เมื่อช่วงปิดภาคเรียนของโรงเรียนน้องแฝดมาถึง พอเสร็จจากช่วยงานพ่อ ช่วงปิดภาคเรียนนี้นีออนก็ได้ใช้เวลาอยู่กับพี่ไทม์นานขึ้น สงกรานต์เมื่อปีก่อนนั้นพี่ๆมาช่วยน้องแฝดขายดอกไม้ มาปีนี้นอกจากไปรดน้ำขอพรจากครอบครัวตนเองแล้ว น้องแฝดยังได้ไปขอพรจากครอบครัวของพี่ๆด้วย
ช่วงเวลาแห่งความสุขแม้ว่าจะอยากให้มันยาวนานแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลามันก็ต้องหมดลงอยู่ดี ไทม์กลับไปเรียนต่อเมื่อใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัย นีออนมาส่งพี่เช่นเคย แต่ตอนนี้เด็กน้อยไม่ร้องไห้แล้วเพราะเดี๋ยวพี่จะเป็นห่วง ด้วยระยะทางที่ห่างกันทั้งสองคนก็ยังคงใช้การโทรคุยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ไม่ให้ห่างหาย ต่างคนก็ต่างตั้งใจในสิ่งที่ตนเองควรทำ
จนเมื่อเวลาผ่านไป การสอบของมัธยมปลายมาถึง นีออนกับอุ้มรักก็ได้ทำการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผลที่ออกมาคืออุ้มรักได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ไอและพี่อุ่น เป็นคนละมหาวิทยาลัยกับที่พี่น้ำเรียน แต่ก็ไม่ได้ไกลกันคนละจังหวัดเหมือนนีออนกับพี่ไทม์ ฝ่ายนีออนน้อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯได้ แต่ก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ไทม์อยู่ดี
พอใกล้ถึงเวลาที่แฝดพี่อย่างนีออนต้องเดินทางไปอยู่เมืองไกล คุณพ่อก็ไม่ยอมคุยด้วยเลยจนนีออนใจเสีย คุณพ่อบอกว่าพอถึงเวลาจริงๆแล้วมันทำใจลำบาก แค่นีออนไปเรียนที่อื่นก็ว่าแย่แล้ว นี่เหมือนกับตนเองส่งลูกไปให้คนอื่นอีกเลยยิ่งรู้สึกไม่ดี
“ออนขอโทษครับพ่อ ออนไม่ดีที่ทำให้พ่อเสียใจ”
นีออนไหว้ขอโทษคุณพ่อ เขาไม่เคยคิดหรอกว่าสิ่งที่เป็นมานั้นมันทำให้พ่อทุกข์ใจ คิดว่าพ่อกับแม่เข้าใจเขาที่สุด อุ้มรักที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็น้ำตาไหลตามพี่ชาย แม้แต่พี่ไอรักเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนสะท้านในใจ
“พ่อไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของนีออนหรอกนะ ความรักไม่ใช่สิ่งผิด แต่ถ้ารักแล้วพากันไปในทางที่ผิดนั่นล่ะพ่อถึงจะเสียใจ ลูกเลือกเส้นทางเดินของชีวิตได้ด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็นึกถึงจิตใจพ่อแม่อยู่เสมอ เท่านี้ก็ดีมากแล้ว อย่าเสียใจในสิ่งที่ตนเองเลือกแล้ว เพราะมันจะทำให้คนที่ลูกเลือกไม่มีความสุขตามไปด้วยนะ เมื่อเลือกแล้วว่าดี ก็ทำให้พ่อเห็นว่ามันดีจริง ทำได้ไหม?”
