Chapter 28 Unity
“พวกเธอบอกว่าหลงทางอยู่ในป่า เลยกลับมาล่าช้ากว่ากำหนดงั้นเหรอ”
บทสวดบทแรกทำเอาสองมือปืนคนเก่งถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่ยูก็ยังฝืนยิ้มแห้งๆตามสไตล์คนหน้าเป็นเพื่อกลบเกลื่อน ทั้งที่โฮตารุกำลังเครียดจะแย่
“ก็ทำนองนั้นแหละครับ”
ตาคมๆของชิงุเระตวัดมองอีกหน เริ่มขยับแขนที่วางประสานอยู่บนโต๊ะขึ้นมากอดอก
“จากนั้นก็โดน ‘เป้าหมาย’ ที่ฉันสั่งให้ไปตามหา เป็นคนนำทางพาพวกเธอออกมาจากป่าซะงั้น”
“ก็ใช่…” เสียงของยูเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
“แล้วพอมาถึงสนามบินนาริตะ เป้าหมายก็ดันหายตัวไปอีก โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่าเค้าหายไปตอนไหน”
“กะ… ก็…” นักเรียนดีเด่นเริ่มจะแก้ตัวไม่ออก
“เฮ้อ” ผอ. หนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “เป็นอันว่าภารกิจที่ฉันฝากความหวังไว้กับพวกเธอล้อมเหลวไม่เป็นท่า”
“โธ่! อาจารย์… ที่ให้พวกเราไปหามันป่าแอฟริกานะครับ ไม่ใช่สวนสัตว์โตเกียว จะได้เจอตัวคนที่อาจารย์อยากพบง่ายๆ แล้วอีกอย่างทำไมอาจารย์ไม่ใช้นักล่ามืออาชีพอย่างเจ้าโนะอิ มาใช้มือสมัครเล่นอย่างพวกผมทำไมล่ะครับ”
โฮตารุที่ยืนเครียดอยู่นานแล้วถือโอกาสโวยบ้าง แค่ต้องเดินทางไกลข้ามทวีปในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แถมเป้าหมายที่ว่าก็หาตัวยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก แล้วพอเจอตัวตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะยอมกลับมาที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ฝ่ายนั้นยังหักหลังตีตั๋วชิ่งไปไหนก็ไม่รู้ แต่ที่เลวร้ายที่สุด… ก็คือต้องมารายงานท่าน ผอ. มือเปล่านี่แหละ ไม่รู้จะเอาข้ออ้างข้อไหนมาแก้ตัวดีแล้ว
ชิงุเระที่ตีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอด พอเห็นลูกศิษย์เครียดกว่าก็เผลอยิ้มบางๆ อารมณ์ที่อยากจะโกรธก็เลยไม่มีเหลืออยู่แล้ว
“ก็โนะอิน่ะผีเข้าผีออก อารมณ์เคยอยู่กะร่องกะรอยที่ไหน ที่สำคัญเค้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานฉันได้เยอะด้วย” ผอ. จอมเจ้าเล่ห์ยักคิ้วกริ่ม “แต่ฉันก็กะแล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ พวกเธอก็อย่าเครียดไปเลย ถือซะว่าไปฮันนีมูนก็แล้วกัน”
“อาจารย์!!”
