จูบ
สองอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้ไปนอนที่หอพักของอ๋อม เนื่องจากเพื่อนที่รัก ซึ่งก็คือน้องดา มาจับจองพี่พักนั้นไว้เป็นสมบัติ
ของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ไม่รู้ว่าพี่พอร์ชสุดที่รักของเธอหายไปไหน แต่ผมก็ยังคุยกับอ๋อมอยู่เสมอ เจอกันทุกวันที่
มหาลัยตกเย็นผมก็โทรหาน้องตลอด เห็นอ๋อมเล่าว่า ดาคบกับพอร์ชซึ่งเป็นรุ่นน้องผมปีหนึ่ง (ผมอยู่ปีสาม)
มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น พอร์ชตามมาจีบเธอ แต่เห็นว่าดาไม่เล่นด้วย อยู่หลายปีแต่ก็ไม่ละความพยายาม
จนสุดท้ายก็มาเป็นแฟนกันในที่สุด ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากแต่ก็คิดว่าควรรู้อะไรไว้บ้าง...ยิ่งเห็นว่าหน้าตาคนเล่า
มีความสุขที่ได้พูดเรื่องเก่าๆ ก็ยิ่งน่าฟังเข้าไปอีก รอยยิ้มในดวงตาที่สื่อออกมา เห็นแล้วละสายตาไปไม่ได้
ผมชอบมอง... เวลาเห็นใครที่ยิ้มที่ริมฝีปาก และดวงตา รู้สึกว่ามันจริงใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะดวงตาของคนเรา
มันยากที่เราจะเสแสร้ง ถึงบางคนปากจะยิ้มแต่ก็.....นัยตากลับแสดงอารมณ์อีกแบบ ที่น่ากลัวกว่าซุกซ่อนอยู่
ทำไมไม่รู้.....ผมถึงได้รู้สึกว่าอ๋อม “เป็นคนพิเศษ” พิเศษมากๆ สำหรับผม รู้สึกว่าเรายืนอยู่บนพื้นฐานความรู้สึก
อันเดียวกัน เคยเจ็บในแบบเดียวกัน เข้าใจความรู้สึกของการเป็นคนที่ “ไม่ถูกรัก” “ไม่ถูกเลือก” และเราก็เลือก
ที่จะปล่อยมันไป เลือกที่ยืนอยู่ในที่ที่เราควรอยู่โดยที่ไม่เสียอีกฝ่าย เรายังมองเห็น ได้พูดคุย หรือแม้แต่สัมผัส
“เลือก” ที่จะยังมีอีกฝ่ายในชีวิตของเราต่อไป “เลือก” ที่จะยอมรับความสัมพันธ์ในแบบเดิม ๆ
เพื่อ “รักษา” คนๆ นั้นเอาไว้ ใกล้ๆเรา สำหรับ “ต้น” ผมเองก็ยังรู้สึกดีๆ กับน้องเสมอ อยากยืนข้างๆ
แต่... ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ และผมก็เลือกจะเป็นฝ่ายมองดูอยู่ห่างๆ แต่ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย
ต้องการใครสักคนมายืนข้างๆ มันก็ผุดขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งพอได้มาเจอกับอ๋อม คนที่ยืนพื้นอยู่บนความรู้สึก
“แบบเดียวกัน” เจ็บ ร้องไห้ เสียใจ ทรมาน หรือแม้ต้องการไขว่คว้า ที่ผมผ่านมันมาแล้วทั้งนั้น
เลยอดไม่ได้ ที่จะคว้าอีกฝ่ายเอาไว้ หวังลึกๆ ว่าใจเราจะตรงกัน ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ แต่มันรู้สึกผูกพันธ์
เหมือนมีแรงดึงดูดที่ดึงเราทั้งคู่เข้าหา ผม....ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ในวันที่อ๋อมต้องการใครสักคน ถึงตอนนั้น
น้องอาจจะต้องการใครก็ได้ที่เข้ามาช่วยปลอบใจ แต่สุดท้ายตอนนี้..... ผมว่าน้องต้องการผม