“ครับ ออนจะเป็นคนดี ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง ออนรักพ่อกับแม่ครับ”
นีออนกราบที่ตักของพ่อกับแม่ อุ้มรักกับพี่ไอและพี่อุ่นคลานเข้ามากราบพ่อแม่ด้วย ทุกคนยังอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่ แม้เติบโตมาจนคิดว่าตนเองโตพอที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตนเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครแล้ว แต่ร่มเงาของพ่อกับแม่ผู้มีพระคุณเหลือล้นก็ยังโอบประคองให้ลูกได้เดินตรงทาง ให้ลูกๆได้มีที่พักพิงในยามท้อถอย ยังคงเป็นร่มไม้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆขอเพียงให้ลูกนั้นมีความสุขก็เป็นพอ
---------------
ครอบครัวของนีออนไปส่งนีออนที่กรุงเทพฯ คุณพ่อยอมให้นีออนน้อยไปพักกับพี่ไทม์ตามที่เคยพูดกันเอาไว้ พวกท่านตามมาส่งแฝดพี่เพราะจะได้ดูที่อยู่ของลูกด้วยเผื่อขาดเผื่อเหลืออะไร ตอนกลางคืนครอบครัวน้องแฝดพักในโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากหอของพี่ไทม์นัก กะว่าจะอยู่อีกวันถึงพากันกลับ ก่อนกลับก็พากันไปเที่ยวทั้งครอบครัวแล้วถึงพานีออนมาส่งที่หอพักของไทม์ พากันกลับไปเก็บข้าวของที่โรงแรมแล้วกลับมาหานีออนอีกครั้ง ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่นีออนก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่พอพ่อแม่จะกลับนี่สิ กลับไม่อยากให้ไปเสียอย่างนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะลงมาส่งทุกคนที่ด้านล่าง
“ดูแลตัวเองดีๆ อยู่กับพี่เขามีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วย อย่านิ่งดูดายให้พี่เขาทำอยู่คนเดียวแล้วเราสบายคอยแต่ความช่วยเหลือ เข้าใจที่พ่อพูดไหม?” คุณพ่อสอนสั่งนีออนน้อยก่อนกลับ
“ครับ”
หนุ่มน้อยตอบรับสีหน้าดูหงอยไปถนัดตา เมื่อเช้าไปเที่ยวกันยังดูสดชื่นร่าเริงอยู่เลย คุณพ่อโยกศีรษะลูกชายไปมา ก่อนหันไปหาไทม์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันนั้น
“ดูแลน้องด้วยนะไทม์”
“ครับพ่อ”
ไทม์รับปากคุณพ่อน้องแฝดแข็งขัน คุณแม่ก้าวมาหานีออนน้อย ลูบแก้มลูกชายเบาๆ นีออนกุมมือทับมือแม่ ไม่อยากให้แม่ไปเลย
“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก ตั้งอกตั้งใจร่ำเรียน เพราะวิชามันจะทำให้ออนได้ดีในวันข้างหน้า ตั้งใจให้ดี”
คุณแม่เอ่ยแนะ กอดลูกชายแน่นๆก่อนผละออกมา นีออนไหว้ขอบคุณแม่ ก่อนหันไปหาพี่ไอรัก
“ตั้งใจเรียนนะตัวแสบ เดี๋ยวพี่จะทำสะพานเหล็กข้ามคลองไว้รอ จะพัฒนาสวนลุงโด่งออกทีวีให้ด้วยดีไหม?” ไอรักพูดถึงไอเดียของน้องเมื่อครั้งที่คุยเล่นกัน แต่เขาจะทำมันให้น้องจริงๆ
“อื้อ”
คนเป็นน้องพยักหน้าหงึก พี่ไอลูบผมน้องรู้เลยว่าน้องกำลังพยายามจะไม่ร้องไห้ พอพี่ไอถอยออกมาก็ตามด้วยพี่อุ่น นีออนกอดพี่อุ่นแน่น พี่สาวหัวเราะเบาๆที่น้องอ้อน
“อย่าขี้แยมากนักนะเรา เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งเข้าไว้รู้ไหม?”