ยูเผลอตบโต๊ะดังปัง ลืมสัมมาคารวะที่ควรมีจนหมด โดนมุกนี้นี่มันจุกจนพูดไม่ออกจริงๆ ส่วนอีกคนที่หน้าบางกว่ารีบเดินหนีออกไปเรียบร้อย
“โทษทีๆ” ชิงุเระหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ “โดนโฮตารุคุงงอนซะแล้ว ยูจังเองก็ไปพักเถอะ เหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่ เอาเป็นว่าภารกิจครั้งนี้ฉันถือเป็นเหตุสุดวิสัยก็แล้วกัน”
ยูที่หน้าแดงก่ำโค้งตัวคำนับแล้วรีบเผ่นออกไปอีกคน หลังจากที่ลูกศิษย์หนีหายไปหมดแล้ว ชิงุเระก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงช้าๆอย่างผ่อนคลาย
“ริเอะ… ดูเหมือนคนที่จะจับตัวเธอได้อยู่หมัด คงมีแค่คนเดียวจริงๆล่ะมั้ง แต่น่าเสียดายที่เค้ากลับเป็นคนที่เธอทั้งรักและเกลียดเค้ามากที่สุด”
ชิงุเระเปรยกับตัวเองแผ่วเบา แล้วเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามยังคงสวยสดใส เหมือนเช่นวันเวลาแห่งความอบอุ่นที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ
“แต่พี่รู้ว่าเธอมาอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว ไทกิคุงถูกจับตัวกลับองค์กร เธอเองก็คงไม่อยู่เฉยหรอกจริงมั้ย… ริเอะ”
หลายวันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวของไทกิเลย… ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ความคิดเหล่านี้ทำให้เค้าสับสนจนว้าวุ่นไปหมด
เหล่าสมาชิกสภาพิเศษทุกคนก็ตกอยู่ในอาการซึมเศร้าไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นหัวหน้าซีเนียร์และหัวหน้าจูเนียร์เอาแต่นั่งหดหู่ทั้งวัน งานก็ไม่กระเตื้อง สุดท้ายเจ้าฮิโระทนไม่ไหวได้แต่จ้วงราเม็งถ้วยที่หกดับอารมณ์เครียด
“นายจะกินให้ท้องแตกตายเลยหรือไง” คาโอรุที่นั่งข้างๆอดแขวะไม่ได้ ก็ตั้งแต่เช้าเห็นมันมองหน้าซุยที โนะอิที แล้วก็จ้วงราเม็งเข้าปากที เหมือนจะประชดชีวิตยังไงยังงั้น
“ก็ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่ ไทกิกับพี่มิสึกิอยู่ดีๆก็หายตัวไป ถามพี่ๆก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคน แถมยังเอาแต่นั่งซึมเหมือนมีใครตายยังงั้น นายจะไม่ให้ฉันเครียดไหวเหรอ”
“มันก็จริง”
คาโอรุพยักหน้า ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องเค้นความจริงจากปากใครสักคนให้ได้ และเป้าหมายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุยกับพี่บังเกิดเกล้าคงจะง่ายกว่าคุยกับคนอื่น
“พี่โนะอิ”
มือเล็กๆของน้องชายเอื้อมไปจับไหล่จนคนซึมถึงกับสะดุ้ง ตาสีฟ้าลอยๆหันมามอง รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ส่งมาให้ แค่โนะอิก็ไม่รู้จะบอกน้องชายยังไงว่าเพื่อนรักของเค้าเป็นมือสังหารตัวอันตรายที่คนหมายหัวกันทั้งโลก
“เกิดอะไรขึ้นกับไทกิและพี่มิสึกิ ทำไมสองคนนั้นถึงไม่กลับมา”
“ฉัน… ไม่รู้” โนะอิอ้ำอึ้งแล้วเบือนหน้าหนีไม่ยอมให้คาดคั้นอีก
คาโอรุทำหน้าหงิกแล้วกระแทกตัวลงข้างๆ “ฉันไม่เชื่อหรอก มันต้องมีอะไรสิน่า คนอย่างพี่ไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ถ้าจะมีสักเรื่องให้กลุ้มใจ เรื่องนั้นต้องสำคัญมากแน่ๆ บอกฉันมาเถอะ… ไม่ว่าอะไรฉันรับได้ทั้งนั้น”
สายตาที่เว้าวอนทำให้พี่ชายเริ่มใจอ่อน แต่ตัวเค้าเองก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ในขณะที่ทุกคนกำลังเครียดจนตัวโก่ง แขกที่ไม่คาดฝันก็ก้าวเข้ามาในห้องสภาพิเศษ เรียกความสนใจจากทุกคนได้ชะงัดนัก
