จากลา~
ภายในงานทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ผู้คนในงานล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับงานด้านนำเที่ยวทั้งสิ้น
สื่อมวลชลในแขนงที่เกี่ยวข้องก็ถูกเชิญเข้ามาร่วมในงานเปิดตัวครั้งนี้ ภาคกลายเป็นจุดเด่นของงานได้ไม่ยาก
เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้ว หน้าตาและบุคลิคของภาคก็ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างดี
ผมเฝ้ามองทุกอย่างดำเนินผ่านไปตามขั้นตอนที่น้านีกับน้านพวางแผนไว้ .....จนสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
แขกเหรื่อทั้งหลายทยอยกันกลับจนเหลือแต่เพียงคณะผู้จัดงาน และรวมไปถึงบริษัทที่รับดูแลงานอีกด้วย
ทุกฝ่ายเห็นควรว่าจะกลับเสียที ที่เหลือคงจะเป็นหน้าที่ของบริษัทที่รับดูแลเป็นผู้จัดการงานที่เหลือ
เพราะว่าวันนี้เป็นวันเปิดตัวที่เร็วกว่ากำหนดการเปิดดำเนินการจริงถึงสามวันทำการ
เนื่องมาจากฤกษ์ที่ได้มาตรงกับวันนี้พอดี ผมเหลือบมองนาฬิกามันบอกเวลาบ่ายสองโมงเศษๆ เท่านั้น
ภาคเดินตรงเข้ามาหาด้วยเสียหน้าเหนื่อยล้านิดๆ จากการต้องพูดจา และทักทาย แขกเหรื่อที่มาในงาน
ชุดสูทสีขาวขับให้อีกฝ่ายเด่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย การเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครคงจะทำให้ภาคอึดอัดอยู่ไม่น้อย
“เหนื่อยจังเลยอ่ะแพน” ภาคถอดสูทมาพาดไว้ที่แขน ใบหน้าคมชื้นเหงื่อนิด ๆ ผมได้แต่ยิ้มให้กำลังใจ
ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้อีกฝ่ายพร้อมแก้วเครื่องดื่มเย็นฉ่ำพอให้คลายเหนื่อย เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง
พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นน้านีจ้องมองมาที่ผมกับภาคอยู่ก่อนแล้ว ....
อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างห้ามไม่อยู่ ใจผมมันสั่น .....เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ผมหันไปสบตาภาค เพราะรู้ว่าน้านีกับน้านพกำลังตรงดิ่งมาหา สายตาสำรวจชุดที่อีกฝ่ายกำลังสวมใส่
มันดูดีเสียจน...ทำให้ผมอยากจะร้องไห้ออกมา ... ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทุกอย่างดูดีเว้นเสียแต่เนคไทเท่านั้น
ที่ยังเบี้ยวผิดรูปผิดร่างอย่างที่ควรจะเป็น เผลอยื่นมือไปจับด้วยความเคยชินปรับให้ได้องศาที่ถูกต้อง
อีกฝ่ายก็ยิ้มแก้มแทบแตกมาให้ .... โน้มตัวลงมาชิดก่อนจะกระซิบคำพูดเดิมๆ ที่มันซาบซึ้งไปถึงขั้วหัวใจ
“แฟนภาคน่ารักจัง” ภาคกลับไปยืนตรงๆ แบบเดิม รอยยิ้มที่ราวกับทอประกายได้ทุกครั้งนั่น
“....................” ทำเอาผมจับจ้องไม่วางตา อยากจดจำ.... ทุกอย่างที่ยังเป็นของๆ ของผม
“แพน?” ภาคเลิกคิ้วน้อยๆ สีหน้าเหมือนวิตกกับอากัปกิริยาที่ดูนิ่งไปของผม ... ได้แต่แสร้งทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน
“หืม? ” เลิกคิ้วสูงเป็นคำถาม ทั้งที่ความรู้สึกมันจุกไปทั้งอก และเจ็บไปทั้งใจ คล้ายๆ คนหายใจไม่ออก
“ได้เวลาแล้วลูก ภาค แพน” น้านีเรียกเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปยังทิศทางที่รถจอดอยู่ ผมกับภาคสบตากัน
เราไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินตามไปเงียบๆ ก็เท่านั้น รถค่อยๆ ออกตัวไป ...ทะยานสู่ท้องถนน
พร้อมๆ กับผมที่ดูจะหาที่ยืนได้ยากขึ้นทุกที เสตาเหลือบมองบนท้องถนนที่มีรถราเป็นระยะ
พอให้รถได้วิ่งเอื่อยๆ ในเสี้ยวหนึ่งของหัวใจผม.... กำลังภาวนา.....
