พิมพ์หน้านี้ - Red Rose < By Foggy > :: จบ ::

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Unn ที่ 15-01-2008 18:48:52

หัวข้อ: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 15-01-2008 18:48:52
 :m4:  ก่อนอื่นก็ทักทายกันก่อนนะงับ เรื่อง Red Rose นี่ เป็นนิยายแนวแฟนตาที่หลายๆคน
คงได้อ่านกันมาบ้างแล้ว แต่ผมเห็นว่าที่บอร์ดนี้ยังไม่มีเอามาลงไว้เลยงับ 
ก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาลงให้อ่านกัน  เผื่อบางคนต้องการอ่านซ้ำ และบางคนที่ยังไม่อ่าน แหะๆ 

 ป.ล. ผมขอเรื่องนี้จากคุณ Foggy ทางเมลล์งับนานแล้วเหมือนกัน หวังว่าจะชอบกันนะค๊าบ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 15-01-2008 18:54:27
:m22:Chapter 1 The Letter

      คุณไทกิ…
 
 แม่ขอโทษที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ แม่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับลูก ขอเวลาให้แม่ทำใจสักนิดเถอะนะลูกรัก
เทอมหน้าลูกก็เข้า ม.ปลายแล้ว แม่คงต้องให้ลูกไปอยู่โรงเรียนหอ แม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว
ดูแลตัวเองด้วยนะคุณไทกิ
                     รักลูกมากที่สุด
                            แม่


หนุ่มน้อยวัยสิบหกขยำจดหมายที่จ่าหน้าซองส่งมาจากแคนาดา โยนทิ้งลงไปในตะกร้าขยะอย่างไม่ใยดี
ก่อนจะฟุบตัวลงบนเตียงโทรมๆในห้อง บนหัวเตียงยังมีซองเอกสารปึกหนาที่ส่งมาจากโรงเรียนหอมีชื่อของโตเกียว

รินคัง โรงเรียนหอเอกชนชายล้วน
รับนักเรียนจำนวนจำกัด
นักเรียนที่ได้รับหนังสือเรียกตัวทุกท่าน กรุณายื่นใบลงทะเบียนก่อนวันที่ 15 เมษายน และรายงานตัวเข้าหอ
ก่อนวันเริ่มต้นวันเปิดภาคเรียนอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ หากไม่มาตามกำหนดนัดหมายจะถือว่าสละสิทธ์
การเข้าเรียนในปีการศึกษานี้
กำหนดการรับน้องใหม่และกำหนดการเลือก ‘สมาชิก’ ได้แนบไว้ในเอกสารวันเปิดภาคการศึกษาแล้ว


เด็กหนุ่มพลิกตัวแล้วหยิบเอกสารต่างๆขึ้นมาดู ส่วนใหญ่เป็นหมายกำหนดการและกฎระเบียบสำหรับน้องใหม่
เค้าเปิดผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้าย เห็นกระดาษปริ๊นสีทองอาบมันที่ดูเหมือนเป็นบัตรเชิญ
เค้าทิ้งเอกสารที่เหลือลงไปกองบนเตียง แล้วหยิบการ์ดแผ่นนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

คุณโนมูระ ไทกิ  ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน new member party ที่ห้องประชุมหอไฟ วันที่ 29 เมษายน
เวลา 19.00 น. และเป็นหนึ่งในหกผู้ถูกคัดเลือกเข้ากลุ่มสมาชิกพิเศษ
                  เทนโนะ ซุย
               ประธานกรรมการกลุ่มสมาชิกพิเศษ


ตอนแรกคิกว่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ซะอีก ก็แค่งานรับน้องน่าเบื่อ ไทกิโยนกระดาษสีทองแผ่นสุดท้าย
ทิ้งไปในตะกร้าขยะ มือกำหมัดแน่น ก่อนจะระบายอารมณ์ทุบเตียงปังๆด้วยความโมโห

“แม่นะแม่! ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วนะ!”

เด็กหนุ่มดีดตัวขึ้น ก่อนจะเดินไปที่หน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเองที่เหมือนแม่เปี๊ยบ แล้วตะโกนระบายอารมณ์
ใส่เงาในกระจกเหมือนเห็นเป็นหน้าแม่ใจร้ายที่ทิ้งเค้าไป

“ลูกคนเดียวถ้าไม่มีปัญญาเลี้ยง ก็เอาไปทิ้งสถานสงเคราะห์สิ เที่ยวเอาไปฝากให้เป็นภาระชาวบ้านอยู่ได้ โธ่ว้อยยยย!!”

ไทกิเดินระบายอารมณ์ด้วยความหงุดหงิดใจหลายรอบ แต่ก็คิดไม่ตก เงินที่ได้ตอนทำงานพิเศษก็ใกล้จะหมดแล้ว
ค่าเช่าห้องรูหนูก็ค้างเค้าตั้งหลายเดือน ไม่รู้จะโดนเฉดหัวออกไปเมื่อไหร่
เด็กหนุ่มเหลือบไปมองกองเอกสารที่โยนทิ้งลงถังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
เอาวะ! ก็ยังดีกว่าอดตายข้างถนน…

วันนี้วันสุดท้ายแล้ว อีกสามชั่วโมงก็จะปิดรับลงทะเบียน เด็กหนุ่มยัดข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดลงกระเป๋า
แล้วออกเดินทางมุ่งสู่ที่ซุกหัวนอนใหม่… โรงเรียนหอเอกชนรินคัง
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 15-01-2008 18:58:28
 :m22:Chapter 2 Fantastic School

‘ปิดรับลงทะเบียน 16.00 น.’

ป้ายกระดาษแผ่นเบ้อเริ่มที่แปะหราอยู่หน้าโต๊ะรับลงทะเบียน เล่นงานหนุ่มน้อยแทบลมจับ

‘อะไรฟะ มาช้าแค่ 3 นาทีก็ไม่รับ บ้าอ่ะป่าว’ ไทกิบ่นในใจ

“เอ่อ… อาจารย์ครับ คือพอดีแถวบ้านผมรถติด ก็เลยมาช้า (ข้อแก้ตัวยอดฮิต แต่รถไฟใต้ดินติดนี่มันก็นะ…)
ขอผมลงทะเบียนด้วยคนได้มั้ยครับ”

ไทกิอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน อาจารย์สาวแสนสวยที่กำลังเตรียมเก็บของกลับก็กรีดยิ้มหวานเชื่อมมาให้

“หนูจ๋า… ไม่ได้อ่านเอกสารกำหนดการที่แนบไปให้เหรอจ๊ะ ว่ากำหนดลงทะเบียนเค้าเปิดรับตั้งสองสัปดาห์
แล้วทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะจ๊ะ ฮึ…”

“กะ… ก็… พอดีผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ นี่ไง… ผมยังมีจดหมายของแม่ที่เตือนให้มาลงทะเบียนอยู่เลย”

ไทกิรื้อซองเอกสาร ถึงจะขยำจดหมายของแม่ทิ้งไปแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ซองจดหมายติดมากับเอกสารรายงานตัว อาจารย์สาวสุดสวยกรีดนิ้วรับมาดู เห็นตราประทับหราส่งมาจากแคนาดา ก่อนจะพลิกมาดูอีกด้าน พอเห็นชื่อที่จ่าหน้าซองเท่านั้น อาจารย์สาวก็ทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“เธอ! เธอนั่นเอง เด็กใหม่ที่เค้าลือกัน …โนมูระ ไทกิ!”

อาจารย์ทักชื่อเค้าอย่างกับเห็นเป็นดาราชื่อดัง จนไทกิต้องถอยไปตั้งหลัก อะไรกัน…
ยังไม่ทันเข้าเรียนเค้าก็ดังขนาดนี้แล้วเหรอ โรงเรียนนี้มันชักจะยังไงๆแล้วสิ

“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว ฉันชื่อ โอคุนิ ซายะ เรียกอาจารย์ซายะก็ได้ ฉันสอนวิชาภาษาอังกฤษจ้ะ”
แล้วอาจารย์สุดสวยก็คว้าแขนหมับไม่ให้เค้าตั้งตัว

“มาเถอะจ้ะ ชีจัง… เค้ากำลังรอเธออยู่ ฉันจะพาเธอไปเอง”

อาจารย์ซายะพาเดินขึ้นไปบนตึกใหญ่ซึ่งเป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุด ไทกิมองดูบรรยากาศรอบๆในโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น
 โรงเรียนนี้ท่าทางจะเก่าแก่มากจนเหมือนมีมนตร์ขลัง ตัวตึกทุกตึกทำจากอิฐสีแดง
ดูสง่างามเหมือนปราสาทขุนนางยุโรปสมัยก่อนไม่มีผิด มันสวยขนาดนี้นี่เอง มิน่า… ถึงเป็นโรงเรียนในฝัน
ที่ใครๆก็อยากมาเรียน

“นั่นอะไรฮะ?” ไทกิชี้นิ้วไปยังตึกสี่หลังที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบหลังโรงเรียน

“อ๋อ… นั่นเป็นหอพักจ้ะ หอสีน้ำตาลที่อยู่ทางขวามือสุดเป็นหออาจารย์ชื่อ ทสึจิเอ็น (หอดิน) ถัดมาหอสีเขียว
คือหอซีเนียร์ปีสามชื่อ มิสึเอ็น (หอน้ำ) ส่วนที่อยู่ทางซ้ายตึกสีครามเป็นหอจูเนียร์ปีสองชื่อ คาเสะเอ็น (หอลม)
และหอสีแดงซ้ายมือสุด คือหอปีหนึ่งชื่อ ฮิโนะเอ็น (หอไฟ)”

“ผมก็อยู่ที่นั่นเหรอฮะ”

“ใช่จ้ะ… เด็กใหม่จะอยู่หอไฟ แต่กว่าหอจะเปิดก็ต้องรอใกล้ๆเปิดเทอมนั่นแหละจ้ะ”

ซวยล่ะสิ… กว่าจะเปิดเทอมก็อีกตั้งสองอาทิตย์ กุญแจห้องเช่าก็คืนเจ๊หน้าเลือดไปแล้วด้วย
แล้วช่วงนี้จะไปซุกหัวอยู่ที่ไหนดีฟะ

อาจารย์ซายะพามาถึงห้องผู้อำนวยการ เคาะประตูอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา

“ชีจัง… นายอยู่ข้างในหรือเปล่า เปิดประตูหน่อยสิ” อาจารย์สุดสวยส่งเสียงเรียกไปก่อน พร้อมกระทืบเท้าขู่
เป็นระยะๆ แต่ผ่านไปร่วมสิบนาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าประตูห้องจะเปิด

“ไอ้บ้า ชิงุเระ! ถ้านายไม่เปิดนะ แม่จะตามไปเชือดถึงหอเลยคอยดูเด่ะ!!”

ได้ผล…
ทันทีที่เสียงกัมปนาทของอาจารย์สาวสุดสวยตะโกนลั่นตึก ไทกิก็ได้ยินเสียงหล่นตุ้บดังมาจากในห้อง
พร้อมๆกับเสียงของแตกระเนระนาด แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มวัยกลางคน ผมฟู หัวกระเซิง
ตาปรือ แสดงว่าเพิ่งตื่นนอนก็แง้มหน้าออกมา พอเห็นหน้าอาจารย์สุดสวยเท่านั้นเค้าก็ถึงกับตาสว่าง

“ แหะ แหะ… ซายะจัง ว่าไงเหรอจ๊ะ” ผอ. หนุ่มส่งยิ้มขัดตาทัพ

อาจารย์ซายะไม่พูดพล่ามทำเพลง ผลัก ผอ. จนพ้นทางแล้วลากคอลูกศิษย์ไปโยนลงบนโซฟากลางห้อง

“เด็กนี่ใคร?” ผอ. หนุ่มเดินตามมาถาม

“ลูกชายของริเอะ”

“ห๊า! ไทกิซังน่ะเหรอ!” ว่าแล้ว ผอ. ก็มาจับไม้จับมือทักทายไทกิเป็นการใหญ่
“สวัสดี ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้ว ฉันชื่อ คุรากิ ชิงุเระ เป็น ผอ. โรงเรียนนี้ ฉันกับซายะเป็นเพื่อนกับของแม่เธอ”

“เอ่อ… หวัดดีฮะอาจารย์” เด็กหนุ่มโค้งตอบ แม่ไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีเพื่อนเป็นอาจารย์ แถมยังเป็นถึง ผอ. โรงเรียนซะด้วย แต่สมแล้วที่เป็นเพื่อนแม่ มีแต่คนเพี้ยนๆทั้งนั้น

“แม่ของเธอฝากให้ฉันช่วยดูแลเธอระหว่างที่เค้ากำลังทำใจอยู่ เธออยู่ที่นี่ให้สบาย คิดว่าเป็นบ้านก็ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องห่วงนะ ทั้งค่าเล่าเรียน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแบบ ฉันจะจัดการให้เอง”

“แล้วจะให้ผมพักที่ไหนล่ะครับ?”

“เธอไม่มีที่พักเหรอ”

ไทกิส่ายหน้า “ผมเคยเช่าห้องอยู่ แต่ตอนนี้คืนไปแล้ว ขอผมเข้าไปอยู่ในหอได้มั้ยครับ”

“คงไม่ได้หรอกจ้ะ ตามกฎของโรงเรียนจะไม่เปิดหอไฟจนกว่าจะเปิดเทอม” อาจารย์ซายะเป็นคนตอบ

“แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางนะ” ผอ. หนุ่มยักคิ้วแผล็บ “ตามฉันมาสิ”

อาจารย์พาไทกิเดินทัวร์โรงเรียนอีกรอบ คราวนี้พาไปด้านหลังซึ่งเป็นโซนหอพัก ที่นี่ร่มรื่นน่าอยู่มาก
โดยเฉพาะฝั่งซ้ายที่เป็นหอเฟรชชี่และหอจูเนียร์ สร้างตึกหันหน้าชนกันยังกับจะท้ารบ
ส่วนอีกฝั่งของทะเลสาบเป็นหออาจารย์และหอพี่ซีเนียร์ที่ต้องการความสงบ

หอลม… เป็นจุดหมายปลายทางของพวกเค้า หอนี้เป็นตึกเก่าแก่สี่ชั้น ฉาบสีฟ้าใส ด้านหน้าก็ปลูกดอกไฮเดรนเยียสีฟ้า
ทั่วไปหมด ผิดกับหอไฟที่อยู่ตรงข้ามลิบลับ เพราะหอนั้นร้อนแรงสมชื่อ ตัวหอเป็นสีแดงปลั่ง ปลูกดอกกุหลาบแดง
ประดับรอบหอ ดูแล้วเหมือนเป็นหอคู่อริที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อาจารย์ชิงุเระพาขึ้นมาที่ชั้นสอง ห้องใหญ่ห้องแรกที่อยู่ติดบันได คือห้องที่ไทกิจะต้องขออาศัยซุกหัวนอน
ในช่วงที่ปิดเทอมนี้…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-01-2008 20:35:13
หุหุ คนแรกกกกก  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 15-01-2008 20:58:17
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 15-01-2008 23:57:36
มารออ่านตอนต่อไปนะคร้าบ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 16-01-2008 09:40:59
 :m22:Chapter 3 Junior Leader

ก๊อก… ก๊อก…

อาจารย์หนุ่มเคาะประตูเรียกเจ้าของห้อง ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆ ที่นี่เงียบยังกะหอร้าง
(แหงล่ะ… ก็นี่มันช่วงปิดเทอมนี่จ๊ะ) แน่ใจนะว่ายังมีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือยู่

ประตูห้องถูกเปิดดังเอี๊ยดช้าๆ นิ้วเรียวยาวขาวๆเป็นอย่างแรกที่โผล่มาก่อน
ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าของร่างสูงโปร่งเกือบหกฟุต ในชุดเสื้อเชิ้ตลำลองไม่ติดกระดุมโชว์หน้าอกตึงหรา
ไทกิเห็นแล้วถึงกับตะลึง ไอ้หมอนี่สูงชะลูดยังกะยักษ์ หน้าตาก็คมคายใช้ได้อยู่หรอก
เสียแต่มันทำหน้าบอกบุญไม่รับประทาน นัยน์ตาสีรัตติกาลนั่นก็ดุจนดูเหมือนยักษ์
ยิ่งเห็นตอนมันแยกเขี้ยวด้วยแล้ว ไทกิยิ่งมั่นใจเลยล่ะว่ามันเป็นยักษ์แน่ๆ

“ไง… ซุยคุง ไหนๆเธอก็เฝ้าโรงเรียนตลอดปิดเทอมอยู่แล้วนี่ ครูว่าเธอน่าจะสมัครเป็นยามซะเลยนะ
 จะได้มีค่าจ้างเป็นโบนัสพิเศษด้วยไง”

“แล้วอาจารย์คิดว่าที่ผมตกระกำลำบากอยู่ทุกวันนี้เพราะใครกันล่ะ” เจ้าลูกศิษย์ส่งเสียงเข้มดุ
จนแม้แต่ ผอ. ยังกลัว ตบไหล่มันป้าบๆเพื่อเป็นการขอโทษที่บังอาจไปลามปามเล่นหัวกับมัน

“พอดีครูมีเรื่องจะรบกวนเธอหน่อย” ผอ. แสยะยิ้มเอาใจเป็นพิเศษ แต่ศิษย์โปรดไม่รับมุก พอมันเหลือบไปเห็นเด็กใหม่แบกเป้อยู่ข้างหลัง มันก็รู้แกวอาจารย์ทันที

“ไม่!”
มันปฏิเสธเด็ดๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์จะขออะไร แถมยังทำท่าจะปิดประตูหนี จน ผอ.
ต้องออกแรงงัดประตูสู้แรงกับมัน

“ฟังก่อนน่าซุย… ถ้าครูไม่ลำบากจริงๆก็คงไม่มาขอร้องเธอหรอก”

ซุยยกมือขึ้นกอดอก “แล้วตั้งแต่ผมมาเข้าเรียนที่นี่ อาจารย์มีเรื่องลำบากกี่ครั้งแล้วครับ”

ผอ. ทำท่านับนิ้ว แต่นับยังไงก็นับไม่ครบซะที เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆกลบเกลื่อน “แหะ แหะ… ครูก็จำไม่ได้แล้วล่ะ แต่น่านะ… ซุย คราวนี้มันเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ถือว่าช่วยครูเถอะนะ”

เด็กหนุ่มรุ่นพี่ปรายหางตามองรุ่นน้องที่ยังยืนเอ๋อ ก่อนจะส่ายหัวหนักแน่น

“ไม่เอา… ผมไม่อยากมีปัญหา คราวก่อนเพราะเรื่องรุ่นพี่ผมยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังไงผมก็ไม่เอาอีกแล้ว”

เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล อาจารย์ ผอ. เลยแกล้งตีบทโศก หันมาทางตัวปัญหาที่ยังยืนนิ่ง

“ครูเสียใจจริงๆเด็กน้อย ใจจริงก็อยากให้เธอไปพักด้วย แต่มันเป็นกฎของที่นี่ ห้ามไม่ให้นักเรียนเข้าไปในเขตหออาจารย์เด็ดขาด คืนนี้เธอคงต้องนอนที่ศาลาริมน้ำแล้วล่ะ โถ… น่าสงสารจริงๆไทกิซัง”

อาจารย์ชิงุเระกอดเด็กใหม่ แล้วแกล้งบีบน้ำตาด้วยความสมเพช ปากก็พร่ำเพ้อไปร้อยแปด
จนคนที่ปฏิเสธฟังแล้วยังใจเสีย

“เธอคงต้องนอนตากลมตากน้ำค้าง ที่นี่ตอนกลางคืนหนาวซะด้วย แถมยุงก็ชุมอีกต่างหาก
เกิดโชคร้ายป่วยเป็นไข้จับสั่นตาย แล้วใครจะรับผิดชอบล่ะเนี่ย ฮือๆๆๆ”

ตายเลยเรอะ… ไทกิแค่นยิ้ม แค่นอนในศาลามันต้องถึงตายเลยเหรอฟะเนี่ย ทีเมื่อก่อนนอนข้างถนน
ยังไม่เห็นจะตายเลย อาจารย์นี่ก็ช่างเว่อร์จริงๆ

“โอเคฮะ… ผมยอมแพ้” คนที่ไม่อยากรับภาระที่สุดกุมขมับยอมจำนน ก็ถ้าเกิดมีคนตายในโรงเรียนจริงๆ
เค้านั่นแหละที่จะโดนประณามมากที่สุด

“แต่แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นนะครับ พรุ่งนี้อาจารย์ต้องหาที่พักให้เค้าให้เรียบร้อย ไม่งั้นผมจะไล่มัน
ไปนอนข้างถนนจริงๆด้วย”

“อืม… เอางั้นก็ได้” ชิงุเระแอบเอานิ้วไขว้กลางหลัง โกหกเอาตัวรอดไว้ก่อน เพราะบางทีเด็กนี่อาจต้องอาศัยซุกหัว
อยู่ในห้องศิษย์โปรดเป็นอาทิตย์ๆก็ได้

“เอ่อ… เดี๋ยวครับอาจารย์ อาจารย์จะให้ผมพักอยู่กับ เอ่อ…” ว่าแล้วตาสวยๆของเด็กใหม่
ก็ตวัดไปมองรุ่นพี่ที่ยังยืนเต๊ะท่าหน้าห้อง

“อ้อ… ครูลืมแนะนำ นี่ โนมูระ ไทกิ เป็นเด็กใหม่ที่จะเข้ามาเรียนเทอมนี้ ส่วนนี่…” อาจารย์วาดมือไปทางรุ่นพี่ขี้เต๊ะบ้าง “เทนโนะ ซุย รุ่นพี่ปีสอง เป็นประธานชั้นปีและเป็นหัวหน้าหอลมด้วย”

เทนโนะ ซุย ! ประธานกรรมการกลุ่มสมาชิกพิเศษ…

ว่าแต่ไอ้กลุ่มพิเศษนี่มันคืออะไรหว่า?

“งั้นครูฝากด้วยนะซุยคุง”

อาจารย์ตบไหล่ทิ้งท้าย ก่อนจะเผ่นแนบ ทิ้งภาระชิ้นสำคัญไว้กับประธานหอสุดหล่อ

“เฮ้… ไอ้เด็กใหม่ เข้ามาสิ มัวยืนเต๊ะอยู่หน้าประตูทำไม”

นั่น… มันยังมีหน้ามาย้อนความคิด เป็นรุ่นพี่ เป็นประธานหอแล้วใหญ่นักหรือไงฟะ

ไทกิเดินตามเข้ามาในห้อง เจ้าของห้องก็จัดการปิดประตูแล้วล็อกกลอนเรียบร้อย เพราะกลัวจะโดนคนมาก่อกวนอีก ห้องนี้กว้างพอดู แถมยังสะอาดสะอ้านน่าอยู่ ทั้งตู้ โต๊ะ เตียงล้วนมีสองชุด แสดงว่ายังมีรูมเมทอีกคน

“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนนะ ว่าห้ามแตะต้องอะไรในห้องนี้เด็ดขาด รูมเมทฉันเค้าไม่ชอบให้ห้องรก
โดยเฉพาะของส่วนตัวของเค้า ถ้ามันกระดิกจากที่เดิมไปนิดเดียวล่ะก็ นายตายแน่”

รุ่นพี่ส่งเสียงขู่ จนไทกิทำหน้าเหรอหรา ไม่ให้เค้าแตะต้องของในห้อง แล้วจะให้อยู่ให้นอนยังไงล่ะเนี่ย

“แล้วจะให้ฉันนอนตรงไหนล่ะ”

รุ่นพี่ยืนกอดออกไล่มองรุ่นน้องตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะขยิบตาส่งต่อไปที่พื้นกลางห้อง
ไทกิมองตามแล้วกลับมาถามใหม่

“ฉันนอนพื้นก็ได้ แต่ขอหมอนกับผ้าห่มหน่อยได้มั้ย”

ซุยเริ่มหงุดหงิด ไอ้นี่มาขออาศัยคนอื่นแล้วยังไม่เจียม ยังมีหน้ามาต่อรองไม่เลิก แต่เพราะขี้เกียจตีฝีปากกับเด็ก
เค้าก็เลยยอมเดินไปหยิบหมอนและผ้าห่มของตัวเองเสียสละให้มัน

“แล้วข้าวเย็นล่ะ จะกินที่ไหน”

ซุยโยนมาม่าคัพแถมให้อีกถ้วย

“แล้วถ้าจะอาบน้ำล่ะ”

ซุยชี้นิ้วที่เริ่มสั่นยิกๆด้วยความโมโห ไปทางห้องเล็กซึ่งเป็นห้องน้ำในตัว

“แล้วถ้า…”

“โอ๊ย! พอซะทีเถอะ!”

ไอ้หมอนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา เป็นลูกหมาหรือไง เค้าถึงต้องมาดูแลมันอย่างกะทาสขนาดนี้
 ซุยทำท่าขีดเส้นแบ่งห้องเป็นสองฟาก ก่อนจะอธิบายให้มันเข้าใจ

“ฝั่งโน้นของรูมเมทฉัน นายห้ามยุ่ง ส่วนฝั่งนี้ของฉันเอง นายอยากจะทึ้งจะหยิบอะไรไปใช้ก็เชิญตามสบาย
แต่อย่ามากวนใจฉันอีก”

ซุยตัดบท ก่อนจะกระแทกตัวกลับไปนั่งทำงานต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์
ทิ้งเจ้าตัวปัญหาให้ยืนอึ้งทำตาปริบๆอยู่กลางห้องคนเดียว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 16-01-2008 09:47:22
 :m22:Chapter 4 Boy Trouble

เสียงจึ๊กจั๊กจอแจดังรบกวนตลอด ทั้งที่เค้าต้องการสมาธิในการทำงานอย่างมาก พอส่งสายตาดุๆปราม
มันก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วก็เริ่มต้นรื้อของในเป้ใหม่ ไม่รู้มีสมบัติอะไรมากมายนักหนาถึงต้องตั้งใจรื้อขนาดนั้น

ไทกิอาบน้ำ กินมาม่าเสร็จแล้วก็รื้อของและดูเอกสารทั้งหมด ตารางเรียนและกิจกรรมตลอดเทอมสาหัสกว่าที่คิด
 แถมกิจกรรมช่วงกลางคืนก็เยอะ คงเพราะเป็นโรงเรียนหอเลยถือโอกาสใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

แต่ในจำนวนนั้นยังมีกิจกรรมหนึ่งที่ไทกิดูยังไงก็ไม่เข้าใจ นั่นคือ… การคัดเลือก Special members

“นี่ๆ นาย… ไอ้เมมเบอร์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ?” เด็กใหม่ตามไปตื๊อถึงโต๊ะคอม
จนคนที่หงุดหงิดอยู่แล้วต้องกัดฟันกรอดๆ

อดทนไว้ซุย… มันเป็นเด็กใหม่ มันยังไม่รู้ธรรมเนียม อภัยให้มันก่อน ทนไว้

“เป็นสมาชิกพิเศษของโรงเรียน” ซุยตอบสั้นๆ

“แล้วมันพิเศษตรงไหนล่ะ”

“เปิดเทอมแล้วนายก็รู้เอง”

ไอ้ตัวยุ่งยืนส่งสายตาปริบๆไม่เลิก จนคนที่ทนไม่ไหวต้องผลักมันไปไกลๆ

“ฉันว่าแทนที่นายจะห่วงเรื่องนั้น นายห่วงชีวิตตัวเองก่อนดีกว่า เอาเวลาไปคิดว่าพรุ่งนี้จะไปซุกหัวนอนที่ไหน
บอกไว้ก่อนนะว่าฉันยอมให้นายอยู่ที่นี่แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น”

“นายกลัวอะไรนักหนาฮึ ฉันไม่ใช่ฆาตกรซะหน่อย” ไอ้ตัวดียักคิ้วแผล็บ แล้วยังเสนอหน้าไปจ้องจอคอม
ด้วยว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่ มันกวนจนเจ้าของห้องชักอยากจะเปลี่ยนใจมาเป็นฆาตรกรซะเอง

“โอ้… ตารางการแบ่งห้องของปีหนึ่งนี่นา ขอดู…”

ยังไม่ทันจะขอ เจ้าของคอมพิวเตอร์เค้าก็กดปิดหน้าจอพรึ่บ พร้อมกับชักสีหน้าฉุนๆให้มันไสหัวกลับไปที่เดิมของมัน
 แต่ของแค่นี้มีเหรอคนอย่างไทกิจะยอมแพ้ นิ้วเรียวๆเลยเอื้อมไปจิ้มเปิดหน้าจอขึ้นมาใหม่

“ทำเป็นงกไปได้ ขอดูหน่อยน่า เผื่อนายจัดห้องไม่ถูกใจ ฉันจะได้…”

พรึ่บ!

คนที่เส้นความอดทนขาดไปแล้ว เดินไปดึงปลั๊กจอคอมเพื่อตัดความรำคาญ เป็นอันว่าข้อมูลทั้งหมดที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำมาทั้งวัน มีอันต้องอันตรธานหายไปเพราะไอ้ตัวแสบนี่คนเดียว

“เฮ้ย! ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอซุย ฉันเห็นนายนั่งทำอยู่ตั้งนาน”

เจ้าของห้องไม่ตอบ เค้าเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหนีเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูดังปัง

“โธ่เอ๊ย… คุยด้วยก็ไม่คุยด้วย หยิ่งชะมัด” ไทกิบ่นอุบ ก่อนจะเสียบปลั๊ก แล้วเปิดหน้าคอมขึ้นมาใหม่
“ก็ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างฉันจะล้วงข้อมูลจากนายไม่ได้”

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้แตะเจ้าคอมเพื่อนยาก…หนึ่งปีได้แล้วมั้ง ตั้งแต่วันที่หนีออกมาจากที่นั่น?

ไทกินึกถึงวันเก่าๆ เมื่อก่อนต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมเป็นสิบๆชั่วโมงเพื่อทำงานให้ ‘พวกมัน’ งานลับๆที่น่าเบื่อ
จนต้องหนีออกมา หนึ่งปีแล้วที่พวกมันเที่ยวตามหาคนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย แหงล่ะ… ก็เค้าลบข้อมูลทุกอย่างของ ‘Red Rose’ ออกจากฐานข้อมูลของพวกมันไปหมดแล้วนี่

Red Rose ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกอีกแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้คือ โนมูระ ไทกิ เด็ก ม.ปลายธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
ไทกิเจาะข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ คนชื่อ เทนโนะ ซุย นอกจากจะล็อกข้อมูลไว้เป็นอย่างดีแล้ว
มันยังเก็บข้อมูลสำคัญๆของโรงเรียนไว้ตั้งหลายอย่าง ไทกิเจาะเข้าไปจนถึงฐานข้อมูล ‘Special member’
แล้วก็เปิดออกดู แต่ทว่า…

พรึ่บ!

หน้าจออันตรธานไปอีกรอบ ไทกิเงยหน้าขึ้น เห็นยักษ์สุดหล่อที่ตัวยังเปียกหมาดๆนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
โชว์ปลั๊กในมืออย่างไม่กลัวโดนไฟดูด แถมหน้าตาของมันยังบอกอาการโมโหสุดๆ
จนจำเลยต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“นายทำบ้าอะไร!”

คำด่าระลอกแรกที่ทำให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องต้องเสียวสันหลังวูบ

‘ไอ้งก… ขอดูหน่อยก็ไม่ได้’ ไทกิเถียงในใจ

“นายรู้มั้ยว่าข้อมูลในนั้นสำคัญแค่ไหน” คราวนี้มันเล่นกระทืบเท้าตึงๆเข้ามาใกล้
จนไทกิต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อหาทางหนี

‘ก็ถ้ามันไม่สำคัญ แล้วฉันจะอยากดูมั้ยล่ะ’ คนผิดยังแอบคิดแก้ตัวในใจ

“ถ้าไม่จัดการให้สำนึก นายคงไม่เลิกกวนใจฉันใช่มั้ย!”

‘เฮ้ย…’ ไทกินึกเถียงมันไม่ทันแล้ว เพราะท่าทางมันจะเอาจริง เล่นเดินพาร่างกึ่งเปลือยที่เพิ่งขึ้นมาจากอ่างน้ำ
เดินตรงเข้ามาหา ไทกิหันซ้ายหันขวา แล้วก็เจอเป้าหมายที่จะใช้เป็นที่หลบ

เด็กหนุ่มกระโดดม้วนตัวลงบนเตียงที่ปูผ้าปูตึงเรียบกริบด้วยท่าที่สวยงาม
ถ้าเป็นนักยิมนาสติกก็คงต้องให้คะแนนเต็ม แต่ซวยที่มันไม่ใช่
เพราะกรรมการในชุดผ้าขนหนูกำลังยืนอึ้งทำตาปริบๆ

‘ฮ่าๆๆๆๆ เตียงของเพื่อนมัน คงไม่กล้าตามมาหาเรื่องล่ะสิ ถ้าเกิดของๆเพื่อนนายเสียหายไป ฉันไม่รู้ด้วยนะเฟ้ย’
ไทกิคิดอย่างย่ามใจ

แต่… ของแค่นี้ก็หยุดคลื่นความโกรธของเจ้าชายสายน้ำไม่ได้เหมือนกัน ซุยเดินทั่กๆตรงเข้ามาหาไอ้ตัวแสบ
แล้วกระโดดชาร์จล็อกตัวมันไว้บนเตียงแน่นหนา ชนิดที่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่รอด

ไทกิตาเหลือก หยดน้ำบนปอยผมของมันหยดเผาะๆโดนหน้ายังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้นั่น… ท่อนกล้ามเนื้อตึงที่พาดอยู่บน
เรียวขาโดยไม่ตั้งใจ พอมองไปที่พื้นผ้าขนหนูของไอ้ชีเปลือยก็หล่นไปกองเรียบร้อย
เด็กหนุ่มกัดฟันมองลงไปเบื้องล่าง และทันทีที่เห็นชัดเจนว่าอะไรกำลังทำร้ายร่างกายเค้าอยู่
ฝันร้ายในอดีตก็ย้อนกลับมาเล่นงานเด็กหนุ่มจนเสียสติ

“ออกไป! ไม่! อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่เอา ไม่!!!”

ไทกิตะโกนสุดเสียง พร้อมกับดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ จนรุ่นพี่ยังตกใจว่ามันเป็นอะไรกันแน่

“นายเป็นบ้าอะไร ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรนายซะหน่อย” ซุยพยายามจับแขนคนที่กำลังดิ้นพล่าน
แต่จับยังไงมันก็ไม่หยุด มันทรมานเหมือนจะขาดใจตายซะให้ได้

“ไม่!!!” เสียงสุดท้ายที่มันฝืนตะโกนออกมาก่อนจะหมดสติไปในที่สุด

“เฮ้ย! ตื่นสิไอ้บ้า ตายหรือยังวะเนี่ย” ซุยปลุกยังไงมันก็ไม่ตื่น แต่พอเห็นมันยังหายใจอยู่เค้าก็ค่อยโล่งอก
เลยพามันกลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง

คืนนี้มีแต่ฝันร้าย…

มือที่เคยอบอุ่นกอดรัดร่างเค้าแน่นขึ้น พร้อมกับลูบเรียวแขนเรียวขาไปมาเบาๆ

‘ผิวคุณไทกิสวยมาก ขาวและนุ่มกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก’

ใบหน้าที่เคยศรัทธาค่อยๆโน้มลงมาใกล้ แตะจมูกซุกไซ้ไปทั่วซอกคอจนร้อนผ่าว

‘ตัวก็หอม… น่ารักมาก’

ริมฝีปากที่ก้มลงมากระซิบ เปลี่ยนเป้าหมายไปที่หน้าอก ทิ้งรอยดูดดื่มทั่วไปหมด แม้แต่ยอดอกสีกลีบกุหลาบ
ยังโดนเค้นจนช้ำ เค้าบอกว่ารัก… แต่ทำไมต้องแสดงความรักที่ทำให้รู้สึกอึดอัดแบบนี้ด้วย

‘อื้อ… ดูซิ แล้วตรงนี้ล่ะ จะน่ารักด้วยมั้ยนะ’

คนๆนั้นแสยะยิ้ม มือที่เคยอบอุ่นกลับมอบความโหดร้ายอย่างที่สุด เมื่อมันค่อยๆฉีกเสื้อตัวเก่งของเค้าออก
จากนั้นก็ระดมจูบและลูบไล้ด้วยความหื่นกระหาย เค้าร้องไห้และพยายามขอร้องให้หยุด แต่คนๆนั้นก็ไม่หยุด
จนกระทั่งอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกปลดเปลื้อง มือกร้านที่เคยใจดีก็ค่อยๆรุกล้ำเข้ามาตรงหว่างขา…

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหว เล่นจนหอลมสะเทือน ไทกิสะดุ้งตัวตื่นจากฝันร้าย เหงื่อไหลท่วมหน้า
ร่างกายยังหอบไม่หยุด ขวัญหนีกระเจิดกระเจิง โชคดีที่ยังมีมืออุ่นๆเอื้อมมาแตะไหล่
พร้อมกลิ่นโกโก้ร้อนหอมกรุ่นที่จ่อเข้ามาใกล้จมูก ไทกิเงยหน้ามองคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจดูแลเค้า
แต่พอเห็นว่ามันเป็นใครเค้าก็อดแปลกใจไม่ได้

“กินซะ เผื่อจะดีขึ้น” ซุยวางถ้วยโกโก้ไว้บนหัวเตียง ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานต่อที่หน้าจอคอม
ไทกิยกโกโก้ขึ้นดื่ม ความหวานและความอุ่นทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ
เขาวางถ้วยไว้ที่เดิมแล้วยิ้มให้คนที่หันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง

“นายดูแลฉันตลอดเลยเหรอ”

“ฉันก็แค่ทำหน้าที่รุ่นพี่” คนขี้เก๊กตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปพิมพ์งานต่อ

“ขอบใจ”

“ฉันไม่อยากได้คำขอบใจ แค่นายไม่มายุ่งกับชีวิตฉันอีก ฉันก็พอใจแล้ว”

ขนาดปรามมันไปแล้วนะเนี่ย แต่ดูเหมือนมันจะแกล้งไม่ได้ยินซะงั้น แถมยังเดินตรงดิ่งเข้ามาตื๊อ
เกาะแข้งเกาะขาจนน่าเตะกลับไปที่เดิม

“นี่ๆ ฉันหิวแล้ว” ไทกิตบไหล่ตื๊อคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน จนเค้าต้องโยนมาม่าให้มันอีกถ้วย

“ไม่เอา… ฉันไม่กินมาม่า ฉันอยากไปกินที่โรงอาหาร อยากกินข้าวหน้าเนื้อ ข้าวหมูทอด ข้าวห่อไข่ ข้าวเทมปุระ…”
แล้วมันก็งอแงเรียกร้องไม่เลิก

“ปิดเทอมจะมีแม่บ้านที่ไหนมาทำอาหารให้นายกิน งี่เง่า!” ซุยด่ามันไปอีกยก แต่นอกจากมันจะไม่สลด
แล้วยังมีหน้ามายิ้มใส่

“โรงอาหารไม่เปิด ไปกินข้างนอกก็ได้นี่ นะ… ซุย”

“ฉันต้องทำงาน”

“คนทำงานก็ต้องกินข้าว ขืนหมกตัวอยู่แต่ในห้องนานๆเดี๋ยวก็รากงอกพอดี ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่าน่า”
 คราวนี้ไทกิไม่พูดเปล่า ยังแย่งเม้าท์มาจากมือรุ่นพี่ เซฟข้อมูลให้แล้วปิดคอมให้เสร็จสรรพ

“ชวนฉันไปกินข้าวข้างนอก แล้วนายมีเงินหรือไง” ซุยมองไอ้ตัวแสบด้วยสายตาเหยียดหยาม
ขนาดเสื้อผ้าที่มันหอบมายังโทรมอย่างกะผ้าขี้ริ้ว ตัวก็ผอมกะหร่องยังกะไม้เสียบผี แบบนี้มันยาจกชัดๆ

“แหะ แหะ” ไทกิหัวเราะกลบเกลื่อน “แหม… เป็นรุ่นพี่ทั้งที เลี้ยงรุ่นน้องแค่นี้ไม่ได้หรือไง”

แล้วมันก็แถไปเรื่อย ลองมันหน้าด้านขนาดนี้ เถียงไปก็คงไม่ชนะ ซุยเลยตัดใจเดินไปหยิบเสื้อแจ็กเก็ตสองตัว
 ตัวหนึ่งใส่เอง ส่วนอีกตัวโยนให้มันใส่

“โอ๊ย… แค่ไปกินข้าว ไม่ต้องแต่งหล่อขนาดนี้ก็ได้” ไทกิแซว “ฉันไม่ใส่นะ ร้อน…”

เท่านั้นแหละ… การตะลุมบอนระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันก็เกิดขึ้น เมื่ออีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้มันใส่เสื้อแจ็กเก็ต แต่มันก็ดิ้นขัดขืน ไม่ยอมให้เค้าใส่ให้

“บอกไว้ก่อนนะ ถ้านายจะออกไปในสภาพชุดผ้าขี้ริ้วแบบนี้ล่ะก็ ไม่ต้องมาเดินกับฉัน และเรื่องที่จะให้ฉันเลี้ยงข้าว
นายก็เลิกคิดไปได้เลย” พอซุยยกเรื่องกินขึ้นมาอ้าง ไอ้ตัวแสบก็รีบหยิบเสื้อขึ้นมาสวม แล้วทำท่านิ่งเงียบเรียบร้อย
เพราะไม่อยากอดตาย

“เสร็จแล้ว ก็ไปกันได้แล้ว เสียเวลาฉันชะมัด”

ซุยเดินบ่นไปตลอดทาง ในขณะที่รุ่นน้องยังเดินตามไปต้อยๆด้วยความร่าเริง
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 16-01-2008 16:07:33
พล็อตเรื่องน่าหนุกเนอะ

เป็นกำลังใจให้คับ

มาต่อไวๆละกัน

 :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-01-2008 18:53:26
 :m23:  หง่า จากที่อ่านมาผมต้องขอโทษจิงๆงับ ตอน search เพื่อดูนิยายผม search อีกเรื่อง
แต่พอลงดันตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาลง  โดยที่ไม่ได้ดูเลย  ไงก็ขอโทษโม กะ ทุกคนด้วยนะค๊าบ
ผิดพลาดจิงๆ แต่เรื่องนี้ผมขอมาจากคุณ foggy ผ่านทางเมล์แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง
ยังไงผมขออณุญาตลงต่อให้จบนะค๊าบ  ขอโทษทุกคนที่อ่านแล้วด้วยคับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-01-2008 19:04:49
มะเป็นไรคับน้อง Unn

เอามาลงต่อเลยครับ

พี่อยากอ่านต่อแว้ววววววววววววววววววววว  :mc2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-01-2008 19:05:52
 :m22: Chapter 5 Night Carnival

“เอาข้าวหน้าเนื้อชุดใหญ่ เกี๊ยวซ่า โซบะ อ้อ… แล้วก็ซุปมิโสะด้วยนะ เร็วๆด้วยนะครับ”
ไอ้ตัวแสบมันสั่งเอาๆชนิดไม่เกรงใจคนเลี้ยงที่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

“อ้าว… นายก็สั่งมั่งสิซุย เอาให้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ทำไม… นายจะจ่ายหรือไง” ซุยย้อน ไอ้ตัวดีเลยแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“แหม… ก็เงินนาย ไหนๆก็ออกมาแล้ว กินให้เต็มที่เลยสิเพื่อน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะไม่รู้ด้วยนะ”

“ไม่ต้องมาทำพูดดี ฉันจะอดทนแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ฉันจะเอานายไปคืนให้อาจารย์ชิงุเระ”

“แต่ฉันชอบห้องนายแล้วนี่” ไทกิบ่นอุบคนเดียว

“อะไรนะ?” ซุยได้ยินไม่ถนัด เลยต้องถามซ้ำ

“เปล่า… ไม่มีอะไร นั่นไงข้าวมาแล้ว กินก่อนดีกว่า”

พอคุณป้าเจ้าของร้านวางกับข้าวลง ไทกิก็จัดการโซ้ยเรียบเหมือนตายอดตายอยากมานาน
ซุยที่กำลังเขี่ยข้าวของตัวเองยังต้องผลักจานไปห่างๆ เพราะเห็นมันกินแล้วรู้สึกจุกแทน จนกินไม่ลง

“อี้อาย… อิดเออม อำไอไอ้อับอ้านอ่ะ (นี่นาย… ปิดเทอม ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ)” ขนาดมีของกินอยู่เต็มปาก
มันก็ยังเปล่งเสียงพูดออกมาได้ เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่ห้ามลอกเลียนแบบ

“ไม่ใช่เรื่องของนาย” คนขี้เก๊กยังคงเก๊กตามฟอร์ม

“หรือว่านายไม่มีบ้าน เป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ” พอไม่ตอบ มันก็เล่นสรุปเองตามใจชอบ

“บ้านฉันอยู่เกียวโต พ่อแม่พี่น้องของฉันก็ยังอยู่ครบ ไม่รู้อะไรแล้วอย่ามามั่วได้มั้ย”

“ก็แค่ถามเฉยๆ อยากไม่ตอบดีๆก่อนทำไม”

ไทกิยักคิ้วแผล็บ ซุยวางช้อน เพราะเริ่มหงุดหงิดจนกินไม่ลง

“นายไม่กิน งั้นฉันกินนะ” พอซัดของตัวเองจนหมดเรียบ มันก็คว้าจานข้าวของรุ่นพี่ไปกินต่อ
หลังจากนั้นมันก็สั่งเพิ่มอีกหลายจาน เหมือนกะจะกินตุนไว้เผื่อจำศีลหน้าร้อนอย่างนั้นแหละ

หลังจากปล่อยให้มันกินจนหนำใจ เจ้ามือก็เดินไปเช็คบิล ไอ้ตัวดีที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ
ทำท่าจะอ้าปากสั่งกลับไปกินต่อที่ห้อง เจ้ามือเลยต้องรีบเอามืออุดปากไว้ แล้วลากมันออกมาจากร้าน

“ฉันไม่เคยเห็นใครกินล้างกินผลาญเหมือนนายมาก่อนเลย ให้ตายเถอะ!”
ซุยเดินบ่นตลอดทาง แต่ไอ้ตัวแสบไม่สะทกสะท้าน เรดาร์ของมันยังมองหาของกินไม่เลิก
แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับถนนสายเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีงานเทศกาล ดูท่าทางจะน่าสนุก

“นี่ๆ เข้าไปดูกันหน่อยดีมั้ย” ไทกิกระตุกแขนเสื้อชวนรุ่นพี่ที่กำลังเอือมสุดขีดกับนิสัยเอาแต่ใจของมัน

“ไม่… ดึกแล้ว กลับได้แล้วน่า ฉันต้องทำงานต่อ”

“โอ๊ย! งานของนายไม่หนีไปไหนหรอก เดินเที่ยวแป๊บเดียวเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

แล้วมันเคยฟังเค้าซะที่ไหน พูดเองเออเองเสร็จก็ลากเค้าเข้าไปในงานเทศกาลเฉย
ถนนทั้งสายหน้าศาลเจ้าถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายของและร้านเล่นเกมชิงของรางวัล
ผู้คนที่มาเที่ยวงานก็มีแต่คนแต่งชุดยูคาตะ ไทกิรู้สึกคิดถูกที่ยอมใส่เสื้อสุดเท่ของรุ่นพี่ออกมาเดิน
 ไม่งั้นขืนใส่ผ้าขี้ริ้วออกมาเที่ยวงานคงขายขี้หน้าแย่

“ฉันอยากเล่นอันนี้”

ไทกิเจอบ่อตกปลาทองก็คุกเข่าลงนั่ง ทำท่าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ แถมยังดึงคนที่ไม่เต็มใจลงมานั่งด้วยกัน
 แค่มาเดินเที่ยวงานโท่งๆแบบนี้ เค้าก็ขายขี้หน้าจะแย่อยู่แล้ว ยังจะมาชวนเล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้
ไทกิช้อนปลาทองในบ่อ แต่ช้อนยังไงก็ช้อนไม่ได้ซะที จนเจ้าตัวชักเริ่มหงุดหงิด

“โธ่ว้อยยย! ทำไมช้อนไม่ได้ซะทีฟะเนี่ย!” เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ จนเจ้าของร้านหัวเราะลั่น

“ไอ้หนู… ขืนช้อนแบบนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็ช้อนไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ”

พอเจอเจ้าของร้านหยามกันขนาดนี้ เลือดเดือดก็กระพือขึ้นหน้าคนดื้อ มันทู่ซี้จะช้อนปลาทองให้ได้จนน้ำกระเด็น
มาโดนหน้าซุยที่นั่งอยู่ข้างๆ ความอดทนของเค้าก็หมดแล้วเหมือนกัน รุ่นพี่คนสำคัญแย่งที่ตักปลาทองจากมือรุ่นน้อง
 แล้วช้อนทีเดียวเท่านั้น ปลาทองเจ้ากรรมก็กระโดดม้วนตัวลงไปในถุงที่รอรับอย่างสวยงาม

แปะๆๆๆๆๆๆ

เสียงชาวบ้านที่มุงดูอยู่พากันปรบมือเกรียวกราว

“โห… สุดยอด นายเท่มากเลยซุย สมแล้วที่มีชื่อเป็นน้ำ แน่มาก”

“ได้ปลาแล้วก็ไปกันได้แล้ว” ซุยยื่นปลาทองที่ว่ายอยู่ในถุงยัดใส่มือไอ้ตัวแสบ “ฉันให้นาย”

“ฮ่าๆๆๆ ดีใจด้วยนะไอ้หนู นอกจากจะมีแฟนหล่อแล้วยังใจดีอีกต่างหาก น่าอิจฉาๆ”

พอเจอแซวแบบนี้ สองหนุ่มน้อยร่วมสถาบันก็หน้าขึ้นสีทันตาเห็น แล้วคนที่หน้าบางที่สุด
ก็ต้องเป็นฝ่ายลากคนหน้าด้านอย่างมันหนีฝูงญี่ปุ่นมุงออกมา

“นายเลิกทำตัวงี่เง่าซะทีจะได้มั้ย ฉันขายขี้หน้าเค้า”

“ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย นายนั่นแหละ ทำตัวเป็นคุณชายเฝ้าห้อง ทุเรศ!”

ด่ากันไปด่ากันมากลางถนน จนคนเริ่มมอง พวกมันถึงเงียบ

“ฉันจะกลับแล้ว” ซุยบอกเสียงเข้ม คราวนี้ยังไง้ ยังไง ก็จะไม่ยอมตามใจมันเด็ดขาด

“อะไรกัน… ยังเดินไม่ทั่วเลย ฉันอยากไปต่อ”

“ไม่!”

“เออน่า… อย่างน้อยก็ไปไหว้พระก่อนกลับก็ได้ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว นั่นไง”

ไทกิเดินลิ่วๆนำหน้า คนดื้อยังไงมันก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ ซุยก็เลยต้องเดินตามไปคุมต่อด้วยความเหนื่อยใจ

ในศาลเจ้า บรรยากาศเงียบและสงบกว่าข้างนอก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกคู่รักที่เข้ามาขอพรและจู๋จี๋กันเงียบๆ
 ซุยเห็นพวกคู่รักที่ยืนหวานอยู่ข้างๆแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกพร้อมก้มหน้านิ่ง แต่ไอ้ตัวป่วนมันจะรู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย
ว่าเข้ามาในที่ที่ไม่ควรเข้ามาซะแล้ว

ไทกิโยนเหรียญลงไปในกล่อง แล้วยืนหลับตาขอพรอยู่ตั้งนาน จนคนที่ยืนข้างๆก็ยังอดสงสัยไม่ได้
มันทำบุญแค่เศษสลึง แต่ขออะไรกันนักกันหนา พระท่านจะบ้าจี้ให้มันมั้ยล่ะเนี่ย ซุยเลยโยนเหรียญลงไปเพิ่ม

“นายไม่ขอพรเหรอ” ไอ้ตัวดีลืมตาขึ้นมาถาม มันเห็นเค้าโยนเหรียญลงไปแล้วไม่ขออะไรเลย คงสงสัย

“นายขอเถอะ ฉันไม่ชอบติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากได้อะไร ก็ต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง”

“ฉันรู้… นายมันแน่” ไทกิยักคิ้วกริ่ม “แต่นายทำบุญให้ฉันเนี่ย ระวังชาติหน้าจะได้เจอกันอีกนะ”

พอเจอมุกนี้เข้า ซุยแทบอยากจะลงไปงัดตู้บริจาคแล้วเอาเงินทำบุญกลับคืนมา
เจอกับมันชาตินี้ชาติเดียวก็ถือว่าซวยจะแย่ ขืนให้เจอกันอีกชาติคงไม่ไหว ยอมเป็นคนบาปซะยังดีกว่า
ระหว่างที่มันกำลังขอพรรอบสอง จู่ๆไฟในศาลเจ้าก็ดับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงจุดพลุดังกึกก้อง
แล้วพลุสวยๆก็เดินขบวนกันบานอวดโฉมกลางท้องฟ้า ไทกิลืมตาขึ้น แล้วเผลอจับมือคนข้างๆชี้ชวน
ให้ดูพลุด้วยความตื่นเต้น

“นี่… ซุย ดูสิ สวยมากเลย”

“ฉันเห็นมาจนเอียนแล้ว นายไม่เคยเห็นพลุหรือไง”

ไทกิอ้ำอึ้ง แล้วตีหน้าเศร้า ที่ผ่านมาเค้าถูกขังให้อยู่เฉพาะในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
ขนาดดวงอาทิตย์ก็ยังลืมไปแล้วว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แล้วพลุสวยๆแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ

“ฉันไม่เคยเห็นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเที่ยวงานเทศกาล และเห็นพลุสวยๆแบบนี้”
ซุยขมวดคิ้วมุ่น และไม่รู้เมื่อไหร่ที่เผลอไปบีบมือเล็กๆของมันแรงขึ้น

“นายไปหมกอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นมาล่ะ ถึงไม่เคยเห็น”

“ใครบอกว่าฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นล่ะ ที่ผ่านมาฉัน…” แล้วไอ้ตัวแสบที่ปกติอ้าปากพูดจ๋อยๆก็ปิดปากเงียบ
ตาสวยๆของมันเริ่มมีน้ำตารื้น แต่รู้สึกเหมือนมันกำลังฝืนไม่ให้ไหลออกมา

“ช่างเถอะ เรื่องของนาย ฉันไม่อยากรู้”
รุ่นพี่เป็นฝ่ายตัดบทไปเอง แล้วเงยหน้ามองพลุบนท้องฟ้าต่อ ไทกิตอนแรกก็ตกใจ ถึงจะรู้จักกันไม่นานนัก
 เค้าก็พอรู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นคนดีและน่านับถือ ไทกิมองไปรอบๆ เห็นคู่รักหลายคู่ยืนจับมือกันดูพลุบนท้องฟ้า
อย่างมีความสุข ไทกิเลยเผยอก้มมองมือใหญ่ที่จับมือของตัวเองไว้บ้าง

อันที่จริงมือข้างนี้ทั้งใหญ่และอุ่นมาก… พอเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของที่กำลังตั้งใจดูพลุก็ยิ่งน่าทึ่ง
ทำไมเค้าถึงไม่สังเกตเลยว่ารุ่นพี่คนนี้หล่อและโดดเด่นแค่ไหน เทียบกับพวกผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่มีใครเทียบได้เลยสักคน นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิง แล้วได้มาเดินเที่ยวกับรุ่นพี่คนนี้สองต่อสอง มีหวังคงยืดพิลึก
แต่เสียดายที่เค้าเป็นผู้ชาย มันก็เลยออกจะแปลกๆไปหน่อย…

“นายจ้องหน้าฉันทำไม” คนข้างๆส่งเสียงดุ ไหนมันบอกจะดูพลุ กลับเอาแต่ยืนจ้องหน้าเค้าอยู่ได้

“ก็เปล่านี่” ไอ้ตัวดีตอบแก้เก้อ “ตอนแรกเห็นนายไม่สนใจดูพลุ แต่ตอนนี้ตั้งใจดูใหญ่ ฉันเลยว่ามันตลก”
มันย้อน แถมยังมีหน้ามายักคิ้วล้อเลียน

“แค่นี้พอใจแล้วใช่มั้ย งั้นก็กลับกันได้แล้ว”

ซุยรีบเดินหนี เพราะขืนอยู่กับมันนานกว่านี้ มีหวังคงได้โมโหจนอกแตกตายแน่ ไทกิรีบวิ่งตามมาเกาะแขนอย่างร่าเริง

“ขอบใจนะ ซุย”
ไทกิบีบมือรุ่นพี่แทนคำขอบคุณพร้อมกับยิ้มหวานให้ ก่อนจะเผ่นหนีไปเดินนำหน้า
ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นอ่อนโยนจากมือน้อยๆให้คนข้างหลังต้องประหลาดใจเท่านั้น…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-01-2008 19:15:31
 :m22:Chapter 6 Secret Order

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ”

อาจารย์ชิงุเระจบคำสรุปทิ้งทวน หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดของไอ้ตัวแสบให้ศิษย์โปรดฟัง
วันนี้ซุยอุตส่าห์รีบถ่อมาหา ผอ. แต่เช้าตรู่เพื่อคืนภาระชิ้นสำคัญให้ แต่กลับกลายเป็นว่าเค้าต้องมารับรู้
ในสิ่งที่ไม่คาดฝัน

“ที่บ้านของเธอได้รับคำสั่งลับให้คุ้มกัน ‘Red Rose’ และคุณพ่อของเธอก็เลือกให้เธอรับหน้าที่นี้ด้วย”

ซุยพยักหน้าเนิบๆ ถึงแม้จะยังช็อกอยู่ งานของที่บ้าน… มีแต่งานน่าหนักใจทั้งปี

“ริเอะเค้าวางใจส่งลูกชายมาที่นี่ เพราะเค้าเชื่อว่าครูจะปกป้องไทกิได้ดีที่สุด แต่ถึงยังไงครูก็ต้องถามความสมัครใจ
ของเธอก่อน ถ้าเธอไม่รับ ครูก็คงต้องมอบหมายภารกิจนี้ให้พวกตระกูลโซมะ”

โซมะ… ตระกูลคู่แข่งของเทนโนะตั้งแต่สมัยเอโดะ ถ้าพ่อรู้ว่าเค้าปฏิเสธงาน แล้วพวกโซมะได้งานสำคัญนี้ไปล่ะก็
 เค้านั่นแหละที่จะโดนคนที่บ้านตามเก็บซะเอง

“ยังไงก็เป็นคำสั่งพ่อ ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงไม่อยากทำก็เถอะ”

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่าซุย พ่อเธอคาดหวังกับเธอมากที่สุด เพราะเห็นว่าเธอมีพรสวรรค์
เธอน่ะทำงานนี้ได้อยู่แล้ว มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”

“ผมไม่เคยสนเรื่องพรสวรรค์อะไรนั่น บ้านผมทำงานก็เพราะเงิน ยิ่งงานเสี่ยงตายแบบนี้ ถ้าไม่คุ้มจริงๆ
พ่อก็คงไม่รับหรอก”

“งั้นเอาเป็นว่าการเจรจาเป็นผลสำเร็จ ครูฝากชีวิตไทกิด้วยนะซุยคุง อันที่จริงเค้าเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก
 ครูอยากให้เธอดูแลเค้าให้ดีที่สุด”

“อาจารย์ก็รู้ว่าผมไม่เคยทำงานนอกเหนือคำสั่ง” ซุยตัดบทและเลี่ยงภาระที่ไม่จำเป็น
“แต่ผมก็รับปากได้อย่างหนึ่งว่าตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ไอ้บ้านั่นไม่มีทางตายด้วยมือใครแน่”

ศิษย์โปรดทำหน้ายุ่งเดินออกจากห้อง ชิงุเระเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หยิบรูปถ่ายที่เก็บไว้ในลิ้นชักออกมาดู
ผู้หญิงในรูปถ่ายอยู่ในชุดมัธยม หน้าตาสวยมาก เธอถ่ายรูปคู่กับเด็กหนุ่มแว่นหนา หัวกระเซิง
ที่ตอนนี้ได้สลัดคราบเดิมจนแทบไม่มีใครจำได้แล้ว ชิงุเระมองดูรูปใบนั้นด้วยความคิดถึง

“เธอจะใจร้ายกับไทกิคุงเกินไปหรือเปล่าริเอะ… รีบกลับมาซะทีเถอะ เค้าต้องการเธอมากนะ
และฉันเอง… ก็เหมือนกัน”

ซุยเดินกลับขึ้นหอลมด้วยสีหน้าที่เครียดหนัก ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เด็กแสบในสภาพผ้าขี้ริ้ว จะเป็นคนดังที่ใครๆก็หมายหัว
ตามล่า ท่าทางเค้าจะตกที่นั่งลำบากซะแล้ว

“นายไปไหนมา?”
เสียงทักที่ทำให้คนเหม่อต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นไอ้ตัวแสบกำลังสะพายเป้โทรมๆยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

“แล้วนายล่ะ จะไปไหน?”
“ก็นายให้ฉันอยู่แค่คืนเดียวไม่ใช่เหรอ ฉันก็กำลังจะไปอยู่นี่ไง แต่นายไม่อยู่ ฉันก็ไม่รู้ว่านายมีกุญแจเข้าห้องหรือเปล่า
เลยยังไม่ล็อกห้องรอนายอยู่นี่ไง นายกลับมาก็ดีแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ ขอบใจมากที่ให้ฉันพักด้วยเมื่อคืน”

ไทกิสะพายเป้ขึ้นบ่าเตรียมไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่ แต่พอเดินผ่านหน้ารุ่นพี่ขี้เก๊ก
มันกลับคว้าแขนเค้าหมับและรั้งไว้ไม่ให้ไป

“นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันให้นายอยู่ต่อจนกว่าจะเปิดเทอม”

“อ้าว… ก็ไหนนายบอกจะให้ฉันอยู่แค่คืนเดียวไง”

“อาจารย์ชิงุเระสั่งให้นายอยู่ที่นี่ต่อ”

“อ้อ” ไทกิพยักหน้า ที่แท้ก็เพราะคำสั่งอาจารย์นี่เอง

“แล้วเป้นั่นก็เอาไปเก็บซะ ฉันจะพานายไปข้างนอก”

“ไปไหน?”

ซุยมองไอ้ตัวเจ้าปัญหาตาขวาง “ถ้านายไม่ถามสักครั้งจะตายมั้ย หัดหุบปากซะบ้างเถอะ ฉันรำคาญ”

“นี่… นายจะพาฉันออกไปไหนก็ไม่รู้ คิดมิดีมิร้ายหรือเปล่า แล้วจะไม่ให้ฉันถามได้ไง”
คราวนี้รุ่นพี่กวาดสายตามองไอ้ตัวดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปากสวยๆเหยียดรอยยิ้มเยาะเย้ย

“อย่างนายเนี่ย หางตาฉันยังไม่อยากจะแล โทรมยังกะลูกหมา”

“หนอย… ซุย!” หมัดเล็กๆลอยคว้างเฉียดศีรษะของคนที่ก้มตัวหลบได้อย่างว่องไว

“คนอย่างนายก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเหมือนกัน อวดดีขี้เก๊กไม่มีใครเกิน ทุเรศ!”

“งั้นก็ดีแล้ว ฉันไม่สนนาย นายก็ไม่สนฉัน ต่างคนต่างอยู่ก็ถือว่าแฟร์ดี เอาล่ะ… เลิกเต้นเหยงๆไม่เข้าท่า
 แล้วเอาไอ้เป้ห่วยๆของนายไปเก็บได้แล้ว ฉันจะไปรอข้างล่าง ถ้าภายในห้านาทีนายไม่ลงไปล่ะก็
อย่าหาว่าฉันโหดก็แล้วกัน”

รุ่นพี่ขู่สำทับ แต่ไทกิได้ฟังแล้วยิ่งเดือด เค้าโยนเป้ไปโดนแก้วน้ำบนโต๊ะจนแตกกระจาย
ก่อนจะตามรุ่นพี่ขี้เก๊กลงไปข้างล่าง

ซุยพาไทกิไปที่ย่านฮาราจูกุ แหล่งศูนย์รวมแฟชั่นของวัยรุ่นญี่ปุ่น เล่นซะคนที่กำลังหลบโจทย์เก่า
ต้องหาหมวกมาคลุมหน้าคลุมตาจนมิด

“พาฉันมาที่นี่ทำไม?” มันพาเค้าเดินมาไกลโขแล้วนะเนี่ย จะว่าพามาช้อปปิ้งก็ไม่ใช่
 เพราะไม่เห็นมันจะพาแวะที่ไหนเลย เค้าก็เลยต้องถามซะหน่อย

“อย่าถามมากได้มั้ย เดี๋ยวนายก็รู้เอง”

ไม่ถามได้เรอะไอ้บ้า… พาเดินมาไกลขนาดนี้ คนเค้าก็เหนื่อยเป็นนะเฟ้ย

“นั่นไง… ถึงแล้ว”
ซุยชี้ไปยังตึกสีขาวหลังใหญ่ ที่ดูเหมือนจะเป็นสำนักงานอะไรสักอย่าง เค้าเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
แสดงบัตรพาสปอร์ตวีไอพี จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังสำนักงานชั้นสูงสุด บนนั้นเหมือนเป็นคลับ
ของพวกคนมีฐานะ ขนาดโซฟาที่ให้แขกนั่งยังนิ่มจนไทกิชักไม่อยากจะลุกไปไหนอีกแล้ว

“อ้าว… ซุยคุง ลมอะไรหอบนายมาล่ะเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่ยักกะมาที่คลับ สงสัยฉันคงต้องบอกลูกน้อง
ให้เตรียมรอรับพายุฝนฟ้าคะนองลูกใหญ่ซะแล้วมั้ง”

ชายหนุ่มรูปหล่อ ผมสีเงินยวง ตาสีฟ้าเหมือนลูกครึ่ง แต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาวภูมิฐาน
เค้าทักทายซุยเหมือนเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน

“ถ้าไม่จำเป็น ฉันก็ไม่อยากมานักหรอก” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางไอ้ตัวแสบที่ยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโซฟา
“คาน่อน… นายช่วยจัดการไอ้หมอนี่ให้ดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยได้มั้ย”

คาน่อนเดินเข้าไปหาไอ้ตัวแสบที่ว่า ไทกิมองคนแปลกหน้าด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ
ถึงคนๆนั้นจะยิ้มหวานให้ตลอดเวลาก็ตาม

“ไหน… ขอดูหน่อยซิ” คาน่อนเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา
“หน้าตาสวยดี ทำไมถึงปล่อยให้โทรมขนาดนี้ล่ะ น่าเสียดายออก” คาน่อนส่ายหัว
 ก่อนจะหยิบผมที่เป็นสังกะตังขึ้นมาดู “ผมนี่ก็น่าจะเล็มแล้วทำสปาซะหน่อย”

เอ๊ะ… สปาด้วยเรอะ มันชักจะทะแม่งๆยังไงแล้วสิ ไทกิรีบส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่อย่างเร่งด่วน
แต่ซุยก็แกล้งเบือนหน้าหนีทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“แต่ผิวสวยใช้ได้ ถ้าได้ขัดซะหน่อยล่ะก็เจ๋ง เอาเป็นว่าเรามาทำทั้งตัวเลยก็แล้วกัน”

ข้อสรุปที่ไทกิฟังแล้วแทบลมจับ โดนพามาที่แปลกๆ เจอหน้าคนแปลกๆ
แล้วยัง… จะโดนทำอะไรแปลกๆอีกด้วย ไม่เอานะ… ไม่เอา!

“จะทำอะไรก็แล้วแต่นายเหอะคาน่อน ขอแค่ให้มันพ้นสภาพลูกหมาก็พอแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ”

ซุยทำท่าจะเดินหนี แต่โดนไอ้ตัวดีกระโดดเข้ามากอดคอหมับ พร้อมกับร้องห่มร้องไห้
เหมือนลูกหมาที่ถูกเจ้าของเอามาปล่อยวัด

“ไม่นะ… ซุย ไหนนายบอกจะให้ฉันอยู่ด้วยไง นายจะทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะไปกับนาย
จะพาฉันไปโขกสับที่ไหนก็ได้ แต่ขอร้องอย่าทิ้งฉันไว้กับตุ๊ด!”

เสียงฟูมฟายของมัน ทำเอาสองหล่อถึงกับอึ้งมองตากันปริบๆ ก่อนที่คาน่อนจะเป็นฝ่ายระเบิดเสียงหัวเราะฮากลิ้ง
 แต่อีกคนกลับทำหน้าพะอืดพะอมพูดไม่ออก

“นี่น้องชาย… ถึงฉันจะเป็นคนเนี้ยบเรียบร้อยแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่พวกไม้ป่าเดียวกันหรอกนะ
มันเป็นธุรกิจ และลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ฉันก็เลยจำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีหน่อย
แต่สำหรับซุยคุงล่ะก็ไม่แน่ ไปกอดมันซะแน่นขนาดนั้น ระวังมันจะเคลิ้มเอาล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

คาน่อนเปรยให้ฟัง จนไทกิแทบกระโดดออกจากคอรุ่นพี่ไม่ทัน

“จริงอ่ะ!” แล้วไอ้ตัวดีมันก็เชื่อสนิท

“เลิกพูดพล่อยๆซะทีได้มั้ยคาน่อน เจอฤทธิ์ ‘โนะอิ’ คราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกหรือไง”
พอซุยพูดถึงชื่อต้องห้าม หน้าใสๆของคาน่อนก็ถอดสีซีดเผือดทันตาเห็น

“อย่าเอาชื่อเบื้องบนมาลบหลู่ได้มั้ย ฟังแล้วขนลุก” คาน่อนทำท่าชวนสยอง ก่อนจะเข้ามาจัดการภาระชิ้นสำคัญต่อ
 “เอาล่ะ… นายจะไปทำธุระไม่ใช่เหรอซุย ส่วนไอ้น้องคนนี้ไม่ต้องห่วง ฉันจะแปลงโฉมให้สุดฝีมือเลย
รับรองตอนค่ำๆพอนายมารับ ต้องจำเค้าไม่ได้แน่”

“เออ… ฉันก็เชื่อฝีมือนายถึงได้พามานี่ไงล่ะ แล้วก็ฝากวัดตัวตัดเครื่องแบบนักเรียนให้มันด้วยแล้วกัน
ขอชุดลำลองหลายๆชุดด้วยนะ ที่เอามาน่ะขยะทั้งนั้น”

ซุยสั่งครบชุด เพื่อนซี้ก็รับปาก พอมันลงไปแล้ว เค้าก็หันมาแสยะยิ้มให้ไทกิที่กำลังหวั่นใจว่าจะโดนทำอะไรบ้าง

“มาเถอะหนุ่มน้อย… ฉัน คาน่อน เอเดรียน จอมสลัดคราบมือหนึ่ง จะทำให้นายได้เป็นดาวแห่งโรงเรียนรินคังเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะชวนสยองยังดังก้องติดหูไทกิ ก่อนที่เค้าจะโดนทีมงานนับสิบคนมารุมทึ้ง จนไม่รู้ตัวว่าวันนั้นทั้งวันโดนทำอะไรไปบ้าง

เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ…. ได้เวลาที่รุ่นพี่คนสำคัญต้องกลับมารับตัวเค้าแล้ว
 
ซุยเดินคิดอยู่หลายตลบ ที่ผ่านมาถึงจะมีประสบการณ์คุ้มกันลูกค้าวีไอพีระดับประเทศมานับไม่ถ้วน
แต่การที่ต้องคอยคุ้มครองไอ้ตัวแสบกลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่า ที่สำคัญ… ยังพัวพันกับองค์กรมืด
ที่เค้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว พ่อเคยสอนมาตลอดว่าต่อให้ค่าจ้างแพงแค่ไหน
ก็อย่ารับงานที่เกี่ยวข้องกับ ‘Death Flowers’
แต่เพราะอะไรพ่อถึงเปลี่ยนใจ… ยอมให้เค้ารับงานเสี่ยงตายดูแลหนึ่งในสามยมทูต
…Red Rose…

ประตูกระจกเลื่อนเปิดเองโดยอัตโนมัติ คนใจลอยก็ก้าวพรวดเข้าไปข้างใน ปะทะกับใครบางคนที่ยืนรออยู่
พอเงยหน้าขึ้นมองจนเห็นเต็มสองตา คนใจลอยก็ถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก
หนุ่มน้อยวัยสิบหกที่สลัดคราบยาจกทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง กำลังยืนยิ้มแป้นแล้นใส่ หน้ามันทั้งสวยทั้งใส
หวานจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นผู้ชาย ผมถูกย้อมใหม่เป็นสีแดงอ่อน รับกับตาสีน้ำตาลอมแดงที่เจ้าของกำลังยักคิ้วให้
…Red Rose… กุหลาบสีเลือด นี่เองคือที่มาของฉายายมทูตคนสำคัญแห่ง Death Flowers

“นายมาช้ามาก ปล่อยให้ฉันรอ หิวก็หิว เบื่อก็เบื่อ เซ็งจะตายชัก”
ซุยถอนใจปลงชีวิต หน้าตาที่เปลี่ยนไปไม่ช่วยให้นิสัยแย่ๆของมันดีขึ้นสักนิด กุหลาบสีเลือดเรอะ…
 คงต้องเปลี่ยนเป็นกุหลาบโชกเลือดดีกว่ามั้ง ถ้าปากมันยังหมาขนาดนี้

“ฉันไปธุระหลายที่” คนมาช้าแก้ตัว

“นายมาก็ดีแล้ว ฉันหิวข้าวมากเลย พาไปหาอะไรกินหน่อยสิ” แล้วไอ้ตัวแสบก็กระโดดมากอดแขนคลอเคลีย
ทำตัวสมเป็นลูกหมาที่สุด

“คาน่อนอยู่ไหนฦ” ซุยทำหูทวนลม แล้วถามหาอีกคนเพื่อเคลียร์งานชิ้นแรกให้เรียบร้อย

ไอ้ตัวดีส่ายหน้า “ไม่รู้สิ… ฉันชวนคุยอยู่ดีๆ คาน่อนก็บอกว่ามีธุระ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

ซุยแอบอมยิ้ม ท่าทางเพื่อนซี้ของเค้าคงเจอฤทธิ์ปากหมาของไอ้ตัวแสบเข้าแล้วล่ะสิ

“ซุยกลับมาแล้วเหรอ”
คาน่อนออกมาในสภาพโทรมจนแทบไม่เหลือเค้าเจ้าชายสุดเนี้ยบ
ท่าทางมันจะไม่ได้เจอฤทธิ์ปากอย่างเดียว แต่อาจจะเจอฤทธิ์บาทามันด้วย

“ทั้งหมดหนึ่งล้านสามแสนเยน จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง” คาน่อนแบมือใส่หน้า พอเจอกันปุ๊บ
มันก็ทวงเงินปั๊บ เคี่ยวสมชื่อจริงๆ

“ค่าอะไรของนาย แพงตั้งขนาดนั้น”

“นี่… เพื่อน เฉพาะค่าเครื่องแบบโรงเรียนรินคังก็ชุดละแสนแล้ว
ห้าชุดรวมเซ็ตหน้าร้อนกับหน้าหนาว ทั้งหมดก็ห้าแสน นี่ฉันแถมชุดพละให้ฟรีแล้วนะ
เอาน่า… อย่าพูดมาก จ่ายมาซะดีๆ”
คาน่อนกระดิกนิ้วทวงตังค์ยิกๆ ซุยหยิบเช็คออกมาเซ็นให้อย่างหงุดหงิด

“ขอบใจมาก… ต่อไปถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะเพื่อน ไม่ต้องเกรงใจ”

“ไม่เกรงใจอยู่แล้ว เพราะมาทีไรฉันก็เสียเงินทุกที”

“ก็นี่มันเป็นธุรกิจ บ้านนายก็ทำธุรกิจ เรื่องแค่นี้ยังไม่ชินอีกเหรอซุย”

‘ก็เพราะชินน่ะซี้ ถึงได้รู้ว่านายมันเคี่ยว…’ ซุยแอบบ่นในใจ

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

ซุยพยักหน้าเรียกไอ้ตัวแสบที่กำลังยืนลูบท้อง คาน่อนก็เดินไปส่งที่หน้าลิฟท์

“ระวังตัวด้วยนะซุย ฉันรู้ว่านายกำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอก ในฐานะเพื่อนฉันไม่คิดเงิน”
คาน่อนบอกลาและยิ้มให้ ซุยยกนิ้วโป้ง แล้วพาไอ้ตัวแสบเดินจากไป

“นายกับคาน่อนเป็นเพื่อนกันมานานแล้วเหรอ?” ไอ้ตัวแสบที่เดินมาด้วยกันถาม

“ไม่เกี่ยวกับนาย”
คนขี้เต๊ะก็ยังเต๊ะอยู่วันยังค่ำ ถามอะไรก็ไม่ตอบ งก!

“อ่ะ… ฉันให้”
จู่ๆคนที่เค้าเพิ่งด่าในใจว่างก มันก็ยื่นบัตรเครดิตแพลตตินัมใบสวยหรูมาให้

“โห… ให้ฉันเหรอ” ไทกิรับมาด้วยความตื่นเต้น คงต้องขอโทษมันหน่อยแล้วที่ไปด่ามันว่างก
ทั้งที่ใจป้ำให้อะไรตั้งมากมายขนาดนี้ “รูดได้ไม่จำกัดวงเงินหรือเปล่าเนี่ย”

“อยากใช้แค่ไหนก็ใช้ไปสิ ยังไงก็เงินของแม่นายอยู่แล้ว”

คำพูดที่เปลี่ยนรอยยิ้มของคนที่กำลังดีใจให้หุบลงในพริบตา ไทกิหักบัตรเครดิตแพลตตินัมในมืออย่างไม่ใยดี
“ฉันก็กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” ซุยแอบอมยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตสีทองอีกใบไปให้

“ฉันไม่เอา!” ไทกิปฏิเสธเสียงแข็ง เลือดโมโหฉีดซ่านขึ้นหน้าสมฉายากุหลาบสีเลือด
“เงินสกปรกของแม่ ต่อให้ต้องอดตายฉันก็ไม่มีวันเอามาใช้ นายเก็บไปได้เลย”
ซุยจับมือเล็กๆขึ้นมา ก่อนจะยัดเยียดการ์ดทองบังคับให้มันรับไว้

“ฉันบอกว่าไม่เอาไงเล่า ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง โธ่เว้ยยย!!” ไอ้ตัวแสบเต้นเหยงๆ ด่าผู้มีพระคุณ
ที่อุตส่าห์ให้ที่ซุกหัวนอนฉอดๆ

“ฉันรู้แล้วว่านายไม่เอาเงินของแม่นาย” ซุยตวาดกลับ จับบ่ามันไว้แน่น
เผื่อจะช่วยให้เลือดที่เดือดขึ้นหน้ามันเย็นลงบ้าง

“แต่การ์ดใบนี้เป็นของฉันเอง การ์ดของฉัน วงเงินที่เบิกจ่ายก็เป็นเงินในบัญชีฉัน
จะเอาหรือจะหักทิ้งก็เรื่องของนาย ถ้าอยากอยู่แบบอนาถาก็ตามใจ ฉันไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว”

พอคนที่เคยเงียบตวาดกลับมาเป็นชุด คนที่พูดมากมาตลอดก็ได้แต่มองตาปริบๆ ซุยเดินหนีไปอย่างหงุดหงิด
งานที่ไม่น่ายาก มันก็ยังอุตส่าห์ทำให้ยากจนได้… งี่เง่าชะมัด

ไทกิยืนงงอยู่พักใหญ่ มองตามแผ่นหลังรุ่นพี่ขี้เก๊กที่เดินหนีไปลิ่วๆ ก่อนจะวิ่งตามไปกวนโมโหต่อ

“นี่… ซุย การ์ดใบนี้รูดได้ไม่จำกัดวงเงินหรือเปล่า”
มันก็ถามไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจคิดแผนไว้เรียบร้อยว่าจะรูดให้เกลี้ยง ปิดบัญชีแทนรุ่นพี่ขี้เก๊กซะเลย

“ฉันขอเตือนไว้ก่อน ถ้ายอดเงินในบัญชีฉันลดลงฮวบฮาบแบบไม่มีสาเหตุล่ะก็ นายคงรู้นะว่าชีวิตนายจะเป็นยังไง”
แขนเย็นๆตรงเข้าล็อกคอจอมป่วนเอาไว้ พร้อมกับทำท่าเชือดคอเป็นการข่มขู่
จนไอ้ตัวแสบได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“ล้อเล่นน่าพี่ ใครมันจะไปกล้า แหะ แหะ…” ไอ้ตัวดีหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะโอบแขนกอดไหล่รุ่นพี่สุดที่รัก
เอาไว้บ้าง “ขอถามอะไรอย่างได้มั้ย?”

หน้ากวนๆที่ยื่นเข้ามาใกล้ เปลี่ยนเป็นหวานจนแทบละลาย มันจ้องตาล้วงลึกหาความในใจจนอีกฝ่ายทนไม่ไหว
ต้องรีบหันหน้าหลบ

“ก็ถามมาสิ” ซุยบอกเนิบๆ

“ทำไมนายต้องทำอะไรเพื่อฉันมากมายขนาดนี้ด้วย ยอมแบ่งที่ซุกหัวนอนให้ พาฉันไปเปลี่ยนลุค
 แล้วยังให้เครดิตการ์ดอีก นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ฮึ… ซุย?”

“มันเป็นหน้าที่” คนขี้เก๊กยังกั๊กเหมือนเคย

“นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร นายไม่กลัวฉันเหรอ”

“ฉันรู้แต่ว่านั่นคือหน้าที่” คำตอบสั้นๆที่บอกชัดว่าอย่าพยายามล้วงอะไรไปมากกว่านี้เลย
 ต่อให้ตายมันก็ไม่ยอมคายออกมาหรอก “แล้วอีกอย่างนะ…”

ซุยจ้องแขนขาวเพรียวที่บังอาจลามปามขึ้นมากอดไหล่เค้าไว้อย่างจาบจ้วง

“ถึงยังไงฉันก็เป็นรุ่นพี่ หัดมีสัมมาคารวะไว้บ้างก็ดีนะ ไทกิ”

“ห๊า!!!” ไอ้ตัวแสบร้องลั่น ทำตาพราวระริกระรี้ยังกะลูกหมาที่มีคนใจบุญเก็บไปเลี้ยง
“ไหน… นายลองพูดใหม่อีกทีซิ”

“เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ ฉันบอกให้นายมีสัมมาคารวะ ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องหรือไง”

“ไอ้นั่นน่ะฉันรู้แล้ว (รู้เฉยๆนะ ยังไม่ได้บอกว่าจะทำ) แล้วคำต่อไปล่ะ นายพูดว่าไง”
ซุยขมวดคิ้ว กำลังงงว่าไอ้หมอนี่มันจะเอาอะไรจากเค้ากันแน่

“ฉันพูดอะไร?”
“ฮื้อ… ก็ไอ้คำสุดท้ายนั่นไง”

“ไทกิ…”

“เยส! บิงโก!”

ไอ้ตัวแสบกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจใหญ่ จนรุ่นพี่ต้องรีบจับมันไว้ เพราะอายชาวบ้านจะแย่

“นายจะแหกปากทำไมเนี่ย”

ซุยต้องเหนื่อยด่ามันไปอีกยก แต่มันจะมีสำนึกขึ้นมาบ้างหรือก็เปล่า ยังเอาแต่ทำหน้าตาระริกระรี้
จ้องเค้ายังกะเห็นเป็นตัวประหลาด แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า… ก็ตอนมันพุ่งตัวเข้ามากอดหมับกลางถนน
ชนิดไม่อายฟ้าอายดิน ไม่อายสายตาประชาชี แถมมือมันเหนียวยังกะปลาหมึก แกะยังไงก็แกะไม่ออก
คนหน้าบางก็เลยต้องยอมให้มันกอดจนกว่าจะหนำใจ
อกอุ่นๆใต้เสื้อเชิ้ตบาง จู่ๆก็ชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พอก้มหน้าลงไปดูซุยก็ต้องตกใจอีกรอบ
 ไอ้ตัวแสบที่ไม่เคยสลดมันร้องไห้ ร้องไห้ซบอกของเค้าอยู่

“นาย… ร้องไห้ทำไม ฉันทำอะไรไม่ดีเหรอ ฉันขอโทษ”
ขอโทษกู้สถานการณ์ไปก่อน ถึงไม่รู้ว่าตังเองทำอะไรผิดไปก็เถอะ

ไทกิรีบส่ายหน้า “เปล่าเลย… นายไม่ได้ทำอะไรผิด นายแค่เรียกชื่อฉัน”

“ชื่อ?” รุ่นพี่ขมวดคิ้ว “ก็ถ้านายไม่อยากให้เรียก ต่อไปฉันไม่เรียกก็ได้”

“ไม่นะ… ไม่ใช่ ฉันอยากให้นายเรียก รู้มั้ย… นายเป็นคนแรกที่กล้าเรียกฉันว่าไทกิ”

คำเฉลยที่ซุยฟังแล้วก็ได้แต่งง แถมยังชวนให้หงุดหงิดใจขึ้นมาตะหงิดๆ

“ฉันก็ได้ยิน ผอ. เรียกนายว่าไทกิ”

“นั่นไม่เหมือนกัน คุณชิงุเระเรียกฉันว่าไทกิซัง ขนาดคุณแม่ก็ยังเรียกฉันว่าคุณไทกิ
มีแต่นายที่กล้าเรียกฉันว่าไทกิเฉยๆ”

ตกลงว่ากลายเป็นเค้าใช่มั้ยที่ลามปามบังอาจเรียกชื่อมันตรงๆ ขอโทษทีเถอะ…

“แต่ฉันก็อยากให้นายเรียกฉันว่าไทกินะ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ฉันไม่ถือ”
ซะงั้น…

ซุยยกมือขึ้นกุมขมับ เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจี๊ดๆ เดิมทีตั้งใจจะสอนให้มันมีสัมมาคารวะเคารพรุ่นพี่อย่างเค้าบ้าง
 แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเค้าต้องเคารพคำสั่งมันซะนี่

“อย่างนาย ฉันเรียกไอ้บ้าก็ดีถมเถแล้ว”
ซุยปลงแล้วกับชีวิต ขืนตามใจมันมากไปกว่านี้มีหวังเค้าต้องโมโหจนอกแตกตายแน่

“ยังไงก็ได้ซุย ฉันไม่ถืออยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ”

ไอ้ตัวดีที่เพิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมาหมาดๆ กลับส่งเสียงหัวเราะกวนโมโหจนน่าเตะ
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยแสนเหนื่อยและยาวนานที่สุด
เห็นที… จบภารกิจนี้เมื่อไหร่ คงต้องขออนุญาตพ่อหยุดพักงานยาวสักปีสองปีซะแล้วมั้ง

หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 19:45:13
สนุกจังเรื่องนี้  o13

ว่าแต่ไทกิเป็นถึงหนึ่งในสามยมฑูตเชียว  เก่งคอมหรือเก่งไรหว่า 

อยากอ่านต่อแล้ว  :oni2:   :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: aum ที่ 18-01-2008 13:00:20
สนุกจังครับ เคยอ่านแล้วแต่อ่านอีกทีก็ยังสนุกอยู่ ยังไงก็ขอให้มาต่อให้จบ นะ เป็นกำลังใจให้ครับ อิอิ  :a2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Angle Froze ที่ 19-01-2008 14:29:11
อื้ม เรื่องนี้ก็เคยอ่านแล้วเหมือนกัน จำได้ว่าสนุกๆ ขอให้มาต่อให้จบละกัน  :m1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 21-01-2008 22:03:53
 :m22:Chapter 7 Senior Leader

        28 เมษายน… สามวันก่อนวันเปิดเทอม คือวันที่นักเรียนปีหนึ่งต้องรายงานตัวเข้าหอพัก

วันนี้เป็นวันแรกที่จะมีการเปิดหอฮิโนะเอ็นหรือหอไฟ ไทกิตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังช้ากว่าซุย
แถมจู่ๆรุ่นพี่ขี้เก๊กที่อยู่ร่วมกันมาสองอาทิตย์ก็เกิดใจดีขึ้นมากะทันหัน
เก็บข้าวของแพ็กใส่กระเป๋าให้เค้าเสร็จสรรพ พอตื่นขึ้นมากะจะขอบใจซะหน่อย
พี่แกก็หายตัวไปจากห้องซะแล้ว

ตอนสาย… นักเรียนปีหนึ่งก็มารายงานตัวครบถ้วน ไทกิรออยู่หน้าหอฮิโนะเอ็นพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
สายตาก็คอยชะเง้อมองหารุ่นพี่คนสำคัญ หมอนั่นเป็นประธาน ยังไงซะก็ต้องโผล่หน้ามาให้เห็นบ้างล่ะน่า

“สวัสดี”
เสียงทุ้มนุ่มนวลจากคนข้างๆเอ่ยทัก ไทกิหันไปมอง เห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวสูงไล่เลี่ยกัน
ตัวค่อนข้างผอม ผมซอยสั้นสีดำสนิท หน้าตาสวยติดออกไปทางหวาน สวมแว่นตากรอบบางสีสด
 ยิ่งทำให้หน้าละอ่อนดูคงแก่เรียน

“ฉัน… คาวาชิมะ คาโอรุ มาจากมิยางิ นายล่ะ?” เพื่อนใหม่แนะนำตัวพร้อมยื่นมือมาให้
ไทกิก็เอื้อมไปจับรับไมตรี

“โนมูระ ไทกิ”

“งั้นขอเรียกไทกิคุงก็แล้วกัน”

“ได้สิ” ไทกิพยักหน้า

“ว่าแต่นายมองหาใครอยู่เหรอ เพื่อนที่ย้ายมาจาก ม.ต้น ด้วยกันเหรอ”

“เปล่า… ฉันไม่มีเพื่อนสมัย ม.ต้น หรอก ฉันก็แค่มองเฉยๆว่าเพื่อนๆปีหนึ่งเป็นยังไงกันบ้าง”
ไทกิแก้ตัวไปเรื่อย คิดว่าซุยคงไม่ดีใจนักหรอก ถ้าเค้าจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าซี้ปึ้กกับประธานนักเรียน
เป็นการส่วนตัว เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นเด็กเส้นเปล่าๆ (ที ผอ. ฝากมาเนี่ยไม่เส้นเลยนะจ๊ะ)

“ฉันนะฝันมาตั้งนานแล้ว ว่าอยากมาเรียนที่นี่”
“ทำไมล่ะ?”

ก็พอรู้มาบ้างว่าที่นี่เป็นโรงเรียนชื่อดัง ถ้าได้ฟังความเห็นจากคนอื่นบ้างก็คงน่าสนใจ

“อ้าว… นายไม่รู้เหรอ โรงเรียนนี้ดังมากนะ เก่าแก่พอๆกับ ม.โทได เลยล่ะ
คนที่มาเข้าเรียนก็มีแต่พวกที่มาจากตระกูลดังๆทั้งนั้น อย่างคนนั้น…” คาโอรุชี้ไปหาคนที่ใส่ชุดสูท
หวีผมเรียบแปล้

“มัตสึดะ ลูก ส.ส. คนดัง ถัดไปก็ โมริโมโต้ ทายาทเจ้าของธนาคาร…
ยาซาว่า ลูกชายเจ้าของบริษัทอัญมณี”

คาโอรุไล่ไปเรื่อย เหมือนรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี แต่ไทกิมองแล้วก็เฉยๆ ก็แค่ลูกรวยไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน จะมีพวกที่น่าสนใจกว่านี้มั้ยนะ

“แล้วนายล่ะคาโอรุ เป็นลูกนักธุรกิจหรือนักการเมืองคนไหนล่ะ” ไทกิถามโต้งๆ จนคาโอรุส่งเสียงหัวเราะพรืด

“เปล่าหรอก… ฉันก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่บังเอิญหัวดีเท่านั้นเอง ฉันสอบเข้าได้คะแนนอันดับหนึ่ง
 และก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับตำแหน่ง Special member”

พอได้ยินเรื่องเมมเบอร์ ไทกิก็หูผึ่งทันที

“ฉันก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แล้วตกลงเมมเบอร์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ”

“กลุ่มสมาชิกพิเศษของโรงเรียนไงล่ะ แต่ละชั้นปีจะได้รับคัดเลือกแค่สามคนเท่านั้น เ
มมเบอร์จะมีหน้าที่พิเศษในโรงเรียน มีอำนาจเหนือกรรมการนักเรียน
ที่สำคัญ… แต่ละคนยังมีความสามารถไม่ธรรมดาด้วย”

“หน้าที่พิเศษ เช่นอะไรบ้าง”

“ก็อย่าง… ดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียน เป็นหัวเรือหลักในการจัดกิจกรรมโรงเรียน
ประสานงานระหว่างนักเรียนและอาจารย์ และก็… อีกเยอะแยะ”

“นั่นมันงานของประธานนักเรียนไม่ใช่เหรอ ก็แค่เลือกประธานนักเรียนก็พอแล้วนี่
ทำไมต้องตั้งกลุ่มสมาชิกพิเศษให้วุ่นวายด้วย”

คาโอรุมองหน้าไทกิพร้อมกับขมวดคิ้ว เค้าก็คิดว่าตัวเองมาจากบ้านนอกแล้วนะ
ไอ้หมอนี่ยังบ้านนอกกว่าเค้าอีกแฮะ

“นายเนี่ยเหลือเชื่อเลยแฮะ” คาโอรุเปรย “สมาชิกพิเศษน่ะ เป็นตำแหน่งเทพเจ้าประจำโรงเรียนเลยนะจ
ะบอกให้ นายจะทำในสิ่งที่นักเรียนคนอื่นทำไม่ได้ ไปในที่ที่คนอื่นไปไม่ได้
แม้แต่สั่งลงโทษคนในโรงเรียนจนถึงขั้นไล่ออกโดยไม่ต้องรายงานอาจารย์ก็ยังได้
แถมฉันยังรู้มาด้วยว่าตำแหน่งนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลให้ทำงานลับด้วย
แล้วแบบนี้ใครล่ะไม่อยากเป็น”

สรุปง่ายๆก็คือตำแหน่งเบ๊กิตติมศักดิ์….ไทกิเบ้หน้า ตอนแรกคิดว่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ซะอีก

“ฮัลโหล… เทสต์”

เสียงดังจากไมโครโฟนโหยหวน เล่นซะพวกปีหนึ่งหูแทบระเบิด รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบสามดาว
บ่งบอกตำแหน่งซีเนียร์ก้าวฉับขึ้นบนเวที รุ่นพี่ตัวเล็ก แต่ก็ดูน่าเกรงขาม ผมสีเข้มตาสีเข้ม
กำลังโปรยยิ้มหวานให้น้องๆปีหนึ่ง

“สวัสดีน้องใหม่ทุกคน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนะครับ พี่ชื่อ… อาซาโนะ ยู”

“นั่นไง… มาหนึ่งแล้ว” คาโอรุกระซิบบอก ตอนนี้เด็กปีหนึ่งพร้อมใจกันยืนขึ้นและตั้งใจฟังรุ่นพี่เต็มที่

“มาแล้วอะไร?” ไทกิกระซิบเสียงถามกลับ

“หนึ่งในสเปเชี่ยล เมมเบอร์… อาซาโนะปีสาม นักเรียนดีเด่นระดับประเทศ เค้าเก่งมาก ได้เหรียญทอง
ในการแข่งขันโครงงานโอลิมปิกระดับโลกด้วย ขนาดยังไม่จบ ม.ปลาย ก็ถูกมหา’ลัย
ดังๆทาบทามไปเป็นอาจารย์พิเศษแล้ว”

ไทกิส่ายหน้า… นักเรียนดีเด่นเรอะ ก็งั้นๆ

“ขอแนะนำรุ่นพี่อีกคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยของพี่ในวันนี้นะครับ” ยูขยิบตาเรียกเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ที่มายืนรออยู่ข้างเวที คนๆนี้สูงกว่ายูมาก ผิวคล้ำกว่า หน้าตาคมเข้มเหมือนมาจากทางใต้
 แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่หล่อสะดุดตามากคนหนึ่ง

“สวัสดีครับ พี่ชื่อ… ไซโต้ โฮตารุ” รุ่นพี่จากเกาะทะเลใต้แนะนำตัวเอง เจ้าคาโอรุมันก็รีบสวนข้อมูล
ใส่เมมโมรี่ของไทกิทันที

“ไซโต้ โฮตารุ… นักกีฬาดีเด่นระดับประเทศ โดยเฉพาะกีฬายิงปืน แม่นขนาดหลับตายิงยังเข้าเป้า
แถมเรื่องต่อยตีไม่มีใครเกิน”

มันก็แค่นักเลงโตประจำโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน…
ไทกิเริ่มจะเสื่อมศรัทธากับกลุ่มสมาชิกพิเศษ ซุยก็เป็นสมาชิกพิเศษ แล้วมันจะเพี้ยนเหมือนไอ้พวกนี้
หรือเปล่าฟะเนี่ย

“และรุ่นพี่คนสุดท้ายที่จะมาทำหน้าที่เป็นประธานในการรับน้องวันนี้…”
เสียงประกาศที่ทำให้ไทกิต้องเปลี่ยนใจเงยหน้าไปฟังต่อ
มาแล้วแหงๆ คนที่เค้ากำลังรออยู่

“ไฮบาระ โนะอิ”

อ้าว… เจ้าซุยมันเปลี่ยนชื่อนามสกุลเมื่อไหร่ฟะ?
ไทกิกำลังงง แต่ในไม่ช้าเค้าก็ได้รับคำตอบ… ร่างสูงสง่าราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยายกรีก
 ก้าวขึ้นเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ร่างนั้นขาวมาก ขาวเหมือนหิมะในม่านหมอก ผมเป็นสีเงินยวง
ปล่อยยาวเงางาม สะบัดทีทุกคนต้องหันหลบเพราะแสบตาจนทนไม่ได้
ตาของเค้าเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยสดใสเหมือนน้ำทะเล

สังเกตอาการปีหนึ่งแต่ละคนล้วนออกอาการอึ้งไปตามๆกัน แต่ก็คงไม่มีใครที่จะอึ้งมากกว่าไทกิอีกแล้ว

“ซุยล่ะ?”

ไอ้ตัวแสบเริ่มออกอาการปากหมา ยืนเสนอหน้าอยู่หัวแถวยังไม่พอ ขนาดตอนที่เพื่อนๆกำลังเงียบ
มันก็โพล่งไม่ดูกาลเทศะ คาโอรุอ้าปากค้าง จะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ทันแล้ว

“ซุยไปไหน ทำไมไม่มา” ไอ้ตัวดีถามย้ำ โดยไม่ดูเลยว่าเจ้าชายหิมะที่ยืนขาววอกอยู่บนเวที
กำลังจ้องมันเขม็ง เหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม
แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ เพื่อนๆปีสามอีกสองคนรีบวิ่งเข้ามาห้ามทัพ

“นายถามถึงซุยคนไหน?” เสียงหวานแต่เหี้ยมของเจ้าชายหิมะขาวถามเย็นยะเยือก
บอกชัดว่าตั้งใจมาหาเรื่อง

“ก็เทนโนะ ซุย ประธานหอลมไง”

คำตอบที่เปลี่ยนดวงหน้าขาววอกให้แดงก่ำเหมือนหิมะสีเลือด

“ไม่เอาน่า โนะอิ… น้องเค้าเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ธรรมเนียมของเรา” ยูพยายามห้าม แต่ก็โดนตวาดกลับ

“นายน่ะหุบปากไปเลย ยู!” โนะอิหันมาจ้องไอ้ตัวดีอีกรอบ “นายชื่ออะไร?”

“ฉัน…”

“โนะอิ!”

ยังไม่ทันบอก ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะ ยูกับโฮตารุแอบถอนใจอย่างโล่งอก
เพราะถ้าขืนให้โนะอิมันอาละวาด มีหวังคงต้องมีการตายหมู่เกิดขึ้นแน่

บัดนี้… สามอัศวินแห่งปีสองเดินเข้ามาพร้อมหน้า ทั้งที่งานรับน้องเป็นหน้าที่ของปีสามไม่ใช่ปีสอง
ซุยเดินหน้าเครียดเข้าไปหาหัวหน้าซีเนียร์ แต่สายตายังแอบตวัดไปยั้งไอ้ตัวแสบไม่ให้แผลงฤทธิ์

“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขอเวลาหน่อยได้มั้ย โนะอิ” ซุยลากจอมโวยแห่งปีสามออกไปคุยเงียบๆที่หอลม
ทิ้งใครบางคนที่แอบมองอยู่ข้างหลังอย่างไม่ใยดี

ใครบางคนที่อุตส่าห์มานั่งรอมันตั้งแต่เช้า ใครบางคนที่กำลังหงุดหงิดใจอย่างที่สุด
ใครบางคนที่กำลังจะคุ้มคลั่ง… เรียกสัญชาตญาณดิบคืนกลับมาในจิตใต้สำนึก!

“ซุย!”

“เดี๋ยว…”

มืออีกข้างของแขกไม่ได้รับเชิญจับบ่าไทกิไว้แน่น

“พี่ว่าคุณหนูอย่าเพิ่งตามไปดีกว่า กำลังร้อนด้วยกันทั้งคู่ เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก พี่โนะอิยิ่งยั้งมือไม่เป็นอยู่ด้วย”

ไทกิหันหลังกลับ มองรุ่นพี่ปีสองที่เข้ามาห้ามทัพ หนึ่งในนั้นดูหงุดหงิดรำคาญใจ
ทำหน้าบูดเหมือนโดนบังคับให้มาด้วย ส่วนอีกคนที่กำลังรั้งตัวห้ามเค้าไว้ดูอารมณ์ดีกว่ากันเยอะ
ขนาดช่วงคอขาดบาดตายยังใจเย็น ยิ้มได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

“ผม …คาชิระ มิสึกิ… ดีใจที่ได้เจอนะคุณหนู” คนๆนั้นยิ้มให้ พร้อมกับถือโอกาสจับมือทักทาย
แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ “ฝากทางนี้ด้วยนะครับพี่ยู เดี๋ยวผมกับมาซาฮิโกะจะตามไปเก็บศพเจ้าซุยมันก่อน
ไม่รู้จะโดนพี่โนะอิยำเละไปหรือยัง”

มิสึกิบอกอย่างอารมณ์ดีเหมือนเคย ก่อนจะพาพี่ปีสองอีกคนตามซุยและโนะอิขึ้นไปบนหอลม
ส่วนพี่ปีสามอีกสองคนที่เหลือก็ดำเนินการแบ่งห้องและรับน้องปีหนึ่งต่อ

ไทกิมองตามขึ้นไปบนหอลม หอนั้นยิ่งเงียบเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอเท่านั้น…

 “นี่เป็นงานของฉัน ขอร้องล่ะ… นายอย่าเข้ามายุ่ง”

ซุยสรุปให้ฟังหลังจากนั่งอธิบายมานานเกือบสองชั่วโมง

“แค่งานแน่นะ” โนะอิยังซักต่อไม่เลิก

“แน่สิ”

“นายกับหมอนั่น เป็นแค่ลูกจ้างกับเป้าหมาย”

“ใช่”

“นายไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นมากกว่านี้ใช่มั้ย”

“แน่นอน”

“แล้วทำไมหมอนั่นถึงทำท่าสนิมสนมกับนายนักล่ะ”

ซุยยกมือกุมขมับอย่างสุดทน ซักไปซักมามันก็วนกลับเรื่องเดิมจนได้
ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา

“ฉันขอพูดครั้งสุดท้ายนะ โนะอิ… งานนี้เป็นภารกิจของที่บ้าน”

…ใช่สิ ขืนไม่รับเค้าก็ตาย…

“หมอนั่นก็เป็นแค่เป้าหมาย”

…แถมยังเป็นเป้าหมายที่น่าปวดหัวที่สุด…

“เสร็จภารกิจเมื่อไหร่ ก็ทางใครทางมัน”

…แหงล่ะ ขืนชีวิตต้องพัวพันกับมันมากกว่านี้ล่ะก็ มีหวังอนาคตเค้าดับแน่…

โนะอิพยักหน้าช้าๆ แต่ไอ้อาการแบบนี้ก็ยังรับรองไม่ได้หรอกว่ามันจะเข้าใจแค่ไหน
“ก็ได้… ถ้านายยืนยันขนาดนั้น ฉันไม่ยุ่งก็ได้” ว่าแล้วเจ้าชายหิมะจอมโวยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะซุย ฉันไม่มีวันยกนายให้ใครแน่ ถ้าเด็กนั่นกล้าล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้เมื่อไหร่
มันจะเปลี่ยนมาเป็นเป้าหมายของฉันทันที”

“นายจะทำให้งานฉันยากขึ้นนะโนะอิ”

“ไม่รู้… อย่าพยายามทำให้ฉันโมโหก็แล้วกัน ไม่งั้นนายคงรู้นะว่าจุดจบมันจะเป็นแบบไหน”

ในเมื่อมันดื้อด้านขนาดนี้ก็ขี้เกียจจะเจรจาด้วยแล้ว ซุยลุกจากที่นั่งเพื่อกลับไปทำงานของเค้าต่อ

“โนะอิ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่ขอให้รู้ไว้อย่าง… ถ้าเมื่อไหร่ที่หมอนั่นเจ็บ คนที่จะตายก็คือฉัน
หวังว่าคำพูดของฉันในวันนี้คงช่วยให้นายมีสติยับยั้งชั่งใจได้บ้าง อย่าบังคับให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับนาย”

คำพูดทิ้งท้ายที่ประธานซีเนียร์ได้แต่เก็บงำไว้ในใจ ใช่… ไม่อยากเป็นศัตรูกับซุย
แต่ก็ไม่อยากถูกแย่งของรักไปเหมือนกัน เค้าจะทนได้แค่ไหนถ้าต้องเห็นเด็กนั่นเดินลอยหน้าลอยตา
คู่กับซุย  ไม่มีทาง!

วันเปิดหอ… รุ่นพี่ปีสามส่วนหนึ่งแบ่งกลุ่มน้องๆพาทัวร์รอบหอ หอไฟเป็นหอที่เล็กที่สุด มีสี่ชั้น
 ชั้นล่างเป็นส่วนหอประชุม ห้องคอมมอนรูม และห้องครัว สามชั้นเป็นหอพัก สาเหตุที่มันเล็กที่สุด
เพราะบังคับให้นักเรียนปีหนึ่งต้องอยู่ด้วยกันห้องละสามคน จากจำนวนทั้งสิ้นสามสิบหกห้อง
แต่ยังดีที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบและมีห้องน้ำในตัว ถ้าได้ขึ้นปีสองอยู่หอลมที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้อยู่ห้องคู่
และพอขึ้นซีเนียร์แล้วก็จะได้อยู่ห้องเดี่ยวในหอที่ใหญ่ที่สุดคือหอน้ำ

หลังจากอธิบายกฎระเบียบของหอพักและนัดแนะวันรับน้องแล้ว พี่ปีสามก็อนุญาตให้น้องๆเข้าห้อง
และพักผ่อนตามใจชอบ

ห้อง 301…

คาโอรุจัดของเข้าตู้ แต่สายตายังเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนตลอด
คนหนึ่งตั้งแต่ถูกรุ่นพี่ปีสามสังคายนาโทษ มันก็เอาแต่เกาะขอบหน้าต่างจ้องหอลมตาไม่กระพริบ
 ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งเช็คอุปกรณ์ในกระเป๋าพก ทำยังกะจะออกไปรบอย่างนั้นแหละ

“นี่ไทกิ… นายรู้จักกับพวกรุ่นพี่ด้วยเหรอ” คาโอรุจัดของเสร็จแล้วก็เข้าไปคุยกับคนที่คุยง่ายที่สุด

“ก็นิดหน่อย เคยเจอกันช่วงรายงานตัว ก็แค่นั้น” ไทกิตัดสินใจไม่บอก อันที่จริงซุยมันพูดถูก
เค้าควรสงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง ไม่งั้นก็อาจมีคนอื่นที่ต้องเดือดร้อนเพราะเค้าอีก โดยเฉพาะมัน…

“ปีสองที่มาวันนี้ คือสามสมาชิกที่เหลือของกลุ่มพิเศษ”

“เหรอ… แล้วไง?” ไทกิวางคางเกยลงบนขอบหน้าต่าง รอฟังเพื่อนใหม่ป้อนเมมโมรี่ใส่หัว

“คนที่ใส่แว่นตา วางมาดนิ่งๆ ท่าทางหงุดหงิดๆนั่นคือ รุ่นพี่ โอคุจิ มาซาฮิโกะ เป็นลูกชายเจ้าอาวาส
ศาลเจ้านันเซย์ ที่ฮิโรชิม่า”

“เป็นพระเหรอ” ไทกิซักต่อ พวกสมาชิกปีสองท่าทางจะน่าสนใจกว่าพวกปีสามแฮะ

“เปล่าหรอก… แต่ก็ทำงานหลายๆอย่างคล้ายพวกนักบวช เค้าเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก
อยู่ในกลุ่มมีหน้าที่หาข้อมูลข่าวสาร และก็เป็นคนที่ทำงานไม่เคยพลาดด้วย ส่วนคนที่เข้ามาห้ามนาย…
คาชิระ มิสึกิ… คนนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งการเรียนหรือกีฬาก็อยู่ในขั้นธรรมดา
แต่น่าแปลกที่คนธรรมดาอย่างเค้ากลับได้เข้าร่วมในกลุ่มสมาชิกพิเศษ”

“อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก”

เสียงเปรยจากคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงของตัวเองมาตลอด ตาสีทองเงยขึ้นมาสบกับเพื่อนร่วมห้อง
ทั้งสอง หน้าตามันชวนกวนโอ๊ยแต่ก็ดูน่ารักดี มันเสยผมสีทองสีเดียวกับดวงตาจนยุ่ง แล้วพูดต่อ

“คนที่ดูธรรมดาที่สุดนั่นแหละ เป็นคนที่อันตรายที่สุด”
ไทกิพยักหน้าเห็นด้วย… บทเรียนที่ผ่านมาสอนให้เค้าเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้
คนที่ดูไร้พิษสงนั่นแหละคือจอมทำลายล้างที่น่ากลัวที่สุด

“ฉันเองก็สงสัยมานานแล้ว ว่าคนที่เอาแต่เงียบมาตลอดอย่างนายมีพิษสงอะไรจะมาโชว์พวกฉัน”
คาโอรุท้ากันเห็นๆ เด็กเรียนอย่างไอ้หมอนี่ก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้ มันเหมือนเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
แต่จริงๆคงอันตรายกว่าที่เห็น

“ฉันก็แค่นักเรียน ม.ปลายธรรมดา ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรจะไปโชว์พวกนายหรอก”
ว่าแล้วเจ้าคนที่ย้ำคำว่าตัวเองธรรมดาที่สุดก็เผ่นหนีออกจากห้องพร้อมสัมภาระในกระเป๋าพก

“ฉันว่าหมอนี่มันต้องโกหกแหงๆ ขนาดชื่อยังไม่ยอมบอกเลย” คาโอรุเปรย

“ฉันว่าทุกคนก็คงมีเรื่องที่ไม่อยากบอกคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก” ไทกิเสริม

“นั่นมันก็จริง” คาโอรุไหวไหล่ “แล้วนายกับประธานปีสองนั่นล่ะ มีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”
ไทกิช้อนตามองเพื่อนร่วมห้อง อุตส่าห์ไม่พูดถึงแล้ว มันก็ยังเซ้าซี้จะถามให้ได้

“ไม่เกี่ยวกับนาย”
นั่นไง… ได้โอกาสใช้มุกของลูกพี่ซะเลย

“ฉันก็ถามเผื่อไปอย่างนั้น แล้วนายรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว เทนโนะ ซุย เป็นใคร”
ไทกิกำมือข้างหนึ่งไว้แน่น พยายามสะกดตัวเองไม่ให้แสดงออกว่าสนใจ

“ลูกชายคนที่สามจากห้าของนักคุ้มกันมือหนึ่ง พวกนี้เพื่อเงินทำได้ทุกอย่าง จะดีหรือเลวไม่สน
ขอแค่มีเงินมากพอก็ซื้อชีวิตพวกเค้าได้ ตามที่รู้มาลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีชื่อเสียง
หรือไม่ก็เป็นคนสำคัญระดับประเทศ”

คาโอรุหยุดเว้นวรรคนิดนึง พร้อมกับแอบอมยิ้มตอนที่เห็นไทกิเริ่มจะสนใจ

“แต่… ปัญหามันอยู่ที่หุ้นส่วนธุรกิจของบ้านนี้น่ะสิ …เทนโนะกับไฮบาระ…
ตระกูลนักคุ้มกันจับมือกับตระกูลนักฆ่า จะว่าแปลกก็แปลก แต่พวกเค้ามีผลประโยชน์ค้ำจุนกันอยู่
ถึงทำงานด้วยกันได้ ตามข้อตกลงของสองคนตระกูลจะไม่รับงานซ้ำซ้อน
นั่นหมายความว่าถ้าลูกค้าจ้างวานให้เทนโนะเป็นบอดี้การ์ด ไฮบาระก็จะไม่มีสิทธิ์แตะต้องคนๆนั้น
จนกว่าจะหมดสัญญาภารกิจ แต่มันก็มีข้อแม้อยู่บ้าง”

“อะไร?” ไทกิเผลอไหลตัวเข้ามานั่งฟังอย่างตั้งใจ

“ข้อตกลงมันก็แค่ลมปาก และนักฆ่ามันก็เป็นนักฆ่าอยู่วันยังค่ำ คนทำงานเสี่ยงตาย
ก็ต้องมีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แล้วนายคิดว่าไฮบาระจะซื่อสัตย์ต่อเทนโนะแค่ไหนล่ะ”

ไทกิเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “งั้นรุ่นพี่โนะอิก็จ้องเล่นงานซุยอยู่น่ะสิ”

“นายเนี่ยจะเรียกว่าบื้อหรือบ้าดีนะ” คาโอรุหัวเราะร่วน “วันนี้นายก็เห็นแล้ว รุ่นพี่โนะอิแคร์รุ่นพี่ซุยของนาย
ยังกะอะไรดี บางทีผลประโยชน์มันก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึก พูดขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องให้ฉันสาธยายนะว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกแค่ไหน คนมันรักมากก็หวงมาก เท่าที่รู้มาคนในความคุ้มครองของซุย
หลังจากหมดสัญญาจ้างไม่เคยมีใครตายดีสักคน ยิ่งตอนนี้ฉันได้ข่าวว่าซุยรับงานสำคัญมาชิ้นหนึ่ง
รู้สึกจะเป็นงานลับที่เกี่ยวพันกับองค์กรอันตรายระดับโลกด้วย”

ไทกิลุกขึ้นจากกรอบหน้าต่างช้าๆ บางทีรูมเมทที่เพิ่งเผ่นออกไปเมื่อกี้มันอาจจะทำถูกแล้วก็ได้
ที่ไม่มานั่งฟังหมอนี่พล่าม

“ฉันเองก็ชักจะสงสัยเหมือนกันว่านายเป็นใครกันแน่คาโอรุ ขนาดงานลับที่เค้าไม่อยากให้รู้
นายก็ยังสู่รู้มาจนได้”

ไทกิเดินออกจากห้องอย่างหงุดหงิด แต่ก็ถูกเพื่อนผู้หวังดีหยุดไว้ด้วยประโยคแถมท้าย

“นายไม่มีอะไรกับเทนโนะก็แล้วไป แต่ถ้ามีล่ะก็… ระวังไฮบาระ โนะอิ ปีสามไว้ให้ดีก็แล้วกัน
 เพราะหมอนั่นเป็นนักฆ่าโดยสายเลือด เค้าไม่ปล่อยนายไว้แน่ ถ้านายไปยุ่งเกี่ยวกับเทนโนะ”

“อ๋อ… เหรอ” ไทกิแสยะยิ้มเยือกเย็น สัญชาตญาณเก่ากำลังหวนคืนมาในจิตใต้สำนึก

“ไอ้นักฆ่าโดยสายเลือดเนี่ย ฉันเจอมาจนเอียนแล้ว ถ้าคิดว่าแน่จริงก็เชิญมาหาเรื่องฉันได้ทุกเมื่อ
ฉันไม่หนีอยู่แล้ว”

จอมปัญหาเผ่นหนีออกจากห้อง เดินไปเรื่อยๆตามทางเดินริมทะเลสาบ แล้วก็มานั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียว
ที่ใต้สะพาน

“ขอฉันคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
เสียงที่ดังมาใกล้ขัดจังหวะคนกำลังใช้ความคิด ไทกิโยนก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย ไปซะ… ฉันขี้เกียจมีเรื่องกับพวกปีสาม” ไทกิทุ่มก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก
 คราวนี้เล่นลูกใหญ่จนน้ำแตกกระจายเป็นฝอย แสดงว่ามันกำลังไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

“นายคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ไอ้ท่ากระบิดกระบวนงอนเป็นผู้หญิงเนี่ย เลิกเถอะ… มันไม่เข้าท่า”
ซุยทิ้งตัวนั่งข้างๆ มันเลยถลึงตาพรืดเข้าใส่ หนอย… ทำให้เค้าหงุดหงิดยังไม่พอ
ยังมีหน้ามาซ้ำเติมกันอีก มันน่านัก

“ใช่สิ… ฉันมันขี้งอน น่าเบื่อ น่ารำคาญสำหรับนาย แล้วนายจะมายุ่งกับฉันทำไม”

“ก็มันเป็น…”

“หน้าที่!” ไทกิสวนคำพร้อมทำสีหน้าเจ็บปวด เค้าก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้
คนอย่างมันก็แค่บอดี้การ์ดรับจ้าง ทำทุกอย่างก็เพราะเงินทั้งนั้น
ถ้าเป็นไปได้มันก็คงไม่อยากมายุ่งกับเค้าหรอก

ใช่สิ… คนสติดีที่ไหนจะอยากพัวพันกับ ‘Red Rose’ บ้าชะมัด…
“ไทกิ” มือใหญ่โอบไหล่คนตัวเล็กเข้ามาใกล้ กลิ่นไออุ่นๆเริ่มทำให้คนใจแข็งลังเล
“สำหรับฉันหน้าที่ก็คือชีวิต ฉันไม่มีวันละทิ้งหน้าที่ และยิ่งไม่มีวันทิ้งนาย ตราบใดที่เรายังอยู่ในภารกิจ
ขอให้เชื่อใจฉันหน่อยได้มั้ย”

ไทกิมองหน้ารุ่นพี่คนสำคัญ ก่อนจะถอนใจเบาๆ

“อันที่จริงถ้านายลำบากใจ ฉันจะคุยกับแม่ขอให้ยกเลิกภารกิจนี้ก็ได้
ฉันก็ไม่ได้อยากมีบอดี้การ์ดซะหน่อย ฉันดูแลตัวเองได้”

“ดูแลตัวเองแบบยาจกข้างถนนเนี่ยนะ” ซุยหัวเราะ จนยาจกข้างถนนต้องหันมาค้อน

“ฉันเป็นยาจกข้างถนน ก็ยังดีกว่าเป็นมหาราชาแล้วถูกกักอยู่ในกรงขัง จะทำอะไรก็มีคนคอยทำให้
 ขนาดจะคิดก็ยังมีคนคอยคิดให้ ไม่เคยมีใครถามว่าฉันอยากเป็นอะไรหรืออยากทำอะไร
พวกเค้ากำหนดทางเดินไว้ให้ฉันหมด ขีดเส้นตายเพียงเส้นเดียวโดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกหรือปฏิเสธ
ถึงจะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก อย่างนายเอง…
สักวันหนึ่งก็ต้องไปจากชีวิตฉัน”

“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ” ซุยยืนยันให้มันฟังอีกรอบ

“นายคิดง่ายเกินไปแล้ว ถ้ายมทูตเริ่มเคลื่อนไหว นายก็ต้องถอนตัว ฉันเชื่อว่าที่บ้านนายต้องสั่งแบบนั้นแน่ นายยังไม่รู้จัก Death Flowers ดีพอ แต่ฉันน่ะรู้ซึ้งเลยล่ะ ถ้า White Lily หรือ Black Sakura
ออกตามล่าฉันด้วยตัวเองเมื่อไหร่ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง ถึงตอนนั้นฉันก็จะสู้จนกว่าจะมีคนตายไปข้างหนึ่ง”

“ฉันบอกแล้วไง… ว่าจะไม่ปล่อยให้นายตายจนกว่าจะเสร็จภารกิจ” ซุยย้ำคำอย่างหนักแน่นอีกรอบ
แต่จะเข้าหัวมันสักนิดหรือก็เปล่า เมื่อมันยังเอาแต่ทำหน้าเครียด สองมือกอดเข่าไว้แน่น

“ฉันถึงบอกไงล่ะว่านายคิดง่ายเกินไป อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะซุย อย่างนายไม่ต้องถึงมือสามยมทูตหรอก
แค่องครักษ์พิทักษ์ยมทูต นายก็สู้พวกมันไม่ได้แล้ว”

“งั้นเหรอ… งั้นถ้าฉันจะให้นายเทียบระหว่างฉันกับ Red Rose ล่ะ ระดับต่างกันแค่ไหน”

คำถามนี้เล่นงานคนกำลังเครียดให้ยิ่งเครียดหนัก ไทกิหันมาจ้องหน้าคนขี้เก๊กเขม็ง
แต่พอเห็นมันมุ่งมั่นขนาดนี้เค้าก็ได้แต่ปลง

“ต่างกันลิบลับเหมือนหิ่งห้อยกับพระจันทร์บนฟ้านั่นแหละ”

“จะบอกว่านายเก่งกว่าฉันงั้นสิ”

“ถึงไม่บอกนายก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว ฉายากุหลาบสีเลือดไม่ได้เป็นเพราะความฟลุ้ก
ยมทูตก็ไม่ใช่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกเล่นๆด้วย ทุกคนถูกฝึกให้มีสัญชาตญาณในการฆ่าแ
ละล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อันที่จริง Red Rose ไม่เคยต้องการการปกป้องจากใคร
เพราะตัวมันเองนั่นแหละที่เป็นตัวอันตรายที่สุด”

นัยน์ตาสีแดงเย็นชาแข็งกร้าว ยามที่มันสาธยายถึงความร้ายกาจของตัวเอง
ดวงตาสีดำสนิทของซุยไล่มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ส่ายหน้า

“ฉันก็ยังมองไม่เห็นว่า Red Rose จะมีพิษสงตรงไหน ก็แค่เด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนหนึ่ง”

คำพูดของมันทำให้คนที่กำลังเครียดจัดเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็ยังแน่วแน่
ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ถึงปากมันจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นภาระ แต่ไทกิก็รู้ว่าซุยตั้งใจจะพิทักษ์เค้าอย่างจริงใจ
แขนเล็กๆเลยเริ่มลามปามขึ้นไปกอดไหล่รุ่นพี่คนสำคัญบ้าง

“แล้วเด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนนี้ทำให้นายต้องปวดหัวกี่ครั้งแล้วล่ะ จำไม่ได้เหรอซุย”

“จำไม่ได้หรอก… ขี้เกียจจะจำ ขอแค่นายอย่าทำให้ฉันต้องปวดหัวมากกว่านี้ก็พอแล้ว อ้อ…
และอีกอย่างนะ เวลาอยู่ด้วยกันที่โรงเรียน นายช่วยกรุณาเรียกฉันว่ารุ่นพี่ได้มั้ย”

ไทกิยิ้มขำ ท่าทางมันจะลำบากใจจริงๆแฮะถึงต้องลงทุนอ้อนวอนเค้าขนาดนี้ งั้นถ้าไม่ช่วยก็คงไม่ได้
ขืนแกล้งมากๆเดี๋ยวมันจะกลุ้มจนช้ำในตายไปซะก่อน

“นายไม่อยากให้พี่โนะอิหึงล่ะสิ เอางั้นก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากมีปัญหากับใครในโรงเรียนหรอก
แค่ศัตรูนอกโรงเรียนก็มีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าได้งั้นฉันก็จะขอบใจเลยล่ะ และจะยิ่งขอบใจมากขึ้นถ้านายจะหัดสงบเสงี่ยมเจียมตัว
 ไม่ก่อเรื่องให้ฉันต้องลำบากใจอีก”

“จะพยายาม” เสียงไอ้ตัวปัญหาเริ่มแผ่วลง

“ส่วนเรื่องโนะอิ…”

ซุยเว้นวรรค ไทกิก็รีบยกมือขึ้นอุดหู เพราะไม่อยากฟังมันพล่ามถึงคนรัก

“บ้านเราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน ก็แค่นั้น”
ซุยทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้ใครคนบางคนนั่งยิ้มระรื่นกับสายน้ำของเค้าคนเดียว.....
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 21-01-2008 22:17:17
 :m22:Chapter 8 Special Members

สามวันผ่านไป… จนแล้วจนรอดเพื่อนร่วมห้องคนที่สามก็ยังไม่ยอมปริปากบอกชื่อ แถมยังทำตัวลึกลับ
ชอบหนีออกไปจากห้องเป็นวันๆ บางวันก็ไม่กลับมานอนที่ห้อง เจ้าคาโอรุมันก็พยายามตื๊อเหลือเกิน
เที่ยวตระเวนหาข้อมูลเพื่อล้วงความลับไอ้หมอนี่ตลอด จนจะกลายเป็นสงครามระหว่างเพื่อนร่วมห้องไปแล้ว
แต่คนที่รอดตัวสบายก็คือเค้า คาโอรุมัวแต่ยุ่งกับเพื่อนใหม่ เลยไม่มีเวลาว่างมาสนใจเค้าอีก

“อันที่จริงนายไปถามที่กองทะเบียนก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะต้องมานั่งซีเรียสแบบนี้เลย”
ไทกิหวังดีช่วยออกความคิดให้ แต่มันดันมาค้อนเค้าซะนี่

“นายจะบ้าหรือไง กฎที่นี่เข้มงวดจะตาย เค้าไม่เปิดเผยข้อมูลนักเรียนง่ายๆหรอก”
คาโอรุทำท่าฉุน มือก็นั่งคลิกคอมหาข้อมูลยิกๆ ยังกะว่าไอ้เพื่อนร่วมห้องมัน
จะตั้งโฮมเพจโปรโมทตัวเองในเวบยังงั้นแหละ

“งั้นทำไมนายไม่ไปถามมันตรงๆล่ะ ยังไงก็เป็นรูมเมทกัน แค่ชื่อมันคงยอมบอกหรอกน่า”
 ไทกิเสนอความคิดไปอีก คราวนี้เลยโดนเจ้าคาโอรุมันสวนกลับด้วยวงค้อนที่กว้างกว่าเดิม

“ฉันไม่อยากเสียฟอร์ม”
เออนะ… ทำหยิ่งกันเข้าไป ไทกิยกมือกุมขมับอย่างอดไม่ได้

“งั้นให้ฉันไปถามให้เอามั้ยล่ะ”

“ไม่เอา! นายไม่ต้องยุ่ง”

จบข่าว!
ไทกิกลิ้งตัวลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูใส่หน้ามันดังปัง
เวลาหงุดหงิดแบบนี้ท้องมันร้องดีนักแล โรงอาหารของโรงเรียนอยู่ใกล้หอพักอาจารย์
พวกปีหนึ่งกับปีสองเลยต้องลำบากเดินไกลหน่อย แต่โชคดีที่แม่บ้านทำอาหารอร่อย ถึงลำบากแต่ก็ถือว่าคุ้ม

ไทกิโกยอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้วเดินหาที่นั่ง ช่วงนี้ถึงหอทุกหอจะเปิดแล้ว แต่ยังไม่เปิดเทอม
คนเลยไม่เยอะเท่าไหร่ สายตาของไทกิแสกนอย่างรวดเร็ว จนไปปะทะกับสายตาของใครบางคน
ที่ไปนั่งหลบมุมอยู่ริมกระจก ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินลิ่วๆถือวิสาสะลงไปนั่งร่วมโต๊ะ

“ไง…” ไทกิเป็นฝ่ายทักก่อน หมอนั่นก็เงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนจะสวาปามบะหมี่ในชามต่อ

“หมอนั่นมันยังไม่เลิกบ้าอีกเหรอ” มันถามกลับทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆเต็มปาก

“ก็นายเล่นไม่กลับห้อง มันก็เคืองน่ะสิ ฉันว่าถ้าเจ้าคาโอรุมันเป็นผู้หญิงนะ ลองมันสนใจนายขนาดนี้
ฉันจะช่วยยุให้เป็นแฟนกันเลยสิเอ้า”

“ประสาท!” ตาสีทองสวยส่งมาดุ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนายล่ะ ไม่อยากรู้บ้างหรือไง”

“โอ๊ย… ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้านายไม่บอก ฉันก็แค่เรียกนายว่าไอ้บ้า ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
ไทกิไหวไหล่

“ฮิโระ”
เสียงแผ่วๆที่บอกผ่านบะหมี่คำโตในปาก

“อะไรนะ?” ไทกิเอียงหัวเข้าไปฟังใกล้ๆ

“โซมะ ฮิโระ… ชื่อของฉันไง”

“แล้วมาบอกฉันทำไมเล่า ฉันไม่อยากรู้ซะหน่อย โน่น… ไปบอกเจ้าคาโอรุมันโน่น
มันน่ะอยากรู้ชื่อนายจนจะอกแตกตายอยู่แล้ว”

“เรื่องอะไร มันยิ่งอยากรู้ฉันก็ยิ่งอยากแกล้ง อยากทำตัวอวดรู้ดีนัก ลองไม่รู้สักเรื่องดูซิว่ามันจะตายมั้ย”

“นายเนี่ยก็ร้ายไม่เบาแฮะ แล้วมาบอกฉันเนี่ยไม่กลัวฉันไปบอกคาโอรุหรือไง ฉันเตือนไว้ก่อนนะ
แค่มันรู้ชื่อ มันก็ขุดบรรพบุรุษนายขึ้นมาไล่เรียงลำดับได้ทั้งตระกูลแล้ว”

“อยากบอกก็บอกสิ บ้านฉันไม่เคยปิดบังฐานะอยู่แล้ว แต่ที่ฉันไม่บอกเพราะอยากแกล้งมันต่างหาก”

“แล้ววันนี้นายจะกลับห้องมั้ย รู้สึกตอนเย็นจะมีประชุมรับน้องใหม่ด้วยนะ ฉันว่าจะไปฟังซะหน่อย”

“ล้อเล่น” ฮิโระทำหน้าเหลือเชื่อ “คนที่มีเรื่องกับพี่ปีสามตั้งแต่เปิดหออย่างนายเนี่ยนะอยากไปฟัง
อยากไปตีกับพวกรุ่นพี่ก็บอกมาเหอะ”

เพื่อนตัวแสบทำเป็นรู้ทัน จนไทกิต้องหัวเราะกลบเกลื่อน

“ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องเมมเบอร์ เลยจะไปฟังซะหน่อย เผื่อมีเรื่องสนุก”

“แอบลุ้นด้วยล่ะสิ” ฮิโระขยับคิ้วกริ่ม

“โอ๊ย… ฉันไม่อยากเป็นหรอก หน้าที่เบ๊อย่างนั้นน่ะ แค่เห็นรุ่นพี่แต่ละคนหน้าเครียดยังกะตูดลิง
ก็เหนื่อยแทนแล้ว ฉันสละสิทธิ์แน่ๆ แค่อยากรู้ว่าเค้าจะคัดเลือกกันยังไงเท่านั้น”

แล้วสองเพื่อนร่วมห้องก็นั่งวิจารณ์เรื่องกลุ่มสมาชิกพิเศษกันต่อ หลังจากที่ได้คุยกันพักใหญ่
ไทกิถึงรู้ว่าฮิโระมีหลายอย่างที่น่าสนใจ อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีทัศนคติคล้ายกัน
ที่สำคัญไม่พูดมากเหมือนคาโอรุด้วย อยู่ด้วยกันแล้วไม่น่าเบื่อ แบบนี้คงต้องจัดเข้าทำเนียบเพื่อนซี้ซะแล้ว

เวลาหนึ่งทุ่มตรง… เป็นเวลาสำคัญที่ปีหนึ่งทุกคนจะได้ทราบว่าใครจะได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกพิเศษ
ตำแหน่งที่ถือว่าเป็นประธานรุ่นและประธานหอกลายๆ แถมยังมีอภิสิทธิ์หลายอย่าง หลายคนคาดหวังว่า
ตัวเองจะได้รับคัดเลือก โดยเฉพาะคาโอรุหมายมั่นปั้นมือมากว่าเค้าจะได้เป็นประธานรุ่น
ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมชั้นหนึ่ง รุ่นพี่ปีสองและปีสามหลายคนมากำกับสถานที่รออยู่แล้ว
 สามสหายร่วมห้องจับจองที่นั่งแถวหน้า คาโอรุนั่งลุ้นจนตัวโก่ง จนคู่อริอย่างฮิโระอดแซวไม่ได้

“ไง… เพื่อน อยากได้ตำแหน่งขนาดนั้นเชียว”

“เรื่องของฉัน นายไม่ต้องสอด ถ้าฉันได้เป็นสมาชิกพิเศษเมื่อไหร่ ฉันจะจับตานายไว้
ไม่ให้คลาดสายตาเลยคอยดู”

“โอ๊ย! กลัวตายล่ะ” ฮิโระยักไหล่ “งั้นนายก็ต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว เพราะแค่ชื่อฉัน นายยังไม่มีปัญญาหาเลย”

ตาสีเขียวของคาโอรุกระตุกวาบ ฝากรอยอาฆาตไว้ที่หน้าฮิโระซึ่งกำลังปิดปากขำ
ไทกิโอบไหล่เพื่อนทั้งสองเข้ามาหาตัว

 “เอาน่า… ปรองดองกันไว้ พวกเรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ตอนนี้ฟังรุ่นพี่ก่อนดีกว่า”

สองคนที่ไทกิหมายใจอยากให้มันปรองดองแยกเขี้ยวใส่กันวับ ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง
พวกมันงอนกันยังกะผู้หญิง จนน่าจะจับมาเป็นแฟนกันให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ พับผ่าสิ…

ไฟในห้องถูกหรี่ลง แสงเทียนถูกจุดขึ้นโดยรอบ ทำให้บรรยากาศยิ่งมีมนตร์ขลัง
รู้สึกการคัดเลือกเมมเบอร์มันจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ทำอย่างจะมีการสวดมนตร์อ้อนวอนเทพเจ้า
 แล้วเอานักเรียนสองสามคนมาเชือดบูชายัญ ก่อนจะให้ใครสักคนเข้าทรงแล้วชี้นิ้วเลือกเมมเบอร์
 ไทกิยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก จนต้องปิดปากขำเงียบๆคนเดียว
ตอนพวก Death Flowers เลือกยมทูต ยังไม่เห็นจะยุ่งยากเท่านี้เลย ให้ตายสิ…

ตึงๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงฝีเท้ารุ่นพี่สมาชิกกลุ่มพิเศษเดินเรียงหน้าขึ้นไปยืนบนเวทีครบทั้งหกคน แต่ละคนก็แต่งองค์ทรงเครื่องแบบเต็มยศ สูทสีกรมท่า ผูกเนคไทสีดำ มีดาวสีทองประดับบอกฐานะรุ่นซีเนียร์และจูเนียร์
และยังมีเข็มกลัดพิเศษรูปดวงอาทิตย์กลัดที่หน้าอกข้างซ้าย ดูแล้วเท่ไม่หยอก
ล่อซะพวกปีหนึ่งตาลุกวาวกันเป็นทิวแถว ยิ่งกระตุ้นให้หลายคนอยากได้ตำแหน่งเมมเบอร์มากขึ้น
 เผื่อปีหน้าจะได้ไปยืนเท่อยู่ตรงนั้นบ้าง ไทกิต้องแอบสะบัดหน้าออกไปอีกทาง แล้วแอบปาดน้ำตาที่กำลังไหลพราก เพราะขำมากเกินเหตุ

“สวัสดีน้องๆปีหนึ่งทุกคน”
อาซาโนะ ยู ปีสาม รับหน้าที่โฆษกประจำสภาอีกตามเคย

“อย่างที่ทุกคนได้ทราบว่าวันนี้จะเป็นวันสำคัญในการคัดเลือกสมาชิกกลุ่มพิเศษ
แทนรุ่นพี่ที่จบการศึกษาออกไปเมื่อเทอมที่แล้ว ตามกฎสมาชิก หัวหน้ากลุ่มปีสองจะได้เป็นประธานคนใหม่ ซึ่งก็คือ เทนโนะ ซุย ส่วนประธานคนเก่า คือ ไฮบาระ โนะอิ จะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ส่
วนสมาชิกที่เหลือจะรับหน้าที่ผู้ช่วย ตอนนี้การเลือกสมาชิกใหม่
จึงขอให้ประธานคนใหม่เป็นผู้ดำเนินการต่อ เชิญครับ… ซุยคุง”

รุ่นพี่ขี้เต๊ะก้าวฉับมายืนหน้าเวทีอย่างสง่าผ่าเผย เสียงทุ้มดังก้องกังวานไปทั่วห้องประชุม
โดยไม่ต้องง้อไมโครโฟนเป็นตัวช่วย

“การเลือกเมมเบอร์ อันที่จริงก็ไม่ใช่พิธีการอะไรที่ยุ่งยาก มิสึกิ… ดับเทียนแล้วเปิดไฟซะ”

“หา…”

น้องๆส่งเสียงฮือฮา เสียดายบรรยากาศชวนขลังเมื่อครู่ พี่ปีสามอดีตประธานเริ่มกระตุกหางตายิกๆ
แต่พี่ปีสองที่ได้รับคำสั่งคงรอรับมุกอยู่แล้ว แกเลยเดินลงไปสั่งเพื่อนๆให้ทำตามความต้องการ
ของประธานขี้เก๊กทันที

“ช่วงปิดเทอม สมาชิกกลุ่มพิเศษได้ส่งบัตรเชิญแนบไปกับหนังสือรายงานตัวหกใบ
หกคนนั้นคือคนที่รุ่นพี่สมาชิกแต่ละคนได้คัดเลือกแล้วว่ามีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งเมมเบอร์
ขอให้คนที่ได้รับบัตรเชิญทั้งหกขึ้นมาบนเวทีด้วย”

ไทกิแกว่งคอหมุนไปรอบๆ เค้าไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีการเตี๊ยมบัตรเชิญอภิสิทธิ์ส่งไปพร้อมหนังสือรายงานตัว
ด้วย ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่เตะตารุ่นพี่ จนได้รับคัดเลือกให้ลงชิงดำแย่งตำแหน่งเมมเบอร์
จะมีใครบ้าง

คนแรกที่ลุก… ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รูมเมทผู้รอบรู้ของเค้า… คาวาชิมะ คาโอรุ

“มิน่า… มันถึงคุยนักคุยหนาว่าจะได้รับคัดเลือก” ฮิโระแซวพอให้ได้ยินกันแค่สองคนกับไทกิ

“แล้วนาย ไม่ได้ไอ้บัตรนั่นมั่งเหรอ ฮิโระ”

ฮิโระแค่นยิ้มแห้งๆ “บอกตามตรงนะไทกิ ฉันไม่เห็นจะรู้เลยว่าพวกพี่เค้าเตี๊ยมกันแบบนี้ด้วย”

เพื่อนรัก!
ไทกิแทบอยากกระโดดกอดคอมันนัก ถ้าไม่ติดจะโดนเพื่อนๆคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่ขากับมัน
ก็มันน่ามั้ยล่ะ… นอกจากนิสัยมุทะลุเหมือนกันแล้ว แม้แต่เรื่องสะเพร่า
ไม่รู้ทันชาวบ้านเค้าเนี่ยยังเหมือนกันเปี๊ยบ

ฮิโระเอ๋ยฮิโระ… ถ้านายกับฉันได้รับเลือกให้เป็นเมมเบอร์ล่ะก็ งานนี้รับรองมีเฮแน่
นักเรียนสี่คนไปยืนเรียงแถวหน้าเวทีตามลำดับ… คาโอรุ มัตสึดะ โมริโมโต้ ยาซาว่า
แต่จนรอดจนรอดคนที่ได้รับคัดเลือกอีกสองคนก็ยังไม่ยอมขึ้นเวที

“เฮ้… ไทกิ แกว่าอีกสองคนมันคิดจะสละสิทธิ์หรือเปล่าอ่ะ”

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็สละแน่”

“งั้นก็แสดงว่าไม่ใช่นาย ค่อยโล่งใจหน่อย” ฮิโระถอนใจ

“ทำไมล่ะ นายว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นเมมเบอร์เหรอ”

“ก็เปล่า” ฮิโระส่ายหัวไปมา “ฉันว่านายน่ะเหมาะกว่าไอ้ขี้เต๊ะคาโอรุซะอีก
แต่ถ้าขืนในห้องมีเมมเบอร์สองคนล่ะก็ ฉันก็กลายเป็นหมาหัวเน่าน่ะสิ”

ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะโอบไหล่มันเข้ามาหาตัว “งั้นนายก็มาเป็นด้วยกันสิ พวกเราสามฮามาเป็นเมมเบอร์
คงสนุกพิลึก”

ไทกิก็พูดให้ขำไปอย่างนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงนรกประกาศก้องบนเวที

“รู้สึกยังมีอีกสองคนที่ไม่รู้ตัวว่าได้รับคัดเลือก พี่คิดว่าบัตรเชิญอาจจะถูกขว้างทิ้งตั้งแต่ตอนที่แกะซอง
 งั้นก็ขอเชิญ… โซมะ ฮิโระ และ โนมูระ ไทกิ ขึ้นมาสมทบกับเพื่อนๆบนเวทีด้วย”

ตุบ…
เสียงเจ้าฮิโระกลิ้งตกจากเก้าอี้เพราะมันกำลังอึ้งสุดๆ ส่วนไทกิไม่ต้องพูดถึง
มันกำลังจ้องหน้ารุ่นพี่คนสำคัญอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หนอย… ใครนะบอกให้เค้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แล้วทำไมต้องดันผ่าให้มาชิงตำแหน่งสั่วๆนี่ด้วยฟะ

“ฉันขอสละสิทธิ์ได้มั้ย ไหนๆพวกนายก็เลือกแค่สาม ข้างบนมีตั้งสี่คน แค่นี้ก็ถมเถแล้วน่า” ไทกิต่อรอง
เจ้าฮิโระที่นั่งข้างๆก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย

ซุยหายใจเข้าลึกๆอย่างใจเย็น แล้วอธิบายต่อ
“การคัดเลือกผู้ท้าชิงหกคน เป็นการเสนอชื่อของสมาชิกเก่าทั้งหก รุ่นพี่แต่ละคนได้ทำงานกันอย่างหนัก
ตลอดปิดเทอม เพื่อคัดเลือกน้องๆที่มีความเหมาะสมในการรับตำแหน่ง ส่วนการตัดสินว่าใครจะได้เป็นสมาชิก  น้องๆที่เหลือจะเป็นคนคัดเลือกในวันนี้ พวกนายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะนี่เป็นคำสั่งของพี่
และเป็นกฏเหล็กที่สืบทอดกันมายาวนานของโรงเรียน ขอโทษด้วยโนมูระ โซมะ
ยังไงฉันก็ต้องขอให้พวกนายขึ้นมาบนเวที”

“อธิบายอะไรให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้มั้ย ทำไมพวกนายถึงมีสิทธิ์เลือกเรา
ทำไมไม่ให้ปีหนึ่งอย่างเราเลือกกันเองล่ะ ยังไงไอ้ตำแหน่งนี้มันก็เป็นเบ๊ เอ๊ย… ไม่ใช่
ตัวแทนประจำรุ่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ตัวแสบเริ่มออกลายเต้นเหยงๆจะไม่ยอมเป็นซะให้ได้

“ตรงนี้พี่ขอเป็นคนอธิบายเองก็แล้วกันนะครับ” ยูก้าวออกมาข้างหน้า เพราะดูแล้วขืนให้คนที่ไม่มีศิลปะ
ในการเจรจาอย่างซุยพูด วันนี้ทั้งคืนก็คงเลือกกันไม่เสร็จแน่

“สมาชิกหกคนได้เสนอชื่อน้องหกคนดังนี้” ยูคลี่โพยกระดาษในมือออก “โนะอิเสนอชื่อ คาวาชิมะ คาโอรุ,
 โฮตารุเสนอชื่อ มัตสึดะ จิน, ยูเสนอชื่อ ยาซาว่า ทาเคอิ, มาซาฮิโกะเสนอชื่อ โมริโมโต้ เคน,
 มิสึกิเสนอชื่อ โซมะ ฮิโระ และ… ซุยเสนอชื่อ โนมูระ ไทกิ”

นั่นไง… ว่าแล้ว ความคิดแผลงๆแบบนี้ไม่มีใครเกิน ไทกิจ้องหน้าจำเลยที่ยังยืนเต๊ะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
อยู่บนเวที แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นเป้าหมายของเค้าคนเดียว นัยน์ตาสีฟ้าสดของรุ่นพี่โนะอิปีสาม
ก็จ้องมันเขม็งเช่นกัน

“แต่การเสนอชื่อก็เป็นแค่การคัดเลือกเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อให้น้องๆมั่นใจว่าทุกคนที่ได้รับเลือกมีศักยภาพ
ในการทำงานเท่าเทียมกัน แต่ท้ายที่สุดคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกตัวแทน ก็คือน้องๆทุกคนที่อยู่ในห้องนี้”

“ให้คนที่ยังไม่รู้จักมักจี่ตัดสินใจเลือกภายในวันเดียว มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอไง
อย่างน้อยก็น่าจะให้พวกเราหาเสียงสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วค่อยมาเลือกอีกที ไม่ดีกว่าเหรอ”

เจ้าฮิโระที่ทนฟังอยู่นานเป็นฝ่ายประท้วงบ้าง แหงล่ะ… มันคงไม่ได้กะจะหาเสียงอย่างที่คุยหรอก
แต่คงจะหาวิธีให้นักเรียนทั้งชั้นปีเกลียดขี้หน้าแล้วไม่เลือกมันมากกว่า

“การหาเสียงมันก็ตุกติกได้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีการเล่นนอกเกม และเพื่อป้องกัน
ไม่ให้ใครบางคนคิดหนี ขอให้ทุกคนที่เจอหน้ากันวันนี้ ใช้ความรู้สึกแวบแรกที่เจอหน้าแล้วถูกชะตา
เลือกคนที่พวกนายถูกใจที่สุด โดยไม่ต้องไปนั่งฟังคำพร่ำเพ้อโฆษณาตัวเองให้เปลืองสมอง
เอาล่ะ… มิสึกิ มาซาฮิโกะ พวกนายดำเนินการข้างล่างต่อ ส่วนนายสองคนไม่ต้องกระบิดกระบวน
ขึ้นมาบนเวทีได้แล้ว”

ซุยสรุปทิ้งท้าย พร้อมกับส่งสายตาขู่เรียกไอ้สองตัวแสบขึ้นมายืนบนเวที ฮิโระกับไทกิไม่มีทางเลือก
จำใจต้องไปยืนตีขนาบข้างเพื่อนรูมเมทที่กำลังทำหน้าเครียด

“นายมาจากตระกูลโซมะ?” คาโอรุเค้นเสียงถามเพื่อนแค้นที่ยืนตีคู่

“ไม่ใช่มั้ง… ได้ยินเต็มสองหูแล้วยังจะถาม เพี้ยนหรือเปล่าน่ะนาย” ฮิโระประชดกลับ

“เฮอะ… เห็นนายหยิ่งขนาดนั้น ฉันก็นึกว่าจะเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลมาจากไหน ที่แท้ก็แค่มือสังหารปลายแถว”

พอได้ยินคำสบประมาท แทนที่จะโกรธ เจ้าฮิโระกลับขยับรอยยิ้มกริ่ม แล้วเอียงตัวเข้าไป
กระซิบข้างหูเพื่อนร่วมห้อง

“หัวแถวปลายแถวไม่รู้ ที่แน่ๆฉันมาที่นี่เพราะมีภารกิจ นอนๆอยู่ในห้องก็ระวังหัวนายไว้บ้าง
ก็ดีนะคาโอรุจัง เพราะเป้าหมายของฉันอาจจะเป็นนายก็ได้ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”

นัยน์ตาสีเขียวของผู้รอบรู้กระตุกวาบท้าทาย แสดงว่ามันไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำขู่ของมือสังหารเลย

“ถ้าขืนนายยังประเมินคนอื่นตื้นๆแบบนี้ล่ะก็ฮิโระ นายนั่นแหละที่จะโดนเก็บซะเอง”
มันทั้งคู่แยกเขี้ยวคำรามใส่กันแง่งๆ ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง ไม่มองหน้ากันให้เสียเส้นอีก
แต่ไทกิไม่มีอารมณ์จะห้ามทัพ เค้าค่อยๆไหลตัวเข้าไปหาคนขี้เต๊ะระหว่างที่ทุกคนกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกสมาชิกใหม่กันอยู่

“นายเข้ามาทำไม ไปห่างๆ เดี๋ยวก็โดนฆ่าตายหรอก” ซุยส่งเสียงขู่ แต่ไอ้ตัวแสบมันดื้อ พูดยังไงก็ไม่ฟัง

“ฉันก็แค่อยากรู้ นายเป็นคนแนะให้ฉันอยู่อย่างสงบ แล้วดันผ่าเสนอชื่อฉันเป็นสมาชิกทำไม”

“ฉันไม่ได้เสนอ” ถึงตรงนี้ซุยยิ่งเครียดจัด “ฉันบอกทุกคนแล้วว่าจะไม่เสนอชื่อ
ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักนายด้วยซ้ำแล้วฉันจะเสนอได้ยังไง คงเป็นอาจารย์ชิงุเระที่เจ้ากี้เจ้าการ
อ้างชื่อฉันเรียกนายมาที่นี่มากกว่า”

“นายพูดจริงอ่ะ?”

