~ คิดถึง
ผมถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ จนไอ้ไม้มันส่ายหน้าเซ็งๆ ส่วนไอ้ต้นนอนหมอบราบกับโต๊ะอย่างไม่สนใจใคร
เมื่อคืนท่าหนัก.... กลิ่นละมุดลอยมากระทบจมูกนิดๆ คอเสื้อที่ล่นเผยให้เห็นจ้ำสีแดงช้ำ ไม่บอกก็รู้สินะว่ารอยอะไร
เมื่อคืนไม่รู้ว่าพวกมันนึกครึ้มอะไรไม่ทราบนัดเลี้ยงสายรอบที่แปดล้านได้แล้วมั้ง แอบดีใจที่ตัวเองไม่อยู่
จะให้หาเรื่องปฏิเสธพวกมัน... สู้ให้ผมต่อยปากมันจนสลบอันนี้น่าจะง่ายกว่า ยิ่งไอ้ไม้ที่แม่งสรรหาข้ออ้าง
ได้จากทุกมุมโลก ผมคงโดนลากไปร่วมด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่วันนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติไม่ใช่น้อย
เพราะปกติออกไปดริ๊งกันที่ไรต้องเป็นไอ้ไม้ไม่ใช่เหรอว่ะ ที่ต้องมอบกับโต๊ะเยี่ยงลูกหมา แล้วมีไอ้ต้นนั่งตั้งใจเรียน
จนยิ๊กๆ ยิ๊กๆ ไว้ให้เพื่อนได้อ่าน แต่วันนี้ทำไมมันสลับหน้าที่กันซะงั้น ไม่อยากจะเชื่อ....
คงจะโดนจัดหนักล่ะสิ หึหึ ถึงอาทิตย์หน้าจะได้เวลาสอบปลายภาคแล้วก็ตามที แต่ทำไมผมเรียนอะไร
ก็ไม่เข้าหัวสักนิด อาจจะเป็นเพราะ
“เป็นห่วงคนไกล... หนาวบ้างไหมคนดี หลับให้สบายนะคืนนี้ ... บางที.....จะไปห่มผ้าให้......ในความฝัน”
“ปึก!! เชี่ย” ผมสบถเบาๆ พร้อมกับหัวที่ทิ่มจนแทบจะกระแทกพื้นโต๊ะ แค่เผลอละเมอเพ้อพกถึงเมียเล็กน้อย
แม่งถึงกับทำร้ายกันเลยทีเดียว หันไปมองไอ้ตัวการ ซึ่งมันมองหน้าหาเรื่องผมรออยู่ก่อนแล้ว
โดยไม่สำนึกผิดสักกะติ๊ด เก้าอี้ตัวถัดไปเห็นอ๋อมนั่งหัวเราะคิกๆ อย่างอารมณ์ดีอยู่ หลังเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“เห่าเชี่ยไรครับเพื่อน กูฟังจารย์ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้อยู่ระหว่างตั้งใจเรียน ถ้ากูจดที่จารย์สอนไม่รู้เรื่อง
หรือเรียนไม่เข้าใจ หายนะจะมาหากู มึงเห็นเมียกูที่มันหมอบอยู่นี่มั้ย มันสั่งกูไว้ว่าเป็นเพราะกู
ทำให้วันนี้แม่งเรียนไม่ไหว และถ้ากูจดเลคเชอร์แบบอ่านไม่ออก อธิบายแม่งไม่เข้าใจ กูจะโดนตีน โอเค๊”
มันเอียงหน้านิดๆ เลิกคิ้วสูงๆ กวนตีนสุดๆ พร้อมเน้นเสียงคำสุดท้าย พร้อมปลายเท้ากระดิกนิด ๆ
ทำเอาผมอมยิ้มขำแบบทนไม่ไหว ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด
“เออ!! สัดที่แท้ก็กลัวเมีย” ผมยักคิ้วยิกๆ ไปให้ไอ้ไม้ มันแสร้งทำตาขวางเล็กน้อยก็หลุดยิ้มมุมปาก
“หรือมึงไม่?” ไอ้ห่าย้อนกูทีนี่ เถียงไม่ออกเลยทีเดียว ผมอมยิ้มจนปากฉีกก่อนจะทำปากดีเถียงต่อ
“ไม่เคยกลัวว่ะ เพราะกูเก็บไว้เทิดทูนบูชา ฮ่าๆๆๆ” อารมณ์ดีขึ้นมานิด ๆ พอได้พูดถึงคนที่คิดถึง
“สัด... ว่าแต่กู ฮ่าๆๆ” มันส่ายหน้าขำ ๆ ก่อนจะหันไปสนใจ อาจารย์ที่กำลังสอนตรงหน้า
.