.
.
.
. ให้เวลายืดไปอีกสักนิด “ก็คงดี”
.
.
มีใครเคยบอกมั้ย ...... ว่าสิ่งที่ “ปรารถนา” กับ “ความจริง” มันมักจะสวนทางกันเสมอ
ทั้งๆ ที่ผมอ้อนวอนขอ ให้เวลามันยืดยาวขึ้นอีกสักเพียงนิดเท่านั้น ... ให้ผมได้มีพื้นที่ยืนอีกสักหน่อย
... ได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ผมรักให้นานอีกชั่วเวลาหนึ่ง ......ก่อนที่จะปล่อยมือจากกันไป......
....โดยไม่มีวันสัมผัสมันได้อีก ล้อรถกลับ ค่อยๆ บดกับพื้นถนน แล้วจอดนิ่งสนิทอย่างนิ่มนวล
ผิดกับหัวใจของผม.....ที่มันดูจะแตกสลายมากขึ้นทุกที หยาดน้ำตามันเริ่มเอ่อคลอ..พร้อมที่จะไหล
หากแต่.....เป็นตัวเองนั่นแหล่ะ ..ที่กัดฟันฝืนสกัดกลั้นมันเอาไว้
ใช่....ใช่แล้ว ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี ภาคจะมีครอบครัวเล็กๆ น่ารักๆ ภาคอาจไม่เคยมองใคร
ไม่เคยเปิดโอกาสนี้ให้กับใคร อาจเพราะยังไม่เคย...เลยไม่รู้ก็ได้
ถึงผมจะรู้ดีและเชื่อมั่นขนาดไหนว่า “ความรัก” ระหว่างเรามันเป็นเรื่องจริง เป็นความรู้สึกจริงๆ จากใจของเราทั้งสองคน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า..... ภาคจะรักใครอีกไม่ได้ คิดได้แค่นี้มือไม้มันก็สั่น
ไม่ใช่....อยากจะปล่อยให้อีกฝ่ายไป แต่เป็นเพราะผมเองไม่มีสิทธิ์จะอยู่ด้วยกันในฐานะ “คนรัก”
ฉะนั้น...จะให้ผมเห็นแก่ตัวรั้งอีกฝ่ายไว้...ให้ไม่มีความสุขไปด้วยกัน อยู่คนเดียว ..เปล่าเปลี่ยวเพียงลำพัง
มันก็คงจะทำไม่ได้หรอก... ถึงมันจะเจ็บ เจ็บแค่ไหน.....ก็ต้อง “ทน” ให้ได้
เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ถึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่าย ที่ยังเรียกชื่อผมอยู่ซ้ำๆ ผมสะดุ้งเล็กๆ
หันไปสบตาภาค ก่อนจะหลุบตาลงต่ำพร้อมกับก้มตัวลงไป ทำทีเป็นหาของที่หล่นพื้น
“แพน.. แพน.. ไปกันได้แล้วครับ” ภาคทำหน้าฉงน เพราะไม่แน่ใจว่าอะไรหล่นไปเมื่อไหร่
เลยยังคงเรียกชื่อผมอยู่อย่างนั้น แค่ได้ยินเสียง....น้ำตาผมมันก็พาลไหลออกมาช้าๆ ไปตามร่องแก้ม
อยากฟัง.... อยากฟัง..... อยากให้เรียกอีกนานๆ นานเท่าที่ผมจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้ แต่ทำไม...ยิ่งรั้ง
ความเจ็บปวดมันทะยานขึ้นสูงจนฉุดไม่อยู่ เมื่อเวลามันเดินมาถึง....เวลาที่ต้องตัดใจจริงๆ
ผมค่อยๆ สูดอากาศหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อผ่อนคลายความกดดันที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ ...
ทรมานเสียจน... ไม่กล้าที่จะเงยหน้าไปสบตาอีกฝ่าย กลัวว่าความอ่อนแอ... จะทำทุกอย่างให้มันพัง
“ภาคไปก่อนนะ เดี๋ยวแพนหาของก่อนแล้วจะตามไป” พยายามประครองน้ำเสียงที่สั่นเครือให้ดูปกติที่สุด
ก้มหน้าก้มตาต่อไป มือปัดป่ายสะเปะสะปะไปตามพื้นรถ สัมผัสชื้นเปียกที่ล่วงหล่นกระทบหลังมือตัวเองเบาๆ
“แพน?” ภาคเรียกเสียงแปร่งๆ ไป คาดว่าคงสงสัยอยู่ละมั้งว่าผมเป็นอะไร ยิ่งภาคใส่ใจผมก็ยิ่งเจ็บ..