“ก็จริงน่ะสิ และยิ่งถ้ารู้ว่านายเป็น Red Rose ด้วย ให้ตายฉันก็ไม่มีทางให้นายเป็นสมาชิกแน่”

“เหรอ” ไทกิฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “อันที่จริงฉันก็ไม่อยากเป็นหรอกนะไอ้เมมเบอร์เนี่ย แต่พอได้ยินว่า
ายไม่อยากให้เป็น ต่อมทะเยอทะยานของฉันมันก็กำเริบอยากเป็นขึ้นมายังไงไม่รู้
หึ หึ… ถ้าฟลุ้กได้เป็นจริงๆ คงต้องขอลองหน่อยแล้ว”

ซุยส่งสายตาสีเข้มดุ แต่มันจะกลัวสักนิดหรือก็เปล่า ยังมีการยักคิ้วล้อเลียนเค้า
ก่อนจะกลิ้งหลุนๆไปยืนตีคู่กับเพื่อนร่วมห้อง

“ฉันว่างานนี้เรามีสิทธิ์เฮแน่” ฮิโระเปรยอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

“หรือไม่ก็คงตายหมู่” ไทกิเผลอถอนใจตามไปด้วยอีกคน
เพื่อนๆปีหนึ่งออกอาการสนใจและมองมาทางพวกเค้าสามคนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเป็นโลโก้ของสมาชิก
พิเศษ ต้องยอมรับไว้อย่างว่าพวกมันสามคนหน้าตาดีและโดดเด่นกว่าใครเพื่อน
ยิ่งไทกิกล้าก่อเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เปิดหอก็ยิ่งน่าสนใจ เจ้าฮิโระก็กล้าเถียงรุ่นพี่ฉอดๆ
คาโอรุก็เป็นผู้รอบรู้ คุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้ คงไม่แคล้ว…

เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง การลงคะแนนก็เสร็จสิ้น พวกพี่ๆนำคะแนนขึ้นมาขานให้ทุกคนเห็นกันถ้วนหน้า
ทุกคนลุ้นระทึกโดยเฉพาะคนที่อยากเป็น แต่คนที่ไม่อยากก็ออกอาการย่ำแย่ไม่แพ้กัน

“ฉันอยากตาย”
นักฆ่าเริ่มออกอาการท้อแท้ คิดทรยศต่อวิชาชีพของตัวเอง ก่อนจะยกมือกุมขมับอย่างสุดทน
ก็คะแนนมันน่ะ… นำลิ่วๆจนกู่ไม่กลับแล้ว

“ใจเย็นน่าฮิโระ มันยังไม่จบซะหน่อย” ไทกิพยายามช่วยปลอบ ทั้งที่ตัวเองก็กลุ้มพอกัน
ถึงจะประชดคุณชายสายน้ำไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงๆเค้าก็อยากอยู่แบบสงบสุขดีกว่า
ไทกิหันไปหาเพื่อนร่วมห้องอีกคน เห็นมันเครียดกว่าเจ้าฮิโระซะอีก

“ใจเย็นๆน่าคาโอรุ คะแนนของนายก็ไม่ได้ต่ำกว่าคนอื่นซะหน่อย”

“อย่าพูดมากน่า!” คนกำลังเครียดตวาดกลับ “ฉันยอมไม่ได้หรอก ถ้าต้องแพ้ไอ้นักฆ่าปลายแถวนั่น”

เออ… เอาเข้าไป คนหนึ่งอยากเป็นแต่ดันต้องลุ้นจนตัวโก่ง ส่วนอีกคนไม่อยากแต่ดันเป็นตัวเต็งซะนี่
แล้วการนับคะแนนก็มาถึงโค้งสุดท้าย ในขณะที่นักฆ่าทรุดลงไปกองบนพื้นเวที เ
พราะคะแนนมันติดโผหนึ่งในสามไปเรียบร้อยโดยไม่ต้องนับต่อ คาโอรุยังต้องลุ้นต่อ
ไทกิก็ยังภาวนาให้ตังเองรอด แต่คะแนนสูสีกันมาก เรียกว่าต้องดูกันคะแนนต่อคะแนนเลยทีเดียว

“และผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกคนที่สองต่อจากโซมะ ฮิโระ ก็คือ… คาวาชิมะ คาโอรุ”

เสียงประกาศจากพี่ยู ทำให้คาโอรุที่ลุ้นใจขาดค่อยถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
ก่อนจะเดินไปยืนขนาบข้างคู่แค้นที่กำลังกลุ้มเป็นที่สุด
มิสึกิที่ทำหน้าที่เป็นคนขานคะแนน เหลือบไปมองไวท์บอร์ด อีกสี่คนที่เหลือคะแนนเท่ากัน
แต่ผลโหวตที่อยู่ในมือเหลืออีกแค่ใบเดียวเท่านั้น

‘ขออย่าให้เป็นฉันเลย’ ไทกิภาวนาในใจ
มิสึกิคลี่กระดาษแผ่นสุดท้ายช้าๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง รอยยิ้มบางๆจับบนใบหน้าหล่อเหลา
ของรุ่นพี่ ก่อนที่คำพิพากษาจะประกาศออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัด

“ยาซาว่า ทาเคอิ”
เสียงเฮดังกึกก้องจากแก๊งทาเคอิ ในขณะที่ไทกิค่อยหายใจได้ทั่วท้องที่ในที่สุดก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เค้ายังแอบส่งสายตาไปเยาะเย้ยเจ้าฮิโระที่กำลังทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้
แต่ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดก็ถูกดัดหลังจนได้ ฝันหวานที่เพิ่งได้มาหมาดๆไม่กี่วินาที ถูกพี่ๆทำลายจนราบ

“การคัดเลือกยังไม่จบแค่นี้ ในฐานะรุ่นพี่ที่ต้องทำงานร่วมกับสมาชิกใหม่ พวกเราหกคน
จึงมีหกคะแนนเสียงในการเลือกสมาชิกครั้งนี้ด้วย และ… ผลคะแนนทั้งหกก็อยู่ในมือของพี่แล้ว”

มิสึกิคลี่กระดาษออกทีละแผ่น ประกาศรายชื่อที่เหล่าเมมเบอร์หน้าเก่าเป็นผู้เลือกสรร

“ยาซาว่า ทาเคอิ”
เสียงแรกที่ทำให้ไทกิค่อยโล่งใจไปอีกเปลาะ ตอนนี้หมอนั่นก็มีคะแนนนำหน้าเค้าไปสองคะแนนแล้ว

“โนมูระ ไทกิ”
เออน่า… ยังเหลืออีกตั้งสี่คน เค้าคงไม่ซวยขนาดไปเตะตารุ่นพี่ที่เหลือหรอก
อย่างน้อยก็นอนใจได้เลยว่าพี่โนะอิกับซุยไม่เลือกเค้าแน่

“โนมูระ ไทกิ”
เอาล่ะสิ… ตอนนี้คะแนนขึ้นมาเสมอเจ้าทาเคอิซะแล้ว

“โนมูระ ไทกิ”
นำแล้ว…

“โนมูระ ไทกิ”
ซวยแล้ว…

“และใบสุดท้าย… โนมูระ ไทกิ”
ตายสนิท…

ไทกิยกมือกุมขมับตามเจ้าฮิโระไปอีกคน มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงฟะ ทำไมรุ่นพี่ห้าคนถึงเลือกเค้า
(ไม่ต้องสงสัยคนที่ไม่เลือก ต้องเป็นโนะอิแน่ๆ)

“ยินดีด้วยไทกิคุง” มิสึกิเข้ามาจับมือแสดงความยินดี “แต่น่าเสียดายนะที่ซุยไม่ได้เลือกนาย
ตอนที่ลงคะแนน ทั้งที่มันเป็นคนเสนอชื่อนายแท้ๆ”

อะไรนะ!
ไทกิช็อกไปอีกรอบ พอสะบัดหน้าไปหารุ่นพี่ขี้เต๊ะ มันก็พยักหน้ายืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้เลือก
นั่นหมายความว่า …โนะอิ… ก็เป็นหนึ่งในห้าคะแนนสำคัญที่เลือกเค้างั้นเหรอ

ในที่สุด… การคัดเลือกสมาชิกพิเศษปีหนึ่งก็เสร็จสิ้น ได้ผลการตัดสินสามคนคือฮิโระ คาโอรุ และไทกิ
ทั้งสามต้องอยู่ฟังพี่ยูอบรมเป็นการส่วนตัวอีกพักใหญ่ ส่วนคนที่เหลือก็ได้รับอนุญาตให้ออกไป
ร่วมงานกินเลี้ยงที่จัดเตรียมไว้ที่ลานด้านนอก

“ทำไมนายต้องเลือกไทกิ” ซุยเดินตามไปคาดคั้นหัวหน้าซีเนียร์ โนะอิหันมาแค่นยิ้ม
ก่อนจะให้คำเฉลยที่ซุยฟังแล้วต้องเสียวสันหลัง

“ฉันก็แค่อยากให้มันมาอยู่ในสายตาฉัน เพราะถ้าเด็กนั่นทำอะไรล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้เมื่อไหร่
ฉันก็จะเก็บมันได้ทุกเมื่อไงล่ะ”

“แต่เราตกลงกันแล้ว”

“ที่นายเสนอชื่อมันไม่อยู่ในข้อตกลงของฉัน ข้อนี้ฉันยอมไม่ได้ ในเมื่อนายอยากให้มันเป็นเมมเบอร์
ฉันก็ช่วยจัดการให้แล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของหมอนั่นเอง ไม่อยากให้ฉันฆ่ามัน
นายก็ควรอยู่ห่างๆมันไว้ หวังว่าคงเข้าใจนะซุย”

โนะอิประกาศกร้าว ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความลำบากใจให้กับคนข้างหลัง
ซึ่งกำลังคิดหนักกับภารกิจที่ได้รับคราวนี้
เรื่องมันชักจะยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นทุกทีแล้ว…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: aum ที่ 21-01-2008 22:39:53
สนุกดีครับ มาต่อนะครับ ขอบคุณครับผม :a2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-01-2008 06:03:25
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกก 
ทั้งพล๊อต ทั้งการดำเนินเรื่อง
เป็นแนวแฟนตาซีที่ชอบเลย  มันส์ๆๆๆ

รออ่านต่อ บวกหนึ่งให้ Unn เลย (เรียกว่า อันรึเปล่าเอ่ย)  :oni2:  :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-01-2008 11:00:39
คงจะเป็นแนวบู้นะ
น่าติดตามมาก รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: SodaSaa ที่ 31-01-2008 23:17:42
เคยอ่านแล้ว ชอบมากๆ เลยเรื่องนี้ ...
มาต่อนะคะ จะรออ่านรอบสอง ...

 :mc2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 01-02-2008 01:56:27
 :m22: Chapter 9 Freshy Party

งานเลี้ยงเริ่มในตอนค่ำหลังจากการคัดเลือกเมมเบอร์เสร็จสิ้น ลานกว้างระหว่างหอลมและหอไฟ
ถูกเนรมิตให้กลายเป็นบาร์บีคิวปาร์ตี้และบุฟเฟ่ต์สุดหรู ทุกคนสนุกกันสุดเหวี่ยง
แต่ก็มีบางคนที่ยังนั่งห่อเหี่ยวใจอยู่ในมุมมืด

“อ่ะ… ฉันเอามาฝาก”

ไทกิไปเลือกบาร์บีคิวมาสองสามไม้ส่งให้เพื่อนซี้ที่แอบสลดอยู่มุมหอ ฮิโระก็ช้อนตาขึ้นไปมอง
ก่อนจะนั่งกุมขมับต่อ

“แปลกแฮะ ปกติเห็นนายสวาปามเหมือนตายอดตายอยากมาทั้งชาติ แต่วันนี้กลับไม่ยอมแตะต้อง
ของกินเลย”

“ก็ฉันกินไม่ลง” ฮิโระทำท่าคลื่นไส้ ก่อนจะเขม่นสายตาไปหาอีกคนที่กำลังยืนปราศรัยอยู่กลางวงเพื่อนๆ

 “ฉันไม่ใช่ไอ้บ้านั่นนี่ ถึงทำหน้าบานอย่างกะได้เป็นนายก”

“คาโอรุเค้าหวัง พอได้เป็นเค้าก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่นายกับฉันหัวอกเดียวกัน ฉันก็พอจะเข้าใจว่านาย
กลุ้มแค่ไหน แต่ถึงนั่งซึมไปมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ฉันว่าสู้ปล่อยเลยตามเลย
 แล้วทำตัวเหมือนเดิมดีกว่า คิดมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ”

ไทกิช่วยปลอบ พอได้ยินอย่างนั้น นักฆ่าก็คว้าจานหมับ สวาปามบาร์บีคิวทั้งสามไม้ลงกระเพาะ
ไปอย่างรวดเร็ว

“มีแค่นี้เองเหรอ” พอกินหมดก็ถามหาเพิ่ม แสดงว่ามันหายซึมแล้วแน่ๆ

“นี่… อยากกินก็ไปเอาเองสิ ฉันไม่ใช่ทาสรับใช้นายนะ โน่นเลย…” ว่าแล้วก็ผลักมันไปกลางวง

“งก!” มันยังมีหันหน้ามาด่า แต่กรรมก็ตามสนองทันตาเห็น ทันทีที่มันเข้าไปเสนอหน้ากลางวง
ก็ถูกเพื่อนๆที่ตั้งตัวเป็นแฟนคลับรุมทึ้งจนไม่มีชิ้นดี

“ฮัลโหลเทสต์”
เสียงโหยหวนของไมโครโฟนประจำหอดังก้องไปทั่วลานกว้าง ล่อซะแก้วหูแสบแปล๊บๆ ไทกิเงยหน้าขึ้นไป
มองบนเวที เห็นรุ่นพี่ปีสองหลายคนขึ้นไปยืนเรียงหน้า พร้อมกับเข็นโต๊ะมิกเซอร์หลากสีขึ้นไปด้วย

“เอาล่ะครับ… ต่อไปเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน การต่อสู้ระหว่างหอไฟและหอลม
ที่มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ วันนี้จะเป็นการดวลศึกแรก ขอใช้ชื่อว่า… ไม่เมาไม่เลิก”

ฮิ้ว…… เสียงพี่ๆปีสองข้างล่างโห่รับ ในขณะที่น้องปีหนึ่งยังงงเป็นไก่ตาแตก ไทกิเริ่มเขม่นตายิกๆ
ประเพณีบ้าบออะไร ฟังดูมอมเมาเยาวชนซะไม่มี

“ศึกนี้จะแบ่งคู่ต่อสู้ฝั่งละสามคน ขอให้น้องๆคัดเลือกคนที่คิดว่าคอแข็งที่สุดออกมาดวลกับพวกพี่ๆ
หรือจะเอาสมาชิกพิเศษก็ได้ ไม่ว่ากัน” พวกพี่ๆเสนอความเห็น แต่ก็แอบอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ไทกิชักหนาวๆร้อนๆ ลำพังตัวเค้าไม่เท่าไหร่ แต่คาโอรุกับฮิโระมันจะไหวเหรอเนี่ย หน้าตาบ้องแบ๊วดูท่าทางจะคออ่อนทั้งคู่

“เอาเลย… เอาสมาชิกพิเศษ!” แถมเพื่อนๆก็ยังยุส่งอีกแน่ะ

จากนั้นไม่นานก็เกิดสงครามเล็กๆขึ้น เพราะกว่าเพื่อนๆจะผลักสมาชิกพิเศษแต่ละคนขึ้นไปบนเวที
ก็ทำเอาเหนื่อยไปตามๆกัน สามเกลอร่วมห้องยืนเอ๋อสบตากันปริบๆ

“ฉันไม่เล่นเกมบ้าๆนี่แน่” ฮิโระปฏิเสธเด็ดๆ

“ปอดแหกล่ะสิ” คาโอรุหยามน้ำหน้า “ถ้าไม่สู้ ก็ลงไปกินนมนอนดีกว่า ไป… ไอ้ขี้ขลาด”

“เรื่องอะไรฉันต้องปอด แกทำได้ฉันก็ทำได้เฟ้ย!”

ว่าแล้วนักฆ่าผู้ไม่เจียมสังขารก็คว้าแก้วเหล้าหมับ แล้วยกดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง
ทั้งที่ยังไม่ได้รับสัญญาณเริ่มจากรุ่นพี่ด้วยซ้ำ เพื่อนๆที่อยู่ข้างล่างเฮลั่นชื่นชมในความใจถึงของมัน
 แต่แล้วฮีโร่ผู้ถูกหวังว่าจะกำชัยชนะ ก็ค่อยๆโยกร่างสูงส่ายไปส่ายมา แก้มเนียนๆขึ้นสีแดงก่ำ
ตาลอยเคลิ้ม แล้วมือที่ถือแก้วเหล้าก็ค่อยๆชูขึ้นมาเหนือศีรษะ

“เฮ… ชาย… โย…”
มันยังมีหน้าประกาศชัยชนะ ก่อนจะฟุบลงไปกอดคู่อริจนล้มลงไปด้วยกัน

“เฮ้ย! ปล่อยนะเฟ้ย ไอ้บ้าฮิโระ!! อย่ามานอนตรงนี้นะ” คาโอรุจนปัญญาจะด่าแล้ว
เพราะมันหลับปุ๋ยคาอกไปเรียบร้อย แถมยังส่งเสียงกรนจนน่าหมั่นไส้
คาโอรุเลยได้แต่ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไทกิ

“นายก็พามันกลับห้องสิ” ไทกิบอกสั้นๆ พยายามไม่สบตาคาโอรุ แหงล่ะ…
 เจ้าฮิโระมันเลือกล้มไปกอดคาโอรุเอง ก็ต้องให้เจ้าคาโอรุมันจัดการสิ
เรื่องอะไรเค้าต้องทนหนักแบกมันกลับห้องด้วย

“เว้ยยย!!” คาโอรุสบถอย่างฉุนเฉียว แต่ก็ต้องจำใจลากมันกลับห้อง ตัวก็หนักจะตายชัก
 ไม่รู้ชาติที่แล้วติดหนี้อะไรมันไว้ เค้าถึงต้องหงุดหงิดใจเพราะมันอยู่เรื่อย

“อ้าว… ถ้าลงจากเวทีก็ถือว่ายอมแพ้นะครับ คราวนี้ปีหนึ่งก็เหลือตัวแทนแค่คนเดียวแล้ว”
พวกรุ่นพี่ดัดหลังกันเห็นๆ พอเห็นคาโอรุลากคู่อริลงเวที ก็ประกาศกติกาใหม่ทันควัน
จนน้องๆปีหนึ่งเริ่มโห่ด้วยความไม่พอใจ แต่พวกพี่ขี้โกงก็แกล้งทำหูทวนลมซะงั้น

“เอาล่ะ… เชิญน้องคนสุดท้ายรับเครื่องดื่ม”
รุ่นพี่ยัดเยียดแก้วค็อกเทลมาให้ไทกิ เค้าก็ยกขึ้นมาดม ได้กลิ่นหวานมึนๆกระแทกจมูก ไทกิขยับยิ้มบางๆ
โธ่เอ๊ย… ที่แท้ก็ค็อกเทลธรรมดา ของแค่นี้ ‘เซกิ’ เคยหลอกให้กินแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ก็งั้นๆ… ไม่คณามือหรอก
ไทกิกำลังจะดื่มค็อกเทล แต่ทันใดนั้นก็ถูกมือใหญ่มาคว้าแก้วไปจากมือของเค้าแล้วยกขึ้นดื่มแทน ทุกคนได้แต่อึ้งไปตามๆกัน ร่างสูงวางแก้วค็อกเทลกลับที่เดิม ก่อนจะแย่งไมโครโฟนมาประกาศ

“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามไม่ให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานรับน้อง” เสียงประธานคาดคั้นกับเพื่อนปีสอง
ที่กำลังหงอยไปตามๆกัน “ฉันประกาศไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดหอ พวกนายก็ยังฝ่าฝืน
ฉันคงต้องวางบทลงโทษให้เด็ดขาดซะแล้วมั้ง”

“ไม่เอาน่า ซุย… พวกเราก็แค่เล่นสนุกๆ ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” เพื่อนๆพยายามต่อรอง

“ไม่ได้! กฎก็ต้องเป็นกฎ มาซาฮิโกะ… ฝากชำระโทษพวกนี้แทนฉันด้วย” ซุยสั่งงานรองประธาน
 ก่อนจะหันมาจ้องไทกิอย่างเลือดเย็น “ส่วนนายมากับฉัน”

“ฉันไม่เกี่ยวนะ!” ไทกิรีบแก้ตัว

ก็จริงนี่… งานนี้เค้าไม่ได้เป็นคนเริ่มซะหน่อย แต่ซุยก็ไม่ฟัง ยังลากเค้าออกไปจากลานกว้าง
พาไปไกลจากหอจนมาถึงศาลาริมน้ำ

“ฉันไม่เกี่ยวจริงๆนะซุย พวกรุ่นพี่ต่างหากที่เป็นคนริเริ่มเกมบ้าๆนั่น”

ไทกิพยายามแก้ตัวไปอีกรอบ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะฟังเค้าอยู่หรือเปล่า เพราะพอมาถึงศาลาริมน้ำ
มันก็ทรุดตัวลงไปกองอยู่บนม้านั่ง ก้มหน้าก้มตาพร้อมยกมือขึ้นกุมขมับ

“เฮ้… ซุย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ไทกิรู้สึกว่ามันผิดปกติ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอมันเงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาเท่านั้น ไทกิก็ถึงบางอ้อ

“ฮ่าๆๆๆๆๆ นะ… นาย…”

ไทกิหัวเราะขำกลิ้ง กรีดนิ้วชี้หน้ารุ่นพี่ที่กำลังเดือดปุดๆ

“นายเมา”
ข้อสรุปที่เปลี่ยนหน้าแดงๆให้ซีดลง

“เปล่าซะหน่อย ฉันก็แค่แพ้พวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซุยยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“โอ๊ย… ไอ้อาการอย่างนี้เค้าไม่เรียกแพ้แล้วพี่ เค้าเรียกว่าเมาต่างหาก” ไทกิย้ำ

“เออ… จะยังไงก็ช่างฉันเถอะ ว่าแต่นายคิดอะไรถึงริจะดื่มเหล้า พอเมาเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก
ฉันล่ะกลัวใจนายจริงๆ ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดบ้างมั้ยว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

“นายก็เลยมาห้ามฉันซะงั้น” ไทกิอมยิ้ม ก่อนจะเดินไปโอบไหล่รุ่นพี่คนสำคัญที่กำลังมึนเพราะฤทธิ์
แอลกอฮอล์ “จะบอกอะไรให้นะซุย ถ้ากินของแค่นี้แล้วเมา ฉันก็ไม่ใช่ Red Rose แล้ว
ปลดตำแหน่งเป็นเบ๊ของกลุ่มยมทูตดีกว่า ฉันนะโดนคนในองค์กรหลอกมอมเหล้าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ยาพิษก็เคยกินมาแล้ว ต่อให้ซดบรั่นดีทั้งขวดฉันยังไม่สะเทือนเลย”

“แน่ขนาดนั้นเชียว” ซุยยังไม่เชื่อน้ำหน้า

“ไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าฉันโดนมอมเหล้าง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่อยู่รอดจนถึงป่านนี้หรอก” ไทกิอวดสรรพคุณ
 “ว่าแต่นายเหอะ เรียกฉันมานี่ทำไม”

ซุยคลึงขมับเบาๆ เพราะเริ่มจะตาลายแล้ว แต่ก็ยังฝืนพูดต่อจนจบ

“ฉันแค่อยากมาเตือนนายว่าให้อยู่ห่างๆโนะอิเอาไว้ หมอนี่เอาจริงแน่ ถ้ามันลงมือเมื่อไหร่
 แม้แต่ฉันเองก็อาจจะเอาไม่อยู่”

ไทกิหัวเราะ “พูดกับใครอยู่ ฉันน่ะระดับไหนแล้ว บอกแล้วไงถึงนายไม่ปกป้อง ฉันก็ดูแลตัวเองได้”

“ฉันรู้ว่านายเก่ง แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายปะทะกับโนะอิ ขอร้องแค่นี้ได้มั้ยล่ะ”

ไทกิพยักหน้า ก็เอาเหอะ… เค้าเองก็ไม่ค่อยอยากงัดวิชาชีพเก่ามาใช้อยู่แล้ว

“โอ๊ย…” ซุยเอนหลังพิงเสา หน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ตาก็ลายไปหมดจนแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว

“นายอาการแย่มากเลยนะซุย ให้ฉันพาไปห้องพยาบาลเอามั้ย”

“ไม่ต้อง” คนปากเก่งฝืนลุกขึ้น แต่แล้วก็ไปไม่รอด เพราะทันทีที่มันลุก มันก็ล้มฟุบลงมาอีก
คราวนี้เล่นสลบเหมือดคาที่ โชคดีที่ไทกิโดดไปรับไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวได้ฟาดเสาตายแน่

“เฮ้ย! ซุย!!”
ไทกิพยายามปลุก แต่มันก็ไม่ตื่น ซวยล่ะสิ… เป็นเจ้าฮิโระยังพอทน แต่ซุยนอกจากจะสูงกว่า
แถมยังหนักกว่าเจ้าฮิโระหลายเท่า แล้วเค้าจะเอาปัญญาที่ไหนลากรุ่นพี่คนสำคัญกลับหอล่ะเนี่ย
มือเล็กๆประคองศีรษะนุ่มๆวางลงบนตัก สายตาก็กวาดหาคนช่วย แต่ก็ไม่มีใครผ่านมาเลยสักคน จ
นเด็กหนุ่มได้แต่ปลง แล้วก้มหน้ามองร่างสูงที่หลับปุ๋ยอีกครั้ง

น่ารักแฮะ…

ไทกิเริ่มเคลิ้ม ลูบเรียวหน้าขาวผ่องเบาๆ หน้าก็สวย แก้มก็ใส ผิวก็เนียน ขนตาก็ยาว น่ารักจริงๆ
ถึงจะอยู่ด้วยกันมาร่วมสองสัปดาห์ แต่ก็ไม่เคยเห็นมันตอนหลับซะที เห็นแล้วมันน่ามันเขี้ยวจริงๆ พับผ่าสิ…
มือไม้เริ่มทำตามอำเภอใจ ไล่กรีดไปตามริมฝีปากบางแดงระเรื่อ หน้าเล็กๆโน้มลงไปใกล้
ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ริมฝีปากแดงก่ำนั่นก็เย้ายวนใจนัก…

“น่ารัก”
แล้วคนเผลอใจก็ประกบริมฝีปากกับคนหลับอย่างลืมตัว นุ่มมาก… หวานด้วย… ทำไมถึงหวานขนาดนี้
แค่ชิมยังแทบละลาย ลิ้นอุ่นๆจึงเผลอไผลถือวิสาสะเผยอปากร้อนผ่าวออก แล้วสอดลิ้นเข้าไปชิม
ความหอมหวานจากข้างในบ้าง
แต่ทว่า…

“ไม่ดีนะ ไม่ดี!”

เสียงร้องห้าม ที่ส่งมาพร้อมเจ้าของร่างสูงอารมณ์ดี ซึ่งกำลังก้าวฉับๆมานั่งข้างๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่!
ไทกิสะดุ้งตัวหลบแทบไม่ทัน เสียดายก็เสียดายที่โดนขัดจังหวะ (แหม…) แต่ก็ตกใจมากกว่าที่คนๆนี้
เข้ามาประชิดตัวเค้าได้อย่างง่ายดาย ไม่น่าเชื่อ… ถึงเค้าจะเผลอใจ (นั่น) แต่ก็ระวังตัวตลอด
จึงไม่น่าจะมีใครเข้าใกล้ได้ง่ายๆ แสดงว่าหมอนี่ต้องระดับไม่ธรรมดาแน่
รุ่นพี่คนนั้นฉีกยิ้ม ก่อนจะหลุดคำเปรยที่ไทกิฟังแล้วต้องกลับไปทบทวนจัดระดับให้ใหม่

“จริงอยู่… ถึงซุยมันจะน่ากิน แต่แอบกินของพร่ำเพรื่อแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพนะ เดี๋ยวจะท้องเสียเอาได้”

“ไม่ได้กินซะหน่อย!” ไทกิเถียง แต่หลักฐานมันฟ้องอยู่ทนโท่ พูดยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
แต่คนๆนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกนอกจากฉีกยิ้มที่อบอุ่น ก่อนจะดึงร่างเพื่อนซี้กลับมาพาดบนไหล่

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคุณหนู แต่ซุยมันไม่ชอบให้ใครยุ่งกับมันโดยเฉพาะตอนหลับ ถ้ามันตื่นขึ้นมารู้เข้า
ต้องโกรธแน่ๆ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่บอกมันหรอก” คนๆนั้นให้สัญญา

“พี่มิสึกิ” ไทกิเรียกชื่อรุ่นพี่อย่างยากเย็น เพราะความผิดมันติดคอจนพูดไม่ออก
“พี่รู้ได้ยังไงว่าผมกับเอ่อ… ซุย อยู่ที่นี่”

“ไม่ยาก… มีไม่กี่คนหรอกที่ซุยมันจะเข้าใกล้ แค่ตามกลิ่นคุณหนูมาก็เจอมันแล้ว”
คำอธิบายของมิสึกิทำให้ไทกิยิ่งเครียด คนที่รู้ว่าซุยเป็นบอดี้การ์ดเค้าอยู่ ชักจะเยอะเกินคาดซะแล้ว
 แล้วต่อไปเค้าจะปิดบังฐานะของตัวเองไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้เลย…

“ไม่ต้องห่วง” มือใหญ่วางหมับลูบหัวปุยๆของไทกิ “ฉันไม่ได้คิดร้ายกับคุณหนู ถ้าจำเป็นก็อาจจะ
เข้าเป็นฝ่ายกับคุณหนูด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ขอตัวบอดี้การ์ดจำเป็นกลับหอก่อนนะ
สภาพนี้มันคงปกป้องใครไม่ไหวหรอก” มิสึกิประคองซุยไว้ ก่อนจะพากลับหอด้วยความทุลักทุเล

“พี่มิสึกิ!” ไทกิเรียกไว้ พร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอบคุณมากนะ”

“ยินดีรับใช้” รุ่นพี่ยักคิ้วกริ่ม แล้วก็จากไป
โรงเรียนนี้มีแต่คนแปลก… บางคนวุ่นวาย บางคนก็ชอบเก็บตัวเงียบ แต่ที่แน่ๆแต่ละคน
มีความสามารถเหนือชั้นไม่ธรรมดา
ชักสนุกขึ้นมาซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 01-02-2008 02:09:57
 :m22: Chapter 10 Sweet Three

หลังงานรับน้อง… ยูเดินกลับขึ้นห้องด้วยความอ่อนเพลีย เพราะกว่าจะไล่พวกเด็กๆกลับขึ้นไปนอนได้ก็เกือบสว่าง
 ยูเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่แขวนอยู่ในห้องคอมม่อนรูมของหอน้ำ

…ตีสี่ครึ่ง… ใกล้สว่างแล้วนี่ มิน่าเค้าถึงได้เพลียนัก
ระเบียงทางเดินเปิดไฟสว่างไสว แต่ห้องทุกห้องบนชั้นห้าเงียบกริบ ก็แหงล่ะ… เพื่อนๆปีสามคงหลับหมดแล้ว
คิดๆดูไอ้งานกรรมการสมาชิกพิเศษนี่ก็เหนื่อยเป็นบ้า ใครบอกเป็นแล้วเท่ เค้าเป็นมาตั้งสามปี
แล้วก็ยังมองไม่เห็นว่ามันจะเท่ตรงไหน นอกจากจะเหนื่อยแทบขาดใจเปลืองแรงกายโดยใช่เหตุ
 แม้แต่ตอนปิดเทอมก็ยังไม่เว้น

ยูไขกุญแจเปิดห้อง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนลงไปในตะกร้า คิดว่าจะไปฟุบซักงีบบนเตียง แต่ทว่า…
หมับ…

มือที่ไวกว่าพุ่งฉิวออกมาจากเงามืด คว้าร่างบางที่กำลังถลาลงเตียงด้วยความแม่นยำ
ก่อนจะลากลงไปนอนคลุกอยู่บนเตียงด้วยกัน พอร่างบางกำลังจะประท้วง ก็ถูกริมฝีปากอุ่นประกบไว้จนแน่นสนิท

“อื้ม… โฮตารุ?” ตาหวานๆเพ่งมองฝ่าความมืด พร้อมกับดันตัวคนที่มารังแกออกห่าง รูปร่างแบบนี้เค้าพอจำได้
 แต่หน้านี่สิยังไม่ค่อยแน่ใจนัก

“นายเดาผิดแล้ว” ร่างปริศนาในเงามืดยิ้มกริ่ม “ฉัน… มาโมรุ ต่างหาก”

พอมันเฉลยจบ ไฟในห้องก็ถูกเปิดจนสว่างไปทั้งห้อง พร้อมกับร่างสูงอีกร่างก็เดินมานั่งเผละบนเตียง
ด้วยอารมณ์หงุดหงิดนิดหน่อย

“นายเดาผิดอีกแล้วนะยู เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน นายก็ยังแยกฉันกับมาโมรุไม่ออกซะที ฉันชักจะน้อยใจแล้วนะเนี่ย”
 โฮตารุตัวจริงบ่นด้วยความน้อยใจ จนยูต้องโผเข้าไปกอดปลอบ

“ก็นายสองคนเป็นฝาแฝดกัน แถมรูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนกันเปี๊ยบ ขนาดพ่อแม่นายยังแยกไม่ออก
แล้วฉันจะไปมีปัญญาแยกพวกนายออกได้ไง ยกเว้นก็แต่…”

ถึงตอนนี้แก้มบางๆเริ่มแดงซ่าน ไม่อยากพูดต่อ จนแฝดพี่มาโมรุที่คล้องเอวอยู่ข้างหลังต้องโน้มเข้ามาใกล้
แล้วจูบซุกไซ้ซอกคอเบาๆ

“ต้องทำแบบนี้ใช่มั้ย นายถึงแยกพวกเราออก หืม… ยู?”
มาโมรุส่งสายตาหวานเชื่อมแกมเจ้าเล่ห์ แต่คนโดนเล่นงานหน้าแดงก่ำจนถึงใบหูแล้ว

“ก็… มาโมรุอ่อนโยนกับฉัน แต่… โฮจังชอบทำให้ฉันเจ็บอยู่เรื่อย”
พอได้ยินอย่างนั้นแฝดน้องก็ชักฉุนขึ้นมาตะหงิดๆ เรื่องอื่นยอมแพ้พี่ได้ แต่เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ยอมแน่
เค้าจึงดึงร่างบางเข้ามาจูบอย่างเร่าร้อน บดขยี้ริมฝีปากหวานด้วยแรงพิศวาสจนขับสีเลือดแดงช้ำ
 เล่นงานคนรับแทบขาดใจตายคาอก

“ฉันรักนายนะ ยู” โฮตารุกระซิบบอกเบาๆ ยูก็กอดโฮตารุไว้แน่นด้วยความเคลิบเคลิ้ม

“ฉันก็รักนาย โฮตารุ”

“แล้วฉันล่ะ” แฝดพี่ก็ชักจะอิจฉา ยูเลยเชยคางแฝดพี่เข้ามาใกล้แล้วจูบเอาใจบ้าง

“มาโมรุ ฉันก็รัก”

“งั้นขอรักนายให้หายคิดถึงหน่อยนะ โฮตารุมันได้อยู่กับนายตลอดปิดเทอม แต่ฉันนี่สิถูกพ่อเรียกตัวกลับบ้าน
 นับวันรอให้ถึงวันเปิดเทอมทุกลมหายใจ คิดถึงนายจะแย่อยู่แล้ว… รู้มั้ย”

มาโมรุขโมยร่างบางมาจากอ้อมอกน้องชาย แล้วไล่จูบไปตามนวลเนื้อด้วยความนุ่มนวล
ทุกสัมผัสราวกับจะย้ำให้รู้ซึ้งถึงรสรัก ยูแอ่นกายรับด้วยความเสียวซ่าน
แทบจะละลายคาลิ้นหวานๆของมาโมรุอยู่แล้ว

“งั้นฉันไม่กวน”
โฮตารุทำท่าจะหนีเพื่อเปิดทางให้พี่ชาย แต่ก็ถูกมือเล็กๆฉุดเอาไว้อีก

“โฮจัง” ยูส่งสายตาเว้าวอน นัยน์ตาสีเข้มบ่งบอกถึงอารมณ์โหยหาไม่อยากให้โฮตารุจากไปไหน
ในขณะที่อารมณ์ข้างในกำลังพลุ่งพล่านเพราะถูกแฝดพี่วางระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เอาน่าโฮตารุ… พวกเราก็อยู่ด้วยกันสามคนมาตั้งนานแล้ว นายจะงอนอะไรอีก ยูจังอยากให้นายอยู่นะ”
มาโมรุช่วยเกลี้ยกล่อมน้องชายหัวดื้อด้วยอีกแรง

โฮตารุทำหน้าเหนื่อยใจ บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้ แต่เพราะรักจนหมดหัวใจถึงขัดใจยูไม่ได้ซะที
มือใหญ่จึงเอื้อมไปลูบแก้มคนเอาแต่ใจที่กำลังทำตาหวานเชื่อมได้อย่างน่ารักที่สุด

“ถ้าฉันทำให้นายเจ็บ… ก็อย่าบ่นทีหลังก็แล้วกัน”
คนน่ารักผลักร่างสูงลงบนเตียงแทนคำตอบ ปากประกบลงไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นพันนัวเนีย แต่ยังโก้งโค้งบั้นท้าย
ให้ร่างสูงอีกคนได้ลิ้มลองกับรสชาติแห่งความสุขบ้าง แฝดพี่จึงไม่รอช้า ปลดกางเกงออกจากร่างบาง
แล้วรูดลงไปกองที่พื้นพร้อมกับปราการชิ้นสำคัญ เผยให้เห็นสะโพกขาวๆนิ่มๆที่ยั่วยวนที่สุด

“อื้ม…”
มาโมรุแกล้งกัดสะโพกนิ่มๆนั้นเบาๆจนยูเผลอครางออกมา ก่อนจะก้มลงไปจูบกับโฮตารุต่อเพื่อไม่ให้อารมณ์ขาด
ตอน แต่สองมือเล็กๆก็ยังซุกซนสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วไต่ไปตามหน้าอกกว้างของโฮตารุ
จนไปสะดุดเข้ากับปุ่มนูนที่แข็งขืนขึ้นมาตามสัมผัสของเค้า ยูก็คลึงเล่นเบาๆอย่างได้ใจ
แฝดพี่ประกบอยู่ทางด้านหลัง เห็นร่างบางกำลังเพลินอยู่กับร่างกายของน้องชาย จึงแกล้งก้มหน้าลงไปลิ้มเลีย
ตามร่องสะโพก และจงใจเน้นย้ำอยู่ตรงช่องคับสีชมพูหวานจ๋อย ตวัดลิ้นรุกเข้าไปจนชุ่มฉ่ำ
ยูทนไม่ไหวต้องยอมคลายจูบจากโฮตารุแล้วส่งเสียงครางระงม

“อืม… แบบนี้ไม่ถนัดเลย” โฮตารุบ่นเล็กน้อย ก่อนจะไหลตัวเข้าไปนอนแผ่อยู่ใต้ร่างบางในทิศทางตรงกันข้าม
เห็นส่วนอ่อนไหวของยูซึ่งกำลังลุกชูชันด้วยแรงปรารถนาจ่ออยู่ใกล้ปาก ก็คว้าหมับกลืนเข้าไปทั้งหมด
พร้อมกับกระตุ้นอารมณ์ร่างบางให้ยิ่งปะทุด้วยการใช้ลิ้นบดขยี้หนักๆ ยูพยายามแอ่นสะโพกไปมาเพื่อหนี
ความทรมานแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งขยับโฮตารุก็ยิ่งรัดแน่นเหมือนกับจะกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งตัว

“ขี้โกงนี่นาโฮตารุ พี่เล็งไว้ก่อนนะ!” แฝดพี่มัวแต่เผลอ พอเห็นส่วนสำคัญถูกน้องชายฉกไปต่อหน้าต่อตา
ก็ส่งเสียงประท้วงลั่น

“อ้ายอู๊… อ้ายอี๊… (ไม่รู้ไม่ชี้)” แฝดน้องส่งเสียงอู้อี้พร้อมกับยักคิ้วแผล็บ ทั้งที่ยังมีส่วนนั้นของยูคาอยู่ในปาก

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” มาโมรุบ่นอุบ ก่อนจะก้มหน้าลงไปลิ้มเลียส่วนของเค้าต่อ

“อ๊ะ… อา…” ยูเริ่มจะอึดอัดและอยากหาทางระบายบ้าง จึงเลื้อยไปตามตำตัวของโฮตารุที่นอนทอดอยู่เบื้องล่าง
 รูดซิปแล้วเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในออกเล็กน้อย อาวุธชิ้นสำคัญก็พุ่งพรวดออกมาล้ออยู่ตรงหน้า
 กล้ามเนื้อทั้งลำกำลังสั่นระริกเกร็งแน่นเต็มอัตราศึก เรื่องขนาดไม่ต้องพูดถึง
แค่ตอนที่ร่างบางครอบปากลงไปก็คับแน่นไปหมดจนแทบสำลักเพราะหายใจไม่ออก

“อู้ววว! ซี้ด… นายทำอะไรฉัน”
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและชื้นแฉะซึ่งกำลังหยอกล้ออยู่กับส่วนปลายของเค้า ความเสียวซ่านก็ทำให้โฮตารุ
ต้องยอมคลายของหวานออกจากปากชั่วคราว เห็นยูกำลังดูดเค้นปลายแท่งหวานๆของเค้าอย่างเมามัน
ก็เกิดอารมณ์อยากท้าทายบ้าง โฮตารุจึงกลับไปหาชิ้นส่วนน้อยๆของเค้า คราวนี้งับไว้แน่นพร้อมกดสะโพก
ของร่างบางให้แอ่นลงมาหา จากนั้นก็ขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการเสียดสีจนร้อนฉ่า
ร่างบางทนไม่ไหวต้องยอมคลายส่วนของร่างสูง แล้วเงยหน้าส่งเสียงครางลั่น
พร้อมกับควานเอาอากาศเข้าปอดเต็มที่

“อึก… อื้อ อย่าทำแบบนี้สิโฮจัง”
หน้าสวยๆหันไปเว้าวอน ตอนนี้เค้ายอมแพ้แล้ว เลยอยากให้ร่างสูงเห็นใจเค้าบ้าง
แต่นอกจากโฮตารุจะไม่ยอมปล่อย แม้แต่มาโมรุที่คุมทางอยู่ด้านหลังก็ยังรุมกันแกล้งเค้า

“อ๊า!!!” ยูร้องลั่น ตอนที่นิ้วเรียวยาวของแฝดพี่แทรกเข้าไปในช่องทางด้านหลัง
แถมยังควานควักกระตุ้นอยู่หลายจุด จนยูต้องสะบัดก้นเร่าเพื่อหนีความทรมานแต่ก็หนีไม่พ้น

“ทนหน่อยนะ… ที่รัก” แฝดพี่โน้มลงมากระซิบพร้อมกับสอดนิ้วที่สองและสามตามเข้าไปติดๆ
เปิดช่องทางคับให้กว้างขึ้น ยูกัดฟันแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้าเพราะทั้งหน้าหลังกำลังทำเค้าเจ็บ

“อา… อีกนิดเดียว” แฝดพี่คราง เมื่อนิ้วกระตุ้นโดนจุดสวาทร่างบางก็ผวาตัวตอบรับ เค้าจึงรีบถอนนิ้วทั้งหมด
ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วปลดอาภรณ์ส่วนล่างของตัวเองออกบ้าง ปล่อยอาวุธชิ้นสำคัญทะยานผงาด
จากนั้นก็จับกระชับตรงส่วนปลายค่อยๆสอดเข้าไปในตัวร่างบาง

“อึก… อือ… เบาๆนะมาโมจัง” ตาสวยๆของยูหันไปขอร้อง แฝดพี่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ
อย่างนิ่มนวลที่สุด แต่ไอ้ตัวน้องที่ยังงับส่วนสำคัญของเค้าไว้นี่สิยังเป็นปัญหา เพราะนอกจากมันจะไม่ยอมคลาย
ง่ายๆแล้ว ยังแกล้งเค้นแรงขึ้น ชนิดถ้าเคี้ยวแล้วกลืนลงคอได้คงทำไปแล้ว

“อ๊ะ! อา…”
ตอนแรกก็ทรมาน แต่พอมาโมรุเริ่มเร่งจังหวะจนลืมความเจ็บปวด ความสุขสมก็เข้ามาแทนที่ ยูขยับสะโพกผสาน
จังหวะระหว่างหน้าหลัง แรงเสียดสีจากทั้งสองด้านกำลังทำให้เคลิ้มจนอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้
แต่เพราะร่างกายมีขีดจำกัดจึงไม่อาจฝืน ทันทีที่แฝดพี่โผร่างกระแทกเข้ามาจนสุด
ร่างกายของยูก็ตอบสนองบีบรัดรับไออุ่นของมาโมรุที่พวยพุ่งอยู่ในตัว
 พร้อมกับของตัวเองก็ปลดปล่อยเป็นคราบขาวขุ่นทะลักทะลายเข้าไปในปากแฝดอีกคน
ที่จ่อปากรอเก็บกวาดอยู่แล้ว

 “ต่อไปก็ตาฉัน”
โฮตารุเตรียมตัวบ้าง ดึงกางเกงที่ถูกรูดหมิ่นเหม่ลงไปกองที่พื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะขยับสะโพกมน
ของคนที่กำลังหายใจหอบระรัวเข้ามาหาตัว

“อื้อ… ขอฉันพักหน่อยสิ โฮตารุ”

“ไม่เอา! ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่ นายน่ารักมากเลยยู”
คนหัวดื้อก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ พูดยังไงก็ไม่ฟัง ยูเลยต้องปล่อยเลยตามเลย
ยอมให้รังแกตามใจทั้งที่ความบอบช้ำจากฝีมือแฝดพี่ยังไม่ทันหาย โฮตารุแยกขาขาวเพรียวของร่างบางออก

“โฮจัง” ยูจับแขนโฮตารุไว้พร้อมกับส่งสายตาปริบๆ “เบาๆนะ”

“ฉันจะพยายาม” แฝดน้องยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ ยกขาเพรียวพาดบ่า จากนั้นก็ค่อยๆขยับร่างกายเข้าไปใกล้
 กล้ามเนื้อเร่าร้อนประชิดสะโพกยังทำให้ร่างบางหวั่นไหวจนสะท้านไปทั้งร่าง ยูหลับตาพริ้ม
รับสัมผัสกล้ามเนื้อตึงแน่นที่แทรกเข้ามาในตัวของเค้า ขาเพรียวถูกแยกออกกว้างขึ้น
แล้วคนที่รังแกก็แกล้งกระแทกร่างกายเข้ามาอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง
จนยูแทบจะปิดปากกลั้นเสียงร้องไว้แทบไม่ทัน

“บะ… เบาหน่อยไม่ได้เหรอโฮจัง ฉันเจ็บนะ” ยูพยายามประท้วง แต่แฝดน้องก็ไม่ยอมรามือ
หมอนี่ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านกว่าพี่ชาย ทุกครั้งที่มีอะไรกันก็ทำเค้าเจ็บจนลุกไม่ไหวทุกที

“ก็นายน่ารักนี่ยู ฉันอยากรักนายให้มากกว่านี้” ปากก็เพ้อตลอด ส่วนร่างกายก็ขยับไปตามใจชอบ
กระแทกกระทั้นเข้าออกไม่ยั้งมือ จนทางสีชมพูมีเลือดไหลซิบๆ ยูอยากจะกรีดร้องใจแทบขาด
แต่ก็กลัวว่าเพื่อนทั้งหอจะตื่น เลยได้แต่กัดผ้าไว้แล้วส่งเสียงครางเงียบๆ

 “อึก… อ๊า… โฮจัง เร็วเข้า ฉันเจ็บ” ยูเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

“โอ้วว!!” โฮตารุกระตุกครั้งสุดท้ายเพื่อรุกฆาต อาการเกร็งอัดแน่นถึงขีดสุด
รับกับแรงบีบรัดจากร่างบางจนฉีดซ่านเป็นน้ำสีขาวขุ่นเปรอะไปทั่ว
ยูเองก็ทนไม่ไหวจนต้องปลดปล่อยออกมาอีกรอบ จากนั้นทั้งคู่ก็นอนแผ่กอดก่ายกันอย่างอ่อนแรง

“เอาล่ะ… ต่อไปก็ตาฉัน”

“อะไรนะ!” ยูร้องเสียงหลง ตอนที่ได้ยินมาโมรุบอกพร้อมกับจ้องสะโพกของเค้าเขม็ง

“ไม่เอาแล้ว ขืนพวกนายสลับกันแบบนี้ ฉันก็ตายน่ะสิ”

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะเบามือ” มาโมรุอ้อนวอน แล้วคลอเคลียจูบแก้มบางๆเอาใจหลายที

“ฉันก็ด้วย” โฮตารุที่หยุดหอบแล้วก็เสนอตัวด้วยอีกคน

“มะ… ไม่นะ!!!!”
เสียงของยูหมดสิทธิ์ร้องแค่นั้น ก่อนจะโดนจับกดลงไปอีกรอบ แล้วทั้งห้องก็มีแต่เสียงครางกระเส่าตลอดทั้งคืน
จนรุ่งเช้า
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 01-02-2008 02:10:33
 :mc4: Special chapter : Love at First Sight (3 plus)

ในวันหนึ่งวันนั้น…

ครั้งแรกที่ได้ก้าวเข้ามาที่โรงเรียนในฝันรินคัง ที่นี่สวยและคลาสสิกเหมือนปราสาทขุนนางยุโรป
จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะมีเจ้าชายเจ้าหญิงรูปงามโผล่มาจากที่ไหนสักแห่ง

เริ่มเข้าเรียนสัปดาห์ที่สอง ยูต้องเลือกชมรมที่จะเข้าทำกิจกรรม ตรงลานกว้างข้างหอประชุม
คือที่ๆชมรมต่างๆมาตั้งโต๊ะโฆษณาและรับสมัครสมาชิกใหม่

“เอ่อ… สนใจเข้าชมรมยิงปืนมั้ยครับ?”

รุ่นพี่มาดเท่ประจำบูธชมรมมือปืนสมัครเล่นยื่นใบสมัครมาให้ เด็กหนุ่มขยับกรอบแว่นหนา
ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะเงยหน้ามองแผ่นป้ายผ้าเขียนมือที่แขวนไว้ด้านบน

‘รับสมัครผู้กล้า สานต่อภารกิจลับ’
“นั่น… หมายความว่าอะไรครับ” ยูอดถามไม่ได้ แค่มีชมรมยิงปืนในโรงเรียนก็ไม่ธรรมดาแล้ว
ที่ยังกล้าแขวนป้ายโฆษณาเชิญชวนซะอลังการ ทำยังกะจะขอรับสมัครหน่วยกล้าตายทำศึกอย่างนั้นแหละ

“เป็นสโลแกนของทางชมรมน่ะครับ ป้ายเนี่ยสืบทอดมาหลายรุ่นแล้ว เห็นมันขลังดี พี่ก็เลยเอามาติดบ้าง
อ้อ… พี่ชื่อ ไซโต้ มิจิรุ อยู่ปีสาม เป็นประธานชมรมคนปัจจุบัน”

รุ่นพี่คนนั้นยื่นมือมาให้พร้อมแนะนำตัว ยูก็ยื่นไปจับแบบเขินๆ

“เฮ้ย! นี่… โฮตารุ นายก็ชวนเพื่อนเข้าชมรมบ้างสิ ปล่อยให้พี่พูดคนเดียวอยู่ได้” พี่มิจิรุสะกิดร่างสูงอีกคน
ที่นั่งเต๊ะอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะรับสมัคร

“พี่อยากได้สมาชิกก็เรียกเองดิ เกี่ยวอะไรกับผมด้วย” เด็กหนุ่มคนนั้นทำหน้าเบ้
ยูมองไปที่ปกเสื้อเห็นตราหนึ่งดาว แสดงว่าเป็นปีหนึ่งเหมือนกัน พอเงยมองหน้าก็เริ่มคุ้น
ที่แท้ก็เพื่อนในกลุ่มสมาชิกพิเศษนี่เอง หมอนี่มันเก๊กตั้งแต่เข้าเรียน เคยชวนคุยด้วยก็ไม่ยอมคุย
ยูหยิบกระดาษใบสมัคร ก่อนจะจรดปากกาแล้วกรอกรายละเอียดลงไป

“อ้าว… ตกลงว่าเราก็จะมาอยู่ชมรมด้วยใช่มั้ย ดีจัง… ตั้งแต่พี่เปิดบูธมาเพิ่งได้สมาชิกแค่สามคนเท่านั้นเอง”

“เอ๋! สามคน?” ยูเริ่มหวั่นใจตะหงิดๆ

“ก็น้องไงที่เป็นคนที่สาม ส่วนอีกสองคนก็น้องชายพี่เอง มา… จะแนะนำให้” พี่มิจิรุโอบไหล่น้องรัก
ที่ยังนั่งเต๊ะท่าเดิม “ไซโต้ โฮตารุ และอีกคนชื่อ มาโมรุ ตอนนี้เค้าเปลี่ยนเวรไปพัก แต่ถ้าเข้าชมรมก็คงได้เจอกัน”

ยูโค้งตัว “ผมชื่อ อาซาโนะ ยู ครับ”

“งั้นดีเลย ยูคุง… พี่ฝากบูธแป๊บนึงนะ เฝ้าดีๆล่ะทั้งสองคน” ว่าแล้วคุณพี่ผู้แสนดีก็จากไป
 ทิ้งเพื่อนร่วมชั้นปีเอาไว้ตามลำพัง แต่จนแล้วจนรอดเพื่อนใหม่ก็ยังเอาแต่เงียบไม่ยอมคุยกับเค้าเลย
และวันนั้นทั้งวันก็ไม่มีสมาชิกมาสมัครเพิ่มแต่อย่างใด

วันแรกที่เข้าชมรม… เหงาหงอยสมชื่อห้องมือปืน เพราะสมาชิกโหรงเหรงจนน่าตกใจ
รวมๆทั้งสามชั้นปีก็มีแค่แปดคนเท่านั้น ปีสามสองคน ปีสองสามคน และปีหนึ่งสามคน
ยูเลือกปืนอัดลมมาหนึ่งกระบอก พอทดสอบจนกระชับมือดีแล้วก็ลองยิงไปที่เป้า
กระสุนพุ่งฉิวเฉียดตรงกลางเป้าไปแค่เสี้ยวเดียว

“ฝีมือไม่เลวนี่” ร่างสูงขยับเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและปรบมือให้ ยูมองตามแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

‘โฮตารุ? แปลกจังที่หมอนี่คุยกับเค้าก่อน’

“เป็นอะไรไป ทำไมมองหน้าฉันแล้วอึ้ง” คนๆนั้นอมยิ้ม “ฉันหล่อขนาดนั้นเชียว”
แน่ะ… ยังชมตัวเองหน้าตาเฉย จนยูแทบสำลัก

“เปล่า… ฉันแค่แปลกใจที่อยู่ดีๆนายก็มาคุยกับฉัน”

มือกร้านเริ่มเลื้อยขึ้นมาโอบไหล่ กลิ่นจากโคโลญจ์หอมๆก็ขยับเข้ามาใกล้ชิด

“ฉันมนุษยสัมพันธ์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ… ยู” หน้าคมเข้มกรีดยิ้ม แถมยังสบตาเค้นความจริง
จนยูต้องหันหน้าหลบ
แปลกจัง… ทำไมต้องรู้สึกใจเต้นด้วย แค่หมอนี่ทำดีเข้าหน่อย

“ฉะ… ฉันต้องไปแล้ว” ยูหาทางกลบเกลื่อนแก้เก้อ ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป มีหวังหัวใจวายตายแน่

“อ้าว… ไม่ซ้อมต่อเหรอ ฉันอุตส่าห์อยากซ้อมกับยู”

“เอาไว้วันหลังเหอะ” ยูเอาปืนอัดลมไปเก็บไว้ที่เดิม

คนนั้นรีบขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบ “งั้นพรุ่งนี้หลังซ้อมเสร็จ เจอกันหลังชมรมนะ”

ยูช็อกไปนิด แต่ก็ยังพยักหน้ารับอายๆ แล้วรีบเผ่นออกจากห้อง ทิ้งอีกคนที่ยืนยิ้มกริ่มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

วันต่อมา… ยูมาซ้อมตามปกติ ในห้องมีคนซ้อมยิงปืนอยู่คนเดียว
หมอนั่นน่ะเอง

“งะ… ไง วันนี้มาซ้อมเร็วจัง” ยูเข้าไปทักทาย แต่มันกลับลั่นไกปืนยิกๆ ยิงเป้าบินร่วงไปเป็นสิบก็ไม่ยอมหันมาตอบ
เค้า แปลกแฮะ… ทีเมื่อวานยังทำตาหวานเชื่อม วันนี้เต๊ะอีกแล้ว

ยูอยู่ซ้อมยิงปืนกับโฮตารุพักใหญ่ หมอนั่นก็ไม่พูดอะไร ไม่ชม ไม่วิจารณ์ฝีมือเค้าเหมือนวันก่อน
ท่าทางเมื่อวานถ้ามันไม่กินยาผิดขวด เค้าก็คงฝันไปแน่ ทั้งคู่อยู่ซ้อมจนค่ำ โฮตารุก็เก็บปืนอัดลมกลับที่เดิม

“นี่… นายมีอะไรจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ” ยูเรียกโฮตารุไว้ ตอนที่กำลังจะเก็บของออกจากห้อง

“ฉันเนี่ยเหรอ?” โฮตารุชี้นิ้วจิ้มมาที่ตัวเอง “ฉันจะคุยอะไรกับนาย บ้าหรือเปล่า”

“อ้าว! ก็เมื่อวานนายเป็นคนนัดฉันที่หลังชมรมตอนเลิกซ้อมไง”

“ประสาท” มันด่ามาแค่นั้น ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินหนีไป

นี่มันอะไร? นี่มันอะไรกัน!!!!
ยูเริ่มงงกับชีวิต เมื่อวานมันหวานอย่างกะน้ำเชื่อม แต่วันนี้คำพูดคำจาขมปี๋ไม่มีเยื่อใย
ไม่ได้… ต้องลองไปพิสูจน์หน่อยแล้ว ยูเก็บปืนแล้วแบกกระเป๋าเลี้ยวไปที่หลังชมรม

โฮตารุเดินออกจากชมรมกำลังจะกลับบ้าน ก็คิดถึงความพูดแปลกๆของยู

“หมอนั่นคงไม่เพี้ยนจนคิดเพ้อเจ้อไปเองว่าเรานัดหรอกมั้ง” สมองเริ่มทำงานลำดับความคิด
 “หรือว่า…”
ตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้าง ตอนนี้พอจะรู้แล้วว่าใครกันแน่ที่อ้างหน้าตาของเค้าไปนัดหมอนั่น
ซวยแน่งานนี้ หน้าตาน่ารักอย่างมันคงไม่รอดมือไอ้บ้านั่นแน่ โฮตารุเลี้ยวหลังกลับ
แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ชมรมโดยด่วน

ที่นี่ก็เหลือเกินจริงๆ…
เปลี่ยวยังไม่พอ ยังมีลังไม้กองพะเนินระเกะระกะไปหมด แล้วมันจะนัดเค้ามาทำอะไรที่นี่ คิดๆแล้วก็งี่เง่าชะมัด
บางทีเมื่อวานมันอาจจะแกล้งเค้าให้หลงดีใจเล่นก็ได้ เค้าคิดผิดเองที่ไปเคลิ้มและเชื่อลมปากของมัน

“จะไปไหน”
มือใหญ่คว้าหมับ โอบเอวร่างบางเข้ามาหา ตรงนั้นมืดมาก แต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาก็พอทำให้เค้าเห็นหน้าว่าใคร

“โฮตารุ?” ยูเอ่ยชื่ออย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะรู้สึกมันจะเปลี่ยนนิสัยอีกแล้ว

“เอ… แบบนี้จะให้ฉันสรุปว่านายถูกใจหรือผิดหวังกันแน่ ที่ได้เจอหน้าโฮตารุ” หน้าคมเข้มเริ่มเบียด
เข้ามาใกล้ ประชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว

“ฉะ… ฉัน…” ยูพูดไม่ออก จะว่าดีใจก็ดีใจ อึดอัดก็อึดอัด มันสับสนจนบอกไม่ถูก

“นายชอบโฮตารุเหรอ”

“กะ… ก็… มั้ง ไม่รู้สิ” ยูบอกไม่ถูก เค้าชอบโฮตารุที่เคร่งขรึม แต่โฮตารุในมาดแบบนี้
ก็ทำให้เค้าแทบละลายเหมือนกัน

“แย่จัง” คนๆนั้นทำสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย “ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้นายเปลี่ยนใจ ฉันอ่อนโยนกว่าหมอนั่นเยอะ
มาชอบฉันดีกว่านะ”

ยูกำลังงงว่าคนๆนี้เพ้อเรื่องอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันคิดก็ถูกร่างสูงฉวยโอกาสประทับริมฝีปาก
ลิ้มเลียละอองนุ่มจนชุ่มฉ่ำ ก่อนจะใช้ลิ้นดุนแล้วดูดดื่มความหวานต่อจากข้างใน

“อื้ม!” ยูพยายามสะบัดหน้าออก แต่ทำยังไงก็ไม่หลุด มันยังไล่จูบจนเค้าแทบขาดใจ
“อา… น่ารักจัง” ร่างสูงยอมปล่อยปากนุ่มให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังโลมเลียผิวเนื้อนวลเนียนต่อ
เสื้อนักเรียนถูกปลดกระดุมออกทีละเม็ด ก่อนจะไล่ริมฝีปากอุ่นๆรุกรานลงมาเรื่อยๆ
ขบเม้มตามติ่งหูซอกคอ เปลี่ยนผิวขาวๆจนแดงเรื่อ พอนิ้วมือมาสะดุดเข้ากับปุ่มนูนเค้าก็หยุด
แล้วก้มหน้าลงไปมอง

“สวยจัง สีหวานยังกะกุหลาบ” มือกร้านลูบสัมผัสปุ่มปนบนหน้าอก ร่างเล็กๆก็เริ่มออกอาการเสียวซ่าน
 แอ่นหน้าอกรับแล้วหายใจกระเพื่อมเป็นจังหวะ

“อยากให้ฉันเล่นตรงนี้ด้วยเหรอ” ร่างสูงถาม แต่ยูสติแตกไปแล้ว เลยได้แต่ครางอืออาแทนคำตอบ
 ร่างสูงจึงไม่รอช้าเขมือบเจ้าสองแต้มนั้นทันที

“อืม… สุดยอด” ปากก็ว่า ลิ้นก็เล้าโลมดูดดึงจนชุ่มฉ่ำหนำใจ ร่างเล็กๆค่อยๆเซถลาไปเอนบนกองลังไม้
ส่งเสียงครวญครางเบาๆ มือก็จับท้ายทอยร่างสูงกดไว้ ไม่ให้เลิกหยอกเอินกับปุ่มสวาท แต่ร่างสูงก็ดื้อ
ปากยังเกาะแน่นที่เดิม มือก็ไหลลงไปข้างใต้ รูดซิปกางเกงออก จากนั้นก็ลูบผ่านเนื้อผ้าชิ้นบาง

“อ๊ะ… อือ… ตรงนั้น อย่า…” ยูคว้ามือร่างสูงไว้ไม้ให้เล่น แต่ดวงตายังหลับพริ้มบอกอารมณ์สุขสม
จนร่างสูงต้องแกล้งล้วงลึกเข้าไปข้างใน ขยำขยี้ทุกส่วนจนเสียวซ่าน ร่างสูงขยับยิ้มกว้าง
ตัดสินใจกระชากอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก

แล้วสิ่งที่ปรากฏ… ก็ทำให้อารมณ์สุขสมยิ่งบรรเจิด ร่างสูงมองกล้ามเนื้อชิ้นเล็กๆกำลังดิ้นเร่าเร้าอารมณ์ใ
ห้พุ่งกระฉูด มือกร้านรีบคว้าหมับตอบสนองในทันท่วงที

“อ๊า!” ร่างบางร้องลั่น กระตุกตัวตามแรงดูดที่ดึงขึ้นลงไม่ยั้ง ลิ้นข้างในก็กระหน่ำทึ้งส่วนปลาย
มือก็ชักรูดแท่งกลมกลึงจนช้ำ มันเป็นความเสียวซ่านที่ยูไม่เคยได้รับมาก่อน
อะไรบางอย่างที่อัดแน่นอยู่กำลังเรียกร้องให้ปลดปล่อย

“พร้อมแล้วสินะ” ร่างสูงคายสิ่งนั้นออกจากปาก ถึงเค้าไม่กระตุ้นต่อ ร่างบางก็คงพร้อมจะปลดปล่อยแล้ว
มือหยาบกระด้างกำแกนกลางไว้แน่น ดูร่างบางค่อยๆปล่อยน้ำรักไหลเยิ้มเหมือนครีมสดแสนหวาน
เค้าก้มลงไปลิ้มเลียเก็บทุกหยด อร่อยจนต้องดูดจากส่วนปลายที่ยังค้างคาอยู่

“อา…” ยูนอนแผ่หมดแรง ไม่คิดเลยว่าแค่ปล่อยน้ำออกมาไม่กี่หยดจะสูบเรี่ยวแรงจนไม่เหลือหรอ
 ร่างสูงค่อยๆจับขาเพรียวแยกออกจากกัน จ้องเป้าหมายสุดท้ายที่ค่อยๆเผยออกมาจนเต็มสองตา
แต่พอจะเอานิ้วเข้าไปล่วงล้ำก็โดนขัดจังหวะ…

“หยุดนะ มาโมรุ!!!”

ร่างสูงอีกคนที่วิ่งมาจนเหนื่อยร้องห้าม แต่พอเห็นร่างบางนอนหมดสภาพก็พอจะเดาออกว่าอาจมาไม่ทัน
เค้าจึงส่งสายตาสีเข้มไปจ้องคู่แฝดเขม็ง

“นายทำไปแล้ว!” โฮตารุขึ้นเสียงขู่ แต่มาโมรุกลับยักไหล่นิดๆ

“ก็เกือบเสร็จแล้ว ถ้านายไม่มาซะก่อน”

โฮตารุยิ่งฟังยิ่งโมโห กี่ครั้งแล้วที่มันใช้หน้าตาของเค้าไปหลอกกินใครต่อใคร
แถมนี่ยังมาคว้าเพื่อนร่วมห้องเค้าอีก ทนไม่ไหวแล้วนะ มือใหญ่คว้าไหล่พี่ชายแล้วดึงออกมา

“นายเลิกทำตัวแบบนี้ซะทีเถอะมาโมรุ”

“อีกเดี๋ยวน่า… ฉันก็ทำไปตั้งเยอะแล้ว อีกนิดเดียวเอง”

โฮตารุกำหมัดแน่น ก่อนจะจวกเข้าที่ปลายคางพี่ชาย

“ไปเดี๋ยวนี้ อย่าบังคับให้ฉันต้องสู้กับนาย!” โฮตารุขู่ คนเป็นพี่ลุกขึ้นมาช้าๆอย่างใจเย็น
ตวัดหางตามองร่างบางด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับโฮตารุ

ไม่เป็นไร… หมอนี่ยังเรียนที่นี่ตั้งสามปี ยังไงเค้าก็มีโอกาส

“ก็ได้ ฉันไปก็ได้ นายก็จัดการปลอบเพื่อนเองก็แล้วกัน” มาโมรุคว้าเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาแล้วเดินจากไป
คราวนี้โฮตารุขยับเข้าไปหาร่างบางบ้าง หน้าของมันบอกอาการสับสนอย่างที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใด
รูปร่างของมันนั่นแหละที่กำลังจะทลายน้ำแข็งในใจจนยับเยิน โฮตารุถอดเสื้อนอกแล้วโยนไปคลุมให้

“นายลุกไหวมั้ย ถ้าไหวก็ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ฉันจะพากลับหอ”

“นายเป็นใคร?” ยูร้องถาม จนร่างสูงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาไปดุ ในเวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาซักอีก มันน่านัก…

“โฮตารุ” เค้าตอบสั้นๆ

“แล้วอีกคนล่ะ?”

คำถามนี้เล่นงานคนมาทีหลังอ้ำอึ้งอยู่นาน “หมอนั่นคือ… มาโมรุ เป็น… พี่ชายฝาแฝดฉันเอง”

ฝาแฝด!!!
โอ… พระเจ้า นี่เค้ากำลังถูกสองแฝดนี่ปั่นหัวเหรอ เดิมทีชอบน้อง แต่พออยู่กับพี่ก็ดันเผลอใจไปละลายตามซะนี่
แต่ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากนิสัยแล้ว อย่างอื่นมันเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วใครจะไปแยกออกล่ะเนี่ย

“ไปเถอะ… อยู่ตรงนี้นานๆเดี๋ยวก็เป็นหวัดตายพอดี” ร่างสูงรอนานแล้ว จึงเดินหันหลังไปคว้าแขนเล็กๆขึ้นมา
 แต่แทนที่มันจะลุก กลับดึงเค้าลงไปกลิ้งบนลังไม้ด้วยหน้าตาเฉย

“คิดจะทำอะไร?” ร่างสูงที่ถูกดึงลงไปทาบทับร่างเปลือยเปล่าถามเบาๆ สายตาสองคู่สบกันในความมืด
อีกคนอารมณ์ยังค้างคาอยู่ จึงไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้

“ไม่รู้สิ… ฉันไม่รู้ แต่มันรู้สึกอึดอัด เหมือนยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ พี่ชายนายคิดจะทำอะไรฉันล่ะ”
 ยูส่งคำถามซื่อๆ จนอีกคนอยากกุมขมับ

“นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าพี่ฉันจะทำอะไร”
หน้าเล็กๆส่ายไปมาจนน่ารัก เล่นงานทำนบหัวใจร่างสูงจนร้าวเป็นแถบๆ มือใหญ่เอื้อมไปลูบใบหน้าเล็กๆ
อย่างทะนุถนอม

“แล้วนายอยากรู้มั้ยล่ะ?” โฮตารุกระซิบ ยูก็พยักหน้ารับอายๆ “งั้นฉันจะทำให้ดู”

แล้วคำปริศนาที่ต้องบอกใบ้ด้วยการกระทำก็เริ่มขึ้น โฮตารุจับขาเพรียวแยกออกจากันอีกครั้ง
เผยให้เห็นทางคับแคบและคราบขาวขุ่นที่ยังเปื้อนอยู่ ร่างสูงจึงก้มหน้าลงไปเลีย กวาดตั้งแต่ปลายแท่งน้อยๆ
ไปจนถึงร่องก้นหวานฉ่ำ ถูลิ้นเล่นอยู่กับช่องคับจนแดงเรื่อ ทำเอาร่างบางกระตุกไหว
 แอ่นไปแอ่นมารับทุกรสสัมผัส

“ลองดูนะ ถ้าทนไม่ไหวก็บอก” ร่างสูงบอกแค่นั้น แต่ร่างบางก็ไม่เข้าใจ แล้วก็เพิ่งมารู้ตัวตอนที่นิ้วเรียวสอดแทรก
เข้ามาทางช่องคับ กระตุกระรัวหาจุดอ่อนไหว ยูปิดปากกันเสียงคราง เพราะความเสียวซ่านครั้งนี้
กำลังจะฆ่าเค้าทั้งเป็น

“อื้อ… ช้าๆหน่อยสิ” ยูร้องตอนที่โฮตารุเล่นส่งนิ้วสองและสามเข้ามาติดๆ แถมยังสอดเข้าออกอย่างรวดเร็วจนอารมณ์สวาทพลุ่งพล่านไปหมด พี่กับน้องต่างกันก็ตรงนี้… พี่อ่อนโยนกว่าปากหวาน แต่น้องขวานผ่าซาก
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

“แค่นี้คงพอ” โฮตารุถอนนิ้วออกทั้งหมดแล้วเอามาเลีย กำลังเล็งอยู่ว่าเปิดทางแค่นี้พอจะรับตัวเค้าเข้าไปได้หรือยัง ร่างสูงใช้มืออีกข้างปลดกางเกงออก ให้บางสิ่งได้ออกมาผาดโผน นี่เป็นครั้งแรก…
ดูซิว่าสิ่งที่พี่ชายชอบนักหนามันจะหอมหวานเย้ายวนแค่ไหน

โฮตารุคว้าท่อนขาเพรียวพาดขึ้นบ่า แล้วสั่งเสียครั้งสุดท้าย

“พร้อมนะ”
พอพูดจบปุ๊บ คนฟังยังไม่ทันตั้งหลัก ร่างสูงก็กระแทกตัวผ่านช่องทางคับไม่ยั้ง ขยับสะโพกเข้าออกทั้งหนักหน่วงรวดเร็ว ทรมานร่างบางแทบขาดใจ น้ำตาไหลพรากเพราะความเจ็บ แต่ก็สุขจนไม่อยากให้หยุด
ร่างบางจึงจิกคว้าท้ายทอยร่างสูงเอาไว้ และส่งเสียงครางเพื่อผ่อนคลายความเจ็บ

“อ๊ะ… อ๊ะ… อา…” ยูส่งเสียงร้อง ร่างสูงได้ฟังก็ยิ่งได้ใจ กระตุ้นจังหวะให้แรงขึ้น
จนแม้แต่ตัวเองก็ยังหลับตาพริ้มเสพความสุขที่ได้รับ ร่างบางนั้นหวานมาก แบบนี้นี่เองมิน่ามาโมรุถึงได้ติดใจนัก

“โอ๊ย!” ร่างบางแอ่นกายเหยียดเกร็ง ครั้งสุดท้ายที่ร่างสูงส่งแรงกระแทกเข้ามาสุดตัว
พร้อมกับปลดปล่อยไออุ่นๆพวยพุ่งข้างใน เค้าเองก็ปล่อยออกมาอีกรอบจนเปรอะไปทั่วหน้าท้องร่างสูง
ร่างสองร่างหอบกระเส่าแข่งกันในความมืด แต่ก็กอดก่ายกันไว้อย่างมีความสุข

“ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าความรักมันหอมหวานจับใจขนาดนี้” โฮตารุจูบหน้าผากยูแผ่วเบา
 แก้มบางๆจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ฉันก็เหมือนกัน” ว่าแล้วก็สอดแขน กอดแผ่นอกกว้างไว้แน่น

“แล้วตกลงนายชอบฉันหรือชอบมาโมรุกันแน่”

คำถามนี้ทำให้ร่างเล็กๆสะอึก นั่นสิ… ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าชอบใครกันแน่ อยู่กับมาโมรุก็อุ่นใจดี
 แต่อยู่กับโฮตารุก็เร้าใจไปอีกแบบ เลือกยากแฮะ

“โอเค… ไม่ต้องตอบก็ได้” แฝดน้องเริ่มปลง “มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หมอนั่นชอบอ้างชื่อฉันไปหลอกคนอื่น สุดท้ายก็ไม่มีใครตัดสินใจได้แน่นอนว่าชอบใครกันแน่ นายไม่ต้องคิดมาก จะเลือกมาโมรุก็ได้
หมอนั่นเอาใจเก่ง อยู่ด้วยคงไม่เซ็ง”

“ไม่หรอก” ยูส่ายหน้า “ฉันว่านายสองคนมีดีคนละอย่าง ก็เลยทำให้เลือกยาก มาโมรุเค้าอ่อนโยนก็จริง
แต่ก็เจ้าเล่ห์ ส่วนโฮตารุถึงจะขี้เก๊กไปหน่อย แต่ก็จริงใจ ถ้าจะให้เลือกจริงๆ ฉันก็เลือกไม่ได้หรอก”

“งั้นก็ไม่ต้องเลือก” ร่างสูงที่แอบดูอยู่นานแล้วโผล่ออกมาจากเงามืด พร้อมกับยิ้มกริ่ม มองน้องชายตัวดีแล้วก็ยักคิ้ว “ไง… ไอ้เสือ ไหนบอกจะไม่ทำไง สุดท้ายเค้าก็น่ารักจนนายทนไม่ไหวใช่มั้ยล่ะ”

“หยุดเลยมาโมรุ คิดว่าฉันกับยูมีสภาพนี้เพราะใคร” โฮตารุส่งเสียงดุ

มาโมรุหัวเราะ “ฉันถึงบอกว่าไม่ต้องเลือกไง” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ยูที่กำลังมุดตัวอายอยู่กับอกอุ่นๆของ
โฮตารุ “ฉันรักยูจริงๆ รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นนายวันที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ตอนนั้นนายก็เอาแต่มองโฮตารุจนฉันอิจฉา ฉันถึงต้องใช้วิธีนี้หลอกนายไงล่ะ ฉันขอโทษนะ”

“ฉะ… ฉันก็…” ยูเริ่มแก้ตัวไม่ออก

“ไม่เป็นไร ฉันรู้… นายชอบโฮตารุตั้งแต่แรกพบ แต่ฉันก็จะรอจนกว่านายจะชอบฉัน แล้วยินยอมพร้อมใจให้ฉันเอง”

“นี่… แล้วคิดเหรอว่าฉันจะยอม” โฮตารุประท้วงบ้าง

“อย่าทำเป็นงกไปหน่อยเลยโฮจัง เรื่องนี้ต้องให้ยูเค้าเป็นคนตัดสินเองสิ”

สองพี่น้องเถียงกันไปก็ไม่จบ จนยูได้แต่นั่งยิ้มอยู่เงียบๆ สองแฝดนี่น่ารักมากจริงๆ อยู่ด้วยคงไม่น่าเบื่อ
และจากวันนั้นทั้งสามคนก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ถึงจะเป็นชีวิตที่แปลก แต่ทั้งสามคนก็มีความสุข
เหมือนสีสันต่างสีที่เติมเต็มให้แก่กันและกัน จนกลายเป็นความรักที่ไม่เสื่อมคลาย
และไม่อาจตัดขาดจากกันได้อีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 01-02-2008 02:17:49
 :m22:Chapter 11 First Mission

วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าสู่ชีวิตชั้น ม.ปลาย ไทกิยืนมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่
ดูกี่ทีๆก็ยังหงุดหงิดใจไม่หาย เครื่องแบบโรงเรียนรินคังเป็นสีกรมท่า ของปีหนึ่งจะติดดาวหนึ่งดวง
ไว้บนปกเสื้อด้านขวา จะว่าเท่ก็เท่อยู่หรอก แต่มันยุ่งยากพิลึก
โดยเฉพาะไอ้เนคไทกับเสื้อนอกที่คล้ายสูทเนี่ย ร้อนจะตายชัก…

“โว้ย!!! ไม่เอาแล้ว”
อีกคนที่หมดความอดทนไปแล้ว ก็ปาเนคไทลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี มันปลดกระดุมเสื้อด้านบน
ออกสองสามเม็ด ชายเสื้อก็หลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ไทกิขยับยิ้มกว้าง
 อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่ความอดทนสั้นเหมือนเค้า แล้วเค้าจะทนฝืนผูกเนคไทบ้าบอนี่อยู่ทำไมล่ะเนี่ย

“เฮ้อ…”
รูมเมทผู้แสนรู้อีกคนถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เบือนหน้ามองนาฬิกาบนโต๊ะหนังสือ
ใกล้จะแปดโมงอยู่แล้ว แต่พวกมันก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จซะที

“พอเถอะไทกิ… ฉันว่าไปทั้งแบบนี้ ก็ไม่ทำให้นายกับฉันเรียนโง่ลงหรอก กะแค่ไปเรียนหนังสือ
ทำไมจะต้องประดิดประดอยอะไรนักหนา ไม่ใช่โรงเรียนสตรีนะเฟ้ย”

ฮิโระขยับตัวเข้ามาโอบไหล่เพื่อนซี้ ไทกิก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย แต่อีกคนที่กำลังโมโหยิกๆ
พอได้ยินคำพูดกวนโมโหก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องเดินมาช่วยสงเคราะห์ให้

“นายไปเรียนกับฉันดีกว่าไทกิ” คาโอรุคว้าตัวเพื่อนซี้กลับมา ก่อนจะจัดการผูกเนคไท
ให้อย่างคล่องแคล่ว
“ขืนนายไปเรียนกับไอ้หมอนี่ มีหวังชีวิตได้บ้าดักดานเหมือนมันแน่”

“ต้องฉลาดแล้วชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนนายงั้นสิ ถึงจะเรียกว่าเป็นนักเรียนดีเด่น” ฮิโระสวนทันควัน
 “งั้นฉันก็ขอเป็นไอ้บ้าต่อไปดีกว่า ขืนให้ทำตัวขี้เต๊ะอย่างนายมีหวังคงคลั่งตายสักวัน”

“นักฆ่าไร้สมองอย่างนายก็คิดได้แค่นี้แหละ”

“ว่าไงนะ ไอ้ขี้จุ๊ย!!” ฮิโระตวัดมีดพกขู่ แต่คาโอรุก็ไวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว

“อย่าคิดว่าฉันกลัวนายนะฮิโระ ถ้าอยากตายนักก็เข้ามาเลย!”
มันสองคนทำท่าจะเปิดศึกดวลกันกลางห้อง ไทกิได้แต่ถอนใจ แต่จะไม่ห้ามก็ไม่ได้
พวกมันตายน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดข้าวของของหอพักพังเสียหายไป
ไม่รู้ยาจกอย่างเค้าจะมีปัญญาหาเงินมาชดใช้หรือเปล่า งั้นถึงจะฝืนใจแต่ก็คงต้องห้ามซะหน่อย

“พอเถอะน่า… ฮิโระ คาโอรุ” ไทกิโอบไหล่เพื่อนซี้ทั้งคู่เข้ามาหาตัว “ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ
ไหนๆพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ปรองดองกันไว้ไม่ดีกว่าเหรอ แล้วก็นะ… คาโอรุ
ช่วยสงเคราะห์เจ้าฮิโระมันหน่อยเหอะ ขืนประธานปีหนึ่งไปเรียนในสภาพนี้ล่ะก็ เพื่อนๆคงหมดศรัทธาเราแน่”

“ไม่เอา!!”
พวกมันประสานเสียงปฏิเสธพร้อมกัน ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง ไทกิใช้ไม้ตายส่งสายตากระพริบปริบๆอ้อนวอนเพื่อนที่มีหัวคิดมากกว่า

“เออ… ก็ได้” คาโอรุกัดฟันรับปาก แล้วเดินไปหยิบเนคไทมาคล้องคอไอ้ตัวแสบ

“ไม่ต้องมาทำดี… โอ๊ย!!” ฮิโระร้องลั่น ตอนที่คาโอรุแกล้งกระตุกเนคไทรัดคอ

“ฟังนะไอ้นักฆ่าปลายแถว ไทกิพูดถูกแล้ว แกเป็นหน้าตาของพวกเรากลุ่มสมาชิกพิเศษปีหนึ่ง
เพราะฉะนั้นอย่ามาทำตัวชุ่ยๆให้ฉันกับไทกิขายหน้า”

ฮิโระเถียงไม่ออก ไม่ใช่เพราะโดนมันรัดคอจนพูดไม่ออก แต่เห็นหน้าเพื่อนอีกคน
ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยไม่อยากเถียงมากกว่า จึงยอมยืนนิ่งๆสงบเสงี่ยมให้มันผูกเนคไทให้แต่โดยดี

“ตาน่ะมองไปไหน มองที่มือฉันนี่ ต่อไปฉันไม่สอนให้แล้วนะ วันหลังพวกนายต้องผูกเอง เข้าใจมั้ย”

“เฮ้ย… งั้นก็ช้าๆเด่ะ ใครมันจะไปดูทันเล่า”
ฮิโระโวยลั่น จนคาโอรุต้องยอมเหนื่อยคลายออกมาสอนใหม่ และกว่าพวกมันจะเข้าใจก็เล่นซะสายโด่ง
จนเข้าเรียนไม่ทัน แถมชั่วโมงแรกยังโชคร้ายเป็นวิชาภาษาอังกฤษของอาจารย์ซายะซะด้วย
สามเกลอแห่งหอไฟ เลยถูกทำโทษตั้งแต่วันแรกในการก้าวเข้าสู่ชีวิต ม.ปลาย ที่ไม่โสภาเอาซะเลย

“โอ๊ย… มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
ฮิโระบ่นอุบ มองตารางงานของสมาชิกพิเศษที่หนาเป็นปึกพร้อมกับทำหน้าเหยเก ก่อนจะผลัก
ไปกองใส่หน้าคาโอรุ แล้วจัดการเขมือบไก่ทอดในจานต่อ

ช่วงพักกลางวัน พวกเค้าไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เจอกับรุ่นพี่ยูที่ขนตารางงานมาแจกเป็นปึก
แถมยังนัดเวลาประชุมสมาชิกหลังเลิกเรียนด้วย

“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะลาออก” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น ทั้งที่ยังเคี้ยวไก่ทอดเต็มปาก

“ไอ้ขี้แพ้เอ๊ย” คาโอรุยิ้มเยาะ เล่นเอาอีกคนที่กำลังจะยกมือสนับสนุนขอระเห็จตัวเองออกจากสภาด้วย
 ต้องหุบปากนิ่ง

“ใช่… พวกกระจอกออกไปน่ะดีแล้ว คนอื่นที่เค้าอยากทำงานจริงจังจะได้มีโอกาสโชว์ฝีมือบ้าง ไม่ใช่ให้พวกบ้านนอกดีแต่เปลือกขึ้นมาชูคอ”

คำสบประมาทที่ลอยลิ่วมาพร้อมหน้ากวนโอ๊ยของยาซาว่า ทาเคอิ และแก๊ง
 เดินมาล้อมโต๊ะของพวกไทกิเอาไว้ สามสหายเงยหน้าไปมองแวบเดียว ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

“ฉันว่าถ้ามีเงินเดือนงามๆสักหน่อย มันก็น่าสนอยู่หรอก แต่นี่เล่นใช้งานฟรี ใครมันจะโง่อยากทำ”
 ฮิโระยังบ่นต่อ

“งานที่มีเกียรติ ไม่จำเป็นต้องมีค่าตอบแทนเสมอไป” คาโอรุเปรยสั่งสอนมันไปอีกยก

“แล้วเกียรติมันช่วยให้กินอิ่มท้องได้หรือเปล่า” นักฆ่ายังเถียงไม่เลิก

คาโอรุยิ้มบางๆ “ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าบ้านโซมะยากจน เห็นทำงานเสี่ยงตายกันงกๆ ที่แท้ก็ไส้แห้ง”

เพล้ง!!

บรรดาจานอาหารของสามเกลอถูกทึ้งลงบนพื้น แตกเพล้งๆประสานเสียงกันอย่างโหยหวนที่สุด
 ฮิโระเบิกตากว้าง มองไก่ทอดชิ้นสุดท้ายลอยละลิ่วโหม่งพื้นไปต่อหน้าต่อตา

“บังอาจเมินฉันเหรอ!” ทาเคอิกระชากคอเสื้อไทกิที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมา
“ขยะอย่างพวกนายน่ะหัดเจียมกะลาหัวไว้บ้าง อย่ามาสะเออะเทียบรัศมีกับฉัน”

ดวงตาสีเลือดของกุหลาบแดงวาววับ จิตสำนึกอย่างนักล่ากำลังจะหวนคืน
แต่ก่อนที่เค้าจะลืมตัวใช้วิชาเก่าทำร้ายใคร ไอ้พวกลูกน้องของทาเคอิสิบกว่าคน
 จู่ๆก็ล้มสลบเหมือดคาที่ โดยที่ยังไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

“คนกำลังกินข้าว มาเห่าข้างหูอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด”
คาโอรุสะบัดพัดดังพรึ่บ พัดกระดาษที่ไทกิคิดว่ามันหยิบมาพัดแก้ร้อนเล่นเฉยๆ กลับเป็นอาวุธสังหาร
ซัดไอ้พวกนี้จนสลบเหมือด พอมองกลับมาหาตัว มือของเจ้าทาเคอิที่จับคอเสื้อของเค้าอยู่ก็สั่นระริก
พอไทกิมองไล่ลงไปจนถึงตัวมัน ก็รู้สาเหตุว่าอะไรที่ทำให้คนจองหองอย่างทาเคอิถึงกับเสียมาด
สั่นอย่างกะลูกหมา

มีดเงินคมปลาบ… จ่อประชิดหอคอย เรื่องความคมรับประกันได้ เพราะมันเล่นฟันหนังสือของเจ้าทาเคอิ
ระบายอารมณ์ไปยกนึงแล้ว รอยเฉือนเรียบกริบงดงามไร้ที่ติ ตาสีทองของนักฆ่ากำลังเดือดพล่าน
 ก่อนจะหลุดคำเปรยที่ทุกคนฟังแล้วต้องใจหาย

“ไก่ทอด”
ฮิโระจ้องหน้าทาเคอิเขม็ง ราวกับเห็นหน้าศัตรูที่ฆ่าพ่อ

“เอาของฉันคืนมานะเฟ้ย!”
หมดกัน…

ไทกิยกมือกุมขมับ ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าฮิโระมันบ้า แต่ไม่คิดว่ามันจะบ้าได้ขนาดนี้
แค่ไก่ทอดชิ้นเดียวทำท่าจะเป็นจะตายอย่างกับโดนปล้น

“เฮ้อ… ไอ้บ้ามันก็ยังเป็นไอ้บ้าอยู่วันยังค่ำ” คาโอรุส่ายหน้าด้วยความระอาใจเป็นที่สุด
แต่ก็ยังขยับรอยยิ้ม แล้วหันไปจ้องหน้าขู่ทาเคอิด้วยอีกคน “แต่ถึงยังไงคนบ้าก็ยังน่าคบกว่าพวกปัญญานิ่ม”

“พะ… พวกนายคิดจะทำอะไร รู้มั้ยว่าพ่อฉันเป็นใคร พวกนายไม่ได้ตายดีแน่”

ทาเคอิพยายามจะขู่กลับบ้าง มือสั่นๆหล่นจากคอของไทกิแล้ว ฮิโระเก็บมีดพก
เพราะรู้ว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้อีก แต่เปลี่ยนมาหักข้อนิ้วกร๊อบๆบริหารมือแทน

“พวกที่อาศัยแต่บารมีพ่ออย่างนาย ไม่มีทางเจริญหรอกไอ้ลูกแหง่ ถ้าอยากจะยิ่งใหญ่
นายก็ต้องยิ่งใหญ่ด้วยความสามารถของนายเอง ไม่ใช่คอยเกาะบารมีคนอื่น!”

พอด่าระบายอารมณ์จบปุ๊บ ฮิโระก็เสยหมัดขวาตรงแถมให้ หน้าหล่อๆของทาเคอิบิดเบี้ยว
แล้วลอยลิ่วๆลงไปกองรวมกับพวกที่สลบเหมือดก่อนหน้านั้นแล้ว

“คนบ้าอย่างนายรู้จักใช้คำพูดหรูๆก็เป็นด้วย” คาโอรุแกล้งแซว “ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบนายนะฮิโระ
 แต่อย่างน้อยก็ชอบมากกว่าไอ้พวกนั้น”

“เออ… ไอ้นิสัยพูดวกวนไปวนมาอย่างนายก็เลิกเหอะ ฟังแล้วรำคาญหู พูดง่ายๆเหมือนที่ชาวบ้านเค้าพูด
 มันลำบากนักหรือไงฟะ คาโอรุ”

“ก็นิดหน่อย” คาโอรุไหวไหล่

“เอาน่า… พวกนายเข้าใจกันก็ดีแล้ว” ไทกิเข้ามาโอบไหล่เพื่อนๆ โชคดีที่ครั้งนี้เค้าไม่ต้องลงมือเอง
ไม่งั้นคงต้องมีคนตายสังเวยตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอมแน่

“ใครเข้าใจมัน ฝันเหอะ… ฉันไปหาอะไรกินต่อดีกว่า ยิ่งโมโหก็ยิ่งหิวว้อยยย!” ฮิโระเดินหนีไปที่เคาน์เตอร์
 สั่งอาหารมาเพิ่มอีกหลายชุด

ไทกิเหลือบตาไปมองอีกคนที่กำลังส่ายหน้า

“นายก็อย่ามาหวังอะไรกับฉันนักเลยไทกิ ถึงยังไงฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าฮิโระ ถ้าจะให้เป็นเพื่อนกับมัน
ฉันยอมกัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า” คาโอรุเก็บตารางงานที่พี่ยูเอามาให้กวาดลงกระเป๋า
จากนั้นก็เดินหนีไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่าย

ไทกิมองสองเพื่อนรักแล้วก็ขยับรอยยิ้ม มันสองคนถึงจะปากแข็ง แถมขี้เต๊ะพอกันทั้งคู่
 แต่ความจริงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกำลังก่อตัวเป็นเส้นใยบางๆเชื่อมโยงระหว่างกัน
เส้นใยที่เรียกว่า… เพื่อนแท้

ปิ๊งป่อง…
เสียงจากรายการเสียงตามสายของโรงเรียนในช่วงหลังเลิกเรียน ถูกคั่นด้วยประกาศด่วน

‘นักเรียนปีหนึ่ง ไทกิ โนมูระ และ ฮิโระ โซมะ ขอเชิญที่ห้องคณะกรรมการพิเศษเดี๋ยวนี้ด้วยครับ
ประกาศย้ำ… ไทกิ โนมูระ…’

เสียงประกาศวนซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบเที่ยว ทำเอาคนที่มัวแต่นั่งเล่นเกมในห้องคอมจนลืมประชุมสำคัญ
สะดุ้งจนเกือบตกจากเก้าอี้ ไทกิหันมองคู่ซี้ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ แล้วเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง

หกโมงเย็น!

พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า!

คณะกรรมการพิเศษมีนัดประชุมตอนบ่ายสามโมง แต่นี่ปาเข้าไปตั้งหกโมงเย็นแล้ว
มีหวังโดนพวกรุ่นพี่ยำเละแน่

“นายทำอะไรน่ะ ฮิโระ?” ไทกิถามตอนที่เดินไปด้วยกัน แล้วเห็นมันเอาผ้าร้อนๆมาถูหน้าและโปะหน้าผาก
ก็เลยสงสัย

“ฉันจะบอกรุ่นพี่ว่าเป็นไข้ นอนซมอยู่ในห้องพยาบาลตลอดทั้งบ่ายเลย” คนกะล่อนยักคิ้วแผล็บ
ก่อนจะเพิ่มดีกรีความร้อนโดยการกระโดดโลดเต้นไปมาตลอดทาง

ไทกิส่ายหัวในความปัญญาอ่อนของมัน ก่อนจะดึงผ้าร้อนสามสี่ผืนที่มันอุตส่าห์เอาไปอุดหน้า
จนหายใจแทบไม่ออกทิ้งลงถังขยะ

“เฮ้ย!” ฮิโระรีบท้วง

“มันไม่เวิร์คหรอกเพื่อน วิธีนี้ตบตาคนอื่นไม่ได้หรอก ที่สำคัญ… เจ้าคาโอรุมันก็รู้ด้วยว่านายไม่ได้ป่วย”

“เออ… ก็จริง” ฮิโระทำหน้าสลด แล้วเดินคอตกก้มหน้าก้มตารอรับชะตากรรมต่อไป

ห้องคณะกรรมการพิเศษอยู่ที่ตึกสโมสรนักเรียน ที่นี่เป็นศูนย์รวมของชมรมต่างๆ แต่ห้องคณะกรรมการพิเศษ
ได้รับอภิสิทธิ์สูงสุด ยึดห้องชั้นบนที่โอ่อ่าที่สุดเป็นฐานทัพ

ไทกิกับฮิโระยืนเกร็งอยู่หน้าห้องคณะกรรมการ เหมือนกำลังจะโดนโทษประหารชีวิต
ทั้งคู่ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูแล้วแง้มออกช้าๆ

ภายใต้พระอาทิตย์โพล้เพล้ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทอดให้เห็นเงาร่างผอมบางกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบที่โต๊ะตัวกลาง ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆก็ไม่เห็นคนอื่น ก็แหงล่ะ… ป่านนี้แล้วใครมันจะอยู่รอพวกเค้า นอกจากไอ้บ้าที่ยังนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่กลางห้องนั่น

“ไง” คาโอรุทักทาย พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ ไทกิเลยต้องรีบปราดเข้าไปถามด้วยความสงสัย

“นี่… เค้าประชุมกันเสร็จนานแล้วเหรอ”

“ก็ตั้งแต่ตอนที่ฉันประกาศเรียกพวกนายนั่นแหละ”

“ปั้ดโธ่! ประชุมเสร็จแล้วก็ไม่บอก แล้วจะเรียกพวกเรามาอีกทำไมฟะ” เจ้าฮิโระบ่นขรม
ตาสวยๆของคาโอรุเหลือบไปมองคู่อริ พร้อมกับเหยียดรอยยิ้มเยาะเย้ย

“ฉันอุตส่าห์เป็นตัวแทนมานั่งประชุมให้พวกนายแล้ว ยังต้องคาบข่าวไปบอกพวกนายถึงหอด้วยเหรอ
อย่างน้อยก็น่าจะมีน้ำใจเดินมารับกันบ้าง”

คำปรารภของคาโอรุทำเอาฮิโระถึงกับหนังตากระตุก ก่อนจะโน้มเข้าไปกระซิบกับเพื่อนซี้อีกคน

“ไอ้หมอนี่มันโรคจิตหรือเปล่าวะ”

“ช่างเค้าเถอะน่า… เราผิดนะ ก็ยอมๆคาโอรุมันหน่อยเหอะ” ไทกิปรามฮิโระ
ก่อนจะปราดเข้าไปกอดคออ้อนคาโอรุ “ว่าแต่… ประชุมแล้วได้ข้อสรุปอะไรมั่ง”

คาโอรุหยิบกระดาษโน้ตที่จดสรุปรายงานการประชุมให้พวกมันคนละแผ่น
ไทกิก็รีบกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

ภารกิจแรกสำหรับสมาชิกใหม่
‘ภารกิจชิงของรัก’

“โห… แค่ชื่อภารกิจก็เลี่ยนจนสุดจะทนแล้วนะเนี่ย” ไทกิเกาหัวแกรกๆ

‘สมาชิกใหม่ปีหนึ่ง จะต้องชิงของรักสามอย่างจากสามผู้พิทักษ์หอลม ไม่มีข้อมูลของเป้าหมาย
ต้องใช้ความสามารถของตัวเองผ่านด่านทดสอบและชิงของรักจากผู้พิทักษ์ให้ได้
เริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ 00.00 น. จนถึง 06.00 น. ถ้าภายในกำหนดเวลายังไม่สามารถล่าของเป้าหมาย
ได้ จะถือว่าภารกิจล้มเหลว และสมาชิกใหม่ต้องได้รับการลงโทษจากผู้พิทักษ์อย่างไม่มีข้อแม้’

“แล้วไอ้สามผู้พิทักษ์หอลมนี่ใครกัน?” ฮิโระอ่านจบก็เงยหน้าขึ้นมาถาม

“ก็ต้องเป็นสมาชิกพิเศษของปีสองอยู่แล้ว ของแค่นี้ไม่น่าถาม” คาโอรุได้ช่องก็รีบสวนขวับ
แต่ยังดีที่มันไม่ต่อด้วยคำว่า ‘งี่เง่า’ ไม่งั้นคงได้ตะลุมบอนกันเองก่อนเริ่มภารกิจแน่

“แสดงว่าคืนนี้เราต้องบุกหอลม แล้วไปชิงของเป้าหมายที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรงั้นเหรอ” ไทกิสรุป

“อันที่จริงฉันว่าเค้าต้องการทดสอบเราตัวต่อตัวมากกว่า ไม่งั้นก็คงไม่ตั้งเงื่อนไขแบบนี้หรอก”
เพื่อนผู้รอบรู้ช่วยขยายความ อีกสองคนเลยรีบขยับเข้าไปฟังใกล้ๆ ฮิโระเงื้อแขนไปโอบไหล่ข้างที่เหลือ
ของคาโอรุบ้าง

“ช่วยพูดให้มันกระจ่างหน่อยซิไอ้คนฉลาด แต่ขอแบบย่อๆนะ น้ำไม่ต้อง”

“นายไม่ติดใจบ้างเหรอ ถ้าเค้าตั้งใจจะทดสอบเราเป็นทีมก็น่าจะให้ชิงของแค่อย่างเดียว
และคงระบุเป้าหมายให้ชัดเจนกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะทิ้งคำใบ้อะไรไว้บ้าง แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย
 บอกแค่ว่าของสามสิ่งจากสามผู้พิทักษ์ แสดงว่างานครั้งนี้ตัวต่อตัว จับคู่ลุยเดี่ยว
ตัดสินกันด้วยความสามารถของตัวเองล้วนๆ”

คำอธิบายของคาโอรุฟังดูมีเหตุผล จนเพื่อนอีกสองคนเริ่มคล้อยตาม
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่รู้สิว่าเราจะได้ดวลกับใคร” ไทกิออกความเห็นบ้าง แต่คาโอรุก็หันมาทางเค้าช้าๆ
พร้อมกับถอนใจ

“สำหรับนายฉันรู้แล้วไทกิ ว่านายจะได้ดวลกับใคร”

“หา! นายรู้แล้วเหรอ” ไทกิทำหน้าระริกระรี้ รีบเกาะแขนอ้อนเพื่อนซี้ใหญ่ “ใครเหรอ?”

“ถ้านายหวังจะได้ดวลกับพี่ซุยล่ะก็ ขอแสดงความเสียใจ”
คำบอกเล่าจากเพื่อน ทำให้หน้าระริกระรี้ของไทกิหุบสนิท

“เมื่อกี้… ก่อนที่พวกนายจะเข้ามาเดี๋ยวเดียว พี่มิสึกิบอกฉันว่าถ้าส่งไทกิไปให้เค้า
เค้าจะยอมมอบของเป้าหมายให้ทันที แล้วนายคิดว่ามันจะหมายความว่าไงล่ะ”

ไทกิเบ้หน้า… แบบนี้มันท้าทายกันชัดๆ อุตส่าห์หลงคิดว่ามิสึกิจะเป็นคนดี
 ที่แท้ก็เล็งเค้าไว้เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก โธ่เอ๊ย… รู้งี้ไม่น่าไปหลงคารมมันเลย พับผ่าสิ

มืออุ่นๆของเพื่อนอีกคนเอื้อมข้ามจากไหล่คาโอรุมาตบหัวดังป้าบ จนคนที่กำลังเครียดหายเครียดทันตาเห็น

“นายจะกลุ้มไปทำไมว้า น่าจะดีใจด้วยซ้ำนะไทกิ เพราะในสามคนนั้นท่าทางมิสึกิจะอ่อนที่สุด
ฉันนี่สิต้องกลุ้ม ถ้าเกิดซวยไปเจอะรุ่นพี่ซุยของนายเข้าล่ะก็ มีหวังเละ” ว่าแล้วมันก็ทำท่าขนลุกขนพอง
 จนไทกิต้องแอบอมยิ้มในความกะล่อนของมัน

“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น” คาโอรุยังเครียดไม่เลิก “ในสามคนนั้น… ฉันมีข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของมิสึกิ
น้อยที่สุด หรือจะเรียกว่าแทบไม่มีเลยก็ได้ เค้าเก่งแค่ไหน มีความสามารถแบบไหน
แทบจะประเมินไม่ได้เลย ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไปสู้กันตัวต่อตัวมันก็เสี่ยงเกินไป”

“นายก็คิดมาก ยังไงศึกครั้งนี้เราก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว คิดให้มันเป็นเรื่องสนุกไม่ดีกว่าหรือไงเพื่อน”

คาโอรุมองเขม่นฮิโระ “ฉันถึงบอกไงล่ะ ว่านายมันงี่เง่า ฮิโระ”

นั่นไง… แล้วก็หลุดออกมาจนได้ ไอ้คำต้องห้ามเนี่ย… ไทกิแอบกุมขมับเงียบๆ
หน้าขับสีเลือดฝาดของนักฆ่าหนุ่มเริ่มมีเลือดร้อนระอุฉีดซ่าน แขนที่เดิมทีกะจะโอบไหล่ด้วยความพิศวาส
 ก็เปลี่ยนเป็นล็อกคอมันแทน

“พูดใหม่อีกทีซิคาโอรุ อย่างแกมันเก่งแค่ไหนเชียว ถึงเที่ยวไปประเมินชาวบ้านเค้าฉอดๆ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ในชีวิตจริงถึงไม่รู้ความสามารถของเป้าหมาย แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากันก็ต้องสู้ทั้งๆที่ไม่รู้นั่นแหละ”

“ก็นั่นแหละ… ฉันถึงบอกว่านายมันงี่เง่า รู้เค้ารู้เรายังไงโอกาสชนะก็มีมากกว่า ขืนนายยังทำตัวเหลาะแหละประเมินคู่ต่อสู้ไม่เป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อไปนายจะต้องตายเพราะอาชีพตัวเอง รู้ไว้ด้วย!”

“ไอ้คาโอรุ!!”
ฮิโระสวนหมัดจะจวกเข้าปลายคางคู่แค้น แต่มือเล็กๆก็ไวพอกัน ยกขึ้นมาตั้งการ์ดรับไว้ได้ทันท่วงที

“มาพนันกับฉันมั้ยล่ะฮิโระ ภารกิจคราวนี้ถ้านายล้มเหลว ต้องเป็นเบ๊หนึ่งอาทิตย์ ยอมทำตามคำสั่งฉันทุกอย่าง กล้ามั้ย?”

นักฆ่าไหวไหล่ “ไม่กลัวอยู่แล้ว ฉันยินดีรับคำท้าของนาย แต่ถ้านายแพ้ล่ะ”

“ถ้าฉันทำภารกิจล้มเหลวก็จะยอมเป็นทาสนายหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน แต่ถ้าเราทำสำเร็จหรือเกิดล้มเหลว
ทั้งคู่ก็ถือว่าเจ๊า”

“โอเค”
ทั้งสองตบมือทำสัญญา งานนี้ไม่ใช่แค่ต้องแข่งกับรุ่นพี่เท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มเพื่อนก็ยังต้องแข่งขันกันเองด้วย
ไทกิได้แต่แอบมองอยู่เงียบๆ กลิ่นไอวันเก่าของคำว่า ‘เพื่อน’ กำลังย้อนกลับมาในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
เมื่อก่อนเค้ากับเพื่อนคนหนึ่งก็ต้องแข่งขันกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก
เพื่อนเพียงคนเดียวในโลก

…เซกิ…
ป่านนี้หมอนั่นจะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้เลย…

“นี่… ไปหาอะไรกินกันเหอะ ฉันหิวแล้ว” เสียงจากฮิโระจอมตะกละเรียกสติไทกิกลับมาอีกครั้ง

“นายยังมีแก่ใจกินอีกเหรอ ภารกิจคืนนี้จะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ หัดเครียดไว้บ้างสิ” คาโอรุอดเหน็บไม่ได้
หายใจเข้ามันก็เรียกหาแต่ของกิน หายใจออกก็ของกิน น่าหมั่นไส้

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องเฟ้ย ไม่กินตุนไว้เยอะๆแล้วจะคิดหาทางรับมือรุ่นพี่ได้ไง” คราวนี้ฮิโระ
ฉุดแขนเพื่อนทั้งสองคนเข้ามาคล้องคนละข้าง “ไปประชุมต่อที่โรงอาหารดีกว่าน่า
 กินไปวางแผนไปก็ได้ ฉันยอมเลี้ยงนายด้วยก็ได้เอ้า คาโอรุ”

“พูดเองนะ” คาโอรุยักคิ้วกริ่ม ก่อนจะยอมให้มันลากไปโรงอาหาร

เย็นวันนั้น… ทั้งสามคนก็ใช้เวลาประชุม (เถียง) กันต่ออีกพักใหญ่
ก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมสัมภาระสำหรับภารกิจแรกในค่ำคืนนี้
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-02-2008 05:55:21
555 คู่กัด  อาโออิ กับ ฮิโระ  แอบรักกันป่าวเนี่ย

เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอีกเรื่องนึงที่ชอบมากเลย  ชอบพล๊อตกับแนวการดำเนินเรื่อง  สนุก น่าติดตาม
ถ้าไม่ลงพวก NC มากไปหน่อย  กับตัวละครไม่ดูจับคู่ชายกับชายมากเกินไป  จะเยี่ยมเลย

รออ่านต่อน้า  Unn นึกว่าหายไปซะแล้ว  :oni2:  :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-02-2008 06:23:54
 :m4:  ตามอ่านทันแล้ว  o13 สนุกมาก รออ่านต่อนะ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-02-2008 17:11:39
ตกลงที่ซุยทำลงไปทั้งหมดนี่จะเพราะหน้าที่หรือหัวใจนะ
ถ้าไม่พูดไม่ทำลงมาให้ชัดเจน ต่อไปคงได้มีศึกล้างเลือดเกินขึ้นแน่
และไทกิคงต้องกลับมาอยู่เหงาคนเดียวอีกแน่ จากที่ไทกิ ชอบอกชอบใจการไปเที่ยวดูพลุ
แสดงว่าเป็นคนเหงามากคนหนึ่ง ถ้าต้องมาโดนคนที่รักและเคารพตัดความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
ไม่มีค่าอะไรเลยนี่คงแย่แน่ๆ ถ้าไม่ชอบโนะอิ ก็น่าจะตัดกันไปแต่แรกๆ
ยิ่งกลัวไม่กล้ายิ่งยืดเยื้อแน่ๆ


ดูความสัมพันธ์ของตัวยู ฮาโตรุ และโมโมรุ คงเป็นแค่ในฝันของพวกชอบสวิงกี้เป็นแน่
ยากแท้จะมีใครยอมใครได้ขนาด ในเมื่อเลือกไม่ได้เลยทรีซัมไปเลย
 :m25: :m25: :m25:

แต่เอ๊ะ มิสึกิ คิดอะไรอยู่นะ ถึงได้เรียกไทกิไป หรือจะล้วงความลับอะไรไทกิกันแน่
งานนี้ซุยจะต้องออกโรงมาระวังเพื่อนเองหรือปล่าว กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
อิอิ
 :mc2: :mc2: :mc2:

คนเก่งเรานี่เอง ตามมาให้กำลังใจครับ

รีบๆมาโพสนะครับ รออ่านอยู่

เรื่องสนุกมากๆตามลุ้นทุกฉากทุกตอนเลยครับ
โพสที่ละตอนแต่สม่ำเสมอดีกว่านะครับ
คนอ่านจะได้ไม่ตกใจและตามอ่านทันนะครับ อิอิ

ถ้าเป็นไปได้ก็แก้ไขรีแรก กด modify หัวเรื่องว่าupdate ล่าสุดวันที่อะไร พอเห็นคนมาอัพเดทสม่ำเสมอ
เด่วก็ตามเข้ามากันเองหล่ะครับ


 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-02-2008 19:57:57
มาดันอีกรอบ  :m4:
เรื่องนี้เป็นเรื่องแนวแฟนตาซีที่ชอบมากเลย  แต่งได้ดีมาก น่าติดตามทุกตอน  o13

คนโพส  พยายามเอามาลงให้สม่ำเสมอนะ สู้ๆ  ไม่อยากให้เรื่องนี้หายไปนะ  ชอบเรื่องนี้ เสียดาย :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 07-02-2008 14:05:14
ตามก้นพี่เรย์ กะเพื่อนสาวมูมู่  มาติดๆ

เอ  หรือจะถอยห่างไปอีกนิดดีหว่า

อิอิ

เอาเรื่องมาลงต่ออีกนาเคอะคุณน้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  :mc4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 07-02-2008 17:42:53
 :m22: Chapter 12 Black Sakura

จากข้อมูลของคาโอรุ… ซุยกับมาซาฮิโกะอยู่ห้องเดียวกันที่ห้อง 201 ห้องใหญ่สุดติดบันไดที่ไทกิ
เคยไปอาศัยซุกหัวช่วงปิดเทอม ส่วนมิสึกิอยู่ชั้นสี่ ห้อง 413 กับรูมเมทอีกคน

แต่ทั้งสามคนก็ไม่คิดว่าภารกิจครั้งนี้จะง่ายดายขนาดนั้น ของที่ซ่อนไว้อาจจะไม่ได้อยู่ในห้องพักก็ได้
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือต้องหาผู้พิทักษ์ให้พบก่อน ดวลกันให้รู้ผล แล้วจึงจะมีหวังทวงของเป้าหมายมาได้

“นายแน่ใจนะว่าไม่ไปกับฉัน”
ฮิโระถามไทกิอีกรอบ อันที่จริงมันก็ถามไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากไปผจญชะตากรรมกับเจ้ากับคาโอรุ

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะดวลกับมิสึกิ นายสองคนจัดการซุยกับมาซาฮิโกะให้อยู่หมัดก็แล้วกัน”

“เรื่องนั้นมันแหงอยู่แล้ว” ฮิโระรีบคุยโว

“ระวังตัวด้วยนะไทกิ พยายามอย่าเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้โดยไม่จำเป็น นั่นจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
คาโอรุย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

“ฉันรู้แล้วน่า พวกนายก็ระวังด้วยนะ เอาล่ะ… แยกกันตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หอพร้อมของเป้าหมาย”
ไทกิให้กำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไปในความมืด คาโอรุกับฮิโระก็พร้อมอยู่แล้ว
สองคนไปด้วยกันจนถึงชั้นสอง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปจัดการกับเป้าหมายของตัวเองตามที่ตกลงกันไว้

ชั้นสี่เงียบสนิท… แม้จะมีไฟเปิดสว่างทั่วโถงทางเดิน แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ไทกิงัดวิชาชีพเก่ามาใช้
เค้าเคลื่อนตัวด้วยความว่องไวและเงียบที่สุด จนกระทั่งมาถึงหน้าห้อง 413 เค้าก็ลองบิดลูกบิดประตูเบาๆ ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก แสดงว่าเจ้าของห้องตั้งใจเปิดรอต้อนรับเค้าอยู่แล้ว

ไทกิเผลออมยิ้ม… ท่าทางรุ่นพี่คนนี้อยากจะดวลกับเค้าตัวต่อตัวมากจริงๆแฮะ ไหนๆคนเค้าก็อุตส่าห์
อยากเจอทั้งที จะมัวมาทำลับๆล่อๆก็เสียมารยาท ไทกิจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก เค้าบิดลูกบิดจนสุด
เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผย

แล้ว… ก็เป็นไปอย่างที่คิด
รุ่นพี่สุดหล่อนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับโต๊ะหนังสือ ในห้องไม่มีคนอื่น แสดงว่าคงจัดการไล่รูมเมท
ออกไปนอนที่ห้องอื่นเรียบร้อย มิสึกิส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้แขกนั่ง

“เอ้า… เชิญๆ นั่งพักก่อนสิคุณหนู”
ไทกิยังไม่วางใจ และไม่แน่ใจด้วยว่าตกลงรุ่นพี่คนนี้แกใจดีจริงๆ หรือเป็นแผนที่ทำให้ตายใจกันแน่
แต่ก็ยังยอมเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย

“ตกลงเราจะดวลกันยังไง?” รุ่นน้องสุดแสบไม่อ้อมค้อม สบโอกาสก็รีบถามทันที

“ดวลเหรอ?” มิสึกิขมวดคิ้ว “ไม่เอาน่า… อุตส่าห์ได้เจอกันตามลำพังทั้งที อย่าซีเรียสสิครับคุณหนู
เรามานั่งคุยกันตามประสาพี่น้องดีกว่า”

“แต่… แต่พี่เป็นคนเจาะจงตัวผมนะ ไม่ใช่เพราะจะเรียกมาดวลหรอกเหรอ”
มิสึกิส่ายหน้าย้ำหนักแน่นอีกครั้ง

“ผมแค่บอกคาโอรุคุงว่าถ้ายอมให้คุณหนูมาพบผม ผมก็จะยอมมอบของเป้าหมายให้ทันที
 ผมทำตามสัญญานะ แต่ถ้าคุณหนูไม่สบายใจจะเอาไปตอนนี้เลยก็ได้”
มิสึกิทำท่าจะล้วงของที่เก็บไว้ในเสื้อแจ็กเก็ตให้ไทกิ แต่รุ่นน้องรีบยกมือห้ามไว้

“พี่มิสึกิ… บอกจุดประสงค์ของพี่มาดีกว่า ผมจะรีบทำภารกิจให้เสร็จ แล้วจะได้กลับหอไปนอนซะที”
มิสึกิยิ้มให้อีกครั้ง ล้วงของเป้าหมายออกมาไว้ในกำมือ แต่ยังไม่ให้ไทกิเห็นว่าเป็นอะไร

“ผมมีเหตุผลสองข้อที่ไม่อยากสู้กับคุณ… ข้อแรกคือ ผมรู้อยู่แล้วว่าสู้คุณไม่ได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือด้วยกว่า
 แต่เพราะผมไม่คู่ควรที่จะสู้”

แค่เหตุผลข้อแรกก็เล่นซะไทกิงงเต็ก จับคิ้วมาขมวดเป็นเลขแปดแทบไม่ทัน
“เหตุผลที่สอง…” คราวนี้มิสึกิยิ้มบางๆ “ผมก็แค่เป็นห่วง เลยอยากเห็นชัดๆว่าคุณยังสบายดี”

อันนี้แหละ… ยิ่งงงที่สุด!
แต่ไทกิยังไม่ทันได้ซักต่อ ข้อกังขาของเค้าก็ได้รับคำเฉลย เมื่อรุ่นพี่เปิดเผยของสำคัญที่กำไว้ในมือให้ไทกิ
ได้เห็นชัดๆเต็มสองตา

ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงเบิกกว้าง บ่งบอกอาการตื่นตกใจอย่างที่สุด
…ดอกซากุระสีดำ…
สัญลักษณ์หนึ่งในยมทูตคนสำคัญแห่ง Death Flowers

‘Black Sakura’

ไทกิกระโดดตัวลอยออกไปยืนตั้งหลักที่ประตู แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังจ้องมองคู่ต่อสู้ไม่วางตา
สองยมทูตปะทะกันเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดหอลมทั้งหอยังพินาศได้เลยนะเนี่ย

ไม่… ต้องไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เค้ากำลังจะได้ชีวิตใหม่
ดวงหน้าคมคายของมิสึกิยังคงยิ้มแย้มให้ด้วยไมตรี ก่อนจะขยับเก้าอี้เลื่อนเข้ามาใกล้กันมากขึ้น

“กลับมานั่งเถอะครับคุณหนู ผมบอกแล้วว่าคืนนี้จะไม่มีการดวล จะมีแค่การคุยกันระหว่างพี่น้องเท่านั้น”

ไทกิยอมเดินกลับไปนั่งอีกครั้งถึงจะยังไม่วางใจก็ตาม แต่เพราะเรื่องที่คาใจมันมีมากกว่า
จึงยอมเดินกลับไปหามิสึกิอย่างว่าง่าย

ทำไมซากุระถึงปรากฏตัว?

ปกติหมอนี่ทำงานเป็นแบ็ค ได้ชื่อว่า Shadow of the Rose ที่ผ่านมาเค้าไม่เคยพบคนๆนี้ด้วยซ้ำ
เพราะซากุระจะรับเฉพาะคำสั่งลับเท่านั้น แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงเปิดเผยตัว ทำแบบนี้นับว่าเสี่ยงมากทีเดียว

“ดอกไม้นั่นเป็นของจริงใช่มั้ย?” ไทกิมองไปที่ซากุระสีดำแล้วถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ก็คงไม่มีใครพกของเสี่ยงตายแบบนี้ติดตัวตลอดเวลาหรอกครับ”

“นาย…” ไทกิเริ่มอึกอัก “มาจับฉันกลับไปเหรอ”

มือเย็นๆของมิสึกิเอื้อมมาใกล้ ก่อนจะดึงมือของไทกิเข้าไปกุมไว้

“คุณหนู… ถ้าผมคิดจะจับคุณกลับไปก็คงไม่เปิดเผยตัวหรอก ตอนนี้ผมยังเป็นไท
ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ผมก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรโดยพละการทั้งนั้น”

“แล้ว… ไม่คิดจะรายงานเรื่องของฉันกับทางองค์กรเหรอ”

“ไม่ครับ”
พอได้ยินอย่างนั้นไทกิถึงค่อยโล่งอก

“งั้นนายก็อยู่ฝ่ายฉันใช่มั้ย?”

“ไม่ครับ”
อ้าว?

“ผมไม่มีฝ่าย ตอนนี้ผมยังเป็นมิตรกับคุณหนู แต่ต่อไปเราอาจต้องกลายเป็นศัตรูกันก็ได้”

“งั้นถ้าฉันจะสั่งมิสึกิในฐานะ Red Rose ให้มาอยู่ฝ่ายฉัน คอยช่วยเหลือฉันล่ะ”
มิสึกิทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะตอบคำถามที่ดับความหวังของไทกิอย่างสิ้นเชิง

“คุณจะสั่งผมได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในองค์กรเท่านั้น ตอนนี้คุณหนีออกมาแล้ว คุณก็เป็นแค่โนมูระ ไทกิ
 ไม่มีสิทธิ์สั่งการคนในองค์กรอีกแล้ว แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างก็ตาม
อำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดตอนนี้จึงตกอยู่ที่คนๆเดียว”

“White Lilly”
ไทกิต่อให้ มิสึกิก็พยักหน้ารับ

“หมอนั่น… ยังสบายดีอยู่เหรอ ‘เซกิ’ น่ะ” ไทกิเบือนหน้าออก ทั้งที่ไม่อยากรู้แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้

“เค้าจะสบายได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ แถมตอนที่คุณหนีมายังทำกับเค้าไว้ตั้งเยอะ กว่าจะฟื้นตัวก็ใช้เวลา
ตั้งหลายเดือน แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องไปยุ่งเกี่ยว เซกิคิดอะไรอยู่ และคิดจะทำอะไรต่อไป
ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ”

ไทกิพยักหน้า “ฉันก็พอจะรู้นิสัยเซกิ หมอนั่นต้องพลิกแผ่นดินตามหาฉันแน่ เชื่อขนมกินได้เลย
ฉันถึงอยากให้มิสึกิมาเป็นพวกฉันไงล่ะ ถือว่าฉันขอร้องนะ”

“ผมรับเฉพาะคำสั่งเท่านั้น ไม่เคยรับคำขอร้อง คุณหนูก็น่าจะรู้”
คำปฏิเสธที่ตัดขาดเยื่อใยจนไทกิฟังแล้วยังพูดไม่ออก เดิมทีคิดว่าถ้าได้ซากุระมาเป็นพวก
ก็คงพอจะยืดอิสรภาพตัวเองไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าหมอนี่ไม่เอาด้วย เค้าคงแย่

“งั้น… นายจะเอายังไงกับฉัน?” ไทกิถามตรงๆ
มิสึกิจับมือไทกิแบออก แล้ววางดอกซากุระสีดำลงไป

“ซากุระสีดำคือสัญลักษณ์ของผม ตราบใดที่มันยังอยู่ในมือคุณนั่นหมายความว่าคุณอยู่ในความคุ้มครอง
ของซากุระ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ ยกเว้นก็แต่ลิลลี่ที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรในเวลานี้เท่านั้น”

“มิสึกิทำแบบนี้เสี่ยงมากนะ ถ้าเซกิรู้เข้า อาจจะสั่งคนตามล่านายด้วยก็ได้”

“คุณไทกิก็อย่าให้เค้ารู้สิครับ คนในโรงเรียนนี้ทุกคนพร้อมจะปกป้องคุณทั้งนั้น โดยเฉพาะ…
คนที่กำลังรอคุณอยู่ข้างนอก”

ไทกิเหลียวคอมองกลับไปที่ประตู ใครนะ… ใครกันที่พร้อมจะปกป้องตัวอันตรายอย่างเค้า
มิสึกิหมายถึงใครกันแน่ ไทกิหันกลับมามองดอกซากุระในมืออีกครั้งด้วยความตื้นตัน
เดิมทีคิดว่าพอมาเข้าเรียนที่นี่แล้วคงเหงา แต่เค้ากลับได้มิตรแท้มากมาย
โดยเฉพาะมิตรที่คาดไม่ถึงอย่างมิสึกิ

รุ่นพี่เดินเข้ามาดันไหล่รุ่นน้องออกไปที่หน้าประตู
“ไปได้แล้วคุณหนู เป็นเด็กเป็นเล็กนอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”

ไทกิจับมือมิสึกิไว้แน่น “พี่มิสึกิ ขอบคุณมาก”

รุ่นพี่โค้งตัวรับ ก่อนจะส่งรุ่นน้องออกไปที่ระเบียง ไทกิกำลังปลาบปลื้มกับของขวัญล้ำค่า
ที่เพิ่งได้รับมาจากภารกิจแรก จนเดินเหม่อไปตามระเบียงทางเดิน แล้วทันใดนั้นเค้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
คนเดินตามหลัง เค้าก็รีบหยุดทันที

เสียงฝีเท้านั้นเบามาก ย่องเข้ามาในระยะใกล้จนแทบไม่รู้สึกตัวแสดงว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
 ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ที่ว่องไวก็คงสัมผัสไม่ได้ ใครกันนะที่กล้าล้วงคองูเห่า
ไม่รู้จักตัวหายนะประจำองค์กรมืดซะแล้ว

ดอกกุหลาบแดงที่ซุกไว้ใต้เสื้อแจ็กเก็ตหนา ถูกตวัดออกไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม ปักฉึกผ่านหน้าคนที่กำลัง
สะกดรอยตามเค้าแค่เสี้ยวเดียว ฝีเท้าที่เบาลิ่วราวปุยนุ่นก็หยุดชะงัก เค้าดึงดอกกุหลาบแดงสีสดที่
ปักอยู่บนผนังตึกออกมาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ

“ไอ้เรารึก็นึกเป็นห่วง ถ้ารู้ว่านายจะเที่ยวเดินแจกดอกไม้ให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้ล่ะก็
ฉันไม่ตามมาให้เสียเวลาหรอก”

ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นไอ้โรคจิตที่ไหนที่แอบย่องตามเค้า แต่พอได้ยินเสียงที่คุ้นหู ไทกิก็ฉีกยิ้มกว้างทันที

“ฉันก็ไม่รู้นะว่าประธานหอคนเก่งจะแอบจิต ชอบย่องตามคนอื่นเค้าเหมือนกัน”
ไอ้ตัวแสบย้อนได้แสบสันอีกตามเคย จนคนที่กำลังนึกห่วงต้องเดินเข้าไปตบหัวสนองปากหมาๆ

“มิสึกิส่งข่าวบอกฉัน ว่านายกับมันสู้กันจนนายบาดเจ็บเลือดอาบ ถ้าฉันรู้ว่ามันจะโกหกก็คงไม่ตามมา
ให้เสียเวลานอนหรอก บ้าชะมัด…”

“มิสึกิบอกนายงั้นเหรอ?” ไอ้ตัวดีพูดไปด้วย ลูบหัวที่ปวดหนึบๆไปด้วย

“ใช่… เราสามคนมีสัญญาณเฉพาะที่ตกลงกันไว้ ว่าถ้ามีคนบาดเจ็บก็ให้รีบแจ้งทันที”

“งั้นแสดงว่าทางฟากนายก็เสร็จแล้วสิ”

ซุยพยักหน้า “คาวาชิมะเคลียร์เงื่อนไขของฉันได้ อีกเดี๋ยวเค้าก็คงตามมา”

“เงื่อนไขอะไรเหรอ บอกหน่อยดิ” ไอ้ตัวดียื่นหน้าเข้าไปแส่ด้วยความอยากรู้

“ไม่ใช่เรื่อง… ว่าแต่นายเถอะใช้มนตร์อะไรถึงผ่านมิสึกิมาได้ ปกติหมอนี่เคี่ยวจะตาย
ขนาดโนะอิสู้กับมันยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย”

ไทกิล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ กำดอกซากุระเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าซุยจะรู้จักมิสึกิดีแค่ไหน
แต่คนระดับยมทูตคงไม่เปิดเผยตัวให้คนอื่นรู้ง่ายๆ อย่าเพิ่งบอกหมอนี่ดีกว่า

“ฉันได้มาแล้วก็แล้วกันน่า อ้อ… นั่นไง คาโอรุมาพอดี”

ระฆังช่วยชีวิต…
คาโอรุวิ่งทั่กๆหน้าตาตื่นขึ้นมาตามขั้นบันได ก่อนจะพุ่งเข้ามาฉุดแขนไทกิไว้แน่น

“นาย… รีบไปกับฉัน!” มันไม่พูดพล่ามทำเพลง จู่ๆก็มาลากแข้งลากขาเค้าออกไปนอกหอ
แล้วตกลงมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกล่ะเนี่ย

“เดี๋ยวก่อน… เกิดอะไรขึ้นคาโอรุ ทำไปต้องตกอกตกใจขนาดนั้นด้วย”

“ฮิโระ” คาโอรุละล่ำละลัก “สู้กับรุ่นพี่โอคุจิ ตอนนี้ที่หน้าหอกำลังเดือดใหญ่เลย พวกนั้นใช้อาวุธกันด้วย
 เลือดงี้อาบเป็นทาง นายรีบไปดูมันเร็วเข้า”

“มาซาฮิโกะ… ฉันห้ามแล้วไงว่าไม่ให้ใช้อาวุธ” ซุยเองก็ดูจะหงุดหงิดเหมือนกันที่เพื่อนไม่ทำตามแผน
 ก่อนจะวิ่งนำรุ่นน้องทั้งสองไปที่ลานหน้าหอ

ตูม!!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว สะกดทุกฝีเท้าให้หยุดนิ่งด้วยความตื่นตระหนก คาโอรุกับไทกิ
หันมาสบตากันปริบๆ ชะตากรรมของนักฆ่าคนเก่งแห่งตระกูลโซมะ ป่านนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้เลย…

เสียงอึกทึกยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องจากลานว่างหน้าหอลม ตอนนี้รุ่นพี่หลายคนได้ตื่นขึ้นมาดูสถานการณ์
จนเต็มระเบียงทุกชั้น แต่เพราะคู่กรณีมันเล่นทึ้งโคมไฟหน้าหอจนยับทุกดวง ข้างล่างจึงมืดมาก
มองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ฮิโระมันจะตายหรือยังเนี่ย”
ไทกิรีบร้อนวิ่งลงไปที่ลานกว้างด้วยความเป็นห่วงเพื่อนซี้ คาโอรุที่วิ่งตามมาติดๆก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นี่เป็นแค่การทดสอบไม่ใช่เหรอครับพี่ซุย แล้วทำไมพี่มาซาฮิโกะต้องเอาจริงขนาดนี้ด้วย”
ซุยที่วิ่งนำอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า

“เราสามคนตั้งเงื่อนไขในการทดสอบไม่เหมือนกัน เพราะงั้นหมอนั่นจะทำอะไรฉันก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้ว นอกจากมันจะเล่นนอกกติกา”

“กติกาอะไร?” ไทกิรีบสวนทันควัน

“กติกาที่ว่า… จะไม่ทำให้รุ่นน้องบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย”

ไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย… งั้นแสดงว่าถ้าจะอัดเละให้สะบักสะบอมพอหอมปากหอมคอ
ก็คงทำได้งั้นสิ

ฮิโระเอ๋ยฮิโระ… หวังว่าแกคงจะแน่พอรับมือรุ่นพี่บ้าเลือดนั่นได้นะ

ตูม!!!!!!!!