ภาพหญิงสาววัยกลางคน… สวยหมดจดราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย หล่อนสวมชุดลำลองสีน้ำเงินเข้ม สะบัดผมสีน้ำตาลแดงจนปลิวสะบัด ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งบนโซฟากลางห้องทั้งๆที่ยังไม่มีใครเชื้อเชิญ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงอึ้งกลับกลายเป็นใบหน้าของเธอคนนั้น
ไม่ใช่ตะลึงที่ความสวย… เพราะนั่นไร้ที่ติอยู่แล้ว แต่ตะลึงเพราะมันเหมือนใครบางคนที่พวกเค้าคุ้นเคยราวกับงอกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
“ไทกิ”
ซุยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เค้าต้องขยี้ตาซ้ำไปซ้ำมาหลายหน แต่ภาพสาวสวยที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าของเค้าก็ไม่หายไป นี่มันคงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะ
“เธอเดาผิดไปนิดนึงนะซุยคุง ฉันคือผู้ว่าจ้างตัวจริงของเธอ ไม่ใช่เป้าหมายของเธอหรอกจ้ะ” เจ้าหล่อนเฉลย
“คุณริเอะ?” ซุยต้องทวนความจำอีกรอบ เพราะถึงแม้จะได้รับคำสั่งผ่าน ผอ. แต่เค้าก็ยังไม่เคยพบผู้จ้างวานตัวจริงสักครั้ง แม้แต่รูปถ่ายก็ไม่เคยเห็น และไม่เคยนึกมาก่อนว่าสองแม่ลูกจะเหมือนกันได้ขนาดนี้
ริเอะยังไม่เจรจากับซุย แต่เลือกที่จะหันหน้าไปคุยกับอีกคนที่กำลังเค้นคอพี่ชายตัวเองอยู่
“เธอสองคนคงจะเป็นลูกชายของชิโอริ… โนะอิกับคาโอรุคุง เธอเหมือนแม่ของเธอมากเลยนะจ๊ะคาโอรุ ฉันเห็นทีแรกยังตกใจเลย”
‘คนที่ตกใจน่ะ ผมมากกว่า’ คาโอรุอยากเถียงเหลือเกิน แต่ก็พูดไม่ออก
“เธอคงอยากรู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนรักของเธอหายไปไหน”
คำพูดเกริ่นนำที่ทำให้ฮิโระกับคาโอรุไถลตัวเข้ามาใกล้ๆโซฟาทันที ถึงจะยังไม่รู้ว่าคุณน้าหน้าคุ้นๆคนนี้เป็นใครก็ตาม
“คุณน้ารู้เรื่องของเจ้าไทกิมันด้วยเหรอครับ” ฮิโระถาม
“ผมทอง ตาสีทอง… เธอคงเป็นทายาทตระกูลโซมะสินะ” ริเอะลูบหัวปุยๆของฮิโระด้วยความเอ็นดู “ฉันต้องรู้เรื่องเพื่อนของพวกเธออยู่แล้ว ก็ฉันน่ะ… เป็นแม่แท้ๆของคุณไทกินี่นา”
“หา!!”
สองตัวแสบอุทานลั่น ก่อนจะหันไปขอคำยืนยันจากหัวหน้าจูเนียร์ ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“คุณน้ารู้ใช่มั้ยครับ ว่าตอนนี้ไทกิอยู่ที่ไหน” คาโอรุรีบซักต่อ
ริเอะเม้มปากแน่น สีหน้าท่าทางดูเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ดูจากสีหน้าการตอบสนองของพวกเธอทุกคนแล้ว คงมีแต่เธอสองคนล่ะมั้งที่ยังไม่รู้ความจริงว่าลูกชายฉันเป็นใคร” คุณแม่วัยสาวถอนใจอีกรอบ “คุณไทกิ… อยู่ในโลกที่ต่างจากพวกเธอมากนัก เค้าถูกหล่อหลอมให้เกิดมาเพื่อเป็นหนึ่ง อยู่ในตำแหน่งที่มีทั้งคนรักและเกลียดชัง”
ดวงตาสีอิฐเงยหน้ามองเด็กทั้งสองอีกครั้ง
“ไทกิ… คือ Red Rose”
ความจริงที่เหลือเชื่อทำให้เด็กทั้งสองถึงกับนิ่งงัน ฮิโระทรุดฮวบลงไปกองที่พื้น ส่วนคาโอรุตัวแข็งทื่อราวกับโดนคำสาปสะกดให้เป็นหิน ความเงียบและความกดดันทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อไม่มีใครในห้องกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคน
“ไม่จริงหรอก… เป็นไปไม่ได้”
คาโอรุเพ้อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพื่อนที่ดีที่สุด… จะกลายเป็นฆาตกรโหดที่ฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพันได้ยังไง เค้าไม่เชื่อเด็ดขาด
“เชื่อเถอะคาโอรุ เพราะนั่นเป็นความจริง” พี่ชายที่เค้านั่งเค้นคอยังไงก็ไม่ยอมบอก กลับเป็นคนยืนยันด้วยตัวเอง คาโอรุกัดฟันแน่นแล้วหลบไปนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่มุมห้อง
“แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ฮิโระถามต่อ ไม่น่าเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ทุกคนกำลังอยู่ในอาการสับสน แต่นักฆ่าหนุ่มกลับควบคุมตัวเองได้ดีกว่าใครเพื่อน คงเพราะชินซะแล้ว เค้าเองก็อยู่ในเส้นทางแห่งความตายมาตลอด จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักคนนี้ดี
บางทีคนเราก็มีทางให้เลือกไม่มากนักหรอก คนที่ฆ่าคนอื่นไม่ใช่เพราะความชอบเสมอไป แต่เพราะความอยู่รอดจึงเลือกไม่ได้ต่างหาก
“เรื่องนี้ถามรุ่นพี่ของเธอคงจะเหมาะกว่า เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น” ตาสวยๆของริเอะตวัดไปมองอีกคนที่ยังนั่งเก๊กหน้าเครียดอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม “ว่าไงจ๊ะ… ซุยคุง”
ซุยขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ สายตายังบ่งบอกความหวั่นไหวไม่สบายใจอย่างที่สุด
“เค้าถูกเซกิพาตัวไปแล้ว มิสึกิก็ถูกจับตัวไปด้วย ผมอยู่ที่นั่น… แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเพื่อนรักกับไทกิถูกพาตัวออกไป ผมไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้คุ้มกันของเค้าสักนิด ขอโทษจริงๆนะครับคุณริเอะ”
คุณชายสายน้ำก้มตัวลงมาคุกเข่าขอโทษกับความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดในสายอาชีพของเค้า และเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้เพื่อนรักต้องเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้เค้าต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปต่อหน้าต่อตาด้วย
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะซุยคุง อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลย” ริเอะจับคนหัวดื้อกลับมานั่งคุยกันใหม่ “เธอรู้จักคนพวกนั้นน้อยเกินไปถึงรับมือพวกเค้าไม่ได้ โดนวางกับดักไว้ทุกทางโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้ ฉันได้ข่าวพี่ชายของเธอแล้ว เสียใจด้วยนะจ๊ะ”
ซุยเงยหน้ามองริเอะอีกครั้ง ดวงตาของเธอบ่งบอกความเศร้าจากใจจริง
“โชคดีที่พี่ยูคาริฟื้นแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนาน ผมมันอ่อนแอไม่เอาไหน ถ้าวันที่มันก้าวเข้ามาในโรงเรียน แล้วผมมีความกล้าพอที่จะหยุดมันสักนิด เรื่องเลวร้ายทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่มีใครหยุดเค้าได้หรอก ฉันรู้นิสัยของเซกิดีพอๆกับที่รู้นิสัยลูกชายของฉันเอง ลองเค้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางล้มเลิกง่ายๆ แต่ที่พี่ชายของเธอยังไม่ตายนั่นคงเป็นความจงใจของเค้าที่จะขู่ให้เธอถอนตัวจากเรื่องนี้มากกว่า ฉันจะไม่บังคับเธออีกแล้วนะซุย สัญญาว่าจ้างระหว่างเรา ฉันขอยุติเพียงเท่านี้ นี่คือเช็คงวดสุดท้าย จากนี้ไปเธอไม่ต้องยื่นมาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว”
ริเอะยื่นเช็คเงินสดให้ซุย เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็ยิ่งเดือด ที่เค้าอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตั้งเยอะไม่ใช่เพื่อแลกกับเศษเงินที่ไร้ค่า เค้าถลำลึกเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องขอทวงคืนสิ่งสำคัญกลับมาให้ได้
มือใหญ่ผลักเช็คคืนกลับไป เพื่อนพ้องน้องพี่ที่คอยลุ้นกนจนตัวโก่งก็ค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก
“เก็บเงินของคุณคืนไปเถอะครับคุณริเอะ ผมอยากทำงานนี้ต่อ แต่ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้าง แต่ในฐานะเพื่อนและ… คนรัก”
เกิดความเงียบพักใหญ่หลังจากที่หัวหน้าจูเนียร์ตัดสินใจเผยความในใจต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะคู่สนทนาที่ดูเหมือนจะมีสีหน้าประหลาดใจเป็นที่สุด แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็เพียงแต่ถอนใจแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย
“ไทกิเค้าโชคดีมากนะ ที่ได้มาพบคนดีๆอย่างพวกเธอ” ริเอะเปรย “ไม่ว่าจะเป็นยังไง… ไทกิก็เป็นลูกของฉัน ถึงแม้ฉันจะทำได้เพียงแค่ยืนดูเค้าเติบโตในที่ๆไกลแสนไกล แต่ถ้ามีพวกเธออยู่เคียงข้าง ฉันก็วางใจแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้น เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ตึกสีน้ำตาลที่เห็นอยู่รำไรมีใครอีกคนกำลังรอพบเธออยู่ เธอหลีกเลี่ยงที่จะพบกันมานานแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากันซะที
“ฉันคงต้องไปแล้ว มีธุระจะคุยกับพวกเธอแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดหรือจะทำอะไรขอให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด ขอให้เชื่อมั่นในกำลังของพวกเธอและสามัคคีกันไว้ แล้วพวกเธอจะเป็นฝ่ายชนะ”
ริเอะทิ้งทวนให้กำลังใจก่อนที่จะจากไป บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่สมาชิกพิเศษที่นิ่งงันอยู่นานก็เริ่มหันมาสบตากันปริบๆ คาโอรุที่ทำใจได้แล้วก็เดินตรงเข้ามานั่งบนโซฟาตรงข้ามกับซุย
“ผมจะไปช่วยไทกิ”
นักล่าบอกอย่างมุ่งมั่น ในชีวิตมีอยู่ไม่กี่คนที่เค้ารู้สึกผูกพัน เค้าเสียแม่ที่รักที่สุดไปคนหนึ่งแล้ว และจากนี้ไปจะไม่ยอมสูญเสียใครไปอีกแล้ว
ซุยขยับตัวเอนหลังช้าๆพร้อมกับถอนใจเบาๆ
“เรื่องช่วยไทกิกับมิสึกิ ไม่ใช่ฉันไม่คิดนะคาโอรุ แต่มันไม่ง่ายเลย เซกิร้ายกาจแค่ไหน พวกนายไม่ซึ้งเท่าฉันหรอก แค่องครักษ์ที่ล้อมรอบตัวมันอยู่ก็รับมือยากแล้ว”
“แต่มันก็ต้องมีทางบ้างสิ เมื่อกี้คุณริเอะก็บอกแล้วว่าถ้าพวกเราสามัคคีกันก็ต้องมีทางชนะได้ พี่อย่าลืมนะว่าพวกเราเองก็ไม่ใช่นักเรียนธรรมดา ศักดิ์ศรีแห่งสี่ตระกูลนักรบ ถ้าจะแพ้องค์กรดอกไม้ตายซากสั่วๆนั่นก็ให้มันรู้ไป”
ลูกชายบ้านโซมะประกาศลั่น พร้อมทุบกำปั้นดังป้าบ โนะอิขยับตัวแล้วเดินเข้ามาสมทบ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่ซุย
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมมือกัน… มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์เพลิง จะผงาดร่วมกันอีกครั้ง”
“แล้วนายก็อย่าลืมนะ ว่ายังมีพวกเราอยู่ด้วย”
เสียงประท้วงที่ดังมาจากประตูหน้าห้องทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง ยูกับสองแฝดและมาซาฮิโกะซึ่งหายหน้าไปจากสภามานานก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บัดนี้เหล่าสมาชิกสภาพิเศษมาพร้อมหน้ากันแล้ว จะเหลือก็แต่สองยมทูต… ที่ป่านนี้ไม่รู้จะเจอชะตากรรมอะไรบ้าง
“ฉันยืนฟังข้างนอกนานแล้ว ช็อกเหมือนกันนะเนี่ย ที่ตัวอันตรายสุดๆมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก” ยูบ่นอุบ แต่สองแฝดได้แต่นิ่งเงียบพูดไม่ออก
“แล้วมิสึกิล่ะ” มาซาฮิโกะหันไปถามซุย เพราะเค้าเองก็เป็นห่วงเพื่อนซี้ไม่แพ้กัน
“ก็คงพอเอาตัวรอดได้” ซุยถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าไทกิเป็น Red Rose ก็ไม่มีประโยชน์ที่ปิดบังเรื่องของมิสึกิต่อไป “พวกนายคงยังไม่รู้… หมอนั่นคือ Black Sakura”
“หา!!!!!!”