“รักพี่อุ่นนะ” พูดบอกเสียงอู้อี้เพราะซุกหน้ากับไหล่พี่สาว
“จ้า รักนีออนเหมือนกัน”
พอปล่อยพี่สาวให้เป็นอิสระแล้วนีออนก็หันไปหาน้องคนสุดท้อง ฝาแฝดหนึ่งเดียวของเขา ทั้งสองคนกอดกันกลม อุ้มรักน้ำตาคลอเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยห่างกันไปไหนไกลเลยสักครั้ง
“ออนคงคิดถึงอุ้มแย่”
“อุ้มก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองนะออน”
“อื้อ”
ทุกคนพากันขึ้นรถกลับบ้าน นีออนยืนส่งครอบครัวตนเองอยู่ข้างพี่ไทม์ มือเรียวเล็กถูกพี่เกาะกุมเอาไว้คอยเป็นหลักให้น้อง เด็กตัวเล็กโบกมือลาพ่อแม่กับพี่ๆและอุ้มรัก พยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ แต่พอรถเลี้ยวพ้นตัวตึกไปเท่านั้นน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลพราก ไทม์กอดปลอบน้องก่อนพาน้องที่ยังสะอึกสะอื้นใช้หลังมือปาดน้ำตาจากใบหน้า แต่มันก็ยังคงไหลลงมาอีกอยู่ดี
เด็กหนุ่มจับจูงมือน้องให้เดินขึ้นตึกสูงไปด้วยกัน หนุ่มน้อยของเราก็ก้มหน้าก้มตาเดินเช็ดน้ำตาป้อยๆตามพี่ไป ต่อไปนี้นีออนต้องใช้ชีวิตที่เป็นของตนเอง และด้วยตนเองจริงๆแล้ว สองขาต้องแข็งแรงพอที่จะไม่หกล้มลงไป ต้องยืนหยัดเข้มแข็งทั้งเพื่อตนเองและคนรอบข้าง ให้ทุกคนได้เห็นว่า นีออนคนนี้ก็มีดีไม่แพ้ใคร
--------------
ทางด้านทิมเองก็อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับกร แต่ก็ไม่อยากทิ้งบ้านไปอีกคน ถึงพ่อกับแม่จะบอกว่าให้ทำตามที่ตนเองอยากทำ เพราะมันคืออนาคตของทิมเอง เลือกในสิ่งที่ดีที่สุด พ่อกับแม่ไม่ว่าถ้าสิ่งที่ทิมเลือกมันทำให้ทิมมีอนาคตที่ดีและมีความสุข แต่ทิมก็ยังอยากอยู่ที่นี่และอยากให้กรอยู่ด้วยกัน แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะกรรับปากกับพ่อแม่ของตนเองเอาไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบมัธยมปลายแล้วจะไปอยู่ด้วย ถึงจะบอกว่าค่อยคุยกันอีกทีนั้น ที่จริงแล้วก็ต้องทำในสิ่งที่พ่อแม่สบายใจ ท่านก็อยากให้ไปอยู่ด้วยกัน ด้วยว่าเป็นห่วงลูกนั่นล่ะ
พ่อแม่กรกลับมารับลูกชายเมื่อถึงเวลาที่ได้พูดคุยกันเอาไว้เมื่อคราวก่อนที่กรขอกลับมาเรียนต่อมัธยมปลายให้จบ ตอนนี้ถึงเวลาที่ทิวากรต้องไปอยู่กับพ่อแม่ตามที่ได้พูดกันเอาไว้แล้ว ทิมมาช่วยเพื่อขนข้าวของ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วทิมจึงขออนุญาตพากรออกมาคุยกันสักเล็กน้อยก่อนไป
“จะไปแล้วสินะ” ทิมเริ่มประโยคสนทนาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ดูหงอยเหงาเหมือนหมาน้อยกำลังจะถูกทิ้ง
“เฮ้ย! อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ เหมือนเราจะไม่ได้กลับมาอีกงั้นแหละ” กรทำร่าเริงกระตุ้นให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้น เห็นทิมดูเศร้าแบบนี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าตาม
“แต่นั่นก็อีกนานเลยไม่ใช่เหรอ บอกตรงๆว่าเราหวั่นใจ”
ทิมเอ่ยบอกความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ เพียงแต่กลัวระยะทางที่ห่างไกลทำให้หัวใจหวั่นไหวจนต้องห่างกัน
“อนาคต คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ถ้าวันหนึ่งจะมีใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป มันก็ไม่แปลกหรอก” กรบอก
“คนนั้นคือใครล่ะ เรา... หรือนาย?”