เสียงระเบิดดังลั่น พังแปลงดอกไฮเดรนเยียทางปีกซ้ายไปทั้งแถบ เล่นซะพวกไทกิให้ใจหายวาบ
ตอนนี้พวกเค้าทั้งหมดลงมาถึงลานกว้างหน้าหอแล้ว พอควันระเบิดจางลง ก็เห็นเงาร่างสองร่างได้ชัดเจนขึ้น
ร่างหนึ่งหายใจหอบถี่ฟุบอยู่บนพื้น เหนือขึ้นมายังมีอีกร่างยืนคร่อมอยู่ ในมือถือดาบผอมขนาดพอเหมาะ
จ่อคอหอยคนที่นอนฟุบอยู่

“ฮิโระ!!”
ไทกิร้องเรียกชื่อเพื่อนซี้

แต่… ดูๆแล้วพวกเค้าคงจะมาผิดเวลา
“อ้าว… ไง ไทกิ ทางพวกนายจบแล้วเหรอ”

นักฆ่าผู้กำลังเป็นต่อฉีกยิ้ม ทำเอาเพื่อนๆที่กำลังห่วงมันจะเป็นจะตายส่งสายตาปริบๆงงกันเป็นทิวแถว

“หมอนี่อึดชะมัด เล่นงานเท่าไหร่ก็ไม่ยอมแพ้ซะที ปล่อยให้ฉันเปลืองแรงเสียเวลาสู้ตั้งนาน
แต่นายก็ฝีมือไม่เลวนะ นานแล้วที่ฉันไม่ได้สนุกขนาดนี้ ขอบใจมาก”

มันโม้ยังไม่พอ ยังมีหน้าไปตอกย้ำรุ่นพี่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น ก่อนจะลดปลายดาบแล้วยื่นแขน
ไปฉุดตัวรุ่นพี่ขึ้นมา มาซาฮิโกะตีสีหน้าเครียดจัด แต่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

“นายแน่มากโซมะ ฉันแพ้แล้ว นี่เป็นเดิมพันตามสัญญา”
มาซาฮิโกะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต เจ้าฮิโระก็อมยิ้มได้ใจ แถมยังคิ้วให้เพื่อน
อวดความแน่ของมัน

แต่ทว่า… พอมันเห็นของเป้าหมายเท่านั้น มันก็ถึงกับหน้าถอดสีซีดเป็นไก่ต้ม

สิ่งมีชีวิตปุกปุย… ตัวเล็กๆ น่าร้าก น่ารัก กำลังส่งสายตากลมโตบ้องแบ๊วให้ฮิโระ มันดิ้นขลุกขลักอย่างร่าเริง
อยู่ในมือของมาซาฮิโกะ แถมยังทำท่าระริกระรี้ดีใจที่จะได้เจ้านายคนใหม่ มาซาฮิโกะเลยรีบสงเคราะห์
ยื่นส่งให้นักฆ่าคนเก่ง

“มะ… มะ… ไม่เอา!!!!!!!!!!!!!!”
เจ้าฮิโระร้องลั่นบ้านแตก ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหลบหลังคาโอรุที่ยืนอยู่ใกล้และคว้าตัวง่ายที่สุดเอามาเป็นโล่กำบัง
 ไทกิเห็นแล้วก็นึกสมเพชมันนัก ทีสู้กับรุ่นพี่จนเลือดอาบเต็มตัวมันยังไม่กลัวสักแอะ แต่นี่กะอีแค่สัตว์ตัวเล็กๆ
มันกลับใส่เกียร์หมาวิ่งหนีซะงั้น แล้วตกลงมันเก่งหรือไม่เก่งกันแน่เจ้าฮิโระเนี่ย

“เอาออกไปนะ ฉันเกลียดหนู!”

“หนูที่ไหน นี่มันแฮมสเตอร์ต่างหาก” คาโอรุช่วยแก้ความเข้าใจผิด ก่อนจะรับสิ่งมีชีวิตน่ารักตัวนั้น
เข้ามาดูใกล้ๆด้วยความเอ็นดู

ฮิโระดันแขนคาโอรุข้างที่ถือสัตว์ประหลาดออกไปไกลตัว “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ คืนหมอนั่นไปเลยนะ
ฉันไม่เอา”

“ไม่เอาแน่นะ?” คาโอรุถามอีกรอบ

“เออ… ไม่เอาก็ไม่เอาสิเฟ้ย เซ้าซี้อยู่ได้”

คราวนี้คาโอรุฉีกยิ้มกว้างขึ้น “ถ้าไม่เอาก็จะถือว่าภารกิจของนายล้มเหลวน่ะสิ”

“ล้มก็ล้มสิ ฉันไม่เห็นแคร์เลย”

“แล้วนายลืมเดิมพันของเราแล้วเหรอ ถ้านายทำภารกิจล้มเหลวก็ต้องเป็นเบ๊ฉันหนึ่งอาทิตย์ ว่าไง?”

สีหน้าของนักฆ่าเริ่มเครียดจัด มองสลับไปมาระหว่างหน้าเจ้าคู่อริกับหนูแฮมสเตอร์ 
ฮิโระตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ถึงจะไม่ค่อยถูกคอกันนัก แต่ยังไงหน้าตาเจ้าคาโอรุก็น่ารักกว่า
ไอ้ตัวขยะแขยงนั่นเป็นไหนๆ เพราะงั้น… เลือกมันดีกว่า

“เออ… ฉันยอมเป็นเบ๊นายก็ได้ แต่ช่วยเอาไอ้นั่นไปคืนรุ่นพี่ก่อนได้มั้ย”

“นายเป็นพยานด้วยนะไทกิ หมอนี้รับปากเป็นเบ๊ฉันแล้ว” คาโอรุหันไปยักคิ้วให้เพื่อนซี้อีกคน
ก่อนจะเอาหนูตัวเล็กไปคืนให้มาซาฮิโกะ

สรุปว่า… ภารกิจแรกจบลง ปีหนึ่งชนะสองแพ้หนึ่ง และคนแพ้ก็ต้องยอมรับการลงโทษไปตามระเบียบ

นอกจากจะโดนทำโทษให้ซ่อมแปลงดอกไฮเดรนเยียที่มันทำพังไปทั้งแถบแล้ว ที่น่าหงุดหงิดใจที่สุด…
 ก็คือการเผลอไปตกปากรับคำเป็นเบ๊ไอ้คาโอรุนี่แหละ

วันนี้… เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เค้ายอมทนมันมาตลอดทั้งสัปดาห์โดยไม่ปริปากบ่น
ก็เพื่อรอวันนี้แค่วันเดียวเท่านั้น

“นี่… จัดของฉันให้ดีๆสิ หนังสือแต่ละเล่มมีค่ามากกว่าตัวนายอีกนะจะบอกให้
เพราะฉะนั้นอย่าหยิบให้มันแรงนัก เดี๋ยวก็ยับพอดี”

คาโอรุที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงชี้นิ้วสั่งอย่างสนุกสนาน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์นอกจากจะมีคนคอยรับใช้
แล้ว ยังสะใจที่ได้แก้เผ็ดไอ้ตัวแสบนี่ด้วย
ฮิโระยัดพจนานุกรมเล่มสุดท้ายเข้าไปเรียงบนชั้น แล้วท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจตลอด

‘อดทนไว้… ฮิโระ แกต้องทนได้ ฮึ่มๆๆๆ’

“เอาล่ะ… ในเมื่อจัดเสร็จแล้วก็ไปเรียนได้แล้ว เอ้านี่… ถือหน่อย”
คาโอรุโยนกระเป๋านักเรียนไปกระแทกหน้าอกฮิโระจนจุก ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้อง
นักฆ่ากัดฟันกรอดๆ กำลังนึกอยากจดชื่อมันไว้ในบัญชีดำ คอยดูเถอะ…
ถ้าหมดสัญญาเมื่อไหร่ล่ะก็ จะขอทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้คาโอรุ!

ในห้องเรียนก็ยังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกปาก ทำเอาเรตติ้งนักฆ่าเนื้อหอมตกฮวบฮาบ
แฟนคลับที่มีอยู่เกือบทั้งชั้นปีก็แปรพักตร์ไปอยู่ข้างคาโอรุจนหมด แต่เรื่องนี้ฮิโระไม่แคร์อยู่แล้ว
 เพราะอย่างน้อยเค้าก็ยังมีไทกิคอยอยู่เป็นเพื่อน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายเป็นปาท่องโก๋
ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด

“โอ๊ย! ฉันอยากให้ผ่านวันนี้ไปเร็วๆจังเลย จะได้ประกาศเลิกทาสซะที”
ฮิโระที่กำลังหมดสภาพฟุบหน้าคาจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร จนไทกิที่กินข้าวไปด้วยยังอดขำไม่ได้
ถึงจะนึกสงสารมันอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็อย่างว่าล่ะน้า… ก็มันหาเรื่องทำตัวเองนี่นา
กลัวหนูตัวเดียวถึงกับยอมเป็นทาสคาโอรุ งานนี้ใครก็ช่วยมันไม่ได้หรอก

“นายก็นะ เป็นถึงนักฆ่ายังกลัวหนู ฉันล่ะสมเพชจริงๆ” ไทกิทับถม

“ก็ฉันมีความทรงจำที่เลวร้ายกับมันนี่ ตอนห้าขวบพ่อฉันเล่นจับฉันโยนเข้าไปลังหนูเป็นพันๆตัวเชียวนะ
ฉันอยู่ในนั้นทั้งคืน โดนมันแทะผมจนร่วงหมดทั้งหัวเลย แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่เข้าใกล้
ไอ้สัตว์น่าขยะแขยงประเภทนี้อีกเลย”

“ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคนบ้ากลัวหนูด้วย คิดว่าจะหน้าด้านไม่กลัวอะไรซะอีก”
พอเจอมันแซวเข้า ฮิโระก็เลยแจกฝ่ามือตบหัวมันไปป้าบใหญ่

“นั่นซี้… นอกจากจะบ้าแล้วยังขวัญอ่อน ฉันขอแนะนำนะฮิโระ นายน่ะเปลี่ยนอาชีพไปเถอะ
ขืนฝืนเป็นนักฆ่าต่อไปก็ไม่รุ่งหรอก” คาโอรุที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่วางชามบะหมี่ลงข้างทาสรับใช้
ก่อนจะช่วยไทกิทับถมมันด้วยอีกคน

ฮิโระเหลือบสายตาสีทองคมๆไปฝากรอยแค้นไว้ที่หน้าสวยๆของคาโอรุ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา
แทะไก่ทอดต่อเงียบๆ

“ฉันหิวน้ำจังเลย”
คาโอรุเปรย แต่เบ๊ยังทำหูทวนลม

“ฉันหิวน้ำ! ไม่ได้ยินหรือไง ฮึ… คุณทาส” คาโอรุจงใจตะโกนกรอกหู จนคนทั้งโรงอาหารหันมามอง
พร้อมกับพากันอมยิ้ม

“เออ… รู้แล้ว จะตะโกนทำซากอะไรเนี่ย จะเอาน้ำอะไรก็บอกมาเด่ะ”

“โคล่า”
คาโอรุสั่ง ฮิโระก็เดินหน้ามุ่ยกระแทกเท้าไปซื้อมาให้ แต่พอซื้อมาแล้วคนสั่งกลับทำสีหน้าไม่พอใจ

“อืม… ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ช่วงนี้กระเพาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นชามะนาวก็แล้วกัน” คาโอรุยิ้มหวาน
ทั้งที่หน้าเบ๊หนุ่มกำลังเดือดปุดๆ แต่ก็จำใจต้องไปซื้อมาเปลี่ยนให้มันใหม่

“อันนี้ใช่มั้ย” ฮิโระกลับมาพร้อมชามะนาวแก้วใหญ่ ก่อนจะนั่งลงกินข้าวต่อ แต่ยังไม่ทันจะแทะไก่ที่ถือ
อยู่ในมือก็ถูกคาโอรุขัดจังหวะอีกรอบ

“ฉันไม่อยากกินชามะนาวแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นชาเขียวแล้วกันนะ”

“นายนี่มัน!” ฮิโระจะวีน แต่ก็ถูกคาโอรุจ้องขู่

“อ๊ะ… อ๊ะ… จะผิดคำพูดเหรอ ฉันก็กะแล้วว่านายไม่มีความอดทน จะเลิกก็เลิกไปเลย
ฉันก็ไม่อยากได้คนไม่รักษาสัญญามาเป็นเพื่อนหรอก”

คราวนี้คาโอรุกัดได้แสบมาก ขนาดไทกิที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยฟังแล้วยังหวั่นใจแทน
แต่คู่อริของมันน่ะเดินลิ่วๆไปร้านน้ำตะโกนสั่งชาเขียวซะลั่นไปทั้งโรงอาหาร

“นายพูดแรงไปนะคาโอรุ ยังไงฮิโระก็เป็นเพื่อน เห็นแก่หน้ามันหน่อยเหอะนะ”

“ฉันก็แค่อยากให้มันมีความอดทน ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ มันก็ไม่เหมาะจะเป็นนักฆ่าหรอก
ชอบทำใจอ่อนไม่เข้าท่า”

“ฉันก็รู้นะว่าอันที่จริงนายก็หวังดี แต่เพลาๆความเข้มงวดลงหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันล่ะเครียดจน
ปวดหัวแทนเจ้าฮิโระมันแล้วนะเนี่ย”

“หึ หึ… อะไรกันไทกิ อีกวันเดียวมันก็พ้นสภาพความเป็นทาสแล้วน่า ไม่ต้องไปห่วงมันมากนักก็ได้
เดี๋ยวมันก็เหลิงพอดี หมอนี่มันยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย”

ปัง!!

คนบ้าจี้กระแทกแก้วชาเขียวลงโครม จนน้ำหกลงไปโดนรองเท้าคู่โปรดของคาโอรุ
“นี่! นาย!”

พอเห็นรองเท้าคู่เก่งเลอะ ผู้รอบรู้ก็เดือดขึ้นมาทันตาเห็น ไทกิตวัดหางตามองเพื่อนซี้สลับไปมา
ตอนนี้ประเมินไม่ได้แล้วว่าระหว่างหน้ามันสองคน คนไหนจะแดงเด่นกว่ากัน เพราะมันเดือดพอกันทั้งคู่

“เช็ดซะ!” คาโอรุยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้ของฮิโระ กอดอกวางเชิดหน้าสั่งเบ๊ดังลั่น
แต่เบ๊ของเราก็หัวหมอใช่ย่อย เริ่มจะคิดต่อต้านขึ้นมาซะงั้น

“ฉันไม่เช็ดเฟ้ย!”

“ฉันสั่งนายนะ นายไม่มีสิทธิ์เถียง!”

“ฉันไม่ทำซะอย่าง มีอะไรมั้ย!”
นักฆ่ายังเถียงหน้าด้านๆ ลืมสัจจะวาจาที่เคยลั่นไว้จนสิ้น ดวงตาสีเขียวมรกตของคาโอรุเดือดจัด
จนแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนของไทกิ เค้าหรี่ตาลงช้าๆ เปลี่ยนสีหน้าเรียบขรึม
ก่อนจะเปรยคำหยามเหยียดที่ฮิโระฟังแล้วต้องจดจำไปจนวันตาย

“เมื่อก่อนฉันเคยนับถือตระกูลโซมะว่าเป็นตระกูลมือสังหารที่มีเกียรติ แต่วันนี้นายทำให้ฉันซึ้งแล้วฮิโระ
คนอย่างนายมันก็แค่นักฆ่าสับปลับที่ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นเพื่อนฉันด้วยซ้ำ
ถ้าไม่มีความอดทนก็เลิกไปเลย ฉันไม่สน เพราะคนอย่างนายมันไม่มีสัจจะ!”

ดวงหน้าขาวผ่องเป็นยองใยของนักฆ่าหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ มือทั้งสองข้างกำแน่น
จนข้อนิ้วซีดสนิท ความเงียบรุมเร้าเข้ามาในโรงอาหารที่เคยเฮฮา
หากสายตาทุกคู่กลับจับจ้องมายังจุดเดียวกัน

จุดเดียว… ตรงที่นั่งของสมาชิกพิเศษปีหนึ่ง
จุดเดียว… ที่ผู้รอบรู้ยืนเชิดหน้าท้าทายราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
และ… จุดเดียว… ที่นักฆ่าค่อยๆทิ้งตัวคุกเข่าลงช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจาจากกระเป๋า
แล้วบรรจงเช็ดรองเท้าให้เพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งประกาศด่ามันปาวๆ

“หึ… คนขี้แพ้”
คาโอรุยังหาเรื่องไม่เลิก เค้าหยิบแก้วน้ำหลากสีที่ฮิโระอุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้
เทลงบนหัวของนักฆ่าหนุ่มทีละแก้ว เริ่มจากโคล่ากระป๋อง ต่อด้วยน้ำชามะนาว หัวสีทองของฮิโระถูกย้อมด้วยสีต่างๆจนเปียกโชก แต่นักฆ่าหนุ่มที่ยังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดรองเท้าก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นอีก
แล้วในที่สุด… คนที่ทนไม่ได้ก็ปัดมือเพื่อนซี้ออก ตอนที่มันกำลังจะหยิบชาเขียวแก้วสุดท้ายลงไปละเลง

“พอเถอะคาโอรุ นายทำเกินไปแล้ว!”
ไทกิพยายาจะห้าม คาโอรุถึงได้สติ แต่มันก็ช้าไปแล้ว เมื่อนักฆ่าหนุ่มเช็ดรองเท้าจนสะอาดเอี่ยมมันก็เงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับศัตรูอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเล่นมาพร้อมน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น แม้แต่คนที่แกล้งโขกสับมันสารพัดเห็นแล้วยังใจแป้ว ไม่คิดว่ามันจะเสียใจจนถึงกับร้องไห้ออกมา

“สะใจนายแล้วใช่มั้ย”
เสียงเย็นชาที่ส่งมาให้บ่งบอกถึงความเจ็บใจอย่างที่สุด ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหนีออกไปจากโรงอาหาร

“ครั้งนี้ฉันเข้าข้างฮิโระนะคาโอรุ เพราะนายทำเกินไปจริงๆ แล้วอย่าลืมไปขอโทษมันด้วยล่ะ”
ไทกิที่กำลังโกรธก็คว้ากระเป๋าตัวเองเดินตามฮิโระออกไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงเพื่อนผู้รอบรู้ผู้กำลังนึกเสียใจ
อย่างสุดซึ้ง

… พรุ่งนี้มันก็จะเป็นไท คนร่าเริงอย่างมันคงไม่งอนใครนานหรอกน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปขอโทษมันก็ได้…
คาโอรุพยายามคิดแก้ตัวในใจ ก่อนจะไปหมกตัวดับอารมณ์เครียดอยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่ายวันนั้น
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy >
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 07-02-2008 17:52:17
 :m22: Chapter 13 Revenge

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว… แต่บรรยากาศในห้องก็ยังไม่คลายความตึงเครียด ไทกิอึดอัดจะแย่แต่ก็ทำตัวไม่ถูก
 พวกมันเป็นเพื่อนซี้ทั้งคู่ แต่ก็เต๊ะมากพอกันทั้งคู่ เลยไม่รู้จะคุยกับฝ่ายไหนก่อนดี

หลังจากวันประกาศอิสรภาพ คาโอรุก็เข้ามาขอโทษฮิโระ แต่นอกจากมันจะไม่รับคำขอโทษแล้วยังเชิดหน้า
เดินหนีไปหน้าตาเฉย พอคาโอรุชวนคุยด้วยก็ไม่คุย ง้อมันขนาดไหนมันก็ไม่ยอมให้อภัย จนคาโอรุเองก็ชักหงุดหงิด และเลิกยุ่งกับชีวิตมันไปโดยปริยาย

“เฮ้อ…”
ไทกิถอนใจเป็นรอบที่สองร้อย วันนี้เป็นคิวที่เค้าต้องมานั่งเป็นเพื่อนฮิโระ พอเงยหน้ามอง
มันก็เอาแต่จ้วงโซบะเข้าปากหมับๆไม่พูดไม่จา ทำท่าอย่างกับตายอดตายอยากมาเป็นชาติ
แถมตอนใช้มีดหั่นเนื้อสเต็กก็ยังสับจนเละเหมือนเห็นเป็นหน้าเจ้าคาโอรุยังไงยังงั้น

“เมื่อไหร่นายจะยกโทษให้คาโอรุซะทีล่ะ” ไทกิเปรย แต่ฮิโระกลับใช้ส้อมจิ้มมันฝรั่งในจานดังฉึก
พร้อมกับส่งตาขวางๆมาให้

“มันทำกับฉันแสบขนาดนี้ นายยังจะหวังให้ฉันกับมันญาติดีกันอีกเหรอ“

“ฉันก็พูดไปเผื่อพวกนายจะคิดได้ ถ้าไม่เอาด้วยก็แล้วไปสิ” ไทกิไหวไหล่ก่อนจะซดน้ำซุปในชามบะหมี่ต่อ

“ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะไทกิ ถ้าฉันไม่แก้แค้นมันล่ะก็ฉันจะยอมเป็นลูกหมาเลยเอ้า
และชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีวันยอมคุกเข่าให้มันอีกแล้ว นายคอยดูก็แล้วกัน”

“เออ… แล้วฉันจะคอยดู” ไทกิแอบอมยิ้ม มันล่ะก็ไม่เคยเข็ด พอประกาศแบบนี้ทีไรก็เห็นความซวย
มาเยือนมันทุกที

แต่ตอนนั้นไทกิก็คิดว่าที่มันพูดไปก็แค่ประชดเพื่อระบายอารมณ์เล่นเฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะจริงจัง
จนก่อเรื่องใหญ่ขึ้นในภายหลัง

เรื่องใหญ่… ที่เป็นชนวนแตกหักที่ไม่อาจประสานได้อีกระหว่างคาโอรุและฮิโระ

วันอาทิตย์… ไทกิถูกซุยลากออกไปจากหอแต่เช้าเพื่อติวเข้ม ทิ้งไว้เพียงคู่อริที่กำลังนั่งปั้นปึงกันอยู่
คนละมุมห้อง วันนี้ไม่มีกรรมการห้ามทัพ ไม่รู้พวกมันจะแผลงฤทธิ์ข่มกันแค่ไหน

ฮิโระแกล้งกวนประสาทแต่เช้าโดยการเปิดเพลงเสียงดังลั่นห้อง ทำลายสมาธิคาโอรุที่กำลังอ่านหนังสือ
อยู่บนโต๊ะ ยิ่งเห็นคู่อริเดินไปหยิบหูฟังมาใส่ มันก็ยิ่งเปิดเสียงดังสุดแม็กซ์ของวอลลุม
ขนาดห้องข้างๆมาทุบประตูปังๆมันก็ไม่หยุด จนทุกคนต้องย้ายหนีออกจากหอไปเอง

แต่คนที่อดทนที่สุดก็แกล้งทำหูทวนลมซะงั้น เมื่ออ่านหนังสือไม่ได้ก็ล้มตัวลงไปนอน
ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรอีก

พลบค่ำ… สงครามเย็นในห้องก็ยังไม่สงบ ซ้ำร้ายยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไทกิกลับมาคงตกใจ
เพราะสภาพในห้องเละเทะไม่มีชิ้นดี ฮิโระแกล้งกินอาหารหกเลอะเทอะเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง
แถมยังเอาช็อกโกแล็ตไปซุกไว้ใต้หมอนคู่อริให้มดตอมหึ่งจนมันนอนไม่ได้ คาโอรุเองก็แสบใช่ย่อย
เดินเฉียดผ่านตรงไหนก็พังข้าวของเจ้าฮิโระไปด้วย โดยเฉพาะถ้วยใบโปรดที่ตอนนี้สู่สุขคติ
อยู่ในตะกร้าขยะเรียบร้อย

คาโอรุปลีกวิเวกโดยการปิดตายห้องน้ำแล้วนอนแช่อยู่ในอ่างเป็นชั่วโมง พร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย
น้ำอุ่นๆ แถมยังไม่มีเสียงไอ้บ้าน่ารำคาญยิ่งทำให้เคลิ้มจนเผลอหลับ

กริ๊ก…

เสียงกลอนที่ลั่นไว้ถูกสะเดาะออก แต่เจ้าตัวที่หลับปุ๋ยอยู่ในอ่างยังไม่รู้ตัว ประตูถูกปิดอีกครั้ง
ฝีเท้าแผ่วเบาก็ค่อยๆย่องเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเลื่อนม่านออก

“อุ๊บ!”
 นักฆ่าต้องรีบอุดปากตัวเองที่เกือบทำให้แผนแตก ปากเจ้ากรรม… เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ โธ่เอ๊ย…
 แค่เห็นมันนอนเปลือยแช่น้ำแค่นี้ทำไมต้องเขินด้วยฟะ ว่าแล้วตาสีทองก็เผลอตวัดไปมองร่างบาง
ที่แช่อยู่ในน้ำอีกรอบ

ขาวมาก… ปกติเห็นมันชอบใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆหลวมๆเลยไม่เคยสังเกต มันขาวกว่าเค้าซะอีก
แต่ไม่ได้ขาวซีดเหมือนคนอมโรค แต่ขาวบริสุทธิ์เหมือนน้ำนม แถมหน้าตานั่นตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นยิ่งน่ารัก
 แล้วจู่ๆหน้าของนักฆ่าก็แดงแปร๊ดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทันทีที่เหลือบไปเห็นปุ่มนูนสีแดงปลั่ง
ที่หน้าอกทั้งสองข้าง

น่ารักจังเลย… อย่างกะลูกเชอร์รี่แน่ะ ท่าทางจะน่าอร่อย

ไม่! ไม่! ไม่!
ฮิโระนึกอยากจะตบหน้าเรียกสติตัวเองสักสองสามฉาดนัก ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะตื่น
 ไม่ไหวแล้ว… ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้เค้าต้องตบะแตกแน่ รีบๆจัดการมันเลยดีกว่า
ได้เวลาคิดบัญชีทบต้นทบดอกแล้วคาโอรุเอ๋ย

มือใหญ่เอื้อมไปกุมรอบลำคอขาวระหง สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของผิวเนื้อจนมือกร้านยังสั่น

“อืม… จั๊กจี้จัง”
มันส่งเสียงครางหวานๆออกมา แถมยังบิดตัวได้อย่างยั่วยวนที่สุด ตัดเส้นความอดทนบางๆของนักฆ่า
จนขาดยับเยิน มือกร้านที่ตั้งใจจะสังหารจึงเปลี่ยนเลื่อนลงไปลูบไล้ทั่วหน้าอกขาวผ่อง

“อา…”
ร่างบางส่งเสียงครางรับราวกับชอบใจ ทำลายสตินักฆ่าจนหน้ามืดตามัว ฮิโระถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้วก้าวขา
ลงไปในอ่างน้ำช้าๆ จนน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ล้นออกมาท่วมพื้นห้อง แต่เค้าก็ไม่สนใจแล้ว
ตวัดขาคร่อมลงไปบนตัวร่างผอมๆ สองมือลูบแก้มเนียนใส ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้ว
ประทับจุมพิตหนักหน่วงรัญจวน

“อื้ม!!!”
คาโอรุรู้สึกตัว และก็ต้องตกใจสุดขีดกับสภาพที่ตัวเองต้องพบ เมื่อเพื่อนแค้นมันเล่นบุกจู่โจมถึงห้องน้ำ
ก็ถ้ามันเข้ามาเพื่อลอบสังหารเค้าจะไม่คิดติดใจอะไรเลย แต่นี่มันกลับ…

“ปล่อยฉันนะ!” คาโอรุผลักตัวฮิโระออกแล้วตวาดลั่น “นายทำบ้าอะไรของนาย!!”

สายไป…
ตอนนี้ฮิโระสติหลุดลอยจนกู่ไม่กลับ ดวงตาสีทองเหม่อลอยแถมยังหวานเชื่อมผิดกับมันเป็นคนละคน
และไม่ว่าคาโอรุจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหูมันสักนิด

“ฮิโระ?” คาโอรุลองเรียกมันอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ตอบ “ฉันไม่เล่นแล้วนะ ฉันยอมขอโทษนายอีกรอบก็ได้
แต่ช่วยออกไปก่อนได้มั้ย”

คาโอรุผลักมันออกให้พ้นทางเพื่อจะขึ้นจากอ่างน้ำ แต่ยังไม่ทันพ้นก็ถูกมันรวบเอวแล้วจับกดลงไปใหม่
หนอย… ใช้ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบให้ใช้ไม้แข็งใช่มั้ย
คาโอรุจำเป็นต้องงัด ‘วิชาเก่า’ มาใช้ ตะลุมบอนสู้กันอยู่ในน้ำพักใหญ่ คาโอรุมั่นใจว่าตัวเองไม่แพ้
เพราะเท่าที่เคยเห็นฝีมือมันมาแล้วก็อยู่ในระดับสูสี แต่วันนี้มันแปลก… เป็นเพราะมันไม่รู้ตัวหรือเปล่า
เลยไม่รู้เอาแรงฮึดมาจากไหน ไม่ว่าคาโอรุจะงัดไม้ไหนออกมาใช้ก็โค่นมันไม่ลงซะที
แถมตอนนี้ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดนมันกดจนแน่นิ่ง มือทั้งสองข้างก็ยังถูกมันใช้สายรัดเสื้อคลุม
มัดไว้กับก๊อกน้ำจนแน่น

“ฮิโระ! นายตื่นซะทีสิ! ฉันบอกให้ปล่อยฉันไง! โธ่เว้ย!!!!”
คาโอรุเริ่มใจเสีย ตอนนี้นอกจากจะสู้มันไม่ได้ มันไม่ฟังเค้า ซ้ำร้ายมันยังโน้มตัวเข้ามาประชิด
เนื้อแนบสนิทจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของกันและกัน มันเชยคางร่างบางเข้ามาจูบอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
สอดลิ้นพัวพันบรรเลงเพลงรักอย่างหื่นกระหาย มือควานไปตรงไหน
คว้าตรงไหนได้ก็ขยำขยี้อย่างไม่ปราณี

“อื้ม… ฮิโระ…”
ตอนนี้เสียงต่อต้านเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงครวญคราง เมื่อขัดขืนไม่ได้ก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ
ปากหยอกเย้าอยู่บริเวณติ่งหูไม่นานนัก ก็เลื่อนลงมาไซ้ซอกคอ กลิ่นหอมกรุ่นจากฟองสบู่
ยิ่งทำให้ร่างสูงได้ใจ จูบหนักๆทิ้งรอยแดงช้ำทั่วลำคอ

มือลูบวนหาความหวานฉ่ำจากจนไปสะดุดเข้ากับปุ่มนูนน่ารักที่เค้าเล็งไว้ตั้งแต่แรก ดวงตาสีทอง
กระพริบปริบๆ ก่อนจะเผยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาเล่น ใช้ปากงับแต้มสีแดงสดเบาๆ
ก่อนจะชิมต่อด้วยลิ้น สัมผัสรสชาติที่หอมหวานอร่อยยิ่งกว่าลูกเชอร์รี่ซะอีก
กระทั่งอดใจไม่ไหนจนต้องหันไปชิมอีกข้าง แต่ข้างที่กินไปแล้วก็ยังใช้มือบีบเล่นเบาๆ

“อ๊ะ! ยะ… อย่านะ…”
คาโอรุบิดเร่าไปมาด้วยความทรมาน ถูกมันทึ้งหน้าอกจนปวดระบมไปหมดยังไม่พอ นี่มันยังไล่ดูดไปเรื่อย
 ต่ำลงไปจนถึงท้องน้อยขาวๆ มือหนึ่งไล้ลงไปตามสะโพก ส่วนอีกข้างก็โอบรอบเอวแล้วตวัดขึ้นมาจากน้ำ และในตอนนั้นเองมันก็ได้เห็นเป้าหมายใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ดวงตาสีทองเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ ส่วนน่ารักที่โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ บ่งบอกว่าเจ้าของกำลังมีอารมณ์เหมือนกัน มือคือสิ่งแรกที่ส่งลงไปทดสอบ กรีดเขี่ยเล่นแล้วถูไถขึ้นมาตามความยาวจนร่างบางถึงกับ
กระตุกรัวสั่นสะท้านเพราะความเสียวซ่าน

“ตรงนั้นอย่านะ… ถ้านายทำล่ะก็ ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิตเลย”

เสียงห้ามของคาโอรุไม่มีความหมาย เพราะคนมันไม่รู้ตัวไปแล้วถึงได้ทำต่อไปตามอำเภอใจ
พอมือทดสอบความอ่อนไหวของสิ่งนั้นแล้วว่าพอจะรับอะไรได้บ้าง ปากก็คืออาวุธชิ้นต่อไป
ที่จะใช้ทดสอบรสชาติ มือรวบส่วนกลางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ใช้ลิ้นลิ้มเลียชิมรสชาติหอมหวาน
ร่างบางทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่แอ่นกายรับ พร้อมกับส่งเสียงครางหวานๆให้คนทำยิ่งได้ใจ

แล้วปากก็ครอบครองลงไปใช้ลิ้นดุนปลายจุดอ่อนไหวอย่างรุนแรง บดขยี้จนสิ่งที่อยู่ในริมฝีปากได้รูป
ขับสีแดงเรื่อ ร่างบางยังคงครางเสียงหวานๆไม่ขาดสาย แม้จะทรมานแต่ก็เป็นสุข
จนส่วนกลางขยับตัวแข็งขืนไปตามอารมณ์ที่โลดแล่น ปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นจนทะลักทะลาย
ละลายหายเข้าไปในปากของร่างสูง กับบางส่วนที่กลืนไปกับฟองสบู่ในอ่าง

“หวานจัง”
นั่นเป็นคำแรกที่ร่างสูงพูดออกมาหลังจากที่เลียริมฝีปาก แต่ก็ฟังดูเหมือนมันจะเพ้อมากกว่า
เพราะมันยังก้มหน้าลงมาทำต่อที่เป้าหมายสุดท้าย

ขาเพรียวถูกยกวางพาดบนขอบอ่างคนละข้าง แล้วช่องทางสีชมพูสุดท้ายก็ปรากฏชัด

“โอ๊ย!” ร่างบางประท้วงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลปริ่ม ตอนที่มันเล่นสอดนิ้วเข้ามารุกราน
ช่องทางที่คับอยู่แล้วก็ยิ่งบีบรัดแน่น ยิ่งตอนที่มันเอานิ้วที่สองตามเข้ามาติดๆ
คาโอรุเจ็บจนอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปซะเลย

“คับจัง” มันเพ้อเหมือนไม่พอใจ ต้องการให้กว้างกว่านี้

“อ๊ะ! อา…” ร่างบางๆครางกระเส่า บิดเร่าไปมาหลาบตลบ ตอนที่มันใช้นิ้วล้วงควักไปทั่วเพื่อค้นหาจุดตาย แล้วก็ค้นพบเมื่อร่างบางแอ่นตัวเหยียดขึ้นมาเหนือน้ำจนสุดแรง แล้วฟุบลงไปใหม่เมื่อเค้าถอนนิ้วออกมา
ทั้งหมด

เป้าหมายกว้างพอแล้ว ส่วนที่รออยู่ก็พร้อมปลดปล่อยแล้วเช่นกัน ฮิโระยกสะโพกเพื่อนแค้นขึ้นมาเหนือน้ำ แยกเข่าให้กว้างออกกว่าเดิม แล้วขยับตัวเข้าไปแนบชิด จากนั้นก็กระแทกสิ่งสำคัญเข้าไปอย่างรุนแรง
จนช่องทางคับช้ำยับเยิน

“โอ๊ย!!!”
คาโอรุบิดข้อมือที่ถูกผูกไว้จนเป็นรอย ริมฝีปากก็กัดแน่นจนเลือดซึม พยายามผ่อนจังหวะการหายใจ
ให้ความเจ็บปวดทุเลาเบาบาง แต่ร่างสูงก็ไม่ปรานีเค้า คอยเร่งจังหวะกระแทกรัวเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ผ่านเข้าแล้วก็ออกให้ช่องทางเริ่มชินและกว้างขึ้น ตอนนี้ความเจ็บปวดค่อยๆหายไปแล้ว
เหลือแต่ความสุขล้นที่เข้ามาแทนที่

“อืม… ดีจัง”
ร่างบางเคลิ้มไปโดยไม่รู้ตัว แถมยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการขยับสะโพกรับจังหวะ
 แรงเสียดสีที่เข้ามากระตุ้นทำให้รู้สึกอยากปลดปล่อยอีกครั้ง

“อึก…” ร่างสูงกระแทกย้ำเข้าไปครั้งสุดท้าย ความหยาบกระด้างถูกดูดกลืนเข้าไปในช่องทางคับจนหมด
 ปลดปล่อยเป็นไออุ่นๆในตัวของร่างบางจนท่วมท้น และร่างบางเองก็ปลดปล่อยออกมาอีกรอบ
เป็นคราบผสมผสานไปกับฟองสบู่

หลังจากนั้นความอ่อนล้าก็ทำให้สติเลือนราง และวูบไปในที่สุด
ฮิโระถอนตัวออกมาช้าๆ พอได้ปลดปล่อยความแค้นออกมาจนหมดตัว สติก็กลับคืนมาอีกครั้ง
 สองแขนยังคงกอดร่างบางไว้แนบอก แต่พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป้าหมายที่ตั้งใจจะเข้ามาสังหาร
 หมดสติไปซะแล้ว

“เฮ้ย! คาโอรุ!!!” ฮิโระพยายามเขย่าตัวปลุกมันก็ไม่ฟื้น ยิ่งพอเห็นสภาพความยับเยินของร่างกาย
กับบรรดาคราบเลอะที่เปื้อนอยู่ตรงหว่างขา ยิ่งไม่ต้องอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะหลักฐานมันฟ้องชัดเจนอยู่แล้ว ฮิโระถึงกับหน้าถอดสี

ตายแน่ฮิโระ!!!
แกทำอะไรลงไปเนี่ย!!!!!

นักฆ่ารีบแก้มัดให้คู่แค้น ก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวอุ่นๆมาห่อ แล้วอุ้มออกไปวางบนเตียง หน้ามันซีดมาก
ตัวก็เย็นเฉียบ ฮิโระจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโกยผ้าห่มจากเตียงของตัวเองมาคลุมให้
นั่งกุมมือให้ความอบอุ่น แต่มันก็ไม่ยอมฟื้น ซ้ำร้ายยังหลุดอาการเพ้อออกมาเป็นช่วงๆ

ในขณะที่ความกังวลของฮิโระกำลังปะทุถึงขีดสุด ประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออก
รูมเมทคนที่สามซึ่งหายหัวไปตลอดทั้งวัน มันกลับมาแล้ว…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 07-02-2008 18:01:28
 :o8: ขอบคุณทุกคนมากนะงับที่เข้ามาอ่าน แล้วก็ติชมนิยายเรื่องนี้

   ตอนนี้กำลังเขียนๆนิยายของตัวเองอยู่มั่ง แล้วจะเอามาลงงับ หวังว่าจะมีคนอ่านะงับ แหะๆ

   อ้อ ผมเคยลงนิยายไว้เรื่องนึงในบอร์ดอีกบอร์ด ชื่อ นายจองหองกับคุณหนูหมูหยองตัวแสบ

   แล้วทางบอร์ดนั้นมีปัญหา นิยายผมเลยหายปาย แล้วผมมะได้เก็บต้นฉบับไว้

   ถ้าใครมีเก็บไว้รบกวนติดต่อที่ u.n.nอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com ด้วยนะงับ เสียดายมากเลยจิงๆ ^^

ป.ล.รักคนอ่านทุกคนนะคับ Happy Chinese New Year  ด้วยงับ  ร่ำรวยๆ สุขขีๆ :bye2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-02-2008 19:20:10
ผมมีแค่ถึง จบ chapter3 นะครับเรื่องนั้น ส่งเมลไปให้แล้วครับ
 :mc3: :mc3: :mc3:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 07-02-2008 19:34:19
 :o8: รักคุณบลูที่สุดเลยงับ เด๋วจะโพสต์เลย อิอิ

   ขอบคุณมากเลยค๊าบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-02-2008 20:39:09
รีบโพสนะ รออ่านต่อกำลังมันส์เลย  :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-02-2008 23:54:50
แหะๆ จะรอนะครับ รีบๆแต่งให้จบนะครับ อิอิ

ปวดหัวกับฮิโระ และคาโอรุจริงๆ

จะว่าไปคาโอรุนี่ก็นิสัยไม่ดีจริงๆ ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าฮิโระแทบจะไม่ได้แพ้พนันอะไรเลย

จริงๆแล้วเมื่อได้ของจากรุ่นพี่มา จะคืนรุ่นพี่ก็เป็นสิทธิ์ เพราะของนั้นได้มาเป็นของตัวเองแล้ว

แต่คาโอรุกลับเอาข้อนี้มากดขี่จนเกินความพอดีไปจริงๆ

แต่ไปแก้เผ็ดแบบนี้ ก็เกินไปนิด แต่อย่างว่าหล่ะนะ จัวหวะหน้ามืด อะไรก็ห้ามไ่ม่อยู่
เอิ้กๆ
 :m25: :m25: :m25:
แล้วจะเป็นไงต่อน้อ จะหมางเมินให้คาโอรุเจ็บเล่นหรือปล่าวนิ
 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 08-02-2008 00:49:43
แค้นกัน ไหงเป็นแบบนี้ซะได้ อิอิ (แอบถูกใจ)
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 12/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 12-02-2008 17:44:46
 :m22:Chapter 14 Unforgivable

คาโอรุ…

คาโอรุจ๊ะ…

เสียงหวานๆที่สะท้อนก้องอยู่ในความฝัน ทำให้ใบหน้าหวานๆที่หลับอยู่ยิ่งทรมาน

…เมื่อวานลูกไปซนที่ไหนมา เห็นมั้ย ติดหวัดมาจนได้ ตัวร้อนจี๋เลย…

“ท่าน… แม่…” คาโอรุหลุดคำเพ้ออีกรอบ

…โถ… ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ หลับซะนะคนดี แม่จะอยู่ตรงนี้คอยจับมือลูกเอาไว้ คาโอรุจะได้หายป่วยไวๆไงจ๊ะ

“ท่านแม่” ใบหน้าที่ทรมานเริ่มสงบลง มือร้อนและชื้นก็บีบมือใหญ่แน่นขึ้น

…คาโอรุลูกรัก ลูกต้องเข้มแข็งนะจ๊ะ แม่อยู่กับลูกไม่ได้แล้ว แม่ต้องไปอยู่ในที่ๆไกลมาก แต่คาโอรุต้องอยู่ต่อไป ต้องเติบโตเป็นผู้นำที่ดีของทุกคนให้ได้ ลูกรับปากแม่นะ คาโอรุ…

“ไม่… ท่านแม่อย่าไป ฮือๆๆๆๆ” หน้าหวานๆเริ่มร้องไห้อีกรอบ จนคนที่กุมมืออยู่ยิ่งเครียด เงยหน้าขึ้นไปสบตาถามเพื่อนอีกคนที่ตีคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ
“เฮ้… ไทกิ แกว่ามันเป็นอะไร”
ไทกิส่ายหน้า “ไม่รู้สิ… คงฝันเห็นแม่มั้ง”

คาโอรุ…
คาโอรุจ๊ะ…
ลาก่อน…

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

มันเล่นตะโกนจนเพื่อนสองคนที่นั่งเฝ้าไข้มันอยู่หูแทบแตก ก่อนที่ร่างบางจะเด้งขึ้นมาจากเตียงที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของมันเอง
“ท่านแม่” มันยังคงเพ้อไม่เลิก น้ำตาไหลพรากไม่หยุด มือเล็กๆก็เผลอบีบมือคนใจดีที่ให้ยืมมากุมซะแน่น
“คาโอรุ… นายเป็นอะไรไป”
เสียงทุ้มๆที่เปลี่ยนหน้าคนเศร้าให้เดือดขึ้นมาในพริบตา แถมพอมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วรู้ว่าใครที่ให้ยืมมือมากุมไว้ มันก็ผลักผู้มีพระคุณจนกลิ้งตกจากเก้าอี้
“ออกไป!” คาโอรุตะโกนลั่นห้องพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตู “ออกไปนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!”
“แต่… ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย”
“ไม่! ฉันไม่คุย นายออกไปซะ!” คาโอรุยืนกรานคำเดิม แต่ฮิโระยังตื๊อไม่เลิก เข้ามาคว้ามือเล็กๆไว้หมับ คาโอรุก็พยายามสลัดออก แต่เพราะไข้ขึ้นสูง แถมแรงที่เหลือก็มีไม่พอ สลัดยังไงก็สลัดไม่หลุด
“ฉันมีเรื่องต้องอธิบายให้นายเข้าใจ”
“ฉันไม่อยากฟัง นายยังแก้แค้นฉันไม่พออีกหรือไง ถ้านายอยากให้ฉันเสียใจ ฉันบอกได้เลยว่าตอนนี้ฉันเสียใจที่สุด นายไปซะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายอีกแล้ว”
คำพูดที่ตัดเยื่อใยทุกอย่าง แม้แต่คำขอโทษก็ไม่อยากฟัง ฮิโระพยายามจะตื๊อ แต่ก็ถูกเพื่อนอีกคนห้ามไว้
“นายออกไปก่อนเถอะ คาโอรุยังป่วยอยู่ อย่าให้เค้าต้องโมโหเลยนะ เดี๋ยวฉันจะค่อยๆคุยให้เอง”
ฮิโระพยักหน้ารับ ถึงไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป เค้ายอมเดินออกไปอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังห่วงคาโอรุมาก
คาโอรุเอนหลังแล้วข่มตาคลายความโกรธอีกครั้ง ก่อนจะหันมาคุยกับเพื่อนซี้
“ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
“ก็หนึ่งวันเต็มๆ” ไทกิตอบ
“แล้ว…” คาโอรุลังเลที่จะถามต่อ สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดชัดเจน “หมอนั่น… มันพูดอะไรกับนายบ้าง”
“ฮิโระมันบอกว่านายกับมันทะเลาะกันยกใหญ่ แล้วนายก็หนีเข้าไปแช่น้ำ แต่นายเผลอหลับเลยแช่นานจนเป็นลม หลังจากนั้นก็จับไข้ หมดสติไปหนึ่งวันเต็มๆ ยังมีอะไรที่ฉันบอกไม่ครบมั้ย”
ไทกิย้อนถาม เพราะเจ้าฮิโระมันเล่าแค่นี้ แต่ดูจากสภาพยับเยินของคู่อริแล้ว น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เล่า แต่มันจงใจปิดไม่ยอมบอกเค้ามากกว่า
“ไม่” คาโอรุก็เล่นมุกตัดบทดื้อๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้าน “ฉันเหนื่อย นายออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
บ้ะ! ไล่อีกแล้ว นี่มันไม่คิดจะเอาเพื่อนเอาฝูงมั่งเลยหรือไงฟะ
“นายอาการไม่ค่อยดีเลย ให้ฉันตามหมอมั้ย”
“ไม่”
“งั้น… กินยาลดไข้ก่อนนอนหน่อยดีมั้ย จะได้หายเร็วๆไง”
“ไม่”
“งั้น…”
“ไทกิ” ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนคนป่วยตัดบทอีกจนได้ “ฉันอยากพักจริงๆ นายออกไปก่อนเถอะนะ ถ้าอยากได้อะไร ฉันจะเรียกเอง”
“โอเค”
ไทกิก็ไม่อยากเซ้าซี้ เลยยอมออกไปง่ายๆ เห็นรูมเมทอีกคนกำลังด้อมๆมองๆอยู่หน้าประตู พอเห็นไทกิถูกไล่ออกมาอีกคน มันก็รีบถลาเข้าไปถามอาการคนที่อยู่ในห้องทันที
“คาโอรุเป็นไงบ้าง”
“หลับไปอีกรอบแล้ว”
“แล้ว… มันบอกอะไรนายหรือเปล่า”
คราวนี้ไทกิจ้องหน้าฮิโระเขม็ง มีพิรุธ… สองคนนี้ถามเหมือนกันไม่มีผิด แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่มากกว่าทะเลาะกันจนเจ้าคาโอรุเป็นลมแน่ๆ
“ระหว่างนายสองคนมีเรื่องอะไรกันแน่ บอกฉันไม่ได้หรือไง ฉันจะได้รู้ว่าควรจะช่วยพวกนายตรงไหน”
ฮิโระอ้ำอึ้ง แล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ถ้าคาโอรุไม่เล่า ฉันก็เล่าไม่ได้ นายอย่ารู้ดีกว่า (ขืนบอกก็ตายน่ะสิ)” ว่าแล้วมันก็เดินหนีลงไปข้างล่าง แล้วหายแวบไปทางทะเลสาบ
ไทกิส่ายหน้า อันที่จริงปัญหาระหว่างมันสองคนเค้าไม่ควรยุ่ง แต่เพราะเป็นเพื่อน… ถึงดูดายไม่ได้ หนุ่มน้อยเบือนหน้าไปทางตึกสีครามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม งานนี้คงต้องหาที่ปรึกษาสักคนมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตซะแล้ว

ฮิโระกลับมาที่ห้องตอนค่ำ หลังจากออกไปวิ่งระบายอารมณ์รอบทะเลสาบเป็นสิบๆเที่ยว กลับมาเห็นห้องมืดสนิท ไทกิไปไหน… มันต้องอยู่ดูแลคนป่วยไม่ใช่หรือไงฟะ ฮิโระเดินไปเปิดไฟ แล้วแอบชำเลืองมองทางเตียงที่อยู่ฝั่งขวาสุด เห็นคู่อริยังหลับสนิท
“เป็นไงบ้างน้า”
นักฆ่าย่องเข้าไปดูใกล้ๆ ร่างบางๆขาวๆในชุดนอนสีเทานอนขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังฝันร้าย เหงื่อออกท่วมตัว ท่าทางอาการจะแย่
“คาโอรุ” ฮิโระลองเขย่าตัวปลุกเบาๆ แต่มันก็ไม่ตื่น จะเพิ่มดีกรีเสียงก็กลัวมันจะอาละวาดอีก อันที่จริงไม่ตื่นก็ดีแล้ว พยาบาลทั้งหลับอย่างนี้สะดวกกว่า
ฮิโระหาน้ำอุ่นมาเช็ดตัว พอเปิดเสื้อมันออกเห็นรอยฟกช้ำทั่วตัวก็ยิ่งสลด เมื่อวานนี้เค้าคงมือหนักไปหน่อย ตอนแรกแค่กะจะไปขู่มันเฉยๆ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้
มือถือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นไปเช็ดตัวให้ ส่วนหน้าก็ค่อยๆแดงขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
‘ทำไมต้องหน้าแดงด้วยฟะ เราเกลียดมันไม่ใช่เหรอ น่าจะดีใจสิที่มันสะบักสะบอมขนาดนี้’
ฮิโระคิดในใจ…
‘ไม่… เราไม่ดีใจเลย เรากำลังเสียใจต่างหาก และก็ไม่ได้เกลียดมันด้วย’
ฮิโระถอนใจปลงชีวิตไปอีกเฮือก
‘เราไม่ได้เกลียดคาโอรุหรอก อันที่จริง… เรา…’

“น้ำ”

เสียงเพ้อของคนป่วยหยุดความคิดของคนที่กำลังรู้ซึ้งถึงหัวใจตัวเอง
“นายจะเอาน้ำเหรอ เดี๋ยวฉันหยิบให้” ฮิโระบอก มันเรียกหาน้ำ แต่ไม่เห็นจะลืมตาขึ้นมาเลยแฮะ หรือว่าจะละเมอ ทาสที่พ้นสภาพความเป็นทาสไปแล้วประเคนน้ำให้ถึงปาก มันจิบลงไปแค่อึกเดียวแล้วก็สำลักออกมาทั้งหมด
“คาโอรุ!” ฮิโระตกใจ รีบวางแก้วน้ำลง แล้วเอาผ้ามาซับให้
“น้ำ… ฉันอยากกินน้ำ”
มันยังละเมอไม่เลิก ท่าทางจะทรมานมากด้วย แบบนี้ก็เหลือแค่วิธีเดียวเท่านั้น
ฮิโระประคองร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเองอึกใหญ่ ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้ จากนั้นก็จูบลงไปแผ่วเบา ให้น้ำอุ่นค่อยๆไหลรินผ่านริมฝีปาก ร่างบางก็จูบตอบอย่างเผลอไผล ดูดน้ำที่ส่งมาให้เพื่อบรรเทาความกระหาย
น้ำในปากหมดไปแล้ว… แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แยกจากกัน ลิ้นที่ซุกซนค่อยๆดันริมฝีปากบางเผยอออก แล้วรุกล้ำดูดดื่มหาความหอมหวานที่โหยหา เป็นค่าตอบแทนสำหรับน้ำที่เค้าอุตส่าห์ป้อนให้ดื่มถึงปาก
“อื้ม”
ดวงตาสีเขียวค่อยๆปรือออก ความอบอุ่นจากลมหายใจที่ปะทะขอบแก้ม กับที่ประทับอยู่บนริมฝีปากทำให้รู้สึกสบายขึ้นก็จริง แต่นี่มันผิดปกติ… พอความง่วงเริ่มจางหาย สติเริ่มกลับคืนมา ภาพที่เลือนลางก็ค่อยๆปรากฏชัด และทันทีที่ตื่นมาพบว่าใครกำลังให้ไออุ่นแก่เค้าอยู่ ดวงตาสีเขียวก็ส่องแสงวาบ ตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่เผชิญกับปีศาจร้ายในฝันซะอีก
“นาย!!!!”
คาโอรุผลักฮิโระออกไป แต่แรงไม่พอจึงทำได้แค่ให้มันเลิกจูบเท่านั้น แต่แขนมันก็ยังบังอาจกอดตัวเค้าไว้แน่น แถมยังประชิดตัวอุ่นๆเข้ามาใกล้จนรู้สึกอึดอัด
“ออกไป!!!! ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!!!”
“คาโอรุ ฟังฉันก่อนสิ”
ฮิโระพยายามจะบอก แต่มันก็เอาแต่อาละวาด นี่โชคยังดีที่มันป่วยหนัก เลยไม่มีแรงให้ดิ้นเท่าไหร่
“ฉันขอโทษนะคาโอรุ ฉันขอโทษ… ฉันไม่คิดจริงๆว่ามันจะเป็นแบบนี้ นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ให้ฉันเป็นทาสของนายไปตลอดชีวิตก็ได้ ถ้ามันจะช่วยลบล้างความผิดของฉันได้ ฉันยอมทำทั้งนั้น”
ฮิโระพยายามเว้าวอน ดวงตาสีเขียวก็จ้องมองเค้าอย่างสงบ ตอนนี้มันไม่ดิ้นแล้ว ฮิโระเห็นสายตาของมันแล้วก็ยิ่งเครียด ถึงปกติคาโอรุจะเป็นคนขรึม สายตาถึงจะสงบ แต่ก็เต็มไปด้วยความเย็นชาสุดขั้วหัวใจ
“นาย… ยอมทำทุกอย่าง แน่เหรอ?” เสียงเย็นชาถามกลับ
ฮิโระรีบพยักหน้า “ใช่… ฉันยอม ฉันยอมทำทุกอย่างเลย นายยกโทษให้ฉันแล้วใช่มั้ย”
คาโอรุหลับตาลงอีกครั้ง หยาดน้ำตาใสๆค่อยๆเอ่อท้นออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง อาบไล้ดวงหน้าที่ซีดเซียว
“ตั้งแต่นี้ไป… นายกับฉัน… จะเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากวันนี้ไม่ว่าฉันจะทำอะไร นายก็ไม่ต้องเข้ามายุ่ง ฉันจะลืมให้หมด ทั้งชื่อของนาย เรื่องของนาย และทุกอย่างที่นายทำกับฉัน!”
“ไม่นะ!!!”
ฮิโระรีบผวาคว้ามือเล็กๆของมันมากุมไว้ อะไรกัน… มันขอแบบนี้ได้ยังไง เค้าไม่มีทางยอมแน่
“ฉันขอเถอะ… ให้ฉันทำอย่างอื่นได้มั้ย”
คาโอรุสะบัดหน้ามามองคนสับปลับอีกรอบ กี่ครั้งที่รับปาก มันก็ไม่เคยทำได้อย่างใจสักที
งี่เง่า!
“ที่ฉันเคยปรามาสนายไว้ว่าสับปลับไม่รักษาคำพูด เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าตัวเองพูดแรงเกินไป แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดไม่ผิด นายมันก็ดีแต่พูด แต่ไม่เคยทำตามที่พูดสักครั้ง พอแล้ว… ฮิโระ ฉันเหนื่อยใจกับนายมามากพอแล้ว ขอร้องให้มันจบซะทีเถอะ ฉันอยากมีชีวิตที่สงบสุข ไม่ใช่ต้องมาคอยเดือดร้อนเพราะนายซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“คาโอรุ”
นักฆ่าผู้ทระนงยอมก้มหัวคุกเข่าให้ เกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดยอมวางไว้ ก็เพื่อคนๆเดียวเท่านั้น เล่นเอาคนป่วยเจียนตายอยู่แล้วถึงกับผวาลุกขึ้นมานั่ง นี่มันคิดจะทำอะไรของมันอีก
“ฉันขอโทษ”
ฮิโระยอมคุกเข่าขอโทษทั้งที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่คุกเข่าให้มันอีก แต่ตอนนี้เค้ายอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด โดยหวังเพียงอย่างเดียวว่ามันจะยอมใจอ่อนบ้าง แค่สักนิด… แค่ไม่คิดตัดเยื่อใย ถึงจะต้องกลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิมเค้าก็ยอม
คาโอรุถอนใจ ถึงจะซึ้งใจ แต่ทิฐิมีมากกว่า เค้าเองก็มีเกียรติที่ต้องรักษาเช่นกัน สิ่งที่ลั่นวาจาไปแล้วจะคืนคำไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าสิ่งนั้น… จะฝืนต่อความรู้สึกมากมายก็ตาม
“เสียใจด้วย… แต่ฉันมีทางเลือกให้นายแค่ทางเดียวเท่านั้น ฉันไม่มีวันยกโทษให้นาย ต่อให้เอาชีวิตมาแลกฉันก็ไม่ให้อภัย นายไปซะเถอะ ความเป็นเพื่อนระหว่างเรามันจบแล้ว”
คาโอรุตัดบททั้งน้ำตา ก่อนจะพลิกตัวตะแคงนอนหันหน้าไปอีกด้าน ฮิโระพูดไม่ออก คำพูดของมันทิ่มแทงทำให้เค้าชาไปทั้งร่าง แต่เค้าจะไม่ยอมแพ้แค่นี้ ต้องมีสักวันที่เค้าจะพิสูจน์ความจริงใจให้มันเห็น
และเมื่อถึงตอนนั้นเค้าก็จะบอกกับมัน… ว่า ‘รัก’ มากแค่ไหน
ฮิโระช่วยดึงผ้าห่มที่ถูกเตะไปอยู่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมร่างบาง
“วันนี้นายเหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะนะ ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ฮิโระหรี่ไฟลงเพื่อให้คนป่วยหลับสบายขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนั่งที่ระเบียงด้านนอก
คาโอรุข่มตาลงช้าๆ พยายามลืมความคิดที่สับสน แล้วค่อยๆหลับไปในที่สุด…

 “… แล้วพวกมันก็ทะเลาะกันยกใหญ่ คาโอรุหนีไปแช่น้ำแล้วก็เป็นไข้ ฮิโระไปขอโทษก็ไม่รับ ตกลงฉันก็เลยไม่รู้ว่าพวกมันโกรธอะไรกันแน่”
ไทกิจบประโยคได้น่าปวดหัวที่สุด จนซุยต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าที่เค้าฟังมันเล่ามาทั้งหมด ก็ฟังไม่รู้เรื่องเลยเหมือนกัน
“ฉันว่าสองคนนั้นคงมีปัญหาบางอย่างที่รุนแรงมากจนตกลงกันไม่ได้” ซุยพยายามสันนิษฐานให้ใกล้เคียงที่สุด ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวนักก็ตาม “แต่ถ้ากำลังอยู่ในอารมณ์ร้อนทั้งคู่ คงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก สิ่งที่นายควรทำตอนนี้คือดูแลให้คาวาชิมะอาการดีขึ้นซะก่อน ระหว่างนั้นก็ค่อยๆกล่อมโซมะให้เล่าความจริง จากนั้นค่อยมานั่งเปิดอกปรับความเข้าใจกัน”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนคาโอรุจะโกรธมากจนไม่ยอมฟังใครเลยน่ะสิ”
“คนที่โกรธก็ต้องมีเหตุผลของเค้านะไทกิ ยิ่งคาวาชิมะด้วยแล้ว นายคิดว่าอยู่ดีๆเค้าจะไปโกรธโซมะโดยไม่มีสาเหตุหรือไง ถ้าคำขอโทษมันยังไม่พอ ก็คงมีทางเดียวคือให้โซมะทำความดีไถ่โทษ”
ไทกิขมวดคิ้ว “ยังไงล่ะ?”
“ทำยังไงก็ได้ให้เค้าเห็นความจริงใจ ให้เค้ารู้สึกว่าคนทำผิดสำนึกตัวได้แล้ว”
ไทกิทำหน้าบ้องแบ๊ว แล้วส่ายหัวอีกรอบ “ไม่เข้าใจเลยพี่”
“เฮ้อ… นายเนี่ยน้า” ซุยถอนใจให้กับความซื่อบื้อของมัน “ยกตัวอย่างนะ… สมมุติถ้าฉันทำให้นายโกรธมากๆ โกรธจนถึงขั้นอยากจะฆ่าฉัน นายคิดว่าฉันควรทำยังไงถึงจะให้นายยกโทษได้ล่ะ”
“ยากจัง” ไทกิยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ “ยกตัวอย่างในสิ่งที่มันพอจะเป็นไปได้ ไม่ได้เหรอ”
“ทำไม… นายคิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันโกรธฉันเลยหรือไง”
พอเจอมุกนี้ของคุณชายสายน้ำเข้าไทกิก็เริ่มจะจุก ก่อนจะทำหน้าเจื่อนๆ
“ก็ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยคิดจะโกรธซุยนี่ นายดีกับฉัน ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องโกรธนาย”
“หมายความว่านายจะไม่มีวันโกรธคนที่ดีกับนายงั้นสิ”
“อืม…” ไทกิยกมือขึ้นมาลูบคาง ก่อนที่ภาพคนๆหนึ่งจะสะท้อนขึ้นมาในความทรงจำ “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก”
ไทกิหลับตาลงช้าๆ วันนั้น… เค้ายังจำได้ไม่มีวันลืม ในวันที่เพื่อนที่ดีที่สุดทำร้ายเค้าจนต้องเสียใจและอยู่ในองค์กรต่อไปไม่ได้อีก
“ฉันเคยโกรธคนๆหนึ่งนะ เค้าเป็นคนที่ดีกับฉันมาก เราอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่วันหนึ่งเค้าก็ทรยศฉัน” ไทกิบอกเสียงเศร้า “ฉันเคยคิดว่าจะไม่ให้อภัย แต่รู้มั้ย… ตอนที่ฉันหนีออกมา หมอนั่นขวางฉันไว้ เราเลยต่อสู้กัน ฉันทำร้ายหมอนั่นปางตายแล้วก็หนีออกมา ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้หมอนั่นเป็นไงบ้าง ฉันโกรธ แต่ก็ไม่อยากให้เค้าตาย นั่นล่ะมั้งที่เป็นเหตุผลที่ฉันจะให้อภัย”
“เค้าเรียกว่าความผูกพัน” ซุยช่วยขยายความให้ “ที่นายโกรธก็เพราะผูกพัน มันเลยมีความคาดหวังเข้ามาเป็นตัวแปร พอเค้าทำไม่ได้อย่างที่คาดหวังนายก็เลยโกรธ แต่สุดท้ายก็เพราะความผูกพันอีกนั่นแหละ นายถึงตัดความเป็นเพื่อนไม่ขาดไงล่ะ”
“แต่คาโอรุกับฮิโระไม่เหมือนกันนี่ สองคนนั่นตั้งแต่เปิดเทอมก็เกลียดขี้หน้ากันจะตาย”
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ นายคิดว่าคนสองคนยอมอยู่ร่วมชายคาเดียวกันทั้งที่เกลียดกันได้ด้วยเหรอ” ซุยถามย้ำ “ฉันก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางถึงความสัมพันธ์ของพวกนาย แต่เท่าที่ฉันเห็น ฉันคิดว่าสองนั่นก็ไม่ได้เกลียดกันหรอก เค้าสองคนมีนายเป็นตัวเชื่อมถึงเป็นเพื่อนกันได้ ที่ทะเลาะกันก็เพราะเป็นเพื่อน ที่โกรธกันก็เพราะแคร์ความรู้สึกของกันและกัน นายน่าจะลองให้เค้าสองคนเปิดใจคุยกันดูนะ บางทีอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้”
ไทกิมองหน้ารุ่นพี่คนเก่งแล้วก็อมยิ้ม คิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกมันเป็นที่ปรึกษา ส่วนจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
“ที่นายถามฉัน… ว่าถ้าฉันโกรธนาย แล้วทำยังไงฉันถึงจะยกโทษให้ ฉันมีคำตอบให้นายแล้วนะ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงจ้องตาสีราตรีเข้มของซุย มองลึกลงไป พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบแก้มรุ่นพี่คนสำคัญเบาๆ ก่อนที่มัน… จะฉีกยิ้มอวดฟันเขี้ยวขาววับ
“นายต้องเลิกตีหน้ายักษ์ แล้วทำหน้าตลกให้ฉันดู ฮ่าๆๆๆ”
ซุยประเคนมะเหงกให้หนึ่งโป๊กสมนาคุณให้กับความกะล่อนของมัน ไอ้ตอนแรกนึกว่าจะได้สาระ เค้าคิดผิดเองแหละที่หวังจะได้ยินสาระจากปากหมาๆอย่างมัน
“ลามปามเกินไปแล้วไทกิ ถึงนายจะโกรธฉัน ฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว มีแรงโกรธแค่ไหนก็โกรธไปเลย ฉันไม่เคยง้อใคร และอย่าหวังว่าชาตินี้ฉันจะง้อนาย”
“โอ๊ะ… โอ๊ะ… อย่าท้านะ” ไทกิชี้หน้ายิกๆ “คนอย่างฉันเนี่ยน่ารักจนใครๆก็หลงเสน่ห์ทั้งนั้น นายน่ะพูดดีเดี๋ยวก็เข้าตัวหรอก จะหาว่าไม่เตือน”
“เชิญเถอะ… ขอให้ฉันปวดหัวกับนายเฉพาะในภารกิจก็พอแล้ว อย่าให้ฉันต้องปวดหัวกับนายตลอดชีวิตเลย”
ไทกิยักคิ้วแผล็บ ยิ่งมันพูดแบบนี้ก็ยิ่งน่ายั่วนัก รู้จัก Red Rose น้อยไปซะแล้ว… ซุยเอ๋ย
ซุยแหงนหน้ามองฟ้า ดาวขึ้นเต็มเลย ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
“ดึกแล้ว… นายกลับหอไปเถอะ คาวาชิมะไม่ยอมให้โซมะเข้าใกล้นี่ ป่านนี้ไม่รู้อาการจะทรุดถึงไหนแล้ว นายควรไปดูแลเพื่อนนะ”
“เออ… จริงด้วย!” ไทกิลืมสนิท ทิ้งมันไว้ในห้องคนเดียวตั้งแต่บ่าย ป่านนี้จะตายหรือยังก็ไม่รู้ “งั้นฉันไปก่อนนะ”
ไอ้ตัวแสบวิ่งปรื๋อยังไม่ทันพ้นจากเขตศาลาริมน้ำ ก็วิ่งย้อนกลับมาใหม่ ซุยขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ทันตั้งตัวเลยโดนมันเล่นทีเผลอ กระโดดกอดคอหมับแล้วโน้มคอลงมาจูบแก้มดังจุ๊บ จนรุ่นพี่ได้แต่เบิกตากว้างตัวแข็งทื่อ อยู่ในอาการอึ้งอย่างที่สุด
“ขอบใจมาก ราตรีสวัสดิ์นะซุย” ว่าแล้วไอ้ตัวดีที่หน้าแดงซะเองก็วิ่งปร๋อหายลับไป
ร่างสูงที่อึ้งอยู่นาน เผลอเอื้อมมือขึ้นมาจับแก้ม รู้สึกหน้ามันร้อนวูบขึ้นมาบอกไม่ถูก แต่แล้วความฝันที่แสนหวานก็ถูกทำลายราบจากเสียงๆหนึ่งที่เฝ้าจับตาดูอยู่นานแล้ว

“หวานกันจังนะ”

โนะอิเยื้องกรายออกมาจากเงามืด ใบหน้าขาวที่เย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นจัด เค้าเดินเข้ามาใกล้ โอบแขนโน้มรอบคอร่างสูงเอาไว้
“ไหนบอกว่าเป็นแค่ภารกิจไง ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าบ้านเทนโนะเพิ่มโปรโมชั่นพิเศษให้ลูกค้าด้วย”
“อย่าพูดอะไรน่าเกลียดได้มั้ย นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่” ซุยตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด
“แต่สิ่งที่ฉันเห็น มันไม่เหมือนที่นายพูด นายไม่เคยสนิทสนมกับเป้าหมายคนไหนเท่าไอ้เด็กแสบนี่เลย จนถ้าฉันไม่รู้จักนายมาก่อน คงคิดว่าเป็นคู่รักกันไปแล้ว!”
“โนะอิ!” ซุยตวาดกลับอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เค้าก็สับสนจะแย่อยู่แล้ว ยังมาซ้ำเติมอยู่ได้ “ฉันเคยขอร้องนายไม่รู้ตั้งกี่ร้อยรอบ แต่จะให้ฉันขอร้องอีกกี่ครั้งก็ได้ งานครั้งนี้ของฉันมันยากอยู่แล้ว นายอย่าป่วนให้มันยุ่งอีกเลยนะ”
ดวงหน้าของหิมะขาวยิ่งเย็นชา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลที่สับสน
“ดูเหมือนนายจะเป็นห่วงมันมากเลยนะซุย”
ก็ตีความไปโน่น… ซุยยกมือขึ้นกุมขมับ ไม่รู้ชาติที่แล้วเค้าทำกรรมอะไรไว้ พี่น้องที่บ้านมีห้าคนผู้ชายล้วน แต่กลายเป็นเค้าที่ถูกใจไอ้หมอนี่ที่สุด ทำไมนะทำไม… พี่ชายน้องชายเค้าก็หน้าตาดีกันทุกคน ทำไมมันไม่สนใจบ้างนะ มาตื๊อเค้าอยู่ได้
แถมชอบไม่ชอบเปล่า… ยังตามเฝ้าหึงหวงอย่างกะนักโทษ คนเค้าก็อึดอัดเป็นนะเฟ้ย
“อันที่จริง… นายน่าจะญาติดีกับยูคาริพี่ชายฉันนะ หมอนั่นออกจะคลั่งนาย”
“ฉันไม่สนยูคาริ!” โนะอิตวาดกลับ
“งั้น…”
“ฉันไม่สน ฮิริว อาราชิ และโซระ ด้วย!”
มันเล่นขุดชื่อพี่น้องเค้าออกมาปฏิเสธแบบนี้ก็หมดมุกกันพอดีน่ะสิ
“นายไม่ต้องกล่อมให้เสียเวลา ภารกิจหน้า ไอ้เด็กนั่นเจอฉันแน่!”
โนะอิประกาศกร้าว ก่อนจะเดินกลับหอไปอย่างหงุดหงิด ซุยเริ่มหวั่นใจ รับมือโนะอิไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ห่วงว่า Red Rose จะหน้ามืดตามัวจนแผลงฤทธิ์อาละวาดมากกว่า
หวังว่ามันคงจำคำพูดเค้าได้ และมีจิตสำนึกยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง แต่ก็คงหวังอะไรไม่ได้มากนักหรอก

สองวันต่อมา… อาการของคาโอรุก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ จนลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว แต่วันนี้ไทกิกับฮิโระต้องแปลกใจสุดๆ เพราะอยู่ดีๆมันก็ลุกขึ้นมาแพ็กของใส่กระเป๋าหน้าตาเฉย
“คาโอรุ นายจะไปไหน?”
ไทกิเข้าไปทัก เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาเก็บของใหญ่ อย่างกะจะย้ายไปไหนอย่างนั้นแหละ
“ฉันจะขอย้ายห้อง” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“ห๊า!” ไทกินั่งลงไปเกาะแขนเพื่อน ส่วนอีกคนตกใจจนทำแก้วน้ำหล่นพรวดจากมือดังเพล้ง “เฮ้ย… ใจเย็นน่าคาโอรุ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกันก็ได้ ไม่เห็นต้องย้ายเลย”
“อย่าห้ามฉันเลยไทกิ ฉันทนอยู่กับหมอนั่นไม่ได้อีกแล้ว เหม็นขี้หน้า!”
เท่านั้นแหละ… คนที่ถูกพาดพิงก็เดินทั่กๆเข้ามาหา คว้าเสื้อตัวเก่งที่มันกำลังจะยัดใส่กระเป๋าออกมา คาโอรุจ้องหน้ามันเขม็ง ตาสีเขียวสดกระตุกวาบด้วยแรงอาฆาต
“นายคิดจะทำอะไร?”
“ฉันไม่ให้นายย้าย” นักฆ่าบอกเนิบ ๆแต่ฝ่ายผู้รอบรู้กลับแสยะยิ้มเยียบเย็น
“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีสิทธิ์ห้ามฉันด้วยเหรอ”
คนที่ถูกท้าจัดการโกยเสื้อผ้ามันออกจากกระเป๋าทั้งหมด คาโอรุเลือดขึ้นหน้าตวาดกลับไปยกใหญ่
“นายเลิกงี่เง่าซะทีได้มั้ย ที่ฉันพูดนายไม่เข้าใจหรือไง ต่อไปนี้ฉันกับนายไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรนายก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง!”
“มีสิ…” ฮิโระคว้ามือบอบบางที่กำลังจะเสยปลายคางเค้าเอาไว้ “ที่ฉันไม่ให้นายย้าย เพราะว่าฉันจะเป็นคนย้ายออกไปเอง ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจขึ้น”
นักฆ่าบอกแค่นั้น ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าออกมา ทำท่าจะแพ็กของหนีออกจากหออีกคน จนคนที่ทนความอึดอัดมาหลายวันทนไม่ไหว ระเบิดดังตูมแล้วฉุดแขนมันไว้คนละข้าง
“ฉันจะไม่ยอมให้ใครไปไหนทั้งนั้น!” ไทกิประกาศลั่นห้อง จ้องหน้าเพื่อนสองคนสลับไปมา “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายเคยแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน แต่มีอะไรก็ควรคุยกันด้วยเหตุผลสิ ไม่ใช่เอาแต่หนีปัญหาเหมือนเด็กอมมือ มันไม่เข้าท่า!”
คำปรามาสของบุคคลที่สามทำเอาอีกสองคนพูดไม่ออก จนต้องเบือนหน้าหนีไปคนละด้าน
“นายสองคนเป็นเพื่อนฉัน ถ้าจะให้เลือกคบกับใครสักคนฉันก็ทำไม่ได้ ที่ผ่านมาเห็นพวกนายทำปั้นปึงใส่กัน ฉันต้องอึดอัดใจแค่ไหนพวกนายรู้บ้างหรือเปล่า ถ้ายังยืนยันว่าจะแก้ปัญหาด้วยการย้ายหนีล่ะก็ งั้นก็ย้ายกันทั้งหมดนี่แหละ ฉันก็ไม่อยากจะทนอยู่แล้วเหมือนกัน”
ไทกิเดินไปเก็บของอย่างหงุดหงิด ลากกระเป๋าออกมาจากใต้เตียง แล้วโยนของเข้าไปทีละชิ้นอย่างหดหู่ เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีแขนเพรียวเข้ามาโอบตัวเค้าไว้จากข้างหลัง
“พอแล้ว… ไทกิ”
คาโอรุที่เข้าซบหน้าอยู่ข้างหลังกระซิบบอกเพื่อน
“ฉันไม่ไปแล้ว”
“จริงนะ!” ไทกิหันกลับมาเขย่าตัวคาโอรุ “นายจะอยู่กับพวกเราต่อใช่มั้ย”
คาโอรุพยักหน้า แต่ก็ยังไม่หายเครียด “ที่ฉันยอมอยู่ต่อก็เพราะนาย แต่อย่าหวังว่าจะให้ฉันคืนดีกับไอ้หมอนั่น เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้”
คาโอรุเดินไปรื้อของจัดเข้าที่เดิม ไทกิหันไปขยิบตาให้ฮิโระที่กำลังถอนใจอย่างโล่งอก คิดว่าห้องจะแตกจนเสียเพื่อนรักไปซะแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเดินเข้าไปตื๊อมันต่อ ทีละเล็กทีละน้อย… คิดว่าต้องมีสักวันที่คาโอรุจะยอมยกโทษให้
“ฉันช่วย” ฮิโระบอก ก่อนจะถือวิสาสะช่วยรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าจัดเข้าไปเรียงในตู้ใหม่ แต่คาโอรุกระชากเอาไว้
“ไม่ต้องยุ่ง!”
“น่า… ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วขึ้นไง”
คนหน้าด้านก็ยังหน้าด้านอยู่วันยังค่ำ บอกยังไงมันก็ไม่ฟัง คาโอรุได้แต่ปลงก่อนจะหันไปรื้อกระเป๋าอีกใบ แล้วพยายามไม่สนใจมันอีก
ฮิโระแอบมองเสี้ยวหน้าของคนขี้งอน แล้วอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข พร้อมกับตั้งปณิธานไว้ในใจ
…ต้องมีสักวันที่ฉันจะทำให้นายกลับมาเป็นเหมือนเดิม…
ต้องมีสักวันแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 12-02-2008 17:52:24
 :m22:Chapter 15 Lonely Hunter

“ภารกิจที่สองจะเริ่มพรุ่งนี้ 4 ทุ่มครึ่งเป็นต้นไป”
ยูสรุปรายงานหลังจากที่สมาชิกสภาพิเศษประชุมเครียดมาร่วมสามชั่วโมง
“สถานที่คือบริษัทเคมีภัณฑ์โทโจคอเปอเรชั่น ห้องใต้ดินตึกซันไชน์… ของเป้าหมายคือ มินิฟล้อบปี้ดิสก์ซึ่งเก็บข้อมูลอาวุธเคมีชีวภาพ งานนี้รัฐบาลติดต่อมาโดยตรงจึงเป็นงานที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด จึงขอความร่วมมือจากทุกคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจครั้งนี้ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จด้วย”
ข้อสรุปในตอนท้ายที่มีเสียงถอนใจตามมาอีกเป็นพรวน จนใครคนหนึ่งทนไม่ได้ ต้องยกมือขึ้นมาเสนอหน้าออกความเห็นซะหน่อย
“เอ่อ… รุ่นพี่ครับ” ฮิโระที่คันปากยิกๆอยู่นานแล้ว ขอโอกาสแสดงความคิดเห็นบ้าง “งานสำคัญขนาดนี้ ผมว่าพี่ปีสองปีสามทำเองไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ยูยกมือขึ้นมาประสากันที่หน้าอก แล้วจ้องหน้ารุ่นน้องเจ้าปัญหา ก่อนจะกรีดยิ้มหวานเชื่อมตามแบบฉบับ แต่เห็นแล้วชวนเสียวสันหลังชะมัด
‘น้ำผึ้งพิฆาต’
ฉายาที่เด็กปีหนึ่งเพิ่งตระหนักเมื่อไม่นานมานี้เอง หน้าหวาน ปากหวาน ยิ้มก็หวาน แต่ร้ายเป็นบ้า… ไอ้หน้ายิ้มๆแบบนี้แหละที่น่ากลัวกว่าเอาปืนมาจี้แล้วขู่กันซะอีก
“ภารกิจนี้เป็นงานสำคัญที่จะให้น้องๆได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แถมยังเป็นโอกาสเชื่อมมิตรภาพอันดีระหว่างปีหนึ่งและปีสามด้วย พี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหนนี่ครับ”
‘ก็ไอ้มิตรภาพระหว่างปีหนึ่งกับปีสามนั่นแหละที่เป็นปัญหา!’
ไทกิแอบเถียงในใจ พอเงยหน้าสบกับนัยน์ตาสีฟ้าเย็นเจี๊ยบของโนะอิทีไร มันชวนให้หงุดหงิดใจทุกที ให้ตายเถอะ…
“งานนี้รับเฉพาะคนใจกล้าเท่านั้น ใครไม่อยากทำจะถอนตัวก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากบังคับใจใคร แต่ขอเตือนไว้ก่อน… งานนี้เป็นภารกิจเฉพาะปีหนึ่งกับปีสามเท่านั้น พวกปีสองห้ามยื่นมือเข้ามาสอดเด็ดขาด ไม่ว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น”
คำเตือนจากโนะอิที่ไม่มีใครต้องขยายความต่อ ตัดบทซุยซึ่งกำลังจะหาทางแทรกชนิดไม่เหลือช่องให้ตื๊อ แต่กลับจุดประกายไฟฮึกเหิมของพวกปีหนึ่งให้ลุกโชน งานที่ไม่อยากทำก็เริ่มมีแรงใจฮึดที่จะทำขึ้นมาทันตาเห็น
แม้จะพูดว่าเป็นการร่วมมือระหว่างปีหนึ่งและปีสาม แต่จุดประสงค์จริงๆน่าจะเป็นการดวลแบบทีมระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องมากกว่า ชัยชนะถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของรุ่น และแน่นอนพวกปีสามซึ่งมีทีมเวิร์คเป็นเยี่ยมไม่ยอมแพ้ง่ายๆอยู่แล้ว
แถมปัญหาใหญ่ของพวกไทกิ ก็คือความบาดหมางระหว่างฮิโระกับคาโอรุ ถึงไม่ต้องแข่ง ผลมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว… พวกปีหนึ่งต้องล่มไม่เป็นท่าแหงๆ
หลังการประชุม พี่ปีสามนัดแนะวางแผนกันต่อที่หอน้ำจึงออกไปก่อน ทิ้งพวกปีหนึ่งที่กำลังกลุ้ม กับปีสองที่ดูจะเป็นห่วงน้องๆกันไม่น้อยเลยทีเดียว
“พวกนายมีแผนยังไง?” มาซาฮิโกะคนที่พูดน้อยที่สุดกลับเป็นคนถามคนแรก พร้อมทั้งกวาดสายตามองรุ่นน้องที่นั่งเรียงหน้ากระดานทั้งสามคน
“ไม่รู้… ยังไม่คิดเลย พวกนายว่าไง?” ฮิโระที่โน้มตัวนอนแผ่คาโต๊ะเป็นคนตอบ แล้วโยนลูกส่งต่อให้เพื่อนอีกสองคน
“ฉันไม่คิดจะร่วมมือกับพวกนายหรอก และไม่คิดว่านี่จะเป็นธุระกงการอะไรของพวกปีสองด้วย”
จู่ๆผู้รอบรู้ก็ทำตัวหยิ่งขึ้นมากะทันหัน นอกจากจะไม่เอาเพื่อนฝูงแล้ว ยังตัดไมตรีพี่ๆอย่างไม่ใยดีด้วย คาโอรุกวาดข้าวของตัวเองยัดลงกระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวออกจากสภา
“เจ้าคาโอรุมันคิดจะโซโล่เดี่ยวหรือไง” ฮิโระบ่นอุบ
“ความสามารถของคาวาชิมะเหมาะที่จะลุยเดี่ยว” ซุยช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ “เค้าเป็น ฮันเตอร์ เค้าไม่เคยบอกพวกนายหรือไง”
“หา!!!!”
สองเพื่อนซี้อุทานลั่น โดยเฉพาะฮิโระที่หน้าซีดจ๋อยไปเรียบร้อย นี่ที่ผ่านมา… เค้าอยู่ร่วมชายคากับนักล่ามาโดยตลอดเหรอเนี่ย
นักล่ากับนักฆ่า… สองสายอาชีพที่เรียกได้ว่าสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“คาวาชิมะเก่งกว่าที่พวกนายคิดมาก ฉันเคยสู้มาแล้วถึงรู้ว่าฝีมือเค้าไม่ธรรมดา แต่เค้าเป็นคนที่ค่อนข้างกังวลกับคนรอบข้าง ถ้าทำงานคนเดียวจึงคล่องตัวกว่า” ซุยขยายความต่อ
“หมายความว่าถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยจะเป็นตัวถ่วงสินะ” มิสึกิช่วยสรุปให้ แต่น้องๆอีกสองคนฟังแล้วไม่สบายใจสักนิด ในส่วนลึกของจิตใจคาโอรุคงโดดเดี่ยวมาก ถึงพยายามทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอด
…ไร้เพื่อน ไร้มิตร ไร้ความรู้สึก… คือนักล่าที่สมบูรณ์แบบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด ไทกิเองก็เคยสัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน จึงเข้าใจความคิดของคาโอรุเป็นอย่างดี
ไทกิยกมือขึ้นมาเกาคางพร้อมครุ่นคิด พอตวัดสายตาเห็นรุ่นพี่ร่วมองค์กรนั่งเอกเขนกอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดความคิดดีๆแวบขึ้นมา
“พี่มิสึกิ… ขอคุยด้วยหน่อยได้ป่ะ” ไอ้ตัวแสบทำตาใสปิ๊งอ้อน
มิสึกิขมวดคิ้ว ไม่รู้คุณหนูคนเก่งของเค้าจะมามุกไหนอีก
“อืม… ก็ได้ครับ”
“งั้นดีเลย… ไปหาอะไรกินข้างนอกกัน กินไปด้วยคุยไปด้วย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” ว่าแล้วไอ้ตัวยุ่งก็มาลากแขนรุ่นพี่ลงจากเก้าอี้
นัยน์ตาสีเข้มตวัดมอง จู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียดขัดจังหวะ
“มีอะไรนายคุยกับฉันก็ได้นี่ไทกิ ทำไมต้องรบกวนมิสึกิด้วย” ซุยแย้ง แถมยังส่งสายตาเย็นชาไปให้เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังออกอาการร้อนๆหนาวๆกับสายตาของเพื่อน
“คุยกับนายไม่ได้หรอก ต้องนี่… พี่มิสึกินี่สิ ถึงจะมีความหวัง” ไทกิยักคิ้วกริ่ม โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจุดไฟให้สายน้ำเดือดปุดๆ
“นายเห็นฉันไร้ค่าขนาดนั้นเลยเหรอ” ซุยถามเสียงเครียด
“ไปกันใหญ่แล้ว” ไทกินึกอยากกุมขมับ ปกติมันใจเย็นจะตาย ทำไมจู่ๆถึงเดือดขึ้นมาได้ฟะเนี่ย “ฉันก็แค่มีเรื่องจะปรึกษามิสึกิ เอาเป็นว่าถ้าฉันอยากให้นายช่วยเมื่อไหร่จะบอกแล้วกัน งั้น… ฉันไปก่อนนะ”
ไทกิตัดบทดื้อๆก่อนจะลากตัวมิสึกิออกไปจากสภา ฮิโระลุกขึ้นมาจากโต๊ะอย่างเกียจคร้านแล้วเปรยเบาๆ
“ฉันเองก็กลับไปคิดแผนที่หอบ้างดีกว่า” ว่าแล้วนักฆ่าก็เผ่นหนีออกจากห้องไปอีกคน
“เฮ้อ” มาซาฮิโกะถอนใจ “สรุปว่ามีแต่นายกับฉันที่ไร้ประโยชน์”
มาซาฮิโกะเหลือบตามองรูมเมท เห็นมันยังเอาแต่ทำหน้าเครียดเลยช่วยออกความเห็น
“คืนพรุ่งนี้นายว่างไม่ใช่เหรอซุย จะลองไปเที่ยวเตร็ดเตร่แถวตึกซันไชน์เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างก็ไม่เลวนะ เดี๋ยวฉันเช็คชื่อเพื่อนหอให้ก็ได้”
“มาซาฮิโกะ…” ซุยหันกลับมามองเพื่อนร่วมห้องด้วยความซาบซึ้ง
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงน้องๆ และยิ่งรุ่นพี่โนะอิลงมือเองคงไม่เป็นแค่การดวลธรรมดาหรอก งานนี้ถ้าปีหนึ่งพลาดอาจมีคนตาย นายอยากตามไปก็ตามไปสิ ไม่เห็นจะต้องสนคำพูดของรุ่นพี่โนะอิเลย”
“ขอบใจมาก มาซาฮิโกะ” ซุยตบไหล่เพื่อนแทนคำขอบคุณ คำแนะนำของรูมเมทช่วยได้เยอะ ก่อนที่พวกเค้าจะเป็นชุดสุดท้ายที่ปิดสภาแล้วกลับหอเพื่อคิดแผนซ้อนแผนช่วยน้องๆต่อไป

“อะไรนะ! ให้ขโมยของจากองค์กร!!”
มิสึกิสำลักกาแฟจนจุก เค้าต้องทุบหน้าอกตัวเองอยู่หลายทีกว่ากาแฟเจ้ากรรมจะไหลผ่านลำคอลงไปถึงกระเพาะได้โดยสวัสดิภาพ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าผู้นำอีกที
“คิดจะให้ผมขโมยอาวุธมาให้คุณจริงๆเหรอครับ” มิสึกิถามซ้ำ
“ก็แหม… ถ้าไม่ได้ใช้อาวุธของตัวเองมันก็ไม่ถนัดใช่มั้ยล่ะ ถ้าวันนั้นฉันไม่สู้กับลิลลี่จนปางตายแล้วเผลอลืมทิ้งไว้ที่องค์กรล่ะก็ ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนนายหรอก”
มิสึกิยกมือกุมขมับ “ผมพนันได้เลยว่าลิลลี่ต้องเก็บของทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณไว้ในที่ที่ปลอดภัยกว่าเก็บสมบัติขององค์กรแน่ๆ”
“แต่ฉันรู้รหัสลับของลิลลี่นะ สนมั้ย?” ไทกิยักคิ้วแผล็บ
“ให้ผมหามีด ปืน ระเบิด หรือขีปนาวุธมาให้ยังจะง่ายซะกว่า”
ไทกิส่ายหัว “ขืนให้ฉันใช้ปืนก็มีหวังได้วิบัติกันทั้งโรงเรียนน่ะสิ เวลาหน้ามืดทีไรฉันยิ่งยั้งมือตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”
“ข้อนั้นผมก็เข้าใจ” มิสึกิคลี่ยิ้มบางๆ “แต่จะให้ผมเสี่ยงตายไปตอแยกับลิลลี่เนี่ย มันไม่โหดกับผมไปหน่อยเหรอครับ คุณไทกิ”
“ฉันรู้ว่ามิสึกิทำได้” ไทกิจับมือรุ่นพี่ไว้พร้อมกับย้ำคำหนักแน่น “ฉันรู้… ถ้าไม่แน่จริง นายไม่มีทางได้เป็นซากุระหรอก”
“ลงทุนยอผมซะขนาดนี้ ไม่ช่วยก็คงไม่ได้แล้วใช่มั้ยครับ” มิสึกิยิ้มอย่างอ่อนโยน “เอาเป็นว่า… ก่อนพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาสิ่งที่คุณต้องการมาให้ แต่คุณไทกิต้องสัญญากับผมหนึ่งข้อได้มั้ย”
“ว่ามาเลย” เด็กหนุ่มทำหน้าระริกระรี้
“ห้ามฆ่าใครเด็ดขาด ไม่ว่าภารกิจนี้หรือภารกิจไหน สัญญานะครับ”
ไทกิทำท่าอึกอัก “ไม่ให้ฆ่า แม้แต่คนที่คิดจะฆ่าฉันนะเหรอ”
“คุณไทกิ…” รุ่นพี่เอื้อมมือลูบหัวด้วยความเอ็นดู “คนรอบตัวคุณพร้อมที่จะปกป้องคุณทั้งนั้น ทั้งเพื่อนคุณ ทั้งผม ทั้งซุย ไม่มีใครยอมให้คุณได้รับอันตรายแน่ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ไทกิพยักหน้าอย่างเข้าใจและซาบซึ้ง บางที… ถ้าได้รู้จักมิสึกิก่อนหน้านี้ ความคิดเรื่องหนีออกจากองค์กรอาจไม่อยู่ในหัวของเค้าเลยก็ได้ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีพี่ชาย แบบนี้มันน่าเข้าไปอ้อนแล้วขอนอนกอดสักคืนให้หายมันเขี้ยวนัก
มิสึกิยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา เย็นมากแล้ว… ถ้าต้องปฏิบัติภารกิจล่าของจาก Death Flowers ก็ต้องรีบไปตั้งแต่ตอนนี้
“ผมไปก่อนดีกว่า คุณไทกิเองก็ตั้งใจวางแผนทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จนะครับ”
“อื้ม… นอนใจได้เลย ระดับฉันลงมือเองรับรองไม่มีพลาด”
‘ก็นั่นแหละที่เป็นห่วง’ มิสึกิแอบสลดในใจ ก็เวลาพ่อเจ้าประคุณลงมือเองทีไร เป็นได้เรื่องทุกทีสิน่า
แล้วทั้งสองคนก็แยกย้าย ไทกิกลับหอนอนสบายใจเฉิบตามที่พูดทุกประการ ในที่ขณะที่มิสึกิต้องปฏิบัติภารกิจลากเลือดเสี่ยงตายขโมยของจากรองผู้นำแห่ง Death Flowers
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > 7/2/08 อัพเดตเพิ่มตอนใหม่ 2 ตอนงับ
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 12-02-2008 17:53:44
 :m22: Ch.15 ต่อ 

สี่ทุ่ม… ดึกสงัด
พนักงานทำความสะอาดคนสุดท้ายเดินออกมาจากตึกซันไชน์ เหลือไว้เพียงยามรักษาการสามคนที่ประจำการอยู่หน้าตึก
ร่างเพรียวในชุดพรางตาสีดำสนิทแทรกซึมผ่านเข้าไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พนักงานกำลังปิดประตูและล็อกกุญแจทุกอันเพื่อปิดทางเข้าออก ผ้าสีดำถูกโยนขึ้นไปคลุมกล้องวงจรปิดทั้งหกอันตรงบริเวณโถงทางเข้า
ขณะนี้ แผนแรก… การลอบแทรกซึมเข้ามายังสถานที่เป้าหมาย… สำเร็จเรียบร้อยโดยสมบูรณ์แบบ
ทางลงไปสู่ชั้นใต้ดินถูกล็อกไว้ด้วยประตูเหล็กหนาซึ่งตั้งรหัสจำเพาะ เด็กหนุ่มใช้ไฟฉายขนาดจิ๋วส่องไปยังบล็อกหมายเลข 0-9 ทาสารสังเคราะห์บางอย่างลงไป จนตัวเลขสี่ตัวค่อยๆเรืองแสงจางๆ
… 0 3 4 8 …
ต้องเป็นรหัสที่เกิดจากการเรียงเลขสี่ตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เรียวปากสวยได้รูปกรีดยิ้มบาง โชคดีนะที่เค้าเกิดมาหัวดี และเกมสลับตัวเลขแบบนี้เล่นมาไม่รู้กี่ล้านครั้ง ความน่าจะเป็น… (อันนี้ Fog มั่วเอง เด็กเรียนทั้งหลายกรุณาอย่าจริงจัง)
นิ้วเรียวจิ้มจึ้กไปที่หมายเลข … 4 3 8 0 …
ประตูยังนิ่ง
‘ก็แค่ครั้งแรก” เด็กหนุ่มคิดในใจ
นิ้วเรียวๆจึงจิ้มต่อไป … 3 0 4 8 …
ประตูเจ้ากรรมก็ยังไม่สะเทือน
คิ้วคมๆขมวดมุ่น และเริ่มใช้วิชามารโดยการเปรยขู่ประตูหัวดื้อเบาๆ
“ถ้าคราวนี้แกไม่เปิด ฉันจะใช้ระเบิดฝังแกแน่”
นิ้วเรียวจิ้มไปอีกที แต่ย้ำหนักแน่นกว่าเดิม
… 8 0 4 3 …
เด็กหนุ่มถอยตัวออกห่างเล็กน้อย มือหนึ่งล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อเตรียมบอมบ์ในกรณีที่ประตูมันดื้อไม่ยอมรับคำสั่ง แต่คราวนี้กลับได้ผล… ประตูมันคงกลัวตายเลยเลื่อนเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นบันไดทอดยาวลงไปยังห้องใต้ดินที่มืดสนิท
มือเล็กๆส่องไฟฉายนำทาง ค่อยๆเดินทีละก้าวด้วยฝีเท้าที่เงียบและเบาราวกับปุยนุ่น สายตายังคอยจับจ้องอยู่รอบด้าน เพราะถ้าเค้าไม่ใช่คนเดียวที่คิดจะมาทำภารกิจก่อนเวลา ก็อาจจะมีคนอื่นที่มารอดักล่วงหน้า และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพวกปีสาม เพราะเพื่อนซี้ของเค้าทั้งสองคนมันบ้องตื้นเกินกว่าจะคิดแผนที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้
เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในความเงียบสักพัก รอจนแน่ใจว่าไม่มีใครโผล่ออกมาแล้ว จึงค่อยย่องไปที่ตู้เซฟเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทโทโจคอเปอเรชั่น นัยน์ตาสีเขียวสดเห็นแผงตัวเลขวงกลมหน้าตู้เซฟ ก็เริ่มจะหงุดหงิดนิดๆ ถ้าเค้ามัวแต่มาเล่นเกมทายตัวเลข มีหวังพวกปีสามคงแห่กันมาครบทีมแน่
ไม่ได้การ… แบบนี้มันต้องใช้วิชามารประจำตระกูลซะแล้ว
นิ้วเรียวล้วงอาวุธลับเป็นเลเซอร์ขนาดจิ๋ว จากนั้นก็ค่อยๆกรีดผ่านช่องว่างระหว่างประตูเซฟอย่างระมัดระวัง พอเค้าได้ยินเสียงดังกริ๊ก ประตูก็เด้งเปิดออกทันที เด็กหนุ่มใช้สายตาสำรวจหาของเป้าหมาย แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับกล่องอะลูมิเนียมใบเล็ก เด็กหนุ่มหยิบออกมาเปิดดู
‘แจ็กพ็อต!’
เด็กหนุ่มคิด ก่อนจะหยิบฟล้อบปี้ดิสก์เก็บลงกระเป๋าพก ตอนนี้เค้าได้ของเป้าหมายแล้ว เหลือแค่พรางตัวแล้วหลบออกไปจากตึกนี้ให้ได้เท่านั้นภารกิจก็จะสำเร็จ เค้าจึงดับไฟฉายซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ให้แสงสว่างเพียงสิ่งเดียวเพื่อพรางตัวในความมืด เพราะเค้าจดจำเส้นทางได้หมดแล้ว ต่อให้หลับตาเดินก็ยังออกไปได้โดยปลอดภัย
แต่ทว่า…

“คาวาชิมะ คาโอรุ”

เสียงเรียกจากน้ำเสียงนุ่มๆตามแบบฉบับ สะกดทุกสรรพสิ่งรอบด้านให้หยุดนิ่ง ฝีเท้าที่ควรจะก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก พอเหลียวมองขึ้นไป ก็เห็นเงาร่างบอบบางที่ไม่ค่อยสูงนักยืนกอดอกอย่างใจเย็นอยู่หน้าบานประตู คนๆนั้นยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่คาโอรุเห็นแล้วยิ่งท้าทาย แล้วต่างฝ่ายต่างก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากัน
“ถ้าไม่ตามนายมา ก็คงไม่รู้ว่านายเป็นนักล่ามืออาชีพ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” คาโอรุไหวไหล่ “ว่าแต่พี่ยูเองก็คงไม่ใจดีขนาดจะตามมาคุ้มกันผมหรอก จริงมั้ย”
รุ่นพี่ขยับรอยยิ้มกว้าง “ก็ไม่เชิงนะ… แต่บังเอิญพี่อยากเป็นคนแรกที่ทำภารกิจนี้สำเร็จ เพราะฉะนั้นดิสก์อันนั้นขอพี่ได้มั้ย”
ยูยื่นมือไปขอดื้อๆ แถมยังกรีดยิ้มหวานตามสไตล์ แต่คาโอรุเบ้หน้าแทนคำตอบ
“ผมก็เพิ่งรู้นะว่าพี่เป็นสายนักล่าเงา แถมยังเป็นพวกที่ชอบชุบมือเปิบแย่งของคนอื่น”
“เรียกว่าใครดีใครได้ดีกว่านะ” ยูช่วยแก้ไขให้ฟังดูดีขึ้นมานิด
“งั้นก็ต้องขอดูหน่อยแล้ว ว่าพี่จะมีดีอย่างที่คุยหรือเปล่า”
นักล่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อาศัยความมืดพุ่งจู่โจมเข้าหาร่างบางที่ยังยืนเต๊ะท่า แต่เพราะฝีมือที่เหนือชั้นพอกันยูจึงเบี่ยงตัวหลบได้อย่างว่องไว แล้วอาศัยจังหวะชักปืนพกออกมายิงสวนหนึ่งนัด

ปัง!!!

เสียงปืนดังลั่น กระสุนพุ่งฉิวกลางอากาศตวัดเฉียดศีรษะของคนที่กระโดดเข้ามาจู่โจมจนเสียหลัก กลิ้งกลับลงไปที่กลางห้องโถง แต่ยังดีที่ไหวตัวทันจึงลงพื้นได้โดยสวัสดิภาพ ตาสีเขียวสดจับนิ่งที่คู่ต่อสู้ มืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังกระชับอาวุธประจำตัวที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเอาออกมาใช้ในภารกิจครั้งนี้
“ถึงกับเล่นปืนผาหน้าไม้เลยเหรอ ไม่เมตตาปรานีรุ่นน้องบ้างเลยนะพี่ยู” คาโอรุประชดอย่างเหลืออด
“ก็รุ่นน้องน่ารัก พี่ก็อยากโชว์ฝีมือให้เต็มที่น่ะสิ โดยเฉพาะ… คู่แข่งอย่างนาย”
ยูไม่รอช้า พอพล่ามจบก็หยิบปืนพกออกมาอีกหนึ่งกระบอกแล้วกราดรัวไม่ยั้ง เสียงปืนดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วห้องโถงใต้ดิน โชคยังดีที่ห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียง ไม่อย่างนั้นยามคงได้แห่กันมาทั้งตึกแน่
เสียงยังดังสะท้อนไม่หยุด ควันจากกระบอกปืนลอยอบอวลราวกับสายหมอกแห่งความตายที่แทรกซึมอยู่ในเงามืด ยูลดกระบอกปืนทั้งคู่ลง แล้วกวาดสายตามองหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่รุ่นน้องตัวแสบกลับหายตัวไปซะแล้ว
“อย่าขยับ… ไม่งั้นฉันเชือดนายแน่”
เสียงเยียบเย็นซึ่งกระซิบมาจากทางด้านหลังทำให้ยูตัวแข็งทื่อ เหงื่อเย็นๆไหลซึมทั่วหน้าผาก แต่ก็ยังอดทึ่งไม่ได้ ท่าทางไอ้น้องคนนี้มันจะเก่งจริงแฮะ ไม่ใช่แค่ราคาคุยซะแล้ว ปกติในสายนักล่าเงาเค้าก็อยู่ในอันดับต้นๆ แต่ไอ้หมอนี่กลับอาศัยช่องว่างที่แทบจะไม่มีจู่โจมประชิดตัวเค้าอย่างรวดเร็ว
ยูถอนใจให้กับความพ่ายแพ้ ก่อนจะหันกลับไปช้าๆ แต่พอเห็นอาวุธที่มันเอามาจ่อประชิดต้นคอยิ่งทำให้ทึ่งจัด…
พัดขนาดใหญ่แกะลายเป็นรูปขนนกสีแดงวางเรียงซ้อนเหลื่อมกันได้อย่างงดงาม ลายสลักคล้ายขนเพลิงแห่งจ้าววิหคทั้งมวล
…ฟินิกซ์…
 เรื่องความคมนั้นรับประกันได้ เพราะแค่ตวัดเฉียดไรผมก็เฉือนปลายผมของยูร่วงไปหนึ่งหย่อม แต่ที่น่าทึ่งก็คือมันทำจากโลหะอะไรถึงได้บางเบาและคมกริบขนาดนี้ เป็นอาวุธที่เหมาะกับผู้รอบรู้อย่างคาโอรุจริงๆ

ปัง!!!! ปัง!!!! ปัง!!!!

เสียงปืนที่รัวกระหน่ำมาจากอีกด้าน ทำให้คาโอรุต้องกรีดพัดออกไปกันไว้ ลูกตะกั่วกระทบโลหะดังเคร้งร่วงกราว คาโอรุดึงขนนกออกจากพัดเหล็กหนึ่งเส้น แล้วปาสวนเข้าใส่จนไปปักเข้ากลางข้อมือของนักล่าอีกคนที่ซุ่มรออยู่
“ออกมาเถอะพี่โฮตารุ พี่กับพี่ยูติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะยอมให้พี่ยูออกมาเสี่ยงกับภารกิจนี้คนเดียวหรอก”
“บ้าชิบ!!” โฮตารุสบถอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวออกจากที่หลบซ่อน ในมือยังมีเลือดไหลซึม แต่ก็ยังกระชับปืนไว้แน่น เค้าก้าวเข้าไปหารุ่นน้องด้วยความระมัดระวัง เพราะคนรักยังตกเป็นตัวประกันของมันอยู่
“นายชนะเราสองคนแล้ว เอาดิสก์ไปแล้วปล่อยยูซะ” โฮตารุต่อรอง
“ไม่มั้งครับ… พวกพี่มีตั้งสองคนจะเล่นไม่ซื่อเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมว่าเรากลับโรงเรียนทั้งแบบนี้ดีกว่า ผมรับรองว่าจะคุ้มกันพี่ยูกลับหอโดยปลอดภัยแน่”
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”
เสียงที่สี่ซึ่งค่อยๆเยื้องกรายเข้ามาทางช่องประตู ทำให้คาโอรุเริ่มลังเล เสียงนั่นไม่ใช่โนะอิ เพราะถ้าเป็นโนะอิเค้าจะสบายใจกว่านี้ ไหนบอกว่านี่จะเป็นภารกิจเฉพาะกลุ่มสมาชิกพิเศษไง แล้วไอ้ตัวที่สี่ที่โผล่มามันเป็นใครอีกล่ะเนี่ย
แล้วข้อสงสัยในใจของคาโอรุก็ได้รับการเฉลย… ไฟฉายกระบอกเล็กๆกราดไปยังเป้าหมายซึ่งกำลังไต่บันไดลงมาอย่างใจเย็น พอเห็นภาพทุกอย่างแจ่มชัด คาโอรุก็แทบอยากยกมือขึ้นมากุมขมับให้หายเครียด เสียดายที่มือยังไม่ว่างเพราะต้องคอยจับยูไว้เป็นตัวประกัน
“นายลืมฉันอีกคนได้ไงเนี่ย” คนๆนั้นประท้วง
“นั่นสิ… ผมก็ลืมไปได้ไง ว่ายังมีแฝดมหัศจรรย์ที่ชอบทำตัวเป็นปาท่องโก๋อีกคน ขนาดภารกิจลับเฉพาะกลุ่ม special members ก็ยังหาช่องมาแส่กับเค้าจนได้ จริงมั้ย… พี่มาโมรุ”
คาโอรุเริ่มจะเดือดดาล ยิ่งเห็นหน้าโง่ๆที่ถูกล็อกตัวอยู่ในอ้อมแขนของมาโมรุแล้วก็ยิ่งเดือด
‘โง่! โง่ที่สุด!’
ปากนะอยากจะด่ามันเหลือเกิน แต่เคยประกาศไว้แล้วว่าจะไม่คุยกับมันอีก เลยพูดไม่ได้เพราะกลัวจะเสียฟอร์ม
มาโมรุยักคิ้วกริ่ม “ยูอยู่ไหน ฉันก็อยู่นั่น แล้วมันก็บังเอิญตอนที่ยูกับโฮตารุแอบย่องตามนายมา ไอ้หมอนี่ (ที่ถูกล็อกอยู่) ก็สะกดรอยตามยู ฉันก็เลยสะกดรอยซ้อนมาอีกทีไงล่ะ แต่ไม่คิดว่าจะโชคดีได้มันเป็นตัวประกันมาต่อรองกับนาย”
“บ้าเอ๊ย!!!” คาโอรุสบถบ้าง เพราะชักจะโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว งานที่ควรจะสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย ก็โดนมันทำซะป่นปี้จนได้ งี่เง่า!
“ฉันขอโทษนะคาโอรุ ก็ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนอื่นนอกเหนือจากสมาชิกพิเศษตามมาด้วย”
ฮิโระรีบไหว้ประหลกๆเพื่อขอโทษเป็นการใหญ่ แต่หน้าสวยๆก็ยิ่งบึ้งตึง คดีเก่ายังไม่ทันหาย คดีใหม่ก็เสือกเข้ามาแทรก แล้วชาตินี้เค้าจะหวังคืนดีกับมันได้มั้ยเนี่ย
คาโอรุพยายามข่มตาสะกดอารมณ์ สถานการณ์แบบนี้มีแต่ต้องสติให้ดีเท่านั้น ถึงมันจะเหลือแค่น้อยนิดก็เถอะ
“นายจะเอายังไง?” คาโอรุถามมาโมรุตรงๆ รุ่นพี่จึงขยับรอยยิ้มกริ่ม
“ก็ไม่ยาก… เอาฟล้อบปี้ดิสก์นั่นให้ยู แล้วนายก็ปล่อยยูซะ พี่ก็ยอมปล่อยโซมะให้เป็นอิสระ”
“ฝันเหอะ!” คาโอรุย้อน แค่มันเซ่อซ่าไปติดกับคนอื่นง่ายๆก็โง่เต็มทน นี่ยังให้เค้าต้องลดตัวไปโง่กับมันด้วยเนี่ยนะ ไม่มีทางซะล่ะ
“อืม… เพื่อนนายเนี่ยแล้งน้ำใจจังเลยนะ” มาโมรุหันมาเปรยกับฮิโระบ้าง พร้อมกับฉีกยิ้มเหี้ยม แล้วชักปืนออกมาจ่อที่แขนขวาของฮิโระ
“เฮ้ย! เอาจริงอ่ะ” นักฆ่าเริ่มลนลาน ไหนบอกว่าเป็นภารกิจเชื่อมสัมพันธ์ไงฟะ นี่พี่แกเล่นเอาปืนจริงๆมาขู่กันเลยเรอะ
“ฉันไม่ใจดีเหมือนโฮตารุกับยูหรอกนะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามแล้วยิงโซมะทีละนัด จากนั้นก็จะนับใหม่แล้วยิงอีกครั้งจนกว่านายจะยอมแพ้ หรือไม่ก็จนกว่า… โซมะจะตาย”
มาโมรุเอาจริงแน่ คาโอรุมองตาก็รู้ หมอนี่เป็นนักล่าโดยสายเลือด เพื่อภารกิจยอมทุ่มเททำได้ทุกอย่าง ไม่สนกติกาหรือกฎ แม้แต่ฆ่าคนที่รู้จักมันก็ทำได้ คาโอรุกรีดพัดกลับไปจ่อต้นคอของยู งานนี้มันต้องตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น ใครใจแข็งกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ
“ถ้านายทำร้ายมัน ฉันก็จะเชือดเพื่อนนายเหมือนกัน ว่าไง?” คาโอรุต่อรอง
“งั้นก็ต้องวัดใจกันหน่อย”
มาโมรุขยับปืนดังกริ๊ก จี้ฝังต้นแขนฮิโระ นักฆ่าตัวแสบหลับตาปี๋ งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องตายไปข้างล่ะวะ
“หนึ่ง…”
มาโมรุเริ่มต้นนับ
“สอง…”
คาโอรุขยับพัดประชิดต้นคอขาวๆของยูจนเลือดซึม นักล่าต่างจ้องตากันไม่ลดละ ใครพลาดก่อนมีหวังเพื่อนซี้ต้องดับคาที่แน่ๆ
“สาม”

ปัง!!!!

เสียงไกปืนลั่นผ่านความเงียบ ตวัดผ่านต้นแขนของนักฆ่า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ฮิโระกุมแขนตัวเองไว้แน่น พยายามกัดฟันไม่ร้อง แต่ดูก็รู้ว่ามันคงเจ็บมาก เพราะเลือดไหลไม่หยุดเลย
“นาย!!!!” คาโอรุกัดฟันกรอดๆ จ้องหน้ามาโมรุเขม็ง ตอนแรกก็คิดว่ามันจะขู่เล่นๆ ไม่คิดว่ามันจะกล้ายิงรุ่นน้องร่วมสถาบันจริงๆ ขนาดยูกับโฮตารุก็ยังอึ้งจนพูดไม่ออก
“หนึ่ง…” มาโมรุเหนี่ยวไกแล้วเริ่มต้นนับใหม่ คราวนี้เล็งเป้าไปที่ขาขวา “สอง…”
“พอได้แล้ว!!!” คาโอรุตะโกนสวน ยอมลดพัดอาวุธชิ้นสำคัญลง แล้วผลักยูกลับคืนไปให้มาโมรุ “ปล่อยมันได้แล้ว”
“เดี๋ยว… ยังก่อน แล้วแผ่นดิสก์ที่พี่ต้องการล่ะ”
คาโอรุกระตุกหางตาวับ แต่ก็ยอมล้วงดิสก์ชิ้นสำคัญส่งให้อย่างหงุดหงิด มาโมรุถึงยอมผลักตัวประกันคืนมาให้
“เป็นเด็กดีว่าง่ายๆแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่ารุ่นน้องที่น่ารัก” พอได้โอกาสรุ่นพี่จอมโกงก็ทับถมใหญ่
“ถ้าคิดว่าได้ชัยชนะแบบนี้แล้วภูมิใจก็เชิญ แต่กรุณาจำไว้อย่างว่าผมยังไม่แพ้ ถ้ามีโอกาส… เรามาดวลกันตัวต่อตัว กล้ามั้ยล่ะรุ่นพี่”
“ได้ดวลกับคนน่ารักอย่างนาย ฉันยินดีเสมอ แล้วเจอกันใหม่นะ คาวาชิมะ คาโอรุ”
มาโมรุรับคำท้า ก่อนจะลากเพื่อนสองคนออกไป แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันมาสั่งเสียรุ่นน้องทั้งสอง
“อ้อ… ลืมบอกไป พี่วางกลไกระเบิดไว้ที่หน้าห้องใต้ดินแล้ว ถ้ามีใครพยายามจะตามพวกเราล่ะก็เสียใจด้วย ทางที่ดีอยู่ห่างๆประตูไว้นะเด็กๆ แล้วพรุ่งนี้ตีห้าพี่จะมาปล่อยออกไป หลับให้สบายนะจ๊ะ”
แล้วรุ่นพี่ทั้งสามก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและความมืดไว้ในห้องใต้ดินที่อึมครึมอีกครั้ง

คาโอรุถอนใจปลงชีวิต ก่อนจะเอนหลังนั่งพิงฝาผนัง ฮิโระก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ เห็นมันเอาแต่หลับตานิ่งก็ยิ่งเป็นห่วง
“นายเป็นไงบ้างคาโอรุ บาดเจ็บหรือเปล่า”
ฮิโระขยับเข้าไปใกล้ ใช้สายตาสำเร็จร่างกายมันคร่าวๆแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีบาดแผลตรงไหน สายตาของนักล่าหันมาค้อน ตัวมันเองเจ็บปางตายแล้วยังจะมีหน้ามาถามคนอื่น ไม่เจียมตัวเลยจริงๆ พับผ่าสิ… แต่คาโอรุก็เลือกที่จะใช้บทเงียบแทนที่จะด่ากลับ แล้วแกล้งหลับตานอนต่อ
“ฉันก็รู้ว่าฉันมันงี่เง่า”
เออ… ก็ยังดีที่รู้
“แต่ฉันไม่คิดจริงๆนะว่าจะมีคนตามมา แถมพี่มาโมรุยังเล่นทีเผลอ จู่โจมตอนที่ฉันกำลังลุ้นนายสู้กับพี่ยู ฉันก็เลยพลาด” ฮิโระเว้นวรรคอยู่นาน ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ “ฉันขอโทษคาโอรุ เอาล่ะ… เชิญนายด่าฉันได้ตามใจชอบเลย”
ขนาดท้ามันขนาดนี้ คาโอรุก็ยังเอาแต่นิ่ง ท่าทางมันจะโกรธจัดจริงๆแฮะ
“นี่… พูดอะไรหน่อยสิ” ไอ้ตัวแสบยังตื๊อไม่เลิก ขนาดมีความผิดติดตัวเป็นกระบุงโกยยังไม่สำนึก กล้ามาตอแยใช้นิ้วเน่าๆมาจิ้มลักยิ้มเค้าอีก
“น่านะ… พูดหน่อยน่า” ฮิโระเริ่มอ้อนเป็นเพลง จนคนนิ่งทนไม่ไหว ปัดมือมันออกจากแก้ม
“นายมันบ้าบอไม่เลิกจริงๆฮิโระ ศัตรูหน้าไหนมันจะบอกนายว่าจะยกโขยงมากี่คน แล้วจะจู่โจมนายตอนไหน เรื่องแค่นี้ที่บ้านนายไม่เคยสอนหรือไง งี่เง่า!”
นั่น… ขนาดมีคำสำคัญด่าปิดท้าย แทนที่มันจะสลด กลับเอาแต่กุมท้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา จนคาโอรุต้องเป็นฝ่ายกุมขมับซะเอง เพราะทนกับความหน้าด้านของมันไม่ไหว
“ญาติเสียหรือไง หัวเราะอยู่ได้”
เท่านั้นแหละ เจ้าฮิโระมันก็เลิกกลิ้ง แล้วกลับมานั่งแหมะทำตัวเรียบร้อยข้างๆเพื่อน(คน)รักอีกครั้ง
“นายยอมพูดกับฉันแล้ว” ฮิโระอมยิ้ม “นายไม่ยอมพูดกับฉันตั้งสองอาทิตย์ ฉันอึดอัดจะแย่แล้วรู้มั้ย”
คาโอรุเริ่มหน้าแดง นี่เค้าโง่เองเหรอเนี่ย อุตส่าห์รักษาฟอร์มมาได้ตั้งสองอาทิตย์ กลับมาพลาดง่ายๆ มันน่าเจ็บใจจริงๆ
ฮิโระสบายใจแล้ว ก็ชักจะปวดแขนขึ้นมาตะหงิดๆ พอพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเห็นแผลตัวเองเท่านั้น นักฆ่าก็ทำหน้าเหยเก
“ให้ตายสิ… เจ้ามาโมรุติดจะฆ่ากันเลยหรือไงฟะ” ฮิโระบ่นอุบ
คาโอรุชำเลืองหางตามอง เห็นเลือดไหลไม่หยุดก็ชักเป็นห่วง แต่ไม่อยากเสียฟอร์มเลยรีบเบือนหน้าหนี
“โอ๊ะ! โอ๊ะ! แย่แล้ว” เจ้าฮิโระมันทำแผลตัวเองเองด้วยความระทึก ทำไปก็ร้องโอดโอยไปด้วยเป็นซาวนด์เอฟเฟ็ก อย่างกับเพิ่งผ่านสมรภูมิแล้วโดนยิงพรุนมาทั้งตัวอย่างนั้นแหละ
คนที่เย็นชักจะทนไม่ไหว พอหันมาอีกรอบเห็นแผลเหวอะกว่าเก่า อาการใจอ่อนก็กำเริบ
“ไหน… ขอดูหน่อย”
“หืม?” ฮิโระทำหน้างง
“ก็นายโดนยิงไม่ใช่เหรอ ขอฉันดูแผลหน่อย”
คาโอรุไม่รอให้มันเอ่ยปากอนุญาต รีบคว้าแขนหมับเข้ามาดูใกล้ๆ บาดแผลไม่ลึกนัก กระสุนคงเฉียดไม่ถึงขั้นฝังใน แต่เลือดก็ไหลซึมไม่หยุด คงต้องพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อนแล้วค่อยให้หมอเย็บแผลทีหลัง คาโอรุจึงฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาพันให้
“มองอะไร?” คาโอรุถามตอนที่รู้สึกว่ามันเอาแต่จ้องหน้าเค้าตลอด
“ก็… เปล่า ฉันแค่คิดว่าทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่ชอบนาย ทั้งๆที่นายเป็นคนใจดีและน่ารักมากขนาดนี้”
คาโอรุแกล้งกระตุกผ้ารัดแขนฮิโระซะแน่นจนมันร้องลั่น ก่อนจะผูกปมเงื่อนเป็นการปิดท้าย
“ถ้าขืนยังพูดมากอีกล่ะก็ ต่อให้นายตายฉันก็จะไม่สนใจอีกแล้ว”
ฮิโระลูบแขนป้อยๆ แต่ถึงจะเจ็บก็ถือว่าคุ้ม เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าคาโอรุยังห่วงเค้าอยู่
“เอ๊ะ… แล้วไทกิล่ะ?” คาโอรุเพิ่งนึกได้ มัวแต่โมโหฮิโระจนลืมเพื่อนอีกคนซะสนิทเลย
“เออ… จริงด้วย” ฮิโระก็เพิ่งนึกออกเหมือนกัน “ฉันกับไทกิตามนายมาด้วยกัน แต่พอถึงหน้าตึกเราก็แยกไปคนละทาง ป่านนี้มันคงกลับหอนอนหลับปุ๋ยแล้วมั้ง ก็พวกพี่ๆได้แผ่นดิสก์ไปแล้วนี่”
“แต่ฉันว่าไม่” คาโอรุทำหน้าคิดหนัก “โนะอิอีกคนที่ไม่โผล่มาเลย หมอนั่นตั้งใจจะดวลกับไทกิ ถึงพวกปีสามจะได้ดิสก์ไปแล้ว แต่โนะอิก็คงไม่ล้มเลิกความตั้งใจเดิมแน่ ไม่แน่ป่านนี้ทั้งสองคนอาจกำลังสู้กันอยู่ก็ได้”
“เอ… แต่ไทกิก็คงเอาตัวรอดได้หรอก… ล่ะมั้งนะ” ถึงจะเชื่อมั่นในตัวเพื่อน แต่สุดท้ายฮิโระเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า
“โนะอิไม่เคยปล่อยเหยื่อให้รอดชีวิต ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นญาติสนิทก็ตาม” นัยน์ตาสีเขียวส่องแสงหม่นเศร้า ราวกับระลึกถึงความหลังที่เจ็บปวด “ฉันจะไปช่วยไทกิ”
คาโอรุบอกอย่างมุ่งมั่น ในขณะที่ฮิโระทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“แล้วนายจะออกไปช่วยมันยังไง ประตูก็มีระเบิดอยู่เนี่ยนะ”
นักล่าฉีกยิ้มกว้าง “อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร อย่างน้อยฉันก็ไม่โง่เหมือนนายก็แล้วกัน”
นั่นคือคำยืนยันจากนักล่าผู้ไม่เคยปฏิบัติภารกิจพลาดมาก่อนในชีวิต (ยกเว้นครั้งนี้ที่ต้องมาเสียฟอร์มเพราะมันเนี่ย) ทั้งสองคนเดินเงียบๆขึ้นไปตามขั้นบันได ฝ่ากับระเบิดเพื่อไปช่วยเพื่อนรักอีกคนที่ตอนนี้ไม่รู้ผจญเคราะห์กรรมอยู่ที่ไหน

สองแฝดกับยูเดินทางกลับหอน้ำหลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง แต่ตลอดทางยูก็เอาแต่เงียบ จนโฮตารุที่กำลังเป็นห่วงอดไม่ได้ที่จะถาม
“นายเป็นอะไรไปยู ฉันเห็นนายเงียบมาตลอดทางเลย หรือว่าโกรธมาโมรุ”
“อ้าว!” พี่ชายส่งเสียงประท้วง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
“นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าทำอะไรผิด ถ้าโซมะเป็นอะไรไปฉันกับยูก็ต้องรับผิดชอบ เคยคิดบ้างหรือเปล่า”
“ฉันก็แค่อยากช่วยยูแล้วผิดตรงไหน อีกอย่าง… ฉันก็ไม่เคยคิดจะฆ่าเด็กนั่นจริงๆด้วย”
“อย่ามาแก้ตัวเลย”
“นี่! โฮตารุ…”
“พอเถอะน่า เลิกเถียงกันได้แล้ว” ยูเป็นกรรมการห้ามทั้งคู่ “เรื่องที่มาโมรุทำร้ายโซมะฉันก็ฉุนอยู่หรอก แต่ที่ฉันคาใจคือเรื่องของคาโอรุมากกว่า”
“ทำไม… เพราะเค้าชนะนายก็เลยคาใจเหรอ” มาโมรุถาม
ยูส่ายหน้า “เปล่า… เค้าเก่งจริง ถึงชนะก็ไม่แปลก แต่ที่ฉันติดใจคืออาวุธของเค้า”
“ติดใจเพราะว่าเป็นพัดใช่มั้ย ไม่ค่อยมีคนใช้อาวุธประหลาดแบบนี้หรอก” โฮตารุออกความเห็นบ้าง
“ฉันไม่ได้ติดใจตรงที่มันประหลาด รูปร่างของอาวุธไม่สำคัญเท่ากับการใช้งานที่คล่องแคล่ว ซึ่งคาโอรุก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ฉันติดใจคือตราประทับซึ่งสลักอยู่บนพัดอันนั้นต่างหาก”
“ตราประทับ?” สองแฝดพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหันมาสบตา แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจความหมายของยู
“ตรานั่นเป็น… รูปหงส์เพลิง” ยูเฉลย
“แล้วไง?”
ยูถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์พูดมาตั้งเยอะ พวกมันยังไม่เข้าใจอีกเหรอเนี่ย
“มาโมจังไม่รู้ฉันยังพอรับได้นะ แต่โฮจังไม่รู้เนี่ยสิ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ นายน่ะออกไปทำภารกิจพร้อมโนะอิมากี่ครั้งแล้ว”
“ก็หลายครั้ง แล้วไงล่ะ… เกี่ยวอะไรกับโนะอิด้วย?” โฮตารุยังไม่เข้าใจ
“นายเคยได้ยินตำนานสี่ผู้พิทักษ์หรือเปล่า” ยูเกริ่น ก่อนจะเล่ายาว “ในสมัยเอโดะ โชกุนได้รวบรวมสี่ยอดขุนพลจากสี่ตระกูลรับตำแหน่งผู้พิทักษ์ แบ่งเป็นสายมังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว เต่าเทพ และหงส์เพลิง ถึงแม้ระบบการปกครองแบบเดิมจะล่มสลายไปแล้ว แต่สี่ผู้พิทักษ์ก็ยังอยู่ แถมยังกลายเป็นสี่ตระกูลใหญ่ในปัจจุบันซะด้วย”
ยูหยุดเว้นวรรคนิดนึง แล้วจ้องหน้าสองแฝดที่ยังงงอยู่
“สายมังกรฟ้ากลายเป็นต้นตระกูลเทนโนะ พยัคฆ์ขาวคือโซมะ เต่าเทพคือคุรากิ และหงส์เพลิง… คือไฮบาระ ดาบประจำตระกูลที่โนะอิใช้อยู่เป็นประจำก็มีตราประทับรูปหงส์เพลิง”
“แล้ว… สัญลักษณ์ที่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับคาวาชิมะด้วยล่ะ”
“นั่นแหละที่ฉันอยากรู้ คนที่มีสิทธิ์ใช้ตราหงส์เพลิงต้องเป็นคนในตระกูลไฮบาระเท่านั้น คาโอรุมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลไฮบาระ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องรู้ให้ได้”
“เอาน่า… เรื่องแค่นี้เอง นายก็อย่าเครียดนักเลย เอาไว้ถามโนะอิก็ได้” มาโมรุตัดบทโดยการโอบไหล่ทั้งสองคนเข้ามาหาตัว พร้อมกับฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหันไปกระซิบกับยู “คืนนี้ขอฉันไปนอนค้างห้องนายนะ”
นัยน์ตาสีเข้มของยูหันมาจ้องเอาเรื่อง ก่อนจะปฏิเสธชนิดไม่เหลือเยื่อใย
“นายยังมีความผิดติดตัวนะมาโมรุ เอาไว้สำนึกได้เมื่อไหร่แล้วค่อยคุยกัน” ว่าแล้วก็แกล้งประชดโดยการไปคล้องแขนแฝดน้องหน้าตาเฉย “คืนนี้ค้างกับฉันนะโฮจัง”
หน้าคมๆของแฝดน้องขึ้นสี เพราะยูไม่เคยมาไม้นี้มาก่อน แต่ก็พยักหน้ารับแบบเขินๆ ทิ้งแฝดพี่ที่กำลังอึ้งยืนช็อกอยู่กลางถนนคนเดียว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 12/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 12-02-2008 23:06:29
ตอนนี้สนุกอ่ะ ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 12/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 15-02-2008 19:53:42
 :m22:Chapter 16 Death Match

บนตึกสูงระฟ้า… การเผชิญหน้ากันระหว่างสองบุคคลที่ไม่คาดฝัน
ละอองดาวพราวพร่างงดงามสมกับเป็นคืนเดือนมืด สายลมโชยพัดแผ่วยิ่งชวนให้เคลิ้มฝัน ถ้าเป็นวันธรรมดาได้มากางเก้าอี้ผ้าใบแล้วจิบชาอุ่นๆดูดาว คงจะโรแมนติกสุดๆเลย
“ฉันผิดหวังนะ”
บุรุษแรกเปรยออกมาก่อน เส้นผมสีเงินยวงสะบัดเป็นคลื่นล้อสายลม เปล่งประกายดุจพระจันทร์บนฟากฟ้า ใช่แล้ว… ทั้งสวย ทั้งน่าหลงใหล ถ้าไม่ติดตรง… นิสัยใจร้อนมุทะลุผิดชาวบ้านของมัน
“แต่ฉันก็กะแล้วว่านายต้องมาที่นี่” ร่างนั้นถอนใจให้กับความปวดร้าว ก่อนจะก้าวเข้าไปหาซึ่งๆหน้า
“แผ่นดิสก์ไม่ได้อยู่ที่นี่” อีกคนเปรยเบาๆ “ตอนนี้คาโอรุกับพี่ยูกำลังต่อสู้แย่งชิงกันอยู่ที่ห้องใต้ดิน”
“อ๋อ… เหรอ” เจ้าของเส้นผมสีเงินไหวไหล่ “แล้วนายล่ะ… อย่าบอกนะว่าที่อุตส่าห์ถ่อขึ้นมาถึงบนชั้นดาดฟ้า เพื่อจะมาดูดาวเป็นเพื่อนฉัน”
“โนะอิ!” คนกำลังเครียดตวาดกลับ “นายคงยังไม่ได้จัดการ… ไทกิ… ใช่มั้ย?”
“แล้วนายเห็นว่าไงล่ะ ซุย” โนะอิแบมือออกทั้งสองข้าง ไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีไทกิ ส่วนมันจะตัดสินว่าไงก็แล้วแต่มันจะคิด
ซุยทำหน้าเครียดจัด ตอนนี้คงได้แต่คิดในทางที่ดีไว้ก่อนว่าโนะอิยังไม่เจอไทกิ ไม่งั้นมันคงไม่มายืนเก๊กสวยอยู่แบบนี้หรอก
“เรายังพอมีทางต่อรองกันได้หรือเปล่า”
“ถ้านายยอมเอาตัวเข้าแลก ฉันก็จะลองคิดดู”
โนะอิก็พูดเล่นฆ่าเวลาระหว่างที่รอใครบางคนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะจริงจังจนเผลอรับปากเองง่ายๆ
“ได้… ฉันยอมให้นายทำได้ทุกอย่าง แต่อย่าสู้กับไทกิ ได้มั้ย?”
คำตอบจากซุยแทนที่จะทำให้โนะอิดีใจ กลับยิ่งโมโหจัด ปกติตื๊อมันแทบตายแต่ปลายนิ้วก็ยังไม่เคยได้สัมผัส แต่เพราะเด็กบ้านั่นคนเดียวมันถึงกับทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองยอมเค้าทุกอย่าง มันน่าโมโหจริงๆ
โนะอิเชิดหน้าท้ากลับเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าซุยทำได้อย่างที่พูดจริงก็ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
…มันกำลังมีใจให้ไอ้เด็กบ้านั่นแน่ๆ…
“เอาสิ… ฉันก็ว่าบรรยากาศบนนี้ไม่เลวเท่าไหร่ เหมาะจะเล่นบทรักมากกว่าจะเล่นสู้กันเป็นไหนๆ”
ซุยกัดฟันแน่น แต่ดันเผลอรับปากแล้วจะไม่ทำตามที่พูดก็ไม่ได้ เค้ามีเหตุผลสำคัญที่ไม่ต้องการให้ไทกิปะทะกับโนะอิ ไม่ใช่เพราะกลัวว่ามันจะสู้ไม่ได้… คนอย่าง Red Rose คงไม่เคยแพ้ใคร แต่นั่นแหละที่เค้าเป็นห่วง ไทกิเป็นอิสระแล้ว… จึงไม่สมควรที่จะให้มือเล็กๆของมันต้องเปื้อนเลือดโดยการฆ่าใครอีก
ประธานปีสองยอมเดินเข้าไปหารุ่นพี่อย่างว่าง่าย พออยู่ในระยะประชิดก็ถูกเจ้าชายหิมะผลักลงบนพื้นที่เยียบเย็น มันโรแมนติกก็จริง แต่เปิดฟ้าท้าดาวแบบนี้ มันก็ออกจะ…
“ไหนบอกว่าจะตามใจฉันไง ทำตัวแข็งทื่ออย่างกะท่อนไม้ไร้อารมณ์ หรือต้องให้ฉันคอยบอกทุกขั้นตอน หืม… ซุย”
ซุยกัดฟันกรอดๆ โนะอิมันสวยก็จริง แต่เค้าไม่เคยมีความคิดจะทำแบบนี้กับมันเลย มือที่เก้ๆกังๆฝืนใจคว้าร่างบางเข้ามากอด โน้มใบหน้าสวยๆเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตแผ่วเบา
…จูบแรก (ใครบอก เคยโดนไทกิขโมยไปแล้วต่างหาก เหอๆ) ขมขื่นที่สุดในชีวิต…
โนะอิตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้งให้มันเจ็บใจเล่นเฉยๆ แต่พอความอบอุ่นที่โหยหาเข้ามาอยู่ใกล้ก็เริ่มจะเผลอใจจนยั้งไม่อยู่ จะเป็นไร… ในเมื่อมันเสนอตัวมาเอง เค้าไม่ได้บังคับขืนใจมันซะหน่อย
ปากที่แค่เอามาประกบรู้สึกยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ โนะอิจึงต้องแสดงให้มันดูว่าจูบที่แท้จริงเค้าทำกันยังไง โดยการแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปในปาก เกี่ยวกระหวัดรัดพันกับลิ้นอีกด้านที่พยายามจะหนี แต่ก็หนีไม่รอด ถูกดูดดื่มความชุ่มฉ่ำจนแทบหายใจไม่ออก

“พวกนายทำอะไรกัน!!”