ค่อยๆ กลืนก้อนสะอื้นที่มันกระจุกอยู่ที่ลำคอ มือสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากหนักๆ ผ่อนลมหายใจ ตอบกลับอีกฝ่าย
“อือ~ ภาคไปเถอะน้านีเรียก น่าจะคุยเรื่องสำคัญไม่ใช่เหรอ?” ส่งเสียงเหมือนรำคาญ ไม่ได้หันไปมอง
ไม่กล้า...แม้แต่จะสบสายตา ด้วยร่างกาย และหัวใจที่สั่นระริก น้ำตาที่ไหลหยดเอื่อยๆ เพราะสกัดกลั้นไว้
ถ้าหันไปสบตาตอนนี้ กลัวว่าตัวเองจะทนไม่ไหว คงต้องเผลอ...รั้ง.... อีกฝ่ายไม่ให้ไปแน่ๆ
“อืม งั้นรีบตามไปนะครับ”
“อือ~” ผมส่งเสียงตอบรับอีกฝ่ายอยู่ในลำคอ เสียงก้าวท้าวของภาคค่อยๆ ห่างออกไป ผมหลับตาแน่น
ฟังเสียง.... ที่ห่างไปเรื่อยๆ ค่อยๆ จาง บางเบาเสียจน.......สัมผัสมันไม่ได้อีก
มือถูกจิกเข้าหากันเสียจนเจ็บ น้ำตาไหลไม่หยุด ดึงประตูรถให้ปิดลง... ซุกตัวลงกับเบาะหลัง
ปล่อยน้ำตาให้ไหล...... ใจแทบขาด มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ กล่องเล็กๆ สีทอง ที่ถูกห่อด้วยริบบิ้นสีเดียวกัน
จ้องมองของตรงหน้า..... ของขวัญวันหมั้นของภาค ...... ผมยังไม่ได้ให้เลย
.
.
.
จี้รูปหัวใจ.......แทนหัวใจผมที่เคยให้ไว้
......และไม่คิดจะเอาคืน
ได้แต่ขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ สองแขนกอดตัวเองไว้แน่น ดีที่ตรงนี้ไม่มีใคร บรรดาญาติของทั้งสองตระกูล
เข้าไปในบ้าน สถานที่จัดพิธีกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่ไหว....... เหมือนจะแตกสลายไปอยู่ทุกวินาที
ผมเจ็บปวด ด้านในมีเสียงดนตรีเปิดคลอเบาๆ ผมรู้ดีว่าทุกอย่างกำลังเริ่มขึ้น..... ชีวิตใหม่ของภาค
กำลังซ่อนตัว....จากความวุ่นวายภายนอก ไม่อยากรับรู้ หรือแม้แต่ได้ยินเสียง ไม่อยากเห็นภาพบาดตา
ภาพที่ต่างฝ่ายต่างสวมแหวนให้แก่กัน ..... ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล อยู่ตรงนี้เนิ่นนานพอดู
ด้านในคงผ่านพิธีการไปเรียบร้อย ผมเช็คคราบน้ำตาให้หายไป ถึงตาจะแดง หรือจมูกจะแดงสักเท่าไหร่
คงไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว... ตอนนี้มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องแสดงความ “ยินดี” ให้กับพี่ชายที่แสนดีของผม
.
.
.