เหมือนยิ่งพูดกันสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงอีก กรเม้มปากเริ่มจะเครียดกับสิ่งที่ทิมพูดขึ้นมานั่นแล้ว ใครจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ
“เรื่องมันยังไม่เกิดเลยนะทิม นี่เราจะเลิกกันแล้วเหรอ?”
เอ่ยถามเสียงขื่น พยายามฝืนยิ้มแต่มันก็ดูเจื่อนอยู่ดี ทิมรั้งเพื่อนเข้ามากอดแน่น กรกอดตอบ ก่อนที่ทิมจะเอ่ยบอกข้างหูเสียงหนัก
“ห้ามมีใครใหม่นะ ถ้าเรารู้ เราจะตามไปฆ่ามัน!”
“โห โหดว่ะ” กรทำเสียงล้อเลียน พยายามให้มันดูรื่นเริงเข้าว่า
“ไม่ได้ขู่ด้วย” ทิมยังเอ่ยย้ำ
“คร้าบๆ”
ทิมกอดเพื่อนอยู่แบบนั้นจนเจ้าตัวเขาต้องบอกว่าได้เวลาแล้ว ปล่อยให้พ่อกับแม่รอนานมันไม่ดี แม้จะไม่อยากปล่อยแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มันจะย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทิวากรไม่ได้จากไปเพียงแค่เดือนสองเดือนเหมือนคราวที่แล้ว กรไหว้คุณแม่ของทิมที่ยืนอยู่ใกล้คุณแม่ของตนเองก่อนก้าวขึ้นรถไป ทิมมองส่งเพื่อนที่เดินไปขึ้นรถ ความรู้สึกหน่วงในอกมันทำให้เรี่ยวแรงของเขากำลังจะหมดลง น้ำที่มันไหลออกมาจากตานี่มันคงเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงของโลกสินะ
ต่างคนต่างเลือกทางเดินของตนเอง ใจที่มอบให้กันเอาไว้นั้นทั้งคู่ยังไม่รู้เลยว่ามันจะสามารถเอาชนะระยะทางที่ห่างกันนี้ได้ไหม ระยะทาง เวลา ตัวแปรสำคัญของความรักทั้งนั้น
--------------
นักศึกษาใหม่อย่างนีออนต้องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องแสนหนัก ไทม์ไม่ค่อยได้ดูแลน้องเท่าไหร่เพราะตนเองก็ต้องรับน้องมหาวิทยาลัยของตนเองเหมือนกัน ถ้าช่วงเวลานี้ผ่านไปแล้วคงได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นหน่อย
อุ้มรักที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพี่อุ่นรักกับพี่ไอที่เพิ่งจบออกไปนั้นก็มีกิจกรรมรับน้องเช่นกัน พี่อุ่นรักเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว อยู่กันคนละคณะกับอุ้มน้อยด้วยเลยฝากให้เพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกับน้องชายช่วยดูน้องให้หน่อย