.
ผมก้มหน้ามองหนังสือก่อนจะเริ่มเลคเชอร์ในสิ่งที่อาจารย์สอนบ้าง ผมเองก็มีจุดมุ่งหมายไม่มีเวลาที่จะถอยหลัง
เวลาที่เหลือผมอยากก้าวไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเพื่อดูแลใครคนนั้น คนที่ผม “รักสุดหัวใจ”
.
.
คาบสุดท้ายของวันทุกคนเร่งรีบเก็บข้าวของ ไอ้ต้นที่นอนหมอบมาตั้งแต่คาบแรกมาตื่นตอนครึ่งบ่าย
แต่ลักษณะท่าทางของมันทำให้รู้แค่ว่ามันยังมีชีวิตอยู่แค่นั้น ส่วนสติคงต้องฝากไว้กับไอ้ไม้
“พวกกูกลับก่อนนะเว่ย แม่งท่าจะไม่ไหวแล้ว” มันทำปากบุ้ยบ่ายไปทางไอ้ต้น ซึ่งไอ้ต้นเองก็ยังคงทำหน้า
มึนเบลอได้แบบเสมอต้นเสมอปลาย
“เออ เจอกันพรุ่งนี้เว่ย” เผลออมยิ้มนิดๆ เมื่อไอ้ไม้แอบเนียนทำทีเป็นห่วงเป็นใย แล้วสอดมือโอบเอวอีกฝ่าย
ก่อนจะหันหน้ามาหยักยิ้มพร้อมตีคิ้วอีกสองขยักให้กับผม ซึ่งถ้าเป็นปกติ มันคงโดนไอ้ต้นตบหัวหลุดไปแล้ว
แต่นี่เพราะไอ้ต้นมันเบลอมันถึงยอมให้ไอ้ไม้ลวนลามตัวเองได้ แถมยังเอาแขนตัวเองไปโอบรอบคออีกฝ่ายอีกด้วยสิ
เผลอมองพวกมันสองคนเดินไปจนกระทั่งเดินเลี้ยวหายลงบันไดไป แอบอิจฉาพวกมันทั้งสองคน
ที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ต้องการ มีกันและกันตลอดเวลา
ผมเอง...ก็อยากให้แพนอยู่ข้างๆ ผมตรงนี้ แค่น้องอยู่ข้างๆ พลังมหาศาลมันจะถูกส่งมาที่ผม
ต่อให้เรื่องราวที่ต้องเจอจะหนักหนาแค่ไหน .... ผมก็สู้ไหว หนึ่งเดือนแล้วที่ต้องกลับมาเรียน
โดยไม่มีโอกาสเจอหน้าแพนเลย ทั้งๆ ที่อยากจะคอยดูแลอีกฝ่ายให้ดีที่สุด
หลังจากที่น้องฟื้น และทั้งสองครอบครัวยอมรับเรื่องของเราได้แล้ว ผมได้อยู่กับน้องเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น
ไอ้ตัวเล็กก็เจ้ากี้เจ้าการขับไล่ไสส่งให้ผมกลับมาเรียน แบบเปล่าเปลี่ยวเอกา ถึงจะได้ยินเสียงทุกวัน
แต่ก็นะ.... มันจะเหมือนได้กอดทุกวันได้ยังไงเล่า อืม....มีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้เล่าสินะ ....เรื่องของคนคู่นั้น
ป่าน.... กับตังค์ ..... ถ้าจะบอกว่าสองคนนั้นรักกันมาก แต่คนหนึ่งอยากจากทั้งที่อีกคนอยากอยู่
สงสัยรึเปล่าทำไม แม้แต่เรื่องผมกับป่านเอง การที่เราทั้งคู่ถึงถูกจับให้หมั้นโดยที่ตัวผมเองไม่เคยรู้ระแคะระคาย
กับเรื่องนี้มาก่อน แล้วทำไมป่านถึงยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทำไมครอบครัวของป่านยอมรับผม ทั้งๆ ที่ผมไม่เคย
แสดงตัวรับรู้ หรือแม้แต่ตอบรับกับการเป็นคู่หมั้นครั้งนี้ แม้แต่การที่ผมจะแสดงความรักต่อป่านสักครั้งก็ไม่มี
ผมกับป่านเรารู้จักกันผ่านๆ ไม่ได้สนิทชิดเชื้อพอจะรู้นิสัยใจคอ แต่เท่าที่รู้มาน้องก็เป็นเด็กนิสัยดีน่าคบหาคนหนึ่ง
เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ มีหน้ามีตาทางสังคม ส่วนตังค์เป็นลูกชายนักการเมืองท้องถิ่น
ที่ขึ้นชื่อลือชา ชอบซิ่ง แว๊น ซ่าส์ ต่อยตี คดียาวเป็นหางว่าวท่าจะสาวเรื่องราวมาไม่หมด ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า
ทั้งคู่มาบรรจบกันได้ยังไง รู้แต่ว่าทั้งคู่คบหากันในฐานะคนรักได้หลายปีดีดัก นานพอ...ที่จะทำให้ตังค์คิดว่า
อยากจะใช้ชีวิตกับป่าน ก็คงรักป่านมาก.... ในวันที่ตังค์ตัดสินใจขอป่านแต่งงาน เรื่องมันน่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหม
ถ้าคำตอบของป่าน.....จะไม่ใช่การปฏิเสธ และขอยุติความสัมพันธ์ให้จบลงแค่นั้น
และก็แน่นอนว่าตังค์ไม่ยอม เข้ามาระรานชีวิตของเธอ ผู้ชายทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ล้วน โดนทำร้าย
ป่านจึงหันมาสารภาพกับครอบครัว ซึ่งไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ถึงป่านจะรักตังค์.... แต่ป่าน
ก็ไม่ต้องการจะใช้ชีวิตแบบนั้น แบบที่ตังค์ทำอยู่เหมือนคนที่ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าหาความมืด อบายมุข จมดิ่ง....
กับเส้นทางที่ดูเลวร้ายขึ้นทุกที ถึงจะขอร้องหรือห้ามปรามสักเท่าไหร่... คำตอบที่ได้ก็แค่ ....
“นี่มันชีวิตตังค์ป่านไม่เกี่ยว” .. สุดท้ายลุงคณิตกับป้าระดาเลยมาปรึกษาหาทางออกกับพ่อแม่ผม
ทุกคนลงความเห็นว่าถ้าป่านแต่งงานเรื่องคงจบ ... รวมทั้งผู้ใหญ่ของทั้งทางผมและป่านก็ตั้งใจจะให้เรา
ทั้งสองฝ่ายเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว เรื่องนี้เลยถูกดำเนินการโดยการยินยอมทั้งสองฝ่าย
ถึงผมจะเสียใจนิดๆ ที่แพนเองก็ร่วมมือด้วย แต่ผมรู้ว่าน้องก็เจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแสนสาหัส
ทั้งทีท่าและแววตาที่เจ็บปวดนั่น... ผมเข้าใจแล้ว การที่เราต้องจัดเตรียมงานหมั้นให้กับคนที่เรารัก ทั้งๆ ที่รู้
อยู่เต็มอกโดยไม่มีทางขัดขืน ต้องแสร้งทำเป็นยิ้มทั้งที่ในใจแตกสลาย ทุกๆ อย่างที่ทำเหมือนมีเข็มเป็นพันเล่ม
กำลังทิ่มตำหัวใจ ทั้งๆ ที่รู้... แต่ก็ยังยินดี ที่จะเดินเข้าหามันเล่มแล้วเล่มเล่า ความโกรธและน้อยใจของผม
มันละลายหายไปทันทีเมื่อเห็นแพนถูกยิง และล้มลงอยู่ตรงหน้า ในใจได้แต่ภาวนาขอให้น้องมีชีวิตรอดมาก็แค่นั้น
เมื่อมันดันจบแบบที่คาดไม่ถึง..... ป่านโดนตังค์จับตัวไป หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน.... ครอบครัวป่านและตังค์
ควานหาตัวกันให้ควัก.... แต่เชื่อไหมไม่มีใครหาเจอ เวลาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตังค์กับป่านก็มาปรากฎตัว
ที่บ้านของป่าน และมาคราวนี้พ่วงพ่อของตังค์ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาด้วย ท่านเป็นคนที่มีชื่อเสียงในทางที่ดี