ผมล้างหน้าล้างตาก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องพิธีการ หน้าตาผมดูดีขึ้นเล็กน้อย หากแต่ริมฝีปากกลับซีดเผือด
แววตาอมทุกข์...ที่ผมไม่อาจห้ามมันได้ ร่างกายที่ยังคงสั่นระริกกลับการเผชิญหน้า... ผมกลัว
ลากขาก้าวไปช้าๆ เดินจนไปถึงห้องๆ นั้น แทบหยุดหายใจ...... กับภาพตรงหน้า ทำไมฟ้าถึงได้กลั่นแกล้งผมขนาดนี้
คนที่ผมรักกำลังยื่นหยิบแหวน ถือมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้มืออีกข้างกอบกุมมือของปานไว้ บรรจงสวมแหวน
ลงบนนิ้วเรียวสวย หญิงสาวยกมือไหว้ พร้อมกับหยิบแหวนอีกวงมาสวมบนนิ้วมืออีกฝ่าย
ไม่รู้น้ำตามาจากไหน ..... มันไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมยกมือขึ้นกุมหน้าอก มันบีบแรงเสียจนผมเจ็บ
ความรู้สึกที่เหมือนมีเข็มนับหมื่นนับพันเล่ม กำลังทิ่มแทง เสียบทะลุไปทั่วทั้งหัวใจจนพรุน ไม่มีเหลือชิ้นดีนั้นเป็นเช่นไร
พึ่งเข้าใจ......ก็วันนี้ จ้องมองอยู่อย่างนั้น ... ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับถูกสาปให้เป็นหิน
ภาคหันหน้ากลับมาในทิศทางที่ผมยืนอยู่ เราสองคนสบตากันด้วยแววตาที่แสนเศร้า
สีหน้าที่ดูตัดพ้อของอีกฝ่าย ทำให้โลกทั้งใบของผมมันเหมือนจะพังทลายลงตรงหน้า
ผมก้มหน้ามองพื้นด้วยความละอาย ทั้งเจ็บปวดและเสียใจ สูดลมหายใจเข้าปอดหนัก ๆ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตา ... น้ำตาหยดแหมะลงกับพื้น
เกลียด......................... ความอ่อนแอของตัวเอง
ค่อยๆ ฝืนยิ้ม ยินดีให้อีกฝ่าย ภาคไม่ได้ยิ้มตอบ ได้แต่เพียงเฝ้ามองสบตากับผม.....อยู่อย่างนั้น
ผมก้มมองดูกล่องของขวัญสีทองที่ยังอยู่ในมือสั่น ๆ ของตัวเอง ค่อยๆไล่เช็ดหยดน้ำตาที่มันไหลออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรง
เก็บมันลงกระเป๋าตามเดิม ให้ตอนนี้คงไม่เหมาะ ยิ่งของที่ผมให้ยิ่งไม่เหมาะที่ใครควรจะรู้ ค่อยๆ ฝืนก้าวเข้าไปช้าๆ
มองทุกอย่างดำเนินของมันต่อไปอย่างเหม่อลอย. ถ้าผมได้เป็นคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น.......... ก็คงดี
"ตังค์!!" เสียงของปานหลุดแทรกเข้ามาในภวัง นั่นทำให้ผมมองไปที่เธอ ก่อนเหลียวมองตามสายตาไปที่ปานกำลังจดจ้อง
ผมเห็นผู้ชายคนนึง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมและปาน เค้ายืนอยู่ตรงที่ประตู สวมเสื้อยืดสีดำกับยีนส์ขาเดป
สีเดียวกัน มันไม่ได้เหมาะที่จะอยู่ในพิธีมงคลเช่นนี้ ไม่เหมือนกับการจะมาร่วมแสดงความยินดี เพราะในที่นี้
มีแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น สายตาของผู้ชายที่ชื่อตังค์จ้องเขม็งไปยังภาคกับปาน ผมสัมผัสได้ลึกๆ
ถึงความไม่ปกติ สายที่มองมาดูเกลียดชัง เครียดแค้น เสียใจ เหมือนๆ พร้อมจะทำลายทุกๆ อย่างที่ขวางหน้า
แววตาที่เจ็บปวดคล้ายจะมีแววตัดพ้ออยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรขาของผมมันก้าวออกไปแบบไม่ทันคิด
อยู่ดีๆ มันก็วิ่งจนสุดกำลัง พร้อมๆ กับผู้ชายคนนั้นที่สาวเท้าก้าวเข้าไปหา เค้ากระชากแขนของปานอย่างแรง
จนอีกฝ่ายต้องลุกตามแรงเหวี่ยง ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกฝ่าย ผม
“ไอ้สารเลวมึงกล้าแย่งเมียกูใช่ไหม? ปึก” ผู้ชายคนนั้นใช้ด้ามปืนตบกระแทกหน้าภาค จนหงายล้มลงไป
เลือดสีแดงสดไหลเยิ้มตามมุมปาก ปืนกระบอกเดิมถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง ......ไม่ใช่ใช้ตบหน้าอย่างคราวที่ผ่านมา
“แกร๊ก แกร๊ก” เสียงเหนี่ยวไกปืนดังขึ้น
“อย่า!!” ปานกรีดเสียงร้องดังลั่น
“... อย่าอยู่เลยมึง.....” ภาพค่อยช้าลง ราวกับเป็นภาพสโลโมชั่น
.
.
“ปัง!!”
ทุกอย่างดับมืดลง........ ผมมองไม่เห็นอะไร นอกเสียจากได้ยินเสียง หลายๆ คนที่ดังโหวกเหวกอยู่รอบตัว
รู้สึกถึงความเย็นแทรกซึมจับขั้วหัวใจ หนาว...... ราวกับอยู่ท่ามกลางหิมะห้อมล้อม ผมรู้สึกสั่นงันงกไปทั้งตัว
“แพน.... อย่...ป็น... ไร...นะ” เสียงภาคที่ดังออกมาขาดๆ หายๆ ผมฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะภาคไม่รู้เรื่องหรือ
ผมหูไม่ดีกันแน่นะ นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงคนร้องไห้ เสียงกรีดร้อง ดังละงม มีใครเป็นอะไรกันนะ?