น้ำที่เป็นสารถีตามรับส่งน้องทุกวัน พอน้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยิ่งต้องตามดูแล บางทีน้องต้องอยู่ร่วมกิจกรรมของทางคณะจนต้องกลับดึกดื่น น้ำก็ต้องบอกที่บ้านของตนเองให้ปิดประตูลงกลอนเข้านอนกันไปก่อนเลย ถ้ากลับไปถึงจะโทรบอกน้องชายให้มาเปิดประตูให้ คุณแม่น้องแฝดเห็นว่าพี่น้ำต้องคอยดูแลที่บ้าน ไหนยังจะต้องไปรับอุ้มรักกลับบ้านอีก เลยเสนอว่าถ้าวันไหนน้องกลับเร็วค่อยไปรับน้องดีกว่า ถ้าน้องกลับช้าให้พี่ไอไปรับก็ได้ น้ำจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แม่ไม่ว่าหรอกแบบนี้ ย่าก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงน้ำด้วย อุ้มรักเห็นด้วยกับคุณแม่เพราะเป็นห่วงพี่น้ำกับที่บ้านของพี่อยู่เหมือนกัน พอน้องมีความคิดเห็นแบบนั้นพี่น้ำเลยต้องเห็นตามนั้นด้วย
หลังจากผ่านกิจกรรมรับน้องมาเรียบร้อย นีออนต้องไปรับน้องไกลถึงชายทะเล ส่วนมหาวิทยาลัยของพี่ไทม์ก็ไปอีกที่ ทั้งคู่จะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องทำ เพื่อเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้แน่นแฟ้น เห็นพี่ๆเขาว่ากันอย่างนั้นน่ะนะ
พอถึงวันกลับ ไทม์ไปรอรับน้องนีออนที่มหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มแอบแวบมาจากงานรับน้องของมหาวิทยาลัยตนเองที่ก็กลับวันนี้เช่นกัน เพื่อนๆของไทม์ก็ยอมให้กลับมาก่อน เพราะไทม์บอกว่าจะไปรับแฟนที่อยู่ต่างมหาวิทยาลัย เดี๋ยวมีมดแมงมาเกาะแกะ เพื่อนเอ่ยแซวกันใหญ่ แต่ไทม์แค่ยิ้มรับเท่านั้น
รถทัวร์มาจอดหน้าคณะของนีออน นีออนกับเพื่อนลงมาจากรถ รุ่นพี่พูดคุยสั่งการอะไรกันสักครู่ก่อนปล่อยให้กลับไปพักกัน หนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเห็นพี่ไทม์มารอก็รีบวิ่งมาหา รูปร่างหน้าตาน้องนีออนน้อยไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมสักเท่าไหร่เลย ที่เห็นได้ชัดคงเป็นส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย สูงถึงหัวไหล่พี่แล้ว นีออนเคยบอกพี่ไทม์ว่าแบบนี้ดีขึ้นมาหน่อย เดินด้วยกันคนเขาจะได้ไม่มองว่านีออนเป็นคนแคระ
“มารับออนเหรอ?”
พอเดินมาถึงที่พี่ยืนรออยู่นีออนก็เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม เห็นยิ้มกว้างมาแต่ไกลท่าทางจะดีใจที่พี่มารอ
“ครับ แล้วนี่กลับได้หรือยังน่ะ?”