บุคคลที่สามที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โผล่เข้ามาไม่ดูกาลเทศะ ขัดจังหวะคนกำลังเคลิ้มได้ที่ นัยน์ตาสีฟ้าเย็นชาจึงหันไปจับจ้องด้วยความขุ่นเคือง แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน… ไอ้เด็กตัวแสบที่เค้ากำลังรออยู่นั่นเอง
นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงกระพริบปริบๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไหนโนะอิส่งสาสน์ไปท้ารบว่าจะรออยู่บนดาดฟ้า แล้วทำไม… ถึงมาทำอะไรโจ่งแจ้งกันอยู่ตรงนี้ล่ะเนี่ย
“นายแกล้งซุย นายบังคับเค้าใช่มั้ย?”
ข้อสรุปที่ไทกิสรุปเองล้วนๆ จนซุยนึกละอายตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ ที่มันเล่นเข้าใจผิดไปทั้งหมด
“ใช่… แล้วไง”
นั่น… แถมโนะอิยังสวมรอยรับคำหน้าตาเฉย
“ฉันไม่ยอมให้นายทำแบบนั้นแน่ นายรู้มั้ย… คนที่โดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำมันทรมานใจแค่ไหน”
ดวงตาของไทกิบ่งบอกถึงความปวดร้าวชัดเจน เค้ารู้ซึ้งดี… ต่อให้เป็นคนที่เคยมีใจศรัทธาแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้รัก… มันก็ไม่มีความหมาย
โนะอิผลักร่างสูงออกห่าง ก่อนจะก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเด็กโอหัง
“อันที่จริงฉันเองก็ไม่อยากทำอะไรท่อนไม้ตายซากนั่นนักหรอก สู้กับนายคงสนุกกว่ากันเยอะ”
แล้วรุ่นพี่ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลาเปล่า ดาบยาวสีแดงเพลิงสลักสัญลักษณ์จ้าวแห่งวิหคประจำตระกูลไฮบาระถูกดึงออกมาจากฝัก ประกายคมดาบแวววาวงดงามสมกับเป็นดาบในตำนานอย่างแท้จริง ยิ่งตัดกับเส้นผมสีเงินยวงของโนะอิก็ยิ่งดูขลัง ราวกับนักรบแห่งความตายไม่มีผิด
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า!!”
โนะอิไม่รอช้า พุ่งชาร์จเข้าใส่อย่างรวดเร็ว คมดาบแดงวาดพรึ่บ สวนกับแส้สีดำที่ตวัดรวบข้อเท้าจนเสียหลัก ใช่แล้ว… อาวุธประจำตัวของกุหลาบแดงที่อุตส่าห์ให้มิสึกิเสี่ยงตายเข้าไปขโมยออกมาก็คือ แส้เส้นนั้นนั่นเอง
“แส้เหรอ?” โนะอิขมวดคิ้ว “เฮอะ… ฉันก็คิดว่านายจะมีอาวุธที่แน่กว่านี้ซะอีก”
“แน่ไม่แน่ไม่รู้ แต่หลบให้ดีก็แล้วกัน เพราะถ้าโดนเข้าล่ะก็เจ็บใช่ย่อยเหมือนกันนะจะบอกให้”
ไทกิอวด ก่อนจะแกว่งแส้เป็นวงกว้าง เฉียดผ่านเส้นผมสีเงินยวงของโนะอิไปแค่นิดเดียว คมดาบวับวาวตวัดสวนอีกครั้ง ร่างทั้งร่างกระโดดเข้ามาประชิด ไทกิเบี่ยงตัวหลบคมดาบ แต่มืออีกข้างของคู่ต้อสู้ก็ลั่นไกปืนพกที่ซ่อนไว้ หมายใจจะให้มันฝังลงกลางหัวใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่า สายตาจึงคมกริบยิ่งกว่ามนุษย์ปกติ ไทกิย่อตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับตวัดแส้ขู่ให้โนะอิถอยออกไปห่างๆ
“ขี้โกงนี่! เล่นใช้อาวุธตั้งสองอย่าง” ไทกิโวย
“เหรอ… จำไม่ได้เลยว่าเราตกลงกันไว้เมื่อไหร่ ว่าจะใช้อาวุธแค่ชิ้นเดียว”
“พูดงี้ก็สวยน่ะสิ” ไทกิฉีกยิ้มกว้าง
“งั้นก็มาตัดสินกัน สู้กันจนกว่าจะมีคนพูดว่ายอมแพ้ หรือไม่ก็จนกว่า… จะมีคนตายไปข้างหนึ่ง”
“ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว”
ไทกิกระชับอาวุธในมือไว้มั่น และทันทีที่โนะอิพุ่งเข้าจู่โจมเค้าก็สะบัดแส้แหวกตัดผ่านอากาศ เสียงอาวุธสองอย่างที่แตกต่างกันสุดขั้วปะทะกันลั่นครืนครางราวกับเสียงฟ้าร้อง คนหนึ่งรวดเร็วดั่งสายลม อีกคนเยือกเย็นดุจหิมะ มันเป็นการต่อสู้ที่รวดเร็วดุเดือด เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว จนผู้ที่เฝ้าจับตาดูอย่างซุยแทบจะมองไม่ทัน
เก่งมาก… น้อยคนนักที่จะสู้กับโนะอิได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ดูท่าชื่อ ‘กุหลาบแดง’ คงไม่ใช่ได้มาเพราะความฟลุ้กจริงๆซะแล้ว
แต่ถ้าขืนปล่อยให้สู้กันแบบนี้ต่อไปก็จะอันตรายทั้งคู่ คงไม่มีใครคิดที่จะยอมแพ้จนกว่าจะบาดเจ็บปางตาย ซึ่งในฐานะประธานเค้าจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับคนในสถาบันไม่ได้เด็ดขาด
“พอได้แล้ว!” ดาบคู่ตวัดสวนก่อนที่ทั้งคู่จะจู่โจมเข้าหากันอีกครั้ง มือหนึ่งต้านรับดาบจากโนะอิ ส่วนอีกด้านก็ปัดแส้ของคนหัวดื้อออกไปพ้นทาง “พวกนายมาที่นี่เพื่อทำภารกิจนะ แล้วจะสู้กันเองเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา”
“ฉันกับมันมีหนี้หลายอย่างที่ต้องสะสาง… ถอยไป ซุย!” โนะอิจี้ปลายดาบขู่ให้มันถอย
“ใช่… ฉันไม่ได้สนุกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว นายอย่ามาห้ามซะให้ยากเลย”
สนุกเหรอ?
ซุยชักสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ เมื่อไหร่ที่ยมทูตเริ่มสนุกกับการฆ่า เมื่อนั้นย่อมแสดงว่าสติสัมปชัญญะของมันใกล้จะ…
พอซุยปรายตามองก็เป็นอย่างที่กลัวจนได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงที่เคยงดงามกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดราวกับมัจจุราชของแท้ นัยน์ตาที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจที่ได้ล่าความตาย…
อ.ชิงุเระก็เคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าให้ไทกิจับอาวุธสู้ถ้าไม่จำเป็น เพราะการฆ่าคือสิ่งที่ถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเหล่ายมทูต เมื่อไหร่ที่ได้สัมผัสกลิ่นคาวเลือด เมื่อนั้นพวกมันก็จะกลายเป็นแค่เครื่องจักรสังหารที่ปราศจากมโนธรรมอีกต่อไป
คมดาบสีแดงตวัดดาบสีเงินของซุยออกไปจนพ้นทางในช่วงที่มันเผลอ ก่อนจะกระโจนเข้าไปหายมทูตซึ่งๆหน้า ริมฝีปากบางที่รออยู่ขยับรอยยิ้มเหี้ยม มืออีกข้างที่ล้วงเข้าไปในชุดคลุมสีดำสนิทกำอาวุธอีกอย่างซัดเข้าใส่ข้อมือของโนะอิจนดาบหลุดกระเด็น
อะไรกัน!!
โนะอิมองดูบาดแผลที่ข้อมือขวา เนื่องจากคมหนามกุหลาบที่ตอนนี้ร่อนไปปักฝังอยู่บนพื้นคอนกรีต บาดแผลนั้นไม่ลึก เหมือนเป็นแค่รอยข่วนจางๆเท่านั้น แต่ทำไมถึงทำให้มือทั้งมือชาจนขยับไม่ได้
“ดอกไม้นี่มันอะไรกัน!!” โนะอิโวยลั่น
“นายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเราไม่เคยตกลงที่จะสู้กันด้วยอาวุธเพียงชิ้นเดียว” ดวงหน้ายมทูตยิ้มพราย พร้อมก้าวขาขยับเข้าไปหาเหยื่อ “อีกอย่าง… หนามกุหลาบบางชนิดก็มีพิษ ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ชอบแส่หาเรื่องกับมันบ่อยๆเข้า นายนั่นแหละที่จะโดนพิษจนตายซะเอง”
โนะอิใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเหนี่ยวไกปืนยิงสวน ไทกิไม่หลบ ยอมให้กระสุนนัดนั้นเฉียดผ่านข้อมือตัวเองจนเลือดอาบ
“ตอนนี้เราก็เท่าเทียมกันแล้ว” ไทกิที่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงจ้องเขม็งไปที่เหยื่อ พลางยกแขนข้างที่มีเลือดไหลอาบขึ้นมาเลียเบาๆ “แต่ถึงอย่างนั้น… ฉันก็ยังเหนือกว่านาย!”
แส้ในมือหวดเข้าไปพันรัดรอบคอเหยื่อ โนะอิที่แขนข้างหนึ่งด้านชาไปแล้วก็หมดทางต่อสู้ ได้แต่ดิ้นรนหนีจากความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ
“ฉันเกลียดคนสองประเภทมากที่สุด พวกแรกคือที่พวกที่ชอบอวดดีทั้งที่ความจริงก็ไม่แน่สักเท่าไหร่ กับประเภทที่สอง… คือพวกที่ตอแยชีวิตฉันไม่เลิกอย่างนาย”
ไทกิกระตุกแส้ในมือแน่นขึ้น รัดจนต้นคอขาวๆของโนะอิมีรอยช้ำเป็นเส้น ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิทจนแทบไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ ลมหายใจติดขัด พอๆกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆเลือนรางลงทุกขณะ แต่ก่อนที่รุ่นพี่จะถูกสังเวยชีวิตให้กับยมทูต คนที่เฝ้าดูอยู่ก็เข้ามาขัดขวางโดยการพุ่งคว้าตัวไทกิแล้วกลิ้งล้มลงไปอีกด้าน แส้อาวุธชิ้นสำคัญหล่นพรวดจากมือ คืนชีวิตให้กับเจ้าชายหิมะอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของยมทูตในยามนี้บ่งบอกอาการโกรธจัดอย่างที่สุด ที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะการฆ่า มันกล้ามาก บังอาจเกินไปแล้ว
“นายขวางฉัน!” ไทกิกัดฟันกรอดๆ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะยังจำซุยได้หรือเปล่า “ฉันจะฆ่านายด้วยอีกคน!!”
เท้าเล็กๆแต่แรงดีชะมัดยาด ถีบเข้าไปเต็มๆท้องจนซุยกระเด็นไปสุดริมดาดฟ้า ยมทูตลุกขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งจู่โจมเข้าหาด้วยสัญชาตญาณดิบ แต่ซุยยังไวพอที่จะก้มตัวหลบ เลยทำให้คนบ้าเลือดเสียหลัก พุ่งออกนอกขอบรั้วชั้นดาดฟ้า!
“ไทกิ!!!”
ซุยไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เค้ากระโจนเข้าไปกอดไทกิเอาไว้แน่น ก่อนจะดิ่งลงจากชั้นสูงสุดของตึกซันไชน์ด้วยกันทั้งคู่
“ซุย!!!”
เสียงร้องโหยหวนของรุ่นพี่ปีสามดังสะท้อนกึกก้องทั่วลานชั้นดาดฟ้า เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงปืนของมาโมรุลั่นไกจ่อยิงแขนขวาของฮิโระที่ห้องโถงใต้ดิน
และแล้ว…. ทุกสรรพสิ่งก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

ความเย็นเยียบอาบไล้ทั่วใบหน้า… ผสานกับกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ที่คุ้นเคย รอบตัวหนาวจัดราวกับหลงทางอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง แต่มือข้างที่สัมผัส กับบางสิ่งที่แนบอยู่บนแก้มทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ
นี่เค้าตายแล้วหรือไง… ถึงได้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในนรกที่หนาวเหน็บ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเทพธิดามาโอบอุ้มไว้ ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
“นายฟื้นแล้วเหรอ”
เสียงเรียกที่คุ้นเคย ทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มกับฝันหวานถึงกับสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาแทบไม่ทัน
ฝันบ้าบออะไรเนี่ย… ทำไมเทพธิดาของเค้าถึงกลายเป็นยมทูตไปซะได้ งี่เง่าชะมัด…
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไทกิยังทำหน้างงๆอยู่ มันวางเค้านอนบนตักของมันเอง ในมือถือผ้าชุบน้ำที่เอามาซับหน้าให้ พอเหลียวมองรอบๆด้านก็เป็นห้องที่มืดทึบ เหมือนเป็นห้องเก็บเอกสารของสำนักงาน
“สู้กับโนะอิอยู่ดีๆก็มีแต่เลือดเต็มหน้าไปหมด จากนั้นฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง”
ซุยผุดลุกขึ้นมานั่ง เค้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ที่มันก่อเรื่องไปตั้งเยอะ จำไม่ได้เลยจริงๆนะเหรอ
“นายเกือบจะฆ่าโนะอิ เกือบจะฆ่าฉัน แล้วพุ่งลงมาจากดาดฟ้ามาเนี่ย… จำไม่ได้เลยเหรอ”
ไทกิส่ายหัว พร้อมทำหน้าเศร้าสำนึกผิด “จำไม่ได้หรอก โชคยังดีนะที่ฉันมีแส้สำรองอีกเส้นเลยเกี่ยวเสารั้วไว้ได้ทัน แล้วพังกระจกเข้ามาที่นี่ ไม่งั้น… เราทั้งคู่คงดับไปแล้ว”
“นายเนี่ยมันเหลือเชื่อจริงๆ ชอบทำให้ฉันใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อย” ซุยดุ
“ก็บอกว่าขอโทษแล้วไง” ไอ้ตัวแสบที่เพิ่งสำนึกทำเสียงอ่อยๆ “อันที่จริง… ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ฉันเกือบจะทำให้คนที่สำคัญที่สุดต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเองมาแล้ว”
ไทกิกัดฟันแน่นแล้วเบือนหน้าหนี ซุยไม่มีวันรู้หรอกว่าเค้าเสียใจแค่ไหนที่ทำให้มันต้องตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้ กี่ครั้งแล้วที่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือว่าคำพูดของแม่จะเป็นความจริง…

‘กุหลาบแดง คือตำแหน่งที่จะมีได้เพียงหนึ่งเดียว ลูกจะต้องโดดเดี่ยว จะมีสิ่งสำคัญที่เป็นจุดอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ทิ้งทุกอย่างไปซะเถอะ แม้แต่… ตัวแม่เอง ลูกก็จะคิดถึงไม่ได้’

กุหลาบแดงไม่ใช่สิ่งของ แต่มีหัวใจเหมือนคนอื่นๆ สิ่งที่มีหัวใจ แต่ ‘รัก’ ใครไม่ได้ มันทรมานมากนะ
“ไหนลองเล่ามาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงเปรยจากคนข้างๆทำให้ไทกิต้องหยุดความคิดที่แสนเจ็บปวด เค้าแอบปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองข้าง
“เรื่องไหนล่ะ?”
“ก็เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคนสำคัญ…” ซุยสะอึกไปนิด “คนสำคัญของนาย… เกิดอะไรขึ้นกับเค้า”
ไทกิถอนใจอีกเฮือก แต่พอเห็นหน้าที่มุ่งมั่นของซุยแล้วก็ต้องตัดใจเล่า ถึงจะไม่อยากพูดถึงอีกเลยก็ตาม
“เซกิ”
ยมทูตกล้ำกลืนคำพูดอย่างยากลำบาก
“เค้าเป็นหนึ่งในสามยมทูต… อยู่ในตำแหน่ง White Lily ที่คนในองค์กรให้ความเคารพในฐานะรองผู้นำ เค้าเป็นคนที่อยู่ข้างกายฉันมาตลอด ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ชีวิตฉันก็มีเพียงเซกิ จนบางทีฉันยังคิดว่าในโลกนี้คงมีแค่เราสองคน ฉันนับถือเซกิมาก ได้อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข ถึงฉันจะเป็นผู้นำ แต่สำหรับฉันแล้วเซกิก็คือพี่ชายที่ฉันเชื่อใจ แต่สำหรับเซกิ… ฉันกลับเป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งของเค้า”
ไทกิแหงนหน้ามองฝ้าเพดานแล้วก็ถอนใจอีกรอบ
“ความรู้สึกที่เค้ามียิ่งล้ำลึกจนกลายเป็นสายใยที่ตัดไม่ขาด เค้าไม่เพียงต้องการเก็บฉันไว้เป็นสมบัติข้างกาย แต่ยังต้องการครอบครองฉันด้วย ในวันเกิดครบอายุสิบห้าปี… วันที่ฉันหนีออกมาจาก Death Flowers วันนั้นเซกิตั้งใจจะมีความสัมพันธ์กับฉัน ตอนที่โดนกอด… โดนจูบ… โดนสัมผัสเนื้อตัว… ฉันรู้สึกอึดอัดใจมาก แล้วจู่ๆตรงหน้าก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเซกินอนจมกองเลือดอยู่ ฉันกลัวมาก ก็เลยหนีออกมา”
ไทกิยกมือขึ้นมาปิดหน้า ความปวดร้าวฝังใจมันท่วมท้นจนพูดต่อไม่ได้ ความรู้สึกที่เคยศรัทธาและรักดั่งพี่ชายถูกทำลายจนย่อยยับ ถ้าแม้แต่เซกิยังเชื่อใจไม่ได้ ในโลกนี้… ก็คงไม่มีใครที่เค้าจะเชื่อได้อีกแล้ว
“แล้ว… เซกิตายหรือยัง” ซุยถามต่อ
“ไม่… ตอนหลังฉันจับองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวมาได้หนึ่งคน พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเซกิบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ตาย ฉันเชื่อว่าเซกิคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ เค้ากำลังตามหาตัวฉันอยู่ ตามกลับไปเพื่อเป็นสมบัติของเค้า”
ไทกิมองหน้าซุยอีกครั้ง คนสำคัญอีกคน… ที่ไม่อยากให้มันต้องมาประสบเคราะห์ร้ายเพราะเค้าอีก
“จากการต่อสู้กับโนะอิวันนี้ นายคงเห็นแล้วว่ายมทูตน่ากลัวแค่ไหน ถ้าได้พบเซกิอีกครั้ง นั่นจะเป็นวันตัดสินชะตาของฉัน คราวนี้… ไม่ฉันก็เซกิ จะต้องมีคนตายไปข้างหนึ่ง”
ซุยเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆที่สั่นเทาเข้ามากุมไว้
“ฉันรู้นะ… ว่าตัวเองมีความสามารถไม่พอที่จะไปเทียบชั้นกับพวกนายได้ แต่ถึงยังไงฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมือข้างนี้เด็ดขาด”
ไทกิสะบัดมือออก “นายยังไม่เข้าใจอีกหรือไง นายไม่มีวันปกป้องฉันได้ มีแต่จะเอาชีวิตมาทิ้งซะเปล่าๆ ที่สำคัญ… ตอนนี้ฉันก็ไม่มีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะใช้หนี้ชีวิตให้นายด้วย บ้านนายทำทุกอย่างก็เพราะเงินไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงตายเพื่อยาจกอย่างฉันหรอก”
“ไทกิ… ของบางอย่างสำหรับฉันมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอกนะ”
รุ่นพี่สบตานิ่ง ก่อนจะโอบไหล่ดึงตัวคนดื้อเข้ามาใกล้ๆ
“นายไม่คิดจะซื้อฉันด้วยอย่างอื่นเหรอ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงิน…”
“อะไร?”
ไทกิขมวดคิ้วมุ่น มือที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด แล้วมือที่ว่าก็ดันมาหยุดแหมะอยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย พร้อมกับร่างสูงที่โน้มลงมากระซิบใกล้ๆที่ข้างหู
“สิ่งที่อยู่ในนี้… หัวใจของนาย คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”
ความเงียบงันครอบงำสติรับรู้เนิ่นนาน กว่าสมองทึ่มๆของไทกิจะลำดับความคิดว่าฟังอะไรเข้าไปบ้าง หน้าที่แดงเด่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งแดงซ่าน ซุยรู้ใจตัวเองตั้งตอนที่ได้ยินเรื่องของเซกิ ความรู้สึกหวงแหนและต้องการปกป้องดอกไม้ที่บอบบางทำให้ไม่อาจปล่อยมือคู่นี้ไปได้อีกแล้ว
แต่ดูเหมือนบางคน จะยังไม่รู้ตัว…
“นายล้อฉันเล่น” ฟังยังไงไทกิก็ไม่อยากจะเชื่อ “อย่างนายเนี่ยนะจะมาชอบฉัน ตลกแล้ว”
“เหรอ… งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยล่ะ?” ซุยขยับเข้าไปใกล้พร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือข้างที่กุมหัวใจไว้สอดเข้าไปใต้เสื้อตัวหนา สัมผัสกับปุ่มนูนที่แข็งขืนรับความรู้สึกเองโดยอัตโนมัติ
“อย่า… ไม่นะ เซกิ!!”
คำพร่ำเพ้อละเมอหาชื่อของอีกคน ทำเอาซุยถึงกับชาวาบไปทั้งร่าง นั่นสินะ… ไทกิจะลืมคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆปีแล้วหันมาชอบเค้าได้ยังไง ไม่มีทางเลย… ซุยลดมือลง แล้วเบือนหน้าหนี
“ขอโทษ… ฉันน่าจะรู้ตัว ฉันไม่คู่ควรกับนาย ฉันมันบ้าไปเองที่คิดจะฉุดนายลงมา ขอโทษด้วยนะไทกิ”
“ไม่ใช่นะซุย… มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด คือ เอ่อ… ฉัน… ฉันต่างหากที่ไม่คู่ควร ฉันมัน… โอ๊ย! ฉันจะบอกนายยังไงดีเนี่ย”
ไทกินึกอยากกัดลิ้นตัวเองตายนัก เค้าไม่อยากให้ซุยเสียใจ แต่เหตุการณ์ที่เกือบจะพลาดท่าให้กับเซกิมันยังฝังใจอยู่จนถึงทุกวันนี้ เค้าทำไม่ได้… ถึงอยู่ด้วยกันก็จะทำให้ซุยทรมานเปล่าๆ
ซุยมองคนดื้อที่กำลังกุมขมับแล้วก็พอจะเข้าใจความคิด เลยดึงตัวเข้ามาใกล้กันยิ่งขึ้น
“มองหน้าฉันสิไทกิ… ถ้านายเชื่อใจฉัน ตรงนี้ก็จะมีแค่ฉันกับนาย ไม่ว่าที่แล้วมานายจะพบใครหรือเจออะไรมาบ้าง แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าฉันจะไม่มีวันทำร้ายนายเด็ดขาด… อยู่กับฉันเถอะนะไทกิ”
นัยน์ตาสีรัตติกาลหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้หัวใจที่เคยสับสนค่อยๆสงบลง ค่ำคืนที่แสนหวานกำลังจะเริ่มต้น รอรับ ‘ความรัก’ ที่กำลังจะก่อเกิดให้กับดอกไม้ที่เคยเดียวดายดอกนี้
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 12/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 15-02-2008 19:55:21
 :m22:Chapter 17 Sweet Rose

ภายในห้องแคบอับทึบ… ร่างกายที่เบียดแทรกเข้ามายิ่งร้อนผ่าว มือกร้านทำหน้าที่ปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างใจเย็น พอถึงอันสุดท้ายกลับถูกมือเล็กๆยกขึ้นมาห้ามไว้ คิ้วคมๆของคุณชายสายน้ำขมวดมุ่น
“ทำไม… หรือไม่เชื่อใจฉันแล้ว?” เสียงแหบพร่ากระซิบถามข้างหู แถมยังซุกไซ้ไล่ขบเม้มติ่งหูเบาๆจนร่างบางสั่นสะท้าน
“ไม่ใช่” ไทกิส่ายหน้า “ฉันเชื่อใจซุย แต่… แต่ฉัน… ยังไม่เคย…”
“ฉันเองก็ไม่เคย” ตาหวานๆที่ส่งมาให้ย้ำหนักแน่น “แต่เราสองคนจะค่อยๆเรียนรู้ด้วยกัน ฉันกับนายจะแบ่งปันทุกความรู้สึกของกันและกัน ขอให้เชื่อใจฉัน… ฉันจะนุ่มนวลที่สุด ฉันสัญญา”
เมื่อได้ยินคำสัญญาที่หนักแน่น แก้มบางๆก็ฉีดซ่านสมฉายากุหลาบเลือด ไทกิพยักหน้ารับเบาๆ ร่างสูงจึงเริ่มทำหน้าที่ของเค้าต่อ จัดการปลดกระดุมตัวปัญหาอันสุดท้ายออกไป แล้วค่อยๆเปิดเสื้อเชิ้ตตัวเก่งออก เผยให้เห็นผิวบอบบางที่ซ่อนอยู่ข้างใน ผิวของมันเป็นสีชมพูระเรื่อ แถมยังเนียนนุ่มจนน่ากิน ซุยขยับรอยยิ้ม แต่ไทกิหันหน้าหนีไปอีกทาง
“กลิ่นกุหลาบ… หอมจัง” ซุยเพ้อไปด้วย พร้อมประทับริมฝีปากไล่จูบจากซอกคอ
“อ๊ะ!” ร่างบางร้องครางออกมา ตอนที่ผิวเนียนๆถูกดูดทึ้งจนช้ำ ถ้ามันจูบอย่างเดียวจะไม่ว่า แต่นี่เล่นทั้งขบทั้งกัดจนระบมไปหมด แล้วร่างทั้งร่างก็ต้องผวาสุดตัว สองมือเล็กๆจิกท้ายทอยคนที่กำลังทารุณร่างกายของเค้าเอาไว้แน่น
“ไหนนายบอกจะไม่ทำให้เจ็บไง” ร่างบางรีบประท้วง ตอนที่ร่างสูงคลอเคลียเล่นอยู่กับยอดอกชูชัน เพราะเจ้าสองแต้มนั่นมันน่ารักอย่าบอกใคร เป็นสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ แถมยังตอบสนองว่องไวเพียงแค่ใช้ลิ้นแตะเข้าไปใกล้ๆ
“โทษที… ก็นายน่ารัก จนฉันลืมตัว” ซุยบอก ก่อนจะแกล้งทรมานร่างบางต่อ เค้าไล่ลิ้นอุ่นลิ้มเลียรสหวานจากยอดอกจนชุ่มฉ่ำ ความเสียวซ่านเล่นงานไทกิจนแทบเพ้อคลั่ง ลิ้นของมันช่างร้ายกาจนัก เล่นกระหวัดพันรัดจนจนร่างกายช้ำไปหมด
“ไทกิ…”
เสียงเพ้อเหมือนได้อยู่ในความฝัน จ้องมองร่างบางที่สั่นระริกอย่างได้ใจ สองมือซุกซนก็รีบทำหน้าที่ต่อ ลูบวนอยู่ตรงนวลเนื้อขาวผ่องช่วงท้องน้อย ร่างบางที่เริ่มสติแตกก็ขยับตัวขึ้นลงตามจังหวะ ยิ่งยั่วยวนคนกำลังคลั่งให้ห้ามใจต่อไปไม่ไหว
“ฮ้า… อย่านะ… ตรงนั้นไม่เอา”
ไทกิส่งสายตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอบางๆมาอ้อนวอน ทันทีที่ถูกรูดกางเกงตัวเก่งลงไปกองที่พื้น แต่ใครล่ะจะห้ามสติที่กระเจิดกระเจิงไปแล้วได้
“ฉันบอกแล้ว จะไม่ทำให้นายเจ็บ” ซุยรับปากอีกทีพร้อมขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เค้าจัดการปราการด่านสุดท้ายออกไปจนพ้นทาง ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีเข้มก็เบิกกว้างขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
ไม่น่าเชื่อ! ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้!
ซุยแทบอยากจะกลืนแล้วเคี้ยวไทกิลงท้องเข้าไปทั้งตัว ถ้าไม่กลัวว่ามันจะช้ำในตายไปซะก่อน เพราะแม้แต่ส่วนกลางก็ยังเป็นสีแดงเหมือนกลีบกุหลาบ  แถมยังสั่นระริกเหมือนเจ้าตัวไม่มีผิด ซุยลูบเจ้านั่นช้าๆ มันก็ตื่นตัวขึ้นมารับกับสัมผัสจากเค้าทันที
“อา… ซุย พอแล้ว” ร่างบางก็ห้ามไปอย่างนั้น ทั้งที่กำลังจะสติแตก จะว่าน่าอายก็น่าอาย แต่ก็มีความสุขจนไม่อยากให้หยุด อารมณ์สองอารมณ์ตีกันอยู่ในหัวจนสับสนไปหมด
“วิเศษที่สุด” ร่างสูงเปรยอย่างถูกใจ จากมือที่ลูบไล้อย่างอ่อนโยนก็เริ่มบดขยี้รุนแรงขึ้น
“อ๊า! อือ… ไม่…”
ไทกิร้องคราง ร่างกายมันร้อนผ่าวไปหมด เหงื่อก็ไหลโทรมอย่างกะน้ำ แต่ซุยจะสนใจฟังเค้าสักนิดก็เปล่า เมื่อมันยังเอาแต่เล่นอยู่กับเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะเผด็จศึกขั้นสุดท้าย โดยการก้มลงไปใช้ปากครอบครองเต็มที่ ลิ้นชื้นๆดุนอยู่ตรงส่วนปลายที่อ่อนไหว พร้อมปากที่ขยับขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขที่อัดล้นมันมากเกินจะทัดทานไว้ได้อีกแล้ว ก็พุ่งทำลายทำนบออกมาในสภาพของเหลวสีข่าวขุ่นจนเปรอะไปทั่ว
“อ๊าาาาาาาา!!!!”
ไทกิตะโกนระบายความอัดอั้นจนสุดเสียง พอปล่อยออกมาจนหมดตัว ก็นอนหอบกระเส่าเพราะหมดแรง
ยัง… ยังไม่สิ้นสุดแค่นี้
ซุยยิ้มกริ่ม มองร่างเล็กๆที่กำลังจะตายคามือ หลังจากที่จัดการเก็บกวาดของหวานที่เลอะเทอะไปทั่วจนหยดสุดท้าย เค้าก็มุ่งไปหาเป้าหมายต่อไปเพื่อปลดปล่อยตัวเองบ้าง ร่างสูงจับร่างเล็กๆที่กำลังหอบพลิกคว่ำ ใช้หัวเข่าดันขาเพรียวให้แยกออก จนเห็นทางคับสีชมพูหวานจ๋อยซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้าย
“อืม… รสชาติดีจัง” ร่างสูงใช้ลิ้นลองชิมก่อน กระตุกลิ้นสอดเข้าไปข้างใน ช่องทางคับก็รัดรับกับลิ้นของเค้าทันทีที่สัมผัส ให้ความรู้สึกเสียวซ่านจนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เค้าจะยิ่งสุขแค่ไหน
“พอเถอะซุย ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ” ไทกิประท้วงไปอีกรอบ เผื่อจะสำเร็จ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว… ใครจะยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ
“ทนอีกนิดนะไทกิ” ร่างสูงกระซิบบอก พร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปหนึ่งนิ้วจนร่างบางผวา มือคว้าอะไรได้ก็จิกไว้ก่อน ปากก็เม้มแน่นจนเลือดซึมออกมาซิบๆ
“ฉันเจ็บ!” ร่างบางประท้วงอีกที แต่ร่างสูงกลับตอบโต้โดยการขยับนิ้วที่สอดไว้ ก่อนจะแทรกเข้าไปอีก
“อื้อ!” ไทกิไม่อยากประท้วงแล้ว เพราะถึงร้องไปมันก็ไม่หยุด คราวนี้สองนิ้วทำงานอย่างรวดเร็ว แต่ยังหาจุดที่พอใจไม่ได้ นิ้วที่สามก็เลยต้องตามเข้าไปเป็นตัวช่วย
“อ๊ะ! อา…”
เจอแล้ว… ซุยสรุปในใจตอนที่เห็นร่างบางดิ้นเร่า แอ่นตัวรับกับนิ้วที่ไปกระแทกจุดตาย
พอหมดหน้าที่ นิ้วเจ้ากรรมทั้งสามก็ถูกถอนออกมาพรวดเดียว ทิ้งทางคับที่เริ่มจะเปิดกว้างขึ้นอีกหน่อย ร่างสูงหันมาปลดอาภรณ์ของตัวเองออกบ้าง แล้วตัวการที่อดกลั้นมานานก็พุ่งพรวดออกมาจนไทกิต้องแอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เพราะดูจากขนาดแล้วงานนี้เค้าต้องตายแน่ๆ
“พะ… พอแค่นี้ไม่ได้เหรอซุย”
“ไม่ได้” รุ่นพี่คนสำคัญย้ำคำหนักแน่นยิ่งกว่าตอนที่สัญญากับเค้าซะอีก แถมยังขยับเจ้าสิ่งนั้นเข้ามาใกล้ ไทกิหลับตาปี๋ ก้มหน้ากัดฟันรอรับความเจ็บปวด
“ฉันเข้าไปนะ” กระซิบบอกมันซะหน่อย ก่อนที่จะปฏิบัติการเผด็จศึกขั้นสุดท้าย ซุยขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วสอดใส่ช่องทางคับอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กๆกระตุกเร่า ตอนนี้ทุกอย่างมันแนบแน่นไปหมด
“อือ… อย่าเกร็งสิไทกิ ฉันขยับไม่ได้” ร่างสูงบ่นตอนที่เข้าไปได้แค่ครึ่งทาง สงสัยเพราะมันไม่เคย จึงตัดสินใจขยับเข้าไปอีก
“โอ๊ย!!” ไทกิผวาสุดตัวตอนที่ร่างสูงเข้ามาจนมิด น้ำตาใสๆไหลพรากเพราะทนไม่ไหว พอซุยเห็นคนรักทรมานก็เริ่มไม่สบายใจ
“อีกนิดเดียวเท่านั้นไทกิ ฉันเชื่อว่านายต้องทำได้ ปล่อยตัวตามสบายแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้น”
‘พูดก็พูดง่ายนี่ ลองมาเป็นฉันดูมั้ยล่ะ’ ไทกิแอบเถียงในใจ
ร่างสูงพยายามปลอบพร้อมกับโยกตัวเข้าออกช้าๆ พอร่างบางเริ่มชินก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น ความร้อนและความตึงแน่นจากกล้ามเนื้อที่เสียดสี แม้จะทำให้ทรมานมากในตอนแรก แต่พอผ่านไปสักพัก ร่างกายของก็ปรับสภาพและรับความรู้สึกสุขล้นที่เข้ามาแทนที่ ไทกิเผลอขยับสะโพกตามจังหวะไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองบรรเลงเพลงรักเป็นจังหวะพร้อมกัน แล้วไม่ช้าร่างบางก็รับรู้ถึงความอัดแน่นที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเค้าจนร้อนฉ่า
“อา… อืม…”
ซุยครางอย่างที่ไม่เคยครางมาก่อน ความสุขที่ได้รับมันท่วมท้นจนไม่อยากให้ผ่านเลยไป แต่ร่างกายของเค้าก็ต้องการเวลาฟื้นตัว จึงยอมถอนตัวออกมาอย่างง่ายดาย น้ำแห่งความรักไหลซึมออกมาพร้อมคราบเลือดจางๆ แต่สิ่งที่ทำให้ซุยขยับรอยยิ้มด้วยความเอ็นดู ก็ตอนที่เห็นแกนกลางเล็กๆกำลังปลดปล่อยออกมาอีกรอบ
“โอย… ไม่เอาแล้ว”
ไทกิพลิกกลับมานอนแผ่หมดแรง หอบจนแทบจะหายใจสูบอากาศเข้าปอดไม่ทันอยู่แล้ว คุณชายสายน้ำทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ กอดก่ายสุดที่รักไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม
“นายนี่หวานสมชื่อกุหลาบแดงจริงๆ ให้ตายสิ… ทำฉันแทบละลายคาตัวนายเลย มิน่า… ใครๆถึงอยากได้ตัวนายกันนัก”
ซุยทั้งชมทั้งล้อ จนกุหลาบงามๆค้อนขวับ หนอย… รังแกเค้าซะยับเยินยังไม่พอ ยังมีหน้ามาเหน็บเค้าอีก รู้งี้ไม่ยอมมันซะก็ดี
“ฉันยอมให้นายครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละซุย ต่อไปไม่มีอีกแน่ เจ็บจะตายชัก” ไทกิบ่นอุบ พร้อมกับแอบเอามือลูบสะโพกป้อยๆ
“อะไรกัน… จะพอแล้วเหรอ แต่ฉันยังอยากจะต่ออีกยกนี่”
“อะไรนะ!” ไทกิสะดุ้งเฮือก แต่จะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว เพราะมือมันเหนียวกว่า คว้าตัวเค้ากดหมับ แถมยังมาคลอเคลียจนหนีไม่รอด
“ไม่เอาแล้วซุย! พอแล้ว!”
“ว่าไงนะ” เสียงหวานๆกระซิบที่ข้างหู ปากซุกซนก็พรมจูบไปทั่วจนคนดื้อยังเคลิ้ม
“อื้ม… บอกว่าไม่เอา…” เสียงต่อต้านเริ่มแผ่วลง ตอนที่ร่างอุ่นๆเบียดแทรกเข้ามาอีกครั้ง
“ว่าไงนะ” ซุยแกล้งถามไปอีก
“ไม่เอา…”
ปากบางๆของคนดื้อถูกประกบ ดูดดื่มหาความหอมหวานจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ไม่…”
คำเพ้อสุดท้ายที่หลุดออกมา ก่อนที่จะยินยอมให้ทั้งกายและใจ แล้วคืนนั้นต่างคนต่างทำอะไรกันและกันไปบ้าง ก็ไม่มีใครจำได้อีกแล้ว
ทิ้งเพื่อนตัวป่วนสองคน… ตามหามันแทบบ้าคลั่งจนถึงรุ่งเช้า
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-02-2008 23:40:37
 :m25: :m25: มันทุกตอน ทั้งตอนต่อสู้ ทั้งตอน......  :m25: :m25: เอาอีกๆๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-02-2008 20:02:52
และแล้วกุหลาบก็ถูกเด็ด อิอิ ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :m25:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 17-02-2008 02:23:08
 :m25: :m25:สรุปกุหลาบก้อโดนลิ้มลองความหวานจนได้ :m25: :m25:

ไม่ไหวแล้ว  เลือดจะหมดตัวแล้วค๊าบบ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-02-2008 12:17:49
อิอิ  กุหลาบโดนเด็ดด้วยความเต็มใจ
ดีนะ ที่ซุยยังหยุดไทกิทัน  ไม่งั้นโนะอิตายแหงๆ

มันส์มากกกก  เรื่องนี้สุดยอด เยี่ยม
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 13-03-2008 15:31:38
 :m22:Chapter 18 Tear of Juliet

‘ฮิโระ โซมะ และ คาโอรุ คาวาชิมะ กรุณาไปพบอาจารย์โอคุนิที่ห้องพักอาจารย์เดี๋ยวนี้ด้วยครับ ฮิโระ โซมะ และ คาโอรุ คาวาชิมะ…’

เสียงประกาศตามสายก่อนเวลาพักเที่ยง ทำให้คนที่กำลังง่วงตื่นตัว ก่อนจะหันรีหันขวางอย่างลุกลี้ลุกลน เห็นไทกิเพื่อนซี้หลับสนิทฟุบคาโต๊ะ ส่วนเพื่อนผู้แสนรู้อีกคนที่วันนี้ย้ายไปนั่งหน้าห้องก็กำลังเก็บของอย่างสงบ
“ไทกิ” ฮิโระเขย่าแขนปลุกเพื่อนซี้ มันก็ปรือตาขึ้นมองตอบ แต่ก็ยังงัวเงียตื่นไม่เต็มสติดีเท่าไหร่
“หืม… อาราย…” ไทกิละเมอตอบ
“อาจารย์ซายะเรียกฉันไปพบ ไม่รู้มีเรื่องอะไร นายจะไปด้วยกันมั้ย”
ไทกิส่ายหน้า ยกมือขึ้นมาขยี้ตา พอหัวสว่างปุ๊บท้องก็เริ่มร้องปั๊บ
“ฉันหิวแล้ว ขอไปรอที่โรงอาหารดีกว่า เดี๋ยวชวนคาโอรุไปด้วย”
“คาโอรุก็โดนประกาศเรียกเหมือนกัน” ฮิโระบอก นี่แสดงว่ามันหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงประกาศเลยล่ะสิท่า
“งั้นเหรอ… อาจารย์ซายะมีเรื่องอะไร ถึงต้องเรียกพวกนายไปพบด้วย”
“ไม่รู้สิ… คงไม่ใช่วีรกรรมที่ฉันไปถล่มหอลมไว้คราวก่อนหรอกนะเนี่ย”
ฮิโระดูกังวลนิดๆ แถมพอเหลียวมองไปที่หน้าห้อง เพื่อนซี้คนเก่งก็หายตัวไปซะแล้ว เค้าจึงต้องรีบตามไปก่อนที่จะโดนอาจารย์ป้าแกสวด แล้วนัดเจอกับไทกิอีกครั้งที่โรงอาหาร

ที่ห้องพักอาจารย์… อาจารย์ซายะซึ่งเป็นที่ปรึกษาปี 1 ห้อง 1 ก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะประจำตัว อาจารย์คนสวยกรีดยิ้มหวานเชื่อมทันทีที่หน้าเห็นศิษย์รักประจำห้องเข้ามาพร้อมกันสองคน
“ไงจ๊ะ… new member เริ่มจะคุ้นกับโรงเรียนหรือยัง” ซายะทักทายอย่างอารมณ์ดี
คาโอรุขยับเก้าอี้ด้านตรงข้ามแล้วทิ้งตัวนั่ง ฮิโระก็ตามมาติดๆ
“ก็ดีครับ ว่าแต่อาจารย์มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
“ก็นิดหน่อยจ้ะ”
ซายะเปิดลิ้นชัก หยิบซองจดหมายสีเทาออกมาสองซอง ตาสวยๆภายใต้กรอบแว่นแฟชั่นสีสดมองไปทางทายาทตระกูลนักฆ่าก่อน
“พวกเธอคงรู้ใช่มั้ย ว่ากลางเทอมจะมีกิจกรรมนอกสถานที่ ครูได้ส่งจดหมายไปขอลายเซ็นจากผู้ปกครองของพวกเธอแล้ว แต่โซมะ… บ้านเธอไม่มีคนอยู่เหรอ ครูส่งไปตั้งสามครั้งแล้ว ไม่เห็นมีใครตอบกลับมาเลย”
ว่าแล้วมั้ยล่ะ… ฮิโระยกมือตบหน้าผาก ไม่ต้องสงสัยเลย พ่อกับแม่คงไปรับจ๊อบนอกบ้านอีกแหงๆ
“เอ่อ… พ่อแม่ผมคงไปต่างประเทศมั้งครับ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแก้ตัวแทนเสร็จสรรพ
“งั้นครูฝากเธอช่วยส่งจดหมายไปบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ อย่าลืมนะว่าครูต้องได้ลายเซ็นผู้ปกครองภายในอาทิตย์นี้”
ซายะยื่นซองสีเทาให้ฮิโระหนึ่งใบ ก่อนจะหันมาทางลูกศิษย์รักบ้าง คราวนี้ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“คาวาชิมะ” ซายะเริ่มเกริ่น “ครูไม่รู้นะว่าเธอจงใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ที่อยู่ที่เธอให้ครูมาทั้งสามครั้ง ไม่มีอันไหนเป็นที่อยู่จริงเลย”
คำบอกเล่าของอาจารย์ที่ปรึกษา เรียกสายตาสีทองตวัดไปทางคู่กรณีที่ยังนั่งนิ่ง
ไอ้หมอนี่… มันเป็นเด็กบ้านแตกเหรอเนี่ย
“ผมไม่ได้โกหก เพียงแต่ที่บ้าน… ไม่มีคนอยู่แล้วก็เท่านั้น”
“งั้นนอกจากคุณแม่กับคุณยายแล้ว เธอพอจะมีผู้ปกครองที่อื่นอีกมั้ยจ๊ะ ครูจะช่วยติดต่อให้”
คาโอรุกัดฟันนิ่ง มือเล็กๆกำแน่นจนข้อนิ้วลั่นเปรี๊ยะๆ มันสูดลมหายใจเข้า แล้วตอบคำถามอย่างสงบ
“ไม่มีครับ”
“คาโอรุจัง” ซายะเอื้อมมือมาจับมือศิษย์รักด้วยความเป็นห่วง “ครูไม่ได้เป็นแค่ครูที่ปรึกษาในนามนะจ๊ะ ครูดูแลเด็กมาหลายรุ่นแล้ว นักเรียนทุกคนที่อยู่ในความปกครองครูก็ต้องศึกษาข้อมูลมาก่อน ครูเองก็พอจะรู้เรื่องของเธอมาบ้าง ซึ่งมันอาจจะไม่มากอย่างที่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เชื่อเถอะ… ถ้าเธอมีปัญหา ครูช่วยเธอได้แน่”
คาโอรุเงยหน้าสบตาอาจารย์อีกรอบ มันนิ่งจนประเมินไม่ออก แต่ดูแล้วไม่ชวนให้สบายใจสักนิด
“ผมขอสละสิทธิ์การทำกิจกรรมนอกสถานที่ก็แล้วกันครับ”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ นี่เป็นคะแนนหน่วยกิจ ถ้าเธอไม่ไปก็อาจมีผลทำให้สอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน”
คาโอรุกัดฟันนิ่งคิดอีกรอบ เพื่อนอีกคนก็แอบชำเลืองมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอาจารย์รู้จริง ก็น่าจะรู้ว่าผม… ไม่เหลือใครแล้ว”
“คาโอรุ…”
“ขอจดหมายนั่นให้ผมเถอะครับ ถ้าแค่ลายเซ็นผู้ปกครอง ผมจะหาให้เอง” เจ้าลูกศิษย์ไม่พูดเปล่า ยังคว้าจดหมายไปจากมืออาจารย์หน้าตาเฉย ก่อนจะเดินหนีออกจากห้อง
“คาโอรุ!” อาจารย์ซายะเรียกเอาไว้อีกรอบ “เธอยังเป็นนักเรียน ยังไงก็ต้องมีผู้ปกครอง อย่างน้อยก็ควรปรึกษา ‘พี่ชาย’ เธอนะ”
ลูกศิษย์พยักหน้ารับเนิบๆ แต่มันจะเข้าใจอย่างที่สั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนลูกศิษย์อีกคนก็รีบกระโดดผลุงตามเพื่อนรักออกไปติดๆด้วยความเป็นห่วง
 “เฮ้อ… ริเอะ เธอจะรู้มั้ยเนี่ยว่าลูกชายของ ‘ชิโอริ’ เพื่อนซี้เธอ หัวดื้อพอๆกับไทกิลูกของเธอเลยนะเนี่ย” ซายะได้แต่ส่ายหน้าในความดื้อรั้น นี่ถ้าเจ้าหล่อนไม่ใช่เพื่อนของแม่เด็กๆพวกนี้ล่ะก็ คงไม่ใส่ขนาดนี้หรอก

ฮิโระรีบโดดไปขวางหน้าคู่อริจนมันเบรกแทบไม่ทัน คนยิ่งรีบๆอยู่ มาหาเรื่องอยู่ได้…
“หลีกไป!” คาโอรุตวาดใส่หน้าคนชอบแส่
“ฉันว่านายกำลังมีปัญหานะ ให้ฉันช่วยมั้ย”
“ชีวิตฉัน ฉันจัดการเองได้” คาโอรุตัดบท ก่อนจะเบียดตัวหลบแล้ววิ่งฉิวลงบันได
 “คาโอรุ… ตกลงนายเป็นใครกันแน่”
ฮิโระเปรยกับตัวเองเบาๆ เพื่อนซี้สองคนมีแต่ปริศนาเต็มไปหมด แต่เค้าก็ไม่เคยคิดอยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเพื่อนอยู่แล้ว เพียงแต่อยากจะเป็นกำลังใจให้ในเวลาที่พวกมันกำลังท้อก็เท่านั้น
ทำไมเรื่องแค่นี้… ถึงไม่เปิดใจยอมรับกันบ้างนะ

ในมุมหนึ่งของห้องเก็บอุปกรณ์ที่ลับตาคน…
มือเล็กๆกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น หลายครั้งที่หยิบขึ้นมากดเบอร์คนคุ้นเคย แล้วก็กดทิ้งไป เค้านั่งคิดมาร่วมชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก ทำไม… แค่เป็นนักเรียนมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้นะ
ตาสีเขียวสดก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอีกครั้ง ตัดสินใจกดเบอร์โทรสายด่วน หน้าจอสีก็ปรากฏชื่อผู้รับ

‘คาน่อน เอเดรี้ยน’

‘สวัสดีครับ… ที่นี่เมมโมเรี่ยลคลับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ’
เสียงทุ้มนุ่มนวลชวนอบอุ่นที่ส่งมาจากปลายสาย ทำให้เด็กหนุ่มสะอึกไปอีกรอบ แต่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้กดปุ่มวางสาย แล้วกลั้นใจพูดตอบกลับไป
“คาน่อน… นี่ฉันเองนะ”
เสียงที่ตอบกลับก็ทำให้อีกฝ่ายอึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆปนขัน แล้วถามกลับอย่างคนอารมณ์ดีเหมือนเคย
“ตกใจหมดเลย ไม่คิดว่าคุณจะโทรหาผม มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ… คุณคาโอรุ”
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น พยายามกลั่นกรองคำพูดเพื่อรักษาฟอร์มตัวเองให้นานที่สุด
“ฉันอยากได้ผู้ปกครอง”
คำร้องขอสั้นๆง่ายๆ แต่ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งจนพูดไม่ออก
“แล้วยังไงล่ะครับ” คาน่อนลองหยั่งเชิงดูก่อน
“ก็ไม่ยังไง… คาน่อนช่วยหาพ่อบ้านสักคนมาเป็นผู้ปกครองให้ฉันได้มั้ย”
“โธ่… คุณคาโอรุ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะร่วน “คุณไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตรซะหน่อย ทำไม… ไม่โทรหา ‘ท่านพ่อ’ ล่ะครับ ท่านต้องช่วยคุณได้แน่”
“ไม่!!!” คาโอรุปฏิเสธเด็ดๆ ชาตินี้ทั้งชาติเค้าไม่มีวันพึ่งพาตาแก่นั่นแน่ “ฉันขอร้องล่ะคาน่อน ช่วยหาผู้ปกครองให้ฉันหน่อย เอาใครก็ได้ แต่ยกเว้น… ตาแก่นั่นคนเดียว! และถ้าฉันรู้นะว่านายแจ้งข่าวนี้ไปที่บ้านใหญ่ล่ะก็ ฉันเก็บนายถึงที่แน่ คอยดู”
พอเจอคำขู่เข้าแทนที่จะกลัว อีกฝ่ายกลับเอาแต่หัวเราะเหมือนคนเสียสติ
“คาน่อน! ฉันซีเรียสนะ” คาโอรุส่งเสียงดุไปอีกรอบ
“ครับ… ผมทราบแล้วครับ ไม่เอา ‘ท่านพ่อ’ แต่ถ้าเป็นคนอื่นคุณคาโอรุก็ยอมใช่มั้ยครับ”
“อืม… ใครก็ได้ เร็วๆด้วยล่ะ”
“ใจร้อนขนาดนี้ เดี๋ยวตอนบ่ายผมส่งคนไปหาคุณที่ห้องเรียนเลยก็แล้วกัน” คาน่อนรับปาก แต่ในใจน่ะคิดแผนไว้เรียบร้อย รับรองงานนี้คุณคาโอรุของเค้าได้ตะลึงกับผู้ปกครองคนใหม่แน่ๆ
“งั้นก็ดี แค่นี้นะ… ขอบใจมาก”
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิครับ” คาน่อนรั้งไว้ยังไม่ยอมให้คาโอรุวางสาย
“อะไรอีกล่ะ ฉันต้องรีบไปเรียนนะ”
“โธ่… ก็นานๆทีคุณคาโอรุถึงจะยอมโทรหาผมสักครั้ง ขอผมได้บอกอะไรคุณสักอย่างได้มั้ย”
“ก็ว่ามาสิ”
ทางปลายสายเงียบไปนาน จนคนรอเริ่มหงุดหงิดใจ มันจะถ่วงเวลาอีกนานแค่ไหนเนี่ย
“คาน่อน…” คาโอรุทวงอีกรอบ
“คาโอรุ… พี่รู้ว่าเราเก่ง แต่อย่าดื้อให้มากนัก ทิฐิน่ะเพลาๆลงมั่งก็ได้ พี่เป็นห่วงเรานะ และก็รักเรามากด้วย ดูแลตัวเองด้วยนะ… คาโอรุ” คาน่อนนิ่งนิดไปแล้วรีบพูดต่อก่อนที่คาโอรุจะวางสาย “แค่นี้แหละครับที่อยากจะบอก”

ตรู๊ดดดดด……………

คาโอรุแอบวางสายเงียบๆ คำพูดทุกคำของคาน่อนยังคงติดอยู่ในใจไม่มีวันลืม เค้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาช้าๆ
“ผมก็รักพี่… พี่คาน่อน แต่ลูกนอกคอกอย่างผม จะยังมีที่ไหนให้กลับไปได้อีก”
ความเงียบที่รุมเร้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบใจในยามนี้
ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือเลย… แม้แต่เพื่อน

ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนคาโอรุก็เอาแต่นั่งเหม่อ จนเพื่อนอีกสองคนก็ไม่รู้จะหาช่องเข้าไปช่วยปลอบได้ยังไง เลยได้แต่นั่งจับตามองอยู่ห่างๆ
“เฮ้… ไทกิ ไอ้เนี่ยนายให้ใครเซ็นให้เหรอ” ฮิโระหยิบใบอนุญาตผู้ปกครองออกมาให้ดู เจ้าไทกิก็ยิ้มแป้น
“ก็ ผอ. ชิงุเระไงล่ะ เค้าจัดการให้ฉันตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้ว แต่เรื่องนี้นายอย่าบอกใครเชียวนะ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นเด็กเส้น” ตอนท้ายไทกิแอบยิ้มเจื่อนๆ
“เออน่า” ฮิโระรับปาก ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่เค้ายังไม่รู้ว่ามันจะแก้ปัญหาชีวิตยังไง “งั้น… นายช่วยขอร้องให้อาจารย์เซ็นให้คาโอรุอีกคนได้ป่าว?”
“ก็คงพอได้มั้ง ว่าแต่มีอะไรเหรอ ทำไมคาโอรุไม่ให้ผู้ปกครองตัวเองเซ็นให้ล่ะ”
ฮิโระอ้ำอึ้ง “ฉันกำลังสงสัยว่ามันอาจจะไม่มีผู้ปกครองน่ะสิ”
คำบอกเล่าจากปากฮิโระ ทำให้ไทกิตกใจและรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรวมหัวกันคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้เพื่อนรักอยู่นั้น จู่ๆคนที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้อง
ร่างสูงสง่าของเจ้าชายหิมะ เดินตรงรี่เข้าไปหาคาโอรุถึงโต๊ะเรียน เด็กหนุ่มออกอาการอึ้งทันทีที่เห็นหน้า แต่พอคุยกันไม่กี่คำ มันก็ยอมเดินตามคนๆนั้นออกไปอย่างว่าง่าย ทิ้งเพื่อนซี้สองคนที่กำลังระดมสมองแก้ปัญหาให้มันแทบระเบิดได้แต่มองตามปริบๆ
“ไฮบาระ โนะอิ!” ไทกิยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “หมอนั่นมาที่นี่ทำไม?”
“แต่ฉันอยากรู้ว่าอยู่ดีๆทำไมเจ้าคาโอรุถึงยอมตามหมอนั่นออกไปมากกว่า” ฮิโระชักจะเดือดปุดๆ ปกติเจ้าคาโอรุมันฟอร์มจัดจะตาย ทำไมถึงยอมตามคนอื่นไปง่ายๆ มันน่าโมโหชะมัด
“ตกลง… นี่นายห่วงหรือนายหวงคาโอรุกันแน่” ไทกิอดแซวไม่ได้ ก็แหม… เห็นมันฉุนจัดขนาดนี้ อย่างกับคนที่โดนคนอื่นแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตางั้นแหละ
“หวงอะไร ฉันเปล่าซะหน่อย” มันยังทำปากแข็ง
“งั้นก็แล้วไป ไอ้เรารึก็อุตส่าห์จะชวนไปสังเกตการณ์ แต่ถ้านายไม่ห่วงคาโอรุ งั้นเรากลับหอดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน… ไทกิ” คนท่าจัดคว้าแขนเพื่อนซี้เอาไว้หมับ “คือฉันว่าอันที่จริงเราไปดูมันหน่อยก็ดีนะ ไม่แน่… โนะอิอาจจะมาหาเรื่องมันก็ได้ ยังไงเราก็เพื่อนกัน ถ้าไม่ไปช่วยก็ออกจะใจจืดใจดำเกินไปหน่อย”
“โธ่เอ๊ย! ไอ้ขี้เก๊ก” ไทกิแซว พร้อมกับโอบไหล่มันเดินไปด้วยกัน “แค่พูดว่าห่วงคาโอรุแค่เนี้ย ยากนักหรือไงฮึ”
ฮิโระขี้เกียจตีฝีปากด้วย เลยรีบเดินหนี
ศาลาริมทะเลสาบคือเป้าหมายที่พวกเค้าจะไปสังเกตการณ์เพื่อนซี้ของพวกเค้า…

“จดหมายนั่นอยู่ไหน?”
โนะอิยืนกอดอกซักหน้าเครียด ทำอย่างกะคนตรงหน้าเป็นจำเลยต้องโทษประหาร
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ” รุ่นน้องยังเชิดหน้าท้าทายไม่เลิก จนรุ่นพี่ชักฉุน เดินตรงเข้าไปคว้าร่างเล็กๆแล้วจัดการค้นเอง ในที่สุดก็เจอใบอนุญาตที่มันพับจนเละอยู่ในกระเป๋าเสื้อ
“ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ ถ้านายไม่ใช่…” ว่าแล้วก็อึ้งไปเอง มองดวงตาสีเขียวที่กำลังกรุ่นของรุ่นน้อง แล้วก็ตัดสินใจไม่พูด “…เป็นคนที่ฉันต้องยุ่ง”
โนะอิเลี่ยงได้ชวนงงที่สุด จนคนที่แอบฟังอยู่ลุ้นใจจะขาดว่าจะได้ข้อมูลสำคัญอะไรบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง
“คาน่อนเป็นคนบอกนายใช่มั้ย”
“พูดกับฉันดีๆหน่อยได้มั้ย ถึงนายจะไม่นับถือฉันในฐานะญาติ แต่ยังไงซะฉันก็เป็นรุ่นพี่นาย” โนะอิปรามไปอีกยก คำแต่ละคำที่หลุดจากปากมันกวนประสาททั้งนั้น กี่ปีแล้วที่มันไม่เคยฟังใคร
ดื้อ!

“พี่ชาย”

คำเรียกที่เปลี่ยนสีหน้าของเจ้าชายหิมะให้งุนงง ก่อนจะขึ้นสีแดงจางๆ เจ้าสองคนที่แอบฟังพยายามเงี่ยหูเข้ามาฟังให้ถนัด แต่ก็ไม่ได้ยินว่าคาโอรุพูดอะไรกับโนะอิ เพราะเสียงมันเบามาก
“ขอโทษ”
คาโอรุบอกเสียงแผ่ว ก่อนจะหันหน้าหลบไปกลั้นน้ำตาไว้อีกทาง
“เฮ้อ… มันน่านัก” โนะอิถอนใจเฮือกใหญ่ “เมื่อไหร่นายจะเลิกดื้อแล้วยอมกลับบ้านซะที ส่วนไอ้เนี่ย… ถ้านายเอาไปให้ท่านพ่อเซ็นด้วยตัวเอง ทำตัวให้สมกับเป็นลูกรักของท่าน ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
“จนป่านนี้แล้ว จะพูดเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกทำไม”
“เพราะฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น่ะสิ ถึงนายจะโกรธท่านพ่อแค่ไหน แต่สักวันหนึ่ง… นายก็ต้องกลับบ้าน ฉันยังยืนยันคำเดิมนะว่าอยากให้ครอบครัวเราอยู่พร้อมหน้ากัน แต่ถ้าช่วงนี้นายยังพร้อม ฉันจะเอาใบอนุญาตไปให้ท่านพ่อเซ็นให้ก่อนก็ได้” โนะอิเก็บใบอนุญาตลงกระเป๋า ก่อนจะหันหลังเดินกลับหอของตัวเอง
แต่แล้วในช่วงเวลาที่ไม่คาดฝัน… จู่ๆแผ่นหลังที่เคยเยียบเย็นก็ถูกแขนเรียวเล็กโผเข้ามากอดรักแน่น ความอบอุ่นจากหยดน้ำตาใสก็ค่อยๆไหลซึมละลายหัวใจที่ด้านชาของเจ้าชายน้ำแข็งให้อ่อนลง โนะอิได้แต่ถอนใจปลงชีวิต ขนาดมันทุกข์ใจขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมวางทิฐิ
หัวดื้อเหมือนใครนะเนี่ย… เจ้าน้องชายคนนี้
…คงเหมือน ‘พ่อ’ ล่ะมั้ง…
“นานแค่ไหนแล้วที่นายไม่ยอมกอดฉัน”
“ไม่รู้” คาโอรุส่ายหน้า ทั้งๆที่น้ำตายังพรั่งพรูไม่หยุด “นานแค่ไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ขอยืมหลังแป๊บนึงได้มั้ย”
“ก็เอาสิ… นายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลไฮบาระอยู่แล้วนี่ อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ” ปากก็ประชดน้องมันไปอย่างนั้น แต่ในส่วนลึกโนะอิก็ดีใจมากที่คาโอรุยอมรับเค้าอีกครั้ง
นานแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้… คาโอรุเลยถือวิสาสะยึดหลังเย็นๆของพี่ชายไว้ซะนาน แต่พวกที่แอบฟังอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังเข้าใจผิดเต็มๆ สีหน้าของนักฆ่าแข็งกร้าว ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปเงียบๆ
“เฮ้ย! ฮิโระรอฉันด้วยสิ งอนอะไรของนายอีกล่ะเนี่ย” ไทกิพยายามจะเรียกไว้ แต่มันก็ไม่หันกลับมาเลย ไม่รู้ว่าต่อมบ้าส่วนไหนกำเริบขึ้นมาอีก ไทกิได้แต่งง ก่อนจะวิ่งตามไป
แล้วในที่สุด… คาโอรุก็ยอมคลายแขนออกจากตัวพี่ชายพร้อมกับปาดน้ำตาออกจากแก้มเบาๆ
“วันหยุดนี้พี่จะกลับบ้านนะ คาโอรุ… นายจะกลับกับพี่มั้ย” โนะอิลองตะล่อมชวนดูอีกที
คาโอรุส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก… ยังไม่พร้อม พี่โนะอิกลับเถอะ ยังไงก็ฝากความคิดถึงถึงทุกคนด้วยก็แล้วกัน โดยเฉพาะคุณป้ามาเรียกับพี่คาน่อน”
“แล้วท่านพ่อล่ะ… จะไม่ฝากอะไรถึงท่านหน่อยเหรอ”
“ก็…” คาโอรุละล่ำละลัก เวลาพูดถึงตาแก่นี่ทีไรพูดไม่ออกทุกที “ตาแก่นั่นคงสบายดีหรอก ไม่ต้องฝากอะไรก็ได้มั้ง”
โนะอิอมยิ้ม ก่อนจะคล้องแขนโอบรอบคอแล้วดึงน้องรักเข้ามากอดใกล้ๆ
“ไอ้คำว่า ‘คิดถึง’ เนี่ย มันพูดยากนักหรือไง” โนะอิแซวไปอีก จนหน้าสวยๆของน้องขึ้นสี
“ยุ่งน่า” คาโอรุแจกศอกเบาๆ “ไม่ต้องทำเป็นรู้ดี… แล้วขากลับอย่าลืมเอาใบอนุญาตไปให้อาจารย์ซายะด้วยล่ะ ขี้เกียจไปฟังแกบ่น บ่นจนจะเป็นป้าอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกับแม่แท้ๆ แม่ยังไม่บ่นฉันขนาดนี้เลย”
“น้อยไปสิ… ลองไปฟังเวอร์ชั่นท่านพ่อบ้างมั้ยล่ะ ฉันกับคาน่อนฟังจนหูชาแล้ว นายน่าจะลองไปฟังเองบ้างนะ แต่เอ… นายอาจจะไม่โดนก็ได้ ก็นายมันลูกรักพ่อนี่”
“เลิกพูดซะทีได้มั้ย ไอ้คำว่า ‘ลูกรัก’ เนี่ย ขนลุก… พี่จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันจะกลับหอแล้ว”
“เออ… ดีนี่ พอใช้เสร็จก็ไล่เลยนะ”
โนะอิค้อน ไอ้น้องตัวดีก็หันมายิ้มแป้น
“คาโอรุ” พี่ชายเรียกไว้อีกรอบ แต่เสียงเครียดกว่าเดิม คาโอรุเลยหันมาฟังอย่างตั้งใจ
“อะไรเหรอ?”
“นายน่ะ… อยู่ห่างๆเด็กบ้านโซมะไว้หน่อยก็ดีนะ รู้ใช่มั้ยว่าบ้านสองบ้านเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว นายสองคนไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้หรอก เพราะฉะนั้นเลิกคบกับเด็กบ้านนั้นเถอะ”
คาโอรุอ้ำอึ้ง ทำหน้าลำบากใจอย่างที่สุด อันที่จริงตอนนี้ก็โกรธกับมันอยู่น่าจะรับปากได้ง่ายๆ แล้วทำไมถึงพูดไม่ออก แถมจู่ๆหัวใจส่วนลึกมันก็หนักอึ้งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ฉัน… จะพยายามนะ”
คาโอรุทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกลับหอ ความสับสนหลายอย่างในใจทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าจริงๆแล้วรู้สึกยังไงกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะคิดหาคำตอบ… ทันทีที่เปิดประตู เค้าก็ต้องผวา เมื่อเห็นหน้าที่บึ้งตึงของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงของเค้า
ยามเย็นโพล้เพล้… ภายในห้องที่ทึมทึบ เค้ากำลังจะได้รับคำตอบทั้งหมดของหัวใจ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 13-03-2008 15:33:04
18 ต่อ

“ไทกิไปไหน?”
คาโอรุถามเสียงเรียบโดยไม่ยอมสบตากับคนที่บังอาจยึดเตียงของเค้าด้วยซ้ำ พลางเดินไปที่โต๊ะ ถอดเสื้อนอกไปพาดไว้บนพนักเก้าอี้
“ไปหาพี่ซุยที่หอลม”
“เหรอ”
คาโอรุพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งเพื่อทำการบ้าน แต่ยังไม่ทันจะทิ้งตัวลงนั่ง ร่างบางๆก็ถูกคนลามปามคว้าหมับลงไปนอนแน่นิ่งบนเตียงด้วยกัน
“นายคิดจะทำอะไร?”
คิ้วสวยๆของนักล่าขมวดมุ่น แต่ฮิโระก็ไม่ยอมตอบ มันเอาแต่จ้องตาเค้านิ่ง แถมยังเอาตัวหนักๆนั่นมาทับอีก อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
“ถ้านายไม่มีธุระอะไรก็ลงไปจากเตียงฉันซะ ฉันจะได้ทำการบ้านต่อ”
คาโอรุผลักมันออกแล้วเดินลงจากเตียงอย่างหงุดหงิด แต่ไม่ทันไรก็ถูกฉุดลงไปอีก คราวนี้มันเล่นโถมร่างทาบทับพันธนาการเค้าไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก สองมือตรึงใบหน้าเล็กๆเอาไว้ เชยคางมนขึ้นมาแล้วมอบจุมพิตที่เร่าร้อนที่สุด ริมฝีปากที่อบอุ่นไล่ขบเม้มไปตามริมฝีปากหวาน ดูดดื่มความรักที่โหยหามานานแสนนาน
ดวงตาสองคู่สบประสาน จ้องมองกันไม่ลดละ แล้วในที่สุด… แม้แต่คนที่ใจแข็งดั่งหินผาก็ยังเผลอคล้อยตาม โน้มท้ายทอยร่างูสงเข้ามาประชิด แล้วจูบตอบสนองกลับอย่างหวานซึ้งที่สุด
“ฮิโระ…” คาโอรุรั้งตัวจอมตื๊อออก เพื่อถามเรื่องที่ยังคาใจ “ตกลงนายเป็นอะไร งอนอะไรฉันอีกล่ะ”
“วันนี้ฉันเห็นนายอยู่กับพี่โนะอิ พอหมอนั่นพูดไม่กี่คำก็ตามออกไปต้อยๆเลย นายชอบมันงั้นเหรอ!”
โอ๊ย… อยากจะบ้าตาย คิดได้ไงเนี่ย… คาโอรุนึกอยากกุมขับ แต่เผอิญติดตรงที่มือยังไม่ว่าง
“นายก็เพ้อเจ้อไปนู่น ฉันกับพี่โนะอิไม่มีอะไรกันอย่างที่นายคิดหรอกน่า”
“แล้วฉันจะเชื่อได้ไง” ฮิโระยังซักไม่เลิก
“แล้วทำไมฉันต้องทำให้นายเชื่อด้วยล่ะ”
“ก็…” ฮิโระพูดไม่ออก จะบอกเหตุผลมันตรงๆได้ยังไง มีหวังมันคงโกรธเค้าไปทั้งชาติแน่ ถ้ารู้ว่าทำไปเพราะ… หึงมันเนี่ย
“ก็… อะไร?” คาโอรุจ้องตาคาดคั้น ยิ่งแกล้งมันก็ยิ่งสนุก โดยเฉพาะตอนที่มันประหม่าเนี่ย น่ารักอย่าบอกใครเชียว
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายสนิทกับใคร แต่ถ้าทำให้นายลำบากใจก็ขอโทษด้วย”
มันแก้ปัญหาโดยการคิดจะลุกหนีไปดื้อๆ แต่คนกำลังเคลิ้มกับไออุ่นไม่ยอมให้ไปง่ายๆอยู่แล้ว คาโอรุดึงตัวคว้าหมับเอามันลงมากอดอีกครั้ง แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“แค่พูดว่า ‘นายชอบฉัน’ มันยากนักหรือไง หรือต้องให้ฉันเป็นฝ่ายพูดก่อน”
นัยน์สีเขียวหวานใสบ่งบอกถึงความจริงใจที่ส่งมาให้ยิ่งทำให้ฮิโระอึ้งจนพูดไม่ออก คาโอรุประคองหน้าคนชอบหนีปัญหาหันมาสบตากันตรงๆ
“อันที่จริงฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้กับนาย ยิ่งถ้านายรู้ว่าตัวจริงของฉันเป็นใคร นายอาจจะเกลียดฉันเลยก็ได้ แต่ฉันก็… ไม่มีสิทธิ์เลือกมากนักหรอก วันนี้ได้อยู่กับนาย แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ฉันถึงอยากเก็บเกี่ยวความทรงจำนี้ไว้ให้นานที่สุด”
คาโอรุเปรยเศร้าๆ ยิ่งได้ฟังคำเตือนของพี่ชายวันนี้ก็ยิ่งหดหู่ โซมะกับไฮบาระ… เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ความรักระหว่างคนสองบ้านจึงเป็นรักต้องห้ามที่ไม่มีทางเป็นจริงได้
“นายพูดอย่างกับว่า… นายจะเลิกคบกับฉันอย่างนั้นแหละ” ฮิโระฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ความหมายในทางที่ดีแน่
“อย่างน้อยตอนนี้ก็… ไม่”
คาโอรุย้ำคำหนักแน่นเพื่อให้มันสบายใจชั่วคราว ก่อนจะโน้มท้ายทอยร่างสูงเข้ามาสัมผัสริมฝีปากอุ่น ดุนลิ้นเข้าไปแลกเปลี่ยนความหอมหวานที่แสนรัญจวน ส่วนร่างกายที่ถูกตรึงอยู่ก็ยอมให้มันรุกล้ำได้ตามแต่ใจชอบ มือเริ่มป่ายปัดขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนักเรียน แล้วลูบไล้นวลเนื้อขาวผ่องตรงช่วงอก ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากตามปลายนิ้วลงมาช้าๆ
“อ๊ะ…”
คาโอรุหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ตอนที่ปุ่มนูนที่หน้าอกถูกลิ้มเลีย ความชื้นแฉะจากปลายลิ้นอุ่นยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน คาโอรุกดท้ายทอยร่างสูงแนบชิดกับหน้าอก ปากก็พร่ำเพ้อไม่หยุด
“ยะ… อย่า… อย่าเพิ่งไป” คาโอรุกำลังมีความสุข นอกจากร่างสูงที่ตอบสนองโดยการดูดปุ่มนูนหนักขึ้นแล้ว อีกข้างคาโอรุก็ยังเผลอเอานิ้วเล็กๆขึ้นมากรีดเขี่ยของตัวเองเล่นเบาๆ
“นายใจร้อนขนาดนั้นเชียว” ฮิโระยิ้มบางๆ ยิ่งเห็นร่างบางบิดเร่าด้วยความสุขสม แถมยังช่วยเค้าปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดีก็ยิ่งถูกใจ “งั้นนายไปรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
มือกร้านฉุดมือเล็กที่กำลังเล่นอยู่กับปุ่มนูนสอดเข้าไปในกางเกงตัวเก่ง บังคับให้มันกำรอบแกนกลางของตัวเองแล้วกรีดเขี่ยเล่นอย่างสนุกสนาน จนเห็นความตึงแน่นชัดเจนแนบกับเนื้อผ้าสีกรมท่าของชุดนักเรียน
“อื้ม… อือ… ร้อนจัง ฉันอยากถอด”
คาโอรุดิ้นไปดิ้นมาเพราะความอึดอัด บอกฮิโระที่กำลังไล่ลิ้นโลมเลียไปทั่วร่างกาย มันเลยรีบสงเคราะห์ให้โดยการทึ้งเสื้อผ้าออกมาทั้งหมด กางเกงก็ถูกรูดลงไปกองแทบเท้า เห็นนิ้วเล็กๆยังคงเค้นคลึงส่วยปลายจนเฉอะแฉะ เปลี่ยนสีจากชมพูหวานเป็นแดงก่ำ แสดงว่าคงพร้อมจะปลดปล่อยความสุขออกมาแล้ว
“เดี๋ยวฉันต่อให้เอง” ฮิโระปัดมือเล็กๆออกแล้วขยับมือทำต่อให้ ร่างบางก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการแยกขาออกว้างให้ร่างสูงได้มีช่องเข้าไปหาความสุขอย่างเต็มที่
“โอ๊ย!”
ร่างบางครางแผ่วแล้วแอ่นกายเหยียด ตอนที่มันใช้ปากงับแน่น แถมยังใช้ลิ้นดุนดันส่วนปลายไม่ยั้ง คาโอรุต้องจิกผ้าปูที่นอนเอาไว้เพื่อบรรเทาความทรมานที่อิ่มเอม ต้นขาขาวเพรียวถูกมันใช้มือยันออกแล้วลูบไล้เพิ่มความเสียซ่าน ริมฝีปากดูดกระชับ ความร้อนที่อัดแน่นทำให้ไม่อาจทนฝืนได้อีก คาโอรุยกสะโพกแอ่นจนสุดตัว แล้วปลดปล่อยคราบสีขาวขุ่นจนทะลักทะลายในปากร่างสูง
“หวานมาก” ฮิโระเอ่ยปากชม ก่อนจะเผื่อแผ่เข้ามาประกบริมฝีปากให้ร่างบางได้ชิมรสชาติของตัวเองบ้าง พอผลัดกันลิ้มเลียจนหมดเกลี้ยง เค้าก็ค่อยๆไต่ลงไปข้างล่างเพื่อหาเป้าหมายสุดท้ายทันที
ร่างบางถูกจับพลิกคว่ำ ยกสะโพกขึ้นมาจนสุด จากนั้นต้นขาขาวๆก็ถูกแยกออกจากกันเต็มองศา เผยให้เห็นช่องทางหวานคับแคบที่คุ้นเคย ฮิโระกวาดลิ้นเลียคราบน้ำขาวที่ไหลลงไปเปรอะเปื้อน กระตุ้นอารมณ์คนรับจนเตลิดเปิดเปิง
“อา… เร็วเข้า ฉันทนไม่ไหว” คาโอรุระงับอารมณ์ไม่อยู่ พอมันทำไม่ทันใจก็รีบยื่นมือเข้าไปช่วย ใบหน้าที่ซุกอยู่ก็กัดผ้าปูเตียงไว้แน่น สองมือคว้าจิกแก้มก้นนุ่มๆแยกออก แล้วสอดใส่ปลายนิ้วเข้าไปทางด้านหลังของตัวเองเพื่อเปิดทางรอรับ
“หึ หึ… ใจร้อนจังนะ” ฮิโระยิ้มกริ่ม พอปลดกางเกงของตัวเองออกปุ๊บ ก็รีบขยำส่วนปลายให้เกร็งได้ที่พอที่จะแทรกตัวเข้าไป จากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปคร่อม ดึงนิ้วที่ช่วยนำทางออกทั้งหมด แล้วแทรกของจริงเข้าไปแทนที่
“อ๊า!!”
ทั้งคู่ร้องครวญครางรับความสุขล้นที่ได้รับอย่างเต็มปรี่ ส่วนปลายที่ขยับเข้าออกก็รัวจังหวะเร็วขึ้น สะโพกมนก็โยกรับจังหวะอย่างสอดคล้องเหมือนเช่นคนตรีที่บรรเลงได้อย่างประสานกัน แล้วเมื่อเพลงรักยิ่งเร่าร้อน เตียงทั้งเตียงก็สั่นลั่นโครมคราม จนท้ายที่สุดร่างสูงขยับเข้าไปหมดทั้งตัวก็ปลดปล่อยความรักจนพลุ่งพล่านหวานฉ่ำในตัวร่างบาง
“โอย… ให้ตายเถอะ วันนี้วิเศษที่สุดเลย”
ฮิโระพลิกตัวนอนแผ่ด้วยความอ่อนเปลี้ย หมดสภาพอยู่ข้างๆร่างบางที่ดูเหมือนจะยังไม่อิ่ม เพราะมันยังก้มลงไปเก็บกวาดน้ำขาวขุ่นที่อาบอยู่รอบอาวุธของเค้าจนเกลี้ยง
“นี่… พอเถอะ เดี๋ยวค่อยต่ออีกรอบก็ได้” ฮิโระดึงร่างบางเข้ามากอด ตัวทั้งตัวของมันหวานฉ่ำทำให้เค้าหลงใหลจนแทบคลั่ง ร่างสูงจึงซุกหน้าลงไปซบกับอกอุ่นๆแล้วขบเม้มแต้มนูนเล่นเบาๆ
คาโอรุทำหน้าเศร้า เพราะเค้ารู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย…
“ฉันต้องไปแล้ว”
คำบอกเล่าที่หยุดอารมณ์ของคนกำลังสุขให้ตกตะลึง
“อะไรกัน! เมื่อครู่เรายังมีความสุขกันอยู่เลย แล้วนายจะไปได้ยังไง ล้อฉันเล่นใช่มั้ย”
มือเล็กๆคลึงเล่นอยู่บริเวณท้ายทอยจนฮิโระไม่ทันระวังตัว พอมารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกปวดหนึบที่ต้นคอเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง พอเค้าหันไปอีกรอบ เห็นเข็มสีเงินที่อยู่ในมือเล็กๆของมัน ฮิโระถึงกับหน้าซีดเผือด
“นี่นาย…” ฮิโระรีบจับต้นคอตัวเองโดยด่วน แต่ก็ช้าไปแล้ว เปลือกตาของเค้าหนักอึ้ง ดวงตากำลังริบหรี่เต็มที เข็มอันนั้น… เป็นเข็มอาบยาสลบ
คาโอรุรีบโผเข้าไปรับศีรษะที่อ่อนล้าของฮิโระเข้ามากอดไว้ แล้วก่อนที่สติของมันจะเลือนหายไปทั้งหมด คาโอรุก็กระซิบคำบอกลาแผ่วเบา
“ฉันทรยศคนในตระกูลของฉันไม่ได้ เรื่องระหว่างเราขอให้จบลงแค่นี้เถอะ… ลาก่อน”
คาโอรุวางฮิโระนอนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ตาสีทองที่พยายามฝืนไม่ยอมหลับจ้องเค้าเขม็ง ราวกับจะอ้อนวอนให้เค้าเปลี่ยนใจ แต่แล้วมันก็พ่ายแพ้… ดวงตาสีทองถูกมาปิดสนิท แล้วมันก็หลับไปในที่สุด

คาโอรุก้มลงจูบลาคนรักอีกครั้ง ก่อนจะหยิบข้าวของเท่าที่จำเป็นแล้วหนีออกจากห้อง ก็สวนเข้ากับไทกิตรงบันไดหอหอดี คาโอรุรีบปาดน้ำตาออกจากหน้า แล้วหันไปคุยกับไทกิเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ค่ำแล้วนะ นายจะไปไหน?” ไทกิถามด้วยความสงสัย เห็นมันขนกระเป๋าออกมาไม่พอ สภาพกับหน้าตาก็ดูโทรมพิลึก เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบที่ไหนมายังไงยังงั้น
“พอดีฉันลากลับบ้าน” คาโอรุโกหกไปเต็มๆ “อีกสองสามวันก็กลับแล้ว”
ใช่สิ… ถ้าท่านพ่อรู้เรื่องระหว่างเค้ากับฮิโระล่ะก็ มีหวังคงโดนเฉดหัวเค้าออกจากบ้านแหงๆ ถึงกลับไปก็คงอยู่ที่บ้านได้ไม่นานหรอก
“งั้นก็เดินทางดีนะๆ” ไทกิที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยิ้มให้ แถมอาสาจะเดินลงไปส่งข้างล่างด้วย แต่คาโอรุปฏิเสธ
“นายกลับห้องไปเถอะ ของแค่นี้ฉันถือเองได้ แล้วก็… ฝากดูเจ้าฮิโระมันด้วยนะ”
“ทำไมล่ะ?” ไทกิขมวดคิ้วมุ่น อยู่ดีๆมาฝากให้ดูแลฮิโระ มันเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย
“เปล่า… ฉันกลัวมันจะตื่นขึ้นมาแล้วอาละวาดน่ะ งั้นฉันไปนะ”
คาโอรุเล่นตัดบทดื้อๆ ก่อนจะวิ่งจู๊ดลงไป ทิ้งไว้ให้ไทกิงงเต็ก แต่ในตอนนั้นเค้าไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลยไม่คิดจะตามไปคาดคั้นถามให้รู้เรื่อง
แต่แล้ว… หลังจากวันนั้น คนที่จากไปก็ไม่กลับมาที่โรงเรียนอีกเลย
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 13-03-2008 15:36:58
 :m22:Chapter 19 Tragedy of Romeo

“เอาล่ะครับ… วันนี้ขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนมากครับ”
ยูกล่าวปิดรายงานการประชุมในตอนท้าย หลังจากที่ดูอาการแล้วเหมือนสมาชิกแต่ละคนจะไม่ค่อยมีแก่จิตแก่ใจในการประชุมสักเท่าไหร่ ถึงฝืนประชุมต่อไปก็คงไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ยูแอบปรายสายตาไปตรงเก้าอี้ว่างของพวกปีหนึ่ง
หนึ่งเดือนแล้ว… ที่คาโอรุหายตัวไป ถึงจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญ แต่มันเล่นหายหน้าไปโดยไม่มีข่าวคราวแบบนี้ รุ่นพี่ก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน
“พี่โนะอิ”
รุ่นน้องใจเด็ดที่กำลังหมดสภาพกับชีวิต กัดฟันเรียกรุ่นพี่คนสำคัญไว้ตอนที่กำลังจะเดินออกจากสภา หน้าสวยๆของโนะอิหันกลับมาช้าๆ พยักหน้าบอกให้เพื่อนๆปีสามกลับหอไปก่อน จากนั้นก็เดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งเดิม พวกปีสองที่ยังไม่ไปก็คอยเงี่ยหูฟังเงียบๆ
“มีอะไรกับฉันเหรอ โซมะ?” โนะอิถามเสียงเรียบ
ฮิโระกัดฟันแน่น มันคิดทบทวนมาหลายวันแล้ว แต่เพราะหมดหนทางจริงๆ และความหวังเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือโนะอิเท่านั้น
นักฆ่าจากตระกูลโซมะยอมคุกเข่าให้ทายาทตระกูลคู่อริ จนโนะอิผุดลุกจากเก้าอี้แทบไม่ทัน
“นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!!”
นักฆ่าหลั่งน้ำตาด้วยความอัดอั้น วันนี้ถึงต้องคุกเข่าขอร้องโนะอิทั้งคืนเค้าก็ยอม ขอแค่ให้รู้ข่าวของคาโอรุบ้างก็พอ
“ผมขอร้องครับพี่ ช่วยบอกทีเถอะว่าคาโอรุอยู่ที่ไหน”
“พวกนายเป็นรูมเมทกันยังไม่รู้ว่าเค้าหายไปไหน แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง”
“แต่วันสุดท้ายก่อนที่คาโอรุจะไปเค้าคุยกับพี่นี่ ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะไม่รู้อะไรเลย ขอร้องล่ะครับ… ให้ผมทำอะไรก็ได้ เป็นทาสรับใช้พี่ก็ได้ แต่บอกผมเถอะว่าคาโอรุอยู่ไหน”
“ผมด้วย”
ไทกิที่ทนเห็นสภาพเพื่อนร่วมห้องสลดมาทั้งเดือนแล้วก็คุกเข่าขอร้องด้วยอีกคน ถึงจะรู้ว่าโนะอิเป็นศัตรูคนสำคัญ แต่เพราะพลังแห่งมิตรภาพเหนือกว่า จะปล่อยให้ฮิโระอยู่ในสภาพเหมือนคนจะขาดใจตายแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้
และโดยเฉพาะคาโอรุ… ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้เลย
“ฉันก็อยากขอร้องนายด้วยนะ… โนะอิ”
ซุยเล่นลงมาคุกเข่าขอร้องด้วยอีกคน พวกปีสองที่เหลือก็ทำตามเหมือนกัน ตอนนี้ทุกคนในห้องพร้อมใจกันส่งแรงกดดันให้โนะอิ จนรุ่นพี่ทนไม่ไหว ต้องกุมขมับอย่างจำนน
“ฉันบอกพวกนายไม่ได้ เข้าใจฉันหน่อยได้มั้ย แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลจริงๆก็ไปถามเอาจากคาน่อน อย่ามาถามฉันเลย” โนะอิที่กำลังจะประสาทเสียรีบเผ่นออกจากห้องก่อนจะโดนตื๊อไปมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยก็ยังทิ้งเบาะแสชิ้นสำคัญไว้ให้ทุกคนได้สาวต่อ
“คาน่อน?” ไทกิเปรย “ใช่คาน่อนเดียวกับที่นายพาฉันไปเจอเมื่อตอนต้นเทอมหรือเปล่า” ว่าแล้วมันก็สะบัดหน้าไปขอคำยืนยันจากคุณชายสายน้ำ
ซุยพยักหน้า “ก็น่าจะใช่… คาน่อนเป็นน้องชายคนละแม่กับโนะอิ บางทีหมอนั่นอาจจะรู้อะไรดีๆก็ได้”
“งั้นจะรออะไรล่ะ รีบไปเลยสิ” ฮิโระที่ใจร้อนที่สุดรีบชวน แถมยังลากแข้งลากขาไทกิออกไปด้วยกัน จนซุยต้องรีบเข้าไปดักไว้ที่หน้าประตู
“นายไม่ต้องไปหรอก แค่โทรไปก็พอ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง” ว่าแล้วคุณชายสายน้ำก็จัดการต่อมือถือถึงเพื่อนซี้ เสียงรอสายดังอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีคนรับ

‘สวัสดีครับ… ที่นี่เมมโมเรี่ยลคลับ มีอะไรให้รับใช้ครับ’

“คาน่อน… นี่ฉันซุยนะ”
“ว่าไงล่ะซุยคุง จะพาลูกค้ามาให้ฉันแปลงโฉมอีกหรือไง” เพื่อนรักพูดติดตลก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความซีเรียสจากน้ำเสียงที่ส่งมาจากปลายสาย
“ฉันอยากถามนายเรื่องคาวาชิมะ…” ซุยเว้นวรรคไปนิด “นายพอจะรู้อะไรบ้างหรืเปล่า”
คำถามนี้ทำให้คาน่อนเงียบไปนาน ซุยได้ยินเสียงถอนใจนำมาก่อน ก่อนที่มันจะตอบกลับมา
“หมายถึง… คาโอรุ นะเหรอ”
“ใช่… นายก็รู้จักเด็กคนนี้ใช่มั้ย” ซุยรีบถามต่อ ถึงจะยังคาใจอยู่ว่ามันรู้จักได้ยังไง แต่ก็ต้องถามคำถามสำคัญก่อน “พอจะรู้มั้ยว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
“รู้สิ” คาน่อนแอบถอนใจอีกเฮือก “ก็เค้าเป็นน้องชายฉันนี่”
“อะไรนะ!!!!” ซุยอุทานลั่นจนบรรดาน้องๆเพื่อนๆที่แอบฟังอยู่ต้องแย่งกันเอาหูไปแนบโทรศัพท์เพื่อฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ซุยไล่เหล่าตัวยุ่งออกไปเงียบๆ ก่อนจะปลีกวิเวกออกไปหามุมสงบคุยกับคาน่อนที่ระเบียง
“เมื่อกี้นายบอกว่าไงนะ คาโอรุเป็นคนจากตระกูลไฮบาระงั้นเหรอ” ซุยถามให้แน่ใจอีกรอบ
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ… เค้ายังเป็นทายาทผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของบ้านด้วย ว่าแต่เรื่องนี้คุยทางโทรศัพท์คงไม่สะดวก เดี๋ยวฉันจะไปหานายที่โรงเรียนนะ”
ตรู๊ดดดดดด….
มันเล่นวางหูไปดื้อๆ จะซักต่อก็ซักไม่ทันแล้ว ซุยเลยไปบอกทุกคนแล้วไปรอคาน่อนอยู่ที่หอลม

หนึ่งชั่วโมงต่อมาคาน่อนก็มาถึง…
ทุกคนย้ายมาประชุมเครียดอยู่ในห้องของซุย และปิดป้ายหน้าห้องว่า ‘ห้ามรบกวนถ้าไม่มีธุระจำเป็น’
“เอาล่ะ… เริ่มจากตรงไหนดี”
คาน่อนเห็นทุกคนเอาแต่จ้องก็เลยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นนำก่อน มิสึกิยกมือขึ้น ทุกคนก็ย้ายไปจ้องเขม็ง ตั้งอกตั้งใจฟังกันอย่างเต็มที่
“ฉันสงสัยว่าเมื่อไหร่นายจะกลับมาเรียนซะที พักไปเกือบปีแล้วนะ”
“ฮู้ย… ธุรกิจฉันกำลังรุ่ง ที่สำคัญขี้เกียจมาทะเลาะกับโนะอิด้วย ว่าแต่นายไม่สนใจออกไปทำธุรกิจส่วนตัวมั่งเหรอ หุ้นกับฉันก็ได้นะ จะลดให้พิเศษเลย”

โป๊ก!!!!

ซุยที่นั่งคั่นกลางระหว่างคนบ้าสองคน ตบหัวเรียกสติมันคนละป้าบโทษฐานที่นอกเรื่องดีนัก
“คนอื่นเค้ากำลังซีเรียสนะ พวกนายก็อย่าทำเป็นเล่นสิ ก็รู้ว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว เอาไว้คุยธุระเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะให้โอกาสรื้อฟื้นความหลังกันทั้งคืนเลย”
“บ้า… ทะลึ่ง ซุยเนี่ย ความหลงความหลังอะไรกัน เนอะ… มี่จัง” คาน่อนยังบ้าไม่เลิก มิสึกิปิดปากหัวเราะคิกคัก แต่พอโดนสายตาเย็นๆของซุยจ้องเท่านั้นพวกมันก็เงียบกริบทันที
“เอาเป็นว่าเรามาเริ่มจาก ‘คาโอรุเป็นใคร’ ก่อนดีกว่า”
คาน่อนทำสีหน้าขึงขัง ก่อนจะเล่าประวัติอันขมขื่นของเพื่อนคนนี้ให้พวกไทกิฟัง
“สมัยก่อน… ไฮบาระ เคียว ท่านพ่อของพวกเราถูกคุณปู่จับหมั้นกับ คุณหนูชิโอริ แห่งตระกูลคาวาชิมะ นักล่าแห่งมิยางิ เรื่องนี้สักประมาณยี่สิบปีได้มั้ง… พ่อไม่เคยเจอคุณชิโอริมาก่อน และก็ไม่คิดว่าจะรักเธอด้วย การที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้า มันก็ออกจะเจ็บปวดเกินไปกับชีวิตคนวัยหนุ่ม แถมตอนนั้น… ก็ยังมีข่าวลือว่า คุณชิโอริรักอยู่กับคนตระกูลโซมะ… โซมะ เรียวเฮ”
“ป๊ะป๋านะเหรอ!!!” ฮิโระอุทานออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดสนิท เค้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อจะมีคนรักก่อนที่จะมาแต่งงานกับแม่
“แต่ก็อย่างว่า… คนตระกูลไฮบาระหัวดื้อแค่ไหนพวกนายก็น่าจะซึ้ง เรื่องศักดิ์ศรีไม่เคยยอมใครหน้าไหน โดยเฉพาะคู่อริอย่างตระกูลโซมะ พ่อก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับคุณชิโอริทั้งที่ไม่ได้รักเธอ เพียงเพื่อต้องการเอาชนะโซมะ เรียวเฮ”
คาน่อนหยุดเว้นวรรค ไล่มองหน้าทุกคนที่กำลังทำหน้าเครียดจัด
“แต่ว่าพอแต่งงานแล้ว พ่อกลับรักคุณชิโอริมาก รักมากที่สุด… แต่กลับไม่เคยบอกเธอเลย เพราะยังโกรธเรื่องที่เธอเคยเป็นคนรักของโซมะ ขนาดวันแต่งงาน โซมะ เรียวเฮ บุกมาถึงถิ่น ประกาศเป็นศัตรูไปชั่วลูกชั่วหลาน พ่อก็ยังเฉย บอกแค่เพียงว่า ‘สิ่งที่เป็นของฉัน ก็ต้องเป็นของฉันอยู่วันยังค่ำ’ และเพราะคำพูดนั้นเอง… คุณชิโอริถึงฝังใจมาตลอดว่าท่านพ่อไม่ได้รักเธอ”
เสียงถอนใจเบาๆดังมาจากนักฆ่าผู้สิ้นหวัง บ้านเค้านอกจากจะเป็นคู่แข่งทางด้านธุรกิจกับตระกูลเทนโนะแล้ว ยังมีศัตรูที่สำคัญอย่างไฮบาระอีกด้วย เค้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“หลังจากแต่งงานหนึ่งปีคุณชิโอริก็ตั้งท้องโนะอิ แต่ท่านพ่อก็แกล้งไม่ใส่ใจ ไปรับงานอยู่ที่ลอนดอนจนกระทั่งเธอคลอด แถมยังหอบแม่… ที่ตั้งท้องฉันกลับมาด้วย”
คาน่อนแอบถอนใจด้วยความสลดเบาๆ
“มาเรีย เอเดรี้ยน… แม่ของฉัน คิดมาตลอดว่าท่านพ่อรักและต้องการเธอถึงตามกลับมาที่ญี่ปุ่น แต่พอพบกับคุณชิโอริ แม่ก็ช็อกมาก พ่อปล่อยบ้านเราให้เป็นแบบนี้โดยไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเลย หนึ่งปีที่ปล่อยให้ผู้หญิงสองคนที่ไม่รู้ว่าคนที่เป็นสามีเคยมีความรักให้บ้างหรือเปล่า ต้องทนอยู่ด้วยกันอย่างอิหลักอิเหลื่อ เจอหน้ากันก็แทบจะไม่คุยกัน เพราะไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในฐานะอะไรในบ้าน จนกระทั่ง… คุณชิโอริทนไม่ไหว เธอขอกลับไปอยู่บ้านเกิดที่มิยางิเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง พ่อไม่ได้ห้ามเธอ แต่บอกคำเดียวว่าห้ามพาโนะอิไปด้วย คุณชิโอริจึงไปคนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้น… กำลังตั้งท้องคาโอรุอยู่”
พอเล่าถึงตรงนี้ สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดจากใบหน้าของทุกคน คืออาการอึ้งอย่างที่สุด ฮิโระได้แต่ส่งสายตาสีทองปริบๆ แต่ไม่รู้จะอุทานอะไรออกมาเลยหุบปากเงียบไว้
“หมายความว่าพี่โนะอิกับคาโอรุเป็นพี่น้องกันเหรอ?” ไทกิเปรยถามแทนเพื่อน
คาน่อนพยักหน้า “พี่น้องแท้ๆร่วมสายเลือดเดียวกันเลยล่ะ ส่วนฉันก็เป็นพี่เค้าแค่ครึ่งเดียว”
“แต่ทำไมคาโอรุไม่เห็นเหมือนพี่โนะอิเลยล่ะ” เจ้าตัวยุ่งสงสัย อันที่จริงก็ยอมรับว่าสองพี่น้องหน้าตาดีพอกันทั้งคู่ หวานกันคนละแบบ แต่คาโอรุดูแล้วไม่เห็นจะหนาวและเย็นชาเหมือนโนะอิเลย
“ให้ฉันเดานะ” มิสึกิขอแทรกจังหวะ “เค้าโครงหน้าของสองคนนี้ถ้าดูดีๆก็คล้ายกัน ผิวก็ขาวจัดเหมือนกัน แต่สีผมกับสีตาของโนะอิคงเหมือนพ่อมากกว่า เพราะคาน่อนเองก็เหมือนพ่อ ส่วนคาโอรุคุงคงได้แม่มาหมดจดแบบไม่ต้องสงสัย”
“ถูกเผ็งเลย!” คาน่อนทำหน้าระริกระรี้ “นายเนี่ยยังรู้ใจฉันเสมอเลยนะ… มี่จัง”
คนบ้าสองคนทำท่าจะโผเข้ากอดกัน แต่ก็ถูกคนกลางยันหัวไว้คนละข้าง
“อย่าเพิ่งเพ้อเจ้อ ช่วยเล่าต่อให้จบก่อนได้มั้ยคาน่อน” ซุยปราม
คาน่อนกระแอมอีกที ก่อนจะเล่าต่อ “คุณชิโอริหายไปถึงห้าปี ท่านพ่อถึงสำนึกได้ พาพวกเราไปขอโทษและขอร้องให้เธอกลับบ้านใหญ่ แต่คุณชิโอริก็ใจแข็งใช่ย่อย ท่าทางจะติดเชื้อหัวดื้อของพวกไฮบาระไปแล้วมั้ง เธอก็เลยไม่กลับ ประกาศลั่นวาจาไว้ต่อหน้าท่านพ่อว่าจะขอตายที่บ้านเกิด เท่านั้นแหละพ่อก็พูดอะไรไม่ออก แต่ที่ตลกที่สุด รู้มั้ยตอนไหน?”
คาน่อนหันมายิ้มกริ่ม เพื่อนๆน้องๆก็พากันส่ายหัวพรึ่บ นึกไม่ออกจริงๆว่าอีตาไฮบาระ เคียว แกจะไปหลุดมาดเก๊กๆของแกตอนไหน
“ก็ตอนที่เจอหน้าลูกชายคนสุดท้องไง พ่อเงี้ยตะลึงใหญ่เลย ตอนที่เห็นเด็กตัวเล็กๆ ผิวขาวจั๊วะ หน้าตาน่าร้าก น่ารัก ตาสีเขียวบ้องแบ๊ว แก้มสีชมพูน่ารักน่าหยิก ใส่ชุดยูคาตะเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นเลย ขนาดฉันนะยังอยากขว้างเจ้าเทดดี้แบร์ตัวโปรดทิ้ง แล้วคว้ามากอดแทนเลยให้ตายเถอะ นี่… มีรูปให้ดูด้วยนะ”
ว่าแล้วก็ควักรูปสมัยเด็กๆของน้องชายคนโปรดออกมาแฉ ทุกคนดูแล้วก็อมยิ้ม โดยเฉพาะฮิโระที่เพิ่งจะซึ้งวันนี้เองว่าเจ้าคาโอรุมันน่ารักมาตั้งแต่เกิด มิน่า… พอเห็นทีไรถึงอดใจไม่ไหวทุกที
“แล้วพ่อนะก็ยิ่งอึ้งสนิท ตอนที่คุณชิโอริประกาศว่า ‘คาโอรุเป็นลูกของฉันคนเดียว ห้ามใครพาออกไปจากที่นี่เด็ดขาด’ เท่านั้นแหละพ่อก็จ๋อยสนิท ขนาดเทียวไปเทียวมาอยู่หลายปี สองแม่ลูกก็ไม่ยอมยกโทษให้ ยิ่งตอนที่คุณชิโอริเสีย…” จู่ๆคาน่อนก็สะดุด แล้วก็ไม่ยอมเล่าต่อ
“คุณแม่ของคาโอรุตายแล้วเหรอ!!” ไทกิรบเร้าให้คาน่อนเล่าต่อ
“ใช่… สองปีก่อนนี่เอง เธอป่วยแล้วก็เสียชีวิต แต่ตอนนั้นพ่อติดงานจึงไม่ได้ไปร่วมงานศพ มีแต่ฉันกับโนะอิที่ไป คาโอรุเค้าก็ยิ่งแค้นพ่อ ก็เลยงอแงไม่ยอมกลับบ้านใหญ่ แต่พ่อรักคาโอรุมากนะ รักมากที่สุดในบรรดาลูกสามคนเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเพราะเค้ามีพรสวรรค์ด้านสายงาน แต่ยังเป็นเหมือนสิ่งทดแทนความผิดที่พ่อเคยทำไว้กับคุณชิโอริ คำว่า… รัก ที่ไม่เคยบอกภรรยาตัวเองสักครั้ง แต่กลับบอกลูกทุกวัน แต่คาโอรุเค้าหัวดื้อเหมือนพ่อ จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยยอมรับคำขอโทษจากพ่อเลย”
กว่าคาน่อนจะเล่าความเป็นมาของชีวิตอันแสนรัดทดของคาโอรุจบ ก็เล่นเอาคนฟังเหนื่อยไปตามๆกัน
“แล้วที่นายบอกว่าเค้าเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ก็หมายความว่า…”
คาน่อนมองหน้าซุย แล้วก็ยิ้ม “เผชิญบ้านฉันไม่ได้เลือกผู้สืบทอดตามลำดับสายเลือดเหมือนบ้านนายว่ะซุย แต่จะเลือกคนที่เก่งที่สุด เราสามพี่น้องเคยดวลกันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ฉันแพ้โนะอิ แต่โนะอิแพ้คาโอรุราบคาบ นั่นแหละ… ก็เลยกลายเป็นที่มาว่าทำไมฉันกับโนะอิถึงต้องฟังคำสั่งของน้องชาย”
“สุดยอด” ฮิโระแอบทึ่งในความสามารถของคนรัก
“อย่าเพิ่งได้ใจไป โซมะ ฮิโระ” ว่าที่พี่เขยแสยะยิ้มให้ “นายน่ะยังรู้จักคนบ้านฉันน้อยไป โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลไฮบาระ กับว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลโซมะอย่างนาย คิดว่าจะมีใครยอมรับง่ายๆเหรอ”
ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พี่ชายเล่นขู่กันนี่หว่า คิดจะสกัดดาวรุ่งเหรอ ไม่ทางหรอก… ต่อให้ต้องฉุดมันออกมาจากบ้านไฮบาระเค้าก็จะทำ
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย” คาน่อนยังให้ความหวัง ฮิโระเลยรีบโผเข้าไปหยอดลูกอ้อนต่อ
“ยังไงเหรอพี่?”
“ถ้านายกล้าพอก็ไปตามเค้ากลับมา ตอนนี้คาโอรุอยู่ที่บ้านเกิดที่มิยางิ แต่ว่า…” คาน่อนส่งสายตาสีฟ้าเจ้าเล่ห์ “พ่อฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าอยากเสี่ยงตายจะไปก็ลองดู ฉันมีตั๋วชินคังเซ็นสำหรับทุกคน งานนี้ฉันให้ฟรีไม่คิดค่าธรรมเนียม”
คาน่อนวางตั๋วทั้งหมดห้าใบลงบนโต๊ะ เหมือนเตรียมการมาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคนจ้องตั๋วที่เหมือนทางผ่านสู่ประตูนรกแล้วทำหน้าเครียดจัด
“ฉันขอสละสิทธิ์แล้วกัน ถ้าไปเที่ยวล่ะก็ค่อยน่าสนหน่อย” มิสึกิเป็นคนแรกที่ขอยกมือออก
“ฉันก็ไม่ไป” มาซาฮิโกะเป็นคนที่สอง
ฮิโระหันหน้าไปทางไทกิ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไปแน่… ฉันไม่ยอมให้นายไปแกล้งคาโอรุจนหอบข้าวของหนีออกจากห้องอีกแล้ว” ไทกิชูนิ้วโป้ง งานนี้ตายเป็นตาย มิตรภาพย่อมสำคัญที่สุด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรายสายตาไปหาคนสุดท้ายที่ยังไม่ตัดสินใจ
ซุยถอนใจเบาๆเหมือนคนไม่มีทางเลือก “ฉันเป็นบอดี้การ์ดนาย นายอยู่ไหนฉันก็อยู่นั่น เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามให้เสียเวลา”
“งั้นก็ตกลงเป็นสี่คนรวมฉันด้วย เอาเป็นว่าเราออกเดินทางเสาร์นี้ รถออกหกโมงเช้า ห้ามมาสายล่ะ”
คาน่อนสรุปในตอนท้าย ก่อนจะหันไปหาฮิโระด้วยสีหน้าหนักใจ
“แต่ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของนายนะโซมะ ถ้าพ่อฉันเอาจริง นายไม่รอดแน่ ฉันอยากให้นายคิดให้ดีก่อนถึงวันเดินทาง”
นั่นคือคำทิ้งทวนก่อนที่คาน่อนจะกลับไปยังคลับของเค้า แต่ถึงแม้จะเจอคำขู่สารพัดฮิโระก็ไม่เปลี่ยนใจ ที่ผ่านมาเพราะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไร้ค่า ถึงต้องเสียใจจนทุกวันนี้ แต่จากนี้ไปเค้าจะไม่มีวันปล่อยมือคาโอรุอีกแล้ว
จะไม่ปล่อยอีกเลย… ชั่วชีวิต

วันเสาร์ตีห้าครึ่ง… ทุกคนมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟชินคังเซ็น เพื่อขึ้นรถเที่ยวหกโมงเช้าเดินทางไปยังเซ็นไดเมืองศูนย์กลางของมิยางิ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็มาถึง ที่นี่แม้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็เย็นกว่าที่โตเกียวหลายเท่า โชคดีที่คาน่อนเรียกรถส่วนตัวที่บ้านมารับ ทุกคนเลยไม่ต้องฝ่ามรสุมอากาศหนาวไปที่บ้านคาวาชิมะ
“เป็นอะไรไป ฮิโระ… ตื่นเต้นเหรอ?”
ไทกิทักเพื่อนซี้ เพราะเห็นมันเอาแต่นั่งกุมมือซะแน่น ผิดวิสัยลิงโลดของมันโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนได้มาที่สวยๆแบบนี้ มันคงเห่อชะโงกหน้าดูวิวไปทั่วแล้ว
“ฉันก็แค่ดีใจที่จะได้เจอคาโอรุอีก คราวนี้ฉันสาบานว่าจะพาเค้ากลับไปให้ได้… คอยดู” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น
“หึ… อย่าเพิ่งมั่นใจไปน้องชาย นายจะได้เจอคาโอรุก็ต่อเมื่อเอาชีวิตรอดผ่านบาทาพ่อฉันไปได้เท่านั้น และขอบอกไว้เลยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดหรอก” คาน่อนขู่สำทับ แต่ยิ่งสร้างแรงฮึดให้กับฮิโระ งานนี้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เค้าก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
แค่ครึ่งชั่วโมงจากสถานีเซ็นได ก็ถึงบ้านคาวาชิมะที่ตั้งอยู่บนภูเขานอกตัวเมือง ที่นี่สวยมาก ภูเขาทั้งลูกมีดอกซากุระบานสะพรั่ง รอบๆมีลำธารน้ำใสสะอาดไหลผ่าน บนเชิงเขาจนสุดที่ราบเป็นอาณาเขตบ้านหลังใหญ่สไตล์ญี่ปุ่นโบราณตั้งอยู่
“พวกนายรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูลาดเลาก่อน”
คาน่อนสั่งให้พวกไทกิรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองก็เข้าไปข้างใน คาน่อนหายไปสักพักก็มีแม่บ้านคนหนึ่งออกมาต้อนรับ เจ้าหล่อนแต่งตัวด้วยชุดกิโมโนดูภูมิฐาน อยู่ในวัยกลางคน แถมท่าทางขรึมๆตาดุๆนั่นก็ชวนให้หนาวสันหลังชอบกล ดูท่าทางไอ้นิสัยหนาวๆเย็นๆจะเป็นบุคลิกจำเพาะของคนบ้านนี้แฮะ
“สวัสดีค่ะ… ดิฉันชื่อ คิริเอะ เป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่ พวกคุณคือเพื่อนของท่านคาโอรุใช่มั้ยคะ”
‘ท่านคาโอรุเลยเหรอ’ ฮิโระแอบทึ่ง
“คุณท่านรออยู่แล้ว เชิญข้างในได้เลยค่ะ”
คิริเอะเดินนำทางเข้าไปในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่า บ้านเงียบสนิททั้งที่รู้สึกว่าถูกจับตามองมาจากทุกที่ ไทกิประมาณคร่าวๆคงมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อย แต่ทุกคนคงผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ถึงได้พรางตัวได้เนียนอย่างไม่มีที่ติ คุณแม่บ้านใหญ่พาไปถึงห้องโถง เจ้าหล่อนก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมแล้วเลื่อนบานประตูออก ทุกคนลุ้นระทึก เพราะในที่สุดก็จะได้พบเพื่อนรักที่หายไปแล้ว
แต่ทว่า…
ผู้ที่นั่งเด่นเป็นสง่ารอต้อนรับพวกเค้าอยู่ในห้องรับแขก กลับกลายเป็นชายวัยหนุ่มที่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ เค้าหน้าคล้ายพี่โนะอิเปี๊ยบทั้งสีผมสีตา แต่นัยน์ตาสีฟ้าสดนั่นดูหนาว เยือกเย็น และทรงพลังแตกต่างกันลิบลับ เพื่อนพ้องน้องพี่แห่งโรงเรียนรินคังตะลึงกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าใครที่รอต้อนรับพวกเค้าอยู่
“พวกเธอเนี่ยเป็นแขกที่ไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะ นอกจากจะไม่โทรมานัดล่วงหน้าแล้ว พอมาถึงก็เอาแต่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ คำทักทายสักคำก็ไม่มี… แย่”
เสียงทุ้มกังวานฟังดูสงบราบเรียบ แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความคุกรุ่นอยู่ภายใน สีหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งเย็นจัด ราวกับจะกรีดแทงให้พวกเค้าสำนึกในความผิดที่บังอาจบุกรุกมาถึงที่นี่
ซุยเป็นคนแรกที่ตั้งตัวได้ อาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยที่มีมาเนิ่นนานกับคนบ้านนี้ เค้าจึงเดินเข้าไปอย่างสงบ ก่อนจะก้มลงคำนับเจ้าของบ้าน
“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันครับ… ท่านอาเคียว”

เคียว!!!!

ไทกิกับฮิโระหันมาสบตากันปริบๆ
นี่เหรอ… ไฮบาระ เคียว… ดูหนุ่มและหล่อกว่าที่คิดไว้ลิบลับเลย ตอนแรกคิดว่าจะเป็นตาแก่หนังเหี่ยวหน้ายับ ที่ตีนกาขึ้นพรึ่บเพราะเอาแต่ทำหน้าเครียดทั้งวันซะอีก แต่นี่ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคุณพ่อลูกสาม น่าจะนับเป็นพี่ชายของคาโอรุได้สบายๆเลยด้วยซ้ำ
นัยน์ตาสีฟ้าสดหันไปจ้องไอ้ตัวแสบสองตัวที่ยังยืนเอ๋ออยู่หน้าประตู ทั้งคู่เลยต้องรีบไถตัวเข้าไปคำนับตามรุ่นพี่ ก่อนจะนั่งจ๋องเป็นหุ่นปั้นอยู่บนเบาะรับแขก คิริเอะยกน้ำชามาให้ ทั้งคู่ก็รีบยกขึ้นมาซดดับอารมณ์เครียด แต่ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไร รอจังหวะให้มีคนเปิดประเด็นขึ้นมาซะก่อน
มันเป็นชั่วโมงที่อึดอัดที่สุดในชีวิตของไทกิก็ว่าได้ เมื่อไม่มีใครคิดที่จะพูดอะไรออกมาสักคน แม้แต่ฮิโระที่ร้อนใจมาตลอดก็ดูสงบกว่าที่คิด แต่พอซุยเผลอหันมาสบตากับไทกิ เจอสายตาอ้อนๆของมันเข้าหน่อย ก็ต้องกลายเป็นหน่วยหน้ากล้าตายไปโดยปริยาย
“ผมมีเรื่องอยากจะขอรบกวนท่านอาสักหน่อยน่ะครับ” ซุยเริ่มเปิดประเด็น
“ก็ว่ามาสิ” เคียวบอกเรียบๆ
“ผมอยากพบคาโอรุคุง เค้าไม่ได้ไปโรงเรียนมาเป็นเดือนแล้ว อาจารย์ชิงุเระก็เป็นห่วงอยู่ (โกหกแล้วซุย) ขอพวกเราพบเค้าหน่อยได้มั้ยครับ”
“เห็นทีคงจะไม่ได้” เจ้าของบ้านปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ฉันส่งจดหมายไปบอก ผอ. แล้วนี่ว่าคาโอรุกำลังอยู่ในช่วงกักตัวเพื่อสำนึกผิด เพราะฉะนั้นช่วงนี้จะให้พบใครไม่ได้เด็ดขาด”
“กักตัว!! ทำไมล่ะ?” เจ้าฮิโระที่นิ่งอยู่นาน จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่ดูกาลเทศะ เล่นเอานัยน์ตาที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นจัด จนแทบจะส่งพลังมาแช่แข็งมันได้เลย
“ผมทอง ตาสีทอง… เธอคงเป็นเด็กบ้านโซมะสินะ และถ้าฉันเดาไม่ผิด… ก็คงจะเป็นลูกชายนักฆ่าจอมงี่เง่าอันดับหนึ่ง โซมะ เรียวเฮ ใช่มั้ย”
ไฮบาระ เคียว เย้ยหยันพาดพิงถึงพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งๆหน้า ทำเอาลูกชายของนักฆ่าถึงกับเดือดพล่าน
“ใครกันแน่ที่งี่เง่า! อย่างน้อยพ่อผมก็ไม่เคยลงโทษลูกอย่างไม่มีเหตุผลก็แล้วกัน คุณเองล่ะที่ผ่านมาทำอะไรกับคาโอรุไว้บ้าง ทิ้งเค้ากับแม่ของเค้าไปยังไม่พอ ตอนนี้ยังขังเค้าไว้อีก คุณเป็นพ่อประเภทไหนกันแน่!!!”
ไฮบาระ เคียวผุดลุกจากเบาะรองนั่ง นัยน์ตาสีฟ้าที่น่ากลัวอยู่แล้วยิ่งวาวโรจน์ราวกับจะฉีกคนตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ แต่ฮิโระก็เลือดขึ้นหน้าจนไม่ฟังใครแล้ว มันลืมตัวขนาดขึ้นมายืนจ้องหน้าว่าที่พ่อตาอย่างไม่กลัวเกรง ซุยกับไทกิได้แต่หันมาสบตากันเงียบๆแล้วยกมือกุมขมับ
“ปากเธอนี่มันเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอมาที่นี่ทำไม แต่ฉันไม่เคยอนุญาตให้สายเลือดชั้นต่ำอย่างพวกโซมะมาเหยียบที่บ้าน เพราะฉะนั้น… ไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ!!!”
“ผมไปแน่… แต่ผมจะพาคาโอรุไปด้วย จะพาไปให้ไกลจากคนใจร้ายอย่างพวกคุณ แล้วก็จะไม่ให้เค้ากลับมาที่นี่อีก!”
ฮิโระประกาศท้าทาย แต่เรื่องมันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว เคียวต่างกับโนะอิ ดูท่าทางจะไม่ใช่คนที่จะตอแยได้ง่ายๆซะด้วย ดีไม่ดี… ลูกชายคนเดียวของบ้านโซมะจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ซะเปล่าๆ
แล้วความหนักใจของไทกิก็เป็นจริงจนได้ เมื่อเคียวเป็นฝ่ายประกาศคำตัดสินบ้าง
“ได้… ในเมื่อเธอมุ่งมั่นขนาดนั้นฉันก็จะให้โอกาส ถ้าอยากพบคาโอรุก็ต้องโค่นฉันให้ได้ กล้ามั้ยล่ะ?”
“ท่านอาครับ…” ซุยพยายามจะหาจังหวะห้าม เพราะรู้ดีว่าเคียวมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหน งานนี้รุ่นน้องของเค้าได้จบชีวิตแน่ถ้ายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ แต่เคียวก็ดับความหวังโดยสิ้นเชิง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ… ซุย ในเมื่อมันกล้าเดินเข้ามาในบ้านของฉัน ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ฉันนี่แหละที่จะสั่งสอนให้ไอ้เด็กโอหังที่รู้ว่าไฮบาระกับโซมะต่างชั้นกันแค่ไหน”
เจ้าของบ้านทิ้งท้าย ก่อนจะให้เวลานักฆ่าเตรียมตัว ศึกครั้งสำคัญนี้จะดวลกันที่โรงฝึกหลังบ้าน
ชะตากรรมของโรมิโอแห่งตระกูลโซมะ… กำลังจะถูกตัดสินในเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 13-03-2008 15:41:01
 :m22:Chapter 20 Love or Death

ป๊อก… ป๊อก…

เสียงกระบอกไม้ไผ่จากกังหันน้ำดังเป็นจังหวะ เป็นสิ่งเดียวซึ่งทำลายความเงียบเหงาที่รายล้อมอยู่รอบตัว เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนกรอบหน้าต่าง กี่วันแล้วที่ต้องมองแต่สวนหลังบ้าน กี่วันแล้ว… ที่ไม่ได้พบหน้ากัน ทำไมมันถึงได้ทรมานขนาดนี้นะ
“คาโอรุ”
เสียงที่คุ้นเคยเรียกหา ก่อนที่เจ้าตัวจะถือวิสาสะเปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง คาโอรุเหลียวกลับมามองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองผีเสื้อที่บินว่อนอยู่ในสวน มือขาวๆเดินเข้าไปใกล้ลูบหัวปลอบใจน้องชายหลายที
“ผอมไปนะ… กับข้าวที่บ้านไม่อร่อยเหมือนที่โรงเรียนหรือไง” พี่ชายเอ่ยทัก
คาโอรุค่อยๆยกตัวขึ้นมาจากกรอบหน้าต่าง แล้วตอบกลับไปด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด
“คาน่อนมาได้ไง อย่าบอกนะว่าแวะมาเที่ยว”
“ทำไมล่ะ… พี่ชายมาเยี่ยมน้องชายมันแปลกตรงไหน เรานั่นแหละ จู่ๆก็หอบข้าวของหนีออกจากหอ เพื่อนๆเค้าเป็นห่วงนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของคาโอรุก็เศร้าลงไปถนัด
“ก็ฉันไม่อยากให้พวกเค้าเดือดร้อน และก็ไม่อยากให้เรื่องราวมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ด้วย เรากับเค้าก็เหมือนอยู่คนละโลก ฉันไม่คิดหรอกว่าพ่อจะยอมญาติดีกับพวกโซมะ เพราะฉะนั้นฉันขอจบมันด้วยตัวเองดีกว่า”
“จบแล้ว แต่ตัวเองก็ต้องเจ็บปวด มันดีแล้วเหรอคาโอรุ… อย่าหาว่าพี่ยุ่มย่ามกับเรื่องของเธอเลยนะ แต่พี่พอจะดูออก เธอมีความสัมพันธ์กับเด็กบ้านโซมะใช่มั้ย”
พอเจอคำถามตรงๆจากพี่ชาย ก็ทำเอาคาโอรุสะอึกไม่หยุด
“ว่าแล้วมั้ยล่ะ” คาน่อนแอบอมยิ้ม “อีกคนเอาแต่นั่งเศร้า ส่วนอีกคนก็ร้อนใจจนแทบคลั่ง พี่จะไม่ถามหรอกนะว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์เลยเถิดไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่อยากรู้อย่างเดียว… ว่าเธอรักเด็กคนนั้นหรือเปล่า”
คาโอรุพูดไม่ออก จะตอบตรงๆก็ตอบไม่ได้ ใบหน้าที่ร้อนผ่าวก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะให้เค้าบอกยังไง ขนาดเจ้าตัวมันเองเค้ายังไม่เคยบอกเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆจะให้มาบอกคนอื่นเนี่ยนะ ใครมันจะไปพูดออกกันเล่า
คาน่อนฉวยจังหวะตอนที่กำลังอึ้งอยู่ รวบตัวน้องชายเข้ามากอดไว้แน่น
“พี่ห่วงคาโอรุนะ… และก็หวงมากด้วย”
เสียงกระซิบแผ่วเบากับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้น ทำให้คาโอรุชักร้อนๆหนาวๆ แถมพี่แกยังก้มหน้าลงมาทำท่าเหมือนจะจูบ นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามรอยโค้งมนของริมฝีปาก แต่แล้ว… ความกังวลทั้งมวลก็มลายหายไป เมื่อพี่ชายฉีกยิ้มให้บางๆแล้วเปลี่ยนเป็นจูบหน้าผากแทน
“แต่พี่ก็เคารพการตัดสินใจของคาโอรุเสมอ ถ้าเธอรักเด็กคนนั้น พี่ก็จะช่วยเต็มที่” คนพ่ายแพ้แสดงสปิริต แถมยังอาสาจะเป็นพ่อสื่อให้อีกต่างหาก
คาโอรุก้มหน้านิ่ง ถึงจะมีแนวร่วมมาเพิ่ม แต่ถ้าพ่อไม่เอาด้วยก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
“ฉันขอบใจ แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีแล้ว อย่าให้ทุกคนต้องพลอยเดือดร้อนเพราะฉันอีกเลย”
“งั้นก็ช้าไปแล้วล่ะ เพราะคนที่เธอไม่อยากให้เค้าเดือดร้อนมากที่สุด กำลังดวลกับท่านพ่ออยู่ที่โรงฝึก เพื่อแลกกับการได้พบเธออีกครั้ง”
“อะไรนะ!!!” คาโอรุตกใจสุดขีด “ยะ… อย่าบอกนะ ว่า… ฮิโระ อยู่ที่นี่”
คาน่อนยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “จะเอายังไงต่อไปดีล่ะคาโอรุ เธอจะรออยู่ที่นี่ รอให้เค้าดวลกันเสร็จ หรือว่า…”
“จะบ้าหรือไง!!” คาโอรุสวนทันที “ขืนรอมันก็ตายน่ะสิ นั่นพ่อเราเชียวนะ มันไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังท้าใครอยู่ โง่ไม่ยอมเลิกราเลยจริงๆ”
คาโอรุไม่ฟังเสียงใครแล้ว ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่คิดออก คือต้องไปห้ามการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะตายคาบาทาพ่อเค้าไปซะก่อน
คาน่อนได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆที่วิ่งจากไปเงียบๆ ปล่อยไปคราวนี้ก็คงจะไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีกแล้ว เค้าล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าพก ดึงรูปถ่ายที่หวงแหนที่สุดออกมาดู
“นี่เราจะต้องสูญเสียรักแรกไปจริงๆเหรอเนี่ย”
คาน่อนเปรยเศร้าๆ ก่อนจะวางรูปนั้นลงบนโต๊ะในห้องของคาโอรุ ภาพถ่ายของเด็กชายวัยห้าขวบในชุดยูคาตะที่พันธนาการพี่ชายไว้ตลอดสิบเอ็ดปี คงได้เวลาที่จะปล่อยวางซะที
“ขอให้เธอสมหวังนะคาโอรุ พี่จะคอยเอาใจช่วยน้องเสมอ”
นั่นคือคำบอกลาสุดท้ายก่อนที่พี่ชายจะเดินทางกลับโตเกียวโดยไม่บอกลา เรื่องราวครั้งนี้จะคลี่คลายด้วยดี ม่านหมอกแห่งความแค้นระหว่างไฮบาระและโซมะจะต้องสลาย ด้วยหัวใจที่คงมั่นของเด็กทั้งสองคนนี้ เพราะฉะนั้น… ก็ไม่มีอะไรที่เค้าจะต้องห่วงหรืออาวรณ์อีกต่อไปแล้ว

ตึง!!!!
โครม!!!!!

ร่างทั้งร่างลอยละลิ่วกระแทกผนังโรงฝึกนับครั้งไม่ถ้วน จนเนื้อตัวมีแต่บาดแผล แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นสู้ใหม่ ด้วยความหวังเพียงหนึ่งเดียว… ว่าต้องพบกันอีกครั้งให้ได้!
“หึ… มีแค่นี้เองเหรอ เกียรติและศักดิ์ศรีที่เธอประกาศใส่หน้าฉัน ไอ้ความยโสโอหังเมื่อครู่มันหายไปไหนหมดแล้ว โซมะ!!”
เคียวตามไปเตะโครมเข้าที่สีข้างจนจุก พอมันจะลุกขึ้นมาอีกครั้งก็ถูกกระทืบซ้ำ เหยียบแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าคุณพ่อตา ไทกิที่ดูอยู่ด้วยความหวาดเสียวก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่สวดภาวนาขอให้มันรอดเท่านั้น
“ฉะ… ฉัน… ยังไม่แพ้หรอกน่า”
ฮิโระยังทำปากเก่ง ทั้งที่อาการร่อแร่เต็มทน กระดูกมันคนละเบอร์อยู่แล้ว นักฆ่าวัยกระเตาะอย่างมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปต่อกรกับนักล่าที่ช่ำชองประสบการณ์มานับสิบๆปีอย่างเคียว แบบนี้มันเท่ากับหาเรื่องตายชัดๆ
“ฉันล่ะสมเพชจริงๆ พวกที่ชอบทำตัวอวดดีแต่ไม่มีทางสู้อย่างเธอ เหมือนลูกหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไม่มีผิด แต่ฉันนี่แหละจะทำให้เธอซาบซึ้งกับคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าไปจนวันตายของเธอเลย”
เคียวกระทืบเท้าซ้ำลงมาที่หน้าอกเต็มแรงจนฮิโระกระอักเลือด ไทกิเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะคิดเลยว่าป่านนี้ตับ ไต ไส้พุง ปอด ม้าม เซี่ยงจี๊ ไม่เละจนเป็นต้มเลือดหมูไปแล้วเหรอเนี่ย
“รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงเกลียดพ่อของเธอ”
นัยน์ตาของเคียวยิ่งเย็นจัด ตอนที่คว้าคอเสื้อของคนที่หมดสภาพขึ้นมาจากพื้น เลือดยังไหลทะลักออกจากปากของฮิโระไม่หยุด ไทกิเริ่มกระวนกระวาย มือเผลอไปจับแส้คู่ใจที่พันไว้รอบเอวแทนเข็มขัด แต่ก็ถูกซุยฉุดไหล่ห้ามไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่ง เพราะนี่ถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสองตระกูล ถ้าไทกิสอดมือเข้าไปช่วยก็เท่ากับลบหลู่เกียรติของโซมะ ซึ่งต่อให้ตายฮิโระก็ไม่มีทางยอมแน่
“ฉันเกลียดพ่อเธอ เพราะมันบังอาจแย่งหัวใจของคนที่ฉันรัก ชิโอริรักมันมาตลอด ถึงจะแต่งงานกับฉันแล้วแต่ก็ไม่เคยลืมพ่อเธอเลย แม้แต่ตอนนี้… เธอเองก็ยังคิดจะพรากลูกชายที่ฉันรักมากที่สุดไปจากฉันอีก คิดว่าฉันจะยอมยกโทษให้ง่ายๆงั้นเหรอ!!”
เคียวโยนคนเจ็บไปกระแทกซ้ำเข้ากับฝาผนังเต็มแรง ฮิโระหมดสภาพจนแทบจะยืนขึ้นมาไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังฝืนใช้มือไต่ผนังขึ้นมาทรงตัว
“ผมน่ะ… ไม่รู้หรอกนะว่าคุณกับพ่อเคยแค้นกันเรื่องอะไร แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับคาโอรุตรงไหน ผมก็แค่อยากจะเป็นเพื่อนกับคาโอรุ แค่นี้… ก็ไม่ได้หรือไง”
คำประท้วงจากฮิโระทำให้เคียวชะงักไปนิด ลุงแกตีคิ้วมุ่นแล้วเดินไปหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมา
“อยากเป็นเพื่อนกับลูกชายฉัน ก็ต้องดูว่าเธอมีคุณสมบัติแค่ไหน”
เคียวตามไปกระชากคอเสื้อฮิโระขึ้นมาใหม่ เตรียมวัดใจกันวินาทีต่อวินาที ปลายดาบคมกริบจ่อประชิดคอหอย สายตาจ้องเขม็งจงใจจะขู่ให้มันกลัว แต่ฮิโระก็ไม่ยอมหลบ ไม่รู้มันกล้าจริงหรือเพราะบ้าไปแล้ว อันนี้ไทกิเองก็ไม่แน่ใจนัก
“ฉันจะให้โอกาสเธอพูดว่า ‘ยอมแพ้’ แล้วคลานออกไปจากที่นี่ซะ หรือไม่… ถ้ายังทู่ซี้สู้ต่อไป ฉันก็จะเฉือนเนื้อเธอไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะยอมพูด เริ่มจากตรงไหนก่อนดีล่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าแข็งกร้าวกวาดหาเป้าหมายไปทั่วตัว
“ตัดแขนขาเธอสักข้างก่อนดีมั้ย หรือว่าจะเป็นหูกับจมูก” คราวนี้คมดาบเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่จี้ตามใบหน้า เพราะเจ้าตัวยังเลือกไม่ถูกว่าจะเชือดตรงไหนก่อนดี
จนในที่สุด… ก็ปะทะเข้ากับนัยน์ตาสีทองอวดดีที่ส่งมาท้าทายเค้า
…นัยน์ตาสีทองที่คุ้นเคย… สายตาอวดดีแบบนี้แหละ ที่ชวนให้หงุดหงิดใจทุกทีที่เห็น
เหมือนพ่อของมันไม่มีผิด!
“ฉันชอบดวงตาของเธอนะ สวย… แต่กระด้าง เป็นของสะสมที่หายากทีเดียว ถ้าลองงัดออกมาดูสักข้าง ดูซิว่าเธอยังจะอวดดีอยู่ได้อีกหรือเปล่า”
เคียวตวัดปลายดาบจ่อประชิดดวงตาข้างซ้ายของฮิโระ แต่มันก็ไม่ยอมหลบ คมดาบจ่อถึงหางตาแล้วกำลังจะไล่ตวัดเข้ามาเรื่อยๆ
แต่แล้ว…

ปึง!!!!!

เสียงประตูห้องฝึกถูกถล่มจนยับ เพราะคนใจร้อนไม่อยากหากุญแจมาไขให้เสียเวลา เลยใช้วิชามารถล่มมันซะเลย ก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาห้ามทัพ
“เดี๋ยวก่อน!!”
แต่คนที่ห้ามกลับไม่ใช่ผู้ที่มาใหม่ มือของซุยไวกว่าคว้าหมับที่ต้นแขนเล็กๆของคาโอรุแล้วฉุดไว้แน่น นัยน์ตาสีเขียวตวัดมาจ้องหน้ารุ่นพี่เขม็ง
“ปล่อยฉันนะ!!”
“ขอโทษที… แต่ฉันปล่อยให้นายทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
ซุยพยายามกล่อม ก่อนจะดึงตัวคาโอรุเข้ามาหา จับคอให้หันหน้าไปดูการต่อสู้ในช่วงสุดท้ายอีกครั้ง พอคาโอรุเห็นสภาพฮิโระสะบักสะบอมเลือดอาบอยู่ในกำมือพ่อ เค้าก็รีบเบือนหน้าหนีทันที
“นายต้องดูนะคาโอรุ” ซุยย้ำอีกครั้ง “ฮิโระกำลังสู้เพื่อนาย ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่เค้าก็ไม่ยอมแพ้ และก็จะไม่มีวันยอมแพ้ด้วย เหตุผลนี้มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นที่รู้ เพราะฉะนั้นนายจะหนีหรือไปช่วยเค้าไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่นายทำได้ตอนนี้มีอยู่แค่สิ่งเดียว… คือ ยืนดูเค้าสู้จนกว่าจะจบเกมเท่านั้น”
เพราะได้คำเตือนสติจากซุย คาโอรุถึงยอมสงบ แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ต่างรุ่นตลอดเวลา เค้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนทึ่มๆอย่างฮิโระจะยอมทำอะไรเพื่อเค้าได้ขนาดนี้ แค่คิดว่าการกลับบ้านก็จะสามารถยุติทุกอย่างได้ แต่ทำไมมันถึงต้องดื้อดึงทำอะไรโง่ๆแบบนี้ด้วย
‘เหตุผลนี้มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นที่รู้’ คำพูดของซุยที่ยังดังก้องอยู่ในหู
ใช่แล้ว… เหตุผลนั้นฉันรู้ดี เพราะมันคือเหตุผลเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับนาย
เหตุผล… ของ ‘ความรัก’

เคียวหันมาดูลูกชายที่พังประตูโรงฝึกเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก ทั้งที่เค้าอุตส่าห์กำชับคนในบ้านไว้แล้วว่าไม่ให้บอกคาโอรุเรื่องที่เพื่อนๆบุกมาถึงที่บ้าน ใครนะมันช่างบังอาจจริงๆ
“ถึงคาโอรุมาก็อย่าคิดนะว่าเค้าจะช่วยเธอได้ ฉันไม่ปล่อยให้เธอรอดไปจากที่นี่แน่”
“ผมก็ไม่คิดจะให้เค้าช่วยอยู่แล้ว เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมยอมรับความพ่ายแพ้ และก็คงไม่มีหน้าไปพบเค้าอีก ผมเคยเสียเค้ามาแล้วครั้งนึง วันนี้ถึงต้องตายผมก็จะไม่ยอมแพ้คุณเด็ดขาด!” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น
…ความตายกับความรัก… วัดที่หัวใจเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าชัยชนะของเค้าจะสังเวยให้กับสิ่งไหนก่อนกันเท่านั้น
“ดี! งั้นก็ดูซิว่าเธอจะทนได้สักแค่ไหน”

ฉัวะ!!

คมดาบแรกทิ่มแทงลงไปที่หัวไหล่ซ้าย จนแขนที่ยันฝาผนังไว้เพื่อทรงตัวถึงกับทรุด แต่ฮิโระก็ยังกัดฟันสู้ต่อ คาโอรุเห็นแล้วถึงกับน้ำตาไหลพราก มันเจ็บเค้าก็ยิ่งเจ็บ แต่ก็ต้องทนฝืนดูต่อไปจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย

ฉัวะ!!

ขาซ้ายคือเป้าหมายต่อไป

ฉัวะ!!

ตามมาด้วยขาขวา

ฉัวะ!!

แล้วต่อด้วยแขนขวา

“ฉันให้โอกาสเธออีกครั้ง จะดื้อดึงต่อไปเพื่ออะไร แค่พูดคำเดียวว่ายอมแพ้มันยากนักหรือไง เธอตายมันคุ้มกันแล้วเหรอ”
เคียวเริ่มลังเล ขู่มันขนาดนี้แล้วมันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ แม้ฝีมือจะอ่อนด้อยกว่า แต่หัวใจก็กล้าแกร่งและมั่นคงดุจหินผา
แกร่งเหมือนใครกันนะ?
ก็เหมือน… ตาแก่จอมกะล่อนเรียวเฮ พ่อมันนั่นแหละ!!
ยิ่งคิดยิ่งน่าโมโห…
คราวนี้คมดาบตวัดมาจ่อประชิดตรงตำแหน่งหัวใจ
“นี่คือโอกาสสุดท้ายของเธอแล้ว บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่เคยพลาด”
“ก็เอาสิครับ จะมัวพูดให้เสียเวลาอยู่ทำไม” ฮิโระท้าทาย ก่อนจะหลับตาเพื่อรอรับคำตัดสิน
“พอ… ได้แล้ว…” คาโอรุที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของซุยพูดไม่ออก ได้แต่ครางเงียบๆแผ่วเบา ใจนะอยากเข้าไปห้ามแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้
“ร้องออกมาเถอะคาโอรุ มันจะช่วยให้เธอดีขึ้น” ซุยเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไงดีแล้ว และไม่รู้ตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่พารุ่นน้องมาตายแบบนี้ แต่ในใจลึกๆก็ยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้าย
นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีทองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจรดปลายดาบฝังลงไปจนสุด

ฉึก!!!!

จบแล้ว…
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จบลงอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุดระหว่างสองตระกูล เคียวทิ้งร่างของฮิโระลงไปกองที่พื้นแล้วเดินออกมาช้าๆ
“ฉันแพ้เธอแล้ว”
เคียวเป็นฝ่ายประกาศความพ่ายแพ้ซะเอง ก่อนจะเดินจากไป แต่ในระหว่างนั้นก็ยังหันไปสั่งคาโอรุที่ยังยืนอึ้งไม่หาย
“พ่อคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน พ่อให้เวลาลูกห้านาทีแล้วตามไปเจอพ่อที่ห้องหนังสือ อย่าช้าล่ะ”
แม้ท่านพ่อขี้โมโหจะไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าขยับ นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าที่ทุกคนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฮิโระมันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ในตอนที่เคียวตัดสินใจตวัดปลายดาบไปปักบนผนังแทนหน้าอกของมัน ทุกคนผ่านวินาทีที่ระทึกที่สุดในชีวิตมาได้ พอทุกอย่างคลี่คลาย เพื่อนซี้ทั้งสองก็รีบโผเข้าไปกอดนักฆ่าที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นทันที
“ฮิโระ! นายแน่มากเลย ฉันไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่านายจะกล้ารับดาบนั่น” ไทกิที่โผเข้าไปกอดคอเป็นคนแรกยกนิ้วโป้งให้เพื่อน ก่อนจะถอยออกมาให้ตัวจริงเค้าได้เข้าไปปลอบจนหนำใจ
“ฮิโระ…”
“เดี๋ยว!” คาโอรุยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกไอ้ตัวป่วนยกนิ้วขึ้นมาทาบริมฝีปากเอาไว้ “ขอฉันพูดก่อน”
ฮิโระตั้งท่าขึงขัง สีหน้าของมันดูจะโกรธเอาการ แหงล่ะ… ความผิดที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีมา แถมปล่อยให้มันตามหาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จะยกโทษให้ง่ายๆได้เหรอ
คาโอรุนำหน้าสำนึกผิด อยากจะพูดแก้ตัวสักสองสามประโยคแต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่รอให้มันสำเร็จโทษแล้วด่าให้หนำใจก่อนเท่านั้น เค้าถึงมีสิทธิ์แก้ตัวทีหลัง
มันคว้าหมับโอบเอวคนดื้อเข้ามาหาทั้งตัว มือใหญ่ทาบอยู่บนใบหน้า กะจังหวะเหมาะๆไว้แล้วว่าต้องโดนตบแน่ๆ แต่ทุกคนก็เดาผิดหมด แถม กขค. สองตัวที่อยู่ในห้องเกือบจะหันหน้าหลบไม่ทัน ตอนที่เจ้าฮิโระมันเล่นกระชากตัวคาโอรุเข้าไปจูบ แถมยังล่อซะนานจนโควตาห้านาทีของคุณพ่อใกล้จะหมดอยู่รอมร่อแล้ว
“ฉันคิดถึงนายนะคาโอรุ ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกได้มั้ย” ว่าแล้วมันก็ถือโอกาสอ้อนต่อซะเลย
แต่คาโอรุยังไม่ทันตอบรับก็โดนขัดจังหวะอีกจนได้ คิริเอะ… แม่บ้านจอมเฮี้ยบนั่นเอง โชคยังดีที่เจ้าหล่อนไม่เข้ามาเห็นฉากเด็ด ไม่อย่างนั้นอาจจะช็อกจนหัวใจวายตายได้
“ท่านคาโอรุ ท่านเจ้าบ้านให้มาตามไปพบเจ้าค่ะ”
“ฉันไปแน่! ไปบอกตาแก่นั่นให้ล้างคอรอได้เลย” คาโอรุสวนกลับ ก่อนจะหันมาทางฮิโระอีกครั้ง “นายไปทำแผลก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับมา”
คาโอรุผละออกไปเฉยๆ แต่ก็โดนคนตื๊อฉุดข้อมือไว้อีก
“นายต้องกลับมานะ” ฮิโระทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาที่กำลังจะโดนทิ้ง คาโอรุพยักหน้ารับเบาๆ แล้วฝากให้ซุยกับไทกิช่วยจัดการต่อ ก่อนจะตามแม่บ้านออกไปพบคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 15/2/08 เพิ่มตอนใหม่ 2 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 13-03-2008 15:42:21
20 ต่อ

ภายในห้องหนังสือประจำบ้านยิ่งอึมครึมหนัก เมื่อเจ้าคุณพ่อเล่นนั่งไขว่ห้างตีหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟา ห้องนี้เป็นห้องประยุคสไตล์ยุโรป เป็นห้องหนังสือที่หรูหราเอาการทีเดียว
คาโอรุทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกตัวตรงข้าม แล้วจ้องหน้าเตรียมจะเอาคืนคุณพ่อเขม็ง
“ทำแบบนี้ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือไง ผู้ใหญ่รังแกเด็กชัดๆ” คาโอรุบ่นอุบ
“การที่พ่อคนนึงอยากปกป้องลูกตัวเอง พ่อก็ไม่เห็นว่าจะทำเกินไปตรงไหน”
“ไม่ต้องเถียงเลย… พ่อทำผิดก็เห็นอยู่ รู้อยู่แล้วว่าเค้าสู้ไม่ได้ ก็ยังอัดซะน่วมขนาดนั้น ผมเริ่มจะโกรธจริงๆแล้วนะ”
“แสดงว่าที่ผ่านมาลูกไม่ได้โกรธพ่อจริงๆใช่มั้ย” สีหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดของเคียวเริ่มคลายออก รอยยิ้มที่หายากที่สุดบนใบหน้าดวงนี้ก็ค่อยๆปรากฏชัด
“อย่าพานอกประเด็นได้มั้ย เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกันซะหน่อย”
“อืม… งั้นพ่อจะพูดให้ตรงประเด็นของลูกก็ได้”
เคียวเล่นย้ายที่มานั่งเบียดลูกเอาดื้อๆ พอคาโอรุจะขยับหนีก็โดนกอดไว้อีก
“โอ๊ย! ไปห่างๆน่า ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไม่ต้องกอดก็ได้ อึดอัด…” คาโอรุพยายามตะกุยหนี แต่คุณพ่อหัวดื้อก็ไม่ยอมปล่อย
“เฮ้อ… ลูกจะยอมนั่งนิ่งๆแล้วฟังที่พ่อพูดบ้างดีมั้ย” เคียวปรามไปอีกยก คาโอรุคิดว่าถึงดิ้นไปก็คงไม่รอด เลยยอมนั่งนิ่งๆด้วยความจำใจ
“คาโอรุ” เคียวลูบหัวนุ่มๆของลูกรัก “พ่อก็ไม่อยากห้ามเรื่องคบเพื่อนหรอกนะ แต่จะคบใครก็ต้องเลือกให้ดีว่าเค้ามีความจริงใจให้ลูกแค่ไหน โดยเฉพาะคนบ้านโซมะ…”
ถึงตอนนี้เคียวก็แสดงสีหน้าเจ็บปวด พร้อมกับถอนใจเศร้าๆ
“พ่อของโซมะเค้าทิ้งแม่ของลูก ทั้งๆที่แม่รักเค้ามากขนาดนั้น ถ้าตอนนั้นเรียวเฮมีความกล้าหาญเหมือนลูกชาย มุ่งมั่นจะแย่งชิโอริไปจากพ่อให้ได้ เรื่องมันก็คงไม่ลงเอยแบบนี้ ชิโอริก็คงไม่ต้องทรมานกับการพรากจากคนรักด้วย”
“แล้วพ่อจะยอมเหรอ ถ้าพ่อของฮิโระเค้าทำแบบนั้นจริงๆ”
เคียวยิ้มบางๆ “พ่อก็คงไม่ยอม แต่ถ้าเพื่อความสุขของชิโอริ พ่อก็ยินดีจะหลีกทางให้ เหมือนอย่างวันนี้… คาโอรุเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ พ่อจะยกให้ใครสักคน ก็ต้องมั่นใจว่าคนๆนั้นมีความจริงใจและปกป้องลูกได้จริงๆ แม้แต่ชีวิตก็ต้องยกให้ลูกของพ่อได้ โซมะเพื่อนของลูก… เค้าผ่านการทดสอบนี้แล้ว พ่อก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามไม่ให้ลูกสองคนคบกันอีก”
“พ่อ…” คาโอรุซึ้งใจจนพูดไม่ออก ที่ผ่านมาคิดเสมอว่าพ่อไม่มีเหตุผล ชอบทำอะไรตามอารมณ์ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย พ่อทำทุกอย่าง… เพราะรักและห่วงเค้ามากต่างหาก
“แต่ลูกอย่าลืมนะคาโอรุ… ถึงพ่อยอมรับเด็กนั่นได้ แต่ลูกจะแน่ใจได้ยังไงว่าบ้านนั้นเค้าจะยอมรับลูก ต่อให้ลูกเกลียดชังพ่อแค่ไหน แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกยังไงก็ตัดไม่ขาด ไม่เหมือนคนอื่นที่เค้าอาจจะไม่ยอมรับ แต่สำหรับพ่อ… ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงพ่อก็ยังรักลูกเสมอนะคาโอรุ ถ้าไปอยู่ที่อื่นแล้วเหนื่อยก็ขอให้กลับบ้านของเรา… พ่อจะรอลูกเสมอ”
คาโอรุโผเข้ากอดคอพ่อไว้แน่น ทิฐิทั้งมวลที่เคยมีกับพ่อก็สลายหายไปหมด นานแล้วที่เอาแต่เหลวไหล ไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่น่ารักให้พ่อชื่นใจเลยสักครั้ง ถึงเวลาต้องแก้ไขตัวเองซะใหม่แล้ว คาโอรุจึงตัดสินใจบอกความลับอย่างหนึ่งให้พ่อรู้
“พ่อ… ที่พ่อบอกว่าแม่รักโซมะ เรียวเฮ อันที่จริงแล้ว… ไม่ใช่หรอก”
เสียงสารภาพแผ่วๆจากลูกรัก ทำให้เคียวหูผึ่ง
“ความจริงแม่รักพ่อนะ แม่บอกว่าเคยเห็นพ่อมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แล้วก็รักพ่อมาตลอดเลย ที่มีข่าวลือว่าคบอยู่กับโซมะ เรียวเฮ อันที่จริงแม่โดนเค้าตามตื๊ออยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก ตอนที่คุณยายบอกว่าจะได้แต่งงานกับพ่อ แม่ดีใจจนนอนไม่หลับ แต่ไม่คิดว่าวันแต่งงานพ่อจะพูดแบบนั้น ก็เลยโกรธ… แต่แม่คงจะงอนนานเกินไปหน่อย พ่อกับแม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน แถมพ่อยังพาป้ามาเรียกลับมาอีก แม่ก็เลยปักใจคิดว่าพ่อไม่รักแม่แล้ว เลยย้ายออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
พอได้ฟังความจริงจากปากลูกรัก เคียวก็อึ้งไปนานกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ก็เขย่าแขนถามลูกอีกรอบให้แน่ใจ
“ลูกไม่ได้ล้อพ่อเล่นใช่มั้ย”
คาโอรุส่ายหน้า “แม่บอกผมก่อนตาย แม่ไม่เคยโกหกผม และผมก็เชื่อว่าแม่พูดความจริง”
“ชิโอริ” เคียวแทบช็อก ก็ถ้าเค้ารู้ความจริงเร็วกว่านี้ก็คงไม่ปล่อยให้เธอตายอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้หรอก แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
“แม่บอกว่า… แม่ไม่เคยโกรธพ่อ เพราะแม่อยากเห็นพ่อมีความสุขกับป้ามาเรียถึงได้ออกมา พ่อเองก็ต้องดีกับป้ามาเรียให้มากๆ จะได้ให้แม่สมหวังด้วยไงครับ”
เคียวยิ้มบางๆ “ชิโอริก็เป็นแบบนี้ ชอบเสียสละ แต่ถึงยังไงพ่อก็ผิด”
“โธ่… พ่อ แม่เค้ายกโทษให้ตั้งนานแล้ว ก็ยังคิดมากอยู่ได้ เดี๋ยวก็หัวล้านหรอก หน้าบูดๆแถมหัวล้านด้วยเนี่ย น่าเกลียดตายชัก” คาโอรุล้อ
“แล้วลูกล่ะ จะยกโทษให้พ่อได้หรือยัง” เคียวได้โอกาสก็รีบถามเข้าประเด็นทันที
คาโอรุอ้ำอึ้ง แต่ก็ยังวางฟอร์ม “จะเอาเรื่องไหนล่ะ?”
“โห… พ่อก่อคดีไว้เยอะขนาดนั้นเชียว” เคียวลูบคางทำท่าคิดหนัก “เอาคดีล่าสุดก่อนแล้วกัน คดีอื่นดูท่าใกล้จะหมดอายุความแล้วโทษคงไม่สาหัสเท่าไหร่ เรื่องที่พ่อเล่นงานเพื่อนของลูกปางตายน่ะ จะยกโทษให้มั้ย”
คาโอรุถอนใจเบาๆ เดิมทีเรื่องนี้กะจะอาละวาดพ่อให้บ้านแตกไปเลยนะเนี่ย แต่พอมาคิดทบทวนเรื่องเจตนาแล้วยังพอให้อภัยได้
“ให้ใบเหลืองไว้ก่อนแล้วกัน แต่ถ้ายังทำผิดอีกล่ะก็จะให้ใบแดงออกจากบ้านแล้วนะพ่อ”
“ก็ยังดี”
เคียวหัวเราะ แล้วดึงตัวคาโอรุเข้ามากอดด้วยความรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยวันนี้ก็ตัดสินใจไม่ผิด อันที่จริงความพ่ายแพ้ก็ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิด แถมยังทำให้เค้าได้ใจของลูกรักกลับคืนมาด้วย แบบนี้คงต้องหาโอกาสแอบไปขอบคุณเด็กนั่นซะหน่อยแล้ว
“พ่อรักลูกนะคาโอรุ”
เคียวย้ำประโยคเดิมเหมือนเช่นทุกครั้งที่พบหน้ากัน แต่คราวนี้กลับได้ฟังคำตอบที่ไม่เคยได้ยินเลยตลอดสิบหกปีที่ผ่านมา เมื่อคาโอรุเป็นฝ่ายสอดแขนกอดพ่อบ้าง
“ผมก็รักพ่อ… พ่อเป็นพ่อที่เยี่ยมที่สุดในโลกเลย”
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 13-03-2008 23:57:18
เข้ามาตามอ่านอีกรอบฮับ

เคยติดตามอ่านตอนที่พี่Foggy เอาลง dek-d อ่า

ในที่สุดคาโอรุกับคุณพ่อก็เปิดใจเช้าหากันได้เเล้ว ชอบตอนอยู่ที่บ้านของคาโอรุมากเลย

เพราะตอนมันมีตอนในสวน  :oni1:


หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:21:37
[ :m22:b]Chapter 21[/b] Beneath the Sunset

เปลือกตาหนาหนักถูกปรือขึ้นช้าๆ ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยลูกคุ้มเหล็ก แถมยังปวดระบมไปทั้งตัว นี่เค้าไปออกรบมาหรือไงเนี่ย
กว่าสมองจะลำดับความคิดเสร็จสรรพว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทำเอาปวดหัวหนึบ เค้าจำได้ว่าโดนหามออกมาจากโรงฝึก พอทำแผลเสร็จก็กะจะรอคาโอรุ แต่ดันเผลอหลับไปซะนี่ แล้วนี่มันผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วล่ะ
“นายฟื้นแล้วเหรอ”
หน้ากลมบ๊อกกับดวงตาใสแจ๋วคู่แรกที่เห็นเมื่อตื่นขึ้น กลับไม่ใช่คนที่เค้าอยากเห็นหน้า นัยน์ตาสีทองกวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว นอกจากไอ้บ้าที่บังอาจเสนอหน้ามาให้เค้าเห็นคนแรกแล้ว ยังมีอีกคนที่นั่งเต๊ะอยู่บนโซฟามุมห้อง
“ไทกิ… แล้วคาโอรุล่ะ คาโอรุอยู่ไหน?” ฮิโระสำรวจดีแล้วว่าในห้องไม่มีคนที่อยากเจอหน้า ก็เห็นประโยชน์ของเพื่อนซี้ทันที
แต่แทนที่มันจะรีบตอบ ไทกิกลับอ้ำอึ้ง ทำหน้าหดหู่แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพราะไม่รู้จะบอกฮิโระยังไง
“เค้าไปแล้ว”
“ห๊า!!!!” ฮิโระผุดลุกขึ้นนั่งชนิดลืมสภาพความโทรมของตัวเอง “นายว่าอะไรนะ คาโอรุไปไหน!!!”
“ก็นายแพ้… พ่อเค้าก็พาลูกเค้ากลับบ้านน่ะสิ ป่านนี้คงถึงบ้านใหญ่ที่โตเกียวเรียบร้อยแล้วมั้ง”
“จริงเหรอครับพี่ซุย” ฮิโระรีบขอคำยืนยันจากตัวช่วย เพราะไม่เชื่อน้ำหน้าเจ้าไทกิสักเท่าไหร่ แต่ซุยก็เอาแต่เงียบ แถมยังหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมสบตาให้คาดคั้นเลย
“จริงเหรอเนี่ย” ฮิโระทรุดลงไปกองบนหมอนอีกรอบ “โธ่เว้ยยยย!! ฉันไม่น่าแพ้เลย รู้งี้ฉุดมันซะก็หมดเรื่อง ทำเก๊กไปท้าพ่อเค้าสู้ทำบ้าอะไรเนี่ย”
เจ้าฮิโระอาละวาดอย่างหงุดหงิด แต่พอมันปาหมอนระบายอารมณ์ไปที่ประตูเท่านั้น ก็โดนหน้าคนที่โผล่เข้ามาได้จังหวะจนหัวแทบคะมำ
“โอ๊ย!”
รู้สึกมันยังมีแรงเหลือเฟือแฮะ ถ้าลองปาหมอนได้แม่นขนาดนี้ล่ะก็ ไม่น่าห่วงมันมากเกินไปเลย… คาโอรุคิดแล้วก็ได้แต่ลูบสันจมูกที่เจ็บแปล๊บๆ
แต่ตอนที่เดินเข้ามานี่แหละ คนที่อาละวาดก็พูดอะไรไม่ออก พอหันไปมองเพื่อนซี้อีกคน มันก็หลุดมาดเก๊กแล้วปล่อยก๊ากออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง
โดนเจ้าไทกิมันต้มหมูอีกจนได้… ฮึ่ม!!!
“นายเป็นไงมั่ง ฮิโระ?” คาโอรุหยิบหมอนไปวางที่เดิม “แต่ฉันวางลองลุกขึ้นมาเต้นได้ขนาดนี้ล่ะก็ อีกไม่กี่วันก็คงหายสนิท”
“นะ… นาย ไม่ได้กลับกับพ่อนายเหรอ” ฮิโระยังไม่มั่นใจนัก
“กลับกับพ่อ? เปล่านี่… พ่อฉันติดงานก็เลยกลับไปก่อน ฉันก็กะว่าจะอยู่ที่นี่ต่อจนกว่านายจะหายดีแล้วค่อยกลับโรงเรียนพร้อมกัน ไทกิไม่ได้บอกนายเหรอ”
ว่าแล้วก็กะว่าจะหันไปสำเร็จโทษกับเพื่อนอีกคนซะหน่อย แต่มันดันถูกรุ่นพี่คนสำคัญลากตัวออกมา แล้วเผ่นหนีไปเรียบร้อยแล้ว
“ช่างไทกิมันเถอะ นายยังอยู่ก็ดีแล้ว ฉันคิดว่านายจะทิ้งฉันไปแล้วซะอีก”
“ไม่หรอกน่า” คาโอรุจับมือฮิโระไว้แน่น “ฉันไม่ไปไหนหรอก เพราะกลัวใจนายจริงๆ กลัวจะทำอะไรโง่ๆแบบนี้อีก”
“งั้นก็ดีแล้ว… แบบนี้แหละดีที่สุดเลย”
ว่าแล้วก็ถือโอกาสกอดแล้วซบหน้าลงไปอ้อน ฮิโระรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนยกภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกออกจากอกเลยก็ว่าได้ และอยากเก็บความสุขในตอนนี้ไว้ตราบนานเท่านาน

ทั้งสองคนที่เผ่นหนีออกจากห้อง ตอนนี้ได้เก็บข้าวของเตรียมขึ้นชินคังเซ็นเพื่อกลับโตเกียว…
“ซุยไม่น่ารีบลากฉันออกมาเลย เสียดายชะมัด” ไทกิบ่นอุบ
“เสียดายที่ไม่ได้ดูพวกนั้นจู๋จี๋กันเนี่ยนะ” ซุยอึ้ง
“จู๋จี๋อะไร? คาโอรุออกจากหอมาตั้งนาน ฉันก็แค่อยากจะแจมด้วย”
ซุยไล่มองไทกิด้วยความไม่เข้าใจ บางทีมันก็มีความคิดอ่านเกินผู้ใหญ่ แต่กับบางเรื่องกลับซื่อบื้อยิ่งกว่าเด็กอนุบาลซะอีก ก็ขืนมันอยู่ด้วยแล้วไปแจมกับเค้าสิ รับรองได้เป็นเรื่องแน่
“นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าสองนั้นมีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”
ไทกิส่ายหน้า ซุยมองซ้ายมองขวาแล้วดึงตัวมันเข้ามากระซิบด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“แล้วถ้าบอกว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเหมือนพวกเราล่ะ”
พอเจอมุกนี้คนซื่อบื้อค่อยถึงบางอ้อ หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปเรียบร้อย อันที่จริงมันก็น่าคิดนะ… เจ้าฮิโระมันยอมเสี่ยงชีวิตท้าสู้กับพ่อคาโอรุจนปางตายเพื่อจะได้เพื่อนกลับมาก็คงไม่ใช่ อีหรอบนี้ถ้าไม่มีเหตุผลลึกๆต่อกันก็คงไม่ทำหรอก ทำไมเค้าถึงเพิ่งคิดออกเอาป่านนี้ฟะเนี่ย
“งั้นก็เถอะ… อุตส่าห์มาถึงมิยางิทั้งที เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว แม้แต่ของฝากก็ยังไม่ได้ซื้อเลย ฉันอยากซื้อของไปฝากพี่มิสึกินี่” ไอ้ตัวดีแก้เก้อไปเรื่อย
“นายไม่ต้องห่วงมิสึกิหรอก เดี๋ยวคาน่อนก็เอาไปฝากเองแหละน่า ส่วนเรื่องเที่ยว… ถ้านายอยากไป ฉันจะพาไปเกียวโตก็ได้”
“เกียวโต!!!” ไทกิหูผึ่ง “แล้วทำไมต้องเป็นเกียวโตด้วยล่ะ”
รุ่นพี่อ้ำอึ้ง หน้าขาวๆเริ่มติดสีแดงจางๆ “ฉันก็แค่คิดว่ายังไงพวกเราก็ลาเผื่ออยู่แล้ว ก็เลยจะแวะกลับไปที่บ้านซะหน่อย นายอยากไปด้วยมั้ยล่ะ”
“อ๋อ… บ้านนายที่อยู่เกียวโตใช่มั้ย” ไทกินึกออกแล้ว “ไปสิ… ฉันอยากไป”
“งั้นเราคงต้องเปลี่ยนตั๋วรถไฟ นายรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ฉันไม่อยู่เดี๋ยวเดียวห้ามดื้อนะเข้าใจมั้ย”
ซุยมันเล่นสั่งอย่างกับพ่อที่กลัวว่าลูกจะหลงทาง ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนตั๋วที่ช่องขายตั๋ว ไทกิแอบอมยิ้มเงียบๆ อันที่จริงซุยคงตั้งใจจะชวนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทำเป็นฟอร์มจัดไม่กล้าพูดตรงๆ
บ้านของซุยงั้นเหรอ… ท่าทางทัวร์ครั้งนี้จะสนุกไม่เบาแฮะ


ใต้ร่มซากุระที่ออกดอกสีชมพูพราวพร่าง… ทั้งสองคนยังคงกอดก่ายกันชื่นชมพระอาทิตย์ตกดิน ไม่มีคำพูดใดๆมาพร่ำเพ้อรำพัน เพียงหัวใจที่สื่อถึงกันก็ทำให้มีความสุขจนล้นเหลือแล้ว
“ตอนที่นายหนีมา ฉันกลัวแทบตายว่าจะไม่ได้เจอนายอีก”
ฮิโระส่งเสียงอ้อน แขนที่สอดมาจากทางด้านหลังยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น พร้อมกับซุกหน้าลงไปจูบหัวไหล่มนภายใต้ชุดยูคาตะ
“นายก็หาฉันเจอแล้วนี่” คาโอรุเปรย แล้วสีหน้าก็แดงซ่านเมื่อมันเปลี่ยนเป้าหมายมาจูบไซ้ซอกคอเบาๆ
“แต่ฉันอยากได้คำสัญญา ว่านายจะไม่หนีฉันไปไหนอีก”
“ฉันก็บอกนายไปตั้งหลายรอบแล้ว ต้องให้ฉันทำยังไงนายถึงจะยอมเชื่อ” คาโอรุหันไปค้อน ขนาดยืนยันกับมันไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าจะไม่หนีไปไหนมันก็ยังไม่เชื่อ หรือต้องเอาเชือกมาล่ามแล้วผูกติดกันตลอดชีวิตหรือไงมันถึงจะยอมเชื่อใจเค้า
ฮิโระยิ้มพราย พร้อมกับปรายสายตามองร่างบอบบางภายใต้ชุดยูคาตะอย่างเจ้าเล่ห์ คาโอรุเริ่มออกอาการร้อนๆหนาวๆ พอจะรู้แล้วว่ามันอยากได้อะไร
“ไม่นะ… ฮิโระ อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ที่นี่” คาโอรุปฏิเสธดักทางไว้ก่อน แต่คนดื้ออย่างมันมีหรือจะยอมฟัง
“ทำไมล่ะ… บรรยากาศออกจะเป็นใจขนาดนี้ ท้องฟ้ายามเย็นที่สวยงาม กลีบดอกซากุระที่ร่วงปลิดปลิวมาตามสายลมที่อบอุ่น โรแมนติกอย่าบอกใครเลยนะ” แล้วมันก็แกล้งประชิดเข้ามากระซิบเหตุผลสำคัญที่ข้างหู “อีกอย่างฉันก็มีอารมณ์แล้วด้วย”
พอได้ฟังอย่างนั้นคาโอรุก็หน้าแดงก่ำ มันนะกล้าพูดออกมาได้ หน้าไม่อายเลยจริงๆ
มือกร้านเริ่มประชิดร่างเล็กๆเข้ามากอดรัดแน่นขึ้น ยูคาตะส่วนบนถูกรูดลงมาตามหัวไหล่ เผยให้เห็นหน้าอกนวลขาวผ่อง มือกร้านจึงลูบวนเล่นอยู่แถวนั้นเบาๆ
“ยะ… อย่าน่า… ฮิโระ เดี๋ยวมีคนเห็น” คาโอรุที่ถูกกระชากอารมณ์ไปแล้ว แต่สติบางๆก็ยังเรียกร้องให้หยุด
“ไม่มีหรอก… ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ที่สำคัญที่นี่ก็เป็นเขตหวงห้ามของบ้านนายไม่ใช่เหรอ ไม่มีใครมาขัดจังหวะพวกเราหรอกน่า” ฮิโระก้มลงไปกัดแต้มสีชมพูหวานเหมือนกลีบดอกซากุระเบาๆ คาโอรุผวาตัวรับพร้อมกับร้องคราง จากนั้นพวกเค้าก็ยุติข้อสนทนาเรื่องคนขัดจังหวะไปเลย
ปากที่ยังลิ้มเลียอยู่บริเวณทรวงอก ขบกัดทุกอย่างที่ขวางหน้า จนผิวเนียนๆแดงเป็นจ้ำไปทั่ว แต่มือกร้านซุกซนกว่า ล้วงไล่ไต่วนลงไปส่วนล่าง ถลกชุดยูคาตะขึ้นมาเหนือบั้นเอว จับขาชันตั้งเข่าแยกปลีน่องเพรียวออกจากกันจนเห็นความน่ารักออกมาเย้าหยอกเต็มสองตา
“อื้อม… จะทำแบบนี้เลยเหรอ” ร่างบางประท้วง ก็นี่ยังนั่งพิงกันอยู่ ปากไล่กินเค้าไปทั่วทั้งตัวยังไม่พอ มือยังซนเป็นบ้า ล้วงควักกันแบบไม่มีเกรงใจเลย
“เปลี่ยนบรรยากาศไง นายเองก็มาช่วยด้วยสิ” ว่าแล้วมันก็ไม่พูดเปล่า ยังฉุดมือเล็กๆลงไปเล่นกับส่วนนั้นของตัวเองด้วย
“อ๊างงงงง!!!!” คาโอรุร้องครวญครางด้วยความสุขสม มือเล็กๆที่ถูกมือหยาบกระด้างนำพาให้กระทำไปตามใจชอบ สัมผัสชิ้นส่วนเร่าร้อนที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาตามนิ้วที่กรีดเกลี่ย มันช่างเป็นความสุขสุดยอดจริงๆ
“ดี… อย่างนั้น จับให้แน่นๆกว่านี้อีกสิ” ฮิโระกระซิบบอกอย่างถูกใจ พร้อมกับรวบมือเล็กๆให้รัดส่วนนั้นแน่นขึ้น แล้วกระตุกชักไปมา “นายเนี่ย… เวลารู้สึกแล้วน่ารักมากเลยรู้มั้ย นัยน์ตาก็หวานเยิ้ม มีน้ำตาคลอบางๆ ริมฝีปากแดงสั่นระริกขบเม้มกันเบาๆ น่ารักที่สุด…”
ฮิโระว่าแล้วก็ก้มหน้าลงไปจูบ ทำเอาคนที่อยากปลดปล่อยแล้วไม่สามารถร้องเพื่อระบายความอัดอั้นได้ เลยได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ประท้วงอยู่ในลำคอ มือกร้านเร่งกระตุกรัวหนักหน่วง บีบอัดกระแสความปรารถนาจนพวยพุ่งเป็นครีมหวานฉ่ำเต็มกำมือ จากนั้นก็ถอนริมฝีปากออกจากร่างบางที่กำลังหอบกระเส่า แล้วยกมือที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากคนรักขึ้นมาดูใกล้ๆ
“อือ…” ร่างบางเผลอคว้าจับมือกร้านเข้ามาดูดอย่างลืมตัว ไล่เลียส่วนของตัวเองอย่างเมามัน จนร่างสูงยิ้มกริ่ม
“หวานใช่มั้ยล่ะ” ฮิโระเปรยเบาๆ แล้วไล่เลียตามไปด้วย จนริมฝีปากมาประกบกันอีกครั้ง ส่วนมือก็ยังทำหน้าที่ต่อไป ถอดชิ้นส่วนอาภรณ์ด้านล่างของตัวออกรูดลงไป แล้วยกสะโพกมนขึ้นมานั่งตรงหว่างขา
“อ๊ะ!” คาโอรุสะดุ้งไหว ตอนที่ร่องสะโพกถูกเสียดสีด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่เร่าร้อน ยิ่งตอนที่สัมผัสโดนจุดสวาทยิ่งอยากจะกรีดร้องเพราะความคลั่ง แต่พอมาดูลีลาแล้วก็ออกจะวิบากเอาการ เพราะเค้ายังไม่เคยทำในท่านั่งมาก่อนเลย
“นายจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ” คาโอรุถามย้ำ มันก็พยักหน้ายืนยันหยักแน่น จนเค้าได้แต่ปลง
“ถึงจะลำบากหน่อย แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนรสชาติ นายต้องช่วยฉันนะ” มันยังหยอดลูกอ้อนไม่เลิก มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้เค้าปฏิเสธยังไงล่ะ นอกจากจะตามใจมันอย่างเดียวเท่านั้น
อาวุธชิ้นสำคัญพร้อมแล้ว ผงาดพุ่งต้านแรงโน้มถ่วงของโลก คาโอรุกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่ก็ยอมขยับสะโพกเข้าไปใกล้ แล้วค่อยๆวางลงช้าๆ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่คุ้นเคยกำลังล่วงล้ำเข้ามา ก่อนจะหลับตาแล้วกัดฟันกระแทกลงไปทั้งตัว
“โอ้ววว!!” ฮิโระร้องลั่น มันทำได้ถูกใจ แต่ก็เกือบทำให้น้องชายของเค้าตายคาที่
“นะ… นาย เป็นไรมั้ย ฮิโระ” คาโอรุหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เผลอลงไปแรงมาก
“ไม่เป็นไร ยังสบายดีอยู่ นายต่อได้เลย” ร่างสูงยิ้มให้ แล้วหลับตาพริ้มรอรับความสุข ร่างบางก้มหน้าอายๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นลงช้าๆ ให้ส่วนนั้นได้ผ่านเข้าออกร่างกายเค้าอย่างนุ่มนวลที่สุด
“แรงกว่านี้ก็ได้นะ ฉันทนไหว” ฮิโระเชียร์ให้เร่งจังหวะ
‘นายไหว แต่ฉันไม่ไหวนี่’ คาโอรุแอบเถียงในใจ แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้ร่างกายตัวเองต้องทรมานนานกว่านี้
ทั้งคู่รุกรับจังหวะด้วยความช่ำชอง เพราะเริ่มจะชินกับร่างกายของกันและกันแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ดอกซากุระยังคงร่วงปลิดปลิวไม่หยุด เสียงร้องระงมเซ็งแซ่แทนเสียงจิ้งหรีดเรไร เมื่อจุดสวาทถูกปรนเปรอจนร้อนผ่าวอัดแน่นเป็นระเบิดความรัก ความสุขก็พวยพุ่งจนซาบซ่าน ถ่ายไอละอองให้แก่กันและกันจนเปรอะเปื้อน จนเมื่อภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น ฮิโระก็ถอนตัวออกมา เอนหลังพิงต้นซากุระ แล้วดึงร่างบางที่กำลังหอบเข้ามากอด
“เมื่อกี้นายถามฉันว่าอยากได้อะไรแทนคำสัญญาว่านายจะไม่จากไปไหนอีก ตอนนี้ฉันขอเลยได้มั้ย”
“อ้าว! ก็ไม่ใช่…” แก้มบางๆของคาโอรุแดงซ่าน ที่มันทำมาทั้งหมดนี่ยังไม่ใช่คำสัญญาอีกเหรอ
“อย่าบอกนะ… ว่านายคิดว่าสิ่งที่เราทำกันเมื่อครู่ ฉันจะยึดมาเป็นคำสัญญา” ฮิโระหัวเราะลั่น
“ก็ใช่น่ะสิ นายเนี่ยมันทุเรศที่สุดเลย ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว!!” คาโอรุสะบัดหน้างอน
ฮิโระมองคนรักแล้วก็อมยิ้ม สอดแขนกระหวัดรอบเอวบางแน่นขึ้น แล้วกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“สิ่งที่ฉันจะขอนายคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด มันไม่ใช่แค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวจากการมีเซ็กซ์ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น และแทนได้แม้แต่คำว่า… นิรันดร์”
นัยน์ตาสีเขียวใสของคาโอรุแวววาว บ่งบอกความประหลาดใจ
“อะไร?”
คนเจ้าเล่ห์ฉีกยิ้มอีกครั้ง แล้วอาศัยจังหวะจูบแก้มคนน่ารักเบาๆ
“คำว่า ‘รัก’ ไง ตั้งแต่ที่นายยอมเปิดใจให้ฉัน นายยังไม่เคยบอกรักฉันเลย”
“เรื่องนี่! นายเองก็ไม่เคยเหมือนกันนั่นแหละ”
“ฉันรักนาย” คำตอบที่ได้ดั่งใจราวกับเสกมนตร์ คาโอรุอายจนไม่กล้าหันไปสบตาฮิโระ แต่ก็รู้ว่ามันกำลังจ้องอยู่ “ฉันบอกนายแล้ว ต่อไปก็ตานาย”
คาโอรุอ้ำอึ้งอยู่นาน คำๆเดียวที่เคยคิดว่าใครๆก็คงพูดได้ง่ายๆ แต่อันที่จริงมันยากกว่าที่คิดเยอะเลย ให้เค้าไปทำข้อสอบปลายภาคยังจะง่ายซะกว่า
“ฉะ… ฉัน…” เค้าพยายามกลั่นกรองคำพูดด้วยความยากเย็น “ฉันก็… รัก… ฮิโระ เหมือนกัน”
พอพูดจบก็ทำท่าจะลุกหนี ทั้งที่เพิ่งสัญญาไปหยกๆว่าจะไม่หนีอีกแล้ว แต่มือฮิโระเหนียวกว่า คว้าหมับรวบเอวบางลงมาที่เดิม
“จะหนีไปไหน เรื่องระหว่างเรายังไม่จบ” ร่างสูงกระหยิ่มยิ้มย่อง
“อะไรอีกล่ะ นายอยากฟังฉันก็พูดไปแล้ว จะให้ฉันพูดอะไรอีก”
“นายหายตัวไปตั้งหนึ่งเดือน ทำให้ฉันคิดถึงจนแทบคลั่ง คิดว่าลงโทษแค่นี้พอแล้วเหรอ”
“แล้ว… ยังไง?” คาโอรุชักหวั่นใจตะหงิดๆ
แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้คาโอรุแทบอยากกัดลิ้นประท้วง แต่ทำไม่ได้ซะแล้ว เพราะริมฝีปากถูกคนชอบฉวยโอกาสปิดสนิท ร่างกายที่ยังเปลือยเปล่าก็เปิดโอกาสให้มันทำต่ออย่างได้ใจ
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป… แต่ความรักก็ยังร้องระงมภายใต้ต้นซากุระแสนงาม
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:23:28
 :m22:Chapter 22 Home Sweet Home

เช้าวันนี้อากาศดีเหลือเกิน… ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์แจ่มใส อากาศก็ไม่ร้อนเกินไป แถมยังมีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา ท่าทางจะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแน่ๆ
เด็กหนุ่มวางไม้กวาดลง ก่อนจะโกยเก็บเศษใบไม้ที่กวาดมากองรวมไว้ใส่ลงไปในตะกร้าขยะ มองท้องฟ้าสีฟ้าใสแล้วก็อมยิ้ม วันนี้ไม่ได้ยินเสียง ‘เจ้าตัวยุ่ง’ ตั้งแต่เช้า แสดงว่ามันคงไม่อยู่บ้าน ค่อยยังชั่วหน่อย… วันนี้จะได้พักผ่อนสบายๆซะที

ปิ๊งป่อง…

เสียงกริ่งหน้าบ้าน ทำให้คนที่กำลังจะเอนหลังบนระเบียงต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ สงสัยจะเป็นลูกค้ามาติดต่องาน พี่ๆก็ไม่มีใครอยู่ซะด้วย ท่าทางวันนี้เค้าคงยุ่งอีกยาว
“คร้าบ… กำลังจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ตะโกนบอก ตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งย้ำอีกรอบ แต่พอเปิดประตูเค้ากลับได้พบกับแขกที่ไม่คาดฝัน หน้าหล่อๆนั้นยิ้มให้ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ
“ไง… อาราชิ สบายดีนะเรา”
“พะ… พี่ซุย!” เด็กหนุ่มยิ้มแป้น “มาได้ไงครับเนี่ย แล้วนั่น…”
อาราชิเหลือบมองไปด้านหลังพี่ชาย ก็เห็นแขกอีกคนยืนนิ่งทำตาปริบๆ ไม่รู้นานแค่ไหนที่เค้าโดนจ้อง… จ้องจนแทบจะสูบวิญญาณออกจากร่างอาราชิได้แล้วมั้ง
ไทกิก็พอจะรู้มาบ้างว่าซุยมีพี่น้องหลายคน แต่ไม่คิดเลยว่าจะน่ารักขนาดนี้!! พระเจ้า!!
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า อายุคงยังอยู่ราวๆ ม.ต้น ผมสีน้ำตาลสลวย ตาสีน้ำเงินเข้ม ดูต่างจากซุยลิบลับ ถ้าซุยเหมือนพ่อ… เด็กคนนี้ก็คงจะเหมือนแม่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ซุย… น้องนายเหรอ?” ไอ้ตัวแสบทำหน้าระริกระรี้
“ใช่ น้องชายคนที่สี่… ชื่อ อาราชิ”
หมับ!
ขนาดเพิ่งบอกมันไปแหม็บๆ ว่าอย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อที่บ้าน แต่มันก็ไม่เคยฟัง เล่นกระโดดกอดคออาราชิที่ยืนตัวแข็งทื่อเพราะไม่ทันตั้งหลัก แถมยังใช้แก้มคลอเคลียหัวปุยๆของอาราชิเหมือนกำลังเล่นกับลูกหมาไม่มีผิด ซุยเลยได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับ

“ทอนาร์โด บอมเบอร์ แอทแท็ค!!!!”

เปรี้ยง!

แรงปะทะจากบาทาพิฆาตชาร์จเข้าใส่กลางหลังของไทกิอย่างแรงจนแทบหัก ไอ้ตัวแสบถึงกับทรุด ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังที่กำลังเจ็บแปล๊บๆ พลางกวาดสายตามองหาไอ้ตัวการซึ่งก็พบตัวได้ไม่ยาก เพราะมันยังยืนกร่างกอดอกอยู่กลางถนน
แต่ทว่า…
คนที่กำลังเดือดสุดๆก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตะลึงอย่างที่สุด ความคิดที่อยากจับมันมาหักคอสำเร็จโทษ ก็เปลี่ยนเป็นอยากเข้าไปกอดแล้วจูบสักทีเป็นของแถม
น่ารักมากกกกกก!!
ภาพเด็กชายตัวเล็กวัยประถมสะกดไทกิจนนิ่งงัน หน้าตามีเค้าโครงคล้ายซุย สีผมสีตาก็เข้มเหมือนซุยเปี๊ยบ เหมือนจับรุ่นพี่คนเก่งลงไปย่อส่วนยังไงยังงั้น แถมยังทำหน้างอนตุ๊บป่องอย่างที่ซุยไม่เคยทำมาก่อน แบบนี้ยิ่งเห็นก็ยิ่งอดใจไม่ไหว อยากจะเข้าไปกอดให้หายมันเขี้ยวจริงๆ พับผ่าสิ…
“ใครอนุญาตให้กอดอาราชิฮึ! เอามือออกไปเลยนะ… เจ้าคนไร้มารยาท!”
น้องตัวเล็กเดินเข้ามากระชากแขนไทกิที่โอบรอบเอวอาราชิออกไปห่างๆ จ้องหน้าเขม็งเหมือนแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน ดูท่าทางจะหวงพี่ชายเอามากๆเลยแฮะ
“โซระ… อย่าเสียมารยาทกับแขกสิ” อาราชิปรามน้อง “พี่เค้าเป็นเพื่อนของพี่ซุยนะ”
พอได้ยินชื่อพี่อีกคนที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน ไอ้ตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นไปสบ เห็นนัยน์ตาสีรัตติกาลเย็นยะเยือกจ้องจะเอาเรื่องก็เริ่มเสียวสันหลัง มันเลยยิ้มแห้งๆแล้วแกล้งกลบเกลื่อนได้อย่างชวนตีที่สุด
“ใครล่ะเนี่ย… คนแปลกหน้ามาเที่ยวบ้านเราเหรอ”

โป๊ก!

ซุยประเคนมะเหงกสมนาคุณให้หนึ่งหมัด อุตส่าห์กลับบ้านทั้งที เจอมันกวนประสาทตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ แต่ไอ้น้องที่ว่าก็หัวหมอใช่ย่อย มันกลัวจะโดนสำเร็จโทษหนักกว่าเก่าข้อหาที่ไปแปะรอยบาทาไว้บนแผ่นหลังเพื่อนพี่ชาย เลยแกล้งฟูมฟายเข้าไปซุกหน้ากอดอาราชิยึดเอาไว้เป็นเกราะกำบัง
“โฮ… อาราชิ พี่ซุยรังแกเค้าอีกแล้ว ฮือๆๆๆ”
อาราชิมันใจอ่อน พอเจอน้ำตาไอ้ตัวแสบนี่ทีไรก็ช่วยแก้ต่างให้มันทุกที  มิน่า… โซระมันถึงได้ติดหนึบ เพราะเป็นคนเดียวที่ยอมตามใจมันนี่เอง
ซุยคว้าคอไอ้ตัวแสบออกมาจากอ้อมอกน้องชายคนที่สี่ “ไม่ต้องมาทำมารยาอ้อนอาราชิเลย พี่น่ะรู้นิสัยเราดี กลับเข้าบ้านซะแล้วบอกให้แม่บ้านเอาน้ำชาออกมาต้อนรับแขกด้วย”
“เรื่องนี่! แบร่…” ไอ้ตัวแสบที่ไม่ได้สลดจริงก็แลบลิ้นแถม
“นายน่ะอยากได้ของฝากมากกว่ามะเหงกพี่ใช่มั้ย” ซุยพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะสำเร็จโทษรอบสองถ้ามันยังไม่ยอมเชื่อฟังอีก
“ไปก็ได้… โธ่เอ๊ย! แกล้งคนแหยๆแบบนี้ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย” ไอ้ตัวดีทำหน้าเหยียดหยามใส่ไทกิ ก่อนจะวิ่งตัวปลิวเข้าบ้าน ยมทูตเริ่มกระตุกหางตายิกๆ นี่ถ้าไม่เห็นว่าหน้าตาคล้ายซุยล่ะก็… ฮึ่ม เสร็จแน่!
สองพี่น้องหันมาสบตากันแล้วก็ถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ต้องคอยดูแลไอ้ตัวแสบแบบนี้ คงเหนื่อยแย่เลยสิอาราชิ”
“ถ้ารู้ว่าผมเหนื่อย พี่ซุยก็กลับมาช่วยเลี้ยงน้องบ่อยๆสิครับ”
“ไม่เอาล่ะ… ฉันน่ะดุจนมันด้านแล้ว เจ้าโซระมันยอมฟังอาราชิคนเดียวไม่ใช่เหรอ ขนาดพ่อกับแม่ยังดุมันไม่ได้เลย เอ… ว่าแต่พวกท่านไม่อยู่เหรอ เห็นบ้านเงียบๆ”
อาราชิพยักหน้า “พ่อกับแม่ติดงานอยู่ที่ฮิโรชิม่า คิดว่าพรุ่งนี้คงจะกลับมาครับ”
“แสดงว่าอาราชิอยู่กับโซระแค่สองคน” ซุยสรุป
ปกติถ้าพ่อแม่ไม่ติดภารกิจก็จะอยู่บ้าน น้องชายคนที่สี่กับน้องคนเล็กยังไม่จบ ม.ต้น เลยต้องอยู่กับพ่อแม่และรับงานเฉพาะแถบคันไซเท่านั้น ส่วนพี่ชายอีกสองคนซึ่งเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วก็อยู่ที่โตเกียว คอยรับงานใหญ่จากลูกค้าวีไอพีและลูกค้าต่างประเทศ
“อาราชิ… นี่คือ ไทกิ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของพี่เอง”
ซุยแนะนำไทกิให้น้องชายรู้จัก แล้วช่วยพยุงตัวขึ้นมา คิดว่าอาการบาดเจ็บจากบาทาพิฆาตคงไม่สาหัสเท่าไหร่ เพราะมันลุกขึ้นมายืนทรงตัวได้แล้ว
“เป็นไงบ้าง… ไทกิ”
“ฉันคิดว่านายจะลืมฉันแล้วซะอีก” ไทกิบ่นอุบ “ว่าแต่เด็กนั่นก็น้องนายเหมือนกันเหรอ”
“ใช่แล้ว… หมอนั่นชื่อ โซระ เป็นน้องชายคนเล็กของฉันเอง เพิ่งอยู่ ป. 4 แต่นิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาก ถ้านายไม่ชอบก็ไม่ต้องไปอยู่ใกล้ก็ได้นะ”
“ใครบอกไม่ชอบล่ะ” ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ขืนอยู่ห่างๆก็ไม่ได้แก้เผ็ดไอ้เด็กแสบนั่นน่ะสิ “ฉันนะชอบน้องๆนายทุกคนแหละ เนอะ… อาราชิคุง” ว่าแล้วก็อาศัยจังหวะชุลมุนโอบน้องรักเข้ามากอดอีกรอบ
“หา! เอ่อ… คะ… ครับ” อาราชิพอโดนจ้องมากๆก็ชักประหม่า

ปิ๊งป่อง…

ทั้งสามคนคล้อยหลังกำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ไปไม่ทันไรก็มีเสียงกริ่งดังอีกรอบ วันนี้ครึกครื้นดีจริงๆ มีคนมาไม่ขาดสายเลย
“เดี๋ยวพี่เปิดเอง”
ซุยบอกอาราชิแล้วเดินไปเปิดประตู ไทกิเอียงคอมองตาม อยากรู้เหมือนกันว่าแขกประเภทไหนที่จะมาบ้านเทนโนะ แต่พอประตูถูกเปิดออกเท่านั้น ทั้งเจ้าของบ้าน ทั้งผู้มาเยือน ก็อึ้งกันอยู่พักใหญ่
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนหันมาสบตากันทันทีที่เห็นหน้าซุย แล้วคนที่ตัวใหญ่กว่า หน้าตาหล่อคมเข้ม แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์หลวมๆ ขยับแว่นกันแดดขึ้นขึ้นไปคาดผมดูเท่ไม่หยอก พี่แกเดินถอยหลังกลับไปดูป้ายหน้าบ้านอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“เฮ้ย… ยูคาริ แกแน่ใจนะว่าเรามาไม่ผิดบ้าน” ชายหนุ่มหันไปถามเพื่อนร่วมทางอีกคนเพื่อขอคำยืนยัน
ชายหนุ่มคนที่มาด้วยกัน สวมชุดสูทสีขาว ไว้ผมยาวรวบไว้กลางหลัง ดวงตาสีน้ำเงินดูเป็นมิตร พี่เค้าอึ้งไปพักใหญ่ แต่พอสบตามองหน้าซุยอีกรอบ คราวนี้ถึงกับปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ไม่ผิดหรอก… ฮิริว” เค้าบอก “นายกับฉันแค่มาเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วก็หันไปหัวเราะฮากลิ้งต่อ
คนที่โดนพาดพิงถึงเริ่มจะอึดอัด มาเจอไอ้ตัวแสบทั้งที่ยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านก็ซวยจะแย่อยู่แล้ว นี่ดันมาเจอสองคนที่ไม่อยากเจอที่สุดอีก แสดงว่าวันนี้คงเป็นวันซวยของเค้าจริงๆ
“ไง… ซุย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” พี่ชายชุดสูทขาวพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ขำ แล้วเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“ผมไม่ใช่เจ้าโซระนะถึงต้องมาทักกันแบบนี้ ว่าแต่พี่ยูคาริกับพี่ฮิริวกลับมาได้ยังไง ยังมีเรียนทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้พี่ชายในชุดเซอเข้ามาโอบไหล่พี่ชายชุดขาว แล้วเป็นคนตอบคำถามบ้าง
“ก็ไอ้หมอนี่น่ะดิ… ไปลากฉันมาจากคณะ บอกว่าจะหาเพื่อนนั่งรถกลับบ้าน ที่ไหนได้หลอกให้ฉันช่วยขับรถกลับเฉยเลย แถมรถดันมาเสียอยู่ตรงปากทางอีก ก็เลยจอดไว้แล้วเดินเข้ามาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ก็ฉันเพิ่งเสร็จงานคุ้มกันที่ทำเนียบ ถ้าขับกลับเองก็กลัวจะหลับในน่ะสิ อย่าเรื่องมากเลยน่าฮิริว เดี๋ยวฉันจ่ายค่าตั๋วชินคังเซ็นขากลับให้นายก็ได้”
“ค่าจ้างฉันไม่กระจอกขนาดนั้นหรอกนะยูคาริ ถ้าได้ต่ำกว่าห้าแสน นายอย่าหวังจะรอดกลับมหา’ลัยเลย”
แล้วทั้งคู่ก็เถียงกันเรื่องเงินค่าจ้างอยู่พักใหญ่ ไทกิเลยอาศัยจังหวะแอบดึงอาราชิเข้ามาถามใกล้ๆ
“สองคนนั่นใครเหรอ?”
“พี่ชายผมเองครับ… คนที่ใส่สูทชื่อ พี่ยูคาริ เป็นพี่คนโต ส่วนอีกคนเป็นพี่คนรองชื่อ พี่ฮิริว”
“ท่าทางจะเคี่ยวไม่เบาเลยนะเนี่ย” ไทกิแอบนินทาต่อ
อาราชิหัวเราะร่วน “ก็พอตัวแหละครับ ทำงานแบบนี้ก็ต้องมีบ้าง พี่ยูคาริเค้าเก่งมาก นิสัยดี คุยเก่ง พวกลูกค้าก็เลยติดใจกันใหญ่ ส่วนพี่ฮิริวจะชอบพวกงานลุยๆมากกว่า แต่ก็…” อาราชิทำหน้าเจื่อนๆ
“แต่ก็… ทำไมเหรอ?” ไทกิรีบยื่นหน้าเข้าไปถามต่อด้วยความสนใจ
“พี่ฮิริวเจ้าชู้มากนะ ไทกิคุงพยายามอยู่ห่างๆไว้ดีกว่า”
ไทกิพยักหน้ารับทราบ พี่น้องห้าคนห้าบุคลิก ไม่เหมือนกันสักคน น่าสนใจดีแฮะ…
“อ้าว! ใครกันล่ะเนี่ย น่ารักจัง”
อาราชิพูดยังไม่ทันขาดคำ คุณพี่คนรองแห่งตระกูลเทนโนะก็ถลาเข้ามาพิจารณาไทกิใกล้ๆชนิดแทบจะเจาะลึกทุกรูขุมขน และก็คงจะโดนล้วงลึกไปมากกว่านี้ ถ้าไม่โดนคุณชายสายน้ำกันตัวออกไปซะก่อน
“คนนี้ฉันห้ามจริงๆนะฮิริว อย่ายุ่งกับเค้าเด็ดขาด!” ซุยสั่งเสียงเข้มใส่พี่ชาย พร้อมส่งสายตาเคืองๆมาให้ ก่อนจะลากไทกิเข้าบ้านให้พ้นเงื้อมมือคนเจ้าชู้
“ฉันทำอะไรผิดเหรอ ยูคาริ?” ฮิริวที่กำลังงงว่าน้องมันโกรธเรื่องอะไร หันไปขอความเห็นจากพี่ใหญ่
ยูคาริอมยิ้มกริ่ม “นายไปกระตุ้นต่อม ‘หวง’ ของเจ้าซุยมันล่ะมั้ง”
“หวงเด็กนั่นนะเหรอ ท่อนไม้อย่างเจ้าซุยเนี่ยนะ… ล้อเล่นแล้ว”
“ท่อนไม้เดิมทีก็เป็นสิ่งมีชีวิตนะครับ อะไรก็ตามที่มีชีวิตย่อมมีความรู้สึก พี่ซุยก็คงไม่ต่างกัน” อาราชิว่าด้วยหลักการ จนพี่รองมันเขี้ยวทนไม่ไหวต้องคว้าเข้ามากอด
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือนรู้สึกอาราชิจะเจ้าคารมขึ้นนะเนี่ย แบบนี้พี่คงต้องขอไปค้างด้วยเพื่อเรียนรู้บ้างซะแล้ว” ฮิริวทำตาเจ้าเล่ห์
“อย่ามาทำให้น้องมันเสียคนตามนายเลยฮิริว” พี่ใหญ่ปราม พร้อมแย่งน้องคนที่สี่มาจากมือพี่รอง “เข้าบ้านเถอะอาราชิ พี่มีธุระเรื่องงานจะคุยด้วย”
ถึงจะกันน้องมันออกได้ แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียว เพราะคนขี้ตื๊อมันก็ยังตามตอแยไปป่วนถึงห้อง ขนาดบอกว่าจะคุยธุระเรื่องงานก็ยังไม่วายขอมีเอี่ยว สุดท้ายอาราชิก็เลยได้แต่นั่งดูพี่ใหญ่กับพี่รองทะเลาะกันตลอดทั้งบ่าย โดยที่ไม่ได้ยินคำว่างานแม้สักคำเดียว

ตอนเย็น… พี่น้องห้าคนรวมทั้งแขกกิตติมศักดิ์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จก็มานั่งล้อมวงคุยกันที่ระเบียง
โซระ… ที่หลบไปงอนระบายอารมณ์อยู่ในโรงฝึกทั้งบ่ายก็ยังมานั่งเล่นด้วย โดยยึดตักของอาราชิเป็นเบาะ ดูๆไปแล้วเจ้าหมอนี่ก็ขี้อ้อนเหมือนกันนะเนี่ย เวลาอยู่กับอาราชิทีไรชอบคลอเคลียเป็นลูกแมว แต่คงถูกตามใจหนักไปหน่อยเลยค่อนข้างจะติดนิสัยเอาแต่ใจ
อาราชิ… ก็ใจดี เป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยนที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งห้า อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นคนเดียวที่เหมือนแม่ พวกพี่น้องถึงรักมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฮิริวกับโซระ ที่พอยกชื่ออาราชิขึ้นมาเป็นหัวข้อทีไรเป็นได้กัดกันลั่นบ้านทุกที
ฮิริว… ปรมาจารย์ปลาไหล อันนี้เป็นฉายาที่พี่ยูคาริแอบตั้ง (แต่เล่นเอามาประจานกลางบ้านซะงั้น) เค้ามีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ใช้ชีวิตอย่างไม่มีกฎเกณฑ์จนบางครั้งถึงขั้นแหกกฎ ใครๆก็บอกว่าพี่ฮิริวเป็นจอมเจ้าชู้ แต่เท่าที่ฟังมาตลอด ไทกิยังไม่เห็นจะได้ยินพี่เค้าพูดถึงแฟนหรือเพื่อนผู้หญิงซะที อย่างมากก็มีแค่หลักการพิชิตใจสาว ท่าทางวิชาปรมาจารย์ของพี่แกอาจจะไม่ขลังจริงก็ได้
ยูคาริ… หลังจากที่ได้คุยกันพักใหญ่ ไทกิถึงซึ้งกับคำว่า ‘คุณชายของแท้’ ทุกระเบียดนิ้วของคุณพี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าต้องเนี้ยบและมีมาดอยู่เสมอ แม้แต่คำพูดคำจาเห็นได้ชัดว่าระมัดระวังมากเป็นพิเศษ แต่เค้าเป็นคนที่มีโลกทัศน์กว้างไกล ประสบการณ์เพียบ ถึงคุยกันนานๆก็ไม่น่าเบื่อ

ซุย…

คนนี้ไม่มีอะไรอยากพูดถึง
ขอละไว้ในฐานที่ ‘หัวใจ’ ก็แล้วกัน

“แล้ววันนั้นนะ… เจ้าซุยก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย” ฮิริวจบเรื่องที่เล่าพร้อมกับหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่
ตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในหัวข้อ… ฌาปนกิจ (เผา) ซุย
“เป็นฉัน ถ้าเจอนายทำขนาดนั้นก็ไม่ไปเหมือนกันแหละ” ยูคาริช่วยแก้ต่าง “หนอย… เล่นแอบไปกล้อนผมน้องจนเลี่ยนแล้วยังมีหน้ามาเล่า นายนี่มันหน้าด้านจริงๆ”
“โอ๊ย! ก็ตอนนั้นอนุบาล แล้วทีนายล่ะยูคาริ พอซุยเข้าชั้นประถมไปแกล้งอะไรมันบ้าง จำไม่ได้หรือไง”
พอเจอไม้นี้สวนกลับเข้ายูคาริก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ โซระทำท่าอยากรู้อยากเห็น รีบเซ้าซี้ให้ฮิริวเล่าต่อเพราะกำลังเพลินได้ที่ทีเดียว แม้แต่ไทกิเองก็ยังสนุกไปกับเค้าด้วย
“ตอน ป.2 พ่อให้งานแรกกับซุย อันที่จริงมันก็ไม่ใช่งานที่ยุ่งยากอะไรหรอก เป็นงานคุ้มกันตาแก่อดีต ส.ส. เก่าคนนึง พ่อให้ยูคาริเป็นคนเล่ารายละเอียดของงาน แต่ยูคาริมันนึกอุตริอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เล่นสับเอางานของตัวเองมาอธิบายให้ซุยฟังเป็นชุดๆ จากนั้นก็ส่งซุยไปคุ้มกันหัวหน้ายากูซ่า ตอนที่ฮามากที่สุดก็ตอนที่หัวหน้ายากูซ่าเจอหน้าบอดี้การ์ดนั่นแหละ อึ้งกิมกี่กันทั้งแก๊งเลย”
“พอเถอะ… จะขุดมาเล่ากันทำไมเนี่ย” ซุยยกมือกุมขมับ สองคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในบ้านก็เพราะสาเหตุนี้แหละ
“แล้วไงต่อ?” ไทกิรีบไถตัวเข้าไปฟังใกล้ๆฮิริวด้วยความอยากรู้
“ก็โดนเตะออกมาน่ะสิ… มีที่ไหนส่งเด็ก ป.2 ไปคุ้มกันยากูซ่า แถมตาแก่หัวหน้ายังโทรศัพท์มาโวยกับพ่อซะเละเลย พ่อก็เลยมาสวดยูคาริต่อ แต่แทนที่หมอนี่จะสลด กลับเอาแต่หัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า ‘ก็อยากให้น้องมันมีประสบการณ์’ เท่านั้นพ่อก็จับยูคาริส่งไปทำงานที่อเมริกาตั้งสองเดือน และไม่เคยไว้ใจให้ใครมอบหมายงานให้ซุยอีกเลย นอกจากตัวเอง”
“แต่ตอนนั้นพี่ยูคาริก็ ป.5 เองนะ แล้วทำไมพวกยากูซ่าถึงไว้ใจมากกว่าพี่ซุยล่ะครับ”
“ยูคาริมีประสบการณ์คุ้มกันมาสองปีแล้ว จับงานยากๆจนในวงการมืดต่างพากันเชื่อถือ แถมพ่อยังคอยให้เครดิต ไอ้หมอนี่เลยได้ใจใหญ่ แต่ตอนหลังกรรมก็ตามสนอง โดนซุยมันแซงหน้าจนได้ ทุกวันนี้มีแต่คนอยากได้ตัวซุยไปเป็นผู้คุ้มกันทั้งนั้น ส่วนนายน่ะตกกระป๋องแล้วยูคาริ” ฮิริวโอบไหล่พี่ใหญ่มากอดแล้วทำหน้าเยาะเย้ย
“ฉันน่ะพอใจกับงานของตัวเองแล้ว เป็นอย่างซุยแล้วดีตรงไหน ได้แต่งานน่าหนักใจทั้งปี (ใช่เลย… อันนี้แอบเห็นด้วยอย่างยิ่ง) นายเองก็เถอะฮิริว ทำเป็นพูดดีไป เมื่อก่อนเห็นแข่งกับมันจนลากเลือด แต่สุดท้ายก็แพ้ไม่เป็นท่า”ยูคาริเหน็บกลับ
ฮิริวไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยังนั่งแอ้งแม้งอยู่บนตักของอาราชิ
“แต่บ้านเรากำลังจะมีดาวรุ่งดวงใหม่ ใช่มั้ย… โซระ”
“โซระเนี่ยนะ” ยูคาริส่ายหน้า “ดีแต่จะป่วนซะล่ะมั้ง”
“อย่าไปดูถูกน้องมันเชียว นี่… อยู่แค่ ป.4 แต่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของ ส.ส. คุริโมโต้แล้วนะ แบบนี้อนาคตรุ่งแน่” ฮิริวอวดอ้างด้วยความมั่นใจ
อาราชิที่กำลังกระอักกระอ่วนก็ยกมือแทรกขึ้นมาเงียบๆ
“เอ่อ… พี่ฮิริว นั่นน่ะงานของผมต่างหากล่ะครับ”
“อ้าว! เหรอ?” เสียงหน้าฮิริวแตกดังเพล้ง แถมคนที่รอทับถมก็รีบฝังกลบมันทันที
“นายนี่มั่วเก่งจริงๆ งานไหนเป็นของน้องคนไหนก็ยังไม่รู้ ฉันว่าทางที่ดีนายเลิกพล่าม แล้วนั่งเงียบๆดีกว่า”
“อะไรกันเล่า นายนั่นแหละที่ดีแต่ปาก ทำเป็นพูดดี แต่จริงๆเวลาอยู่กับตาแก่พวกนั้นก็อึดอัดเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ” ฮิริวปล่อยหมัดสวนพี่ชายจังเบ้อเร่อจนอีกฝ่ายพูดไม่ออก ยูคาริทำหน้าเศร้าแล้วเบือนหน้าหนี
รู้สึกหมัดนี้จะทำให้ทุกคนเงียบไปนาน แม้แต่ตัวที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากอย่างโซระก็ยังไม่มีอะไรจะพูด งานของบอดี้การ์ดอันที่จริงไม่น่ายุ่งยาก แต่อย่างว่า บ้านนี้แต่ละคนหน้าตาและบุคลิกดูดีกว่าพวกดาราซะอีก เป็นใครอยู่ใกล้ก็คงตบะแตกได้เหมือนกันแหละ
“โดนแบบเดิมอีกแล้วเหรอ?” ซุยเปรยถามเป็นคนแรก พลางเอื้อมมือไปจับไหล่พี่ชายไว้แน่น
“เฮ้อ… มันก็ไม่มีอะไรหรอก โดนจับนิดจับหน่อยฉันก็พอทนได้ มากกว่านี้ฉันก็ไม่ทนเหมือนกัน”
“นายมันก็เป็นสุภาพบุรุษเกินไปยูคาริ เราไม่ได้ขายตัวนะ แต่ขายฝีมือต่างหาก ด่ามั่งก็ได้ไอ้พวกลูกค้าหื่นกามพวกนั้นน่ะ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะต่อยให้หน้าหงายเลย” พี่รองช่วยเสริม
“ขืนไปต่อยก็เสียลูกค้าหมดน่ะสิ นายน่ะทำพ่อเจ๊งมากี่รายแล้ว”
“เออ… ฉันมันนิสัยไม่ดี แต่ถ้าเป็นคนดีแล้วเอาตัวไม่รอดเหมือนนาย ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”
“พูดแบบนี้อยากจะวางมวยกับฉันใช่มั้ย” ยูคาริพับแขนเสื้อขู่
“ได้เลย… คิดว่าฉันกลัวนายเหรอ เอาตอนนี้เลยก็ได้ที่โรงฝึกหลังบ้าน ใครไม่น็อกไม่เลิก”
ว่าแล้วสองพี่น้องก็ย้ายไปกัดกันต่อที่โรงฝึก ไทกิปรายตามองสามคนที่เหลือก็ไม่เห็นจะมีใครเดือดร้อน แถมซุยยังยกชาขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์อีกต่างหาก
“จะไม่ไปห้ามพวกเค้าหน่อยเหรอ” ไทกิถาม
“ไม่ต้องหรอก พอเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกเองนั่นแหละ เป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว”
“อันที่จริงเค้าห่วงกันนะครับ ถึงได้ทำแบบนี้”
อาราชิช่วยขยายความให้
“เมื่อสองปีก่อนตอนที่พี่ยูคาริเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย และต้องย้ายไปอยู่ที่โตเกียวคนเดียว ก็มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น… ตอนนั้นพี่เค้ารับงานคุ้มกันเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง แต่ใครจะคิดว่าฉากหน้าที่เป็นพ่อพระ ใครๆให้ความเคารพนับถือ เบื้องหลังจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยตัณหา พี่ยูคาริเกือบเสียท่า โชคดีที่พี่ฮิริวมีสายอยู่วงในเลยไปช่วยได้ทัน หลังจากนั้นพี่ฮิริวก็ย้ายไปเรียนที่โตเกียวอยู่เป็นเพื่อนพี่ยูคาริ ทั้งๆที่อีกสองเดือนก็จะจบชั้นมัธยมแล้ว แถมยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งๆที่เคยบอกพ่อว่าจะไม่เรียนต่อ”
“นั่นเป็นการแสดงความห่วงใยในแบบของพี่ฮิริว พี่ยูคาริก็รู้ ถึงได้ชอบทะเลาะกันเป็นประจำ เพราะแบบนั้นถึงทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นไงล่ะ” ซุยช่วยเสริม
“พวกผู้ใหญ่เนี่ยชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย รักกันก็ต้องทะเลาะกัน ว้า… ยุ่งยากจัง” เจ้าโซระยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ
“นายน่ะก็ดีแต่อยู่อ้อนอาราชิ แล้วเมื่อไหร่จะโตซะที” ซุยดุไปอีกยก
“ฉันช่วยงานอาราชิหรอกน่า ไม่ได้นอนอยู่บ้านสบายๆซะหน่อย” มันยังมีหน้ามาเถียงกลับ แล้วพลิกตะแคงไปนอนอีกด้านพร้อมกับเอามืออุดหู เพราะไม่อยากฟังเสียงซุยอีกแล้ว
“พาน้องกลับไปนอนที่ห้องเถอะอาราชิ ขืนอยู่นานกว่านี้พี่ได้อัดคนแน่” ซุยบอก อาราชิเลยลากเจ้าโซระที่กำลังเต้นเหย็งๆกลับเข้าบ้าน

ความเงียบคือสิ่งเดียวที่คั่นกลาง… คืนนี้บรรยากาศเงียบสงบ พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงกระจ่างฟากฟ้า ไทกิหลับตาลงแล้วซึมซับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พลางหวนระลึกถึงวันวานที่อบอุ่นอยู่เพียงลำพัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
มืออุ่นๆเอื้อมมาจับไหล่ แล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า… ฉันก็แค่คิดถึงแม่” ไทกิตอบ ก่อนจะเกยคางไว้บนเข่า แล้วแหงนหน้ามองพระจันทร์เงียบๆ
“แม่ของนาย… ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?” ซุยเปรยถาม ตั้งแต่รู้จักกันไทกิพูดถึงแม่น้อยมาก ส่วนเรื่องของพ่อยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เคยพูดถึงให้ได้ยินเลยสักครั้ง
ยมทูตถอนใจเบาๆ “แม่ฉันเค้าอยู่ไม่เป็นที่หรอก ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยว่าความสามารถในการซ่อนตัวของแม่อาจจะเหนือกว่าฉันก็ได้ แม่รู้ทุกครั้งว่าฉันอยู่ที่ไหน แต่ฉันกลับไม่เคยรู้เลยว่าแม่อยู่ไหน”
“อันที่จริงแม่นายก็น่าจะเป็นคนขององค์กรนะ แล้วทำไมถึงออกมาซะล่ะ”
“ไม่ใช่หรอก นายน่ะเข้าใจผิดแล้ว แม่ไม่ใช่คนขององค์กร แม่แค่เป็นผู้หญิงของ…” ไทกิอึกอัก กัดฟันฝืนพูดถึงคนๆนึง “…พ่อ เท่านั้น”
ว่าแล้วกุหลาบแดงก็เบือนหน้าหนี ความเจ็บปวดมันอัดอั้นจนเกินจะบรรยายได้ ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวนี้เป็นอย่างไร ซุยรู้เพียงอย่างเดียวว่าคงไม่ธรรมดาเลย เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มี Red Rose ที่เดียวดายอย่างทุกวันนี้หรอก
“พ่อนายเป็นใครกันแน่?”
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:27:42
22 ต่อ

ซุยกลั้นใจถามออกไปทั้งๆที่รู้ว่ามันต้องโกรธ และคงไม่ตอบด้วย แต่ไทกิกลับหันหน้ามาสบตาช้าๆ
“โนมูระ เคโตะ… เค้าเป็นคนที่ฉันทั้งรักและเกลียด พ่อให้ทุกอย่างกับฉัน แต่ในขณะเดียวกันก็พรากทุกอย่างไปจากฉันด้วย”
ไทกิกัดฟันแน่น น้ำตาที่ไม่เคยคิดจะหลั่งในช่วงเวลาที่มีความสุขแบบนี้กลับไหลออกมาเงียบๆ
“พ่อฉันคือ Red Rose คนก่อน เป็นหัวหน้าองค์กรที่ทุกคนให้ทั้งความเคารพและยำเกรง สิ่งสำคัญในชีวิตพ่อมีเพียงสิ่งเดียวคือ หน้าที่ พ่อเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบ มีชิวิตอยู่เพื่อไล่ล่า ได้ทุกอย่างมาด้วยการล่า แม้แต่… ความรัก”
ยมทูตลอบถอนใจอีกเฮือก ซุยนั่งฟังเงียบๆโดยไม่ขัดจังหวะเพื่อให้ไทกิได้ระบายออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตไทกิคล้ายกับชีวิตของคาโอรุ แต่อย่างน้อยคาโอรุก็โชคดีกว่าตรงที่ได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ แต่ไทกิล่ะ… เค้าจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่า
“พ่อได้พบกับแม่ เพราะแม่เองก็เป็นนักล่าเหมือนกัน ครั้งหนึ่งแม่เคยได้รับงานให้ติดตามเบาะแสของ Red Rose แต่แม่กลับเป็นฝ่ายถูกพ่อต้อนจนมุมซะเอง จากนั้นก็อยู่ด้วยกันทั้งคืน แม่ถูกพากลับมาที่องค์กร เป็นสมบัติชิ้นนึงของพ่อ แม่ทนฝืนอยู่ที่นั่นมาตลอดจนกระทั่งคลอดฉันออกมา”
ถึงตอนนี้ไทกิปล่อยโฮออกมาจนหมดสภาพการเป็นผู้นำแห่ง Death flowers ความทุกข์ใจถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น
“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพ่อกับแม่รักกันหรือเปล่า และพวกเค้าเคยรักฉันบ้างมั้ย ทำไมแม่ถึงหนีออกมาคนเดียวโดยทิ้งฉันไว้ที่องค์กร และทำไมพ่อถึงทำกับฉันเหมือนเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่มีหัวใจ พ่อสอนทุกอย่างกับฉัน มอบตำแหน่งสูงสุดให้ฉัน ให้เพื่อนเพียงคนเดียวในโลกคือ เซกิ แต่ไม่เคยให้ ‘ความรัก’ กับฉันเลย”
ซุยต้องดึงตัวไทกิเข้ามากอดไว้แน่นก่อนที่มันจะเสียใจจนคุ้มคลั่งไปซะก่อน ความอบอุ่นทำให้ยมทูตสงบลงอีกครั้ง
“ฉันอิจฉานาย… ฉันอิจฉาทุกคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่น ฉันไม่เคยอยากเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างที่พวกเค้าอยากให้ฉันเป็น ฉันก็แค่อยากเป็นไทกิ อยากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ได้ไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ อยากมีบ้านที่มีพ่อกับแม่รออยู่ก็เท่านั้นเอง”
“นายก็เลยหนีออกมาเพื่อตามหาแม่ใช่มั้ย?”
นัยน์ตาสีเลือดของกุหลาบแดงเบิกกว้าง ประหลาดใจจริงๆที่ซุยมองเค้าได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
“พ่อฉันตายโดยที่ฉันยังไม่ได้ถามความรู้สึกที่แท้จริง ฉันก็เลยอยากเจอแม่เพื่อถามทุกอย่างที่ฉันอยากรู้ แต่จนป่านนี้ฉันก็ยังหาแม่ไม่พบ มีเพียงจดหมายที่ส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก ฉันรู้ว่าแม่เฝ้ามองฉันอยู่ และก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งแม่จะยอมออกมาพบฉัน จากนั้นฉันก็จะได้กลับเข้ากรงทองของตัวเองซะที”
“นายคิดจะกลับไปที่องค์กรอีกเหรอ!!” ซุยตกใจกระชากมันเข้ามาถามจนแขนแทบหลุด
ไทกิพยักหน้าอย่างหดหู่ “ชีวิตฉันเลือกไม่ได้ มันถูกตีตราไว้ตั้งแต่ได้รับสายเลือดจากพ่อแล้ว ถึงฉันไม่กลับ เซกิก็ต้องส่งคนมาจับฉันกลับไปอยู่ดี”
“ไทกิ” ซุยจับหน้าหันมาสบตากันแล้วเปรยเสียงเครียด “ฉันเป็นบอดี้การ์ดของนาย ความหมายคือจะปกป้องนายด้วยชีวิต ไม่ว่าสักกี่คนที่คิดจะมารบกวนชีวิตของนายฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แน่ เพราะฉะนั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องพันธนาการตัวเองด้วยพันธะบ้าบอนั่นอีกแล้ว นายอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ อยู่กับฉัน… อยู่กับเพื่อนๆ อยู่อย่างเด็กหนุ่มธรรมดาอย่างที่นายอยากเป็นยังไงล่ะ”
ไทกิสบตาสีเข้มของซุย สายน้ำสายนี้… ยังไหลรินเย็นชื่นฉ่ำหัวใจได้เสมอ แต่ทว่า… ก็ไม่อาจฉุดรั้งเค้าจากความเป็นจริงได้
“ฉันอยากอยู่กับซุย ให้เลือกกี่ครั้งฉันก็จะเลือกแบบนี้ แต่ฉันทำไม่ได้ เพราะนั่นจะทำให้ทั้งนายและครอบครัวของนายต้องเดือดร้อน และฉันจะเสียใจมากหากนายต้องบาดเจ็บหรือตาย เพราะฉันเป็นต้นเหตุ”
“นี่นายไม่เชื่อใจฉันเลยใช่มั้ย” ซุยตัดพ้อ ใช่สิ… เค้าก็รู้ว่าฝีมือเทียบพวกยมทูตไม่ได้ แต่แค่ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องคนที่ตัวเองรัก มันผิดนักหรือไง
“ซุย… ฉันรักซุยนะ” ไทกิเผยความในใจเป็นครั้งแรก “และเพราะว่ารัก ถึงไม่อยากให้นายเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจ แต่ฉันแค่ไม่อยากสูญเสียคนที่รักไปอีก”
มืออุ่นๆที่กอดไว้ไม่เคยหวั่นไหว มีแต่จะยิ่งหนักแน่นมั่นคง สายน้ำสายนี้จะไม่มีวันล่มสลาย จะคอยโอบอุ้มดอกไม้แห่งหัวใจไว้ชั่วนิจนิรันดร์
ซุยก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากที่สั่นระริก ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้น้ำตาค่อยๆแห้งเหือด ไทกิหลับตาลงและจูบตอบกลับไปแผ่วเบา เค้ายอมทิ้งความทุกข์ทั้งมวลไว้เบื้องหลัง แล้วเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขไว้ให้นานที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่าควรจะตัดใจไม่ให้ผูกพันไปมากกว่านี้ก็ตาม
“ฉันรักนาย… ถ้าได้ตายเพื่อปกป้องคนที่รัก ฉันจะถือเป็นเกียรติสูงสุดและจะไม่มีวันเสียใจเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงฉัน ขอให้นายทำในสิ่งที่อยากทำก็พอแล้ว”

“ใช่แล้ว… พวกเราเองก็จะปกป้องคุณหนูไทกิเหมือนกัน”

เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้คู่รักหวานแหววถึงกับเสียเส้น รีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน ฝีเท้าที่หนึ่ง… ฝีเท้าที่สอง… ตามมาติดๆด้วยฝีเท้าที่สาม… และฝีเท้าสุดท้ายที่ดังกว่าใครเพื่อน ทุกคนค่อยๆเดินเรียงหน้ากระดานออกมาจากความมืด นานแค่ไหนที่พวกนี้แอบฟังอยู่ซุยไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่ามันน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุด
“เฮ้อ… เห็นนายหายหน้าไปเป็นเดือน แถมพ่อยังปฏิเสธงานของนายแบบไม่มีกำหนด ที่แท้ก็เพราะรับจ๊อบเสี่ยงตายอยู่นี่เอง มิน่า… ถึงปิดเงียบไม่ยอมบอกใครเลย”
ฮิริวเป็นคนแรกที่นั่งเผละลงมาข้างๆ แล้วบ่นอุบ ก่อนที่คนที่เหลือจะตามมานั่งแจมด้วย บ้านนี้ทั้งบ้านรู้กิตติศัพท์ความน่ากลัวของ Death Flowers ดี โดยเฉพาะตัวผู้นำ Red Rose เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เค้าร่ำลือว่าร้ายนักร้ายหนาจะมานั่งกินข้าวที่บ้านสบายใจเฉิบ
“นี่! ไหนว่าจะไปดวลกับยูคาริไง อาราชิก็เหมือนกัน พี่บอกให้พาโซระไปนอนแล้วไม่ใช่เหรอ” ซุยแก้เก้อด้วยการดุเรียงหน้า แต่แทนที่พวกนั้นจะสะทกสะท้านกลับเอาแต่หัวเราะร่วน
“ก็ถ้าพวกฉันไม่ทำแบบนี้จะรู้เหรอว่านายกำลังตกที่นั่งลำบาก รับงานอะไรไม่รับ ดันรับงานคุ้มกันตัวอันตรายที่สุดในโลก จริงมั้ย… ไทกิคุง” ฮิริวหันไปยักคิ้วกริ่มให้ไทกิ
“เอ่อ…” ไทกิก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงแล้วเหมือนกัน เลยได้แต่นั่งหน้าแดงอยู่เงียบๆ
“แล้วคิดจะทำยังไงต่อ?” ยูคาริหันไปถามซุย
“ทำยังไง ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดน่ะสิ”
“ผมว่าแบบนี้ไม่ดีแน่” อาราชิออกความเห็นบ้าง “พี่ซุยคุ้มกันพี่ไทกิคนเดียวมันเสี่ยงนะครับ ให้พวกเราช่วยอีกแรงดีกว่า”
“ใช่เลย… ฉันเองก็ยังว่างงานอยู่ ขอรับงานใหญ่กับเค้าบ้างเถอะน่า” แม้แต่ไอ้ตัวเล็กก็ยังขอแจมด้วย
“ฉันขอบใจในความหวังดีของทุกคนนะ” คนที่กำลังถูกจับจองเป็นเป้าหมายขอโอกาสออกตัวบ้าง “แต่ฉันไม่ต้องการใครนอกจากซุย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนทำตัวเหมือนเดิมเถอะ ฉันอยากให้พวกนายเห็นฉันเป็นเพื่อน มากกว่าเห็นเป็นลูกค้าซะอีก”
ยูคาริพยักหน้า ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของน้องชายก็ยิ่งเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะคอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆก็แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยต้องรีบบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบใจ” ไทกิรับน้ำใจด้วยความซาบซึ้ง ครอบครัว… ดีที่สุดก็ตรงนี้แหละ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นน้ำใจที่บริสุทธิ์งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“เฮ้อ… แบบนี้ฉันก็อดโชว์ฝีมือน่ะสิ” ฮิริวแกล้งบ่นไปเรื่อย “งั้นเอาเป็นว่าระหว่างที่อยู่ที่นี่ ขอให้เราเป็นไกด์พาเที่ยวแทนการเป็นบอดี้การ์ดก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะพาไทกิเที่ยวเอง” ซุยรีบออกตัว เพราะไม่ค่อยเชื่อใจฮิริวสักเท่าไหร่ จนพี่รองทนหมั่นไส้ไม่ไหว โอบแขนรัดคอน้องชายเข้ามาใกล้ๆ
“นายน่ะเป็นบอดี้การ์ดก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปสิ หน้าที่ไกด์ปล่อยให้เป็นของพวกฉัน รับรองได้ไม่มีมุมไหนในเกียวโตที่ฉันไม่รู้จัก โดยเฉพาะโลกราตรี รับรองว่าไทกิจะต้องติดใจแน่”
“เกียวโตเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม นายอย่ามาทำให้เสื่อม” พี่ใหญ่รีบขัดคอ “พรุ่งนี้พี่จะพาไปไหว้พระที่ศาลเจ้า แล้วจะพาไปดูวิหารทองคินคาคุจิ คืนนี้ไทกิก็ไปพักเถอะนะ จะได้ตื่นแต่เช้า” ยูคาริบอกแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะครับทุกคน” ไทกิบอกราตรีสวัสดิ์ ทุกคนก็ตอบรับ จากนั้นก็ตามซุยกลับเข้าบ้าน
การได้มาเกียวโตคราวนี้… ทำให้ไทกิได้รับความอบอุ่นเป็นพิเศษ ถึงจะป่วนบ้างตอนที่ไปเที่ยวแล้วพี่ใหญ่กับพี่รองเอาแต่ทะเลาะกันตลอดทาง กับเจ้าตัวเล็กซึ่งคอยหาจังหวะแกล้งเค้าตลอดเวลา แต่ครอบครัวที่เคยฝันหามาตลอดชีวิต ก็ทำให้หัวใจสุขล้นจนลืมความทุกข์ที่ผ่านมาจนหมดสิ้น
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:30:12
 :m22: Chapter 23 Bloody Flower

“เหรอ… พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้วเหรอครับ”
มิสึกิตอบกลับไปยังปลายสาย ได้ยินเสียงร่าเริงของท่านผู้นำแสดงว่า Long Weekend ที่ผ่านมาคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
“เมื่อวานคาโอรุคุงก็เพิ่งโทรมาบอกว่าอาการของฮิโระคุงดีขึ้นแล้ว คิดว่าน่าจะกลับมาถึงไล่เลี่ยกับไทกิคุง ก็ดีนะครับ พอทุกคนไม่อยู่ สภาของเราเงียบเหงาไปเยอะเลย ตอนนี้ก็มีแค่ผมกับพี่โนะอิที่กำลังเป็นกรรมกรเร่งร่างงบประมาณประจำปีอยู่ ถ้ากลับมาแล้วจะได้ช่วยกันไงครับ โดยเฉพาะเจ้าซุย อู้งานไปตั้งอาทิตย์ งานกองพะเนินเป็นตั้ง ฝากบอกมันด้วยนะว่าผมไม่จัดการให้หรอก”
มิสึกิหยุดเว้นวรรคนิด รอให้ทางปลายสายหัวเราะจนพอใจแล้วถึงค่อยปิดท้ายเพื่อตัดบทสนทนา เพราะนัยน์ตาเย็นๆของรุ่นพี่จ้องมาหลายทีแล้ว คงกำลังคิดว่าเค้าหาทางอู้งานอีกคนล่ะสิ
“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วเจอกัน”
มิสึกิกดปิดเครื่องแล้วโยนโทรศัพท์มือถือไปกองรวมกับกระเป๋า วันนี้คงรับสายใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นมีหวังโดนหัวหน้าซีเนียร์เอาตายแน่
“พวกนั้นจะกลับมาแล้วเหรอ” โนะอิถามเสียงเรียบ ทันทีที่รุ่นน้องกลับมานั่งที่โต๊ะ
“กลับมาพรุ่งนี้ครับ แต่วันนี้ผมกับพี่คงต้องเหนื่อยอีกยาว รู้สึกพวกหัวหน้าชมรมต่างๆจะไม่ค่อยพอใจกับงบประมาณที่โดนตัดไปสักเท่าไหร่ ดีไม่ดีอาจมาถล่มสภาพิเศษเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“มาก็มาสิ… ฉันเองก็อยากเจอสักทีเหมือนกัน ดีแต่พูดกันลับหลัง พออยู่ต่อหน้าทีไรก็ไม่เห็นจะกล้าสักคน”
มิสึกิยิ้มแห้งๆ แล้วแอบตัดพ้อในใจ ‘ก็เฮียแกโหดขนาดนี้ ใครมันจะกล้าวีนต่อหน้าเล่า’
“อืม… ว่าแต่สองสามวันนี้ไม่เห็นพี่ยูกับพี่โฮตารุเลย หายไปไหนเหรอครับ” มิสึกิถามหาสมาชิกพิเศษที่เหลือ ช่วงนี้คนก็น้อยอยู่แล้ว พวกพี่ๆยังหายหน้าหายตาไปอีก สงสัยคงต้องเปลี่ยนเป็นสภาร้างแล้วล่ะมั้งเนี่ย
“ยูกับโฮตารุได้รับมอบหมายงานพิเศษจาก ผอ. ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่างานอะไร แต่อีกสองสามวันก็คงจะกลับแล้ว”
“งั้นเหรอ” มิสึกิลอบถอนใจเบาๆ “มาซาฮิโกะก็มัวแต่วุ่นประชุมกับกรรมการนักเรียนเรื่องงานวัฒนธรรม เหลือแต่งานหนักๆไว้ให้ผมกับพี่ทำทั้งนั้นเลย” ว่าแล้วก็เหลือบตาไปมองบัญชีงบประมาณประจำปีของฝ่ายต่างๆที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะ
สรุปรายงานงบประมาณประจำปี… งานเบ๊ที่เค้ากับรุ่นพี่ต้องทำให้เสร็จภายในสองวันเพื่อส่งทางผู้บริหาร จะได้ทันเบิกจ่ายใช้ในกิจกรรมปีนี้
แต่พอเหลือบตามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกจะเครียดกว่าเค้าอีกแฮะ… ปกติโนะอิเป็นคนเจ้าระเบียบ เนคไทไม่เคยกระดิกจากตำแหน่ง แต่วันนี้โดนคลายลงมาจนเกือบจะหลุดจากคออยู่รอมร่อ คอเสื้อก็โดนปลดกระดุมไล่เรียงลงมาเรื่อยๆตามภาวะเครียดที่พุ่งกระฉูด แถมยังรวบผมเป็นหางม้า เปิดให้เห็นต้นคอขาวๆที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
จะว่าไปก็ดูเซ็กซี่ดีแฮะ แต่… มันมีบางอย่างที่ผิดปกติ?
“มิสึกิ… นายมีอะไรกับฉันหรือเปล่า” โนะอิเงยหน้ามองรุ่นน้องที่บังอาจใช้สายตาพิจารณาเค้าอยู่นานสองนาน งานก็ไม่กระดิกสักแอะ ยังมาทำอะไรให้ชวนหงุดหงิดใจอีก
“ก็เปล่านี่ครับ” มิสึกิส่ายหน้า ก่อนจะรวบรวมเอกสารสำคัญบางส่วนมาใส่ไว้ในแฟ้ม “ผมจะเอารายงานไปส่งให้ ผอ. ที่หอดิน แล้วกะว่าจะแวะโรงอาหารด้วย พี่โนะอิจะเอาอะไรหรือเปล่า ผมจะได้ซื้อมาฝาก”
“ไม่ล่ะ… นายไปเถอะ”
โนะอิบอกแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาสู้กับตัวเลขในบัญชีต่อ มิสึกิถือแฟ้มเดินออกจากห้อง แต่ก็ยังไม่วายเหลียวกลับมามองด้วยความเป็นห่วง รู้สึกรุ่นพี่จะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย… ต่อให้เป็นโนะอิก็เถอะ ทำแบบนี้ร่างกายจะไหวแน่เหรอ
แล้วอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกตินั่น ถ้าเค้าคิดไม่ผิดล่ะก็…

หนึ่งชั่วโมงที่หายไปจากสภา มิสึกิซื้อเสบียงมาตุนไว้เพียบ เตรียมพร้อมลุยงานต่อทั้งคืนแล้ว แต่พอกลับมาถึงก็พบกับสภาพที่คาดไว้ไม่มีผิด
โนะอินอนฟุบหน้าอยู่คาโต๊ะ ในมือยังจับปากกาไว้แน่น ท่าทางจิตใต้สำนึกคงเรียกร้องให้ทำงานต่อ แต่ร่างกายคงไม่ไหว มิสึกิส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจในความหัวดื้อของรุ่นพี่ เค้าวางเสบียงทั้งหมดไว้ในห้องสวัสดิการ ก่อนจะอุ้มรุ่นพี่ไปพักที่โซฟา
…เบากว่าที่คิดแฮะ…
มิสึกิมองร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขน เพิ่งสังเกตว่าโนะอิตัวสูงไล่เลี่ยกับเค้าก็จริงแต่ผอมกว่ามาก กล้ามเนื้อแทบไม่มีเลย เอวก็เล็กนิดเดียว พี่น้องไฮบาระรูปร่างแบบนี้กันทั้งบ้าน สงสัยแม่บ้านจะทำอาหารไม่อร่อย ถึงมีแต่คนตัวผอมทั้งนั้นเลย
“อืม…”
ขนาดเอามานอนพักสบายๆบนโซฟาแล้ว พี่แกก็ยังขมวดคิ้วไม่เลิก แถมยังครางเหมือนกำลังสู้อยู่กับตัวเลขในบัญชีตลอดเวลา มิสึกิเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ยอมรับนับถือในความรับผิดชอบอันสูงส่งของพี่แกจริงๆ พับผ่าสิ…
“พี่โนะอิ” รุ่นน้องเขย่าตัวปลุกเบาๆ มือหนึ่งก็เลื่อนไปกระตุกที่รัดผมกับเนคไทออกจากคอ เพื่อให้นอนสบายขึ้น
ผมสีเงินนุ่มสลวยทิ้งตัวลงมาปรกโซฟา กับบางส่วนที่ยาวจนคลอเคลียกับพื้น มิสึกิต้องรีบโกยกลับขึ้นไปให้ เพราะปกติโนะอิเป็นคนที่หวงผมตัวเองมาก แต่พอได้สัมผัสแล้วนี่แหละมิสึกิถึงรู้ว่าทำไมพี่เค้าถึงได้หวงนักหนา ก็มันทั้งนุ่มทั้งสวยแบบนี้นี่เอง คาน่อนก็มีผมสีเดียวกันแต่เส้นเล็กกว่านิดหน่อย  แต่ของโนะอินิ่มกว่าเยอะ
มิสึกิก้มเข้าไปดูหน้าสวยๆในระยะใกล้อีกครั้ง เพื่อหาคำตอบของสิ่งที่ยังคาใจอยู่ ไล่จากคิ้ว เปลือกตา จมูก แก้ม ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอมาถึงริมฝีปาก…
รุ่นน้องจ้องเข้าไปดูใกล้ๆอีกครั้ง ใช้นิ้วไล้ไปตามเรียวปากได้รูปเบาๆ พลางฉีกยิ้ม
‘นี่แหละ… ใช่เลย สิ่งที่ผิดปกติ’

“มิสึกิ?”

เสียงเรียกจากคนที่เค้าคิดว่าหลับ ทำเอาคนที่กำลังวิจัยเรื่องริมฝีปากเด้งตัวหนีแทบไม่ทัน หมอนี่ตื่นตอนไหนเนี่ย แล้วจะเห็นมั้ยว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่
“ฉัน… เผลอหลับไปเหรอ” โนะอิถาม แต่ก็ยังดูท่าทางงัวเงียอยู่ มิสึกิถอนใจด้วยความโล่งอก อีหรอบนี้คงยังไม่รู้ตัวหรอก
“พี่ทำงานมาทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่กิน ร่างกายก็ไม่ไหวน่ะสิครับ ตื่นขึ้นมาทานข้าว แล้วพักสักหน่อยดีมั้ย”
โนะอิยกมือขึ้นมาเสยผม ก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เซล้มลงไปอีก โชคดีที่มิสึกิยังไวพอที่จะรับทัน เลยประคองให้กลับลงไปนั่งใหม่
“อย่าดื้อสิครับ พี่ควรจะพักได้แล้ว” คราวนี้รุ่นน้องเพิ่มดีกรีเสียงดุขึ้นมาอีกนิด
“ฉันยังไหว… งานยังเหลืออีกตั้งเยอะ ถ้าไม่รีบทำจะไม่เสร็จทันเสนองบประจำปีนะ”
“ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จสิ” มิสึกิกดตัวคนดื้อที่พยายามจะลุกขึ้นให้นั่งลงไปอีกครั้ง “ช้าไปสักวันสองวันก็ไม่ทำให้โรงเรียนเราล่มหรอกน่า แต่ถ้าพี่ล้มป่วย สภาเราจะแย่นะครับ”
โนะอิขมวดคิ้วมุ่น “ฉันเนี่ยนะจะป่วย ตลกแล้วล่ะมิสึกิ”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” รุ่นน้องจ้องหน้าคาดคั้น ก่อนจะสาธยายต่อ “ริมฝีปากของพี่เป็นสีแดงเรื่อ ถ้าเทียบกับคนทั่วไปก็คงไม่แปลกอะไร แต่ถ้าเทียบกับคาโอรุคุงหรือคาน่อนที่ริมฝีปากแดงจัด ก็จะเห็นทันทีว่าผิดปกติ พี่คงมีปัญหาเรื่องเลือดจางใช่มั้ย และยิ่งช่วงที่ทำงานหนักก็จะซีดจนแทบไม่มีสีเลือดเลย ถ้าผมเดาไม่ผิด…”
มิสึกิหยุดเว้นวรรค พร้อมกับถอนใจเบาๆ
“พี่คงมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วยใช่มั้ย”
ข้อสรุปจากรุ่นน้องเปลี่ยนสีหน้าที่ขาวอยู่แล้วให้ยิ่งซีดจัด ความลับที่แม้แต่คนที่บ้านยังไม่เคยสังเกตเห็น แต่หมอนี่กลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง เป็นไปได้ยังไง…
“นายมั่วแล้วมิสึกิ อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” โนะอิเบือนหน้าหนี ก่อนจะเฉไฉโดยการลุกกลับไปทำงานต่อ
แต่ทว่า… ก็โดนคนขี้ตื๊อดึงกลับไปอีก แถมคราวนี้ยังลงเหมาะเจาะบนโซฟาพิเศษ… บนตักของมันนั่นเอง
“งั้นผมคงต้องขอพิสูจน์หน่อยแล้ว”
“มิสึ…”
จะประท้วงก็ไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่เผยอปากเพื่อจะด่ากลับ ก็โดนมันตวัดคอขาวๆเข้ามาประชิด แล้วจูบอย่างหนักหน่วง ร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วก็ยิ่งร้อนระอุ หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำราวกับจะระเบิดออกมานอกอก มือข้างหนึ่งยังบังอาจจาบจ้วงล้วงเข้ามาสัมผัสที่หน้าอกข้างซ้าย กระตุ้นบางสิ่งให้แข็งขืนขึ้นมาตามมือที่ลูบไล้ไปโดยไม่รู้ตัว
“ว่าแล้วไง… คราวนี้ผมได้ยินชัดเลย”
เสียงเปรยจากคนที่ทำให้อารมณ์ค้างอย่างรุนแรง ปลุกสติที่หลุดลอยให้กลับคืนมาอีกครั้ง พอรู้ตัวก็เห็นมันแนบหูฟังอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจ หน้าขาวผ่องแดงซ่านจากเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรง แถมยังรู้สึกล้าผิดปกติ เป็นเพราะอะไรกัน
“เสียงหัวใจมีจังหวะที่ผิดปกติ อาจจะเป็นมาตั้งแต่เกิด ผมว่าพี่น่าจะลองให้หมอตรวจเช็คให้ละเอียดอีกทีนะครับ เพราะโรคหัวใจบางชนิดก็รักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด”
มันเล่นพ่นหลักวิชาการออกมาเป็นชุดๆ เหมือนไม่สนใจว่าตัวเองได้ทิ้งอะไรไว้กับร่างกายนี้บ้าง โนะอิกุมหัวใจที่กำลังจะแหลกเป็นชิ้นๆเอาไว้แน่น กัดฟันวีนมิสึกิเท่าที่พอจะมีแรงเหลืออยู่
“นาย… กล้าดียังไง ถึงทำกับฉันแบบนี้!!”
“ก็ผมไม่มีเครื่องมือนี่นา ก็เลยต้องใช้หูแนบฟังด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่กระตุ้นให้หัวใจพี่เต้นแรงขึ้นก็จะไม่ได้ยินน่ะสิครับ”
มิสึกิอธิบายเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่พอเห็นหน้าคู่กรณีที่กำลังทรมานอย่างที่สุด ก็ชักสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ แต่พอปรายสายตาลงมาถึงบางส่วนที่อยู่เบื้องล่างก็แจ็กพ็อตอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
ซวยล่ะสิ…
โนะอิฝืนยืนขึ้น คราวนี้พอมือหยาบกระด้างจะยื่นเข้ามาฉุด เค้าก็รีบปัดออกทันที แถมยังทำสีหน้าโกรธเอามากๆ
“ฉันจะออกไปข้างนอก” โนะอิเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู แต่ก็ถูกขวางไว้
“พี่คิดจะออกไปไหนในสภาพนี้งั้นเหรอ” มิสึกิถามเสียงเครียด
“เรื่องของฉัน นายหลีกไป!!!”
มิสึกิส่ายหน้า ก่อนจะดึงตัวคนดื้อกลับมาที่โซฟา
“ปล่อยฉันนะมิสึกิ!!” คนขี้วีนยังโวยวายไม่เลิก มือข้างหนึ่งยังกุมอยู่ที่หัวใจ หายใจหอบจนเหงื่อออกท่วมตัว แต่ยังหรอก… ยังมีส่วนอื่นที่อาการแย่กว่านี้ ซึ่งเค้าต้องรับผิดชอบที่ไปปลุกให้มันตื่นขึ้นมา
“ถอดออกมาเถอะพี่โนะอิ ผมจะช่วยเอง”
“อะไรนะ!!!” โนะอิขึ้นเสียงดุอย่างเหลืออด “นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ฝันไปเถอะ”
“ผมก็แค่อยากช่วยให้พี่หายทรมานเร็วขึ้น ผมเป็นคนทำให้พี่เป็นแบบนี้ก็ต้องรับผิดชอบ เร็วๆเถอะ… ถ้าขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ล่ะก็ หัวใจพี่จะยิ่งทำงานหนักขึ้นนะ”
“ไม่…”
โนะอิยังคงดื้อดึง แต่มิสึกิไม่อยากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นโนะอิอาการแย่แน่ เค้าเลยถือวิสาสะคลายเข็มขัดของรุ่นพี่ออก ต่อสู้กันชุลมุนแต่ในที่สุดมิสึกิก็เป็นฝ่ายชนะ เค้ารูดซิปออกแล้วเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในลงมาจนส่วนที่อัดแน่นเต็มที่ก็พุ่งผ่านออกมาจนเห็นเด่นชัด
“อย่ามองนะ” โนะอิเบือนหน้าหนี รู้สึกละอายใจอย่างที่สุดที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้กับหมอนี่ ขนาดกับซุยยังไม่เคยคิดถึงขั้นนี้เลย แต่หมอนี่มันกลับ…
“ก็ได้… ถ้าพี่ไม่อยากให้มอง” มิสึกิดึงเนคไทของตัวเองมาผูกปิดตาเอาไว้ อันที่จริงก็ไม่อยากมองนักหรอก ไม่ใช่เพราะไม่น่ามอง… แต่กลัวจะทนเห็นใบหน้าที่เย้ายวนรุ่นพี่ของรุ่นพี่ไม่ไหว แล้วตบะแตกไปอีกคน มันจะยิ่งยุ่ง
มือหนึ่งจับส่วนกลางที่กำลังสั่นระริกไว้เป็นหลัก จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ ใช้ลิ้นชิมรสชาติที่หอมหวานเน้นตรงส่วนปลายที่อ่อนไหวที่สุด ยิ่งปิดตาทุกสัมผัสและรสชาติก็ยิ่งชัด แถมเสียงครางของร่างบางทำให้เค้าแทบสะกดกลั้นใจตัวเองไว้ไม่อยู่
“ฮ้า… ยะ… อย่าเลียเฉพาะตรงนั้น ฉันจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องให้มันออกมาให้เร็วที่สุด หัวใจจะได้ไม่ล้าไปมากกว่านี้ ผ่อนลมหายใจช้าๆสิครับ แล้วจะดีขึ้นเอง”
‘พูดก็พูดง่ายสิ แต่โดนทำขนาดนี้ใครมันจะไปใจเย็นอยู่ได้เล่า’ โนะอิเถียงในใจ แต่พูดไม่ออก เพราะต้องกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดและความสุขสม
มืออีกข้างของมิสึกิค่อยๆล้วงเข้าไปที่สะโพกมน สัมผัสส่วนคับแคบที่รัญจวนที่สุด จนร่างบางถึงกับผวาสุดตัว
“ไม่นะ!!!” โนะอิร้องลั่น หมอนี่คิดจะทำอะไร คิดจะฆ่ากันให้ตายหรือไง หัวใจที่ทำงานหนักอยู่แล้วเต้นรัวเร็วขึ้น ยิ่งนิ้วที่กรีดเขี่ยอยู่รอบๆทางเข้าเร็วเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งทรมานมากเท่านั้น ด้านหลังเฉอะแฉะไปหมดแล้ว แต่มันก็ไม่หยุด
“ผมสัญญาว่าจะไม่ทำมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นรีบปล่อยออกมาเถอะครับ”
มิสึกิปลอบเพื่อให้ร่างบางรู้สึกสงบลง ก่อนจะก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ทุกส่วนถูกดูดกลืนหายเข้าไปในปากจนหมด มือเล็กๆผวามาจิกแน่นที่ท้ายทอย ร่างกายที่ร้อนรุ่มบิดเร่าไปมาพร้อมที่จะปลดปล่อยแล้ว
“อ๊า… ฉะ… ฉันไม่ไหวแล้ว”
ร่างบางแอ่นตัวจนสุด ฉีดพุ่งทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในปากอุ่นๆที่รอรับอยู่ ขนาดเค้ายอมปล่อยแล้วก็ยังมีบางส่วนเลอะอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ร่างบางสงบลง เสียงหัวใจที่เต้นระรัวเมื่อครู่ก็ค่อยๆผ่อนคลายเป็นจังหวะที่ราบเรียบเหมือนเดิม แต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็ยังหายใจหอบนอนฟุบอยู่บนโซฟา
มิสึกิลุกขึ้นหลังจากเสร็จภารกิจ เอาผ้าผูกตาออกแล้วเช็ดริมฝีปากเบาๆ มือเล็กๆของคนที่นอนหอบก็เอื้อมมาฉุดข้อมือไว้ ดวงตาสีฟ้าที่ยังมีน้ำตาเอ่อคลอจ้องตาเค้าแล้วถามเสียงเครียด
“นาย… จะไม่ทำต่อเหรอ?”
มิสึกิตวัดมองร่างบางอีกครั้ง ถึงจะเสียดายแต่ก็ไม่ควรให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้
“ไม่หรอกครับ ถ้าขืนทำมากกว่านี้ล่ะก็ พี่เองนั่นแหละที่จะแย่ อีกอย่าง… ตอนนี้ท้องผมมันร้องจ๊อกๆเลย อยากกินข้าวมากกว่ากินอย่างอื่น”
แล้วมิสึกิก็ตัดบทโดยการเอากับข้าวกล่องที่ซื้อไปอุ่นในห้องสวัสดิการ ก่อนจะกลับเอามาวางบนโต๊ะ เตรียมกินข้าวมื้อค่ำพร้อมรุ่นพี่คนสำคัญที่ดูเหมือนจะลุกขึ้นมาได้แล้ว
โนะอิลุกขึ้นไปล้างหน้า แต่เห็นได้ชัดว่ายังซีดอยู่ พอกลับมานั่งกะว่าจะลุยงานต่อ ก็โดนรุ่นน้องแย่งกองแฟ้มบัญชีตัดหน้าแล้วเอากล่องข้าวมาวางไว้แทน
“กินก่อนเถอะครับ ไม่เสียเวลามากนักหรอก” มิสึกิยิ้มพร้อมกับรินน้ำชาให้ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ
โนะอิเห็นอาหารแล้วยิ่งพะอืดพะอมเลยผลักออกห่าง มองดูรุ่นน้องอีกครั้งก็เห็นทำตัวทำหน้าปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่เค้าอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ที่มาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในที่แบบนี้
“มิสึกิ” โนะอิกัดฟันแน่น “นาย… ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ทำแบบนี้”
มิสึกิสำลัก จนต้องซดน้ำชาหลายอึกให้หายจุก แต่พอมองหน้าแดงๆของคนที่กำลังกังวลเค้าก็ฉีกยิ้มกว้าง
“มันเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่น ถ้าควบคุมไม่ได้ก็ควรปล่อยเลยตามเลย ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน”
“แต่นาย!!!” โนะอิจะแย้งต่อแต่พูดไม่ออก เลยนิ่งไว้ดีกว่า “ช่างมันเถอะ”
รุ่นพี่หัวดื้อหอบงานไปนั่งที่มุมโต๊ะอีกด้านซึ่งยังว่าง แล้วทำงานต่อโดยไม่สนใจเค้าอีก มิสึกิสังเกตเห็นเค้าความกังวลบางอย่างจากใบหน้าเย็นชาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก มันเป็นความสับสบที่วนเวียนอยู่ในจิตใจ คนอย่างโนะอิไม่เคยให้อะไรมาทำลายสมาธิโดยเฉพาะเวลาทำงาน แต่ตอนนี้รุ่นพี่กลับแสดงความอ่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด
มิสึกิจ้องเขม็ง แล้วถามทำถามที่ทำให้คนใจลอยต้องสะอึก
“ตกลงที่พี่กลุ้ม… เพราะกลัวซุยมันจะรู้ กลัวผมจะคิดอะไรเลยเถิด หรือกลัวใจตัวเองกันแน่”
โนะอิอึ้งสนิท ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งเซียวเข้าไปใหญ่ นานทีเดียวที่ความเงียบกั้นกลางระหว่างคนสองคน นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบปริบๆ แล้วค่อยๆสงบลง จากนั้นก็ตัดบทหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามโดยการเคลียร์บัญชีงบประมาณต่อ
“ท่าทางจะเหตุผลอย่างหลังแฮะ” มิสึกิเดาไปเรื่อย

โครม!!!

ได้ผล…
ไม่คิดว่าคำพูดลอยๆจะจี้ใจดำรุ่นพี่จนหันมาสนใจเค้าอีกครั้ง แต่อะไรๆมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าพี่แกไม่เล่นคว่ำโต๊ะจนเอกสารทุกอย่างลงมากองปะปนมั่วไปหมด
โนะอิเดินตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อคนอวดดีขึ้นมาจากเก้าอี้ สีหน้าท่าทางบอกอาการโมโหอย่างที่สุด
“อย่ามาพูดเหมือนรู้ดี คนอย่างฉันไม่มีวันรู้สึกอะไรกับนาย ไม่มีวัน!!!”
ลงทุนขู่ขนาดนี้แล้ว แทนที่มันจะกลัวกลับเอาแต่ทำหน้ากวนโอ๊ย บังอาจใช้สายตาสีน้ำเงินเข้มจ้องตาเค้าโดยไม่หลบ แต่ว่า… เค้าเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกดึงดูดด้วยสายตาคู่นั้น
มิสึกิยิ้มพราย ก่อนจะดึงแขนคนดื้อเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับสอดแขนอีกข้างกอดรอบเอวบางเอาไว้ แล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ… โนะอิ” มืออีกข้างค่อยๆล้วงลึกสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าอก “แต่ร่างกายคุณดูเหมือนจะไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลยนะ”
“นาย!!!”
ร่างสูงดึงตัวคนดื้อเข้ามาจูบอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจในตอนแรก ก่อนที่ภาพข้างหน้าจะเริ่มเบลอ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวใจเรียกร้อง ท่อนแขนเพรียวเล็กค่อยโอบกระหวัดโน้มคอคนอวดดีเข้ามาหา เอนศีรษะซบลงไปที่หน้าอกกว้าง
แล้ว… ก็หลับไป
มิสึกิตะลึงไปพักใหญ่ มองร่างที่หลับปุ๋ยในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วหัวเราะร่วน
“ท่าทางจะถึงลิมิตแล้วจริงๆแฮะ” เค้าใช้แขนอีกข้างช้อนใต้เข่าแล้วอุ้มร่างบางขึ้นมา “แต่มาทำให้คนอื่นอารมณ์ค้างแทนเนี่ย มันไม่ค่อยดีเลยนะพี่”
ถึงจะบ่นไปอย่างนั้น แต่คนหลับก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว มิสึกิเอารุ่นพี่ไปฝากไว้บนโซฟาชั่วคราว ก่อนจะเก็บเอกสารที่กองมั่วอยู่บนพื้นมาจัดเรียงในแฟ้มเพื่อทำต่อในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็แบกรุ่นพี่ขึ้นหลังแล้วพากลับไปส่งที่หอน้ำ

ดึกคืนนี้อากาศดี… ท้องฟ้าปราศจากเมฆ เปิดโล่งจนเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด มิสึกิเดินฮัมเพลงไปตามทางเดินริมทะเลสาบ สายลมพัดอ่อนโยนผสานกลิ่นหอมหวานจากใครบางคนที่ยังติดตรึงอยู่บนผิวกาย
ใครบอกหิมะเย็นชาจนกินไม่ได้… เค้าชิมแล้วก็หวานดี
เงาร่างดำทะมึนที่เคลื่อนไหวผ่านพุ่มไม้ ทำให้คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โรแมนติกหยุดความคิดชั่วขณะ มิสึกิเหลียวมองกลับหลัง ทั้งเสียงฝีเท้า รูปร่างของเงา ความสูง… ทุกอย่างคุ้นตาดี จากความหวาดระแวงเลยกลายเป็นความผ่อนคลาย และก้าวเท้าเดินต่อไปสบายๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“ยูอิเหรอ?”
มิสึกิเปรยถาม เงาร่างนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ภาพหญิงสาวสวยวัยยี่สิบในชุดสีดำสนิทประจำองค์กรก็ปรากฏเด่นชัด หล่อนเดินเข้ามาระยะใกล้ แต่ระมัดระวังพยายามไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นจากที่ไกลๆ
“มีข่าวสำคัญจะรายงานค่ะ… ท่านมิสึกิ”
มิสึกิหยุดเดินแล้วหยิบก้อนหินโยนลงไปในทะเลสาบ
“ยูอิที่เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์มาเอง คงจะเป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะสิ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบ แต่สีหน้าที่แสดงออกไม่สู้ดีนัก “ข่าวสำคัญเกี่ยวกับ… ลิลลี่”
“ว่ามา…” มิสึกิยังตอบสนองด้วยท่าทีที่เรียบเฉย การเคลื่อนไหวของเซกิไม่ใช่เรื่องที่อ่านยากอยู่แล้ว เค้าพอจะเดาออกว่าหมอนี่คิดจะทำอะไร
“ลิลลี่ออกมาจากองค์กรแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
“แล้วพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวล่ะ?”
“มีคำสั่งให้เก็บตัวอยู่ในองค์กร แม้แต่พวกองครักษ์ยมทูตแดงซึ่งกำลังตามหาท่านไทกิก็ถูกเรียกตัวกลับมาทั้งหมดค่ะ”
ลุยเดี่ยวเหรอ… เซกิมันคิดจะเผชิญหน้ากับไทกิตรงๆหรือไงนะ
“ฉันจะหาทางเตือน Red Rose เอง ยูอิกลับไปบอกทุกคนอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวโดยพละการ จับตาพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวด้วย ถ้าใครมีการเคลื่อนไหวผิดสังเกตก็ให้รีบมารายงานฉันทันที”
“ค่ะ… ท่านมิสึกิ”
พอรับคำสั่งจบ ยูอิก็ค่อยๆแทรกตัวหายไปในความมืด ซากุระแหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ยมทูตทั้งสามเคลื่อนไหวอยู่นอกองค์กร ต่างคนต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคงจะเลี่ยงการปะทะกันได้ยาก ถ้าหากไม่เจอเซกิในเร็ววันนี้ก็คงจะดี อย่างน้อยก็อยากเตือนคุณหนูคนเก่งของเค้าให้ระวังตัวเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับลิลลี่
เงาสีดำเคลื่อนตัวอย่างว่องไวในความมืด และเพียงเสี้ยววินาทีที่เค้าหันหลังมองทะเลสาบ แสงไฟ แสงดาว และแสงสว่างทุกอย่างก็ดับวูบลงในพริบตา
มิสึกิทรุดตัวลงบนพื้น ใช้สติที่เลือนรางครั้งสุดท้ายเอื้อมมือไปจับที่กลางหลัง ด้ามมีดสีเงินวาวระยับยังปักมิดอยู่คาอก แม่นยำตัดขั้วหัวใจเพราะเจ้าตัวไม่เคยพลาด เลือดแดงฉานไหลทะลักพวยพุ่งราวกับสายน้ำ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ยังเป็นเพียงเงาร่างลางเลือน
“ลาก่อน… คนทรยศ”
นั่นคือเสียงสั่งลา ก่อนที่มันจะเตะเค้าตกลงไปในทะเลสาบ ภาพทุกอย่างดับวูบ เหลือเพียงความมืดมิดที่รุมล้อมอยู่รอบกาย ดอกลิลลี่สีขาวอาบเลือดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ บ่งบอกถึงความแค้นฝังแน่นซึ่งกำลังรอการสะสาง
มันกลับมาแล้ว… ยมทูตผู้กระหายความตายที่แท้จริง
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 13/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 3 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:34:59
 :m22:Chapter 24  Real Love, Real Heart

‘คาโอรุ คาวาชิมะ… มีผู้ปกครองมารอพบที่หอฮิโนะเอ็น ด่วน…’

“เอ๋?” คาโอรุที่หอบแฟ้มงานซึ่งจะเอาไปทำที่โรงอาหารพร้อมฮิโระขมวดคิ้วมุ่น
“พ่อนายมาเยี่ยมล่ะมั้ง” ฮิโระช่วยเดาให้
“แต่ฉันเพิ่งโทรคุยกับพ่อเมื่อเช้านี้เองนะ ถ้าจะมาเค้าต้องบอกฉันก่อนสิ”
“ก็ไม่แน่… พ่อนายยิ่งชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่เรื่อย ฉันว่าบางทีเค้าอาจอยากทำเซอร์ไพรส์นายก็ได้”
“เซอร์ไพรส์ที่โรงเรียนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย” คาโอรุส่ายหน้า “อีกอย่างนะ… พ่อฉันก็ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก บางทีน่าจะเป็นเรื่องงานมากกว่า งั้นเดี๋ยวฉันไปหาพ่อก่อนนะ นายไปรอที่โรงอาหารก็แล้วกัน”
คาโอรุวางแฟ้มทั้งหมดซ้อนบนแฟ้มของฮิโระที่เกือบจะรับไว้ไม่ทัน ก่อนจะวิ่งปร๋อกลับไปที่หอ ฮิโระเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีตัดผ่านทะเลสาบ อันที่จริงก็อยากจะไปทักทายว่าที่คุณพ่อตาซะหน่อย แต่ไม่เอาดีกว่า… ปล่อยให้สองพ่อลูกเค้าคุยตามลำพังดีกว่า
ฮิโระเดินเลียบไปตามทางเดินริมทะเลสาบ แล้วสายตาที่คมกริบก็บังเอิญปราดไปเห็นรถสปอร์ตสีแดงที่คุ้นตาจอดอยู่ใกล้ๆกับศาลาริมน้ำ
“รถคันนี้คุ้นๆแฮะ”
นักฆ่าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทั้งสี ทั้งรุ่น มันคุ้นตาไปหมด และที่ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าเคยเห็นมาก่อนก็คือป้ายทะเบียนรถนี่แหละ มันใช่เลยอย่างไม่ต้องสงสัย
“นะ… นี่มันรถของ…” นักฆ่าเสียงสั่นเครือ แฟ้มที่ถืออยู่หล่นพรวดลงไปกองที่พื้นทั้งหมด “อย่าบอกนะ… ว่ามาที่นี่!!!”
ฮิโระหน้าซีดเผือด เหลียวคอมองกลับไปที่หอด้วยความเป็นห่วง ถ้าเค้าคิดไม่ผิดคนที่เรียกคาโอรุต้องเป็นหมอนี่แน่ๆ ความกลัวแล่นปราดจับขั้วหัวใจ ฝีเท้ารีบพาวิ่งกลับหออย่างรวดเร็วที่สุด
หวังว่าเค้าคงกลับไปทัน… ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ร่างนั้นนั่งหันหลังอยู่บนโซฟาในห้องคอมม่อน เสื้อหนังกับหมวกคาวบอยทำให้รู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้ว ปกติพ่อไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ และไม่มีทางที่จะแต่งชุดประเภทนี้ด้วย แล้วคนที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครองแล้วเรียกตัวเค้ามาพบเนี่ย เป็นใครกันล่ะ
“เอ่อ… คุณคือ?”
คาโอรุเดินอ้อมไปด้านข้าง หวังจะเห็นหน้าให้ชัด แต่แค่เค้าเดินเฉียดเข้าไปใกล้เท่านั้น มือที่ใหญ่กว่าก็คว้าหมับรวบตัวเค้าลงไปนั่งบนตัก
นัยน์ตาสีทองที่คุ้นเคยจ้องคาโอรุจนนิ่งงันราวกับโดนมนตร์สะกด แล้วในช่วงที่กำลังอึ้งอยู่นั้น ร่างสูงก็อาศัยจังหวะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้วแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปลองลิ้มชิมความหอมหวานจากข้างในปาก

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”

พลั่ก!

ฮิโระทุ่มทั้งตัวกระแทกเจ้าคนไร้มารยาทที่บังอาจถือวิสาสะมาลวนลามคนรักของเค้าจนหัวคะมำทิ่มโต๊ะ จากนั้นก็รีบฉุดคาโอรุถอยไปตั้งหลักห่างๆ นัยน์ตาสีทองของนักฆ่าวาวโรจน์ หมัดที่กำแน่นสั่นระรัวเพราะกำลังโกรธจัด
“กล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้ ฮึ! พ่อ!!!!”

พ่อ?

คาโอรุต้องสะบัดหน้าไปฟังให้ชัดอีกรอบ แต่ดูเหมือนมันยังไม่มีแก่ใจจะมายืนยันให้เค้าฟังถึงสิ่งที่หลุดปากพูดออกไป เพราะมัวแต่จ้องหน้าคู่กรณีเขม็ง นัยน์ตาสีทองของอีกฝ่ายก็ท้าทายใช่ย่อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูกะล่อน อ่อนวัยกว่าอายุจริงมาก แถมยังดูเหมือนฮิโระอย่างกะพี่ชายฝาแฝด
‘ใช่แล้วล่ะ… คงเป็นพ่อลูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย’ คาโอรุหาข้อสรุปให้กับตัวเอง
“พูดอะไรแบบนั้นกันเล่าฮิโระจัง นานๆพ่อถึงจะกลับญี่ปุ่น อุตส่าห์มาเยี่ยมลูกถึงที่โรงเรียนเชียวนะ ทักทายกันดีๆหน่อยไม่ได้หรือไง” ผู้ชายคนนั้นโอดครวญ แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความสำนึกผิดสักกะนิด
“โซมะ เรียวเฮ” ฮิโระยกแขนขึ้นมากอดอก แล้วกระทืบเท้าดังป้าบๆเป็นจังหวะ “พูดมาตรงๆเลยดีกว่า ว่านายมาเสนอหน้ามาที่นี่ทำไม”
“ฮิโระจัง นี่พ่อนะลูก” ว่าแล้วก็เริ่มมีการบีบน้ำตาซิกๆให้ดูสมจริงมากขึ้น “ไอ้เรารึก็อุตส่าห์คิดถึงลูกในไส้ ทำไมถึงไม่มีน้ำใจบ้างเลย ฮือๆๆๆ หรือว่าที่ผ่านมาเราสั่งสอนลูกไม่ดี”
“พ่อ!! เลิกทำตัวแบบนี้ซะทีเถอะ ผมอายเค้านะ”
ฮิโระตวาดอย่างเหลืออด แต่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกลับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ นัยน์ตาสีทองหันไปจ้องคาโอรุอย่างหงุดหงิด คนเค้ากำลังเครียดมันยังมีหน้ามายืนหัวเราะอยู่ได้
“นายหัวเราะอะไร พวกฉันตลกนักหรือไง” นักฆ่าทำหน้ามุ่ย
คาโอรุส่ายหน้าพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลพราก และพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ขำมากไปกว่านี้
“เปล่าหรอก… ฉันก็แค่คิดว่าบ้านนายเนี่ยน่ารักดี”
พอเจอคำชมตรงๆ คนที่บ้าจี้อยู่แล้วก็ยิ่งลำพองใจใหญ่ เรียวเฮรีบปราดเข้ามาใกล้ๆ จับมือคาโอรุไว้แน่น
“ใช่มะๆ เธอเองก็คิดแบบนี้ใช่มั้ย”
“พอเลย” ฮิโระปัดมือพ่อออก “ถ้ายังไม่เลิกบ้า ผมจะโทรไปฟ้องแม่ว่าพ่อแอบเหลวไหลมาป่วนผมถึงที่โรงเรียน”
เจ้าลูกบังเกิดเกล้าไม่ขู่เปล่า ยังรื้อโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มยิกๆ และก่อนที่มันจะกดสายโทรออก เรียวเฮก็คว้าข้อมือลูกรักไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“นี่นาย… คิดจะฆ่ากันหรือไง แม่เราน่ะเหมือนชาวบ้านเค้าที่ไหน ทุกวันนี้พ่อยังสงสัยอยู่เลยว่า ‘ริขุ’ เป็นนักฆ่าหรือเป็นนักสืบกันแน่ พ่อทำอะไรเค้าถึงได้รู้ไปหมด”
“ก็พ่อน่ะชอบทำตัวให้แม่ไม่ไว้ใจเองนี่นา เอาแต่ทำตัวชีกอนอกบ้านจีบสาวไปทั่ว แม่เค้าไม่ขอแยกทางก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“โอ๊ย! พ่อไม่ง้อหรอก คนหล่อๆดูดีมีชาติตระกูลอย่างพ่อเนี่ย จะหาแฟนอีกสิบคนก็ยังไหว” คนได้ใจรีบอวดอ้าง จนลูกรักต้องแอบไปแหวะอีกทาง แล้วพูดแทงใจดำจนเรียวเฮเถียงไม่ออก
“ปากก็บอกไม่ง้อเค้า แต่พอเค้าหอบผ้าหอบผ่อนไปรับจ๊อบที่เมืองนอกทีไร ใครกันที่เป็นคนตีตั๋วบินตามไปแทบไม่ทัน ทิ้งลูกให้อยู่บ้านคนเดียวทั้งปี เชอะ!”
ฮิโระลากคาโอรุไปนั่งบนโซฟาอีกฝั่งเพราะยังไม่ค่อยไว้ใจพ่อจอมกะล่อน แต่ก็เชื่อมั่นอยู่อย่างนึงว่า พ่อมาที่นี่ต้องมีเหตุผลสำคัญแน่ ไม่อย่างนั้นร้อยวันพันปีคงไม่คิดถึงลูกในไส้อย่างเค้าหรอก
“พ่อมีธุระอะไรก็บอกมาเถอะ ผมกับคาโอรุไม่ค่อยมีเวลานะ ต้องรีบไปทำงานต่อ”
เรียวเฮนั่งลงฝั่งตรงข้าม ใบหน้านั้นยังคงยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีตลอดเวลา สายตาของเค้าตวัดจ้องมาทางคาโอรุ แล้วทักทายด้วยความเป็นกันเองอย่างที่สุด (แหงล่ะ… กล้าขนาดไปขโมยจูบเค้าแล้วนี่)
“เมื่อครู่ขอโทษนะที่ทำให้เธอตกใจ แต่พอได้เห็นหน้าเธอมันทำให้ฉันนึกถึงชิโอริจนอดใจไม่ได้จริงๆ” คุณพ่อวัยหนุ่มยังมีหน้ามาคร่ำครวญถึงแฟนเก่าต่อหน้าลูกรัก ฮิโระได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วยิ้มแห้งๆ
“ท่านแม่ก็เคยพูดถึงคุณเรียวเฮบ่อยๆ บอกว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”
“ฉันก็กะแล้วว่าชิโอริต้องพูดแบบนี้ ในใจของเธอไม่มีที่ว่างให้ใครอีกแล้วนอกจากเคียว ฉันเองก็ทำใจมาตั้งแต่ตอนที่เค้าแต่งงานกันแล้ว และพอได้มาเจอริขุ ฉันถึงรู้ว่ารักแท้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่หนเดียว”
“นี่พ่อรักแม่จริงๆเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฮิโระส่ายหน้า
เรียวเฮสะบัดหางตามอง แล้วถอนใจให้กับความซื่อบื้อของลูกรัก
“ถ้าฉันไม่รักแม่นาย แล้วจะมีนายออกมานั่งประจานฉันปาวๆอย่างทุกวันนี้เหรอ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปคุยกับอีกคนต่อ “ว่าแต่ตาแก่เคียวพ่อของเธอคงสบายดีนะ”
“ครับ... ก็เรื่อยๆ ช่วงนี้พ่อดูงานยุ่งมาก ผมเองก็ไม่ค่อยเจอพ่อบ่อยนักหรอกครับ อย่างมากก็โทรศัพท์คุยกัน แต่ก็ดูเค้ารีบๆเหมือนติดภารกิจสำคัญอยู่”
เรียวเฮลูบคางทำท่าครุ่นคิด “ไม่แน่… บางทีอาจจะเป็นงานเดียวกับที่ฉันรับอยู่ก็ได้”
“งานอะไร!” สองสหายอุทานพร้อมกัน
“เป็นงานลับที่คนวงในเท่านั้นที่รู้ พ่อมาที่นี่ก็เพราะสาเหตุนี้ อันที่จริงพ่อไม่ควรบอกลูก แต่เพราะกลัวว่าลูกจะตกอยู่ในอันตรายจึงรีบมาเตือนซะก่อน”
ฮิโระกับคาโอรุหันมาสบตากัน งานที่ทำให้พ่อของทั้งคู่หนักใจรับรองได้ว่าต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ งานนี้ไม่ใครก็ใครเตรียมพร้อมลาโลกได้เลย
“เป็นงานอะไรกันแน่ครับ” คาโอรุที่ตั้งสติได้ก่อนเป็นคนถาม
“พวกเธอคงได้ยินชื่อ Death flowers ใช่มั้ย” คำถามจากพ่อที่เปลี่ยนสีหน้าลูกๆให้ยิ่งเครียดจัด “เมื่อสองปีก่อน… ผู้นำองค์กรที่ชื่อ Red Rose ได้หลบหนีออกมา ก่อนหน้านี้เคยมีการส่งคนออกมาตามล่าหาตัว แต่ข่าวคราวก็เงียบหายไปจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ข่าวล่าสุดจากวงในเค้าลือกันว่า Red Rose ได้กลับมาที่โตเกียวแล้ว และยมทูตที่เหลืออีกสองคน White Lily กับ Black Sakura ก็เคลื่อนไหวออกจากองค์กรแล้วด้วย”
ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กิตติศัพท์ความโหดร้ายของพวกนี้แค่ได้ยินชื่อก็สยองแล้ว อย่าคิดถึงขั้นให้ไปพัวพันด้วยเลย เค้าไม่เอาด้วยแน่ๆ
“แล้วยังไงต่อล่ะพ่อ พวกยมทูตอะไรนั่นมันตามล่ากันเอง แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกผมด้วย”
นัยน์ตาสีทองของเรียวเฮเคร่งขรึมและจริงจังกว่าที่เคยเป็น เค้าปราดสายตาไล่มองเด็กทั้งสองทีละคน ก่อนจะตัดใจบอกข่าวสำคัญให้รู้
“ข่าวกรองจากวงในยืนยันว่าตอนนี้ Red Rose อยู่ที่โรงเรียนรินคัง”
“หา!!!”
สองเพื่อนซี้ผุดลุกจากโซฟาพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างเพราะแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามัจจุราชจะอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก
“คะ… ใคร?” ฮิโระกลั้นใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“พ่อเองก็ไม่รู้ เรื่องนี้ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ในเมื่อ Red Rose อยู่ที่นี่ ยมทูตอีกสองคนที่เหลือก็ต้องตามมาในไม่ช้า ถ้าพวกนี้ปะทะกันเมื่อไหร่ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ พ่อถึงอยากมาเตือนให้ลูกๆระวังตัวไว้ ถ้าพบใครที่น่าสงสัยก็ให้อยู่ห่างๆไว้ดีที่สุด”
“นายคิดว่าจะเป็นใคร?” ฮิโระหันไปถามความเห็นจากคาโอรุ ส่วนตัวเองก็ทำท่าคิดแล้วเดาไปเรื่อย “ฉันว่ามันต้องเป็นคนที่ชอบทำตัวแปลกสุดๆ ประมาณว่าเอาแต่เก็บตัวไม่คบใครเลย ว้า… ไอ้คนแบบนี้ในโรงเรียนเราก็มีเยอะซะด้วย แต่อย่างน้อย… ฉันก็ตัดเจ้าไทกิไปได้คนนึงล่ะ”
ฮิโระมั่นใจในตัวเองสุดๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมองข้ามตัวอันตรายไปจังเบ้อเร่อ
“ฉันยังไม่อยากสรุป เพราะคิดว่าใครก็มีสิทธิ์เป็น Red Rose ได้ทั้งนั้น คนที่ถูกฝึกมาอย่างแนบเนียนย่อมแฝงตัวและปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดี ทุกคนในโรงเรียนนี้ก็ล้วนน่าสงสัย แม้แต่ฉันกับนาย”
“เฮ้ย! ฉันเนี่ยนะ นายคิดได้ไงเนี่ย”
“คาโอรุเค้าพูดถูกแล้ว” เรียวเฮสั่งสอนบ้าง “ลูกไม่ควรเชื่อใจใครง่ายๆนะฮิโระ นักฆ่าที่ดีไม่ควรไว้ใจใครนอกจากตัวเอง”
พอเจอคำสอนจากพ่อที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักฮิโระก็จ๋อยสนิท เค้าทำหน้ามุ่ยแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง
“ฉันฝากเธอดูแลลูกชายหัวดื้อของฉันด้วยก็แล้วกันคาโอรุ เพราะดูๆแล้วเธอคงมีแววมากกว่าเจ้าฮิโระซะอีก” ว่าที่คุณพ่อฝากฝังลูกชายตัวเองเสร็จสรรพ “ฉันเองก็งานยุ่ง รบกวนพวกเธอนานแล้ว คงต้องกลับซะที”
เรียวเฮหยิบหมวกคาวบอยขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าหอโดยมีลูกๆตามไปส่ง
“แล้วพ่อจะมาอีกเมื่อไหร่”
ลูกชายหัวดื้อถามเสียงอ่อย อันที่จริงก็คิดถึงพ่อแต่ก็แกล้งฟอร์มจัดไปอย่างนั้นเอง เรียวเฮแอบอมยิ้มแล้วขยี้หัวลูกชายหนักๆ
“พ่อจะมาเมื่อถึงเวลา อีกไม่ช้าเราคงได้พบกันอีกแน่ รวมทั้งตาแก่เคียวด้วย”
เรียวเฮทิ้งท้ายก่อนจะจากไปอย่างรีบร้อน แถมข่าวที่บอกก็ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ในไม่ช้าความกังวลทั้งหลายก็ถูกแทนที่ด้วยงานที่กองพะเนินเทินทึก จากนั้นทั้งคาโอรุและฮิโระก็ไม่เคยพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับ Red Rose อีกเลย

บรรยากาศข้างนอกร้อนระอุ แต่ดูเหมือนในสภาพิเศษจะยิ่งระอุมากกว่า นอกจากงานที่กองท่วมหัวแล้ว สมาชิกก็ร่อยหรอลงไปจนน่าใจหาย
“นี่เป็นเอกสารสุดท้ายที่ต้องเซ็นครับ”
มาซาฮิโกะยื่นแฟ้มงานอันสุดท้ายให้โนะอิเซ็นรับรอง รุ่นพี่รับมาเซ็นอย่างเหม่อลอย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับข่มตาลงช้าๆ
“ยังไม่ได้ข่าวมิสึกิอีกเหรอ?” หัวหน้าซีเนียร์เปรยถาม
มาซาฮิโกะหันไปสบตากับซุยที่นั่งทำงานเงียบๆอยู่บนโต๊ะ ไทกิเองก็คอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพราะตั้งแต่กลับมาจากเกียวโตก็ไม่ได้พบมิสึกิอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าเค้าหายไปไหน ไม่มีร่องรอยให้ตามสืบ บางที… พี่มิสึกิอาจจะติดงานขององค์กร แต่อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงแบบนี้
“ยังครับ” มาซาฮิโกะตอบแผ่วเบา ปกติเค้าเป็นฝ่ายหาข่าวและมักจะไม่พลาด แต่คราวนี้มันเกินความสามารถจริงๆ อย่างกับว่าอยู่ดีๆมิสึกิก็อันตรธานหายไปโดยไม่มีสาเหตุ
“มิสึกิไม่เคยเหลวไหล ถ้าจะไปไหนก็ต้องบอก แล้วทำไมคราวนี้ถึงไม่บอกใครเลย” ซุยเองก็กังวลไม่แพ้กัน
“เอาน่า… เค้าอาจจะหนีไปพักร้อนก็ได้ ก็เราทิ้งงานให้เค้าทำตั้งเยอะ เค้าก็คงจะเบื่อ เลยหนีไปเที่ยวล่ะมั้ง” ไทกิช่วยกลบเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อย ถ้าเกี่ยวข้องกับงานขององค์กรจริงๆ มิสึกิก็คงไม่บอกใครไว้หรอก
“ฉันว่าเราน่าจะออกตามหา…”

กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โนะอิยังพูดไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ประจำสภาก็ดังขึ้น ทุกคนเหลียวมองไปที่จุดเดียวกัน สบตากันอยู่สักพักก็ต้องเป็นคนที่อาวุโสน้อยที่สุดในห้องเป็นคนลุกไปรับโทรศัพท์
ไทกิทำหน้าเซ็งๆ แล้วยกหูขึ้นมารับสาย
“สวัสดีครับ… ที่นี่ห้องสภาสมาชิกพิเศษ”
“ท่านไทกิใช่มั้ยคะ?”
เสียงที่ตอบกลับมาทางปลายสายเบามาก เบาจนเค้าต้องแนบหูเข้ามาชิด แล้วเบือนหน้าออกไปสนทนาอีกทางเพื่อไม่ให้พวกพี่ๆเห็น
“เธอเป็นใคร?” ไทกิถามเสียงเข้ม มีไม่กี่คนหรอกที่จะเรียกเค้าว่า ‘ท่าน’ อย่างน้อยก็จำกัดวงได้ว่าต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรแน่ๆ
“ดิฉันไม่มีเวลาอธิบาย ตอนนี้กำลังถูกจับตาดูอยู่ ท่านไทกิช่วยมาที่โรงแรมโกลเด้นเบย์ได้มั้ยคะ ดิฉันจะรอที่ลอบบี้ ใช้สัญลักษณ์ดอกเดซี่สีส้ม ช่วยมาให้เร็วที่สุดด้วยนะคะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!!”

ตรู๊ดดดดดด……….