“อือ~... ภาค แพนห..นาวอ่ะ” ผมกระซิบบอกภาค เพราะร่างกายดูไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน เจ็บหน่วงๆ ที่หน้าท้องด้วย
ภาคดึงผมไปกอดไว้แน่น เหมือนจะมีน้ำอุ่นๆ ไหลมากระทบที่แก้มผม ภาคร้องไห้เหรอ?
“อย่า...เป็...ไรนะแพน อย่า...ป็น....ไร ฮือออ” ผมไล้มือไปตามโครงหน้า สันกรามอย่างเชื่องช้า
ค่อยๆ ไล่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย เสียงใครสักคนตะโกนแว่วๆ เข้ามาในหัว
“ตามรถพยาบาลที ใครก็ได้โทรตามเดี๋ยวนี้” มันดูร้อนรนมาก...อย่างกับจะมีใครตายงั้นแหล่ะ ฮ่าๆๆ
ใครกันนะ ....ที่บาดเจ็บขนาดนั้น แล้วทำไมผมต้องรู้สึกว่า..... อีกไม่นานจะต้องจากภาคไป
ไม่มีวันที่เราจะได้เจอกันอีก เหมือนต้องจากไปในที่ไกลแสนไกล ... มันเป็นความรู้สึกที่แย่จริงๆ
ทรมานเหลือเกิน ภาคยังกอดผมไว้แน่น ....ร้องไห้หนักเสียจน ราวกับจะขาดใจอยู่ตรงนี้
รู้สึกเหมือนใจจะขาดตาม เสียงทุกอย่างค่อยๆ เบาลง จนไม่ยินเสียงอะไรอีก เหมือนๆ กับดวงตาของผม
ที่รู้สึกว่ามันจะหนักอึ้ง จนทนฝืนต่อไปแทบไม่ไหว มีแค่เพียงสัมผัสของโอบกอดของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้
ว่าภาคยังมีอยู่ข้างๆ กัน
“ภาค” ผมลองเรียกอีกฝ่ายอีกครั้ง เรี่ยวแรงเหลือน้อยจนเสียงผมแผ่วเบา ราวกับกระซิบ
“...........” ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา ไม่แน่ใจว่าเพราะผมไม่ได้ยิน หรืออีกฝ่ายไม่ตอบกันแน่
“กอดแน่นๆ” น้ำตาผมมันไหล ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่รู้ตัวเลย ถ้าอีกฝ่ายไม่เช็ดมันผมคงไม่รู้สึก
“..........” ไม่มีเสียงตอบ หากแต่ภาคกระชับกอดผมแน่นขึ้น แสดงว่าเป็นผมเองที่ไม่ได้ยินสินะ
ผมยิ้มขำ... มันตลกเกินไปหล่ะ ชีวิตผมมันตลกจนไม่น่าให้อภัย ผมพยายามยิ้ม ...เหมือนเป็นวาระสุดท้าย
รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้น... ทุกๆ อย่าง กำลังบอกผมว่าเป็นอย่างนั้น ผมบีบที่แขนภาคแน่นๆ
เพราะไม่มีแรงพอ ... ที่จะโอบกอดรอบคออีกฝ่าย
“ฟังนะ..อ ...ย่าร้อง....แพน...อึกๆ.. ไม่ได้ยิน..แ..ล้ว... ฮึกๆ รักนะ” ผมเค้นเสียงบอก
“.....................” ไม่มีเสียงตอบ นอกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ผมขอเดาว่าอีกฝ่ายก็คงบอกรัก
ผมเช่นกัน
“จ..จูบหน่อย” จะเห็นแก่ตัวไปไหม ... ถ้านี่จะเป็นคำขอสุดท้าย ของผม
“...............” ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม หากแต่ริมฝีปากอบอุ่นของภาค ค่อยๆ ทาบทับมาบนริมฝีปากผม
ตัวภาคสั่นน้อยๆ เหมือนๆ กับผม เราแนบริมฝีปากเข้าหากัน มันอบอุ่นและอ่อนโยน ภาคค่อยๆ แทรกลิ้นเข้ามา
ดูดกลืนความหวานเหมือนเช่นที่เคยทำ นุ่มนวล ... เนิ่นนาน เท่าที่สติของผมจะสัมผัสได้
.
.
ก่อนที่ทุกอย่างจะจางหายไป ราวกับความฝัน....