ยกเว้นเรื่องลูกชาย เห็นว่าท่านเองยอมคุกเข่าพร้อมกับลูกชายขออภัยกับทางบ้านของป่าน และครอบครัวผม
ยินดีให้ชดใช้ให้ทุกอย่าง และยินดีจะให้ลูกนั้นรับโทษตามที่ได้กระทำผิด นี่แหล่ะคือความรักในฐานะคนเป็นพ่อ
ยอมเสียศักดิ์ศรีได้ทุกอย่าง เพื่อให้ลูก ตังค์กับป่านสารภาพว่าทั้งคู่ใช้เวลาในการปรับความเข้าใจ
ตังค์ยอมเลิกทุกอย่าง จะปรับปรุงตัวเองใหม่ให้เป็นคนดี ตั้งใจเรียนให้จบเพื่อจะสร้างครอบครัวตัวเองให้ดีขึ้น
ป่านเองก็ยินดีจะใช้ชีวิตร่วมกับตังค์ เพราะยังไงซะความรัก.... มันก็มักจะชนะทุกอย่าง
เรื่องของตังค์กับป่านมันจบลงแค่นั้นแหล่ะ สุดท้ายแพนไม่ได้เอาเรื่อง แม้ว่าผมอยากจะให้ดำเนินคดี
แต่น้องขอร้องไว้ให้ช่วยเห็นแก่ความรักของตังค์ที่พยายามต่อสู้ และทำทุกอย่าง
ขณะที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ด้วยซ้ำไป ต้องขอบคุณเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำที่ทำให้เราได้รักกันแบบนี้
ผมเงียบทันทีหลังจากฟังประโยคนั้นจบลง ถ้าเป็นผมหล่ะ ถ้าผมอยู่ในสถานะแบบตังค์
ผมจะกล้าพอลุกขึ้นมาต่อสู้ขนาดตังค์รึเปล่า.จะโกรธเกลียดใครคนนั้นจนแทบอยาก
จะฆ่ามันให้ตายไปรึเปล่า. จะทำอะไรได้ไหม หรือแค่ยืนมองมันเงียบๆ ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวกันนะ.
สุดท้ายก็ยอมจำนนให้ต่อเหตุผลของอีกฝ่าย อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เมื่อคำว่า "รัก"
มันมีเหตุผลเหนือคำตอบใด ก็เพราะคำว่ารักไม่ใช่เหรอผมถึงมายืนอยู่ตรงนี้ และยินดี
ที่จะทำทุกอย่างเพื่ออีกฝ่ายเช่นกัน ผมถอนหายใจยาวเหยียด เมื่อความรู้สึกว่าคิดถึงอีกฝ่าย
มันทวีความรุนแรงยิ่งกว่าทุกวันที่ผ่านมา ผมต้องการมากกว่าแค่เสียงที่ส่งผ่านเครื่องมือสื่อสาร
แต่ผมต้องการสัมผัสจากคนรัก อยากให้น้องอยู่ตรงนี้ คิดถึงจนไม่กล้าโทรหา เพราะกลัวว่า
หากได้ยินเสียงน้องแล้ว ผมต้องรีบตรงดิ่งกลับบ้านแน่ๆ ฟุบหน้าหมอบลงกับพวงมาลัยรถยนต์
เสียงข้อความเข้าก็ดังมาจากมือถือ. ผมควักมันออก เหลือบเห็นชื่อคนส่ง ก็เผลอยิ้มอออกมานิด ๆ
จะทรมานกันไปถึงไหนนะ
"กลับบ้านรึยังครับ เถลไถลที่ไหนรึเปล่า" ได้แต่หัวเราะเบาๆ เพราะท่าจะมีญาณทิพย์
ถึงได้รู้ว่าผมยังไม่ถึงห้อง
"ยังครับ แต่ไม่ได้เถลไถลนะครับอยู่ที่มหาลัย กำลังจะกลับ" กดส่งออกไป สักพักเสียงข้อความก็ดังขึ้นอีก
"อย่าให้รู้นะว่าแอบไปจีบใคร" ริมฝีปากผมยิ้มกว้าง อยากจะให้หวงมากขึ้นไปอีก
“ที่รักครับ... แค่นี้ภาคก็ไปไหนไม่รอดแล้ว รักแพนนะครับ” กดส่งกลับไป
ข้อความที่ตอบกลับมามีเพียงสัญลักษณ์รูปรอยยิ้มน่ารักๆ เท่านั้น ผมสูดหายใจเข้าปอดหนักๆ
ก่อนจะขับรถตรงดิ่งกลับคอนโด