ทางปลายสายวางไปเรียบร้อย โดยไม่เปิดโอกาสให้เค้าถามสักนิด
“ใครโทรมาเหรอ?” ซุยที่จับตาดูอยู่เปรยถาม
“อ๋อ… พวกชมรมกรีฑาที่โดนตัดงบประมาณโทรมาโวยน่ะ พอด่าจบปุ๊บก็วางหูเลย ไม่มีอะไรหรอก” ไทกิรีบหาข้ออ้าง “พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ ขอออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
“ให้ฉันไปด้วยมั้ย” ซุยจะลุกตาม แต่ก็โดนห้ามไว้
“ไม่ต้องหรอก นายอยู่เคลียร์งานต่อเถอะ ฉันไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว” ว่าแล้วก็รีบชิ่งก่อนที่จะโดนตื๊อไปมากกว่านี้ มิสึกิหายตัวไปคนนึงแล้ว เค้าไม่อยากให้ซุยต้องมาเกี่ยวข้องกับคนในองค์กรอีก

ไทกิใช้รถไฟเดินทาง เพราะการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากจะทำให้พวกมันลงมือได้ยากขึ้น เค้าชินกับการพรางตัวอยู่แล้วจึงสามารถเดินทางมาถึงโรงแรมโกลเด้นเบย์ได้โดยสวัสดิภาพ เค้าแหงนหน้ามองโรงแรมหรูอีกครั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นกับดัก แต่มันเป็นทางเดียวที่เค้าจะได้เบาะแสของพี่มิสึกิ จึงคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
อย่างน้อย… พวกนั้นคงไม่กล้าลงมืออุกอาจกับผู้นำอย่างเค้าหรอก
ไทกิเดินเข้าไปในลอบบี้ ในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักธุรกิจ เศรษฐี และชนชั้นสูง เค้ากวาดสายตาไปทั่ว จนไปสะดุดเข้ากับสาวสวยในชุดพนักงานต้อนรับกลัดดอกเดซี่ไว้ที่หน้าอก
เธอคนนั้นพยักหน้าให้ไทกิ ก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟท์ ทำเหมือนเป็นงานบริการแขกตามปกติเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไทกิเดินตามไปเงียบๆ พยายามไม่เหลียวมองรอบตัวทั้งที่รู้สึกว่ากำลังมีคนจับตามองอยู่ สองคนมาอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันแล้ว ยังมีลูกค้าของโรงแรมอีกสองคนอยู่ในนั้นด้วย ลิฟท์ตัวนี้เลื่อนขึ้นไปถึงชั้น 18 ที่ลูกค้าเลือกไว้ จากนั้นพอเหลือกันลำพังสองคน ลิฟท์ก็ถูกล็อก ผู้หญิงคนนั้นกดรหัสลับ แล้วลิฟท์ก็ลงรวดเดียวจนถึงชั้นใต้ดิน
“เธอเป็นใครเหรอ?”
ไทกิถาม เพราะชั้นนี้คงสร้างมาเป็นพิเศษเพื่อคนในองค์กรโดยเฉพาะ คนนอกไม่มีทางเข้ามาได้แน่
“ดิฉันชื่อ ยูอิ เป็นหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายยมทูตดำค่ะ”
“ยมทูตดำ… ก็คนของพี่มิสึกิน่ะสิ” ไทกิทำเสียงตื่นเต้น “ดีเลย ฉันกำลังอยากรู้ข่าวของเค้าพอดี”
ยูอิหน้าซีดสนิท ทำหน้าหนักใจอย่างที่สุด
“ค่ะ… ดิฉันยอมเสี่ยงตายเรียกท่านไทกิมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์ป้อนรหัสเปิดประตูลับชั้นสุดท้าย แล้วเดินนำหน้าไปที่เตียงใหญ่ซึ่งมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงรยางค์ เสียงจากมอนิเตอร์คลื่นหัวใจดังสลับกับเสียงเครื่องช่วยหายใจเป็นระยะ หัวใจของไทกิหล่นวูบ ถึงจะยังเห็นไม่ชัดว่าใครที่นอนอยู่ที่เตียง แต่ความกลัวก็บอกเค้าว่านั่นอาจเป็นคนที่เค้ากำลังตามหาอยู่
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ…
ร่างสูงที่เคยสดใส ตอนนี้กลับซูบผอมและซีดสนิท ขนาดมีเลือดห้อยเติมอยู่ทั้งสองแขนก็ยังไม่อาจช่วยให้สีหน้าที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวามีสีเลือดกลับคืนมาได้ ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ราวกับจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“พี่มิสึกิ!!!”
ไทกิโผเข้าไปที่เตียง มือคว้ากอดแขนที่เย็นเฉียบเอาไว้แน่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุด ความเสียใจทะลักทะลายท่วมท้นอย่างไม่อาจจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้
“ใคร!!! ใครกันที่มันทำกับพี่มิสึกิแบบนี้!!!”
ไทกิสะบัดหน้ากลับไปถามองครักษ์สาว มือที่สั่นเทาก็ชี้ไปยังดอกลิลลี่เปื้อนเลือดที่ปักไว้ในแจกัน
“เซกิ…”
ไทกิไม่อยากเชื่อ ถึงจะคิดตามเหตุผลว่าคนที่จัดการกับซากุระได้ นอกจากเค้าแล้วก็คงจะมีแต่ลิลลี่เท่านั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ามันจะกล้าลงมือกับพวกเดียวกัน
“เซกิทำแบบนี้ทำไม”
“ดิฉันก็ไม่ทราบ… เมื่อหกวันก่อนดิฉันไปพบท่านมิสึกิที่โรงเรียนเพื่อรายงานการเคลื่อนไหวของลิลลี่ แต่พอคล้อยหลังไปนิดเดียว ดิฉันก็ได้ยินเสียงน้ำในทะเลสาบจึงย้อนกลับไปดู พบมีแต่เลือดกับดอกลิลลี่ดอกนี้ จึงรีบเรียกพรรคพวกที่เหลือให้ลงไปดูในทะเลสาบ แล้วก็พบ… ท่านมิสึกิจมอยู่ในนั้น ที่กลางหลังของท่านยังมีดาบเล่มนี้ปักอยู่เลยค่ะ”
ยูอิยื่นมีดสีเงินปลาบสลักลายดอกลิลลี่ที่ด้ามจับให้ไทกิรับไปดู ไม่ผิดหรอก… เป็นฝีมือมันแน่ๆ
“นายทำแบบนี้ทำไมเซกิ นายทำร้ายมิสึกิทำไม” ไทกิกำมีดเล่มนั้นไว้แน่น
“ท่านไทกิคะ” มืออุ่นๆขององครักษ์สาวเอื้อมมาแตะไหล่ “เป้าหมายต่อไปของลิลลี่ต้องเป็นท่านไทกิแน่ๆ ดังนั้นท่านเองก็ต้องระวังตัวให้มากนะคะ”
“ให้มันมาเลย!! ฉันโกรธจนสุดจะทนแล้ว เซกิทำร้ายฉัน ฉันยังไม่เสียใจมากขนาดนี้ เพราะฉันเคยทำร้ายจิตใจเค้ามาก่อน แต่นี่มิสึกิผิดอะไร ทำไมต้องลงมือโหดขนาดนี้ด้วย มันกะจะฆ่ากันชัดๆ”
ไทกิกำหมัดแน่น ยิ่งพอเบือนหน้ากลับไปมองมิสึกิที่นอนหลับไม่ได้สติก็ยิ่งเสียใจ
“แล้วตอนนี้อาการของเค้าเป็นไงบ้าง?”
“ก็สาหัสเอาการค่ะ… หมอบอกว่าต้องรอให้ท่านมิสึกิฟื้นซะก่อนถึงจะประเมินได้แน่ชัด แต่ตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน หนึ่งสัปดาห์มาแล้วที่ท่านยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งใดเลย” ยูอิรายงาน
ไทกิทิ้งตัวลงข้างเตียง เอามือพี่ชายร่วมองค์กรมากุมไว้แน่น “ฉันฝากเธอดูแลพี่มิสึกิด้วยนะ บอกให้หมอรักษาอาการเค้าให้ดีที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้พี่มิสึกิฟื้นให้ได้ ส่วนเรื่องลิลลี่…” ไทกิถอนใจอีกเฮือก ดูท่าการเผชิญหน้ากันคราวนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนรอบตัวก็ต้องเจ็บเพราะเค้าอีก
“ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ฉันจะจัดการมันด้วยตัวฉันเอง”
ท่านผู้นำทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะจากไปเพื่อให้มิสึกิได้พักผ่อน
ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มเพราะมีฝนพรำ ท้องฟ้าในวันนั้น… วันที่หนีออกมาจากองค์กร ก็เป็นท้องฟ้าที่ชวนหดหู่แบบนี้เช่นกัน

“ไทกิ… กลับมาแล้วเหรอ?”
ซุยเป็นคนแรกที่ทัก ทันทีที่ประตูห้องสภาสมาชิกพิเศษถูกเปิดออก แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพรุ่นน้องตัวแสบกลับมาตัวเปียกมะลอกละแลก แถมหน้าตายังเศร้าเหมือนจะเดินร้องไห้มาตลอดทาง
“นายเป็นอะไรไป!” ซุยรีบฉุดตัวเข้ามาถาม แล้วถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมให้
นัยน์ตาสีหวานของกุหลาบแดงเงยขึ้นมา น้ำตายังไหลคลอเบ้า ก่อนจะโถมร่างทั้งร่างกอดซุยจนแน่น
“ฉะ… ฉัน ฮือๆๆๆ ฉันเจอพี่… พี่มิสึกิแล้ว ฮือๆๆๆๆ”
“อะไรนะ!!” กลายเป็นพี่โนะอิที่รีบปราดเข้ามาถามต่อ แถมไม่สนใจคนกำลังเศร้า กระชากตัวมันออกมาจากอ้อมแขนซุยซะงั้น “นายเจอมิสึกิที่ไหน?”
“ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้ พี่มิสึกิกำลังรักษาตัวอยู่ ถ้าคนอื่นรู้ว่าอยู่ที่ไหนเค้าอาจจะเป็นอันตรายได้” ไทกิปฏิเสธ แต่ยิ่งทำให้คนที่ร้อนใจอยู่แล้วเลือดขึ้นหน้า
“พูดแบบนี้คิดจะกวนฉันใช่มั้ย บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าหมอนั่นอยู่ที่ไหน แล้วมันเป็นอะไร!!”
“บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้ นายจะมาคาดคั้นฉันทำไม!!”
คู่ปรับเก่ากำลังจะกัดกันกลางห้อง คนกลางเลยต้องรีบจับทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน ซุยส่งโนะอิให้มาซาฮิโกะ ส่วนตัวเองก็กำราบไอ้ตัวแสบให้เลิกคลั่งซะที
“ตอนนี้ทุกคนกำลังสับสนนะไทกิ นายเองก็ต้องใจเย็นๆ บอกแค่เรื่องที่พอบอกพวกเราได้ก็พอ”
ไทกิก้มหน้านิ่ง ไม่ใช่เค้าไม่อยากบอกเพราะรู้ว่าทุกคนก็คงเป็นห่วงมิสึกิไม่แพ้กัน แต่ไม่รู้จะบอกยังไงมากกว่า
“ฉันขอเวลานะซุย อย่าเพิ่งคาดคั้นอะไรจากฉันเลย” ไทกิปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะหลบไปทำใจอีกทาง
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 28-03-2008 13:36:39
24 ต่อ

“นายมันเห็นแก่ตัวมากรู้มั้ย”
เสียงอุทธรณ์จากอีกคนที่กำลังจะขาดใจตายเพราะไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองห่วงหาเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ทำให้ทุกคนหันกลับไปมองอีกครั้ง หยาดน้ำตาหิมะ… ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ทำให้ทุกคนยิ่งสะเทือนใจ
“นายคิดว่าตัวเองห่วงมิสึกิคนเดียวหรือไง คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยหรือไงที่จู่ๆหมอนั่นก็หายตัวไปแบบนี้ ฉันไม่รู้นายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เคยคิดบ้างมั้ยถ้าปุบปับหมอนั่นเป็นอะไรไป พวกเราที่เหลือจะรู้สึกยังไง ในเมื่อไม่มีโอกาสแม้แต่จะดูใจเค้าด้วยซ้ำ”
โนะอิระบายอารมณ์ใส่ไทกิอย่างเหลืออด แค่ต้องมานั่งกังวลว่ามันหายไปไหน ความรู้สึกก็แย่จนสุดจะทนแล้ว นี่ยังมาได้ยินข่าวร้ายให้ต้องห่วงหนักขึ้นไปอีก แล้วเค้าทำอะไรได้บ้าง นอกจากต้องมานั่งรออย่างสิ้นหวังแบบนี้
“ฉันจะพาไปเอง” ไทกิเปรยเสียงแผ่วเบา “ฉันจะพาพวกนายไปหามิสึกิ แต่ช่วยเตรียมใจไว้ด้วยนะ เพราะพอพวกนายเห็นสภาพเค้าอาจจะคลั่งเหมือนอย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ก็ได้”
รุ่นน้องเดินนำหน้าไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก การพาคนมากมายเดินทางไปคราวนี้อาจทำให้พวกมันรู้ตัว แต่เค้าก็เชื่อมั่นว่าเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกคนพร้อมใจจะปกป้องมิสึกิเหมือนอย่างที่เค้าอยากปกป้อง
‘ขอให้นายออกมาเถอะ… เซกิ เพราะฉันนี่แหละ จะเป็นคนตัดสินทุกอย่างเอง’

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เหล่าสมาชิกที่เหลืออยู่ตกใจจนพูดไม่ออก บนฟูกหนานุ่มมีร่างเพื่อนรักทอดกายสงบนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าซึ่งยามปกติจะเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา หากบัดนี้กลับปราศจากสีเลือดโดยสิ้นเชิง ดวงตาซึ่งเคยส่องประกายเฉกเช่นแสงแห่งดวงอาทิตย์ก็พริ้มหลับราวกับจะไม่มีวันตื่นขึ้นอีกชั่วกัปกัลป์
โนะอิทรุดฮวบลงข้างเตียง คว้ามือที่ครั้งนึงเคยจาบจ้วงล่วงเกินเอามากุมไว้แน่น

…มือหยาบกระด้างยังคงอบอุ่น…

นั่นคงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงสัญญาณแห่งชีวิต นอกเหนือจากลมหายใจที่รวยระรินลงทุกขณะ มีหลายครั้งที่ลมหายใจแผ่วเบาได้ขาดหายไปบางช่วง เสียงชีพจรจากเครื่องมอนิเตอร์ก็ดังแผ่วจนน่าใจหาย
“เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าซีเนียร์หันกลับมาถามน้องปีหนึ่ง แม้แต่พวกปีสองที่คิดว่าตัวเองทำใจได้ก็ยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไทกิเลยหน้าแล้วกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
“ฉันคงบอกพวกนายไปมากกว่านี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าคนที่ทำร้ายพี่มิสึกิ มันเป็นคนที่ร้ายกาจมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว รับรู้แค่นี้ก็พอแล้ว เพื่อความปลอดภัยของพวกนายเอง”
“แค่นี้เองเหรอสิ่งที่นายอยากอธิบาย!” โนะอิตวาดอย่างเหลืออด “มิสึกินอนเจ็บขนาดนี้ นายยังจะปิดบังพวกเราไปเพื่ออะไรอีก”
“ได้! ถ้านายอยากสู่รู้มากขนาดนั้น ฉันก็จะบอก” รุ่นน้องมันก็บ้าจนสุดจะทนแล้วเหมือนกัน ดี… เค้าเองก็อึดอัดใจมานานแล้วที่ต้องปิดบังฐานะตัวเอง บอกกันให้รู้ชัดๆไปเลยก็ดี หมอนี่จะได้เลิกตอแยกับเค้าอีก
“อย่านะ… ไทกิ” ซุยพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้มันยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลย เพราะทันทีที่เค้าเอื้อมมือไปจับไหล่ มันก็รีบสะบัดตัวหนีทันที
“ฉันคือหนึ่งในสามยมทูตของ Death flowers ฉายา Red Rose ส่วนคนที่นอนหมดสติอยู่นั่นก็คือ Black Sakura เพื่อนร่วมองค์กรของฉันเอง และคนที่ทำร้ายเค้าก็คือยมทูตคนสุดท้าย… White Lily แค่นี้ชัดเจนพอมั้ย”
คำเฉลยจากปากเด็กสามหาว ทำเอารุ่นพี่อึ้งไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งซุย เพราะเค้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนซี้ที่คบกันมาตลอดสองปี ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสามยมทูต มาซาฮิโกะแอบหนีไปช็อกเงียบๆนอกห้อง ส่วนโนะอิ… ตอนแรกก็ดูท่าทางจะตกใจไม่น้อย แต่พอหันกลับมาดูร่างคนไร้สติอีกครั้ง เค้าก็ถอนใจเบาๆแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเข้าหูเลย
“เอาล่ะ… ตอนนี้นายก็รู้ความจริงแล้ว คิดจะทำไงต่อ” รุ่นน้องยังยั่วโมโหไม่เลิก
“เรื่องของนายฉันไม่อยากรู้” โนะอิเลี่ยงประเด็นไปซะดื้อๆ “ตอนนี้ขอแค่ให้หมอนี่ฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว ส่วนใครจะเป็นจะตายฉันไม่สน”
“ไม่สน… หรือไม่กล้ายุ่งกันแน่”
“พอแล้วน่าไทกิ!” ซุยต้องรีบปราม ก่อนที่มันจะแผลงฤทธิ์ปากหมาไปมากกว่านี้ “ออกมาข้างนอก ฉันคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” ว่าแล้วก็รีบลากไอ้ตัวยุ่งออกมา ก่อนที่ห้องคนป่วยจะระเบิด

โนะอิยังคงกุมมือคนป่วยไว้ไม่คลาย ว่าไปแล้ว… คำพูดของไอ้เด็กแสบนั่นจะไม่เก็บมาคิดเลยก็ไม่ได้ เพราะไม่ว่าครอบครัวไหนในวงการมืดก็ต้องสั่งสอนลูกหลานไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับองค์กรนรกนี่ทั้งนั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าตัวอันตรายจะมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก คนนึงเป็นคู่ปรับที่โค่นไม่ลง ส่วนอีกคน… ก็เป็นคนสำคัญที่จะปล่อยให้ตายไม่ได้
“มิสึกิ… ตื่นขึ้นมาเถอะนะ ได้โปรด”
รุ่นพี่กุมมือหยาบใหญ่มาประทับไว้บนแก้ม พลันทอดถอนใจด้วยความสิ้นหวัง สัญญาณชีวิตของหมอนี่แผ่วลงทุกทีแล้ว ครั้นเมื่อถึงที่สุดก็ไม่อาจฝืนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
หยาดน้ำตาวาวใสราวอัญมณีล้ำค่า… ไหลรินกระทบลงบนฝ่ามือใหญ่ ไออุ่นแผ่ซ่านผ่านผิวที่เย็นชืด ลมหายใจที่ขาดห้วงไปก็กลับชัดเจนขึ้นมาอีกครา จนในที่สุดปลายนิ้วเรียวก็เริ่มขยับ และเกาะกุมประสานกับมือบอบบางนั้นฉับพลัน!
โนะอิสะดุ้งสุดตัว เพียงอึดใจแรกที่เงยหน้าแล้วพบกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มซึ่งกำลังจ้องมองเค้าอยู่ เค้าก็เผลอคว้าร่างคนป่วยเข้ามาสวมกอดด้วยความดีใจเป็นที่สุด
มิสึกิยังคงอยู่ในอาการงงงัน ความรู้สึกแรกเมื่อตื่นขึ้นคือปวดร้าวไปทั้งร่าง และมีใครบางคนกำลังกอดเค้าอยู่ มิสึกิพยายามฝืนเพ่งมองผ่านดวงตาที่พร่ามัว ก็รู้ว่าเป็นรุ่นพี่คนเก่งของเค้านั่นเอง มือที่เย็นชืดเอื้อมมาลูบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง แม้ใบหน้าจะไร้สีเลือดแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้อย่างอบอุ่นที่สุด
“ตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่ร้องไห้สักครั้ง แล้วคราวนี้เพราะอะไรที่ทำให้รุ่นพี่คนเก่งของผมถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาได้”
“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเพราะอะไร ก็เพราะนายนั่นแหละ” โนะอิมองหน้าคนป่วยแล้วก็ตัดพ้อ “เคยคิดบ้างมั้ยว่าถ้านายตายไปแล้วฉันจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”
“ก็ผมไม่รู้นี่ว่าผมจะมีค่ามากขนาดนั้น” มิสึกิยิ้มบางๆ “ที่ผ่านมาผมอยู่คนเดียวมาตลอด ผมก็เลยไม่เคยคิดมาก่อนว่าถ้าผมตายจะมีคนร้องไห้เพื่อผมด้วย”
มือเย็นๆของเจ้าชายน้ำแข็งกุมมือคนป่วยไว้แน่น ที่ผ่านมาไม่เคยรู้… เพราะมัวยึดติดกับความหลงใหลในความรักที่ไร้ตัวตนกับซุย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรที่มีค่ากับชีวิตมากที่สุด และจะไม่มียอมสูญเสียไปอีกแล้ว เป็นครั้งแรกจริงๆที่โนะอิอยากจะแย่งชิงและรักษาบางสิ่งบางอย่างเอาไว้กับตัวตลอดไป
“นายไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่นายคิดหรอกนะมิสึกิ อย่างน้อยนายก็ยังมีเพื่อน และก็ยังมี…” ถึงตอนนี้รุ่นพี่ก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก แก้มที่ขาวสนิทก็เริ่มจะติดสีระเรื่อ
“มีพี่ด้วยใช่มั้ย”
 คนหน้าด้านเป็นฝ่ายพูดซะเอง แล้วก็รุกต่อโดยการดึงร่างบางลงมากอดไว้แน่น
“พี่คงไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาผมอิจฉาเจ้าซุยมันแค่ไหน พี่มองมันคนเดียวโดยที่ไม่ยอมมองใครคนอื่นเลย จนผมเองยังตัดใจแล้วว่าถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างเรียนจบและจากกันไป เราก็คงเป็นได้แค่เพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น แต่ถ้าตอนนี้… ความรู้สึกของเราตรงกัน ผมก็อยากให้พี่อยู่เคียงข้างผม อยู่ด้วยกันตลอดไป เติมเต็มความเหงาให้กันและกัน เพื่อจะได้ไม่มีใครที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีก”
รุ่นพี่ฟังแล้วตื้นตันจนพูดไม่ออก นั่นสินะ… ที่คิดว่ารักซุย อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้างก็ได้ แต่ตอนนี้เค้าไม่ต้องแสวงหาอีกต่อไปแล้ว เพราะ ‘ใครคนนั้น’ อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง
“ฉันเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ยิ่งได้รู้ข่าวว่านายเจ็บหนักฉันก็แทบคลั่ง ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านั่นจะเป็นความรักหรือเปล่า เพียงแต่… ฉันไม่อยากจะเสียมิสึกิไปอีกแล้ว”
แขนเพรียวกอดตอบรับ ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ จะใช่ความรักหรือไม่ไม่สำคัญ รู้เพียงอย่างเดียวว่าอยู่ตรงนี้แล้วอบอุ่นใจที่สุด
คนหน้าด้านยิ้มพราย ก่อนจะกระซิบเสียงที่ทำให้คนหน้าบางถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแดงก่ำ
“งั้นถ้าผมหายแล้ว เราค่อยมาต่อจากคราวที่แล้วนะครับ”
มิสึกิขอดื้อๆ แต่โนะอิพูดอะไรไม่ออก นี่ขนาดมันป่วยปางตายยังมีหน้ามาพูดอะไรทะลึ่งๆแบบนี้อีก ไม่เจียมตัวเลยจริงๆ ให้ตายสิ…
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะมิสึกิ แล้วฉันจะพิจารณาเรื่องระหว่างเราอีกที”
“ผมน่ะรอดอยู่แล้ว พี่ไม่รู้เหรอว่าผมดวงแข็งแค่ไหน ไม่งั้นป่านนี้คงไปเซย์ฮัลโหลกับยมบาลแล้วล่ะ”
“อย่ามาพูดเรื่องตายต่อหน้าฉันอีกนะ” โนะอิทำเสียงเครียดจัด “ไม่รู้จักเป็นห่วงตัวเอง ก็ควรห่วงความรู้สึกคนอื่นบ้าง”
“ทำไม… กลัวต้องมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วไม่มีคนปลอบใจเหรอ”
“มิสึกิ!!” โนะอิตวาดไปอีกรอบ “ถ้ายังไม่เลิก ฉันจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
โนะอิลุกหนี ลองมันกวนโอ๊ยได้ขนาดนี้แสดงว่าคงไม่ตายแน่ๆ แต่คนตื๊อก็ยังตื๊ออยู่วันยังค่ำ มันยังฉุดข้อมือรุ่นพี่ไว้แน่น แล้วกระชากลงไปกอดอีกครั้ง
“อยู่ต่อเถอะ… ผมอยากให้พี่อยู่ด้วย จะได้รู้สึกว่ามีกำลังใจที่จะหายเร็วๆ”
มิสึกิได้ทีก็อ้อนใหญ่ ความสุขใจที่ได้รับแม้แต่ความตายก็พรากมันไปจากเค้าไม่ได้ มือที่ลูบไล้เริ่มแผ่วลง เสียงลมหายใจก็ราบเรียบและเป็นจังหวะ จนคนที่ถูกกระชากลงมาเคลิ้มชักเอะใจ และพอเงยหน้ามองอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าคนหน้าด้านหลับปุ๋ยสบายใจเฉิบไปแล้ว
“โธ่เอ๊ย! นาย…”
โนะอิไม่รู้จะดุยังไง ก็มันหลับไปแล้วนี่ ถึงวีนไปก็คงไม่เข้าหู ก็เลยได้แต่จัดท่าให้คนป่วยได้นอนหลับให้สบายที่สุด จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆคอยกุมมือไว้ตลอด ไม่ว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกกี่ครั้งก็จะพบเค้าอยู่เคียงข้างเสมอ
“ฉันรักเธอนะ มิสึกิ”
เสียงกระซิบที่บอกคิดว่าคนหลับคงไม่รู้ ก่อนจะจุมพิตนิทราแผ่วเบา แล้วฟุบหน้าลงข้างๆเพื่อพักผ่อนหลังจากผ่านคืนวันที่ทุกข์ทรมานมายาวนาน
ในความเงียบ… คนเจ้าเล่ห์ค่อยๆลืมตาแอบมองคนข้างๆ คำทุกคำ การกระทำทุกอย่างเค้ารับรู้หมดแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆหลับตาลงแล้วซึมซับกับฝันหวานตลอดทั้งคืน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-03-2008 15:48:25
มาคราวนี้ ยาวสะใจจิงๆ สงสัยตอนต่อๆไปต้องมันส์แน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Turn_righT ที่ 28-03-2008 23:21:01
สนุกสุดๆ  o13
เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:36:22
 :m22:Chapter 25 New Student

“บอกตรงๆนะ… ตอนที่เห็นสภาพนายครั้งแรก ฉันคิดว่านายจะเดี้ยงไปจริงๆซะแล้ว”
คนเฝ้าไข้กัดคนป่วยได้อย่างร้ายเหลือ จนมิสึกิต้องแก้เครียดด้วยการกัดแอปเปิ้ลแล้วเคี้ยวดังกร้วมๆ
“ปากนายเหรอนั่นซุย เห็นเพื่อนเจ็บแล้วยังมาแช่ง มิน่าตอนที่หลับอยู่ถึงฝันร้ายตลอด”
“เอาน่า… ตอนนี้นายฟื้นก็ดีแล้ว กินเข้าไปเยอะๆจะได้หายไวๆ แล้วกลับไปช่วยฉันทำงานต่อไง”
ซุยส่งแอปเปิ้ลสีแดงสดไปให้อีกลูก แต่คราวนี้คนป่วยเอาไปถือไว้ดูเล่นเฉยๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“นายคงรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นใคร”
คำถามเรียบง่าย แต่ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาฉับพลันจนต่างฝ่ายต่างก็อึดอัด แล้วก็เป็นคุณชายสายน้ำอีกเช่นเคยที่เป็นคนคลายความขัดข้องใจทั้งมวล
ไหนๆก็ไหนๆ มีคนรักเป็นยมทูตแล้ว มีเพื่อนรักเป็นยมทูตอีกสักคนจะเป็นไรไป
“ฉันก็เพิ่งรู้จากไทกิ แต่ฉันก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ นายเป็นคนมีความสามารถรอบตัว แถมยังอ่านคนเก่ง ถ้าไม่ใช่สิถึงแปลก”
“งั้นเชียว” มิสึกิแอบอมยิ้ม “เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่นายชมฉัน”
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
เสียงที่สามดังมาจากประตูหน้าห้อง มันอาศัยบารมีเจ้าของที่ถือวิสาสะผลักประตูเข้ามาดื้อๆโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงก่อน
“เสร็จงานแล้วเหรอครับคุณไทกิ” มิสึกิทักเป็นคนแรก
“อืม…” รุ่นน้องพยักหน้า “เพิ่งเจอตัว ‘วายะ’ หัวหน้าองครักษ์แดง ฉันเลยฝากให้ช่วยตามข่าวของเซกิ พี่มิสึกิไม่ต้องห่วงนะ คนของฉันจะช่วยคุ้มกันที่นี่อย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็คงกันพวกองครักษ์ฝ่ายขาวไม่ให้คาบข่าวไปบอกเซกิได้”
“เซกิคงไม่สนใจผมแล้วล่ะครับ ก็เป้าหมายจริงๆของเค้าคือคุณไทกินี่นา”
คำบอกเล่าตรงๆที่เล่นงานเพื่อนซี้จนเครียดจัด แต่พวกยมทูตกลับทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จู่ๆก็มีคนถือมีดมาตามฆ่า ไอ้พวกนี้มันใช้ชีวิตกันยังไงนะ ไม่เคยคิดจะกลัวตายบ้างเลยหรือไง คิดแล้วซุยก็ได้แต่กุมขมับดับอารมณ์เครียดไปพลางๆ
“วันนี้ฉันว่างทั้งวัน ลาอาจารย์ชิงุเระมาแล้วด้วย จะอยู่เฝ้าไข้พี่มิสึกิเอง ซุยกลับไปเรียนเถอะ นายน่ะยังเหลืองานของสภาค้างไว้ตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ ปล่อยพี่โนะอิทำอยู่คนเดียว เดี๋ยวแกก็งอนอีกหรอก”
มันได้ทีก็รีบไล่ จนคนที่อดทนนั่งหลังขดหลังแข็งป้อนข้าวป้อนน้ำคนป่วยทั้งวันแอบเขม่นตาค้อน
“งั้นฉันกลับก่อนนะ พวกนายก็อย่าสุมหัววางแผนก่อเรื่องอีกล่ะ อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นห่วง”
ซุยต้องปรามไว้ก่อน เพราะไม่เชื่อน้ำหน้าสักเท่าไหร่ว่าพวกมันจะยอมอยู่เฉยๆ รอรับอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย จากนั้นก็ยอมเก็บของแล้วกลับไปที่โรงเรียน

เช้าวันนี้อากาศดูอึมครึมผิดปกติ… คงเพราะมีเมฆฝนตั้งเค้าตั้งแต่เช้า ซุยเป็นหัวหน้านำชั่วโมงโฮมรูม จนถึงเก้าโมงเช้าอาจารย์ประจำชั้นก็เข้ามา แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวัน เพราะยังมีนักเรียนใหม่อีกคนเดินตามอาจารย์เข้ามาด้วย
เด็กหนุ่มคนนั้น… ทำให้เพื่อนๆทั้งห้องตะลึงตั้งแต่แรกเห็น ร่างนั้นสูงเอาการ ผิวขาวสนิท หน้าตาใสหมดจด ผมสีบลอนด์เงินดูยุ่งนิดๆ ทั้งจมูกทั้งปากสวยได้รูป แต่ที่ชวนมองที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาสีน้ำตาลอมแดงที่ทั้งสวยและน่าเกรงขาม เค้าปราดมองทุกคนทั่วห้อง ก่อนจะโค้งให้ซุยที่ยังยืนนำโฮมรูมอยู่หน้ากระดาน
“เอาล่ะจ้ะ… วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก”
อาจารย์มิกะ… อาจารย์ประจำวิชาสังคมศาสตร์ และเป็นอาจารย์ประจำชั้นของปี 2 ห้อง 1 แนะนำนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนวันแรก
“เด็กคนนี้เพิ่งย้ายมาจากชิกะ ชื่อของเค้าก็คือ…”
อาจารย์หันไปทางนักเรียนใหม่ อาการขี้ลืมกำเริบอีกตามเคย เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินผ่านซุยแล้วหยิบช็อคขึ้นมาเขียนชื่อตัวเองบนกระดาน

‘คุเรโนะ เซกิ’

ชื่อที่เขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรหวัดๆ แต่ทำเอาหัวหน้าห้องถึงกับช็อกจนเก็บอาการสั่นไว้ไม่อยู่
‘ไม่น่าเป็นไปได้ มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง’
“ผมชื่อ คุเรโนะ เซกิ จะเรียกว่า ‘เซกิ’ เฉยๆก็ได้ ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นโค้งให้อีกรอบ ทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวล และกิริยามารยาทที่อ่อนน้อมก็ดูไม่น่ามีพิษสงอะไร เค้าคงคิดมากไปเอง คนชื่อเซกิก็มีออกจะเกลื่อนเกาะญี่ปุ่น เค้าคงไม่บังเอิญขนาดได้มาคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกยมทูตครบทีมแบบนี้หรอก
“อืม… จะให้คุเรโนะคุงนั่งตรงไหนดีนะ เก้าอี้ตัวไหนว่างบ้างจ๊ะเด็กๆ ช่วยยกมือบอกเพื่อนหน่อยเร็ว”
ครูมิกะยังพูดไม่ทันขาดคำ นักเรียนใหม่ซึ่งเล็งที่นั่งไว้แต่แรกแล้วก็เดินดุ่มๆเอากระเป๋าไปวางจองที่ไว้เรียบร้อย แต่ก่อนที่มันจะนั่งลง คนข้างหลังก็ดึงเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้มันฉวยโอกาสยึดไปเป็นของตัวเอง
“ที่ตรงนี้มีเจ้าของอยู่แล้ว รู้สึกข้างหลังห้องจะยังมีที่ว่างเหลืออยู่ นายลองไปหาดูสิ” มาซาฮิโกะปรามเจ้าเด็กใหม่
ก็แหงล่ะ… ไอ้หมอมันทำตัวนิ่งๆแต่ที่จริงร้ายลึก เล็งตรงไหนไม่เล็ง ดันมาเล็งโต๊ะข้างหัวหน้าห้อง ซึ่งเดิมทีเป็นของมิสึกิอยู่แล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงตวัดมองมาซาฮิโกะตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าในชั่ววูบเย็นชาเชือดเฉือนราวกับจะบันทึกเอาไว้ในจิตใต้สำนึก ก่อนที่มันจะแกล้งกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มหวานๆ แล้วโค้งตัวขอโทษไปอีกรอบ
“ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆว่าที่ตรงนี้มีเจ้าของแล้ว พอดีเห็นมันว่างอยู่ งั้นฉันจะย้ายไปนั่งหลังห้องก็ได้” ว่าแล้วมันก็สะพายกระเป๋าแล้วเดินเชิดหน้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสุดท้ายติดกับหน้าต่าง
ซุยจบชั่วโมงโฮมรูม จากนั้นก็ส่งต่อให้อาจารย์มิกะสอนต่อ เค้ากลับมานั่งที่เดิมแล้ว แต่ก็ยังไม่วายแอบชำเลืองมองนักเรียนใหม่ซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่หลังห้อง สายตาของเด็กหนุ่มคนนั้นก็จ้องเขม็งมาที่เค้า แต่ทุกครั้งที่เค้าหันไปมองก็จะมีเพียงรอยยิ้มที่ส่งมาให้
อันที่จริงมันก็ดูเป็นมิตรดี… แต่ความรู้สึกกดดันที่อัดแน่นอยู่ข้างในมันคืออะไรกันแน่
ซุยพยายามสลัดความคิดทุกอย่างออกจากสมอง ก่อนจะตั้งสมาธิไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“นายเป็นหัวหน้าห้องใช่มั้ย”
นักเรียนใหม่เดินเข้ามาทักในช่วงพักกลางวัน ซุยกับมาซาฮิโกะที่กำลังจะไปที่สภาพิเศษหันมาสบตากัน ซุยพยักหน้าให้เพื่อนซี้ล่วงหน้าไปก่อน ก่อนจะหันมาเจรจากับเด็กใหม่
“นายมีธุระอะไร?”
เด็กใหม่ยังไม่ตอบ แต่เดินอ้อมมาสำรวจรอบตัวซุยตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนจะประเมินอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ฉีกยิ้มหวานให้ตามฟอร์ม
“พอดีฉันยังไม่ค่อยรู้ทางในโรงเรียนน่ะ โรงอาหารก็ไม่รู้อยู่ไหน นายช่วยพาไปหน่อยได้มั้ย”
ซุยลอบถอนใจด้วยความเซ็ง “โทษทีนะ… แต่ฉันกำลังยุ่ง เดี๋ยวฉันจะฝากเพื่อนคนอื่นให้พานายไปด้วยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็หันไปหาตัวช่วย เพราะดูท่าทางจะมีหลายคนที่ถูกใจเด็กใหม่เอามากๆทีเดียว
“โอเค… ถ้านายไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะลองเดินสำรวจดูรอบๆเองก็ได้ ขอบใจนะ” เด็กใหม่ปฏิเสธ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินหนีออกจากห้องไปดื้อๆ
“เฮ้ย! ซุย นายแล้งน้ำใจเกินไปหรือเปล่า เค้าเพิ่งมาใหม่นะ ดีไม่ดีเกิดเดินหลงทางไปจะว่าไง” เพื่อนคนนึงเข้ามากอดคอกอดดันท่านประธานรุ่น
“ก็ฉันยังมีงานต้องทำ”
“โธ่เอ๊ย… ไอ้งานสภาพิเศษนะเหรอ แค่ช่วงพักกลางวันชั่วโมงเดียว ถามจริงเถอะพวกนายจะทำอะไรได้ ฉันว่านายน่าจะเทคแคร์เพื่อนใหม่หน่อยนะ เสียสละเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ไอ้สภาสูงสุดของนายคงไม่ล่มหรอก”
ที่เพื่อนพูดมาก็มีเหตุผล เวลาแค่ชั่วโมงเดียวจะเรียงลำดับเอกสารเสนอ ผอ. ยังไม่ทันเลย เอาน่า… เค้าเองก็ยังมีเรื่องที่คาใจกับหมอนั่นอยู่ อยากรู้เหลือเกินว่ามันจะเป็น ‘เซกิ’ คนเดียวกันกับที่ไทกิเคยพูดถึงหรือเปล่า
ซุยตามเพื่อนใหม่ลงมาข้างล่าง ยังเห็นมันเดินเอ๋อวนเวียนอยู่แถวหน้าตึก หัวสีเงินสะบัดซ้ายสะบัดขวาเหมือนเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหน ความคิดที่เคยหมายมาดว่ามันจะเป็น White Lily ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ก็เอ๋อซะขนาดนั้น ไม่เห็นจะเหมือนจอมโหดที่ไทกิเคยพูดถึงสักนิด
“นายจะไปไหน?” ซุยเดินเข้าไปทัก มันก็หันหน้ามาทำตาปริบๆ “ถ้าจะไปโรงอาหาร ฉันจะพาไปเอง”
“เดี๋ยว!” เซกิฉุดแขนซุยเอาไว้ “เมื่อครู่ฉันถามรุ่นน้องจนรู้ทางไปโรงอาหารแล้วล่ะ แต่อยากเดินอ้อมดูรอบๆโรงเรียนก่อน นายจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ ฉันกำลังอยากได้ไกด์พอดีเลย”
“ได้สิ…”
ซุยพยักหน้ารับเนิบๆ จากนั้นก็พาเดินแนะนำตึกเรียนต่างๆเป็นอันดับแรก

การพาเดินทัวร์รอบโรงเรียนคราวนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักเรียนใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะแถวตึกชมรมซึ่งมีสภาพิเศษตั้งอยู่ด้วย เซกิขอเวลายืนดูอยู่ตั้งนาน
“โรงเรียนนี้เจ๋งมากเลย โรงเรียนเก่าฉันนะอย่างมากก็มีแค่พวกชมรมฟุตบอล บาสเก็ตบอล อะไรทำนองนั้น แต่ที่นี่ขนาดชมรมยิงปืนยังมี ฉันทึ่งมากจริงๆนะ”
“นายน่ะอยู่ที่ชิกะมาตลอดเลยเหรอ” ซุยหาจังหวะตะล่อมถาม จู่ๆคงไปตามตรงๆว่า ‘นายใช่ White Lily หรือเปล่า’ คงไม่ได้ ค่อยๆเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆดีกว่า
เซกิปรายหางตามองซุย ก่อนจะแกล้งชมตึกไปเรื่อยเปื่อย นานทีเดียวกว่าที่มันจะยอมตอบคำถามของเค้า
“ฉันเกิดที่ชิกะ” มันเลี่ยงที่จะตอบแค่นั้น แล้วเดินนำหน้าไปทางโซนหอพักเป็นที่ต่อไป
โซนหอช่วงพักกลางวันเงียบมาก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไปรวมตัวอยู่ที่โรงอาหาร ซุยชี้ให้ดูหอพักของปีหนึ่งและปีสองซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน พร้อมกับอธิบายกฎระเบียบหอพักไปพลางๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:37:14
25 ต่อ

เซกิจ้องไปที่หน้าต่างชั้นสามของหอไฟ …ห้อง 301… ตอนนี้ห้องถูกปิดไว้เพราะไม่มีใครอยู่ ไทกิมักจะไปค้างกับมิสึกิถ้าไม่มีงาน ส่วนฮิโระกับคาโอรุก็ปั่นงานของสภาพิเศษจนดึกดื่นทุกวัน ห้องก็เลยแทบจะกลายเป็นห้องร้างไปแล้ว
“ที่นี่น่าอยู่ดีนะ… มิน่าล่ะ ‘เค้า’ ถึงไม่ยอมกลับไปเลย”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ามองทะเลสาบพร้อมกับถอนใจเศร้าๆ ที่นี่สวยงามเหมือนดินแดนแห่งเทพนิยายไม่มีผิด บรรยากาศก็ร่มรื่นราวกับอยู่ในความฝัน ท้องฟ้าผืนน้ำล้วนถูกเสกสรรปั้นแต่งมาเป็นอย่างดี
‘สิ่งที่คุณต้องการคือแบบนี้เองหรือ เพื่อนจอมปลอม โรงเรียนที่น่าเบื่อ มันน่าพิสมัยตรงไหนกัน!’
ซุยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อีก 15 นาทีก็จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รีบทั้งเค้าและเด็กใหม่ก็คงไม่ได้กินข้าวเที่ยงแน่
“ฉันว่าเราไปที่โรงอาหารเลยดีกว่า ตึกหลักๆฉันแนะนำให้นายรู้จักหมดแล้ว ที่เหลือก็ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ อีกไม่นานนายก็จะคุ้นไปเอง”
ซุยว่าแล้วก็เดินนำหน้าไปที่โรงอาหาร แต่เจ้าเด็กใหม่ก็ยังเอาแต่จ้องทะเลสาบไม่วางตา ซุยไม่แน่ใจนักว่ามันจะได้ยินที่เค้าพูดหรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากตื๊อแล้ว มันจะทำอะไรก็ช่าง จะยืนเหม่ออยูตรงนี้จนกว่าจะหมดเวลาพักเที่ยงก็ตามใจ เค้าเองก็มีงานหลายอย่างที่ต้องทำ คิดดังนั้นแล้วเค้าก็เดินหันหลังจากไป
แต่สิ่งที่ทำให้คุณชายสายน้ำต้องเปลี่ยนใจหันกลับมาอีกครั้ง ก็ตอนที่ได้ยินเสียงนุ่มๆเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและเยือกเย็นราวคมมีดน้ำแข็ง เรียกรั้งตัวเค้าเอาไว้

“เทนโนะ ซุย”

เซกิหันกลับมาช้าๆ ใบหน้าที่เคยเป็นมิตรดูเปลี่ยนไปมาก นัยน์ตาขับสีเข้มราวกับสีเลือดของพญามัจจุราช กลิ่นไอของความเคียดแค้นชิงชังฉายชัด เป็นครั้งแรกที่นักคุ้มกันคนเก่งรู้สึกเกรงกลัว ทั้งๆที่ผ่านมาไม่ว่าจะเจออุปสรรคยากลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่คราวนี้… สัญชาตญาณในใจบอกเค้าว่า ไม่ควรไปต่อกรกับมันเด็ดขาด!
ยมทูตหลับตาลงช้าๆ นัยน์ตาเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิมอีกครั้งเมื่อมันลืมตาขึ้น มันแกล้งมองไปทางทะเลสาบ หันหลังให้ศัตรูโดยไม่หวั่นสักนิดว่าจะถูกจู่โจมจากทางด้านหลัง
“นี่จะเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย… อย่าเข้าใกล้คุณไทกิอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น… นายจะต้องตามมิสึกิไปลงนรกอีกคนแน่”
เพียงชั่วอึดใจเดียวที่ซุยเผลอกระพริบตา มีดสีเงินวาวก็พุ่งมาปักเฉียดปลายเท้าไปแค่เสี้ยว ร่างของยมทูตอันตรธานหายไปพร้อมสายลมที่โหมกระหน่ำ พัดพาสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คำเตือนประโยคนั้น… ยังคงก้องอยู่ในหู มีดที่ปักอยู่ตรงปลายเท้าก็ท้าทายราวกับจะตอกย้ำถึงฝีมือที่อ่อนด้อยอย่างไม่อาจเทียบชั้นกันได้ มือที่ไม่เคยกลัวเกรงต่อสิ่งใดก็สั่นเทาไม่หยุด ร่างทั้งร่างถูกตรึงไว้ด้วยสามัญสำนึกที่เรียกว่า ‘ความกลัว’
ไม่นานนัก… สายน้ำแห่งความสิ้นหวังก็ทรุดตัวลงท่ามกลางสายฝน ชะล้างความอ่อนแอภายในใจให้ไหลไปพร้อมความเย็นเยือกจากฟากฟ้า

ตอนเย็น… ในห้องสภานักเรียนยิ่งวุ่นหนัก โนะอิถูกเรียกไปประชุมแต่เช้า มาซาฮิโกะก็ต้องไปติดต่อสปอนเซอร์เรื่องงานวัฒนธรรม ส่วนซุย… ก็ไม่เข้ามาเลยทั้งวัน เหลือแต่ฮิโระกับคาโอรุที่กำลังจะถูกกองเอกสารทับตายคาห้อง
“โอ๊ย! หิวจังเลย”
ไอ้ตัวป่วนกระแทกประตูห้องดังปัง ก่อนจะแวบเข้าไปในห้องสวัสดิการรื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าเอามาใส่ปากเคี้ยวหมุบหมับ
“นายไปเยี่ยมพี่มิสึกิมาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่แวะกินข้าวข้างนอกก่อนกลับมาล่ะ” เจ้าฮิโระเห็นท่ากินอย่างกะชูชกแล้วก็อดแขวะไม่ได้ “แล้วพี่มิสึกิเป็นไงบ้าง ใกล้จะหายหรือยัง”
ไทกิที่ยังเคี้ยวอาหารเต็มปากก็พยักหน้าหงึกหงัก “ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ หมอบอกว่าอีกอาทิตย์นึงก็จะหายเป็นปกติ กลับมาเรียนได้แล้ว”
“แล้วตกลงพี่มิสึกิเป็นอะไรกันแน่ นายยังไม่ได้เล่าให้พวกฉันฟังเลยนะ”
 คาโอรุได้ช่องก็รีบถามทันที ตั้งแต่กลับมาจากมิยางิก็มีแต่ข่าวว่าพี่มิสึกิหายตัวไป จนกระทั่งมานอนป่วยหมดสภาพอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ครั้นจะขอตามไปเยี่ยมเจ้าไทกิก็ไม่ให้ไป พวกพี่ๆก็ทำตัวแปลกๆ ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุอาการป่วยของพี่มิสึกิสักคน ทุกคนเอาแต่ปิดปากเงียบ ทำเหมือนกำลังปิดบังความลับบางอย่างเอาไว้
ไทกิตกใจกับคำถามของเพื่อนซี้จนสำลักซาลาเปาทั้งลูก รีบยกน้ำชาขึ้นมาซดก่อนที่จะจุกคอตายซะก่อน
“ก็บอกแล้วว่าเป็นอีสุกอีใส ต้องแยกไปรักษาตัวสักระยะ นายจำไม่ได้หรือไง” ไอ้ตัวแสบแก้ตัวไปเรื่อย
“แต่ฉันก็เคยเป็นแล้วนะ ขอไปเยี่ยมบ้างไม่ได้เหรอ รับรองว่าไม่ติดหรอก” คาโอรุยังตื๊อไม่เลิก
“โอ๊ย! ไม่ได้หรอก พี่มิสึกิเค้าอายน่ะ ตอนนี้ตุ่มขึ้นเต็มตัวเลย น่าเกลียดจนไม่อยากให้ใครเห็นแล้ว ขนาดฉันไปเยี่ยมพี่เค้ายังเอาแต่หลบอยู่ในม่านเลย”
“เป็นหนักขนาดนั้นเชียว…”
“เอ้อ… ฮิโระ แผนงานซ่อมแซมหอพักอยู่ตรงไหนเหรอ” เจ้าไทกิมันรีบตัดช่อง โดยการแกล้งทำท่าสนใจงาน มันรื้อกองเอกสารที่ขวางหน้าทำเป็นหยิบขึ้นมาดูเล่นเพื่อกลบเกลื่อน
คาโอรุลอบถอนใจเบาๆ ถึงตื๊อต่อไปมันก็คงไม่บอก เอาเถอะ… ก็คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ไม่อย่างนั้นไทกิก็คงไม่มานั่งใจเย็นทำงานอยู่ที่นี่หรอก
“เออนี่… แล้วซุยล่ะไปไหน ตั้งแต่กลับมาฉันยังไม่เห็นเลย” ว่าแล้วก็กวาดสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง เผื่อจะโดนกองเอกสารทับอยู่มุมไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่เห็นเลย
“ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามนายมากกว่านะไทกิ ปกติเห็นติดรุ่นพี่อย่างกะปาท่องโก๋ แต่นี่ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่เห็นพี่ซุยแม้แต่เงา”
“ฉันก็บอกให้กลับมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ คนอย่างซุยไม่น่าทิ้งงานนะ” ไทกิชักเป็นห่วงขึ้นมาตะหงิดๆ ปกติซุยไม่เคยเหลวไหล จะไปไหนก็ต้องบอกเค้า ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องวุ่นๆอยู่ เล่นมาหายตัวไปแบบนี้ใจคอไม่ค่อยดีเลย
ซุย… คงไม่ซวยขนาดบังเอิญเดินไปเจอกับเซกิหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…

กริ๊งงงงงงงงงง………………..

เสียงโทรศัพท์ในห้องสภาพิเศษดังขึ้น ฮิโระที่อยู่ใกล้ที่สุดสะดุ้งโหยง จนทำตั้งเอกสารที่อุตส่าห์เรียงไว้ล้มลงมาทั้งกอง นักฆ่าที่กำลังนึกอยากกลั้นใจตายพยายามไหลตัวไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล!” ฮิโระทำเสียงหงุดหงิด มองดูเอกสารที่พังพินาศด้วยความเจ็บปวด
“นี่ฉันเองนะ… มิสึกิ”
เสียงที่ตอบกลับมาทำให้นักฆ่าเปลี่ยนอารมณ์ระรื่นฉับพลัน เพราะปกติเป็นรุ่นพี่ที่คุยง่ายที่สุดเลยสนิทด้วยที่สุด ไม่ได้ยินเสียงนานแล้วก็ยิ่งคิดถึง
“ไงพี่… ได้ข่าวว่าเดี้ยงเลยเหรอ”
“ปากนายติดเชื้อเจ้าซุยมาหรือเปล่าเนี่ย” มิสึกิแกล้งดุ “ไทกิอยู่มั้ย ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“ได้เลย”
ฮิโระโยนโทรศัพท์ไปให้ไทกิรับสาย มันทำหน้างง เพราะเพิ่งแยกกับมิสึกิมาแหม็บๆแล้วจะโทรมาทำไมล่ะเนี่ย
“พี่มิสึกิมีอะไรเหรอ?” ไทกิทำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก
“เปล่า… แค่อยากจะบอกว่าถ้าคุณไทกิกำลังนึกห่วงใครบางคนอยู่ล่ะก็ ไม่ต้องห่วงแล้วนะ เพราะตอนนี้มันอยู่กับผมและก็คงจะค้างที่นี่ด้วย แต่มันอาย ไม่กล้ารายงานผู้ปกครองด้วยตัวเอง เลยให้ผมโทรมารายงานแทนนี่แหละ คุณไทกิไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลมันเป็นอย่างดีเลย”
“ซุยอยู่นั่นเหรอ ค่อยยังชั่วหน่อย” ไทกิถอนใจอย่างโล่งอก “งั้นฝากบอกด้วยนะว่าพรุ่งนี้จะไปรับ ให้รอกลับพร้อมกันด้วย”
“ครับผม… ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้านะครับคุณไทกิ”
ปลายสายวางหูไปเรียบร้อย ไทกิโล่งใจที่อย่างน้อยซุยก็ยังปลอดภัยดี ตอนนี้ก็มีแรงฮึดทำงานต่อแล้ว สามสหายจึงช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามัจจุราชตัวจริงได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้แล้ว

ที่ห้องใต้ดินโรงแรมโกลเด้นเบย์… ที่หลบซ่อนของเหล่าองครักษ์ซากุระ
มิสึกิจ้องคนเซื่องซึมที่เอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่มุมห้อง วันนี้มันแปลกตั้งแต่ที่มันกลับมาแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกมะลอกมะแลกเหมือนเดินตากฝนมาตลอดทาง แถมมาถึงก็เอาแต่นั่งกอดเข่าซบหน้าอยู่มุมห้อง ไม่ยอมพูดยอมจาสักคำ
“นี่ซุย… จะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนป่วยยอมลงทุนกระเสือกกระสนลงจากเตียงทั้งที่เจ็บจะแย่ แล้วไปนั่งปลอบใจข้างๆ
“ฉันรู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนอย่างนายไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่นายมาที่นี่เพราะอยากได้คนปรึกษาไม่ใช่เหรอ แล้วถ้านายไม่พูดฉันจะช่วยนายได้ยังไง”
คนซึมยอมเงยหน้าขึ้นมาจากหัวเข่า นัยน์ตาสีเข้มมีแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด เค้าล้วงมือที่สั่นเทาเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาให้เพื่อนซี้ดู
มิสึกิเห็นแล้วก็แปลกใจนิดหน่อยในตอนแรก ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ
“โธ่เอ๊ย! คิดว่าเรื่องอะไร มันคงไปทักทายนายแล้วล่ะสิ เจ้าเซกิน่ะ”
เพื่อนคนที่คิดว่าจะมาหวังพึ่งมันพูดเหมือนเห็นเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ทั้งที่เค้ากลัวจนทำอะไรไม่ถูก จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนมานั่งทำใจอยู่ที่นี่
“ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองอ่อนแอและไร้ฝีมือแค่ไหน หมอนั่นยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่ยืนจ้องหน้าฉันแล้วพูดขู่ไม่กี่คำ ฉันก็ขยับก้าวขาไม่ออก ถ้ามันลงมือฉันคงไม่มีทางป้องกันตัวเองได้เลย ฉันเคยเชื่อว่าตัวเองจะปกป้องไทกิได้ แต่พอได้เจอกับเซกิจริงๆ ฉันถึงได้รู้ว่าที่ไทกิเคยปรามาสฉันไว้ เค้าพูดถูกทั้งหมด”
มืออุ่นๆของมิสึกิเอื้อมไปจับไหล่ของเพื่อนไว้ไม่ให้สั่น
“นายน่ะโดนหลอกแล้วรู้มั้ย… ซุย” มิสึกิปลอบให้มันเห็นความจริง “เซกิมันไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นหรอก มันก็แค่ใช้จิตวิทยาตื้นๆกับนายเท่านั้น ความกลัวจะทำให้คู่ต่อสู้ถอดใจยอมแพ้ นี่คือสิ่งที่พวกฉันเรียนรู้มา เพราะฉะนั้น… ถ้านายก้าวไปตามเกมของมัน ก็เท่ากับนายยกธงขาวยอมแพ้โดยที่ยังไม่ลงมือสู้ด้วยซ้ำ”
“แต่มันเอาชนะนายได้ เราก็เห็นกันอยู่” ซุยพยายามย้ำถึงสิ่งที่เป็นจริง ถ้า White Lily ไม่แน่จริง คงไม่ทำให้เพื่อนของเค้าบาดเจ็บปางตายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก
“ฉันไม่นับว่านั่นเป็นการต่อสู้ แต่ฉันเรียกว่า ‘ลอบกัด’ ถ้าเผชิญหน้ากันตรงๆ ฉันไม่มีทางแพ้มันอยู่แล้ว”
ซุยยังเอาแต่กัดฟันแน่น เค้าพยายามข่มความกลัวเหมือนอย่างที่มิสึกิพูด แต่ก็ทำไม่ได้เลย
“ซุย… นายเคยเห็นคุณไทกิสู้มาแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นทำไมนายถึงกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับเค้าตรงๆล่ะ นายโดดเข้าไปขวางหน้าแล้วห้ามเค้า ทั้งๆที่ถ้าพูดกันตามความจริงคุณไทกิน่ะเก่งกว่าเซกิซะอีก”
“ก็ฉันรู้ว่าไทกิจะไม่ทำร้ายฉัน”
“นายคิดผิดแล้วซุย” มิสึกิส่ายหน้า “เวลาที่ยมทูตจะสังหารใคร มันไม่คิดหรอกว่าคนๆนั้นจะฆ่าได้หรือไม่ได้ มันคิดเป็นเพียงอย่างเดียวว่าต้องฆ่า สัญชาตญาณแบบนี้ไม่เพียงแต่เซกิเท่านั้นที่มี ทั้งฉัน ทั้งคุณไทกิ ก็ถูกปลูกฝังให้มีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเหมือนกัน”
“หมายความว่าถึงเป็นนาย ถ้าต้องสู้กับฉัน ก็จะฆ่าฉันได้โดยไม่ลังเลเลยเหรอ”
“ใช่… เวลาอยู่ในโหมดยมทูตน่ะ ฉันไม่คิดหรอกว่านายเป็นใคร ฆ่าได้ฉันก็ฆ่าทั้งนั้น แต่ฉันอาจจะดีกว่าเซกิหน่อย ตรงที่ฉันรู้จักควบคุมสวิตซ์ของตัวเอง”
ซุยนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ความนึกคิดของพวกยมทูตช่างซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาอย่างเค้าจะเข้าใจได้จริงๆ ดูผิวเผินพวกมันก็เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีพิษสงอะไร แต่พอสติหลุดลอยก็กลายเป็นเครื่องจักรที่ไร้ความปรานี
“ซุย… ฉันมีคำสอนของคุณเคโตะที่ฉันชอบมากประโยคหนึ่ง เขาบอกฉันว่า ‘ไม่มีอุปสรรคใดในโลก ที่คนเราจะข้ามไปไม่ได้ ขอแค่มีความกล้าพอที่จะก้าวข้ามไปเท่านั้น’ ฉันถึงไม่เคยหวั่นกลัวกับสิ่งใด เพราะฉันรู้ว่าถ้าฉันเชื่อมั่นฉันจะทำได้ทุกอย่าง”
มิสึกิยกบทเทศนาสมัยที่ยังฝึกอยู่กับพ่อของไทกิขึ้นมาอ้าง
“การต่อสู้ไม่ได้วัดกันแค่ฝีมืออย่างเดียว แต่วัดที่ใจด้วย ถ้านายไม่เชื่อว่าจะเอาชนะมันได้ แล้วนายจะเอากำลังใจที่ไหนไปสู้กับมันล่ะ”
ซุยเงยหน้ามองเพื่อนซี้อีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าพวกยมทูตที่เรียนรู้เฉพาะการฆ่า จะมีคำสอนดีๆแบบนี้เหมือนกัน
“นายพูดถูก… ฉันไม่ควรยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้”
“คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว ถึงฉันจะไม่เคยสู้กับนายจริงจังนะซุย แต่ฉันก็พอจะรู้ว่านายเก่งแค่ไหน นายน่ะไม่แพ้เซกิหรอก เชื่อฉันสิ”
คำปลอบใจจากเพื่อนรักทำให้ซุยมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง มีดที่ถืออยู่ในมือพอดูดีๆแล้วก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ มือของเค้าก็ไม่สั่นแล้ว นี่คงจะเป็นจิตวิทยากลลวงจิตใจของเจ้าเซกิมันจริงๆ เค้าเกือบจะตกหลุมพรางมันอยู่แล้ว โชคดีที่กลับตัวทัน ไม่อย่างนั้น… เค้าก็อาจจะทิ้งสิ่งสำคัญแล้วหนีไปอย่างคนขี้แพ้ก็ได้
“ฉันไม่มีเตียงจะแบ่งให้นายหรอกนะ ถ้าจะนอนก็เชิญที่โซฟาโน่นเลย อ้อ… แล้วพรุ่งนี้ช่วยอยู่รอคุณไทกิด้วยนะ เค้าบอกจะมารับ ถ้าเค้ามาแล้วไม่เจอนาย จะมาวีนที่ฉันอีก”
มิสึกิสั่งซะยืดยาว ก่อนจะโดดลงไปนอนที่เตียงแล้วก็หลับปุ๋ยไปอย่างรวดเร็วเหมือนเด็กไม่มีผิด ซุยมองแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม อันที่จริง… พวกยมทูตนี่ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก็เหมือนคนธรรมดาที่มีชีวิตจิตใจเหมือนพวกเรานี่เอง
มาเลย… เซกิ คราวนี้ฉันจะไม่มีวันหนีอีกแล้ว!
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:38:55
 :m22:Chapter 26 The Beat Inside

เช้าวันนี้… รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ไทกิเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามสลัดความคิดที่สับสน เมื่อคืนนี้ก็นอนไม่หลับ เช้านี้ก็ออกมาแต่เช้ามืดเพราะมีหลายคนที่ยังเป็นห่วง ในรถไฟฟ้าที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนซึ่งเร่งรีบไปทำงาน แต่เค้ากลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างราวกับถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในป่าลึก
เซกิ… นายคิดจะทำอะไรกันแน่?
ความรู้สึกกดดันที่คืบคลานเข้ามาใกล้ เหมือนปีศาจร้ายในเงามืดที่กำลังรอให้เหยื่อมาติดกับ แม้จะรู้ดีว่าเซกิไม่มีวันทำร้ายเค้า เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าเค้าจะทำร้ายเซกิมากมายแค่ไหน หมอนั่นก็ไม่เคยตอบโต้สักครั้ง แต่คนรอบตัวเค้าล่ะ… จะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกนั้นจะปลอดภัย
ไม่มีทางรับประกันได้เลย…

‘สถานีอิเคะบุคุโระ’

ขบวนรถไฟจอดนิ่งยังสถานีปลายทาง ไทกิลุกจากที่นั่ง รอจนคลื่นฝูงชนที่ออกันอยู่หน้าประตูเบียดกันออกไปจนหมดแล้ว เค้าถึงเดินใจลอยออกไปจากสถานี โรงแรมโกลเด้นเบย์อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก เดินต่อไปอีกประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่ก็มากพอที่จะให้เค้าได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา
“วันนี้คนน้อยจัง”
ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆตอนที่เดินผ่านห้องโถงของโรงแรม แล้วก็นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ
แปลกมาก… ถึงปกติตอนเช้าๆลูกค้าในโรงแรมจะมีไม่มาก แต่ก็ต้องมีพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตดำแฝงตัวเป็นพนักงานกระจายตัวกันคอยอารักขาอยู่ตามจุดต่างๆ แต่นี่กลับไม่มีใครเลย แม้แต่ยูอิ
นี่มันออกจะผิดปกติมากเกินไปแล้ว!
ไทกิรีบวิ่งไปกดลิฟท์ ใช้รหัสลับของพวกซากุระแล้วลงรวดเดียวจนถึงชั้นใต้ดิน และทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เค้าก็ได้เห็นสภาพข้างล่างจนชัดเจนเต็มสองตา แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมข้างบนถึงไม่มีองครักษ์เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว
เหตุการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่กว่าที่คิด และเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะเตรียมใจรับได้ทัน สภาพร่างที่ไร้วิญญาณขององครักษ์ฝ่ายดำและขาวซึ่งปะทะกันนอนจมกองเลือดอยู่ตามรายทางไปจนถึงห้องพักของมิสึกิ เสียงปืนยังลั่นรัวเป็นระยะ ตอกย้ำถึงสิ่งที่เค้ากำลังกลัวเป็นที่สุด
ทั้งซุยและมิสึกิ… ยังอยู่ที่นี่ ถ้าสองคนนั้นเป็นอะไรไปล่ะก็ เค้าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองอีกเลย!
เท้าเล็กๆรีบนำพาวิ่งไปอย่างรวดเร็วที่สุด กลั้นใจข้ามผ่านร่างของเพื่อนร่วมองค์กรเพื่อเข้าไปช่วยคนสำคัญ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“หกโมงแปดนาที”

เสียงทักทายของตัวการซึ่งนั่งสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้โยกกลางห้อง ทันทีที่เค้าผลักประตูเข้าไปเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
“คุณมาช้ากว่าเวลาที่ตั้งไว้แปดนาที ผมเลยต้องเสียพนันให้เจ้าริวมันเลย แย่จัง…”
เซกิส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง แต่ก็ยังยิ้มระรื่นที่ได้พบคนที่จากไปอีกครั้ง
ไทกิไม่สนใจเสียงกวนใจของมัน เค้ารีบกวาดสายตาไปทั่วห้อง ภาพที่เห็นยังไม่เลวร้ายอย่างที่คิด องครักษ์ฝ่ายยมทูตดำยังคงทำหน้าที่พิทักษ์ผู้นำของเค้าอย่างเข้มแข็ง แม้ว่าจะถูกต้อนจนมุมแล้วก็ตาม ซุยกับมิสึกิก็ยังปลอดภัยอยู่ภายใต้การคุ้มกัน แต่ดูจากสภาพที่เห็น พวกนั้นเองก็คงป้องกันไว้ได้อีกไม่นานแล้ว เพราะต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลยทีเดียว
อดีตผู้นำหันมาอีกด้าน นอกจากองครักษ์ฝ่ายขาวที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมไม่แพ้พวกฝ่ายดำ ยังมีกลุ่มองครักษ์แดงรอรับคำสั่งจากเซกิเงียบๆอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และถ้าเมื่อไหร่พวกนี้ได้รับคำสั่งให้ลุยด้วย พวกมิสึกิก็คงเละ
“วายะ! ฉันบอกให้นายคอยจับตาดูเซกิไงล่ะ ทำไมพาพรรคพวกตามก้นมันมารุมพวกมิสึกิแบบนี้!”
หัวหน้าองครักษ์ฝ่ายยมทูตแดงซึ่งเครียดอยู่แล้วยิ่งพูดไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาปริบๆเพื่อหวังจะให้อดีตเจ้านายเข้าใจถึงความลำบากของพวกเค้าบ้าง
“พวกนี้มันไม่มีทางเลือกหรอกคุณไทกิ ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของผู้นำคนปัจจุบันก็เท่ากับเป็นคนทรยศ และพวกมันก็ต้องมีสภาพเหมือนพวกองครักษ์ดำที่นอนกองเป็นศพอยู่ข้างนอก!”
เซกิหยามหยันให้ได้ยินกันทั้งห้อง องครักษ์ฝ่ายแดงหลายคนได้แต่กัดฟันกรอดๆแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ ไทกิตวัดหางตามองคนที่เค้าไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต และยิ่งเกลียดมันมากขึ้นไปอีกเมื่อมันเฝ้าตามจองล้างจองผลาญคนสำคัญของเค้าไม่หยุดหย่อนแบบนี้
“เซกิ”
ไทกิกัดฟันเรียกชื่อที่ไม่อยากจะเอ่ยถึง นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงคล้ายกันก็หันมาสบอย่างท้าทาย ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มบางๆ
“แหม… ไม่เจอกันตั้งนาน อย่าทักทายด้วยเสียงเย็นชาแบบนั้นสิครับคุณไทกิ ฟังแล้วน่าใจหายชะมัด”
มันยังมีหน้ามาย้อนทั้งที่เค้ากำลังโกรธสุดๆ มือเผลอเอื้อมไปลูบแส้คู่ใจโดยไม่รู้ตัว
“นายจะมาหาเรื่องฉันไม่ใช่เหรอ งั้นก็ปล่อยพวกนั้นไปเดี๋ยวนี้ พวกเค้าไม่เกี่ยว”
“คงไม่ได้หรอกครับ” ลิลลี่ปีศาจยังยียวนไม่เลิก “ซากุระทำผิดกฎของเราอย่างร้ายแรง เค้าไม่ยอมส่งข่าวคุณให้ทางองค์กรรับทราบ แถมยังให้ความช่วยเหลือคุณหลบหนี คุณไทกิคงยังไม่รู้… ตลอดสองปีที่พวกเราติดตามหาคุณไม่พบ เพราะซากุระสังหารองครักษ์มือดีที่สุดของผมไปถึงห้าคน ข้อนี้ผมถือว่าเข้าข่ายเป็นกบฏต่อองค์กร ซึ่งโทษมีเพียงสถานเดียวเท่านั้น ก็คือ… ตาย!”
“แต่นายไม่มีสิทธิ์ทำอะไรโดยพละการ คนที่จะตัดสินโทษซากุระได้มีคนเดียวเท่านั้น ก็คือ ฉะ…”
จู่ๆไทกิก็พูดไม่ออก เกือบลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่คนขององค์กรและไม่ใช่หัวหน้าของพวกนี้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำให้เค้าออกคำสั่งกับพวกมันได้ คือเค้าต้องกลับสู่ตำแหน่ง Red Rose และนั่นย่อมหมายถึง… การต้องแลกด้วยอิสรภาพทั้งหมดของตัวเอง
“อย่าเสียเวลาเจรจากับมันเลยครับคุณไทกิ มันก็แค่ยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้างเพื่อจะฆ่าผมเท่านั้น ถึงไม่มีเรื่องนี้มันก็ต้องหาทางเก็บผมอยู่ดี ก็เราน่ะไม่ค่อยจะลงรอยกันมาตั้งนานแล้วนี่นา” มิสึกิออกความเห็นบ้าง
“ถูกต้อง” เซกิปรบมือให้ “คนที่จะอยู่ข้างคุณไทกิมีฉันคนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนชอบสอดรู้สอดเห็นอย่างนายหรอก”
“หึ… ที่นายอยากฆ่าฉัน เพราะกลัวฉันจะบอก ‘ความจริง’ กับคุณไทกิมากกว่ามั้ง หรือไม่จริง”

ปัง!!

เซกิตบโต๊ะตัวข้างๆจนล้มคว่ำ ทุกคนที่ยืนประจันหน้าต่างขยับอาวุธทั้งๆที่ไม่เรี่ยวแรงเหลือพอแม้แต่จะถือปืนแล้ว ใบหน้าของลิลลี่ปีศาจในยามนั้นแดงก่ำบ่งบอกถึงความแค้นฝังลึก มีดสั้นอาวุธประจำกายที่พกติดตัวตลอดก็เริ่มเอาออกมาควงเล่น เรื่องความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง ซัดทีเดียวรับรองตัดขั้วหัวใจชนิดจอดสนิทไม่มีทางตอบโต้ ยูอิขยับเข้ามาขวางเป็นด่านหน้า ถ้าคิดจะเอาชีวิตเจ้านายก็ต้องข้ามศพเจ้าหล่อนไปซะก่อน
แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้… คนที่ไม่เคยคิดอยากจะยุ่งเกี่ยวองค์กรนรกนี่สักนิด ก็จำเป็นต้องก้าวออกมาจากเกราะคุ้มกันเพื่อปกป้องเพื่อนรักและคนที่เค้ารักมากที่สุด
ซุยคิดทบทวนหลายตลบว่าถ้าพบกับเซกิอีกครั้งเค้าควรจะทำอย่างไร ถึงจะเคยกลัวจับใจจนแทบไม่อยากต่อกรด้วย แต่เพราะได้รับพลังใจมากมายจากมิสึกิ เค้าถึงหนีไม่ได้ คราวนี้จะเป็นการตอบแทนน้ำใจกลับคืน ทั้งมิสึกิ และก็เพื่อไทกิด้วย
“ฉันจะไม่ยอมให้นายทำร้ายคนอื่นไปมากกว่านี้แล้ว วันนี้ถึงต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะหยุดนายให้ได้”
“เทนโนะ ซุย” เซกิส่ายหน้า แล้วเห็นเป็นอารมณ์ขันมากกว่าจะกลัว “ถ้านายเลือกที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ยื่นมือเข้ามาสอด ฉันก็จะถือว่านายไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง และก็คงจะปล่อยนายไปโดยไม่มีแม้แต่ริ้วรอยขีดข่วน แต่นี่นายกลับพูดมากเกินความจำเป็น หรือว่าลืมไปแล้ว… เรื่องที่ฉันเคยพูดกับนายที่โรงเรียนวันนั้น”
“ฉันไม่กลัวนายแล้วเซกิ ไม่ว่านายจะเป็นปีศาจมัจจุราชมาจากไหนก็ตาม ฉันมีหน้าที่ปกป้องไทกิ และก็จะไม่มีวันละทิ้งหน้าที่นี้เด็ดขาด”
“คุณไทกิ!” ลิลลี่กัดฟันกรอดๆ “นายไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อของเค้าตรงๆแบบนั้น!!”
“ฉันก็เรียก ‘ไทกิ’ มาตั้งนาน ไม่เห็นเค้าจะเดือดร้อนตรงไหน” ซุยยังยั่วไม่เลิก
“พอเถอะ… ซุย” ไทกิอยากจะห้าม แต่ดูเหมือนไม่ทันแล้ว
ใบหน้าของลิลลี่ในยามนี้แข็งกร้าว ดวงตาฉายแววชั่วร้ายราวกับปีศาจนรก มันคือยมทูตสังหารที่ไม่เคยปล่อยเหยื่อหน้าไหนให้รอดชีวิต และก็ไม่เคยปล่อยให้เหยื่อลาโลกอย่างสงบสุขด้วย แต่มันจะค่อยๆทรมานจนกว่าจะตายไปอย่างทารุณที่สุด
“เทนโนะ ซุย… ฉันเคยเตือนนายแล้ว แต่นายไม่ยอมฟังคำสั่งฉัน จากนี้ไปฉันจะทำให้นายได้เรียนรู้ถึงคำว่าสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จนกว่านายคิดอยากจะฆ่าตัวตายด้วยมือตัวเองเลยล่ะ”

ติ๊ดดดดดดดดด……

พอมันพล่ามจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของซุยก็ดังขึ้น มันพอเหมาะพอเจาะจนไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ คุณชายสายน้ำล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายเงียบๆ
“พี่ซุย!”
น้ำเสียงร้อนรนที่ตอบกลับมาเป็นเสียงน้องชายคนที่สาม ซึ่งฟังแล้วไม่ชวนให้สบายใจสักนิด
“อาราชิ… พี่กำลังยุ่ง” ซุยกระซิบเสียงดุกลับไป
“ฟังผมก่อน… พี่ต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย พี่ยูคาริประสบอุบัติเหตุรถตกเขา อาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียู พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับจากงาน พี่ฮิริวก็ไม่รู้หายไปไหนติดต่อไม่ได้เลย ผมทำอะไรไม่ถูกแล้วนะครับพี่”
อาราชิส่งเสียงสะอึกสะอื้นมาพร้อมข่าวร้ายที่สุด โทรศัพท์มือถือหล่นพรวดจากมือ ใบหน้าของนักคุ้มกันมือหนึ่งซีดสนิท แล้วพอเค้าตวัดสายตามองไอ้ปีศาจที่ยืนกร่างอยู่กลางห้อง เค้าก็ได้รับคำเฉลยที่เลวร้ายที่สุด
“ได้ข่าวว่านายมีพี่น้องห้าคน เป็นนักคุ้มกันทั้งบ้าน แต่พี่ชายคนโตไม่เห็นจะแน่ตรงไหน โดนคนของฉันเล่นด้วยไม่เท่าไหร่ก็พลาดท่าซะแล้ว เอ… แล้วคนต่อไปฉันจะเล่นกับใครดีนะ” เซกิหัวเราะร่วน เหมือนกำลังเล่นเกมที่สนุกที่สุดในชีวิต แต่ทำให้คนอื่นในห้องช็อกจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะซุย
“นายทำแบบนี้ทำไม!!” ซุยได้แต่กัดฟันกรอดๆ ทั้งที่ใจจริงอยากกระโดดเข้าไปขย้ำคอมันซะให้รู้แล้วรู้รอด ติดอยู่ก็แต่เพื่อนซี้ยังอยู่ในวงล้อมของมัน เค้าจึงทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
“ฉันก็เคยเตือนนายแล้วนี่ว่าอย่าบังอาจเข้าใกล้คุณไทกิ แต่นายไม่ฟังฉันเอง คิดว่าใครจะเป็นรายต่อไปล่ะ พี่ชายคนรองที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน หรือน้องชายคนที่สามที่เฝ้าคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล”
มันพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น ซุยกำหมัดแน่นเม้มปากจนเลือดซิบ แต่ก็พูดไม่ออก ยิ่งเค้าฝืนดื้อดึงเท่าไหร่ คนในครอบครัวก็จะยิ่งเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น แล้วนี่เค้าควรจะทำยังไงดี
“พอได้แล้ว!”
ไทกิตัดสินใจก้าวไปขวางหน้าระหว่างคนทั้งสอง ถึงแม้เค้าจะต้องการอิสรภาพมากแค่ไหน แต่จะปล่อยให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปมากกว่านี้ไม่ได้ เค้าจะต้องเป็นคนยุติมันด้วยตัวเอง… นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องเขม็งไปยังเพื่อนร่วมองค์กรอย่างปวดร้าว
“พอซะทีเถอะ… เซกิ อย่าทำร้ายใครไปมากกว่านี้อีกเลย” ไทกิลงทุนอ้อนวอนขอร้อง ทั้งๆที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้มันเห็นมาก่อน
“ถ้าคุณยอมกลับมาเป็น Red Rose อย่าว่าแต่ให้ปล่อยซากุระเลยหรือละเว้นชีวิตใครเลย แม้แต่จะสั่งผมไปตาย ผมก็ทำได้เพื่อคุณ แต่ถ้าคุณไม่ใช่… คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากยืนดูเพื่อนคุณตายไปทีละคน”
“เซกิ!” ไทกิตวาดออกไปเสียงดัง “นายจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้วนะ”
“โหดเหี้ยมเหรอ?” เซกิแสยะยิ้ม “อย่าลืมสิครับคุณไทกิ ที่ผมเป็นผมอย่างทุกวันนี้ก็เพราะพ่อของคุณสั่งสอนมาทั้งนั้น จะว่าไปแล้วผมยังโหดได้ไม่เท่าครึ่งนึงของเค้าด้วยซ้ำ”
พอเจอคำค้านแบบนี้กุหลาบแดงถึงกับเถียงไม่ออก พ่อสั่งสอนพวกเรามาอย่างนั้นจริงๆ สอนให้เราฆ่าคนโดยสัญชาตญาณและไร้ความปรานี ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นยมทูตสามคน ถึงแม้เราจะมีบุคลิกแตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ… กระหายกลิ่นคาวเลือดและความตายยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ไทกิแอบหันไปสบตากับมิสึกิเงียบๆ ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็จะปลงใจแล้วเช่นกัน
“ไม่ว่าจะเป็นนอกหรือในองค์กร คุณไทกิก็คือเจ้าชีวิตของผม ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจยังไง ผมยินดีน้อมรับคำสั่งทั้งนั้น”
กุหลาบแดงเงยหน้าขึ้น พยายามขืนน้ำตาที่เอ่อท้นไม่ให้ไหลรินออกมา กรงทองที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนหนีมาตลอดชีวิต กลับต้องเดินกลับเข้าไปด้วยตัวเอง มันช่างน่าขันสิ้นดี
“เซกิ”
ไทกิตีสีหน้าขึงขังแล้วเรียกชื่อเพื่อนร่วมองค์กรอีกครั้ง
“ในฐานะ Red Rose ฉันขอสั่งนายให้ยกเลิกภารกิจทุกอย่างตั้งแต่บัดนี้ และเรียกตัวองครักษ์ในสังกัดยมทูตขาวกลับองค์กรให้หมด”
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:39:55
26 ต่อ

ลิลลี่เผยยิ้มบาง รอยยิ้มที่กำลังเย้ยหยันด้วยความสะใจเป็นที่สุด เกมนี้… เค้าเป็นผู้ชนะ
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย… ริว ภายในหนึ่งชั่วโมงเรียกตัวทุกคนมาที่องค์กรให้หมด ใครช้าแม้แต่วินาทีเดียว ฉันจะเก็บมันซะ”
เซกิหันไปสั่งหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายขาวที่รีบลุกลี้ลุกลนไปปฏิบัติงานให้ทันใจเจ้านาย
“คราวนี้เราจะเอายังไงกับคนทรยศดีครับคุณไทกิ”
เจ้าเซกิมันยังไม่ลืม คนที่มันเก็บไม่เคยมีคำว่าพลาด แต่ที่มิสึกิยังลอยหน้าลอยตาท้าทายอยู่อย่างนี้ มันคงจะเจ็บใจไม่น้อยเลยทีเดียว คราวนี้ถึงกัดให้ตายก็ไม่มีวันปล่อยมิสึกิไปง่ายๆ ดีไม่ดีอาจจะสั่งคนแอบไปเก็บรุ่นพี่คนเก่งอีกรอบก็ได้
สิ่งที่ไทกิเลือกได้จึงมีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น…
ผู้นำหันหน้าไปทางองครักษ์คนสนิท วายะคุกเข่าลงเตรียมรอรับคำสั่งอยู่แล้ว ความเงียบครอบงำอยู่หลายอึดใจ ในที่สุดคำสั่งสุดท้ายก็ออกมาจากปาก Red Rose
“วายะ… จับตัวซากุระกลับไปขังที่คุกใต้ดิน ฉันจะเป็นคนลงโทษเค้าด้วยตัวเอง”
ความกล้าแกร่งทระนงทำให้ไม่อาจแสดงความหวั่นไหวออกมาได้ แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะทิ่มแทงหัวใจแค่ไหน นัยน์ตาที่ว่างเปล่าเบือนไปสบกับคุณชายสายน้ำอีกครั้ง
“กลับองค์กรกันเถอะเซกิ ฉันไม่มีธุระที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงที่เย็นชา ท่าทางที่ไร้หัวใจ เหมือนเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยมีความหมาย ตรึงคุณชายสายน้ำให้นิ่งงันอยู่กับที่ ไทกิรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เซกิหันมาแสยะยิ้มให้กับชัยชนะ จากนั้นก็นำเหล่าองครักษ์ฝ่ายขาวและแดงตามผู้นำกลับไป
วายะถือกุญแจมือเดินเข้ามาหายมทูตคนที่สามซึ่งยอมยื่นมือมาให้จับแต่โดยดี
“ท่านมิสึกิ!” ยูอิขวางทางไว้ ไม่ให้วายะเข้ามาใกล้เจ้านายของตัวเอง
“หลีกไปเถอะยูอิ อย่าให้วายะต้องลำบากใจเลย ฉันเองก็รู้อยู่แล้วว่าคุณไทกิต้องตัดสินใจแบบนี้” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของมิสึกิก็มีแววปวดร้าวไม่แพ้กัน เค้าถอนใจเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาวายะและยอมถูกจับกุมแต่โดยดี
“ฉันไม่ยอมให้นายไป!”
คนที่กำลังช็อกกับการเสียคนรักไปคนนึงแล้ว พอเห็นเพื่อนซี้ถูกจับตัวไปต่อหน้าก็ยิ่งสติแตกจนควบคุมไม่อยู่ ซุยโกรธจนแทบจะสะกดความแค้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เค้าพร้อมจะเปลี่ยนอาชีพจากนักคุ้มกันเป็นนักฆ่าได้ทุกเมื่อ ถ้าเพื่อนซี้ไม่ปราดเข้ามาปรามไว้ซะก่อน
“ฉันรู้ว่านายกำลังโกรธ แต่อย่าเพิ่งระเบิดออกมาตอนนี้” มิสึกิแอบเข้าไปกระซิบใกล้ๆให้ได้ยินกันแค่สองคน “ที่ตึก K38 ใช้รหัส HOPE ถ้านายอยากได้สิ่งที่รักคืนก็ต้องมาให้ได้นะ… อย่าลืม”
มิสึกิต้องรีบบอกข่าวอย่างรวดเร็วที่สุดเพราะถูกจับตาดูอยู่ ก่อนจะโดนลากออกไปข้างนอก คุมตัวขึ้นรถลีมูซีนสีดำแล้วขับเลี้ยวโค้งหายไปอย่างรวดเร็ว ซุยได้แต่เก็บความแค้นเอาไว้เงียบๆ ในชีวิตไม่เคยเกลียดชังใครเท่านี้มาก่อน ความโกรธแค้นและความเจ็บปวดเค้าจะสะสางมันด้วยมือของตัวเอง
รอก่อนเถอะ… ไอ้ลิลลี่ปีศาจ

ในคุกใต้ดินซึ่งร้างนักโทษมาช้านาน บัดนี้ได้กลายเป็นที่คุมขังผู้นำคนที่สามแห่ง Death Flowers คิดไปคิดมาก็น่าขัน ปกติพวกมันไม่ค่อยใช้ที่นี่ เพราะนักโทษส่วนใหญ่มักจะถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกซ้อมปางตายก่อนจะนำมายังคุกใต้ดิน คงจะมีแต่เค้าล่ะมั้งที่ถูกอัญเชิญลงมาในสภาพที่เกือบจะสมบูรณ์ที่สุด
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนะครับท่านมิสึกิ ผมจะให้คนของผมเฝ้าที่นี่ ท่านสามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ” วายะย้ำอีกครั้ง ดูท่าทางจะเป็นห่วงท่านผู้นำเอามากๆ หรือว่ากลัวจะโดนไทกิดุอีกรอบก็ไม่รู้
มิสึกิยิ้มบางๆ “ฉันเป็นนักโทษนะวายะ ไม่ต้องให้อภิสิทธิ์ขนาดนั้นหรอก อันที่จริงนายจะเรียกฉันว่ามิสึกิเฉยๆยังได้เลย”
“ไม่นะครับ… ท่านมิสึกิ!” วายะลุกลี้ลุกลน “ผมน่ะยังไงก็เคารพทั้งท่านไทกิและท่านมิสึกิเสมอ และก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของท่านเซกิเลย ผมอยากให้ท่านมิสึกิได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมคงทำได้แค่นี้เท่านั้น”
หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าซึม จนซากุระอดไม่ได้ที่จะลูบหัวปลอบใจ
“วายะ… เธอน่ะเหมาะที่จะติดตามคุณไทกิจริงๆ เธอเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดในบรรดาหัวหน้าทั้งสาม ไม่ใจร้อนเหมือนยูอิ และไม่ปลิ้นปล้อนเหมือนริว ฉันฝากเธอดูแลคุณไทกิด้วยนะ คอยเตือนเค้าไว้ด้วยว่าอย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาด”
“พี่เห็นฉันเป็นคนไม่มีหัวคิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงต้องฝากลูกน้องให้ดูแลฉันซะขนาดนั้น”
คนที่ถูกพาดพิงถึงผลักประตูเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย วายะโค้งตัวคำนับแล้วรีบถอยออกไป ปล่อยให้ผู้นำสองคนได้อยู่กันตามลำพัง
“คุณไม่ควรมาที่นี่” มิสึกิดุ
“ตอนนี้ฉันเป็น Red Rose จะไปไหนในองค์กรก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าหน้าไหนมันจะกล้าห้ามฉัน” ว่าแล้วคนดื้อก็ทิ้งตัวลงข้างๆรุ่นพี่ร่วมสถาบัน ทำไมนะ… สถานที่ใหญ่โตโอ่อ่า แต่กลับไม่มีที่ไหนที่เค้าจะอยู่แล้วอบอุ่นใจเท่าที่นี่เลย
ไทกิซุกตัวกอดเข่าไว้แน่น ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาสีแดงก่ำก็ค่อยๆมีน้ำตาไหลซึมออกมา ที่นี่คงจะเป็นที่แห่งเดียวในองค์กรที่เค้าจะสามารถปลดปล่อยความอ่อนแอของตัวเองออกมาได้
“ฉัน… ขอโทษ”
คำที่พร่ำบอก… คือสิ่งทดแทนความรู้สึกทั้งหมด เค้ามองไม่เห็นแล้วว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร จะยังคงมีสิ่งใดเหลืออยู่ แต่อย่างน้อย… ก็อยากรักษามิตรแท้คนนี้ไว้ให้นานที่สุด
“แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ถ้าไม่พามิสึกิกลับมาด้วย เซกิก็ต้องหาทางเล่นงานพี่อีก พี่อยู่ที่นี่จะปลอดภัยที่สุดเพราะอยู่ในสายตาของฉัน แต่ฉันก็ทำให้พี่ลำบาก ต้องกลายเป็นนักโทษ ถูกพวกลูกน้องมันเหยียดหยาม ฉันขอโทษจริงๆ”
มิสึกิเอื้อมมือลูบศีรษะท่านผู้นำคนเก่งอย่างอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจ ไทกิไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”
นัยน์ตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำวาวใส เงยขึ้นมาสบตารุ่นพี่ …ไทกิ… เมื่อกี้เค้าคงได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย
“ตอนนี้ฉันไม่ใช่ซากุระอีกแล้ว ในฐานะรุ่นพี่คงเรียกนายว่า ‘ไทกิ’ ได้ใช่มั้ยล่ะ” มิสึกิยิ้มให้
รุ่นน้องรีบพยักหน้าหงึกๆ “ฉันหวังอยากให้พี่เรียกฉันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ฉันชอบที่เราเป็นพี่น้องกัน มากกว่าเป็นเจ้านายกับลูกน้องไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ว่าแล้วก็ถือโอกาสซบหน้าเข้าไปกอดแล้วอ้อนต่อซะเลย
“วันนี้ฉันเหนื่อยมาก ขอพักอยู่ตรงนี้ได้มั้ย อยู่กับพี่มิสึกิฉันถึงหลับสนิทได้เต็มตา อยู่กับพี่… ฉันจะได้ไม่ต้องทรมานเพราะคิดถึงใครบางคนอีก”
ไทกิฝืนใจข่มตาลง ภาพของซุย ทั้งสีหน้าท่าทางที่ปวดร้าวยังคงฝังแน่นในความทรงจำ เค้าคงไม่มีวันลืมได้ แต่เค้าก็ไม่อาจลากซุยกับครอบครัวจมลงสู่องค์กรนรกนี่ได้เหมือนกัน
เรื่องระหว่างเราขอให้จบลงแค่นี้… ให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้ว
เพียงไม่กี่นาที… ความอ่อนล้าทั้งกายใจก็ทำให้ท่านผู้นำหลับไปในที่สุด มิสึกิต้องใช้เวลาปลอบอยู่หลายชั่วโมงกว่าคนที่เพ้อเพราะฝันร้ายจะหลับได้อย่างสงบสุข เสียงจังหวะหายใจราบเรียบสงบนิ่ง นี่คงจะเป็นการหลับที่ลึกที่สุดและคงจะไม่ตื่นง่ายๆถึงแม้จะไม่มีเค้าอยู่ด้วยก็ตาม
มิสึกิวางรุ่นน้องตัวยุ่งลงบนที่นอนหยาบๆที่พวกผู้คุมจัดให้ หลังจากจัดท่าให้นอนสบายที่สุด หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมกันหนาว แล้วก็มองดูใบหน้าคนดื้อรั้นอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
“รออยู่ที่นี่ก่อนนะ ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์ แล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
อดีตยมทูตซากุระแหงนหน้ามองกล้องวงจรปิดที่เฝ้ามองเค้าอยู่นานแล้ว มันจับตามองตั้งแต่ตอนที่ไทกิมาที่นี่ คนหน้าด้านที่ทำเรื่องแบบนี้ได้มีมันคนเดียวนั่นแหละ มิสึกิเดินเข้าไปใกล้กล้องตัวนั้นแล้วสั่งเสียงเข้ม
“ฉันรู้ว่านายดูอยู่… เซกิ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ประตูห้องขังเลื่อนเปิดเองโดยอัตโนมัติ ผู้คุมที่เฝ้าหน้าห้องก็เดินนำไปยังห้องมอนิเตอร์ใหญ่ที่เซกิยึดเป็นฐานทัพ เพื่อจะได้เฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของไทกิได้ตลอดเวลา หลังจากเผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถูกไล่ออกไปจนหมด เหลือเพียงเรื่องที่ต้องสะสางระหว่างยมทูตสองคนเท่านั้น
เซกินั่งเอนหลังพิงเก้าอี้นวมอย่างสบายอารมณ์ แต่สายตายังคงจ้องเขม็งไปยังมอนิเตอร์ห้องใต้ดินที่ท่านผู้นำยังคงหลับพริ้มอย่างเป็นสุข
“วิธีกล่อมเด็กของนายไม่เลวเลยนี่ ไม่เรียนมาจากไหนเหรอ” เซกิเหน็บแนม ตอนนี้ซากุระที่เริ่มเจ็บแผลเก่าแปล๊บๆก็เลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งบ้าง เค้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน จะมายืนคุยกับมันให้เมื่อยทำไม
“มันก็ไม่มีวิธีอะไรที่ซับซ้อนนักหรอก ขึ้นอยู่กับว่าคนที่นายอยากกล่อมเค้าเชื่อใจนายแค่ไหนต่างหาก”
นัยน์ตาสีแดงเยือกเย็นสว่างวาบ ก่อนที่มันจะพยายามระงับสัญชาตญาณการฆ่าไว้ให้นานที่สุด
ยัง… ยังไม่ถึงเวลา
“นายมานี่คงไม่ได้มาบอกราตรีสวัสดิ์ฉันหรอกนะ” เซกิเริ่มเข้าเรื่อง แต่ก็เดาไม่ยาก เพราะเรื่องที่มันอยากมาเคลียร์กับเค้าคงมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก
“นายยังจำได้หรือเปล่า ทั้งฉันทั้งนายถูกคุณเคโตะพามาที่องค์กรพร้อมกัน ตอนนั้นเราทั้งคู่อายุแค่ห้าขวบ นายมาจากชิกะ ส่วนฉันมาจากฮอกไกโด เราต่างเป็นคนที่ครอบครัวไม่ต้องการ แต่คุณเคโตะก็มอบชีวิตใหม่ให้พวกเรา”
“แล้วไง?” เซกิยกแขนขึ้นมากอดอก หมุนเก้าอี้มาสบตากันซึ่งๆหน้า กี่ปีกี่ชาติไอ้หมอนี่มันไม่เคยน่ารัก พูดอะไรก็ไม่เคยเข้าหู ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกได้แล้วมั้ง
“ฉันก็แค่อยากให้นายทบทวนว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้เค้าเรียกว่า ‘เนรคุณ’ หรือเปล่า ฉันไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นนะเซกิ แต่คุณเคโตะเชื่อใจให้นายเป็นยมทูตมือขวาคอยติดตามคุณไทกิ เพราะเชื่อว่านายจะดูแลลูกชายเพียงคนเดียวของเค้าได้ แต่สิ่งที่นายทำตอนนี้มันเหมือนเป็นการหักหลังคุณไทกิอย่างร้ายกาจที่สุด นายคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ลิลลี่หัวเราะร่วนเหมือนเห็นเป็นเรื่องจี้เส้นซะงั้น “นายละเมออะไรออกมาน่ะมิสึกิ ไอ้สิ่งเลวระยำต่ำช้าที่จอมหลอกลวงเคโตะมอบให้พวกเรา นายเรียกว่าเป็นบุญคุณเหรอ หึ… แต่สำหรับฉัน ฉันเรียกมันว่าความสมเพช”
มิสึกิอึ้งไปนิด อันที่จริงบางช่วงบางตอนก็ต้องยอมรับว่าการฝึกของคุณเคโตะมันร้ายกาจมาก เค้าเองก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายมาไม่รู้กี่ครั้งเพื่อให้หลุดพ้นจากความกลัว แต่เจ้าเซกิมันเจอมามากน้อยแค่ไหน เจออะไรกันแน่ ถึงได้แค้นฝังใจขนาดนี้
“ตอนแปดขวบฉันถูกแยกไปอยู่ที่โรม นายกับคุณไทกิก็อยู่ที่อเมริกามาตลอด เมื่อก่อนนายไม่ได้เป็นคนแบบนี้ คุณเคโตะเค้าทำอะไรนายถึงเปลี่ยนไป”
นัยน์ตาของเซกิว่างเปล่าราวกับได้ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง มันทั้งเศร้า ทั้งหมองหม่น เหมือนมันได้ทิ้งหัวใจของความเป็นคนไปแล้ว มิสึกิมองแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ จริงอยู่ถึงนิสัยมันจะดื้อและเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วเพราะอะไรจู่ๆเพื่อนที่ดีที่สุดถึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ สิ่งนี้ยังคงคาใจมาตลอด
“นายอย่ารู้เลย นายศรัทธาเค้ามากไม่ใช่เหรอ ถึงจะฉันจะเลวแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำลายความหวังของใคร นายวาดภาพเค้าเป็นพ่อทูนหัวที่แสนดีต่อไปเถอะ ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของฉัน”
มิสึกิผุดลุกจากที่นั่งของตัวเอง แล้วไปยันเก้าอี้มันไว้ไม่ให้หมุนตัวหนีไปไหนได้อีก
“ฉันขอร้องล่ะเซกิ” สายตาที่ไม่เคยแสดงให้เห็น เริ่มกลับมามองกันและกันอีกครั้ง “ฉันก็เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งของนาย คุณไทกิเองก็เป็นเหมือนน้องชายของเราสองคน ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างเราสามคน แต่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย อย่าให้คนที่ตายไปแล้วมาทำให้พวกเราต้องบาดหมางกันเองแบบนี้ได้มั้ย ฉันขอร้อง”
เซกิมองหน้าเพื่อนร่วมองค์กรด้วยความสับสน แต่เพราะทิฐิมานะมีมากกว่า เค้าถลำลึกเกินกว่าที่จะถอนตัวได้แล้ว สิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่มาได้จนถึงตอนนี้มีแค่สิ่งเดียว ก็คือ… ความแค้น
“กลับไปซะ!” เซกิผลักแขนมิสึกิออกไป “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ฉันไม่ยกโทษให้ใครทั้งนั้น ฉันจะตามจองล้างจองผลาญพวกมันจนกว่าตายอย่างทรมานที่สุด!”
“พอซะทีเถอะเซกิ!!”
มิสึกิเองก็ชักจะเหลืออด ขนาดความเจ็บที่พยายามอุทธรณ์ก็ยังไม่อาจหยุดกระแสความโกรธในตอนนี้ได้ เค้ากระชากคอเสื้อคนที่ดื้อที่สุดในองค์กรลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
“นายฆ่าคุณเคโตะไปคนนึงแล้ว… ยังคิดจะฆ่าคุณไทกิอีกคนหรือไง”
“ยัง… ยังไม่พอ แค่มันตายยังไม่สาสมกับสิ่งที่พ่อของมันเคยทำกับฉันหรอก ฉันจะลากมันลงมาสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุด ปล่อยให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเคียดแค้นชิงชังเหมือนอย่างที่ฉันเคยได้รับ!”
มิสึกิถอยตัวออกช้าๆ นัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นบ่งบอกว่ามันไม่ได้โกหก คงสายเกินไปที่เค้าจะฉุดมันขึ้นอีกครั้ง เซกิคนเดิมไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้ว มีเพียงปีศาจร้ายที่หล่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดด้วยความเกลียดชังเท่านั้น
“จากนี้ไปนายคิดจะทำอะไร?” เค้าพยายามฝืนใจถาม ในเมื่อห้ามมันไม่ได้ก็มีเพียงทางเดียวคือขัดขวางให้ถึงที่สุด ศึกระหว่างเพื่อน… ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลยจริงๆนะเหรอ
“ทำอะไรก็ได้ ให้มันเสียใจและแค้นอย่างที่สุด ไม่ว่าจะต้องฆ่านายหรือฆ่าใครอีกสักกี่คน ฉันก็จะทำ”
“งั้นนายกับฉันก็คงต้องเป็นศัตรูกันไปตลอดชาติ ฉันเองก็ขอยืนยันคำเดิมว่าจะปกป้องคุณไทกิจนถึงที่สุดเหมือนกัน”
มิสึกิสะบัดหน้าเดินออกจากห้อง แต่ก่อนที่เค้าจะพ้นจากช่องประตู เสียงที่อ่อนโยนซึ่งไม่เคยได้ยินมานานแสนนานก็เรียกรั้งตัวเค้าเอาไว้
“มิสึกิ… ฉันดีใจนะที่เคยได้เป็นเพื่อนกับนาย”
รอยยิ้มสุดท้ายที่เห็นเป็นของจริงไม่ใช่เสแสร้ง แต่มิสึกิก็ไม่มีโอกาสถามให้รู้ความจริงในส่วนลึกของจิตใจมันอีกแล้ว เมื่อมันกดรีโมทปิดเลื่อนประตูอัตโนมัติปิดตายซะดื้อๆ หนีปัญหาทั้งหมดโดยการขังตัวเองอยู่ข้างใน
“เซกิ”
มิสึกิทุบประตูดังปังแล้วก็ได้แต่ทรุดอยู่ตรงนั้น กระซิบเสียงแผ่วเบาที่ไม่คาดหวังว่าคนข้างในจะได้ยิน
“นายอย่าตายนะเซกิ ฉันสัญญาจะปกป้องพวกนายสองคนให้ได้”
เท้าที่อ่อนล้านำพาซากุระกลับไปยังห้องขัง ใครบางคนที่นี่… ยังคงหลับสนิทไม่รับรู้ต่อสิ่งใด มิสึกิเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของคนที่หลับเป็นตายอีกครั้ง แล้วชั่งใจคิดอยู่นาน
เค้าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดวงจรความแค้น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของเค้าก็ตาม
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:41:52
 :m22:Chapter 27 White Lily

…เซกิ…

‘เธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการแล้ว ไปอยู่กับฉันเถอะนะ’

เสียงที่อ่อนโยนกับมือใหญ่ที่แสนอบอุ่น เหมือนเทวดามาโปรดในยามที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ญาติๆก็ไม่มีใครต้องการฉันสักคน มีแต่ ‘เค้า’ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่คอยโอบอุ้มฉันไว้ในยามที่ไม่มีใครเหลืออยู่
ฉันสาบานจะซื่อสัตย์จงรักภักดี และมีชีวิตอยู่เพื่อคนเพียงคนเดียว
แต่แล้ว… ทำไม?

“เซกิเป็นมือสังหารที่ดีที่สุด ได้ข่าวว่าอาจจะถูกเลื่อนชั้นเป็นยมทูตเร็วๆนี้ด้วย”
นักฆ่าสองคนเดินวิจารณ์มาตลอดทาง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสำคัญประจำปี และเป็นการเปิดตัวสมาชิกใหม่คนสำคัญแห่งองค์กร
“เด็กที่อยู่โรมก็ได้ข่าวว่าฝีมือไม่เลวนะ อาจจะถูกคัดเลือกให้เป็นยมทูตก็ได้” อีกคนเสนอความเห็นบ้าง
“ยังเด็กทั้งคู่… อายุแค่สิบสองสิบสามเองมั้ง เด็กรุ่นใหม่นี่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ”
“แต่ถึงยังไงก็ยังสู้ท่านไทกิไม่ได้” นักฆ่าคนที่สองอวดด้วยความภาคภูมิ “ฉันเคยเข้าร่วมทดสอบท่านครั้งหนึ่ง บอกได้คำเดียวว่าท่านเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง Red Rose มากที่สุด คราวนี้ท่านเคโตะคงวางใจ ที่คนข้างกายท่านล้วนแล้วแต่มีฝีมือทั้งนั้น”
“แต่ถึงยังไงฉันก็ชอบเด็กเซกิมากที่สุด ทั้งน่ารัก ทั้งนิสัยดี มีความมุ่งมั่นสูง ดูอย่างตอนที่เค้าถูกส่งมาฝึกกับฉันสิ ขนาดรู้ว่าโดนแกล้งก็ยังไม่บ่นสักคำ แถมตอนท้ายยังบอกขอบคุณฉันอีกแน่ะ น่ารักมากๆเลย”
เพื่อนยื่นศอกมาสะกิดแขนคนที่กำลังออกปากชมลูกศิษย์ ตอนที่เด็กที่ว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสวนมาจากระเบียงอีกด้านหนึ่ง นักฆ่าพี่เลี้ยงทั้งสองคนแอบอมยิ้มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยทักทายและเรียกตัวเอาไว้
“เซกิคุง… จะรีบไปไหนจ๊ะ”
เด็กน้อยสะบัดหัวสีเงินมาโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“รุ่นพี่รุกะ… รุ่นพี่โทโมมิ…” เซกิทักอายๆ “คุณเคโตะเรียกตัวผมครับ ผมต้องรีบไป”
“ดึกป่านนี้แล้วท่านเคโตะจะเรียกเซกิไปหาทำไมนะ” รุกะพี่เลี้ยงคนสนิททำท่าคิดหนัก
“อาจจะให้ไปช่วยงานลับก็ได้ เธอก็คิดมากไปแล้วรุกะ ท่านออกจะโปรดเซกิคุง ไม่แน่นะ… เร็วๆนี้ลูกศิษย์เธอคงได้เลื่อนชั้นเป็นหนึ่งในสามยมทูตแน่ๆ ขอให้ได้เป็นซากุระเถอะ จะได้มาอยู่สังกัดเดียวกัน แต่ถ้าเป็นลิลลี่ล่ะก็…” ว่าแล้วโทโมมิก็ทำหน้าหนักใจ แล้วตัดบทไม่พูดต่อซะดื้อๆ
“ลิลลี่ทำไมเหรอครับ?” เด็กน้อยถามต่อด้วยความสนใจ
สองพี่เลี้ยงสาวหันมาสบตากัน มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านแล้ว ก็เข้าไปกระซิบกับเซกิที่กำลังทำท่าอยากรู้อยากเห็น
“มันเป็นตำแหน่งต้องคำสาปน่ะสิ ไม่มีใครครองตำแหน่งนี้ได้ยาวนาน และทุกคนที่เคยเป็นลิลลี่จะมีจุดจบที่น่าอนาถทุกราย”
เด็กน้อยผงะไปชั่ววูบ ตำแหน่งต้องสาปที่ใครๆก็ฝันนักหนาว่าอยากเป็น มันเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ
“ผมว่ามันก็คงเป็นแค่ข่าวลือมั้งครับ คนอยู่ในสายอาชีพนี้ ยังไงก็มีจุดจบไม่สวยอยู่แล้ว คงไม่เกี่ยวกับตำนานคำสาปอะไรนั่นหรอก”
“ใช่จ้ะ… อย่าไปฟังโทโมมิโม้นักเลย” รุกะหมุนตัวเด็กน้อยให้เดินหน้าต่อ “ฉันว่าเธอรีบไปเถอะ ไปช้าเดี๋ยวจะโดนท่านเคโตะดุเอานะ ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องระหองระแหงกับคุณริเอะ ท่านก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
“เอ่อ… ผมกะว่าจะแวะเอาของไปให้คุณไทกิก่อนน่ะครับ แล้วค่อยไปหาคุณเคโตะ” ว่าแล้วก็ล้วงถุงเครื่องรางอันเล็กๆออกมาอวด
สองสาวขยับเข้าไปดูใกล้ๆแล้วหัวเราะคิกคัก
“ต๊าย! น่ารักจัง… เซกิอุตส่าห์บินกลับญี่ปุ่นก็เพื่อสิ่งนี้เหรอจ๊ะ ท่านไทกิเห็นแล้วต้องชอบมากแน่ๆ”
เด็กน้อยพยักหน้า “ช่วงนี้คุณไทกิฝึกหนักมาก กลับมาก็มีแต่แผลเต็มตัวไปหมด ถึงจะรู้ว่าเค้าไม่มีทางพลาดแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ผมเข้าไปยุ่มย่ามกับการฝึกของคุณไทกิไม่ได้ แต่ก็อยากทำอะไรให้เค้าบ้าง ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยโดยการให้เครื่องรางคุ้มกันผมก็จะทำ นี่เป็นของวัดฮิเอซันเชียวนะครับ เค้าบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว”
รุกะอมยิ้มแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยี้ผมเด็กน้อยหนักๆด้วยความเอ็นดู
“เธอเป็นเด็กดีนะเซกิ ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องเป็นผู้คุ้มกันที่ดีที่สุดของท่านไทกิอย่างแน่นอน”
คนถูกชมหน้าบานยิ้มแป้น ก่อนจะโค้งตัวลา แล้วรีบวิ่งทั่กๆต่อไปยังห้องเจ้านายที่เค้ารักมากที่สุด
คืนนั้น… เจ้านายตัวน้อยหลับปุ๋ยไปแล้ว เครื่องรางเล็กๆจึงเป็นของขวัญที่แอบเอาไปวางไว้ข้างหมอน ความอบอุ่นที่รู้สึกว่ามีครอบครัวอีกครั้งจากคนที่เคยสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเซกิแล้ว ไทกิก็คือน้องชายตัวน้อยที่อยากปกป้องและดูแลตลอดไป
แต่ใครจะรู้… เพียงชั่วข้ามคืนทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากความรักมากมายที่เคยมีให้ มันกลับกลายเป็นความแค้นที่ไม่อาจลืมเลือน
ในตอนที่เค้าก้าวเท้าเข้าไปในห้องของคนๆนั้น…

ค่ำคืนนี้มีฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก พายุพัดพาสายฝนเย็นเยียบผ่านเข้ามาทางช่องระเบียง เด็กน้อยกระชับเสื้อคุลมแน่นขึ้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ใส่ใจกับความเลวร้ายของสภาพอากาศ แล้วจินตนาการถึงเช้าวันใหม่ที่น้องชายคนสำคัญจะตื่นมาพร้อมกับความประหลาดใจที่ได้เห็นของขวัญวางอยู่ข้างๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี เพราะปกติคุณเคโตะไม่เคยเรียกพบดึกขนาดนี้ หรือว่าเค้าจะทำอะไรพลาดไปจนต้องเรียกมาลงโทษกลางดึก

ก๊อก… ก๊อก…

“ผม… เซกิ ขอเข้าไปนะครับ” เด็กน้อยเคาะประตูแล้วส่งเสียงนำไปก่อน
ประตูอัตโนมัติที่ถูกปิดแน่นหนาด้วยรหัสลับก็ถูกเลื่อนเปิดออก และทันทีที่เค้าก้าวเท้าเข้าไปมันก็ปิดตายอีกครั้ง ร่างสูงสง่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้นวมหน้าเตาผิง ข้างๆกันนั้นมีขวดบรั่นดีชั้นดีนับสิบกลิ้งเกลือกอยู่โดยรอบ เด็กน้อยพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความกลัว
ลองดื่มหนักขนาดนี้ แสดงว่าเจ้าตัวคงจะอารมณ์เสียเอามากๆ หรือว่าจะทะเลาะกับคุณริเอะอีกแล้ว
ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หันมาจ้องเด็กน้อย เซกิพยายามเลี่ยงไม่สบตาด้วย เพราะเค้ารู้ดีว่าเวลาคุณเคโตะอารมณ์ไม่ดีจะน่ากลัวขนาดไหน เค้าจึงเลือกที่จะไปนั่งห่างๆอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมห้อง
“เข้ามาใกล้ๆฉันสิ… เซกิ”
คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก แต่จะไม่ทำตามก็ไม่ได้ เพราะถ้าขืนมาขัดใจในเวลาแบบนี้มีหวังคงโดนลงโทษจนอ่วมแน่ เด็กน้อยจึงฝืนลุกเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆ
“คุณเคโตะมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ”
สายตาสีแดงคมกริบหันมาจดจ้อง ทั้งแข็งกระด้าง เย็นชา และน่ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ดวงตาสีแดงคู่นั้นดูว่างเปล่าและโกรธเคือง เค้าทำอะไรผิด? หรือว่ามีใครทำอะไรให้คุณเคโตะไม่พอใจ? ปกติถึงจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีที่ออดอ้อนขอนู่นขอนี่ได้ แต่คุณเคโตะก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ราวกับว่าวิญญาณซาตานที่หลับใหลอยู่ในจิตใต้สำนึกของกุหลาบแดงกำลังจะตื่นขึ้นมายังไงยังงั้น
และในขณะที่กำลังขบคิดถึงต้นเหตุที่ทำให้ท่านผู้นำอารมณ์เสีย มือที่ใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่าสิบเท่าก็พุ่งเข้ามาจู่โจมกดร่างเด็กน้อยไว้กับพื้นพรม มือข้างหนึ่งรวบสองแขนเล็กตรึงไว้เหนือศีรษะ ส่วนอีกข้างก็บีบคอแน่นจนเค้าแทบหายใจไม่ออก
“คะ… คุณ… เคโตะ!?”
เซกิทำเสียงอึกอัก เพราะมือที่บีบรอบคอทำให้เค้าแทบจะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ ดวงตาของกุหลาบแดงในยามนี้เหมือนปีศาจที่ชั่วร้าย จ้องเค้าด้วยความโกรธแค้นราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตมานานนับสิบปี
“ผู้หญิงคนนั้นทิ้งฉันไปแล้ว!” เสียงกัดฟันกรอดๆกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยโทสะ ย้ำเตือนว่าบัดนี้เจ้านายที่เค้าเคยเคารพรักไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“คุณริเอะนะเหรอครับ” เซกิกลั้นใจถามออกไปทั้งๆที่ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แล้วก็มารู้ตัวว่าทำผิดอย่างมหันต์ก็ตอนที่ดวงตาสีแดงก่ำกลายเป็นสีเลือดสนิท เหมือนเช่นเวลาที่กุหลาบแดงต้องการสังเวยเลือดของใครสักคน
“อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นให้ฉันได้ยินอีกเป็นอันขาด!”

เพียะ!

แรงตบทำให้เด็กน้อยถึงกับกระเด็นไปติดฝาผนัง แต่ก็ยังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาทั้งๆที่ใบหน้าขาวนวลมีรอยฝ่ามือแดงก่ำกับรอยเลือดไหลซิบๆที่มุมปาก
“ให้ผมไปตามเธอกลับมาเถอะครับ ถึงยังไงเธอก็เป็นคุณแม่ของคุณไทกิ ไม่มีแม่คนไหนใจร้ายทิ้งลูกตัวเองได้ลงคอหรอกครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องยอมกลับมาแน่” เด็กน้อยพยายามต่อรอง
“งั้นเหรอ” ปีศาจร้ายแค่นเสียงหัวเราะ “ผู้หญิงที่วันๆคิดแต่จะหักหลังฉัน ไม่สำคัญขนาดจะยกให้เป็นแม่ของว่าที่ผู้นำในอนาคตหรอก ฉันก็แค่เก็บหล่อนไว้ข้างตัวเพื่อช่วยสะกดวิญญาณปีศาจกระหายเลือดในตัวก็เท่านั้น”
“หมายความว่ายังไง?” เซกิพยายามสะกดตัวเองไม่ให้คุ้มคลั่ง ทั้งที่รู้สึกว่าเรื่องมันชักจะเลวร้ายขึ้นทุกขณะ คุณเคโตะกับคุณริเอะ… ผู้หญิงที่ถูกฝืนใจให้มาอยู่กับชายที่ได้ชื่อว่าปีศาจ ลึกๆแล้วสองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:42:43
27 ต่อ
ดวงตาสีเลือดจ้องมองมาที่เค้าอีกครั้ง ขายาวๆก้าวฉับเข้ามาใกล้ สองมือยันผนังไว้เพื่อกันไม่ให้หนี แล้วรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปากก็ปรากฏขึ้น กระซิบเสียงบอกความจริงที่เด็กน้อยจะต้องฝันร้ายไปตลอดกาล
“Red Rose คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนคำสาปมัจจุราชที่ผูกมัดฉันไว้กับความตาย เธอเองก็เรียนรู้จากฉันมาไม่น้อย บางทีเธอเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าอยากจะฆ่าใครสักคนที่เดินผ่านหน้าโดยไม่มีเหตุผล”
คำพูดที่ทำให้เซกิหน้าซีดเผือด เค้าก็พอจะรู้ว่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นกุหลาบแดงต้องฝึกหนักและคลุกคลีอยู่กับความตายและกลิ่นคาวเลือด จนแทบจะเรียกได้ว่าหายใจเข้าออกเป็นการฆ่า  Rose คือเครื่องจักรสังหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน… ก็เป็นตัวอันตรายสำหรับคนรอบข้าง วันดีคืนดีถ้าคุณเคโตะเกิดคุ้มคลั่ง กี่ร้อยกี่พันชีวิตที่อยู่ในนี้ก็คงจะถูกสังหารจนไม่เหลือแม้สักคน
“มีเพียงสิ่งเดียวที่จะสะกดความพลุ่งพล่านในใจของฉันได้ เธอรู้มั้ยว่าคืออะไร?”
เคโตะใบ้คำปริศนาทั้งที่สายตาบ่งบอกอาการกระหายเลือดเต็มแก่ แต่มันเป็นคำถามที่เซกิไม่เคยนึกอยากรู้คำตอบ และพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณริเอะถึงไม่เคยมีความสุขกับการอยู่ที่นี่เลย
“ให้ผม… ไปตามใครสักคน… มาช่วยคุณเคโตะดีมั้ยครับ คนที่อยากเป็นเจ้าสาวของคุณเคโตะมีออกตั้งเยอะ บางทีพวกหล่อนอาจจะช่วยคุณได้”
เด็กน้อยเสียงสั่นเครือและยังคงพยายามต่อรองด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มทน เพราะบัดนี้มือใหญ่ได้เอื้อมมาลูบไล้ใบหน้าเด็กน้อยแผ่วเบา ดวงตาสีเลือดที่จ้องสบดูเหมือนจะอ่อนข้อลงเล็กน้อย
“ไม่… ฉันต้องการเธอเท่านั้นเซกิ”
เสียงที่กระซิบบอกเยือกเย็นจนเด็กน้อยแทบจะฝืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ได้ ใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มลงมาใกล้ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจร้อนระอุที่ส่งมาปะทะ
“ดวงตาสีอิฐของเธอ… เหมือนกับริเอะไม่มีผิด มันทำให้ฉันนึกถึงครั้งแรกที่ฉันทำผิดพลาด โดยการคิดจะฆ่าเจ้าหล่อน แต่กลับถูกดวงตาคู่นี้ดึงดูดให้หลงใหลจนไม่อาจถอนตัวได้อีก มันทำให้ความรู้สึกอยากฆ่าคนของฉันลดน้อยลง ทำให้ฉันมองคนอื่นเป็นสิ่งมีชีวิตมากกว่าจะเป็นแค่สิ่งของเปราะบางที่จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้… มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยสะกดปีศาจในใจฉัน ก่อนที่ฉันจะลืมตัวและลงมือฆ่าทุกคนในองค์กรจนหมด”
“ไม่!!”
เซกิฝืนใจใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายผลักเคโตะออกไปเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด เค้าจะไม่ยอมทำเรื่องวิปริตผิดเพศแบบนี้เป็นอันขาด เค้าเป็นผู้ชายนะ แล้วเรื่องอะไรจะให้ผู้ชายด้วยกันมาใช้ร่างกายของเค้าเป็นเครื่องระบายอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและน่าขยะแขยงที่สุดในชีวิต
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก” ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ขับสีเลือดเป็นครั้งที่สอง จ้องเขม็งไปยังร่างที่กำลังตะเกียกตะกายไปที่ประตูทางออก “ฉันจะไม่ยอมให้ใครหนีไปจากฉันต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว!”
ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวที่เค้ากำลังจะพ้นจากขุมนรก ความหวังทุกอย่างก็พลันดับสลาย มือใหญ่พุ่งเข้ามาคว้าหมับแล้วลากเค้ากลับไปยังเตียงใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างๆกันนั้นมีแจกันปักดอกลิลลี่สีขาวคอยย้ำเตือนถึงตำนานที่ได้ยินมาตั้งแต่เล็ก
ลิลลี่… คือ ดอกไม้ต้องคำสาป เบื้องหลังแห่งความบริสุทธิ์คือสีเลือดที่น่าชิงชัง มันจะพันธนาการผู้ที่ถือมันด้วยหัวใจที่โกรธแค้นและชิงชังตลอดชีวิต ถ้ากุหลาบแดงอยู่เพื่อทำลาย ซากุระอยู่เพื่อไล่ล่า ลิลลี่… ก็จะอยู่เพื่อล้างผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้ย่อยยับ
แต่ทว่า… คนที่ต้องบ่วงพันธนาการนี้ไม่มีใครมีจุดจบที่ดีสักคน
กำปั้นหนักๆทุบลงมาที่หน้าท้องอย่างแรง ทำให้ร่างที่บอบบางแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืนได้อีกต่อไปแล้ว สติของเค้ากำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง ภาพความฝันในอนาคตที่อยากต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนรักอย่างมิสึกิ และภาพพี่ชายผู้กล้าหาญที่อยากปกป้องคุณไทกิตลอดไป ค่อยๆเลือนหายจากมโนสำนึกทีละเล็กทีละน้อยในทุกสัมผัสหื่นกระหายที่ปีศาจตนนั้นมอบให้
ร่างสูงฉีกกระชากเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างเล็กๆอย่างไม่ใยดี บัดนี้ดวงตาของกุหลาบแดงไร้แววของความเป็นคนโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงปีศาจร้ายที่ต้องการดับความเร่าร้อนภายในใจตัวเองเท่านั้น
มือใหญ่ช้อนคางเล็กๆเข้ามาจูบ กัดริมฝีปากให้เผยอออกแล้วสอดลิ้นอุ่นรุกรานเข้าไปสัมผัสความหวานล้ำลึกจากภายใน ใบหน้าขาวนวลพยายามขยับเพื่อหลีกหนี แต่ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งถูกจูบหนักหน่วงขึ้นทุกที ริมฝีปากถูกกัดแน่นเจ็บจนแทบทนไม่ไหว และกำลังจะขาดใจตายเพราะอากาศที่หล่อเลี้ยงไม่พอเพียง
แต่ก่อนที่สติของเค้าจะดับวูบ ร่างสูงก็ปล่อยโอกาสให้เค้าได้สูดอากาศเข้าปอดอีกครั้ง เมื่อมันยอมถอนริมฝีปากแล้วเลื่อนลงไปยังเป้าหมายต่อไป ผิวเนียนๆรอบคอถูกลิ้มเลียและขบเม้มจนแดงก่ำ มือที่สอดรัดอยู่รอบเอวก็ค่อยๆเลื่อนมาคลึงกับปุ่มนูนเล็กๆที่ไวต่อสัมผัส
“โอ๊ย!! ไม่นะ… อย่า!”
เซกิได้แต่ร้องอุทธรณ์ลั่น แต่ก็ไม่อาจหยุดความโหดร้ายของผู้ชายคนนี้ได้เลย มือที่คลึงเล่นแผ่วเบาในตอนแรกเปลี่ยนเป็นบีบเค้นอย่างรุนแรง แถมอีกข้างยังถูกกัดจนมีเลือดไหลซึม ความเจ็บปวดร้าวระบมทำให้เด็กที่เข้มแข็งมาตลอดไม่อาจทนฝืนกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
“ฮือ… คุณเคโตะพอเถอะครับ ได้โปรด… อย่าทำแบบนี้กับผมเลย”
ดวงตาสีแดงเงยมาสบเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มได้ใจ “มันสายเกินไปแล้วเซกิ ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็ควรอยู่นิ่งๆและเงียบไว้ซะ”
เคโตะคว้าเศษผ้าที่กระชากออกไปในตอนแรกมาพันรอบข้อมือและอุดปากเด็กน้อยไว้แน่น ร่างบางได้แต่ส่งสายตาที่มีน้ำตาปริ่มคลอเบ้ามาเว้าวอนเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไร้ประโยชน์…
ร่างสูงเร่งถอดอาภรณ์จากร่างกายตัวเองบ้าง ความปรารถนาดำมืดภายในใจก็ยิ่งตั้งเด่นชัดออกมาจนเด็กน้อยตัวสั่นเทิ้ม ถ้าสิ่งนั้นเข้ามาในร่างกายของเค้าล่ะก็ ตัวเค้าจะต้องแหลกเป็นชิ้นๆแน่
“อื้อ!!!”
เซกิพยายามจะถีบตัวหนีตอนที่ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ถูกตรึงไว้อีกจนได้ เมื่อมือใหญ่คว้าข้อเท้าสองข้างแยกออกจากกัน แล้วดันเข่าให้สะโพกเล็กๆยกชันจนเห็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดชัดเจนขึ้น
“อา… เธอนี่เยี่ยมจริงๆเซกิ”
ร่างสูงเพ้อด้วยความหลงใหล ก่อนจะใช้ลิ้นลิ้มเลียลงไปกวาดทั่วทุกส่วนสัด จากปลายแท่งน้อยๆจนมาถึงร่องจุดสวาทที่ชวนให้รัญจวนที่สุด เมื่อเค้าสอดลิ้นเข้าไปข้างในแล้วสิ่งนั้นก็ตอดรัดรับกับลิ้นของเค้าจนแนบแน่น ขนาดถอนตัวออกมาแล้วความปรารถนาก็ยังพลุ่งพล่านไม่หยุด บางสิ่งที่อยู่ตรงแกนกลางจึงแข็งขืนขึ้นมาอย่างยั้งไม่อยู่
เคโตะโน้มลงไปกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า ร่างเล็กๆหยุดสั่นแล้วเพราะกำลังจะหมดสติ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ต้องผวาขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันกำลังจะเข้าไปแล้วนะเซกิ มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะหยุดมันได้ อย่าทำให้ผิดหวังล่ะ”

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เด็กน้อยร้องตะโกนลั่นสุดเสียงจนผ้าที่ใช้อุดปากไว้ยังหลุดกระเด็น ร่างสูงกระแทกตัวเข้าไปตรงหว่างกลางสอดใส่ความแข็งกระด้างเข้าไปจนมิด ทั้งเลือดทั้งคราบน้ำข้นๆไหลปรี่ช่วยหล่อลื่นให้ส่วนที่เปราะบางไม่ต้องบอบช้ำมากเกินไป แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดรวดร้าวที่กระแทกเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง
ภาพใบหน้าของเพื่อนรักและเจ้านายคนสำคัญเลือนหายไปพร้อมจิตใต้สำนึกที่ดีงาม
หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือเลย… ทั้งความหวัง มิตรภาพ และ… คุณค่าของความเป็นคน
หลังจากได้รับความสุขจนอิ่มเอม ร่างสูงก็ทิ้งคราบน้ำขาวขุ่นไว้ในร่างกายที่ร้อนระอุ ก่อนจะถอนตัวออกมาช้าๆ ความพลุ่งพล่านในใจค่อยๆผ่อนคลายลงทีละน้อย เคโตะมองเจ้าของร่างที่ทำให้เค้าสงบลงอีกครั้งพร้อมกับยิ้มบางๆ
“ปากเธอก็บอกว่าไม่… แต่ดูเหมือนร่างกายเธอจะไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลยนะเซกิ”
มือใหญ่ปาดคราบน้ำสีขาวขุ่นที่เปราะอยู่ทั่วท้องน้อยซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นของเค้า สีนั้นขาวสะอาดบริสุทธิ์ราวกับน้ำนมคงเพราะเป็นครั้งแรก เคโตะยกขึ้นมาลิ้มเลียสัมผัสกับรสชาติหวานฉ่ำที่ชวนให้ติดใจทีเดียว
“อืม… ไม่เลว มันทำให้ฉันนึกถึงอะไรบางอย่าง”
สายตาสีแดงคมกริบที่สงบลงเหลือบไปเห็นดอกลิลลี่ที่ปักอยู่ในแจกันข้างๆ แล้วความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมาในใจ ตำแหน่งนี้ปล่อยว่างมานานแล้ว หลังจากลิลลี่คนสุดท้ายถูกคนของรัฐบาลสังหาร คงได้เวลาที่จะหาคนใหม่ขึ้นมาแทนตำแหน่งซะที
เคโตะหยิบดอกลิลลี่ดอกหนึ่งมาถือไว้ในมือแล้วจูบแผ่วเบา
“ลิลลี่เป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ตรงสีขาวบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็หยัดยืนแข็งแกร่งไม่ยอมเหี่ยวเฉาง่ายๆ ฉันคิดว่ามันเหมาะกับเธอนะ”
มือใหญ่ยัดเยียดดอกลิลลี่ดอกนั้นใส่ไว้ในกำมือน้อยๆที่กำลังร้องไห้เงียบๆ มายกตำแหน่งสูงสุดให้เค้าตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันเทียบกับความรักความศรัทธาและสิ่งที่เค้าต้องสูญเสียไปไม่ได้เลย
“ดอกไม้แสนบริสุทธิ์นี้คือของขวัญที่ฉันมอบให้เธอ นอกจากจะเป็นตัวแทนอำนาจมากมายมหาศาลในกำมือของเธอแล้ว มันยังจะเป็นสิ่งที่คอยเตือนใจว่าเธอเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น และเธอจะไม่มีวันหนีฉันไปไหนพ้น จะต้องอยู่เป็นลิลลี่สีขาวเคียงคู่กับกุหลาบแดงตลอดกาล”
คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดั่งเวทมนตร์แห่งคำสาปที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย ภาพทุกอย่างตรงหน้าค่อยๆเลือนหายไปราวกับมีม่านสีดำมาปิดกั้นเอาไว้ ร่างกายเจ็บปวดชาร้าวจนไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีก เปลือกตาที่หนักอึ้งจึงขยับปิดสนิทตัดขาดทุกสิ่งจากโลกภายนอก เหลือไว้แค่เพียงความว่างเปล่าในใจเท่านั้น…

“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!”

ร่างบางสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพร้อมกับเสียงตะโกนลั่นในห้องจอทีวีวงจรปิด เซกิปาดเหงื่อที่ไหลอาบทั่วใบหน้า เค้าฝันแบบนี้อีกแล้ว… ห้าปีแล้วที่มันไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเค้า มีแต่จะคอยตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความเจ็บแค้นให้ฝังแน่นจนไม่อาจให้อภัยได้
“ใจเย็นๆไว้เซกิ มันก็แค่ความฝัน ตอนนี้คนเลวนั่นมันไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว”
เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองเหมือนเช่นทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาจากฝันนรก ก่อนจะเหลือบไปมองดอกไม้คู่กายที่ยังคงปักไว้อย่างสลดหดหู่อยู่ในแจกันลายคราม
ลิลลี่สีขาวดอกนี้เป็นทั้งของขวัญและคำสาป… ของขวัญที่มอบอำนาจล้นฟ้าให้เค้าใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำสาปพันธนาการเค้าให้ตกอยู่ในบ่วงแห่งความเคียดแค้นชิงชังตลอดชีวิต
เซกิหยิบดอกไม้ต้องคำสาปมาดูอีกครั้งแล้วถอนใจเศร้าๆ
“การแก้แค้นของผมยังไม่จบแค่นี้หรอกนะคุณเคโตะ คุณตายง่ายเกินไป… คุณประมาทจนถูกผมลอบฆ่าอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ทรมานสักนิด แต่นั่นยังไม่สาสมกับความเจ็บปวดที่ผมเคยได้รับ สิ่งเลวร้ายที่คุณเคยทำไว้ ผมจะเอาคืนกับไทกิให้หมด!”
แล้วดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ก็ถูกขยี้จนแหลกคามือ เซกิมองไปที่จอมอนิเตอร์ในคุกใต้ดินอีกครั้ง ลูกชายของจำเลยยังคงหลับสบายอยู่ภายใต้อ้อมแขนของมิสึกิ ดวงตาสีอิฐวาวโรจน์ด้วยความรู้สึกชิงชัง
ถึงเวลา… ที่จะพิพากษาโทษของมันแล้ว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 28/3/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-04-2008 21:44:36

 :m22:Chapter 28 Unity

“พวกเธอบอกว่าหลงทางอยู่ในป่า เลยกลับมาล่าช้ากว่ากำหนดงั้นเหรอ”
บทสวดบทแรกทำเอาสองมือปืนคนเก่งถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่ยูก็ยังฝืนยิ้มแห้งๆตามสไตล์คนหน้าเป็นเพื่อกลบเกลื่อน ทั้งที่โฮตารุกำลังเครียดจะแย่
“ก็ทำนองนั้นแหละครับ”
ตาคมๆของชิงุเระตวัดมองอีกหน เริ่มขยับแขนที่วางประสานอยู่บนโต๊ะขึ้นมากอดอก
“จากนั้นก็โดน ‘เป้าหมาย’ ที่ฉันสั่งให้ไปตามหา เป็นคนนำทางพาพวกเธอออกมาจากป่าซะงั้น”
“ก็ใช่…” เสียงของยูเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
“แล้วพอมาถึงสนามบินนาริตะ เป้าหมายก็ดันหายตัวไปอีก โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่าเค้าหายไปตอนไหน”
“กะ… ก็…” นักเรียนดีเด่นเริ่มจะแก้ตัวไม่ออก
“เฮ้อ” ผอ. หนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “เป็นอันว่าภารกิจที่ฉันฝากความหวังไว้กับพวกเธอล้อมเหลวไม่เป็นท่า”
“โธ่! อาจารย์… ที่ให้พวกเราไปหามันป่าแอฟริกานะครับ ไม่ใช่สวนสัตว์โตเกียว จะได้เจอตัวคนที่อาจารย์อยากพบง่ายๆ แล้วอีกอย่างทำไมอาจารย์ไม่ใช้นักล่ามืออาชีพอย่างเจ้าโนะอิ มาใช้มือสมัครเล่นอย่างพวกผมทำไมล่ะครับ”
โฮตารุที่ยืนเครียดอยู่นานแล้วถือโอกาสโวยบ้าง แค่ต้องเดินทางไกลข้ามทวีปในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แถมเป้าหมายที่ว่าก็หาตัวยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก แล้วพอเจอตัวตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะยอมกลับมาที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ฝ่ายนั้นยังหักหลังตีตั๋วชิ่งไปไหนก็ไม่รู้ แต่ที่เลวร้ายที่สุด… ก็คือต้องมารายงานท่าน ผอ. มือเปล่านี่แหละ ไม่รู้จะเอาข้ออ้างข้อไหนมาแก้ตัวดีแล้ว
ชิงุเระที่ตีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอด พอเห็นลูกศิษย์เครียดกว่าก็เผลอยิ้มบางๆ อารมณ์ที่อยากจะโกรธก็เลยไม่มีเหลืออยู่แล้ว
“ก็โนะอิน่ะผีเข้าผีออก อารมณ์เคยอยู่กะร่องกะรอยที่ไหน ที่สำคัญเค้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานฉันได้เยอะด้วย” ผอ. จอมเจ้าเล่ห์ยักคิ้วกริ่ม “แต่ฉันก็กะแล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ พวกเธอก็อย่าเครียดไปเลย ถือซะว่าไปฮันนีมูนก็แล้วกัน”
“อาจารย์!!”
ยูเผลอตบโต๊ะดังปัง ลืมสัมมาคารวะที่ควรมีจนหมด โดนมุกนี้นี่มันจุกจนพูดไม่ออกจริงๆ ส่วนอีกคนที่หน้าบางกว่ารีบเดินหนีออกไปเรียบร้อย
“โทษทีๆ” ชิงุเระหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ “โดนโฮตารุคุงงอนซะแล้ว ยูจังเองก็ไปพักเถอะ เหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่ เอาเป็นว่าภารกิจครั้งนี้ฉันถือเป็นเหตุสุดวิสัยก็แล้วกัน”
ยูที่หน้าแดงก่ำโค้งตัวคำนับแล้วรีบเผ่นออกไปอีกคน หลังจากที่ลูกศิษย์หนีหายไปหมดแล้ว ชิงุเระก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงช้าๆอย่างผ่อนคลาย
“ริเอะ… ดูเหมือนคนที่จะจับตัวเธอได้อยู่หมัด คงมีแค่คนเดียวจริงๆล่ะมั้ง แต่น่าเสียดายที่เค้ากลับเป็นคนที่เธอทั้งรักและเกลียดเค้ามากที่สุด”
ชิงุเระเปรยกับตัวเองแผ่วเบา แล้วเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามยังคงสวยสดใส เหมือนเช่นวันเวลาแห่งความอบอุ่นที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ
“แต่พี่รู้ว่าเธอมาอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว ไทกิคุงถูกจับตัวกลับองค์กร เธอเองก็คงไม่อยู่เฉยหรอกจริงมั้ย… ริเอะ”

หลายวันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวของไทกิเลย… ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ความคิดเหล่านี้ทำให้เค้าสับสนจนว้าวุ่นไปหมด
เหล่าสมาชิกสภาพิเศษทุกคนก็ตกอยู่ในอาการซึมเศร้าไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นหัวหน้าซีเนียร์และหัวหน้าจูเนียร์เอาแต่นั่งหดหู่ทั้งวัน งานก็ไม่กระเตื้อง สุดท้ายเจ้าฮิโระทนไม่ไหวได้แต่จ้วงราเม็งถ้วยที่หกดับอารมณ์เครียด
“นายจะกินให้ท้องแตกตายเลยหรือไง” คาโอรุที่นั่งข้างๆอดแขวะไม่ได้ ก็ตั้งแต่เช้าเห็นมันมองหน้าซุยที โนะอิที แล้วก็จ้วงราเม็งเข้าปากที เหมือนจะประชดชีวิตยังไงยังงั้น
“ก็ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่ ไทกิกับพี่มิสึกิอยู่ดีๆก็หายตัวไป ถามพี่ๆก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคน แถมยังเอาแต่นั่งซึมเหมือนมีใครตายยังงั้น นายจะไม่ให้ฉันเครียดไหวเหรอ”
“มันก็จริง”
คาโอรุพยักหน้า ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องเค้นความจริงจากปากใครสักคนให้ได้ และเป้าหมายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุยกับพี่บังเกิดเกล้าคงจะง่ายกว่าคุยกับคนอื่น
“พี่โนะอิ”
มือเล็กๆของน้องชายเอื้อมไปจับไหล่จนคนซึมถึงกับสะดุ้ง ตาสีฟ้าลอยๆหันมามอง รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ส่งมาให้ แค่โนะอิก็ไม่รู้จะบอกน้องชายยังไงว่าเพื่อนรักของเค้าเป็นมือสังหารตัวอันตรายที่คนหมายหัวกันทั้งโลก
“เกิดอะไรขึ้นกับไทกิและพี่มิสึกิ ทำไมสองคนนั้นถึงไม่กลับมา”
“ฉัน… ไม่รู้” โนะอิอ้ำอึ้งแล้วเบือนหน้าหนีไม่ยอมให้คาดคั้นอีก
คาโอรุทำหน้าหงิกแล้วกระแทกตัวลงข้างๆ “ฉันไม่เชื่อหรอก มันต้องมีอะไรสิน่า คนอย่างพี่ไม่เคยอ่อนแอแบบนี้ ถ้าจะมีสักเรื่องให้กลุ้มใจ เรื่องนั้นต้องสำคัญมากแน่ๆ บอกฉันมาเถอะ… ไม่ว่าอะไรฉันรับได้ทั้งนั้น”
สายตาที่เว้าวอนทำให้พี่ชายเริ่มใจอ่อน แต่ตัวเค้าเองก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ในขณะที่ทุกคนกำลังเครียดจนตัวโก่ง แขกที่ไม่คาดฝันก็ก้าวเข้ามาในห้องสภาพิเศษ เรียกความสนใจจากทุกคนได้ชะงัดนัก
ภาพหญิงสาววัยกลางคน… สวยหมดจดราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย หล่อนสวมชุดลำลองสีน้ำเงินเข้ม สะบัดผมสีน้ำตาลแดงจนปลิวสะบัด ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งบนโซฟากลางห้องทั้งๆที่ยังไม่มีใครเชื้อเชิญ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงอึ้งกลับกลายเป็นใบหน้าของเธอคนนั้น
ไม่ใช่ตะลึงที่ความสวย… เพราะนั่นไร้ที่ติอยู่แล้ว แต่ตะลึงเพราะมันเหมือนใครบางคนที่พวกเค้าคุ้นเคยราวกับงอกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

“ไทกิ”

ซุยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เค้าต้องขยี้ตาซ้ำไปซ้ำมาหลายหน แต่ภาพสาวสวยที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าของเค้าก็ไม่หายไป นี่มันคงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะ
“เธอเดาผิดไปนิดนึงนะซุยคุง ฉันคือผู้ว่าจ้างตัวจริงของเธอ ไม่ใช่เป้าหมายของเธอหรอกจ้ะ” เจ้าหล่อนเฉลย
“คุณริเอะ?” ซุยต้องทวนความจำอีกรอบ เพราะถึงแม้จะได้รับคำสั่งผ่าน ผอ. แต่เค้าก็ยังไม่เคยพบผู้จ้างวานตัวจริงสักครั้ง แม้แต่รูปถ่ายก็ไม่เคยเห็น และไม่เคยนึกมาก่อนว่าสองแม่ลูกจะเหมือนกันได้ขนาดนี้
ริเอะยังไม่เจรจากับซุย แต่เลือกที่จะหันหน้าไปคุยกับอีกคนที่กำลังเค้นคอพี่ชายตัวเองอยู่
“เธอสองคนคงจะเป็นลูกชายของชิโอริ… โนะอิกับคาโอรุคุง เธอเหมือนแม่ของเธอมากเลยนะจ๊ะคาโอรุ ฉันเห็นทีแรกยังตกใจเลย”
‘คนที่ตกใจน่ะ ผมมากกว่า’ คาโอรุอยากเถียงเหลือเกิน แต่ก็พูดไม่ออก
“เธอคงอยากรู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนรักของเธอหายไปไหน”
คำพูดเกริ่นนำที่ทำให้ฮิโระกับคาโอรุไถลตัวเข้ามาใกล้ๆโซฟาทันที ถึงจะยังไม่รู้ว่าคุณน้าหน้าคุ้นๆคนนี้เป็นใครก็ตาม
“คุณน้ารู้เรื่องของเจ้าไทกิมันด้วยเหรอครับ” ฮิโระถาม
“ผมทอง ตาสีทอง… เธอคงเป็นทายาทตระกูลโซมะสินะ” ริเอะลูบหัวปุยๆของฮิโระด้วยความเอ็นดู “ฉันต้องรู้เรื่องเพื่อนของพวกเธออยู่แล้ว ก็ฉันน่ะ… เป็นแม่แท้ๆของคุณไทกินี่นา”
“หา!!”
สองตัวแสบอุทานลั่น ก่อนจะหันไปขอคำยืนยันจากหัวหน้าจูเนียร์ ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“คุณน้ารู้ใช่มั้ยครับ ว่าตอนนี้ไทกิอยู่ที่ไหน” คาโอรุรีบซักต่อ
ริเอะเม้มปากแน่น สีหน้าท่าทางดูเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ดูจากสีหน้าการตอบสนองของพวกเธอทุกคนแล้ว คงมีแต่เธอสองคนล่ะมั้งที่ยังไม่รู้ความจริงว่าลูกชายฉันเป็นใคร” คุณแม่วัยสาวถอนใจอีกรอบ “คุณไทกิ… อยู่ในโลกที่ต่างจากพวกเธอมากนัก เค้าถูกหล่อหลอมให้เกิดมาเพื่อเป็นหนึ่ง อยู่ในตำแหน่งที่มีทั้งคนรักและเกลียดชัง”
ดวงตาสีอิฐเงยหน้ามองเด็กทั้งสองอีกครั้ง

“ไทกิ… คือ Red Rose”

ความจริงที่เหลือเชื่อทำให้เด็กทั้งสองถึงกับนิ่งงัน ฮิโระทรุดฮวบลงไปกองที่พื้น ส่วนคาโอรุตัวแข็งทื่อราวกับโดนคำสาปสะกดให้เป็นหิน ความเงียบและความกดดันทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อไม่มีใครในห้องกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคน
“ไม่จริงหรอก… เป็นไปไม่ได้”
คาโอรุเพ้อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เพื่อนที่ดีที่สุด… จะกลายเป็นฆาตกรโหดที่ฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพันได้ยังไง เค้าไม่เชื่อเด็ดขาด
“เชื่อเถอะคาโอรุ เพราะนั่นเป็นความจริง” พี่ชายที่เค้านั่งเค้นคอยังไงก็ไม่ยอมบอก กลับเป็นคนยืนยันด้วยตัวเอง คาโอรุกัดฟันแน่นแล้วหลบไปนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่มุมห้อง
“แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ฮิโระถามต่อ ไม่น่าเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ทุกคนกำลังอยู่ในอาการสับสน แต่นักฆ่าหนุ่มกลับควบคุมตัวเองได้ดีกว่าใครเพื่อน คงเพราะชินซะแล้ว เค้าเองก็อยู่ในเส้นทางแห่งความตายมาตลอด จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักคนนี้ดี
บางทีคนเราก็มีทางให้เลือกไม่มากนักหรอก คนที่ฆ่าคนอื่นไม่ใช่เพราะความชอบเสมอไป แต่เพราะความอยู่รอดจึงเลือกไม่ได้ต่างหาก
“เรื่องนี้ถามรุ่นพี่ของเธอคงจะเหมาะกว่า เพราะเค้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น” ตาสวยๆของริเอะตวัดไปมองอีกคนที่ยังนั่งเก๊กหน้าเครียดอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม “ว่าไงจ๊ะ… ซุยคุง”
ซุยขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ สายตายังบ่งบอกความหวั่นไหวไม่สบายใจอย่างที่สุด
“เค้าถูกเซกิพาตัวไปแล้ว มิสึกิก็ถูกจับตัวไปด้วย ผมอยู่ที่นั่น… แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูเพื่อนรักกับไทกิถูกพาตัวออกไป ผมไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้คุ้มกันของเค้าสักนิด ขอโทษจริงๆนะครับคุณริเอะ”
คุณชายสายน้ำก้มตัวลงมาคุกเข่าขอโทษกับความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดในสายอาชีพของเค้า และเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้เพื่อนรักต้องเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้เค้าต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปต่อหน้าต่อตาด้วย
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะซุยคุง อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลย” ริเอะจับคนหัวดื้อกลับมานั่งคุยกันใหม่ “เธอรู้จักคนพวกนั้นน้อยเกินไปถึงรับมือพวกเค้าไม่ได้ โดนวางกับดักไว้ทุกทางโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้ ฉันได้ข่าวพี่ชายของเธอแล้ว เสียใจด้วยนะจ๊ะ”
ซุยเงยหน้ามองริเอะอีกครั้ง ดวงตาของเธอบ่งบอกความเศร้าจากใจจริง
“โชคดีที่พี่ยูคาริฟื้นแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนาน ผมมันอ่อนแอไม่เอาไหน ถ้าวันที่มันก้าวเข้ามาในโรงเรียน แล้วผมมีความกล้าพอที่จะหยุดมันสักนิด เรื่องเลวร้ายทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่มีใครหยุดเค้าได้หรอก ฉันรู้นิสัยของเซกิดีพอๆกับที่รู้นิสัยลูกชายของฉันเอง ลองเค้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางล้มเลิกง่ายๆ แต่ที่พี่ชายของเธอยังไม่ตายนั่นคงเป็นความจงใจของเค้าที่จะขู่ให้เธอถอนตัวจากเรื่องนี้มากกว่า ฉันจะไม่บังคับเธออีกแล้วนะซุย สัญญาว่าจ้างระหว่างเรา ฉันขอยุติเพียงเท่านี้ นี่คือเช็คงวดสุดท้าย จากนี้ไปเธอไม่ต้องยื่นมาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว”
ริเอะยื่นเช็คเงินสดให้ซุย เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็ยิ่งเดือด ที่เค้าอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตั้งเยอะไม่ใช่เพื่อแลกกับเศษเงินที่ไร้ค่า เค้าถลำลึกเกินกว่าจะถอนตัวได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องขอทวงคืนสิ่งสำคัญกลับมาให้ได้
มือใหญ่ผลักเช็คคืนกลับไป เพื่อนพ้องน้องพี่ที่คอยลุ้นกนจนตัวโก่งก็ค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก
“เก็บเงินของคุณคืนไปเถอะครับคุณริเอะ ผมอยากทำงานนี้ต่อ แต่ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้าง แต่ในฐานะเพื่อนและ… คนรัก”
เกิดความเงียบพักใหญ่หลังจากที่หัวหน้าจูเนียร์ตัดสินใจเผยความในใจต่อหน้าคนอื่นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะคู่สนทนาที่ดูเหมือนจะมีสีหน้าประหลาดใจเป็นที่สุด แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็เพียงแต่ถอนใจแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย
“ไทกิเค้าโชคดีมากนะ ที่ได้มาพบคนดีๆอย่างพวกเธอ” ริเอะเปรย “ไม่ว่าจะเป็นยังไง… ไทกิก็เป็นลูกของฉัน ถึงแม้ฉันจะทำได้เพียงแค่ยืนดูเค้าเติบโตในที่ๆไกลแสนไกล แต่ถ้ามีพวกเธออยู่เคียงข้าง ฉันก็วางใจแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้น เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ตึกสีน้ำตาลที่เห็นอยู่รำไรมีใครอีกคนกำลังรอพบเธออยู่ เธอหลีกเลี่ยงที่จะพบกันมานานแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากันซะที
“ฉันคงต้องไปแล้ว มีธุระจะคุยกับพวกเธอแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดหรือจะทำอะไรขอให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด ขอให้เชื่อมั่นในกำลังของพวกเธอและสามัคคีกันไว้ แล้วพวกเธอจะเป็นฝ่ายชนะ”
ริเอะทิ้งทวนให้กำลังใจก่อนที่จะจากไป บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่สมาชิกพิเศษที่นิ่งงันอยู่นานก็เริ่มหันมาสบตากันปริบๆ คาโอรุที่ทำใจได้แล้วก็เดินตรงเข้ามานั่งบนโซฟาตรงข้ามกับซุย
“ผมจะไปช่วยไทกิ”
นักล่าบอกอย่างมุ่งมั่น ในชีวิตมีอยู่ไม่กี่คนที่เค้ารู้สึกผูกพัน เค้าเสียแม่ที่รักที่สุดไปคนหนึ่งแล้ว และจากนี้ไปจะไม่ยอมสูญเสียใครไปอีกแล้ว
ซุยขยับตัวเอนหลังช้าๆพร้อมกับถอนใจเบาๆ
“เรื่องช่วยไทกิกับมิสึกิ ไม่ใช่ฉันไม่คิดนะคาโอรุ แต่มันไม่ง่ายเลย เซกิร้ายกาจแค่ไหน พวกนายไม่ซึ้งเท่าฉันหรอก แค่องครักษ์ที่ล้อมรอบตัวมันอยู่ก็รับมือยากแล้ว”
“แต่มันก็ต้องมีทางบ้างสิ เมื่อกี้คุณริเอะก็บอกแล้วว่าถ้าพวกเราสามัคคีกันก็ต้องมีทางชนะได้ พี่อย่าลืมนะว่าพวกเราเองก็ไม่ใช่นักเรียนธรรมดา ศักดิ์ศรีแห่งสี่ตระกูลนักรบ ถ้าจะแพ้องค์กรดอกไม้ตายซากสั่วๆนั่นก็ให้มันรู้ไป”
ลูกชายบ้านโซมะประกาศลั่น พร้อมทุบกำปั้นดังป้าบ โนะอิขยับตัวแล้วเดินเข้ามาสมทบ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับไหล่ซุย
“ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมมือกัน… มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์เพลิง จะผงาดร่วมกันอีกครั้ง”

“แล้วนายก็อย่าลืมนะ ว่ายังมีพวกเราอยู่ด้วย”

เสียงประท้วงที่ดังมาจากประตูหน้าห้องทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง ยูกับสองแฝดและมาซาฮิโกะซึ่งหายหน้าไปจากสภามานานก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บัดนี้เหล่าสมาชิกสภาพิเศษมาพร้อมหน้ากันแล้ว จะเหลือก็แต่สองยมทูต… ที่ป่านนี้ไม่รู้จะเจอชะตากรรมอะไรบ้าง
“ฉันยืนฟังข้างนอกนานแล้ว ช็อกเหมือนกันนะเนี่ย ที่ตัวอันตรายสุดๆมาอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก” ยูบ่นอุบ แต่สองแฝดได้แต่นิ่งเงียบพูดไม่ออก
“แล้วมิสึกิล่ะ” มาซาฮิโกะหันไปถามซุย เพราะเค้าเองก็เป็นห่วงเพื่อนซี้ไม่แพ้กัน
“ก็คงพอเอาตัวรอดได้” ซุยถอนใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าไทกิเป็น Red Rose ก็ไม่มีประโยชน์ที่ปิดบังเรื่องของมิสึกิต่อไป “พวกนายคงยังไม่รู้… หมอนั่นคือ Black Sakura”
“หา!!!!!!”
เพื่อนๆที่ยังไม่รู้มีปฏิกิริยามากกว่าที่คิด พากันอุทานดังลั่น ก่อนจะเงียบไปอีก
“สองคนเลยเหรอเนี่ย” ยูพึมพำเบาๆ “คิดจะลักพาตัวสองยมทูตออกมาจาก Death Flowers ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะซุย”
ซุยปรายสายตาไล่มองสมาชิกพิเศษทีละคน ภารกิจคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาจต้องแลกด้วยชีวิต จะปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวด้วยเด็ดขาด
“ฉันขอบใจนะที่ทุกคนมีน้ำใจอยากช่วย แต่พวกนายไม่ควรต้องมาเสี่ยงกับเรื่องนี้ ฉันจะไปที่นั่นคนเดียว ฉันยังมีเรื่องต้องคิดบัญชีกับไอ้บ้านั่น”
“เฮ้อ… อยากจะโชว์ออฟคนเดียวหรือไงพี่” ไอ้ตัวแสบฮิโระแอบลามปามโอบแขนมาคล้องไหล่อีกข้าง “พี่ห่วงไทกิ เราก็ห่วงไทกิเหมือนกันนะ คิดจะให้พวกเราดูอยู่เฉยๆไม่มีทาง”
“แต่…”
“พอเถอะ… ซุย” โนะอิที่เงียบมานานเป็นฝ่ายตัดบท “ในฐานะหัวหน้าชั้นปีที่สาม ฉันขอให้งานครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน พวกเราทั้งหมดจะไปด้วยกัน ถึงต้องตาย… ก็จะต้องช่วยสองคนนั่นออกมาให้ได้”
โนะอิประกาศลั่น ยิ่งทำให้ทุกคนเกิดความฮึกเหิม งานครั้งนี้คงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาก็ว่าได้ ซุยแอบยิ้มบางๆ
เพื่อน… เพิ่งจะซึ้งจริงๆก็วันนี้
“งั้นเราคงต้องวางแผนกันก่อน” ซุยเดินไปที่โต๊ะประชุม หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมากางเพื่อร่างแผนการคร่าวๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“นี่ตกลงพี่ยอมให้พวกเราไปด้วยแล้วเหรอ”
ซุยหันไปมองเจ้าฮิโระที่กำลังส่งสายตาปริบๆมาให้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“ฉันจะห้ามนายได้มั้ยล่ะ แต่ละคนหัวดื้อติดอันดับทั้งนั้น” ว่าแล้วก็ตวัดหางตาไปทางโนะอิที่เป็นต้นคิด “โนะอิ… ฉันรู้ว่านายร้อนใจเรื่องมิสึกิ แต่ถ้าจะไปลุยด้วยกัน อย่างน้อยเราก็ควรมีแผน”
ในไม่ช้าสมาชิกทุกคนก็มาพร้อมกันที่โต๊ะ รวมหัวกันคิดแผนการช่วยเพื่อนซี้สองยมทูตทั้งคืน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-04-2008 17:09:31
 :m11: ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อยากอ่านต่อแว้ว  :m23: หนีไปอ่านภาคสองรอก่อนแระ  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: ren ที่ 28-04-2008 23:36:17
 :serius2:  อยากอ่านตอนต่อไป

แล้วมาลงอีกนะคะ   :m13:

สงสารเซกิจังเลย   :m15:

 
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-04-2008 01:41:57
สนุกจัง ตอนต่อไปต้องมันส์แน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Turn_righT ที่ 29-04-2008 17:45:17
กองทัพสมาชิกสภาพิเศษออกโรงแล้วแฮะ...
ติดตามอยู่จ้า.... :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: @^_^@PeaZa@^_^@ ที่ 30-04-2008 13:26:22
มาต่อเร็วๆน้า.......  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 13:55:28
Chapter 29 Hostage Game

‘ที่นี่ที่ไหน?’

ดวงตาสีเข้มปรือผ่านม่านตากระพริบถี่เพื่อปรับภาพให้คมชัด แต่แสงสว่างรอบตัวก็สลัวรางจนไม่เอื้ออำนวยต่อการมองเห็นเอาซะเลย
ที่นี่ทั้งมืดทั้งทึบ แถมยังมีกลิ่นอับชื้น เหมือนโกดังร้างที่ห่างไกลผู้คน ได้กลิ่นเสียงคลื่นซัดสาดและกลิ่นคาวทะเลซัดเข้ามาเป็นระลอก ดวงตาสีเข้มตวัดมองรอบๆตัวอีกครั้ง มือทั้งสองข้างขยับไม่สะดวกเพราะถูกโซ่เหล็กหนาหนักตรึงเอาไว้ หัวที่หนักอึ้งพยายามคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ถึงได้มาตกอยู่ในสภาพนี้
…เค้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง และใครที่มันบังอาจทำกับเค้าแบบนี้!…

ชายหนุ่มวัยกลางคนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง สอดแขนขึ้นมากอดอก พลางเม้มริมฝีปากแน่นสนิท เหล่าทโมนที่ขึ้นชื่อว่า ‘สมาชิกพิเศษ’ ยืนเรียงหน้าสลอนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรสักคำ ทั้งที่ปกติจะพูดจ๋อยๆจนดักคอแทบไม่ทัน
“เฮ้อ…”
ชิงุเระพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เครียดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน แค่ไม่ได้เจอกับน้องสาวก็กลุ้มจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังต้องมาเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันอีก เมื่อเจ้าพวกทโมนทั้งหลายแห่กันมาพบตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมกับข่าวร้ายที่ตามมากระหน่ำซ้ำเติม
“ตกลงจะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” อาจารย์หนุ่มกวาดสายตาจ้องไปทีละคน แต่พวกมันก็พากันหันหน้าหลบ เหลือแต่ไอ้ตัวสุดท้ายที่กล้าสบตากับเค้าตรงๆ
“ผมว่าต้องเป็นพวกมันแน่ๆ โธ่เอ๊ย! ไอ้ลิลลี่ขี้ขลาด เล่นสกปรกนี่หว่า”
ฮิโระตบโต๊ะดังปังจนกองเอกสารสำคัญบนโต๊ะอาจารย์ล้มครืน ชิงุเระปรายหางตามองกองเอกสารเจ้ากรรมด้วยความสลดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆไอ้ตัวแสบ
“คาวาชิมะ คาโอรุ… หวังว่าเธอคงจะมีคำอธิบายที่กระจ่างกว่านี้ให้ครูนะ”
นักล่าคนเก่งขยับตัวขยุกขยิกพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รุ่นพี่ยืนหัวสลอนตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นเค้าที่ต้องเล่าเรื่องที่น่าอึดอัดใจนี้ด้วย
“เมื่อคืนหลังจากประชุมเสร็จแล้วแยกย้ายกันกลับหอ พี่ซุยบอกว่าอยากอยู่เคลียร์งานต่อที่สภา พวกเราเลยกลับมาก่อน แต่พี่มาซาฮิโกะบอกว่ารอจนถึงเช้าพี่ซุยก็ไม่กลับห้อง แล้วพอพวกเราย้อนกลับไปดูอีกทีก็เห็นแต่ไอ้นี่วางอยู่บนโต๊ะชองพี่ซุยครับ”
คาโอรุวางดอกลิลลี่สีขาวบนโต๊ะอาจารย์ ทุกใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชิงุเระที่ยกแขนขึ้นมากอดอกพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“พี่ซุยเค้าอาจจะไปลุยเดี่ยวโดยไม่บอกพวกเราก็ได้” เจ้าฮิโระสันนิษฐาน
“นายอย่าเพ้อเจ้อ… ซุยไม่ทำแบบนั้นหรอก ถ้าเค้ารับปากแล้วว่าจะปฏิบัติภารกิจร่วมกันก็ต้องไปด้วยกัน อีกอย่างคนอย่างซุยก็คงไม่ทิ้งดอกไม้น่าเกลียดนี่ไว้ให้ดูต่างหน้าหรอก” โนะอิเปรยให้ฟัง
นักฆ่าตัวแสบไหวไหล่
“ฉันก็แค่อยากคิดในแง่ดีไว้ก่อน เพราะถ้าขืนพี่ซุยโดนลักพาตัวไปจริงๆล่ะก็ ป่านนี้ก็คง…” ว่าแล้วมันก็เงียบไปซะดื้อๆ แต่คำทิ้งท้ายของมันยิ่งทำให้ทุกคนเครียดจัด ถ้าซุยถูกจับตัวไปจริงๆ ป่านนี้ถ้าไม่โดนทรมานจนน่วม ก็อาจจะโดนฆ่าตายไปแล้ว
“แต่ฉันก็ยังเชื่อใจมันนะ คนอย่างซุยไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ หมอนั่นต้องหาทางเอาตัวรอดได้” มาซาฮิโกะที่พูดน้อยกลับให้เหตุผลที่ดีที่สุดและช่วยให้ทุกคนมีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นกอง
“แล้วพวกเธอคิดจะทำยังไงกันต่อ?” อาจารย์ถามบ้าง
ทุกคนหันมาสบตากันด้วยสีหน้าท่าทางที่มุ่งมั่น งานนี้แม้จะขาดผู้นำแต่ภารกิจก็ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะลุล่วง พวกเค้าได้ตัดสินใจตั้งแต่ก้าวย่างสู่เส้นทางอันตรายนี้แล้ว
โนะอิก้าวออกมาข้างหน้าและเป็นผู้ที่ให้คำตอบ “พวกเราจะทำตามแผนเดิมครับ ถึงไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่พวกเราก็จะไป”
ชิงุเระถอนใจเฮือกใหญ่ ลองเด็กๆมุ่งมั่นขนาดนี้ถึงจะห้ามก็คงไม่ทันแล้ว
“งั้นฉันก็ขอให้พวกเธอโชคดีก็แล้วกัน แต่อย่าลืมว่างานคราวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจที่โรงเรียนมอบหมาย ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีการประกันความปลอดภัยใดๆทั้งนั้น เพราะฉะนั้น… ขอให้พวกเธอระวังตัวด้วย” ผอ. อวยพรให้ทุกคนอีกครั้ง เด็กๆก็โค้งรับคำ ก่อนจะเดินเรียงแถวออกไป
งานครั้งนี้อาจต้องแลกด้วยชีวิต แต่ก็เป็นภารกิจเพื่อมิตรภาพ และจะเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ที่รุ่นน้องจะต้องจดจำพวกเค้าไปนานแสนนาน

หลายวันแล้วที่ถูกกักตัวอยู่แต่กับกองเอกสารและรายงานท่วมโต๊ะ กับคอมพิวเตอร์ตัวเก่าที่เคยคิดถึงมันมาตลอด แต่ในยามนี้มันกลับเป็นสิ่งที่เค้าระอาที่สุดในชีวิต จนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความอิสระซึ่งเคยได้รับจากโลกกว้าง
“ท่านไทกิคะ… ท่านเซกิหัวหน้าหน่วยยมทูตขาวขอเข้าพบค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ที่ดังมาจากโทรศัพท์บนโต๊ะปลุกให้คนที่กำลังแอบอู้ตื่นตัวเต็มที่ ภาพโรงเรียนที่คิดถึงหายวับไปจากจินตนาการ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดเครื่องตอบรับ
“ให้เข้ามา”
ประตูอัตโนมัติด้านหน้าเลื่อนเปิดออก ยมทูตหนุ่มในชุดสูทสีขาวล้วนก้าวเข้ามาอย่างเยือกเย็น แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่เชื้อเชิญ
“ดูท่าทางนายจะคุ้นกับห้องนี้มากกว่าฉันอีกนะเซกิ” ท่านผู้นำอดแขวะไม่ได้
“สถานการณ์มันบังคับนี่ครับ ถ้าคุณไทกิไม่ลาพักร้อนยาว ผมก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งอยู่ในห้องนี้หรอก” เจ้าตัวก็ย้อนได้เจ็บไม่แพ้กัน “แต่เชื่อเถอะ… ว่าอีกไม่นานคุณก็จะคุ้นและชอบมันไปเอง”
‘ชอบที่นี่เหรอ ให้ตายก็ไม่มีทาง’ ไทกิแอบเถียงในใจ
“ว่าแต่นายมีธุระอะไรกับฉัน ดึกป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่ามาพูดราตรีสวัสดิ์ คงขำตาย”
เซกิมองหน้าท่านผู้นำแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบรีโมทคอนโทรลที่ไทกิหาอยู่ตั้งนานว่ามันอยู่ที่ไหน กดไปที่จอมอนิเตอร์ใหญ่ แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ไทกิทั้งดีใจและตกใจในคราวเดียว
…สมาชิกพิเศษทั้งหมดกำลังยืนอยู่หน้าตึกร้างแห่งหนึ่ง มีป้ายเตือนอยู่ด้านหน้าชัดเจนว่า…

‘เขตก่อสร้าง อันตราย!’
 
“พวกนั้น!!” ไทกิสะบัดหน้าไปหาลิลลี่เพื่อขอคำอธิบาย
“ก็คงมาช่วยคุณล่ะมั้ง” เซกิไหวไหล่ “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ”
“ห้ามนายทำอะไรพวกเค้าเด็ดขาด นี่เป็นคำสั่งฉัน!”
ผู้นำเริ่มขึ้นเสียง แต่ไอ้ลิลลี่ปีศาจกลับมีหน้ามาหัวเราะร่วน
“คุณไทกิ… ผมมีหน้าที่ป้องกันและรักษาความลับขององค์กรนะครับ ถ้ามีคนบุกรุกเข้ามาแล้วผมปล่อยปละละเลยไม่เท่ากับเป็นคนทรยศหรอกเหรอ ผมน่ะไม่อยากเป็นอย่างมิสึกิหรอกนะ กว่าจะมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ผมต้องสูญเสียอะไรมากมายเหลือเกิน” ว่าแล้วมันก็เม้มปากแน่น ดวงตาสีแดงอิฐว่างเปล่า
“แล้วนายจะเอายังไง บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ยอมให้นายแตะต้องเพื่อนๆฉันเหมือนกัน”
“ท่าทางคุณคงลืมคำสั่งสอนของพ่อคุณแล้วมั้ง ยมทูตไม่เคยมีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีของสำคัญ คุณจะสูญเสียจิตวิญญาณของยมทูตไปทันที คุณจะสร้างจุดอ่อนและยอมทิ้งตำแหน่งสูงสุดเพื่อหนูสกปรกพวกนี้ได้จริงๆเหรอ”
“เซกิ” กุหลาบแดงลุกพรวด จ้องหน้าไอ้ตัวแสบที่ยังเอาแต่ยิ้มยียวน “ฉันไม่เคยนึกภูมิใจที่ได้เป็น Red Rose ถ้าเลือกได้ฉันขอเป็นขอทานข้างถนนแล้วมีเพื่อนสักคนที่เข้าใจฉันดีกว่า”
“บางทีคนเราก็เลือกมากไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ไม่เคยนึกอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดไปแล้วจะทำอะไรได้ นอกจากยอมรับมันอย่างขมขื่น”
เซกิหมุนตัวไปที่จอมอนิเตอร์อีกครั้ง เปลี่ยนโหมดเป็นหกช่องรับภาพซึ่งสามารถเห็นได้ทุกซอกทุกมุมภายในองค์กร ไทกิเห็นองครักษ์ทั้งหมดเฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ก็อดนึกหวั่นใจแทนเพื่อนๆไม่ได้
“ผมจะยอมให้โอกาสคุณเลือกอีกครั้ง เรามาเล่นเกมโดยใช้สิ่งที่มีค่าที่สุดเป็นสิ่งเดิมพัน”
เซกิยื่นข้อเสนอ ไทกิทำตาปริบๆ ลองไอ้หมอนี่พูดแบบนี้ ฟันธงได้เลยว่าต้องเป็นแผนชั่วแน่ๆ
“เอาสิ… ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้นายจะเล่นสกปรกแบบไหน”
“หึ หึ… ระแวงเกินไปหรือเปล่าคุณไทกิ ผมน่ะออกจะทำอะไรโปร่งใสตรงไปตรงมา เชือดก็เชือดจริง ฆ่าก็ฆ่าจริง ไม่เคยล้อเล่นกับใครสักที”
“อย่ามายียวน นายจะเอายังไงก็ว่ามา”
“เราจะเล่นเกมตัวประกัน โดยผู้ที่เล่นเกมก็คือผมและเพื่อนๆของคุณ และตัวประกันที่ว่าก็คือตัวคุณเอง” ว่าแล้วมันก็เอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่ซุกอยู่ใต้กองเอกสารออกมาปรับตั้งเวลา “กำหนดเวลา 24 ชั่วโมงนับจากนี้ เกมจะจบก็ต่อเมื่อเพื่อนๆของคุณทุกคนมาถึงห้องบัญชาการใหญ่ หรือไม่ก็หมดเวลาที่ผมตั้งไว้”
“แล้วเดิมพันที่ว่าล่ะ?”
“ถ้าเพื่อนคุณชนะ ผมจะปล่อยทุกคนไปจากที่นี่รวมทั้งตัวคุณด้วย และผมจะยอมรับโทษแต่เพียงผู้เดียวในฐานะคนทรยศโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีกเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าเพื่อความอยู่รอดแล้ว ผมไม่ยอมให้เพื่อนคุณผ่านเข้ามาง่ายๆแน่”
“แล้ว… ถ้าเกิดมีใครคนใดคนหนึ่งมาไม่ทันล่ะ” ไทกิถามต่อ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะมีใครรอดผ่านเข้ามาจนถึงที่นี่
ดวงตาสีแดงอิฐของเซกิหรี่ลง มุมปากเหยียดรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าไปจ้องจอมิเตอร์ใหญ่ที่เหล่าแก๊งสมาชิกพิเศษกำลังยืนถกเถียงกันอยู่หน้าตึกร้าง
“ถ้าขาดใครไปแม้แต่คนเดียวก็เท่ากับเกมโอเวอร์ ผมชนะ… ส่วนเพื่อนคุณแพ้ ผมคงไม่ต้องสาธยายหรอกมั้งว่าคนแพ้ต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะคุณเป็นคนเดียวที่รู้จักผมดีที่สุด”
ไทกิกำหมัดแน่น ในที่สุดก็ถูกมันบีบให้จนตรอกจนได้ ดวงตาสีแดงจ้องเขม็ง แต่มันจะหวั่นไหวสักนิดหรือก็เปล่า เมื่อเอาแต่จ้องกลับโดยไม่หลบแม้สักอึดใจ
“ถ้าฉันไม่เล่นเกมบ้าๆนี่กับนายล่ะ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้นำของที่นี่ เพียงคำสั่งเดียวของฉันก็ระงับการคุ้มกันทั้งหมดและเปิดทางให้พวกนั้นเข้ามาได้โดยไม่ต้องง้อนายสักนิด”
เซกิยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะหมุนเก้าอี้แล้วกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปที่ ‘สถานกักกันลับ’

…ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ไทกิผวาจนแทบคลั่ง สถานที่กักกันนักโทษสำคัญและอันตรายร้ายแรงซึ่งรกร้างมาเนิ่นนาน บัดนี้กลับมีชายคนหนึ่งถูกจองจำไว้ภายใต้โซ่ตรวนเส้นหนา ในห้องนั้นมืดทึบ มีเพียงแสงสลัวรางจากคบไฟส่องลอดเข้ามาทางช่องเล็กๆ ได้ยินเสียงหวูดเรือดังแว่วมาจากที่ไกลๆ พร้อมกับคลื่นที่ถาโถมเป็นระลอก…

‘คงเป็นเกาะร้างที่ไหนสักแห่ง’

ไทกิหน้าซีดเผือด เตะเก้าอี้ออกไปจนพ้นทางแล้วโดดไปเกาะจอมอนิเตอร์ มือเรียวลูบใบหน้าของคนที่เค้าคิดถึงสุดหัวใจ แต่คนๆนั้นก็ไม่อาจตอบสนองหรือตอบโต้กับเค้าได้เลย มิหนำซ้ำยังทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกจับมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง
“เกาะเซเรียว… อยู่ทางตอนใต้ของคิวชู ถ้าคุณนั่งเครื่องจากที่นี่แล้วไปต่อเรือที่เกาะก็จะใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมง รวมเวลาไปกลับก็ 24 ชั่วโมงพอดิบพอดี”
ไอ้ลิลลี่ปีศาจยิ้มเยาะเย้ย ทั้งที่ไทกิโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก่อนที่มันจะยื่นตั๋วเครื่องบินพร้อมกุญแจเรือและแผนที่เกาะมาให้
“เครื่องบินน่ะผมเตรียมให้แล้ว แต่เรือคุณคงต้องขับไปเอง เพราะที่นั่นเป็นเกาะลับขององค์กร ซึ่งองครักษ์ที่ระดับต่ำกว่าหัวหน้าสายงานไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้ ยูอิถูกกักบริเวณ ริวต้องอยู่ช่วยผมกำจัดหนูสกปรกที่นี่ ส่วนวายะ… ผมเพิ่งส่งเค้าไปทำภารกิจลับที่อเมริกาเมื่อเช้านี้ เพราะฉะนั้นคนที่จะไปที่นั่นได้จึงมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้น ก็เลือกเองแล้วกันนะครับว่าคุณจะช่วยใคร จะอยู่ช่วยเพื่อนคุณที่นี่ก็ได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเที่ยงคืนพรุ่งนี้น้ำจะขึ้นจนท่วมทั้งเกาะและจะลดระดับอีกทีตอนรุ่งเช้า ถ้าหากคุณยังดื้อดึงไม่รับเดิมพันจากผมล่ะก็ คุณก็จะได้เห็นศพของเทนโนะ ซุย ลอยไปติดหาดโอกินาว่าในเช้ารุ่งขึ้นของวันมะรืน!”
“แก!!!”
ไทกิทุ่มแจกันที่ใกล้ที่สุดลอยเฉียดหัวเซกิที่ก้มหลบได้อย่างฉิวเฉียด
“ทุกอย่างเป็นแผนของนายใช่มั้ย นายรู้มาตลอดว่าฉันอยู่ที่ไหน ปล่อยให้ฉันได้เรียนและผูกพันกับเพื่อน ให้ฉันมีจุดอ่อนที่นายจะสามารถเอามาต่อรองได้ แล้วสุดท้ายนายก็จะทำลายทุกอย่างของฉัน นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเซกิ เดิมทีฉันเคยคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ความจริงนายมันก็เป็นงูพิษที่คิดจะแว้งกัดฉันตลอดเวลา”
“งูพิษเหรอ หึ… ผมคงไม่ร้ายเท่าพ่อของคุณหรอกมั้งครับคุณไทกิ แค่นี้มันยังน้อยไปกับความแค้นที่ผมเก็บไว้ตลอดห้าปี แค่ทำลายยังไม่พอหรอก ผมจะดับความฝันทุกอย่างของคุณ พรากทุกสิ่งที่สำคัญไปจากคุณ ให้คุณต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานในโลกที่สิ้นหวัง จนกว่าคุณจะเรียกร้องหาความตายจากผมเอง”
ไทกิจ้องหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมิตรด้วยความปวดร้าว ทำไม… ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เพื่อนที่แสนดีถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่เคยมีให้เมื่อสมัยเด็ก มันหายไปไหนหมด อะไรที่ทำให้พี่ชายที่แสนดีของเค้าเปลี่ยนไป
“พ่อฉันทำอะไร… ทำไมนายจะต้องแค้นฉันขนาดนี้ด้วย” ไทกิเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เพราะตอนนี้ไม่รู้จะโกรธหรือสมเพชมันดี
“ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คุณก็จะเข้าใจว่าผมแค้นเพราะอะไร”
เซกิหยิบนาฬิกาไปตั้งไว้บนโต๊ะ เสียงติ๊กต๊อกของมันยิ่งโหยหวนราวกับจะไล่ล่าชีวิตของผู้คนที่ต้องผูกติดอยู่กับเวลาของมัน
“คุณจะทำอะไรก็รีบทำดีกว่า เวลามันไม่คอยท่านะครับคุณไทกิ จะเล่นเกมกับผมหรือไม่ ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
ลิลลี่เดินหันหลัง ในขณะกำลังจะก้าวพ้นจากประตูก็มีเสียงที่แผ่วเบาเรียกตัวเค้าไว้
“เซกิ”
ไทกิหันหน้าที่มีน้ำตาเอ่อคลอไปหาอดีตเพื่อนที่เค้ารักมากที่สุด
“ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจนายมากที่สุด แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้จักนายเลยสักนิด ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนที่ฉันรัก ส่วนนาย… ถ้าอยากฆ่าก็ฆ่าฉันเถอะ อย่าทรมานตัวเองด้วยความแค้นอีกต่อไปเลย”
ดวงตาสีแดงอิฐหรี่ลง ในชั่ววูบที่แสดงถึงความหวั่นไหว แต่ก็แข็งขืนขึ้นมาอีก ราวกับม่านประตูที่กำลังจะเปิดออกถูกเจ้าตัวพยายามผลักแล้วปิดมันลงอีกครั้ง
“ผมไม่ทำเรื่องที่น่าเบื่อโดยการฆ่าคุณหรอก เรามาเล่นเกมด้วยกันสนุกกว่าตั้งเยอะ” ว่าแล้วมันก็รีบเดินหนี ก่อนที่เสียงกระซิบที่อยู่ในใจจะตะโกนก้องมากไปกว่านี้
ไทกิมองไปที่ตั๋วและกุญแจเรือที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าฮิโระที่ถูกซูมเข้ามาใกล้ ใบหน้าของมันยังกวนสนิท แถมลุกลี้ลุกลนเหมือนมาเที่ยวสวนสนุกมากกว่าจะมาบุกรังโจร จนไทกิอดขยับรอยยิ้มไม่ได้
“ฉันเชื่อใจพวกนายนะ ฉันรู้ว่าพวกนายทุกคนแข็งแกร่ง เอาตัวรอดให้ได้นะเพื่อน”
ไทกิทาบมือไปที่จอมอนิเตอร์ราวกับจะส่งผ่านความหวังไปถึงเพื่อนๆ ก่อนจะคว้าตั๋วและกุญแจเรือ แล้วพุ่งออกไปทางประตูอุโมงค์ด้านหลัง

ตึกร้างใจกลางกรุงโตเกียวที่ตั้งตระหง่าน ราวกับสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความล้มเหลวทางวัฒนธรรม ตัวตึกฉาบปูนหยาบ ทรุดโทรมด้วยคราบน้ำฝนที่กร่อนชะ ด้านหลังมีกองขยะพะเนินเทินทึกส่งกลิ่นเน่าเหม็น อากาศอับชื้นจนแม้แต่พวกคนจรจัดยังไม่อยากยึดเป็นแหล่งพักพิง ที่แบบนี้… เป็นสาขาองค์กรใหญ่ประจำกรุงโตเกียวของพวกองค์กรดอกไม้ตายซากนั่นจริงๆเหรอ
โนะอิเดินเข้าไปลูบตัวหนังสือสีเลือดซึ่งเขียนตวัดอยู่บนผนังกำแพงอิฐ…

‘K38’

“ได้ข่าวว่าที่นี่เป็นตึกผีสิงล่ะ”
ฮิโระกวาดสายมองไปรอบๆแล้วเผลอเกาะแขนคาโอรุไว้ไม่รู้ตัว ก็บรรยากาศมันชวนสยองน้อยซะเมื่อไหร่ รอบๆมืดสนิท แถมมีลมเย็นๆพัดวูบ ทั้งเงียบทั้งวังเวงชวนขนลุกชะมัด นี่ถ้ามีอะไรวิ่งผ่านหน้าไปสักตัว เค้าคงหัวใจวายตายแน่
คาโอรุส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เป็นนักฆ่าแท้ๆแต่ดันกลัวผี นายเนี่ยมันเหลือเชื่อจริงๆ ให้ตายสิ”
“ก็ผีกับคนไม่เหมือนกันนี่ คนมีเนื้อหนังใช้มีดจิ้มทีเดียวก็ตายแล้ว แต่ผีน่ะถึงใช้ขีปนาวุธก็ฆ่ามันไม่ตายหรอก”
“ปอดแหก” คาโอรุแขวะไปอีกรอบ
“พวกนายจะเลิกเถียงกันได้หรือยัง”
โนะอิหันไปดุ คนอื่นเค้าเครียดจะแย่พวกมันยังมีอารมณ์มากัดกันอยู่ได้ น่าเตะเรียกสติสักป้าบจริงๆ
“ทำตามแผนเดิมนะ พวกเราจะบุกเข้าไปพร้อมกัน เป็นไปได้ก็อย่าให้คลาดกันเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกนาย” ว่าแล้วก็ปรายหางตาสวยๆไปหาน้องชายกับไอ้นักฆ่าตัวดีที่เถียงกันงุบงิบไม่เลิก แล้วก็ได้แต่ถอนใจปลงสังเวช “ป่านนี้พวกมันก็คงรู้ตัวแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ ถ้าภารกิจล้มเหลวให้รีบหาทางหนีออกมาทันที พวกเรายังมีโอกาสแก้ตัวแล้ววางแผนใหม่ อย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด”
หัวหน้าซีเนียร์ย้ำอีกครั้ง แต่พอดูหน้าสมาชิกแล้วไม่รู้พวกมันจะซึมซับคำสั่งของเค้าไปแค่ไหน เพราะยังทำท่าฮึดฮัดเหมือนคำสั่งไม่ถูกใจ
“เอ้า!! ตายเป็นตาย ถ้าทำไม่สำเร็จก็อย่าออกมาเด็ดขาด”
“เอ้อ! มันต้องงี้สิพี่ ถึงจะมันหน่อย” ฮิโระตบไหล่รุ่นพี่ดังป้าบ ก่อนจะกระโดดนำหน้าไปอย่างระริกระรี้
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดิมพันด้วยเกมที่อันตรายถึงชีวิต
แต่… พวกเค้าจะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 13:57:12
Chapter 30 The White Guardian

ภายในตัวตึกเงียบสงัด… วังเวงและชวนขนลุกยิ่งกว่าข้างนอกร้อยเท่า ไฟฉายเล็กๆจากมือรุ่นพี่โฮตารุเป็นแสงสว่างเพียงสิ่งเดียวที่นำทางสมาชิกทั้งหมด เศษวัสดุวางระเกะระกะตามรายทาง เสียงหวีดหวิวของสายลมที่กรีดพัดมาตามช่องหน้าต่างส่งเสียงโหยหวนกึกก้องราวกับปีศาจร้าย
ทุกคนพยายามเพ่งมองไปข้างหน้า โดยไม่ใส่ใจกับเสียงตึงตังที่ดังอยู่เป็นระยะในเงามืด คาโอรุก้มมองมือของตัวเองซึ่งเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของใครบางคน
“ถ้ากลัวก็กลับไปสิ หรือไม่ก็เฝ้าข้างนอกก็ได้ ฉันไม่ว่าหรอก” คาโอรุกระซิบเสียงบอกไอ้ตัวดีที่สั่นงกๆ เหลียวหน้าแลหลังด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา
“ไม่เอา… ฉันไม่อยากโดนผีหลอกคนเดียว”
“โอ๊ย! เมื่อไหร่นายจะเลิกปอดแหกซะทีฮึฮิโระ ผีไม่มีจริงในโลกหรอก นายคิดไปเองทั้งนั้น”
“เรื่องแบบนี้ว่าได้เหรอ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดิ”
“ชู่วววว!!!”
เสียงปรามจากรุ่นพี่ที่เดินนำหน้าทำให้สองตัวแสบเงียบเสียงทันควัน คาโอรุสลัดมือนักฆ่าตาขาวทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้พี่ยู
“ข้างหน้ามีอะไรเหรอ?” คาโอรุเอ่ยถาม
“รู้สึกโนะอิกับโฮตารุจะเจอทางเข้าแล้วนะ”
คาโอรุมองตามที่ยูบอก เห็นโนะอิกับโฮตารุก้มๆเงยๆอยู่บนพื้นสุดปลายทางเดิน พวกเค้าช่วยกันเคาะอยู่พักใหญ่แล้วปรึกษากันเงียบๆ
“หลีกทางหน่อย ฉันจะไปช่วยสองคนนั่นอีกแรง” มาซาฮิโกะที่เดินรั้งท้ายก็อาสาเข้าไปช่วย
พวกรุ่นพี่นั่งงมโข่งกันอยู่นานสองนาน เคาะแล้วเคาะอีกก็ได้ยินแต่เสียงสะท้อนแว่วกลับว่าแสดงว่าด้านล่างเป็นที่โล่งแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเปิดเข้าไปได้ยังไงเท่านั้น ยูกับคาโอรุก็เข้าไปช่วยหาด้วย ทิ้งนักฆ่าเพียงหนึ่งเดียวยืนตัวสั่นกับบรรยากาศชวนสยองรอบด้าน
“เฮ้! ฮิโระ นายเองก็มาช่วยกันหน่อย…”
คาโอรุหันไปเรียกคู่หู แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นมันยืนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเหวอ นิ้วที่สั่นระรัวชี้ไปบนกำแพงด้านหลังของพวกเค้า มันยืนตัวแข็งทื่อราวกับโดนมนตร์สะกดสาปให้เป็นหินยังไงยังงั้น
“ฮิโระ! นายเป็นอะไร” คาโอรุรีบปราดเข้าไปดูคู่ซี้ด้วยความเป็นห่วง มันไม่ตอบคำถาม นิ้วที่สั่นเทายังคงชี้อยู่กับที่ รอให้นักล่าคนเก่งหาคำตอบเอาเอง
คาโอรุเงยมองตามไปช้าๆ แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เค้าช็อคไปอีกคน ถึงจะไม่เท่ากับมันก็เถอะ

...เงาร่างเลือนรางโปร่งใสของหญิงสาวแสนสวยในชุดกิโมโนโบราณ ลอยระเรี่ยอยู่บนพื้นกำแพงอิฐที่เย็นเยียบ ดวงตาสีแดงก่ำของเจ้าหล่อนจ้องเขม็งมายังผู้บุกรุก ปากสีดำขยับขมุบขมิบเหมือนกำลังร่ายคำสาป สองมือที่ปล่อยเล็บสีแดงยาวแหลมคมยกขึ้นมาตะกุยราวกับจะขย้ำคอคนที่บังอาจล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของเจ้าหล่อน พวกรุ่นพี่ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นทีละคน แล้วเดินถอยกลับไปตั้งหลักรวมกับพวกฮิโระ…

“นะ… นายเห็นหรือยัง ฉันไม่ได้โกหกนะ ผีมันมีในโลกจริงๆ เห็นมั้ย”
ฮิโระที่กลัวจนสติแตกคว้าข้อมือของเพื่อนซี้มากุมไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เผื่อผีสาวสวยนั่นลอยเข้ามาใกล้แล้วเค้าวิ่งไม่ออก คาโอรุจะได้ช่วยหิ้วไปด้วย
“โธ่เอ๊ย… นึกว่าอะไร”
ยูที่ตอนแรกก็งงว่าผีสาวตนนี้โผล่มาได้ยังไง พอแหงนหน้ามองเพดานก็ถึงบางอ้อ โปรเจคเตอร์รุ่นจิ๋วกับกล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่หลังโคมไฟบนเพดานคือคำตอบทั้งหมด
“ก็แค่ภาพโฮโลแกรมน่ะ ไม่ใช่วิญญาณจริงๆซะหน่อย”
มือปืนหนุ่มขยับปืนในมือตั้งท่าเหนี่ยวไกเล็งไปที่เป้าหมาย แต่ก่อนที่เค้าจะลั่นไกยิงกล้องเจ้าปัญหาที่ทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ มือที่ไวกว่าก็คว้าต้นแขนเค้าไว้
“มาห้ามฉันทำไม มาซาฮิโกะ” ยูหันไปทำหน้าเคืองใส่รุ่นน้อง
“อย่าเพิ่งยิงนะครับ ท่านเจ้าอาวาสเคยสอนผมเสมอว่าให้มองทุกอย่างรอบตัวเป็นหนทางแก้ปัญหา ภาพโฮโลแกรมรูปผีที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้า คงไม่ได้ทำไว้แค่ขู่ให้คนกลัวเพียงอย่างเดียวแน่ มันน่าจะมีปริศนาอะไรสักอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น”
มาซาฮิโกะขยับเข้าไปเผชิญหน้ากับผีสาว ตอนนั้นเองที่ทุกคนเพิ่งนึกออก ลืมไปสนิทเลยว่าไอ้หมอนี่เป็นนักบวช ผีก็ต้องเจอกับพระ เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อจริงๆ
“ขอถามหน่อยว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง?”
นัยน์ตาสีแดงก่ำของฝีสาวค่อยๆเลื่อนมาจับที่ผู้สนทนา สมาชิกทุกคนลุ้นระทึก รอว่าผีปลอมตัวนี้จะพูดจาโต้ตอบกับคนเป็นๆได้หรือเปล่า

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’
ผีสาวส่งเสียงเยือกเย็นเอ่ยถาม เล่นเอาบรรดาสมาชิกที่ไม่เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์ถึงกับงงกันเป็นทิวแถว

“ก็มาหาเพื่อนน่ะสิ ถามได้… โอ๊ย!”
เจ้าฮิโระที่พอหายกลัวปุ๊บก็ปากเสียปั๊บ แต่ดันตอบคำถามไม่ตรงกับโปรแกรมที่ตั้งไว้ ผีสาวเลยปล่อยแสงเลซอร์ยิงเฉียดไรผมร่วงลงมาหนึ่งกระจุก

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’
เจ้าหล่อนถามอีกครั้ง

“ยัยป้าเนี่ยท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่องแฮะ พูดเป็นอยู่ประโยคเดียวหรือไง”

เปรี้ยง!

ปากมอมๆของมันส่งผลให้เกิดแสงเลเซอร์ลูกใหญ่ยิงผ่าเข้ามากลางวง จนแต่ละคนกระโดดม้วนตัวหลบกันแทบไม่ทัน
“นายน่ะหัดหุบปากไว้บ้างก็ได้นะฮิโระ พูดมากนักเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ซวยกันหมดพอดี”
โนะอิดุด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเหลือทน ก่อนจะหันไปทางนักบวชหนุ่มที่กำลังยืนละเหี่ยใจเต็มที่
“มาซาฮิโกะ… ลองใช้รหัส ‘HOPE’ ดูซิ”
“ยัยป้านั่นจะฟังภาษาอังกฤษออกเร้อ” ฮิโระไม่วายขอแจม
“หุบปาก!!” เพื่อนพ้องน้องพี่พร้อมใจกันหันมาด่า มันถึงได้รีบยกมือขึ้นมาปิดปากไว้หมับ
มาซาฮิโกะขยับเข้าไปใกล้ผีสาวอีกหน ดวงตาสีแดงก็เลื่อนมาจ้องพร้อมกับถามคำถามเดิมอีกรอบ

‘ที่นี่เป็นดินแดนต้องห้าม เจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งใด’

“ความหวัง”

นักบวชหนุ่มให้คำตอบ ทุกคนลุ้นระทึกและเตรียมตัวหลบลำแสงเลเซอร์กันเต็มที่ ผีสาวชะงักไปนิด ก่อนจะแปรสภาพจากใบหน้าขาวซีดน่ากลัว กลายเป็นนางฟ้าที่แสนอบอุ่น ดวงตาเป็นสีของแผ่นดิน ริมฝีปากขับสีชมพูระเรื่อ สองมือที่เคยกรีดเล็บยาวขู่ก็กลายเป็นนิ้วเรียวที่น่าสัมผัส แม้แต่ชุดไว้ทุกข์ของเจ้าหล่อนก็ยังเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง ราวกับนางฟ้าของจริงลงมาจำแลงให้เห็นเป็นๆยังไงยังงั้น
“ว้าว!” เจ้าฮิโระดีดนิ้วเปาะ “ว่าแล้วมั้ยล่ะ”

‘เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการในดินแดนแห่งนี้ แต่ต้องเลือกเส้นทางไปสู่สิ่งที่หวัง ข้าขอถามอีกครั้ง… เจ้าจะเลือกนรกหรือสวรรค์’

พอจบคำถามจากนางฟ้า มาซาฮิโกะก็หันไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆ โนะอิทำท่าคิดหนัก แต่ยังไม่ทันมีใครพูดอะไร ไอ้ตัวปากหมาก็ดันโพล่งไม่ดูตาม้าตาเรืออีกจนได้
“แหงแซะ… ก็ต้องเลือกทางไปสวรรค์อยู่แล้ว ใครจะโง่เลือกลงนรก บ้าหรือเปล่า” ฮิโระทำหน้าภาคภูมิใจเต็มที่ ทั้งที่โนะอิกำลังจ้องมันตาถลน นี่ถ้าไม่เกรงใจน้องชายสุดที่รักล่ะก็ คงโดดเข้าไปฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆสังเวยเจ๊นางฟ้านั่นไปแล้ว

‘เจ้าจะได้สิ่งที่ปรารถนา ณ บัดนี้’

นางฟ้าผายมือมาทางด้านซ้าย พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่พักใหญ่ ประตูที่ถูกซ่อนอย่างแนบเนียนอยู่บนพื้นก็เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ แล้วนางฟ้านำทางก็ค่อยๆสลายหายไปพร้อมกับไฟจากเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ดับพรึ่บ
“นายทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า ถ้าเราลงไปเจอกับดักล่ะก็นายต้องรับผิดชอบ เข้าใจมั้ยฮิโระ” โนะอิขู่จริงไม่ได้ขู่เล่น ทำเอาไอ้ตัวแสบถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ๊แกจะบ้าจี้รับคำตอบง่ายขนาดนั้น ทีเมื่อกี้ยังปล่อยพลังเปรี้ยงๆอยู่เลย ฉันก็เผลอพลั้งปากไปน่ะสิ” ฮิโระรีบแก้ตัว
“เอาน่า… น้องมันคงไม่ตั้งใจหรอก บางทีสิ่งที่ฮิโระเลือกอาจจะถูกก็ได้ พวกเราเองก็คิดไม่ออกอยู่แล้วนี่ว่าจะไปทางไหน มีคนตัดสินใจให้อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะนะ” ยูช่วยแก้ต่างให้อีกคน
โนะอิสะบัดหน้ากลับไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินตามโฮตารุที่ส่องไฟสำรวจเส้นทางรออยู่แล้ว

ทางเดินที่นำลงไปสู่ชั้นใต้ดินค่อยๆสว่างขึ้นเป็นลำดับ ประตูด้านบนถูกปิดสนิททันทีที่พวกเค้าเข้ามากกันครบถ้วน ราวกับมีใครบางคนคอยจับตาดูอยู่ โฮตารุดับสวิตซ์ไฟฉายรุ่นจิ๋วเมื่อนำทางมาถึงห้องโถงที่สว่างไสว
“ไม่มีใครเลยแฮะ”
คาโอรุเดินนำไปข้างหน้าเล็กน้อย ถ้องโถงที่หรูหราแต่กลับไม่มีใครเฝ้าอยู่เลยสักคน มันออกจะผิดปกติเกินไปกับองค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง Death Flowers
“ระวังนะ… นี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้ ฉันกับโฮตารุจะนำหน้าไปก่อน มาซาฮิโกะดูท้ายด้วย ส่วนพวกนาย…” ว่าแล้วหางตาสวยๆของรุ่นพี่ก็เขม่นไปหาไอ้ตัวดีอีกรอบ “หุบปาก แล้วเดินตามยูไปเงียบๆ”
ฮิโระทำหน้ามุ่ยแต่ก็ต้องรับคำสั่ง ถึงจะเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจแค่ไหน แต่เค้าก็ต้องยอมรับในประสบการณ์ที่เหนือชั้นกว่าของรุ่นพี่ โดยเฉพาะโนะอิที่โชกโชนอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เล็ก
ถัดจากห้องโถงก็เป็นทางเดินกว้าง มีกล้องวงจรปิดคอยจับตาดูเป็นระยะ พวกเค้าเดินทางด้วยความระมัดระวังเพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจจะโดนจู่โจมได้ตลอดเวลา
“มันจะเงียบเกินไปแล้วนะ เดินมาตั้งนานยังไม่เจอแม้แต่มดสักตัว พี่นายพาหลงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้” ฮิโระกระซิบเสียงถามคาโอรุเบาๆเพราะกลัวรุ่นพี่จะได้ยิน
“เฉยเหอะน่า นายก็เห็นแล้วนี่ว่ามันมีทางอยู่แค่ทางเดียว แทนที่นายจะกังวลเรื่องหลงทาง นายเอาเวลามากังวลว่าเราจะเจออะไรตรงทางออกดีกว่า”
“เฮ้อ… งั้นก็เถอะ เดินมาร่วมชั่วโมงแล้วนะ” ว่าแล้วไอ้ตัวแสบก็เท้าแขนยันผนัง “เราน่าจะพัก… เฮ้ย!!!”
จู่ๆฝาผนังด้านที่มันพิงอยู่ก็สั่นสะเทือน จากนั้นกว่าที่นักฆ่าจอมกวนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายเกินไปแล้ว
“ว้าก!!!!”
ฝาผนังกลตีพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ดูดเอาตัวฮิโระไปอีกด้าน แต่ก่อนที่มันจะปิดตาย คาโอรุก็รีบโดดเข้าไปคว้าตัวเพื่อนรักเอาไว้ ก่อนจะหล่นลงไปยังอีกฝั่งของประตูกลด้วยกัน
“คาโอรุ!!” โนะอิจะคว้าตัวน้องชายไว้ แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว
“เฮ้ย!!”
มือปืนสองคนที่เดินนำหน้าไปไม่กี่ก้าว ก็ถูกประตูกลจากเพดานเลื่อนลงมาปิดกั้นตัดขาดกับพวกโนะอิ ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายที่สุด ทีมสมาชิกที่หมายใจจะต่อสู่ร่วมกันอย่างเหนียวแน่น กลับถูกแยกออกเป็นสามทีมโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว


ตุบ!

เสียงก้นของนักฆ่าหนุ่มแลนดิ้งลงพื้นไม่เป็นท่า ก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมายืนทรงตัวอีกครั้ง
“โอ๊ย! เจ็บเป็นบ้า”
ฮิโระบ่นไปด้วยลูบก้นที่จ้ำเบ้าไปด้วย ตอนนั้นเองที่แสงไฟเล็กๆจากไฟฉายของคาโอรุก็สว่างขึ้น มันยังคงห่วงสำรวจสวัสดิภาพของตัวเอง จนลืมมองหน้าเพื่อนซี้ที่กำลังซีดสนิท
“ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย ว้า! พี่มิสึกิก็ไม่ทิ้งแผนที่ไว้ซะด้วย แย่ชะมัด” เจ้าตัวดีบ่นไปเรื่อย แต่เริ่มได้กลิ่นคาวเลือดทะแม่งๆโชยมาติดจมูก จึงเงยหน้ามองคู่หู “อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะคาโอรุ อย่าบอกนะว่ากลัวหลงทาง มากับฉันรับรองวางใจได้ จมูกฉันดีกว่าหมาซะอีก รับรองตามพวกรุ่นพี่ทันแน่”
คาโอรุที่กำลังเครียดจัดตวัดหางตามองเขม่นไอ้ตัวแสบ “ถ้านายจมูกดีอย่างที่โม้จริง ก็แหกตามองข้างหน้าบ้างสิ เจ้าฮิโระงี่เง่า!”
กะว่าจะไม่ด่ามันแล้วเชียว แต่ก็อดไม่ได้ทุกที คาโอรุเลยได้แต่ยกมือกุมขมับดับอารมณ์เครียด
ฮิโระเกาหัวแกรกที่จู่ๆก็โดนด่าโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเค้าก็มาเจอเหตุผลตัวเบ้อเร่อที่ยืนเรียงหน้าสลอนอยู่อีกฝั่งเมื่อเค้าหันกลับไปมอง

พระเจ้า!!

นี่พวกเค้าโดนเตะลงมาในทุ่งหญ้าแอฟริกาหรือไงเนี่ย ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด มันถึงได้ละลานตาไปหมด อย่างกับยกละครสัตว์มาไว้ในออฟฟิศหรูยังไงยังงั้น
“ยินดีต้อนรับสู่ห้องอนุบาลสัตว์เลี้ยงของ Death Flowers”
เสียงจากจอมิเตอร์ยักษ์บนฝาผนังดังออกมาพร้อมแสงไฟที่สว่างจ้าไปทั่วห้อง ภาพชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูทสีขาวกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาหรู ราวกับกำลังชมการแสดงละครสัตว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ คาโอรุเบ้หน้า ถึงไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันเป็นใคร ‘ลิลลี่’ ยมทูตตัวร้ายประจำองค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย
“พอดีช่วงนี้ทางองค์กรกำลังขาดงบ พวกนี้ก็เลยต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ มีอาหารตกถึงท้องแค่วันละมื้อเท่านั้น เดิมทีมีเป็นร้อยตัวเชียวนะ แต่พวกมันกินกันเองจนเหลือแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ฉันว่าพวกมันคงดีใจที่มีเพื่อนใหม่มาเยี่ยมถึงที่”
เซกิเหยียดรอยยิ้ม สัตว์ทั้งหลายในห้องเมื่อเห็นเหยื่อแล้วก็แข่งกันส่งเสียงคำรามกึกก้อง รอบๆบริเวณมีซากสัตว์นอนตายเกลื่อนกลาด ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนคาโอรุแทบเก็บอาการคลื่นไส้ไว้ไม่อยู่
“ฝั่งตรงข้ามมีทางออก เลี้ยวซ้ายสองทีก็จะเจอลิฟท์ขนของ พวกนายกดลงไปที่ชั้น G9 พอเจอเจ้าหน้าที่เค้าก็จะพาพวกนายไปเจอคนที่อยากพบ”
“ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง จะรู้ได้ไงว่าพอเราไปถึงแล้วไม่เจอกับดัก” คาโอรุตะโกนถาม
“ฉันไม่โกงอยู่แล้ว เพราะฉันไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น พวกนายแค่มีหน้าที่ผ่านตรงนี้มาให้ได้ก็พอ ถ้ารอดออกมาได้โดยที่ร่างกายยังครบสามสิบสอง พวกนายก็จะรู้ว่าฉันเป็นคนรักษาสัญญาแค่ไหน”
“ล้างคอรอได้เลยไอ้บ้า ฉันไปเชือดนายถึงที่แน่ คอยดูเถอะ!” ฮิโระตะโกนขู่บ้าง
“หึ… อย่าดีแต่ปากก็แล้วกัน ฉันจะรอต้อนรับพวกนายอย่างสมศักดิ์ศรีเลย”
จอมอนิเตอร์ถูกตัดสัญญาณไปแล้ว มันคงชะล่าใจว่าพวกเค้าคงไม่มีทางผ่านด่านสัตว์เลี้ยงของมันไปได้ แต่มัน… ก็รู้จักนักล่ากับนักฆ่าแห่งสี่ตระกูลเทพน้อยไปซะแล้ว
คาโอรุดึงพัดประจำตัวออกมาสะบัดขู่ ตอนนี้บรรดาสรรพสัตว์สารพัดชนิดเริ่มแยกเขี้ยวขู่และเดินตรงดิ่งเข้ามาหาพวกเค้า
“ฮิโระ… นายมั่นใจแค่ไหน ถ้าไม่จำเป็นฉันยังไม่อยากใช้ไม้ตายเลย พับผ่าสิ”
“โอ๊ย… ไม่ต้องหรอกเพื่อน ถ้าไม่ใช่ผีกับหนู อะไรฉันก็โอเคทั้งนั้น” ฮิโระดึงไหล่คู่หูออกมายืนด้านหลัง แล้วหักข้อนิ้วดังกร๊อบ “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายพกเครื่องรางอะไรมา แต่แค่มือเปล่านี่แหละที่จะพานายออกไปจากที่นี่ให้ได้ อย่าลืมนะ… ว่าฉันมาจากตระกูลเสือขาวจ้าวแห่งสัตว์ป่า ก็ให้มันรู้ไปว่าฉันจะแพ้สัตว์เดรัจฉานกิ๊กก๊อกพวกนี้”

เปรี้ยง!!

เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่มันโม้จบ นักฆ่าคนเก่งก็กระโจนเข้าไปหาฝูงสัตว์ป่าอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่เสียดายชีวิต ยอมอุทิศตนไปเป็นอาหารมันง่ายๆซะงั้น คาโอรุได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก ภาพเลือดที่พุ่งกระเซ็นอาบผนังไปทั่วบริเวณ กับเสียงโหยหวนที่ร้องประสานกันระงม คือสิ่งสุดท้ายที่นักล่าหนุ่มได้ประจักษ์ต่อสายตาในห้องโถงแห่งนั้น

อีกฟาก… โนะอิกับมาซาฮิโกะจำเป็นต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่สิ่งที่เค้าได้พบในห้องโถงเดิมกลับไม่ใช่ภาพก่อนที่พวกเค้าจะจากไป
…กองทหารนับร้อยตั้งป้อมเรียงแถวหน้ากระดาน ในมือถืออาวุธสงครามครบชุด เตรียมพร้อมจู่โจมผู้บุกรุกตลอดเวลา…
โนะอิเห็นทีแรกก็ตกใจ แต่ก็พอจะทำใจไว้แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไรที่ไม่ธรรมดาที่นี่ เค้าจึงตั้งตัวได้มั่นคง ไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาให้เห็น พอแอบชำเลืองมองรุ่นน้องที่ยืนอยู่ด้านหลัง ท่าทางของมันยังคงเยือกเย็นสงบนิ่ง แสดงว่าควบคุมตัวเองได้ดีไม่แพ้กัน
“เอากองทหารทั้งกองมาต้อนรับแขกสองคน มันไม่เอิกเกริกไปหน่อยหรือไง”
โนะอิค่อนขอด เค้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้ตัวการใหญ่ต้องจับตาดูอยู่ที่ไหนสักแห่ง และก็คาดไม่ผิดซะด้วย เมื่อจอมิเตอร์ยักษ์ฝั่งตรงข้ามเปิดสัญญาณภาพขึ้นมาทันควัน
“ยินดีต้อนรับ… สำหรับแขกผู้ทรงเกียรติของท่านผู้นำ การต้อนรับแค่นี้เราถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” เซกิยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่มันยียวนกวนประสาทจนโนะอิพ่นควันออกหู
“มิสึกิกับไทกิอยู่ที่ไหน?”
“โอ้! ยังไม่ถึงเวลาที่นายจะถามคำถามนี้กับฉันหรอก” ลิลลี่ปีศาจส่ายหน้า “ฉันมีองครักษ์ด่านหน้าที่จะเล่นกับนายห้าสิบคน แต่ละคนยิงแม่นยิ่งกว่ามือปืนแชมป์โลกซะอีก ด้านหลังพวกนั้นมีประตูทางออก ถ้านายผ่านมาได้ก็เลี้ยวขวาสองครั้งจนกระทั่งเจอบันได ลงไปที่ชั้น G9 นายจะเจอรีเซฟชั่นของฉันอยู่ที่นั่น หล่อนจะพานายไปพบคนที่อยากพบ แล้วอย่าเอาแต่บุกกองหน้าจนเพลินล่ะ ระวังหลังไว้หน่อยก็ดี แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
‘ระวังหลัง?’
โนะอิเหลียวมองกลับหลังก็ยังเห็นมาซาฮิโกะยืนนิ่งอยู่กับที่ ตอนแรกคิดว่าจะมีกองทหารอีกกองเข้ามาล้อมไว้ซะอีก มันคงแค่ขู่ให้เค้าเสียขวัญซะล่ะมั้ง
“ฉันก็จะบอกนายไว้อย่าง เมื่อไหร่ที่หงส์เทพติดปีก… มันก็ผงาดขึ้นท้องฟ้าเหมือนกัน”
“หึ… แล้วเราก็จะได้รู้กัน ว่าหงส์จะโดนยิงร่วงจากฟ้าหรือเปล่า”
คำทิ้งท้ายจากลิลลี่หายวับไปพร้อมภาพจากจอมอนิเตอร์ องครักษ์มือปืนทั้งห้าสิบนายกระชับอาวุธสังหารในกำมือเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากหัวหน้า โนะอิถอยไปตั้งหลัก มือข้างหนึ่งแอบล้วงเข้าไปใต้เสื้อโค้ตพร้อมรับมือ
“มาซาฮิโกะ… พอฉันให้สัญญาณนายก็รับกระโดดหลบให้สูงที่สุด หรือไม่ก็หาที่หลบตามมุมผนังนะ”
รุ่นน้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรุ่นพี่หันหน้ามาบอกแผนการคร่าวๆ เค้าขยับตัวถอยไปที่มุมหนึ่งของห้อง รอดูจังหวะว่ารุ่นพี่คนเก่งจะแผลงฤทธิ์อะไรออกมากันแน่
“พร้อม!!”
เสียงตะโกนจากตัวหน้าหน่วยที่ยืนอยู่หัวแถวสั่งเสียงดังลั่น
“เตรียม!!”
ปากกระบอกปืนทุกประบอกเล็งมาที่โนะอิ ดวงตาสีฟ้าสดจ้องเขม็งไปที่เป้าหมายทั้งห้าสิบคน ในมือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมคว้าอาวุธไว้แน่น
“ยิง!!!!!”

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

ฟุ่บ!!

เสียงปืนรัวกระหน่ำสลับกับขนนกสีแดงสดที่ปลิวว่อนไปทั่วห้องเป็นภาพที่น่าทึ่งเหลือเกิน เหมือนดวงตะวันสีแดงเฉิดฉายท่ามกลางท่านหมอกที่ขุ่นมัว เสียงปืนซาลงแล้ว ควันจากเขม่าปืนก็ค่อยๆจางหาย ขนนกลอยละล่องอ้อยอิงปลิวตกบนพื้นอย่างเชื่องช้า และกว่าที่นักบวชหนุ่มจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านเมื่อครู่ก็จบลงซะแล้ว
องครักษ์ทั้งห้าสิบคนที่ถูกการันตีว่าแน่นักหนานอนสลบเหมือดไม่เป็นท่า บนคอมีขนนกสีแดงสดปักคาอยู่ นั่นคงจะเป็นเข็มยาสลบ มาซาฮิโกะหยิบอันที่ใกล้ที่สุดขึ้นมาดูก็พบว่าใช่อย่างที่คิด เค้าแอบซุกขนหงส์เพลิงไว้ใต้เสื้อคลุมหนึ่งอัน
“แย่จัง… พัดที่ฉันอุตส่าห์หยิบมาใช้แก้ร้อน ในที่สุดก็พังจนได้” โนะอิคล้อยตามองเส้นขนนกที่ร่วงเกลื่อนด้วยความเสียดาย ในมือเล็กๆยังถือก้านพัดโล้นๆเพราะขนทั้งหมดถูกใช้ซัดไอ้พวกนี้จนสลบ
“นั่นเพราะรุ่นพี่เก่งเกินไปต่างหาก เก่ง… มากกว่าที่ผมเคยประเมินไว้เยอะเลย”
ถึงน้ำเสียงจะแสดงความชื่นชม แต่ดวงตาของมาซาฮิโกะกลับเย็นชาไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกนั้นสักนิดเดียว โนะอิฟังแล้วทะแม่งๆหูแต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เพราะปกติไอ้หมอนี่ก็พูดน้อยต่อยหนักเป็นนิจอยู่แล้ว
“ฉันว่าเรารีบไปต่อดีกว่านะ ป่านนี้พวกคาโอรุกับยูไม่รู้เป็นไงบ้าง เราควรจับตัวไอ้หัวหน้าของพวกมันให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จะได้…”

ฟุ่บ!

เส้นขนเส้นเดิมที่เคยล้มยักษ์ทั้งห้าสิบจนสลบเหมือด ย้อนกลับมาทำร้ายเค้าได้อย่างแสบสันที่สุด เส้นประสาททั้งตัวค่อยๆชาไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าจนไม่อาจฝืนประคองตัวยืนได้เอง แต่ก่อนที่เค้าจะล้มลงไป มือของคนที่ทำร้ายก็ปราดเข้ามาประคองตัวเค้าได้ทันเวลาพอดิบพอดี
“รู้สึกยังไงบ้างครับ ที่ต้องโดนอาวุธของตัวเองทำร้ายแบบนี้”
ใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้ในยามนั้นไม่เหมือนนักบวชเด็กดีที่เค้าเคยรู้จัก มันทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งกวนประสาท จนไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นมาซาฮิโกะคนเดิม
“นะ… นาย…” โนะอิพยายามใช้สติสุดท้ายประคองตัวไว้ให้นานที่สุด แต่ก็เปล่งเสียงพูดมาได้แค่นั้น
“อย่าพยายามฝืนเลยโนะอิ นายน่าจะรู้ถึงอานุภาพอาวุธประจำกูลไฮบาระดีที่สุดนะ” มาซาฮิโกะอุ้มตัวรุ่นพี่ที่เบาหวิวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “ขอโทษทีนะที่ต้องทำแบบนี้ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณเซกิเป็นผู้ชนะ แต่รับรองผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายพี่แน่ หลับให้สบายเถอะ ผมจะพารุ่นพี่ไปที่ห้องรับรองที่ดีที่สุดขององค์กร”
“นาย… เป็น… ใครกัน… แน่” โนะอิเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมเพื่อเรียกสติที่กลังจะดับวูบคืนกลับมา
“อย่าทำแบบนั้นสิครับ ปากสวยๆเดี๋ยวก็ช้ำหมดพอดี” รุ่นน้องยิ้มกว้าง “หนึ่งในทรีโอการ์เดี้ยน (Trio Guardians) หรือหัวหน้าองครักษ์ทั้งสาม ผมคือ… White Guardian หัวหน้าองครักษ์ตัวจริงประจำตัวท่านเซกิ”
ความจริงที่รับรู้ทำให้ดวงตาสีฟ้าครามวาวโรจน์ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะยาพิษประจำตระกูลที่อาบไว้บนเข็มหงส์เพลิงช่างให้ผลที่ร้ายกาจเหลือเกิน ร่างเล็กๆฟุบหับคาอกกว้าง ไม่มีแรงจะพยศหรือต่อต้านเค้าอีกแล้ว
มาซาฮิโกะกระชับตัวรุ่นพี่เข้ามากอดแน่นขึ้น สัมผัสกับความอบอุ่นที่แนบชิดจนไม่อยากให้จางหายไป มือเรียวค่อยๆไล้ไปตามแก้มบางใส ความฝันที่รอมานานแสนนานกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว

“เฮ้! เพื่อน… กอดรุ่นพี่แล้วทำหน้าตากรุ้มกริ่มแบบนั้น มันเสียมารยาทนะรู้มั้ย”

เสียงที่แว่วดังมาจากช่องประตูไม่ใช่คนที่เค้าคาดหวัง แต่กลับเป็นคนที่ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่ ดวงหน้าของนักบวชหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถอยกลับไปตั้งหลักที่ประตูอีกด้าน
…Black Sakura…
ยมทูตดำประจำองค์กร ได้คืนชีวิตกลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 13:58:42
Chapter 31 More Than Friendship

“บ้านฉันนะเลี้ยงหมาป่าสิบสองตัว เสือดาวเก้าตัว เสือชีตาร์อีกหก สิงโตอีกสี่ แล้วที่เจ๋งสุดคืออะไรรู้มั้ย…”
นักฆ่าตัวดีหันมายิ้มกริ่มอวดความแน่ พร้อมกับเล่นทายใบ้คำปริศนา เล่นเอาคนที่นึกทึ่งมันมาหมาดๆ กำลังจะเปลี่ยนใจนึกหมั่นไส้แทน
“เสือขาวเบงกอลไงล่ะ” ฮิโระทำหน้าหงุดหงิดที่เพื่อนซี้ไม่เล่นด้วย “นี่ยังไม่นับรวมหมีขาว แพนด้า ช้างแอฟริกา และโอ๊ย! นับไม่ถ้วน… จนป่านนี้นะฉันยังจำชื่อพวกมันได้ไม่หมดทุกตัวเลย”
“บ้านนายเป็นคณะละครสัตว์หรือไง ถึงต้องอุปการะสิงสาราสัตว์มากมายขนาดนั้น” คาโอรุแขวะกลับ “อ๋อ… ฉันก็ลืมไปว่ามี ‘ลิง’ เป็นหัวหน้าคณะ”
ฮิโระหยุดเดินแล้วขมวดคิ้วมุ่น ทั้งที่คาโอรุพอกัดเสร็จปุ๊บก็รีบจ้ำหนีปั๊บ ก่อนที่คนความรู้สึกช้าจะรู้ตัวซะก่อน
“เอ… บ้านฉันไม่มีลิงซะหน่อย นายเอาอะไรมาพูด” มันคิดอยู่พักใหญ่แล้วในที่สุดก็ถึงบางอ้อว่าโดนกัดเต็มๆคำ “เฮ้ย! นี่นายหลอกด่าฉันเหรอ”
“ใช่แล้ว เพิ่งรู้ตัวเหรอเจ้าลิงน้อย” คาโอรุหัวเราะร่วน ก่อนจะกระโดดนำขึ้นไปบนบนลิฟท์ แล้วแกล้งกดปิดประตูจนฮิโระเกือบโผตามเข้าไปแทบไม่ทัน
“เล่นบ้าๆ เกือบจะโดนลิฟท์หนีบตายแล้วเห็นมั้ยเนี่ย”
“อ้าว… ก็ไหนคุยนักคุยหนาว่าเก่ง”
“นั่นมันคนละเรื่องกัน…”

ตึง!!

จู่ๆลิฟท์เจ้ากรรมก็ดันมาชะงักทั้งที่เพิ่งลงไปถึงแค่ชั้น G3 เท่านั้น ไฟในลิฟท์ดับพรึ่บ รอบด้านมืดสนิท ฮิโระลนลานกลอกตามองไปรอบๆ อีหรอบนี้มันชวนให้ขนลุกดีนักแล
“คะ… คาโอรุ ทำไมจู่ๆลิฟท์มันถึงหยุดล่ะ” นักฆ่าที่เพิ่งประกาศความกล้ามาหมาดๆเสียฟอร์มหมดรูป มือที่สั่นเทารีบโผเข้าเกาะแขนเพื่อนซี้ไว้แน่น
“เงียบๆก่อน” คาโอรุส่งเสียงดุ ก่อนจะแนบแก้มเงี่ยหูฟังที่ประตู “รู้สึกข้างนอกจะมีการต่อสู้กันนะ”
“ใครเหรอ?” ฮิโระรีบถาม
“ก็อยู่ด้วยกัน แล้วฉันจะรู้มั้ยล่ะ” คาโอรุดุไปอีกรอบ มันนะ… เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังมีหน้ามากวนประสาทอีก “อาจจะเป็นพวกรุ่นพี่ก็ได้ นายมาช่วยฉันหน่อยเร็วเข้า เราจะงัดลิฟท์ออกไป”
สองเพื่อนซี้จับประตูคนละด้าน จากนั้นก็ออกแรงงัดเต็มที่ ข้างนอกยังมีเสียงตูมตามโครมครามเป็นระยะ แต่แล้วทันใดนั้นเองแสงไฟก็ติดอีกครั้ง แล้วลิฟท์เจ้ากรรมก็ค่อยๆเลื่อนลงไปยังจุดหมายปลายทางเดิม
“เดี๋ยว!!” คาโอรุทุบประตูดังปังแต่ก็ไร้ผล
“ช่างมันเถอะน่าคาโอรุ มันลงไปต่อก็ดีแล้วนี่ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ในนี้ไง” ฮิโระช่อยปลอบทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเพื่อนมันหงุดหงิดเรื่องอะไร ถึงต้องไประบายอารมณ์กับประตูลิฟท์แบบนั้น
“แต่ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลยนะฮิโระ ฉันเป็นห่วงพี่โนะอิ” นักล่าคนเก่งทรุดฮวบลงไปที่พื้น พร้อมกอดเข่าทำท่าคิดหนัก
ฮิโระทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆ เอื้อมแขนดึงไหล่คาโอรุเข้ามาโอบไว้
“พี่นายออกจะเก่ง… เค้าคงไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างก็ยังมีพี่ๆคนอื่นอยู่ด้วย พวกเค้าไม่มีทางแพ้ใครอยู่แล้ว”
คำปลอบรู้สึกจะไม่เข้าไปกระแทกหูมันสักนิด เพราะคาโอรุยังเอาแต่นั่งซึมทำหน้าเครียดอย่างกับมีใครตายแล้วอย่างนั้น จากมือที่ตั้งใจจะกอดปลอบอย่างทะนุถนอม เลยต้องเรียกสติโดยการตบหัวสักป้าบ
“โอ๊ย! ฮิโระ! นี่นายมาตีฉันทำไม” คาโอรุรีบโวยใหญ่ แต่คนข้างๆกลับเอาแต่ยิ้ม พร้อมกับวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของเค้า
“ถ้าแม้แต่นายซึ่งเป็นน้องชายยังไม่เชื่อใจเค้า แล้วใครจะเชื่อเค้าล่ะ นายไม่ต้องห่วงมากนักหรอก พี่โนะอิและพี่ๆคนอื่นๆต้องเอาตัวรอดได้แน่ สิ่งที่นายกับฉันทำได้ตอนนี้คือไปที่ห้องบัญชาการ อัดเจ้าลิลลี่ปี่ศาจนั่นให้น่วม แล้วช่วยไทกิออกมา”
คำปลอบโยนแม้จะฟังดูบ้าบิ่น แต่ก็กลั่นออกมาจากความรู้สึกข้างใน ใครบอกว่ามันไร้สาระ อันที่จริงมันเป็นคนมีสาระมากกว่าคนที่จริงจังอย่างเค้าซะอีก ใบหน้าที่เคร่งเครียดมาตลอดของนักล่าจึงค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เค้าดันตัวเพื่อนซี้ออกแล้วยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง
“อ้าว… จะมัวอึ้งอยู่ทำไมเล่า ก็นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราต้องเตรียมตัวสู้ แล้วนั่งบื้ออยู่อย่างนั้นมันจะได้เรื่องมั้ยล่ะ”
ฮิโระลุกพรวดตามขึ้นมาหลังจากโดนเหน็บอีกยก หนอย… ยังมีหน้ามาว่าคนอื่น ทีเมื่อครู่ตัวเองนั่งซึมเค้ายังไม่บ่นสักคำ
“ฉันพร้อมเสมออยู่แล้ว”
“ถึงไหนถึงกัน”
นักล่าสบตากับนักฆ่า ก่อนจะตบมือทำสัญญาว่าจะสู้ด้วยกันจนถึงที่สุด

อีกด้านหนึ่งของประตูลิฟท์ ในชั้น G3…
“จะเลิกวิ่งไล่จับกันได้หรือยัง ฉันเพิ่งหายป่วยนะ เห็นใจกันบ้างสิ”
ไอ้บ้าที่ตามตื๊อไม่เลิกยืนยิ้มแป้นแล้นดักรออยู่ตรงหน้าลิฟท์ นี่ขนาดเค้าใช้ทางลับหนีลงมาที่ชั้นล่างก็ยังสลัดมันไม่พ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนมันก็ดักหน้าได้หมดอย่างกับเงาตามตัว
“ของนั่นน่ะ… ถ้าหนักมากก็วางลงก่อนสิ หิ้วไปหิ้วมาด้วยแบบนี้ นายไม่หนักบ้างหรือไง” อดีตท่านหัวหน้าและเพื่อนซี้แซวอีกรอบ จนคนที่วิ่งหนีจนเหนื่อยชักอารมณ์เสีย
“คิดว่าฉันโง่นักหรือไงมิสึกิ ถ้าฉันวางพี่โนะอิลงเมื่อไหร่ นายก็จะแย่งไปน่ะสิ” มาซาฮิโกะตะคอกไปอีกรอบ บ่าข้างขวาเริ่มล้าเพราะคนที่เคยเบาแสนเบาตอนนี้กลับหนักอึ้งจบแทบไม่อยากแบกรับอีกต่อไปแล้ว
มิสึกิส่งยิ้มอีกรอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาโดยเปิดช่องว่างให้โจมตีเต็มที่ แสดงความจริงใจว่าเค้าไม่เคยคิดที่จะตอบโต้หรือต่อสู้กับมาซาฮิโกะเลย
“อย่างฉันคงไม่ต้องแย่งกับนายให้เสียเวลาหรอก เพราะเค้าตัดสินใจนานแล้วว่าจะเลือกใคร”
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!”
มาซาฮิโกะถอยไปตั้งหลักอีกหลายก้าวเพราะยังไม่วางใจ ถึงยังไงมันก็คือ ‘แบล็คซากุระ’ ถ้าพลาดแม้แต่ก้าวเดียว เค้านั่นแหละที่ต้องดับ
“ถึงยังไงฉันก็ต้องกันตัวพี่โนะอิไว้ก่อน เพื่อให้ท่านเซกิเป็นฝ่ายชนะพนัน”
“เฮ้อ… เรื่องนั้นก็อีก” มิสึกิถอนใจด้วยความเซ็ง “ฉันก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าทำไมคนซื่อบื้ออย่างเจ้าริวถึงได้เป็นมือขวาของเซกิ ที่แท้มันก็เป็นแค่ตัวแทนซ่อนผู้พิทักษ์ที่แท้จริงอย่างนายนี่เอง”
“นายจะเอายังไงก็ว่ามา ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลาหรอกน่า”
“งั้นก็วางพี่โนะอิลงก่อนสิ ฉันรับรองจะไม่แตะต้องเค้าจนกว่านายจะยอมฟังฉัน”
“หึ… ฉันไม่เชื่อใจนายขนาดนั้นหรอกนะ”
มิสึกิส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของเพื่อน “ทำไมทุกคนถึงชอบบังคับให้ฉันสู้นักนะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากทำร้ายใครเลย”
แค่เพียงชั่วพริบตาเดียว… ทั้งที่เค้าก็จ้องจับตาดูมันอยู่ตลอดเวลา มันกลับใช้ความเร็วที่เหนือชั้นกว่าพุ่งเข้ามาหา ความหนักแสนหนักที่เคยแบกไว้บนบ่ากลับเบาหวิว นักบวชหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ได้แต่มองดูมันอุ้มเอารุ่นพี่คนเก่งไปวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง เพื่อให้พ้นจากรัศมีการทำลายล้างกรณีที่เค้าสองคนต้องปะทะกัน
ใบหน้าเรียวใสยังคงหลับพริ้ม แต่เปลี่ยนจากที่เคยเคร่งขรึมเป็นสงบลงทันตา ราวกับรู้ว่าอ้อมแขนที่ประคองอยู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
มิสึกิลูบแก้มคนหลับเบาๆ “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วจะมารับ”
“เข้ามาสิ ฉันพร้อมแล้ว!” ภาพบาดตาบาดใจนั้นทำให้มาซาฮิโกะตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแบล็คซากุระ แต่เค้าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ถ้านั่นจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้นายยอมฟังฉันได้” มิสึกิถอนใจเฮือกยาว วันนี้อุตส่าห์มามือเปล่าเพื่อหวังจะเจรจากับมันโดยสันติ แต่คงจะไม่ได้เรื่องซะแล้ว
มาซาฮิโกะพุ่งจู่โจมตวัดขาฟาดเข้าไปเต็มแรง โดนแผลเก่าของมิสึกิจนต้องถอยไปตั้งหลัก และกลิ้งตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดตอนที่คู่ต่อสู้กระโดดตามลงมาซ้ำ หมัดขวาตรงหมายจะเสยปลายคางเพื่อปิดเกม แต่มิสึกิก็ไวพอที่จะรับได้ทัน
“เมื่อไหร่นายจะเลิกอ่อนข้อให้ฉันซะที คิดจะดูถูกกันหรือไง!”
“ถ้าดวลกันที่อื่นฉันจะสู้กับนายเต็มที่แน่ แต่ถ้าต้องเล่นไปตามเกมงี่เง่าของเจ้าเซกิล่ะก็ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
มิสึกิสวนหมัดเข้าใส่ เพื่อนซี้ก็รับได้อย่างเฉียดฉิว มือที่ต่างฝ่ายต่างรับกันและกันไว้บีบแน่นราวกับจะป่นกระดูกให้เป็นผุยผง มาซาฮิโกะซัดเข่าเข้าใส่เต็มท้อง มิสึกิก็สวนด้วยแข้งฟาดเข้าใส่เต็มสีข้างจนจุก ทั้งคู่แลกหมัดเข้าใส่กันหมัดต่อหมัด จนเวลาผ่านไป… ก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
มาซาฮิโกะง้างหมัดเตรียมซัดใส่หน้าคู่ต่อสู้อีกครั้ง ดวงตาของมันยังคงแน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว… ไม่อาฆาต… ไม่เคยคิดอยากทำร้าย… ทั้งๆที่เพื่อนอย่างเค้าคอยหักหลังและทรยศมันมาตลอด นักบวชหนุ่มน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะลดหมัดลงแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น แล้วต่อยระบายอารมณ์แทนหน้าของมัน
“ทำไม… มิสึกิ คนอย่างนายถ้าคิดจะฆ่าฉันมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ แล้วทำไมถึงต้องทำอะไรโง่ๆยืนชกกันเหมือนเด็กๆด้วย”
“แล้วนายล่ะ ฉันเปิดช่องว่างให้จู่โจมตั้งเยอะ ถ้านายคิดจะฆ่าฉันจริง ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้มายืนแลกหมัดกับนายแบบนี้หรอก” มิสึกิยังคงยิ้มเหมือนเช่นที่เคยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปให้ “ลุกขึ้นมาเถอะมาซาฮิโกะ เราสองคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน ไม่ใช่เหรอ…”
มาซาฮิโกะมองมือข้างนั้นด้วยสายตาที่ลังเลชั่วครู่ แต่ความรู้สึกบางอย่างจากความเชื่อใจในส่วนลึก ทำให้เค้ายอมคว้ามือข้างนั้นเอาไว้ แล้วยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“ฉันทรยศทั้งนาย ทรยศทั้งซุย…” นักบวชหนุ่มกัดฟันแน่น “นายไม่แค้นฉันบ้างเลยหรือไง”
“มาสะ… ฉันอยู่ในองค์กรนี้มาก่อนนาย อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบมากกว่านาย ฉันเข้าใจคำว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ ดี ยิ่งนายเป็นผู้พิทักษ์ของเซกิ เชื่อขนมกินได้เลยว่าคนอย่างมันไม่ปล่อยให้นายใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ ความรู้สึกที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งหลอกลวง วันที่พวกเราสามคนพบกัน วันนั้นทั้งฉันทั้งนายเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เรามีเพื่อนที่พึ่งพาได้และจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันตลอดไป”
“มิสึกิ”
มาซาฮิโกะมองหน้าเพื่อนด้วยความตื้นตัน มิสึกิก็ยังเป็นมิสึกิ… ที่โกรธใครไม่เป็นและพร้อมที่จะให้อภัยทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ตาม
“ฉันขอโทษ”
นั่นคือคำๆเดียวที่ทดแทนทุกสิ่งก่อนที่ผู้พ่ายแพ้ในความเป็นเพื่อนจะเบือนหน้าหนี เค้าไม่รู้หรอกว่ามันจะใช้ลบล้างความผิดที่ผ่านมาได้หรือเปล่า เพียงแค่… อยากบอกคำที่ค้างคาใจมานานแสนนานให้มันรับรู้ก็เท่านั้น
มือใหญ่ตบที่บ่ากว้าง ทะลายกำแพงที่กั้นขวาง ที่นี่ไม่เคยมีศัตรูหรือเจ้านาย แต่จะมีเพียงเพื่อนตลอดไป
“ฉันกับคุณไทกิตกลงกันแล้วว่าจะล้มเซกิให้ได้ นายจะร่วมมือกับเรามั้ย”
มิสึกิถามตรงๆ การจะต่อกรกับลิลลี่ปีศาจจะต้องมีกำลังพลที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะคนที่ใกล้ตัวเซกิมากที่สุดอย่างมาซาฮิโกะ เค้าจะช่วยพลิกผันสถานการณ์ที่เสียเปรียบให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายเราได้มากทีเดียว
“ถ้าเราล้มคุณเซกิ สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนทรยศนะ”
“แล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะ” มิสึกิถามกลับ
มาซาฮิโกะคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่หรอก… ถ้าเทียบกับเพื่อนอย่างนาย”
“ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าซุยยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า”
“แน่นอน… ฉันเป็นคนส่งมันไปที่เกาะเซเรียวเอง ลูกน้องฉันไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งแน่”
“ได้งั้นฉันก็วางใจ”
มิสึกิหันกลับมาทางตัวปัญหาซึ่งยังคงหลับเป็นตาย แล้วแอบชำเลืองมองเพื่อนซี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้อึดอัดใจอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเคลียร์กับมันตรงๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ล่อแหลมแบบนี้
“ไม่ต้องห่วงฉัน นายพาพี่โนะอิไปได้เลย ฉันรู้ว่าเค้าเลือกแล้ว ที่สำคัญ… พี่โนะอิจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้คุณไทกิชนะ นายเองก็วางแผนแบบนี้อยู่แล้วใช่มั้ย”
มิสึกิเดินกลับไปที่ตัวปัญหา ก่อนจะอุ้มขึ้นไว้บนบ่า
“ขอบใจนะมาซาฮิโกะที่เข้าใจพวกเรา นายเองก็ระวังตัวด้วยนะ เซกิไม่ใช่คนที่จะเชื่ออะไรง่ายๆซะด้วย”
ในเวลาชั่วพริบตาที่มันหันมาบอกลา ความมืดก็ได้ดูดกลืนมันไปพร้อมๆกัน นักบวชหนุ่มหันมาดูกล้องวงจรปิดที่ถูกทำลายจนยับ ตอนนี้ยังเหลืออีกด่านสำคัญที่ต้องผ่านไปให้ได้ นั่นก็คือ… รายงานเรื่อง ‘เหยื่อคนสำคัญ’ ที่ต้องเอาไปบอก White Lily


ติ๋ง… ติ๋ง…

เสียงหยดน้ำกระทบก้อนหินเหมือนแว่วดังมาจากที่ไกลๆ แต่เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อสติที่รางเลือนค่อยๆคืนกลับมา อากาศหนาวและชื้น พื้นดินก็เย็นเฉียบ มีเพียงไออุ่นเดียวที่คอยประคับประคองตัวเค้าอยู่ มือเรียวบางยกขึ้นมากุมขมับ รับรู้ได้ถึงแรงกระแทกจากเส้นเลือดที่เต้นตุบตับราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง แพขนตาหนาค่อยๆกระพือขึ้น ดวงตาสีฟ้าสดใสแต่ยังปรับภาพได้ไม่คมชัดก็เผยออกมาอีกครั้ง
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงทักจากคนที่สองทำให้สติที่เลือนลางตื่นตัวเต็มที่ หมัดขวาเหวี่ยงกะเสยปลายคางเต็มแรง ยังดีที่เค้าคว้าข้อมือเล็กๆนั่นไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงโดนเสยจนสลบเหมือดคาที่ไปแล้ว
“โอ้โฮ! ลองแม่นขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องห่วงแล้วมั้ง”
คำพูดกวนๆที่คุ้นหูทำให้โนะอิพยายามเพ่งสายตามองอีกครั้ง ถึงแม้รอบข้างจะมีแสงสว่างน้อยเต็มทีก็เถอะ และแล้วภาพใบหน้าของคนที่คิดถึงสุดหัวใจก็ค่อยๆปรากฏชัดต่อสายตาคู่สวย คนๆนั้นยังคงยิ้มให้ รอยยิ้มที่อ่อนโยนและเข้มแข็งไม่ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน เค้ายังคงจดจำได้ไม่มีวันลืม
“มิสึกิ!!”
รุ่นพี่รีบโผเข้ากอดรุ่นน้องตัวดี ร่างเล็กๆที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอมาก่อนก็สั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของคนรัก แม้จะจากกันไม่กี่สัปดาห์ แต่ความทรมานนั้นกลับยาวนานเหมือนชั่วชีวิต
“ฉัน… ฉัน…” โนะอิตื้นตันจนพูดไม่ออก ได้แต่สะอื้นเบาๆ
“ไม่ต้องพูดแล้วครับ พี่ปลอดภัยแล้ว ตราบใดที่ผมยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้แน่นอน”
“แล้วมาซาฮิโกะล่ะ?”
มิสึกินิ่งไปนิด ก่อนจะถอนใจเฮือกยาว “เค้าไปแล้ว… หมอนั่นรับปากผมแล้วว่าจะไม่รบกวนพี่อีก”
“ได้ไง! มันทำกับฉันขนาดนี้ ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่ อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน ฉันนี่แหละจะฆ่ามันด้วยมือฉันเอง”
“พี่โนะอิ” มือใหญ่เอื้อมไปจับไหล่บางเพื่อให้เจ้าตัวเย็นลงบ้าง “ผม ซุย และมาซาฮิโกะ ถึงจะรู้จักกันไม่นาน แต่ก็เป็นเพื่อนที่ผมเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘เพื่อนแท้’ โดยส่วนลึกมาซาฮิโกะไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เค้าเองก็เหมือนผม เมื่อเกิดมาในองค์กรก็ไม่มีทางเลือกให้ตัวเองมากนักหรอก เค้าต้องทำตามคำสั่ง และ… ส่วนหนึ่งก็คงจะทำตามความรู้สึกของตัวเองด้วย”
“แต่มันคิดจะ…” โนะอิจะยกเหตุผลสำคัญขึ้นมาอ้าง แต่ก็พูดไม่ออก เลยเลือกที่จะนิ่งไว้ดีกว่า
“ผมรู้… แต่หมอนั่นคงไม่ตั้งใจหรอก การที่ได้อยู่ใกล้ชิดคนที่ชอบมันห้ามใจยากมากนะพี่ ขนาดผมเองยังเกือบสติแตกตั้งหลายที”
โนะอิแกล้งเบือนหน้าหนี ถ้าขืนไปต่อความด้วยมีหวังคงไม่จบง่ายๆแน่
“ที่นี่ที่ไหน?”
นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบตวัดไปรอบๆ ทางเดินมืดคล้ายอุโมงค์ก่อด้วยผนังหินหยาบทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ตรงปลายทางด้านหนึ่งมีแสงสว่างลอดออกมารำไร ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยกับหยดน้ำที่เซาะลงมาตามร่องหิน อากาศทั้งชื้นและเย็นยะเยือก แสดงว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ต้องมีแหล่งน้ำอยู่อย่างแน่นอน
“อุโมงค์ลี้ภัยทอดยาวอยู่ใต้ทะเลสาบ... นี่เป็นทางลับยามฉุกเฉิน แต่มันปิดตายมานานหลายสิบปีแล้ว มีผมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ มันเชื่อมต่อกับคุกใต้ดินกับสุสานแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองโตเกียว” มิสึกิหยุดไปนิดแล้วทำตาปรอย “ผมขอโทษที่ต้องพาพี่มาหลบในที่โทรมๆแบบนี้ แต่ที่นี่เป็นที่เดียวที่จะรอดพ้นจากสายตาของเซกิ เราคงต้องรออยู่ที่นี่สักพักจนกว่าคุณไทกิจะกลับมา”
โนะอิเห็นรุ่นน้องทำหน้าหงอยก็แอบอมยิ้ม “จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก แค่ได้เจอมิสึกิอีกครั้งก็พอแล้ว”
สองแขนเรียวเล็กสอดกระหวัดแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง มือลูบไล้ตามแผ่นหลังอบอุ่นที่โหยหามาเนิ่นนานจนคนที่โดนกอดชักใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“หัวใจนายเต้นแรงมากเลยนะ” ดวงตาสีฟ้าสดเงยขึ้นมาสบมีแววล้อเลียน ทำเอาคนหน้าบางต้องรีบหันหนีเพราะไม่กล้าสบตาตรงๆ
“ก็… อากาศมันร้อนนี่ครับ” มิสึกิบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย
“ร้อนตรงไหนเหรอ ฉันว่าออกจะหนาวด้วยซ้ำ” คนขี้แกล้งซุกหน้าลงไปอีกแล้วโอบแขนรัดแน่นขึ้น จนพิกัดความอดทนของใครบางคนขาดสะบั้นในที่สุด
มือใหญ่ของรุ่นน้องรั้งตัวรุ่นพี่ออกจากอ้อมอก “พอเถอะ… อย่าทำแบบนี้อีกเลย”
“แต่ฉันอยากอยู่กับมิสึกิ!” รุ่นพี่ทำสีหน้าขึงขัง “ฉันอยากผูกพันกับมิสึกิให้มากกว่านี้ เพราะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งฉันทั้งนายเกือบพลาดหลายต่อหลายครั้ง ถ้าเซกิฆ่านายตั้งแต่ตอนนั้น หรือวันนี้… มาซาฮิโกะทำสำเร็จ เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกเลยก็ได้”
“แต่ถึงยังไงผมก็ทำไม่ได้ มันจะทำให้รุ่นพี่ลำบากทีหลังนะครับ โรคหัวใจของพี่จะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะทำให้ถึงตายได้นะ”
มือเล็กๆจับมือของคนดื้อมาทาบที่หน้าอก สัมผัสหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว
“ถึงต้องตาย ฉันก็จะขออยู่ข้างมิสึกิ ถ้านายห่วง ‘หัวใจ’ ฉันอย่างที่ว่าจริง นายก็ควรจะรู้ว่าฉันต้องการอะไรมากที่สุด”
โนะอิกลั้นใจรอคำตอบ นานมากที่รุ่นน้องจอมซื่อบื้อเอาแต่อึ้งจนคนรอชักเริ่มหงุดหงิด แต่พอมันยิ้มออกมาเท่านั้น เค้าก็รู้ทันทีว่าคำตอบที่ได้รับคืออะไร
มิสึกิดึงตัวคนริเริ่มเข้ามากระซิบ “ขอเตือนไว้ก่อน ว่างานนี้ถึงพี่จะขอร้องให้หยุดผมก็จะไม่หยุดแน่ อย่านึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
คนใจกล้าแย้มรอยยิ้มท้าทาย “ไม่มีทางที่ฉันจะเสียใจ”
มือหยาบกระด้างเชยคางมนเข้ามาใกล้ ประทับริมฝีปากแผ่วเบาก่อนจะสอดลิ้นโลมเลียหาความหอมหวานจากข้างใน ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด ต่างฝ่ายต่างรีบกอบโกยเอาความสุขที่ใฝ่ฝันหาเต็มที่ จนอุณหภูมิรอบข้างที่เคยเย็นเยียบกลับร้อนระอุขึ้นมากะทันหัน
“อื้ม… มากกว่านี้สิ”
เสียงหวานๆเว้าวอน ร่างสูงก็ไม่รอช้าที่จะตอบสนอง มือสองข้างเร่งปลดเสื้อผ้าที่เป็นสิ่งขวางกั้นเนื้ออุ่นๆ ส่วนริมฝีปากก็รุกไล่ลงตาตามซอกคอขาวระหงจนถึงแผ่นอกที่ประดับแต้มนูนสีหวาน มิสึกิแทบอดใจไม่ไหวกับความเย้ายวน เค้าใช้ลิ้นดุนเล่นจนชุ่มฉ่ำก่อนจะเขมือบเข้าไปจนมิด
“อ๊า!!” ร่างบางร้องครางทุรนทุราย ปากอุ่นที่แนบชิดดูดดุนด้วยความรุนแรงจนร่างกายแทบแตกออกเป็นชิ้นๆ สองแต้มบางชูชันขึ้นมารับ แต่นั่นก็ยังไม่พอเมื่อร่างกายโหยหามากกว่านั้น มือเรียวบางจึงกดศีรษะคนทำให้แน่นขึ้น ขยับไหวหน้าอกให้ได้รับสัมผัสที่เร่าร้อนนั้นอย่างอิ่มเอม
มือกร้านที่ซุกซนก็ค่อยๆไล่ลงไปเบื้องล่าง แตะต้องบางสิ่งที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาตามมือที่สัมผัส ร่างสูงยอมละทิ้งจากกลีบกุหลาบสีหวานที่ถูกทึ้งจนช้ำ แล้วมองเป้าหมายต่อไปด้วยความพึงพอใจ
“พี่ตื่นตัวเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก”
แก้มขาวๆแดงซ่าน แต่สายตาเรียกร้องต้องการมากกว่านั้น ร่างสูงจึงถอดสิ่งขวางกั้นทุกชิ้นออกจนเปลือยเปล่า แยกขาเพรียวออกจากกันแล้วจับบางส่วนที่กำลังชื้นแฉะขึ้นมาลูบไล้แผ่วเบา
“อ๊ะ!” ร่างบางแอ่นตัวกระตุกเร่า ความอัดอั้นที่สะสมเต็มที่กำลังจะทะลักทลาย
“อย่าเพิ่งถึงสิครับ” ร่างสูงโน้มลงไปกระซิบอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมมีอย่างอื่นที่จะทำให้พี่ตื่นเต้นได้มากกว่านั้น”
ดวงตาเจ้าเล่ห์ยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางกวาดสายตาไปทั่วพื้นรอบบริเวณเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง นัยน์ตาสีฟ้าครามมองตามด้วยความไม่เข้าใจ แล้วคนเจ้าเล่ห์ก็ยิ้มเมื่อหยิบก้อนหินสีขาวที่มีหยดน้ำแข็งจับเป็นก้อนขึ้นมา
“จะทำอะไร?” ร่างบางชักหวั่นใจ หมอนี่จะทำอะไรแผลงๆอีกล่ะเนี่ย แค่นี้ก็จะทนไม่ไหวแล้วนะ
“เดี๋ยวก็รู้”
มันทิ้งความสงสัยให้เป็นปริศนา แต่ไม่ช้าร่างบางก็ได้คำตอบ เมื่อก้อนหินเย็นๆที่อยู่ในมือถูกนำมาลูบไล้ตรงจุดสำคัญ ทำให้ส่วนที่อ่อนไหวอยู่แล้วกระตุกรัวอย่างยั้งไม่อยู่
“อ๊า!! ไม่…” แม้ปากจะประท้วงอย่างนั้น แต่สะโพกก็ยังเผลอขยับถูไถไปกับเจ้าสิ่งนั้น ความเย็นซาบซ่านกำลังจะแช่แข็งเค้าทั้งเป็น
“หึ หึ… ดูเหมือนพี่กำลังมีความสุขกับมันเลย” คนเจ้าเล่ห์แอบอมยิ้มกับภาพน่ารักตรงหน้า “แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ”
มิสึกิเพิ่มดีกรีความเจ้าเล่ห์โดยการหยดน้ำที่เย็นยะเยียบเข้าไปในส่วนปลายที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม หยดน้ำไหลซึมเข้าไปช้าๆผสมผสานกับละอองสีขาวขุ่นที่ใกล้จะล้นออกมาเต็มที่
“ไม่… พอแล้ว ฉะ… ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว” ร่างบางแอ่นตัวอีกครั้ง กล้ามเนื้อกระตุกรัวอย่างหนัก ก่อนจะพวยพุ่งสิ่งที่อัดอั้นจนรอบๆเต็มไปด้วยคราบขาวขุ่นชื้นแฉะ ส่วนเจ้าตัวก็นอนหอบถี่หมดแรง หัวใจเต้นถี่รัวเหมือนจะพุ่งออกมานอกอก
“อืม… น่ารักจัง” ร่างสูงเพ้ออย่างเผลอไผล ก่อนจะก้มลงไปโลมเลียความหวานจากส่วนปลายที่เพิ่งหมอบราบคาบ กระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่ลงไปเก็บความหวานจากส่วนช่องทางคับแคบที่ตอดรับกับลิ้นอุ่นๆของเค้า
“อย่าทรมานกันแบบนี้ได้มั้ย”
คนใจร้อนส่งเสียงดุ ร่างสูงหัวเราะร่วน ก่อนจะตอบสนองโดยการยกสะโพกมนขึ้นมาคร่อมส่วนกลาง ความแข็งกระด้างจากกล้ามเนื้อซึ่งเสียดสีระหว่างช่องทางตรงนั้นทำให้ร่างเล็กๆถึงกับผวาและเตรียมจะถอยหนีโดยอัตโนมัติ แต่ก็ถูกฉุดลงไปอีก
“ผมบอกแล้วไง ว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว”
“ตะ… แต่ ขอฉันทำใจก่อนไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้!”
ร่างสูงบอกอย่างหนักแน่นและขึงขัง หลังจากที่ใช้เวลาเสียดสีจนเป้าหมายปล่อยน้ำออกมาหล่อลื่นพอประมาณแล้ว เค้าก็รีบกระแทกอาวุธสำคัญเข้าไปทันที
“อ๊ะ!!!” ความรู้สึกที่ไม่เคนสัมผัสมาก่อนทำให้ร่างกายแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ร่างบางฝืนกัดฟันผ่อนลมหายใจเพื่อให้มีอากาศหล่อเลี้ยงปอดได้อย่างพอเพียงในช่วงวิกฤติ เพราะเค้ารู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังทำงานหนักเหลือเกิน
“ทนอีกนิดนะ อีกเดี๋ยวก็จบแล้ว” ร่างสูงที่รับรู้ถึงความทรมานจากร่างเล็กๆที่เค้ากำลังเสพความสุข กระซิบเสียงบอกแผ่วเบา สองมือประคองใบหน้านั้นเข่ามาใกล้แล้วประทับจุมพิตเพื่อแบ่งปันลมหายใจให้แก่กันและกัน
ร่างสูงกระแทกรัวไม่ยั้ง ช่องทางคับแคบรัดแนบแน่นจนร่างกายแทบหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เค้าตัดสินใจกระแทกตัวเข้าไปครั้งสุดท้าย พร้อมทั้งกดสะโพกมนลงมาจนแน่น ปล่อยให้ทุกสิ่งถูกกลืนหายไปจนมิดสนิท แล้วปลดปล่อยความปรารถนาพลุ่งพล่านอยู่ในร่างเล็กๆที่สั่นเทา
“อื้ม”
ร่างสูงถอนตัวออกมาช้าๆ คราบบางส่วนที่ค้างคาอยู่ก็ไหลตามออกมา ร่างบางฟุบหน้านิ่งอยู่บนแผ่นอกกว้างซึ่งรอรับอยู่แล้ว แถมยังทิ้งคราบเปรอะเปื้อนอีกรอบไว้บนหน้าท้องของคนขี้แกล้ง
“เป็นไงบ้าง?” มิสึกิรีบถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรุ่นพี่คนเก่งหน้าซีดเซียวเหมือนไก่ต้ม
“ไม่… ไม่เป็นไร” โนะอิยังคงหอบอยู่ข้างๆ ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
มิสึกิหยิบนาฬิกาพกออกมาดู “เรายังพอมีเวลา… พี่นอนพักสักหน่อยเถอะครับ ถ้าได้เวลาเมื่อไหร่ผมจะปลุกเอง”
“นายรับปากนะว่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นายต้องยังอยู่ข้างๆฉัน” รุ่นพี่ขอคำยืนยัน เพราะกี่ครั้งกี่หนแล้วที่มันชอบล่องหนไปโดยไม่บอกกล่าว
คนขี้แกล้งยิ้มบางๆ ก่อนดึงตัวคนรักเข้ามากอด
“แน่นอน… ผมจะไม่ยอมให้พี่อยู่ไกลตัวผมอีกแล้ว ผมสัญญา…”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน เพราะฤทธิ์ยาที่ยังค้างอยู่หรือเพราะความอ่อนล้าทางร่างกายก็ไม่รู้ ทำให้ดวงตาหวานปรือลงอีกครั้ง แล้วหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่น ซึมซับความสุขยาวนาน…
ก่อนที่เวลาแห่งการตัดสินจะมาถึง
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:00:49
Chapter 32 Prisoner

…12.00 น…

เวลาเที่ยงตรงที่เค้าถูกไอ้บ้านั่นแกล้งตั้งโปรแกรมดีเลย์เครื่องให้ร่อนไปร่อนมาทั่วเกาะฮอนชู นอกจากจะลืมตัวซัดนักบินจนสลบเหมือดแล้ว กว่าที่เค้าจะเอาเครื่องลงจอดตรงที่หมายบนท่าเรือกรีนเบย์ก็ทำเอาเสียเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน
แต่ที่ทำให้อารมณ์เสียสุดๆเลยก็คือ… เรือสับปะรังเคที่กำลังจะล่มแหล่มิล่มแหล่ซึ่งลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ เป็นยานพาหนะลำเดียวที่จอดเทียบท่าอยู่ในท่าเรือสุดหรูแห่งนี้
‘ไอ้บ้าเซกิ!!’
ไทกิสบถในใจเป็นรอบที่พัน มันตั้งใจจะถ่วงเวลาเค้าชัดๆ นอกจากจะเอาเครื่องบินพาบินหลงทางไปทั่วแล้ว ยังบังอาจเอาไอ้เรือโกโรโกโสนี่มาให้ผู้นำอย่างเค้านั่งอีก แล้วชาติไหนเค้าถึงจะไปช่วยซุยได้ทันเวลาล่ะเนี่ย
“แถวนี้ไม่มีเรือสปีดโบ๊ทบ้างหรือไงนะ”
ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ แต่ความหวังก็ริบหรี่เหลือเกิน เจ้าเซกิมันเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมกว่าที่คิด มันวางเกมนี้ไว้ตั้งแต่แรกเพื่อให้เค้าเป็นฝ่ายแพ้ แต่มันลืมคิดไปอย่าง… ว่าคนอย่างไทกิไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆอยู่แล้ว
“เรือสับปะรังเคกับว่ายน้ำข้ามเกาะ” กุหลาบแดงลูบคางชั่งใจคิดอย่างหนัก (ก็กล้าคิดเนอะ) “อืม… นั่งเรือไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ไทกิกระโดดลงไปบนเรือยนต์ลำเล็ก เค้ามองไปที่เสกลวัดน้ำมันก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ประมาณคร่าวๆจากแผนที่ที่ได้มาคงจะหมดพอดีไปกลับ นั่นหมายความว่าถ้าเค้าหลงทาง ความหวังที่จะกลับไปช่วยเพื่อนๆก็ดับวูบทันที
‘ไม่! เราต้องทำได้’ ไทกิย้ำกับตัวเองอีกครั้ง
คลื่นทะเลยามเที่ยงวันดูสงบราบเรียบ เป็นสัญญาณที่ดีซึ่งจะนำพาชัยชนะมาให้แก่เค้า

เกาะเซเรียว… เป็นเกาะลับขององค์กรซึ่งตั้งอยู่ใจกลางทะเล ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่ทั่วไป ห่างจากชายฝั่งประมาณ 40 ไมล์ และด้วยความเร็วเต่าของเจ้าเรือคู่ชีพลำนี้ ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางไปอีกเกือบสี่ชั่วโมง
‘คิดในแง่ดีไว้ไทกิ… อย่างน้อยแกก็ไม่หลงทางล่ะน่า’
เกาะนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเกาะร้างสนิท นอกจากต้นไม้กับหญ้าเหี่ยวๆแล้ว แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นหลงเหลืออยู่เลย แหงล่ะ… ก็น้ำเล่นท่วมโครมๆทุกเที่ยงคืนแบบนี้ สัตว์ประหลาดที่ไหนมันจะไปกล้าอาศัยอยู่ ไทกิคิดแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยว่านักโทษขององค์กรต้องถูกทรมานยังไงบ้าง นอกจากต้องถูกนำตัวมาให้พวกนักฆ่าฝึกหัดฝึกสังหารเป็นว่าเล่นแล้ว พวกที่ใช้การไม่ได้หรือป่วยก็คงจะถูกเอามาทิ้งไว้ที่นี่ และเพียงชั่วข้ามคืนก็คงจะถูกกลืนหายไปพร้อมคลื่นทะเลสีคราม
ไทกิพยายามสลัดความคิดที่สลดหดหู่ แล้วเพ่งสมาธิไปที่การตามหาซุยเพียงอย่างเดียว จากภาพในจอมอนิเตอร์ที่เซกิให้ดู คุกนั่นน่าจะเป็นคุกใต้ดินหรือไม่ก็ใต้หน้าผา เค้ารีบกางแผนที่โดยด่วน จากตำแหน่งที่ยืนอยู่เดินเลาะหาดลงไปทางทิศใต้จะเจอกับถ้ำใหญ่ใต้หน้าผา
‘บิงโก!’
ไทกิดีดนิ้วเปาะ พับแผนที่เก็บใส่กระเป๋าแล้วรีบรุดไปยังที่หมายทันที
เส้นทางไปสู่ถ้ำที่ว่าก็ช่างทรหดสิ้นดี มีแต่โขดหินระเกะระกะเต็มไปหมด ยิ่งทำให้การเดินทางยิ่งล่าช้าทั้งที่คนกำลังรีบจะแย่ ไทกิแหงนหน้ามองท้องฟ้า พระอาทิตย์สีแดงแจ๋ฉายระเรี่ยผิวน้ำ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะลาลับจากขอบฟ้าแล้ว
ในที่สุดเค้าก็เจอปากทางเข้าถ้ำ… หลังจากที่กลิ้งเกลือกจนเนื้อตัวชอกช้ำไปหลายตลบ เค้าก็เจอมันซ่อนอยู่หลังเกลียวเถาวัลย์รกทึบนี่เอง ไทกิเปิดไฟฉายส่องนำทาง ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและเงียบที่สุด ในถ้ำที่น่าจะวังเวงและเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย กลับดูดีกว่าที่คิดไว้มาก หินงอกหินย้อยที่พอกสะสมมานับพันปีฉาบด้วยแสงสีเขียวอ่อนเรื่อเรืองเหมือนเกล็ดมรกต ได้ยินเสียงสะท้อนก้องจากฝีเท้าที่เดินย่ำราวกับเสียงดนตรีขับขาน
‘นี่ที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ บางทีอาจจะเป็นสวรรค์สุดท้ายของนักโทษซึ่งถูกจองจำที่นี่ก็เป็นได้’
แต่ทว่า… สิ่งที่สะท้อนอยู่ภายในกลับเป็นเหมือนประติมากรรมแห่งการประชดประชันของเหล่ายมทูต โดยการสร้างขุมนรกทับถมบนสรวงสวรรค์ที่สวยงามแห่งนี้
คุกโบราณ… ซี่กรงเหล็กจับสนิมเกรอะกรัง ประตูใหญ่แน่นหนาล็อคไว้ด้วยกุญแจและโซ่เส้นใหญ่ ตรงผนังหินทุกด้านมีคราบเกลือและเศษซากของหอยทะเลนานาชนิด นี่เป็นสิ่งยืนยันว่าเมื่อไหร่ที่น้ำทะเลขึ้นจนล้นเกาะ ผู้คนที่ถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้ต้องตายทั้งเป็นโดยที่ไม่มีแม้แต่หนทางให้ดิ้นรน

“ซุย!!”

ไทกิไม่รอช้า ทันทีที่พบร่างอ่อนล้าถูกตรึงด้วยโซ่เหล็กอยู่ภายใน เค้าก็รีบรัวปืนถล่มประตูแล้วพังมันออกไปจนพ้นทาง
“นายเป็นไงบ้าง?” ตัวแสบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาสีเข้มที่หลับอยู่ก็ค่อยๆปรือขึ้น ปรับกับแสงสว่างมัวซัวจากแสงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน ก็พบกับคนที่บังอาจปลุกเค้าขึ้นมาจากนิทรา
“ไทกิ”
ดวงหน้าคมคายนั้นยิ้ม จะว่าดีใจก็ดีใจ แต่หวั่นใจมากกว่า เพราะเค้ารู้ว่ามันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ จะต้องเป็นแผนชั่วของไอ้ลิลลี่ปีศาจนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย และไทกิก็คงจะติดกับมันเข้าให้แล้ว
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง กลับไปซะ!” ซุยกลั้นใจตะคอก จนคนทีอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยได้แต่งงเป็นไก่ตาแตก
‘อะไรฟะ! คนเค้าอุตส่าห์มาช่วย ยังมีหน้ามีดุ เดี๋ยวปั้ด! ปล่อยให้ไปลอยคอเล่นเป็นเพื่อนปลาวาฬซะเลยนี่’ ไทกิแอบบ่นในใจ
“ฉันก็มาช่วยนายน่ะสิ คิดว่าฉันจะมีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดถ่อสังหารมาดูพระอาทิตย์ตกดินไกลถึงคิวชูเลยหรือไง”
“ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่ควรมา เซกิอาจจะวางแผนล่อนายมาที่นี่ก็ได้”
ไทกิไหวไหล่ “เหรอ… ฉันไม่เห็นจะสนเลย”
จากนั้นไอ้ตัวดีก็ถือโอกาสเดินสำรวจไปรอบบริเวณ เดิมทีคิดว่าในนี้จะเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกของนักโทษ แต่ผิดคาดที่ไม่มีเลยแม้แต่เศษเสื้อผ้าเก่าๆ บางที… ที่นี่อาจจะไม่ได้ถูกใช้มานานเป็นสิบยี่สิบปีแล้วก็ได้ เหนือขึ้นไปบนศีรษะมีช่องหินสี่เหลี่ยมขนาดแค่พอให้ศีรษะลอดออกไปได้ ตรงนั้นมีแสงสีแดงอมส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดเข้ามาสะท้อนกับหินสีมรกตดูโรแมนติกมาก
เวลาแบบนี้… บรรยากาศแบบนี้… ได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้… แผนชั่วก็เริ่มบังเกิดขึ้นในใจของกุหลาบตัวแสบ
“แต่นายมาก็ดีแล้ว ช่วยปล่อยฉันออกไปทีสิ”
ซุยมองไปที่ข้อมือซึ่งถูกโซ่พันธนาการไว้แน่น ไทกิมองตามแล้วขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เรื่องอะไรล่ะ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆซะที่ไหน”
คิ้วคมๆของซุยขมวดมุ่น “โอกาสอะไร?”
“ก็โอกาสที่จะแก้เผ็ดนายไง” ไทกิว่าแล้วก็เดินสำรวจรอบตัวคนที่ถูกพันธนาการแน่นหนา มือทั้งสองข้างขยับไม่ได้ แถมข้อเท้าก็ยังถูกลูกตุ้มเหล็กตรึงไว้ งานนี้บอดี้การ์ดจำเป็นอย่างมันหนีเค้าไม่รอดแน่
“นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นนะไทกิ รีบปล่อยฉันออกไปนะ”
“ยังหรอกซุย” ไทกิแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ที่แล้วมานายแกล้งเก๊กใส่ฉันตั้งเยอะ วันนี้แหละ… ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย หึ… หึ… ทบต้นทบดอก”
“ไทกิ!!” เมื่ออ้อนดีๆมันไม่ยอมเชื่อฟัง ซุยก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็ง “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“ไม่มีทาง” ไทกิยิ้มยั่ว มือเล็กๆค่อยๆป่ายขึ้นไปปลดกระดุมเสื้อร่างสูง
“ไทกิ… นายคิดจะทำอะไร?” ซุยมองตามมือเล็กๆ ชักจะหวั่นใจซะแล้วว่ามันจะทำอะไรกับร่างกายเค้ากันแน่
“หึ… หึ… ไม่บอก เดี๋ยวนายก็รู้”
ร่างบางยังยั่วไม่เลิก แถมยังถือวิสาสะโน้มคอเค้าลงมาจูบอย่างดุเดือด ปากเล็กๆขบเม้มไปตามริมฝีปากร้อนผ่าวของร่างสูง จากนั้นก็ใช้ลิ้นดุนจนเผยอออก แล้วดูดดื่มความรักอย่างโหยหา จนคนที่ต่อต้านยังเกือบเผลอใจเคลิ้มไปกับมันด้วย
“อื้ม… นายคิดจะทำอะไรฉัน?” ซุยถามอีกครั้งตอนที่มันถอนริมฝีปากออกไปแล้ว
“ฉันจะทำให้นายทรมานที่สุด แล้วลืมฉันไม่ลงจนชั่วชีวิตเลย”
เจ้าของฉายากุหลาบแดงท้าทาย ก่อนจะจับสาบเสื้อของร่างสูงเผยออกจนเห็นอกกว้างตึงแน่น ปุ่มนูนสองข้างยิ่งยั่วใจ พอไทกิเอื้อมมือไปลูบไล้ พวกมันก็แข็งขืนรับกับสัมผัสจากเค้าทันที
“อย่านะ…. ไทกิ อย่าทำแบบนี้” ซุยพยายามจะห้าม แต่มันก็ไม่ฟังแล้ว เมื่อปากเล็กๆก้มลงมาครอบครอง ขบเม้มปุ่มนูนจนแน่น เลียลิ้นระรัวเร้าอารมณ์จนกระเจิดกระเจิง อีกข้างก็ยังใช้มือลูบไล้พร้อมบดขยี้เบาๆ
“อ๊ะ…” ซุยเผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นคำแรก พอรู้ตัวก็รีบกัดฟันไว้แน่น ไทกิได้ยินแล้วก็ยิ่งย่ามใจเลยรีบลุยต่อ เค้าใช้ลิ้นลิ้มเลียไล่ลงเรื่อยๆ พอถึงท้องน้อยก็เลียวนรอบสะดือจนร่างสูงยังสั่นสะท้าน
“พอเถอะ… ไทกิ สภาพฉันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องอย่างว่าหรอก”
ซุยบอกจริงจัง ใช่สิ… มือก็ถูกมัดอยู่ ขาก็ขยับไม่ได้ ถูกปล่อยยืนเมื่อยอยู่ตั้งหลายชั่วโมงจนขาล้าไปหมดแล้ว มันยังมีหน้ามาแกล้งเค้าแบบนี้อีก
“แน่ใจเหรอ ว่านายไม่รู้สึก” ไทกิยิ้มกรุ่มกริ่ม เค้าไล่เลียต่ำลงมาอีก มือก็รูดซิปกางเกงร่างสูงแล้วส่งไปกองที่พื้นอย่างไม่ใยดี เหลือเพียงชั้นในบางจิ๋วที่กั้นสิ่งสำคัญเอาไว้เท่านั้น
นัยน์ตาสีเลือดของไทกิจ้องมองแท่งเรียวยาวที่แนบอยู่กับเนื้อผ้า ขนาดตอนที่มันสงบนิ่งยังเห็นชัดขนาดนี้ พอถูกปลุกขึ้นมาแล้วมันจะยิ่งขนาดไหน เค้าจึงไม่รอช้า รีบรุกต่อ ใช้ลิ้นเลียผ่านสิ่งกีดกั้น แค่เพียงไออุ่นและความชื้นที่ส่งผ่านเข้าไป ก็ทำให้กล้ามเนื้อแท่งหนาพุ่งผงาดผ่านอาภรณ์ชิ้นสำคัญออกมา
“อึก…” ซุยต้องผ่อนลมหายใจเป็นระยะ ตอนนี้เค้าต้องกลั้นใจอย่างหนักหน่วงไม่ให้เกิดอารมณ์ แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่เป็นใจเอาซะเลย เชื่อฟังแต่ไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะนี่คนเดียว
ไทกิรูดปราการชิ้นสุดท้ายออก กล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นเต็มอัตราศึกก็พุ่งทะยานผงาดพร้อมขยายขนาดขึ้นอีกหลายเท่า
“ฉันจะดูซิ… ว่านายจะทนได้แค่ไหน” ไทกิโน้มเข้าไปกระซิบข้างหู แต่มือยังจับแน่นอยู่ที่เป้าหมาย ออกแรงรัดพร้อมกับรูดขึ้นลงอย่างเมามัน
“โอ้วว!” ซุยต้องร้องพร้อมกับสบถระบายอารมณ์ หน้าตาหล่อเหลาเริ่มบิดเบี้ยว เพราะแรงพิศวาสที่กระตุ้นร่างกายเค้าจนแทบระเบิด
“อะ… ฮ้า เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าท่านประธานปีสองก็ทำหน้าตาแบบนี้เป็นด้วย” ไทกิยิ้มอย่างย่ามใจ ก็ทุกทีมันจะเป็นฝ่ายแกล้งเค้าแล้วเยาะเย้ย วันนี้ล่ะเค้าจะได้แกล้งมันให้สมอยาก แล้วคอยดูหน้าตอนที่ความรักของมันทะลักทลายเต็มที่บ้าง ไทกิเร่งจังหวะเร็วขึ้น จนกล้ามเนื้อในมือร้อนฉ่า แต่มันก็ยังทนกัดฟันไม่ยอมปลดปล่อยออกมา ไทกิจึงเลือกใช้ไม้ตายสุดท้าย
“ทนเก่งนักนะซุย งั้นถ้าแบบนี้ล่ะเป็นไง” ร่างบางก้มลงไประหว่างต้นขา เห็นส่วนกลางแดงก่ำสั่นระริกระรี้จ่ออยู่ตรงหน้าก็คว้าหมับเข้าปาก คับมาก… ไทกิแทบจะสำลัก แต่ก็ฝืนกลืนลงไปทั้งแท่งจนได้ ทั้งดูดทั้งเค้นก็แล้ว แต่มันก็ยังไม่ยอมปลดปล่อย
ไม้ตายสุดท้ายจริงๆ…
แต่ไม่ค่อยอยากใช้เลย เพราะวิธีนี้นอกจากจะเปลืองตัวมากแล้ว เค้าอาจจะต้องทรมานจนคลั่งตามมันไปด้วย แต่ในเมื่ออย่างอื่นไม่ได้ผล เค้าก็ต้องใช้วิธีนี้
“เลิกเถอะไทกิ มันไม่สำเร็จหรอก ถ้าฉันไม่เต็มใจ นายก็ทำอะไรฉันไม่ได้”
“งั้นเหรอ”
ไทกิยักคิ้วแผล็บ ก่อนจะทำในสิ่งที่ซุยไม่ทันได้คาดคิด ก็มันเล่นปลดกางเกงของตัวเองลงไปกองจนล่อนจ้อน แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้
“อย่านะไทกิ” ซุยส่งสายตาสีเข้มปราม แต่มันก็ไม่เชื่อ ไทกิยกขาเพรียวกระหวัดรอบบั้นเอวรุ่นพี่ ทำให้ช่องทางบางอย่างแนบชิดเข้ามายิ่งขึ้น สัมผัสกับแก่นกายเร่าร้อนซึ่งกำลังสั่นเพราะเจอที่ๆถูกใจ
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะซุย” ร่างบางส่งสายตาหวานเชื่อม พร้อมประกบปากแน่น ตอนนี้สติของร่างสูงหลุดลอยไปแล้ว ไม่สนแล้วว่ามันจะทำอะไรกับตัวเค้า รู้แต่ว่าเค้ากำลังจะมีความสุขที่สุด จึงหลับตาพริ้มรอรับความหวานที่มันปรนเปรอให้ ไทกิยกสะโพกขึ้น จ่อตรงกับแท่งเนื้อเร่าร้อน แล้ว…
ผลุบ…
“อื้ม!” ร่างสูงครางในลำคอ เพราะยังถูกประกบปากไว้แน่น หน้าตาเริ่มเครียด ก็มันเล่นทรมานตัวเอง ซ้ำยังทรมานเค้าโดยการรัวสะโพกขึ้นลงให้สิ่งนั้นได้ลื่นไหลผ่านเข้าอออก พอแรงเสียดสีค่อยๆรุนแรงขึ้นเร็วขึ้น ต่างคนต่างก็ส่งเสียงกระเส่าประสานกันจนระงมไปทั่วห้องจองจำ
“อ๊า…” ซุยร้องออกมาอีกครั้ง ไทกิรีบถอนตัวออก ปล่อยให้สิ่งสำคัญพ่นครีมสีขาวขุ่นออกมาจนเปรอะไปทั่ว ก่อนจะค่อยๆหมดแรงแล้วก็ฟุบไปเอง แถมเจ้าตัวพอโดนรีดพิษจนหมด ก็เข่าอ่อนจนแทบจะยืนไม่ไหว
“ฉันชนะ” ไทกิยิ้มร่า แม้จะยังเจ็บสะโพกไม่หาย แต่แกล้งมันได้ก็ถือว่าสำเร็จ เลยยอมปล่อยมันออกจากพันธนาการ “ต่อไปก็หัดจำไว้ด้วย ว่าอย่ามารังแกฉันอีก”
คนที่กำลังเผลอหัวเราะร่วน แต่หารู้ไม่ว่ารุ่นพี่คนสำคัญพอหลุดจากโซ่ตรวนได้แล้วก็เริ่มแผลงฤทธิ์ คว้าเอวบางไว้หมับ
“นายจะทำอะไร!” ไทกิตาเหลือก ไหนเมื่อกี้มันหมดแรงแล้วไง แล้วทำไมถึงยังลุกขึ้นมาได้อีก
“นายนี่ก็ไม่เคยจำเลยนะไทกิ ฉันเป็นยังไงนายก็น่าจะรู้” ตอนนี้ร่างสูงยิ้มอย่างเลือดเย็น มองร่างบางในอ้อมกอดเพื่อเตรียมชำระแค้น
“เฮ้ย… อย่าน่า เราต้องรีบออกไปจากที่นี่นะ นายลืมไปแล้วหรือไง” ไทกิรีบหาทางกลบเกลื่อน
“ไม่ได้ นายมากระตุ้นอารมณ์ฉันก่อน ก็ต้องรับผิดชอบ แล้วตอนนี้ฉันก็อยากจะทำอะไรแบบนั้นอีกสักรอบแล้วด้วย”
“ไม่นะ!”
แล้วมันก็ร้องได้แค่นั้น ก่อนที่ร่างสูงจะจัดการแก้แค้นอย่างสาสม จนไทกิต้องสำนึกไปอีกนาน ว่าอย่าบังอาจเหิมเกริมล้วงคองูเห่าอย่างซุยอีกตลอดชีวิต
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:05:24
Chapter 33 The Last Stand

22.00 น.

กึง!!

ลิฟท์แห่งโชคชะตาเลื่อนลงมาจนถึงชั้นสุดท้าย การตัดสินกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า สองร่างหลบอยู่คนละฟากฝั่งของประตูลิฟท์ ในมือต่างกระชับอาวุธคู่ใจไว้แน่น คาโอรุหันไปสบตาเพื่อนซี้อีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าให้สัญญาณจู่โจมเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

ปัง ปัง ปัง!!!!!!

กระสุนปืนที่รัวกระหน่ำแทนคำต้อนรับทำให้สองคู่ซี้กระเด็นไปหลบคนละมุมห้อง ไอ้บ้านี่… นอกจากจะไร้มนุษยสัมพันธ์แล้วยังนิสัยเสียสุดๆ อุตส่าห์เชิญแขกมาถึงบ้านทั้งที แทนที่จะต้อนรับด้วยน้ำชากับยูโร่คัสตาร์ดเค้ก มันกลับใช้ลูกปืนแทนของว่างซะงั้น มันน่าอัดให้น่วมจริงๆ พับผ่าสิ…
“ฉันผิดหวังนะ คิดว่านายสองคนจะเป็นคู่แรกที่มาถึงซะอีก กลับปล่อยให้ฉันรอตั้งนานสองนาน” ลิลลี่หน้าหวานที่ยืนเต๊ะท่าอยู่บนระเบียงเปรยขึ้น ฮิโระกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะแง้มหน้าออกจากเก้าอี้ที่กำบังช้าๆ
“ก็ไอ้บ้าที่ไหนล่ะดันหลอกให้เราสองคนเล่นไล่จับอยู่ในเขาวงกตชั้น G9 ตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะหาลิฟท์ลงมาชั้น G10 ได้ นายรู้มั้ยว่ามันเสียเวลาแค่ไหน” นักฆ่าตัวแสบประท้วง
“อ้าว… ก็ไหนคุยว่าเก่ง ไอ้เรารึก็นึกว่าเขาวงกตแค่นี้คงจิ๊บจ๊อยสำหรับพวกนาย ที่แท้ก็แค่พวกขี้โม้”
“ฮึ่ม! ปากดีนักนะแก จะเอาเลยมั้ยล่ะ ไอ้…”
“ฮิโระ!!” คาโอรุเบรกไว้ได้ทัน ก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะกระโจนเข้าไปหาศัตรูแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนที่ทำเป็นประจำ
รอบๆห้องโถงกว้างคล้ายสังเวียนการต่อสู้ มีเก้าอี้นับพันวางเหลื่อมซ้อนกันเป็นแถววงกลม ชั้นบนยังมีระเบียงเป็นที่นั่งสำหรับแขกวีไอพีซึ่งลิลลี่ปีศาจยึดเป็นที่ปักหลัก แต่ที่ทำให้คาโอรุตกใจจนต้องรีบเบรกคู่ซี้เอาไว้ คือร่างสองร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเวทีตรงกลางห้องโถงนั่นเอง
“พี่ยู! พี่โฮตารุ!”
คาโอรุหน้าถอดสี จากที่เคยปะทะฝีมือกันแม้รุ่นพี่สองคนจะเคยพ่ายแพ้แก่เค้า แต่รับรองได้ว่าฝีมือเหนือชั้นไม่ธรรมดาแน่ แต่ที่ทั้งคู่ต้องมานอนจมกองเลือดโดยไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า มันหมายความว่ายังไง
“ไฮบาระ คาโอรุ… ฉลาด สุขุม สมกับข้อมูลที่ฉันได้รับ” เซกิเปรย แถมยังเอ่ยนามสกุลที่แท้จริงของเค้าได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แสดงว่ามันรู้มากใช่ย่อย “สองคนนั่นมาถึงตอนสามทุ่ม ก่อนหน้าพวกนายชั่วโมงเดียว แต่ใช้เวลาแค่ห้านาทีพวกมันก็จอดไม่เป็นท่าแล้ว นี่หรือมือปืนอันดับหนึ่งแห่งเกาะทะเลใต้ แค่ราคาคุยทั้งนั้น”
“พวกนั้นตายแล้ว?” ฮิโระตาเหลือก ก่อนจะตวัดไปถามไอ้ลิลลี่ตัวดี
“ยังมั้ง… แต่ฉันซัดไม่ยั้ง ถ้าไม่รีบพยาบาลก็คงไม่รอด”
“นายจะเอายังไง” คาโอรุพยายามหาทางเจรจา วินานี้ทีถึงออกไปลุยเดี่ยวกับมันซึ่งๆหน้าก็คงมีแต่ตายเปล่า แถมยังต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังทั้งชีวิตรุ่นพี่สองคน แล้วยังนักฆ่าบ้าเลือดนี่อีก เค้าต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด
“ฉันไม่สน ฮิโระ โซมะ เพราะไอ้หมอนี่จัดการง่ายยิ่งกว่าปลวกด้วยซ้ำ แต่ฉันสนใจนายมากกว่าคาโอรุ ลองมาสู้กับฉันตัวต่อตัวมั้ยล่ะ ในปืนของฉันมีกระสุนหกนัด ถ้านายหลบลูกกระสุนฉันได้ทั้งหมด จะยอมปล่อยออกไป ทั้งพวกนายและพวกที่นอนปางตายนั่นด้วย”
“อย่านะคาโอรุ อย่าเชื่อมันเด็ดขาด” ฮิโระพยายามห้าม แต่จากสายตาที่มันส่งมาให้คงไม่ฟังใครแล้ว
“ฉันต้องสู้ฮิโระ เพื่อทุกคน เพื่อไทกิ และ… ก็เพื่อนายด้วย”
ดวงหน้าสวยใสยิ้มให้บางๆ แต่มันชวนให้หดหู่ใจพิกล ราวกับว่าเค้าจะไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกแล้วชั่วชีวิต
“ไม่นะ! คาโอรุ!!!”
ช้าไปแล้ว… แม้เสียงของเค้าจะกึกก้องเพียงใดก็ไม่อาจทัดทานมันไว้ได้ นักล่าจากตระกูลหงส์ทองกระโจนเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว พัดสีแดงเพลิงในมือกรีดสะบัดรับกระสุนนรกนัดแรกที่พุ่งลิ่วเข้ามาหา

เปรี้ยง!

ยังหลบได้…
คาโอรุกลิ้งตัวหลบไปอีกทางโดยใช้เก้าอี้ในฮอล์เป็นที่กำบัง มองพัดคู่กายที่ทำจากโลหะพิเศษมีรอยไหม้จนเกือบทะลุ
‘ไทเทเนี่ยม’
มือเล็กๆหยิบกระสุนที่กลิ้งตกอยู่ใกล้ๆขึ้นมาดู กระสุนที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ นี่ถ้าโดนจังๆสักนัด มีหวังหงส์อย่างเค้าได้บินกลับบ้านเก่าแน่ๆ
“นี่เพิ่งนัดแรก อย่าลืมสิว่าเรายังเหลือเวลาสนุกอีกตั้งห้านัด” เซกิขยับไกในกระบอกปืนแล้วเตรียมเล็งใส่เป้าหมาย
“ใครจะยอมให้แกทำแบบนั้น!”
นักฆ่าบ้าเลือดเตรียมกระโจนเข้าไปช่วยเพื่อน แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยแผ่นกระจกหนาซึ่งเลื่อนลงมาจากเพดานปิดกั้นล้อมเวทีเอาไว้ ตอนนี้สมรภูมิจึงถูกแบ่งเป็นสองด้าน ฮิโระถูกกันอยู่อีกฝั่ง ในขณะที่เพื่อนถูกจำกัดพื้นที่ให้สู้กับมันตัวต่อตัว
“แก!! ไอ้ลิลลี่ปีศาจ!! เอากระจกสั่วๆนี่ออกไปนะเฟ้ย” ฮิโระตะโกนลั่น เสียงที่ร้องออกไปไม่สามารถผ่านกระจกหนาซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษ แต่ก็ผ่านทางไมโครโฟนขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่โดยรอบ
“นายน่ะนั่งดูอยู่ตรงนั้นดีกว่า ฉันจะให้นายได้ชมการต่อสู้ที่จัดขึ้นเพื่อนายโดยเฉพาะ รับรองว่านายจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต” ดวงหน้าปีศาจแสยะยิ้มเหี้ยม “รอชมวินาทีสุดท้ายของคนรักให้ดีก็แล้วกัน โซมะ ฮิโระ”

เปรี้ยง!

กระสุนอีกหนึ่งนัดตัดผ่านเก้าอี้จนเศษหนังกระจุยกระจาย ในขณะที่นักล่ายังไวพอกลิ้งตัวหลบได้ทัน
“คิดจะหลบอย่างเดียวเหรอไฮบาระ คาโอรุ ไม่เอาน่า… นายมีฝีมือมากกว่านี้ ฉันรู้” เซกิพยายามยั่วโมโห แต่อีกฝ่ายก็เยือกเย็นเกินกว่าที่มันจะล่อลวงได้ง่ายๆ
“นายบอกให้ฉันแค่หลบกระสุนหกนัดนี่ ไม่ได้บอกให้สู้ด้วยซะหน่อย เรื่องอะไรฉันต้องเสี่ยงด้วยล่ะ บ้านฉันทำธุรกิจนะ อะไรที่ไม้คุ้มทุนไม่ยอมเสี่ยงฟรีๆอยู่แล้ว”
“หึ… ร้ายนักนะ” เซกิยิ้มบางๆ “อันที่จริงถ้าไม่ใช่ศัตรู นายเป็นคนแรกที่ฉันอยากได้มาเป็น Guardian แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ฉันไม่ชอบเลี้ยงหมาที่ทำตัวพยศ”

ปัง!

เซกิซัดไปอีกลูก แต่คราวนี้เส้นขนนกเหล็กสีแดงตวัดสวนกลับ เฉียดแก้มขาวๆเป็นรอยข่วนจนเลือดไหลซิบๆ
“จำไว้ซะด้วย… ว่าฉันไม่ใช่หมา!” คาโอรุตะโกนท้ากลับ
ยมทูตแตะรอยเลือดที่แก้มออกมาดู ดวงหน้าหวานเหี้ยมกรีดรอยยิ้มเย็นชา
“นั่นสินะ… ถึงจะเป็นนกหรือหมา นายก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่น่ารักเอาซะเลย” ยมทูตลั่นไกรวดเดียวสองนัดติดกัน คาโอรุกลิ้งตัวหลบแทบไม่ทัน นัดสุดท้ายยกพัดขึ้นมารับได้อย่างหวุดหวิด
แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว…
หลังจากที่เค้าถูกล่อให้หลงกลด้วยลูกปืนสองนัด ไอ้ลิลลี่ปีศาจที่เคยปักหลักอยู่บนระเบียงก็ใช้ความเร็วที่เหนือชั้นกว่ากระโดดลงมาประชิดตัว ใบหน้านั้นอยู่ห่างไม่ถึงคืบพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความตายที่ชั่วร้ายที่สุด
“ลาก่อน… หงส์ผู้พิทักษ์แห่งมิยางิ”

ปัง!!!

เสียงปืนนัดสุดท้ายลั่นผ่านพัดสีแดงเพลิงที่เจ้าตัวพยายามยกขึ้นมาปกป้อง กระสุนไทเทเนี่ยมทะลุทะลวงไปตัดขั้วหัวใจจนเลือดพุ่งซ่านกระเซ็นเป็นสายอาบอาวุธคู่ใจ ดวงตาสีเขียวสดดับวูบ ก่อนจะล้มลงไปกองรวมกับอีกสองคนที่พ่ายไปก่อนหน้า

“คาโอรุ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ฮิโระตะโกนลั่นจนฮอล์ทั้งฮอล์แทบถล่ม ภาพที่คนรักค่อยๆร่วงลงไปต่อหน้าต่อตาเหมือนสิ่งที่กระชากดวงใจเค้าออกไปทั้งเป็น นักฆ่าไม่อาจควบคุมสติตัวเองได้อีกแล้ว กระจกที่ปิดกั้นค่อยๆเลื่อนออกราวกับต้องการล่อลวงพยัคฆ์ร้ายให้เดินเข้าสู่กับดักมืดที่วางไว้
“มาสิ… ฉันรอนายอยู่แล้ว พยัคฆ์ขาวแห่งคามาคุระ”
ยมทูตยืนปักหลักท้าทายเหนือร่างหงส์ฟ้าที่ตัวเองเพิ่งยิงร่วงไป หยาดน้ำตาที่นองหน้ากลบดวงตาสีทองจนมืดมิด มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรและจู่โจมใครอยู่

เปรี้ยง!

ปืนอีกกระบอกซึ่งถูกชักออกมายิงตวัดผ่านแขนและขา แต่ก็ไม่อาจหยุดราชสีห์ที่บ้าคลั่งตัวนั้นได้ มันยังคงพุ่งเข้ามาหาเค้า ดาบในมือวาดเป็นวงกว้าง ตวัดเฉือนฝากรอยแผลเป็นทางยาวตรงหน้าอกให้ยมทูตปีศาจต้องรำลึกไปชั่วชีวิต
‘แข็งแกร่ง’
เซกิต้องเซถลาถอยไปหลายก้าว มองดูราชสีห์บ้าเลือดตัวนั้นด้วยความพึงพอใจ
“นายเป็นคนที่สองที่เรียกเลือดจากฉันได้ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ชอบเลี้ยงเสือ เพราะมันไม่เคยเชื่อง”
ปากกระบอกปืนในมือจ่อยิงอีกครั้งทันทีที่มันสวนเข้ามาหาตรงๆ เสียงปืนรัวกระหน่ำหมดทั้งหกนัด หยุดคมดาบที่จ่อประชิดคอหอยไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่ผู้พิทักษ์คนที่สองจะร่วงลงไปนอนกองเคียงคู่คนรักเป็นรายต่อไป

“อึก…”
ไทกิทรุดฮวบ จู่ๆหัวใจมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาไม่มีสาเหตุ มองท้องฟ้าที่ก่อตัวดำทะมึนก่อนพายุจะมาอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไทกิ… เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?” ซุยที่ทำหน้าที่ขับเรือใช้มือข้างหนึ่งประคองคนรัก
“ไม่รู้สิ… อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ เหมือนมีคนเอามีดมาแทงยังไงยังงั้น” ว่าแล้วมันก็เม้มปากแน่น ดวงตาที่รื้นมองซุยอย่างเศร้าๆ “มันเหมือนมีใครมากระชากหัวใจฉันออกไปซุย ฉันไม่สบายใจเลย ฉันเป็นห่วงคาโอรุกับฮิโระจริงๆนะ”
“พวกนั้นแข็งแกร่ง คงไม่เป็นไร… นายอย่าห่วงนักเลย” ซุยพยายามปลอบ แม้ตัวเค้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าทุกคนจะสามารถฝ่าด่านหินด่านนี้ไปได้หรือเปล่า
“เราจะไปทันเวลามั้ย?” ไทกิมองดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ดวงดาวถูกซ่อนอยู่ภายใต้ม่านหมอกดำทะมึนของเมฆฝน เวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงยามแล้ว ไม่รู้เลย…
“ตอนนี้สี่ทุ่มสิบนาที จากแผนที่ที่นายให้มาคิดว่าอีกราวๆสิบห้านาทีเราก็ถึงท่าเรือแล้ว จากนั้นก็หาเครื่องบินเจ็ทสักเครื่อง บินแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงสนามบินนาริตะแล้ว
‘มันก็จะยากไอ้ตอนหาเครื่องบินเจ็ทนี่แหละ เจ้าเซกิมันคงไม่ใจดีขนาดเอามาประเคนถึงที่หรอก’
คิดๆแล้วไทกิก็ยิ่งหวั่นใจ แต่จะมัวกังวลไปก็เท่านั้น เค้าต้องมองทางข้างหน้าแล้วภาวนาขอให้ตัวเองไปถึงทันเวลา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่ท่าเรือกรีนเบย์ยามค่ำยิ่งเงียบสงัด ได้ยินเสียงหวูดเรือจากที่ไกลโพ้น สองคนจอดเรือเทียบท่าขึ้นขึ้นฝั่ง แล้วแยกย้ายกันออกหารถยนต์หรือยานพาหนะอื่นๆที่เร็วพอจะนำพาไปที่สนามบินคิวชู
เวลางวดเข้ามาทุกขณะ พวกเค้าไม่เหลือเวลาให้ยื้ออีกแล้ว!

“หึ… นี่เหรอสี่ผู้พิทักษ์ ที่แท้ก็แค่พวกลูกเจี๊ยบไม่ไม่มีน้ำยา เล่นด้วยไม่ทันไรก็ตายซะแล้ว”
เซกิเดินเข้าไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง ใช้เท้าเขี่ยร่างฮิโระขึ้นมาก่อน แม้จะโดนยิงเข้าเป้าหลายจุดแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่ ตายยากตายเย็นสมเป็นจ้าวป่าจริงๆ ส่วนอีกคนแม้จะโดนจังๆที่หัวใจ มันก็ยังบังอาจลืมตาสีเขียวครามขึ้นมาจ้องหน้าเค้าอีกจนได้
“ฮิโระ…”
เสียงแผ่วๆที่แทบจะไม่มีแรงเหลือพอจะพูดได้แล้วเรียกหา และยังพยายามตะเกียกตะกายเข้าไปใกล้ สองมือชุ่มไปด้วยเลือดตระกองกอดหัวสีทองนั้นเอาไว้ นัยน์ตาเลื่อนลอยของนักฆ่าก็ปรือขึ้นอีกครั้ง พอเห็นแล้วว่าเป็นใครก็รีบคว้าเข้ามาโอบ
“ฉันขอโทษ… ที่ปกป้องนาย… ไม่ได้… คาโอรุ” นั่นคือเสียงสารภาพจากใจ พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ทดแทนความรู้สึกจากใจทั้งหมด
มือเล็กๆบีบมืออุ่นๆนั้นไว้แน่นแล้วยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร… ฉันดีใจที่ได้ตายพร้อมนาย ฉันไม่เสียใจหรอก”
ดวงตาสีเขียวตวัดไปมองรุ่นพี่ที่ยังคงจับมือกันไว้แน่น แม้จะไม่ได้สติแต่สองมือก็ไม่เคยปล่อยให้อีกฝ่ายต้องโดดเดี่ยว ถึงตายเราก็จะไม่ทอดทิ้งกันและกัน… คาโอรุคล้อยตามองยมทูตอีกครั้ง ราวกับจะเย้ยหยันให้มันตระหนักถึงความเดียวดายอ้างว่างแม้จะยังมีลมหายใจอยู่ก็ตาม
‘ท้ายที่สุดนายจะตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่เหลือแม้แต่หัวใจที่จะรัก ฉันขอทำนาย…’ คาโอรุปรามาสในใจ
แต่ยมทูตดูไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ไม่ว่ามันจะเข้าใจสายตาคู่นั้นหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ต้องมายืนดูคนรักตายเคียงคู่กันไม่ใช่สิ่งที่มันคาดคิดเอาไว้เลย
“ในเมื่ออยากตายมากขนาดนั้นฉันก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ไปลงนรกเถอะ… ทั้งคู่นั่นแหละ!!”
ปืนในมือถูกเหนี่ยวไกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้จ่อยิงประชิดขมับ หมายใจว่ามันต้องไม่มีทางรอดขึ้นมากวนประสาทเค้าอีกแน่ๆ

กริ๊ก…

“เดี๋ยวก่อน!”
กรรมการห้ามทัพเข้ามาทันเวลา พร้อมกับร่างที่กระโจนออกมาจากมุมมืดในเส้นทางลับ ทำเอาคนที่กำลังเลือดขึ้นหน้าอารมณ์เสียเอาการ ร่างนั้นคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ บนหัวไหล่มีรอยแผลยาวเป็นทางพร้อมเลือดที่ไหลซึม เรียกร้องความสนใจให้ยมทูตละสายตาจากเหยื่อตรงหน้าได้ชะงัด
“หืม… มาซาฮิโกะ อย่าบอกนะว่านายแพ้ไฮบาระ โนะอิ” เซกิขมวดคิ้วมุ่นพร้อมคาดคั้น
นักบวชหนุ่มส่ายหน้า “เปล่าเลย… ผมจับตัวรุ่นพี่ได้แล้ว ตอนนี้ขังอยู่ในห้อง แต่ตอนสู้กันผมได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย”
“แล้วนายทำอย่างที่ฉันสั่งหรือเปล่า?”
มาซาฮิโกะอ้ำอึ้ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทำแล้ว…”
“โกหก!” เซกิกระชากคอนักบวชหนุ่มขึ้นมาพร้อมบีบแน่นจนเค้าแทบหายใจไม่ออก “อย่าตบตาฉันมาซาฮิโกะ… ฉันรู้ดีว่าสายตาเร่าร้อนของคนที่เพิ่งผ่านการมีเซ็กซ์โดยการขืนใจคนอื่นมันเป็นยังไง!”
ดวงตาสีอิฐว่างเปล่าวาวโรจน์ จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้า มาซาฮิโกะถอดใจยอมแพ้ เพราะรู้ว่าไม่มีทางต้านทานคนตรงหน้าได้เลย
“คะ… เค้าหนีไปได้…” นักบวชหนุ่มอึกอัก “มีคนมาช่วย”
“ใคร!! ใครที่มันกล้าทำแบบนั้น!!”

“ฉันเอง”

ร่างหนึ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอมันที่นี่ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนระเบียงวีไอพีตรงตำแหน่งเดิมของเค้า
‘ดูจากสภาพและสายตานั่น มิสึกิ… คงทำหน้าที่แทนมาซาฮิโกะไปเรียบร้อยแล้ว’
“หึ… นายก็ยังชอบแส่ไม่เข้าเรื่องเหมือนเดิมนะมิสึกิ” เซกิเหน็บไปก่อน
“ก็มันเป็นหน้าที่ฉัน ปกป้องคุณไทกิ ขัดขวางทุกคนที่คิดจะทำร้ายท่าน หน้าที่ง่ายๆแค่นี้นายยังไม่รู้อีกหรือไง” คนถูกเหน็บยังทำหน้าเป็น
“แล้วหนูตัวสุดท้ายของฉันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ฉันรับรองว่าไม่มีใครแตะต้องเค้าได้ ถึงนายจะใช้คนทั้งองค์กรก็หาเค้าไม่เจอหรอก ระหว่างนี้นายมาเล่นกับฉันฆ่าเวลาไม่ดีกว่าเหรอ”
มิสึกิกระโดดจากระเบียงลงไปยังเวทีกลาง แล้วเดินเข้าไปท้าเพื่อนร่วมองค์กรซึ่งๆหน้า
“นายรู้มั้ยว่าถ้า ไฮบาระ โนะอิ มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้น” เซกิถามตรงๆ
“คุณไทกิจะแพ้พนัน นายจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ และคุณไทกิก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ในองค์กรนี้ตลอดไป”
“ดูเหมือนนายเองก็รู้ดีนี่นา เพราะฉะนั้นทางที่ดีมอบตัวโนะอิให้ฉันดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเลยเวลาเที่ยงคืนแล้วมันมาไม่ทันล่ะก็ คุณไทกิสุดที่รักของนายนั่นแหละที่จะตกที่นั่งลำบาก”
“เงื่อนไขของนายคือการที่สมาชิกทุกคนได้พบคุณไทกิไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไทกิไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้เรา special members มาอยู่กันพร้อมหน้าก็ไม่มีประโยชน์ พูดตรงๆคือฉันจะถ่วงเวลานาย ยื้อลมหายใจของทุกคนจนกว่าคุณไทกิจะกลับมา”
“มันมาไม่มันหรอก มันจะจมอยู่กลางทะเลพร้อมคนรักของมันนั่นแหละ!”
ดวงตาสีเลือดวาวโรจน์ เผลอตัวเผยธาตุแท้ออกมาจนได้ สายตาที่ชิงชังไม่เคยลบเลือน มันฝังล้ำลึกยากจะถอดถอน มิสึกิได้แต่ทำใจ คงมีเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดความแค้นในใจของเซกิได้ นั่นก็คือ… ความตาย
“ฉันเพิ่งรู้จาก ‘คนๆหนึ่ง’ ถึงสิ่งที่คุณเคโตะเคยทำกับนาย ฉันเสียใจจริงๆ”
คำเปรยเศร้าๆจากเพื่อนซี้ทำเอาเซกิตาแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้บ้านี่มันสู่รู้มาได้ยังไง ในเมื่อคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ถูกเค้าส่งไปปรโลกหมดแล้ว
“นายนี่มันชักจะแส่เกินความจำเป็นจริงๆมิสึกิ ถ้าคิดว่าการเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อสายเลือดชั่วๆนั่นแล้วคุ้มค่าล่ะก็ ฉันก็จะสงเคราะห์นายเอง” เซกิชักปืนกระบอกสุดท้ายออกมา “จงตายไปพร้อมความภาคภูมิใจในความจงรักภักดีของนายเถอะมิสึกิ!!”
กระสุนนัดแรกยิงเข้าใส่ตรงๆ แต่มิสึกิก็ไวพอที่จะหลบได้ทัน คราวนี้เค้าต้องไม่พลาด ถ้าไม่นับอาการบาดเจ็บที่เพิ่งหายมาหมาดๆ ด้วยฐานะยมทูตต้องยอมรับว่าเค้าทั้งคู่ฝีมือสูสี มิสึกิหยิบปืนของตัวเองออกมาเตรียมแลกกันนัดต่อนัด
“ฝากทุกคนด้วยมาซาฮิโกะ ส่วนหมอนี่ฉันจะจัดการเอง” ยมทูตดำยังมีเวลาหันไปสั่งเสียกับเพื่อนซี้ที่ลำบากใจจะรับคำสั่งเต็มแก่ แต่พอเห็นรุ่นน้องอ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาทองขาดน้ำ จิตใต้สำนึกในความเป็นนักบวชก็ทำให้เค้าไม่อาจละทิ้งคนที่กำลังจะตายได้
“นายเองก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน” มาซาฮิโกะพยายามลากทุกคนหลบลงไปหาที่กำบังใต้เวที แล้วปล่อยโอกาสให้พวกยมทูตทะเลาะกันเองจนหนำใจ
 มิสึกิหันมาเผชิญหน้าคู่ต่อสู้อีกครั้ง “นายเสียเปล่าไปหนึ่งลูกแล้วนะเซกิ คราวนี้เตรียมตัวหลบให้ดีก็แล้วกัน”
ลูกปืนมฤตยูนัดแรกถูกส่งออกไป สวนกับลูกสีเงินอีกนัดที่รัวตามมาติดๆ ไฟทั้งห้องถูกดับพรึ่บ นอกจากเสียงปืนที่รัวกระหน่ำกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแล้ว มาซาฮิโกะที่ดูแลพวกพ้องอยู่ในความมืดก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย…

“โธ่เว้ย!! ไม่มีรถหลงผ่านมาทางนี้บ้างเลยหรือไงนะ”
ไทกิที่กำลังจะประสาทเสียเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ส่วนซุยที่แม้จะร้อนใจไม่แพ้กันก็ยังทำใจเย็นยืนโบกรถต่อไป
“เว้ย!! ฉันไม่รอแล้ว” กุหลาบแดงตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนจะตัดสินใจเดินจ้ำอ้าวไปตามถนนที่ทอดยาวริมชายหาด
“นายจะทำอะไรไทกิ อย่าบอกนะว่าจะเดินไปโตเกียว”
“ก็ใช่น่ะสิ” ไทกิหันไปค้อน “นายจะให้ฉันอยู่เฉยแล้วให้เพื่อนๆไปเสี่ยงตาย ฉันทำไม่ได้หรอก”
“แล้วนายคิดว่าเดินไปต้อยๆแบบนี้จะทันช่วยพวกนั้นหรือไง”
“ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละ!”
สองคนยังคงยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่ ในตอนนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ลึกลับก็ได้ร่อนลงจอดกลางท่าเรือ ซุยรีบกระโจนไปปิดปากไอ้ตัวแสบ ก่อนจะลากลงไปหลบข้างทาง
ร่างสูงกระโจนลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วตะลีตะลานวิ่งพล่านตามหาใครบางคนทั่วท่าเรือ
“ท่านไทกิครับ! ท่านไทกิอยู่ที่ไหน!”
“วายะ”
ไทกิสะบัดมือของซุยออกจากปาก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาองครักษ์คู่ใจอย่างร่าเริง พอสองคนเจอหน้าไทกิก็เผลอกระโดดกอดคอวายะจนแน่น จนใครบางคนที่เฝ้าดูอยู่ชักมีอารมณ์ฉุนขึ้นมาตะหงิดๆ
“วายะมาได้ไง ไหนไอ้บ้าเซกิบอกว่าส่งนายไปอเมริกาไม่ใช่เหรอ”
“ก็เกือบจะไปแล้วครับ แต่มีคนโทรมาบอกให้ผมมาช่วยคุณก่อน ผมก็เลยรีบมาที่นี่”
“ใครกัน?” กุหลาบแดงขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนแรกผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เป็นห่วงคุณไทกิก็เลยยอมมาตามคำสั่ง แล้วก็เจอจริงๆซะด้วย”
“หมอนี่ใคร?” ซุยเข้ามาโอบไหล่ไทกิวางมาดเป็นเจ้าของเต็มที่ มองไอ้หน้าหล่อที่บังอาจมายืนคุยกะหนุงกะหนิงกับคนรักของเค้า ท่าทางเวลามันหึงทำให้ไทกิอดขำไม่ได้
“โอ๊ย! นายก็คิดไปได้ คงยังไม่เคยเจอกันล่ะสิ นี่คือ Red Guardian มือขวาฉันเอง ชื่อ ซาโตชิ วายะ” ไทกิแนะนำให้รู้จัก “ส่วนนี่ ซุย เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนฉันเอง”
“สวัสดีครับ” วายะโค้งตัวให้ ดูๆไปก็มารยาทดีไม่เลวแฮะไอ้หมอนี่ “คุณไทกิรีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์เถอะครับ ผมเพิ่งได้รับโค้ดลับจากยูอิ โค้ดนั่นก็คือ …ANGEL…”
“ANGEL!!” ไทกิตาเหลือก
“โค้ดนั่นทำไมเหรอ?” ซุยยังไม่เก็ทมุกของพวกองค์กรนี้เท่าไหร่
“ANGEL มาจากคำว่า Death Angel เป็นโค้ดที่แสดงความนัยถึงยมทูต ถ้าเมื่อไหร่ที่คนในองค์กรใช้คำๆนี้ นั่นแปลว่ายมทูตกำลังลงมือทำภารกิจด้วยตัวเอง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นเจ้าเซกิแน่ๆ”
“ผมกลัวจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ” วายะชักหวั่นใจนิดๆ
“นายหมายความว่าไงวายะ?”
“Angel ที่ว่าอาจเป็น Double Angels ก็ได้ ถ้าคุณเซกิลงมือ คุณมิสึกิเองก็คงไม่อยู่เฉยแน่”
“โธ่เว้ย! ทำไมถึงชอบทำอะไรไม่ปรึกษาฉันนะ” ท่านผู้นำชักจะเดือดขึ้นมาจริงๆซะแล้ว “รีบไปเถอะวายะ ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้าเซกิจะเคยอาละวาดแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันนี่แหละจะเป็นคนปิดเกมของมันเอง”
ทั้งสามคนรีบรุดขึ้นเครื่อง จากนั้นก็ตรงดิ่งสู่มหานครโตเกียว เวลาเส้นตายที่ลิลลี่ขีดไว้จวนเจียนจะหมดเต็มที พวกเค้าจะไปทันหรือไม่
หรือว่า… ลมหายใจของเพื่อนคนสุดท้ายจะหมดลงก่อนกัน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:07:28
Chapter 34 Prayer (Part I)

‘ไม่ไหว… ใกล้จะถึงลิมิตเต็มทนแล้ว!’

อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตูที่ถูกปิดกั้นไว้ กำลังมี ‘ไอ้บ้า’ คนหนึ่งอาละวาดไม่ลืมหูลืมตา เสียงระเบิดดังตูมตามราวกับฟ้าถล่ม เหล่าสมาชิกพิเศษรวมตัวกันลุ้นระทึกอยู่ในอุโมงค์คับแคบ ไม่รู้ว่าประตูโบราณคร่ำครึนี่จะทนทานได้สักกี่น้ำ ไหนยังต้องพยาบาลเพื่อนพ้องน้องพี่ที่บาดเจ็บปางตายอีก พวกเค้าจะรอดไปจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่… ไม่รู้เลย
สองมืออบอุ่นประคองร่างที่เย็นชืดไว้ในอ้อมอก ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจเป็นอย่างมาก มันหลับตานิ่งสนิท… ถึงลมหายใจที่แผ่วเบาจะสงบลงแล้ว แต่ท่าทางทรมานจากอาการบาดเจ็บก็ดูจะไม่ทุเลาเบาบางลงเลย
“คาโอรุ”
มืออุ่นตบเบาๆที่แก้มเพื่อเรียกสติอีกครั้ง ยิ่งเวลาที่มันหลับยาวนานเท่าไหร่ ยิ่งกระชากหัวใจพี่ชายคนนี้ให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
“นายจะหลับไม่ได้นะ ฉันสัญญากับท่านพ่อแล้วว่าจะดูแลนายให้ดีที่สุด ถ้านายเป็นอะไรไป แล้วฉันจะมีหน้าไปพบท่านพ่อได้ยังไง”
ดวงตาสีเขียวครามปรือขึ้นช้าๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเลือนรางเหลือเกิน แต่เสียงที่ได้ยินชัดเจน จึงจำได้ว่าความอบอุ่นแบบนี้ก็ไม่เหมือนใคร มีพี่ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พี่… โนะอิ…” เสียงแผ่วเบาเรียกหา “ฉันน่ะ… ฉัน… คงไม่ไหวแล้ว พี่… ฝากขอโทษ… พ่อ กับคาน่อน… ให้ด้วยนะ”
“ไม่!!” โนะอิกระชากตัวน้องชายเข้ามากอดไว้แน่น น้ำตาไหลพรากเหมือนจะขาดใจตายตามมันไปซะให้ได้ “นายต้องเข้มแข็งเข้าใจมั้ย ที่ผ่านมาเคยเจออุปสรรคยากลำบากแค่ไหนนายก็ไม่เคยยอมแพ้ แล้วถ้านายตายตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต่อสู้ด้วยกันมามันจะมีความหมายอะไร พี่ไม่ยอมหรอกนะ… คาโอรุ นายต้องอยู่กับพี่ เข้าใจมั้ย!!”
โนะอิตะโกนเสียงดังลั่น จนคนที่ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่ที่ประตูคร่ำครึหน้าอุโมงค์ต้องหันกลับมาดูอีกครั้ง พอเห็นสภาพรุ่นพี่คนเก่งกอดน้องชายสุดที่รักพร้อมกับร่ำไห้ไม่หยุด เค้าก็รู้สึกสะเทือนใจจนต้องเข้ามาช่วยปลอบด้วยอีกแรง
“พอแล้วโนะอิ” มือใหญ่วางบนไหล่บอบบางเพื่อให้หายสั่น “ฉันขอคาโอรุนะ ส่งเค้ามาให้ฉันเถอะ”
มิสึกิถือวิสาสะฉกตัวคนเจ็บจากอ้อมแขนพี่ชายที่ดูจะไม่ค่อยเต็มใจให้นัก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองไปอีกฟาก เห็นมาซาฮิโกะยังคงพยาบาลรุ่นพี่สองคนอย่างขะมักเขม้น ส่วนอีกคน… ยังนอนขดตัวสั่นระริกอยู่อีกมุมหนึ่งของอุโมงค์ ท่าทางจะอาการสาหัส มิสึกิจึงตัดสินใจอุ้มคาโอรุไปวางไว้ใกล้ๆ
“นายคิดจะทำอะไร?” โนะอิตามมาสมทบ ทั้งที่เค้าพยายามจะช่วยน้องชายเต็มที่ แต่หมอนี่กลับฉกออกมาหน้าตาเฉย
“เงียบๆก่อนเถอะครับ” มิสึกิหันไปดุ “เราต้องช่วยทั้งสองคน เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งเกิดตายขึ้นมา รับรองได้เลยว่าอีกคนไม่รอดแน่ ถ้าอยากให้คาโอรุมีกำลังใจต่อสู้ เราก็ต้องให้เค้ารู้ว่ายังมีอีกคนที่ต้องการกำลังใจจากเค้า”
มิสึกิปลุกคาโอรุให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าที่ซีดเซียวก็ลืมตาตอบรับ หากก็อ่อนล้าเต็มที่ คงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“คาโอรุ ฟังฉันนะ… นายช่วยหันไปดูข้างๆหน่อยได้มั้ย หมอนี่ตั้งแต่ถูกลากเข้ามาในอุโมงค์ก็ยังไม่ฟื้นเลย เค้าอาการสาหัสมาก สิ่งเดียวที่จะยื้อมันออกมาจากประตูนรกได้ก็คือนาย ได้โปรด… ช่วยฮิโระด้วยเถอะนะ”
ตาสีเขียวหันไปมองตามที่บอก สภาพเพื่อนซี้นอนขดตัวกอดเข่าสั่นระรัวราวกับนอนอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง บาดแผลส่วนใหญ่ถูกพันไว้แล้ว แต่ก็ยังมีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาตลอดเวลา มันคงโดนไปหลายนัด ถึงจะแกร่งแค่ไหน แค่แบบนี้มันก็มากเกินไป นักล่าคนเก่งได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ในเวลานี้เค้าจะช่วยอะไรมันได้… ไม่มีทางเลย
“ฉัน… ฉันทำไม่ได้…” คาโอรุกลั้นใจเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ไม่มีใครช่วยมันได้หรอก อย่างมาก… เค้าก็จะตัดใจตายพร้อมมัน ก็เท่านั้น
“งั้นเหรอ” มิสึกิยิ้มเหี้ยม “งั้นก็ดูนี่”
ยมทูตดำกระชากตัวเสือน้อยที่อุตส่าห์นอนขดตัวจำศีลขึ้นมาจากพื้นอย่างไร้ความปรานี จนสองพี่น้องได้แต่มองตาเหลือก เจ้าฮิโระไอเป็นเลือดสองสามครั้ง ก่อนจะฝืนลืมตาข้างหนึ่งเพื่อดูว่าใครที่บังอาจมารบกวนการหลับของเค้า
“ฉันเจ็บนะ… จู่ๆมากระชากคอกันแบบนี้ได้ไง”
ไอ้ตัวแสบโวยเท่าที่พอจะมีเรี่ยวแรงเหลือให้โวย แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อรุ่นพี่ที่เคยเป็นมิตรที่สุดกลับชักปืนออกมาจ่อขมับ เตรียมทำตัวสมเป็นยมทูตส่งเค้าสู่ยมโลก
“ละ… ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วนะพี่” ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิท ก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามตะเกียกตะกายถอยตัวหลบไปชิดฝาผนัง
“นายมองตาฉันก็น่าจะรู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น เตรียมใจไว้เถอะฮิโระ แบบนี้จะทำให้นายสบายกว่า ดีกว่าต้องมานอนทรมานเสียเลือดจนตาย”
สายตาที่มองออกมาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆด้วย เป็นครั้งแรกที่นักฆ่าเพิ่งประจักษ์ถึงความน่ากลัวของเหล่ายมทูต กลิ่นไอการฆ่า สายตาที่ต้องการทำลายล้าง เปลี่ยนคนคุ้นเคยให้เป็นอีกคนเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มิสึกิสับสวิตซ์ตัวเองเข้าสู่โหมดยมทูตของแท้ ในมือขยับไกปืนดังกริ๊ก ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วหลับตาเตรียมรอรับชะตากรรม
“หยุดนะ!”
มือเล็กๆที่แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้วฝืนยกขึ้นมาปัดกระบอกปืนจนกระเด็นไปอีกทาง ใบหน้าสวยๆโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่งสายตากระหายเลือดพอๆกับคนที่คิดจะลั่นไกใส่คนรักของเค้า นี่ถ้าองค์กรคิดจะแต่งตั้งยมทูตคนที่สี่ล่ะก็ ก็คงจะเป็นมันนี่แหละที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด
“นายคิดจะทำบ้าอะไร! ถ้าแตะต้องฮิโระ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ คอยดู!” คาโอรุลืมความเจ็บตวาดใส่รุ่นพี่อย่างเหลืออด สีหน้าเหี้ยมๆของซากุระค่อยๆคลายลงเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ขี้เล่นดังเดิม
“เห็นมั้ย… นายเองก็ไม่อยากให้เค้าตายซะหน่อย แล้วทำไมถึงถอดใจยอมแพ้ซะล่ะ พวกนายแค่บาดเจ็บนะ ยังไม่ตาย ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ไม่ควรยอมแพ้”
มิสึกิถอนใจอีกเฮือก คำพูดนี้มันเสียดแทงใจตัวเองชอบกล ครั้งหนึ่งก็เคยสู้และอยู่เพื่อใครสักคน ถึงแม้ตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ฉันเคยก้าวขาเฉียดประตูนรกมาแล้วหลายครั้ง ฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ไม่มีอะไรที่มนุษย์อย่างเราจะทำไม่ได้ถ้ายังมีความหวัง ถึงแม้นายจะไม่อยากอยู่เพื่อตัวเองก็ควรอยู่เพื่อฮิโระ และฮิโระเองเค้าก็จะอยู่เพื่อนายด้วยเหมือนกัน”
มิสึกิตบไหล่แถมท้ายแล้วถอยไปเฝ้าหน้าประตูต่อ ปล่อยให้เจ้าสองตัวเคลียร์กันเอง เค้าได้ยินเสียงทะเลาะกันเบาๆก่อนจะเงียบไป คงไม่ต้องห่วงอีกแล้ว… เพราะอย่างน้อยทั้งคู่ก็จะอยู่เพื่อเป็นความหวังของอีกคน
“นายโอเคนะ?” มือเล็กๆที่ไม่รู้มาอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไหร่แตะไหล่คนกำลังเหม่อ
มิสึกิมองหน้าคนที่เป็นห่วงแล้วยิ้มบางๆ “โอเคเรื่องไหนล่ะ”
“เอ๊ะ! อย่ามาย้อนฉันนะ นายรู้อยู่แล้วว่าฉันถามเรื่องอะไร หรือจะต้องให้กระตุ้นแผลที่เจ็บคราวก่อนสักป้าบถึงจะจำได้” โนะอิทำหน้ามุ่ย ก่อนจะแกล้งดึงเสื้อคนขี้แกล้งขึ้นเตรียมจะกระแทกสักทีเพื่อกระตุ้นความทรงจำ แต่แล้วเค้าก็ต้องเป็นฝ่ายผงะไปเอง เมื่อแผลเก่าที่ว่ามันไม่ได้เป็นแผลเก่าอีกต่อไปแล้ว
“เงียบๆไว้ อย่าเพิ่งเอ็ดไป ผมยังไม่อยากให้ใครรู้ แค่นี้ทุกคนก็เสียขวัญมากพอแล้ว” มิสึกิยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นทั้งๆที่กระสุนไทเทเนี่ยมฝังคาอยู่ในเนื้อ จากนั้นก็ดึงเสื้อหนังตัวหนาลงมาปิดไม่ให้ใครเห็น
“นายโดนยิงตั้งแต่เมื่อไหร่?” โนะอิรีบคว้าแขนเข้ามาถาม
“ก็ตอนที่สู้กับมันนั่นแหละ แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่เป็นไร จะช่วยพี่กับทุกคนออกไปจากที่นี่ให้ได้แน่นอน ผมสัญญา”
คนดื้อหันกลับไปคุมเชิงที่หน้าประตูต่อ เสียงระเบิดยังดังตูมตามไม่ขาดสาย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ประตูนี้หนาเป็นเมตรก็คงจะถูกทำลายในไม่ช้า โนะอิมองไปที่แผลตัวปัญหาซึ่งยังคาใจเค้าอยู่
“นายจงใจให้มันยิงใช่มั้ย นายกับหมอนั่น…”
“ผมกับเซกิเป็นเพื่อนกัน” ยมทูตหันมาอธิบาย ท่าทางรุ่นพี่คงตื๊อไม่เลิกแหงๆถ้าไม่ยอมเคลียร์ให้เข้าใจ “เค้ามีเหตุผลที่ต้องแค้นคนรอบข้าง และผมก็มีส่วนทำให้เซกิต้องเป็นแบบนี้ ผมมีหนี้ติดค้างเค้าอยู่… ผมต้องชดใช้”
น้ำเสียงที่บอกออกมาเหมือนต้องการระบายความอัดอั้น บาปที่ตราตรึงอยู่ในใจไม่อาจลบเลือนหาย ความทุกข์ของเพื่อน ความทุกข์จากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ถ้าเพียงแต่ในวันนั้นคนที่ไปอิตาลีไม่ใช่เค้า ถ้าเซกิไม่เสียสละให้ บางทีคนที่โชคร้าย… อาจจะเป็นเค้าเองก็ได้
แต่ความในใจของมันคงลึกซึ้งมากเกินไป หิมะแห่งไฮบาระจึงไม่เข้าใจ โนะอิทำหน้างอนก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งพิงผนังอยู่คนเดียวเงียบๆที่มุมๆหนึ่ง

ตูม!!

แล้วฝันร้ายก็มาเยือนจนได้…
เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องจนสะกดทุกคนในอุโมงค์ให้หยุดนิ่ง เหมือนเสียงของซาตานที่สั่นคลอนขวัญและกำลังใจของทุกคนให้ยิ่งถดถอย แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น… คือเสียงนรกที่ว่ามันไม่ได้มาจากประตูอุโมงค์ด้านหน้า แต่มาจากเพดานด้านบน
“แย่แล้ว!”
มิสึกิตะโกนลั่นทันทีที่เห็นหยดน้ำค่อยๆไหลปรี่มาตามรอยร้าวบนเพดาน ด้านบนเป็นทะเลสาบ เพดานคงไม่ได้ถูกสร้างให้หนาและแข็งแกร่งเท่ากับประตูด้านหน้า ถ้าโดนระเบิดถล่มสักสองสามลูกก็คงจะทานไม่ไหวเหมือนกัน
“ตามฉันมา รีบหนีออกไปจากที่นี่ เร็วเข้า!”
มิสึกิรีบกระตุ้นทุกคน มาซาฮิโกะปลุกรุ่นพี่ที่หลับอยู่ คาโอรุฉุดแขนฮิโระขึ้นมาจากพื้น หลังจากนั้นก็ประคองกันออกไปอย่างทุลักทุเล มิสึกิจำใจต้องปลดรหัสประตูด้านหน้า แล้วสิ่งที่รออยู่ก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ พวกเค้าถูกต้อนให้จนมุมในที่สุด
“ไง… พวกหนูสกปรกทั้งหลาย ยอมมุดหัวออกจากท่อน้ำแล้วเหรอ”
คำทักทายของมันกวนประสาทไม่เคยเปลี่ยน แถมด้านหลังยังมีองครักษ์ยืนเรียงซ้อนแถวอยู่เป็นร้อย ชนิดกะจะจับตายไม่ให้ใครหนีรอดได้สักคน
“อุตส่าห์ยกโขยงออกมารับตั้งเยอะ ไม่เอิกเกริกไปหน่อยเหรอเซกิ” มิสึกิยังออกปากแซวอย่างใจเย็น
“สำหรับนายฉันถือว่าน้อยไป แล้วไหนจะหนูตายยากพวกนั้นอีก ตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าต่อให้ใช้ทหารทั้งกองทัพมาขวาง จะหยุดพวกนายได้หรือเปล่า”
“งั้นจะสู้กันต่อจากเมื่อกี้มั้ยล่ะ เรายังไม่รู้ผลแพ้ชนะเลยนี่ ตัวต่อตัว… ไม่เกี่ยวกับคนอื่น” มิสึกิท้า
“หึ…” เซกิเบ้ปาก “ให้สู้กับคนที่ถอดใจยอมแพ้แต่แรกอย่างนาย ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันว่าทางที่ดีนายหลีกไปแล้วมอบตัวคนพวกนั้นให้ฉันดีกว่า ฉันอยากจะจบเกมนี้เต็มทนแล้ว”
“จบแล้วนายจะได้อะไรขึ้นมาล่ะเซกิ?” ซากุระถามจากใจจริง ถ้าทุกคนตายหมดแล้วมันจะได้อะไร จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วให้กลับมาเหมือนเดิมหรือก็ไม่ใช่ มีแต่จะทับถมความแค้นให้กับคนที่ต้องสูญเสียก็เท่านั้น
เซกินิ่งงันไปอีกครั้ง ราวกับถูกน้ำเย็นสาดโครมใส่หน้าด้วยคำถามที่ไม่คาดฝัน นั่นสิ… ถ้าทุกคนตายแล้วเค้าจะได้อะไร แต่เค้าก็ถลำลึกเกินกว่าจะถอยกลับไปเริ่มต้นที่จุดเดิมได้แล้ว ดวงตาสีอิฐเงยหน้ามองอดีตเพื่อนซี้อีกหน ดวงตาที่เหือดแห้งไม่หลงเหลือมิตรภาพอยู่ในหัวใจแม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่เคยมีให้
“สิ่งที่ฉันจะได้ก็คือความสะใจไงเพื่อน ถ้าฉันพินาศ… คนอื่นก็ต้องพินาศเหมือนกัน!”
ใบหน้าแข็งกร้าวบอกชัดว่ามันเอาจริงแน่ คราวนี้พวกเค้าไม่มีทางให้หนีแล้ว มิสึกิแอบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
…23.53 น…
คงได้แต่ภาวนาให้จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดกลับมาถึงทันเวลา เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งเดียวที่จะเหลือเป็นอนุสรณ์ให้ท่านผู้นำของเค้าดูต่างหน้า ก็คือหลุมฝังศพของเพื่อนๆนั่นเอง
เซกิสะบัดเสื้อคลุมเดินหันหลังกลับ แล้วสั่งเสียงดังลั่นต่อหน้าทหารองครักษ์ทุกคน
“ฆ่าทุกคน! อย่าให้เหลือรอดไปได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง ปืนทั้งร้อยกระบอกก็ถูกวางขึ้นพาดบ่า เสียงกริ๊กๆดังรับจังหวะเป็นระลอก ทหารทุกคนเล็งเป้าหมายไปที่จุดเดียวกัน เพื่อนพ้องน้องพี่สมาชิกพิเศษแห่งโรงเรียนรินคังล้อมวงจับมือกันไว้แน่น
แต่ในขณะที่ทุกคนหลับตาเพื่อเฝ้ารอวาระสุดท้าย พายุขนนกสีแดงก็ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ พุ่งเข้าไปปักคอหอยทหารนับสิบจนล้มสลบเหมือดกันระนาว พวกที่เหลือยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบลดปากกระบอกปืนลงแล้วถอยร่นไปตั้งหลักใหม่ ลิลลี่สีเลือดหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
ตรงหน้า… ซึ่งกำลังยืนพิทักษ์เพื่อนพ้องไว้อย่างเข้มแข็ง คือรุ่นพี่คนสำคัญที่สุด หมากตัวสุดท้ายที่จะจบเกมนี้ก่อนที่ไทกิจะมาถึง
“ยอมโผล่หัวออกจากรังจนได้นะ ไฮบาระโนะอิ ฉันคิดว่านายจะเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง แล้วปล่อยเพื่อนๆมาตายซะอีก”
“วางใจได้เลย ฉันไม่ขี้ขลาดเหมือนนายหรอก ดีแต่ลอบแทงคนอื่นข้างหลัง แน่จริงก็มาดวลกับฉันตัวต่อตัวสิ”
“เก่งนักเหรอ ได้เลย… ฉันนี่แหละจะสอยพวกนกยโสโอหังให้ร่วงทั้งรังเลย!”
หงส์เพลิงกล้าท้าทายยมทูตซึ่งๆหน้า เซกิปั้นสีหน้าเย็นชา คราวนี้ต่อให้เอากองทัพทั้งกองมาขวางก็คงหยุดมันไม่ได้ เพราะสิ่งเดียวที่จะดับความกระหายของยมทูตคือต้องสังเวยด้วยเลือดเท่านั้น
“อย่า!!!!!”
มิสึกิพยายามตะโกนห้ามตอนที่รุ่นพี่คนสำคัญโผเข้าไปขวางยมทูต ดาบสีแดงเพลิงตวัดด้วยความรวดเร็วหมายปลิดชีพเป้าหมาย แต่โนะอิก็พลาดครั้งสำคัญเมื่อเซกิยอมสังเวยมือหนึ่งข้าง รับใบดาบด้วยมือเปล่าก่อนจะกระชากหงส์เพลิงเข้ามาหาตัว ปืนอีกกระบอกในมือลั่นไกทะลุขั้วหัวใจจนเลือดสาดกระเซ็นเป็นละอองฝอย
“พี่โนะอิ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
คาโอรุตะโกนสุดเสียง เค้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเค้า ขาที่อ่อนแรงพยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองไปรองรับร่างของพี่ชาย แต่ทว่า…. ก่อนที่หิมะสุดท้ายจะร่วงโรย มันก็ได้หล่นลงสู่อ้อมแขนคนที่รักสุดหัวใจ
“ห้ามเลือด! ต้องรีบห้ามเลือด!!!” มิสึกิทำอะไรไม่ถูก มือไม้มันสั่นไปหมด พยายามกดบาดแผลที่เลือดไหลพุ่งเป็นสาย แต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมหยุด
“มิ… สึกิ…” มือเย็นๆยกขึ้นมาจับแขนคนดื้อเอาไว้
“อย่าเพิ่งพูดได้มั้ย พี่ยังเจ็บอยู่นะ หัดรู้ตัวซะบ้างสิ!” รุ่นน้องขึ้นเสียงตวาดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เลือดบ้านี่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมหยุดไหล หน้าตาของคนเจ็บก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ หัวใจยิ่งทำงานไม่ดีอยู่ จะทนได้สักแค่ไหนยังไม่รู้เลย
“พอแล้ว… นาย… ทำดีที่สุดแล้ว” โนะอิพยายามบอกสิ่งสำคัญสุดท้าย คว้าข้อมือของมันขึ้นมาให้ดูเวลาบนหน้าปัด จากนั้นก็เบือนหน้าไปที่ประตู
…23.59 น…
กับคนอีกสองคนที่โผล่เข้ามาสมทบได้อย่างเฉียดฉิว ทุกคนเงยหน้ามองตาม เซกิหน้าซีดเผือด ไม่อยากเชื่อว่าเกมที่ตัวเองวางแผนไว้เป็นอย่างดีจะล่มไม่เป็นท่า
“เรา… ชนะแล้ว” โนะอิย้ำอีกครั้ง “เราอยู่พร้อมหน้า… เราได้พบไทกิ… เราชนะ และนายเอง… ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อใครอีกแล้ว นี่เป็น… เงื่อนไข… ที่เซกิตั้งขึ้นมาเอง มันแพ้ มันต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่… นาย”
“ไม่…” มิสึกิอยากร้องให้ขาดใจแต่ก็ร้องไม่ออก ความเสียใจมันอัดอั้นจนบีบหัวใจเค้าให้ตายทั้งเป็น
“พี่โนะอิ! ทุกคน!”
ไทกิที่ยังไม่ทันตั้งตัวกับสภาพที่เกิดขึ้น พอเห็นเพื่อนๆบาดเจ็บระนาว กับโนะอิที่กำลังยื้อลมหายใจสุดท้ายกับมัจจุราช ก็ยิ่งทำให้เค้าเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ซุยเดินตามเข้ามาติดๆนั่งล้อมวงรวมกับเพื่อนๆรอบตัวโนะอิซึ่งอาการปางตาย
ดวงตาสีฟ้าสดสบตาคนรักอีกครั้ง มือเปื้อนเลือดลูบแก้มที่มองลงมาแผ่วเบา
“ช่วยยิ้มให้ฉันอีกครั้งได้มั้ย ฉันอยากเห็น… มิสึกิยิ้ม… ก่อนที่จะไม่ได้เห็นอีก”
“อย่าพูดแบบนี้…”
มิสึกิพยายามห้ามแต่ก็พูดต่อไม่ได้ เมื่อริมฝีปากถูกปิดสนิทด้วยจูบที่นุ่มละมุน ความหวานที่มอบให้กับความรักครั้งสุดท้าย ถูกทดแทนด้วยสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง แม้ต้นคอที่ถูกโน้มลงมาจะคลายลงแล้ว แต่รสสัมผัสที่ยังติดค้างอยู่บนริมฝีปากก็ยังไม่เสื่อมคลาย
โนะอิยิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา

“ฉันรักมิสึกิ… และจะรักตลอดไป”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงลงมาซบในอ้อมอก เสียงลมหายใจรวยระรินขาดห้วงหายไป แล้วหัวใจดวงเดียวก็แหลกสลายไปต่อหน้าต่อตาซากุระผู้ทระนง
“พี่!!!! ไม่นะ!! ไม่เอา… พี่ตื่นขึ้นมาสิ อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้”
คาโอรุกระชากตัวพี่ชายออกจากอ้อมแขนคนกำลังช็อก แล้วเอาเข้ามากอดไว้แน่น แต่สิ่งที่ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนใจรั้งร่างบอบบางนั้นออกมาอีกครั้ง ก็คือเสียงตึกตักที่ดังเป็นจังหวะถึงแม้จะแผ่วเบาอย่างที่สุดก็ตาม
“ยังเต้นอยู่…” คาโอรุละล่ำละลักทั้งน้ำตา “หัวใจพี่… ยังเต้นอยู่”
ทุกคนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบกระวีกระวาดตรวจให้แน่ใจอีกครั้ง ไทกิแนบหูฟังเสียงหัวใจก็ยังได้ยินชัดเจน ยัง… ยังหรอก ยังพอมีทางช่วย หงส์เพลิงก็คือฟินิกซ์ นกอมตะในตำนานจะดับง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง
“รีบพาเค้าออกไป ใกล้ๆกันนี้มีศูนย์พยาบาลขององค์กร ถ้าผ่าตัดตอนนี้ต้องช่วยเค้าได้แน่”
ไทกิบอกทุกคน แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ทหารทั้งกองที่เหลืออยู่ก็เข้ามาล้อมพวกเค้าเอาไว้ แล้วไอ้หัวโจกที่ไม่เคยยอมรับกับคำว่าพ่ายแพ้ก็ออกมายืนเต๊ะท่าเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“อย่าหวังว่าจะมีใครได้ออกไปจากที่นี่ พวกนายทุกคนต้องตายด้วยมือฉัน!!”
ปากของมันยังกวนประสาทไม่เลิก แต่มันเกินขีดจำกัดที่ทุกคนจะรับไหว ในเมื่อมันไม่เคยรักษากติกา พวกเค้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมของมันอีกต่อไป
“พวกนายออกไปก่อน ข้างหลังมีทางลับ วายะกับยูอิรออยู่แล้ว ส่วนฉัน… ขอซัดไอ้หมอนี่ให้หายบ้าก่อนแล้วจะตามไป” ไทกิหันไปสั่งเพื่อนๆ แล้วก็ไม่เคยได้อย่างใจ เมื่อซุย คาโอรุ ฮิโระ และอีกคนที่ตั้งสติได้เร็วกว่าที่คิดก็ก้าวตามมายืนสมทบเคียงข้าง
กุหลาบแดงหันกลับไปมองแบบเคืองๆ “พี่มิสึกิ… พี่ต้องช่วยพี่โนะอิไม่ใช่เหรอ จะมายืนเก๊กอยู่ตรงนี้ทำไม”
มิสึกิอุ้มรุ่นพี่คนสำคัญไปฝากให้เป็นภาระของนักบวชหนุ่ม ก่อนจะเดินกลับมาสมทบกับท่านผู้นำ
“เฮ้! หมายความว่ายังไง” มาซาฮิโกะโวยลั่น แค่ต้องดูแลพี่ปีสามสองคนก็สาหัสพออยู่แล้ว นี่ยังเอาคนใกล้ตายมาให้เค้ารับผิดชอบอีก พวกนี้มันบ้าชัดๆ
“ฉันเชื่อใจนายนะมาซาฮิโกะ ระหว่างนาย ยูอิ และวายะ นายเป็นคนที่รู้จักเส้นทางหลบหนีดีที่สุด และคงเป็นคนที่พวกองครักษ์ฝ่ายขาวให้ความเคารพมากที่สุดด้วย นายต้องพาพี่โนะอิไปหลบยังที่ปลอดภัยได้แน่ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“โธ่เว้ย! พวกนายนี่มันบ้าชัดๆ” นักบวชหนุ่มสบถออกมาอย่างเหลือทน ก่อนจะจำใจลากรุ่นพี่สามคนหนีออกทางลับด้านหลัง
“แล้วพวกนาย…” ไทกิมองไปทางสองเพื่อนซี้บ้าง แต่กลับโดนไอ้สองตัวนี้ยิงรัศมีน่ากลัวเข้าใส่ เป็นนัยว่าถึงไล่ให้ตายมันก็ไม่ไปแน่ ไทกิเลยได้แต่ส่ายหน้าปลงชีวิต “เออ… เกิดพวกแกซุ่มซ่ามตายขึ้นมา ฉันไม่รับผิดชอบนะเฟ้ย คนยิ่งจนๆอยู่ด้วย ไม่มีค่าทำขวัญชดเชยให้ใครหรอกนะจะบอกให้”
ฮิโระยิ้มแป้น ก่อนจะโอบแขนกอดไหล่ไอ้ตัวดีเข้ามาหา “ฉันก็ไม่ได้หวังจะให้นายมารับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ฉันแค้นที่โดนมันอัดอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก ถ้าไม่ได้แก้แค้นมัน ฉันนอนตายตาไม่หลับแน่”
“ฉันจะแก้แค้นให้พี่โนะอิ” คาโอรุลุกขึ้นมาชี้แจงเหตุผลของตัวเองบ้าง
“แล้ว?” ไทกิหันไปหาสุดหล่อที่ยืนเก๊กอยู่ข้างๆ
“ฉันเป็นบอดี้การ์ดนาย ลืมไปแล้วหรือไง” ซุยยืนยันคำเดิม ถึงแม้ที่ผ่านมาจะกลับตาลปัตรให้มันเป็นฝ่ายช่วยมาตลอดก็เถอะ
กุหลาบแดงอมยิ้มกริ่ม ใครบอกว่ามิตรภาพไม่มีจริงในโลก แม้ในยามที่คับขันเค้ายังมีเพื่อนร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ตั้งสี่คน แม้วันนี้ต้องตายก็จะไม่เสียใจเลย
“หึ… จะกี่คนก็เรียงหน้าเข้ามาเลย รับรองได้ฉันจะฆ่าไม่เหลือแน่”
“นายนี่มันพูดไม่เป็นคำพูดจริงๆพับผ่าสิเซกิ ไอ้หน้าไหนฮึ… ที่บอกฉันว่าถ้ามันแพ้มันจะยอมรับโทษทุกอย่างแต่โดยดี”
“สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วคุณไทกิ ไหนๆผมก็โดนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ ผมก็จะขออาละวาดให้ถึงที่สุด อยากจับผมมากนักใช่มั้ย นั่นก็ต้องดูว่าพวกคุณแน่แค่ไหน”
ไทกิหันไปรอบๆด้าน ก่อนจะประกาศลั่นต่อหน้าองครักษ์ทุกคน
“ฉันขอประกาศใช้โค้ด ‘ANGEL’ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่อยากโดนลูกหลงก็ให้รีบออกไปจากห้องนี้ซะ”
ทหารที่ยังลังเลอยู่ตัดสินใจได้ในทันทีที่ผู้นำประกาศโค้ดลับสำคัญ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ภักดีต่อลิลลี่ยังยืนปักหลักพิทักษ์หัวหน้าของพวกเค้าอย่างเต็มที่
“พวกนายออกไปเถอะ ที่นี่ฉันจะจัดการเอง” เซกิบอกคนที่เหลืออยู่
ริวรีบคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้านาย “ขอให้พวกเราได้ต่อสู้ร่วมกับท่านเซกิเถอะครับ อย่าไล่พวกเราไปเลย พวกเรายินดีรับโทษพร้อมท่านเซกิ”
“ฉันไม่ต้องการใครทั้งนั้น ถ้าพวกนายยังไม่ออกไปล่ะก็ อย่าหาว่าฉันโหดก็แล้วกัน”
เซกิส่งสายตาสีเลือดข่มขู่ ซึ่งพวกเค้าเข้าใจดีว่าหัวหน้าคนนี้พูดจริงทำจริงเสมอ ริวจำใจต้องพาพรรคพวกออกไป ปิดล็อกห้องโถงที่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิเลือดในไม่ช้า โดยที่พวกเค้าได้แต่รอฟังข่าวอยู่ข้างนอกเท่านั้น
“แค่นี้คงพอใจแล้วใช่มั้ยคุณไทกิ” เซกิหันมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนสุดท้าย “งั้นก็มาเริ่มกันซะทีเถอะ ผมอยากให้ทุกอย่างมันจบสิ้นซะที”
“ฉันขอถามอีกครั้ง นายตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ยเซกิ?” ไทกิจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเดียวกัน แม้จะต่างสายเลือดกันแต่ก็ผูกพันยิ่งกว่าพี่น้อง ไม่ว่าจะดีหรือเลว เซกิก็คือพี่ชายที่ไม่อยากสูญเสียไป
ลิลลี่ใช้สายตาที่เย็นชามองตอบ ก่อนจะหลับตาลงซ่อนเร้นทุกอย่างอยู่ในส่วนลึกที่สุด ลบเลือนความทรงจำที่ดีออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองหวั่นไหว ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณแห่งยมทูตที่สมบูรณ์แบบ
“ดูเหมือนคุณเองก็ยังลังเลที่จะสู้กับผม งั้นเห็นทีผมคงต้องใช้วิธีลัดเพื่อให้คุณมีใจอยากจะสู้มากกว่านี้”
ดวงตาสีเลือดไล่มองผู้ร่วมรบทีละคน การต่อสู้ที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้แล้ว…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:09:33
Chapter 35 Prayer (Part II)

ดวงตายมทูตหยุดลงที่เหยื่อรายแรก… นักล่าแห่งมิยางิผวาเฮือก แต่ก็ยังฝืนใจยืนตั้งหลักเตรียมตัวรับการจู่โจม ครั้งนี้เค้าจะพลาดไม่ได้อีกเป็นอันขาด เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิต
“พร้อมจะลงนรกตามพี่ชายหรือยังล่ะหงส์ปีกหัก คราวนี้ฉันจะเด็ดปีกให้บินไม่ได้อีกตลอดชีวิตเลย”
เซกิพุ่งเข้าหาคาโอรุเป็นคนแรก ปืนไทเทเนี่ยมในมือเล็งเข้าหาเป้าหมาย คาโอรุขยับตัวตั้งหลัก ต่อให้เร็วแค่ไหนมันก็ต้องมีจุดอ่อนบ้างล่ะน่า ต้องหลบได้สิ… ดวงตาสีเขียวสดจับตาคู่ต่อสู้ไว้ไม่คลาดสายตา

เปรี้ยง!!

เสียงที่ดังก้องกังวานคราวนี้ไม่ได้มาจากกระบอกปืนมรณะ แต่เป็นเสียงซี่โครงบางๆปะทะกับหน้าแข้งของใครบางคนเข้าเต็มรัก จนเจ้าตัวกระเด็นหวือกลับไปและเกือบกระแทกกำแพง ดีที่มันยังคล่องแคล่วพอจะกระโดดม้วนตัวไปตั้งหลักใหม่ จากนั้นก็ส่งสายตาสีเลือดจ้องเหยื่อรายที่สองซึ่งยืนอวดขนหน้าแข้งที่เพิ่งฟาดใส่เค้ามาหมาดๆ
“มัวแต่โม้อยู่ได้ อย่าลืมสิว่าพวกเราทำงานกันเป็นทีมนะเฟ้ย” เจ้าฮิโระอวดฟันขาวยิ้มแฉ่ง ก่อนจะแกล้งปัดหน้าแข้งเยาะเย้ย
“หึ… ฝีมือกระจอกอย่างพวกนายต่อให้รุมฉันก็ไม่กลัวหรอก จะกี่สิบไฮบาระหรือโซมะก็เหมือนกันทั้งนั้น”
คราวนี้เซกิเล็งปืนไปที่ฮิโระบ้าง ก่อนจะโดนคู่ต่อสู้อีกฝั่งเข้ามาชาร์จเตะข้อมือจนปืนหลุดกระเด็น
“แถมเทนโนะให้อีกคน ถ้ายังคิดว่ากระจอก นายก็เตรียมตัวเตรียมใจตายได้เลย” ซุยท้าทาย พร้อมบุกเข้าประชิดตัวจนเซกิต้องหลบไปตั้งหลัก
ยมทูตยืนปักหลักอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ปืนอาวุธชิ้นสำคัญถูกปลดไปแล้ว แต่… มันยังไม่หมดพิษสงแค่นี้หรอก นัยน์ตาสีเลือดเยือกเย็นหันไปสบตากับยมทูตที่เหลืออีกสองคน ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหี้ยม
“คำถามนะมิสึกิ… อาวุธอะไรเอ่ยที่พวกเราถนัดมากที่สุด”
มิสึกิกับไทกิหันมาสบตากัน ก่อนที่รุ่นพี่จะเปรยออกมาเบาๆ
“ไม่จริงหรอก หมอนั่นคงไม่คิดที่จะใช้…”
“ระวัง!!!”
ไทกิตะโกนเตือนเพื่อนๆ แต่ช้าไปแค่เสี้ยววินาทีเดียว เมื่อแส้สีขาวถูกหวดเป็นวงกว้างตวัดพันรอบข้อเท้าบอดี้การ์ดจำเป็น ก่อนจะโดนเหวี่ยงทีเดียวกระเด็นไปชนนักฆ่าขี้โม้จนล้มระนาว
“ซุย! ฮิโระ!”
ไทกิกับมิสึกิร้องลั่น แล้วรีบปรี่เข้าไปประคองเพื่อนสองคนขึ้นมา อาการของซุยยังไม่เท่าไหร่ แค่หัวแตกกับแผลถลอกนิดเดียว แต่เจ้าฮิโระนี่สิท่าจะแย่ เพราะโดนซุยกระแทกโดนแผลสดที่หน้าท้องจนปริ
“โอ๊ย!”
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดที่ดังมาจากอีกฟากทำให้สี่สมาชิกใจหายวาบ ไอ้ตัวแสบมันเล่นทีเผลอจับคาโอรุเป็นตัวประกัน กระตุกแส้พันแน่นรอบลำคอระหง จนหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดจนน่าตกใจ
“แมลงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ” ลิลลี่จอมโหดแสยะยิ้ม “ว่าไงล่ะคุณไทกิ เริ่มมีใจอยากจะสู้ขึ้นมาบ้างหรือยัง หรือว่าต้องให้ผมเด็ดหัวไฮบาระ คาโอรุ เอาไปประดับที่ห้องให้คุณดูต่างหน้าก่อนดีล่ะ”
“แก! เซกิ… ปล่อยคาโอรุเดี๋ยวนี้นะ!” ไทกิชักเดือด “ถ้าแตะต้องเพื่อนฉันแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็ ต่อให้เป็นนายฉันก็ไม่ละเว้นแน่”
“งั้นก็มาเอากลับคืนไปสิ แต่เร็วหน่อยก็ดีนะ เพราะท่าทางหมอนี่คงทนได้อีกไม่นานนักหรอก”
“ยะ… อย่านะ ไทกิ…” คาโอรุพยายามร้องห้าม “มันตั้งใจจะยั่วนาย อย่าไปหลงกลมันเด็ดขาด… โอ๊ย!!”
เซกิกระตุกแส้รัดแน่นขึ้นจนคาโอรุต้องยกมือขึ้นมากุมที่ลำคอเพราะหายใจไม่ออก
“ฉันจะฆ่ามัน” ฮิโระโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนนึกอยากจะโดดเข้าไปขย้ำคอไอ้บ้านั่นเต็มแก่แล้ว
แต่ทว่า… ก่อนที่ทุกคนจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนทำให้เพื่อนได้รับอันตราย ผู้ที่ถูกยัดเยียดให้รับผิดชอบทุกอย่างก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ
“คุณไทกิ” มิสึกิฉุดแขนท่านผู้นำเอาไว้
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงมองตอบ ถึงเวลาแล้วที่เค้าต้องตัดสินใจ “ปล่อยฉันเถอะนะมิสึกิ ถ้าหมอนั่นไม่ได้สู้กับฉัน มันคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่ ฉันไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนอีกแล้ว”
“แต่ว่า…”
“ฉันรู้ว่าพี่ห่วงเรื่องอะไร”
ไทกิยิ้มบางๆ ก่อนจะโผเข้ากอดรุ่นพี่แล้วกระซิบบอกอะไรบางอย่าง มิสึกิทำท่ากระวนกระวาย ดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของท่านผู้นำสักเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะหยุดดอกไม้บ้าเลือดอย่างเจ้าเซกิได้
“ระวังตัวด้วยนะคุณไทกิ” มิสึกิอดย้ำไม่ได้
รุ่นน้องที่เดินจากไปแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้ “พี่นั่นแหละที่ต้องระวัง อย่าเผลอปล่อยให้ใครซุ่มซ่ามทำฉันผิดแผนซะล่ะ”
“หมอนั่นคิดจะทำอะไร?” ซุยรีบกระชากแขนเพื่อนซี้เข้ามาถาม เค้ามองดูไทกิที่เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับลิลลี่อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“เดี๋ยวนายก็รู้ ดูต่อไปเถอะ… งานนี้จะออกหัวหรือก้อย ฉันเองก็จนปัญญาจะเดาแล้วเหมือนกัน”
สองยมทูตประจันหน้า เซกิยอมคลายแส้ออกจากคอนักล่าแห่งมิยางิ ไทกิรีบโผเข้าไปรับเพื่อน คาโอรุไอจนกระอักเลือด ถึงอาการจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็มีสีเลือดขับขึ้นบนใบหน้าบ้างแล้ว ไทกิถึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก
“ไทกิ…” คาโอรุเรียกชื่อเพื่อนรัก กุหลาบแดงก็รีบคว้าตัวเพื่อนเข้ามากอดไว้
“พวกนายต้องพลอยเดือดร้อนเพราะฉันเสมอเลย ขอโทษนะคาโอรุ… นายไม่ต้องต่อสู้เพื่อฉันอีกแล้ว พักให้สบายเถอะเพื่อน”
เพียงชั่วพริบตาที่เพื่อนรักกำลังงงว่ามันพล่ามอะไรออกมา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ คุณชายสายน้ำกับลูกชายคนเดียวแห่งตระกูลนักฆ่า ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ในมือของมิสึกิมีกลีบดอกซากุระสีดำ แต่ในมือของมัน… เจ้าไทกิ… มีดอกกุหลาบสีแดงสดบานสะพรั่ง แต่หนามของมันกลับปักอยู่ที่ข้อมือของเค้า
มือข้างนั้นชาปลาบราวกับท่อนหิน ก่อนที่ความง่วงงุนจะแล่นปราดขึ้นมาเรื่อยๆจนทำให้เปลือกตาหนักอึ้งแทบลืมไม่ไหว
“นะ… นาย…” คาโอรุล้มลงแต่ก็ถูกรับไว้ ภาพรอยยิ้มของไทกิกำลังจะเลือนหายไป มันพาเค้ากลับมานอนรวมกับเพื่อนๆ ทิ้งมิสึกิไว้เป็นผู้พิทักษ์เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยที่สุด
“สั่งเสียกันเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” เซกิกระตุกแส้เตรียมรับมือไทกิ
กุหลาบแดงเงยขึ้นช้าๆ พร้อมยิ้มบางๆที่มุมปาก “นายนั่นแหละที่ต้องสั่งเสีย ไม่ใช่ฉัน”
พอสิ้นคำท้ารบ แส้สีดำที่ถูกซ่อนอยู่เนิ่นนานก็ถูกดึงออกมาตวัดรั้งกับแส้สีขาวที่ลิลลี่หมายใจจะฟาดใส่ไทกิ แต่ด้วยความเร็วและฝีมือที่เหนือชั้นพอกันทั้งคู่ แส้สลับสีขาวดำก็ถูกเหวี่ยงออกเป็นวงกว้าง เห็นเป็นเพียงประกายแลบแปลบปลาบยามที่พวกมันปะทะกัน
ดวงตาข้างหนึ่งพยายามขืนขึ้นมาดูการต่อสู้ เร็วเหลือเกิน… เร็วจนดูไม่ทันเลยว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ ขนาดบางแห่งมีหยดเลือดกระเซ็นเป็นทางก็ยังไม่มีใครยอมรามือ พวกยมทูต… ถ้ามันไม่สู้จนตายไปข้าง ก็คงไม่คิดจะหยุดใช่มั้ย คิดแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอดๆ มือข้างหนึ่งใกล้จะหายชาแล้ว เพราะกลีบซากุระผ่านเสื้อหนังเข้ามาได้ไม่ลึกนัก ยังพอขยับตัวได้… เค้าต้องหยุดพวกมัน

เปรี้ยง!!

เซกิฟาดแส้ไปโดนรูปปั้นหินจนแตกกระจาย เป็นจังหวะที่ไทกิได้โอกาสกระโดดหลบออกไปตั้งหลัก การต่อสู้ถูกหยุดลงชั่วคราว เท่าที่เห็นพวกมันต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลย แขนซ้ายของไทกิคงหักไปแล้ว ที่ท้องของเซกิก็มีรอยกรีดจากแส้ยาวเป็นทาง แต่สิ่งที่พวกมันเหมือนกันมากที่สุด… คือดวงตาสีเลือดแดงก่ำกับความกระหายที่จะฆ่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ซุยเบิกตากว้าง มองดวงตาน่าสะพรึงกลัวที่เค้าจะไม่มีวันลืมในวันที่บุกตึกซันไชน์
…ยมทูตกุหลาบแดง… มันได้ตื่นขึ้นมาเต็มตัวแล้ว
“แย่ล่ะสิ”
ซุยได้ยินเสียงมิสึกิที่ยืนอยู่ข้างๆสบถเบาๆ มันเองก็คงไม่สบายใจนักที่ผู้นำเปลี่ยนไปแบบนี้ และถ้ามันเก่งจริงอย่างราคาคุย ใครล่ะจะหยุดมันได้ แขนข้างที่เจ็บมีเลือดไหล แต่มันก็ยังยกขึ้นมาเลียแผล็บราวกับชอบอกชอบใจเสียเต็มประดา
“หึ หึ หึ… แกมันรนหาที่เจ้าชนชั้นสวะ ข้าจะฉีกเนื้อแกออกทีละชิ้น เอามาสังเวยให้กับความโอหังของแก ที่กล้าบังอาจรบกวนการหลับใหลของข้า”
เสียงสยดสยองน่าสะพรึงกลัวของมันขู่ขวัญคนทั้งห้องจนสั่นสะท้าน ไม่เพียงแค่สีตาที่เปลี่ยนไป แต่นิสัยใจคอของมันก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นไม่ใช่ไทกิ…
“Spirit of Death… มีอยู่จริงๆเหรอเนี่ย” มิสึกิกัดฟันแน่น เค้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่าที่ปล่อยให้ไทกิเปิดสวิตซ์ที่น่ากลัวนี้ขึ้นมา
กุหลาบแดงคือดอกไม้ราชัน แต่ในความงามก็ซ่อนคมหนามอันตราย สูบเลือดเนื้อวิญญาณหล่อเลี้ยง กลายเป็นปีศาจร้ายที่กระหายความตายในนาม ‘Spirit of Death’ มันสืบทอดโดยสายเลือด มันจะสิงสู่เพื่อสูบความกระหายในการทำลายล้างจนกว่าเจ้าของจะตาย
แต่ทั้งๆที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจอยู่แท้ๆ เซกิก็ไม่มีแววตาหวั่นไหวแม้แต่น้อย ดวงตาสีเลือดยิ่งมั่นคง ขยับแส้ในมือมาถือไว้มั่น ถ้ากุหลาบแดงคือซาตาน ลิลลี่ก็ไม่ต่างกัน… ‘White of Phantom’ คือสีขาวต้องคำสาป ดังเช่นปีศาจที่แปดเปื้อนบนความบริสุทธิ์ของมนุษย์
ปีศาจกับซาตาน… ถ้ามาเจอกันโลกคงกลายเป็นนรก
“นายคิดจะหยุดมันยังไงล่ะ Black Destiny” เจ้าเซกิหันมาถามมิสึกิที่ยืนชั่งใจคิดอย่างหนัก “หรือจะมาร่วมทำลายทุกอย่างให้พังพินาศพร้อมพวกเรา ฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ”
“ฉันไม่ไร้สติเหมือนนายหรอกนะเซกิ ฉันเคยบอกแล้วว่าจะช่วยพวกนายสองคนให้ได้ ฉันก็จะทำให้ได้”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” เซกิขำกลิ้งชนิดไม่ได้เข้ากับบรรยากาศตึงเครียดตอนนี้เลย “นายจะหยุดฉันกับปีศาจร้ายตัวนั้นด้วยอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะใช้ดวงของนาย”
มิสึกิส่ายหน้าช้าๆ แม้ความหวังจะริบหรี่เต็มทนแต่เค้าก็ยังเชื่อว่ามันต้องมีหนทาง
“ดวงของฉันของช่วยอะไรพวกนายไม่ได้หรอก แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น นายคอยดูสิ”
“ฮึ… ฉันไม่งอมืองอเท้ารอโชคชะตาเหมือนนายหรอกนะมิสึกิ ฉันนี่แหละจะหยุดวงจรอุบาทว์ของผีห่าซาตานตัวนี้เอง เพื่อที่มัน… จะได้ไม่ไปทำร้ายใครอีก”
เซกิตวัดแส้ในกำมือเป็นระลอกคลื่นที่หนักหน่วงรุนแรง ฟาดเข้าใส่ร่างของปีศาจร้ายนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ยอมหลบ สักก้าวก็ไม่ยอมถอยหนี ทั้งที่เนื้อทุกบริเวณที่โดนแส้แตกยับเลือดสาดเป็นสาย แต่มันก็ยังก้าวฝ่าคลื่นมหากาฬเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต
แส้ในมือถูกหยุดไว้ด้วยแขนข้างที่หัก พวกมันยืนประจันหน้าห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร ก่อนที่ซาตานจะเป็นฝ่ายกรีดยิ้มเหี้ยม ใช้มือเปล่าข้างที่เหลือแทงที่หน้าอกจนเกือบทะลุขั้วหัวใจ
“โอ๊ย!” เซกิทรุดฮวบลงบนพื้น เลือดไหลปรี่นองแต่มันก็ไม่ยอมแพ้
“เซกิ!!”
มิสึกิรีบโดดเข้าไปขวางก่อนที่มัจจุราชจะสังหารลิลลี่ให้ตายคามือ ไทกิคงไม่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างลงเอยแบบนี้แน่ ถ้าเค้ารู้ตัวขึ้นมาต้องเสียใจถ้าเซกิต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง
กุหลาบแดงเปลี่ยนเป้าหมาย มองจ้องมายังบุคคลที่สามที่กล้าเข้ามาขัดขวางการไล่ล่าของมัน เนตรสีเลือดเบิกกว้าง ทำเสียงฟืดฟาดไม่พอใจ ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหาหมายจะเรียกเลือดมาสังเวยเป็นรายต่อไป
“อึก…”
มิสึกิยกมือขึ้นมาตะกายคอซึ่งถูกรัดแน่นด้วยแส้เส้นหนา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งรับได้ เพียงชั่วพริบตาที่เค้าหันไปหาเซกิ กุหลาบแดงบ้าเลือดก็กระโดดขึ้นคร่อม แล้วกระตุกแส้พันรอบคอหมายจะรัดให้กระดูกแหลกคามือ
“อยู่นิ่งๆนะมิสึกิ ฉัน… จะหยุดมันเอง”
เซกิยังซ่อนปืนอีกกระบอกไว้ใต้เสื้อคลุม มันชักออกมาเล็งตรงขั้วหัวใจของไทกิพอดิบพอดี นัดเดียวเท่านั้น… วัดใจกันไปเลย!
“ยะ… อย่านะ… เซ… กิ” มิสึกิพยายามร้องห้าม แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว
“กลับลงนรกไปซะไอ้ปีศาจ!!!”
กระสุนสังหารพุ่งตรงดิ่งไปที่เป้าหมาย เสียงกรีดอากาศดังลั่น แต่ทว่า… ก่อนที่มันจะเข้าทำร้ายร่างที่บริสุทธิ์ กระสุนนัดวัดใจของเซกิก็ถูกหยุดลงด้วยหัวใจของคนอีกคน
ร่างนั้น… ร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา มือที่ชาดิกพยายามฝืนยกขึ้นมากุมหน้าอกแต่ก็ไม่อาจหยุดสายเลือดที่พวยพุ่ง ฝีมือของลิลลี่… เคยแม่นยังไงก็แม่นไม่เคยเปลี่ยน ขนาดไม่ตั้งใจก็ยังฝังกระสุนอันตรายตรงตำแหน่งเดียวกับที่เคยยิงโนะอิได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน
“ซุย!”
มิสึกิเพ้อออกมาเท่าที่ยังพอมีเสียงให้พูด แต่มัจจุราชที่ยังนั่งคร่อมตัวเค้าอยู่นั้นดูมันจะช็อกยิ่งกว่า ดวงตาสีเลือดเบิกกว้างบ่งบอกอาการสับสน แส้ในมือร่วงผล็อยปลดปล่อยอิสระให้ซากุระ ก่อนจะตีอกชกตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังต่อสู้กับจิตใจในส่วนลึกที่ขวางกั้นมันอยู่

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ไทกิตะกุยผมตัวเองด้วยความคุ้มคลั่ง เดาไม่ออกเลยว่ามันรู้ตัวแล้วหรือยังไม่รู้ตัวกันแน่ ร่างที่โชกเลือดพยายามตะเกียกตะกายเข้าไปหาเพื่อคืนสติดึงคนรักของเค้ากลับคืนมา
“ไท… กิ” มือใหญ่จับมือเล็กๆที่พยายามสลัดๆเค้าออก ดวงตาสีเข้มเว้าวอนเพื่อให้มันหยุดฟังเค้าสักนิด “พอได้แล้ว… อย่ามันให้มันครอบงำนาย นายไม่ต้องเคยต้องการฆ่าใครหรอก ฉันรู้…”
“ออกไป!!! แก…. ตาย… ตายแน่ โอ๊ย!!”
กุหลาบแดงตวาดเสียงขู่ แต่แล้วจู่ๆมันก็ปวดหัวรุนแรงจนต้องบีบขมับตัวเองเอาไว้
“ไม่!!! เจ้าชนะข้าไม่ได้ ต้องฆ่า… ต้องฆ่ามัน!!”
อาวุธสังหารถูกคว้าขึ้นมาอีกครั้ง ตวัดพันรอบลำคอของคนตรงหน้า นัยน์ตาสีเข้มจ้องลึก จนมือเล็กๆที่ตั้งใจจะรัดคอให้ตายต้องชะงัก
“ไทกิ…” ซุยยิ้มบางๆ “ฉันจะไม่โทษนายถ้านายจะฆ่าฉัน ถ้าหาก… นั่นจะเป็นทางเดียวที่ปลดปล่อยนายได้”
คุณชายสายน้ำหลับตาลงเตรียมรอรับความตายจากมัจจุราช ในมโนสำนึกมีภาพความทรงจำที่สวยงามจากกุหลาบแดงที่เคยกล่อมเค้าด้วยความรัก ที่ผ่านมาต้องเป็นภาระมันนับครั้งไม่ถ้วนทั้งๆที่เค้าควรเป็นผู้คุ้มกันมันแท้ๆ แต่ครั้งนี้… จะเป็นการชดใช้ ไทกิจะต้องทิ้งวิญญาณปีศาจและปรับความเข้าใจกับเพื่อนที่ดีที่สุดของมันอีกครั้ง เค้าเชื่ออย่างนั้น
“เอาสิ… เอาเลย ฆ่าคนรักของคุณด้วยมือตัวเอง อยากจะรู้นักว่าถ้าคุณได้สติคืนมาแล้วคุณจะคุ้มคลั่งแค่ไหน” เซกิท้าทาย นี่มันมากกว่าแผนที่เค้าวางไว้ แต่ก็ดีแล้ว… ในเมื่อเค้าต้องเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคุณค่าของชีวิต ไทกิก็ต้องพบกับความสูญเสียใหญ่หลวงนั่นเช่นกัน
“เค้าไม่ทำหรอก” มิสึกิที่แอบลุ้นอยู่เปรยบ้าง “ซุยเป็นคนเดียวที่เคยหยุด Spirit of Death ได้ ครั้งนี้เค้าก็ต้องทำได้”
“ไม่มีทาง… ปีศาจนั่นไม่เคยมีหัวใจให้ใคร มันมีแค่ความอยากกระหายเท่านั้น สิ่งที่จะดับความพลุ่งพล่านของมันได้มีแค่สองอย่าง…” เซกิเม้มปากแน่นแล้วก็จบประโยคซะดื้อๆ แสดงสีหน้าปวดร้าวอย่างเห็นได้ชัด
“ความตายกับความปรารถนาที่เร่าร้อนของมนุษย์” มิสึกิต่อให้พร้อมแอบสังเกตสีหน้าของอดีตคู่หู “แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่จะล้างคำสาปแห่ง Red Rose ได้ มีมากกว่าสองสิ่งนั้นแน่นอน”
“นายไม่รู้อะไรก็อย่าพล่ามดีกว่า!”
เซกิโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจ้องมิสึกิตาเขียวปั้ด เพื่อนก็เลยเลี่ยงที่จะต่อความแล้วจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของ Red Rose เงียบๆ
กุหลาบแดงจ้องเหยื่อตรงหน้าเขม็ง มือเริ่มกระตุกรัดแส้ให้แน่นขึ้นอีกครั้ง ซุยหายใจขัดแต่ก็ไม่ตอบโต้ เวลาแต่ละเสี้ยววินาทีช่างทรมานเหลือเกิน แสงสว่างหายไปแล้ว เสียงเอะอะวุ่นวายที่เคยทำให้หนวกหูก็ไม่ได้ยินอีก อากาศรอบกายก็ช่างหนาวเย็นนัก
พอแล้ว… เค้าทรมานเหลือเกิน

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ไอ้ตัวดีสลัดแส้ทิ้ง น้ำตาร่วงผล็อยเป็นเผาเต่าทั้งๆที่ดวงตายังขับสีเลือด ดูเหมือนมัจจุราชที่กำลังร้องไห้ได้อย่างน่าสมเพชที่สุด มันคว้าร่างซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอก
“ซุ… ซุย…”
มันพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อ แต่ก็ต้องฝืนกับสิ่งที่ต่อต้านอยู่ภายในจนร่างเล็กๆสั่นไม่หยุด
‘ฆ่ามันสิ… นายอยากฆ่ามัน’
เสียงในใจร้องสั่ง
“ไม่…”
‘นายไม่มีทางชนะฉัน นายเกิดมาเพื่อฆ่าเท่านั้น ฆ่ามัน!’
“ฉัน… จะไม่ฟังเสียงของแก… อีกต่อไปแล้ว!!”
ไทกิควักดอกกุหลาบแดงอาบยาพิษที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมปักลงตรงหัวใจ ความเย็นยะเยือกจากยาพิษอันตรายค่อยๆแทรกซึมไปตามกระแสเลือด เสียงนรกในใจหายไปแล้ว ร่างเล็กๆจึงฟุบลงบนตัวของคนที่หมดสติไปก่อนหน้า
ปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมายนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาสองยมทูต เซกิเบิกตากว้าง ในขณะที่มิสึกิพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่
“ไม่จริง… เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเอาชนะ Spirit of Death ได้” เซกิยังไม่อยากจะเชื่อ
“Prayer Heart… หัวใจแห่งความปรารถนา คุณไทกิมีความพิเศษกว่า Red Rose ทุกๆคนที่ผ่านมา เค้าไม่ได้มีเพียงวิญญาณที่กระหายในการฆ่า แต่ยังมีจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริง”
“นายรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก?” เซกิสะบัดหน้าไปหาจอมหลักการที่พ่นความรู้ออกมาเป็นชุดๆ
“ก็เพิ่งรู้… จากคนๆหนึ่ง” มิสึกิลอบถอนใจเบาๆ
“จะยังไงก็ตาม ฉันต้องฆ่ามัน จะไม่ยอมปล่อยให้มันตายสบายๆแบบนี้หรอก”
เซกิยังไม่ยอมรามือจากการแก้แค้น เค้าขยับไปหาสองร่างที่นอนกอดก่ายกันหมดสติ ขยับไปปืนในมือเตรียมส่งสองคู่รักลงสู่ยมโลก ดวงตาสีอิฐส่องประกายแน่วแน่ เค้ารอโอกาสนี้มานานแสนนานเหลือเกิน ถึงเวลาที่ความแค้นจะได้รับการสะสางแล้ว
“ลาก่อน… ท่านผู้นำ”
“อย่า!!!”
มิสึกิจะโดดเข้าไปห้าม แต่ก็ถูกขัดขวางด้วยมีดสีทองที่ถูกขว้างมาเฉียดไรผมไปแค่เสี้ยวเดียว
‘ใคร… ใครกัน?’
เด็กหนุ่มมองไปยังระเบียงชั้นบน แสงสว่างจากดวงไฟริบหรี่ค่อยๆเผยให้เห็นบุคคลสามคนที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนนั้น หนึ่งในนั้นเค้าจำได้เพราะเพิ่งคุยกันมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ส่วนอีกสองคนก็ดูคุ้น เพราะคล้ายมิตรที่เค้ารู้จัก
“ปล่อยเค้าเถอะมิสึกิ ถ้าอยากฆ่าซะขนาดนั้นก็อย่าไปห้ามเค้าอีกเลย” หญิงสาวแสนสวยเป็นคนร้องห้าม ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินลงมาที่กลางห้องโถงอย่างใจเย็น
“แต่คุณริเอะ… คุณจะปล่อยให้เซกิฆ่าคุณไทกิไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นเรื่องยุ่งๆต้องตามมาไม่หยุดหย่อนแน่”
ริเอะถอนใจ “เฮ้อ… มิสึจัง ถึงเธอจะห้ามเค้าได้ตอนนี้ เค้าก็ต้องหาโอกาสฆ่าไทกิอีกอยู่ดี พอแล้วล่ะ… ฉันไม่อยากเห็นลูกตัวเองต้องหนีหัวซุกหัวซนอีกแล้ว ปล่อยเซจังทำตามใจเถอะมิสึ ถ้าเค้าคิดว่าการฆ่าไทกิแล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ฉันก็ไม่ห้ามหรอก”
หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินไปสมทบกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งเข้าไปดูอาการลูกๆของตัวเองอยู่
“ว่าไง… เคียว… เรียวเฮ… เด็กสองคนเป็นไงบ้าง”
ไฮบาระ เคียว ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองลูกรักในอ้อมแขนแล้วก็ชักจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่จะอาละวาดมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียฟอร์มคุณพ่ออีกคนที่ขนาดเห็นลูกนอนพะงาบๆปางตายยังหัวเราะชอบใจเหมือนดูละครตลก
“โอ๊ย… เจ้าสองตัวนี้มันไม่ตายง่ายๆหรอกริจัง ลูกฉัน… ฉันเลี้ยงมาเองกับมือ ฉันรู้ว่ามันทนทายาดแค่ไหน แต่ลูกเจ้าเคียวไม่รับประกันนะ ท่าทางจะไก่อ่อนเหมือนพ่อของมัน ฮ่าๆๆๆๆ”
“ใช่สิ… ใครจะใจกล้าบ้าไร้สติเหมือนลูกนาย ท่าทางจะได้เชื้อบ้าจากพ่อมาหมดจดแบบไม่ต้องสงสัย”
“พูดแบบนี้ต่อยกันเลยดีกว่ามั้งเคียว” เรียวเฮท้าชก กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยพูดจาน่าฟัง ไอ้บ้านี่…

ปัง ปัง ปัง!!!!!

คนหงุดหงิดที่ยืนฟังเสียงกวนประสาทอยู่นานแล้วยิงปืนขู่ขึ้นไปบนเพดาน เรียกสายตาทุกคู่ให้กลับไปสนใจมันอีกครั้ง
“แหม… เธอสองคนทำเซจังอารมณ์เสียจนได้” ริเอะยิ้มขำ
“ก็เจ้าหนูนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย นายว่ามั้ยล่ะเคียว” เรียวเฮส่ายหน้า
ริเอะเดินตรงเข้าไปหา ลิลลี่ถอยตัวหนีเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมหันปากกระบอกปืนที่เล็งจ่อหัวไทกิไปที่อื่น
“อ้าว… ยังไม่จัดการอีกเหรอเซจัง แบบนี้มันผิดวิสัยเธอนะ หรือว่าคิดจะเปลี่ยนใจ”
“ไม่มีทาง!!” เซกิหันมาตวาด ก่อนจะขยับปืนเตรียมยิงอีกครั้ง มิสึกิลุ้นใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าโพล่งอะไรออกมาตอนนี้ เพราะเชื่อว่าริเอะต้องมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแน่ๆ
“ไทกิตายก็ดีนะ” ริเอะเปรยเบาๆ “เค้าจะได้ไม่ต้องทนทรมานกับวิญญาณมรณะนั่นเอง ยิ่งได้มาตายพร้อมคนรัก แถมยังทำให้เพื่อนที่ดีที่สุดอย่างเธอสมหวัง ฉันว่าเค้าคงมีความสุข”
คุณแม่ทิ้งท้ายประโยคซึ่งทำให้มือที่ขาวซีดเริ่มสั่นเพราะความลังเล
“ไม่จริง… คนอย่างมันมีแต่จะสมน้ำหน้าฉันต่างหากที่ต้องตกต่ำขนาดนี้”
“ถ้าเธอคิดแบบนั้นฉันก็จนใจ เอาเลย… ฆ่าเค้าเลย ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายเมื่อฆ่าไทกิแล้ว เธอจะเหลืออะไร”
ริเอะเดินหันหลังหนีไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง มิสึกิเบือนหน้าหนีตาม ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าเซกิคิดอะไรอยู่ในใจ ความแค้นจะกลบความดีงามที่เคยมีมาจริงๆเหรอ คนอย่างเซกิ… จะไม่มีวันกลับตัวได้แล้วจริงๆงั้นเหรอ

เปรี้ยง!

จบแล้วทุกสิ่ง…
ในปืนนัดสุดท้ายที่ลั่นออกไปความรู้สึกทั้งหมด จบทั้งเกม ทั้งเงื่อนไขทุกอย่างที่มันตั้งไว้
“เซกิ!!!”
มิสึกิตกใจหน้าซีดเผือด รีบโผเข้าไปรับร่างที่ทรุดฮวบลงบนพื้นพร้อมกับสำรวจบาดแผลบนร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว ไม่มี… ไม่มีกระสุนนัดนั้น มันไม่ได้ยิงตัวเอง มิสึกิถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คนในอ้อมกอด แทนที่มันจะออกอาการโกรธแค้นหรือคุ้มคลั่งอย่างที่ใครๆคาดไว้ นัยน์ตาสีแดงอิฐกลับนองไปด้วยน้ำตาซึ่งปริ่มไหลออกมาไม่หยุด
…ซาตานที่เกาะกินชีวิตของกุหลาบแดงถูกสลายไปฉันใด ปีศาจแห่งความแค้นในใจของลิลลี่สีขาวก็ย่อมจางหายไปเมื่อนั้น…
“มิสึกิ” เซกิยึดอกอุ่นกว้างจากเพื่อนซี้เป็นที่พึ่งพิง เมื่อก่อนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไทกิถึงชอบที่ตรงนี้ เค้าเพิ่งจะรู้… เพราะว่ามันอบอุ่นแบบนี้นี่เอง
“นายกลับมาเป็นคนเดิมแล้วใช่มั้ยเซกิ ฉันดีใจจริงๆ” ซากุระน้ำตาซึมเพราะตื้นตัน ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการที่ผู้นำของเค้ายังอยู่และเพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนตลอดไป
“มันคงไม่สายเกินไปใช่มั้ย ที่ฉันจะพูดว่า… ขอโทษ”
เซกิรั้งตัวออกมาช้าๆแล้วมองหน้าอดีตคู่หูด้วยความกังวล เค้าก่อเรื่องใหญ่หลวงไว้ตั้งมากมาย ขนาดคนรักของเพื่อนก็ยังคิดจะฆ่าได้ลงคอ มันจะยอมให้อภัยเค้าง่ายๆเหรอ
มือใหญ่ตบบนบ่าเพื่อนพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ฉันไม่เคยโกรธนาย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ปล่อยให้นายไปอเมริกาคนเดียว ทั้งๆที่ใจจริงนายอยากไปอยู่กับอาจารย์ที่อิตาลี ถ้าวันนั้นนายไม่เสียสละให้ฉัน เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นกับนายหรอก”
“เธอสองคนไม่ผิดหรอก” ริเอะเดินเข้ามาลูบหัวเด็กทั้งสอง “ถ้าไม่ใช่เซกิ ก็ต้องเป็นมิสึกิที่โชคร้าย คนที่ผิดจริงๆก็คือเคโตะต่างหาก ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้ปีศาจตัวนั้นครอบงำทำลายชีวิตคนรอบข้างจนพินาศ”
“คุณรู้เรื่องนี้มาตลอด” เซกิขมวดคิ้ว
ริเอะพยักหน้าเนิบๆ “วันนั้นฉันคิดจะหนีออกจากองค์กรก็จริง แต่พอคิดว่าไทกิต้องอยู่คนเดียวก็อดสงสารเค้าไม่ได้ ฉันจึงย้อนกลับไปที่ห้อง แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป เคโตะทำลายเธอ ฉันช็อกจนทำอะไรไม่ถูก เลยได้แต่หนีไปตามที่ต่างๆเพื่อทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“แต่คุณก็กลับมา”
“ฉันกลับมาเพื่อสะสางเซกิ ถ้าฉันไม่ยุติเรื่องนี้ จะต้องมีคนอีกมากที่พบโชคร้ายเหมือนเธอ”
คุณแม่วัยสาวเบือนหน้าไปหาลูกรักซึ่งยังคงหลับใหลไม่ได้สติ บาดแผลกับพิษแค่นี้คงไม่ทำให้ไทกิถึงกับตายหรอก ซุยด้วยอีกคน เด็กสองคนกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
“ผมจะพาเค้าสองคนไปที่สถานพยาบาล ที่นั่นมีหมอเก่งๆอยู่หลายคน รับรองอีกไม่นานคุณไทกิต้องลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิมแน่” มิสึกิออกปากอาสา
“ขอบใจจ้ะมิสึ ถ้าไงก็ฝากบอกไทกิจังเค้าด้วยนะว่าแม่คิดถึง”
“คุณริเอะไม่ไปด้วยเหรอครับ”
ริเอะส่ายหน้า “พอเห็นหน้าเค้าทีไรฉันก็อดคิดถึงเคโตะไม่ได้ ฉันยังไม่พร้อมจะเจอเค้าตอนนี้หรอก แต่สักวันหนึ่งเมื่อจิตใจเข้มแข็งขึ้น คนแรกที่ฉันจะมาหาก็คือลูกรักคนนี้แน่นอน”
คุณแม่ประทับจูบบนแก้มลูกรัก จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นภาระของมิสึกิต่อไป
“เห็นมั้ย… ทุกอย่างย่อมคลี่คลายได้” เรียวเฮแอบกระซิบกับคุณพ่อขี้หวง
“มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ย่อมอยู่เหนือกว่าความบาดหมางทั้งปวง” เคียวเปรยเบาๆ
นักฆ่าจอมเจ้าเล่ห์อมยิ้มกริ่ม “ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดมาจากปากคนไร้สัมพันธภาพอย่างนาย”
“ฉันน่ะมีสัมพันธภาพกับคนที่ดีกับฉันเสมอ แต่อย่างนาย… คงต้องรอชาติหน้า”
“โอ๊ย… จะกี่ชาติฉันก็ไม่ขอญาติดีกับนายหรอก คนอะไรขี้เก๊กเป็นบ้า ไม่เมื่อยหน้าบ้างหรือไงฟะ รู้แล้วน่าว่าหล่อ ไม่ต้องมาเก๊กให้ดูตลอดเวลาก็ได้”
นักฆ่ากัดคำนี้เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจนักล่าจนอดยิงตาเขียวใส่มันไม่ได้ แต่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะรู้ดีว่าถ้าเผลอตีฝีปากกับคนขี้ตื๊ออย่างมัน มีหวังสามวันสามคืนก็คงเถียงกันไม่จบ
สองคุณพ่อกับหนึ่งคุณแม่จากไปแล้ว เหลือเพียงภาระที่ให้เหล่าคนหนุ่มสานต่อ
ท้องฟ้าดำทะมึนถูกคลี่คลายด้วยแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง วันคืนที่เลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะมีเพียงวันใหม่ที่สดใสรอพวกเค้าอยู่เท่านั้น…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:11:22
Chapter 36 บทส่งท้าย (The Time of The Rose)

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น… เวลาก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว แต่ผมคิดว่าคงไม่มีใครลืมเลือนเรื่องราวน่าตื่นเต้นระทึกขวัญในวันนั้นได้อย่างแน่นอน
ผมฟื้นขึ้นอีกครั้งในสถานพยาบาลขององค์กร ตามตัวมีแต่รอยเข็มเย็บกับผ้าพันแผลรุงรังไปหมด เวลาเดินไปส่องกระจกทีไรก็อดตกใจไม่ได้ เหมือนเห็นมัมมี่ลูกครึ่งแฟรงเก้นไสตล์ยังไงยังงั้น ถ้าผู้กำกับฮอลีวู้ดมาเจอเข้า เค้าคงจ้างผมไปเล่นหนังหวีดสยองภาคสี่อย่างไม่ต้องสงสัย
เจ้าฮิโระเป็นคนแรกที่หายก่อนเพื่อน แค่สามวันก็ลุกขึ้นมาเต้นเหย็งๆ เขย่าเตียงผมจนปวดหัวจี๊ดๆไปหมด แต่รู้มั้ยฮะ… อะไรที่ทำให้จอมซ่าอย่างมันจ๋อยสนิท ก็ตอนที่มันไปเต้นบนเตียงคาโอรุ แล้วเผลอกระโดดล้มทับไปโดนแผลของคาโอรุจนปริแล้วต้องเข้าห้องผ่าตัดรอบสองนั่นแหละ เจ้าฮิโระก็ซีดสนิท ทำตัวเรียบร้อยผิดหูผิดตาเลย เพราะกลัวว่าคาโอรุจะงอน แค่คาโอรุเค้าก็งอนสั่งสอนมันไปยังงั้นแหละฮะผมว่า อีกไม่นานพอหายดี สองคนนี้ก็คงกลับมากัดกันได้เหมือนเดิม
แต่คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคงจะเป็นพี่โนะอิ รายนี้คุณหมอเพิ่งตรวจเจอโรคหัวใจ เลยได้ผ่าตัดพร้อมๆกับเอากระสุนออกในคราวเดียว ตอนแรกหมอทุกคนก็ส่ายหน้าว่าคงไม่รอดแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริงๆ เพราะวันที่พี่โนะอิผ่าตัดแล้วต้องการเลือด พวกเราแห่กันไปให้หมอตรวจกรุ๊ปเลือดกันใหญ่ แต่กลายเป็นของพี่มิสึกิคนเดียวที่เข้ากับพี่โนะอิได้ และคงเพราะได้เลือดและกำลังใจจากพี่มิสึกิ อาการของพี่โนะอิถึงดีวันคืนขึ้นทุกวัน ถึงจะหลับไปนานถึงสามสัปดาห์เต็มๆ แต่พอเค้าฟื้นขึ้นมาแล้วยิ้มให้พวกเรา ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนั้นพวกเรารู้สึกโล่งอกแค่ไหน โดยเฉพาะพี่มิสึกิที่ยอมเสียน้ำตากอดพี่โนะอิร้องไห้ไม่หยุดเลย
ส่วนซุย… (แอบอมยิ้มนิดๆ) หมอนี่ร้ายมาก แกล้งหลับไปตั้งอาทิตย์กว่า ทำผมเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กว่าจะมารู้ทีหลังว่าโดนต้ม ก็ตอนไปเห็นคาตาตอนแอบซุบซิบวางแผนหลอกผมกับเจ้าฮิโระนั่นแหละ ผมเลยลงโทษไม่คุยด้วยตั้งหลายวัน กว่าจะมาสารภาพผิดได้ก็ท่ามากซะ แต่ตอนนี้เราก็เข้าใจกันดีแล้วฮะ ผมขี้เกียจโกรธใครนานๆ กลัวไอ้ซาตานตัวนั้นมันจะกลับมาครอบงำจิตใจผมอีก ปรื๋อ… คิดแล้วก็ยังสยองไม่หายเลยนะครับเนี่ย

คุณแม่ครับ… คุณแม่ได้เจอเซกิบ้างหรือเปล่า?

ตั้งแต่วันนั้น พอพี่มิสึกิบอกว่าเซกิสำนึกได้และกลับตัวเป็นคนเดิมแล้ว ผมดีใจมากที่สุดเลย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเค้าถึงไม่ยอมเจอหน้าผม ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับเซกิตั้งมากมาย อยากจะขอโทษเค้า อยากได้ยินคำขอโทษจากปากเค้า แต่ทำไม… เค้าถึงไม่ยอมให้โอกาสผมได้ปรับความเข้าใจกับเค้าบ้าง

แม่ครับ…

วันนี้ผมจะไปเยี่ยมพ่อนะครับ พ่ออยู่คนเดียวที่อเมริกานานแล้วคงเหงามาก ผมจะไปขอโทษพ่อ และจะบอกพ่อด้วยว่ารักพ่อมากแค่ไหน คุณแม่เองก็คงอยากบอกคุณพ่อแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ยครับ

                        คิดถึงแม่มากที่สุด
                                 ไทกิ

ปล. ซุยจะเดินทางไปพร้อมผมด้วย แม่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเจอแม่ด้วย ที่โรงแรมไฮบริสตั้น ผมจะรอแม่นะครับ



จดหมายถึงแม่ถูกส่งไปหลายวันแล้ว ตอนนี้เค้ามาอยู่ที่อเมริกา ดินแดนที่เค้าเติบโตมาและถูกขังอยู่ในกรอบของคำว่า ‘ฆ่า’ แต่ตอนนี้เค้าเป็นอิสระแล้ว จึงไม่อยากคิดถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้นอีก
เช้าวันที่สามในลอสแองเจลลิส พวกเค้ามาที่สุสานลับขององค์กรเพื่อมาเยี่ยมหลุมศพของเคโตะ
“นายอยู่คนเดียวได้นะ” ซุยถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับตวัดเสื้อคลุมสวมให้กันหนาว
“อื้ม… ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แถวนี้มีแต่คนของฉันทั้งนั้น รับรองความปลอดภัยล้านเปอร์เซ็นต์”
ไทกิขยิบตาให้ ก่อนจะแอบแวบไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อเงียบๆคนเดียว
หลุมศพของพ่อดูโดดเดี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน ในรัศมีสองร้อยเมตรนอกจากต้นไม้กับสวนดอกไม้แล้วก็ไม่มีหลุมศพของคนอื่นอีกเลย
‘พ่อเป็นผีคงเหงาน่าดูเนอะ ไม่มีเพื่อนคุยเลยสักคน’
ไทกิแอบคิดเล่นๆในใจ ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วเอื้อมมือไปลูบป้ายหลุมศพที่สลักชื่อพ่อ


THE GREAT OF THE RED
                     
    NOMURA KEITO


“พ่อ… ผมกลับมาแล้วนะ”
เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก
“พี่มิสึกิเล่าความจริงทุกอย่างให้ผมฟังแล้ว ตอนแรกผมก็โกรธพ่อมากที่ทำกับเซกิขนาดนั้น เซกิเค้าไม่เหมือนผมกับพี่มิสึกิ เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่ยังต้องการไล่ล่าความฝันของตัวเองและรักใครสักคน ในวันที่พ่อทำลายเค้าผมถึงเข้าใจดีว่าเซกิจะเสียใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็โทษพ่อไม่ได้… เพราะผมรู้ดีว่าเวลาที่ปีศาจนั่นครอบงำและผลักดันให้เราทำอะไรสักอย่างที่เราไม่อยากทำ มันเจ็บปวดซะจนผมเองอยากจะฆ่าตัวตายตั้งหลายครั้ง”
ไทกิปาดน้ำตาที่เริ่มจะปริ่มๆตรงขอบแก้ม
“พ่อก็แค่อยากหนีจากความเจ็บปวดทุรนทุรายถึงทำกับเซกิแบบนั้น แต่ว่า… หลังจากนั้นล่ะครับ พ่อทำเพื่ออะไร” ไทกิข่มตาลงเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล “เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าใจความคิดของพ่อ จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยเข้าใจ ผมสงสัยมาตลอดว่าที่พ่อแต่งงานกับแม่และอยู่ด้วยกันจนกระทั่งมีผมเกิดออกมา ในเสี้ยวหัวใจของพ่อเคยรักแม่กับผมบ้างมั้ย นั่นเป็นสิ่งที่คาใจผมมาตลอด แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้คำตอบนั่นอีกแล้ว เพราะคุณแม่บอกว่า ‘ไม่ว่าพ่อจะรักแม่หรือไม่ แต่ทุกๆวันที่แม่ได้อยู่กับพ่อ แม่มีความสุขมากที่สุด’ ผมจึงเลิกค้นหาคำตอบและยอมปล่อยวางทุกอย่าง เพื่อให้ความทรงจำที่เหลือระหว่างพ่อกับผมมีเพียงรอยยิ้มและความสุขเหมือนอย่างที่แม่จดจำเท่านั้น”
ไทกิปาดน้ำตาแล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะวางช่อกุหลาบดอกโตไว้หน้าหลุมศพ ความในใจทุกอย่างได้พูดออกไปหมดแล้ว ถึงแม้คนที่ตายไปแล้วจะไม่ได้ยินอีกเลยก็ตาม
“ผมรักพ่อนะครับ”
ไทกิก้มหน้าจูบบนหลุมศพแผ่วเบา
“และก็… วันหลังผมจะมาเยี่ยมใหม่”
กุหลาบแดงยืดตัวขึ้นเดินหันหลังกลับ แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีในชุดสูทสีขาว พร้อมช่อดอกลิลลี่สีขาวในอ้อมแขน เค้าก้าวเข้ามาต่อหน้าหลุมศพเคียงข้างไทกิ คุกเข่าลง วางดอกไม้ใกล้ช่อกุหลาบแดง หลังจากนั้นก็ทำการคำนับตามแบบธรรมเนียมญี่ปุ่น ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอึ้งกิมกี่อยู่กับที่
“เซกิ?”
ไทกิต้องขยี้ตาหลายรอบเพราะกลัวว่าจะโดนผีอำกลางวันแสกๆ แต่ภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่หายไป นี่ต้องเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน เซกิกลับมาแล้ว… กลับมาแล้วจริงๆ
“ลูกน้องผมบอกว่าคุณไทกิอยู่ที่นี่ ผมก็เลยแวะมาดู คุณไทกิสบายดีนะครับ” เซกิทักทายเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงแฝงความห่วงใย เพราะยังคงลอบมองอาการบาดเจ็บของไทกิตลอดเวลา
“เซกิ… ฉะ… ฉัน…” ไทกิพูดไม่ออก ทั้งๆที่คิดไว้ว่าพอเจอหน้ากันต้องมีเรื่องให้คุยมากมายก่ายกอง แต่แล้วพอเอาเข้าจริงๆกลับพูดไม่ออก ใบ้กินซะอย่างนั้น
“ผมน่ะพยายามลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ วันนี้ที่มาพบคุณไทกิเพราะมีบางเรื่องที่อยากจะบอก” เมื่อผู้นำไม่พูด เซกิก็เลยชิงตัดหน้าพูดก่อน “ผมจะขอสละตำแหน่ง White Lily และปลอดตัวเองไปอยู่สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณไทกิจะอนุมัติให้ผมได้มั้ยครับ”
“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้... สิงคโปร์น่ะเหรอ?” ไทกิถามกลับ พื้นที่แถวนั้นเค้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนน้อยมากจึงไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่
เซกิส่ายหน้าพร้อมกับอมยิ้ม “เมืองไทยน่ะครับ ผมอาจจะไปอยู่บนภูเขาหรือไม่ก็เกาะไหนสักเกาะ”
“เมืองไทยเนี่ยนะ! กันดารจะตาย นายจะอยู่ไหวเร้อ” ไทกิทำหน้าเบ้
“หึๆๆ คุณไทกิไม่รู้อะไร เมืองไทยสวยมากนะครับ ตอนที่คุณไม่อยู่ผมแอบไปเที่ยวบ่อยๆ ทุกครั้งที่ได้ไปยืนใต้แสงแดดบนชายหาด มันทำให้จิตใจของผมสงบลงได้อย่างประหลาด”
ไทกิทำตาซึม ป่านนี้ก็คงจะรั้งไม่ได้แล้วสินะ คนเราเมื่อพบกันก็ต้องจากลา เพียงแต่ครั้งนี้มันออกจะกะทันหันเกินไปหน่อย ถึงยังทำใจไม่ได้
“แล้วเซกิจะไปนานแค่ไหนล่ะ?”
“ยังไม่รู้… อาจจะเป็นตลอดชีวิตก็ได้”
“เซกิ!” ไทกิผวาคว้าข้อมือเพื่อนที่ดีที่สุดเอาไว้ เซกิเข้าใจความหมายเลยเอื้อมมือขึ้นไปลูบหัวน้องรักเบาๆ
“ผมก็บอกว่าแค่อาจจะ… บางทีถ้าสบายใจเมื่อไหร่ก็ผมอาจกลับญี่ปุ่นก็ได้”
“สัญญานะว่านายจะกลับมา”
คำขอร้องของไทกิทำให้เซกินิ่งไป เจ้าตัวทำท่าคิดหนัก ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วพยักหน้ารับเนิบๆ
“ผมต้องไปแล้ว ไฟลท์แรกที่จองไว้จะออกตอนเก้าโมงเช้า นี่ก็อีกแค่ชั่วโมงเดียว ผมไม่อยากตกเครื่อง ขอลาคุณไทกิตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
เซกิโค้งตัวคำนับโดยไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสที่จะให้ไทกิบอกลา เค้าเดินหันหลังจากไปเงียบๆ แต่ยังไม่ทันพ้นจากทางเดินเค้าก็หยุด แล้วพูดคำๆหนึ่งกับไทกิเบาๆ
“ขอโทษ”
คำพูดเพียงคำเดียวที่ทลายกำแพงทุกอย่าง ไทกิพุ่งสุดตัวไปกอดพี่ชายที่เค้ารักมากที่สุดเอาไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบแก้มโดยไม่คิดที่จะกลั้นเอาไว้
“นายไม่ไปไม่ได้เหรอ ฉันอยากให้เซกิอยู่ด้วยกันจริงๆนะ ฉันฝันมานานแล้วว่าเราสามยมทูตจะได้อยู่กันพร้อมหน้า แต่แล้วทำไมนายจะต้องไปด้วย ฮือๆๆๆๆ”
มืออุ่นๆเอื้อมมาจับแขนคนดื้อที่กอดเค้าไว้ “เพราะผมมีความฝันไงครับ คุณไทกิเองก็มีความฝัน คุณต้องเข้าใจความรู้สึกของผมอยู่แล้ว”
ไทกิมองลึกเข้าไปในดวงตาสีอิฐที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ก็เข้าใจในทันที เค้ายอมปล่อยมือข้างนั้นไป พร้อมกับบอกลาด้วยรอยยิ้มที่มาจากส่วนลึกของจิตใจ
“ฉันจะไม่ปลดนายออกจากตำแหน่ง White Lily หรอก เพราะตำแหน่งนี้มีเพียงนายคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม แต่จะลงโทษให้นายไปฟื้นฟูสาขาที่เมืองไทยให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับสาขาที่อเมริกาหรือญี่ปุ่นให้ได้ และถ้าทำได้เมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาให้ฉันเห็นหน้า แบบนี้ตกลงมั้ย”
นั่นเป็นเงื่อนไขที่เซกิไม่เคยคิดมาก่อน ไทกิก็ยังเป็นไทกิ… ที่มีเรื่องให้เค้าแปลกใจอยู่เสมอ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่คุณก็อย่าลืมนะว่าผมน่ะระดับไหน อีกห้าปีสิบปีเกิดสาขาเมืองไทยยิ่งใหญ่กว่าญี่ปุ่น ผมไม่รู้ด้วยนะ”
“โอ๊ย… ข้ามศพฉันกับมิสึกิไปก่อนเถอะ แล้วค่อยโม้”
สองคนจับมือล่ำลากัน จากนั้นลิลลี่สีขาวก็ออกเดินทางสู่บ้านที่อบอุ่นหลังใหม่ของเค้า

ไทกิยืนอยู่เหนือสวนดอกไม้หลากชนิด กุหลาบ ลิลลี่ เดซี่ ทิวลิป ซากุระ และอีกมากมายที่ไม่เข้ากันเลย แต่สุดท้าย… พวกมันกลับมาอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว
“คิดอะไรอยู่ ฮึ?” คนชอบฉวยโอกาสแกล้งเข้ามาโอบทางด้านหลัง “อย่าบอกนะว่าคิดถึงไอ้บ้าที่เพิ่งจากไปเมืองไทย บอกไว้ก่อนว่าฉันหึงจริงๆด้วย”
ไทกิแจกศอกเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้ “แอบฟังคนอื่นเค้าคุยกันยังไม่พอ ยังคิดมากไม่เข้าเรื่อง แบบนี้ฉันหนีไปเมืองไทยกับเซกิดีมั้ยนะ”
ไอตัวดียักคิ้วกริ่ม แต่อีกคนไม่รับมุกด้วย มันสลัดแขนออกแล้วเดินงอนไปซะดื้อๆ
“เฮ้ย! ซุย!” ไทกิรีบวิ่งทั่กๆตามไปง้อ “นี่นายโกรธจริงป่าวเนี่ย ไม่เอาน่าพี่… ฉันก็แค่พูดเล่นๆ อย่าจริงจังนักสิ”
ไอ้ตัวดีทำหน้าจืดสนิท ก็คุณชายสายน้ำแกเคยโกรธใครเล่นๆซะเมื่อไหร่ ยิ่งทำหน้าตาขึงขังแบบนี้ด้วย ไทกิชักจะเสียวสันหลังขึ้นมาตะหงิดๆ
“ฉันก็แค่ไม่ชอบให้นายอยู่กับใครนอกสายตาฉัน”
“ก็ถ้าไม่ชอบ… ต่อไปไม่ทำแล้วก็ได้” เจ้าตัวดีทำเสียงอ่อยๆ
“แน่นะ?” ซุยใช้เสียงเข้มคาดคั้น
“แน่สิ… ถ้าซุยไม่ชอบฉันไม่ทำก็ได้ นายอยากให้ทำอะไรก็บอกมา ฉันยอมทำให้หมดเลย” คราวนี้ไทกิยอมทุ่มหมดตัว จะใจแข็งไม่ยกโทษก็ให้มันรู้ไปสิน่า
“งั้นเข้ามาใกล้ๆซิ”
คนขี้เก๊กยังเก๊กมาดดุ จนไทกิต้องยอมขยับเข้าไปใกล้โดยไม่เต็มใจ
“ใกล้กว่านี้อีก ยืนห่างขนาดนั้นแล้วฉันจะบอกนายได้ยังไง”
“โอ๊ย… อะไรกันนักกันหนาเนี่ย” ไทกิเกาหัวแกรกๆ แต่ก็ยอมเดินเข้าไประชิดตัว “เอ้า! มีอะไรจะบัญชาก็รีบๆพูด… อื้ม!?”
เสียงโวยวายถูกดักไว้ด้วยริมฝีปากอุ่น มันเล่นฉวยโอกาสทีเผลอคว้าเอวบางไปกอดไว้แน่น ก่อนจะบรรจงจูบอย่างหวานซึ้งที่สุด ดวงตาสองคู่สบประสาน บ่งบอกความในใจโดยไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก มือเล็กๆจึงค่อยถือวิสาสะป่ายปีนขึ้นไปโน้มคอคนขี้เก๊กลงบ้าง จูบมอบประสานความรักของกันและกันต่อหน้าความยินดีของดอกไม้ทั้งมวล

สีดำ… แห่งการพิทักษ์
สีขาว… แห่งความบริสุทธิ์
สีแดง… แห่งความรักนิรันดร์

Red Rose จะอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล…
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: อัพเดต 22/4/08 เพิ่มตอนใหม่ 4 ตอน ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:13:54
Special Chapter Snowflake (Mizuki X No-i)

ทั้งสองคนยังทำงานอยู่ที่สภาพิเศษจนค่ำ สมาชิกคนอื่นๆกลับหอกันหมดแล้ว แต่งานของหัวหน้าซีเนียร์ก็ยังไม่เสร็จ
มิสึกิเหลือบตามองที่เก้าอี้ตรงกันข้าม งานของเค้าเสร็จแล้วและกำลังเก็บเข้าแฟ้ม แต่ทางโน้นสิน่าเป็นห่วงเพราะกำลังเร่งทำงานจนหน้าเครียดใหญ่เลย
“ผมว่าพี่เก็บไว้ทำพรุ่งนี้บ้างก็ได้นะครับ งานมันไม่หนีไปไหนหรอก”
“ไม่ได้!” คนดื้อปฏิเสธเสียงเด็ดขาด “ฉันไม่อยากให้มีงานค้าง นายจะกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันเหลือตรวจทานอีกแค่ประมาณสามสิบหน้าก็เสร็จแล้ว”
สามสิบหน้า!! พระเจ้า… ขนาดช่วยกันทำทั้งสภายังใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง แต่นี่พี่แกเล่นบอกว่า ‘แค่สามสิบหน้า’ รุ่นน้องสุดจะทนจนต้องเดินอ้อมไปแย่งงานมาจากมือรุ่นพี่คนเก่ง
“พอเถอะพี่โนะอิ นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วนะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“ไม่!” รุ่นพี่ยังดื้อไม่เลิก คว้างานกลับคืนมาทำต่อ
มิสึกิพยายามข่มใจนับหนึ่งถึงสิบ โอบแขนอ้อมไปวางไว้บนหัวไหล่อีกด้านเพื่อไม่ให้จำเลยหนีพ้น
“ไม่ไปด้วยกันแน่นะ… พี่รู้มั้ยผมนะเวลาหิวมากๆจนหน้ามืดแล้วอยากกินอะไรมากที่สุด”
โนะอิชักจะร้อนๆหนาวๆ ทั้งสายตาท่าทางของมันเอาจริงแน่ ไม่ใช่แค่จะขู่เล่นๆซะแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังวางฟอร์มทำดื้อจนถึงที่สุด
“นายอยากไปก็ไปสิ ขาไม่ได้ติดกันซะหน่อย”
“เหรอ” มิสึกิยักคิ้วกริ่ม ก่อนจะโน้มลงไปกระซิบใกล้ๆ “งั้นจะช่วยให้มันติดกันซะทีดีมั้ย”
แขนที่มีกำลังเหนือกว่าฉุดกระชากลากถูร่างบางมาที่โซฟา ก่อนจะผลักลงไปแล้วกดจนดิ้นไม่หลุด
“คิดจะทำอะไรมิสึกิ!!”
“ผมรู้ว่าพี่เก่ง ชอบบ้าพลังโหมงานไม่ยอมเลิก ผมก็แค่อยากช่วยลดความดื้อด้านของพี่ลงบ้างก็เท่านั้น ถ้าหมดแรงเมื่อไหร่คงยอมกลับไปพักดีๆใช่มั้ย”
“นี่! นายพูดอะไร?”
คราวนี้คนหน้าด้านฉีกยิ้มกว้าง “ก็ทำอย่างที่เคยสัญญาไว้ ต่อจากคราวที่แล้วไงครับ”
ร่างสูงใช้การกระทำแทนคำตอบ บดเบียดร่างกายเข้าไปแทรกระหว่างเนื้อที่นุ่มนิ่ม มือเร่งปลดกระดุมอย่างว่องไวแล้วจูบลงไปบนแต้มสีแดงปลั่ง แรงดึงดูดจากริมฝีปากทำให้อีกข้างแข็งขืนขึ้นมาโดยอัตโนมัติแม้จะยังไม่ได้รับการสัมผัสก็ตาม
“อา… อย่านะ! นายก็รู้ว่าร่างกายฉันเป็นยังไง คิดจะฆ่ากันหรือไง” โนะอิโอดครวญและหวังอย่างยิ่งว่ามันจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่
“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ลิมิตของพี่ดี ทุกอย่างจะจบก่อนที่พี่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ”
คำมั่นสัญญาที่ให้พร้อมกับความสุขที่ปรนเปรออย่างเต็มที่ โนะอิเริ่มตาลาย หัวใจเต้นรัวหนักหน่วงราวกับเครื่องจักรที่กำลังโหมทำงานอย่างหนัก มือหยาบกระด้างล้วงลึกเข้าไปสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ตรงแกนกลางจนกระทั่งมันตื่นตัว มือเล็กๆผวาจิกขอบโซฟาไว้แน่นตอนที่ขาเพรียวถูกแยกออก แล้วบางอย่างก็ล่วงล้ำเข้ามาข้างในจนช่องทางแทบขาดยับเยิน
“เจ็บ…”
โนะอิกัดฟันแน่นน้ำตาเอ่อคลอ ร่างกายที่บอบบางอยู่แล้วกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง สัมผัสนั้นแนบแน่นเกินไป และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะฝืนทำต่อไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“เอาออกไปเถอะมิสึกิ ฉันขอร้อง” รุ่นพี่กัดฟันอ้อนวอนอีกหน แต่พอลืมตามองหน้าคู่กรณีก็แทบจะเปลี่ยนใจกะทันหัน มิสึกิทำสีหน้าหน้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งหวานทั้งรัญจวนจากรสแห่งความสุขที่ได้รับ ร่างที่พันธนาการโน้มลงมาช้าๆ ยืนยันคำพูดที่ได้ลั่นวาจาไว้
“ถ้าเราสองคนทำพร้อมกัน อีกไม่นานก็จะจบแล้ว อดทนหน่อยนะ… โนะอิ”
ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ ก่อนจะหลับตาลง แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวใจเรียกร้องต้องการ มือกร้านขยับสะโพกมนเข้ามาประชิด บดเบียดความแข็งขืนเข้าไปจนสุด ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ส่วนหน้าของร่างบางตามความยาวจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมที่จะปลดปล่อย สะโพกที่แข็งแกร่งขยับเข้าออกเป็นจังหวะ เพิ่มความเสียวซ่านจนร้อนระอุไปทั่วทั้งบริเวณที่เชื่อมชิดติดกัน
“อ๊ะ! อา…”
ร่างบางส่งเสียงครางแผ่ว ทั้งความเจ็บปวดและความสุขสมกำลังจะฆ่าเค้าให้ตายทั้งเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ยังขยับสะโพกรับจังหวะตามทุกครั้ง แท่งเนื้อหนาๆผ่านเข้าออกจนส่วนที่บอบบางที่สุดชอกช้ำ ไม่นานนัก… เมื่อคนที่อยู่ข้างบนกระแทกตัวเข้ามาจนสุด เค้าก็รู้สึกถึงไออุ่นๆที่พุ่งพล่านอยู่ข้างใน พร้อมๆกับความอุ่นที่ไหลเยิ้มออกมาจากส่วนปลายในกำมือของใครบางคน
“อื้อม”
มิสึกิซบหน้าลงไปแนบกับแก้มนิ่มๆของรุ่นพี่ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่รัวชัดเจนราวกับเสียงกลองในงานเทศกาลไม่มีผิด ร่างกายทั้งคู่ยังคงแนบชิดติดกันทั้งๆที่ร่างบางหอบจนแทบจะโกยอากาศเข้าปอดไม่ทันอยู่แล้ว มิสึกิยิ้มบางๆ ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตเพื่อแบ่งอากาศให้คนรักได้หายใจสะดวกขึ้น
“ทำไม… ถึงไม่ออกไปซะทีล่ะ” โนะอิเปรยถามตอนที่ค่อยๆคลายจากความทรมานจากการโหมใช้งานหัวใจอย่างหนัก มองดูบางส่วนที่ยังค้างคาอยู่ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก
“ก็ผมอยากอยู่ตรงนี้นานๆนี่นา” คนเจ้าเล่ห์ส่งเสียงออดอ้อน พร้อมกับโอบแขนกอดรอบเอวบางแน่นขึ้น “อีกอย่าง… อยากให้มั่นใจด้วยว่าพี่จะไม่ดื้อกลับไปทำงานอีก”
“งั้นก็ออกไปเถอะ ฉันไม่ทำแล้ว”
“แน่นะ” มิสึกิหันมาคาดคั้นอีกรอบ
“ก็แน่น่ะสิ คิดว่าฉันในสภาพนี้จะทำอะไรได้อีกหรือไง”
มิสึกิยิ้มแป้น แล้วยอมถอนตัวออกมาในที่สุด จากนั้นหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาดส่วนที่เลอะเทอะให้
“มะ… ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันทำเอง” โนะอิรีบปัดมืออกเพราะเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ผมช่วยจะถนัดกว่านะ” คนหน้าด้านยังเช็ดต่อ แล้วฉุดร่างบางไว้ไม่ให้หนีอีกด้วย
“อ๊ะ!” ร่างบางต้องกัดฟันอีกรอบ ตอนที่นิ้วเรียวของอีกฝ่ายแทรกเข้าไปข้างใน แล้วถ่ายเทน้ำที่ยังค้างอยู่ออกมาจนหมด
พวกเค้าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดการตัวเองและห้องจนกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
“จะกลับหอเลยมั้ย ผมจะไปส่ง” มิสึกิชวน
“ไม่ล่ะ… ฉันจะทำงานต่อ”
“หา!!” รุ่นน้องขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ที่เค้าอุตส่าห์ทำมาทั้งหมดยังสลายพลังงานของพี่แกไม่ได้อีกหรือไงเนี่ย
โนะอิส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ฉันล้อเล่นน่า ก็แค่จะหยิบไปทำต่อที่หอสักสองสามหน้าเท่านั้นแหละ ฉันยังอยากตายเพราะงาน ดีกว่าตายเพราะถูกนายแกล้ง”
“งั้นก็แล้วไป คิดว่าจะต้องลงมืออีกรอบซะแล้ว”
“ฝันเหอะ…” คนดื้อท้าทาย ก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มงานบางส่วนใส่กระเป๋า
มิสึกิปราดเข้ามาใกล้ ฉุดข้อมือขาวๆเดินลงจากตึกไปด้วยกัน ท่ามกลางทางเดินที่เงียบสนิท ยังมีเกล็ดหิมะบางๆโปรยปรายลงมาให้ชื่นฉ่ำหัวใจ
รุ่นน้องตัวดีแอบอมยิ้ม ใครบอกหิมะเย็นชืด… อันที่จริงอบอุ่นและหวานมากเลยต่างหาก


*-----*-----*-----*-----*-----* THE END *-----*-----*-----*-----*-----*
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 17-05-2008 14:18:34
 :m13: หวัดดีค๊าบ ผมลงเรื่องนี้ให้จบแล้วนะค๊าบ

ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจ
ขอบคุณคุณ foggy ที่อนุญาตและส่งเรื่องผ่านทางเมลล์มาให้
ขอบคุณเล้าเป็ดที่ให้บันทึกเรื่องดีๆจากนักเขียนดีๆ
ขอบคุณค่า น้ำค่าไฟด้วยงับ


ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-05-2008 01:35:21
ลงทีเดียวจบเลย สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกเลยคับ

ขอบคุณน่ะคับสำหรับนิยายสนุกๆแบบนี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: ren ที่ 18-05-2008 09:34:20
อ่า..มาลงให้จนจบเลย  ขอบคุณมากนะคะที่นำนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน   :m1:

 

หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: poon_magic ที่ 18-05-2008 21:19:02
เคยอ่านเรื่งนี้ในเด็กดีแล้วจ้า  หนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  แต่พออ่านจบก็หาลิ้งค์ไม่เจอ  :sad2:

ขอบคุณที่เอามาลงใหม่น้า :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: hasuzz ที่ 20-05-2008 21:52:10
เคยอ่านเรื่องนี้จากเด็กดีแล้วรอบนึง
แต่ก็มาไล่อ่านรวดเดียวจบอีกรอบ อิอิ ชอบมากมาย

ขอบคุณที่เอามาลงเน้  o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 20-05-2008 22:36:15
รุสึกว่าจะเคยอ่านเรื่องที่  foggy เขียนอะ 

มีเรื่องก่อนเรื่องนี้ จำด้ายว่าสนุกมาก

แล้ว ก็ แต่งก่อน เรื่อง Red Rose

เคยอ่านตอนยุ ที่ เด็กดีอะ


พี่Unn  <ขอเลียกพี่นะ>มีอีกเรื่องที่ foggy แต่งอะปะ

ช่วยเอามาลงให้หน่อยซิ    :m13:


แบบว่าอยากอ่านอะ  แต่ใน เด็กดี เรื่องนี่ ถูกลบ ไปแล้ว

แล้ว ก็ ขอบคุณมากนะค่ะที่เอาเรื่อง นี้ มาลง ให้    :m1:

เพราะมัน หา อ่าน ม่า ค่อย ด้ายแล้ว   :sad2:


 :bye2: :L2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Turn_righT ที่ 21-05-2008 20:29:27
ขอบคุณคนแต่ง คนโพส และผู้ดูแลบอร์ดทุกคนจ้า ที่ทำให้เราได้อ่านเรื่องสนุกๆ 


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: baros ที่ 21-05-2008 20:34:59
 o13เยี่ยมมากครับ อ่านวันเดียวจบเลย :a12:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kwa ที่ 25-05-2008 11:37:02
เพิ่งได้อ่านรวดเดียวจบ

สนุกสุดยอดมากๆ  o13 o13

ชอบทุกคู่เลย (โลภเนอะเรา 55+)
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: RaMin ที่ 31-05-2008 13:14:40
 :m1: :m1: :mc4: :mc4: :m1:
หนุกมากมายเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: singsayam ที่ 31-05-2008 19:39:52
อ่านจบแล้วละหลาน

สนุก มันส์ มีความสุข

ได้ความรู้หลายอย่ากด้วย

แต่งได้ดี ภาษาสวย

ซึ่งแตกต่างกับการแต่งเด๋วนี้

ชอบการใช้ภาษาแบบนี้มากเลยละหลาน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-06-2008 11:56:34
อ่านตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องเด็กมัธยมธรรมดา เลยไม่อ่าน
แต่มีผู้รู้แนะนำมาว่าสนุก มาอ่านใหม่ก็เลยได้รู้ว่า เกือบพลาดเรื่องดีๆ ไปซะแล้ว  :m23:

เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกก    :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: actionzero ที่ 22-06-2008 23:06:16
มันส์ดีครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกที่เขียนให้อ่านกันนะครับ  :a1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: dokebi ที่ 25-06-2008 14:58:07
ขอบคุณคร๊าบบบ อ่านจบแล้วหนุกมากมายครับ
ได้อีกอารมณ์ความสนุก ขอบคุณครับ.... :m24:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: SweetSerenade ที่ 26-06-2008 14:36:39
 :กอด1:

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: faceless!~ ที่ 28-06-2008 16:47:09
อ่านมารอบนึงจากเด็กดี.....

มาอ่านที่นี่อีกรอบ  ของขึ้นนนนนนนน

เฮือกกกก

พี่เค้าช่างเป็นสาววายที่น่านับถือจริง ๆ หุหุ

ปล. โนะอิเป็นอุเคะในอุดมคติ อ๊ากกกกซ์ เลือดพุ่ง :m25:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: N o R n A e ที่ 15-07-2008 04:08:02
 o13

ไมไม่เอาภาค 2  มาลงด้วยอ่ะครับ สนุกไม่แพ้ภาคแรกเลยนะ เพราะไปอ่านมาแล้ว

 :a4: :a4: :a4:

 :a12: ดีกว่าดึกแล้ว  :bye2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 09-12-2008 19:13:27



หวัดดีขอรับ มาอ่านบอร์ดนี้ได้เดือนแล้ว เมื่อเพิ่งสมัครแล้ววันนี้ก็เข้ามา ใช้ เลยมาเม้มเรื่องที่เคยอ่าน เรื่องนี้ชอบมาก ซุย กับ  ไทกิ  ดีใจที่ได้อ่านนะขอรับ ชอบเรื่องนี้ สนุกมากเลย ล่ะ ขอบคุณนะขอรับที่ให้อ่าน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 14-12-2008 10:56:09




หวัดดี  Red Rose  หวัดดีขอรับ คุณ  Foggy  คุณUnn มาเป็นกำลังใจให้ขอรับ คิดถึง ซุย ไทกิ เมื่อวานมีฝนดาวตกด้วยนะ เห็นไปสามดวง ชะมด(ยานพาหนะคู่ใจ)เห็นไปสองดวง คุณ  Foggy   กับ คุณUnn ได้ดูไหมขอรับ อากาศเย็นด้วยนะ ช่วงนี้อากาศเย็น รักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ คุณ  Foggy   กับ คุณUnn และเพื่อนชาวเป็ดทุกคนด้วย

คิดถึงนะ เป็นห่วงด้วย

ขอบคุณที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 26-12-2008 14:34:06
ชะมด : Merry Chirsmas!!~\(≧▽≦)/~  คุณ Foggy คุณ Unn Red Rose  ซุย ไทกิ

kakoku_kin:((((●ω●)))  merry Chirsmas((( ●ω● )))คุณ Foggy คุณ Unn Red Rose  ซุย ไทกิ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: faareeyong ที่ 30-12-2008 20:35:00

เฮ้ๆๆ  อ่านจบสักที 

เคยติดตามมานานแล้วแต่ตอนนั้นไปอ่านในเด็กดีอ่ะ
เพิ่งเจอบอร์ดนี้เลยเม้นนี้ดีกว่าง

เป็นกำลังใจให้น่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 01-01-2009 18:28:41
ชะมด: ~\(≧▽≦)/~ สุขสันต์ปีใหม่ขอรับ คร้าบ คุณ Foggy คุณ Unn Red Rose  ซุย ไทกิ

kakoku_kin:((( ●ω● )))สุขสันต์ปีใหม่ขอรับ คุณ Foggy คุณ Unn Red Rose  ซุย ไทกิ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 20-01-2009 16:11:59
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้

สนุกมากเลยค่ะ

ขอบคุณทั้งคนเขียนและคนโพสต์เลยนะคะ

หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 24-01-2009 22:42:08
kakoku_kin: คิดถึงนะ เป็นห่วงด้วย ซุย ไทกิ  คุณ Foggy
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 25-01-2009 02:28:22
新正如意 新年发财  คุณ Foggy คุณ Unn
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 15-02-2009 00:52:55
สุขสันต์วันแห่งความรักนะขอรับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 20-02-2009 01:48:23
คุณ Foggy คุณ Unn Red Rose  ซุย ไทกิ

มากล่าวราตรีสวัสดิ์ ขอรับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Unn ที่ 22-02-2009 00:45:46
หวัดดีฮะ  หลังจากลงนิยายเรื่องนี้จบไปก็ไม่ได้เข้ามาอ่านเลย

แต่วันนี้รู้สึกคิดถึงก็เลยเข้ามาอ่านซะหน่อย

เห็นรีพลายของทุกๆคนแล้วก็ขอบคุณมากๆนะงับ

Red Rose มีภาค 2 แว้ว ผมส่งเมลไปขอคุณ Foggy แล้ว

แต่ยังไม่ได้รับตอบกลับมาเลย เห็นว่าช่วงนี้คงยุ่ง หรือไม่เมลก็ไปไม่ถึง ยังไงหาติดตามได้ใน dek-d นะงับ


แล้วก็ ถึงคุณ kakoku_kin

ขอบคุณมากนะคับ ที่ชอบนิยายเรื่องนี้ แล้วก็คำขอบคุณ คำอวยพรต่างๆ ก็ขอให้เกิดขึ้นกับ kakoku_kin ด้วยนะฮับ

ซึ้งใจมากๆเลยฮะ    :impress2:   ไงก็ช่วยติดตามนิยายที่ป๋มเขียนด้วยนะงับ ^^

ป.ล. แค่ขอบคุณคงไม่พอ ขอบคุณมากๆเลยนะฮับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 22-02-2009 17:45:07
เรื่องนี้เห็นว่าFogเปิดให้จองหนังสือด้วยนะคะ  ทั้งภาค 1 และภาค 2 เลยน่ะแหละ   (ไอก้อส่งmailไปจองแล้วเหมือนกัน)

ถ้าใครสนใจก้อไปดูตามlinkนี้เลยนะ (ไอคิดว่าอาจมีบางคนที่อยากได้แล้วไม่รู้น่ะ)    :teach:

http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=485271
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 12-03-2009 01:25:49
เป็นอีกเรื่องนึงที่มันส์มากกกกกกกก
อ่านแล้วว่างไม่ลงเลย o13 o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: reu_aha ที่ 26-03-2009 15:20:48
สนุกโฮก

ชอบ *
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 13-04-2009 20:13:59
สุขสันต์ปีใหม่ไทยนะขอรับ

คิดถึงนะ เป็นห่วงด้วย


 :3123:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kaireaw ที่ 30-07-2009 16:45:53
งี๊ดง๊าดดชอบเรื่องนี้มากเลย
ในที่สุดก็จบแล้วแฮปปี้
กว่าจะจบได้ แอบเหนื่อย ลุ้นว่าผลสรุปจะออกมาเป็นยังไง
ชอบฮิโระ แต่บางทีความปากสว่าง ชอบพูดโพล่งออกมาก ก็อยากเตะมันเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ

ไทกิอยากจะแกล้งซุย
สรุปเลยได้กลายเป็นโดนซุยเอาคืนอีกที อิอิ

หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 10-08-2009 09:40:57
มันส์มาก ชอบครับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: poffy ที่ 29-09-2009 03:09:08
 o13 o13 o13 o13
สุดยอดค่ะ อ่านแล้วมันมากๆ
หยุดไม่ได้ต้องมาอ่านยาวจนจบเลยล่ะ
ชอบสองพี่น้องไฮบาระจัง สวย ฉลาด เก่งเป็นเลิศ  :-[
พี่น้องทางฝั่งซุยก็น่ารักดีนะคะ
เลือดสาดมากๆ ทั้งฉากต่อสู้ และฉาก  :m25:
สนุกมากๆค่ะ  :L2:
ขอบคุณคุณ Foggy และ คุณ Unn สำหรับนิยายนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 13-12-2009 20:59:08
มีความสุขได้มาเล่มนึง

เลยนั่งอ่านอีกรอบซะเลย

เพราะพี่ที่เค้าออกทุนให้ Foggy เค้าเก็บไว้ 4-5 เล่ม

ตอนแรกจะเก็บ แต่ก็เอามาปล่อย  :z2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 22-12-2009 02:53:09
รวดเดียวจบเลยค่ะ สุดยอดมากๆ  o13
ค้างเอาไว้เพิ่งมาเจอว่าจะอ่านอยู่ในเฟบ *  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 26-12-2009 02:05:09
Merry Christmas

คิดถึงนะ เป็นห่วงด้วย

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: N19T ที่ 13-01-2010 13:17:58
นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ชอบนะค่ะ เป็นแนวแฟนตาซีเรื่องแรกที่ได้อ่านเลย ( อ่านจบเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้น แต่ยังจำเรื่องราวได้ดี )
ชอบฉายาที่ตั้งให้กับตัวละครค่ะ ไม่ว่าจะเป็น red rose / black sakura / white lilly

อ่านไปตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบ lilly นะ ดูเหมือนว่าทำไมจิตใจโหดร้ายได้ขนาดนั้น
แต่อ่านไปเรื่อยๆ ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ถ้าถูกกระทำแบบนั้นจากผู้ที่เรียกได้ว่า เป็นผู้มีพระคุณ ก็คงจะเจ็บช้ำใช่น้อย
ยังไงก็ตาม สุดท้ายก็ happy กันหมด ... ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันนิยายดีๆ แบบนี้ให้คนอ่านได้ติดตามนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 17-01-2010 01:19:11
ชอบชอบ

แรงดี

 :impress2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: kangkaw ที่ 20-01-2010 15:37:57
คิดถึงเรื่องนี้และคนแต่งจัง  :กอด1:

คนโพสติดต่อกับ คุณ Foggy อยู่รึเปล่า
ตอนนี้เป็นไงบ้างค่ะ คงสบายดีนะค่ะ

ถ้าใครได้ติดต่อยังไง ฝากขอบคุณ สำหรับเรื่องสนุก ๆ ที่ได้อ่านค่ะ  และหวังว่าคงมีโอกาสได้เห็นผลงานของ คุณ Foggy
อีก  เป็นกำลังใจและเฝ้ารอค่ะ (ถ้าลงผลงานที่ไหนใครรู้บอกมาหน่อยก็จะขอบคุณมากค่ะ)   :pig4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 04-05-2010 17:41:46
ขอบคุณนะคะทั้งคนเเต่งเเละ คนโพสต์ สนุกนะคะ ได้ลุ้นกันเกือบทุกช็อต เด็กๆเเรงดีกันมากเลย 55+++ เเต่เราว่า เซกิ น่าสงสารนะ มากๆเลยด้วยเเต่มันก็ยังไม่สายที่เค้าเริ่มต้นใหม่ได้  ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: PaTtO ที่ 06-05-2010 16:22:49
เรื่องนี้มีภาค2ด้วยนี่นา
พึ่งจะอ่านภาคสองได้ตอน2ตอนเอง
ว่าแล้วก้อไปตาหาดีกว่า
 :oni2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: jincool ที่ 22-05-2010 21:38:50
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุก ๆ

มัน.....สุดยอดมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: shirakao ที่ 07-10-2010 01:37:33
อยากบอกว่าปลื้มมากๆ ไม่คิดว่าจะได้อ่านนิยายของ พี่ foggy อีก

ขอบคุณมากๆนะคะที่นำมาให้อ่านแฮปปี้มากๆเลยค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Rina ที่ 07-10-2010 16:34:46
ว้าวเราไม่ได้อ่านเรื่องนี้นานมากแล้ว เป็นปีได้มั้ง
แต่อ่านกี่ทีก็ยังสนุกเหมือนเดิมเรื่องนี้
ขอบคุรนคะที่เอามาลงใหม่ให้ได้อ่านอีก
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: ovam ที่ 16-10-2010 21:46:28

ขอบคุณคร้าบบ ,,


    :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: tidawan ที่ 28-10-2010 15:08:00
       

               o13     สนุกจังเลยค่ะ    :bye2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 28-10-2010 20:13:35
เยี่ยมมากกกกกก   เรื่องนี



สนุกสุ้ดๆๆๆ o18
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: phoeniix ที่ 30-10-2010 11:06:34
ชอบ ชอบบ ชอบ มากกกกกกๆๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 03-11-2010 10:30:20
เล่นซะเครียดไปเลยอ่ะ...หลาย ๆ ตอนเขียนได้บีบอารมณ์มาก แต่โดยรวมสนุกค่ะ  :man1:
ภาษาก็ดี...ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะคะ :กอด1:

แอบข้องใจ...เคโตะรักเซกิ? :L2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: crazythe ที่ 03-11-2010 22:55:19
หนุกมากๆเลยค่ะ เห็นว่ามีภาค2ด้วยนี่ ไปหาอ่านบ้างดีกว่า  o13

อยากแต่ให้ได้อย้างนี้บ้างจัง แต่คงอีกนาน55+

 :z13:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 05-11-2010 18:21:28
ขอบคุณทั้งคนแต่งและคนที่เอามาลงให้อ่านกันนะคะ  :call:

สนุกมากๆเลยค่ะเรื่องนี้ทั้งหมดน่ารักมากๆเลย ไทกิช่างกวนได้ใจมากๆ 

หากยังติดต่อผู้เขียนอยู่ฝากบอกขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆด้วยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 08-11-2010 19:49:58
สนุกมากค่ะ อ่านไปได้ 20 ตอน ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 13-02-2011 20:38:43
โอ้ว..ว...จบกินใจ ทั้งสนุก มันส์ และ :jul1:  ติดตามอ่านตั้งแต่อยู่เว็ปเด็กดี และก็โดนแบนไป=_= อ่านแล้วอ่านอีกค่ะ สนุกมากๆ หวังว่าไรเตอร์จะมีนิยายใหม่ๆ มาลงณ สวรรค์สีม่วลัลล้า..ต่อไปนะคะ.. o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: fayala ที่ 15-02-2011 21:18:08
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เรื่องนี้สนุกมากกกกกก..!! เราไปอยู่ไหนมานะ ถึงพลาดเรื่องดีๆ แบบนี้ไป
มีครบทุกอารมณ์เลยค่ะ ทั้งเลือดทั้งน้ำตาท่วมจอเลยทีเดียว
ขอบคุณคนแต่งและคนคโพสท์มากๆ เลยนะคะ ที่ให้เราได้อ่านนิยายดีๆ แบบนี้
+1 ให้จากใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: coffin ที่ 07-05-2011 20:58:52
สนุกมากๆๆอะ o13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Nineน้อย ที่ 01-07-2011 19:07:07
เพิ่งได้อ่านรวดเดียวจบ สนุกสุดยอดมากๆ 

ชอบทุกคู่เลยครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดีแบนี้นะคร้าบ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: maykiz ที่ 09-08-2011 14:00:01
เป็นเรื่องที่สนุก ตื่นเต้น มากๆเลย ชอบค่ะชอบ ^^
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 10-08-2011 14:34:14
ลุ้นกันมันส์หยด
หนุกหนามมากมาย
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 10-08-2011 22:15:28
สนุกมากๆเลยคะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Kirins ที่ 11-08-2011 13:14:30
ขอบคุณจ้า สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: 20227ple ที่ 25-08-2011 22:12:55
สนุกมากค่ะ o13
อยากอ่านเเนวนี้มานานแล้ว o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 01-09-2011 02:02:28
อ่านกี่รอบก็ยังสนุก ^^
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: luna22 ที่ 01-09-2011 09:41:23
ชอบเรื่องนี้มากๆ เคยอ่านใน เด็กดี
อยากได้หนังสือจัง T_____________T
ไม่รู้ว่า จะเปิดพิมพ์ใหม่อีกมั้ยน้อ ?
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 28-12-2011 13:42:46
 


:pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 29-12-2011 10:41:31
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: babydolldreamer ที่ 31-12-2011 14:10:29
มาอ่านจบวันสุดท้ายของปี 555  :m1:

สนุกมากค่ะ ชอบคาโอรุ ฮิฮิ  :กอด1:

ปล.สุขสันต์วันปีใหม่จ้า  :mc4:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: The_Beggar ที่ 08-03-2012 00:23:04
 :m25: :m25: :m25:บอกได้คำเดียว...มันยอดมาก~ ชอบเรื่องนี้สุดๆ :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: The_Beggar ที่ 09-03-2012 23:44:00
เรื่องเป็นboy loveที่ข้าพเจ้าปลื้มมากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องสนุก มีฉากหวานบ้าง แล้วก็มีเรื่องให้ลุ้นและเซอร์ไพร์ตลอดทั้งเรื่อง
อ่านมาหลายรอบแล้วก็ยังไม่เบื่อ
อยากให้คนเขียนกลับมาแต่งอีกครั้งจังค่ะ
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: ร้ายนะครับ ที่ 20-04-2012 23:09:15
ซากุระคะ น่ารักๆ><
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: run2522 ที่ 05-06-2012 14:26:31
 :L2: :L2: :กอด1: :กอด1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: เรื่องนี้สนุกมากๆขอบคุณคร้าบบบ :L2: :L2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: sylvia ที่ 25-03-2013 08:19:58
 o18 o18>.,<;  เข้ามาอ่านรอบเดียวจบ  ยาวได้ใจมากๆ ค่ะ  สนุกมากๆ เลย  อยากอ่านภาค 2  :L2: :L2: :L2: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 28-03-2013 12:54:15
จบแล้ว......

ขอบอกว่าทุกคนถึก อึด ทน กันมากๆ

ขนาดโดยสารพัดเลือดสาดกระจายยังไม่ตาย

แต่ก็ดีใจขอรับที่ไม่มีใครเป็นอะไร

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปัน
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: -Blackcloud- ที่ 28-03-2013 21:11:46
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกก :ling1:

อยากอ่านภาค2เหมือนกัน มีมั้ยยย :impress2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 29-03-2013 17:56:51
อั๊ยๆ ถูกใจอยากให้มีภาคต่ออีกจังเลยยยย (ถ้าหากมี)
ชอบตัวละครทุกตัวน่ารัก
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 01-04-2013 16:58:24
 :katai2-1: เราประทับใจเรื่องนี้มาก สนุกมากๆ ลุ้นๆตลอด อยากอ่านตอนพิเศษอ่ะ มีอีกมั้ยคะ??? (:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-04-2013 03:07:23
สนุกมากเลย อ่านรวดเดียวจบ
ชอบคู่โนะอิกับมิซึกิที่สุด
คู่นี้น่ารักมาก
เหมือนๆคู่ยูกับแฝดเลย

หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 05-04-2013 23:08:16
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 10-01-2015 00:01:11
สนุกมากเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: idemonize ที่ 25-05-2015 00:08:43
ขอบคุณที่เอามาลงไว้ในนี้นะคะ ตามเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กดีแล้วพอจะเข้าไปอ่านอีกทีคุณ foggy ก็ได้ทำการลบไปซะแล้ว เราชอบเรื่องนี้มากเลยเป็นเรื่องแรกที่อ่านแล้วไม่เบื่อมีอะไรให้น่าติดตามมาก ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆค่ะ  o13 o13 o13 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 29-05-2015 19:25:45
พึ่งจะเคยอ่านครั้งแรก
พลาดไปได้ยังไงเนี้ย

สนุกดีคับ ตื่นเต้นดี สงสารตัวละคร ทั้งไทกิ และเซกิ
ชอบคู่ยูกับฝาแฝดด้วย น่ารักดี

ขอบคุณที่เอามาลงในเล้าให้นะคับ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 16-03-2016 18:30:58
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 23-03-2019 15:27:13
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 14-07-2021 00:13:52
 o13
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmiku ที่ 19-07-2021 15:38:08
สนุกดี แม้บางอย่างมันไม่สมเหตุสมผล แต่ด้วยความแฟนตาซี เราก็จะปล่อยมันไป ขอบคุณผู้แต่งจ้า
หัวข้อ: Re: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-08-2021 19:03:57
 :pig4: :pig4: :pig4: