ้าวแห่งสายน้ำเอ่ยพลางแย้มยิ้มพริ้มพราย เจ้าชายหนุ่มถึงกับอ้ำอึ้งไปเป็นเวลานานด้วยรู้สึกอับอายที่สัปหงกต่อหน้าองค์กษัตริย์ เรเธียร์มองดูใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้นด้วยความรู้สึกสำนึกผิดอยู่บ้าง คราแรกกลัวว่าอัสธาราธจะตกใจหากลืมตาขึ้นมาแล้วประสบเข้ากับนัยน์ตาของตน ดังนั้นจึงใช้มือปิดไว้ ไม่ได้ตั้งใจจะก่อกวนให้อีกฝ่ายรู้สึกตระหนก พอเห็นว่ามังกรหนุ่มสะดุ้งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาหยอกล้อออกไป ดูท่าจะกลายเป็นสร้างความอับอายแทนแล้ว ดังนั้นจึงทรงกล่าวปลอบ

          “เราไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าตระหนก เพียงกลัวเจ้าลืมตาขึ้นมาเจอนัยน์ตาเรา อืม.. เรายังอยากบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ในห้วงนทีแห่งนี้ยังมีภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่”

          นัยน์ตาสีแดงตวัดขึ้นมองอย่างใคร่รู้ทันที ผู้สูงวัยกว่าแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน เชื้อสายแห่งคอนเชียร์คงไม่คาด ภายใต้ผืนน้ำเย็นยังมีสิ่งเช่นนั้น จึงทรงกล่าววาจาต่อ

          “เจ้าสัมผัสได้หรือไม่ กระแสน้ำรอบตัวนี้ใช่อุ่นขึ้นกว่าปกติ? มาเถิด เราจะชี้ให้เจ้าชม ภูเขาไฟยิ่งใหญ่แห่งอิลห์ลาริน”

          กล่าวจบพลันผุดลุกขึ้น ยื่นพระหัตมาให้เจ้าชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ ครั้นจะปฏิเสธความหวังดีนี้ก็ดูจะเสียมารยาทจนเกินไป อัสธาราธจึงฉวยพระหัตของจอมกษัตริย์เอาไว้ และดึงตัวเองขึ้นมา การเคลื่อนไหวในน้ำนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คล้ายน้ำหนักไม่มีผลในห้วงน้ำแห่งนี้ จะลุกจะเดินดูเบาไปหมด เจ้าชายหนุ่มก้าวตามผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินสลวยไปตามแผ่นหลังกว้างของผู้รับใช้ที่ชื่ออูห์รูน มือเรียวชี้ชวนให้ก้มลงมองดูเบื้องล่าง

          ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เบื้องล่างนั่น ภูเขาไฟลูกมหึมากำลังผุดพ่นลาวาสีแดงเพลิง สีของมันแดงฉานตัดกับสีดำน้ำเงินของอณูน้ำทะเล หากเป็นบนคอนเชียร์ ตอนนี้ท้องฟ้าคงกลายเป็นสีเหลืองขุ่นเพราะไอกำมะถันเข้มข้น แต่ใต้ห้วงน้ำแห่งนี้ รอบๆ ภูเขาไฟกลับกลายเป็นควันเมฆสีเทาครึ้ม ม้วนตัวอย่างช้าๆ ในรูปร่างประหลาดตา ล้อมรอบปากปล่องภูเขาไฟนั้นอยู่ นัยน์ตาสีแดงเพลิงสั่นระริก เพียงแค่เห็นธารลาวานั้น ร่างกายก็ตอบสนองอย่างประหลาด คล้ายมีพลังเหนือธรรมชาติปลุกเร้าให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด

          “หินหลอมเหลวนั่น ใช่ร้อนเช่นที่คอนเชียร์หรือไม่? ข้าพเจ้าปรารถนาทดลองสัมผัสสักครั้ง..”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำหัวร่อออกมาเบาๆ เห็นท่าทีคึกคักของมังกรหนุ่มแล้ว หากเป็นยามปกติคงโอนอ่อนให้ตามคำขอร้องพิสดารนี้แล้วแน่ ในอิลห์ลาริน น้อยสิ่งมีชีวิตนักปรารถนาจะเข้าใกล้ปากปล่องร้อนนั่น ยกเว้นเสียแต่สิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายหนอนที่อาศัยอยู่ในท่อริมปล่องร้อน จะว่าไปหนอนเหล่านั้นคล้ายมีสีแดงสดเยี่ยงมังกรหนุ่มจากคอนเชียร์ หรือพวกสิ่งมีชีวิตทนร้อนเหล่านี้ดูดกลืนสีสันแห่งเปลวเพลิงเข้าไปไว้ในตัวได้

          “เกรงว่าในยามนี้จะไม่ค่อยสะดวกนัก ภายหน้าหากโอกาสเหมาะ เรารับรองจะพาเจ้าหวนกลับมายลภูเขาไฟนี้อีกครั้ง”

          อัสธาราธรีบสั่นศีรษะทันที ก่อนกล่าว

          “อย่าได้ทรงลำบากเพราะความคึกคะนองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น”

          “เรามิใคร่เข้าใจเผ่าพันธุ์แห่งไฟนัก พวกเจ้าใยชื่นชอบที่ร้อนๆ”

          ผู้ถูกถามเงยหน้าขึ้นและยิ้ม

          “คำตอบนั้นไม่ยากไม่ง่าย แม้ท่านเองก็ย่อมเข้าใจได้”

          คิ้วได้รูปสีน้ำเงินขมวดเข้าหากันทันที จับจ้องผู้พูดอย่างใคร่ได้ยินคำตอบ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบอยู่นาน อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากกระตุ้น

          “เด็กน้อย คำตอบเจ้าว่าอย่างไร ใยบอกว่าเราเองย่อมเข้าใจได้”

          อัสธาราธยิ้มอีกรอบ รอยยิ้มแลดูไร้เดียงสาอย่างประหลาด ริมฝีปากได้รูปเอ่ยถ้อยคำชัดเจน

          “คำตอบย่อมอยู่ในคำถาม ข้าพเจ้าเองก็มิใคร่เข้าใจนัก พวกท่านใยนิยมอาศัยอยู่ท่ามกลางสายน้ำเย็นยะเยือกเช่นนี้”

          “เนื่องเพราะสรีระเราไม่อำนวยให้ใช้ชีวิตอยู่บนบก หากไม่อาศัยอยู่ใต้น้ำ ผิวหนังเปียกลื่นไหนเลยจะทานทนไอร้อนเบื้องบนได้”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

          “เฉกเช่นเดียวกัน สรีระข้าพเจ้าไม่อำนวยให้อาศัยอยู่ใต้น้ำ ยิ่งไม่นิยมชมชอบการอยู่ในที่เย็นๆ ท่านทราบ ภายใต้ผืนน้ำแห่งอิลห์ลาริน พวกข้าพเจ้าจักสูญสิ้นทุกอย่างที่ภาคภูมิ ไม่มีเปลวเพลิง ไม่มีความแข็งแกร่งใดหลงเหลืออยู่อีก ในเมื่อข้าพเจ้าหวาดกลัวความเย็น ย่อมเป็นปกติที่จะพึงใจสิ่งร้อนระอุเช่นนั้น”

          “คำตอบของเจ้าคล้ายเราพอเข้าใจได้จริงๆ”

          องค์กษัตริย์ตรัสหลังจากนิ่งตรึกอยู่พักใหญ่ ระหว่างบทสนทนา อูห์รูนได้ว่ายผ่านภูเขาไฟใต้น้ำนั้นไปเนิ่นนานแล้ว แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในดวงตาสีมรกตทั้งสองข้างคือสีแดงเพลิงของเปลวไฟ เปลวไฟสีแดงที่ยืนประจันอยู่ตรงหน้า ในจิตใจของเรเธียร์พลันเกิดคำถามขึ้นมาเบาๆ

          ไยเราจึงช่วยเหลือมังกรตนนี้ ไยเราจึงช่วยเหลือเผ่าพันธุ์แห่งไฟที่เรามิเคยปรารถนาอยากเฉียดใกล้ ไยเราจึงโอนอ่อนให้ความร้อนระอุที่เราพ่ายแพ้นี้นัก?

          “อืม... นี่คล้ายมีชีวิตยืนยาวจนความคิดเริ่มพิสดารเสียแล้ว”

          จอมกษัตริย์พึมพำเบาๆ แต่ก็ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยิน แม้รู้สึกเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่อัสธาราธอดไม่ได้ที่จะเลียบเคียงถามออกไป

          “พระองค์มีความคิดพิสดารใด?”

          องค์กษัตริย์เงยพระพักตร์พลางถอนหายใจ

          “มีพิสดารอยู่หลายเรื่อง อย่างน้อยเราดั้นด้นไปพาดวงไฟสีแดงแห่งคอนเชียร์ดวงหนึ่ง ลงมาสู่นครใต้น้ำ เจ้าว่านี่ยังมิพิสดารพอ?”

          “การกระทำของพระองค์ย่อมมีเหตุผลรองรับ กษัตริย์ใดเล่าไม่ทำสุดความสามารถเพื่อปกป้องราชอาณาจักร กับเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามีอันใดพิสดาร”

                นัยน์ตาสีมรกตเบิ่งกว้างอย่างแปลกใจ พิศมองดวงหน้าคมสันตรงหน้าอย่างงงงวย ก่อนจะกล่าววาจาออกมาบ้าง

          “แต่เรากลับคิดว่านี่เป็นเรื่องพิสดารนัก เจ้าผู้พ่ายแพ้ต่อสายน้ำ ใยจึงยินยอมติดตามเรามาโดยง่าย?”

          อัสธาราธสูดหายใจลึก เบือนดวงตาสีแดงสบกับนัยน์ตาสีมรกตนั้น พลางกล่าววาจา

          “เนื่องเพราะครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยหวาดกลัวท่านซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิต เนื่องเพราะการพบกันหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้กระทำเรื่องราวอันแสนอัปยศ แม้ท่านมิใคร่อยากเชื่อ แต่ข้าพเจ้ายังไงก็ยังหลงเหลือจิตสำนึกอยู่บ้าง บุญคุณช่วยชีวิตข้าพเจ้าย่อมต้องหาโอกาสทดแทน โอกาสไหนเลยจะเหมาะมากไปกว่าการนี้อีกแล้ว”

          “เรามิได้ช่วยเหลือเจ้าเพื่อหวังให้เจ้าสละชีวิตให้เรา”

          องค์กษัตริย์เอ่ย และถูกพูดแทรกขึ้นทันที

          “ข้าพเจ้ามิได้ต้องการให้ท่านช่วยเหลือเพื่อเป็นหนี้ชีวิตเช่นกัน แต่ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว ข้าพเจ้าย่อมต้องหาหนทางชดใช้ แต่ข้าพเจ้าเรียนกับท่าน ข้าพเจ้าย่อมไม่สละชีพง่ายๆ อย่างไรเสียข้าพเจ้ายังอยากกลับไปแช่น้ำร้อนจัดด้านบนนั้นอยู่”

          องค์กษัตริย์นิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดก็ยิ้มออกมา

          “คล้ายหลับไปหนึ่งตื่น เจ้าดูโตขึ้นเสียแล้ว อืม... ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เด็กน้อยจะพลันโตขึ้นในข้ามงีบเดียว”

                อัสธาราธขมวดคิ้วจนมุ่นเข้าหากัน จดจ้องมององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอย่างพินิจพิเคราะห์

          “พระองค์ใยชอบมองข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ปรารถนาให้ข้าพเจ้าโต? หรือชมชอบรังแกเด็ก?”

          ผู้ถูกถามแย้มยิ้ม เรือนผมสีน้ำเงินปลิวไสวไปในสายน้ำ

          “เราเพียงคิด เด็กๆ ล้วนน่าเอ็นดู พอโตก็ไม่น่าเอ็นดูแล้ว”

          อัสธาราธถึงกับอับจนคำพูดไปชั่วครู่ ได้แต่ยิ้มตอบค้างคาเป็นครึ่งค่อนวัน จึงกระท่อนกระแท่นเอ่ยวาจาออกมาได้

          “อย่างนั้น ข้าพเจ้าสมควรยอมรับตัวเองเป็นเด็กน้อยจึงประเสริฐกว่า? อย่างน้อยยังพอให้พระองค์เอ็นดูได้บ้าง?”

          เสียงหัวร่อดังกังวานขึ้นอีกครั้ง ยามทรงพระสรวล องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินคล้ายเพิ่มเสน่ห์ลึกลับขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว คงมิมีผู้ใดในโลกทนทานความงดงามนี้ได้มากนัก แต่เจ้าชายหนุ่มคล้ายมีสีหน้างุนงงจนกล่าววาจาไม่ออกอีกแล้ว

          “เจ้าคล้ายพยายามจะเอาใจเรา? อืม...กล่าวกับเจ้าตามตรง สนทนามาถึงตอนนี้ เรามองเจ้าโตขึ้นเล็กน้อย คล้ายเด็กเจ้าพยายามจะเติบโตให้ทันเราในข้ามวัน แต่ถึงอย่างไรทารกย่อมเป็นทารก เจ้าสบายใจ เราย่อมไม่ถือสาวาจาทารกให้มากความ”

          อัสธาราธไม่รู้ว่าสมควรจะยินดีกับประโยคคำพูดนี้หรือไม่ ถึงกับยังนิ่งอึ้งอยู่อีกเนิ่นนาน ดั่งลืมเลือนไปแล้วว่าสามารถสนทนาได้ จนกระทั้งองค์กษัตริย์ต้องตรัสถาม

          “เจ้าใยเงียบไปแล้ว? หรือเป็นใบ้ไปชั่วขณะ? เรามิต้องการคู่สนทนาที่ไร้ปาก ไหนลองหยิบยกวาจาอาจหาญขึ้นมาตอบโต้เราบ้าง”

          ผู้ถูกถามยังมิปริปาก ได้แต่ใช้ดวงตาสีแดงจับจ้องใบหน้าผู้พูดอยู่อีกเนิ่นนาน กว่าที่จอมกษัตริย์จะรู้ตัว ก็แทบจะถูกอีกฝ่ายจ้องมองจนทะลุแล้ว

          “อืม...เจ้ามองเรา..?”

          อัสธาราธพยักหน้า แต่ยังไม่เอ่ยวาจาอันใด คล้ายกับว่าไม่อาจแบ่งแยกสมาธิมาใช้ประดิษฐ์คำพูดได้ แต่ความเงียบกับนัยน์ตานั่น ดูราวจะส่งผลมากมายเสียยิ่งกว่าพูด องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่แม้จะเผชิญเหตุการณ์ใด สีหน้ามิใคร่แปรเปลี่ยนนัก ยามนี้คล้ายนัยน์ตาสีมรกตนั่นสั่นระริกขึ้นบ้างแล้ว ทรงเอ่ยขึ้นอีกคราหนึ่ง

          “เจ้า...ไฉนจ้องเราเยี่ยงนี้...?! หรือเด็กน้อยเจ้าเกิดสติฟั่นเฟือนไปแล้ว?”