คนที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ คอยปลอบยามเสียใจ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะ “รักผม” หรอกนะ
วันนี้ก็เช่นกันผมยืนอยู่ที่ริมระเบียง กดโทรหาปลายสายอย่างที่เคยโทรตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ฮัลโหลคะ ” เสียงหวานตอบกลับมาในสาย ที่ทำเอาผมหลุดยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ครับ พี่รักนะ วันนี้เป็นไงบ้าง” เริ่มต้นด้วยคำถามเดิมๆ เหมือนเช่นวันก่อน แต่กลับไม่เคยเบื่อต่อให้พูดซ้ำสักกี่ครั้ง
“ปกติดีค่ะ พี่รักหล่ะคะ” น้ำเสียงหวานใสถามกลับมา เลยพลอยนึกถึงใบหน้าคนที่ถาม กำลังยิ้มเหมือนกันรึเปล่า
“ครับ ก็ดี .. เหมือนๆ ที่เจอในมหาลัยนั่นแหล่ะ หึหึ” เผลอหลุดขำที่พูดจากวนๆ ใส่อีกฝ่ายไป
“โห...... เล่นแบบนี้นะ งอนอ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ยักวางสายไปสักที
“ขอโทษครับ พี่ล้อเล่นน่ะ ว่าจะแต่จะให้ง้อยังไงน๊า ถึงจะหายงอน ” พูดกลั้วหัวเราะ พอนึกถึงหน้าอีกฝ่าย
ก็ยิ่งทำให้ยิ้มมากขึ้นไปอีก .... ความสุขจางๆ ลอยอยู่รอบๆ ตัว
“ก็....พาไปทานข้าวกับเลี้ยงหนังก็พอค่ะ อิอิ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ...ของอีกฝ่าย ทำไมถึงลงตัวกับสิ่งที่ผมหวังไว้อยู่
“ก็....” เว้นช่วงไว้ให้อีกฝ่ายได้ลุ้น
“นะนะน๊า” ถึงกับออกอาการอ้อนเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเพราะอยากไปกับผม หรือเห็นแก่ของฟรีกันแน่
หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อีกที นึกภาพลูกแมวนัยตาบ๊องแบ๊วพยายามทำหน้าออดอ้อน
“งั้น ครึ่งชั่วโมงเจอกันนะครับ”
“ค่ะๆ เดี๋ยวอ๋อมเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว หิวอ่ะ พี่รักรีบมาน๊า” อ้อนอีกแล้ว ถ้าเป็นแฟนผมคงดึงมากดจมูกกับแก้มนุ่ม
แต่ตอนนี้ได้แค่มอง กับจิ้นเองตลอด หลังจากวันที่ลากันหน้าประตู ก็แทบไม่ได้สัมผัสตัวอีกฝ่ายอีก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยกรุ่นอยู่ทั่วตัวอ๋อมยังตรึงอยู่ในความทรงจำ ตอนกดจูบที่หน้าผาก... ถึงได้ไม่อยากจะละออก
“แล้วเพื่อนเราเค้าไม่มานอนเป็นเพื่อนเหรอวันนี้” ถามๆ ไว้ก่อน เผื่อวันนี้จะได้ไปนั่งเฝ้า
“มาค่ะ... ” แค่ได้ยินก็แอบเสียดายนิดๆ ขึ้นมา อยากกลับไปอยู่ตรงนั้นบ้าง .....ใจจะขาด
“แต่ไม่เป็นไร ดามีกุญแจห้องค่ะ อ๋อมไม่อยู่ก็เข้าห้องได้”
“อ้าวเหรอ... แล้วเมื่อก่อนหล่ะ?”
“ค่ะ....ก็มี”
“อืม.... เปลี่ยนชุดเถอะ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนแล้วก็จะออกไปเหมือนกัน”
“ค่ะ ๆ รีบมานะ...... อ๋อมหิว” อ้อนๆ จนผมนึกหมั่นเขี้ยวอยากจะฟัดเจ้าตัวขึ้นมาจริงๆ ซะให้ได้
“ครับ” กดวางสายเสร็จ ก็รีบเปลี่ยนชุดไปหาอีกฝ่าย กลัวลูกแมวจะหิวจนเป็นลมไปเสียก่อน
.
.
“ก็อก ๆ ” สักพักประตูก็เปิดออก น้องยิ้มหน้าบาน
“เสร็จรึยังครับ” น้องพยักหน้ารับ
“เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวอ๋อมขอหยิบกระเป๋าก่อน” อีกฝ่ายเดินเข้าไปหยิบแก้วนมบนโต๊ะหน้าโซฟาไปเก็บ ท่าจะหิวจริง
ก่อนจะไปหยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกมา ปิดประตูห้องแล้วล็อคอย่างแน่นหนาก่อนจะหันมาพยักหน้า
เป็นเชิงบอกว่าเรียบร้อยแล้ว
“ท่าจะหิวมากนะเราอ่ะ” ผมหันไปแซวขณะที่เดินไปที่รถ
“ก็อ๋อมบอกแล้วว่าอ๋อมหิวอ่ะ” น้องหันมาว่างอนๆ
“หิว” แน่ะ ไม่วายบ่นลอยๆ อีกรอบ ผมถึงกลับหลุดขำ ลูกแมวที่เอาแต่ใจ
“คร๊าบครับ เดี๋ยวพี่จะรีบอย่างด่วนเลยจ๊ะ ว่าแต่อ๋อมอยากทานอะไรหืม” หันไปเลิกคิ้วถาม ก็เห็นอีกฝ่ายทำหน้า
ครุ่นคิด คิ้วขมวดน้อยๆ อย่างน่ารัก นิ้วเรียวแตะที่ปากเบาๆ แล้วก็นิ้วตัวเองเข้าไปงับ ผมเลยขำสุดตัว
ก่อนจะขยี้หัวอีกฝ่ายเบาๆ อย่างหยอกเอิน น้องก็ยังทำหน้ามุ่ยเหมือนๆ ไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ห้าม
“อะไรก็ได้ค่ะ ที่ได้กินเร็ว ๆอ่ะ ” ลูกแมวว่า แล้วหันมาบอกผม ผมก็ทำได้แค่ยิ้มกว้าง
“แล้วเราจะทำท่าคิดซะนานไปทำไมเนี่ย” หันไปแซวอีกฝ่าย น้องก็ยิ้มเขินๆ แล้วหันมาต่อว่าผม
“พี่รักอ่ะ ... ก็อ๋อมหิวอ่ะ มันเลยคิดไม่ออกนี่ ก็พี่รักแหล่ะเป็นคนพาอ๋อมไปพี่รักแหล่ะต้องคิด” อีกฝ่ายโบ้ยมาเต็มที่
ผมก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา น้องคงหมั่นเขี้ยวถึงได้ฟาดตุ๊บมาที่ไหล่ผม พูดจบก็เดินมาถึงรถพอดี
ผมขับออกไปเลือกห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ห่างมาก ที่สำคัญต้องรถไม่ติดมีที่จอด เราเลือกทานอาหารไทยร้านหนึ่ง
ทานเสร็จก็เดินขึ้นชั้นบนสุดของห้าง ดูเรื่อง และรอบของหนังที่อยากดู เราได้หนังรอบสามทุ่มนิดๆ พรุ่งนี้วันหยุด
จะกลับดึกหน่อยคงไม่เป็นไร
ไม่น่าเชื่อว่าเห็นหวานแบบนี้ อีกฝ่ายจะชอบหนังผี ออกอาการแบบฉุดไม่อยู่ แค่เราเดินไปถึงป้ายแสดงโปรแกรม
และรอบภาพยนตร์ที่จะฉาย แทบไม่ต้องคิดอ๋อมดูโปรแกรมเสร็จก้มมองนาฬิกา แล้วก็หันมาบอกผมถึงเรื่องที่เลือก
โดยไม่หันมาถามความคิดเห็นที่มาดูด้วย แถมยังเป็นเจ้ามืออย่างผมสักนิด
“ดูเรื่องนี้นะคะ” นิ้วเรียวชี้เสร็จ ผมถึงกับเลิกคิ้วสูงหันไปมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ไอ้แมวน้อย
ก็ออกอาการออดอ้อนอย่างถึงที่สุด มือสองข้างจับหมับเข้าที่แขนผมข้างหนึ่งอย่างลืมความเคอะเขิน เขย่ามันไปมา
“นะนะน๊า ไม่มีใครยอมดูกับอ๋อมเลยอ่ะ เพื่อนอ๋อมไม่มีใครชอบหนังผีเลย นะพี่รักนะ” ผมถึงกับหลุดยิ้ม
(ที่กลั้นมานานตั้งแต่เขย่าแขนแล้ว)
“อืม ก็ได้ครับพี่ดูได้ทุกแนวอยู่แล้ว” พูดจบ อีกฝ่ายก็เอาหัวทุยๆ มาถูไถไหล่ผมเป็นว่าเล่น
“พี่รักอ่ะ ใจดีที่สุดเลย” ไอ้แมวน้อยยิ้มกว้าง จนผมอยากจะเหมาโรงภาพยนต์ต่ออีกสักสิบเรื่องเพื่อให้ไอ้แมวน้อยตัวนี้
อ้อนผมแบบนี้ทั้งวัน
“ไม่ใช่แค่ใจดีนะ หล่อด้วยครับ” ผมหันไปฉีกยิ้มกว้าง ส่วนอีกฝ่ายแสร้งหันไปด้านข้างแต่จงใจให้ผมเห็นเล็กน้อย
เบ้หน้า แลบลิ้นนิดๆ ได้ยินเสียง “แหวะ” เบาๆ ออกมาจากปาก ก่อนจะหันหน้ากลับมายิ้มกว้างเอาใจอย่างประจบ
ก็นะ.....ผมเป็นเจ้ามือนี่นา ต้องออดอ้อนเอาใจกันหน่อย ว่าแล้วเราก็เดินไปที่เค้าเตอร์ซื้อตั๋ว เลือกที่นั่ง
ซื้อป็อปคอร์น และเครื่องดื่ม แล้วตรงไปยังโรงภาพยนต์ทันที ไม่รู้เผลอไปจับมือเรียวของอีกฝ่ายมากอบกุมไว้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ อบอุ่น.... จนไม่อยากปล่อย ดูท่าอีกฝ่ายก็คงยังไม่รู้ตัว ... ผมก็เลยเนียนจับมันไว้อย่างนั้น
พูดคุยกันไปตลอดจนเข้าโรงหนัง ค่อยๆ เบี่ยงตัว เดินตรงไปยังเก้าอี้ตรงกลาง มีคนบางส่วนเข้ามาก่อนแล้ว
ขณะที่มือก็ยังกอบกุมมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย จนถึงที่นั่งที่ปรากฎอยู่บนตั๋ว... ถึงได้ละมือออกอย่างเสียดาย
เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น เราก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ภาพพระเจ้าอยู่หัวทรงทรงงานภาพแล้วภาพเล่า
ผ่านไป แต่ผมกลับลอบมองแมวน้อยข้างๆ ที่ยืนตรงดวงตาจ้องแป๋วมองภาพเบื้องหน้าไม่ได้รู้สักนิดว่าถูกแอบมอง
ผมไล้สายตาไปทั้งโครงหน้าของอีกฝ่าย
อยากจูบ..... เสียงในหัวดังขึ้นเบาๆ พอรู้สึกตัวถึงกลับเผลอกลืนน้ำลายลงคอหนักๆ ที่ตัวเองเริ่มคิดอะไร
ไปไกลกว่าที่ควร เบนสายตากลับมามองภาพเบื้องหน้าจนจบเพลง แล้วค่อยนั่งลง
ภาพยนตร์ตรงหน้าเริ่มดำเนินเรื่อง ตั้งแต่ตัวละครที่เป็นนางเอก หรือว่าที่ผีในอนาคตยังมีชีวิตอยู่ ใช้ชีวิตในรั้ว
มหาลัยตามปกติเหมือนนิสิตทั่วไป ต่างตรงที่เธอสวยจนเป็นที่หมายปองของใครหลายคน และแน่นอน
ความริษยาที่มาจากผู้หญิงรอบกาย ก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายถึงจุดจบ .... แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นฆาตรกร
ตายไม่รู้ตัว....... วิญญาณยังคงวนเวียนกลับมาที่เดิม ๆ เดินวนไปเวียนมา เหมือนตอนที่ยังมีชีวิต