เพื่อนๆที่ยังไม่รู้มีปฏิกิริยามากกว่าที่คิด พากันอุทานดังลั่น ก่อนจะเงียบไปอีก
“สองคนเลยเหรอเนี่ย” ยูพึมพำเบาๆ “คิดจะลักพาตัวสองยมทูตออกมาจาก Death Flowers ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะซุย”
ซุยปรายสายตาไล่มองสมาชิกพิเศษทีละคน ภารกิจคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาจต้องแลกด้วยชีวิต จะปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวด้วยเด็ดขาด
“ฉันขอบใจนะที่ทุกคนมีน้ำใจอยากช่วย แต่พวกนายไม่ควรต้องมาเสี่ยงกับเรื่องนี้ ฉันจะไปที่นั่นคนเดียว ฉันยังมีเรื่องต้องคิดบัญชีกับไอ้บ้านั่น”
“เฮ้อ… อยากจะโชว์ออฟคนเดียวหรือไงพี่” ไอ้ตัวแสบฮิโระแอบลามปามโอบแขนมาคล้องไหล่อีกข้าง “พี่ห่วงไทกิ เราก็ห่วงไทกิเหมือนกันนะ คิดจะให้พวกเราดูอยู่เฉยๆไม่มีทาง”
“แต่…”
“พอเถอะ… ซุย” โนะอิที่เงียบมานานเป็นฝ่ายตัดบท “ในฐานะหัวหน้าชั้นปีที่สาม ฉันขอให้งานครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน พวกเราทั้งหมดจะไปด้วยกัน ถึงต้องตาย… ก็จะต้องช่วยสองคนนั่นออกมาให้ได้”
โนะอิประกาศลั่น ยิ่งทำให้ทุกคนเกิดความฮึกเหิม งานครั้งนี้คงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาก็ว่าได้ ซุยแอบยิ้มบางๆ
เพื่อน… เพิ่งจะซึ้งจริงๆก็วันนี้
“งั้นเราคงต้องวางแผนกันก่อน” ซุยเดินไปที่โต๊ะประชุม หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมากางเพื่อร่างแผนการคร่าวๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“นี่ตกลงพี่ยอมให้พวกเราไปด้วยแล้วเหรอ”
ซุยหันไปมองเจ้าฮิโระที่กำลังส่งสายตาปริบๆมาให้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“ฉันจะห้ามนายได้มั้ยล่ะ แต่ละคนหัวดื้อติดอันดับทั้งนั้น” ว่าแล้วก็ตวัดหางตาไปทางโนะอิที่เป็นต้นคิด “โนะอิ… ฉันรู้ว่านายร้อนใจเรื่องมิสึกิ แต่ถ้าจะไปลุยด้วยกัน อย่างน้อยเราก็ควรมีแผน”
ในไม่ช้าสมาชิกทุกคนก็มาพร้อมกันที่โต๊ะ รวมหัวกันคิดแผนการช่วยเพื่อนซี้สองยมทูตทั้งคืน