ไทม์ยื่นมือไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าจากน้องมาถือให้ เพื่อนใหม่ของนีออนเดินมาสวัสดีไทม์ ไทม์รับไหว้แล้วยิ้มให้
“กลับได้แล้วครับ ป่ะ” นีออนน้อยจับมือพี่ก่อนหันไปบอกลาเพื่อนๆ “กลับแล้วนะ บาย”
“บ๊าบายนีออน แล้วเจอกันนะ”
“อืม เจอกัน”
นีออนยิ้มโบกมือให้เพื่อนก่อนจะพากันแยกย้ายกลับหอพักของตนเอง เพื่อนของนีออนพักอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย แต่บางคนที่พักอยู่ข้างนอกก็มีเหมือนกัน นีออนน้อยคงอยู่ไกลกว่าเพื่อนเพราะที่พักของตนเองอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของพี่ไทม์โน่น พอเพื่อนพากันแยกไปแล้วนีออนก็ออกเดินบ้าง หนุ่มน้อยเงยมองพี่ไทม์แล้วยิ้มตาหยี แกว่งมือพี่ไปมาเวลาเดิน
“กลับไปออนมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย”
คนน้องบอกเสียงรื่นเริง คนพี่ได้แต่อมยิ้ม ทั้งคู่เดินจูงมือกันไปคุยกันไป ถึงส่วนมากจะเป็นนีออนพูดก็เถอะ แต่พี่ไทม์ก็ยังชอบฟัง เวลาน้องพูดไปยิ้มไปมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ก็หัวใจเขามันมองว่าน้องน่ารักไปแล้วนี่นะ ไม่ว่าทำอะไรเขาก็ชอบทั้งนั้นล่ะ
“นีออน”
“หืม?” นีออนเลิกคิ้วมองพี่ ดวงตายังพราวไปด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า เรียกเฉยๆ”
“อะไรอ่า~”
ไทม์ตอบกลับหน้าตาเฉยทำให้นีออนน้อยถึงกับเอ๋อ พอเห็นพี่แอบยิ้มขำก็เขย่าแขนพี่แล้วถาม จนขึ้นรถแท็กซี่มิเตอร์มานีออนยังถามพี่อยู่เลยว่าพี่เรียกทำไม แล้วทำไมเอาแต่ยิ้ม ไม่เห็นเข้าใจเลย
“พวกหนูนี่เป็นพี่น้องที่รักกันดีนะ”
พี่สาวคนขับแท็กซี่พูดยิ้มๆด้วยความเอ็นดูผู้โดยสารหนุ่มน้อยที่ออดอ้อนพี่ นีออนมองหน้าพี่ไทม์ก่อนยิ้มรับคำชมแล้วว่า
“ครับ รักมากด้วยครับ”
ไทม์หยิกแก้มคนช่างพูด พี่คนขับหัวเราะก่อนเอ่ยถามสองหนุ่มว่าจะฟังเพลงกันไหม เพราะพี่เขาเปิดรายการวิทยุที่ไว้สำหรับแจ้งเหตุไม่มีเพลงให้ฟัง นีออนพยักหน้าหงึกหงักพี่เขาเลยเปลี่ยนคลื่นใหม่ รถกำลังติดมากเลยตอนนี้ แต่นีออนไม่รีบ ค่อยๆไปก็ได้ ถึงบ้านเหมือนกันล่ะ
เพราะฉะนั้นบนรถเลยมีแต่เสียงเจื้อยแจ้วของนีออนน้อยกับเสียงหัวเราะหยอกล้อกันของสองหนุ่มแทรกเสียงเพลงที่พี่คนขับแท็กซี่เปิดดังไปตลอดทาง...
http://www.youtube.com/v/018UMWioeW4?version=3&hl=en_US&autoplayTBC
ขอบคุณทุกท่านที่ยังคอยติดตามกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวทยอยบวกให้เน้อ 
ตอนนี้มีบทบรรยายซะเยอะเลยเนาะ จริงๆบทบรรยายมันก็เยอะทุกตอนนั่นล่ะนะ ติดเขียนบทบรรยายเยอะไปแล้วอ่ะ อ่านเองยัง
ตาลาย ฮา
อีก2ตอนก็จบแล้วน้า ที่เคยบอกไว้คือ 30 ตอนจบ แต่ว่าเอาบางตอนมารวมกันแล้วมันเลยเหลือ 29 ตอน มีแต่ตอนยาวๆทั้งนั้น
เลยอ่ะ จัดหน้ากันมึนเลยทีเดียว 
นีออนกับอุ้มน้อยกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ความรู้สึกเหมือนลูกน้อยกำลังจะห่างอกไปไกล ฮะๆ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะ ขอบคุณที่ช่วยกันดูเรื่องคำผิดให้ด้วยค่ะ 
++++++++++
จิ้มบวกกันไปแล้วค่ะ 