กว่าจะรู้ว่าตัวเองตายก็ผ่านไปหลายวัน ผมไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร ในเมื่อขณะที่ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา
แต่ดันไปพบคนที่หน้าละม้ายคล้ายคลึงกันจนแทบจะเป็นคนเดียวกันนอนนิ่งอยู่กับพื้น เลือดสีแดงฉาน
ไหลออกจากริมฝีปากสีซีดเผือด สีม่วงช้ำขึ้นเป็นจ้ำบ้าง และรอยขนาดใหญ่บ้าง แผลฉกรรจ์อยู่ตรงหน้าท้อง
มีมีดปักคาอยู่อย่างนั้น ชุดนักศึกษาสีขาวฉ่ำนองไปด้วยเลือดที่ไหลอาบ คิดว่าฝาแฝด ....อีกฝ่ายร้องไห้
กดมือถือหาแม่เพื่อจะสอบถามว่าแม่มีลูกอีกคนทำไมไม่บอก น้องหรือพี่ของเธอกำลังตายอย่างอนาจในซอยเปลี่ยว
มาถึงตรงนี้อ๋อมกุมมือผมไว้แน่น.... หัวใจผมพองโตจนฉุดไม่อยู่คิดไปอีกว่าอีกฝ่ายมีใจให้ แต่พอหันไปตรงหน้าจอ
ความคิดนั้นก็เปลี่ยน จริงๆ อีกฝ่ายคงแค่หวาดกลับกับหนังตรงหน้า หลุดยิ้มนิดๆ เพราะชอบคิดเข้าข้างตัวเองซะจริง
จะว่าไปแล้วเหมือนโรคจิตอ่อนๆ หนังเค้ากำลังฆาตกรรมตัวเองดันยิ้มขำเสียได้ คิดได้ดังนั้นเลยหุบปากจ้องหนังต่อ
หญิงสาวคนนั้นกดมือถือครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ยินแต่เสียงรอสาย .... หากแต่ไม่มีคนรับ น้ำเสียงกรีดร้องด้วยความเสียใจ
ตรงไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง ใบหน้าที่ไม่ตรงจากตัวเองสักเท่าไหร่จนทำให้ผงะ แต่ก็ต้องทำเข้มแข็ง มือวาดคว้าไป
ที่ร่างแฝดอีกคน แต่มันกลับว่างเปล่า ราวกับกำลังคว้ามือไปในอากาศ ความตกตลึงแล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจ
เธอลุกขึ้นก้าวถอยจากพงหญ้าช้าๆ สีหน้าหวาดวิตก และไม่ทันระวังรถยนต์ที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วก็ปะทะร่างของเธอ
ที่ยืนอยู่ หญิงสาวกรีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ สายตาจดจ้องรถยนต์ตรงหน้าด้วยหวังจะให้อีกฝ่ายหักเลี้ยว
หรือชะลอความเร็ว แต่ไม่มีเลย ..... ที่น่าแปลกใจ.......คือรถคนนั้นขับทะลุผ่านร่างกายเธอไปอย่างง่ายดาย
ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือรวดร้าวแต่ประการใด มีแต่ความอึ้งตะลึงงัน มองไปยังศพตรงพงหญ้าที่มาเหนือเข่า
ภาพต่างๆ ก่อนเหตุการณ์ที่จะทำให้เธอมาอยู่ตรงนี้ฉายวนรวดเร็วราวกับกรอเทป เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
“อย่า กรีดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องของตัวเอง จากนั้นมหกรรมการาแก้แค้นจึงได้เริ่มต้นขึ้น
.
.
หลอดไฟในโรงหนังถูกเปิดขึ้นอีกครั้งภาพยนตร์ฉายจบสิ้น เจ้าหน้าที่ประกาศทางออกจากทางภาพยนตร์
ผมกับอ๋อมเดินตามคนอื่นออกจากโรง คว้ามืออีกฝ่ายที่ยังมึนๆ และอินกับภาพยนตร์เมื่อสักครู่อยู่มากอบกุม
ก้มมองนาฬิกาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ต้องเดินไปตามทางพิเศษ เพราะส่วนของศูนย์การค้าได้ปิดให้บริการแล้ว
เราเดินจูงมือกันจนมาถึงรถ เลยต้องละมือออก ... เหมือนอีกฝ่ายจะพึ่งรู้ตัว ได้แต่ทำหน้าเป็นแมวงง
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินขึ้นรถมาโดยดี ก่อนที่ผมจะขับออกมา
ระหว่างทางอีกฝ่ายก็จ้อเรื่องที่ดูกันเมื่อครู่ถึงจุดนั้น ที่น้องคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้สร้างกับพลิกเรื่องให้เป็นอีกแบบ
ทั้งตื่น เต้น ทั้งสงสัย สรุปฆาตกรคือเพื่อนสนิท ที่รักกันมากที่สุด เพราะผู้ชายที่ตัวเองแอบรักคนแล้วคนเล่า
มาตกหลุมรักเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่ร่ำไป จนความคิดที่ว่า ถ้าไม่มีมัน ชีวิตรักของตัวเองจะสมหวังนั่นเอง
เมื่อมาถึงที่หอพักผมก็เดินไปส่งแมวน้อยที่ห้อง ดูเวลาจะเที่ยงคืนครึ่งแล้วดันปวดฉี่ขึ้นมากระทันหัน
เลยต้องรบกวนอีกฝ่าย จริงๆ แล้วก็ยังไม่อยากกลับ พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็ถามน้องว่าง่วงรึยัง
อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาว่า กลัว ฮ่าๆๆๆ ทำเอาผมขำยกใหญ่ตอนเลือกเรื่องไม่มีลังเล พอดูจบทั้งกลัว
ทั้งระแวง ทิ้งตัวลงข้างอีกฝ่ายบนโซฟาตัวยาว น้องหยิบขนมขบเคี้ยวมาวางเปิดทีวีเบาๆ
“ขอบคุณนะคะพี่รัก อ๋อมทั้งอิ่มทั้งได้ดูหนังฟรี” แมวน้อยยิ้มร่า
“ไม่เป็นไรครับ สนุกดีพี่ไม่ได้ดูหนังนานแล้ว” พูดจบก็หันไปมองอีกฝ่ายนิด ๆ ก่อนจะจ้องทีวีต่อ
“อ้าว ทำไมหล่ะคะ” แมวน้อยทำหน้าสงสัย
“ไม่มีเพื่อนดูนะ พี่ไม่ชอบดูหนังคนเดียว”
“คิคิ ดีเลยอ๋อมก็ขาดคนเลี้ยงหนัง” อีกฝ่ายว่าพยายามทำหน้าเจ้าเล่ห์
เพราะมัวแต่หันไปมองอีกฝ่าย มือที่ยื่นไปหยิบขนมจากจาน เลยชนจานคว่ำตกลงพรมที่พื้น
ยื่นมือไปเก็บก็พบมืออีกฝ่ายที่ยื่นมาเร็วพอกัน มันสัมผัสกันแผ่วเบา เราเลยเงยหน้าขึ้นมามองกัน
แต่ด้วยความที่มันใกล้เกินไป .... จนทำให้หัวใจผมเต้นรัว ระห่างแค่ฝ่ามือ ใกล้เสียจน ....ต้านทานเสียงหัวใจ
ตัวเองไม่ไหว ค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหาริมฝีปากสวยได้รูป ราวกับอีกฝ่ายต้านทานสายตาที่เว้าวอนของผมไม่ไหว
นัยตากลมสวยค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า เหมือนหยุดเวลาไว้กับที่ ผมประทับจูบแผ่วเบาที่มุมปาก
ไม่กล้าพอ.....ที่จะจุมพิศริมฝีปากสีสด แค่นี้หัวใจก็พองโตอย่างถึงที่สุด ประทับไว้เนิ่นนาน
ก่อนจะสะดุ้งผละออกจากกันเพราะเสียงตวาด
“ทำอะไรกันน่ะ”