          ประโยคที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประหวั่นอย่างจริงจังนั้นทำให้อีกฝ่ายอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา และกล่าววาจาในที่สุด

          “ข้าพเจ้ายังมิได้ฟั่นเฟือน ไฉนกล่าวหาเช่นนั้นเล่า?”

          “เนื่องเพราะเจ้าจ้องเราราวกับจะเอาให้ทะลุ เราจึงหวั่น หรือเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาเราจนเสียสติไปแล้ว”

          “หากข้าพเจ้าหวาดกลัวนัยน์ตาท่านจนเสียสติ ย่อมไม่เพียรพยายามจ้องมองท่านจริงๆ จังๆ เยี่ยงนี้”

          “เช่นนั้นเพราะเหตุใด?”

          ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถาม อัสธาราธถอนหายใจเฮือก เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

          “เนื่องเพราะข้าพเจ้ากำลังพยายามนึก ตัวท่านมีส่วนใดน่ากลัว ใยข้าพเจ้าจึงหวาดกลัวท่านนัก”

          “ออ”

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำส่งเสียงในลำคอ พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ และแย้มยิ้มออกมา

          “เจ้าเริ่มรู้สึก เรามิน่ากลัวอย่างที่เคยคิดใช่หรือไม่?”

          ผู้ถูกถามกลับสั่นศีรษะ

          “ถึงตอนนี้ข้าพเจ้ายังรู้สึกหวั่นกลัว แต่ข้าพเจ้าคิด หากจ้องมองไปนานๆ อาจเกิดความเคยชินขึ้นบ้าง”

          “ตอนนี้ชินบ้างหรือยัง?”

          อัสธาราธพยักหน้าน้อยๆ และกล่าวสืบต่อ

          “ดังนั้น ขออนุญาตพระองค์ ระหว่างที่เดินทางอยู่นี้ หากข้าพเจ้าจะจ้องท่านอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คงมิทำให้ลำบากพระทัยมากนัก”

          น้อยครั้งนักที่จะมีผู้กล่าววาจาให้องค์กษัตริย์แห่งพื้นน้ำอับจนถ้อยคำตอบโต้ได้ เรเธียร์ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ อึ้งไปนานมากจริงๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตจับจ้องนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นเนิ่นนาน คล้ายดั่งย้อนถามซ้ำๆ

          นี่เจ้าเอาจริง?

          หากแต่แววตามุ่งมั่นและสีหน้าแน่วแน่ตั้งใจที่ส่งกลับมา ทำให้องค์กษัตริย์คล้ายจำต้องยอมรับคำขอร้องอย่างไม่อาจปริปากเถียง

            หรือนี่เราจะพ่ายแพ้ต่อเปลวเพลิงในดวงตานั้นเสียแล้ว
 
--------------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          แม้จะคุ้นชินกับการถูกจ้องมองมาเนิ่นนาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินรู้สึกอึดอัด โดยปกติแล้วผู้อื่นมักจ้องมองพระองค์ด้วยความตกตะลึง จ้องมองอย่างหลงใหลในความงาม แต่กับเจ้าชายจากคอนเชียร์ผู้นี้ หาได้มีสายตาเช่นนั้นไม่ อัสธาราธนั้นดูจะจ้องอย่างมุ่งมั่น จดๆ จ้องๆ คล้ายพยายามพินิจพิเคราะห์ทุกสัดส่วน ไม่ทราบต้องการหาจุดด่างพร้อยหรือต้องการหาสิ่งใดในตัวของพระองค์แน่ ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงรู้สึกไม่ใคร่เป็นสุขนัก ถึงกระนั้นก็ไม่อยากทำลายความตั้งใจอันดีของมังกรหนุ่มที่จะเอาชนะความหวาดกลัวในตนเอง จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไปอย่างสุภาพ

          “ใช่รู้สึกคุ้นชินขึ้นมากหรือยัง?”

          อัสธาราธได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม แต่คล้ายกับยังมิอาจจะระบุถึงคำตอบได้ เจ้าชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับการพิจารณาเรือนร่างที่เดินไปเดินมาอย่างไม่ใคร่มีความสุขนัก ใจหนึ่งก็รู้ว่าทำให้องค์กษัตริย์ไม่ค่อยสบายพระทัย แต่อีกใจก็ถือมานะว่าหากยังไม่หายกลัวก็จะไม่หยุดจ้องเด็ดขาด

          ปัญหาคือหลังจากจ้องมาเป็นค่อนวัน ยังมองไม่ออก องค์กษัตริย์มีอันใดน่ากลัว แต่ความกลัวในใจนั้นกลับไม่ยอมหายไปไหน คล้ายยึดโยงที่มั่นเอาไว้อย่างแน่นหนา ยามเมื่อมองสบนัยน์ตาสีเขียวนั่นทีไร คล้ายหัวใจจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ ถึงอย่างนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ดังดึงดันจะฝืนมองต่อ อยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่าการสบตานั้นจะทำให้ถึงตายได้หรือไม่

          อาการอึดอัดจากการถูกจับจ้องนั้น ราวกับยิ่งทำให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่างน่าตลกนัก สำหรับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำแล้ว โดยปกติเวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเชื่อ ยังมิได้ทันทำอะไรก็ดำรงอยู่มาใกล้สามพันปีแล้ว แต่ยามนี้กลับรู้สึกเวลาไฉนผ่านไปเชื่องช้าอย่างยิ่ง หากต้องเผชิญกับการจ้องมองเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใยมิใช่ทำให้อึดอัดตาย? การตัดรอนความตั้งใจของมังกรหนุ่มอย่างไม่หักหาญนั้นเห็นทีจะมีอยู่หนทางเดียว หากไปถึงอัลโดรท์ได้โดยเร็ว คงมิต้องถูกจับจ้องเช่นนี้ต่อไปอีก

                คิดดังนั้นจึงกวักมือเรียกเจ้าชายแห่งคอนเชียร์เข้ามา และเอ่ยถาม

          “เจ้ามั่นใจสามารถดำรงกายอย่างหนักแน่นอยู่บนหลังของอูห์รูนได้แล้วหรือไม่?”

          อัสธาราธพยักหน้าพลางกล่าวอย่างสงสัย

          “ย่อมกระทำได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ พระองค์มีประสงค์ใด?”

          “เราต้องการเร่งรัดการเดินทางให้เร็วขึ้นอีก จงจับไว้ให้มั่น เรามิต้องการเสียเวลาลงไปตามหาเจ้าที่หล่นลงไปในห้วงน้ำใหญ่”

          อัสธาราธแย้มยิ้มตอบ

          “ข้าพเจ้ารับรองจะไม่สร้างปัญหาเช่นนั้น ท่านกระทำตามประสงค์เถิด”

          องค์กษัตริย์มองซ้ำคล้ายย้ำความแน่ใจ ก่อนจะเร่งเร้าสายน้ำให้ไหลรุนแรงขึ้นอีก พลางถอดถอนใจเงียบๆ

          ไยกลายเป็นเราเองที่เป็นฝ่ายร้อนใจก่อนเช่นนี้เล่า
 
----------------------------------------------
          อัลโดรท์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการจริงๆ เมื่อเทียบกับซาร์ซากันแล้ว ดูพระราชวังแห่งคอนเชียร์จะเล็กลงไปถนัด อัสธาราธได้แต่เหม่อมองอย่างตะลึงลาน ท่าทีนี้สร้างความพอใจให้กังองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินยิ่งนัก นอกจากจะทรงภูมิใจในภูมิทัศน์ของอัลโดรท์แล้ว ยังทรงโล่งใจที่ไม่ต้องถูกนัยน์ตาสีแดงนั้นจดๆ จ้องๆ อีกด้วย ปล่อยให้เจ้าชายหนุ่มชมความงามของพระราชวังอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยปากขึ้น

          “สวยงามใช่หรือไม่? หากเจ้าสนใจ เมื่อถึงแล้วเราจะให้คนพาเจ้าชมบริเวณ”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า โดยที่ยังคงจ้องมองราชวังที่ถูกสลักขึ้นจากหินผาภูเขาอย่างไม่วางตา องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำอมยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ

            หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงอัลโดรท์ย่อมมิต้องถูกจดๆ จ้องๆ อีกแล้วอย่างแน่นอน
 
-----------------------------------------------

          การเดินทางเป็นระยะทางไกลโดยมิได้พึ่งพิงอาศัยร่างของประมุขนั้น สร้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้กับคณะข้าราชบริพารเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งอูห์รูนที่มีร่างมังกรใหญ่โตอาจหาญ ยามคืนร่างกลางดำเนินเข้าสู่อัลโดรท์ ยังแสดงอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้มีสายน้ำแห่งอิลห์ลารินช่วยโอบอุ้มมาตลอดทาง แต่ระยะจากคอนเชียร์ถึงอัลโดรท์นี้ไม่ใกล้เลยจริงๆ

          เมื่อเห็นเหล่าผู้ติดตามอิดโรยกันถึงเพียงนี้ องค์กษัตริย์ก็มิกล้าเอ่ยปากรบกวนให้ทำตามประสงค์ จึงทรงอนุญาตให้ทั้งหมดรีบไปพักผ่อน ก่อนจะดำเนินไปในพระราชวังกว้างกับพระราชอาคันตุกะเพียงลำพัง

          ดูอัสธาราธนั้นจะประทับใจกับความวิจิตรของราชวังใต้น้ำเป็นอย่างมาก ถึงกับเอ่ยถามแทบไม่หยุดปาก สร้างความสบายพระทัยให้กับองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะไม่ต้องเผชิญกับสายตาจ้องมองอย่างจริงจังนั้นอีก

          ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การถูกจ้องแบบนั้น จะสร้างความทุรนทุรายแทบเป็นแทบตายกับผู้ถูกมองได้

          “ข้าพเจ้ามีเรื่องสงสัยใคร่เรียนถามพระองค์อีกหนึ่งเรื่อง”

          เจ้าชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงทางเดินยาวอันเป็นระเบียงใหญ่และวิจิตที่สุดในอัลโดรท์แห่งนี้ จ้าวแห่งสายน้ำซึ่งกำลังพินิจร่างกายของมังกรหนุ่มตรงหน้า เงยขึ้นมองอย่างสงสัย อัสธาราธหันมาเอ่ยวาจา

          “ดวงไฟแห่งอิลห์ลารินนี้ ใช่เป็นเวทย์มนต์ของท่านหรือไม่?”

          คงหมายถึงดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโชนอยู่ตามคบไฟสีดำมะเมื่อม ที่สลักจากหินทั้งแท่ง โดยหลักในทางบกแล้ว หินทั้งก้อนไม่มีทางจะจุดไฟพวกนี้ขึ้นมาได้เด็ดขาด องค์กษัตริย์พยักพระพักตร์พลางแย้มยิ้มกล่าว

          “ย่อมเป็นเวทย์มนต์ของเราทั้งสิ้น อย่างที่เจ้าทราบ ไม่มีเปลวไฟใดสถิตอยู่ใต้ผืนน้ำมืดมิดแห่งนี้ได้ นอกจากดวงไฟที่เราเป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทราบหรือไม่ ดวงไฟสีน้ำเงินนี้ลุกโพลงมานานเพียงใด?”

          อัสธาราธสั่นศีรษะ กล่าวตอบวาจา

          “ข้าพเจ้ามิทราบ เพียงรู้คงต้องถูกจุดมานานยิ่งแล้ว เพราะใต้บาดาลไร้แสงสว่าง หากปราศจากแสงตะเกียงสีน้ำเงินนี้ ใครเลยจะมองเห็นทัศนียภาพสวยงามนี้ได้ คาดว่าดวงไฟของท่านคงสว่างโพลงอยู่เช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดมาเนิ่นนาน”

          กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินพยักพระพักตร์อีกครั้งพลางกล่าวสืบต่อ

          “กล่าวมิผิด ดวงไฟนี้ลุกโชตช่วงมานานแล้วจริงๆ นานตั้งแต่ครั้งเราถือกำเนิดใหม่ๆ”

          ตรัสพลางเหม่อมองดวงไฟสีน้ำเงินราวกับย้อนหวนระลึกไปถึงอดีตกันไกลโพ้น มังกรหนุ่มอดถามออกมามิได้

          “ท่านเมื่อครู่กล่าว ดวงไฟนี้ลุกโพลงมาตั้งแต่ทรงถือกำเนิด เช่นนั้นดวงไฟนี้ถูกสร้างถวายแด่พระองค์?”

          อัสธาราธกล่าวพลางนึกตระหนกในใจ ดวงไฟสีประหลาดนี้ลุกโพลงมาเกือบสามพันปีล่ะหรือ? จินตนาการไม่ออกเลยว่าไฟเวทย์จะมีความสามารถคงทนยาวนานได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าพลังลึกลับใต้ผืนน้ำกว้างที่เรียกขานกันว่าอิลห์ลารินนี้จะยิ่งใหญ่สมกับคำร่ำลือจริงๆ ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ

          “มิได้สร้างถวายแก่เรา แต่เป็นเราสร้างขึ้นมาเอง”

          เจ้าชายหนุ่มพยักหน้า นิ่งฟังเรื่องราวที่จอมราชันย์กำลังจะเอื้อนเอ่ย องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมีความพอพระทัยเป็นการส่วนพระองค์ ยามให้เห็นผู้คนสนใจฟังเรื่องที่ทรงเล่า ดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ

          “ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อองค์กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ จะประดิษฐ์ดวงไฟนี้แจกให้แก่เหล่าข้าราชบริพาร และประชาชนในเวิ้งน้ำแห่งอิลห์ลาริน”

                “แต่เมื่อครู่พระองค์เพิ่งตรัส ดวงไฟนี้สร้างมาแต่ครั้งพระองค์ถือกำเนิด ใยมิดูขัดแย้งอยู่บ้าง ผู้เพิ่งถือกำเนิดไหนเลยจักขึ้นครองราชย์ได้”

          อัสธาราธกล่าวแย้งอย่างสงสัย องค์กษัตริย์แย้มยิ้มอีกคราพลางเฉลย

          “เนื่องเพราะใต้บาดาลนี้ การสืบราชบัลลังก์หาได้เป็นเช่นบนบกไม่ บัลลังก์แห่งอิลห์ลารินมิได้สืบทอดกันทางสายเลือด เจ้ารู้หรือไม่ อูห์รูนนั้นแท้จริงมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาของกษัตริย์องค์ก่อน”

          ผู้ฟังขมวดคิ้วอย่างฉงน องค์กษัตริย์กล่าวสืบต่อ

          “คงสงสัย ใยอูห์รูนกลายเป็นข้ารับใช้เรา เนื่องเพราะเชื้อสายกษัตริย์แห่งคิลเรี่ยนอันเป็นเชื้อสายต้นกำเนิดของเรามิได้สืบทอดกันทางสายเลือด แต่สืบทอดกันทางวิญญาณ เมื่อกษัตริย์องค์ก่อนเสด็จสวรรคต ร่างกายของพระองค์จะถูกทิ้งลงในหุบเหวแห่งนิรันดร์ และดวงวิญญาณดวงเดิมที่หลุดออกจากร่างเก่าจะปฏิสนธิในครรภ์แห่งพระมารดาในส่วนลึกสุดของหุบเหว ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นจากหุบเหวแห่งนิรันดร์หลังวันเสด็จสวรรคตจึงมีสิทธิ์ตั้งแต่ถือกำเนิดในการครองบัลลังก์แห่งอิลห์ลาริน”

          อัสธาราธอ้าปากค้าง ด้วยคาดไม่ถึงโลกยังมีเรื่องเช่นนี้ พอตั้งสติได้จึงเอ่ยถามอีก

          “เช่นนั้น... พระองค์ย่อมมีอายุเกินสามพันปีแล้ว แม้นมิคิดอายุสรีระ แต่ความทรงจำที่ผ่านกาลเวลามายาวนานเช่นนั้น อืม... คล้ายข้าพเจ้ามิใช่ทารกในสายตาพระองค์ แต่คงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น”

          องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลขึ้นมาทันที กล่าวตอบอย่างเอ็นดู

          “เราคล้ายมีความคิดชราเพียงนั้น? บอกกับเจ้า มิมีผู้ใดในโลกทนรับอดีตอันยาวนานมากๆ ได้ เราหาได้มีความทรงจำชัดเจนเกี่ยวกับอดีตชาติของเราไม่ บางเรื่องหากจำได้ ก็เลือนรางเต็มที ดังนั้นความทรงจำของเรา จึงเป็นความทรงจำในชาตินี้ เพียงแต่บางครา อาจระลึกความทรงจำเดิมๆ ขึ้นมาได้บ้าง”

          “อ้อ..”

          คนฟังครางอย่างรับรู้ สบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง หากต้องเอ่ยถ้อยคำสนทนากับผู้มีความทรงจำยาวนานเหลือคณานับนั้นดูคล้ายเป็นเรื่องน่าลำบากใจอยู่ แค่เพียงเกือบสามพันปีก็ยากจะหาวาจาใดมากล่าวตอบโต้แล้ว

          “เช่นนั้นพระองค์ทรงสร้างดวงไฟสีน้ำเงินนี้ได้ตั้งแต่ครั้งยังแบเบาะ แล้วดวงไฟของกษัตริย์องค์เดิมเล่า ยามเสด็จสวรรคตใช่ดับมอดลงตามองค์กษัตริย์หรือไม่?”

          กษัตริย์แห่งสายน้ำองค์ปัจจุบันพยักพระพักตร์ กล่าวตอบคำ

          “ย่อมดับมอด เพียงแต่เหล่าประชาชนในอิลห์ลาริน มิรอให้กาลล่วงเลยถึงเพียงนั้น ยามเสร็จกลับสู่ครรภ์พระมารดา ดวงไฟของกษัตริย์องค์เดิมจะถูกปล่อยขึ้นสู่ผิวน้ำ เราคาดภาพต้องสวยงามยิ่งนัก เสียดายมิเคยได้ชมดูเองสักครั้ง”

          อัสธาราธถึงกับฝืนยิ้มออกมา อดไม่ได้ต้องกล่าวสวนคำ

          “ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน ผู้ใดอยากทดลองชมดูงานฉลองวันตายของตัวเองมาก่อน คล้ายเพิ่งพบท่านเป็นคนแรก”

          องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลบ้าง

          “เราตั้งใจอยากจะทดลองดูเองสักครั้งจริงๆ เสียดาย งานตายคนตายย่อมมิอาจอยู่ดู ถึงแม้เรากลับมาลืมตาในวันนั้น ใช่ว่าจะทันได้มองดวงไฟงดงามถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ผิวน้ำ ได้ยินว่าระยะเวลาการดับมอดนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่นานก็เลือนหายไปกับสายลมเบื้องบนแล้ว”

          อัสธาราธกระพริบตาตัวเองถี่ๆ ในที่สุดจึงเอ่ยสืบต่อ

          “ข้าพเจ้ากลับมิหวังยลแต่ประการใด ดวงไฟไหนเลยจะงามเท่าผู้สร้าง หากท่านสิ้นลงแล้วสิ่งใดจะสวยงามอีกเล่า”

          “โลกนี้ยังมีหลายสิ่งสวยงามกว่าเรา”

          กล่าวพลางทอดถอนใจเงียบๆ เหม่อมองดวงไฟสีน้ำเงินที่ลุกโพลงอยู่เบื้องหน้า เนิ่นนานจึงเอ่ยวาจาต่อ

          “เจ้าต้องการพักผ่อนแล้วหรือไม่? เดินทางกับสภาพไม่คุ้นชินยังถูกเราลากไปลากมาเช่นนี้ ต้องสนทนากับคนสูงวัยเช่นเรา คงทำเจ้าอ่อนอกอ่อนใจแล้ว มาเถิด เราจะนำเจ้าไปพักผ่อน การเดินทางไปชายแดนตะวันตกนั้น ยาวไกลกว่าการเดินทางวันนี้มาก แม้เจ้าจะเกรงใจเรา แต่เรามิอาจทรมานเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ที่เสียสละตัวเองเพื่ออาณาจักรมากจนเกินไปนัก มาเถิด อัสธาราธ เราจะนำพาเจ้าสู่ห้วงนิทรารมอันแสนสุขอย่างที่เจ้ามิเคยพาลพบ มาเถิดเด็กน้อยของเราเอย”

          มือเรียวได้รูปยกขึ้นสัมผัสใบหน้าอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างอนาทร อัสธาราธทำได้แค่ยิ้มตอบ น้ำเสียงกังวานนั้นคล้ายมีมนต์สะกด สิ่งที่จำได้อย่างสุดท้ายนอกจากเรือนผมสีน้ำเงินที่พลิ้วไหวราวระลอกคลื่นนั้นแล้ว คือนัยน์ตาสีมรกตที่โน้มมองลงมาอย่างเอ็นดู ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เคลื่อนออกจากร่างไป

            อ้อมกอดแห่งสายน้ำนั้น แม้เยือกเย็นแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด
 
-----------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ชอบทั้งเนื้อเรื่องและภาษาเลย มาต่ออีกเยอะๆ เลยได้ไหมอ่ะ อ่านแล้วเพลินมากๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ที่อัสธาราธคิดว่ากลัว ดวงตาสีมรกตของเรเธียร์ อาจจะเป็นเพราะชอบรึป่าวนะ เลยคิดไปอย่างนั้น

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
มาตามอ่านเรื่องนี้ของพี่จูนะคะ

ภาษากับเนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆเลย

ชอบมากเลยค่ะแนวแฟนตาซี >[]<b

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :-[
ผู้เฒ่า กับ เด็กทารก  รวมแล้วเท่ากับ  เฒ่าทารก  ลองหาความหมายเอานะ

tuang31007

  • บุคคลทั่วไป
อัสธาตุ .คุงจ้องแบบนั้นเดียวเรจังก็ท้องหรอก
(มังกรนะไม่ใช่ปลากัด!!!)

ออฟไลน์ elieanna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ชอบมากค้าสนุกมากๆๆๆๆๆ
ถูกใจคอนิยายแนวแฟนตาซีมากค่ะ o13

catwander

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากเลยครับ แฟนตาซีมากมาย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เมื่อวานไม่ว่างมาอัพค่ะ วันนี้อัพให้สองตอนรวดชดเชยนะคะ^^

----------------------------------

8 : การเสด็จออกขององค์กษัตริย์

          สีเขียวมรกต.. บางครั้งพร่าเลือน บางครั้งแจ่มชัด ในสีเขียวมรกต จุดสีดำบางครั้งหดวูบ บางครั้งขยายกว้าง สีเขียวมรกต...สีของนัยน์ตาทรงอำนาจคู่นั้น

------------------------------------------     

          อัสธาราธลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นความรู้สึกคล้ายมีกระแสพลังประหลาดแล่นอยู่ตามเส้นเลือดก็กระจายไปทั่วทั้งร่าง ราวกับการหลับใหลในครานี้เพิ่มพูนพลังชีวิตให้เขาได้อีกอักโข มังกรหนุ่มระลึกได้ถึงภาพก่อนหน้าที่ตนได้เห็น

          เรเธียร์

          เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ผุดลุกขึ้น ศีรษะของเขาถูกรองด้วยบางสิ่งบางอย่าง แม้อ่อนนุ่ม แต่กลับมิได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเท่าตักขององค์กษัตริย์ ทันทีที่ลุกขึ้นนั่งได้ พื้นสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา อัสธาราธผงะร่างทันใด ก่อนที่มือเย็นยะเยียบของใครคนหนึ่งจะกดหัวไหล่ของเขาไว้

          “ท่านตื่นรวดเร็วไปแล้ว”

           น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่คุ้นหูเลย แต่คล้ายเคยได้ยินมาแล้ว เจ้าชายหนุ่มหันหลังกลับในทันที เรือนผมสีฟ้าเทาและใบหน้าเรียบเฉยราวรูปปั้นปรากฏให้เห็นในคลองจักษุ อัสธาราธขมวดคิ้วคู่งาม พลางคิดว่าเคยพบเห็นใบหน้าเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฝ่ายตรงข้ามก็ได้แนะนำตน

          “เราคืออูห์รูน ข้ารับใช้แห่งองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลาริน” น้ำเสียงของอูห์รูน แม้มิได้เย่อหยิ่ง แต่เย็นชาจับใจจริงๆ อัสธาราพลันนึกได้คร่าวๆ ว่ามังกรตนนี้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์องค์เก่า

          ที่แท้ก็เป็นมังกรตนที่พาเขามายังนครใต้น้ำนี่เอง เช่นนั้น...สิ่งที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้เล่า

          สีหน้าของอัสธาราธแปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด พื้นสีดำที่เห็นในตอนแรก เมื่อพิจารณาให้ชัดเจน นี่คล้ายเกล็ดเกล็ดหนึ่ง เกล็ดสีดำเลื่อมน้ำเงินเป็นมันวาว ขนาดเขื่องเพียงใด ย่อมทราบได้ไม่ยาก เพราะครั้งแรกที่เขามองเห็น ยังเข้าใจว่านี่เป็นพื้นผิวอะไรสักอย่าง ต่อเมื่อทอดตามองออกไปนั่นแหละ จึงได้ทราบ พื้นผิวนี้มีพื้นผิวแบบเดียวกันซ้อนเหลื่อมอยู่แต่กระนั้น เขาและอูห์รูน สามารถนั่งสนทนากันได้สองคนบนพื้นเรียบๆ ไร้รอยต่อ โดยยังมีที่ว่างให้มังกรในร่างกลางขนาดเขื่องสี่ห้าตนนั่งล้อมวงกันได้

          ผู้ใดเล่าจักมีเกล็ดขนาดใหญ่โตเพียงนี้

          “ท่านตื่นรวดเร็วไปจริงๆ “ อูห์รูนเอ่ยเสียงราบเรียบเหมือนผิวน้ำในอ่างแก้ว นัยน์ตาสีเทาน้ำเงินพิศดูบุคคลตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะหยั่ง ทันใดนั้นมือเรียวก็ยื่นเข้ามา อัสธาราธแม้จะแตกตื่นอยู่แต่ยังไวพอจะคว้าตะปบมือนั้นไว้

          “จะกระทำสิ่งใด?!” มังกรหนุ่มแห่งคอนเชียร์เอ่ยถาม คนถูกจับยังคงมีสีหน้าราบเรียบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเดียวกัน “ข้าพเจ้าเพียงจะทำตามดำรัสแห่งองค์กษัตริย์ หากท่านตื่นมามีท่าทีคล้ายจะเสียสติ ให้รีบกล่อมให้หลับเสีย”

            คิ้วสีแดงของอัสธาราธขมวดเข้าหากันอีกหน ยังคงคว้ามือเย็นยะเยียบไว้แน่น ท่าทางของอูห์รูนดูยังไงก็ไม่เหมือนอยากจะกล่อมให้เขาหลับ เหมือนอยากจะจัดการทำให้สลบมากกว่า เจ้าชายแห่งคอนเชียร์กล่าวโต้ตอบออกไปทันที

          “ข้าพเจ้ายังมิเสียสติ ไม่ต้องรบกวนท่านทำเรื่องดังกล่าว”

          “ออ” ผู้รับใช้แห่งสายน้ำครางในลำคอ ก่อนจะดึงมือเลื่อนหลุดออกไปอย่างง่ายๆ สีหน้าของเจ้าชายหนุ่มแปรเปลี่ยนไปอีกครา นัยน์ตาสีฟ้าเทาทอดมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

          “จะอธิบายให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง ในกระแสน้ำแห่งอิลห์ลาริน มิว่าผู้ใดย่อมไม่สามารถคร่ากุมตัวเราได้ ท่านมิต้องตระหนกหรือกังวลเกี่ยวกับพละกำลังของตนเอง เราคาด เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ท่านย่อมได้รับความสามารถเดิมขึ้นมา”

          “ขึ้นฝั่ง?” อัสธาราธเอ่ยอย่างฉงนสนเท่ห์ ทางนั้นจึงอธิบายต่อ

          “เรียนต่อเจ้าชาย ท่านควรต้องทราบ ราชอาณาจักรเรายามนี้มีภัยฉุกเฉินยิ่งนัก องค์กษัตริย์ดั้นด้นไปขอยืมกำลังถึงคอนเชียร์นั้นย่อมมิใช่ภาวะยุ่งยากธรรมดา ขากลับแม้ได้ท่านมาแต่ยังต้องเสียเวลาเดินทางอย่างยิ่งยวด เพราะเหตุใดเราคงไม่ควรกล่าวถึง”

          แม้ไม่กล่าว แต่ก็ทำให้คนฟังสะอึกไปได้พักใหญ่ อัสธาราธพลันรู้สึก ผู้รับใช้ตนนี้มิใคร่เป็นมิตรกับเขาเท่าไรนัก กระนั้นอูห์รูนยังคงเอ่ยปากสืบต่อ

          “องค์กษัตริย์แม้เปี่ยมพระเมตตา ทรงต้องการให้ทุกคนได้พักผ่อน แต่ภัยรุกรานหาได้หยุดพักให้แก่พวกเราไม่ ดังนั้นจึงดำริจะดำเนินไปด้วยพระองค์เอง เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง และมิต้องรบกวนเหล่าข้าราชบริพารมากเกินไปนัก กระนั้นยังคงห่วงใยท่านซึ่งหวาดกลัวพระองค์แทบตาย สั่งเราให้คอยจับตาดูท่านมิห่าง ด้วยเกรงหากท่านตื่นมาพบร่างจริงของพระองค์ จะพาลเสียสติมิเป็นอันได้ทำการสิ่งใด”

          “ข้าพเจ้ามิใช่คนขวัญอ่อนปานนั้น” อัสธาราธกล่าวอย่างขุ่นเคือง ถึงเขาจะหวาดกลัวร่างจริงขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเพียงใด ย่อมไม่ขลาดกลัวขนาดพาลจะเสียสติไปง่ายๆ แน่ๆ กระนั้น พอทราบว่าพื้นผิวที่นั่งอยู่เป็นสิ่งใด หัวใจก็พาลจะหยุดเต้นเอาดื้อๆ

          คล้ายความกลัวพวกนี้ ชอบเล่นตลกกับหัวใจของเขาเสียจริง

          “ออ...” อูห์รูนพลันส่งเสียงในลำคออีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่แม้คาดเดามิออก แต่คงมิใช่ยินยอมเชื่อถือวาจาของมังกรไฟแห่งคอนเชียร์เป็นแน่แท้ เว้นระยะไปพักหนึ่ง ผู้รับใช้จึงเอ่ยปากต่อ

          “อธิบายต่อท่านอีกเรื่อง ชายแดนตะวันตกของเรานั้น ไกลเสียยิ่งกว่าการเดินทางไปนครแห่งไฟของท่านหลายเท่า ดังนั้นหากมิใช่ร่างจริงขององค์กษัตริย์ การเดินทางย่อมต้องกินระยะเวลานานหลายสัปดาห์แน่นอน”

          “ข้าพเจ้าทราบถึงความจำเป็นนี้ มิต้องให้ท่านอธิบายซ้ำให้เสียเวลา” เจ้าชายหนุ่มตอบกลับ รู้สึกคล้ายอูห์รูนจงใจตอกย้ำว่าความกลัวของตัวเขาเป็นอุปสรรค์ถ่วงองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเสียนี่กระไร อูห์รูนยังคงกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย

          “เราคาดหวังว่าท่านคงมีความสามารถสมกับที่องค์กษัตริย์ทุ่มเทพระองค์ในการนำพาท่านลงมา”

          อัสธาราธขยับปากอย่างหงุดหงิดในอารมณ์เต็มที่ แต่ไม่ทราบจะค้นหาวาจาใดไปกล่าวโต้ตอบอีกฝ่าย เขาทราบว่าตนเองแสดงความหวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำออกไปมากเพียงใด จึงไม่แปลกที่ทางนั้นจะนึกสงสัยและดูถูก พอนึกถึงจุดนี้เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาดื้อๆ

          ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าทำไมจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังนึกหวาดกลัวองค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินอยู่

          “จะไปที่ใด?” อูห์รูนเอ่ยปากถามเมื่อเห็นเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์พลันหันหลัง เดินออกไปท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวเบื้องหน้า ดูท่ามังกรไฟตนนี้จะเรียนรู้หลักการยืนภายใต้สายน้ำเคลื่อนไหวได้ดีจนน่าตกใจ คนถูกถามตอบโดยไม่หันหน้ากลับ

          “ข้าพเจ้าจักไปดูว่ายังมีผู้อื่นพอจะสนทนาด้วยได้อีกหรือไม่”

          คำพูดแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจการกระทำของอีกฝ่าย แต่คล้ายอูห์รูนมิได้รู้สึกในเชิงนั้น น้ำเสียงเดิมยังคงพูดอย่างราบเรียบ

          “ผู้อื่นล้วนอยู่ในร่างจริง อาศัยคลื่นน้ำใต้พระกายขององค์กษัตริย์ในการนำพาไปสู่ที่หมาย หากท่านต้องการสนทนา ท่านจำต้องเดินกลับหัวลงไปด้านล่าง”

          อัสธาราธขมวดคิ้วยุ่ง เดินกลับหัว? ความหมายนั้นเป็นอย่างไร ใช่เดินเกาะไปตามเกล็ดใหญ่โตนี่จนถึงท้องขององค์กษัตริย์หรือไม่? พอพิศมองลานเกล็ดสีดำเลื่อมน้ำเงินซึ่งทอดยาวไปอย่างดูจะไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว เจ้าชายหนุ่มพลันรู้สึกคล้ายเกิดอาการเข่าอ่อน

          พระวรกายที่แท้จริงขององค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินใหญ่โตจนยากแม้แต่จะจินตนาการ

          ขณะที่กำลังพยายามปลุกปลอบใจตัวเองอยู่นั้น คล้ายได้ยินเสียงบางอย่างดังเลื่อนมากับกระแสน้ำเชี่ยว

          “ใยพวกเจ้ามิสนทนากันต่อ เราฟังอยู่รู้สึกขบขันเป็นยิ่งนัก”

          น้ำเสียงแม้ผิดแผกแตกพร่าไป แต่อย่างไรย่อมต้องเป็นน้ำเสียงขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่ อัสธาราธมิทราบเผลอยิ้มออกไปได้อย่างไร ส่งเสียงสอบถามอย่างตื่นเต้น

          “พระองค์ยังสนทนาได้?”

          “ย่อมได้ เราไหนเลยใช้ปากในการว่ายน้ำ หากแต่เรามิอาจมองเห็นสีหน้าพวกเจ้า ความบันเทิงจึงอาจลดน้อยลงไปบางส่วน”

          “หากมีพระประสงค์เช่นนั้น ข้าพระองค์จักดำเนินบทสนทนาต่อ” อูห์รูนกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แต่หากคู่สนทนากลับรู้สึกขนลุกเกรียว หากต้องสนทนากับผู้รับใช้ที่มีวาจาราวแท่งหินเช่นนี้ เขามิต้องอกแตกตายก่อนหรือ

          อัสธาราธคล้ายหวาดกลัวการสนทนาของอูห์รูนจนลนลาน รีบละล่ำละลักกล่าว

“หากพระองค์ยากฟังเรื่องตลก ข้าพเจ้ายังพอเล่าให้ฟังได้หลายเรื่อง”

          เสียงหัวเราะก้องกังวานดังแว่วมากับสายน้ำ ดั่งคำพูดนี้ก็เป็นเรื่องตลกมากมายมากแล้วสำหรับองค์กษัตริย์ คิ้วสีเทาน้ำเงินของอูห์รูนขมวดเข้าหากัน

          “เมื่อครู่เจ้าเล่าเรื่องตลกใด?”

          สีหน้าผู้รับใช้ที่ก่อนหน้าดูราวรูปสลักยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นฉงนใจอย่างเห็นได้ชัด อัสธาราธตอบไปตามซื่อ

          “ข้าพเจ้ายังไม่ได้เอ่ยเรื่องตลกอันใด”

          เสียงหัวร่อคล้ายดังยิ่งกว่าเดิม กระทั่งแผ่นเกล็ดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งคู่พลันสั่นน้อยๆ ทั้งเจ้าชายแห่งคอนเชียร์และผู้รับใช้แห่งอิลห์ลารินพลันสบตากันโดยมิได้นัดหมาย

          “พวกเจ้าทำเราสำราญเป็นยิ่งนัก จงเร่งสนทนากันให้มาก ไม่นานเราจักข้ามพ้นห้วงน้ำลึกแห่งริยาห์แล้ว หากเชื่องช้ารอให้เราข้ามพ้นห้วงน้ำนี้ เราพาลอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมา พวกเจ้าอาจได้รับโทษทัฑณ์สถานหนัก”

          อัสธาราธไม่คาด องค์กษัตริย์จะจริงจังกับเรื่องราวเช่นนี้ ขณะที่กำลังตกประหม่า เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น

          “ข้าพระองค์จะสนองพระประสงค์อย่าสุดความสามารถ ท่านมีเรื่องตลกอันใดจงเร่งรีบกล่าว” ประโยคสุดท้ายหันมากล่าวกับเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์ด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ อัสธาราธรู้สึกคล้ายถูกจับโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็งอีกรอบ ใยเรื่องจึงมาหล่นที่เขาได้เล่า

          ราวกับได้ยินเสียงหัวร่อขององค์กษัตริย์ดังแว่วมาอีก เจ้าชายหนุ่มสูดหายใจลึก แลดูองค์กษัตริย์จะสำราญในทุกสิ่ง แม้ในสมองจักนึกเรื่องตลกไม่ค่อยออก แต่หากเล่าออกไป คงทำให้องค์กษัตริย์สำราญอยู่บ้าง

          “ข้าพเจ้าจะเล่า...อืม....เรื่องตลก....” อัสธาราธพลันเงียบไปอีกพักหนึ่ง เรื่องใดเล่าเรียกว่าตลก ตลอดชีวิตของเขาจำเรื่องตลกได้ไม่มาก ที่พูดออกไปเมื่อครู่เพียงเพราะกลัวที่จะต้องสนทนากับข้ารับใช้ที่มีวาจาราวแท่งหิน

          สายน้ำแลดูเงียบกริบ แม้แต่อูห์รูนเองยังดูจะรอฟังอย่างตั้งใจ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกตรึงเครียดขึ้นมาทันที

          “เรื่องตลก อืม... ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยลงเล่นอยู่ในเพลิงหินร้อนจนปลายหางลุกไหม้ไปส่วนหนึ่ง”

          “ว่าอย่างไร!!??” สองเสียงแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่เห็นสีหน้าขององค์กษัตริย์ อัสธาราธจึงไม่ทราบว่าพระองค์ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร แต่กับอูห์รูน สีหน้าเฉยชาเมื่อครู่กลับแปลเปลี่ยนเป็นตกใจถึงขีดสุด

          “พะ..พวกท่านฟังดูไม่ตลก? ท่านไม่ทราบ...? ไม่ค่อยมีมังกรในคอนเชียร์ตนใดเล่นหินร้อนจนหางลุกไหม้ได้แบบที่ข้าพเจ้าทำ”

          “เรามิเห็นสิ่งใดตลก... เจ้าว่า เจ้าเล่นหินหลอมเหลวพวกนั้น ร่างกายเจ้าทำกับสิ่งใด?”

          อูห์รูนกล่าวด้วยสีหน้าตระหนกตกใจเต็มที่ อัสธาราธคาด แม้องค์กษัตริย์มิทรงสำราญกับเรื่องที่เขาเล่า อย่างน้อยหากได้เห็นหน้าข้ารับใช้ในยามนี้ คาดจะต้องหัวร่อออกมาบ้างแน่ๆ เสียดายแต่องค์กษัตริย์มิอาจเห็น และเสียงหัวเราะใดก็ยังมิได้ปรากฏให้ได้ยิน เจ้าชายหนุ่มแข็งใจสาธยายความต่อ

          “ร่างกายข้าพเจ้าย่อมเป็นร่างกายของข้าพเจ้า จะทำจากสิ่งใดกันเล่า ร่างกายก็คือร่างกาย ข้าพเจ้าต้องอธิบายต่อท่าน? ร่างกายของมังกรไฟย่อมไม่เหมือนกับพวกท่าน การแช่หินหลอมเหลวสำหรับพวกเรา ก็คล้ายการแช่น้ำร้อนเดือดจัดนั้นแล.. เพียงแต่แช่หินร้อนอาจมีบางส่วนลุกไหม้ได้หากแช่นานไป ท่านเข้าใจหรือไม่?”

          อูห์รูนพยักหน้า แต่ไม่วายกล่าวตอบ “เราไม่เห็นสิ่งใดเป็นเรื่องตลก หากปลายหางลุกไหม้ย่อมคล้ายคนเสียขา เราไม่นิยมหัวเราะคนพิการมาก่อน”

          ได้ยินเสียงมังกรหนุ่มแห่งคอนเชียร์ครางออกมา “ข้าพเจ้ายังมิพิการ หางไหม้ก็เพียงหางไหม้ ใช่ไหม้หมดตัวเสียหน่อย”

          “อย่างไรหางไหม้ย่อมเป็นเรื่องใหญ่โต ท่านไฉนเล็งเห็นเป็นเรื่องตลกไปได้”

          อัสธาราธรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ นอกจากองค์กษัตริย์จะไม่ขำแล้ว เขายังพาลจะรู้สึกไม่ขำไปกับเรื่องตลกของตนอีกด้วย สาเหตุคงเป็นเพราะความจริงจังของผู้รับใช้ตรงหน้านี้แหละ เจ้าชายหนุ่มพลันย้อนถามกลับไป

          “งั้นเรื่องใดท่านเห็นว่าเป็นเรื่องตลก?”

          คิ้วสีเทาน้ำเงินของอูห์รูนพลันขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด นิ่งไปนานจึงได้เอ่ยปาก

          “เรื่องตลกเป็นเช่นไร?”

          อัสธาราธขมวดคิ้วตอบบ้าง ยังไม่ทันจะหาถ้อยคำตอบโต้ เสียงหัวร่อดังสนั่นก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน แถมพื้นที่ยืนยังสั่นไหวหนักขึ้นกว่าเดิม

          “ตลก ตลกอย่างยิ่ง เราไม่เคยได้ยินเรื่องใดตลกเช่นนี้มาก่อน?” องค์กษัตริย์กล่าวขณะที่ลำตัวยังคงสั่นไหวเป็นเวลานาน สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววสนเท่ห์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

          “พระองค์ขบขันในสิ่งใด?”

            “ย่อมขบขันทุกสิ่ง พวกเจ้าสนทนากันได้ครึ่งคำ ก็ทำเราแทบกลั้นหัวร่อไม่อยู่แล้ว ไหนลองสนทนากันอีกมากๆ คาดพวกด้านล่างคงพอได้อกสั่นขวัญหายกับการสั่นไหวของร่างกายเรา”

          “หากเป็นเช่นนั้นย่อมมิใช่เรื่องดีแน่” ผู้รับใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าพระองค์มิอยากถูกพวกด้านล่างก่นด่า หากทำพระองค์สั่นไหวเช่นนี้”

          “เช่นนั้นเราอนุญาตให้เจ้าลงไปอยู่รวมกับพวกด้านล่าง อืม... หากเจ้าลงไปแล้วยังคงพอมีเจ้าชายแห่งคอนเชียร์คอยสร้างความสำราญให้กับเราหรอก”

          น้ำเสียงของอูห์รูนแปรเปลี่ยนทันที

          “ข้าพระองค์อยู่รับใช้เช่นนี้แลดูถูกต้องกว่า อย่างไรต้องคอยระวังมิให้เจ้าชายแห่งคอนเชียร์ร่วงหล่นลงไป”

          อัสธาราธอ้าปากจะแย้งว่าตัวเขาเองไม่หล่นลงไปง่ายๆ แบบนั้นหรอก แต่ถูกเสียงหัวเราะขององค์กษัตริย์ดังแทรกขึ้นมาก่อน

          “เจ้าคล้ายกลัวถูกผู้อื่นแย่งตำแหน่ง วางใจ ตำแหน่งผู้รับใช้ใกล้ชิดเราไม่ให้ใครเป็นนอกจากเจ้าแน่ๆ แต่ก่อนอื่น เราเพิ่งข้ามพ้นห้วงน้ำแห่งริยาห์มา เจ้าพร้อมจะเปลี่ยนมาแทนเราแล้วหรือไม่?”

          สีหน้าของอูห์รูนกลับมาจริงจังอีกครั้ง กล่าวตอบองค์กษัตริย์

          “ข้าพระองค์พร้อมแล้ว แต่มิทราบเรื่องนี้ต้องอธิบายให้เจ้าชายฟังหรือไม่?”

          “ยังมิต้อง ให้เราอธิบายเองคล้ายง่ายกว่า เจ้าชายอัสธาราธ กรุณาเดินมาด้านหน้าสักห้าก้าวได้หรือไม่”

          อัสธาราธส่งเสียงตอบรับอย่างงุนงง พลางก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างว่าง่าย ได้ยินน้ำเสียงขององค์กษัตริย์กล่าวขึ้นอีก

          “ยืนให้มั่น เราจะไปดูสีหน้าเด็กน้อยเจ้าแล้ว”

          ยังไม่ทันที่เจ้าชายหนุ่มจะส่งเสียงใด เกล็ดสีดำด้านล่างก็พลันคล้ายแยกเป็นฟองคลื่นเล็กละเอียด กระจายพราวม้วนไปโดยทั่ว อัสธาราธได้แต่ยืนตะลึงลาน ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองยังยืนอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นในตอนที่อูห์รูนกระโดดออกจากเกลียวฟองและคืนร่างเป็นมังกรน้ำตัวใหญ่ ในฟองพราย คล้ายได้ยินเสียงหัวร่อเบาๆ

          “สีหน้าเด็กน้อยเจ้ามองคราใด ยังดูสนุกอยู่เสมอ”

          น้ำเสียงกังวานดังขึ้น ในม่านฟองเล็กละเอียดสีน้ำเงินเลื่อม เรือนผมสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีผิวขาวผุดผาด รอยยิ้มบนริมฝีปากงดงามยิ่งกว่าภาพวาดใด มือเรียวนุ่มลื่นที่แม้จะเย็นแค่คล้ายมีความอบอุ่นบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเข้ามากุมมือของเจ้าชายเอาไว้เมื่อใดไม่ทราบ รู้ตัวอีกที นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

          อัสธาราธมิได้ผงะถอย มิได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งไปนานราวกับถูกแช่แข็ง จวบจนกระทั่งปลายเท้าแตะถึงหลังของอูห์รูนนั้นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเกิดอาการเข่าอ่อน

          องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำคล้ายมิคาด เจ้าชายผู้มีร่างกายสูงใหญ่จะเกิดอาการเข่าอ่อนในยามนี้ แม้ดำรงพระองค์อยู่ในสายน้ำมาแทบตลอดชีวิต ไม่มีสิ่งใดทำพระองค์เสียการทรงตัวได้ แต่กระนั้นก็ยังโดนร่างกายสูงใหญ่ของมังกรหนุ่มฉุดดึงให้ทรุดเซตามไปด้วย อัสธาราธเองก็ไม่คิด ตนเองจะเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นได้ ยามตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงเอื้อมมือไปคว้าร่างองค์กษัตริย์เอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ

          จังหวะนั้นคล้ายมีคลื่นระรอกใหญ่พัดลอดเข้ามา คล้ายต้องการแกล้ง ทั้งๆ ที่อัสธาราธเป็นฝ่ายเข่าอ่อนลงไปก่อนแท้ๆ แต่ผู้ที่ถูกร่างเสียหลักล้มทับกลับเป็นราชาแห่งสายน้ำผู้ซึ่งไม่เคยถูกผู้ใดอยู่เหนือมาก่อน

          เรเธียร์ขมวดคิ้วสีน้ำเงินคู่งาม เป็นกริยาที่พระองค์มิใคร่ได้ทำบ่อยนัก มิเคยคาดคิด สายน้ำแห่งอิลห์ลารินจะเล่นตลกกับพระองค์เช่นนี้ ถึงกับบันดาลให้เกิดคลื่นวิปริตพัดพาพระองค์ให้ตกอยู่ใต้ร่างมังกรไฟซึ่งมาจากผืนดินเบื้องบน ครั้นจะออกแรงยันตัวเจ้าชายแห่งคอนเชียร์ออก สีหน้าแตกตื่นเสียขวัญก็พลันทำให้พระองค์เกิดอาการมือไม้อ่อน ยอมให้เจ้าชายแนบชิดอยู่เยี่ยงนั้นเป็นนานสองนาน

          อัสธาราธมิได้ตั้งใจจะล่วงเกินองค์กษัตริย์ แต่คลื่นเจ้ากรรมดันพัดมาได้ถูกจังหวะ แถมเข่าที่จู่ๆ ก็อ่อนยวบ นึกจะให้กลับมายืนได้ในสายน้ำเช่นนี้ย่อมทำได้ไม่ง่าย อีกทั้งมังกรหนุ่มยังไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน เรียกได้ว่านี่เป็นอาการเข่าอ่อนครั้งแรกในชีวิต เกิดมาสองร้อยกว่าปี ไม่เคยนึกฝันว่าจะต้องมามีอาการอันน่าละอายเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ทั้งยังเป็นต่อหน้าพระพักตร์ขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกเล่า เรียกได้ว่าอับอายจนแทบแทรกผืนหินร้อนหนีหน้าจริงๆ

          มังกรหนุ่มหน้าแดงจัดจนกลายเป็นสีเข้ม เห็นสภาพเช่นนี้องค์กษัตริย์สูงวัยอดรู้สึกเห็นใจขึ้นมามิได้ จึงเอื้อมพระหัตขึ้นลูบปลอบ พอถูกมือเย็นสัมผัสใบหน้า ร่างของมังกรหนุ่มก็สะดุ้งเฮือกทันที องค์กษัตริย์เองก็หดพระหัตกลับอย่างรวดเร็ว

          ทรงมิเคยสัมผัสความอุ่นร้อนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย

          อัสธาราธทราบองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คงนึงเวทนาตนอยู่เป็นแน่แท้ ความอับอายก่อตัวขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ร่างกายมิเป็นดั่งใจแต่ยังฝืนดึงดันลุกขึ้นยืนอีกหน ผลคือร่างใหญ่ล้มฮวบลงไปอีกครั้ง ครานี้ถึงกับทับทาบลงไปบนร่างกายขององค์กษัตริย์แทบทั้งตัว

          “ขออภัย!” น้ำเสียงลนลานของมังกรเยาว์วัย ทำเอาองค์กษัตริย์เอื้อนเอ่ยวาจามิออก จะโกรธก็ใช่ที่ แต่จะให้อยู่ในสภาพนี้ก็ใช่ว่าจะน่าดู ครั้นจะยกแขนขึ้นผลักร่างสูงใหญ่นั้นออกจริงๆ ก็มิใช่เรื่องยุ่งยาก แต่จะผลักอย่างไรจึงจะมิให้ฝ่ายนั้นบังเกิดความอับอายไปมากกว่านี้เล่า ระหว่างนึกดำริหาวิธีต่างๆ นานา ลมหายใจอุ่นร้อนก็สัมผัสกับผิวพระพักตร์ เมื่อเบือนสายตากลับไปก็พบหน้ามังกรหนุ่มกลายเป็นสีขาวจัด สภาพเช่นนี้ไหนเลยองค์กษัตริย์จะหักใจผลักไสออกไปได้ จึงเอื้อมพระหัตกอดปลอบร่างสูงใหญ่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

          “ค่อยๆ ตั้งสติเถิด เรามิดูถูกดูแคลนเจ้าหรอก”

          อัสธาราธพยักหน้า นัยน์ตาสีแดงที่แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจจะลุกออกให้ได้แลดูน่าเอ็นดูเป็นยิ่งนัก มังกรหนุ่มพยายามสูดหายใจหลายหน ฟองคลื่นน้อยผุดพรายอยู่ใกล้ใบหน้าองค์กษัตริย์ สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ทรงเลื่อนพระหัตลูบไล้เรือนผมสีแดงเพลิงนุ่มมืออย่างเพลิดเพลิน พลางพิศดูดวงหน้าคมคายที่ดูตั้งอกตั้งใจและเชื่อฟังอย่างเต็มที่ กระทั่งยังเกือบจะเผลอใช้พระหัตดึงรั้งร่างนั้นไว้เพื่อชมดูอากับกิริยาน่ารักอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ในตอนที่เจ้าชายหนุ่มยันตัวลุกออก

          เสียงหัวร่อเบาๆ ทำให้อัสธาราธที่เพิ่งผุดลุกได้หน้าเสียไปอีกรอบ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้นจึงรีบแก้เป็นพัลวัน

          “เรามิได้หัวเราะเยาะเจ้า เราเพียงหัวเราะให้ตัวเอง”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองมาอย่างไม่เข้าใจ กษัตริย์แห่งสายน้ำจึงตรัสคำพูดต่อ “เราหัวเราะตัวเอง เนื่องเพราะเรารู้สึกเด็กน้อยเจ้าน่ารักอย่างยิ่ง น่ารักจนเราเกือบมิยอมให้เจ้าลุกออก”

          “ท่านชอบให้ข้าพเจ้านอนทับ?”

          คำถามพาซื่อของมังกรจากคอนเชียร์ทำให้องค์กษัตริย์ทรงพระสรวลขึ้นมาอีกรอบ หัวร่ออยู่นานจึงกล่าววาจาออกมาได้

          “เจ้า...ตลกยิ่งนัก เอาเถิด เราควรพูดถึงเรื่องสำคัญได้แล้ว อีกสักพักเจ้าจะได้ขึ้นเหยียบแผ่นดิน”

          นัยน์ตาสีแดงเพลิงลุกโชนขึ้นมาทันที ร่างสูงขยับตัวฟังอย่างตั้งใจ ผู้สูงวัยกว่าจึงพูดต่อ

          “บอกกับเจ้า ที่เราคืนมาสู่ร่างกลางเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตนัก เรามิทราบ ผู้ก่อการครั้งนี้มีจุดประสงค์ใดแน่ ชายแดนตะวันตกนี้แม้แต่เราเองก็มิใคร่ได้มาเยี่ยมเยียนเท่าใดเลย บอกให้เจ้าทราบ เรามาในคราวนี้เตรียมกำลังทหารมาเต็มอัตราศึก ซึ่งนับรวมเจ้าด้วย แต่ต้องขออภัยที่มิได้บอกให้ทราบล่วงหน้า เรามิอยากรบกวนจิตใจเจ้าที่เพิ่งเดินทางลงมาในนครบาดาล”

          อัสธาราธพลันสั่นศีรษะ กล่าวตอบคำองค์กษัตริย์

          “การสงครามมิใช่สิ่งรบกวนจิตใจข้าเลย เชื้อสายแห่งไฟอย่างเรา โปรดปรานการรบพุ่งเป็นยิ่งนัก ข่าวการสงครามถือเป็นข่าวน่ายินดีสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมต้องทุ่มเทให้ท่านอย่างสุดความสามารถ ว่าแต่..พวกเราจะไปสู้รบกับสิ่งใด?”

          “เรายังมิทราบแน่ชัด”

          องค์กษัตริย์ตอบตามตรง พลางกล่าวสืบตอบ

          “มีผู้มารายงานเรามากอย่างยิ่ง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่แผ่ขยายไปทั่วผืนน้ำแห่งดินแดนตะวันตก เราสั่งกำลังทหารให้ขึ้นไปตรวจดู แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง เหมือนสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลจากอำนาจแห่งอิลห์ลาริน เรามิอาจจัดการเพสภัยครั้งนี้ด้วยกำลังของชาวบาดาลได้ จึงจำต้องขอยืมกำลังของชาวแห่งไฟเข้าช่วยเหลือ แต่เจ้าวางใจ เรายังมิเปิดศึกเต็มรูปแบบหากยังมิทราบความเป็นมาของศัตรู เมื่อถึงชายแดนตะวันตกแล้ว เราจะส่งกำลังส่วนหนึ่งขึ้นไปสอดแนมก่อน แน่นอนว่าเรื่องนี้เองที่เราต้องพึ่งพาอาศัยเจ้า รอจนแน่ใจแล้วว่าศัตรูเป็นพวกใด เราจะจัดการศึกครั้งใหญ่เพื่อขุดรากถอนโคนความวุ่นวายครั้งนี้”

          อัสธาราธพยักหน้า เมื่อองค์กษัตริย์เสด็จมาเองเช่นนี้ย่อมหมายใจจะกำราบศัตรูจนราบคาบ กระนั้นตั้งแต่มาถึงเมืองบาดาล จนถึงตอนนี้ เพียงผู้เดียวที่ดูจะน่าไว้ใจสำหรับเขา ก็คือตัวองค์กษัตริย์เองนี่แหละ เจ้าชายหนุ่มเผลอถามออกไปอย่างไร้เดียงสา

          “พระองค์จะไปกับข้าพเจ้าด้วยหรือไม่?”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เราอย่างไรต้องนำทัพใหญ่ แม้ใจนึกสงสารเด็กน้อยเจ้าต้องออกไปกับเหล่าทหารของเราโดยมิได้รู้จักมักคุ้นมาก่อน ก็คงมิอาจออกไปเป็นเพื่อนได้ เอาเถิด เราจะให้อูห์รูนติดตามเจ้าไปด้วยแล้วกัน

          พอได้ยินชื่ออูห์รูน สีหน้าของอัสธาราธเปลี่ยนไปทันที

          “ข้าพเจ้ามิได้หมายจะรบกวนท่านถึงเพียงนั้น อูห์รูนเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิด จงอย่าได้ใส่ใจกับคำถามไร้สาระของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะไปกับกองทหารของท่าน ทำงานให้ท่านอย่างเต็มที่”

          องค์กษัตริย์โบกพระหัตอย่างไม่ถือสา

          “มิได้รบกวนเราแต่อย่างใด เราจะให้อูห์รูนไปกับเจ้า หากมีเรื่องใดจะได้ช่วยเหลือกันได้ อย่างไรเสียอูห์รูนเองก็มีฤทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเราเท่าใด”

          “ข้าพระองค์มิกล้ารับเกียรติเช่นนั้น” น้ำเสียงแตกพร่าดังมาตามเกลียวฟองกล่าว ย่อมเป็นน้ำเสียงเรียบเฉยที่แฝงแววเคารพเทิดทูนของอูห์รูนไม่ผิดแน่ องค์กษัตริย์แย้มพระโอษฐ์กล่าวสืบต่อ

          “เป็นอันตกลงตามนี้ ก่อนจะถึงแดนน้ำตื้น เราจะเรียกทหารขึ้นมา ให้พวกเจ้าได้รู้จักกันก่อน แล้วเราจะอธิบายแผนการขั้นต้นให้ฟังอีกที”
--------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
9 : ณ ดินแดนตะวันตก

          อัสธาราธเพิ่งรู้ว่าชาวบาดาลมิได้มีร่างกลางบอบบางอ้อนแอ้นไปเสียทุกตน ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ ล้วนเป็นมังกรน้ำชั้นสูงที่มีร่างกลางสูงใหญ่แลดูน่าเกรงขาม แบบนี้จึงค่อยดูคล้ายกองทหารหน่อย อย่างไรก็ดี อูห์รูนซึ่งเป็นหัวหน้านั้นยังดูห่างไกลจากคำว่าสูงใหญ่นัก ร่างเพรียวกำลังน้อมตัวรับฟังคำสั่งจากองค์กษัตริย์ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินหยั่งทัพของพระองค์ลงก่อนจะถึงเขตน้ำตื้น ใกล้กับดินแดนของเงือก แน่นอนว่าย่อมต้องมีกำลังจากทางนั้นส่งมาสมทบ แต่กองกำลังสอดแนมที่จะส่งขึ้นไปเป็นชุดแรกนั้นเป็นมังกรน้ำระดับสูงทั้งหมด พระองค์ทรงใช้อำนาจสร้างวังน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อพักไพร่พล อัสธาราธยังไม่ได้มีโอกาสมองสำรวจให้ทราบชัดถึงทัพที่องค์กษัตริย์จัดมาในครั้งนี้ แต่คำนวณจากเงาร่างเพรียวยาวของเหล่ามังกรและสัตว์ทะเลดุร้ายที่ว่ายไปมาก็คงไม่ต่ำกว่าหลักพันเป็นแน่ พอคิดว่าจะเกิดสงครามแล้วจิตใจก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

          หลังจากอธิบายแผนการจบ ก่อนจะขึ้นบก องค์กษัตริย์ทรงเดินมากล่าววาจากับเขาเป็นการส่วนพระองค์

          “เจ้าชายอัสธาราธ หากมีเหตุจำเป็นอันใด อย่าได้หนีลงน้ำเป็นเด็ดขาด เพราะอำนาจแห่งโลหิตของเราจักพลันสูญสลายไปทันที เมื่อเจ้าก้าวขึ้นบก”

          อัสธาราธพยายามรักษามารยาทด้วยการไม่หัวเราะออกมา ถึงเขาจะหายใจในน้ำได้ในตอนนี้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของมังกรไฟ ไม่มีตนใดพอถึงยามฉุกเฉินจะหนีลงน้ำหรอก และอีกอย่าง ในหัวของมังกรหนุ่มไม่เคยมีคำว่าหนี หากต้องหนี สู้ให้ตายตกตามกันไปเสียดีกว่า ดูคล้ายองค์กษัตริย์จะอ่านความคิดเขาออกจากแววตา จึงตรัสสืบต่อ

          “อย่าได้คิดสละตัวเพื่อเรา หากถึงยามคับขัน เราจะขึ้นไปรับตัวเจ้าเอง”

--------------------------------------------------

          ผืนดิน ณ ดินแดนตะวันตก ไม่ใช่พื้นดินแบบที่อัสธาราธรู้จัก เขาเคยเห็นผืนดินมากมาย ทั้งผืนดินที่เต็มไปด้วยไอร้อนเช่นที่คอนเชียร์ ผืนดินที่เต็มไปด้วยหญ้านุ่ม ผืนดินที่เต็มไปด้วยธารน้ำใสสะอาด แต่ผืนดินที่เต็มไปด้วยโคลนเน่าเหม็นหึ่ง อัสธาราธเพิ่งพบเห็นที่นี่เป็นที่แรก ทันทีที่กวาดตาสำรวจจนทั่ว และไม่เห็นสิ่งใดอีกนอกจากปลักโคลนเหม็นเน่า และซากตะไคร่น้ำสีดำคล้ำที่ปรากฏอยู่ทั่วไป กับตอไม้ระเกะระกะ เจ้าชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถามเพื่อนร่วมทาง

          “ที่นี่เป็นแบบนี้แต่แรก?”

          “เปล่า” ผู้ตอบคืออูห์รูน ที่ตอนนี้อยู่ในชุดคลุมสีขาวสะอาด อัสธาราธเองก็ถูกเรเธียร์จับเปลี่ยนโฉมเล็กน้อย เส้นผมที่เคยเป็นสีแดงยามนี้กลายเป็นสีเทาขุ่นๆ ผิวสีน้ำผึ้งก็กลับกลายเป็นสีเทาซีดได้ และยังสวมเครื่องแต่งกายของชาวบาดาลซึ่งนุ่มๆ ลื่นๆ จนรู้สึกจั๊กจี๋ อย่างไรก็ดี ดวงตาสีแดงนั้นมิอาจปกปิด ดังนั้นเพื่อเป็นการอำพรางอย่างเต็มที่ คนอื่นๆ ในกลุ่มจึงต้องสวมผ้าคลุมศีรษะด้วย คราวนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่รู้ว่าท่ามกลางเหล่ามังกรน้ำมีมังกรไฟแฝงอยู่ตนหนึ่ง

          “เราจำได้ ครั้งหนึ่งที่นี่เป็นหนองน้ำใหญ่น้อยที่มีพรรณไม้น้ำตื้นขึ้นสลับ มิคาดแปรเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”

          ผู้รับใช้แห่งสายน้ำกล่าวสืบต่อ เพราะมีผ้าคลุมหน้าอยู่ จึงมิทราบว่าใบหน้าเฉยชานั้นยามนี้เป็นเช่นไร อัสธาราธพยักหน้า และก้าวเดินตามอูห์รูนผ่านแอ่งโคลนเน่าไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นนอกจากพวกเขาทั้งหกตนแล้ว รอบๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอีก ในแอ่งโคลนเหม็นเน่า ยังมีคราบสีดำบางอย่างลอยอยู่ แม้กลิ่นเหม็นเน่าของโคลนผสมตะใคร่จะกลบเกลื่อนกลิ่นของมันจนแยกลำบาก แต่อัสธาราธซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนบกมานาน พอจะจำแนกได้ว่าคราบสีดำเหล่านั้นเป็นสิ่งใด ลางสังหรณ์ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทันที

          ทั้งหกตนเดินย่ำแอ่งโคลนอย่างเงียบเชียบ อัสธาราธเพิ่งรู้อีกเรื่องว่าชาวบาดาลมีฝีเท้าที่เงียบมาก ดังนั้นเพื่อให้กลมกลืน เขายิ่งต้องเพิ่มความระวังในการเดินอีกหลายเท่าตัว เดินต่อไปไม่เท่าไหร่ เศษซากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า กลิ่นเหม็นเน่าฉุนเฉียวขึ้นมาในทันใด ผู้เดินทางทั้งหมดถึงกับผงะ มองทอดไปเบื้องหน้า ท่ามกลางแอ่งโคลนและซากต้นไม้ซึ่งมีรอยดำคล้ำ ซากศพสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ทอดกายเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ไม่ต้องเดามากก็พอรู้ว่านี่คือเหล่าทหารสอดแนมที่ถูกส่งขึ้นมาก่อนหน้านี้ หลายซากเน่าเปื่อยไปเยอะแล้ว หลายซากยังพอระบุได้ว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด กลิ่นเหม็นบางอย่างที่ลอยปะปนมากับกลิ่นซากและโคลนเน่าทำให้อัสธาราธรู้สึกหวั่นวิตก มิใช่หวั่นวิตกกับชีวิตตนเอง แต่หวั่นวิตกกับพวกที่มาด้วยกันต่างหาก ความกังวลนั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นเบาๆ

          “ข้าพเจ้าว่า เราควรหยุดเสียตรงนี้ก่อน”

                ทั้งห้าตนหันมามองเขาทันที คนพูดเลยพูดต่อ

          “พวกท่านทราบหรือไม่ ซากศพเหล่านี้ตายเพราะเหตุใด”

          “ย่อมเพราะถูกไฟผลาญ” ผู้ตอบยังคงเป็นอูห์รูนเช่นเดิม อัสธาราธพยักหน้า กล่าวสืบต่อ

          “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงว่าพวกเราสมควรหยุดก่อนเถิด”

          “ท่านมิต้องเป็นกังวล แม้พวกเราพ่ายแพ้ต่อเปลวเพลิง แต่หากมิใช่เพลิงขนาดใหญ่ ย่อมมิอาจทำอันตรายพวกเราได้ เรามิได้อ่อนแอบอบบางเช่นเจ้าพวกประดานี้” เสียงทุ่มต่ำของผู้ร่วมทางตนหนึ่งเอ่ยขึ้น อูห์รูนส่งเสียงอย่างเห็นด้วย

          “อย่างไรเสียเราจะต้องได้ข่าวกลับไป ว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดแน่”

          “เรื่องนั้นข้าพเจ้าจะ..”

          ยังกล่าวไม่จบ ซุ่มเสียงบางอย่างก็ดังแทรกขึ้นก่อน เป็นเสียงแหวกอากาศของลูกธนูที่ทำจากไม้ขนาดเล็ก ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งคว้าตะปบเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้น พวกมันก็ถูกยิงออกมาจากรอบทิศราวกับสายฝน ท่ามกลางหาธนู อัสธาราธได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร่ายเวทย์ด้วยเสียงทุ้มต่ำ ม่านน้ำสีใสพุ่งขึ้นโอบรอบทั้งหกเอาไว้ทันที ผลักดันลูกธนูเหล่านั้นให้เบนเป้าออก และยังระเบิดเป็นวงกว้างทันทีที่ห่าธนูสิ้นสุดลง

          “พวกก๊อบลิน” เสียงคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นอีก อัสธาราธเคยเห็นก๊อบลิน สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ชั้นต่ำที่น่าขยะแขยง แต่แค่สิ่งมีชีวิตด้อยสติปัญญาพวกนั้นจะมีความคิดรุกรานอาณาจักรใต้น้ำเชียวหรือ

          แรงระเบิดของม่านน้ำชะล้างเอาคราบสกปรกและกลิ่นเหม็นเน่าออกไปได้บางส่วน และยังเผยสภาพแห่งที่ซ่อนของเหล่าก๊อบลินที่แอบอยู่หลังเศษซากตอไม้ที่กองสุมกันราวกับกิ่งไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เพียงแต่ว่าที่กองอยู่ไม่ใช่กิ่งไม้ แต่เป็นไม้ทั้งต้นต่างหาก สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำพวกนั้น ยามถูกเผยที่ซ่อน ที่ไม่บาดเจ็บล้มตายก็พากันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดคิดติดตาม เพราะทั้งหกล้วนนึกตรงกัน พวกก๊อบลินคงไม่มีสติปัญญาพอจะกล้าท้าหาเรื่องกับผู้มาจากบาดาลเป็นแน่ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง

          กองทัพก๊อบลินล่าถอยไปได้เพียงชั่วครู่ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายพร้อมด้วยกลิ่นสาปสางก็ลอยมาแตะจมูก อัสธาราธกล่าวขึ้นเป็นตนแรก

          “หมาป่า!!”

          แทบจะพร้อมกัน เสียงคำรามและเงาร่างสีดำขนาดใหญ่โตกว่าร่างกลางของเหล่าบรรดาผู้เดินทางทั้งหกราวครึ่งเท่าก็กระโจนพรวดเข้ามา ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง แต่เป็นจำนวนที่ไม่อาจนับด้วยสายตาได้ กระนั้นสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้ขวัญกำลังใจของมังกรไฟหนุ่มแห่งคอนเชียร์ลดถอยลงเลย ตรงข้ามยิ่งทำให้รู้สึกคึกคักอักโข อัสธาราธเคยเผชิญกับการโจมตีที่ร้ายแรงกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า มังกรหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เตรียมจะลงมือซัดเต็มที่ ทว่ามือแกร่งข้างหนึ่งพลันยื่นมาจับไหล่เขาไว้

          “ท่านไม่ต้อง พวกนี้ข้าพเจ้าจัดการเอง”

          ร่างสูงใหญ่ราวหินผาก้าวล้ำเข้ามาด้านหน้าของเขา แม้เจ้าชายหนุ่มจะมีร่างกลางสูงใหญ่แล้ว ยังต้องเงยหน้าถึงจะมองเห็นศีรษะของมังกรน้ำตนนี้ได้ สองแขนกำยำถูกยกขึ้นในลักษณะเตรียมพร้อม เสี้ยววินาที ร่างสูงใหญ่นั้นพลันอันตรธานหายไป หลังจากนั้นเหล่าสุนัขป่าตัวยักษ์ก็ถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว

          “มิได้เห็นฝีมือนาน คล้ายท่านพัฒนาท่าร่างให้รวดเร็วยิ่งขึ้นแล้ว”

          ซุ่มเสียงหนึ่งเอ่ยชมขึ้น หลังจากมังกรน้ำตนนั้นกลับมาหยั่งเท้า ณ จุดเดิม เหล่าสุนัขป่าที่รอดจากการโจมตีซึ่งเหลือไม่มากมิกล้าแม้แต่จะขึ้นเสียงคำรามอีก ทันทีที่ตั้งตัวได้ก็รีบเผ่นหนีออกไปจนหมดสิ้น อัสธาราธตระหนักว่าทหารกองนี้มีฝีมือไม่ธรรมดาเลย การโจมตีเมื่อครู่รวดเร็วเสียจนเขามองไม่ทัน หากได้ต่อสู้กันคงเป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย

          เจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์เกิดนึกอยากประลองกำลังกับพวกประดานี้ขึ้นมาในบัดดล แต่ก็ต้องบอกตนเองว่า นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องแบบนี้ หน้าที่ตอนนี้คือสืบให้ได้ว่าพวกใดกันแน่ที่กระทำเรื่องเดือดร้อนจนกระทั่งจ้าวแห่งบาดาลต้องกรีฑาทัพเสด็จมาด้วยตนเอง

          กองทัพสุนัขป่าล่าถอยไปแล้ว ทั้งหกตนออกเดินทางต่อ ยิ่งเดินลึกเข้าไปในดงไม้ที่แห้งกรังในแอ่งโคลนเน่า กลิ่นฉุนเฉียวยิ่งหนาแน่นขึ้น เศษซากอสูรทะเลที่ถูกส่งขึ้นมาก่อนหน้านอนตายเรียงรายไปตลอดทาง คล้ายต้องการข่มขวัญผู้มาใหม่ แต่กระนั้นมังกรน้ำทั้งห้าตนก็ยังก้าวเดินอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว คงจะมีเพียงมังกรไฟแห่งคอนเชียร์เท่านั้น ที่ยิ่งเดินนานไปยิ่งรู้สึกว่าควรจะรีบหยุด

          อัสธาราธมิได้กลัวตนเองจะเป็นอันตราย แต่หวั่นเกรงแทนพวกมังกรน้ำประดานี้ต่างหาก

          เจ้าชายหนุ่มสู้ศึกมามาก เห็นมาหลายกลยุทธ์ ระหว่างย่ำลงไปในแอ่งโคลนเน่า มังกรหนุ่มตรึกอยู่หลายอย่าง ใครกันหนอที่มีอำนาจบังคับทั้งฝูงก๊อบลิน ทั้งฝูงสุนัขป่าพวกนั้น ใครกันที่ทำลายผืนดินแห่งนี้ ทั้งยังคราบสีดำพวกนั้นอีก

          เพราะคราบสีดำนั้นแหละ อัสธาราธถึงได้เป็นกังวลนัก แม้มิใช่สหายเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ก็เป็นสหายร่วมรบ เจ้าชายหนุ่มมีใจอารีและรักสหายร่วมรบของตนในยามสงครามเสมอมา และไม่ต้องการให้ไปเผชิญกับอันตรายโดยไม่มีเหตุผลจำเป็น

          “พวกท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าน้ำมันดิบหรือไม่?”

          มังกรไฟแห่งคอนเชียร์เอ่ยทำลายความเงียบ หลังจากทั้งหมดเพิ่งผ่านดงไม้แห้งมายังลานโคลนกว้าง เหมือนทั้งห้าตนชะงักร่างไปแว้บหนึ่ง อูห์รูนเป็นผู้เอ่ยออกมา

          “มันคือสิ่งใดเล่า?”

          คำถามนี้ทำให้อัสธาราธรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าการเดินทางนี้จำต้องหยุด เจ้าชายหนุ่มเร่งพูดต่อ

          “เช่นนั้นพวกท่านเร่งหาที่กำบังก่อนเถิด ลานโล่งกว้างเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับพวกท่านแน่ เดี๋ยวข้าพเจ้าจะอธิบายเรื่องราวให้พวกท่านฟัง”

          ขณะที่ทั้งห้าตนกำลังมองดูมังกรผู้มาจากคอนเชียร์อย่างงุนงงนั้น เสียงปรบมือพลันดังขึ้น พร้อมกับซุ่มเสียงที่ดังลอยมา

          “มิคาด มิคาด ชาวบาดาลยังมีผู้รู้จักน้ำมันดิบ หรือว่าเจ้ามิใช่ชาวบาดาล?”

                ทั้งหกตนหันหน้ามองหาที่มาของเสียง แต่รอบๆ ไม่ปรากฏสิ่งใดนอกจากลานโคลนกว้าง เสียงนั้นดังขึ้นต่อ

          “ข้าพเจ้าคาด พวกท่านทั้งหมดล้วนเป็นชาวบาดาลระดับสูง ผู้ใดมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าจงก้าวออกมา ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากจะเจรจา”

          อูห์รูนส่งเสียงขึ้นทันที

          “พวกเรามิมีใครเป็นผู้นำ หากต้องการเจรจาใยเจ้ามิปรากฏกายออกมาก่อน ทำเช่นนี้คล้ายต้องการเล่นไม่ซื่อแต่ต้น”

          “ถึงข้าพเจ้าอยากปรากฏกายก็มิใช่ทำได้ง่ายๆ ผู้ใดจะประกันว่าพวกท่านจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า”

          “เราประกันเอง” อูห์รูนเอ่ย เสียงเดิมถามต่อ

          “ท่านมีสิ่งใดรับประกันได้ เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้เห็นฝีมือพวกท่านแล้ว คล้ายพวกท่านสั่งสมความแค้นกับข้าพเจ้ามานมนาน ไหนเลยข้าพเจ้าจะออกไปเจอหน้าได้”

          อัสธาราธพลันรู้สึก เจ้าของเสียงนี้มีพฤติกรรมน่าเกลียดอย่างยิ่งยวด เป็นฝ่ายโจมตีก่อนแท้ๆ แต่กลับโบ้ยโทษให้ผู้อื่น โดยลืมคำนึงถึงมารยาท เจ้าชายหนุ่มเอ่ยสวนไปทันที

          “กล่าววาจาได้น่าคลื่นเหียน ทั้งหมดนี่เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หากยังมิแสดงตัวออกมาเราจะทำลายที่นี่เสีย”

          เสียงจุ๊ปากดังขึ้นทันที

          “ท่านไม่อาจทำลายที่นี่... ณ ดินแดนนี้ อำนาจแห่งสายชลของพวกท่านเข้าไม่ถึง หรือพวกท่านไม่รู้? ลองมองบรรดาซากเหล่านั้นที่พวกท่านเดินผ่านมาดู ทั้งหมดนั่นข้าพเจ้าทำไปเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น”

          อัสธาราธขยับตัวทันที รู้สึกร่ำๆ อยู่เต็มทีจะเผาที่นี่ให้วอด เพื่อให้ฝ่ายนั้นแสดงตนออกมา มือของอูห์รูนยื่นมาดึงไหล่ของเขาไว้

          “อย่าเพิ่งใจร้อน เราต้องทราบ มันเป็นผู้ใด กระทำเรื่องนี้เพราะเหตุผลใด”

          “หากต้องการทราบ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใด รับประกันมาว่าพวกท่านทั้งหมดจะไม่ทำร้ายหากข้าพเจ้าปรากฏตัวออกไป”

          “เราประกันให้ท่าน ด้วยศักดิ์ผู้รับใช้แห่งอิลห์ลาริน”

          “โอ้!!” เสียงเดิมอุทาน ก่อนจะพูดต่อ “เช่นนั้นเปิดเผยใบหน้าของท่าน ข้าพเจ้าต้องการทราบ ท่านคือผู้รับใช้ที่แท้จริง”

          อูห์รูนปลดผ้าคลุมหน้าออก เรือนผมสีฟ้าเทาปรากฏให้เห็นแก่สายตา รวมถึงผิวกายขาวละเอียด ยามต้องแสงแดดคล้ายจะเปล่งประกายได้ เสียงปริศนาเงียบไปพักใหญ่

          “งดงาม งดงามยิ่งนัก นี่หรือคือโฉมหน้าของชาวบาดาล ผู้อื่นเล่า ปรากฏโฉมให้ข้าพเจ้าชมได้หรือไม่”

          อูห์รูนกล่าวตัดบททันที ด้วยไม่ต้องการให้ความแตก

          “ผู้อื่นล้วนไม่น่าดูเท่าเรา ปรากฏตัวออกมาได้แล้ว”

          เสียงนั้นหัวร่อขึ้น

          “หากท่านกล่าวเช่นนั้น ข้าพเจ้าย่อมไม่เซ้าซี้ต่อ แต่กระนั้นข้าพเจ้ายังทราบ มีอีกผู้หนึ่งที่มีรูปโฉมงดงาม”

          ขณะเสียงกล่าว กลุ่มควันสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ใช้เวลาไม่นานก็รวมตัวกันเป็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำสนิท ขอบปลายเสื้อผ้าขลิบดิ้นทองเป็นอักษรเวทย์ประหลาด ได้ยินเสียงผู้เดินทางพึมพำขึ้นทันที

          “จอมเวทย์!”

          “อา...ใช่ ข้าพเจ้าเป็นจอมเวทย์ ขอแนะนำตัวแก่พวกท่าน ข้าพเจ้ามีนามรุซซาร์ค ตั้งแต่ยังเด็กข้าพเจ้ามีความปรารถนาประการหนึ่ง...”

          หูของอัสธาราธพลันไม่ได้ยินเสียงใดเสียแล้ว ทันทีที่ได้เห็นร่างของเสียงปริศนา ห้วงสมองพลันระลึกได้ทันที ความขมขื่น ความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เรื่องที่ตนหล่นลงในห้วงน้ำกว้าง สาเหตุเพราะจอมเวทย์ผู้นี้

          จอมเวทย์ชาวมนุษย์ที่โผล่เข้ามาในตอนท้าย มิทันได้ตั้งตัว มิทันได้เตรียมสิ่งใด กับการลอบโจมตีอย่างน่ารังเกียจ เพลิงโทสะในใจมังกรหนุ่มพลันลุกท่วมขึ้นมาทันที เขาก้าวเท้าออกไปอย่างลืมตัว กางสองมือออก ตระเตรียมจะเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ไปต่อหน้าต่อตา ทันใดนั้นมือแกร่งข้างหนึ่งก็กดร่างของเขาเอาไว้ด้วยกำลังรุนแรง อัสธาราธในยามลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะไม่ทันได้คิดถึงการห้ามปราม พลันปัดมือนั้นออก อาศัยจังหวะพุ่งตรงออกไปทันที ได้ยินเสียงรุซซาร์คอุทานขึ้น

          “ท่านผิดคำสัญญาแล้ว”

          เงาร่างสีดำพลันสูญสลายไปทันที อัสธาราธที่พุ่งออกไปถึงกับเสียหลัก เขาหยุดยืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยสีหน้าแตกตื่น

          “ท่านทำเราเสียเรื่อง!!” น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจถูกเอ่ยออกมาจากกลุ่มผู้ร่วมทาง แต่ดูเหมือนเจ้าชายหนุ่มมินำพากับน้ำเสียงนั้น อัสธาราธรีบพูดตอบ

          “พวกท่านรีบหลบ รีบกลับไปยังผืนน้ำ เร่งรีบกลับให้เร็วที่สุด เร็วเข้า!!!”

          พูดยังไม่ทันขาดคำ ของเหลวสีดำสนิทถูกสาดเข้ามาจากทุกทิศทาง อัสธาราธเบิ่งตากว้าง รีบปราดเข้าไปหาพวกที่ยืนอยู่ทั้งหก

          “เร่งรีบหนีไป!!!”

          เจ้าชายหนุ่มกล่าว พลางถอดผ้าคลุมออกบังของเหลวสีดำนั้นไว้ กลิ่นของมันฉุนเฉียวจนแม้แต่อูห์รูนผู้มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจยังต้องเอ่ยปากถามด้วยอาการงงงัน

          “นี่เป็นสิ่งใด?”

          “น้ำมันดิบ”

          อัสธาราธเอ่ยตอบ และรีบพูดต่อ

          “รีบกลับไปหาราชาของท่าน ระวังอย่าให้ร่างต้องเปลวเพลิงเป็นอันขาด ของเหลวพวกนี้ติดไฟได้ง่าย พวกที่ตายก่อนหน้านี้ล้วนถูกสิ่งนี้ทั้งนั้น”

          สีหน้าของอูห์รูนตระหนกกว่าเดิม รีบกล่าวตอบ

                “พวกมันหวังจะฆ่าเราแต่แรก?”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
          อัสธาราธพยักหน้า

          “ข้าพเจ้าเคยพบพานจอมเวทย์นี้มาแล้ว มันกลิ้งกลอกชั่วร้าย คงหวังจะทำร้ายท่านเพื่อให้องค์ราชันย์ปรากฏตัวเป็นแน่”

          “องค์ราชัยน์ย่อมไม่ปรากฏตัวเพราะเรื่องแบบนี้หรอก” อูห์รูนกล่าวเสียงหนัก อัสธาราธทั้งมิสั่นศีรษะทั้งมิพยักหน้า ได้แต่กล่าวย้ำ

          “เร่งไป!! รายงานต่อราชาของพวกท่าน อย่างไรอย่าให้พระองค์ปรากฏตัวเด็ดขาด เราคาด เจ้ารุซซาร์คคงหวังล่อพระองค์ออกมาสังหาร เพื่อครอบครองน่านน้ำแห่งอิลห์ลารินเป็นแน่”

          “ไม่มีผู้ใดสังหารองค์กษัตริย์ได้” อูห์รูนกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ อัสธาราธไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่ผลักไสอีกฝ่าย

          “รีบไป รีบไป!!”

          กล่าวไม่ทันขาดคำ ธนูไฟห่าหนึ่งก็ถูกยิงเข้ามา แม้พวกชาวบาดาลจะไม่ได้ถูกน้ำมันดิบอาบร่าง แต่รอบๆ ล้วนเป็นแอ่งน้ำมัน ดังนั้นเมื่อธนูไฟตกลงบนพื้น ทั่วทั้งพื้นที่จึงกลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ถึงตอนนี้พวกทั้งหมดเริ่มแตกตื่นกันแล้ว

          “นี้...เป็นไปไม่ได้!!!!”

          ข้ารับใช้อุทาน ตระหนกจนหน้าถอดสี แม้ทั้งหมดจะเป็นทหารกล้า แต่อย่างไรก็เป็นชาวน้ำ ย่อมมิอาจทนทานต่อเปลวเพลิงใหญ่เช่นนี้ อัสธาราธคำรามอย่างหงุดหงิดใจ

          “ข้าพเจ้าบอกแล้วให้ท่านรีบไป!”

          ยังไม่ทันที่อูห์รูนจะหาวาจาใดมากล่าวตอบ ร่างกายของเจ้าชายหนุ่มแห่งคอนเชียร์ก็พลันขยายใหญ่ขึ้น เกล็ดสีแดงแผ่กระจายไปทั่ว ผู้รับใช้เพิ่งตระหนัก ร่างจริงของเจ้าชายแห่งแดนภูเขาไฟใหญ่โตนัก เพียงย้ำเท้าลงบนแอ่งโคลนก็ดับไฟไปได้กว่าครึ่ง แต่ก็เพียงเท่านั้น ไม่นานไฟก็ลามเลียขึ้นไปบนร่างกายใหญ่โต เนื่องเพราะน้ำมันดิบที่อาบอยู่

          “เจ้าชาย!!”

          “ข้าพเจ้าจะส่งพวกท่านกลับ” อัสธาราธกล่าวอย่างไม่รอช้า ก้มหัวลง ช้อนเอาพวกนั้นทั้งหมดและเหวี่ยงออกไปยังทิศทางที่เดินเข้ามา ได้ยินเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้น

          “อย่าให้พวกมันรอดไปได้!!!”

          ห่าธนูไฟถูกยิงตามออกไป เจ้าชายหนุ่มสยายปีกออกรับลูกธนูเหล่านั้น แผงปีกอ่อนบางพลันถูกแทงทะลุ ถึงกระนั้นก็ยังพอจะกันห่าธนูนั้นได้ อัสธาราธคำรามเสียงก้อง

          “โผล่หัวออกมา เจ้ามนุษย์!!”

                “โอ้... เจ้ามังกรไฟเมื่อตอนนั้น” รุซซาร์คเอ่ย แต่ยังมิยอมปรากฏกายออกมา อัสธาราธเหลียวมองไปรอบๆ นอกจากทะเลเพลิงตรงหน้าแล้ว ยังไม่มีกองทัพใดปรากฏอีก รอบๆ ล้วนเป็นดงไม้แห้งตายกว้างสุดลูกหูลูกตา ไกลลิบๆ เหมือนมีแท่นอะไรบางอย่างมีควันพวยพุ่งออกมาอยู่

          “ไม่ยักรู้ว่ามังกรแห่งคอนเชียร์จะรอดมาจากสายน้ำแห่งอิลห์ลารินได้ ดูท่าตำราของข้าพเจ้าจะเขียนผิดไปบ้าง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจ้าวแห่งอิลห์ลารินจะเลี้ยงดูมังกรไฟเช่นท่านด้วย”

          “หุบปาก!!”

          อัสธาราธคำราม กวาดหางฟาดไปทั่วบริเวณ เศษซากกิ่งไม้ปลิวว่อน ยิ่งเพิ่มเชื้อไฟให้ปะทุขึ้นอีก ตอนนี้มังกรหนุ่มตกอยู่กลางทะเลเพลิงอย่างสมบูรณ์แบบ เปลวเพลิงสีแดงแทบจะกลืนไปกับร่างกายใหญ่โตนั้น

          เสียงนั้นเงียบไป พลันมีลมสายหนึ่งพัดวูบ

          “อย่าได้คิดหนี!!”

          เสียงคำรามดังกึกก้อง เปลวเพลิงที่ลามอยู่รอบตัวพลันม้วนเป็นก้อนใหญ่ พุ่งเข้าใส่สายลมที่พัดผ่านไป ได้ยินเสียงอุทาน ก่อนที่ร่างสีดำจะปรากฏขึ้นกลางอากาศ ที่ทราบว่ามนุษย์หากสำเร็จเวทย์มนต์จนถึงระดับจอมเวทย์ ย่อมข้ามขีดจำกัดของร่างกายได้หลายอย่าง จนแทบจะเรียกว่ามนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่นิสัยเจ้าเล่ห์ที่มีติดตัวมาเท่านั้น ดังนั้นแม้เวลาล่วงเลยมากว่าห้าสิบปี รุซซาร์คยังมีมีโฉมหน้าแบบเดิมไม่เปลี่ยน นัยน์ตาสีแดงของอัสธาราธเบิ่งกว้างอย่างเคียดแค้น คมเขี้ยวขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่ปราณี รุซซาร์คซึ่งลอยอยู่ในอากาศประกาศเสียงก้อง

          “เผา!!!”

          น้ำมันดิบถูกราดลงมาอีก เปลวเพลิงลามลุกขึ้นเรื่อยๆ แม้แผนนี้จะใช้ได้ผลดีกับมังกรน้ำ แต่พอมาพบกับมังกรเพลิงผลที่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กระนั้นดูรุซซาร์คจะมีสีหน้าพอใจกับเรื่องดังกล่าว

          “อยากฆ่าข้าหรือ? เจ้ามังกรไฟโง่ เช่นนั้นจงไล่ตามข้าให้ทันสิ”

          เงาร่างสีดำหายวูบไปอีกครั้ง อัสธาราธแม้ร่างกายจะถูกเพลิงลุกท่วม แต่ยังพอจับกระแสลมได้ ปีกที่ขาดทะลุก็สมานดีแล้ว ขยับวูบเดียวก็มาขวางหน้าจอมเวทย์เอาไว้ สายลมขยับหนีไปทางทิศอื่น กระนั้นยังถูกมังกรสีแดงเพลิงตามอย่างไม่ลดละ

          ระหว่างที่ไล่ติดตามจอมเวทย์ ในหัวของอัสธาราธพลันฉุกคิดถึงบางอย่าง คล้ายจอมเวทย์ไม่คิดจะหนีจริงๆ ดั่งต้องการหลอกล่อให้เขาวิ่งไปวิ่งมา แต่เพื่อสิ่งใดเล่า?

          มังกรไฟหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบ

          “อย่าเพิ่งหยุด เด็กน้อยของเรา”

          ลักษณะการพูดและน้ำเสียงดูคุ้นเคยยิ่งนัก ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานก็รู้ว่าเป็นพระสุระเสียงขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ อัสธาราธถึงกับงงงั้น ด้วยนึกไม่ออกว่าเหตุใดจึงได้ยินเสียงขององค์กษัตริย์ในยามนี้ หนำซ้ำเสียงคล้ายดังก้องอยู่ในหัว หรือจอมเวทย์นั่นใช้เล่ห์กลบางอย่างทำให้เกิดเสียงหลอน ได้ยินน้ำเสียงเดิมกล่าวต่อ

          “เราติดต่อกับเจ้าผ่านสายน้ำ ไม่รู้สึกเลยหรือ?”

          อัสธาราธเพิ่งรู้สึก ได้ฝ่าเท้ามหึมาของตนคล้ายมีน้ำเอ่อ ยังไม่ได้ทันจะได้ก้มมองดี เสียงของจอมกษัตริย์ก็ดังขึ้นต่อ

          “อย่าให้ศัตรูรู้ตัว เจ้าจงแสร้งว่ากำลังไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ เราทราบแล้วว่ามันจงใจจะให้เจ้าวิ่งไล่ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เพลิงแผดผลาญแผ่นดินบนนั้นจนวอดวายหมดสิ้น”

          มังกรหนุ่มมองไปรอบๆ มองเห็นทุ่งเพลิงกว้างสุดลูกหูลูกตา เพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าตนเองเป็นต้นเพลิงทั้งหมด แต่ไม่ทราบจะกล่าวโต้ตอบกับองค์กษัตริย์เยี่ยงไร น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยช้าๆ

          “มันคงคาด หากแผ่นดินถูกแผดเผา เราต้องอยู่ไม่ติดที่ หากดินแดนแห่งนี้ถูกเพลิงผลาญ ไหนเลยจะยังความอุดมสมบูรณ์ไว้อีก หากไม่มีแอ่งน้ำ ไม่มีสิ่งใด ไหนเลยชาวบาดาลจะเหยียบย่างขึ้นมาได้ แน่นอนเราหวั่นเกรงข้อนี้ แต่เรามีชีวิตมาเนิ่นนานยิ่ง ย่อมไม่หลงกลอุบายตื้นๆ เช่นนี้ ดังนั้นอ้อนวอนเด็กเจ้าจงเสแสร้งต่อ ไล่ตามมันไปพลางสังเกตไปพลาง แหล่งน้ำมันดิบอยู่ที่ใด ใช่อยู่ลึกไปบนแผ่นดินหรือไม่? มองหามันให้กับเรา เราต้องการทำลายต้นตอความวิบัตินั่นให้สิ้นซาก”

          อัสธาราธแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเชื่อฟังใครง่ายๆ เสมอมา ด้วยมีนิสัยดื้อรั้นในตัวเป็นหลัก แต่ยามนี้กลับรู้สึกเชื่อถือต่อองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเป็นยิ่งยวด คล้ายดั่งต้องมนต์สะกด อาจเพราะไม่เคยพบผู้ใดทำให้ตนทั้งตกประหม่าหน้าซีดได้ขนาดนี้ ยังไม่เคยพบผู้ใดทรงอำนาจถึงเพียงนี้ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตเอาไว้

          มังกรหนุ่มเสแสร้งไล่ตามจอมเวทย์ต่อ พลางสอดส่ายสายตามองหาแหล่งน้ำมันดิบที่ว่า

          ชาวคอนเชียร์นั้นมีการติดต่อในแง่สงครามกับพวกมนุษย์มากกว่าเหล่าชาวน้ำ เรื่องน้ำมันดิบสำหรับอัสธาราธจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เขาเคยพบแท่นขุดของมันมาแล้ว ส่วนใหญ่อยู่บนผืนทรายกว้าง เพิ่งเคยพบเห็นอยู่ใกล้ผืนทะเลนี่แหละ

          ด้วยร่างกายมหึมา ใช้เวลาไม่นานก็สังเกตเห็นแท่นขุดอยู่ไกลออกไปลิบๆ ขณะกำลังตรึกว่าจะติดต่อกับองค์กษัตริย์ด้วยวิธีใด น้ำเสียงนุ่มก็ดังขึ้นอีกครา

          “เราทราบแล้วจากจิตของท่านที่ไหลตามสายน้ำ วิงวอนท่านอีกเรื่อง มิทราบกองทหารของมันมีจำนวนมากเพียงใด”

          “ข้าพเจ้ามิอาจบอกจำนวนแน่ชัด คาดว่ามีมากพอสมควร แต่นอกจากเหล่าพวกก๊อบลินและหมาป่าแล้ว ยังไม่รู้ว่าจอมเวทย์ผู้นี้มีเล่ห์กลใดอีก ข้าพเจ้าเคยมันมาก่อน เรียนต่อพระองค์มันเป็นผู้เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายยิ่งนัก”

          “เราน้อมฟังคำเตือนของเจ้า”

          องค์กษัตริย์แห่งอิลห์ลารินตรัสตอบ อัสธาราธรู้สึกเหมือนน้ำใต้ขาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทอดตาออกไปก็พบว่าไม่ได้คิดไปเอง ยามนี้พื้นดินเบื้องล่างมีน้ำเอ่อท่วม เหมือนรุซซาร์คเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน

          “มาแล้วหรือ ท่านจ้าวแห่งสายชล!!”

          รุซซาร์คได้ยินมานานแสนนาน ได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของพละอำนาจแห่งสายน้ำ กระนั้นด้วยความละโมบและมั่นใจในแผนการซับซ้อนของตน จึงมุ่งหวังจะทำลายองค์กษัตริย์ที่ปกครองท้องน้ำมาเนิ่นนาน เพื่อตั้งจนเป็นเจ้าของผืนนทีกว้าง หลังจากอดทนทดลองอยู่หลายสิ่ง ในที่สุดก็พบวิธีจะหลอกล่อองค์กษัตริย์ให้ขึ้นมาบนบก รุซซาร์คมีความมั่นใจ มิว่าเป็นมังกรน้ำรูปแบบใด หากขึ้นบกมาแล้วไซร้ ย่อมมิอาจอวดฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่เป็นแน่ ต้องพลาดพลั้งเสียทีในที่สุด ที่คาดไม่ถึงคือจ้าวแห่งสายน้ำยังเลี้ยงมังกรไฟไว้อีกตนหนึ่ง แต่แม้คาดไม่ถึง ด้วยมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่อง ยังสามารถดึงสิ่งคาดไม่ถึงนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดูจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น อีกไม่นานองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คงปรากฏโฉม หากปรากฏเมื่อไร กับดักที่ตระเตรียมไว้จะทำงานในทันที

          แต่รุซซาร์คคาดไม่ถึง คาดไม่ถึงจริงๆ คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าอำนาจแห่งผืนน้ำจะยิ่งใหญ่เหนือประมาณมากถึงเพียงนี้ ที่ปรากฏต่อหน้าเขามิใช่มังกรตัวยักษ์ มิใช่สัตว์ประหลาดขนาดเขื่องใดๆ แต่เป็นคลื่นสูงแทบจรดขอบฟ้า ไอน้ำทะเลเค็มเฝื่อนพุ่งมากระทบใบหน้า ปลายหางตาถูกถ่างจนแทบฉีก ไม่ว่ากับดักหรือเล่ห์กลใด คงมิอาจต้านอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้

          อัสธาราธได้แต่ยืนตะลึง ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็นผืนน้ำด้วยซ้ำ พวกเขาเดินเข้ามาลึกพอสมควร แต่บัดนี้ ผืนน้ำมาปรากฏตรงหน้า ซ้ำยังตั้งสูงแทบจะชนกับขอบฟ้า แลเห็นปรายฟองม้วนตัวอยู่บนยอดคลื่นสูงขึ้นไปลิบๆ หากถูกคลื่นสูงขนาดนี้ซัด ต่อให้ร่างกายใหญ่โตมีรากงอกหยั่งลงไปในดิน ก็คงปลิวกระเด็นออกไปอยู่ดี ที่สำคัญ สายน้ำนี้มิใช่ของหลอกเล่น เป็นสายน้ำจริงๆ ไฟบนตัวอัสธาราธถูกละอองน้ำเค็มที่ปลิวเข้ามาซัดจนดับ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่แห่งสายน้ำ สัญชาตญาณส่วนลึกของมังกรไฟถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้ง

          หากถูกสายน้ำนี้กลืนกิน เปลวเพลิงแห่งคอนเชียร์คงสูญสิ้น

          จะอย่างไรอัสธาราธก็ถือกำเนิดบนเกาะที่ล้อมรอบด้วยเปลวเพลิง แม้เคยผ่านห้วงน้ำแห่งอิลห์ลารินมาถึงสองครั้งสองครา ก็ยังมิอาจคุ้นชินกับสายน้ำได้ และเมื่อพบกับอำนาจมหาศาลเช่นนี้ ต่อให้มีขวัญกล้าเพียงใด คงไม่อาจสยบความหวาดกลัวเอาไว้ได้ กระนั้นเจ้าชายหนุ่มสาบานกับตัวเองไว้แล้ว จะอย่างไรต้องไม่หันหน้าหนีเด็ดขาด

          อัสธาราธหยั่งเท้าลึกลงไปในโคลน เตรียมรับคลื่นน้ำนั้นเต็มที่ มิว่าจะเป็นอย่างไร หวาดกลัวแค่ไหนก็จะไม่ยอมหนีอีก เขาเคยหนีมาหนหนึ่งแล้ว และจะไม่มีหนที่สอง ท่ามกลางเสียงคำรามของฝืนน้ำ ซุ่มเสียงอ่อนโยนดังขึ้นเบาๆ

          “เรามารับเจ้าแล้ว”

------------------------------------------------------------
(จบตอน)

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
 :z2:

// ได้จิ้มไว้ก่อน ยังไม่ได้เม้น สมองอย่างเบลออ

อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ได้กลับมาอ่านอีกทีก็ยัง .. :-[

อัสธาธาร  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2012 12:12:34 โดย zhiki »

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านอีกรอบก็ปลื้มเรเธียร์
แบบว่าสวยเท่สุขุมมาก ปลื้ม

ส่วนอัสราธารแบบเด็กน่ารักจริงจัง แต่ก็มีส่วนเป็นผู้ใหญ่ เป็นมังกรที่เท่มาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด