Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::  (อ่าน 84386 ครั้ง)

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #30 เมื่อ07-02-2008 14:05:14 »

ตามก้นพี่เรย์ กะเพื่อนสาวมูมู่  มาติดๆ

เอ  หรือจะถอยห่างไปอีกนิดดีหว่า

อิอิ

เอาเรื่องมาลงต่ออีกนาเคอะคุณน้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  :mc4:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #31 เมื่อ07-02-2008 17:42:53 »

 :m22: Chapter 12 Black Sakura

จากข้อมูลของคาโอรุ… ซุยกับมาซาฮิโกะอยู่ห้องเดียวกันที่ห้อง 201 ห้องใหญ่สุดติดบันไดที่ไทกิ
เคยไปอาศัยซุกหัวช่วงปิดเทอม ส่วนมิสึกิอยู่ชั้นสี่ ห้อง 413 กับรูมเมทอีกคน

แต่ทั้งสามคนก็ไม่คิดว่าภารกิจครั้งนี้จะง่ายดายขนาดนั้น ของที่ซ่อนไว้อาจจะไม่ได้อยู่ในห้องพักก็ได้
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือต้องหาผู้พิทักษ์ให้พบก่อน ดวลกันให้รู้ผล แล้วจึงจะมีหวังทวงของเป้าหมายมาได้

“นายแน่ใจนะว่าไม่ไปกับฉัน”
ฮิโระถามไทกิอีกรอบ อันที่จริงมันก็ถามไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากไปผจญชะตากรรมกับเจ้ากับคาโอรุ

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะดวลกับมิสึกิ นายสองคนจัดการซุยกับมาซาฮิโกะให้อยู่หมัดก็แล้วกัน”

“เรื่องนั้นมันแหงอยู่แล้ว” ฮิโระรีบคุยโว

“ระวังตัวด้วยนะไทกิ พยายามอย่าเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้โดยไม่จำเป็น นั่นจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
คาโอรุย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

“ฉันรู้แล้วน่า พวกนายก็ระวังด้วยนะ เอาล่ะ… แยกกันตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หอพร้อมของเป้าหมาย”
ไทกิให้กำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไปในความมืด คาโอรุกับฮิโระก็พร้อมอยู่แล้ว
สองคนไปด้วยกันจนถึงชั้นสอง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปจัดการกับเป้าหมายของตัวเองตามที่ตกลงกันไว้

ชั้นสี่เงียบสนิท… แม้จะมีไฟเปิดสว่างทั่วโถงทางเดิน แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ไทกิงัดวิชาชีพเก่ามาใช้
เค้าเคลื่อนตัวด้วยความว่องไวและเงียบที่สุด จนกระทั่งมาถึงหน้าห้อง 413 เค้าก็ลองบิดลูกบิดประตูเบาๆ ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก แสดงว่าเจ้าของห้องตั้งใจเปิดรอต้อนรับเค้าอยู่แล้ว

ไทกิเผลออมยิ้ม… ท่าทางรุ่นพี่คนนี้อยากจะดวลกับเค้าตัวต่อตัวมากจริงๆแฮะ ไหนๆคนเค้าก็อุตส่าห์
อยากเจอทั้งที จะมัวมาทำลับๆล่อๆก็เสียมารยาท ไทกิจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก เค้าบิดลูกบิดจนสุด
เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผย

แล้ว… ก็เป็นไปอย่างที่คิด
รุ่นพี่สุดหล่อนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับโต๊ะหนังสือ ในห้องไม่มีคนอื่น แสดงว่าคงจัดการไล่รูมเมท
ออกไปนอนที่ห้องอื่นเรียบร้อย มิสึกิส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้แขกนั่ง

“เอ้า… เชิญๆ นั่งพักก่อนสิคุณหนู”
ไทกิยังไม่วางใจ และไม่แน่ใจด้วยว่าตกลงรุ่นพี่คนนี้แกใจดีจริงๆ หรือเป็นแผนที่ทำให้ตายใจกันแน่
แต่ก็ยังยอมเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย

“ตกลงเราจะดวลกันยังไง?” รุ่นน้องสุดแสบไม่อ้อมค้อม สบโอกาสก็รีบถามทันที

“ดวลเหรอ?” มิสึกิขมวดคิ้ว “ไม่เอาน่า… อุตส่าห์ได้เจอกันตามลำพังทั้งที อย่าซีเรียสสิครับคุณหนู
เรามานั่งคุยกันตามประสาพี่น้องดีกว่า”

“แต่… แต่พี่เป็นคนเจาะจงตัวผมนะ ไม่ใช่เพราะจะเรียกมาดวลหรอกเหรอ”
มิสึกิส่ายหน้าย้ำหนักแน่นอีกครั้ง

“ผมแค่บอกคาโอรุคุงว่าถ้ายอมให้คุณหนูมาพบผม ผมก็จะยอมมอบของเป้าหมายให้ทันที
 ผมทำตามสัญญานะ แต่ถ้าคุณหนูไม่สบายใจจะเอาไปตอนนี้เลยก็ได้”
มิสึกิทำท่าจะล้วงของที่เก็บไว้ในเสื้อแจ็กเก็ตให้ไทกิ แต่รุ่นน้องรีบยกมือห้ามไว้

“พี่มิสึกิ… บอกจุดประสงค์ของพี่มาดีกว่า ผมจะรีบทำภารกิจให้เสร็จ แล้วจะได้กลับหอไปนอนซะที”
มิสึกิยิ้มให้อีกครั้ง ล้วงของเป้าหมายออกมาไว้ในกำมือ แต่ยังไม่ให้ไทกิเห็นว่าเป็นอะไร

“ผมมีเหตุผลสองข้อที่ไม่อยากสู้กับคุณ… ข้อแรกคือ ผมรู้อยู่แล้วว่าสู้คุณไม่ได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือด้วยกว่า
 แต่เพราะผมไม่คู่ควรที่จะสู้”

แค่เหตุผลข้อแรกก็เล่นซะไทกิงงเต็ก จับคิ้วมาขมวดเป็นเลขแปดแทบไม่ทัน
“เหตุผลที่สอง…” คราวนี้มิสึกิยิ้มบางๆ “ผมก็แค่เป็นห่วง เลยอยากเห็นชัดๆว่าคุณยังสบายดี”

อันนี้แหละ… ยิ่งงงที่สุด!
แต่ไทกิยังไม่ทันได้ซักต่อ ข้อกังขาของเค้าก็ได้รับคำเฉลย เมื่อรุ่นพี่เปิดเผยของสำคัญที่กำไว้ในมือให้ไทกิ
ได้เห็นชัดๆเต็มสองตา

ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงเบิกกว้าง บ่งบอกอาการตื่นตกใจอย่างที่สุด
…ดอกซากุระสีดำ…
สัญลักษณ์หนึ่งในยมทูตคนสำคัญแห่ง Death Flowers

‘Black Sakura’

ไทกิกระโดดตัวลอยออกไปยืนตั้งหลักที่ประตู แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังจ้องมองคู่ต่อสู้ไม่วางตา
สองยมทูตปะทะกันเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดหอลมทั้งหอยังพินาศได้เลยนะเนี่ย

ไม่… ต้องไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เค้ากำลังจะได้ชีวิตใหม่
ดวงหน้าคมคายของมิสึกิยังคงยิ้มแย้มให้ด้วยไมตรี ก่อนจะขยับเก้าอี้เลื่อนเข้ามาใกล้กันมากขึ้น

“กลับมานั่งเถอะครับคุณหนู ผมบอกแล้วว่าคืนนี้จะไม่มีการดวล จะมีแค่การคุยกันระหว่างพี่น้องเท่านั้น”

ไทกิยอมเดินกลับไปนั่งอีกครั้งถึงจะยังไม่วางใจก็ตาม แต่เพราะเรื่องที่คาใจมันมีมากกว่า
จึงยอมเดินกลับไปหามิสึกิอย่างว่าง่าย

ทำไมซากุระถึงปรากฏตัว?

ปกติหมอนี่ทำงานเป็นแบ็ค ได้ชื่อว่า Shadow of the Rose ที่ผ่านมาเค้าไม่เคยพบคนๆนี้ด้วยซ้ำ
เพราะซากุระจะรับเฉพาะคำสั่งลับเท่านั้น แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงเปิดเผยตัว ทำแบบนี้นับว่าเสี่ยงมากทีเดียว

“ดอกไม้นั่นเป็นของจริงใช่มั้ย?” ไทกิมองไปที่ซากุระสีดำแล้วถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ก็คงไม่มีใครพกของเสี่ยงตายแบบนี้ติดตัวตลอดเวลาหรอกครับ”

“นาย…” ไทกิเริ่มอึกอัก “มาจับฉันกลับไปเหรอ”

มือเย็นๆของมิสึกิเอื้อมมาใกล้ ก่อนจะดึงมือของไทกิเข้าไปกุมไว้

“คุณหนู… ถ้าผมคิดจะจับคุณกลับไปก็คงไม่เปิดเผยตัวหรอก ตอนนี้ผมยังเป็นไท
ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ผมก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรโดยพละการทั้งนั้น”

“แล้ว… ไม่คิดจะรายงานเรื่องของฉันกับทางองค์กรเหรอ”

“ไม่ครับ”
พอได้ยินอย่างนั้นไทกิถึงค่อยโล่งอก

“งั้นนายก็อยู่ฝ่ายฉันใช่มั้ย?”

“ไม่ครับ”
อ้าว?

“ผมไม่มีฝ่าย ตอนนี้ผมยังเป็นมิตรกับคุณหนู แต่ต่อไปเราอาจต้องกลายเป็นศัตรูกันก็ได้”

“งั้นถ้าฉันจะสั่งมิสึกิในฐานะ Red Rose ให้มาอยู่ฝ่ายฉัน คอยช่วยเหลือฉันล่ะ”
มิสึกิทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะตอบคำถามที่ดับความหวังของไทกิอย่างสิ้นเชิง

“คุณจะสั่งผมได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในองค์กรเท่านั้น ตอนนี้คุณหนีออกมาแล้ว คุณก็เป็นแค่โนมูระ ไทกิ
 ไม่มีสิทธิ์สั่งการคนในองค์กรอีกแล้ว แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างก็ตาม
อำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดตอนนี้จึงตกอยู่ที่คนๆเดียว”

“White Lilly”
ไทกิต่อให้ มิสึกิก็พยักหน้ารับ

“หมอนั่น… ยังสบายดีอยู่เหรอ ‘เซกิ’ น่ะ” ไทกิเบือนหน้าออก ทั้งที่ไม่อยากรู้แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้

“เค้าจะสบายได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ แถมตอนที่คุณหนีมายังทำกับเค้าไว้ตั้งเยอะ กว่าจะฟื้นตัวก็ใช้เวลา
ตั้งหลายเดือน แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องไปยุ่งเกี่ยว เซกิคิดอะไรอยู่ และคิดจะทำอะไรต่อไป
ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ”

ไทกิพยักหน้า “ฉันก็พอจะรู้นิสัยเซกิ หมอนั่นต้องพลิกแผ่นดินตามหาฉันแน่ เชื่อขนมกินได้เลย
ฉันถึงอยากให้มิสึกิมาเป็นพวกฉันไงล่ะ ถือว่าฉันขอร้องนะ”

“ผมรับเฉพาะคำสั่งเท่านั้น ไม่เคยรับคำขอร้อง คุณหนูก็น่าจะรู้”
คำปฏิเสธที่ตัดขาดเยื่อใยจนไทกิฟังแล้วยังพูดไม่ออก เดิมทีคิดว่าถ้าได้ซากุระมาเป็นพวก
ก็คงพอจะยืดอิสรภาพตัวเองไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าหมอนี่ไม่เอาด้วย เค้าคงแย่

“งั้น… นายจะเอายังไงกับฉัน?” ไทกิถามตรงๆ
มิสึกิจับมือไทกิแบออก แล้ววางดอกซากุระสีดำลงไป

“ซากุระสีดำคือสัญลักษณ์ของผม ตราบใดที่มันยังอยู่ในมือคุณนั่นหมายความว่าคุณอยู่ในความคุ้มครอง
ของซากุระ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ ยกเว้นก็แต่ลิลลี่ที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรในเวลานี้เท่านั้น”

“มิสึกิทำแบบนี้เสี่ยงมากนะ ถ้าเซกิรู้เข้า อาจจะสั่งคนตามล่านายด้วยก็ได้”

“คุณไทกิก็อย่าให้เค้ารู้สิครับ คนในโรงเรียนนี้ทุกคนพร้อมจะปกป้องคุณทั้งนั้น โดยเฉพาะ…
คนที่กำลังรอคุณอยู่ข้างนอก”

ไทกิเหลียวคอมองกลับไปที่ประตู ใครนะ… ใครกันที่พร้อมจะปกป้องตัวอันตรายอย่างเค้า
มิสึกิหมายถึงใครกันแน่ ไทกิหันกลับมามองดอกซากุระในมืออีกครั้งด้วยความตื้นตัน
เดิมทีคิดว่าพอมาเข้าเรียนที่นี่แล้วคงเหงา แต่เค้ากลับได้มิตรแท้มากมาย
โดยเฉพาะมิตรที่คาดไม่ถึงอย่างมิสึกิ

รุ่นพี่เดินเข้ามาดันไหล่รุ่นน้องออกไปที่หน้าประตู
“ไปได้แล้วคุณหนู เป็นเด็กเป็นเล็กนอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”

ไทกิจับมือมิสึกิไว้แน่น “พี่มิสึกิ ขอบคุณมาก”

รุ่นพี่โค้งตัวรับ ก่อนจะส่งรุ่นน้องออกไปที่ระเบียง ไทกิกำลังปลาบปลื้มกับของขวัญล้ำค่า
ที่เพิ่งได้รับมาจากภารกิจแรก จนเดินเหม่อไปตามระเบียงทางเดิน แล้วทันใดนั้นเค้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
คนเดินตามหลัง เค้าก็รีบหยุดทันที

เสียงฝีเท้านั้นเบามาก ย่องเข้ามาในระยะใกล้จนแทบไม่รู้สึกตัวแสดงว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
 ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ที่ว่องไวก็คงสัมผัสไม่ได้ ใครกันนะที่กล้าล้วงคองูเห่า
ไม่รู้จักตัวหายนะประจำองค์กรมืดซะแล้ว

ดอกกุหลาบแดงที่ซุกไว้ใต้เสื้อแจ็กเก็ตหนา ถูกตวัดออกไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม ปักฉึกผ่านหน้าคนที่กำลัง
สะกดรอยตามเค้าแค่เสี้ยวเดียว ฝีเท้าที่เบาลิ่วราวปุยนุ่นก็หยุดชะงัก เค้าดึงดอกกุหลาบแดงสีสดที่
ปักอยู่บนผนังตึกออกมาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ

“ไอ้เรารึก็นึกเป็นห่วง ถ้ารู้ว่านายจะเที่ยวเดินแจกดอกไม้ให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้ล่ะก็
ฉันไม่ตามมาให้เสียเวลาหรอก”

ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นไอ้โรคจิตที่ไหนที่แอบย่องตามเค้า แต่พอได้ยินเสียงที่คุ้นหู ไทกิก็ฉีกยิ้มกว้างทันที

“ฉันก็ไม่รู้นะว่าประธานหอคนเก่งจะแอบจิต ชอบย่องตามคนอื่นเค้าเหมือนกัน”
ไอ้ตัวแสบย้อนได้แสบสันอีกตามเคย จนคนที่กำลังนึกห่วงต้องเดินเข้าไปตบหัวสนองปากหมาๆ

“มิสึกิส่งข่าวบอกฉัน ว่านายกับมันสู้กันจนนายบาดเจ็บเลือดอาบ ถ้าฉันรู้ว่ามันจะโกหกก็คงไม่ตามมา
ให้เสียเวลานอนหรอก บ้าชะมัด…”

“มิสึกิบอกนายงั้นเหรอ?” ไอ้ตัวดีพูดไปด้วย ลูบหัวที่ปวดหนึบๆไปด้วย

“ใช่… เราสามคนมีสัญญาณเฉพาะที่ตกลงกันไว้ ว่าถ้ามีคนบาดเจ็บก็ให้รีบแจ้งทันที”

“งั้นแสดงว่าทางฟากนายก็เสร็จแล้วสิ”

ซุยพยักหน้า “คาวาชิมะเคลียร์เงื่อนไขของฉันได้ อีกเดี๋ยวเค้าก็คงตามมา”

“เงื่อนไขอะไรเหรอ บอกหน่อยดิ” ไอ้ตัวดียื่นหน้าเข้าไปแส่ด้วยความอยากรู้

“ไม่ใช่เรื่อง… ว่าแต่นายเถอะใช้มนตร์อะไรถึงผ่านมิสึกิมาได้ ปกติหมอนี่เคี่ยวจะตาย
ขนาดโนะอิสู้กับมันยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย”

ไทกิล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ กำดอกซากุระเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าซุยจะรู้จักมิสึกิดีแค่ไหน
แต่คนระดับยมทูตคงไม่เปิดเผยตัวให้คนอื่นรู้ง่ายๆ อย่าเพิ่งบอกหมอนี่ดีกว่า

“ฉันได้มาแล้วก็แล้วกันน่า อ้อ… นั่นไง คาโอรุมาพอดี”

ระฆังช่วยชีวิต…
คาโอรุวิ่งทั่กๆหน้าตาตื่นขึ้นมาตามขั้นบันได ก่อนจะพุ่งเข้ามาฉุดแขนไทกิไว้แน่น

“นาย… รีบไปกับฉัน!” มันไม่พูดพล่ามทำเพลง จู่ๆก็มาลากแข้งลากขาเค้าออกไปนอกหอ
แล้วตกลงมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกล่ะเนี่ย

“เดี๋ยวก่อน… เกิดอะไรขึ้นคาโอรุ ทำไปต้องตกอกตกใจขนาดนั้นด้วย”

“ฮิโระ” คาโอรุละล่ำละลัก “สู้กับรุ่นพี่โอคุจิ ตอนนี้ที่หน้าหอกำลังเดือดใหญ่เลย พวกนั้นใช้อาวุธกันด้วย
 เลือดงี้อาบเป็นทาง นายรีบไปดูมันเร็วเข้า”

“มาซาฮิโกะ… ฉันห้ามแล้วไงว่าไม่ให้ใช้อาวุธ” ซุยเองก็ดูจะหงุดหงิดเหมือนกันที่เพื่อนไม่ทำตามแผน
 ก่อนจะวิ่งนำรุ่นน้องทั้งสองไปที่ลานหน้าหอ

ตูม!!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว สะกดทุกฝีเท้าให้หยุดนิ่งด้วยความตื่นตระหนก คาโอรุกับไทกิ
หันมาสบตากันปริบๆ ชะตากรรมของนักฆ่าคนเก่งแห่งตระกูลโซมะ ป่านนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้เลย…

เสียงอึกทึกยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องจากลานว่างหน้าหอลม ตอนนี้รุ่นพี่หลายคนได้ตื่นขึ้นมาดูสถานการณ์
จนเต็มระเบียงทุกชั้น แต่เพราะคู่กรณีมันเล่นทึ้งโคมไฟหน้าหอจนยับทุกดวง ข้างล่างจึงมืดมาก
มองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ฮิโระมันจะตายหรือยังเนี่ย”
ไทกิรีบร้อนวิ่งลงไปที่ลานกว้างด้วยความเป็นห่วงเพื่อนซี้ คาโอรุที่วิ่งตามมาติดๆก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นี่เป็นแค่การทดสอบไม่ใช่เหรอครับพี่ซุย แล้วทำไมพี่มาซาฮิโกะต้องเอาจริงขนาดนี้ด้วย”
ซุยที่วิ่งนำอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า

“เราสามคนตั้งเงื่อนไขในการทดสอบไม่เหมือนกัน เพราะงั้นหมอนั่นจะทำอะไรฉันก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้ว นอกจากมันจะเล่นนอกกติกา”

“กติกาอะไร?” ไทกิรีบสวนทันควัน

“กติกาที่ว่า… จะไม่ทำให้รุ่นน้องบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย”

ไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย… งั้นแสดงว่าถ้าจะอัดเละให้สะบักสะบอมพอหอมปากหอมคอ
ก็คงทำได้งั้นสิ

ฮิโระเอ๋ยฮิโระ… หวังว่าแกคงจะแน่พอรับมือรุ่นพี่บ้าเลือดนั่นได้นะ

ตูม!!!!!!!!

เสียงระเบิดดังลั่น พังแปลงดอกไฮเดรนเยียทางปีกซ้ายไปทั้งแถบ เล่นซะพวกไทกิให้ใจหายวาบ
ตอนนี้พวกเค้าทั้งหมดลงมาถึงลานกว้างหน้าหอแล้ว พอควันระเบิดจางลง ก็เห็นเงาร่างสองร่างได้ชัดเจนขึ้น
ร่างหนึ่งหายใจหอบถี่ฟุบอยู่บนพื้น เหนือขึ้นมายังมีอีกร่างยืนคร่อมอยู่ ในมือถือดาบผอมขนาดพอเหมาะ
จ่อคอหอยคนที่นอนฟุบอยู่

“ฮิโระ!!”
ไทกิร้องเรียกชื่อเพื่อนซี้

แต่… ดูๆแล้วพวกเค้าคงจะมาผิดเวลา
“อ้าว… ไง ไทกิ ทางพวกนายจบแล้วเหรอ”

นักฆ่าผู้กำลังเป็นต่อฉีกยิ้ม ทำเอาเพื่อนๆที่กำลังห่วงมันจะเป็นจะตายส่งสายตาปริบๆงงกันเป็นทิวแถว

“หมอนี่อึดชะมัด เล่นงานเท่าไหร่ก็ไม่ยอมแพ้ซะที ปล่อยให้ฉันเปลืองแรงเสียเวลาสู้ตั้งนาน
แต่นายก็ฝีมือไม่เลวนะ นานแล้วที่ฉันไม่ได้สนุกขนาดนี้ ขอบใจมาก”

มันโม้ยังไม่พอ ยังมีหน้าไปตอกย้ำรุ่นพี่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น ก่อนจะลดปลายดาบแล้วยื่นแขน
ไปฉุดตัวรุ่นพี่ขึ้นมา มาซาฮิโกะตีสีหน้าเครียดจัด แต่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

“นายแน่มากโซมะ ฉันแพ้แล้ว นี่เป็นเดิมพันตามสัญญา”
มาซาฮิโกะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต เจ้าฮิโระก็อมยิ้มได้ใจ แถมยังคิ้วให้เพื่อน
อวดความแน่ของมัน

แต่ทว่า… พอมันเห็นของเป้าหมายเท่านั้น มันก็ถึงกับหน้าถอดสีซีดเป็นไก่ต้ม

สิ่งมีชีวิตปุกปุย… ตัวเล็กๆ น่าร้าก น่ารัก กำลังส่งสายตากลมโตบ้องแบ๊วให้ฮิโระ มันดิ้นขลุกขลักอย่างร่าเริง
อยู่ในมือของมาซาฮิโกะ แถมยังทำท่าระริกระรี้ดีใจที่จะได้เจ้านายคนใหม่ มาซาฮิโกะเลยรีบสงเคราะห์
ยื่นส่งให้นักฆ่าคนเก่ง

“มะ… มะ… ไม่เอา!!!!!!!!!!!!!!”
เจ้าฮิโระร้องลั่นบ้านแตก ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหลบหลังคาโอรุที่ยืนอยู่ใกล้และคว้าตัวง่ายที่สุดเอามาเป็นโล่กำบัง
 ไทกิเห็นแล้วก็นึกสมเพชมันนัก ทีสู้กับรุ่นพี่จนเลือดอาบเต็มตัวมันยังไม่กลัวสักแอะ แต่นี่กะอีแค่สัตว์ตัวเล็กๆ
มันกลับใส่เกียร์หมาวิ่งหนีซะงั้น แล้วตกลงมันเก่งหรือไม่เก่งกันแน่เจ้าฮิโระเนี่ย

“เอาออกไปนะ ฉันเกลียดหนู!”

“หนูที่ไหน นี่มันแฮมสเตอร์ต่างหาก” คาโอรุช่วยแก้ความเข้าใจผิด ก่อนจะรับสิ่งมีชีวิตน่ารักตัวนั้น
เข้ามาดูใกล้ๆด้วยความเอ็นดู

ฮิโระดันแขนคาโอรุข้างที่ถือสัตว์ประหลาดออกไปไกลตัว “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ คืนหมอนั่นไปเลยนะ
ฉันไม่เอา”

“ไม่เอาแน่นะ?” คาโอรุถามอีกรอบ

“เออ… ไม่เอาก็ไม่เอาสิเฟ้ย เซ้าซี้อยู่ได้”

คราวนี้คาโอรุฉีกยิ้มกว้างขึ้น “ถ้าไม่เอาก็จะถือว่าภารกิจของนายล้มเหลวน่ะสิ”

“ล้มก็ล้มสิ ฉันไม่เห็นแคร์เลย”

“แล้วนายลืมเดิมพันของเราแล้วเหรอ ถ้านายทำภารกิจล้มเหลวก็ต้องเป็นเบ๊ฉันหนึ่งอาทิตย์ ว่าไง?”

สีหน้าของนักฆ่าเริ่มเครียดจัด มองสลับไปมาระหว่างหน้าเจ้าคู่อริกับหนูแฮมสเตอร์ 
ฮิโระตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ถึงจะไม่ค่อยถูกคอกันนัก แต่ยังไงหน้าตาเจ้าคาโอรุก็น่ารักกว่า
ไอ้ตัวขยะแขยงนั่นเป็นไหนๆ เพราะงั้น… เลือกมันดีกว่า

“เออ… ฉันยอมเป็นเบ๊นายก็ได้ แต่ช่วยเอาไอ้นั่นไปคืนรุ่นพี่ก่อนได้มั้ย”

“นายเป็นพยานด้วยนะไทกิ หมอนี้รับปากเป็นเบ๊ฉันแล้ว” คาโอรุหันไปยักคิ้วให้เพื่อนซี้อีกคน
ก่อนจะเอาหนูตัวเล็กไปคืนให้มาซาฮิโกะ

สรุปว่า… ภารกิจแรกจบลง ปีหนึ่งชนะสองแพ้หนึ่ง และคนแพ้ก็ต้องยอมรับการลงโทษไปตามระเบียบ

นอกจากจะโดนทำโทษให้ซ่อมแปลงดอกไฮเดรนเยียที่มันทำพังไปทั้งแถบแล้ว ที่น่าหงุดหงิดใจที่สุด…
 ก็คือการเผลอไปตกปากรับคำเป็นเบ๊ไอ้คาโอรุนี่แหละ

วันนี้… เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เค้ายอมทนมันมาตลอดทั้งสัปดาห์โดยไม่ปริปากบ่น
ก็เพื่อรอวันนี้แค่วันเดียวเท่านั้น

“นี่… จัดของฉันให้ดีๆสิ หนังสือแต่ละเล่มมีค่ามากกว่าตัวนายอีกนะจะบอกให้
เพราะฉะนั้นอย่าหยิบให้มันแรงนัก เดี๋ยวก็ยับพอดี”

คาโอรุที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงชี้นิ้วสั่งอย่างสนุกสนาน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์นอกจากจะมีคนคอยรับใช้
แล้ว ยังสะใจที่ได้แก้เผ็ดไอ้ตัวแสบนี่ด้วย
ฮิโระยัดพจนานุกรมเล่มสุดท้ายเข้าไปเรียงบนชั้น แล้วท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจตลอด

‘อดทนไว้… ฮิโระ แกต้องทนได้ ฮึ่มๆๆๆ’

“เอาล่ะ… ในเมื่อจัดเสร็จแล้วก็ไปเรียนได้แล้ว เอ้านี่… ถือหน่อย”
คาโอรุโยนกระเป๋านักเรียนไปกระแทกหน้าอกฮิโระจนจุก ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้อง
นักฆ่ากัดฟันกรอดๆ กำลังนึกอยากจดชื่อมันไว้ในบัญชีดำ คอยดูเถอะ…
ถ้าหมดสัญญาเมื่อไหร่ล่ะก็ จะขอทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้คาโอรุ!

ในห้องเรียนก็ยังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกปาก ทำเอาเรตติ้งนักฆ่าเนื้อหอมตกฮวบฮาบ
แฟนคลับที่มีอยู่เกือบทั้งชั้นปีก็แปรพักตร์ไปอยู่ข้างคาโอรุจนหมด แต่เรื่องนี้ฮิโระไม่แคร์อยู่แล้ว
 เพราะอย่างน้อยเค้าก็ยังมีไทกิคอยอยู่เป็นเพื่อน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายเป็นปาท่องโก๋
ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด

“โอ๊ย! ฉันอยากให้ผ่านวันนี้ไปเร็วๆจังเลย จะได้ประกาศเลิกทาสซะที”
ฮิโระที่กำลังหมดสภาพฟุบหน้าคาจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร จนไทกิที่กินข้าวไปด้วยยังอดขำไม่ได้
ถึงจะนึกสงสารมันอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็อย่างว่าล่ะน้า… ก็มันหาเรื่องทำตัวเองนี่นา
กลัวหนูตัวเดียวถึงกับยอมเป็นทาสคาโอรุ งานนี้ใครก็ช่วยมันไม่ได้หรอก

“นายก็นะ เป็นถึงนักฆ่ายังกลัวหนู ฉันล่ะสมเพชจริงๆ” ไทกิทับถม

“ก็ฉันมีความทรงจำที่เลวร้ายกับมันนี่ ตอนห้าขวบพ่อฉันเล่นจับฉันโยนเข้าไปลังหนูเป็นพันๆตัวเชียวนะ
ฉันอยู่ในนั้นทั้งคืน โดนมันแทะผมจนร่วงหมดทั้งหัวเลย แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่เข้าใกล้
ไอ้สัตว์น่าขยะแขยงประเภทนี้อีกเลย”

“ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคนบ้ากลัวหนูด้วย คิดว่าจะหน้าด้านไม่กลัวอะไรซะอีก”
พอเจอมันแซวเข้า ฮิโระก็เลยแจกฝ่ามือตบหัวมันไปป้าบใหญ่

“นั่นซี้… นอกจากจะบ้าแล้วยังขวัญอ่อน ฉันขอแนะนำนะฮิโระ นายน่ะเปลี่ยนอาชีพไปเถอะ
ขืนฝืนเป็นนักฆ่าต่อไปก็ไม่รุ่งหรอก” คาโอรุที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่วางชามบะหมี่ลงข้างทาสรับใช้
ก่อนจะช่วยไทกิทับถมมันด้วยอีกคน

ฮิโระเหลือบสายตาสีทองคมๆไปฝากรอยแค้นไว้ที่หน้าสวยๆของคาโอรุ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา
แทะไก่ทอดต่อเงียบๆ

“ฉันหิวน้ำจังเลย”
คาโอรุเปรย แต่เบ๊ยังทำหูทวนลม

“ฉันหิวน้ำ! ไม่ได้ยินหรือไง ฮึ… คุณทาส” คาโอรุจงใจตะโกนกรอกหู จนคนทั้งโรงอาหารหันมามอง
พร้อมกับพากันอมยิ้ม

“เออ… รู้แล้ว จะตะโกนทำซากอะไรเนี่ย จะเอาน้ำอะไรก็บอกมาเด่ะ”

“โคล่า”
คาโอรุสั่ง ฮิโระก็เดินหน้ามุ่ยกระแทกเท้าไปซื้อมาให้ แต่พอซื้อมาแล้วคนสั่งกลับทำสีหน้าไม่พอใจ

“อืม… ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ช่วงนี้กระเพาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นชามะนาวก็แล้วกัน” คาโอรุยิ้มหวาน
ทั้งที่หน้าเบ๊หนุ่มกำลังเดือดปุดๆ แต่ก็จำใจต้องไปซื้อมาเปลี่ยนให้มันใหม่

“อันนี้ใช่มั้ย” ฮิโระกลับมาพร้อมชามะนาวแก้วใหญ่ ก่อนจะนั่งลงกินข้าวต่อ แต่ยังไม่ทันจะแทะไก่ที่ถือ
อยู่ในมือก็ถูกคาโอรุขัดจังหวะอีกรอบ

“ฉันไม่อยากกินชามะนาวแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นชาเขียวแล้วกันนะ”

“นายนี่มัน!” ฮิโระจะวีน แต่ก็ถูกคาโอรุจ้องขู่

“อ๊ะ… อ๊ะ… จะผิดคำพูดเหรอ ฉันก็กะแล้วว่านายไม่มีความอดทน จะเลิกก็เลิกไปเลย
ฉันก็ไม่อยากได้คนไม่รักษาสัญญามาเป็นเพื่อนหรอก”

คราวนี้คาโอรุกัดได้แสบมาก ขนาดไทกิที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยฟังแล้วยังหวั่นใจแทน
แต่คู่อริของมันน่ะเดินลิ่วๆไปร้านน้ำตะโกนสั่งชาเขียวซะลั่นไปทั้งโรงอาหาร

“นายพูดแรงไปนะคาโอรุ ยังไงฮิโระก็เป็นเพื่อน เห็นแก่หน้ามันหน่อยเหอะนะ”

“ฉันก็แค่อยากให้มันมีความอดทน ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ มันก็ไม่เหมาะจะเป็นนักฆ่าหรอก
ชอบทำใจอ่อนไม่เข้าท่า”

“ฉันก็รู้นะว่าอันที่จริงนายก็หวังดี แต่เพลาๆความเข้มงวดลงหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันล่ะเครียดจน
ปวดหัวแทนเจ้าฮิโระมันแล้วนะเนี่ย”

“หึ หึ… อะไรกันไทกิ อีกวันเดียวมันก็พ้นสภาพความเป็นทาสแล้วน่า ไม่ต้องไปห่วงมันมากนักก็ได้
เดี๋ยวมันก็เหลิงพอดี หมอนี่มันยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย”

ปัง!!

คนบ้าจี้กระแทกแก้วชาเขียวลงโครม จนน้ำหกลงไปโดนรองเท้าคู่โปรดของคาโอรุ
“นี่! นาย!”

พอเห็นรองเท้าคู่เก่งเลอะ ผู้รอบรู้ก็เดือดขึ้นมาทันตาเห็น ไทกิตวัดหางตามองเพื่อนซี้สลับไปมา
ตอนนี้ประเมินไม่ได้แล้วว่าระหว่างหน้ามันสองคน คนไหนจะแดงเด่นกว่ากัน เพราะมันเดือดพอกันทั้งคู่

“เช็ดซะ!” คาโอรุยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้ของฮิโระ กอดอกวางเชิดหน้าสั่งเบ๊ดังลั่น
แต่เบ๊ของเราก็หัวหมอใช่ย่อย เริ่มจะคิดต่อต้านขึ้นมาซะงั้น

“ฉันไม่เช็ดเฟ้ย!”

“ฉันสั่งนายนะ นายไม่มีสิทธิ์เถียง!”

“ฉันไม่ทำซะอย่าง มีอะไรมั้ย!”
นักฆ่ายังเถียงหน้าด้านๆ ลืมสัจจะวาจาที่เคยลั่นไว้จนสิ้น ดวงตาสีเขียวมรกตของคาโอรุเดือดจัด
จนแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนของไทกิ เค้าหรี่ตาลงช้าๆ เปลี่ยนสีหน้าเรียบขรึม
ก่อนจะเปรยคำหยามเหยียดที่ฮิโระฟังแล้วต้องจดจำไปจนวันตาย

“เมื่อก่อนฉันเคยนับถือตระกูลโซมะว่าเป็นตระกูลมือสังหารที่มีเกียรติ แต่วันนี้นายทำให้ฉันซึ้งแล้วฮิโระ
คนอย่างนายมันก็แค่นักฆ่าสับปลับที่ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นเพื่อนฉันด้วยซ้ำ
ถ้าไม่มีความอดทนก็เลิกไปเลย ฉันไม่สน เพราะคนอย่างนายมันไม่มีสัจจะ!”

ดวงหน้าขาวผ่องเป็นยองใยของนักฆ่าหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ มือทั้งสองข้างกำแน่น
จนข้อนิ้วซีดสนิท ความเงียบรุมเร้าเข้ามาในโรงอาหารที่เคยเฮฮา
หากสายตาทุกคู่กลับจับจ้องมายังจุดเดียวกัน

จุดเดียว… ตรงที่นั่งของสมาชิกพิเศษปีหนึ่ง
จุดเดียว… ที่ผู้รอบรู้ยืนเชิดหน้าท้าทายราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
และ… จุดเดียว… ที่นักฆ่าค่อยๆทิ้งตัวคุกเข่าลงช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจาจากกระเป๋า
แล้วบรรจงเช็ดรองเท้าให้เพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งประกาศด่ามันปาวๆ

“หึ… คนขี้แพ้”
คาโอรุยังหาเรื่องไม่เลิก เค้าหยิบแก้วน้ำหลากสีที่ฮิโระอุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้
เทลงบนหัวของนักฆ่าหนุ่มทีละแก้ว เริ่มจากโคล่ากระป๋อง ต่อด้วยน้ำชามะนาว หัวสีทองของฮิโระถูกย้อมด้วยสีต่างๆจนเปียกโชก แต่นักฆ่าหนุ่มที่ยังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดรองเท้าก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นอีก
แล้วในที่สุด… คนที่ทนไม่ได้ก็ปัดมือเพื่อนซี้ออก ตอนที่มันกำลังจะหยิบชาเขียวแก้วสุดท้ายลงไปละเลง

“พอเถอะคาโอรุ นายทำเกินไปแล้ว!”
ไทกิพยายาจะห้าม คาโอรุถึงได้สติ แต่มันก็ช้าไปแล้ว เมื่อนักฆ่าหนุ่มเช็ดรองเท้าจนสะอาดเอี่ยมมันก็เงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับศัตรูอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเล่นมาพร้อมน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น แม้แต่คนที่แกล้งโขกสับมันสารพัดเห็นแล้วยังใจแป้ว ไม่คิดว่ามันจะเสียใจจนถึงกับร้องไห้ออกมา

“สะใจนายแล้วใช่มั้ย”
เสียงเย็นชาที่ส่งมาให้บ่งบอกถึงความเจ็บใจอย่างที่สุด ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหนีออกไปจากโรงอาหาร

“ครั้งนี้ฉันเข้าข้างฮิโระนะคาโอรุ เพราะนายทำเกินไปจริงๆ แล้วอย่าลืมไปขอโทษมันด้วยล่ะ”
ไทกิที่กำลังโกรธก็คว้ากระเป๋าตัวเองเดินตามฮิโระออกไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงเพื่อนผู้รอบรู้ผู้กำลังนึกเสียใจ
อย่างสุดซึ้ง

… พรุ่งนี้มันก็จะเป็นไท คนร่าเริงอย่างมันคงไม่งอนใครนานหรอกน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปขอโทษมันก็ได้…
คาโอรุพยายามคิดแก้ตัวในใจ ก่อนจะไปหมกตัวดับอารมณ์เครียดอยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่ายวันนั้น

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #32 เมื่อ07-02-2008 17:52:17 »

 :m22: Chapter 13 Revenge

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว… แต่บรรยากาศในห้องก็ยังไม่คลายความตึงเครียด ไทกิอึดอัดจะแย่แต่ก็ทำตัวไม่ถูก
 พวกมันเป็นเพื่อนซี้ทั้งคู่ แต่ก็เต๊ะมากพอกันทั้งคู่ เลยไม่รู้จะคุยกับฝ่ายไหนก่อนดี

หลังจากวันประกาศอิสรภาพ คาโอรุก็เข้ามาขอโทษฮิโระ แต่นอกจากมันจะไม่รับคำขอโทษแล้วยังเชิดหน้า
เดินหนีไปหน้าตาเฉย พอคาโอรุชวนคุยด้วยก็ไม่คุย ง้อมันขนาดไหนมันก็ไม่ยอมให้อภัย จนคาโอรุเองก็ชักหงุดหงิด และเลิกยุ่งกับชีวิตมันไปโดยปริยาย

“เฮ้อ…”
ไทกิถอนใจเป็นรอบที่สองร้อย วันนี้เป็นคิวที่เค้าต้องมานั่งเป็นเพื่อนฮิโระ พอเงยหน้ามอง
มันก็เอาแต่จ้วงโซบะเข้าปากหมับๆไม่พูดไม่จา ทำท่าอย่างกับตายอดตายอยากมาเป็นชาติ
แถมตอนใช้มีดหั่นเนื้อสเต็กก็ยังสับจนเละเหมือนเห็นเป็นหน้าเจ้าคาโอรุยังไงยังงั้น

“เมื่อไหร่นายจะยกโทษให้คาโอรุซะทีล่ะ” ไทกิเปรย แต่ฮิโระกลับใช้ส้อมจิ้มมันฝรั่งในจานดังฉึก
พร้อมกับส่งตาขวางๆมาให้

“มันทำกับฉันแสบขนาดนี้ นายยังจะหวังให้ฉันกับมันญาติดีกันอีกเหรอ“

“ฉันก็พูดไปเผื่อพวกนายจะคิดได้ ถ้าไม่เอาด้วยก็แล้วไปสิ” ไทกิไหวไหล่ก่อนจะซดน้ำซุปในชามบะหมี่ต่อ

“ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะไทกิ ถ้าฉันไม่แก้แค้นมันล่ะก็ฉันจะยอมเป็นลูกหมาเลยเอ้า
และชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีวันยอมคุกเข่าให้มันอีกแล้ว นายคอยดูก็แล้วกัน”

“เออ… แล้วฉันจะคอยดู” ไทกิแอบอมยิ้ม มันล่ะก็ไม่เคยเข็ด พอประกาศแบบนี้ทีไรก็เห็นความซวย
มาเยือนมันทุกที

แต่ตอนนั้นไทกิก็คิดว่าที่มันพูดไปก็แค่ประชดเพื่อระบายอารมณ์เล่นเฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะจริงจัง
จนก่อเรื่องใหญ่ขึ้นในภายหลัง

เรื่องใหญ่… ที่เป็นชนวนแตกหักที่ไม่อาจประสานได้อีกระหว่างคาโอรุและฮิโระ

วันอาทิตย์… ไทกิถูกซุยลากออกไปจากหอแต่เช้าเพื่อติวเข้ม ทิ้งไว้เพียงคู่อริที่กำลังนั่งปั้นปึงกันอยู่
คนละมุมห้อง วันนี้ไม่มีกรรมการห้ามทัพ ไม่รู้พวกมันจะแผลงฤทธิ์ข่มกันแค่ไหน

ฮิโระแกล้งกวนประสาทแต่เช้าโดยการเปิดเพลงเสียงดังลั่นห้อง ทำลายสมาธิคาโอรุที่กำลังอ่านหนังสือ
อยู่บนโต๊ะ ยิ่งเห็นคู่อริเดินไปหยิบหูฟังมาใส่ มันก็ยิ่งเปิดเสียงดังสุดแม็กซ์ของวอลลุม
ขนาดห้องข้างๆมาทุบประตูปังๆมันก็ไม่หยุด จนทุกคนต้องย้ายหนีออกจากหอไปเอง

แต่คนที่อดทนที่สุดก็แกล้งทำหูทวนลมซะงั้น เมื่ออ่านหนังสือไม่ได้ก็ล้มตัวลงไปนอน
ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรอีก

พลบค่ำ… สงครามเย็นในห้องก็ยังไม่สงบ ซ้ำร้ายยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไทกิกลับมาคงตกใจ
เพราะสภาพในห้องเละเทะไม่มีชิ้นดี ฮิโระแกล้งกินอาหารหกเลอะเทอะเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง
แถมยังเอาช็อกโกแล็ตไปซุกไว้ใต้หมอนคู่อริให้มดตอมหึ่งจนมันนอนไม่ได้ คาโอรุเองก็แสบใช่ย่อย
เดินเฉียดผ่านตรงไหนก็พังข้าวของเจ้าฮิโระไปด้วย โดยเฉพาะถ้วยใบโปรดที่ตอนนี้สู่สุขคติ
อยู่ในตะกร้าขยะเรียบร้อย

คาโอรุปลีกวิเวกโดยการปิดตายห้องน้ำแล้วนอนแช่อยู่ในอ่างเป็นชั่วโมง พร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย
น้ำอุ่นๆ แถมยังไม่มีเสียงไอ้บ้าน่ารำคาญยิ่งทำให้เคลิ้มจนเผลอหลับ

กริ๊ก…

เสียงกลอนที่ลั่นไว้ถูกสะเดาะออก แต่เจ้าตัวที่หลับปุ๋ยอยู่ในอ่างยังไม่รู้ตัว ประตูถูกปิดอีกครั้ง
ฝีเท้าแผ่วเบาก็ค่อยๆย่องเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเลื่อนม่านออก

“อุ๊บ!”
 นักฆ่าต้องรีบอุดปากตัวเองที่เกือบทำให้แผนแตก ปากเจ้ากรรม… เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ โธ่เอ๊ย…
 แค่เห็นมันนอนเปลือยแช่น้ำแค่นี้ทำไมต้องเขินด้วยฟะ ว่าแล้วตาสีทองก็เผลอตวัดไปมองร่างบาง
ที่แช่อยู่ในน้ำอีกรอบ

ขาวมาก… ปกติเห็นมันชอบใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆหลวมๆเลยไม่เคยสังเกต มันขาวกว่าเค้าซะอีก
แต่ไม่ได้ขาวซีดเหมือนคนอมโรค แต่ขาวบริสุทธิ์เหมือนน้ำนม แถมหน้าตานั่นตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นยิ่งน่ารัก
 แล้วจู่ๆหน้าของนักฆ่าก็แดงแปร๊ดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทันทีที่เหลือบไปเห็นปุ่มนูนสีแดงปลั่ง
ที่หน้าอกทั้งสองข้าง

น่ารักจังเลย… อย่างกะลูกเชอร์รี่แน่ะ ท่าทางจะน่าอร่อย

ไม่! ไม่! ไม่!
ฮิโระนึกอยากจะตบหน้าเรียกสติตัวเองสักสองสามฉาดนัก ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะตื่น
 ไม่ไหวแล้ว… ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้เค้าต้องตบะแตกแน่ รีบๆจัดการมันเลยดีกว่า
ได้เวลาคิดบัญชีทบต้นทบดอกแล้วคาโอรุเอ๋ย

มือใหญ่เอื้อมไปกุมรอบลำคอขาวระหง สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของผิวเนื้อจนมือกร้านยังสั่น

“อืม… จั๊กจี้จัง”
มันส่งเสียงครางหวานๆออกมา แถมยังบิดตัวได้อย่างยั่วยวนที่สุด ตัดเส้นความอดทนบางๆของนักฆ่า
จนขาดยับเยิน มือกร้านที่ตั้งใจจะสังหารจึงเปลี่ยนเลื่อนลงไปลูบไล้ทั่วหน้าอกขาวผ่อง

“อา…”
ร่างบางส่งเสียงครางรับราวกับชอบใจ ทำลายสตินักฆ่าจนหน้ามืดตามัว ฮิโระถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้วก้าวขา
ลงไปในอ่างน้ำช้าๆ จนน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ล้นออกมาท่วมพื้นห้อง แต่เค้าก็ไม่สนใจแล้ว
ตวัดขาคร่อมลงไปบนตัวร่างผอมๆ สองมือลูบแก้มเนียนใส ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้ว
ประทับจุมพิตหนักหน่วงรัญจวน

“อื้ม!!!”
คาโอรุรู้สึกตัว และก็ต้องตกใจสุดขีดกับสภาพที่ตัวเองต้องพบ เมื่อเพื่อนแค้นมันเล่นบุกจู่โจมถึงห้องน้ำ
ก็ถ้ามันเข้ามาเพื่อลอบสังหารเค้าจะไม่คิดติดใจอะไรเลย แต่นี่มันกลับ…

“ปล่อยฉันนะ!” คาโอรุผลักตัวฮิโระออกแล้วตวาดลั่น “นายทำบ้าอะไรของนาย!!”

สายไป…
ตอนนี้ฮิโระสติหลุดลอยจนกู่ไม่กลับ ดวงตาสีทองเหม่อลอยแถมยังหวานเชื่อมผิดกับมันเป็นคนละคน
และไม่ว่าคาโอรุจะพูดอะไรก็ไม่เข้าหูมันสักนิด

“ฮิโระ?” คาโอรุลองเรียกมันอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ตอบ “ฉันไม่เล่นแล้วนะ ฉันยอมขอโทษนายอีกรอบก็ได้
แต่ช่วยออกไปก่อนได้มั้ย”

คาโอรุผลักมันออกให้พ้นทางเพื่อจะขึ้นจากอ่างน้ำ แต่ยังไม่ทันพ้นก็ถูกมันรวบเอวแล้วจับกดลงไปใหม่
หนอย… ใช้ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบให้ใช้ไม้แข็งใช่มั้ย
คาโอรุจำเป็นต้องงัด ‘วิชาเก่า’ มาใช้ ตะลุมบอนสู้กันอยู่ในน้ำพักใหญ่ คาโอรุมั่นใจว่าตัวเองไม่แพ้
เพราะเท่าที่เคยเห็นฝีมือมันมาแล้วก็อยู่ในระดับสูสี แต่วันนี้มันแปลก… เป็นเพราะมันไม่รู้ตัวหรือเปล่า
เลยไม่รู้เอาแรงฮึดมาจากไหน ไม่ว่าคาโอรุจะงัดไม้ไหนออกมาใช้ก็โค่นมันไม่ลงซะที
แถมตอนนี้ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดนมันกดจนแน่นิ่ง มือทั้งสองข้างก็ยังถูกมันใช้สายรัดเสื้อคลุม
มัดไว้กับก๊อกน้ำจนแน่น

“ฮิโระ! นายตื่นซะทีสิ! ฉันบอกให้ปล่อยฉันไง! โธ่เว้ย!!!!”
คาโอรุเริ่มใจเสีย ตอนนี้นอกจากจะสู้มันไม่ได้ มันไม่ฟังเค้า ซ้ำร้ายมันยังโน้มตัวเข้ามาประชิด
เนื้อแนบสนิทจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของกันและกัน มันเชยคางร่างบางเข้ามาจูบอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
สอดลิ้นพัวพันบรรเลงเพลงรักอย่างหื่นกระหาย มือควานไปตรงไหน
คว้าตรงไหนได้ก็ขยำขยี้อย่างไม่ปราณี

“อื้ม… ฮิโระ…”
ตอนนี้เสียงต่อต้านเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงครวญคราง เมื่อขัดขืนไม่ได้ก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ
ปากหยอกเย้าอยู่บริเวณติ่งหูไม่นานนัก ก็เลื่อนลงมาไซ้ซอกคอ กลิ่นหอมกรุ่นจากฟองสบู่
ยิ่งทำให้ร่างสูงได้ใจ จูบหนักๆทิ้งรอยแดงช้ำทั่วลำคอ

มือลูบวนหาความหวานฉ่ำจากจนไปสะดุดเข้ากับปุ่มนูนน่ารักที่เค้าเล็งไว้ตั้งแต่แรก ดวงตาสีทอง
กระพริบปริบๆ ก่อนจะเผยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาเล่น ใช้ปากงับแต้มสีแดงสดเบาๆ
ก่อนจะชิมต่อด้วยลิ้น สัมผัสรสชาติที่หอมหวานอร่อยยิ่งกว่าลูกเชอร์รี่ซะอีก
กระทั่งอดใจไม่ไหนจนต้องหันไปชิมอีกข้าง แต่ข้างที่กินไปแล้วก็ยังใช้มือบีบเล่นเบาๆ

“อ๊ะ! ยะ… อย่านะ…”
คาโอรุบิดเร่าไปมาด้วยความทรมาน ถูกมันทึ้งหน้าอกจนปวดระบมไปหมดยังไม่พอ นี่มันยังไล่ดูดไปเรื่อย
 ต่ำลงไปจนถึงท้องน้อยขาวๆ มือหนึ่งไล้ลงไปตามสะโพก ส่วนอีกข้างก็โอบรอบเอวแล้วตวัดขึ้นมาจากน้ำ และในตอนนั้นเองมันก็ได้เห็นเป้าหมายใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ดวงตาสีทองเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ ส่วนน่ารักที่โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ บ่งบอกว่าเจ้าของกำลังมีอารมณ์เหมือนกัน มือคือสิ่งแรกที่ส่งลงไปทดสอบ กรีดเขี่ยเล่นแล้วถูไถขึ้นมาตามความยาวจนร่างบางถึงกับ
กระตุกรัวสั่นสะท้านเพราะความเสียวซ่าน

“ตรงนั้นอย่านะ… ถ้านายทำล่ะก็ ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิตเลย”

เสียงห้ามของคาโอรุไม่มีความหมาย เพราะคนมันไม่รู้ตัวไปแล้วถึงได้ทำต่อไปตามอำเภอใจ
พอมือทดสอบความอ่อนไหวของสิ่งนั้นแล้วว่าพอจะรับอะไรได้บ้าง ปากก็คืออาวุธชิ้นต่อไป
ที่จะใช้ทดสอบรสชาติ มือรวบส่วนกลางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ใช้ลิ้นลิ้มเลียชิมรสชาติหอมหวาน
ร่างบางทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่แอ่นกายรับ พร้อมกับส่งเสียงครางหวานๆให้คนทำยิ่งได้ใจ

แล้วปากก็ครอบครองลงไปใช้ลิ้นดุนปลายจุดอ่อนไหวอย่างรุนแรง บดขยี้จนสิ่งที่อยู่ในริมฝีปากได้รูป
ขับสีแดงเรื่อ ร่างบางยังคงครางเสียงหวานๆไม่ขาดสาย แม้จะทรมานแต่ก็เป็นสุข
จนส่วนกลางขยับตัวแข็งขืนไปตามอารมณ์ที่โลดแล่น ปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นจนทะลักทะลาย
ละลายหายเข้าไปในปากของร่างสูง กับบางส่วนที่กลืนไปกับฟองสบู่ในอ่าง

“หวานจัง”
นั่นเป็นคำแรกที่ร่างสูงพูดออกมาหลังจากที่เลียริมฝีปาก แต่ก็ฟังดูเหมือนมันจะเพ้อมากกว่า
เพราะมันยังก้มหน้าลงมาทำต่อที่เป้าหมายสุดท้าย

ขาเพรียวถูกยกวางพาดบนขอบอ่างคนละข้าง แล้วช่องทางสีชมพูสุดท้ายก็ปรากฏชัด

“โอ๊ย!” ร่างบางประท้วงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลปริ่ม ตอนที่มันเล่นสอดนิ้วเข้ามารุกราน
ช่องทางที่คับอยู่แล้วก็ยิ่งบีบรัดแน่น ยิ่งตอนที่มันเอานิ้วที่สองตามเข้ามาติดๆ
คาโอรุเจ็บจนอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปซะเลย

“คับจัง” มันเพ้อเหมือนไม่พอใจ ต้องการให้กว้างกว่านี้

“อ๊ะ! อา…” ร่างบางๆครางกระเส่า บิดเร่าไปมาหลาบตลบ ตอนที่มันใช้นิ้วล้วงควักไปทั่วเพื่อค้นหาจุดตาย แล้วก็ค้นพบเมื่อร่างบางแอ่นตัวเหยียดขึ้นมาเหนือน้ำจนสุดแรง แล้วฟุบลงไปใหม่เมื่อเค้าถอนนิ้วออกมา
ทั้งหมด

เป้าหมายกว้างพอแล้ว ส่วนที่รออยู่ก็พร้อมปลดปล่อยแล้วเช่นกัน ฮิโระยกสะโพกเพื่อนแค้นขึ้นมาเหนือน้ำ แยกเข่าให้กว้างออกกว่าเดิม แล้วขยับตัวเข้าไปแนบชิด จากนั้นก็กระแทกสิ่งสำคัญเข้าไปอย่างรุนแรง
จนช่องทางคับช้ำยับเยิน

“โอ๊ย!!!”
คาโอรุบิดข้อมือที่ถูกผูกไว้จนเป็นรอย ริมฝีปากก็กัดแน่นจนเลือดซึม พยายามผ่อนจังหวะการหายใจ
ให้ความเจ็บปวดทุเลาเบาบาง แต่ร่างสูงก็ไม่ปรานีเค้า คอยเร่งจังหวะกระแทกรัวเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ผ่านเข้าแล้วก็ออกให้ช่องทางเริ่มชินและกว้างขึ้น ตอนนี้ความเจ็บปวดค่อยๆหายไปแล้ว
เหลือแต่ความสุขล้นที่เข้ามาแทนที่

“อืม… ดีจัง”
ร่างบางเคลิ้มไปโดยไม่รู้ตัว แถมยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการขยับสะโพกรับจังหวะ
 แรงเสียดสีที่เข้ามากระตุ้นทำให้รู้สึกอยากปลดปล่อยอีกครั้ง

“อึก…” ร่างสูงกระแทกย้ำเข้าไปครั้งสุดท้าย ความหยาบกระด้างถูกดูดกลืนเข้าไปในช่องทางคับจนหมด
 ปลดปล่อยเป็นไออุ่นๆในตัวของร่างบางจนท่วมท้น และร่างบางเองก็ปลดปล่อยออกมาอีกรอบ
เป็นคราบผสมผสานไปกับฟองสบู่

หลังจากนั้นความอ่อนล้าก็ทำให้สติเลือนราง และวูบไปในที่สุด
ฮิโระถอนตัวออกมาช้าๆ พอได้ปลดปล่อยความแค้นออกมาจนหมดตัว สติก็กลับคืนมาอีกครั้ง
 สองแขนยังคงกอดร่างบางไว้แนบอก แต่พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป้าหมายที่ตั้งใจจะเข้ามาสังหาร
 หมดสติไปซะแล้ว

“เฮ้ย! คาโอรุ!!!” ฮิโระพยายามเขย่าตัวปลุกมันก็ไม่ฟื้น ยิ่งพอเห็นสภาพความยับเยินของร่างกาย
กับบรรดาคราบเลอะที่เปื้อนอยู่ตรงหว่างขา ยิ่งไม่ต้องอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะหลักฐานมันฟ้องชัดเจนอยู่แล้ว ฮิโระถึงกับหน้าถอดสี

ตายแน่ฮิโระ!!!
แกทำอะไรลงไปเนี่ย!!!!!

นักฆ่ารีบแก้มัดให้คู่แค้น ก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวอุ่นๆมาห่อ แล้วอุ้มออกไปวางบนเตียง หน้ามันซีดมาก
ตัวก็เย็นเฉียบ ฮิโระจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโกยผ้าห่มจากเตียงของตัวเองมาคลุมให้
นั่งกุมมือให้ความอบอุ่น แต่มันก็ไม่ยอมฟื้น ซ้ำร้ายยังหลุดอาการเพ้อออกมาเป็นช่วงๆ

ในขณะที่ความกังวลของฮิโระกำลังปะทุถึงขีดสุด ประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออก
รูมเมทคนที่สามซึ่งหายหัวไปตลอดทั้งวัน มันกลับมาแล้ว…

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
«ตอบ #33 เมื่อ07-02-2008 18:01:28 »

 :o8: ขอบคุณทุกคนมากนะงับที่เข้ามาอ่าน แล้วก็ติชมนิยายเรื่องนี้

   ตอนนี้กำลังเขียนๆนิยายของตัวเองอยู่มั่ง แล้วจะเอามาลงงับ หวังว่าจะมีคนอ่านะงับ แหะๆ

   อ้อ ผมเคยลงนิยายไว้เรื่องนึงในบอร์ดอีกบอร์ด ชื่อ นายจองหองกับคุณหนูหมูหยองตัวแสบ

   แล้วทางบอร์ดนั้นมีปัญหา นิยายผมเลยหายปาย แล้วผมมะได้เก็บต้นฉบับไว้

   ถ้าใครมีเก็บไว้รบกวนติดต่อที่ u.n.nอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com ด้วยนะงับ เสียดายมากเลยจิงๆ ^^

ป.ล.รักคนอ่านทุกคนนะคับ Happy Chinese New Year  ด้วยงับ  ร่ำรวยๆ สุขขีๆ :bye2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
«ตอบ #34 เมื่อ07-02-2008 19:20:10 »

ผมมีแค่ถึง จบ chapter3 นะครับเรื่องนั้น ส่งเมลไปให้แล้วครับ
 :mc3: :mc3: :mc3:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy > 7/1/08 อัพเดตใหม่ 2 ตอนงับ
«ตอบ #35 เมื่อ07-02-2008 19:34:19 »

 :o8: รักคุณบลูที่สุดเลยงับ เด๋วจะโพสต์เลย อิอิ

   ขอบคุณมากเลยค๊าบบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รีบโพสนะ รออ่านต่อกำลังมันส์เลย  :m25: :m25:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
แหะๆ จะรอนะครับ รีบๆแต่งให้จบนะครับ อิอิ

ปวดหัวกับฮิโระ และคาโอรุจริงๆ

จะว่าไปคาโอรุนี่ก็นิสัยไม่ดีจริงๆ ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าฮิโระแทบจะไม่ได้แพ้พนันอะไรเลย

จริงๆแล้วเมื่อได้ของจากรุ่นพี่มา จะคืนรุ่นพี่ก็เป็นสิทธิ์ เพราะของนั้นได้มาเป็นของตัวเองแล้ว

แต่คาโอรุกลับเอาข้อนี้มากดขี่จนเกินความพอดีไปจริงๆ

แต่ไปแก้เผ็ดแบบนี้ ก็เกินไปนิด แต่อย่างว่าหล่ะนะ จัวหวะหน้ามืด อะไรก็ห้ามไ่ม่อยู่
เอิ้กๆ
 :m25: :m25: :m25:
แล้วจะเป็นไงต่อน้อ จะหมางเมินให้คาโอรุเจ็บเล่นหรือปล่าวนิ
 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
แค้นกัน ไหงเป็นแบบนี้ซะได้ อิอิ (แอบถูกใจ)

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 14 Unforgivable

คาโอรุ…

คาโอรุจ๊ะ…

เสียงหวานๆที่สะท้อนก้องอยู่ในความฝัน ทำให้ใบหน้าหวานๆที่หลับอยู่ยิ่งทรมาน

…เมื่อวานลูกไปซนที่ไหนมา เห็นมั้ย ติดหวัดมาจนได้ ตัวร้อนจี๋เลย…

“ท่าน… แม่…” คาโอรุหลุดคำเพ้ออีกรอบ

…โถ… ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ หลับซะนะคนดี แม่จะอยู่ตรงนี้คอยจับมือลูกเอาไว้ คาโอรุจะได้หายป่วยไวๆไงจ๊ะ

“ท่านแม่” ใบหน้าที่ทรมานเริ่มสงบลง มือร้อนและชื้นก็บีบมือใหญ่แน่นขึ้น

…คาโอรุลูกรัก ลูกต้องเข้มแข็งนะจ๊ะ แม่อยู่กับลูกไม่ได้แล้ว แม่ต้องไปอยู่ในที่ๆไกลมาก แต่คาโอรุต้องอยู่ต่อไป ต้องเติบโตเป็นผู้นำที่ดีของทุกคนให้ได้ ลูกรับปากแม่นะ คาโอรุ…

“ไม่… ท่านแม่อย่าไป ฮือๆๆๆๆ” หน้าหวานๆเริ่มร้องไห้อีกรอบ จนคนที่กุมมืออยู่ยิ่งเครียด เงยหน้าขึ้นไปสบตาถามเพื่อนอีกคนที่ตีคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ
“เฮ้… ไทกิ แกว่ามันเป็นอะไร”
ไทกิส่ายหน้า “ไม่รู้สิ… คงฝันเห็นแม่มั้ง”

คาโอรุ…
คาโอรุจ๊ะ…
ลาก่อน…

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

มันเล่นตะโกนจนเพื่อนสองคนที่นั่งเฝ้าไข้มันอยู่หูแทบแตก ก่อนที่ร่างบางจะเด้งขึ้นมาจากเตียงที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของมันเอง
“ท่านแม่” มันยังคงเพ้อไม่เลิก น้ำตาไหลพรากไม่หยุด มือเล็กๆก็เผลอบีบมือคนใจดีที่ให้ยืมมากุมซะแน่น
“คาโอรุ… นายเป็นอะไรไป”
เสียงทุ้มๆที่เปลี่ยนหน้าคนเศร้าให้เดือดขึ้นมาในพริบตา แถมพอมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วรู้ว่าใครที่ให้ยืมมือมากุมไว้ มันก็ผลักผู้มีพระคุณจนกลิ้งตกจากเก้าอี้
“ออกไป!” คาโอรุตะโกนลั่นห้องพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตู “ออกไปนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!”
“แต่… ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย”
“ไม่! ฉันไม่คุย นายออกไปซะ!” คาโอรุยืนกรานคำเดิม แต่ฮิโระยังตื๊อไม่เลิก เข้ามาคว้ามือเล็กๆไว้หมับ คาโอรุก็พยายามสลัดออก แต่เพราะไข้ขึ้นสูง แถมแรงที่เหลือก็มีไม่พอ สลัดยังไงก็สลัดไม่หลุด
“ฉันมีเรื่องต้องอธิบายให้นายเข้าใจ”
“ฉันไม่อยากฟัง นายยังแก้แค้นฉันไม่พออีกหรือไง ถ้านายอยากให้ฉันเสียใจ ฉันบอกได้เลยว่าตอนนี้ฉันเสียใจที่สุด นายไปซะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายอีกแล้ว”
คำพูดที่ตัดเยื่อใยทุกอย่าง แม้แต่คำขอโทษก็ไม่อยากฟัง ฮิโระพยายามจะตื๊อ แต่ก็ถูกเพื่อนอีกคนห้ามไว้
“นายออกไปก่อนเถอะ คาโอรุยังป่วยอยู่ อย่าให้เค้าต้องโมโหเลยนะ เดี๋ยวฉันจะค่อยๆคุยให้เอง”
ฮิโระพยักหน้ารับ ถึงไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป เค้ายอมเดินออกไปอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังห่วงคาโอรุมาก
คาโอรุเอนหลังแล้วข่มตาคลายความโกรธอีกครั้ง ก่อนจะหันมาคุยกับเพื่อนซี้
“ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
“ก็หนึ่งวันเต็มๆ” ไทกิตอบ
“แล้ว…” คาโอรุลังเลที่จะถามต่อ สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดชัดเจน “หมอนั่น… มันพูดอะไรกับนายบ้าง”
“ฮิโระมันบอกว่านายกับมันทะเลาะกันยกใหญ่ แล้วนายก็หนีเข้าไปแช่น้ำ แต่นายเผลอหลับเลยแช่นานจนเป็นลม หลังจากนั้นก็จับไข้ หมดสติไปหนึ่งวันเต็มๆ ยังมีอะไรที่ฉันบอกไม่ครบมั้ย”
ไทกิย้อนถาม เพราะเจ้าฮิโระมันเล่าแค่นี้ แต่ดูจากสภาพยับเยินของคู่อริแล้ว น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เล่า แต่มันจงใจปิดไม่ยอมบอกเค้ามากกว่า
“ไม่” คาโอรุก็เล่นมุกตัดบทดื้อๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้าน “ฉันเหนื่อย นายออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
บ้ะ! ไล่อีกแล้ว นี่มันไม่คิดจะเอาเพื่อนเอาฝูงมั่งเลยหรือไงฟะ
“นายอาการไม่ค่อยดีเลย ให้ฉันตามหมอมั้ย”
“ไม่”
“งั้น… กินยาลดไข้ก่อนนอนหน่อยดีมั้ย จะได้หายเร็วๆไง”
“ไม่”
“งั้น…”
“ไทกิ” ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนคนป่วยตัดบทอีกจนได้ “ฉันอยากพักจริงๆ นายออกไปก่อนเถอะนะ ถ้าอยากได้อะไร ฉันจะเรียกเอง”
“โอเค”
ไทกิก็ไม่อยากเซ้าซี้ เลยยอมออกไปง่ายๆ เห็นรูมเมทอีกคนกำลังด้อมๆมองๆอยู่หน้าประตู พอเห็นไทกิถูกไล่ออกมาอีกคน มันก็รีบถลาเข้าไปถามอาการคนที่อยู่ในห้องทันที
“คาโอรุเป็นไงบ้าง”
“หลับไปอีกรอบแล้ว”
“แล้ว… มันบอกอะไรนายหรือเปล่า”
คราวนี้ไทกิจ้องหน้าฮิโระเขม็ง มีพิรุธ… สองคนนี้ถามเหมือนกันไม่มีผิด แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่มากกว่าทะเลาะกันจนเจ้าคาโอรุเป็นลมแน่ๆ
“ระหว่างนายสองคนมีเรื่องอะไรกันแน่ บอกฉันไม่ได้หรือไง ฉันจะได้รู้ว่าควรจะช่วยพวกนายตรงไหน”
ฮิโระอ้ำอึ้ง แล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ถ้าคาโอรุไม่เล่า ฉันก็เล่าไม่ได้ นายอย่ารู้ดีกว่า (ขืนบอกก็ตายน่ะสิ)” ว่าแล้วมันก็เดินหนีลงไปข้างล่าง แล้วหายแวบไปทางทะเลสาบ
ไทกิส่ายหน้า อันที่จริงปัญหาระหว่างมันสองคนเค้าไม่ควรยุ่ง แต่เพราะเป็นเพื่อน… ถึงดูดายไม่ได้ หนุ่มน้อยเบือนหน้าไปทางตึกสีครามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม งานนี้คงต้องหาที่ปรึกษาสักคนมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตซะแล้ว

ฮิโระกลับมาที่ห้องตอนค่ำ หลังจากออกไปวิ่งระบายอารมณ์รอบทะเลสาบเป็นสิบๆเที่ยว กลับมาเห็นห้องมืดสนิท ไทกิไปไหน… มันต้องอยู่ดูแลคนป่วยไม่ใช่หรือไงฟะ ฮิโระเดินไปเปิดไฟ แล้วแอบชำเลืองมองทางเตียงที่อยู่ฝั่งขวาสุด เห็นคู่อริยังหลับสนิท
“เป็นไงบ้างน้า”
นักฆ่าย่องเข้าไปดูใกล้ๆ ร่างบางๆขาวๆในชุดนอนสีเทานอนขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังฝันร้าย เหงื่อออกท่วมตัว ท่าทางอาการจะแย่
“คาโอรุ” ฮิโระลองเขย่าตัวปลุกเบาๆ แต่มันก็ไม่ตื่น จะเพิ่มดีกรีเสียงก็กลัวมันจะอาละวาดอีก อันที่จริงไม่ตื่นก็ดีแล้ว พยาบาลทั้งหลับอย่างนี้สะดวกกว่า
ฮิโระหาน้ำอุ่นมาเช็ดตัว พอเปิดเสื้อมันออกเห็นรอยฟกช้ำทั่วตัวก็ยิ่งสลด เมื่อวานนี้เค้าคงมือหนักไปหน่อย ตอนแรกแค่กะจะไปขู่มันเฉยๆ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้
มือถือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นไปเช็ดตัวให้ ส่วนหน้าก็ค่อยๆแดงขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
‘ทำไมต้องหน้าแดงด้วยฟะ เราเกลียดมันไม่ใช่เหรอ น่าจะดีใจสิที่มันสะบักสะบอมขนาดนี้’
ฮิโระคิดในใจ…
‘ไม่… เราไม่ดีใจเลย เรากำลังเสียใจต่างหาก และก็ไม่ได้เกลียดมันด้วย’
ฮิโระถอนใจปลงชีวิตไปอีกเฮือก
‘เราไม่ได้เกลียดคาโอรุหรอก อันที่จริง… เรา…’

“น้ำ”

เสียงเพ้อของคนป่วยหยุดความคิดของคนที่กำลังรู้ซึ้งถึงหัวใจตัวเอง
“นายจะเอาน้ำเหรอ เดี๋ยวฉันหยิบให้” ฮิโระบอก มันเรียกหาน้ำ แต่ไม่เห็นจะลืมตาขึ้นมาเลยแฮะ หรือว่าจะละเมอ ทาสที่พ้นสภาพความเป็นทาสไปแล้วประเคนน้ำให้ถึงปาก มันจิบลงไปแค่อึกเดียวแล้วก็สำลักออกมาทั้งหมด
“คาโอรุ!” ฮิโระตกใจ รีบวางแก้วน้ำลง แล้วเอาผ้ามาซับให้
“น้ำ… ฉันอยากกินน้ำ”
มันยังละเมอไม่เลิก ท่าทางจะทรมานมากด้วย แบบนี้ก็เหลือแค่วิธีเดียวเท่านั้น
ฮิโระประคองร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเองอึกใหญ่ ก่อนจะเชยคางมนเข้ามาใกล้ จากนั้นก็จูบลงไปแผ่วเบา ให้น้ำอุ่นค่อยๆไหลรินผ่านริมฝีปาก ร่างบางก็จูบตอบอย่างเผลอไผล ดูดน้ำที่ส่งมาให้เพื่อบรรเทาความกระหาย
น้ำในปากหมดไปแล้ว… แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แยกจากกัน ลิ้นที่ซุกซนค่อยๆดันริมฝีปากบางเผยอออก แล้วรุกล้ำดูดดื่มหาความหอมหวานที่โหยหา เป็นค่าตอบแทนสำหรับน้ำที่เค้าอุตส่าห์ป้อนให้ดื่มถึงปาก
“อื้ม”
ดวงตาสีเขียวค่อยๆปรือออก ความอบอุ่นจากลมหายใจที่ปะทะขอบแก้ม กับที่ประทับอยู่บนริมฝีปากทำให้รู้สึกสบายขึ้นก็จริง แต่นี่มันผิดปกติ… พอความง่วงเริ่มจางหาย สติเริ่มกลับคืนมา ภาพที่เลือนลางก็ค่อยๆปรากฏชัด และทันทีที่ตื่นมาพบว่าใครกำลังให้ไออุ่นแก่เค้าอยู่ ดวงตาสีเขียวก็ส่องแสงวาบ ตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่เผชิญกับปีศาจร้ายในฝันซะอีก
“นาย!!!!”
คาโอรุผลักฮิโระออกไป แต่แรงไม่พอจึงทำได้แค่ให้มันเลิกจูบเท่านั้น แต่แขนมันก็ยังบังอาจกอดตัวเค้าไว้แน่น แถมยังประชิดตัวอุ่นๆเข้ามาใกล้จนรู้สึกอึดอัด
“ออกไป!!!! ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!!!”
“คาโอรุ ฟังฉันก่อนสิ”
ฮิโระพยายามจะบอก แต่มันก็เอาแต่อาละวาด นี่โชคยังดีที่มันป่วยหนัก เลยไม่มีแรงให้ดิ้นเท่าไหร่
“ฉันขอโทษนะคาโอรุ ฉันขอโทษ… ฉันไม่คิดจริงๆว่ามันจะเป็นแบบนี้ นายจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ให้ฉันเป็นทาสของนายไปตลอดชีวิตก็ได้ ถ้ามันจะช่วยลบล้างความผิดของฉันได้ ฉันยอมทำทั้งนั้น”
ฮิโระพยายามเว้าวอน ดวงตาสีเขียวก็จ้องมองเค้าอย่างสงบ ตอนนี้มันไม่ดิ้นแล้ว ฮิโระเห็นสายตาของมันแล้วก็ยิ่งเครียด ถึงปกติคาโอรุจะเป็นคนขรึม สายตาถึงจะสงบ แต่ก็เต็มไปด้วยความเย็นชาสุดขั้วหัวใจ
“นาย… ยอมทำทุกอย่าง แน่เหรอ?” เสียงเย็นชาถามกลับ
ฮิโระรีบพยักหน้า “ใช่… ฉันยอม ฉันยอมทำทุกอย่างเลย นายยกโทษให้ฉันแล้วใช่มั้ย”
คาโอรุหลับตาลงอีกครั้ง หยาดน้ำตาใสๆค่อยๆเอ่อท้นออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง อาบไล้ดวงหน้าที่ซีดเซียว
“ตั้งแต่นี้ไป… นายกับฉัน… จะเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากวันนี้ไม่ว่าฉันจะทำอะไร นายก็ไม่ต้องเข้ามายุ่ง ฉันจะลืมให้หมด ทั้งชื่อของนาย เรื่องของนาย และทุกอย่างที่นายทำกับฉัน!”
“ไม่นะ!!!”
ฮิโระรีบผวาคว้ามือเล็กๆของมันมากุมไว้ อะไรกัน… มันขอแบบนี้ได้ยังไง เค้าไม่มีทางยอมแน่
“ฉันขอเถอะ… ให้ฉันทำอย่างอื่นได้มั้ย”
คาโอรุสะบัดหน้ามามองคนสับปลับอีกรอบ กี่ครั้งที่รับปาก มันก็ไม่เคยทำได้อย่างใจสักที
งี่เง่า!
“ที่ฉันเคยปรามาสนายไว้ว่าสับปลับไม่รักษาคำพูด เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าตัวเองพูดแรงเกินไป แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดไม่ผิด นายมันก็ดีแต่พูด แต่ไม่เคยทำตามที่พูดสักครั้ง พอแล้ว… ฮิโระ ฉันเหนื่อยใจกับนายมามากพอแล้ว ขอร้องให้มันจบซะทีเถอะ ฉันอยากมีชีวิตที่สงบสุข ไม่ใช่ต้องมาคอยเดือดร้อนเพราะนายซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“คาโอรุ”
นักฆ่าผู้ทระนงยอมก้มหัวคุกเข่าให้ เกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดยอมวางไว้ ก็เพื่อคนๆเดียวเท่านั้น เล่นเอาคนป่วยเจียนตายอยู่แล้วถึงกับผวาลุกขึ้นมานั่ง นี่มันคิดจะทำอะไรของมันอีก
“ฉันขอโทษ”
ฮิโระยอมคุกเข่าขอโทษทั้งที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่คุกเข่าให้มันอีก แต่ตอนนี้เค้ายอมทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมด โดยหวังเพียงอย่างเดียวว่ามันจะยอมใจอ่อนบ้าง แค่สักนิด… แค่ไม่คิดตัดเยื่อใย ถึงจะต้องกลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิมเค้าก็ยอม
คาโอรุถอนใจ ถึงจะซึ้งใจ แต่ทิฐิมีมากกว่า เค้าเองก็มีเกียรติที่ต้องรักษาเช่นกัน สิ่งที่ลั่นวาจาไปแล้วจะคืนคำไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าสิ่งนั้น… จะฝืนต่อความรู้สึกมากมายก็ตาม
“เสียใจด้วย… แต่ฉันมีทางเลือกให้นายแค่ทางเดียวเท่านั้น ฉันไม่มีวันยกโทษให้นาย ต่อให้เอาชีวิตมาแลกฉันก็ไม่ให้อภัย นายไปซะเถอะ ความเป็นเพื่อนระหว่างเรามันจบแล้ว”
คาโอรุตัดบททั้งน้ำตา ก่อนจะพลิกตัวตะแคงนอนหันหน้าไปอีกด้าน ฮิโระพูดไม่ออก คำพูดของมันทิ่มแทงทำให้เค้าชาไปทั้งร่าง แต่เค้าจะไม่ยอมแพ้แค่นี้ ต้องมีสักวันที่เค้าจะพิสูจน์ความจริงใจให้มันเห็น
และเมื่อถึงตอนนั้นเค้าก็จะบอกกับมัน… ว่า ‘รัก’ มากแค่ไหน
ฮิโระช่วยดึงผ้าห่มที่ถูกเตะไปอยู่ปลายเตียงขึ้นมาคลุมร่างบาง
“วันนี้นายเหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะนะ ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ฮิโระหรี่ไฟลงเพื่อให้คนป่วยหลับสบายขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนั่งที่ระเบียงด้านนอก
คาโอรุข่มตาลงช้าๆ พยายามลืมความคิดที่สับสน แล้วค่อยๆหลับไปในที่สุด…

 “… แล้วพวกมันก็ทะเลาะกันยกใหญ่ คาโอรุหนีไปแช่น้ำแล้วก็เป็นไข้ ฮิโระไปขอโทษก็ไม่รับ ตกลงฉันก็เลยไม่รู้ว่าพวกมันโกรธอะไรกันแน่”
ไทกิจบประโยคได้น่าปวดหัวที่สุด จนซุยต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าที่เค้าฟังมันเล่ามาทั้งหมด ก็ฟังไม่รู้เรื่องเลยเหมือนกัน
“ฉันว่าสองคนนั้นคงมีปัญหาบางอย่างที่รุนแรงมากจนตกลงกันไม่ได้” ซุยพยายามสันนิษฐานให้ใกล้เคียงที่สุด ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวนักก็ตาม “แต่ถ้ากำลังอยู่ในอารมณ์ร้อนทั้งคู่ คงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก สิ่งที่นายควรทำตอนนี้คือดูแลให้คาวาชิมะอาการดีขึ้นซะก่อน ระหว่างนั้นก็ค่อยๆกล่อมโซมะให้เล่าความจริง จากนั้นค่อยมานั่งเปิดอกปรับความเข้าใจกัน”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนคาโอรุจะโกรธมากจนไม่ยอมฟังใครเลยน่ะสิ”
“คนที่โกรธก็ต้องมีเหตุผลของเค้านะไทกิ ยิ่งคาวาชิมะด้วยแล้ว นายคิดว่าอยู่ดีๆเค้าจะไปโกรธโซมะโดยไม่มีสาเหตุหรือไง ถ้าคำขอโทษมันยังไม่พอ ก็คงมีทางเดียวคือให้โซมะทำความดีไถ่โทษ”
ไทกิขมวดคิ้ว “ยังไงล่ะ?”
“ทำยังไงก็ได้ให้เค้าเห็นความจริงใจ ให้เค้ารู้สึกว่าคนทำผิดสำนึกตัวได้แล้ว”
ไทกิทำหน้าบ้องแบ๊ว แล้วส่ายหัวอีกรอบ “ไม่เข้าใจเลยพี่”
“เฮ้อ… นายเนี่ยน้า” ซุยถอนใจให้กับความซื่อบื้อของมัน “ยกตัวอย่างนะ… สมมุติถ้าฉันทำให้นายโกรธมากๆ โกรธจนถึงขั้นอยากจะฆ่าฉัน นายคิดว่าฉันควรทำยังไงถึงจะให้นายยกโทษได้ล่ะ”
“ยากจัง” ไทกิยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ “ยกตัวอย่างในสิ่งที่มันพอจะเป็นไปได้ ไม่ได้เหรอ”
“ทำไม… นายคิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันโกรธฉันเลยหรือไง”
พอเจอมุกนี้ของคุณชายสายน้ำเข้าไทกิก็เริ่มจะจุก ก่อนจะทำหน้าเจื่อนๆ
“ก็ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยคิดจะโกรธซุยนี่ นายดีกับฉัน ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องโกรธนาย”
“หมายความว่านายจะไม่มีวันโกรธคนที่ดีกับนายงั้นสิ”
“อืม…” ไทกิยกมือขึ้นมาลูบคาง ก่อนที่ภาพคนๆหนึ่งจะสะท้อนขึ้นมาในความทรงจำ “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก”
ไทกิหลับตาลงช้าๆ วันนั้น… เค้ายังจำได้ไม่มีวันลืม ในวันที่เพื่อนที่ดีที่สุดทำร้ายเค้าจนต้องเสียใจและอยู่ในองค์กรต่อไปไม่ได้อีก
“ฉันเคยโกรธคนๆหนึ่งนะ เค้าเป็นคนที่ดีกับฉันมาก เราอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่วันหนึ่งเค้าก็ทรยศฉัน” ไทกิบอกเสียงเศร้า “ฉันเคยคิดว่าจะไม่ให้อภัย แต่รู้มั้ย… ตอนที่ฉันหนีออกมา หมอนั่นขวางฉันไว้ เราเลยต่อสู้กัน ฉันทำร้ายหมอนั่นปางตายแล้วก็หนีออกมา ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้หมอนั่นเป็นไงบ้าง ฉันโกรธ แต่ก็ไม่อยากให้เค้าตาย นั่นล่ะมั้งที่เป็นเหตุผลที่ฉันจะให้อภัย”
“เค้าเรียกว่าความผูกพัน” ซุยช่วยขยายความให้ “ที่นายโกรธก็เพราะผูกพัน มันเลยมีความคาดหวังเข้ามาเป็นตัวแปร พอเค้าทำไม่ได้อย่างที่คาดหวังนายก็เลยโกรธ แต่สุดท้ายก็เพราะความผูกพันอีกนั่นแหละ นายถึงตัดความเป็นเพื่อนไม่ขาดไงล่ะ”
“แต่คาโอรุกับฮิโระไม่เหมือนกันนี่ สองคนนั่นตั้งแต่เปิดเทอมก็เกลียดขี้หน้ากันจะตาย”
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ นายคิดว่าคนสองคนยอมอยู่ร่วมชายคาเดียวกันทั้งที่เกลียดกันได้ด้วยเหรอ” ซุยถามย้ำ “ฉันก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางถึงความสัมพันธ์ของพวกนาย แต่เท่าที่ฉันเห็น ฉันคิดว่าสองนั่นก็ไม่ได้เกลียดกันหรอก เค้าสองคนมีนายเป็นตัวเชื่อมถึงเป็นเพื่อนกันได้ ที่ทะเลาะกันก็เพราะเป็นเพื่อน ที่โกรธกันก็เพราะแคร์ความรู้สึกของกันและกัน นายน่าจะลองให้เค้าสองคนเปิดใจคุยกันดูนะ บางทีอาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้”
ไทกิมองหน้ารุ่นพี่คนเก่งแล้วก็อมยิ้ม คิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกมันเป็นที่ปรึกษา ส่วนจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
“ที่นายถามฉัน… ว่าถ้าฉันโกรธนาย แล้วทำยังไงฉันถึงจะยกโทษให้ ฉันมีคำตอบให้นายแล้วนะ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงจ้องตาสีราตรีเข้มของซุย มองลึกลงไป พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบแก้มรุ่นพี่คนสำคัญเบาๆ ก่อนที่มัน… จะฉีกยิ้มอวดฟันเขี้ยวขาววับ
“นายต้องเลิกตีหน้ายักษ์ แล้วทำหน้าตลกให้ฉันดู ฮ่าๆๆๆ”
ซุยประเคนมะเหงกให้หนึ่งโป๊กสมนาคุณให้กับความกะล่อนของมัน ไอ้ตอนแรกนึกว่าจะได้สาระ เค้าคิดผิดเองแหละที่หวังจะได้ยินสาระจากปากหมาๆอย่างมัน
“ลามปามเกินไปแล้วไทกิ ถึงนายจะโกรธฉัน ฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว มีแรงโกรธแค่ไหนก็โกรธไปเลย ฉันไม่เคยง้อใคร และอย่าหวังว่าชาตินี้ฉันจะง้อนาย”
“โอ๊ะ… โอ๊ะ… อย่าท้านะ” ไทกิชี้หน้ายิกๆ “คนอย่างฉันเนี่ยน่ารักจนใครๆก็หลงเสน่ห์ทั้งนั้น นายน่ะพูดดีเดี๋ยวก็เข้าตัวหรอก จะหาว่าไม่เตือน”
“เชิญเถอะ… ขอให้ฉันปวดหัวกับนายเฉพาะในภารกิจก็พอแล้ว อย่าให้ฉันต้องปวดหัวกับนายตลอดชีวิตเลย”
ไทกิยักคิ้วแผล็บ ยิ่งมันพูดแบบนี้ก็ยิ่งน่ายั่วนัก รู้จัก Red Rose น้อยไปซะแล้ว… ซุยเอ๋ย
ซุยแหงนหน้ามองฟ้า ดาวขึ้นเต็มเลย ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
“ดึกแล้ว… นายกลับหอไปเถอะ คาวาชิมะไม่ยอมให้โซมะเข้าใกล้นี่ ป่านนี้ไม่รู้อาการจะทรุดถึงไหนแล้ว นายควรไปดูแลเพื่อนนะ”
“เออ… จริงด้วย!” ไทกิลืมสนิท ทิ้งมันไว้ในห้องคนเดียวตั้งแต่บ่าย ป่านนี้จะตายหรือยังก็ไม่รู้ “งั้นฉันไปก่อนนะ”
ไอ้ตัวแสบวิ่งปรื๋อยังไม่ทันพ้นจากเขตศาลาริมน้ำ ก็วิ่งย้อนกลับมาใหม่ ซุยขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ทันตั้งตัวเลยโดนมันเล่นทีเผลอ กระโดดกอดคอหมับแล้วโน้มคอลงมาจูบแก้มดังจุ๊บ จนรุ่นพี่ได้แต่เบิกตากว้างตัวแข็งทื่อ อยู่ในอาการอึ้งอย่างที่สุด
“ขอบใจมาก ราตรีสวัสดิ์นะซุย” ว่าแล้วไอ้ตัวดีที่หน้าแดงซะเองก็วิ่งปร๋อหายลับไป
ร่างสูงที่อึ้งอยู่นาน เผลอเอื้อมมือขึ้นมาจับแก้ม รู้สึกหน้ามันร้อนวูบขึ้นมาบอกไม่ถูก แต่แล้วความฝันที่แสนหวานก็ถูกทำลายราบจากเสียงๆหนึ่งที่เฝ้าจับตาดูอยู่นานแล้ว

“หวานกันจังนะ”

โนะอิเยื้องกรายออกมาจากเงามืด ใบหน้าขาวที่เย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นจัด เค้าเดินเข้ามาใกล้ โอบแขนโน้มรอบคอร่างสูงเอาไว้
“ไหนบอกว่าเป็นแค่ภารกิจไง ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าบ้านเทนโนะเพิ่มโปรโมชั่นพิเศษให้ลูกค้าด้วย”
“อย่าพูดอะไรน่าเกลียดได้มั้ย นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่” ซุยตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด
“แต่สิ่งที่ฉันเห็น มันไม่เหมือนที่นายพูด นายไม่เคยสนิทสนมกับเป้าหมายคนไหนเท่าไอ้เด็กแสบนี่เลย จนถ้าฉันไม่รู้จักนายมาก่อน คงคิดว่าเป็นคู่รักกันไปแล้ว!”
“โนะอิ!” ซุยตวาดกลับอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เค้าก็สับสนจะแย่อยู่แล้ว ยังมาซ้ำเติมอยู่ได้ “ฉันเคยขอร้องนายไม่รู้ตั้งกี่ร้อยรอบ แต่จะให้ฉันขอร้องอีกกี่ครั้งก็ได้ งานครั้งนี้ของฉันมันยากอยู่แล้ว นายอย่าป่วนให้มันยุ่งอีกเลยนะ”
ดวงหน้าของหิมะขาวยิ่งเย็นชา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลที่สับสน
“ดูเหมือนนายจะเป็นห่วงมันมากเลยนะซุย”
ก็ตีความไปโน่น… ซุยยกมือขึ้นกุมขมับ ไม่รู้ชาติที่แล้วเค้าทำกรรมอะไรไว้ พี่น้องที่บ้านมีห้าคนผู้ชายล้วน แต่กลายเป็นเค้าที่ถูกใจไอ้หมอนี่ที่สุด ทำไมนะทำไม… พี่ชายน้องชายเค้าก็หน้าตาดีกันทุกคน ทำไมมันไม่สนใจบ้างนะ มาตื๊อเค้าอยู่ได้
แถมชอบไม่ชอบเปล่า… ยังตามเฝ้าหึงหวงอย่างกะนักโทษ คนเค้าก็อึดอัดเป็นนะเฟ้ย
“อันที่จริง… นายน่าจะญาติดีกับยูคาริพี่ชายฉันนะ หมอนั่นออกจะคลั่งนาย”
“ฉันไม่สนยูคาริ!” โนะอิตวาดกลับ
“งั้น…”
“ฉันไม่สน ฮิริว อาราชิ และโซระ ด้วย!”
มันเล่นขุดชื่อพี่น้องเค้าออกมาปฏิเสธแบบนี้ก็หมดมุกกันพอดีน่ะสิ
“นายไม่ต้องกล่อมให้เสียเวลา ภารกิจหน้า ไอ้เด็กนั่นเจอฉันแน่!”
โนะอิประกาศกร้าว ก่อนจะเดินกลับหอไปอย่างหงุดหงิด ซุยเริ่มหวั่นใจ รับมือโนะอิไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ห่วงว่า Red Rose จะหน้ามืดตามัวจนแผลงฤทธิ์อาละวาดมากกว่า
หวังว่ามันคงจำคำพูดเค้าได้ และมีจิตสำนึกยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง แต่ก็คงหวังอะไรไม่ได้มากนักหรอก

สองวันต่อมา… อาการของคาโอรุก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ จนลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว แต่วันนี้ไทกิกับฮิโระต้องแปลกใจสุดๆ เพราะอยู่ดีๆมันก็ลุกขึ้นมาแพ็กของใส่กระเป๋าหน้าตาเฉย
“คาโอรุ นายจะไปไหน?”
ไทกิเข้าไปทัก เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาเก็บของใหญ่ อย่างกะจะย้ายไปไหนอย่างนั้นแหละ
“ฉันจะขอย้ายห้อง” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“ห๊า!” ไทกินั่งลงไปเกาะแขนเพื่อน ส่วนอีกคนตกใจจนทำแก้วน้ำหล่นพรวดจากมือดังเพล้ง “เฮ้ย… ใจเย็นน่าคาโอรุ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกันก็ได้ ไม่เห็นต้องย้ายเลย”
“อย่าห้ามฉันเลยไทกิ ฉันทนอยู่กับหมอนั่นไม่ได้อีกแล้ว เหม็นขี้หน้า!”
เท่านั้นแหละ… คนที่ถูกพาดพิงก็เดินทั่กๆเข้ามาหา คว้าเสื้อตัวเก่งที่มันกำลังจะยัดใส่กระเป๋าออกมา คาโอรุจ้องหน้ามันเขม็ง ตาสีเขียวสดกระตุกวาบด้วยแรงอาฆาต
“นายคิดจะทำอะไร?”
“ฉันไม่ให้นายย้าย” นักฆ่าบอกเนิบ ๆแต่ฝ่ายผู้รอบรู้กลับแสยะยิ้มเยียบเย็น
“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีสิทธิ์ห้ามฉันด้วยเหรอ”
คนที่ถูกท้าจัดการโกยเสื้อผ้ามันออกจากกระเป๋าทั้งหมด คาโอรุเลือดขึ้นหน้าตวาดกลับไปยกใหญ่
“นายเลิกงี่เง่าซะทีได้มั้ย ที่ฉันพูดนายไม่เข้าใจหรือไง ต่อไปนี้ฉันกับนายไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรนายก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง!”
“มีสิ…” ฮิโระคว้ามือบอบบางที่กำลังจะเสยปลายคางเค้าเอาไว้ “ที่ฉันไม่ให้นายย้าย เพราะว่าฉันจะเป็นคนย้ายออกไปเอง ถ้ามันจะทำให้นายสบายใจขึ้น”
นักฆ่าบอกแค่นั้น ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าออกมา ทำท่าจะแพ็กของหนีออกจากหออีกคน จนคนที่ทนความอึดอัดมาหลายวันทนไม่ไหว ระเบิดดังตูมแล้วฉุดแขนมันไว้คนละข้าง
“ฉันจะไม่ยอมให้ใครไปไหนทั้งนั้น!” ไทกิประกาศลั่นห้อง จ้องหน้าเพื่อนสองคนสลับไปมา “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายเคยแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน แต่มีอะไรก็ควรคุยกันด้วยเหตุผลสิ ไม่ใช่เอาแต่หนีปัญหาเหมือนเด็กอมมือ มันไม่เข้าท่า!”
คำปรามาสของบุคคลที่สามทำเอาอีกสองคนพูดไม่ออก จนต้องเบือนหน้าหนีไปคนละด้าน
“นายสองคนเป็นเพื่อนฉัน ถ้าจะให้เลือกคบกับใครสักคนฉันก็ทำไม่ได้ ที่ผ่านมาเห็นพวกนายทำปั้นปึงใส่กัน ฉันต้องอึดอัดใจแค่ไหนพวกนายรู้บ้างหรือเปล่า ถ้ายังยืนยันว่าจะแก้ปัญหาด้วยการย้ายหนีล่ะก็ งั้นก็ย้ายกันทั้งหมดนี่แหละ ฉันก็ไม่อยากจะทนอยู่แล้วเหมือนกัน”
ไทกิเดินไปเก็บของอย่างหงุดหงิด ลากกระเป๋าออกมาจากใต้เตียง แล้วโยนของเข้าไปทีละชิ้นอย่างหดหู่ เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีแขนเพรียวเข้ามาโอบตัวเค้าไว้จากข้างหลัง
“พอแล้ว… ไทกิ”
คาโอรุที่เข้าซบหน้าอยู่ข้างหลังกระซิบบอกเพื่อน
“ฉันไม่ไปแล้ว”
“จริงนะ!” ไทกิหันกลับมาเขย่าตัวคาโอรุ “นายจะอยู่กับพวกเราต่อใช่มั้ย”
คาโอรุพยักหน้า แต่ก็ยังไม่หายเครียด “ที่ฉันยอมอยู่ต่อก็เพราะนาย แต่อย่าหวังว่าจะให้ฉันคืนดีกับไอ้หมอนั่น เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้”
คาโอรุเดินไปรื้อของจัดเข้าที่เดิม ไทกิหันไปขยิบตาให้ฮิโระที่กำลังถอนใจอย่างโล่งอก คิดว่าห้องจะแตกจนเสียเพื่อนรักไปซะแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเดินเข้าไปตื๊อมันต่อ ทีละเล็กทีละน้อย… คิดว่าต้องมีสักวันที่คาโอรุจะยอมยกโทษให้
“ฉันช่วย” ฮิโระบอก ก่อนจะถือวิสาสะช่วยรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าจัดเข้าไปเรียงในตู้ใหม่ แต่คาโอรุกระชากเอาไว้
“ไม่ต้องยุ่ง!”
“น่า… ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วขึ้นไง”
คนหน้าด้านก็ยังหน้าด้านอยู่วันยังค่ำ บอกยังไงมันก็ไม่ฟัง คาโอรุได้แต่ปลงก่อนจะหันไปรื้อกระเป๋าอีกใบ แล้วพยายามไม่สนใจมันอีก
ฮิโระแอบมองเสี้ยวหน้าของคนขี้งอน แล้วอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข พร้อมกับตั้งปณิธานไว้ในใจ
…ต้องมีสักวันที่ฉันจะทำให้นายกลับมาเป็นเหมือนเดิม…
ต้องมีสักวันแน่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 15 Lonely Hunter

“ภารกิจที่สองจะเริ่มพรุ่งนี้ 4 ทุ่มครึ่งเป็นต้นไป”
ยูสรุปรายงานหลังจากที่สมาชิกสภาพิเศษประชุมเครียดมาร่วมสามชั่วโมง
“สถานที่คือบริษัทเคมีภัณฑ์โทโจคอเปอเรชั่น ห้องใต้ดินตึกซันไชน์… ของเป้าหมายคือ มินิฟล้อบปี้ดิสก์ซึ่งเก็บข้อมูลอาวุธเคมีชีวภาพ งานนี้รัฐบาลติดต่อมาโดยตรงจึงเป็นงานที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด จึงขอความร่วมมือจากทุกคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจครั้งนี้ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จด้วย”
ข้อสรุปในตอนท้ายที่มีเสียงถอนใจตามมาอีกเป็นพรวน จนใครคนหนึ่งทนไม่ได้ ต้องยกมือขึ้นมาเสนอหน้าออกความเห็นซะหน่อย
“เอ่อ… รุ่นพี่ครับ” ฮิโระที่คันปากยิกๆอยู่นานแล้ว ขอโอกาสแสดงความคิดเห็นบ้าง “งานสำคัญขนาดนี้ ผมว่าพี่ปีสองปีสามทำเองไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ยูยกมือขึ้นมาประสากันที่หน้าอก แล้วจ้องหน้ารุ่นน้องเจ้าปัญหา ก่อนจะกรีดยิ้มหวานเชื่อมตามแบบฉบับ แต่เห็นแล้วชวนเสียวสันหลังชะมัด
‘น้ำผึ้งพิฆาต’
ฉายาที่เด็กปีหนึ่งเพิ่งตระหนักเมื่อไม่นานมานี้เอง หน้าหวาน ปากหวาน ยิ้มก็หวาน แต่ร้ายเป็นบ้า… ไอ้หน้ายิ้มๆแบบนี้แหละที่น่ากลัวกว่าเอาปืนมาจี้แล้วขู่กันซะอีก
“ภารกิจนี้เป็นงานสำคัญที่จะให้น้องๆได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แถมยังเป็นโอกาสเชื่อมมิตรภาพอันดีระหว่างปีหนึ่งและปีสามด้วย พี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหนนี่ครับ”
‘ก็ไอ้มิตรภาพระหว่างปีหนึ่งกับปีสามนั่นแหละที่เป็นปัญหา!’
ไทกิแอบเถียงในใจ พอเงยหน้าสบกับนัยน์ตาสีฟ้าเย็นเจี๊ยบของโนะอิทีไร มันชวนให้หงุดหงิดใจทุกที ให้ตายเถอะ…
“งานนี้รับเฉพาะคนใจกล้าเท่านั้น ใครไม่อยากทำจะถอนตัวก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากบังคับใจใคร แต่ขอเตือนไว้ก่อน… งานนี้เป็นภารกิจเฉพาะปีหนึ่งกับปีสามเท่านั้น พวกปีสองห้ามยื่นมือเข้ามาสอดเด็ดขาด ไม่ว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น”
คำเตือนจากโนะอิที่ไม่มีใครต้องขยายความต่อ ตัดบทซุยซึ่งกำลังจะหาทางแทรกชนิดไม่เหลือช่องให้ตื๊อ แต่กลับจุดประกายไฟฮึกเหิมของพวกปีหนึ่งให้ลุกโชน งานที่ไม่อยากทำก็เริ่มมีแรงใจฮึดที่จะทำขึ้นมาทันตาเห็น
แม้จะพูดว่าเป็นการร่วมมือระหว่างปีหนึ่งและปีสาม แต่จุดประสงค์จริงๆน่าจะเป็นการดวลแบบทีมระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องมากกว่า ชัยชนะถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของรุ่น และแน่นอนพวกปีสามซึ่งมีทีมเวิร์คเป็นเยี่ยมไม่ยอมแพ้ง่ายๆอยู่แล้ว
แถมปัญหาใหญ่ของพวกไทกิ ก็คือความบาดหมางระหว่างฮิโระกับคาโอรุ ถึงไม่ต้องแข่ง ผลมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว… พวกปีหนึ่งต้องล่มไม่เป็นท่าแหงๆ
หลังการประชุม พี่ปีสามนัดแนะวางแผนกันต่อที่หอน้ำจึงออกไปก่อน ทิ้งพวกปีหนึ่งที่กำลังกลุ้ม กับปีสองที่ดูจะเป็นห่วงน้องๆกันไม่น้อยเลยทีเดียว
“พวกนายมีแผนยังไง?” มาซาฮิโกะคนที่พูดน้อยที่สุดกลับเป็นคนถามคนแรก พร้อมทั้งกวาดสายตามองรุ่นน้องที่นั่งเรียงหน้ากระดานทั้งสามคน
“ไม่รู้… ยังไม่คิดเลย พวกนายว่าไง?” ฮิโระที่โน้มตัวนอนแผ่คาโต๊ะเป็นคนตอบ แล้วโยนลูกส่งต่อให้เพื่อนอีกสองคน
“ฉันไม่คิดจะร่วมมือกับพวกนายหรอก และไม่คิดว่านี่จะเป็นธุระกงการอะไรของพวกปีสองด้วย”
จู่ๆผู้รอบรู้ก็ทำตัวหยิ่งขึ้นมากะทันหัน นอกจากจะไม่เอาเพื่อนฝูงแล้ว ยังตัดไมตรีพี่ๆอย่างไม่ใยดีด้วย คาโอรุกวาดข้าวของตัวเองยัดลงกระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวออกจากสภา
“เจ้าคาโอรุมันคิดจะโซโล่เดี่ยวหรือไง” ฮิโระบ่นอุบ
“ความสามารถของคาวาชิมะเหมาะที่จะลุยเดี่ยว” ซุยช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ “เค้าเป็น ฮันเตอร์ เค้าไม่เคยบอกพวกนายหรือไง”
“หา!!!!”
สองเพื่อนซี้อุทานลั่น โดยเฉพาะฮิโระที่หน้าซีดจ๋อยไปเรียบร้อย นี่ที่ผ่านมา… เค้าอยู่ร่วมชายคากับนักล่ามาโดยตลอดเหรอเนี่ย
นักล่ากับนักฆ่า… สองสายอาชีพที่เรียกได้ว่าสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“คาวาชิมะเก่งกว่าที่พวกนายคิดมาก ฉันเคยสู้มาแล้วถึงรู้ว่าฝีมือเค้าไม่ธรรมดา แต่เค้าเป็นคนที่ค่อนข้างกังวลกับคนรอบข้าง ถ้าทำงานคนเดียวจึงคล่องตัวกว่า” ซุยขยายความต่อ
“หมายความว่าถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยจะเป็นตัวถ่วงสินะ” มิสึกิช่วยสรุปให้ แต่น้องๆอีกสองคนฟังแล้วไม่สบายใจสักนิด ในส่วนลึกของจิตใจคาโอรุคงโดดเดี่ยวมาก ถึงพยายามทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอด
…ไร้เพื่อน ไร้มิตร ไร้ความรู้สึก… คือนักล่าที่สมบูรณ์แบบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด ไทกิเองก็เคยสัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน จึงเข้าใจความคิดของคาโอรุเป็นอย่างดี
ไทกิยกมือขึ้นมาเกาคางพร้อมครุ่นคิด พอตวัดสายตาเห็นรุ่นพี่ร่วมองค์กรนั่งเอกเขนกอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดความคิดดีๆแวบขึ้นมา
“พี่มิสึกิ… ขอคุยด้วยหน่อยได้ป่ะ” ไอ้ตัวแสบทำตาใสปิ๊งอ้อน
มิสึกิขมวดคิ้ว ไม่รู้คุณหนูคนเก่งของเค้าจะมามุกไหนอีก
“อืม… ก็ได้ครับ”
“งั้นดีเลย… ไปหาอะไรกินข้างนอกกัน กินไปด้วยคุยไปด้วย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” ว่าแล้วไอ้ตัวยุ่งก็มาลากแขนรุ่นพี่ลงจากเก้าอี้
นัยน์ตาสีเข้มตวัดมอง จู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียดขัดจังหวะ
“มีอะไรนายคุยกับฉันก็ได้นี่ไทกิ ทำไมต้องรบกวนมิสึกิด้วย” ซุยแย้ง แถมยังส่งสายตาเย็นชาไปให้เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังออกอาการร้อนๆหนาวๆกับสายตาของเพื่อน
“คุยกับนายไม่ได้หรอก ต้องนี่… พี่มิสึกินี่สิ ถึงจะมีความหวัง” ไทกิยักคิ้วกริ่ม โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจุดไฟให้สายน้ำเดือดปุดๆ
“นายเห็นฉันไร้ค่าขนาดนั้นเลยเหรอ” ซุยถามเสียงเครียด
“ไปกันใหญ่แล้ว” ไทกินึกอยากกุมขมับ ปกติมันใจเย็นจะตาย ทำไมจู่ๆถึงเดือดขึ้นมาได้ฟะเนี่ย “ฉันก็แค่มีเรื่องจะปรึกษามิสึกิ เอาเป็นว่าถ้าฉันอยากให้นายช่วยเมื่อไหร่จะบอกแล้วกัน งั้น… ฉันไปก่อนนะ”
ไทกิตัดบทดื้อๆก่อนจะลากตัวมิสึกิออกไปจากสภา ฮิโระลุกขึ้นมาจากโต๊ะอย่างเกียจคร้านแล้วเปรยเบาๆ
“ฉันเองก็กลับไปคิดแผนที่หอบ้างดีกว่า” ว่าแล้วนักฆ่าก็เผ่นหนีออกจากห้องไปอีกคน
“เฮ้อ” มาซาฮิโกะถอนใจ “สรุปว่ามีแต่นายกับฉันที่ไร้ประโยชน์”
มาซาฮิโกะเหลือบตามองรูมเมท เห็นมันยังเอาแต่ทำหน้าเครียดเลยช่วยออกความเห็น
“คืนพรุ่งนี้นายว่างไม่ใช่เหรอซุย จะลองไปเที่ยวเตร็ดเตร่แถวตึกซันไชน์เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างก็ไม่เลวนะ เดี๋ยวฉันเช็คชื่อเพื่อนหอให้ก็ได้”
“มาซาฮิโกะ…” ซุยหันกลับมามองเพื่อนร่วมห้องด้วยความซาบซึ้ง
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงน้องๆ และยิ่งรุ่นพี่โนะอิลงมือเองคงไม่เป็นแค่การดวลธรรมดาหรอก งานนี้ถ้าปีหนึ่งพลาดอาจมีคนตาย นายอยากตามไปก็ตามไปสิ ไม่เห็นจะต้องสนคำพูดของรุ่นพี่โนะอิเลย”
“ขอบใจมาก มาซาฮิโกะ” ซุยตบไหล่เพื่อนแทนคำขอบคุณ คำแนะนำของรูมเมทช่วยได้เยอะ ก่อนที่พวกเค้าจะเป็นชุดสุดท้ายที่ปิดสภาแล้วกลับหอเพื่อคิดแผนซ้อนแผนช่วยน้องๆต่อไป

“อะไรนะ! ให้ขโมยของจากองค์กร!!”
มิสึกิสำลักกาแฟจนจุก เค้าต้องทุบหน้าอกตัวเองอยู่หลายทีกว่ากาแฟเจ้ากรรมจะไหลผ่านลำคอลงไปถึงกระเพาะได้โดยสวัสดิภาพ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าผู้นำอีกที
“คิดจะให้ผมขโมยอาวุธมาให้คุณจริงๆเหรอครับ” มิสึกิถามซ้ำ
“ก็แหม… ถ้าไม่ได้ใช้อาวุธของตัวเองมันก็ไม่ถนัดใช่มั้ยล่ะ ถ้าวันนั้นฉันไม่สู้กับลิลลี่จนปางตายแล้วเผลอลืมทิ้งไว้ที่องค์กรล่ะก็ ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนนายหรอก”
มิสึกิยกมือกุมขมับ “ผมพนันได้เลยว่าลิลลี่ต้องเก็บของทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณไว้ในที่ที่ปลอดภัยกว่าเก็บสมบัติขององค์กรแน่ๆ”
“แต่ฉันรู้รหัสลับของลิลลี่นะ สนมั้ย?” ไทกิยักคิ้วแผล็บ
“ให้ผมหามีด ปืน ระเบิด หรือขีปนาวุธมาให้ยังจะง่ายซะกว่า”
ไทกิส่ายหัว “ขืนให้ฉันใช้ปืนก็มีหวังได้วิบัติกันทั้งโรงเรียนน่ะสิ เวลาหน้ามืดทีไรฉันยิ่งยั้งมือตัวเองไม่เป็นอยู่ด้วย”
“ข้อนั้นผมก็เข้าใจ” มิสึกิคลี่ยิ้มบางๆ “แต่จะให้ผมเสี่ยงตายไปตอแยกับลิลลี่เนี่ย มันไม่โหดกับผมไปหน่อยเหรอครับ คุณไทกิ”
“ฉันรู้ว่ามิสึกิทำได้” ไทกิจับมือรุ่นพี่ไว้พร้อมกับย้ำคำหนักแน่น “ฉันรู้… ถ้าไม่แน่จริง นายไม่มีทางได้เป็นซากุระหรอก”
“ลงทุนยอผมซะขนาดนี้ ไม่ช่วยก็คงไม่ได้แล้วใช่มั้ยครับ” มิสึกิยิ้มอย่างอ่อนโยน “เอาเป็นว่า… ก่อนพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาสิ่งที่คุณต้องการมาให้ แต่คุณไทกิต้องสัญญากับผมหนึ่งข้อได้มั้ย”
“ว่ามาเลย” เด็กหนุ่มทำหน้าระริกระรี้
“ห้ามฆ่าใครเด็ดขาด ไม่ว่าภารกิจนี้หรือภารกิจไหน สัญญานะครับ”
ไทกิทำท่าอึกอัก “ไม่ให้ฆ่า แม้แต่คนที่คิดจะฆ่าฉันนะเหรอ”
“คุณไทกิ…” รุ่นพี่เอื้อมมือลูบหัวด้วยความเอ็นดู “คนรอบตัวคุณพร้อมที่จะปกป้องคุณทั้งนั้น ทั้งเพื่อนคุณ ทั้งผม ทั้งซุย ไม่มีใครยอมให้คุณได้รับอันตรายแน่ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ไทกิพยักหน้าอย่างเข้าใจและซาบซึ้ง บางที… ถ้าได้รู้จักมิสึกิก่อนหน้านี้ ความคิดเรื่องหนีออกจากองค์กรอาจไม่อยู่ในหัวของเค้าเลยก็ได้ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีพี่ชาย แบบนี้มันน่าเข้าไปอ้อนแล้วขอนอนกอดสักคืนให้หายมันเขี้ยวนัก
มิสึกิยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา เย็นมากแล้ว… ถ้าต้องปฏิบัติภารกิจล่าของจาก Death Flowers ก็ต้องรีบไปตั้งแต่ตอนนี้
“ผมไปก่อนดีกว่า คุณไทกิเองก็ตั้งใจวางแผนทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จนะครับ”
“อื้ม… นอนใจได้เลย ระดับฉันลงมือเองรับรองไม่มีพลาด”
‘ก็นั่นแหละที่เป็นห่วง’ มิสึกิแอบสลดในใจ ก็เวลาพ่อเจ้าประคุณลงมือเองทีไร เป็นได้เรื่องทุกทีสิน่า
แล้วทั้งสองคนก็แยกย้าย ไทกิกลับหอนอนสบายใจเฉิบตามที่พูดทุกประการ ในที่ขณะที่มิสึกิต้องปฏิบัติภารกิจลากเลือดเสี่ยงตายขโมยของจากรองผู้นำแห่ง Death Flowers

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22: Ch.15 ต่อ 

สี่ทุ่ม… ดึกสงัด
พนักงานทำความสะอาดคนสุดท้ายเดินออกมาจากตึกซันไชน์ เหลือไว้เพียงยามรักษาการสามคนที่ประจำการอยู่หน้าตึก
ร่างเพรียวในชุดพรางตาสีดำสนิทแทรกซึมผ่านเข้าไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พนักงานกำลังปิดประตูและล็อกกุญแจทุกอันเพื่อปิดทางเข้าออก ผ้าสีดำถูกโยนขึ้นไปคลุมกล้องวงจรปิดทั้งหกอันตรงบริเวณโถงทางเข้า
ขณะนี้ แผนแรก… การลอบแทรกซึมเข้ามายังสถานที่เป้าหมาย… สำเร็จเรียบร้อยโดยสมบูรณ์แบบ
ทางลงไปสู่ชั้นใต้ดินถูกล็อกไว้ด้วยประตูเหล็กหนาซึ่งตั้งรหัสจำเพาะ เด็กหนุ่มใช้ไฟฉายขนาดจิ๋วส่องไปยังบล็อกหมายเลข 0-9 ทาสารสังเคราะห์บางอย่างลงไป จนตัวเลขสี่ตัวค่อยๆเรืองแสงจางๆ
… 0 3 4 8 …
ต้องเป็นรหัสที่เกิดจากการเรียงเลขสี่ตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เรียวปากสวยได้รูปกรีดยิ้มบาง โชคดีนะที่เค้าเกิดมาหัวดี และเกมสลับตัวเลขแบบนี้เล่นมาไม่รู้กี่ล้านครั้ง ความน่าจะเป็น… (อันนี้ Fog มั่วเอง เด็กเรียนทั้งหลายกรุณาอย่าจริงจัง)
นิ้วเรียวจิ้มจึ้กไปที่หมายเลข … 4 3 8 0 …
ประตูยังนิ่ง
‘ก็แค่ครั้งแรก” เด็กหนุ่มคิดในใจ
นิ้วเรียวๆจึงจิ้มต่อไป … 3 0 4 8 …
ประตูเจ้ากรรมก็ยังไม่สะเทือน
คิ้วคมๆขมวดมุ่น และเริ่มใช้วิชามารโดยการเปรยขู่ประตูหัวดื้อเบาๆ
“ถ้าคราวนี้แกไม่เปิด ฉันจะใช้ระเบิดฝังแกแน่”
นิ้วเรียวจิ้มไปอีกที แต่ย้ำหนักแน่นกว่าเดิม
… 8 0 4 3 …
เด็กหนุ่มถอยตัวออกห่างเล็กน้อย มือหนึ่งล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อเตรียมบอมบ์ในกรณีที่ประตูมันดื้อไม่ยอมรับคำสั่ง แต่คราวนี้กลับได้ผล… ประตูมันคงกลัวตายเลยเลื่อนเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นบันไดทอดยาวลงไปยังห้องใต้ดินที่มืดสนิท
มือเล็กๆส่องไฟฉายนำทาง ค่อยๆเดินทีละก้าวด้วยฝีเท้าที่เงียบและเบาราวกับปุยนุ่น สายตายังคอยจับจ้องอยู่รอบด้าน เพราะถ้าเค้าไม่ใช่คนเดียวที่คิดจะมาทำภารกิจก่อนเวลา ก็อาจจะมีคนอื่นที่มารอดักล่วงหน้า และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพวกปีสาม เพราะเพื่อนซี้ของเค้าทั้งสองคนมันบ้องตื้นเกินกว่าจะคิดแผนที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้
เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในความเงียบสักพัก รอจนแน่ใจว่าไม่มีใครโผล่ออกมาแล้ว จึงค่อยย่องไปที่ตู้เซฟเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทโทโจคอเปอเรชั่น นัยน์ตาสีเขียวสดเห็นแผงตัวเลขวงกลมหน้าตู้เซฟ ก็เริ่มจะหงุดหงิดนิดๆ ถ้าเค้ามัวแต่มาเล่นเกมทายตัวเลข มีหวังพวกปีสามคงแห่กันมาครบทีมแน่
ไม่ได้การ… แบบนี้มันต้องใช้วิชามารประจำตระกูลซะแล้ว
นิ้วเรียวล้วงอาวุธลับเป็นเลเซอร์ขนาดจิ๋ว จากนั้นก็ค่อยๆกรีดผ่านช่องว่างระหว่างประตูเซฟอย่างระมัดระวัง พอเค้าได้ยินเสียงดังกริ๊ก ประตูก็เด้งเปิดออกทันที เด็กหนุ่มใช้สายตาสำรวจหาของเป้าหมาย แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับกล่องอะลูมิเนียมใบเล็ก เด็กหนุ่มหยิบออกมาเปิดดู
‘แจ็กพ็อต!’
เด็กหนุ่มคิด ก่อนจะหยิบฟล้อบปี้ดิสก์เก็บลงกระเป๋าพก ตอนนี้เค้าได้ของเป้าหมายแล้ว เหลือแค่พรางตัวแล้วหลบออกไปจากตึกนี้ให้ได้เท่านั้นภารกิจก็จะสำเร็จ เค้าจึงดับไฟฉายซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ให้แสงสว่างเพียงสิ่งเดียวเพื่อพรางตัวในความมืด เพราะเค้าจดจำเส้นทางได้หมดแล้ว ต่อให้หลับตาเดินก็ยังออกไปได้โดยปลอดภัย
แต่ทว่า…

“คาวาชิมะ คาโอรุ”

เสียงเรียกจากน้ำเสียงนุ่มๆตามแบบฉบับ สะกดทุกสรรพสิ่งรอบด้านให้หยุดนิ่ง ฝีเท้าที่ควรจะก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก พอเหลียวมองขึ้นไป ก็เห็นเงาร่างบอบบางที่ไม่ค่อยสูงนักยืนกอดอกอย่างใจเย็นอยู่หน้าบานประตู คนๆนั้นยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่คาโอรุเห็นแล้วยิ่งท้าทาย แล้วต่างฝ่ายต่างก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากัน
“ถ้าไม่ตามนายมา ก็คงไม่รู้ว่านายเป็นนักล่ามืออาชีพ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” คาโอรุไหวไหล่ “ว่าแต่พี่ยูเองก็คงไม่ใจดีขนาดจะตามมาคุ้มกันผมหรอก จริงมั้ย”
รุ่นพี่ขยับรอยยิ้มกว้าง “ก็ไม่เชิงนะ… แต่บังเอิญพี่อยากเป็นคนแรกที่ทำภารกิจนี้สำเร็จ เพราะฉะนั้นดิสก์อันนั้นขอพี่ได้มั้ย”
ยูยื่นมือไปขอดื้อๆ แถมยังกรีดยิ้มหวานตามสไตล์ แต่คาโอรุเบ้หน้าแทนคำตอบ
“ผมก็เพิ่งรู้นะว่าพี่เป็นสายนักล่าเงา แถมยังเป็นพวกที่ชอบชุบมือเปิบแย่งของคนอื่น”
“เรียกว่าใครดีใครได้ดีกว่านะ” ยูช่วยแก้ไขให้ฟังดูดีขึ้นมานิด
“งั้นก็ต้องขอดูหน่อยแล้ว ว่าพี่จะมีดีอย่างที่คุยหรือเปล่า”
นักล่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อาศัยความมืดพุ่งจู่โจมเข้าหาร่างบางที่ยังยืนเต๊ะท่า แต่เพราะฝีมือที่เหนือชั้นพอกันยูจึงเบี่ยงตัวหลบได้อย่างว่องไว แล้วอาศัยจังหวะชักปืนพกออกมายิงสวนหนึ่งนัด

ปัง!!!

เสียงปืนดังลั่น กระสุนพุ่งฉิวกลางอากาศตวัดเฉียดศีรษะของคนที่กระโดดเข้ามาจู่โจมจนเสียหลัก กลิ้งกลับลงไปที่กลางห้องโถง แต่ยังดีที่ไหวตัวทันจึงลงพื้นได้โดยสวัสดิภาพ ตาสีเขียวสดจับนิ่งที่คู่ต่อสู้ มืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังกระชับอาวุธประจำตัวที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเอาออกมาใช้ในภารกิจครั้งนี้
“ถึงกับเล่นปืนผาหน้าไม้เลยเหรอ ไม่เมตตาปรานีรุ่นน้องบ้างเลยนะพี่ยู” คาโอรุประชดอย่างเหลืออด
“ก็รุ่นน้องน่ารัก พี่ก็อยากโชว์ฝีมือให้เต็มที่น่ะสิ โดยเฉพาะ… คู่แข่งอย่างนาย”
ยูไม่รอช้า พอพล่ามจบก็หยิบปืนพกออกมาอีกหนึ่งกระบอกแล้วกราดรัวไม่ยั้ง เสียงปืนดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วห้องโถงใต้ดิน โชคยังดีที่ห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียง ไม่อย่างนั้นยามคงได้แห่กันมาทั้งตึกแน่
เสียงยังดังสะท้อนไม่หยุด ควันจากกระบอกปืนลอยอบอวลราวกับสายหมอกแห่งความตายที่แทรกซึมอยู่ในเงามืด ยูลดกระบอกปืนทั้งคู่ลง แล้วกวาดสายตามองหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่รุ่นน้องตัวแสบกลับหายตัวไปซะแล้ว
“อย่าขยับ… ไม่งั้นฉันเชือดนายแน่”
เสียงเยียบเย็นซึ่งกระซิบมาจากทางด้านหลังทำให้ยูตัวแข็งทื่อ เหงื่อเย็นๆไหลซึมทั่วหน้าผาก แต่ก็ยังอดทึ่งไม่ได้ ท่าทางไอ้น้องคนนี้มันจะเก่งจริงแฮะ ไม่ใช่แค่ราคาคุยซะแล้ว ปกติในสายนักล่าเงาเค้าก็อยู่ในอันดับต้นๆ แต่ไอ้หมอนี่กลับอาศัยช่องว่างที่แทบจะไม่มีจู่โจมประชิดตัวเค้าอย่างรวดเร็ว
ยูถอนใจให้กับความพ่ายแพ้ ก่อนจะหันกลับไปช้าๆ แต่พอเห็นอาวุธที่มันเอามาจ่อประชิดต้นคอยิ่งทำให้ทึ่งจัด…
พัดขนาดใหญ่แกะลายเป็นรูปขนนกสีแดงวางเรียงซ้อนเหลื่อมกันได้อย่างงดงาม ลายสลักคล้ายขนเพลิงแห่งจ้าววิหคทั้งมวล
…ฟินิกซ์…
 เรื่องความคมนั้นรับประกันได้ เพราะแค่ตวัดเฉียดไรผมก็เฉือนปลายผมของยูร่วงไปหนึ่งหย่อม แต่ที่น่าทึ่งก็คือมันทำจากโลหะอะไรถึงได้บางเบาและคมกริบขนาดนี้ เป็นอาวุธที่เหมาะกับผู้รอบรู้อย่างคาโอรุจริงๆ

ปัง!!!! ปัง!!!! ปัง!!!!

เสียงปืนที่รัวกระหน่ำมาจากอีกด้าน ทำให้คาโอรุต้องกรีดพัดออกไปกันไว้ ลูกตะกั่วกระทบโลหะดังเคร้งร่วงกราว คาโอรุดึงขนนกออกจากพัดเหล็กหนึ่งเส้น แล้วปาสวนเข้าใส่จนไปปักเข้ากลางข้อมือของนักล่าอีกคนที่ซุ่มรออยู่
“ออกมาเถอะพี่โฮตารุ พี่กับพี่ยูติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะยอมให้พี่ยูออกมาเสี่ยงกับภารกิจนี้คนเดียวหรอก”
“บ้าชิบ!!” โฮตารุสบถอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวออกจากที่หลบซ่อน ในมือยังมีเลือดไหลซึม แต่ก็ยังกระชับปืนไว้แน่น เค้าก้าวเข้าไปหารุ่นน้องด้วยความระมัดระวัง เพราะคนรักยังตกเป็นตัวประกันของมันอยู่
“นายชนะเราสองคนแล้ว เอาดิสก์ไปแล้วปล่อยยูซะ” โฮตารุต่อรอง
“ไม่มั้งครับ… พวกพี่มีตั้งสองคนจะเล่นไม่ซื่อเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมว่าเรากลับโรงเรียนทั้งแบบนี้ดีกว่า ผมรับรองว่าจะคุ้มกันพี่ยูกลับหอโดยปลอดภัยแน่”
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”
เสียงที่สี่ซึ่งค่อยๆเยื้องกรายเข้ามาทางช่องประตู ทำให้คาโอรุเริ่มลังเล เสียงนั่นไม่ใช่โนะอิ เพราะถ้าเป็นโนะอิเค้าจะสบายใจกว่านี้ ไหนบอกว่านี่จะเป็นภารกิจเฉพาะกลุ่มสมาชิกพิเศษไง แล้วไอ้ตัวที่สี่ที่โผล่มามันเป็นใครอีกล่ะเนี่ย
แล้วข้อสงสัยในใจของคาโอรุก็ได้รับการเฉลย… ไฟฉายกระบอกเล็กๆกราดไปยังเป้าหมายซึ่งกำลังไต่บันไดลงมาอย่างใจเย็น พอเห็นภาพทุกอย่างแจ่มชัด คาโอรุก็แทบอยากยกมือขึ้นมากุมขมับให้หายเครียด เสียดายที่มือยังไม่ว่างเพราะต้องคอยจับยูไว้เป็นตัวประกัน
“นายลืมฉันอีกคนได้ไงเนี่ย” คนๆนั้นประท้วง
“นั่นสิ… ผมก็ลืมไปได้ไง ว่ายังมีแฝดมหัศจรรย์ที่ชอบทำตัวเป็นปาท่องโก๋อีกคน ขนาดภารกิจลับเฉพาะกลุ่ม special members ก็ยังหาช่องมาแส่กับเค้าจนได้ จริงมั้ย… พี่มาโมรุ”
คาโอรุเริ่มจะเดือดดาล ยิ่งเห็นหน้าโง่ๆที่ถูกล็อกตัวอยู่ในอ้อมแขนของมาโมรุแล้วก็ยิ่งเดือด
‘โง่! โง่ที่สุด!’
ปากนะอยากจะด่ามันเหลือเกิน แต่เคยประกาศไว้แล้วว่าจะไม่คุยกับมันอีก เลยพูดไม่ได้เพราะกลัวจะเสียฟอร์ม
มาโมรุยักคิ้วกริ่ม “ยูอยู่ไหน ฉันก็อยู่นั่น แล้วมันก็บังเอิญตอนที่ยูกับโฮตารุแอบย่องตามนายมา ไอ้หมอนี่ (ที่ถูกล็อกอยู่) ก็สะกดรอยตามยู ฉันก็เลยสะกดรอยซ้อนมาอีกทีไงล่ะ แต่ไม่คิดว่าจะโชคดีได้มันเป็นตัวประกันมาต่อรองกับนาย”
“บ้าเอ๊ย!!!” คาโอรุสบถบ้าง เพราะชักจะโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว งานที่ควรจะสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย ก็โดนมันทำซะป่นปี้จนได้ งี่เง่า!
“ฉันขอโทษนะคาโอรุ ก็ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนอื่นนอกเหนือจากสมาชิกพิเศษตามมาด้วย”
ฮิโระรีบไหว้ประหลกๆเพื่อขอโทษเป็นการใหญ่ แต่หน้าสวยๆก็ยิ่งบึ้งตึง คดีเก่ายังไม่ทันหาย คดีใหม่ก็เสือกเข้ามาแทรก แล้วชาตินี้เค้าจะหวังคืนดีกับมันได้มั้ยเนี่ย
คาโอรุพยายามข่มตาสะกดอารมณ์ สถานการณ์แบบนี้มีแต่ต้องสติให้ดีเท่านั้น ถึงมันจะเหลือแค่น้อยนิดก็เถอะ
“นายจะเอายังไง?” คาโอรุถามมาโมรุตรงๆ รุ่นพี่จึงขยับรอยยิ้มกริ่ม
“ก็ไม่ยาก… เอาฟล้อบปี้ดิสก์นั่นให้ยู แล้วนายก็ปล่อยยูซะ พี่ก็ยอมปล่อยโซมะให้เป็นอิสระ”
“ฝันเหอะ!” คาโอรุย้อน แค่มันเซ่อซ่าไปติดกับคนอื่นง่ายๆก็โง่เต็มทน นี่ยังให้เค้าต้องลดตัวไปโง่กับมันด้วยเนี่ยนะ ไม่มีทางซะล่ะ
“อืม… เพื่อนนายเนี่ยแล้งน้ำใจจังเลยนะ” มาโมรุหันมาเปรยกับฮิโระบ้าง พร้อมกับฉีกยิ้มเหี้ยม แล้วชักปืนออกมาจ่อที่แขนขวาของฮิโระ
“เฮ้ย! เอาจริงอ่ะ” นักฆ่าเริ่มลนลาน ไหนบอกว่าเป็นภารกิจเชื่อมสัมพันธ์ไงฟะ นี่พี่แกเล่นเอาปืนจริงๆมาขู่กันเลยเรอะ
“ฉันไม่ใจดีเหมือนโฮตารุกับยูหรอกนะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามแล้วยิงโซมะทีละนัด จากนั้นก็จะนับใหม่แล้วยิงอีกครั้งจนกว่านายจะยอมแพ้ หรือไม่ก็จนกว่า… โซมะจะตาย”
มาโมรุเอาจริงแน่ คาโอรุมองตาก็รู้ หมอนี่เป็นนักล่าโดยสายเลือด เพื่อภารกิจยอมทุ่มเททำได้ทุกอย่าง ไม่สนกติกาหรือกฎ แม้แต่ฆ่าคนที่รู้จักมันก็ทำได้ คาโอรุกรีดพัดกลับไปจ่อต้นคอของยู งานนี้มันต้องตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น ใครใจแข็งกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ
“ถ้านายทำร้ายมัน ฉันก็จะเชือดเพื่อนนายเหมือนกัน ว่าไง?” คาโอรุต่อรอง
“งั้นก็ต้องวัดใจกันหน่อย”
มาโมรุขยับปืนดังกริ๊ก จี้ฝังต้นแขนฮิโระ นักฆ่าตัวแสบหลับตาปี๋ งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องตายไปข้างล่ะวะ
“หนึ่ง…”
มาโมรุเริ่มต้นนับ
“สอง…”
คาโอรุขยับพัดประชิดต้นคอขาวๆของยูจนเลือดซึม นักล่าต่างจ้องตากันไม่ลดละ ใครพลาดก่อนมีหวังเพื่อนซี้ต้องดับคาที่แน่ๆ
“สาม”

ปัง!!!!

เสียงไกปืนลั่นผ่านความเงียบ ตวัดผ่านต้นแขนของนักฆ่า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ฮิโระกุมแขนตัวเองไว้แน่น พยายามกัดฟันไม่ร้อง แต่ดูก็รู้ว่ามันคงเจ็บมาก เพราะเลือดไหลไม่หยุดเลย
“นาย!!!!” คาโอรุกัดฟันกรอดๆ จ้องหน้ามาโมรุเขม็ง ตอนแรกก็คิดว่ามันจะขู่เล่นๆ ไม่คิดว่ามันจะกล้ายิงรุ่นน้องร่วมสถาบันจริงๆ ขนาดยูกับโฮตารุก็ยังอึ้งจนพูดไม่ออก
“หนึ่ง…” มาโมรุเหนี่ยวไกแล้วเริ่มต้นนับใหม่ คราวนี้เล็งเป้าไปที่ขาขวา “สอง…”
“พอได้แล้ว!!!” คาโอรุตะโกนสวน ยอมลดพัดอาวุธชิ้นสำคัญลง แล้วผลักยูกลับคืนไปให้มาโมรุ “ปล่อยมันได้แล้ว”
“เดี๋ยว… ยังก่อน แล้วแผ่นดิสก์ที่พี่ต้องการล่ะ”
คาโอรุกระตุกหางตาวับ แต่ก็ยอมล้วงดิสก์ชิ้นสำคัญส่งให้อย่างหงุดหงิด มาโมรุถึงยอมผลักตัวประกันคืนมาให้
“เป็นเด็กดีว่าง่ายๆแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่ารุ่นน้องที่น่ารัก” พอได้โอกาสรุ่นพี่จอมโกงก็ทับถมใหญ่
“ถ้าคิดว่าได้ชัยชนะแบบนี้แล้วภูมิใจก็เชิญ แต่กรุณาจำไว้อย่างว่าผมยังไม่แพ้ ถ้ามีโอกาส… เรามาดวลกันตัวต่อตัว กล้ามั้ยล่ะรุ่นพี่”
“ได้ดวลกับคนน่ารักอย่างนาย ฉันยินดีเสมอ แล้วเจอกันใหม่นะ คาวาชิมะ คาโอรุ”
มาโมรุรับคำท้า ก่อนจะลากเพื่อนสองคนออกไป แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายหันมาสั่งเสียรุ่นน้องทั้งสอง
“อ้อ… ลืมบอกไป พี่วางกลไกระเบิดไว้ที่หน้าห้องใต้ดินแล้ว ถ้ามีใครพยายามจะตามพวกเราล่ะก็เสียใจด้วย ทางที่ดีอยู่ห่างๆประตูไว้นะเด็กๆ แล้วพรุ่งนี้ตีห้าพี่จะมาปล่อยออกไป หลับให้สบายนะจ๊ะ”
แล้วรุ่นพี่ทั้งสามก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและความมืดไว้ในห้องใต้ดินที่อึมครึมอีกครั้ง

คาโอรุถอนใจปลงชีวิต ก่อนจะเอนหลังนั่งพิงฝาผนัง ฮิโระก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ เห็นมันเอาแต่หลับตานิ่งก็ยิ่งเป็นห่วง
“นายเป็นไงบ้างคาโอรุ บาดเจ็บหรือเปล่า”
ฮิโระขยับเข้าไปใกล้ ใช้สายตาสำเร็จร่างกายมันคร่าวๆแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีบาดแผลตรงไหน สายตาของนักล่าหันมาค้อน ตัวมันเองเจ็บปางตายแล้วยังจะมีหน้ามาถามคนอื่น ไม่เจียมตัวเลยจริงๆ พับผ่าสิ… แต่คาโอรุก็เลือกที่จะใช้บทเงียบแทนที่จะด่ากลับ แล้วแกล้งหลับตานอนต่อ
“ฉันก็รู้ว่าฉันมันงี่เง่า”
เออ… ก็ยังดีที่รู้
“แต่ฉันไม่คิดจริงๆนะว่าจะมีคนตามมา แถมพี่มาโมรุยังเล่นทีเผลอ จู่โจมตอนที่ฉันกำลังลุ้นนายสู้กับพี่ยู ฉันก็เลยพลาด” ฮิโระเว้นวรรคอยู่นาน ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ “ฉันขอโทษคาโอรุ เอาล่ะ… เชิญนายด่าฉันได้ตามใจชอบเลย”
ขนาดท้ามันขนาดนี้ คาโอรุก็ยังเอาแต่นิ่ง ท่าทางมันจะโกรธจัดจริงๆแฮะ
“นี่… พูดอะไรหน่อยสิ” ไอ้ตัวแสบยังตื๊อไม่เลิก ขนาดมีความผิดติดตัวเป็นกระบุงโกยยังไม่สำนึก กล้ามาตอแยใช้นิ้วเน่าๆมาจิ้มลักยิ้มเค้าอีก
“น่านะ… พูดหน่อยน่า” ฮิโระเริ่มอ้อนเป็นเพลง จนคนนิ่งทนไม่ไหว ปัดมือมันออกจากแก้ม
“นายมันบ้าบอไม่เลิกจริงๆฮิโระ ศัตรูหน้าไหนมันจะบอกนายว่าจะยกโขยงมากี่คน แล้วจะจู่โจมนายตอนไหน เรื่องแค่นี้ที่บ้านนายไม่เคยสอนหรือไง งี่เง่า!”
นั่น… ขนาดมีคำสำคัญด่าปิดท้าย แทนที่มันจะสลด กลับเอาแต่กุมท้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา จนคาโอรุต้องเป็นฝ่ายกุมขมับซะเอง เพราะทนกับความหน้าด้านของมันไม่ไหว
“ญาติเสียหรือไง หัวเราะอยู่ได้”
เท่านั้นแหละ เจ้าฮิโระมันก็เลิกกลิ้ง แล้วกลับมานั่งแหมะทำตัวเรียบร้อยข้างๆเพื่อน(คน)รักอีกครั้ง
“นายยอมพูดกับฉันแล้ว” ฮิโระอมยิ้ม “นายไม่ยอมพูดกับฉันตั้งสองอาทิตย์ ฉันอึดอัดจะแย่แล้วรู้มั้ย”
คาโอรุเริ่มหน้าแดง นี่เค้าโง่เองเหรอเนี่ย อุตส่าห์รักษาฟอร์มมาได้ตั้งสองอาทิตย์ กลับมาพลาดง่ายๆ มันน่าเจ็บใจจริงๆ
ฮิโระสบายใจแล้ว ก็ชักจะปวดแขนขึ้นมาตะหงิดๆ พอพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเห็นแผลตัวเองเท่านั้น นักฆ่าก็ทำหน้าเหยเก
“ให้ตายสิ… เจ้ามาโมรุติดจะฆ่ากันเลยหรือไงฟะ” ฮิโระบ่นอุบ
คาโอรุชำเลืองหางตามอง เห็นเลือดไหลไม่หยุดก็ชักเป็นห่วง แต่ไม่อยากเสียฟอร์มเลยรีบเบือนหน้าหนี
“โอ๊ะ! โอ๊ะ! แย่แล้ว” เจ้าฮิโระมันทำแผลตัวเองเองด้วยความระทึก ทำไปก็ร้องโอดโอยไปด้วยเป็นซาวนด์เอฟเฟ็ก อย่างกับเพิ่งผ่านสมรภูมิแล้วโดนยิงพรุนมาทั้งตัวอย่างนั้นแหละ
คนที่เย็นชักจะทนไม่ไหว พอหันมาอีกรอบเห็นแผลเหวอะกว่าเก่า อาการใจอ่อนก็กำเริบ
“ไหน… ขอดูหน่อย”
“หืม?” ฮิโระทำหน้างง
“ก็นายโดนยิงไม่ใช่เหรอ ขอฉันดูแผลหน่อย”
คาโอรุไม่รอให้มันเอ่ยปากอนุญาต รีบคว้าแขนหมับเข้ามาดูใกล้ๆ บาดแผลไม่ลึกนัก กระสุนคงเฉียดไม่ถึงขั้นฝังใน แต่เลือดก็ไหลซึมไม่หยุด คงต้องพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อนแล้วค่อยให้หมอเย็บแผลทีหลัง คาโอรุจึงฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาพันให้
“มองอะไร?” คาโอรุถามตอนที่รู้สึกว่ามันเอาแต่จ้องหน้าเค้าตลอด
“ก็… เปล่า ฉันแค่คิดว่าทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่ชอบนาย ทั้งๆที่นายเป็นคนใจดีและน่ารักมากขนาดนี้”
คาโอรุแกล้งกระตุกผ้ารัดแขนฮิโระซะแน่นจนมันร้องลั่น ก่อนจะผูกปมเงื่อนเป็นการปิดท้าย
“ถ้าขืนยังพูดมากอีกล่ะก็ ต่อให้นายตายฉันก็จะไม่สนใจอีกแล้ว”
ฮิโระลูบแขนป้อยๆ แต่ถึงจะเจ็บก็ถือว่าคุ้ม เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าคาโอรุยังห่วงเค้าอยู่
“เอ๊ะ… แล้วไทกิล่ะ?” คาโอรุเพิ่งนึกได้ มัวแต่โมโหฮิโระจนลืมเพื่อนอีกคนซะสนิทเลย
“เออ… จริงด้วย” ฮิโระก็เพิ่งนึกออกเหมือนกัน “ฉันกับไทกิตามนายมาด้วยกัน แต่พอถึงหน้าตึกเราก็แยกไปคนละทาง ป่านนี้มันคงกลับหอนอนหลับปุ๋ยแล้วมั้ง ก็พวกพี่ๆได้แผ่นดิสก์ไปแล้วนี่”
“แต่ฉันว่าไม่” คาโอรุทำหน้าคิดหนัก “โนะอิอีกคนที่ไม่โผล่มาเลย หมอนั่นตั้งใจจะดวลกับไทกิ ถึงพวกปีสามจะได้ดิสก์ไปแล้ว แต่โนะอิก็คงไม่ล้มเลิกความตั้งใจเดิมแน่ ไม่แน่ป่านนี้ทั้งสองคนอาจกำลังสู้กันอยู่ก็ได้”
“เอ… แต่ไทกิก็คงเอาตัวรอดได้หรอก… ล่ะมั้งนะ” ถึงจะเชื่อมั่นในตัวเพื่อน แต่สุดท้ายฮิโระเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า
“โนะอิไม่เคยปล่อยเหยื่อให้รอดชีวิต ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นญาติสนิทก็ตาม” นัยน์ตาสีเขียวส่องแสงหม่นเศร้า ราวกับระลึกถึงความหลังที่เจ็บปวด “ฉันจะไปช่วยไทกิ”
คาโอรุบอกอย่างมุ่งมั่น ในขณะที่ฮิโระทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“แล้วนายจะออกไปช่วยมันยังไง ประตูก็มีระเบิดอยู่เนี่ยนะ”
นักล่าฉีกยิ้มกว้าง “อย่าลืมสิว่าฉันเป็นใคร อย่างน้อยฉันก็ไม่โง่เหมือนนายก็แล้วกัน”
นั่นคือคำยืนยันจากนักล่าผู้ไม่เคยปฏิบัติภารกิจพลาดมาก่อนในชีวิต (ยกเว้นครั้งนี้ที่ต้องมาเสียฟอร์มเพราะมันเนี่ย) ทั้งสองคนเดินเงียบๆขึ้นไปตามขั้นบันได ฝ่ากับระเบิดเพื่อไปช่วยเพื่อนรักอีกคนที่ตอนนี้ไม่รู้ผจญเคราะห์กรรมอยู่ที่ไหน

สองแฝดกับยูเดินทางกลับหอน้ำหลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง แต่ตลอดทางยูก็เอาแต่เงียบ จนโฮตารุที่กำลังเป็นห่วงอดไม่ได้ที่จะถาม
“นายเป็นอะไรไปยู ฉันเห็นนายเงียบมาตลอดทางเลย หรือว่าโกรธมาโมรุ”
“อ้าว!” พี่ชายส่งเสียงประท้วง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
“นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าทำอะไรผิด ถ้าโซมะเป็นอะไรไปฉันกับยูก็ต้องรับผิดชอบ เคยคิดบ้างหรือเปล่า”
“ฉันก็แค่อยากช่วยยูแล้วผิดตรงไหน อีกอย่าง… ฉันก็ไม่เคยคิดจะฆ่าเด็กนั่นจริงๆด้วย”
“อย่ามาแก้ตัวเลย”
“นี่! โฮตารุ…”
“พอเถอะน่า เลิกเถียงกันได้แล้ว” ยูเป็นกรรมการห้ามทั้งคู่ “เรื่องที่มาโมรุทำร้ายโซมะฉันก็ฉุนอยู่หรอก แต่ที่ฉันคาใจคือเรื่องของคาโอรุมากกว่า”
“ทำไม… เพราะเค้าชนะนายก็เลยคาใจเหรอ” มาโมรุถาม
ยูส่ายหน้า “เปล่า… เค้าเก่งจริง ถึงชนะก็ไม่แปลก แต่ที่ฉันติดใจคืออาวุธของเค้า”
“ติดใจเพราะว่าเป็นพัดใช่มั้ย ไม่ค่อยมีคนใช้อาวุธประหลาดแบบนี้หรอก” โฮตารุออกความเห็นบ้าง
“ฉันไม่ได้ติดใจตรงที่มันประหลาด รูปร่างของอาวุธไม่สำคัญเท่ากับการใช้งานที่คล่องแคล่ว ซึ่งคาโอรุก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ฉันติดใจคือตราประทับซึ่งสลักอยู่บนพัดอันนั้นต่างหาก”
“ตราประทับ?” สองแฝดพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหันมาสบตา แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจความหมายของยู
“ตรานั่นเป็น… รูปหงส์เพลิง” ยูเฉลย
“แล้วไง?”
ยูถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์พูดมาตั้งเยอะ พวกมันยังไม่เข้าใจอีกเหรอเนี่ย
“มาโมจังไม่รู้ฉันยังพอรับได้นะ แต่โฮจังไม่รู้เนี่ยสิ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ นายน่ะออกไปทำภารกิจพร้อมโนะอิมากี่ครั้งแล้ว”
“ก็หลายครั้ง แล้วไงล่ะ… เกี่ยวอะไรกับโนะอิด้วย?” โฮตารุยังไม่เข้าใจ
“นายเคยได้ยินตำนานสี่ผู้พิทักษ์หรือเปล่า” ยูเกริ่น ก่อนจะเล่ายาว “ในสมัยเอโดะ โชกุนได้รวบรวมสี่ยอดขุนพลจากสี่ตระกูลรับตำแหน่งผู้พิทักษ์ แบ่งเป็นสายมังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว เต่าเทพ และหงส์เพลิง ถึงแม้ระบบการปกครองแบบเดิมจะล่มสลายไปแล้ว แต่สี่ผู้พิทักษ์ก็ยังอยู่ แถมยังกลายเป็นสี่ตระกูลใหญ่ในปัจจุบันซะด้วย”
ยูหยุดเว้นวรรคนิดนึง แล้วจ้องหน้าสองแฝดที่ยังงงอยู่
“สายมังกรฟ้ากลายเป็นต้นตระกูลเทนโนะ พยัคฆ์ขาวคือโซมะ เต่าเทพคือคุรากิ และหงส์เพลิง… คือไฮบาระ ดาบประจำตระกูลที่โนะอิใช้อยู่เป็นประจำก็มีตราประทับรูปหงส์เพลิง”
“แล้ว… สัญลักษณ์ที่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับคาวาชิมะด้วยล่ะ”
“นั่นแหละที่ฉันอยากรู้ คนที่มีสิทธิ์ใช้ตราหงส์เพลิงต้องเป็นคนในตระกูลไฮบาระเท่านั้น คาโอรุมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลไฮบาระ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องรู้ให้ได้”
“เอาน่า… เรื่องแค่นี้เอง นายก็อย่าเครียดนักเลย เอาไว้ถามโนะอิก็ได้” มาโมรุตัดบทโดยการโอบไหล่ทั้งสองคนเข้ามาหาตัว พร้อมกับฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหันไปกระซิบกับยู “คืนนี้ขอฉันไปนอนค้างห้องนายนะ”
นัยน์ตาสีเข้มของยูหันมาจ้องเอาเรื่อง ก่อนจะปฏิเสธชนิดไม่เหลือเยื่อใย
“นายยังมีความผิดติดตัวนะมาโมรุ เอาไว้สำนึกได้เมื่อไหร่แล้วค่อยคุยกัน” ว่าแล้วก็แกล้งประชดโดยการไปคล้องแขนแฝดน้องหน้าตาเฉย “คืนนี้ค้างกับฉันนะโฮจัง”
หน้าคมๆของแฝดน้องขึ้นสี เพราะยูไม่เคยมาไม้นี้มาก่อน แต่ก็พยักหน้ารับแบบเขินๆ ทิ้งแฝดพี่ที่กำลังอึ้งยืนช็อกอยู่กลางถนนคนเดียว

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ตอนนี้สนุกอ่ะ ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 16 Death Match

บนตึกสูงระฟ้า… การเผชิญหน้ากันระหว่างสองบุคคลที่ไม่คาดฝัน
ละอองดาวพราวพร่างงดงามสมกับเป็นคืนเดือนมืด สายลมโชยพัดแผ่วยิ่งชวนให้เคลิ้มฝัน ถ้าเป็นวันธรรมดาได้มากางเก้าอี้ผ้าใบแล้วจิบชาอุ่นๆดูดาว คงจะโรแมนติกสุดๆเลย
“ฉันผิดหวังนะ”
บุรุษแรกเปรยออกมาก่อน เส้นผมสีเงินยวงสะบัดเป็นคลื่นล้อสายลม เปล่งประกายดุจพระจันทร์บนฟากฟ้า ใช่แล้ว… ทั้งสวย ทั้งน่าหลงใหล ถ้าไม่ติดตรง… นิสัยใจร้อนมุทะลุผิดชาวบ้านของมัน
“แต่ฉันก็กะแล้วว่านายต้องมาที่นี่” ร่างนั้นถอนใจให้กับความปวดร้าว ก่อนจะก้าวเข้าไปหาซึ่งๆหน้า
“แผ่นดิสก์ไม่ได้อยู่ที่นี่” อีกคนเปรยเบาๆ “ตอนนี้คาโอรุกับพี่ยูกำลังต่อสู้แย่งชิงกันอยู่ที่ห้องใต้ดิน”
“อ๋อ… เหรอ” เจ้าของเส้นผมสีเงินไหวไหล่ “แล้วนายล่ะ… อย่าบอกนะว่าที่อุตส่าห์ถ่อขึ้นมาถึงบนชั้นดาดฟ้า เพื่อจะมาดูดาวเป็นเพื่อนฉัน”
“โนะอิ!” คนกำลังเครียดตวาดกลับ “นายคงยังไม่ได้จัดการ… ไทกิ… ใช่มั้ย?”
“แล้วนายเห็นว่าไงล่ะ ซุย” โนะอิแบมือออกทั้งสองข้าง ไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีไทกิ ส่วนมันจะตัดสินว่าไงก็แล้วแต่มันจะคิด
ซุยทำหน้าเครียดจัด ตอนนี้คงได้แต่คิดในทางที่ดีไว้ก่อนว่าโนะอิยังไม่เจอไทกิ ไม่งั้นมันคงไม่มายืนเก๊กสวยอยู่แบบนี้หรอก
“เรายังพอมีทางต่อรองกันได้หรือเปล่า”
“ถ้านายยอมเอาตัวเข้าแลก ฉันก็จะลองคิดดู”
โนะอิก็พูดเล่นฆ่าเวลาระหว่างที่รอใครบางคนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะจริงจังจนเผลอรับปากเองง่ายๆ
“ได้… ฉันยอมให้นายทำได้ทุกอย่าง แต่อย่าสู้กับไทกิ ได้มั้ย?”
คำตอบจากซุยแทนที่จะทำให้โนะอิดีใจ กลับยิ่งโมโหจัด ปกติตื๊อมันแทบตายแต่ปลายนิ้วก็ยังไม่เคยได้สัมผัส แต่เพราะเด็กบ้านั่นคนเดียวมันถึงกับทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองยอมเค้าทุกอย่าง มันน่าโมโหจริงๆ
โนะอิเชิดหน้าท้ากลับเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าซุยทำได้อย่างที่พูดจริงก็ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
…มันกำลังมีใจให้ไอ้เด็กบ้านั่นแน่ๆ…
“เอาสิ… ฉันก็ว่าบรรยากาศบนนี้ไม่เลวเท่าไหร่ เหมาะจะเล่นบทรักมากกว่าจะเล่นสู้กันเป็นไหนๆ”
ซุยกัดฟันแน่น แต่ดันเผลอรับปากแล้วจะไม่ทำตามที่พูดก็ไม่ได้ เค้ามีเหตุผลสำคัญที่ไม่ต้องการให้ไทกิปะทะกับโนะอิ ไม่ใช่เพราะกลัวว่ามันจะสู้ไม่ได้… คนอย่าง Red Rose คงไม่เคยแพ้ใคร แต่นั่นแหละที่เค้าเป็นห่วง ไทกิเป็นอิสระแล้ว… จึงไม่สมควรที่จะให้มือเล็กๆของมันต้องเปื้อนเลือดโดยการฆ่าใครอีก
ประธานปีสองยอมเดินเข้าไปหารุ่นพี่อย่างว่าง่าย พออยู่ในระยะประชิดก็ถูกเจ้าชายหิมะผลักลงบนพื้นที่เยียบเย็น มันโรแมนติกก็จริง แต่เปิดฟ้าท้าดาวแบบนี้ มันก็ออกจะ…
“ไหนบอกว่าจะตามใจฉันไง ทำตัวแข็งทื่ออย่างกะท่อนไม้ไร้อารมณ์ หรือต้องให้ฉันคอยบอกทุกขั้นตอน หืม… ซุย”
ซุยกัดฟันกรอดๆ โนะอิมันสวยก็จริง แต่เค้าไม่เคยมีความคิดจะทำแบบนี้กับมันเลย มือที่เก้ๆกังๆฝืนใจคว้าร่างบางเข้ามากอด โน้มใบหน้าสวยๆเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตแผ่วเบา
…จูบแรก (ใครบอก เคยโดนไทกิขโมยไปแล้วต่างหาก เหอๆ) ขมขื่นที่สุดในชีวิต…
โนะอิตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้งให้มันเจ็บใจเล่นเฉยๆ แต่พอความอบอุ่นที่โหยหาเข้ามาอยู่ใกล้ก็เริ่มจะเผลอใจจนยั้งไม่อยู่ จะเป็นไร… ในเมื่อมันเสนอตัวมาเอง เค้าไม่ได้บังคับขืนใจมันซะหน่อย
ปากที่แค่เอามาประกบรู้สึกยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ โนะอิจึงต้องแสดงให้มันดูว่าจูบที่แท้จริงเค้าทำกันยังไง โดยการแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปในปาก เกี่ยวกระหวัดรัดพันกับลิ้นอีกด้านที่พยายามจะหนี แต่ก็หนีไม่รอด ถูกดูดดื่มความชุ่มฉ่ำจนแทบหายใจไม่ออก

“พวกนายทำอะไรกัน!!”

บุคคลที่สามที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โผล่เข้ามาไม่ดูกาลเทศะ ขัดจังหวะคนกำลังเคลิ้มได้ที่ นัยน์ตาสีฟ้าเย็นชาจึงหันไปจับจ้องด้วยความขุ่นเคือง แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน… ไอ้เด็กตัวแสบที่เค้ากำลังรออยู่นั่นเอง
นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงกระพริบปริบๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไหนโนะอิส่งสาสน์ไปท้ารบว่าจะรออยู่บนดาดฟ้า แล้วทำไม… ถึงมาทำอะไรโจ่งแจ้งกันอยู่ตรงนี้ล่ะเนี่ย
“นายแกล้งซุย นายบังคับเค้าใช่มั้ย?”
ข้อสรุปที่ไทกิสรุปเองล้วนๆ จนซุยนึกละอายตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ ที่มันเล่นเข้าใจผิดไปทั้งหมด
“ใช่… แล้วไง”
นั่น… แถมโนะอิยังสวมรอยรับคำหน้าตาเฉย
“ฉันไม่ยอมให้นายทำแบบนั้นแน่ นายรู้มั้ย… คนที่โดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำมันทรมานใจแค่ไหน”
ดวงตาของไทกิบ่งบอกถึงความปวดร้าวชัดเจน เค้ารู้ซึ้งดี… ต่อให้เป็นคนที่เคยมีใจศรัทธาแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้รัก… มันก็ไม่มีความหมาย
โนะอิผลักร่างสูงออกห่าง ก่อนจะก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเด็กโอหัง
“อันที่จริงฉันเองก็ไม่อยากทำอะไรท่อนไม้ตายซากนั่นนักหรอก สู้กับนายคงสนุกกว่ากันเยอะ”
แล้วรุ่นพี่ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลาเปล่า ดาบยาวสีแดงเพลิงสลักสัญลักษณ์จ้าวแห่งวิหคประจำตระกูลไฮบาระถูกดึงออกมาจากฝัก ประกายคมดาบแวววาวงดงามสมกับเป็นดาบในตำนานอย่างแท้จริง ยิ่งตัดกับเส้นผมสีเงินยวงของโนะอิก็ยิ่งดูขลัง ราวกับนักรบแห่งความตายไม่มีผิด
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า!!”
โนะอิไม่รอช้า พุ่งชาร์จเข้าใส่อย่างรวดเร็ว คมดาบแดงวาดพรึ่บ สวนกับแส้สีดำที่ตวัดรวบข้อเท้าจนเสียหลัก ใช่แล้ว… อาวุธประจำตัวของกุหลาบแดงที่อุตส่าห์ให้มิสึกิเสี่ยงตายเข้าไปขโมยออกมาก็คือ แส้เส้นนั้นนั่นเอง
“แส้เหรอ?” โนะอิขมวดคิ้ว “เฮอะ… ฉันก็คิดว่านายจะมีอาวุธที่แน่กว่านี้ซะอีก”
“แน่ไม่แน่ไม่รู้ แต่หลบให้ดีก็แล้วกัน เพราะถ้าโดนเข้าล่ะก็เจ็บใช่ย่อยเหมือนกันนะจะบอกให้”
ไทกิอวด ก่อนจะแกว่งแส้เป็นวงกว้าง เฉียดผ่านเส้นผมสีเงินยวงของโนะอิไปแค่นิดเดียว คมดาบวับวาวตวัดสวนอีกครั้ง ร่างทั้งร่างกระโดดเข้ามาประชิด ไทกิเบี่ยงตัวหลบคมดาบ แต่มืออีกข้างของคู่ต้อสู้ก็ลั่นไกปืนพกที่ซ่อนไว้ หมายใจจะให้มันฝังลงกลางหัวใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่า สายตาจึงคมกริบยิ่งกว่ามนุษย์ปกติ ไทกิย่อตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับตวัดแส้ขู่ให้โนะอิถอยออกไปห่างๆ
“ขี้โกงนี่! เล่นใช้อาวุธตั้งสองอย่าง” ไทกิโวย
“เหรอ… จำไม่ได้เลยว่าเราตกลงกันไว้เมื่อไหร่ ว่าจะใช้อาวุธแค่ชิ้นเดียว”
“พูดงี้ก็สวยน่ะสิ” ไทกิฉีกยิ้มกว้าง
“งั้นก็มาตัดสินกัน สู้กันจนกว่าจะมีคนพูดว่ายอมแพ้ หรือไม่ก็จนกว่า… จะมีคนตายไปข้างหนึ่ง”
“ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว”
ไทกิกระชับอาวุธในมือไว้มั่น และทันทีที่โนะอิพุ่งเข้าจู่โจมเค้าก็สะบัดแส้แหวกตัดผ่านอากาศ เสียงอาวุธสองอย่างที่แตกต่างกันสุดขั้วปะทะกันลั่นครืนครางราวกับเสียงฟ้าร้อง คนหนึ่งรวดเร็วดั่งสายลม อีกคนเยือกเย็นดุจหิมะ มันเป็นการต่อสู้ที่รวดเร็วดุเดือด เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว จนผู้ที่เฝ้าจับตาดูอย่างซุยแทบจะมองไม่ทัน
เก่งมาก… น้อยคนนักที่จะสู้กับโนะอิได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ดูท่าชื่อ ‘กุหลาบแดง’ คงไม่ใช่ได้มาเพราะความฟลุ้กจริงๆซะแล้ว
แต่ถ้าขืนปล่อยให้สู้กันแบบนี้ต่อไปก็จะอันตรายทั้งคู่ คงไม่มีใครคิดที่จะยอมแพ้จนกว่าจะบาดเจ็บปางตาย ซึ่งในฐานะประธานเค้าจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับคนในสถาบันไม่ได้เด็ดขาด
“พอได้แล้ว!” ดาบคู่ตวัดสวนก่อนที่ทั้งคู่จะจู่โจมเข้าหากันอีกครั้ง มือหนึ่งต้านรับดาบจากโนะอิ ส่วนอีกด้านก็ปัดแส้ของคนหัวดื้อออกไปพ้นทาง “พวกนายมาที่นี่เพื่อทำภารกิจนะ แล้วจะสู้กันเองเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา”
“ฉันกับมันมีหนี้หลายอย่างที่ต้องสะสาง… ถอยไป ซุย!” โนะอิจี้ปลายดาบขู่ให้มันถอย
“ใช่… ฉันไม่ได้สนุกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว นายอย่ามาห้ามซะให้ยากเลย”
สนุกเหรอ?
ซุยชักสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ เมื่อไหร่ที่ยมทูตเริ่มสนุกกับการฆ่า เมื่อนั้นย่อมแสดงว่าสติสัมปชัญญะของมันใกล้จะ…
พอซุยปรายตามองก็เป็นอย่างที่กลัวจนได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงที่เคยงดงามกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดราวกับมัจจุราชของแท้ นัยน์ตาที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจที่ได้ล่าความตาย…
อ.ชิงุเระก็เคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าให้ไทกิจับอาวุธสู้ถ้าไม่จำเป็น เพราะการฆ่าคือสิ่งที่ถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเหล่ายมทูต เมื่อไหร่ที่ได้สัมผัสกลิ่นคาวเลือด เมื่อนั้นพวกมันก็จะกลายเป็นแค่เครื่องจักรสังหารที่ปราศจากมโนธรรมอีกต่อไป
คมดาบสีแดงตวัดดาบสีเงินของซุยออกไปจนพ้นทางในช่วงที่มันเผลอ ก่อนจะกระโจนเข้าไปหายมทูตซึ่งๆหน้า ริมฝีปากบางที่รออยู่ขยับรอยยิ้มเหี้ยม มืออีกข้างที่ล้วงเข้าไปในชุดคลุมสีดำสนิทกำอาวุธอีกอย่างซัดเข้าใส่ข้อมือของโนะอิจนดาบหลุดกระเด็น
อะไรกัน!!
โนะอิมองดูบาดแผลที่ข้อมือขวา เนื่องจากคมหนามกุหลาบที่ตอนนี้ร่อนไปปักฝังอยู่บนพื้นคอนกรีต บาดแผลนั้นไม่ลึก เหมือนเป็นแค่รอยข่วนจางๆเท่านั้น แต่ทำไมถึงทำให้มือทั้งมือชาจนขยับไม่ได้
“ดอกไม้นี่มันอะไรกัน!!” โนะอิโวยลั่น
“นายพูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเราไม่เคยตกลงที่จะสู้กันด้วยอาวุธเพียงชิ้นเดียว” ดวงหน้ายมทูตยิ้มพราย พร้อมก้าวขาขยับเข้าไปหาเหยื่อ “อีกอย่าง… หนามกุหลาบบางชนิดก็มีพิษ ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ชอบแส่หาเรื่องกับมันบ่อยๆเข้า นายนั่นแหละที่จะโดนพิษจนตายซะเอง”
โนะอิใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเหนี่ยวไกปืนยิงสวน ไทกิไม่หลบ ยอมให้กระสุนนัดนั้นเฉียดผ่านข้อมือตัวเองจนเลือดอาบ
“ตอนนี้เราก็เท่าเทียมกันแล้ว” ไทกิที่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงจ้องเขม็งไปที่เหยื่อ พลางยกแขนข้างที่มีเลือดไหลอาบขึ้นมาเลียเบาๆ “แต่ถึงอย่างนั้น… ฉันก็ยังเหนือกว่านาย!”
แส้ในมือหวดเข้าไปพันรัดรอบคอเหยื่อ โนะอิที่แขนข้างหนึ่งด้านชาไปแล้วก็หมดทางต่อสู้ ได้แต่ดิ้นรนหนีจากความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ
“ฉันเกลียดคนสองประเภทมากที่สุด พวกแรกคือที่พวกที่ชอบอวดดีทั้งที่ความจริงก็ไม่แน่สักเท่าไหร่ กับประเภทที่สอง… คือพวกที่ตอแยชีวิตฉันไม่เลิกอย่างนาย”
ไทกิกระตุกแส้ในมือแน่นขึ้น รัดจนต้นคอขาวๆของโนะอิมีรอยช้ำเป็นเส้น ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดสนิทจนแทบไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ ลมหายใจติดขัด พอๆกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆเลือนรางลงทุกขณะ แต่ก่อนที่รุ่นพี่จะถูกสังเวยชีวิตให้กับยมทูต คนที่เฝ้าดูอยู่ก็เข้ามาขัดขวางโดยการพุ่งคว้าตัวไทกิแล้วกลิ้งล้มลงไปอีกด้าน แส้อาวุธชิ้นสำคัญหล่นพรวดจากมือ คืนชีวิตให้กับเจ้าชายหิมะอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของยมทูตในยามนี้บ่งบอกอาการโกรธจัดอย่างที่สุด ที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะการฆ่า มันกล้ามาก บังอาจเกินไปแล้ว
“นายขวางฉัน!” ไทกิกัดฟันกรอดๆ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะยังจำซุยได้หรือเปล่า “ฉันจะฆ่านายด้วยอีกคน!!”
เท้าเล็กๆแต่แรงดีชะมัดยาด ถีบเข้าไปเต็มๆท้องจนซุยกระเด็นไปสุดริมดาดฟ้า ยมทูตลุกขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งจู่โจมเข้าหาด้วยสัญชาตญาณดิบ แต่ซุยยังไวพอที่จะก้มตัวหลบ เลยทำให้คนบ้าเลือดเสียหลัก พุ่งออกนอกขอบรั้วชั้นดาดฟ้า!
“ไทกิ!!!”
ซุยไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เค้ากระโจนเข้าไปกอดไทกิเอาไว้แน่น ก่อนจะดิ่งลงจากชั้นสูงสุดของตึกซันไชน์ด้วยกันทั้งคู่
“ซุย!!!”
เสียงร้องโหยหวนของรุ่นพี่ปีสามดังสะท้อนกึกก้องทั่วลานชั้นดาดฟ้า เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงปืนของมาโมรุลั่นไกจ่อยิงแขนขวาของฮิโระที่ห้องโถงใต้ดิน
และแล้ว…. ทุกสรรพสิ่งก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

ความเย็นเยียบอาบไล้ทั่วใบหน้า… ผสานกับกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ที่คุ้นเคย รอบตัวหนาวจัดราวกับหลงทางอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง แต่มือข้างที่สัมผัส กับบางสิ่งที่แนบอยู่บนแก้มทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ
นี่เค้าตายแล้วหรือไง… ถึงได้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในนรกที่หนาวเหน็บ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเทพธิดามาโอบอุ้มไว้ ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
“นายฟื้นแล้วเหรอ”
เสียงเรียกที่คุ้นเคย ทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มกับฝันหวานถึงกับสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาแทบไม่ทัน
ฝันบ้าบออะไรเนี่ย… ทำไมเทพธิดาของเค้าถึงกลายเป็นยมทูตไปซะได้ งี่เง่าชะมัด…
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไทกิยังทำหน้างงๆอยู่ มันวางเค้านอนบนตักของมันเอง ในมือถือผ้าชุบน้ำที่เอามาซับหน้าให้ พอเหลียวมองรอบๆด้านก็เป็นห้องที่มืดทึบ เหมือนเป็นห้องเก็บเอกสารของสำนักงาน
“สู้กับโนะอิอยู่ดีๆก็มีแต่เลือดเต็มหน้าไปหมด จากนั้นฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง”
ซุยผุดลุกขึ้นมานั่ง เค้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ที่มันก่อเรื่องไปตั้งเยอะ จำไม่ได้เลยจริงๆนะเหรอ
“นายเกือบจะฆ่าโนะอิ เกือบจะฆ่าฉัน แล้วพุ่งลงมาจากดาดฟ้ามาเนี่ย… จำไม่ได้เลยเหรอ”
ไทกิส่ายหัว พร้อมทำหน้าเศร้าสำนึกผิด “จำไม่ได้หรอก โชคยังดีนะที่ฉันมีแส้สำรองอีกเส้นเลยเกี่ยวเสารั้วไว้ได้ทัน แล้วพังกระจกเข้ามาที่นี่ ไม่งั้น… เราทั้งคู่คงดับไปแล้ว”
“นายเนี่ยมันเหลือเชื่อจริงๆ ชอบทำให้ฉันใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อย” ซุยดุ
“ก็บอกว่าขอโทษแล้วไง” ไอ้ตัวแสบที่เพิ่งสำนึกทำเสียงอ่อยๆ “อันที่จริง… ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ฉันเกือบจะทำให้คนที่สำคัญที่สุดต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเองมาแล้ว”
ไทกิกัดฟันแน่นแล้วเบือนหน้าหนี ซุยไม่มีวันรู้หรอกว่าเค้าเสียใจแค่ไหนที่ทำให้มันต้องตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้ กี่ครั้งแล้วที่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือว่าคำพูดของแม่จะเป็นความจริง…

‘กุหลาบแดง คือตำแหน่งที่จะมีได้เพียงหนึ่งเดียว ลูกจะต้องโดดเดี่ยว จะมีสิ่งสำคัญที่เป็นจุดอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ทิ้งทุกอย่างไปซะเถอะ แม้แต่… ตัวแม่เอง ลูกก็จะคิดถึงไม่ได้’

กุหลาบแดงไม่ใช่สิ่งของ แต่มีหัวใจเหมือนคนอื่นๆ สิ่งที่มีหัวใจ แต่ ‘รัก’ ใครไม่ได้ มันทรมานมากนะ
“ไหนลองเล่ามาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงเปรยจากคนข้างๆทำให้ไทกิต้องหยุดความคิดที่แสนเจ็บปวด เค้าแอบปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองข้าง
“เรื่องไหนล่ะ?”
“ก็เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคนสำคัญ…” ซุยสะอึกไปนิด “คนสำคัญของนาย… เกิดอะไรขึ้นกับเค้า”
ไทกิถอนใจอีกเฮือก แต่พอเห็นหน้าที่มุ่งมั่นของซุยแล้วก็ต้องตัดใจเล่า ถึงจะไม่อยากพูดถึงอีกเลยก็ตาม
“เซกิ”
ยมทูตกล้ำกลืนคำพูดอย่างยากลำบาก
“เค้าเป็นหนึ่งในสามยมทูต… อยู่ในตำแหน่ง White Lily ที่คนในองค์กรให้ความเคารพในฐานะรองผู้นำ เค้าเป็นคนที่อยู่ข้างกายฉันมาตลอด ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ชีวิตฉันก็มีเพียงเซกิ จนบางทีฉันยังคิดว่าในโลกนี้คงมีแค่เราสองคน ฉันนับถือเซกิมาก ได้อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข ถึงฉันจะเป็นผู้นำ แต่สำหรับฉันแล้วเซกิก็คือพี่ชายที่ฉันเชื่อใจ แต่สำหรับเซกิ… ฉันกลับเป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งของเค้า”
ไทกิแหงนหน้ามองฝ้าเพดานแล้วก็ถอนใจอีกรอบ
“ความรู้สึกที่เค้ามียิ่งล้ำลึกจนกลายเป็นสายใยที่ตัดไม่ขาด เค้าไม่เพียงต้องการเก็บฉันไว้เป็นสมบัติข้างกาย แต่ยังต้องการครอบครองฉันด้วย ในวันเกิดครบอายุสิบห้าปี… วันที่ฉันหนีออกมาจาก Death Flowers วันนั้นเซกิตั้งใจจะมีความสัมพันธ์กับฉัน ตอนที่โดนกอด… โดนจูบ… โดนสัมผัสเนื้อตัว… ฉันรู้สึกอึดอัดใจมาก แล้วจู่ๆตรงหน้าก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเซกินอนจมกองเลือดอยู่ ฉันกลัวมาก ก็เลยหนีออกมา”
ไทกิยกมือขึ้นมาปิดหน้า ความปวดร้าวฝังใจมันท่วมท้นจนพูดต่อไม่ได้ ความรู้สึกที่เคยศรัทธาและรักดั่งพี่ชายถูกทำลายจนย่อยยับ ถ้าแม้แต่เซกิยังเชื่อใจไม่ได้ ในโลกนี้… ก็คงไม่มีใครที่เค้าจะเชื่อได้อีกแล้ว
“แล้ว… เซกิตายหรือยัง” ซุยถามต่อ
“ไม่… ตอนหลังฉันจับองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวมาได้หนึ่งคน พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเซกิบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ตาย ฉันเชื่อว่าเซกิคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ เค้ากำลังตามหาตัวฉันอยู่ ตามกลับไปเพื่อเป็นสมบัติของเค้า”
ไทกิมองหน้าซุยอีกครั้ง คนสำคัญอีกคน… ที่ไม่อยากให้มันต้องมาประสบเคราะห์ร้ายเพราะเค้าอีก
“จากการต่อสู้กับโนะอิวันนี้ นายคงเห็นแล้วว่ายมทูตน่ากลัวแค่ไหน ถ้าได้พบเซกิอีกครั้ง นั่นจะเป็นวันตัดสินชะตาของฉัน คราวนี้… ไม่ฉันก็เซกิ จะต้องมีคนตายไปข้างหนึ่ง”
ซุยเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆที่สั่นเทาเข้ามากุมไว้
“ฉันรู้นะ… ว่าตัวเองมีความสามารถไม่พอที่จะไปเทียบชั้นกับพวกนายได้ แต่ถึงยังไงฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมือข้างนี้เด็ดขาด”
ไทกิสะบัดมือออก “นายยังไม่เข้าใจอีกหรือไง นายไม่มีวันปกป้องฉันได้ มีแต่จะเอาชีวิตมาทิ้งซะเปล่าๆ ที่สำคัญ… ตอนนี้ฉันก็ไม่มีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะใช้หนี้ชีวิตให้นายด้วย บ้านนายทำทุกอย่างก็เพราะเงินไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงตายเพื่อยาจกอย่างฉันหรอก”
“ไทกิ… ของบางอย่างสำหรับฉันมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอกนะ”
รุ่นพี่สบตานิ่ง ก่อนจะโอบไหล่ดึงตัวคนดื้อเข้ามาใกล้ๆ
“นายไม่คิดจะซื้อฉันด้วยอย่างอื่นเหรอ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงิน…”
“อะไร?”
ไทกิขมวดคิ้วมุ่น มือที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด แล้วมือที่ว่าก็ดันมาหยุดแหมะอยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย พร้อมกับร่างสูงที่โน้มลงมากระซิบใกล้ๆที่ข้างหู
“สิ่งที่อยู่ในนี้… หัวใจของนาย คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”
ความเงียบงันครอบงำสติรับรู้เนิ่นนาน กว่าสมองทึ่มๆของไทกิจะลำดับความคิดว่าฟังอะไรเข้าไปบ้าง หน้าที่แดงเด่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งแดงซ่าน ซุยรู้ใจตัวเองตั้งตอนที่ได้ยินเรื่องของเซกิ ความรู้สึกหวงแหนและต้องการปกป้องดอกไม้ที่บอบบางทำให้ไม่อาจปล่อยมือคู่นี้ไปได้อีกแล้ว
แต่ดูเหมือนบางคน จะยังไม่รู้ตัว…
“นายล้อฉันเล่น” ฟังยังไงไทกิก็ไม่อยากจะเชื่อ “อย่างนายเนี่ยนะจะมาชอบฉัน ตลกแล้ว”
“เหรอ… งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยล่ะ?” ซุยขยับเข้าไปใกล้พร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือข้างที่กุมหัวใจไว้สอดเข้าไปใต้เสื้อตัวหนา สัมผัสกับปุ่มนูนที่แข็งขืนรับความรู้สึกเองโดยอัตโนมัติ
“อย่า… ไม่นะ เซกิ!!”
คำพร่ำเพ้อละเมอหาชื่อของอีกคน ทำเอาซุยถึงกับชาวาบไปทั้งร่าง นั่นสินะ… ไทกิจะลืมคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆปีแล้วหันมาชอบเค้าได้ยังไง ไม่มีทางเลย… ซุยลดมือลง แล้วเบือนหน้าหนี
“ขอโทษ… ฉันน่าจะรู้ตัว ฉันไม่คู่ควรกับนาย ฉันมันบ้าไปเองที่คิดจะฉุดนายลงมา ขอโทษด้วยนะไทกิ”
“ไม่ใช่นะซุย… มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด คือ เอ่อ… ฉัน… ฉันต่างหากที่ไม่คู่ควร ฉันมัน… โอ๊ย! ฉันจะบอกนายยังไงดีเนี่ย”
ไทกินึกอยากกัดลิ้นตัวเองตายนัก เค้าไม่อยากให้ซุยเสียใจ แต่เหตุการณ์ที่เกือบจะพลาดท่าให้กับเซกิมันยังฝังใจอยู่จนถึงทุกวันนี้ เค้าทำไม่ได้… ถึงอยู่ด้วยกันก็จะทำให้ซุยทรมานเปล่าๆ
ซุยมองคนดื้อที่กำลังกุมขมับแล้วก็พอจะเข้าใจความคิด เลยดึงตัวเข้ามาใกล้กันยิ่งขึ้น
“มองหน้าฉันสิไทกิ… ถ้านายเชื่อใจฉัน ตรงนี้ก็จะมีแค่ฉันกับนาย ไม่ว่าที่แล้วมานายจะพบใครหรือเจออะไรมาบ้าง แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าฉันจะไม่มีวันทำร้ายนายเด็ดขาด… อยู่กับฉันเถอะนะไทกิ”
นัยน์ตาสีรัตติกาลหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้หัวใจที่เคยสับสนค่อยๆสงบลง ค่ำคืนที่แสนหวานกำลังจะเริ่มต้น รอรับ ‘ความรัก’ ที่กำลังจะก่อเกิดให้กับดอกไม้ที่เคยเดียวดายดอกนี้

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 17 Sweet Rose

ภายในห้องแคบอับทึบ… ร่างกายที่เบียดแทรกเข้ามายิ่งร้อนผ่าว มือกร้านทำหน้าที่ปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างใจเย็น พอถึงอันสุดท้ายกลับถูกมือเล็กๆยกขึ้นมาห้ามไว้ คิ้วคมๆของคุณชายสายน้ำขมวดมุ่น
“ทำไม… หรือไม่เชื่อใจฉันแล้ว?” เสียงแหบพร่ากระซิบถามข้างหู แถมยังซุกไซ้ไล่ขบเม้มติ่งหูเบาๆจนร่างบางสั่นสะท้าน
“ไม่ใช่” ไทกิส่ายหน้า “ฉันเชื่อใจซุย แต่… แต่ฉัน… ยังไม่เคย…”
“ฉันเองก็ไม่เคย” ตาหวานๆที่ส่งมาให้ย้ำหนักแน่น “แต่เราสองคนจะค่อยๆเรียนรู้ด้วยกัน ฉันกับนายจะแบ่งปันทุกความรู้สึกของกันและกัน ขอให้เชื่อใจฉัน… ฉันจะนุ่มนวลที่สุด ฉันสัญญา”
เมื่อได้ยินคำสัญญาที่หนักแน่น แก้มบางๆก็ฉีดซ่านสมฉายากุหลาบเลือด ไทกิพยักหน้ารับเบาๆ ร่างสูงจึงเริ่มทำหน้าที่ของเค้าต่อ จัดการปลดกระดุมตัวปัญหาอันสุดท้ายออกไป แล้วค่อยๆเปิดเสื้อเชิ้ตตัวเก่งออก เผยให้เห็นผิวบอบบางที่ซ่อนอยู่ข้างใน ผิวของมันเป็นสีชมพูระเรื่อ แถมยังเนียนนุ่มจนน่ากิน ซุยขยับรอยยิ้ม แต่ไทกิหันหน้าหนีไปอีกทาง
“กลิ่นกุหลาบ… หอมจัง” ซุยเพ้อไปด้วย พร้อมประทับริมฝีปากไล่จูบจากซอกคอ
“อ๊ะ!” ร่างบางร้องครางออกมา ตอนที่ผิวเนียนๆถูกดูดทึ้งจนช้ำ ถ้ามันจูบอย่างเดียวจะไม่ว่า แต่นี่เล่นทั้งขบทั้งกัดจนระบมไปหมด แล้วร่างทั้งร่างก็ต้องผวาสุดตัว สองมือเล็กๆจิกท้ายทอยคนที่กำลังทารุณร่างกายของเค้าเอาไว้แน่น
“ไหนนายบอกจะไม่ทำให้เจ็บไง” ร่างบางรีบประท้วง ตอนที่ร่างสูงคลอเคลียเล่นอยู่กับยอดอกชูชัน เพราะเจ้าสองแต้มนั่นมันน่ารักอย่าบอกใคร เป็นสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ แถมยังตอบสนองว่องไวเพียงแค่ใช้ลิ้นแตะเข้าไปใกล้ๆ
“โทษที… ก็นายน่ารัก จนฉันลืมตัว” ซุยบอก ก่อนจะแกล้งทรมานร่างบางต่อ เค้าไล่ลิ้นอุ่นลิ้มเลียรสหวานจากยอดอกจนชุ่มฉ่ำ ความเสียวซ่านเล่นงานไทกิจนแทบเพ้อคลั่ง ลิ้นของมันช่างร้ายกาจนัก เล่นกระหวัดพันรัดจนจนร่างกายช้ำไปหมด
“ไทกิ…”
เสียงเพ้อเหมือนได้อยู่ในความฝัน จ้องมองร่างบางที่สั่นระริกอย่างได้ใจ สองมือซุกซนก็รีบทำหน้าที่ต่อ ลูบวนอยู่ตรงนวลเนื้อขาวผ่องช่วงท้องน้อย ร่างบางที่เริ่มสติแตกก็ขยับตัวขึ้นลงตามจังหวะ ยิ่งยั่วยวนคนกำลังคลั่งให้ห้ามใจต่อไปไม่ไหว
“ฮ้า… อย่านะ… ตรงนั้นไม่เอา”
ไทกิส่งสายตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอบางๆมาอ้อนวอน ทันทีที่ถูกรูดกางเกงตัวเก่งลงไปกองที่พื้น แต่ใครล่ะจะห้ามสติที่กระเจิดกระเจิงไปแล้วได้
“ฉันบอกแล้ว จะไม่ทำให้นายเจ็บ” ซุยรับปากอีกทีพร้อมขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เค้าจัดการปราการด่านสุดท้ายออกไปจนพ้นทาง ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีเข้มก็เบิกกว้างขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
ไม่น่าเชื่อ! ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้!
ซุยแทบอยากจะกลืนแล้วเคี้ยวไทกิลงท้องเข้าไปทั้งตัว ถ้าไม่กลัวว่ามันจะช้ำในตายไปซะก่อน เพราะแม้แต่ส่วนกลางก็ยังเป็นสีแดงเหมือนกลีบกุหลาบ  แถมยังสั่นระริกเหมือนเจ้าตัวไม่มีผิด ซุยลูบเจ้านั่นช้าๆ มันก็ตื่นตัวขึ้นมารับกับสัมผัสจากเค้าทันที
“อา… ซุย พอแล้ว” ร่างบางก็ห้ามไปอย่างนั้น ทั้งที่กำลังจะสติแตก จะว่าน่าอายก็น่าอาย แต่ก็มีความสุขจนไม่อยากให้หยุด อารมณ์สองอารมณ์ตีกันอยู่ในหัวจนสับสนไปหมด
“วิเศษที่สุด” ร่างสูงเปรยอย่างถูกใจ จากมือที่ลูบไล้อย่างอ่อนโยนก็เริ่มบดขยี้รุนแรงขึ้น
“อ๊า! อือ… ไม่…”
ไทกิร้องคราง ร่างกายมันร้อนผ่าวไปหมด เหงื่อก็ไหลโทรมอย่างกะน้ำ แต่ซุยจะสนใจฟังเค้าสักนิดก็เปล่า เมื่อมันยังเอาแต่เล่นอยู่กับเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะเผด็จศึกขั้นสุดท้าย โดยการก้มลงไปใช้ปากครอบครองเต็มที่ ลิ้นชื้นๆดุนอยู่ตรงส่วนปลายที่อ่อนไหว พร้อมปากที่ขยับขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขที่อัดล้นมันมากเกินจะทัดทานไว้ได้อีกแล้ว ก็พุ่งทำลายทำนบออกมาในสภาพของเหลวสีข่าวขุ่นจนเปรอะไปทั่ว
“อ๊าาาาาาาา!!!!”
ไทกิตะโกนระบายความอัดอั้นจนสุดเสียง พอปล่อยออกมาจนหมดตัว ก็นอนหอบกระเส่าเพราะหมดแรง
ยัง… ยังไม่สิ้นสุดแค่นี้
ซุยยิ้มกริ่ม มองร่างเล็กๆที่กำลังจะตายคามือ หลังจากที่จัดการเก็บกวาดของหวานที่เลอะเทอะไปทั่วจนหยดสุดท้าย เค้าก็มุ่งไปหาเป้าหมายต่อไปเพื่อปลดปล่อยตัวเองบ้าง ร่างสูงจับร่างเล็กๆที่กำลังหอบพลิกคว่ำ ใช้หัวเข่าดันขาเพรียวให้แยกออก จนเห็นทางคับสีชมพูหวานจ๋อยซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้าย
“อืม… รสชาติดีจัง” ร่างสูงใช้ลิ้นลองชิมก่อน กระตุกลิ้นสอดเข้าไปข้างใน ช่องทางคับก็รัดรับกับลิ้นของเค้าทันทีที่สัมผัส ให้ความรู้สึกเสียวซ่านจนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เค้าจะยิ่งสุขแค่ไหน
“พอเถอะซุย ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ” ไทกิประท้วงไปอีกรอบ เผื่อจะสำเร็จ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว… ใครจะยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ
“ทนอีกนิดนะไทกิ” ร่างสูงกระซิบบอก พร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปหนึ่งนิ้วจนร่างบางผวา มือคว้าอะไรได้ก็จิกไว้ก่อน ปากก็เม้มแน่นจนเลือดซึมออกมาซิบๆ
“ฉันเจ็บ!” ร่างบางประท้วงอีกที แต่ร่างสูงกลับตอบโต้โดยการขยับนิ้วที่สอดไว้ ก่อนจะแทรกเข้าไปอีก
“อื้อ!” ไทกิไม่อยากประท้วงแล้ว เพราะถึงร้องไปมันก็ไม่หยุด คราวนี้สองนิ้วทำงานอย่างรวดเร็ว แต่ยังหาจุดที่พอใจไม่ได้ นิ้วที่สามก็เลยต้องตามเข้าไปเป็นตัวช่วย
“อ๊ะ! อา…”
เจอแล้ว… ซุยสรุปในใจตอนที่เห็นร่างบางดิ้นเร่า แอ่นตัวรับกับนิ้วที่ไปกระแทกจุดตาย
พอหมดหน้าที่ นิ้วเจ้ากรรมทั้งสามก็ถูกถอนออกมาพรวดเดียว ทิ้งทางคับที่เริ่มจะเปิดกว้างขึ้นอีกหน่อย ร่างสูงหันมาปลดอาภรณ์ของตัวเองออกบ้าง แล้วตัวการที่อดกลั้นมานานก็พุ่งพรวดออกมาจนไทกิต้องแอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เพราะดูจากขนาดแล้วงานนี้เค้าต้องตายแน่ๆ
“พะ… พอแค่นี้ไม่ได้เหรอซุย”
“ไม่ได้” รุ่นพี่คนสำคัญย้ำคำหนักแน่นยิ่งกว่าตอนที่สัญญากับเค้าซะอีก แถมยังขยับเจ้าสิ่งนั้นเข้ามาใกล้ ไทกิหลับตาปี๋ ก้มหน้ากัดฟันรอรับความเจ็บปวด
“ฉันเข้าไปนะ” กระซิบบอกมันซะหน่อย ก่อนที่จะปฏิบัติการเผด็จศึกขั้นสุดท้าย ซุยขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วสอดใส่ช่องทางคับอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กๆกระตุกเร่า ตอนนี้ทุกอย่างมันแนบแน่นไปหมด
“อือ… อย่าเกร็งสิไทกิ ฉันขยับไม่ได้” ร่างสูงบ่นตอนที่เข้าไปได้แค่ครึ่งทาง สงสัยเพราะมันไม่เคย จึงตัดสินใจขยับเข้าไปอีก
“โอ๊ย!!” ไทกิผวาสุดตัวตอนที่ร่างสูงเข้ามาจนมิด น้ำตาใสๆไหลพรากเพราะทนไม่ไหว พอซุยเห็นคนรักทรมานก็เริ่มไม่สบายใจ
“อีกนิดเดียวเท่านั้นไทกิ ฉันเชื่อว่านายต้องทำได้ ปล่อยตัวตามสบายแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้น”
‘พูดก็พูดง่ายนี่ ลองมาเป็นฉันดูมั้ยล่ะ’ ไทกิแอบเถียงในใจ
ร่างสูงพยายามปลอบพร้อมกับโยกตัวเข้าออกช้าๆ พอร่างบางเริ่มชินก็เร่งจังหวะเร็วขึ้น ความร้อนและความตึงแน่นจากกล้ามเนื้อที่เสียดสี แม้จะทำให้ทรมานมากในตอนแรก แต่พอผ่านไปสักพัก ร่างกายของก็ปรับสภาพและรับความรู้สึกสุขล้นที่เข้ามาแทนที่ ไทกิเผลอขยับสะโพกตามจังหวะไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองบรรเลงเพลงรักเป็นจังหวะพร้อมกัน แล้วไม่ช้าร่างบางก็รับรู้ถึงความอัดแน่นที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเค้าจนร้อนฉ่า
“อา… อืม…”
ซุยครางอย่างที่ไม่เคยครางมาก่อน ความสุขที่ได้รับมันท่วมท้นจนไม่อยากให้ผ่านเลยไป แต่ร่างกายของเค้าก็ต้องการเวลาฟื้นตัว จึงยอมถอนตัวออกมาอย่างง่ายดาย น้ำแห่งความรักไหลซึมออกมาพร้อมคราบเลือดจางๆ แต่สิ่งที่ทำให้ซุยขยับรอยยิ้มด้วยความเอ็นดู ก็ตอนที่เห็นแกนกลางเล็กๆกำลังปลดปล่อยออกมาอีกรอบ
“โอย… ไม่เอาแล้ว”
ไทกิพลิกกลับมานอนแผ่หมดแรง หอบจนแทบจะหายใจสูบอากาศเข้าปอดไม่ทันอยู่แล้ว คุณชายสายน้ำทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ กอดก่ายสุดที่รักไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม
“นายนี่หวานสมชื่อกุหลาบแดงจริงๆ ให้ตายสิ… ทำฉันแทบละลายคาตัวนายเลย มิน่า… ใครๆถึงอยากได้ตัวนายกันนัก”
ซุยทั้งชมทั้งล้อ จนกุหลาบงามๆค้อนขวับ หนอย… รังแกเค้าซะยับเยินยังไม่พอ ยังมีหน้ามาเหน็บเค้าอีก รู้งี้ไม่ยอมมันซะก็ดี
“ฉันยอมให้นายครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละซุย ต่อไปไม่มีอีกแน่ เจ็บจะตายชัก” ไทกิบ่นอุบ พร้อมกับแอบเอามือลูบสะโพกป้อยๆ
“อะไรกัน… จะพอแล้วเหรอ แต่ฉันยังอยากจะต่ออีกยกนี่”
“อะไรนะ!” ไทกิสะดุ้งเฮือก แต่จะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว เพราะมือมันเหนียวกว่า คว้าตัวเค้ากดหมับ แถมยังมาคลอเคลียจนหนีไม่รอด
“ไม่เอาแล้วซุย! พอแล้ว!”
“ว่าไงนะ” เสียงหวานๆกระซิบที่ข้างหู ปากซุกซนก็พรมจูบไปทั่วจนคนดื้อยังเคลิ้ม
“อื้ม… บอกว่าไม่เอา…” เสียงต่อต้านเริ่มแผ่วลง ตอนที่ร่างอุ่นๆเบียดแทรกเข้ามาอีกครั้ง
“ว่าไงนะ” ซุยแกล้งถามไปอีก
“ไม่เอา…”
ปากบางๆของคนดื้อถูกประกบ ดูดดื่มหาความหอมหวานจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ไม่…”
คำเพ้อสุดท้ายที่หลุดออกมา ก่อนที่จะยินยอมให้ทั้งกายและใจ แล้วคืนนั้นต่างคนต่างทำอะไรกันและกันไปบ้าง ก็ไม่มีใครจำได้อีกแล้ว
ทิ้งเพื่อนตัวป่วนสองคน… ตามหามันแทบบ้าคลั่งจนถึงรุ่งเช้า

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :m25: :m25: มันทุกตอน ทั้งตอนต่อสู้ ทั้งตอน......  :m25: :m25: เอาอีกๆๆ

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
และแล้วกุหลาบก็ถูกเด็ด อิอิ ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :m25:

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
 :m25: :m25:สรุปกุหลาบก้อโดนลิ้มลองความหวานจนได้ :m25: :m25:

ไม่ไหวแล้ว  เลือดจะหมดตัวแล้วค๊าบบ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อิอิ  กุหลาบโดนเด็ดด้วยความเต็มใจ
ดีนะ ที่ซุยยังหยุดไทกิทัน  ไม่งั้นโนะอิตายแหงๆ

มันส์มากกกก  เรื่องนี้สุดยอด เยี่ยม

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 18 Tear of Juliet

‘ฮิโระ โซมะ และ คาโอรุ คาวาชิมะ กรุณาไปพบอาจารย์โอคุนิที่ห้องพักอาจารย์เดี๋ยวนี้ด้วยครับ ฮิโระ โซมะ และ คาโอรุ คาวาชิมะ…’

เสียงประกาศตามสายก่อนเวลาพักเที่ยง ทำให้คนที่กำลังง่วงตื่นตัว ก่อนจะหันรีหันขวางอย่างลุกลี้ลุกลน เห็นไทกิเพื่อนซี้หลับสนิทฟุบคาโต๊ะ ส่วนเพื่อนผู้แสนรู้อีกคนที่วันนี้ย้ายไปนั่งหน้าห้องก็กำลังเก็บของอย่างสงบ
“ไทกิ” ฮิโระเขย่าแขนปลุกเพื่อนซี้ มันก็ปรือตาขึ้นมองตอบ แต่ก็ยังงัวเงียตื่นไม่เต็มสติดีเท่าไหร่
“หืม… อาราย…” ไทกิละเมอตอบ
“อาจารย์ซายะเรียกฉันไปพบ ไม่รู้มีเรื่องอะไร นายจะไปด้วยกันมั้ย”
ไทกิส่ายหน้า ยกมือขึ้นมาขยี้ตา พอหัวสว่างปุ๊บท้องก็เริ่มร้องปั๊บ
“ฉันหิวแล้ว ขอไปรอที่โรงอาหารดีกว่า เดี๋ยวชวนคาโอรุไปด้วย”
“คาโอรุก็โดนประกาศเรียกเหมือนกัน” ฮิโระบอก นี่แสดงว่ามันหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงประกาศเลยล่ะสิท่า
“งั้นเหรอ… อาจารย์ซายะมีเรื่องอะไร ถึงต้องเรียกพวกนายไปพบด้วย”
“ไม่รู้สิ… คงไม่ใช่วีรกรรมที่ฉันไปถล่มหอลมไว้คราวก่อนหรอกนะเนี่ย”
ฮิโระดูกังวลนิดๆ แถมพอเหลียวมองไปที่หน้าห้อง เพื่อนซี้คนเก่งก็หายตัวไปซะแล้ว เค้าจึงต้องรีบตามไปก่อนที่จะโดนอาจารย์ป้าแกสวด แล้วนัดเจอกับไทกิอีกครั้งที่โรงอาหาร

ที่ห้องพักอาจารย์… อาจารย์ซายะซึ่งเป็นที่ปรึกษาปี 1 ห้อง 1 ก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะประจำตัว อาจารย์คนสวยกรีดยิ้มหวานเชื่อมทันทีที่หน้าเห็นศิษย์รักประจำห้องเข้ามาพร้อมกันสองคน
“ไงจ๊ะ… new member เริ่มจะคุ้นกับโรงเรียนหรือยัง” ซายะทักทายอย่างอารมณ์ดี
คาโอรุขยับเก้าอี้ด้านตรงข้ามแล้วทิ้งตัวนั่ง ฮิโระก็ตามมาติดๆ
“ก็ดีครับ ว่าแต่อาจารย์มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”
“ก็นิดหน่อยจ้ะ”
ซายะเปิดลิ้นชัก หยิบซองจดหมายสีเทาออกมาสองซอง ตาสวยๆภายใต้กรอบแว่นแฟชั่นสีสดมองไปทางทายาทตระกูลนักฆ่าก่อน
“พวกเธอคงรู้ใช่มั้ย ว่ากลางเทอมจะมีกิจกรรมนอกสถานที่ ครูได้ส่งจดหมายไปขอลายเซ็นจากผู้ปกครองของพวกเธอแล้ว แต่โซมะ… บ้านเธอไม่มีคนอยู่เหรอ ครูส่งไปตั้งสามครั้งแล้ว ไม่เห็นมีใครตอบกลับมาเลย”
ว่าแล้วมั้ยล่ะ… ฮิโระยกมือตบหน้าผาก ไม่ต้องสงสัยเลย พ่อกับแม่คงไปรับจ๊อบนอกบ้านอีกแหงๆ
“เอ่อ… พ่อแม่ผมคงไปต่างประเทศมั้งครับ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแก้ตัวแทนเสร็จสรรพ
“งั้นครูฝากเธอช่วยส่งจดหมายไปบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ อย่าลืมนะว่าครูต้องได้ลายเซ็นผู้ปกครองภายในอาทิตย์นี้”
ซายะยื่นซองสีเทาให้ฮิโระหนึ่งใบ ก่อนจะหันมาทางลูกศิษย์รักบ้าง คราวนี้ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“คาวาชิมะ” ซายะเริ่มเกริ่น “ครูไม่รู้นะว่าเธอจงใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ที่อยู่ที่เธอให้ครูมาทั้งสามครั้ง ไม่มีอันไหนเป็นที่อยู่จริงเลย”
คำบอกเล่าของอาจารย์ที่ปรึกษา เรียกสายตาสีทองตวัดไปทางคู่กรณีที่ยังนั่งนิ่ง
ไอ้หมอนี่… มันเป็นเด็กบ้านแตกเหรอเนี่ย
“ผมไม่ได้โกหก เพียงแต่ที่บ้าน… ไม่มีคนอยู่แล้วก็เท่านั้น”
“งั้นนอกจากคุณแม่กับคุณยายแล้ว เธอพอจะมีผู้ปกครองที่อื่นอีกมั้ยจ๊ะ ครูจะช่วยติดต่อให้”
คาโอรุกัดฟันนิ่ง มือเล็กๆกำแน่นจนข้อนิ้วลั่นเปรี๊ยะๆ มันสูดลมหายใจเข้า แล้วตอบคำถามอย่างสงบ
“ไม่มีครับ”
“คาโอรุจัง” ซายะเอื้อมมือมาจับมือศิษย์รักด้วยความเป็นห่วง “ครูไม่ได้เป็นแค่ครูที่ปรึกษาในนามนะจ๊ะ ครูดูแลเด็กมาหลายรุ่นแล้ว นักเรียนทุกคนที่อยู่ในความปกครองครูก็ต้องศึกษาข้อมูลมาก่อน ครูเองก็พอจะรู้เรื่องของเธอมาบ้าง ซึ่งมันอาจจะไม่มากอย่างที่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เชื่อเถอะ… ถ้าเธอมีปัญหา ครูช่วยเธอได้แน่”
คาโอรุเงยหน้าสบตาอาจารย์อีกรอบ มันนิ่งจนประเมินไม่ออก แต่ดูแล้วไม่ชวนให้สบายใจสักนิด
“ผมขอสละสิทธิ์การทำกิจกรรมนอกสถานที่ก็แล้วกันครับ”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ นี่เป็นคะแนนหน่วยกิจ ถ้าเธอไม่ไปก็อาจมีผลทำให้สอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน”
คาโอรุกัดฟันนิ่งคิดอีกรอบ เพื่อนอีกคนก็แอบชำเลืองมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอาจารย์รู้จริง ก็น่าจะรู้ว่าผม… ไม่เหลือใครแล้ว”
“คาโอรุ…”
“ขอจดหมายนั่นให้ผมเถอะครับ ถ้าแค่ลายเซ็นผู้ปกครอง ผมจะหาให้เอง” เจ้าลูกศิษย์ไม่พูดเปล่า ยังคว้าจดหมายไปจากมืออาจารย์หน้าตาเฉย ก่อนจะเดินหนีออกจากห้อง
“คาโอรุ!” อาจารย์ซายะเรียกเอาไว้อีกรอบ “เธอยังเป็นนักเรียน ยังไงก็ต้องมีผู้ปกครอง อย่างน้อยก็ควรปรึกษา ‘พี่ชาย’ เธอนะ”
ลูกศิษย์พยักหน้ารับเนิบๆ แต่มันจะเข้าใจอย่างที่สั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนลูกศิษย์อีกคนก็รีบกระโดดผลุงตามเพื่อนรักออกไปติดๆด้วยความเป็นห่วง
 “เฮ้อ… ริเอะ เธอจะรู้มั้ยเนี่ยว่าลูกชายของ ‘ชิโอริ’ เพื่อนซี้เธอ หัวดื้อพอๆกับไทกิลูกของเธอเลยนะเนี่ย” ซายะได้แต่ส่ายหน้าในความดื้อรั้น นี่ถ้าเจ้าหล่อนไม่ใช่เพื่อนของแม่เด็กๆพวกนี้ล่ะก็ คงไม่ใส่ขนาดนี้หรอก

ฮิโระรีบโดดไปขวางหน้าคู่อริจนมันเบรกแทบไม่ทัน คนยิ่งรีบๆอยู่ มาหาเรื่องอยู่ได้…
“หลีกไป!” คาโอรุตวาดใส่หน้าคนชอบแส่
“ฉันว่านายกำลังมีปัญหานะ ให้ฉันช่วยมั้ย”
“ชีวิตฉัน ฉันจัดการเองได้” คาโอรุตัดบท ก่อนจะเบียดตัวหลบแล้ววิ่งฉิวลงบันได
 “คาโอรุ… ตกลงนายเป็นใครกันแน่”
ฮิโระเปรยกับตัวเองเบาๆ เพื่อนซี้สองคนมีแต่ปริศนาเต็มไปหมด แต่เค้าก็ไม่เคยคิดอยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเพื่อนอยู่แล้ว เพียงแต่อยากจะเป็นกำลังใจให้ในเวลาที่พวกมันกำลังท้อก็เท่านั้น
ทำไมเรื่องแค่นี้… ถึงไม่เปิดใจยอมรับกันบ้างนะ

ในมุมหนึ่งของห้องเก็บอุปกรณ์ที่ลับตาคน…
มือเล็กๆกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น หลายครั้งที่หยิบขึ้นมากดเบอร์คนคุ้นเคย แล้วก็กดทิ้งไป เค้านั่งคิดมาร่วมชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตก ทำไม… แค่เป็นนักเรียนมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้นะ
ตาสีเขียวสดก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอีกครั้ง ตัดสินใจกดเบอร์โทรสายด่วน หน้าจอสีก็ปรากฏชื่อผู้รับ

‘คาน่อน เอเดรี้ยน’

‘สวัสดีครับ… ที่นี่เมมโมเรี่ยลคลับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ’
เสียงทุ้มนุ่มนวลชวนอบอุ่นที่ส่งมาจากปลายสาย ทำให้เด็กหนุ่มสะอึกไปอีกรอบ แต่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้กดปุ่มวางสาย แล้วกลั้นใจพูดตอบกลับไป
“คาน่อน… นี่ฉันเองนะ”
เสียงที่ตอบกลับก็ทำให้อีกฝ่ายอึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆปนขัน แล้วถามกลับอย่างคนอารมณ์ดีเหมือนเคย
“ตกใจหมดเลย ไม่คิดว่าคุณจะโทรหาผม มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ… คุณคาโอรุ”
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น พยายามกลั่นกรองคำพูดเพื่อรักษาฟอร์มตัวเองให้นานที่สุด
“ฉันอยากได้ผู้ปกครอง”
คำร้องขอสั้นๆง่ายๆ แต่ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งจนพูดไม่ออก
“แล้วยังไงล่ะครับ” คาน่อนลองหยั่งเชิงดูก่อน
“ก็ไม่ยังไง… คาน่อนช่วยหาพ่อบ้านสักคนมาเป็นผู้ปกครองให้ฉันได้มั้ย”
“โธ่… คุณคาโอรุ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะร่วน “คุณไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตรซะหน่อย ทำไม… ไม่โทรหา ‘ท่านพ่อ’ ล่ะครับ ท่านต้องช่วยคุณได้แน่”
“ไม่!!!” คาโอรุปฏิเสธเด็ดๆ ชาตินี้ทั้งชาติเค้าไม่มีวันพึ่งพาตาแก่นั่นแน่ “ฉันขอร้องล่ะคาน่อน ช่วยหาผู้ปกครองให้ฉันหน่อย เอาใครก็ได้ แต่ยกเว้น… ตาแก่นั่นคนเดียว! และถ้าฉันรู้นะว่านายแจ้งข่าวนี้ไปที่บ้านใหญ่ล่ะก็ ฉันเก็บนายถึงที่แน่ คอยดู”
พอเจอคำขู่เข้าแทนที่จะกลัว อีกฝ่ายกลับเอาแต่หัวเราะเหมือนคนเสียสติ
“คาน่อน! ฉันซีเรียสนะ” คาโอรุส่งเสียงดุไปอีกรอบ
“ครับ… ผมทราบแล้วครับ ไม่เอา ‘ท่านพ่อ’ แต่ถ้าเป็นคนอื่นคุณคาโอรุก็ยอมใช่มั้ยครับ”
“อืม… ใครก็ได้ เร็วๆด้วยล่ะ”
“ใจร้อนขนาดนี้ เดี๋ยวตอนบ่ายผมส่งคนไปหาคุณที่ห้องเรียนเลยก็แล้วกัน” คาน่อนรับปาก แต่ในใจน่ะคิดแผนไว้เรียบร้อย รับรองงานนี้คุณคาโอรุของเค้าได้ตะลึงกับผู้ปกครองคนใหม่แน่ๆ
“งั้นก็ดี แค่นี้นะ… ขอบใจมาก”
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิครับ” คาน่อนรั้งไว้ยังไม่ยอมให้คาโอรุวางสาย
“อะไรอีกล่ะ ฉันต้องรีบไปเรียนนะ”
“โธ่… ก็นานๆทีคุณคาโอรุถึงจะยอมโทรหาผมสักครั้ง ขอผมได้บอกอะไรคุณสักอย่างได้มั้ย”
“ก็ว่ามาสิ”
ทางปลายสายเงียบไปนาน จนคนรอเริ่มหงุดหงิดใจ มันจะถ่วงเวลาอีกนานแค่ไหนเนี่ย
“คาน่อน…” คาโอรุทวงอีกรอบ
“คาโอรุ… พี่รู้ว่าเราเก่ง แต่อย่าดื้อให้มากนัก ทิฐิน่ะเพลาๆลงมั่งก็ได้ พี่เป็นห่วงเรานะ และก็รักเรามากด้วย ดูแลตัวเองด้วยนะ… คาโอรุ” คาน่อนนิ่งนิดไปแล้วรีบพูดต่อก่อนที่คาโอรุจะวางสาย “แค่นี้แหละครับที่อยากจะบอก”

ตรู๊ดดดดด……………

คาโอรุแอบวางสายเงียบๆ คำพูดทุกคำของคาน่อนยังคงติดอยู่ในใจไม่มีวันลืม เค้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาช้าๆ
“ผมก็รักพี่… พี่คาน่อน แต่ลูกนอกคอกอย่างผม จะยังมีที่ไหนให้กลับไปได้อีก”
ความเงียบที่รุมเร้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบใจในยามนี้
ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือเลย… แม้แต่เพื่อน

ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนคาโอรุก็เอาแต่นั่งเหม่อ จนเพื่อนอีกสองคนก็ไม่รู้จะหาช่องเข้าไปช่วยปลอบได้ยังไง เลยได้แต่นั่งจับตามองอยู่ห่างๆ
“เฮ้… ไทกิ ไอ้เนี่ยนายให้ใครเซ็นให้เหรอ” ฮิโระหยิบใบอนุญาตผู้ปกครองออกมาให้ดู เจ้าไทกิก็ยิ้มแป้น
“ก็ ผอ. ชิงุเระไงล่ะ เค้าจัดการให้ฉันตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้ว แต่เรื่องนี้นายอย่าบอกใครเชียวนะ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นเด็กเส้น” ตอนท้ายไทกิแอบยิ้มเจื่อนๆ
“เออน่า” ฮิโระรับปาก ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่เค้ายังไม่รู้ว่ามันจะแก้ปัญหาชีวิตยังไง “งั้น… นายช่วยขอร้องให้อาจารย์เซ็นให้คาโอรุอีกคนได้ป่าว?”
“ก็คงพอได้มั้ง ว่าแต่มีอะไรเหรอ ทำไมคาโอรุไม่ให้ผู้ปกครองตัวเองเซ็นให้ล่ะ”
ฮิโระอ้ำอึ้ง “ฉันกำลังสงสัยว่ามันอาจจะไม่มีผู้ปกครองน่ะสิ”
คำบอกเล่าจากปากฮิโระ ทำให้ไทกิตกใจและรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรวมหัวกันคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้เพื่อนรักอยู่นั้น จู่ๆคนที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้อง
ร่างสูงสง่าของเจ้าชายหิมะ เดินตรงรี่เข้าไปหาคาโอรุถึงโต๊ะเรียน เด็กหนุ่มออกอาการอึ้งทันทีที่เห็นหน้า แต่พอคุยกันไม่กี่คำ มันก็ยอมเดินตามคนๆนั้นออกไปอย่างว่าง่าย ทิ้งเพื่อนซี้สองคนที่กำลังระดมสมองแก้ปัญหาให้มันแทบระเบิดได้แต่มองตามปริบๆ
“ไฮบาระ โนะอิ!” ไทกิยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “หมอนั่นมาที่นี่ทำไม?”
“แต่ฉันอยากรู้ว่าอยู่ดีๆทำไมเจ้าคาโอรุถึงยอมตามหมอนั่นออกไปมากกว่า” ฮิโระชักจะเดือดปุดๆ ปกติเจ้าคาโอรุมันฟอร์มจัดจะตาย ทำไมถึงยอมตามคนอื่นไปง่ายๆ มันน่าโมโหชะมัด
“ตกลง… นี่นายห่วงหรือนายหวงคาโอรุกันแน่” ไทกิอดแซวไม่ได้ ก็แหม… เห็นมันฉุนจัดขนาดนี้ อย่างกับคนที่โดนคนอื่นแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตางั้นแหละ
“หวงอะไร ฉันเปล่าซะหน่อย” มันยังทำปากแข็ง
“งั้นก็แล้วไป ไอ้เรารึก็อุตส่าห์จะชวนไปสังเกตการณ์ แต่ถ้านายไม่ห่วงคาโอรุ งั้นเรากลับหอดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน… ไทกิ” คนท่าจัดคว้าแขนเพื่อนซี้เอาไว้หมับ “คือฉันว่าอันที่จริงเราไปดูมันหน่อยก็ดีนะ ไม่แน่… โนะอิอาจจะมาหาเรื่องมันก็ได้ ยังไงเราก็เพื่อนกัน ถ้าไม่ไปช่วยก็ออกจะใจจืดใจดำเกินไปหน่อย”
“โธ่เอ๊ย! ไอ้ขี้เก๊ก” ไทกิแซว พร้อมกับโอบไหล่มันเดินไปด้วยกัน “แค่พูดว่าห่วงคาโอรุแค่เนี้ย ยากนักหรือไงฮึ”
ฮิโระขี้เกียจตีฝีปากด้วย เลยรีบเดินหนี
ศาลาริมทะเลสาบคือเป้าหมายที่พวกเค้าจะไปสังเกตการณ์เพื่อนซี้ของพวกเค้า…

“จดหมายนั่นอยู่ไหน?”
โนะอิยืนกอดอกซักหน้าเครียด ทำอย่างกะคนตรงหน้าเป็นจำเลยต้องโทษประหาร
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ” รุ่นน้องยังเชิดหน้าท้าทายไม่เลิก จนรุ่นพี่ชักฉุน เดินตรงเข้าไปคว้าร่างเล็กๆแล้วจัดการค้นเอง ในที่สุดก็เจอใบอนุญาตที่มันพับจนเละอยู่ในกระเป๋าเสื้อ
“ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ ถ้านายไม่ใช่…” ว่าแล้วก็อึ้งไปเอง มองดวงตาสีเขียวที่กำลังกรุ่นของรุ่นน้อง แล้วก็ตัดสินใจไม่พูด “…เป็นคนที่ฉันต้องยุ่ง”
โนะอิเลี่ยงได้ชวนงงที่สุด จนคนที่แอบฟังอยู่ลุ้นใจจะขาดว่าจะได้ข้อมูลสำคัญอะไรบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง
“คาน่อนเป็นคนบอกนายใช่มั้ย”
“พูดกับฉันดีๆหน่อยได้มั้ย ถึงนายจะไม่นับถือฉันในฐานะญาติ แต่ยังไงซะฉันก็เป็นรุ่นพี่นาย” โนะอิปรามไปอีกยก คำแต่ละคำที่หลุดจากปากมันกวนประสาททั้งนั้น กี่ปีแล้วที่มันไม่เคยฟังใคร
ดื้อ!

“พี่ชาย”

คำเรียกที่เปลี่ยนสีหน้าของเจ้าชายหิมะให้งุนงง ก่อนจะขึ้นสีแดงจางๆ เจ้าสองคนที่แอบฟังพยายามเงี่ยหูเข้ามาฟังให้ถนัด แต่ก็ไม่ได้ยินว่าคาโอรุพูดอะไรกับโนะอิ เพราะเสียงมันเบามาก
“ขอโทษ”
คาโอรุบอกเสียงแผ่ว ก่อนจะหันหน้าหลบไปกลั้นน้ำตาไว้อีกทาง
“เฮ้อ… มันน่านัก” โนะอิถอนใจเฮือกใหญ่ “เมื่อไหร่นายจะเลิกดื้อแล้วยอมกลับบ้านซะที ส่วนไอ้เนี่ย… ถ้านายเอาไปให้ท่านพ่อเซ็นด้วยตัวเอง ทำตัวให้สมกับเป็นลูกรักของท่าน ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
“จนป่านนี้แล้ว จะพูดเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้อีกทำไม”
“เพราะฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น่ะสิ ถึงนายจะโกรธท่านพ่อแค่ไหน แต่สักวันหนึ่ง… นายก็ต้องกลับบ้าน ฉันยังยืนยันคำเดิมนะว่าอยากให้ครอบครัวเราอยู่พร้อมหน้ากัน แต่ถ้าช่วงนี้นายยังพร้อม ฉันจะเอาใบอนุญาตไปให้ท่านพ่อเซ็นให้ก่อนก็ได้” โนะอิเก็บใบอนุญาตลงกระเป๋า ก่อนจะหันหลังเดินกลับหอของตัวเอง
แต่แล้วในช่วงเวลาที่ไม่คาดฝัน… จู่ๆแผ่นหลังที่เคยเยียบเย็นก็ถูกแขนเรียวเล็กโผเข้ามากอดรักแน่น ความอบอุ่นจากหยดน้ำตาใสก็ค่อยๆไหลซึมละลายหัวใจที่ด้านชาของเจ้าชายน้ำแข็งให้อ่อนลง โนะอิได้แต่ถอนใจปลงชีวิต ขนาดมันทุกข์ใจขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมวางทิฐิ
หัวดื้อเหมือนใครนะเนี่ย… เจ้าน้องชายคนนี้
…คงเหมือน ‘พ่อ’ ล่ะมั้ง…
“นานแค่ไหนแล้วที่นายไม่ยอมกอดฉัน”
“ไม่รู้” คาโอรุส่ายหน้า ทั้งๆที่น้ำตายังพรั่งพรูไม่หยุด “นานแค่ไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ขอยืมหลังแป๊บนึงได้มั้ย”
“ก็เอาสิ… นายเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลไฮบาระอยู่แล้วนี่ อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ” ปากก็ประชดน้องมันไปอย่างนั้น แต่ในส่วนลึกโนะอิก็ดีใจมากที่คาโอรุยอมรับเค้าอีกครั้ง
นานแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้… คาโอรุเลยถือวิสาสะยึดหลังเย็นๆของพี่ชายไว้ซะนาน แต่พวกที่แอบฟังอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แถมยังเข้าใจผิดเต็มๆ สีหน้าของนักฆ่าแข็งกร้าว ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปเงียบๆ
“เฮ้ย! ฮิโระรอฉันด้วยสิ งอนอะไรของนายอีกล่ะเนี่ย” ไทกิพยายามจะเรียกไว้ แต่มันก็ไม่หันกลับมาเลย ไม่รู้ว่าต่อมบ้าส่วนไหนกำเริบขึ้นมาอีก ไทกิได้แต่งง ก่อนจะวิ่งตามไป
แล้วในที่สุด… คาโอรุก็ยอมคลายแขนออกจากตัวพี่ชายพร้อมกับปาดน้ำตาออกจากแก้มเบาๆ
“วันหยุดนี้พี่จะกลับบ้านนะ คาโอรุ… นายจะกลับกับพี่มั้ย” โนะอิลองตะล่อมชวนดูอีกที
คาโอรุส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก… ยังไม่พร้อม พี่โนะอิกลับเถอะ ยังไงก็ฝากความคิดถึงถึงทุกคนด้วยก็แล้วกัน โดยเฉพาะคุณป้ามาเรียกับพี่คาน่อน”
“แล้วท่านพ่อล่ะ… จะไม่ฝากอะไรถึงท่านหน่อยเหรอ”
“ก็…” คาโอรุละล่ำละลัก เวลาพูดถึงตาแก่นี่ทีไรพูดไม่ออกทุกที “ตาแก่นั่นคงสบายดีหรอก ไม่ต้องฝากอะไรก็ได้มั้ง”
โนะอิอมยิ้ม ก่อนจะคล้องแขนโอบรอบคอแล้วดึงน้องรักเข้ามากอดใกล้ๆ
“ไอ้คำว่า ‘คิดถึง’ เนี่ย มันพูดยากนักหรือไง” โนะอิแซวไปอีก จนหน้าสวยๆของน้องขึ้นสี
“ยุ่งน่า” คาโอรุแจกศอกเบาๆ “ไม่ต้องทำเป็นรู้ดี… แล้วขากลับอย่าลืมเอาใบอนุญาตไปให้อาจารย์ซายะด้วยล่ะ ขี้เกียจไปฟังแกบ่น บ่นจนจะเป็นป้าอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกับแม่แท้ๆ แม่ยังไม่บ่นฉันขนาดนี้เลย”
“น้อยไปสิ… ลองไปฟังเวอร์ชั่นท่านพ่อบ้างมั้ยล่ะ ฉันกับคาน่อนฟังจนหูชาแล้ว นายน่าจะลองไปฟังเองบ้างนะ แต่เอ… นายอาจจะไม่โดนก็ได้ ก็นายมันลูกรักพ่อนี่”
“เลิกพูดซะทีได้มั้ย ไอ้คำว่า ‘ลูกรัก’ เนี่ย ขนลุก… พี่จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันจะกลับหอแล้ว”
“เออ… ดีนี่ พอใช้เสร็จก็ไล่เลยนะ”
โนะอิค้อน ไอ้น้องตัวดีก็หันมายิ้มแป้น
“คาโอรุ” พี่ชายเรียกไว้อีกรอบ แต่เสียงเครียดกว่าเดิม คาโอรุเลยหันมาฟังอย่างตั้งใจ
“อะไรเหรอ?”
“นายน่ะ… อยู่ห่างๆเด็กบ้านโซมะไว้หน่อยก็ดีนะ รู้ใช่มั้ยว่าบ้านสองบ้านเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว นายสองคนไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้หรอก เพราะฉะนั้นเลิกคบกับเด็กบ้านนั้นเถอะ”
คาโอรุอ้ำอึ้ง ทำหน้าลำบากใจอย่างที่สุด อันที่จริงตอนนี้ก็โกรธกับมันอยู่น่าจะรับปากได้ง่ายๆ แล้วทำไมถึงพูดไม่ออก แถมจู่ๆหัวใจส่วนลึกมันก็หนักอึ้งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ฉัน… จะพยายามนะ”
คาโอรุทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกลับหอ ความสับสนหลายอย่างในใจทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าจริงๆแล้วรู้สึกยังไงกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะคิดหาคำตอบ… ทันทีที่เปิดประตู เค้าก็ต้องผวา เมื่อเห็นหน้าที่บึ้งตึงของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงของเค้า
ยามเย็นโพล้เพล้… ภายในห้องที่ทึมทึบ เค้ากำลังจะได้รับคำตอบทั้งหมดของหัวใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Unn

  • บุคคลทั่วไป
18 ต่อ

“ไทกิไปไหน?”
คาโอรุถามเสียงเรียบโดยไม่ยอมสบตากับคนที่บังอาจยึดเตียงของเค้าด้วยซ้ำ พลางเดินไปที่โต๊ะ ถอดเสื้อนอกไปพาดไว้บนพนักเก้าอี้
“ไปหาพี่ซุยที่หอลม”
“เหรอ”
คาโอรุพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งเพื่อทำการบ้าน แต่ยังไม่ทันจะทิ้งตัวลงนั่ง ร่างบางๆก็ถูกคนลามปามคว้าหมับลงไปนอนแน่นิ่งบนเตียงด้วยกัน
“นายคิดจะทำอะไร?”
คิ้วสวยๆของนักล่าขมวดมุ่น แต่ฮิโระก็ไม่ยอมตอบ มันเอาแต่จ้องตาเค้านิ่ง แถมยังเอาตัวหนักๆนั่นมาทับอีก อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
“ถ้านายไม่มีธุระอะไรก็ลงไปจากเตียงฉันซะ ฉันจะได้ทำการบ้านต่อ”
คาโอรุผลักมันออกแล้วเดินลงจากเตียงอย่างหงุดหงิด แต่ไม่ทันไรก็ถูกฉุดลงไปอีก คราวนี้มันเล่นโถมร่างทาบทับพันธนาการเค้าไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก สองมือตรึงใบหน้าเล็กๆเอาไว้ เชยคางมนขึ้นมาแล้วมอบจุมพิตที่เร่าร้อนที่สุด ริมฝีปากที่อบอุ่นไล่ขบเม้มไปตามริมฝีปากหวาน ดูดดื่มความรักที่โหยหามานานแสนนาน
ดวงตาสองคู่สบประสาน จ้องมองกันไม่ลดละ แล้วในที่สุด… แม้แต่คนที่ใจแข็งดั่งหินผาก็ยังเผลอคล้อยตาม โน้มท้ายทอยร่างูสงเข้ามาประชิด แล้วจูบตอบสนองกลับอย่างหวานซึ้งที่สุด
“ฮิโระ…” คาโอรุรั้งตัวจอมตื๊อออก เพื่อถามเรื่องที่ยังคาใจ “ตกลงนายเป็นอะไร งอนอะไรฉันอีกล่ะ”
“วันนี้ฉันเห็นนายอยู่กับพี่โนะอิ พอหมอนั่นพูดไม่กี่คำก็ตามออกไปต้อยๆเลย นายชอบมันงั้นเหรอ!”
โอ๊ย… อยากจะบ้าตาย คิดได้ไงเนี่ย… คาโอรุนึกอยากกุมขับ แต่เผอิญติดตรงที่มือยังไม่ว่าง
“นายก็เพ้อเจ้อไปนู่น ฉันกับพี่โนะอิไม่มีอะไรกันอย่างที่นายคิดหรอกน่า”
“แล้วฉันจะเชื่อได้ไง” ฮิโระยังซักไม่เลิก
“แล้วทำไมฉันต้องทำให้นายเชื่อด้วยล่ะ”
“ก็…” ฮิโระพูดไม่ออก จะบอกเหตุผลมันตรงๆได้ยังไง มีหวังมันคงโกรธเค้าไปทั้งชาติแน่ ถ้ารู้ว่าทำไปเพราะ… หึงมันเนี่ย
“ก็… อะไร?” คาโอรุจ้องตาคาดคั้น ยิ่งแกล้งมันก็ยิ่งสนุก โดยเฉพาะตอนที่มันประหม่าเนี่ย น่ารักอย่าบอกใครเชียว
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายสนิทกับใคร แต่ถ้าทำให้นายลำบากใจก็ขอโทษด้วย”
มันแก้ปัญหาโดยการคิดจะลุกหนีไปดื้อๆ แต่คนกำลังเคลิ้มกับไออุ่นไม่ยอมให้ไปง่ายๆอยู่แล้ว คาโอรุดึงตัวคว้าหมับเอามันลงมากอดอีกครั้ง แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“แค่พูดว่า ‘นายชอบฉัน’ มันยากนักหรือไง หรือต้องให้ฉันเป็นฝ่ายพูดก่อน”
นัยน์สีเขียวหวานใสบ่งบอกถึงความจริงใจที่ส่งมาให้ยิ่งทำให้ฮิโระอึ้งจนพูดไม่ออก คาโอรุประคองหน้าคนชอบหนีปัญหาหันมาสบตากันตรงๆ
“อันที่จริงฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้กับนาย ยิ่งถ้านายรู้ว่าตัวจริงของฉันเป็นใคร นายอาจจะเกลียดฉันเลยก็ได้ แต่ฉันก็… ไม่มีสิทธิ์เลือกมากนักหรอก วันนี้ได้อยู่กับนาย แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ฉันถึงอยากเก็บเกี่ยวความทรงจำนี้ไว้ให้นานที่สุด”
คาโอรุเปรยเศร้าๆ ยิ่งได้ฟังคำเตือนของพี่ชายวันนี้ก็ยิ่งหดหู่ โซมะกับไฮบาระ… เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ความรักระหว่างคนสองบ้านจึงเป็นรักต้องห้ามที่ไม่มีทางเป็นจริงได้
“นายพูดอย่างกับว่า… นายจะเลิกคบกับฉันอย่างนั้นแหละ” ฮิโระฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ความหมายในทางที่ดีแน่
“อย่างน้อยตอนนี้ก็… ไม่”
คาโอรุย้ำคำหนักแน่นเพื่อให้มันสบายใจชั่วคราว ก่อนจะโน้มท้ายทอยร่างสูงเข้ามาสัมผัสริมฝีปากอุ่น ดุนลิ้นเข้าไปแลกเปลี่ยนความหอมหวานที่แสนรัญจวน ส่วนร่างกายที่ถูกตรึงอยู่ก็ยอมให้มันรุกล้ำได้ตามแต่ใจชอบ มือเริ่มป่ายปัดขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนักเรียน แล้วลูบไล้นวลเนื้อขาวผ่องตรงช่วงอก ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากตามปลายนิ้วลงมาช้าๆ
“อ๊ะ…”
คาโอรุหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ตอนที่ปุ่มนูนที่หน้าอกถูกลิ้มเลีย ความชื้นแฉะจากปลายลิ้นอุ่นยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน คาโอรุกดท้ายทอยร่างสูงแนบชิดกับหน้าอก ปากก็พร่ำเพ้อไม่หยุด
“ยะ… อย่า… อย่าเพิ่งไป” คาโอรุกำลังมีความสุข นอกจากร่างสูงที่ตอบสนองโดยการดูดปุ่มนูนหนักขึ้นแล้ว อีกข้างคาโอรุก็ยังเผลอเอานิ้วเล็กๆขึ้นมากรีดเขี่ยของตัวเองเล่นเบาๆ
“นายใจร้อนขนาดนั้นเชียว” ฮิโระยิ้มบางๆ ยิ่งเห็นร่างบางบิดเร่าด้วยความสุขสม แถมยังช่วยเค้าปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดีก็ยิ่งถูกใจ “งั้นนายไปรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
มือกร้านฉุดมือเล็กที่กำลังเล่นอยู่กับปุ่มนูนสอดเข้าไปในกางเกงตัวเก่ง บังคับให้มันกำรอบแกนกลางของตัวเองแล้วกรีดเขี่ยเล่นอย่างสนุกสนาน จนเห็นความตึงแน่นชัดเจนแนบกับเนื้อผ้าสีกรมท่าของชุดนักเรียน
“อื้ม… อือ… ร้อนจัง ฉันอยากถอด”
คาโอรุดิ้นไปดิ้นมาเพราะความอึดอัด บอกฮิโระที่กำลังไล่ลิ้นโลมเลียไปทั่วร่างกาย มันเลยรีบสงเคราะห์ให้โดยการทึ้งเสื้อผ้าออกมาทั้งหมด กางเกงก็ถูกรูดลงไปกองแทบเท้า เห็นนิ้วเล็กๆยังคงเค้นคลึงส่วยปลายจนเฉอะแฉะ เปลี่ยนสีจากชมพูหวานเป็นแดงก่ำ แสดงว่าคงพร้อมจะปลดปล่อยความสุขออกมาแล้ว
“เดี๋ยวฉันต่อให้เอง” ฮิโระปัดมือเล็กๆออกแล้วขยับมือทำต่อให้ ร่างบางก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการแยกขาออกว้างให้ร่างสูงได้มีช่องเข้าไปหาความสุขอย่างเต็มที่
“โอ๊ย!”
ร่างบางครางแผ่วแล้วแอ่นกายเหยียด ตอนที่มันใช้ปากงับแน่น แถมยังใช้ลิ้นดุนดันส่วนปลายไม่ยั้ง คาโอรุต้องจิกผ้าปูที่นอนเอาไว้เพื่อบรรเทาความทรมานที่อิ่มเอม ต้นขาขาวเพรียวถูกมันใช้มือยันออกแล้วลูบไล้เพิ่มความเสียซ่าน ริมฝีปากดูดกระชับ ความร้อนที่อัดแน่นทำให้ไม่อาจทนฝืนได้อีก คาโอรุยกสะโพกแอ่นจนสุดตัว แล้วปลดปล่อยคราบสีขาวขุ่นจนทะลักทะลายในปากร่างสูง
“หวานมาก” ฮิโระเอ่ยปากชม ก่อนจะเผื่อแผ่เข้ามาประกบริมฝีปากให้ร่างบางได้ชิมรสชาติของตัวเองบ้าง พอผลัดกันลิ้มเลียจนหมดเกลี้ยง เค้าก็ค่อยๆไต่ลงไปข้างล่างเพื่อหาเป้าหมายสุดท้ายทันที
ร่างบางถูกจับพลิกคว่ำ ยกสะโพกขึ้นมาจนสุด จากนั้นต้นขาขาวๆก็ถูกแยกออกจากกันเต็มองศา เผยให้เห็นช่องทางหวานคับแคบที่คุ้นเคย ฮิโระกวาดลิ้นเลียคราบน้ำขาวที่ไหลลงไปเปรอะเปื้อน กระตุ้นอารมณ์คนรับจนเตลิดเปิดเปิง
“อา… เร็วเข้า ฉันทนไม่ไหว” คาโอรุระงับอารมณ์ไม่อยู่ พอมันทำไม่ทันใจก็รีบยื่นมือเข้าไปช่วย ใบหน้าที่ซุกอยู่ก็กัดผ้าปูเตียงไว้แน่น สองมือคว้าจิกแก้มก้นนุ่มๆแยกออก แล้วสอดใส่ปลายนิ้วเข้าไปทางด้านหลังของตัวเองเพื่อเปิดทางรอรับ
“หึ หึ… ใจร้อนจังนะ” ฮิโระยิ้มกริ่ม พอปลดกางเกงของตัวเองออกปุ๊บ ก็รีบขยำส่วนปลายให้เกร็งได้ที่พอที่จะแทรกตัวเข้าไป จากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปคร่อม ดึงนิ้วที่ช่วยนำทางออกทั้งหมด แล้วแทรกของจริงเข้าไปแทนที่
“อ๊า!!”
ทั้งคู่ร้องครวญครางรับความสุขล้นที่ได้รับอย่างเต็มปรี่ ส่วนปลายที่ขยับเข้าออกก็รัวจังหวะเร็วขึ้น สะโพกมนก็โยกรับจังหวะอย่างสอดคล้องเหมือนเช่นคนตรีที่บรรเลงได้อย่างประสานกัน แล้วเมื่อเพลงรักยิ่งเร่าร้อน เตียงทั้งเตียงก็สั่นลั่นโครมคราม จนท้ายที่สุดร่างสูงขยับเข้าไปหมดทั้งตัวก็ปลดปล่อยความรักจนพลุ่งพล่านหวานฉ่ำในตัวร่างบาง
“โอย… ให้ตายเถอะ วันนี้วิเศษที่สุดเลย”
ฮิโระพลิกตัวนอนแผ่ด้วยความอ่อนเปลี้ย หมดสภาพอยู่ข้างๆร่างบางที่ดูเหมือนจะยังไม่อิ่ม เพราะมันยังก้มลงไปเก็บกวาดน้ำขาวขุ่นที่อาบอยู่รอบอาวุธของเค้าจนเกลี้ยง
“นี่… พอเถอะ เดี๋ยวค่อยต่ออีกรอบก็ได้” ฮิโระดึงร่างบางเข้ามากอด ตัวทั้งตัวของมันหวานฉ่ำทำให้เค้าหลงใหลจนแทบคลั่ง ร่างสูงจึงซุกหน้าลงไปซบกับอกอุ่นๆแล้วขบเม้มแต้มนูนเล่นเบาๆ
คาโอรุทำหน้าเศร้า เพราะเค้ารู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย…
“ฉันต้องไปแล้ว”
คำบอกเล่าที่หยุดอารมณ์ของคนกำลังสุขให้ตกตะลึง
“อะไรกัน! เมื่อครู่เรายังมีความสุขกันอยู่เลย แล้วนายจะไปได้ยังไง ล้อฉันเล่นใช่มั้ย”
มือเล็กๆคลึงเล่นอยู่บริเวณท้ายทอยจนฮิโระไม่ทันระวังตัว พอมารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกปวดหนึบที่ต้นคอเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง พอเค้าหันไปอีกรอบ เห็นเข็มสีเงินที่อยู่ในมือเล็กๆของมัน ฮิโระถึงกับหน้าซีดเผือด
“นี่นาย…” ฮิโระรีบจับต้นคอตัวเองโดยด่วน แต่ก็ช้าไปแล้ว เปลือกตาของเค้าหนักอึ้ง ดวงตากำลังริบหรี่เต็มที เข็มอันนั้น… เป็นเข็มอาบยาสลบ
คาโอรุรีบโผเข้าไปรับศีรษะที่อ่อนล้าของฮิโระเข้ามากอดไว้ แล้วก่อนที่สติของมันจะเลือนหายไปทั้งหมด คาโอรุก็กระซิบคำบอกลาแผ่วเบา
“ฉันทรยศคนในตระกูลของฉันไม่ได้ เรื่องระหว่างเราขอให้จบลงแค่นี้เถอะ… ลาก่อน”
คาโอรุวางฮิโระนอนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ตาสีทองที่พยายามฝืนไม่ยอมหลับจ้องเค้าเขม็ง ราวกับจะอ้อนวอนให้เค้าเปลี่ยนใจ แต่แล้วมันก็พ่ายแพ้… ดวงตาสีทองถูกมาปิดสนิท แล้วมันก็หลับไปในที่สุด

คาโอรุก้มลงจูบลาคนรักอีกครั้ง ก่อนจะหยิบข้าวของเท่าที่จำเป็นแล้วหนีออกจากห้อง ก็สวนเข้ากับไทกิตรงบันไดหอหอดี คาโอรุรีบปาดน้ำตาออกจากหน้า แล้วหันไปคุยกับไทกิเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ค่ำแล้วนะ นายจะไปไหน?” ไทกิถามด้วยความสงสัย เห็นมันขนกระเป๋าออกมาไม่พอ สภาพกับหน้าตาก็ดูโทรมพิลึก เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบที่ไหนมายังไงยังงั้น
“พอดีฉันลากลับบ้าน” คาโอรุโกหกไปเต็มๆ “อีกสองสามวันก็กลับแล้ว”
ใช่สิ… ถ้าท่านพ่อรู้เรื่องระหว่างเค้ากับฮิโระล่ะก็ มีหวังคงโดนเฉดหัวเค้าออกจากบ้านแหงๆ ถึงกลับไปก็คงอยู่ที่บ้านได้ไม่นานหรอก
“งั้นก็เดินทางดีนะๆ” ไทกิที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยิ้มให้ แถมอาสาจะเดินลงไปส่งข้างล่างด้วย แต่คาโอรุปฏิเสธ
“นายกลับห้องไปเถอะ ของแค่นี้ฉันถือเองได้ แล้วก็… ฝากดูเจ้าฮิโระมันด้วยนะ”
“ทำไมล่ะ?” ไทกิขมวดคิ้วมุ่น อยู่ดีๆมาฝากให้ดูแลฮิโระ มันเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย
“เปล่า… ฉันกลัวมันจะตื่นขึ้นมาแล้วอาละวาดน่ะ งั้นฉันไปนะ”
คาโอรุเล่นตัดบทดื้อๆ ก่อนจะวิ่งจู๊ดลงไป ทิ้งไว้ให้ไทกิงงเต็ก แต่ในตอนนั้นเค้าไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลยไม่คิดจะตามไปคาดคั้นถามให้รู้เรื่อง
แต่แล้ว… หลังจากวันนั้น คนที่จากไปก็ไม่กลับมาที่โรงเรียนอีกเลย

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 19 Tragedy of Romeo

“เอาล่ะครับ… วันนี้ขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนมากครับ”
ยูกล่าวปิดรายงานการประชุมในตอนท้าย หลังจากที่ดูอาการแล้วเหมือนสมาชิกแต่ละคนจะไม่ค่อยมีแก่จิตแก่ใจในการประชุมสักเท่าไหร่ ถึงฝืนประชุมต่อไปก็คงไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ยูแอบปรายสายตาไปตรงเก้าอี้ว่างของพวกปีหนึ่ง
หนึ่งเดือนแล้ว… ที่คาโอรุหายตัวไป ถึงจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญ แต่มันเล่นหายหน้าไปโดยไม่มีข่าวคราวแบบนี้ รุ่นพี่ก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน
“พี่โนะอิ”
รุ่นน้องใจเด็ดที่กำลังหมดสภาพกับชีวิต กัดฟันเรียกรุ่นพี่คนสำคัญไว้ตอนที่กำลังจะเดินออกจากสภา หน้าสวยๆของโนะอิหันกลับมาช้าๆ พยักหน้าบอกให้เพื่อนๆปีสามกลับหอไปก่อน จากนั้นก็เดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งเดิม พวกปีสองที่ยังไม่ไปก็คอยเงี่ยหูฟังเงียบๆ
“มีอะไรกับฉันเหรอ โซมะ?” โนะอิถามเสียงเรียบ
ฮิโระกัดฟันแน่น มันคิดทบทวนมาหลายวันแล้ว แต่เพราะหมดหนทางจริงๆ และความหวังเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือโนะอิเท่านั้น
นักฆ่าจากตระกูลโซมะยอมคุกเข่าให้ทายาทตระกูลคู่อริ จนโนะอิผุดลุกจากเก้าอี้แทบไม่ทัน
“นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!!”
นักฆ่าหลั่งน้ำตาด้วยความอัดอั้น วันนี้ถึงต้องคุกเข่าขอร้องโนะอิทั้งคืนเค้าก็ยอม ขอแค่ให้รู้ข่าวของคาโอรุบ้างก็พอ
“ผมขอร้องครับพี่ ช่วยบอกทีเถอะว่าคาโอรุอยู่ที่ไหน”
“พวกนายเป็นรูมเมทกันยังไม่รู้ว่าเค้าหายไปไหน แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง”
“แต่วันสุดท้ายก่อนที่คาโอรุจะไปเค้าคุยกับพี่นี่ ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะไม่รู้อะไรเลย ขอร้องล่ะครับ… ให้ผมทำอะไรก็ได้ เป็นทาสรับใช้พี่ก็ได้ แต่บอกผมเถอะว่าคาโอรุอยู่ไหน”
“ผมด้วย”
ไทกิที่ทนเห็นสภาพเพื่อนร่วมห้องสลดมาทั้งเดือนแล้วก็คุกเข่าขอร้องด้วยอีกคน ถึงจะรู้ว่าโนะอิเป็นศัตรูคนสำคัญ แต่เพราะพลังแห่งมิตรภาพเหนือกว่า จะปล่อยให้ฮิโระอยู่ในสภาพเหมือนคนจะขาดใจตายแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้
และโดยเฉพาะคาโอรุ… ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้เลย
“ฉันก็อยากขอร้องนายด้วยนะ… โนะอิ”
ซุยเล่นลงมาคุกเข่าขอร้องด้วยอีกคน พวกปีสองที่เหลือก็ทำตามเหมือนกัน ตอนนี้ทุกคนในห้องพร้อมใจกันส่งแรงกดดันให้โนะอิ จนรุ่นพี่ทนไม่ไหว ต้องกุมขมับอย่างจำนน
“ฉันบอกพวกนายไม่ได้ เข้าใจฉันหน่อยได้มั้ย แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลจริงๆก็ไปถามเอาจากคาน่อน อย่ามาถามฉันเลย” โนะอิที่กำลังจะประสาทเสียรีบเผ่นออกจากห้องก่อนจะโดนตื๊อไปมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยก็ยังทิ้งเบาะแสชิ้นสำคัญไว้ให้ทุกคนได้สาวต่อ
“คาน่อน?” ไทกิเปรย “ใช่คาน่อนเดียวกับที่นายพาฉันไปเจอเมื่อตอนต้นเทอมหรือเปล่า” ว่าแล้วมันก็สะบัดหน้าไปขอคำยืนยันจากคุณชายสายน้ำ
ซุยพยักหน้า “ก็น่าจะใช่… คาน่อนเป็นน้องชายคนละแม่กับโนะอิ บางทีหมอนั่นอาจจะรู้อะไรดีๆก็ได้”
“งั้นจะรออะไรล่ะ รีบไปเลยสิ” ฮิโระที่ใจร้อนที่สุดรีบชวน แถมยังลากแข้งลากขาไทกิออกไปด้วยกัน จนซุยต้องรีบเข้าไปดักไว้ที่หน้าประตู
“นายไม่ต้องไปหรอก แค่โทรไปก็พอ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง” ว่าแล้วคุณชายสายน้ำก็จัดการต่อมือถือถึงเพื่อนซี้ เสียงรอสายดังอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็มีคนรับ

‘สวัสดีครับ… ที่นี่เมมโมเรี่ยลคลับ มีอะไรให้รับใช้ครับ’

“คาน่อน… นี่ฉันซุยนะ”
“ว่าไงล่ะซุยคุง จะพาลูกค้ามาให้ฉันแปลงโฉมอีกหรือไง” เพื่อนรักพูดติดตลก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความซีเรียสจากน้ำเสียงที่ส่งมาจากปลายสาย
“ฉันอยากถามนายเรื่องคาวาชิมะ…” ซุยเว้นวรรคไปนิด “นายพอจะรู้อะไรบ้างหรืเปล่า”
คำถามนี้ทำให้คาน่อนเงียบไปนาน ซุยได้ยินเสียงถอนใจนำมาก่อน ก่อนที่มันจะตอบกลับมา
“หมายถึง… คาโอรุ นะเหรอ”
“ใช่… นายก็รู้จักเด็กคนนี้ใช่มั้ย” ซุยรีบถามต่อ ถึงจะยังคาใจอยู่ว่ามันรู้จักได้ยังไง แต่ก็ต้องถามคำถามสำคัญก่อน “พอจะรู้มั้ยว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
“รู้สิ” คาน่อนแอบถอนใจอีกเฮือก “ก็เค้าเป็นน้องชายฉันนี่”
“อะไรนะ!!!!” ซุยอุทานลั่นจนบรรดาน้องๆเพื่อนๆที่แอบฟังอยู่ต้องแย่งกันเอาหูไปแนบโทรศัพท์เพื่อฟังด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ซุยไล่เหล่าตัวยุ่งออกไปเงียบๆ ก่อนจะปลีกวิเวกออกไปหามุมสงบคุยกับคาน่อนที่ระเบียง
“เมื่อกี้นายบอกว่าไงนะ คาโอรุเป็นคนจากตระกูลไฮบาระงั้นเหรอ” ซุยถามให้แน่ใจอีกรอบ
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ… เค้ายังเป็นทายาทผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของบ้านด้วย ว่าแต่เรื่องนี้คุยทางโทรศัพท์คงไม่สะดวก เดี๋ยวฉันจะไปหานายที่โรงเรียนนะ”
ตรู๊ดดดดดด….
มันเล่นวางหูไปดื้อๆ จะซักต่อก็ซักไม่ทันแล้ว ซุยเลยไปบอกทุกคนแล้วไปรอคาน่อนอยู่ที่หอลม

หนึ่งชั่วโมงต่อมาคาน่อนก็มาถึง…
ทุกคนย้ายมาประชุมเครียดอยู่ในห้องของซุย และปิดป้ายหน้าห้องว่า ‘ห้ามรบกวนถ้าไม่มีธุระจำเป็น’
“เอาล่ะ… เริ่มจากตรงไหนดี”
คาน่อนเห็นทุกคนเอาแต่จ้องก็เลยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นนำก่อน มิสึกิยกมือขึ้น ทุกคนก็ย้ายไปจ้องเขม็ง ตั้งอกตั้งใจฟังกันอย่างเต็มที่
“ฉันสงสัยว่าเมื่อไหร่นายจะกลับมาเรียนซะที พักไปเกือบปีแล้วนะ”
“ฮู้ย… ธุรกิจฉันกำลังรุ่ง ที่สำคัญขี้เกียจมาทะเลาะกับโนะอิด้วย ว่าแต่นายไม่สนใจออกไปทำธุรกิจส่วนตัวมั่งเหรอ หุ้นกับฉันก็ได้นะ จะลดให้พิเศษเลย”

โป๊ก!!!!

ซุยที่นั่งคั่นกลางระหว่างคนบ้าสองคน ตบหัวเรียกสติมันคนละป้าบโทษฐานที่นอกเรื่องดีนัก
“คนอื่นเค้ากำลังซีเรียสนะ พวกนายก็อย่าทำเป็นเล่นสิ ก็รู้ว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว เอาไว้คุยธุระเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะให้โอกาสรื้อฟื้นความหลังกันทั้งคืนเลย”
“บ้า… ทะลึ่ง ซุยเนี่ย ความหลงความหลังอะไรกัน เนอะ… มี่จัง” คาน่อนยังบ้าไม่เลิก มิสึกิปิดปากหัวเราะคิกคัก แต่พอโดนสายตาเย็นๆของซุยจ้องเท่านั้นพวกมันก็เงียบกริบทันที
“เอาเป็นว่าเรามาเริ่มจาก ‘คาโอรุเป็นใคร’ ก่อนดีกว่า”
คาน่อนทำสีหน้าขึงขัง ก่อนจะเล่าประวัติอันขมขื่นของเพื่อนคนนี้ให้พวกไทกิฟัง
“สมัยก่อน… ไฮบาระ เคียว ท่านพ่อของพวกเราถูกคุณปู่จับหมั้นกับ คุณหนูชิโอริ แห่งตระกูลคาวาชิมะ นักล่าแห่งมิยางิ เรื่องนี้สักประมาณยี่สิบปีได้มั้ง… พ่อไม่เคยเจอคุณชิโอริมาก่อน และก็ไม่คิดว่าจะรักเธอด้วย การที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้า มันก็ออกจะเจ็บปวดเกินไปกับชีวิตคนวัยหนุ่ม แถมตอนนั้น… ก็ยังมีข่าวลือว่า คุณชิโอริรักอยู่กับคนตระกูลโซมะ… โซมะ เรียวเฮ”
“ป๊ะป๋านะเหรอ!!!” ฮิโระอุทานออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดสนิท เค้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อจะมีคนรักก่อนที่จะมาแต่งงานกับแม่
“แต่ก็อย่างว่า… คนตระกูลไฮบาระหัวดื้อแค่ไหนพวกนายก็น่าจะซึ้ง เรื่องศักดิ์ศรีไม่เคยยอมใครหน้าไหน โดยเฉพาะคู่อริอย่างตระกูลโซมะ พ่อก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับคุณชิโอริทั้งที่ไม่ได้รักเธอ เพียงเพื่อต้องการเอาชนะโซมะ เรียวเฮ”
คาน่อนหยุดเว้นวรรค ไล่มองหน้าทุกคนที่กำลังทำหน้าเครียดจัด
“แต่ว่าพอแต่งงานแล้ว พ่อกลับรักคุณชิโอริมาก รักมากที่สุด… แต่กลับไม่เคยบอกเธอเลย เพราะยังโกรธเรื่องที่เธอเคยเป็นคนรักของโซมะ ขนาดวันแต่งงาน โซมะ เรียวเฮ บุกมาถึงถิ่น ประกาศเป็นศัตรูไปชั่วลูกชั่วหลาน พ่อก็ยังเฉย บอกแค่เพียงว่า ‘สิ่งที่เป็นของฉัน ก็ต้องเป็นของฉันอยู่วันยังค่ำ’ และเพราะคำพูดนั้นเอง… คุณชิโอริถึงฝังใจมาตลอดว่าท่านพ่อไม่ได้รักเธอ”
เสียงถอนใจเบาๆดังมาจากนักฆ่าผู้สิ้นหวัง บ้านเค้านอกจากจะเป็นคู่แข่งทางด้านธุรกิจกับตระกูลเทนโนะแล้ว ยังมีศัตรูที่สำคัญอย่างไฮบาระอีกด้วย เค้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“หลังจากแต่งงานหนึ่งปีคุณชิโอริก็ตั้งท้องโนะอิ แต่ท่านพ่อก็แกล้งไม่ใส่ใจ ไปรับงานอยู่ที่ลอนดอนจนกระทั่งเธอคลอด แถมยังหอบแม่… ที่ตั้งท้องฉันกลับมาด้วย”
คาน่อนแอบถอนใจด้วยความสลดเบาๆ
“มาเรีย เอเดรี้ยน… แม่ของฉัน คิดมาตลอดว่าท่านพ่อรักและต้องการเธอถึงตามกลับมาที่ญี่ปุ่น แต่พอพบกับคุณชิโอริ แม่ก็ช็อกมาก พ่อปล่อยบ้านเราให้เป็นแบบนี้โดยไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเลย หนึ่งปีที่ปล่อยให้ผู้หญิงสองคนที่ไม่รู้ว่าคนที่เป็นสามีเคยมีความรักให้บ้างหรือเปล่า ต้องทนอยู่ด้วยกันอย่างอิหลักอิเหลื่อ เจอหน้ากันก็แทบจะไม่คุยกัน เพราะไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในฐานะอะไรในบ้าน จนกระทั่ง… คุณชิโอริทนไม่ไหว เธอขอกลับไปอยู่บ้านเกิดที่มิยางิเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง พ่อไม่ได้ห้ามเธอ แต่บอกคำเดียวว่าห้ามพาโนะอิไปด้วย คุณชิโอริจึงไปคนเดียว โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนั้น… กำลังตั้งท้องคาโอรุอยู่”
พอเล่าถึงตรงนี้ สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดจากใบหน้าของทุกคน คืออาการอึ้งอย่างที่สุด ฮิโระได้แต่ส่งสายตาสีทองปริบๆ แต่ไม่รู้จะอุทานอะไรออกมาเลยหุบปากเงียบไว้
“หมายความว่าพี่โนะอิกับคาโอรุเป็นพี่น้องกันเหรอ?” ไทกิเปรยถามแทนเพื่อน
คาน่อนพยักหน้า “พี่น้องแท้ๆร่วมสายเลือดเดียวกันเลยล่ะ ส่วนฉันก็เป็นพี่เค้าแค่ครึ่งเดียว”
“แต่ทำไมคาโอรุไม่เห็นเหมือนพี่โนะอิเลยล่ะ” เจ้าตัวยุ่งสงสัย อันที่จริงก็ยอมรับว่าสองพี่น้องหน้าตาดีพอกันทั้งคู่ หวานกันคนละแบบ แต่คาโอรุดูแล้วไม่เห็นจะหนาวและเย็นชาเหมือนโนะอิเลย
“ให้ฉันเดานะ” มิสึกิขอแทรกจังหวะ “เค้าโครงหน้าของสองคนนี้ถ้าดูดีๆก็คล้ายกัน ผิวก็ขาวจัดเหมือนกัน แต่สีผมกับสีตาของโนะอิคงเหมือนพ่อมากกว่า เพราะคาน่อนเองก็เหมือนพ่อ ส่วนคาโอรุคุงคงได้แม่มาหมดจดแบบไม่ต้องสงสัย”
“ถูกเผ็งเลย!” คาน่อนทำหน้าระริกระรี้ “นายเนี่ยยังรู้ใจฉันเสมอเลยนะ… มี่จัง”
คนบ้าสองคนทำท่าจะโผเข้ากอดกัน แต่ก็ถูกคนกลางยันหัวไว้คนละข้าง
“อย่าเพิ่งเพ้อเจ้อ ช่วยเล่าต่อให้จบก่อนได้มั้ยคาน่อน” ซุยปราม
คาน่อนกระแอมอีกที ก่อนจะเล่าต่อ “คุณชิโอริหายไปถึงห้าปี ท่านพ่อถึงสำนึกได้ พาพวกเราไปขอโทษและขอร้องให้เธอกลับบ้านใหญ่ แต่คุณชิโอริก็ใจแข็งใช่ย่อย ท่าทางจะติดเชื้อหัวดื้อของพวกไฮบาระไปแล้วมั้ง เธอก็เลยไม่กลับ ประกาศลั่นวาจาไว้ต่อหน้าท่านพ่อว่าจะขอตายที่บ้านเกิด เท่านั้นแหละพ่อก็พูดอะไรไม่ออก แต่ที่ตลกที่สุด รู้มั้ยตอนไหน?”
คาน่อนหันมายิ้มกริ่ม เพื่อนๆน้องๆก็พากันส่ายหัวพรึ่บ นึกไม่ออกจริงๆว่าอีตาไฮบาระ เคียว แกจะไปหลุดมาดเก๊กๆของแกตอนไหน
“ก็ตอนที่เจอหน้าลูกชายคนสุดท้องไง พ่อเงี้ยตะลึงใหญ่เลย ตอนที่เห็นเด็กตัวเล็กๆ ผิวขาวจั๊วะ หน้าตาน่าร้าก น่ารัก ตาสีเขียวบ้องแบ๊ว แก้มสีชมพูน่ารักน่าหยิก ใส่ชุดยูคาตะเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นเลย ขนาดฉันนะยังอยากขว้างเจ้าเทดดี้แบร์ตัวโปรดทิ้ง แล้วคว้ามากอดแทนเลยให้ตายเถอะ นี่… มีรูปให้ดูด้วยนะ”
ว่าแล้วก็ควักรูปสมัยเด็กๆของน้องชายคนโปรดออกมาแฉ ทุกคนดูแล้วก็อมยิ้ม โดยเฉพาะฮิโระที่เพิ่งจะซึ้งวันนี้เองว่าเจ้าคาโอรุมันน่ารักมาตั้งแต่เกิด มิน่า… พอเห็นทีไรถึงอดใจไม่ไหวทุกที
“แล้วพ่อนะก็ยิ่งอึ้งสนิท ตอนที่คุณชิโอริประกาศว่า ‘คาโอรุเป็นลูกของฉันคนเดียว ห้ามใครพาออกไปจากที่นี่เด็ดขาด’ เท่านั้นแหละพ่อก็จ๋อยสนิท ขนาดเทียวไปเทียวมาอยู่หลายปี สองแม่ลูกก็ไม่ยอมยกโทษให้ ยิ่งตอนที่คุณชิโอริเสีย…” จู่ๆคาน่อนก็สะดุด แล้วก็ไม่ยอมเล่าต่อ
“คุณแม่ของคาโอรุตายแล้วเหรอ!!” ไทกิรบเร้าให้คาน่อนเล่าต่อ
“ใช่… สองปีก่อนนี่เอง เธอป่วยแล้วก็เสียชีวิต แต่ตอนนั้นพ่อติดงานจึงไม่ได้ไปร่วมงานศพ มีแต่ฉันกับโนะอิที่ไป คาโอรุเค้าก็ยิ่งแค้นพ่อ ก็เลยงอแงไม่ยอมกลับบ้านใหญ่ แต่พ่อรักคาโอรุมากนะ รักมากที่สุดในบรรดาลูกสามคนเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเพราะเค้ามีพรสวรรค์ด้านสายงาน แต่ยังเป็นเหมือนสิ่งทดแทนความผิดที่พ่อเคยทำไว้กับคุณชิโอริ คำว่า… รัก ที่ไม่เคยบอกภรรยาตัวเองสักครั้ง แต่กลับบอกลูกทุกวัน แต่คาโอรุเค้าหัวดื้อเหมือนพ่อ จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยยอมรับคำขอโทษจากพ่อเลย”
กว่าคาน่อนจะเล่าความเป็นมาของชีวิตอันแสนรัดทดของคาโอรุจบ ก็เล่นเอาคนฟังเหนื่อยไปตามๆกัน
“แล้วที่นายบอกว่าเค้าเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ก็หมายความว่า…”
คาน่อนมองหน้าซุย แล้วก็ยิ้ม “เผชิญบ้านฉันไม่ได้เลือกผู้สืบทอดตามลำดับสายเลือดเหมือนบ้านนายว่ะซุย แต่จะเลือกคนที่เก่งที่สุด เราสามพี่น้องเคยดวลกันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าบ้าน ฉันแพ้โนะอิ แต่โนะอิแพ้คาโอรุราบคาบ นั่นแหละ… ก็เลยกลายเป็นที่มาว่าทำไมฉันกับโนะอิถึงต้องฟังคำสั่งของน้องชาย”
“สุดยอด” ฮิโระแอบทึ่งในความสามารถของคนรัก
“อย่าเพิ่งได้ใจไป โซมะ ฮิโระ” ว่าที่พี่เขยแสยะยิ้มให้ “นายน่ะยังรู้จักคนบ้านฉันน้อยไป โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลไฮบาระ กับว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลโซมะอย่างนาย คิดว่าจะมีใครยอมรับง่ายๆเหรอ”
ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พี่ชายเล่นขู่กันนี่หว่า คิดจะสกัดดาวรุ่งเหรอ ไม่ทางหรอก… ต่อให้ต้องฉุดมันออกมาจากบ้านไฮบาระเค้าก็จะทำ
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย” คาน่อนยังให้ความหวัง ฮิโระเลยรีบโผเข้าไปหยอดลูกอ้อนต่อ
“ยังไงเหรอพี่?”
“ถ้านายกล้าพอก็ไปตามเค้ากลับมา ตอนนี้คาโอรุอยู่ที่บ้านเกิดที่มิยางิ แต่ว่า…” คาน่อนส่งสายตาสีฟ้าเจ้าเล่ห์ “พ่อฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าอยากเสี่ยงตายจะไปก็ลองดู ฉันมีตั๋วชินคังเซ็นสำหรับทุกคน งานนี้ฉันให้ฟรีไม่คิดค่าธรรมเนียม”
คาน่อนวางตั๋วทั้งหมดห้าใบลงบนโต๊ะ เหมือนเตรียมการมาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคนจ้องตั๋วที่เหมือนทางผ่านสู่ประตูนรกแล้วทำหน้าเครียดจัด
“ฉันขอสละสิทธิ์แล้วกัน ถ้าไปเที่ยวล่ะก็ค่อยน่าสนหน่อย” มิสึกิเป็นคนแรกที่ขอยกมือออก
“ฉันก็ไม่ไป” มาซาฮิโกะเป็นคนที่สอง
ฮิโระหันหน้าไปทางไทกิ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไปแน่… ฉันไม่ยอมให้นายไปแกล้งคาโอรุจนหอบข้าวของหนีออกจากห้องอีกแล้ว” ไทกิชูนิ้วโป้ง งานนี้ตายเป็นตาย มิตรภาพย่อมสำคัญที่สุด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรายสายตาไปหาคนสุดท้ายที่ยังไม่ตัดสินใจ
ซุยถอนใจเบาๆเหมือนคนไม่มีทางเลือก “ฉันเป็นบอดี้การ์ดนาย นายอยู่ไหนฉันก็อยู่นั่น เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามให้เสียเวลา”
“งั้นก็ตกลงเป็นสี่คนรวมฉันด้วย เอาเป็นว่าเราออกเดินทางเสาร์นี้ รถออกหกโมงเช้า ห้ามมาสายล่ะ”
คาน่อนสรุปในตอนท้าย ก่อนจะหันไปหาฮิโระด้วยสีหน้าหนักใจ
“แต่ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของนายนะโซมะ ถ้าพ่อฉันเอาจริง นายไม่รอดแน่ ฉันอยากให้นายคิดให้ดีก่อนถึงวันเดินทาง”
นั่นคือคำทิ้งทวนก่อนที่คาน่อนจะกลับไปยังคลับของเค้า แต่ถึงแม้จะเจอคำขู่สารพัดฮิโระก็ไม่เปลี่ยนใจ ที่ผ่านมาเพราะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไร้ค่า ถึงต้องเสียใจจนทุกวันนี้ แต่จากนี้ไปเค้าจะไม่มีวันปล่อยมือคาโอรุอีกแล้ว
จะไม่ปล่อยอีกเลย… ชั่วชีวิต

วันเสาร์ตีห้าครึ่ง… ทุกคนมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟชินคังเซ็น เพื่อขึ้นรถเที่ยวหกโมงเช้าเดินทางไปยังเซ็นไดเมืองศูนย์กลางของมิยางิ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็มาถึง ที่นี่แม้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็เย็นกว่าที่โตเกียวหลายเท่า โชคดีที่คาน่อนเรียกรถส่วนตัวที่บ้านมารับ ทุกคนเลยไม่ต้องฝ่ามรสุมอากาศหนาวไปที่บ้านคาวาชิมะ
“เป็นอะไรไป ฮิโระ… ตื่นเต้นเหรอ?”
ไทกิทักเพื่อนซี้ เพราะเห็นมันเอาแต่นั่งกุมมือซะแน่น ผิดวิสัยลิงโลดของมันโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนได้มาที่สวยๆแบบนี้ มันคงเห่อชะโงกหน้าดูวิวไปทั่วแล้ว
“ฉันก็แค่ดีใจที่จะได้เจอคาโอรุอีก คราวนี้ฉันสาบานว่าจะพาเค้ากลับไปให้ได้… คอยดู” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น
“หึ… อย่าเพิ่งมั่นใจไปน้องชาย นายจะได้เจอคาโอรุก็ต่อเมื่อเอาชีวิตรอดผ่านบาทาพ่อฉันไปได้เท่านั้น และขอบอกไว้เลยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่นายคิดหรอก” คาน่อนขู่สำทับ แต่ยิ่งสร้างแรงฮึดให้กับฮิโระ งานนี้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เค้าก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
แค่ครึ่งชั่วโมงจากสถานีเซ็นได ก็ถึงบ้านคาวาชิมะที่ตั้งอยู่บนภูเขานอกตัวเมือง ที่นี่สวยมาก ภูเขาทั้งลูกมีดอกซากุระบานสะพรั่ง รอบๆมีลำธารน้ำใสสะอาดไหลผ่าน บนเชิงเขาจนสุดที่ราบเป็นอาณาเขตบ้านหลังใหญ่สไตล์ญี่ปุ่นโบราณตั้งอยู่
“พวกนายรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูลาดเลาก่อน”
คาน่อนสั่งให้พวกไทกิรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองก็เข้าไปข้างใน คาน่อนหายไปสักพักก็มีแม่บ้านคนหนึ่งออกมาต้อนรับ เจ้าหล่อนแต่งตัวด้วยชุดกิโมโนดูภูมิฐาน อยู่ในวัยกลางคน แถมท่าทางขรึมๆตาดุๆนั่นก็ชวนให้หนาวสันหลังชอบกล ดูท่าทางไอ้นิสัยหนาวๆเย็นๆจะเป็นบุคลิกจำเพาะของคนบ้านนี้แฮะ
“สวัสดีค่ะ… ดิฉันชื่อ คิริเอะ เป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่ พวกคุณคือเพื่อนของท่านคาโอรุใช่มั้ยคะ”
‘ท่านคาโอรุเลยเหรอ’ ฮิโระแอบทึ่ง
“คุณท่านรออยู่แล้ว เชิญข้างในได้เลยค่ะ”
คิริเอะเดินนำทางเข้าไปในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่า บ้านเงียบสนิททั้งที่รู้สึกว่าถูกจับตามองมาจากทุกที่ ไทกิประมาณคร่าวๆคงมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อย แต่ทุกคนคงผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ถึงได้พรางตัวได้เนียนอย่างไม่มีที่ติ คุณแม่บ้านใหญ่พาไปถึงห้องโถง เจ้าหล่อนก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมแล้วเลื่อนบานประตูออก ทุกคนลุ้นระทึก เพราะในที่สุดก็จะได้พบเพื่อนรักที่หายไปแล้ว
แต่ทว่า…
ผู้ที่นั่งเด่นเป็นสง่ารอต้อนรับพวกเค้าอยู่ในห้องรับแขก กลับกลายเป็นชายวัยหนุ่มที่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ เค้าหน้าคล้ายพี่โนะอิเปี๊ยบทั้งสีผมสีตา แต่นัยน์ตาสีฟ้าสดนั่นดูหนาว เยือกเย็น และทรงพลังแตกต่างกันลิบลับ เพื่อนพ้องน้องพี่แห่งโรงเรียนรินคังตะลึงกันอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าใครที่รอต้อนรับพวกเค้าอยู่
“พวกเธอเนี่ยเป็นแขกที่ไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะ นอกจากจะไม่โทรมานัดล่วงหน้าแล้ว พอมาถึงก็เอาแต่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ คำทักทายสักคำก็ไม่มี… แย่”
เสียงทุ้มกังวานฟังดูสงบราบเรียบ แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความคุกรุ่นอยู่ภายใน สีหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งเย็นจัด ราวกับจะกรีดแทงให้พวกเค้าสำนึกในความผิดที่บังอาจบุกรุกมาถึงที่นี่
ซุยเป็นคนแรกที่ตั้งตัวได้ อาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยที่มีมาเนิ่นนานกับคนบ้านนี้ เค้าจึงเดินเข้าไปอย่างสงบ ก่อนจะก้มลงคำนับเจ้าของบ้าน
“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันครับ… ท่านอาเคียว”

เคียว!!!!

ไทกิกับฮิโระหันมาสบตากันปริบๆ
นี่เหรอ… ไฮบาระ เคียว… ดูหนุ่มและหล่อกว่าที่คิดไว้ลิบลับเลย ตอนแรกคิดว่าจะเป็นตาแก่หนังเหี่ยวหน้ายับ ที่ตีนกาขึ้นพรึ่บเพราะเอาแต่ทำหน้าเครียดทั้งวันซะอีก แต่นี่ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคุณพ่อลูกสาม น่าจะนับเป็นพี่ชายของคาโอรุได้สบายๆเลยด้วยซ้ำ
นัยน์ตาสีฟ้าสดหันไปจ้องไอ้ตัวแสบสองตัวที่ยังยืนเอ๋ออยู่หน้าประตู ทั้งคู่เลยต้องรีบไถตัวเข้าไปคำนับตามรุ่นพี่ ก่อนจะนั่งจ๋องเป็นหุ่นปั้นอยู่บนเบาะรับแขก คิริเอะยกน้ำชามาให้ ทั้งคู่ก็รีบยกขึ้นมาซดดับอารมณ์เครียด แต่ยังไม่กล้าปริปากพูดอะไร รอจังหวะให้มีคนเปิดประเด็นขึ้นมาซะก่อน
มันเป็นชั่วโมงที่อึดอัดที่สุดในชีวิตของไทกิก็ว่าได้ เมื่อไม่มีใครคิดที่จะพูดอะไรออกมาสักคน แม้แต่ฮิโระที่ร้อนใจมาตลอดก็ดูสงบกว่าที่คิด แต่พอซุยเผลอหันมาสบตากับไทกิ เจอสายตาอ้อนๆของมันเข้าหน่อย ก็ต้องกลายเป็นหน่วยหน้ากล้าตายไปโดยปริยาย
“ผมมีเรื่องอยากจะขอรบกวนท่านอาสักหน่อยน่ะครับ” ซุยเริ่มเปิดประเด็น
“ก็ว่ามาสิ” เคียวบอกเรียบๆ
“ผมอยากพบคาโอรุคุง เค้าไม่ได้ไปโรงเรียนมาเป็นเดือนแล้ว อาจารย์ชิงุเระก็เป็นห่วงอยู่ (โกหกแล้วซุย) ขอพวกเราพบเค้าหน่อยได้มั้ยครับ”
“เห็นทีคงจะไม่ได้” เจ้าของบ้านปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ฉันส่งจดหมายไปบอก ผอ. แล้วนี่ว่าคาโอรุกำลังอยู่ในช่วงกักตัวเพื่อสำนึกผิด เพราะฉะนั้นช่วงนี้จะให้พบใครไม่ได้เด็ดขาด”
“กักตัว!! ทำไมล่ะ?” เจ้าฮิโระที่นิ่งอยู่นาน จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่ดูกาลเทศะ เล่นเอานัยน์ตาที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นจัด จนแทบจะส่งพลังมาแช่แข็งมันได้เลย
“ผมทอง ตาสีทอง… เธอคงเป็นเด็กบ้านโซมะสินะ และถ้าฉันเดาไม่ผิด… ก็คงจะเป็นลูกชายนักฆ่าจอมงี่เง่าอันดับหนึ่ง โซมะ เรียวเฮ ใช่มั้ย”
ไฮบาระ เคียว เย้ยหยันพาดพิงถึงพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งๆหน้า ทำเอาลูกชายของนักฆ่าถึงกับเดือดพล่าน
“ใครกันแน่ที่งี่เง่า! อย่างน้อยพ่อผมก็ไม่เคยลงโทษลูกอย่างไม่มีเหตุผลก็แล้วกัน คุณเองล่ะที่ผ่านมาทำอะไรกับคาโอรุไว้บ้าง ทิ้งเค้ากับแม่ของเค้าไปยังไม่พอ ตอนนี้ยังขังเค้าไว้อีก คุณเป็นพ่อประเภทไหนกันแน่!!!”
ไฮบาระ เคียวผุดลุกจากเบาะรองนั่ง นัยน์ตาสีฟ้าที่น่ากลัวอยู่แล้วยิ่งวาวโรจน์ราวกับจะฉีกคนตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ แต่ฮิโระก็เลือดขึ้นหน้าจนไม่ฟังใครแล้ว มันลืมตัวขนาดขึ้นมายืนจ้องหน้าว่าที่พ่อตาอย่างไม่กลัวเกรง ซุยกับไทกิได้แต่หันมาสบตากันเงียบๆแล้วยกมือกุมขมับ
“ปากเธอนี่มันเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอมาที่นี่ทำไม แต่ฉันไม่เคยอนุญาตให้สายเลือดชั้นต่ำอย่างพวกโซมะมาเหยียบที่บ้าน เพราะฉะนั้น… ไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ!!!”
“ผมไปแน่… แต่ผมจะพาคาโอรุไปด้วย จะพาไปให้ไกลจากคนใจร้ายอย่างพวกคุณ แล้วก็จะไม่ให้เค้ากลับมาที่นี่อีก!”
ฮิโระประกาศท้าทาย แต่เรื่องมันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว เคียวต่างกับโนะอิ ดูท่าทางจะไม่ใช่คนที่จะตอแยได้ง่ายๆซะด้วย ดีไม่ดี… ลูกชายคนเดียวของบ้านโซมะจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ซะเปล่าๆ
แล้วความหนักใจของไทกิก็เป็นจริงจนได้ เมื่อเคียวเป็นฝ่ายประกาศคำตัดสินบ้าง
“ได้… ในเมื่อเธอมุ่งมั่นขนาดนั้นฉันก็จะให้โอกาส ถ้าอยากพบคาโอรุก็ต้องโค่นฉันให้ได้ กล้ามั้ยล่ะ?”
“ท่านอาครับ…” ซุยพยายามจะหาจังหวะห้าม เพราะรู้ดีว่าเคียวมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหน งานนี้รุ่นน้องของเค้าได้จบชีวิตแน่ถ้ายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ แต่เคียวก็ดับความหวังโดยสิ้นเชิง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ… ซุย ในเมื่อมันกล้าเดินเข้ามาในบ้านของฉัน ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ฉันนี่แหละที่จะสั่งสอนให้ไอ้เด็กโอหังที่รู้ว่าไฮบาระกับโซมะต่างชั้นกันแค่ไหน”
เจ้าของบ้านทิ้งท้าย ก่อนจะให้เวลานักฆ่าเตรียมตัว ศึกครั้งสำคัญนี้จะดวลกันที่โรงฝึกหลังบ้าน
ชะตากรรมของโรมิโอแห่งตระกูลโซมะ… กำลังจะถูกตัดสินในเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 20 Love or Death

ป๊อก… ป๊อก…

เสียงกระบอกไม้ไผ่จากกังหันน้ำดังเป็นจังหวะ เป็นสิ่งเดียวซึ่งทำลายความเงียบเหงาที่รายล้อมอยู่รอบตัว เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนกรอบหน้าต่าง กี่วันแล้วที่ต้องมองแต่สวนหลังบ้าน กี่วันแล้ว… ที่ไม่ได้พบหน้ากัน ทำไมมันถึงได้ทรมานขนาดนี้นะ
“คาโอรุ”
เสียงที่คุ้นเคยเรียกหา ก่อนที่เจ้าตัวจะถือวิสาสะเปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง คาโอรุเหลียวกลับมามองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองผีเสื้อที่บินว่อนอยู่ในสวน มือขาวๆเดินเข้าไปใกล้ลูบหัวปลอบใจน้องชายหลายที
“ผอมไปนะ… กับข้าวที่บ้านไม่อร่อยเหมือนที่โรงเรียนหรือไง” พี่ชายเอ่ยทัก
คาโอรุค่อยๆยกตัวขึ้นมาจากกรอบหน้าต่าง แล้วตอบกลับไปด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด
“คาน่อนมาได้ไง อย่าบอกนะว่าแวะมาเที่ยว”
“ทำไมล่ะ… พี่ชายมาเยี่ยมน้องชายมันแปลกตรงไหน เรานั่นแหละ จู่ๆก็หอบข้าวของหนีออกจากหอ เพื่อนๆเค้าเป็นห่วงนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของคาโอรุก็เศร้าลงไปถนัด
“ก็ฉันไม่อยากให้พวกเค้าเดือดร้อน และก็ไม่อยากให้เรื่องราวมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ด้วย เรากับเค้าก็เหมือนอยู่คนละโลก ฉันไม่คิดหรอกว่าพ่อจะยอมญาติดีกับพวกโซมะ เพราะฉะนั้นฉันขอจบมันด้วยตัวเองดีกว่า”
“จบแล้ว แต่ตัวเองก็ต้องเจ็บปวด มันดีแล้วเหรอคาโอรุ… อย่าหาว่าพี่ยุ่มย่ามกับเรื่องของเธอเลยนะ แต่พี่พอจะดูออก เธอมีความสัมพันธ์กับเด็กบ้านโซมะใช่มั้ย”
พอเจอคำถามตรงๆจากพี่ชาย ก็ทำเอาคาโอรุสะอึกไม่หยุด
“ว่าแล้วมั้ยล่ะ” คาน่อนแอบอมยิ้ม “อีกคนเอาแต่นั่งเศร้า ส่วนอีกคนก็ร้อนใจจนแทบคลั่ง พี่จะไม่ถามหรอกนะว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์เลยเถิดไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่อยากรู้อย่างเดียว… ว่าเธอรักเด็กคนนั้นหรือเปล่า”
คาโอรุพูดไม่ออก จะตอบตรงๆก็ตอบไม่ได้ ใบหน้าที่ร้อนผ่าวก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะให้เค้าบอกยังไง ขนาดเจ้าตัวมันเองเค้ายังไม่เคยบอกเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆจะให้มาบอกคนอื่นเนี่ยนะ ใครมันจะไปพูดออกกันเล่า
คาน่อนฉวยจังหวะตอนที่กำลังอึ้งอยู่ รวบตัวน้องชายเข้ามากอดไว้แน่น
“พี่ห่วงคาโอรุนะ… และก็หวงมากด้วย”
เสียงกระซิบแผ่วเบากับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้น ทำให้คาโอรุชักร้อนๆหนาวๆ แถมพี่แกยังก้มหน้าลงมาทำท่าเหมือนจะจูบ นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามรอยโค้งมนของริมฝีปาก แต่แล้ว… ความกังวลทั้งมวลก็มลายหายไป เมื่อพี่ชายฉีกยิ้มให้บางๆแล้วเปลี่ยนเป็นจูบหน้าผากแทน
“แต่พี่ก็เคารพการตัดสินใจของคาโอรุเสมอ ถ้าเธอรักเด็กคนนั้น พี่ก็จะช่วยเต็มที่” คนพ่ายแพ้แสดงสปิริต แถมยังอาสาจะเป็นพ่อสื่อให้อีกต่างหาก
คาโอรุก้มหน้านิ่ง ถึงจะมีแนวร่วมมาเพิ่ม แต่ถ้าพ่อไม่เอาด้วยก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
“ฉันขอบใจ แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีแล้ว อย่าให้ทุกคนต้องพลอยเดือดร้อนเพราะฉันอีกเลย”
“งั้นก็ช้าไปแล้วล่ะ เพราะคนที่เธอไม่อยากให้เค้าเดือดร้อนมากที่สุด กำลังดวลกับท่านพ่ออยู่ที่โรงฝึก เพื่อแลกกับการได้พบเธออีกครั้ง”
“อะไรนะ!!!” คาโอรุตกใจสุดขีด “ยะ… อย่าบอกนะ ว่า… ฮิโระ อยู่ที่นี่”
คาน่อนยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “จะเอายังไงต่อไปดีล่ะคาโอรุ เธอจะรออยู่ที่นี่ รอให้เค้าดวลกันเสร็จ หรือว่า…”
“จะบ้าหรือไง!!” คาโอรุสวนทันที “ขืนรอมันก็ตายน่ะสิ นั่นพ่อเราเชียวนะ มันไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังท้าใครอยู่ โง่ไม่ยอมเลิกราเลยจริงๆ”
คาโอรุไม่ฟังเสียงใครแล้ว ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่คิดออก คือต้องไปห้ามการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะตายคาบาทาพ่อเค้าไปซะก่อน
คาน่อนได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆที่วิ่งจากไปเงียบๆ ปล่อยไปคราวนี้ก็คงจะไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีกแล้ว เค้าล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าพก ดึงรูปถ่ายที่หวงแหนที่สุดออกมาดู
“นี่เราจะต้องสูญเสียรักแรกไปจริงๆเหรอเนี่ย”
คาน่อนเปรยเศร้าๆ ก่อนจะวางรูปนั้นลงบนโต๊ะในห้องของคาโอรุ ภาพถ่ายของเด็กชายวัยห้าขวบในชุดยูคาตะที่พันธนาการพี่ชายไว้ตลอดสิบเอ็ดปี คงได้เวลาที่จะปล่อยวางซะที
“ขอให้เธอสมหวังนะคาโอรุ พี่จะคอยเอาใจช่วยน้องเสมอ”
นั่นคือคำบอกลาสุดท้ายก่อนที่พี่ชายจะเดินทางกลับโตเกียวโดยไม่บอกลา เรื่องราวครั้งนี้จะคลี่คลายด้วยดี ม่านหมอกแห่งความแค้นระหว่างไฮบาระและโซมะจะต้องสลาย ด้วยหัวใจที่คงมั่นของเด็กทั้งสองคนนี้ เพราะฉะนั้น… ก็ไม่มีอะไรที่เค้าจะต้องห่วงหรืออาวรณ์อีกต่อไปแล้ว

ตึง!!!!
โครม!!!!!

ร่างทั้งร่างลอยละลิ่วกระแทกผนังโรงฝึกนับครั้งไม่ถ้วน จนเนื้อตัวมีแต่บาดแผล แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นสู้ใหม่ ด้วยความหวังเพียงหนึ่งเดียว… ว่าต้องพบกันอีกครั้งให้ได้!
“หึ… มีแค่นี้เองเหรอ เกียรติและศักดิ์ศรีที่เธอประกาศใส่หน้าฉัน ไอ้ความยโสโอหังเมื่อครู่มันหายไปไหนหมดแล้ว โซมะ!!”
เคียวตามไปเตะโครมเข้าที่สีข้างจนจุก พอมันจะลุกขึ้นมาอีกครั้งก็ถูกกระทืบซ้ำ เหยียบแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าคุณพ่อตา ไทกิที่ดูอยู่ด้วยความหวาดเสียวก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่สวดภาวนาขอให้มันรอดเท่านั้น
“ฉะ… ฉัน… ยังไม่แพ้หรอกน่า”
ฮิโระยังทำปากเก่ง ทั้งที่อาการร่อแร่เต็มทน กระดูกมันคนละเบอร์อยู่แล้ว นักฆ่าวัยกระเตาะอย่างมันจะเอาปัญญาที่ไหนไปต่อกรกับนักล่าที่ช่ำชองประสบการณ์มานับสิบๆปีอย่างเคียว แบบนี้มันเท่ากับหาเรื่องตายชัดๆ
“ฉันล่ะสมเพชจริงๆ พวกที่ชอบทำตัวอวดดีแต่ไม่มีทางสู้อย่างเธอ เหมือนลูกหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนไม่มีผิด แต่ฉันนี่แหละจะทำให้เธอซาบซึ้งกับคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าไปจนวันตายของเธอเลย”
เคียวกระทืบเท้าซ้ำลงมาที่หน้าอกเต็มแรงจนฮิโระกระอักเลือด ไทกิเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะคิดเลยว่าป่านนี้ตับ ไต ไส้พุง ปอด ม้าม เซี่ยงจี๊ ไม่เละจนเป็นต้มเลือดหมูไปแล้วเหรอเนี่ย
“รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงเกลียดพ่อของเธอ”
นัยน์ตาของเคียวยิ่งเย็นจัด ตอนที่คว้าคอเสื้อของคนที่หมดสภาพขึ้นมาจากพื้น เลือดยังไหลทะลักออกจากปากของฮิโระไม่หยุด ไทกิเริ่มกระวนกระวาย มือเผลอไปจับแส้คู่ใจที่พันไว้รอบเอวแทนเข็มขัด แต่ก็ถูกซุยฉุดไหล่ห้ามไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่ง เพราะนี่ถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสองตระกูล ถ้าไทกิสอดมือเข้าไปช่วยก็เท่ากับลบหลู่เกียรติของโซมะ ซึ่งต่อให้ตายฮิโระก็ไม่มีทางยอมแน่
“ฉันเกลียดพ่อเธอ เพราะมันบังอาจแย่งหัวใจของคนที่ฉันรัก ชิโอริรักมันมาตลอด ถึงจะแต่งงานกับฉันแล้วแต่ก็ไม่เคยลืมพ่อเธอเลย แม้แต่ตอนนี้… เธอเองก็ยังคิดจะพรากลูกชายที่ฉันรักมากที่สุดไปจากฉันอีก คิดว่าฉันจะยอมยกโทษให้ง่ายๆงั้นเหรอ!!”
เคียวโยนคนเจ็บไปกระแทกซ้ำเข้ากับฝาผนังเต็มแรง ฮิโระหมดสภาพจนแทบจะยืนขึ้นมาไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังฝืนใช้มือไต่ผนังขึ้นมาทรงตัว
“ผมน่ะ… ไม่รู้หรอกนะว่าคุณกับพ่อเคยแค้นกันเรื่องอะไร แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับคาโอรุตรงไหน ผมก็แค่อยากจะเป็นเพื่อนกับคาโอรุ แค่นี้… ก็ไม่ได้หรือไง”
คำประท้วงจากฮิโระทำให้เคียวชะงักไปนิด ลุงแกตีคิ้วมุ่นแล้วเดินไปหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมา
“อยากเป็นเพื่อนกับลูกชายฉัน ก็ต้องดูว่าเธอมีคุณสมบัติแค่ไหน”
เคียวตามไปกระชากคอเสื้อฮิโระขึ้นมาใหม่ เตรียมวัดใจกันวินาทีต่อวินาที ปลายดาบคมกริบจ่อประชิดคอหอย สายตาจ้องเขม็งจงใจจะขู่ให้มันกลัว แต่ฮิโระก็ไม่ยอมหลบ ไม่รู้มันกล้าจริงหรือเพราะบ้าไปแล้ว อันนี้ไทกิเองก็ไม่แน่ใจนัก
“ฉันจะให้โอกาสเธอพูดว่า ‘ยอมแพ้’ แล้วคลานออกไปจากที่นี่ซะ หรือไม่… ถ้ายังทู่ซี้สู้ต่อไป ฉันก็จะเฉือนเนื้อเธอไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะยอมพูด เริ่มจากตรงไหนก่อนดีล่ะ”
นัยน์ตาสีฟ้าแข็งกร้าวกวาดหาเป้าหมายไปทั่วตัว
“ตัดแขนขาเธอสักข้างก่อนดีมั้ย หรือว่าจะเป็นหูกับจมูก” คราวนี้คมดาบเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่จี้ตามใบหน้า เพราะเจ้าตัวยังเลือกไม่ถูกว่าจะเชือดตรงไหนก่อนดี
จนในที่สุด… ก็ปะทะเข้ากับนัยน์ตาสีทองอวดดีที่ส่งมาท้าทายเค้า
…นัยน์ตาสีทองที่คุ้นเคย… สายตาอวดดีแบบนี้แหละ ที่ชวนให้หงุดหงิดใจทุกทีที่เห็น
เหมือนพ่อของมันไม่มีผิด!
“ฉันชอบดวงตาของเธอนะ สวย… แต่กระด้าง เป็นของสะสมที่หายากทีเดียว ถ้าลองงัดออกมาดูสักข้าง ดูซิว่าเธอยังจะอวดดีอยู่ได้อีกหรือเปล่า”
เคียวตวัดปลายดาบจ่อประชิดดวงตาข้างซ้ายของฮิโระ แต่มันก็ไม่ยอมหลบ คมดาบจ่อถึงหางตาแล้วกำลังจะไล่ตวัดเข้ามาเรื่อยๆ
แต่แล้ว…

ปึง!!!!!

เสียงประตูห้องฝึกถูกถล่มจนยับ เพราะคนใจร้อนไม่อยากหากุญแจมาไขให้เสียเวลา เลยใช้วิชามารถล่มมันซะเลย ก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาห้ามทัพ
“เดี๋ยวก่อน!!”
แต่คนที่ห้ามกลับไม่ใช่ผู้ที่มาใหม่ มือของซุยไวกว่าคว้าหมับที่ต้นแขนเล็กๆของคาโอรุแล้วฉุดไว้แน่น นัยน์ตาสีเขียวตวัดมาจ้องหน้ารุ่นพี่เขม็ง
“ปล่อยฉันนะ!!”
“ขอโทษที… แต่ฉันปล่อยให้นายทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
ซุยพยายามกล่อม ก่อนจะดึงตัวคาโอรุเข้ามาหา จับคอให้หันหน้าไปดูการต่อสู้ในช่วงสุดท้ายอีกครั้ง พอคาโอรุเห็นสภาพฮิโระสะบักสะบอมเลือดอาบอยู่ในกำมือพ่อ เค้าก็รีบเบือนหน้าหนีทันที
“นายต้องดูนะคาโอรุ” ซุยย้ำอีกครั้ง “ฮิโระกำลังสู้เพื่อนาย ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่เค้าก็ไม่ยอมแพ้ และก็จะไม่มีวันยอมแพ้ด้วย เหตุผลนี้มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นที่รู้ เพราะฉะนั้นนายจะหนีหรือไปช่วยเค้าไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่นายทำได้ตอนนี้มีอยู่แค่สิ่งเดียว… คือ ยืนดูเค้าสู้จนกว่าจะจบเกมเท่านั้น”
เพราะได้คำเตือนสติจากซุย คาโอรุถึงยอมสงบ แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ต่างรุ่นตลอดเวลา เค้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนทึ่มๆอย่างฮิโระจะยอมทำอะไรเพื่อเค้าได้ขนาดนี้ แค่คิดว่าการกลับบ้านก็จะสามารถยุติทุกอย่างได้ แต่ทำไมมันถึงต้องดื้อดึงทำอะไรโง่ๆแบบนี้ด้วย
‘เหตุผลนี้มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นที่รู้’ คำพูดของซุยที่ยังดังก้องอยู่ในหู
ใช่แล้ว… เหตุผลนั้นฉันรู้ดี เพราะมันคือเหตุผลเดียวกับที่ฉันรู้สึกกับนาย
เหตุผล… ของ ‘ความรัก’

เคียวหันมาดูลูกชายที่พังประตูโรงฝึกเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก ทั้งที่เค้าอุตส่าห์กำชับคนในบ้านไว้แล้วว่าไม่ให้บอกคาโอรุเรื่องที่เพื่อนๆบุกมาถึงที่บ้าน ใครนะมันช่างบังอาจจริงๆ
“ถึงคาโอรุมาก็อย่าคิดนะว่าเค้าจะช่วยเธอได้ ฉันไม่ปล่อยให้เธอรอดไปจากที่นี่แน่”
“ผมก็ไม่คิดจะให้เค้าช่วยอยู่แล้ว เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมยอมรับความพ่ายแพ้ และก็คงไม่มีหน้าไปพบเค้าอีก ผมเคยเสียเค้ามาแล้วครั้งนึง วันนี้ถึงต้องตายผมก็จะไม่ยอมแพ้คุณเด็ดขาด!” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น
…ความตายกับความรัก… วัดที่หัวใจเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าชัยชนะของเค้าจะสังเวยให้กับสิ่งไหนก่อนกันเท่านั้น
“ดี! งั้นก็ดูซิว่าเธอจะทนได้สักแค่ไหน”

ฉัวะ!!

คมดาบแรกทิ่มแทงลงไปที่หัวไหล่ซ้าย จนแขนที่ยันฝาผนังไว้เพื่อทรงตัวถึงกับทรุด แต่ฮิโระก็ยังกัดฟันสู้ต่อ คาโอรุเห็นแล้วถึงกับน้ำตาไหลพราก มันเจ็บเค้าก็ยิ่งเจ็บ แต่ก็ต้องทนฝืนดูต่อไปจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย

ฉัวะ!!

ขาซ้ายคือเป้าหมายต่อไป

ฉัวะ!!

ตามมาด้วยขาขวา

ฉัวะ!!

แล้วต่อด้วยแขนขวา

“ฉันให้โอกาสเธออีกครั้ง จะดื้อดึงต่อไปเพื่ออะไร แค่พูดคำเดียวว่ายอมแพ้มันยากนักหรือไง เธอตายมันคุ้มกันแล้วเหรอ”
เคียวเริ่มลังเล ขู่มันขนาดนี้แล้วมันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ แม้ฝีมือจะอ่อนด้อยกว่า แต่หัวใจก็กล้าแกร่งและมั่นคงดุจหินผา
แกร่งเหมือนใครกันนะ?
ก็เหมือน… ตาแก่จอมกะล่อนเรียวเฮ พ่อมันนั่นแหละ!!
ยิ่งคิดยิ่งน่าโมโห…
คราวนี้คมดาบตวัดมาจ่อประชิดตรงตำแหน่งหัวใจ
“นี่คือโอกาสสุดท้ายของเธอแล้ว บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่เคยพลาด”
“ก็เอาสิครับ จะมัวพูดให้เสียเวลาอยู่ทำไม” ฮิโระท้าทาย ก่อนจะหลับตาเพื่อรอรับคำตัดสิน
“พอ… ได้แล้ว…” คาโอรุที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของซุยพูดไม่ออก ได้แต่ครางเงียบๆแผ่วเบา ใจนะอยากเข้าไปห้ามแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้
“ร้องออกมาเถอะคาโอรุ มันจะช่วยให้เธอดีขึ้น” ซุยเองก็ไม่รู้จะปลอบยังไงดีแล้ว และไม่รู้ตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่พารุ่นน้องมาตายแบบนี้ แต่ในใจลึกๆก็ยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้าย
นัยน์ตาสีฟ้าสดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีทองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจรดปลายดาบฝังลงไปจนสุด

ฉึก!!!!

จบแล้ว…
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จบลงอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุดระหว่างสองตระกูล เคียวทิ้งร่างของฮิโระลงไปกองที่พื้นแล้วเดินออกมาช้าๆ
“ฉันแพ้เธอแล้ว”
เคียวเป็นฝ่ายประกาศความพ่ายแพ้ซะเอง ก่อนจะเดินจากไป แต่ในระหว่างนั้นก็ยังหันไปสั่งคาโอรุที่ยังยืนอึ้งไม่หาย
“พ่อคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน พ่อให้เวลาลูกห้านาทีแล้วตามไปเจอพ่อที่ห้องหนังสือ อย่าช้าล่ะ”
แม้ท่านพ่อขี้โมโหจะไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าขยับ นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าที่ทุกคนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฮิโระมันรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ในตอนที่เคียวตัดสินใจตวัดปลายดาบไปปักบนผนังแทนหน้าอกของมัน ทุกคนผ่านวินาทีที่ระทึกที่สุดในชีวิตมาได้ พอทุกอย่างคลี่คลาย เพื่อนซี้ทั้งสองก็รีบโผเข้าไปกอดนักฆ่าที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นทันที
“ฮิโระ! นายแน่มากเลย ฉันไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่านายจะกล้ารับดาบนั่น” ไทกิที่โผเข้าไปกอดคอเป็นคนแรกยกนิ้วโป้งให้เพื่อน ก่อนจะถอยออกมาให้ตัวจริงเค้าได้เข้าไปปลอบจนหนำใจ
“ฮิโระ…”
“เดี๋ยว!” คาโอรุยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกไอ้ตัวป่วนยกนิ้วขึ้นมาทาบริมฝีปากเอาไว้ “ขอฉันพูดก่อน”
ฮิโระตั้งท่าขึงขัง สีหน้าของมันดูจะโกรธเอาการ แหงล่ะ… ความผิดที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีมา แถมปล่อยให้มันตามหาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จะยกโทษให้ง่ายๆได้เหรอ
คาโอรุนำหน้าสำนึกผิด อยากจะพูดแก้ตัวสักสองสามประโยคแต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่รอให้มันสำเร็จโทษแล้วด่าให้หนำใจก่อนเท่านั้น เค้าถึงมีสิทธิ์แก้ตัวทีหลัง
มันคว้าหมับโอบเอวคนดื้อเข้ามาหาทั้งตัว มือใหญ่ทาบอยู่บนใบหน้า กะจังหวะเหมาะๆไว้แล้วว่าต้องโดนตบแน่ๆ แต่ทุกคนก็เดาผิดหมด แถม กขค. สองตัวที่อยู่ในห้องเกือบจะหันหน้าหลบไม่ทัน ตอนที่เจ้าฮิโระมันเล่นกระชากตัวคาโอรุเข้าไปจูบ แถมยังล่อซะนานจนโควตาห้านาทีของคุณพ่อใกล้จะหมดอยู่รอมร่อแล้ว
“ฉันคิดถึงนายนะคาโอรุ ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกได้มั้ย” ว่าแล้วมันก็ถือโอกาสอ้อนต่อซะเลย
แต่คาโอรุยังไม่ทันตอบรับก็โดนขัดจังหวะอีกจนได้ คิริเอะ… แม่บ้านจอมเฮี้ยบนั่นเอง โชคยังดีที่เจ้าหล่อนไม่เข้ามาเห็นฉากเด็ด ไม่อย่างนั้นอาจจะช็อกจนหัวใจวายตายได้
“ท่านคาโอรุ ท่านเจ้าบ้านให้มาตามไปพบเจ้าค่ะ”
“ฉันไปแน่! ไปบอกตาแก่นั่นให้ล้างคอรอได้เลย” คาโอรุสวนกลับ ก่อนจะหันมาทางฮิโระอีกครั้ง “นายไปทำแผลก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับมา”
คาโอรุผละออกไปเฉยๆ แต่ก็โดนคนตื๊อฉุดข้อมือไว้อีก
“นายต้องกลับมานะ” ฮิโระทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาที่กำลังจะโดนทิ้ง คาโอรุพยักหน้ารับเบาๆ แล้วฝากให้ซุยกับไทกิช่วยจัดการต่อ ก่อนจะตามแม่บ้านออกไปพบคุณพ่อ

Unn

  • บุคคลทั่วไป
20 ต่อ

ภายในห้องหนังสือประจำบ้านยิ่งอึมครึมหนัก เมื่อเจ้าคุณพ่อเล่นนั่งไขว่ห้างตีหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟา ห้องนี้เป็นห้องประยุคสไตล์ยุโรป เป็นห้องหนังสือที่หรูหราเอาการทีเดียว
คาโอรุทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกตัวตรงข้าม แล้วจ้องหน้าเตรียมจะเอาคืนคุณพ่อเขม็ง
“ทำแบบนี้ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือไง ผู้ใหญ่รังแกเด็กชัดๆ” คาโอรุบ่นอุบ
“การที่พ่อคนนึงอยากปกป้องลูกตัวเอง พ่อก็ไม่เห็นว่าจะทำเกินไปตรงไหน”
“ไม่ต้องเถียงเลย… พ่อทำผิดก็เห็นอยู่ รู้อยู่แล้วว่าเค้าสู้ไม่ได้ ก็ยังอัดซะน่วมขนาดนั้น ผมเริ่มจะโกรธจริงๆแล้วนะ”
“แสดงว่าที่ผ่านมาลูกไม่ได้โกรธพ่อจริงๆใช่มั้ย” สีหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดของเคียวเริ่มคลายออก รอยยิ้มที่หายากที่สุดบนใบหน้าดวงนี้ก็ค่อยๆปรากฏชัด
“อย่าพานอกประเด็นได้มั้ย เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกันซะหน่อย”
“อืม… งั้นพ่อจะพูดให้ตรงประเด็นของลูกก็ได้”
เคียวเล่นย้ายที่มานั่งเบียดลูกเอาดื้อๆ พอคาโอรุจะขยับหนีก็โดนกอดไว้อีก
“โอ๊ย! ไปห่างๆน่า ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไม่ต้องกอดก็ได้ อึดอัด…” คาโอรุพยายามตะกุยหนี แต่คุณพ่อหัวดื้อก็ไม่ยอมปล่อย
“เฮ้อ… ลูกจะยอมนั่งนิ่งๆแล้วฟังที่พ่อพูดบ้างดีมั้ย” เคียวปรามไปอีกยก คาโอรุคิดว่าถึงดิ้นไปก็คงไม่รอด เลยยอมนั่งนิ่งๆด้วยความจำใจ
“คาโอรุ” เคียวลูบหัวนุ่มๆของลูกรัก “พ่อก็ไม่อยากห้ามเรื่องคบเพื่อนหรอกนะ แต่จะคบใครก็ต้องเลือกให้ดีว่าเค้ามีความจริงใจให้ลูกแค่ไหน โดยเฉพาะคนบ้านโซมะ…”
ถึงตอนนี้เคียวก็แสดงสีหน้าเจ็บปวด พร้อมกับถอนใจเศร้าๆ
“พ่อของโซมะเค้าทิ้งแม่ของลูก ทั้งๆที่แม่รักเค้ามากขนาดนั้น ถ้าตอนนั้นเรียวเฮมีความกล้าหาญเหมือนลูกชาย มุ่งมั่นจะแย่งชิโอริไปจากพ่อให้ได้ เรื่องมันก็คงไม่ลงเอยแบบนี้ ชิโอริก็คงไม่ต้องทรมานกับการพรากจากคนรักด้วย”
“แล้วพ่อจะยอมเหรอ ถ้าพ่อของฮิโระเค้าทำแบบนั้นจริงๆ”
เคียวยิ้มบางๆ “พ่อก็คงไม่ยอม แต่ถ้าเพื่อความสุขของชิโอริ พ่อก็ยินดีจะหลีกทางให้ เหมือนอย่างวันนี้… คาโอรุเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ พ่อจะยกให้ใครสักคน ก็ต้องมั่นใจว่าคนๆนั้นมีความจริงใจและปกป้องลูกได้จริงๆ แม้แต่ชีวิตก็ต้องยกให้ลูกของพ่อได้ โซมะเพื่อนของลูก… เค้าผ่านการทดสอบนี้แล้ว พ่อก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามไม่ให้ลูกสองคนคบกันอีก”
“พ่อ…” คาโอรุซึ้งใจจนพูดไม่ออก ที่ผ่านมาคิดเสมอว่าพ่อไม่มีเหตุผล ชอบทำอะไรตามอารมณ์ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย พ่อทำทุกอย่าง… เพราะรักและห่วงเค้ามากต่างหาก
“แต่ลูกอย่าลืมนะคาโอรุ… ถึงพ่อยอมรับเด็กนั่นได้ แต่ลูกจะแน่ใจได้ยังไงว่าบ้านนั้นเค้าจะยอมรับลูก ต่อให้ลูกเกลียดชังพ่อแค่ไหน แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกยังไงก็ตัดไม่ขาด ไม่เหมือนคนอื่นที่เค้าอาจจะไม่ยอมรับ แต่สำหรับพ่อ… ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงพ่อก็ยังรักลูกเสมอนะคาโอรุ ถ้าไปอยู่ที่อื่นแล้วเหนื่อยก็ขอให้กลับบ้านของเรา… พ่อจะรอลูกเสมอ”
คาโอรุโผเข้ากอดคอพ่อไว้แน่น ทิฐิทั้งมวลที่เคยมีกับพ่อก็สลายหายไปหมด นานแล้วที่เอาแต่เหลวไหล ไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่น่ารักให้พ่อชื่นใจเลยสักครั้ง ถึงเวลาต้องแก้ไขตัวเองซะใหม่แล้ว คาโอรุจึงตัดสินใจบอกความลับอย่างหนึ่งให้พ่อรู้
“พ่อ… ที่พ่อบอกว่าแม่รักโซมะ เรียวเฮ อันที่จริงแล้ว… ไม่ใช่หรอก”
เสียงสารภาพแผ่วๆจากลูกรัก ทำให้เคียวหูผึ่ง
“ความจริงแม่รักพ่อนะ แม่บอกว่าเคยเห็นพ่อมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แล้วก็รักพ่อมาตลอดเลย ที่มีข่าวลือว่าคบอยู่กับโซมะ เรียวเฮ อันที่จริงแม่โดนเค้าตามตื๊ออยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก ตอนที่คุณยายบอกว่าจะได้แต่งงานกับพ่อ แม่ดีใจจนนอนไม่หลับ แต่ไม่คิดว่าวันแต่งงานพ่อจะพูดแบบนั้น ก็เลยโกรธ… แต่แม่คงจะงอนนานเกินไปหน่อย พ่อกับแม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน แถมพ่อยังพาป้ามาเรียกลับมาอีก แม่ก็เลยปักใจคิดว่าพ่อไม่รักแม่แล้ว เลยย้ายออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
พอได้ฟังความจริงจากปากลูกรัก เคียวก็อึ้งไปนานกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ก็เขย่าแขนถามลูกอีกรอบให้แน่ใจ
“ลูกไม่ได้ล้อพ่อเล่นใช่มั้ย”
คาโอรุส่ายหน้า “แม่บอกผมก่อนตาย แม่ไม่เคยโกหกผม และผมก็เชื่อว่าแม่พูดความจริง”
“ชิโอริ” เคียวแทบช็อก ก็ถ้าเค้ารู้ความจริงเร็วกว่านี้ก็คงไม่ปล่อยให้เธอตายอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้หรอก แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
“แม่บอกว่า… แม่ไม่เคยโกรธพ่อ เพราะแม่อยากเห็นพ่อมีความสุขกับป้ามาเรียถึงได้ออกมา พ่อเองก็ต้องดีกับป้ามาเรียให้มากๆ จะได้ให้แม่สมหวังด้วยไงครับ”
เคียวยิ้มบางๆ “ชิโอริก็เป็นแบบนี้ ชอบเสียสละ แต่ถึงยังไงพ่อก็ผิด”
“โธ่… พ่อ แม่เค้ายกโทษให้ตั้งนานแล้ว ก็ยังคิดมากอยู่ได้ เดี๋ยวก็หัวล้านหรอก หน้าบูดๆแถมหัวล้านด้วยเนี่ย น่าเกลียดตายชัก” คาโอรุล้อ
“แล้วลูกล่ะ จะยกโทษให้พ่อได้หรือยัง” เคียวได้โอกาสก็รีบถามเข้าประเด็นทันที
คาโอรุอ้ำอึ้ง แต่ก็ยังวางฟอร์ม “จะเอาเรื่องไหนล่ะ?”
“โห… พ่อก่อคดีไว้เยอะขนาดนั้นเชียว” เคียวลูบคางทำท่าคิดหนัก “เอาคดีล่าสุดก่อนแล้วกัน คดีอื่นดูท่าใกล้จะหมดอายุความแล้วโทษคงไม่สาหัสเท่าไหร่ เรื่องที่พ่อเล่นงานเพื่อนของลูกปางตายน่ะ จะยกโทษให้มั้ย”
คาโอรุถอนใจเบาๆ เดิมทีเรื่องนี้กะจะอาละวาดพ่อให้บ้านแตกไปเลยนะเนี่ย แต่พอมาคิดทบทวนเรื่องเจตนาแล้วยังพอให้อภัยได้
“ให้ใบเหลืองไว้ก่อนแล้วกัน แต่ถ้ายังทำผิดอีกล่ะก็จะให้ใบแดงออกจากบ้านแล้วนะพ่อ”
“ก็ยังดี”
เคียวหัวเราะ แล้วดึงตัวคาโอรุเข้ามากอดด้วยความรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยวันนี้ก็ตัดสินใจไม่ผิด อันที่จริงความพ่ายแพ้ก็ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิด แถมยังทำให้เค้าได้ใจของลูกรักกลับคืนมาด้วย แบบนี้คงต้องหาโอกาสแอบไปขอบคุณเด็กนั่นซะหน่อยแล้ว
“พ่อรักลูกนะคาโอรุ”
เคียวย้ำประโยคเดิมเหมือนเช่นทุกครั้งที่พบหน้ากัน แต่คราวนี้กลับได้ฟังคำตอบที่ไม่เคยได้ยินเลยตลอดสิบหกปีที่ผ่านมา เมื่อคาโอรุเป็นฝ่ายสอดแขนกอดพ่อบ้าง
“ผมก็รักพ่อ… พ่อเป็นพ่อที่เยี่ยมที่สุดในโลกเลย”

ออฟไลน์ ErosAmor

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 851
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
เข้ามาตามอ่านอีกรอบฮับ

เคยติดตามอ่านตอนที่พี่Foggy เอาลง dek-d อ่า

ในที่สุดคาโอรุกับคุณพ่อก็เปิดใจเช้าหากันได้เเล้ว ชอบตอนอยู่ที่บ้านของคาโอรุมากเลย

เพราะตอนมันมีตอนในสวน  :oni1:



Unn

  • บุคคลทั่วไป
[ :m22:b]Chapter 21[/b] Beneath the Sunset

เปลือกตาหนาหนักถูกปรือขึ้นช้าๆ ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยลูกคุ้มเหล็ก แถมยังปวดระบมไปทั้งตัว นี่เค้าไปออกรบมาหรือไงเนี่ย
กว่าสมองจะลำดับความคิดเสร็จสรรพว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทำเอาปวดหัวหนึบ เค้าจำได้ว่าโดนหามออกมาจากโรงฝึก พอทำแผลเสร็จก็กะจะรอคาโอรุ แต่ดันเผลอหลับไปซะนี่ แล้วนี่มันผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วล่ะ
“นายฟื้นแล้วเหรอ”
หน้ากลมบ๊อกกับดวงตาใสแจ๋วคู่แรกที่เห็นเมื่อตื่นขึ้น กลับไม่ใช่คนที่เค้าอยากเห็นหน้า นัยน์ตาสีทองกวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว นอกจากไอ้บ้าที่บังอาจเสนอหน้ามาให้เค้าเห็นคนแรกแล้ว ยังมีอีกคนที่นั่งเต๊ะอยู่บนโซฟามุมห้อง
“ไทกิ… แล้วคาโอรุล่ะ คาโอรุอยู่ไหน?” ฮิโระสำรวจดีแล้วว่าในห้องไม่มีคนที่อยากเจอหน้า ก็เห็นประโยชน์ของเพื่อนซี้ทันที
แต่แทนที่มันจะรีบตอบ ไทกิกลับอ้ำอึ้ง ทำหน้าหดหู่แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพราะไม่รู้จะบอกฮิโระยังไง
“เค้าไปแล้ว”
“ห๊า!!!!” ฮิโระผุดลุกขึ้นนั่งชนิดลืมสภาพความโทรมของตัวเอง “นายว่าอะไรนะ คาโอรุไปไหน!!!”
“ก็นายแพ้… พ่อเค้าก็พาลูกเค้ากลับบ้านน่ะสิ ป่านนี้คงถึงบ้านใหญ่ที่โตเกียวเรียบร้อยแล้วมั้ง”
“จริงเหรอครับพี่ซุย” ฮิโระรีบขอคำยืนยันจากตัวช่วย เพราะไม่เชื่อน้ำหน้าเจ้าไทกิสักเท่าไหร่ แต่ซุยก็เอาแต่เงียบ แถมยังหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมสบตาให้คาดคั้นเลย
“จริงเหรอเนี่ย” ฮิโระทรุดลงไปกองบนหมอนอีกรอบ “โธ่เว้ยยยย!! ฉันไม่น่าแพ้เลย รู้งี้ฉุดมันซะก็หมดเรื่อง ทำเก๊กไปท้าพ่อเค้าสู้ทำบ้าอะไรเนี่ย”
เจ้าฮิโระอาละวาดอย่างหงุดหงิด แต่พอมันปาหมอนระบายอารมณ์ไปที่ประตูเท่านั้น ก็โดนหน้าคนที่โผล่เข้ามาได้จังหวะจนหัวแทบคะมำ
“โอ๊ย!”
รู้สึกมันยังมีแรงเหลือเฟือแฮะ ถ้าลองปาหมอนได้แม่นขนาดนี้ล่ะก็ ไม่น่าห่วงมันมากเกินไปเลย… คาโอรุคิดแล้วก็ได้แต่ลูบสันจมูกที่เจ็บแปล๊บๆ
แต่ตอนที่เดินเข้ามานี่แหละ คนที่อาละวาดก็พูดอะไรไม่ออก พอหันไปมองเพื่อนซี้อีกคน มันก็หลุดมาดเก๊กแล้วปล่อยก๊ากออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง
โดนเจ้าไทกิมันต้มหมูอีกจนได้… ฮึ่ม!!!
“นายเป็นไงมั่ง ฮิโระ?” คาโอรุหยิบหมอนไปวางที่เดิม “แต่ฉันวางลองลุกขึ้นมาเต้นได้ขนาดนี้ล่ะก็ อีกไม่กี่วันก็คงหายสนิท”
“นะ… นาย ไม่ได้กลับกับพ่อนายเหรอ” ฮิโระยังไม่มั่นใจนัก
“กลับกับพ่อ? เปล่านี่… พ่อฉันติดงานก็เลยกลับไปก่อน ฉันก็กะว่าจะอยู่ที่นี่ต่อจนกว่านายจะหายดีแล้วค่อยกลับโรงเรียนพร้อมกัน ไทกิไม่ได้บอกนายเหรอ”
ว่าแล้วก็กะว่าจะหันไปสำเร็จโทษกับเพื่อนอีกคนซะหน่อย แต่มันดันถูกรุ่นพี่คนสำคัญลากตัวออกมา แล้วเผ่นหนีไปเรียบร้อยแล้ว
“ช่างไทกิมันเถอะ นายยังอยู่ก็ดีแล้ว ฉันคิดว่านายจะทิ้งฉันไปแล้วซะอีก”
“ไม่หรอกน่า” คาโอรุจับมือฮิโระไว้แน่น “ฉันไม่ไปไหนหรอก เพราะกลัวใจนายจริงๆ กลัวจะทำอะไรโง่ๆแบบนี้อีก”
“งั้นก็ดีแล้ว… แบบนี้แหละดีที่สุดเลย”
ว่าแล้วก็ถือโอกาสกอดแล้วซบหน้าลงไปอ้อน ฮิโระรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนยกภูเขาไฟฟูจิทั้งลูกออกจากอกเลยก็ว่าได้ และอยากเก็บความสุขในตอนนี้ไว้ตราบนานเท่านาน

ทั้งสองคนที่เผ่นหนีออกจากห้อง ตอนนี้ได้เก็บข้าวของเตรียมขึ้นชินคังเซ็นเพื่อกลับโตเกียว…
“ซุยไม่น่ารีบลากฉันออกมาเลย เสียดายชะมัด” ไทกิบ่นอุบ
“เสียดายที่ไม่ได้ดูพวกนั้นจู๋จี๋กันเนี่ยนะ” ซุยอึ้ง
“จู๋จี๋อะไร? คาโอรุออกจากหอมาตั้งนาน ฉันก็แค่อยากจะแจมด้วย”
ซุยไล่มองไทกิด้วยความไม่เข้าใจ บางทีมันก็มีความคิดอ่านเกินผู้ใหญ่ แต่กับบางเรื่องกลับซื่อบื้อยิ่งกว่าเด็กอนุบาลซะอีก ก็ขืนมันอยู่ด้วยแล้วไปแจมกับเค้าสิ รับรองได้เป็นเรื่องแน่
“นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าสองนั้นมีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”
ไทกิส่ายหน้า ซุยมองซ้ายมองขวาแล้วดึงตัวมันเข้ามากระซิบด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“แล้วถ้าบอกว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเหมือนพวกเราล่ะ”
พอเจอมุกนี้คนซื่อบื้อค่อยถึงบางอ้อ หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปเรียบร้อย อันที่จริงมันก็น่าคิดนะ… เจ้าฮิโระมันยอมเสี่ยงชีวิตท้าสู้กับพ่อคาโอรุจนปางตายเพื่อจะได้เพื่อนกลับมาก็คงไม่ใช่ อีหรอบนี้ถ้าไม่มีเหตุผลลึกๆต่อกันก็คงไม่ทำหรอก ทำไมเค้าถึงเพิ่งคิดออกเอาป่านนี้ฟะเนี่ย
“งั้นก็เถอะ… อุตส่าห์มาถึงมิยางิทั้งที เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว แม้แต่ของฝากก็ยังไม่ได้ซื้อเลย ฉันอยากซื้อของไปฝากพี่มิสึกินี่” ไอ้ตัวดีแก้เก้อไปเรื่อย
“นายไม่ต้องห่วงมิสึกิหรอก เดี๋ยวคาน่อนก็เอาไปฝากเองแหละน่า ส่วนเรื่องเที่ยว… ถ้านายอยากไป ฉันจะพาไปเกียวโตก็ได้”
“เกียวโต!!!” ไทกิหูผึ่ง “แล้วทำไมต้องเป็นเกียวโตด้วยล่ะ”
รุ่นพี่อ้ำอึ้ง หน้าขาวๆเริ่มติดสีแดงจางๆ “ฉันก็แค่คิดว่ายังไงพวกเราก็ลาเผื่ออยู่แล้ว ก็เลยจะแวะกลับไปที่บ้านซะหน่อย นายอยากไปด้วยมั้ยล่ะ”
“อ๋อ… บ้านนายที่อยู่เกียวโตใช่มั้ย” ไทกินึกออกแล้ว “ไปสิ… ฉันอยากไป”
“งั้นเราคงต้องเปลี่ยนตั๋วรถไฟ นายรอฉันอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ฉันไม่อยู่เดี๋ยวเดียวห้ามดื้อนะเข้าใจมั้ย”
ซุยมันเล่นสั่งอย่างกับพ่อที่กลัวว่าลูกจะหลงทาง ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนตั๋วที่ช่องขายตั๋ว ไทกิแอบอมยิ้มเงียบๆ อันที่จริงซุยคงตั้งใจจะชวนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทำเป็นฟอร์มจัดไม่กล้าพูดตรงๆ
บ้านของซุยงั้นเหรอ… ท่าทางทัวร์ครั้งนี้จะสนุกไม่เบาแฮะ


ใต้ร่มซากุระที่ออกดอกสีชมพูพราวพร่าง… ทั้งสองคนยังคงกอดก่ายกันชื่นชมพระอาทิตย์ตกดิน ไม่มีคำพูดใดๆมาพร่ำเพ้อรำพัน เพียงหัวใจที่สื่อถึงกันก็ทำให้มีความสุขจนล้นเหลือแล้ว
“ตอนที่นายหนีมา ฉันกลัวแทบตายว่าจะไม่ได้เจอนายอีก”
ฮิโระส่งเสียงอ้อน แขนที่สอดมาจากทางด้านหลังยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น พร้อมกับซุกหน้าลงไปจูบหัวไหล่มนภายใต้ชุดยูคาตะ
“นายก็หาฉันเจอแล้วนี่” คาโอรุเปรย แล้วสีหน้าก็แดงซ่านเมื่อมันเปลี่ยนเป้าหมายมาจูบไซ้ซอกคอเบาๆ
“แต่ฉันอยากได้คำสัญญา ว่านายจะไม่หนีฉันไปไหนอีก”
“ฉันก็บอกนายไปตั้งหลายรอบแล้ว ต้องให้ฉันทำยังไงนายถึงจะยอมเชื่อ” คาโอรุหันไปค้อน ขนาดยืนยันกับมันไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าจะไม่หนีไปไหนมันก็ยังไม่เชื่อ หรือต้องเอาเชือกมาล่ามแล้วผูกติดกันตลอดชีวิตหรือไงมันถึงจะยอมเชื่อใจเค้า
ฮิโระยิ้มพราย พร้อมกับปรายสายตามองร่างบอบบางภายใต้ชุดยูคาตะอย่างเจ้าเล่ห์ คาโอรุเริ่มออกอาการร้อนๆหนาวๆ พอจะรู้แล้วว่ามันอยากได้อะไร
“ไม่นะ… ฮิโระ อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ที่นี่” คาโอรุปฏิเสธดักทางไว้ก่อน แต่คนดื้ออย่างมันมีหรือจะยอมฟัง
“ทำไมล่ะ… บรรยากาศออกจะเป็นใจขนาดนี้ ท้องฟ้ายามเย็นที่สวยงาม กลีบดอกซากุระที่ร่วงปลิดปลิวมาตามสายลมที่อบอุ่น โรแมนติกอย่าบอกใครเลยนะ” แล้วมันก็แกล้งประชิดเข้ามากระซิบเหตุผลสำคัญที่ข้างหู “อีกอย่างฉันก็มีอารมณ์แล้วด้วย”
พอได้ฟังอย่างนั้นคาโอรุก็หน้าแดงก่ำ มันนะกล้าพูดออกมาได้ หน้าไม่อายเลยจริงๆ
มือกร้านเริ่มประชิดร่างเล็กๆเข้ามากอดรัดแน่นขึ้น ยูคาตะส่วนบนถูกรูดลงมาตามหัวไหล่ เผยให้เห็นหน้าอกนวลขาวผ่อง มือกร้านจึงลูบวนเล่นอยู่แถวนั้นเบาๆ
“ยะ… อย่าน่า… ฮิโระ เดี๋ยวมีคนเห็น” คาโอรุที่ถูกกระชากอารมณ์ไปแล้ว แต่สติบางๆก็ยังเรียกร้องให้หยุด
“ไม่มีหรอก… ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ที่สำคัญที่นี่ก็เป็นเขตหวงห้ามของบ้านนายไม่ใช่เหรอ ไม่มีใครมาขัดจังหวะพวกเราหรอกน่า” ฮิโระก้มลงไปกัดแต้มสีชมพูหวานเหมือนกลีบดอกซากุระเบาๆ คาโอรุผวาตัวรับพร้อมกับร้องคราง จากนั้นพวกเค้าก็ยุติข้อสนทนาเรื่องคนขัดจังหวะไปเลย
ปากที่ยังลิ้มเลียอยู่บริเวณทรวงอก ขบกัดทุกอย่างที่ขวางหน้า จนผิวเนียนๆแดงเป็นจ้ำไปทั่ว แต่มือกร้านซุกซนกว่า ล้วงไล่ไต่วนลงไปส่วนล่าง ถลกชุดยูคาตะขึ้นมาเหนือบั้นเอว จับขาชันตั้งเข่าแยกปลีน่องเพรียวออกจากกันจนเห็นความน่ารักออกมาเย้าหยอกเต็มสองตา
“อื้อม… จะทำแบบนี้เลยเหรอ” ร่างบางประท้วง ก็นี่ยังนั่งพิงกันอยู่ ปากไล่กินเค้าไปทั่วทั้งตัวยังไม่พอ มือยังซนเป็นบ้า ล้วงควักกันแบบไม่มีเกรงใจเลย
“เปลี่ยนบรรยากาศไง นายเองก็มาช่วยด้วยสิ” ว่าแล้วมันก็ไม่พูดเปล่า ยังฉุดมือเล็กๆลงไปเล่นกับส่วนนั้นของตัวเองด้วย
“อ๊างงงงง!!!!” คาโอรุร้องครวญครางด้วยความสุขสม มือเล็กๆที่ถูกมือหยาบกระด้างนำพาให้กระทำไปตามใจชอบ สัมผัสชิ้นส่วนเร่าร้อนที่กำลังแข็งขืนขึ้นมาตามนิ้วที่กรีดเกลี่ย มันช่างเป็นความสุขสุดยอดจริงๆ
“ดี… อย่างนั้น จับให้แน่นๆกว่านี้อีกสิ” ฮิโระกระซิบบอกอย่างถูกใจ พร้อมกับรวบมือเล็กๆให้รัดส่วนนั้นแน่นขึ้น แล้วกระตุกชักไปมา “นายเนี่ย… เวลารู้สึกแล้วน่ารักมากเลยรู้มั้ย นัยน์ตาก็หวานเยิ้ม มีน้ำตาคลอบางๆ ริมฝีปากแดงสั่นระริกขบเม้มกันเบาๆ น่ารักที่สุด…”
ฮิโระว่าแล้วก็ก้มหน้าลงไปจูบ ทำเอาคนที่อยากปลดปล่อยแล้วไม่สามารถร้องเพื่อระบายความอัดอั้นได้ เลยได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ประท้วงอยู่ในลำคอ มือกร้านเร่งกระตุกรัวหนักหน่วง บีบอัดกระแสความปรารถนาจนพวยพุ่งเป็นครีมหวานฉ่ำเต็มกำมือ จากนั้นก็ถอนริมฝีปากออกจากร่างบางที่กำลังหอบกระเส่า แล้วยกมือที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากคนรักขึ้นมาดูใกล้ๆ
“อือ…” ร่างบางเผลอคว้าจับมือกร้านเข้ามาดูดอย่างลืมตัว ไล่เลียส่วนของตัวเองอย่างเมามัน จนร่างสูงยิ้มกริ่ม
“หวานใช่มั้ยล่ะ” ฮิโระเปรยเบาๆ แล้วไล่เลียตามไปด้วย จนริมฝีปากมาประกบกันอีกครั้ง ส่วนมือก็ยังทำหน้าที่ต่อไป ถอดชิ้นส่วนอาภรณ์ด้านล่างของตัวออกรูดลงไป แล้วยกสะโพกมนขึ้นมานั่งตรงหว่างขา
“อ๊ะ!” คาโอรุสะดุ้งไหว ตอนที่ร่องสะโพกถูกเสียดสีด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่เร่าร้อน ยิ่งตอนที่สัมผัสโดนจุดสวาทยิ่งอยากจะกรีดร้องเพราะความคลั่ง แต่พอมาดูลีลาแล้วก็ออกจะวิบากเอาการ เพราะเค้ายังไม่เคยทำในท่านั่งมาก่อนเลย
“นายจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ” คาโอรุถามย้ำ มันก็พยักหน้ายืนยันหยักแน่น จนเค้าได้แต่ปลง
“ถึงจะลำบากหน่อย แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนรสชาติ นายต้องช่วยฉันนะ” มันยังหยอดลูกอ้อนไม่เลิก มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้เค้าปฏิเสธยังไงล่ะ นอกจากจะตามใจมันอย่างเดียวเท่านั้น
อาวุธชิ้นสำคัญพร้อมแล้ว ผงาดพุ่งต้านแรงโน้มถ่วงของโลก คาโอรุกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่ก็ยอมขยับสะโพกเข้าไปใกล้ แล้วค่อยๆวางลงช้าๆ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่คุ้นเคยกำลังล่วงล้ำเข้ามา ก่อนจะหลับตาแล้วกัดฟันกระแทกลงไปทั้งตัว
“โอ้ววว!!” ฮิโระร้องลั่น มันทำได้ถูกใจ แต่ก็เกือบทำให้น้องชายของเค้าตายคาที่
“นะ… นาย เป็นไรมั้ย ฮิโระ” คาโอรุหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เผลอลงไปแรงมาก
“ไม่เป็นไร ยังสบายดีอยู่ นายต่อได้เลย” ร่างสูงยิ้มให้ แล้วหลับตาพริ้มรอรับความสุข ร่างบางก้มหน้าอายๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นลงช้าๆ ให้ส่วนนั้นได้ผ่านเข้าออกร่างกายเค้าอย่างนุ่มนวลที่สุด
“แรงกว่านี้ก็ได้นะ ฉันทนไหว” ฮิโระเชียร์ให้เร่งจังหวะ
‘นายไหว แต่ฉันไม่ไหวนี่’ คาโอรุแอบเถียงในใจ แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้ร่างกายตัวเองต้องทรมานนานกว่านี้
ทั้งคู่รุกรับจังหวะด้วยความช่ำชอง เพราะเริ่มจะชินกับร่างกายของกันและกันแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ดอกซากุระยังคงร่วงปลิดปลิวไม่หยุด เสียงร้องระงมเซ็งแซ่แทนเสียงจิ้งหรีดเรไร เมื่อจุดสวาทถูกปรนเปรอจนร้อนผ่าวอัดแน่นเป็นระเบิดความรัก ความสุขก็พวยพุ่งจนซาบซ่าน ถ่ายไอละอองให้แก่กันและกันจนเปรอะเปื้อน จนเมื่อภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น ฮิโระก็ถอนตัวออกมา เอนหลังพิงต้นซากุระ แล้วดึงร่างบางที่กำลังหอบเข้ามากอด
“เมื่อกี้นายถามฉันว่าอยากได้อะไรแทนคำสัญญาว่านายจะไม่จากไปไหนอีก ตอนนี้ฉันขอเลยได้มั้ย”
“อ้าว! ก็ไม่ใช่…” แก้มบางๆของคาโอรุแดงซ่าน ที่มันทำมาทั้งหมดนี่ยังไม่ใช่คำสัญญาอีกเหรอ
“อย่าบอกนะ… ว่านายคิดว่าสิ่งที่เราทำกันเมื่อครู่ ฉันจะยึดมาเป็นคำสัญญา” ฮิโระหัวเราะลั่น
“ก็ใช่น่ะสิ นายเนี่ยมันทุเรศที่สุดเลย ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว!!” คาโอรุสะบัดหน้างอน
ฮิโระมองคนรักแล้วก็อมยิ้ม สอดแขนกระหวัดรอบเอวบางแน่นขึ้น แล้วกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“สิ่งที่ฉันจะขอนายคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด มันไม่ใช่แค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวจากการมีเซ็กซ์ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น และแทนได้แม้แต่คำว่า… นิรันดร์”
นัยน์ตาสีเขียวใสของคาโอรุแวววาว บ่งบอกความประหลาดใจ
“อะไร?”
คนเจ้าเล่ห์ฉีกยิ้มอีกครั้ง แล้วอาศัยจังหวะจูบแก้มคนน่ารักเบาๆ
“คำว่า ‘รัก’ ไง ตั้งแต่ที่นายยอมเปิดใจให้ฉัน นายยังไม่เคยบอกรักฉันเลย”
“เรื่องนี่! นายเองก็ไม่เคยเหมือนกันนั่นแหละ”
“ฉันรักนาย” คำตอบที่ได้ดั่งใจราวกับเสกมนตร์ คาโอรุอายจนไม่กล้าหันไปสบตาฮิโระ แต่ก็รู้ว่ามันกำลังจ้องอยู่ “ฉันบอกนายแล้ว ต่อไปก็ตานาย”
คาโอรุอ้ำอึ้งอยู่นาน คำๆเดียวที่เคยคิดว่าใครๆก็คงพูดได้ง่ายๆ แต่อันที่จริงมันยากกว่าที่คิดเยอะเลย ให้เค้าไปทำข้อสอบปลายภาคยังจะง่ายซะกว่า
“ฉะ… ฉัน…” เค้าพยายามกลั่นกรองคำพูดด้วยความยากเย็น “ฉันก็… รัก… ฮิโระ เหมือนกัน”
พอพูดจบก็ทำท่าจะลุกหนี ทั้งที่เพิ่งสัญญาไปหยกๆว่าจะไม่หนีอีกแล้ว แต่มือฮิโระเหนียวกว่า คว้าหมับรวบเอวบางลงมาที่เดิม
“จะหนีไปไหน เรื่องระหว่างเรายังไม่จบ” ร่างสูงกระหยิ่มยิ้มย่อง
“อะไรอีกล่ะ นายอยากฟังฉันก็พูดไปแล้ว จะให้ฉันพูดอะไรอีก”
“นายหายตัวไปตั้งหนึ่งเดือน ทำให้ฉันคิดถึงจนแทบคลั่ง คิดว่าลงโทษแค่นี้พอแล้วเหรอ”
“แล้ว… ยังไง?” คาโอรุชักหวั่นใจตะหงิดๆ
แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้คาโอรุแทบอยากกัดลิ้นประท้วง แต่ทำไม่ได้ซะแล้ว เพราะริมฝีปากถูกคนชอบฉวยโอกาสปิดสนิท ร่างกายที่ยังเปลือยเปล่าก็เปิดโอกาสให้มันทำต่ออย่างได้ใจ
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป… แต่ความรักก็ยังร้องระงมภายใต้ต้นซากุระแสนงาม

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 22 Home Sweet Home

เช้าวันนี้อากาศดีเหลือเกิน… ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์แจ่มใส อากาศก็ไม่ร้อนเกินไป แถมยังมีลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา ท่าทางจะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแน่ๆ
เด็กหนุ่มวางไม้กวาดลง ก่อนจะโกยเก็บเศษใบไม้ที่กวาดมากองรวมไว้ใส่ลงไปในตะกร้าขยะ มองท้องฟ้าสีฟ้าใสแล้วก็อมยิ้ม วันนี้ไม่ได้ยินเสียง ‘เจ้าตัวยุ่ง’ ตั้งแต่เช้า แสดงว่ามันคงไม่อยู่บ้าน ค่อยยังชั่วหน่อย… วันนี้จะได้พักผ่อนสบายๆซะที

ปิ๊งป่อง…

เสียงกริ่งหน้าบ้าน ทำให้คนที่กำลังจะเอนหลังบนระเบียงต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ สงสัยจะเป็นลูกค้ามาติดต่องาน พี่ๆก็ไม่มีใครอยู่ซะด้วย ท่าทางวันนี้เค้าคงยุ่งอีกยาว
“คร้าบ… กำลังจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ตะโกนบอก ตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งย้ำอีกรอบ แต่พอเปิดประตูเค้ากลับได้พบกับแขกที่ไม่คาดฝัน หน้าหล่อๆนั้นยิ้มให้ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ
“ไง… อาราชิ สบายดีนะเรา”
“พะ… พี่ซุย!” เด็กหนุ่มยิ้มแป้น “มาได้ไงครับเนี่ย แล้วนั่น…”
อาราชิเหลือบมองไปด้านหลังพี่ชาย ก็เห็นแขกอีกคนยืนนิ่งทำตาปริบๆ ไม่รู้นานแค่ไหนที่เค้าโดนจ้อง… จ้องจนแทบจะสูบวิญญาณออกจากร่างอาราชิได้แล้วมั้ง
ไทกิก็พอจะรู้มาบ้างว่าซุยมีพี่น้องหลายคน แต่ไม่คิดเลยว่าจะน่ารักขนาดนี้!! พระเจ้า!!
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า อายุคงยังอยู่ราวๆ ม.ต้น ผมสีน้ำตาลสลวย ตาสีน้ำเงินเข้ม ดูต่างจากซุยลิบลับ ถ้าซุยเหมือนพ่อ… เด็กคนนี้ก็คงจะเหมือนแม่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ซุย… น้องนายเหรอ?” ไอ้ตัวแสบทำหน้าระริกระรี้
“ใช่ น้องชายคนที่สี่… ชื่อ อาราชิ”
หมับ!
ขนาดเพิ่งบอกมันไปแหม็บๆ ว่าอย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อที่บ้าน แต่มันก็ไม่เคยฟัง เล่นกระโดดกอดคออาราชิที่ยืนตัวแข็งทื่อเพราะไม่ทันตั้งหลัก แถมยังใช้แก้มคลอเคลียหัวปุยๆของอาราชิเหมือนกำลังเล่นกับลูกหมาไม่มีผิด ซุยเลยได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับ

“ทอนาร์โด บอมเบอร์ แอทแท็ค!!!!”

เปรี้ยง!

แรงปะทะจากบาทาพิฆาตชาร์จเข้าใส่กลางหลังของไทกิอย่างแรงจนแทบหัก ไอ้ตัวแสบถึงกับทรุด ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังที่กำลังเจ็บแปล๊บๆ พลางกวาดสายตามองหาไอ้ตัวการซึ่งก็พบตัวได้ไม่ยาก เพราะมันยังยืนกร่างกอดอกอยู่กลางถนน
แต่ทว่า…
คนที่กำลังเดือดสุดๆก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตะลึงอย่างที่สุด ความคิดที่อยากจับมันมาหักคอสำเร็จโทษ ก็เปลี่ยนเป็นอยากเข้าไปกอดแล้วจูบสักทีเป็นของแถม
น่ารักมากกกกกก!!
ภาพเด็กชายตัวเล็กวัยประถมสะกดไทกิจนนิ่งงัน หน้าตามีเค้าโครงคล้ายซุย สีผมสีตาก็เข้มเหมือนซุยเปี๊ยบ เหมือนจับรุ่นพี่คนเก่งลงไปย่อส่วนยังไงยังงั้น แถมยังทำหน้างอนตุ๊บป่องอย่างที่ซุยไม่เคยทำมาก่อน แบบนี้ยิ่งเห็นก็ยิ่งอดใจไม่ไหว อยากจะเข้าไปกอดให้หายมันเขี้ยวจริงๆ พับผ่าสิ…
“ใครอนุญาตให้กอดอาราชิฮึ! เอามือออกไปเลยนะ… เจ้าคนไร้มารยาท!”
น้องตัวเล็กเดินเข้ามากระชากแขนไทกิที่โอบรอบเอวอาราชิออกไปห่างๆ จ้องหน้าเขม็งเหมือนแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน ดูท่าทางจะหวงพี่ชายเอามากๆเลยแฮะ
“โซระ… อย่าเสียมารยาทกับแขกสิ” อาราชิปรามน้อง “พี่เค้าเป็นเพื่อนของพี่ซุยนะ”
พอได้ยินชื่อพี่อีกคนที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน ไอ้ตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นไปสบ เห็นนัยน์ตาสีรัตติกาลเย็นยะเยือกจ้องจะเอาเรื่องก็เริ่มเสียวสันหลัง มันเลยยิ้มแห้งๆแล้วแกล้งกลบเกลื่อนได้อย่างชวนตีที่สุด
“ใครล่ะเนี่ย… คนแปลกหน้ามาเที่ยวบ้านเราเหรอ”

โป๊ก!

ซุยประเคนมะเหงกสมนาคุณให้หนึ่งหมัด อุตส่าห์กลับบ้านทั้งที เจอมันกวนประสาทตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ แต่ไอ้น้องที่ว่าก็หัวหมอใช่ย่อย มันกลัวจะโดนสำเร็จโทษหนักกว่าเก่าข้อหาที่ไปแปะรอยบาทาไว้บนแผ่นหลังเพื่อนพี่ชาย เลยแกล้งฟูมฟายเข้าไปซุกหน้ากอดอาราชิยึดเอาไว้เป็นเกราะกำบัง
“โฮ… อาราชิ พี่ซุยรังแกเค้าอีกแล้ว ฮือๆๆๆ”
อาราชิมันใจอ่อน พอเจอน้ำตาไอ้ตัวแสบนี่ทีไรก็ช่วยแก้ต่างให้มันทุกที  มิน่า… โซระมันถึงได้ติดหนึบ เพราะเป็นคนเดียวที่ยอมตามใจมันนี่เอง
ซุยคว้าคอไอ้ตัวแสบออกมาจากอ้อมอกน้องชายคนที่สี่ “ไม่ต้องมาทำมารยาอ้อนอาราชิเลย พี่น่ะรู้นิสัยเราดี กลับเข้าบ้านซะแล้วบอกให้แม่บ้านเอาน้ำชาออกมาต้อนรับแขกด้วย”
“เรื่องนี่! แบร่…” ไอ้ตัวแสบที่ไม่ได้สลดจริงก็แลบลิ้นแถม
“นายน่ะอยากได้ของฝากมากกว่ามะเหงกพี่ใช่มั้ย” ซุยพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะสำเร็จโทษรอบสองถ้ามันยังไม่ยอมเชื่อฟังอีก
“ไปก็ได้… โธ่เอ๊ย! แกล้งคนแหยๆแบบนี้ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย” ไอ้ตัวดีทำหน้าเหยียดหยามใส่ไทกิ ก่อนจะวิ่งตัวปลิวเข้าบ้าน ยมทูตเริ่มกระตุกหางตายิกๆ นี่ถ้าไม่เห็นว่าหน้าตาคล้ายซุยล่ะก็… ฮึ่ม เสร็จแน่!
สองพี่น้องหันมาสบตากันแล้วก็ถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ต้องคอยดูแลไอ้ตัวแสบแบบนี้ คงเหนื่อยแย่เลยสิอาราชิ”
“ถ้ารู้ว่าผมเหนื่อย พี่ซุยก็กลับมาช่วยเลี้ยงน้องบ่อยๆสิครับ”
“ไม่เอาล่ะ… ฉันน่ะดุจนมันด้านแล้ว เจ้าโซระมันยอมฟังอาราชิคนเดียวไม่ใช่เหรอ ขนาดพ่อกับแม่ยังดุมันไม่ได้เลย เอ… ว่าแต่พวกท่านไม่อยู่เหรอ เห็นบ้านเงียบๆ”
อาราชิพยักหน้า “พ่อกับแม่ติดงานอยู่ที่ฮิโรชิม่า คิดว่าพรุ่งนี้คงจะกลับมาครับ”
“แสดงว่าอาราชิอยู่กับโซระแค่สองคน” ซุยสรุป
ปกติถ้าพ่อแม่ไม่ติดภารกิจก็จะอยู่บ้าน น้องชายคนที่สี่กับน้องคนเล็กยังไม่จบ ม.ต้น เลยต้องอยู่กับพ่อแม่และรับงานเฉพาะแถบคันไซเท่านั้น ส่วนพี่ชายอีกสองคนซึ่งเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วก็อยู่ที่โตเกียว คอยรับงานใหญ่จากลูกค้าวีไอพีและลูกค้าต่างประเทศ
“อาราชิ… นี่คือ ไทกิ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของพี่เอง”
ซุยแนะนำไทกิให้น้องชายรู้จัก แล้วช่วยพยุงตัวขึ้นมา คิดว่าอาการบาดเจ็บจากบาทาพิฆาตคงไม่สาหัสเท่าไหร่ เพราะมันลุกขึ้นมายืนทรงตัวได้แล้ว
“เป็นไงบ้าง… ไทกิ”
“ฉันคิดว่านายจะลืมฉันแล้วซะอีก” ไทกิบ่นอุบ “ว่าแต่เด็กนั่นก็น้องนายเหมือนกันเหรอ”
“ใช่แล้ว… หมอนั่นชื่อ โซระ เป็นน้องชายคนเล็กของฉันเอง เพิ่งอยู่ ป. 4 แต่นิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาก ถ้านายไม่ชอบก็ไม่ต้องไปอยู่ใกล้ก็ได้นะ”
“ใครบอกไม่ชอบล่ะ” ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ขืนอยู่ห่างๆก็ไม่ได้แก้เผ็ดไอ้เด็กแสบนั่นน่ะสิ “ฉันนะชอบน้องๆนายทุกคนแหละ เนอะ… อาราชิคุง” ว่าแล้วก็อาศัยจังหวะชุลมุนโอบน้องรักเข้ามากอดอีกรอบ
“หา! เอ่อ… คะ… ครับ” อาราชิพอโดนจ้องมากๆก็ชักประหม่า

ปิ๊งป่อง…

ทั้งสามคนคล้อยหลังกำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ไปไม่ทันไรก็มีเสียงกริ่งดังอีกรอบ วันนี้ครึกครื้นดีจริงๆ มีคนมาไม่ขาดสายเลย
“เดี๋ยวพี่เปิดเอง”
ซุยบอกอาราชิแล้วเดินไปเปิดประตู ไทกิเอียงคอมองตาม อยากรู้เหมือนกันว่าแขกประเภทไหนที่จะมาบ้านเทนโนะ แต่พอประตูถูกเปิดออกเท่านั้น ทั้งเจ้าของบ้าน ทั้งผู้มาเยือน ก็อึ้งกันอยู่พักใหญ่
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนหันมาสบตากันทันทีที่เห็นหน้าซุย แล้วคนที่ตัวใหญ่กว่า หน้าตาหล่อคมเข้ม แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์หลวมๆ ขยับแว่นกันแดดขึ้นขึ้นไปคาดผมดูเท่ไม่หยอก พี่แกเดินถอยหลังกลับไปดูป้ายหน้าบ้านอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“เฮ้ย… ยูคาริ แกแน่ใจนะว่าเรามาไม่ผิดบ้าน” ชายหนุ่มหันไปถามเพื่อนร่วมทางอีกคนเพื่อขอคำยืนยัน
ชายหนุ่มคนที่มาด้วยกัน สวมชุดสูทสีขาว ไว้ผมยาวรวบไว้กลางหลัง ดวงตาสีน้ำเงินดูเป็นมิตร พี่เค้าอึ้งไปพักใหญ่ แต่พอสบตามองหน้าซุยอีกรอบ คราวนี้ถึงกับปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ไม่ผิดหรอก… ฮิริว” เค้าบอก “นายกับฉันแค่มาเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วก็หันไปหัวเราะฮากลิ้งต่อ
คนที่โดนพาดพิงถึงเริ่มจะอึดอัด มาเจอไอ้ตัวแสบทั้งที่ยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านก็ซวยจะแย่อยู่แล้ว นี่ดันมาเจอสองคนที่ไม่อยากเจอที่สุดอีก แสดงว่าวันนี้คงเป็นวันซวยของเค้าจริงๆ
“ไง… ซุย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” พี่ชายชุดสูทขาวพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ขำ แล้วเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“ผมไม่ใช่เจ้าโซระนะถึงต้องมาทักกันแบบนี้ ว่าแต่พี่ยูคาริกับพี่ฮิริวกลับมาได้ยังไง ยังมีเรียนทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้พี่ชายในชุดเซอเข้ามาโอบไหล่พี่ชายชุดขาว แล้วเป็นคนตอบคำถามบ้าง
“ก็ไอ้หมอนี่น่ะดิ… ไปลากฉันมาจากคณะ บอกว่าจะหาเพื่อนนั่งรถกลับบ้าน ที่ไหนได้หลอกให้ฉันช่วยขับรถกลับเฉยเลย แถมรถดันมาเสียอยู่ตรงปากทางอีก ก็เลยจอดไว้แล้วเดินเข้ามาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ก็ฉันเพิ่งเสร็จงานคุ้มกันที่ทำเนียบ ถ้าขับกลับเองก็กลัวจะหลับในน่ะสิ อย่าเรื่องมากเลยน่าฮิริว เดี๋ยวฉันจ่ายค่าตั๋วชินคังเซ็นขากลับให้นายก็ได้”
“ค่าจ้างฉันไม่กระจอกขนาดนั้นหรอกนะยูคาริ ถ้าได้ต่ำกว่าห้าแสน นายอย่าหวังจะรอดกลับมหา’ลัยเลย”
แล้วทั้งคู่ก็เถียงกันเรื่องเงินค่าจ้างอยู่พักใหญ่ ไทกิเลยอาศัยจังหวะแอบดึงอาราชิเข้ามาถามใกล้ๆ
“สองคนนั่นใครเหรอ?”
“พี่ชายผมเองครับ… คนที่ใส่สูทชื่อ พี่ยูคาริ เป็นพี่คนโต ส่วนอีกคนเป็นพี่คนรองชื่อ พี่ฮิริว”
“ท่าทางจะเคี่ยวไม่เบาเลยนะเนี่ย” ไทกิแอบนินทาต่อ
อาราชิหัวเราะร่วน “ก็พอตัวแหละครับ ทำงานแบบนี้ก็ต้องมีบ้าง พี่ยูคาริเค้าเก่งมาก นิสัยดี คุยเก่ง พวกลูกค้าก็เลยติดใจกันใหญ่ ส่วนพี่ฮิริวจะชอบพวกงานลุยๆมากกว่า แต่ก็…” อาราชิทำหน้าเจื่อนๆ
“แต่ก็… ทำไมเหรอ?” ไทกิรีบยื่นหน้าเข้าไปถามต่อด้วยความสนใจ
“พี่ฮิริวเจ้าชู้มากนะ ไทกิคุงพยายามอยู่ห่างๆไว้ดีกว่า”
ไทกิพยักหน้ารับทราบ พี่น้องห้าคนห้าบุคลิก ไม่เหมือนกันสักคน น่าสนใจดีแฮะ…
“อ้าว! ใครกันล่ะเนี่ย น่ารักจัง”
อาราชิพูดยังไม่ทันขาดคำ คุณพี่คนรองแห่งตระกูลเทนโนะก็ถลาเข้ามาพิจารณาไทกิใกล้ๆชนิดแทบจะเจาะลึกทุกรูขุมขน และก็คงจะโดนล้วงลึกไปมากกว่านี้ ถ้าไม่โดนคุณชายสายน้ำกันตัวออกไปซะก่อน
“คนนี้ฉันห้ามจริงๆนะฮิริว อย่ายุ่งกับเค้าเด็ดขาด!” ซุยสั่งเสียงเข้มใส่พี่ชาย พร้อมส่งสายตาเคืองๆมาให้ ก่อนจะลากไทกิเข้าบ้านให้พ้นเงื้อมมือคนเจ้าชู้
“ฉันทำอะไรผิดเหรอ ยูคาริ?” ฮิริวที่กำลังงงว่าน้องมันโกรธเรื่องอะไร หันไปขอความเห็นจากพี่ใหญ่
ยูคาริอมยิ้มกริ่ม “นายไปกระตุ้นต่อม ‘หวง’ ของเจ้าซุยมันล่ะมั้ง”
“หวงเด็กนั่นนะเหรอ ท่อนไม้อย่างเจ้าซุยเนี่ยนะ… ล้อเล่นแล้ว”
“ท่อนไม้เดิมทีก็เป็นสิ่งมีชีวิตนะครับ อะไรก็ตามที่มีชีวิตย่อมมีความรู้สึก พี่ซุยก็คงไม่ต่างกัน” อาราชิว่าด้วยหลักการ จนพี่รองมันเขี้ยวทนไม่ไหวต้องคว้าเข้ามากอด
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือนรู้สึกอาราชิจะเจ้าคารมขึ้นนะเนี่ย แบบนี้พี่คงต้องขอไปค้างด้วยเพื่อเรียนรู้บ้างซะแล้ว” ฮิริวทำตาเจ้าเล่ห์
“อย่ามาทำให้น้องมันเสียคนตามนายเลยฮิริว” พี่ใหญ่ปราม พร้อมแย่งน้องคนที่สี่มาจากมือพี่รอง “เข้าบ้านเถอะอาราชิ พี่มีธุระเรื่องงานจะคุยด้วย”
ถึงจะกันน้องมันออกได้ แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียว เพราะคนขี้ตื๊อมันก็ยังตามตอแยไปป่วนถึงห้อง ขนาดบอกว่าจะคุยธุระเรื่องงานก็ยังไม่วายขอมีเอี่ยว สุดท้ายอาราชิก็เลยได้แต่นั่งดูพี่ใหญ่กับพี่รองทะเลาะกันตลอดทั้งบ่าย โดยที่ไม่ได้ยินคำว่างานแม้สักคำเดียว

ตอนเย็น… พี่น้องห้าคนรวมทั้งแขกกิตติมศักดิ์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จก็มานั่งล้อมวงคุยกันที่ระเบียง
โซระ… ที่หลบไปงอนระบายอารมณ์อยู่ในโรงฝึกทั้งบ่ายก็ยังมานั่งเล่นด้วย โดยยึดตักของอาราชิเป็นเบาะ ดูๆไปแล้วเจ้าหมอนี่ก็ขี้อ้อนเหมือนกันนะเนี่ย เวลาอยู่กับอาราชิทีไรชอบคลอเคลียเป็นลูกแมว แต่คงถูกตามใจหนักไปหน่อยเลยค่อนข้างจะติดนิสัยเอาแต่ใจ
อาราชิ… ก็ใจดี เป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยนที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งห้า อาจจะเป็นเพราะเค้าเป็นคนเดียวที่เหมือนแม่ พวกพี่น้องถึงรักมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฮิริวกับโซระ ที่พอยกชื่ออาราชิขึ้นมาเป็นหัวข้อทีไรเป็นได้กัดกันลั่นบ้านทุกที
ฮิริว… ปรมาจารย์ปลาไหล อันนี้เป็นฉายาที่พี่ยูคาริแอบตั้ง (แต่เล่นเอามาประจานกลางบ้านซะงั้น) เค้ามีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ใช้ชีวิตอย่างไม่มีกฎเกณฑ์จนบางครั้งถึงขั้นแหกกฎ ใครๆก็บอกว่าพี่ฮิริวเป็นจอมเจ้าชู้ แต่เท่าที่ฟังมาตลอด ไทกิยังไม่เห็นจะได้ยินพี่เค้าพูดถึงแฟนหรือเพื่อนผู้หญิงซะที อย่างมากก็มีแค่หลักการพิชิตใจสาว ท่าทางวิชาปรมาจารย์ของพี่แกอาจจะไม่ขลังจริงก็ได้
ยูคาริ… หลังจากที่ได้คุยกันพักใหญ่ ไทกิถึงซึ้งกับคำว่า ‘คุณชายของแท้’ ทุกระเบียดนิ้วของคุณพี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าต้องเนี้ยบและมีมาดอยู่เสมอ แม้แต่คำพูดคำจาเห็นได้ชัดว่าระมัดระวังมากเป็นพิเศษ แต่เค้าเป็นคนที่มีโลกทัศน์กว้างไกล ประสบการณ์เพียบ ถึงคุยกันนานๆก็ไม่น่าเบื่อ

ซุย…

คนนี้ไม่มีอะไรอยากพูดถึง
ขอละไว้ในฐานที่ ‘หัวใจ’ ก็แล้วกัน

“แล้ววันนั้นนะ… เจ้าซุยก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย” ฮิริวจบเรื่องที่เล่าพร้อมกับหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่
ตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในหัวข้อ… ฌาปนกิจ (เผา) ซุย
“เป็นฉัน ถ้าเจอนายทำขนาดนั้นก็ไม่ไปเหมือนกันแหละ” ยูคาริช่วยแก้ต่าง “หนอย… เล่นแอบไปกล้อนผมน้องจนเลี่ยนแล้วยังมีหน้ามาเล่า นายนี่มันหน้าด้านจริงๆ”
“โอ๊ย! ก็ตอนนั้นอนุบาล แล้วทีนายล่ะยูคาริ พอซุยเข้าชั้นประถมไปแกล้งอะไรมันบ้าง จำไม่ได้หรือไง”
พอเจอไม้นี้สวนกลับเข้ายูคาริก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ โซระทำท่าอยากรู้อยากเห็น รีบเซ้าซี้ให้ฮิริวเล่าต่อเพราะกำลังเพลินได้ที่ทีเดียว แม้แต่ไทกิเองก็ยังสนุกไปกับเค้าด้วย
“ตอน ป.2 พ่อให้งานแรกกับซุย อันที่จริงมันก็ไม่ใช่งานที่ยุ่งยากอะไรหรอก เป็นงานคุ้มกันตาแก่อดีต ส.ส. เก่าคนนึง พ่อให้ยูคาริเป็นคนเล่ารายละเอียดของงาน แต่ยูคาริมันนึกอุตริอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เล่นสับเอางานของตัวเองมาอธิบายให้ซุยฟังเป็นชุดๆ จากนั้นก็ส่งซุยไปคุ้มกันหัวหน้ายากูซ่า ตอนที่ฮามากที่สุดก็ตอนที่หัวหน้ายากูซ่าเจอหน้าบอดี้การ์ดนั่นแหละ อึ้งกิมกี่กันทั้งแก๊งเลย”
“พอเถอะ… จะขุดมาเล่ากันทำไมเนี่ย” ซุยยกมือกุมขมับ สองคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในบ้านก็เพราะสาเหตุนี้แหละ
“แล้วไงต่อ?” ไทกิรีบไถตัวเข้าไปฟังใกล้ๆฮิริวด้วยความอยากรู้
“ก็โดนเตะออกมาน่ะสิ… มีที่ไหนส่งเด็ก ป.2 ไปคุ้มกันยากูซ่า แถมตาแก่หัวหน้ายังโทรศัพท์มาโวยกับพ่อซะเละเลย พ่อก็เลยมาสวดยูคาริต่อ แต่แทนที่หมอนี่จะสลด กลับเอาแต่หัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า ‘ก็อยากให้น้องมันมีประสบการณ์’ เท่านั้นพ่อก็จับยูคาริส่งไปทำงานที่อเมริกาตั้งสองเดือน และไม่เคยไว้ใจให้ใครมอบหมายงานให้ซุยอีกเลย นอกจากตัวเอง”
“แต่ตอนนั้นพี่ยูคาริก็ ป.5 เองนะ แล้วทำไมพวกยากูซ่าถึงไว้ใจมากกว่าพี่ซุยล่ะครับ”
“ยูคาริมีประสบการณ์คุ้มกันมาสองปีแล้ว จับงานยากๆจนในวงการมืดต่างพากันเชื่อถือ แถมพ่อยังคอยให้เครดิต ไอ้หมอนี่เลยได้ใจใหญ่ แต่ตอนหลังกรรมก็ตามสนอง โดนซุยมันแซงหน้าจนได้ ทุกวันนี้มีแต่คนอยากได้ตัวซุยไปเป็นผู้คุ้มกันทั้งนั้น ส่วนนายน่ะตกกระป๋องแล้วยูคาริ” ฮิริวโอบไหล่พี่ใหญ่มากอดแล้วทำหน้าเยาะเย้ย
“ฉันน่ะพอใจกับงานของตัวเองแล้ว เป็นอย่างซุยแล้วดีตรงไหน ได้แต่งานน่าหนักใจทั้งปี (ใช่เลย… อันนี้แอบเห็นด้วยอย่างยิ่ง) นายเองก็เถอะฮิริว ทำเป็นพูดดีไป เมื่อก่อนเห็นแข่งกับมันจนลากเลือด แต่สุดท้ายก็แพ้ไม่เป็นท่า”ยูคาริเหน็บกลับ
ฮิริวไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยังนั่งแอ้งแม้งอยู่บนตักของอาราชิ
“แต่บ้านเรากำลังจะมีดาวรุ่งดวงใหม่ ใช่มั้ย… โซระ”
“โซระเนี่ยนะ” ยูคาริส่ายหน้า “ดีแต่จะป่วนซะล่ะมั้ง”
“อย่าไปดูถูกน้องมันเชียว นี่… อยู่แค่ ป.4 แต่เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของ ส.ส. คุริโมโต้แล้วนะ แบบนี้อนาคตรุ่งแน่” ฮิริวอวดอ้างด้วยความมั่นใจ
อาราชิที่กำลังกระอักกระอ่วนก็ยกมือแทรกขึ้นมาเงียบๆ
“เอ่อ… พี่ฮิริว นั่นน่ะงานของผมต่างหากล่ะครับ”
“อ้าว! เหรอ?” เสียงหน้าฮิริวแตกดังเพล้ง แถมคนที่รอทับถมก็รีบฝังกลบมันทันที
“นายนี่มั่วเก่งจริงๆ งานไหนเป็นของน้องคนไหนก็ยังไม่รู้ ฉันว่าทางที่ดีนายเลิกพล่าม แล้วนั่งเงียบๆดีกว่า”
“อะไรกันเล่า นายนั่นแหละที่ดีแต่ปาก ทำเป็นพูดดี แต่จริงๆเวลาอยู่กับตาแก่พวกนั้นก็อึดอัดเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ” ฮิริวปล่อยหมัดสวนพี่ชายจังเบ้อเร่อจนอีกฝ่ายพูดไม่ออก ยูคาริทำหน้าเศร้าแล้วเบือนหน้าหนี
รู้สึกหมัดนี้จะทำให้ทุกคนเงียบไปนาน แม้แต่ตัวที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดปากอย่างโซระก็ยังไม่มีอะไรจะพูด งานของบอดี้การ์ดอันที่จริงไม่น่ายุ่งยาก แต่อย่างว่า บ้านนี้แต่ละคนหน้าตาและบุคลิกดูดีกว่าพวกดาราซะอีก เป็นใครอยู่ใกล้ก็คงตบะแตกได้เหมือนกันแหละ
“โดนแบบเดิมอีกแล้วเหรอ?” ซุยเปรยถามเป็นคนแรก พลางเอื้อมมือไปจับไหล่พี่ชายไว้แน่น
“เฮ้อ… มันก็ไม่มีอะไรหรอก โดนจับนิดจับหน่อยฉันก็พอทนได้ มากกว่านี้ฉันก็ไม่ทนเหมือนกัน”
“นายมันก็เป็นสุภาพบุรุษเกินไปยูคาริ เราไม่ได้ขายตัวนะ แต่ขายฝีมือต่างหาก ด่ามั่งก็ได้ไอ้พวกลูกค้าหื่นกามพวกนั้นน่ะ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะต่อยให้หน้าหงายเลย” พี่รองช่วยเสริม
“ขืนไปต่อยก็เสียลูกค้าหมดน่ะสิ นายน่ะทำพ่อเจ๊งมากี่รายแล้ว”
“เออ… ฉันมันนิสัยไม่ดี แต่ถ้าเป็นคนดีแล้วเอาตัวไม่รอดเหมือนนาย ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”
“พูดแบบนี้อยากจะวางมวยกับฉันใช่มั้ย” ยูคาริพับแขนเสื้อขู่
“ได้เลย… คิดว่าฉันกลัวนายเหรอ เอาตอนนี้เลยก็ได้ที่โรงฝึกหลังบ้าน ใครไม่น็อกไม่เลิก”
ว่าแล้วสองพี่น้องก็ย้ายไปกัดกันต่อที่โรงฝึก ไทกิปรายตามองสามคนที่เหลือก็ไม่เห็นจะมีใครเดือดร้อน แถมซุยยังยกชาขึ้นมาจิบอย่างสบายอารมณ์อีกต่างหาก
“จะไม่ไปห้ามพวกเค้าหน่อยเหรอ” ไทกิถาม
“ไม่ต้องหรอก พอเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกเองนั่นแหละ เป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว”
“อันที่จริงเค้าห่วงกันนะครับ ถึงได้ทำแบบนี้”
อาราชิช่วยขยายความให้
“เมื่อสองปีก่อนตอนที่พี่ยูคาริเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย และต้องย้ายไปอยู่ที่โตเกียวคนเดียว ก็มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น… ตอนนั้นพี่เค้ารับงานคุ้มกันเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง แต่ใครจะคิดว่าฉากหน้าที่เป็นพ่อพระ ใครๆให้ความเคารพนับถือ เบื้องหลังจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยตัณหา พี่ยูคาริเกือบเสียท่า โชคดีที่พี่ฮิริวมีสายอยู่วงในเลยไปช่วยได้ทัน หลังจากนั้นพี่ฮิริวก็ย้ายไปเรียนที่โตเกียวอยู่เป็นเพื่อนพี่ยูคาริ ทั้งๆที่อีกสองเดือนก็จะจบชั้นมัธยมแล้ว แถมยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งๆที่เคยบอกพ่อว่าจะไม่เรียนต่อ”
“นั่นเป็นการแสดงความห่วงใยในแบบของพี่ฮิริว พี่ยูคาริก็รู้ ถึงได้ชอบทะเลาะกันเป็นประจำ เพราะแบบนั้นถึงทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นไงล่ะ” ซุยช่วยเสริม
“พวกผู้ใหญ่เนี่ยชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย รักกันก็ต้องทะเลาะกัน ว้า… ยุ่งยากจัง” เจ้าโซระยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ
“นายน่ะก็ดีแต่อยู่อ้อนอาราชิ แล้วเมื่อไหร่จะโตซะที” ซุยดุไปอีกยก
“ฉันช่วยงานอาราชิหรอกน่า ไม่ได้นอนอยู่บ้านสบายๆซะหน่อย” มันยังมีหน้ามาเถียงกลับ แล้วพลิกตะแคงไปนอนอีกด้านพร้อมกับเอามืออุดหู เพราะไม่อยากฟังเสียงซุยอีกแล้ว
“พาน้องกลับไปนอนที่ห้องเถอะอาราชิ ขืนอยู่นานกว่านี้พี่ได้อัดคนแน่” ซุยบอก อาราชิเลยลากเจ้าโซระที่กำลังเต้นเหย็งๆกลับเข้าบ้าน

ความเงียบคือสิ่งเดียวที่คั่นกลาง… คืนนี้บรรยากาศเงียบสงบ พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงกระจ่างฟากฟ้า ไทกิหลับตาลงแล้วซึมซับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด พลางหวนระลึกถึงวันวานที่อบอุ่นอยู่เพียงลำพัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
มืออุ่นๆเอื้อมมาจับไหล่ แล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า… ฉันก็แค่คิดถึงแม่” ไทกิตอบ ก่อนจะเกยคางไว้บนเข่า แล้วแหงนหน้ามองพระจันทร์เงียบๆ
“แม่ของนาย… ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ?” ซุยเปรยถาม ตั้งแต่รู้จักกันไทกิพูดถึงแม่น้อยมาก ส่วนเรื่องของพ่อยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่เคยพูดถึงให้ได้ยินเลยสักครั้ง
ยมทูตถอนใจเบาๆ “แม่ฉันเค้าอยู่ไม่เป็นที่หรอก ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยว่าความสามารถในการซ่อนตัวของแม่อาจจะเหนือกว่าฉันก็ได้ แม่รู้ทุกครั้งว่าฉันอยู่ที่ไหน แต่ฉันกลับไม่เคยรู้เลยว่าแม่อยู่ไหน”
“อันที่จริงแม่นายก็น่าจะเป็นคนขององค์กรนะ แล้วทำไมถึงออกมาซะล่ะ”
“ไม่ใช่หรอก นายน่ะเข้าใจผิดแล้ว แม่ไม่ใช่คนขององค์กร แม่แค่เป็นผู้หญิงของ…” ไทกิอึกอัก กัดฟันฝืนพูดถึงคนๆนึง “…พ่อ เท่านั้น”
ว่าแล้วกุหลาบแดงก็เบือนหน้าหนี ความเจ็บปวดมันอัดอั้นจนเกินจะบรรยายได้ ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวนี้เป็นอย่างไร ซุยรู้เพียงอย่างเดียวว่าคงไม่ธรรมดาเลย เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มี Red Rose ที่เดียวดายอย่างทุกวันนี้หรอก
“พ่อนายเป็นใครกันแน่?”

Unn

  • บุคคลทั่วไป
22 ต่อ

ซุยกลั้นใจถามออกไปทั้งๆที่รู้ว่ามันต้องโกรธ และคงไม่ตอบด้วย แต่ไทกิกลับหันหน้ามาสบตาช้าๆ
“โนมูระ เคโตะ… เค้าเป็นคนที่ฉันทั้งรักและเกลียด พ่อให้ทุกอย่างกับฉัน แต่ในขณะเดียวกันก็พรากทุกอย่างไปจากฉันด้วย”
ไทกิกัดฟันแน่น น้ำตาที่ไม่เคยคิดจะหลั่งในช่วงเวลาที่มีความสุขแบบนี้กลับไหลออกมาเงียบๆ
“พ่อฉันคือ Red Rose คนก่อน เป็นหัวหน้าองค์กรที่ทุกคนให้ทั้งความเคารพและยำเกรง สิ่งสำคัญในชีวิตพ่อมีเพียงสิ่งเดียวคือ หน้าที่ พ่อเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบ มีชิวิตอยู่เพื่อไล่ล่า ได้ทุกอย่างมาด้วยการล่า แม้แต่… ความรัก”
ยมทูตลอบถอนใจอีกเฮือก ซุยนั่งฟังเงียบๆโดยไม่ขัดจังหวะเพื่อให้ไทกิได้ระบายออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตไทกิคล้ายกับชีวิตของคาโอรุ แต่อย่างน้อยคาโอรุก็โชคดีกว่าตรงที่ได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ แต่ไทกิล่ะ… เค้าจะมีโอกาสนั้นหรือเปล่า
“พ่อได้พบกับแม่ เพราะแม่เองก็เป็นนักล่าเหมือนกัน ครั้งหนึ่งแม่เคยได้รับงานให้ติดตามเบาะแสของ Red Rose แต่แม่กลับเป็นฝ่ายถูกพ่อต้อนจนมุมซะเอง จากนั้นก็อยู่ด้วยกันทั้งคืน แม่ถูกพากลับมาที่องค์กร เป็นสมบัติชิ้นนึงของพ่อ แม่ทนฝืนอยู่ที่นั่นมาตลอดจนกระทั่งคลอดฉันออกมา”
ถึงตอนนี้ไทกิปล่อยโฮออกมาจนหมดสภาพการเป็นผู้นำแห่ง Death flowers ความทุกข์ใจถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น
“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพ่อกับแม่รักกันหรือเปล่า และพวกเค้าเคยรักฉันบ้างมั้ย ทำไมแม่ถึงหนีออกมาคนเดียวโดยทิ้งฉันไว้ที่องค์กร และทำไมพ่อถึงทำกับฉันเหมือนเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่มีหัวใจ พ่อสอนทุกอย่างกับฉัน มอบตำแหน่งสูงสุดให้ฉัน ให้เพื่อนเพียงคนเดียวในโลกคือ เซกิ แต่ไม่เคยให้ ‘ความรัก’ กับฉันเลย”
ซุยต้องดึงตัวไทกิเข้ามากอดไว้แน่นก่อนที่มันจะเสียใจจนคุ้มคลั่งไปซะก่อน ความอบอุ่นทำให้ยมทูตสงบลงอีกครั้ง
“ฉันอิจฉานาย… ฉันอิจฉาทุกคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่น ฉันไม่เคยอยากเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างที่พวกเค้าอยากให้ฉันเป็น ฉันก็แค่อยากเป็นไทกิ อยากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ได้ไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ อยากมีบ้านที่มีพ่อกับแม่รออยู่ก็เท่านั้นเอง”
“นายก็เลยหนีออกมาเพื่อตามหาแม่ใช่มั้ย?”
นัยน์ตาสีเลือดของกุหลาบแดงเบิกกว้าง ประหลาดใจจริงๆที่ซุยมองเค้าได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
“พ่อฉันตายโดยที่ฉันยังไม่ได้ถามความรู้สึกที่แท้จริง ฉันก็เลยอยากเจอแม่เพื่อถามทุกอย่างที่ฉันอยากรู้ แต่จนป่านนี้ฉันก็ยังหาแม่ไม่พบ มีเพียงจดหมายที่ส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก ฉันรู้ว่าแม่เฝ้ามองฉันอยู่ และก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งแม่จะยอมออกมาพบฉัน จากนั้นฉันก็จะได้กลับเข้ากรงทองของตัวเองซะที”
“นายคิดจะกลับไปที่องค์กรอีกเหรอ!!” ซุยตกใจกระชากมันเข้ามาถามจนแขนแทบหลุด
ไทกิพยักหน้าอย่างหดหู่ “ชีวิตฉันเลือกไม่ได้ มันถูกตีตราไว้ตั้งแต่ได้รับสายเลือดจากพ่อแล้ว ถึงฉันไม่กลับ เซกิก็ต้องส่งคนมาจับฉันกลับไปอยู่ดี”
“ไทกิ” ซุยจับหน้าหันมาสบตากันแล้วเปรยเสียงเครียด “ฉันเป็นบอดี้การ์ดของนาย ความหมายคือจะปกป้องนายด้วยชีวิต ไม่ว่าสักกี่คนที่คิดจะมารบกวนชีวิตของนายฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แน่ เพราะฉะนั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องพันธนาการตัวเองด้วยพันธะบ้าบอนั่นอีกแล้ว นายอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ อยู่กับฉัน… อยู่กับเพื่อนๆ อยู่อย่างเด็กหนุ่มธรรมดาอย่างที่นายอยากเป็นยังไงล่ะ”
ไทกิสบตาสีเข้มของซุย สายน้ำสายนี้… ยังไหลรินเย็นชื่นฉ่ำหัวใจได้เสมอ แต่ทว่า… ก็ไม่อาจฉุดรั้งเค้าจากความเป็นจริงได้
“ฉันอยากอยู่กับซุย ให้เลือกกี่ครั้งฉันก็จะเลือกแบบนี้ แต่ฉันทำไม่ได้ เพราะนั่นจะทำให้ทั้งนายและครอบครัวของนายต้องเดือดร้อน และฉันจะเสียใจมากหากนายต้องบาดเจ็บหรือตาย เพราะฉันเป็นต้นเหตุ”
“นี่นายไม่เชื่อใจฉันเลยใช่มั้ย” ซุยตัดพ้อ ใช่สิ… เค้าก็รู้ว่าฝีมือเทียบพวกยมทูตไม่ได้ แต่แค่ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องคนที่ตัวเองรัก มันผิดนักหรือไง
“ซุย… ฉันรักซุยนะ” ไทกิเผยความในใจเป็นครั้งแรก “และเพราะว่ารัก ถึงไม่อยากให้นายเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจ แต่ฉันแค่ไม่อยากสูญเสียคนที่รักไปอีก”
มืออุ่นๆที่กอดไว้ไม่เคยหวั่นไหว มีแต่จะยิ่งหนักแน่นมั่นคง สายน้ำสายนี้จะไม่มีวันล่มสลาย จะคอยโอบอุ้มดอกไม้แห่งหัวใจไว้ชั่วนิจนิรันดร์
ซุยก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากที่สั่นระริก ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้น้ำตาค่อยๆแห้งเหือด ไทกิหลับตาลงและจูบตอบกลับไปแผ่วเบา เค้ายอมทิ้งความทุกข์ทั้งมวลไว้เบื้องหลัง แล้วเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขไว้ให้นานที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่าควรจะตัดใจไม่ให้ผูกพันไปมากกว่านี้ก็ตาม
“ฉันรักนาย… ถ้าได้ตายเพื่อปกป้องคนที่รัก ฉันจะถือเป็นเกียรติสูงสุดและจะไม่มีวันเสียใจเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงฉัน ขอให้นายทำในสิ่งที่อยากทำก็พอแล้ว”

“ใช่แล้ว… พวกเราเองก็จะปกป้องคุณหนูไทกิเหมือนกัน”

เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้คู่รักหวานแหววถึงกับเสียเส้น รีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน ฝีเท้าที่หนึ่ง… ฝีเท้าที่สอง… ตามมาติดๆด้วยฝีเท้าที่สาม… และฝีเท้าสุดท้ายที่ดังกว่าใครเพื่อน ทุกคนค่อยๆเดินเรียงหน้ากระดานออกมาจากความมืด นานแค่ไหนที่พวกนี้แอบฟังอยู่ซุยไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่ามันน่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุด
“เฮ้อ… เห็นนายหายหน้าไปเป็นเดือน แถมพ่อยังปฏิเสธงานของนายแบบไม่มีกำหนด ที่แท้ก็เพราะรับจ๊อบเสี่ยงตายอยู่นี่เอง มิน่า… ถึงปิดเงียบไม่ยอมบอกใครเลย”
ฮิริวเป็นคนแรกที่นั่งเผละลงมาข้างๆ แล้วบ่นอุบ ก่อนที่คนที่เหลือจะตามมานั่งแจมด้วย บ้านนี้ทั้งบ้านรู้กิตติศัพท์ความน่ากลัวของ Death Flowers ดี โดยเฉพาะตัวผู้นำ Red Rose เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เค้าร่ำลือว่าร้ายนักร้ายหนาจะมานั่งกินข้าวที่บ้านสบายใจเฉิบ
“นี่! ไหนว่าจะไปดวลกับยูคาริไง อาราชิก็เหมือนกัน พี่บอกให้พาโซระไปนอนแล้วไม่ใช่เหรอ” ซุยแก้เก้อด้วยการดุเรียงหน้า แต่แทนที่พวกนั้นจะสะทกสะท้านกลับเอาแต่หัวเราะร่วน
“ก็ถ้าพวกฉันไม่ทำแบบนี้จะรู้เหรอว่านายกำลังตกที่นั่งลำบาก รับงานอะไรไม่รับ ดันรับงานคุ้มกันตัวอันตรายที่สุดในโลก จริงมั้ย… ไทกิคุง” ฮิริวหันไปยักคิ้วกริ่มให้ไทกิ
“เอ่อ…” ไทกิก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงแล้วเหมือนกัน เลยได้แต่นั่งหน้าแดงอยู่เงียบๆ
“แล้วคิดจะทำยังไงต่อ?” ยูคาริหันไปถามซุย
“ทำยังไง ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดน่ะสิ”
“ผมว่าแบบนี้ไม่ดีแน่” อาราชิออกความเห็นบ้าง “พี่ซุยคุ้มกันพี่ไทกิคนเดียวมันเสี่ยงนะครับ ให้พวกเราช่วยอีกแรงดีกว่า”
“ใช่เลย… ฉันเองก็ยังว่างงานอยู่ ขอรับงานใหญ่กับเค้าบ้างเถอะน่า” แม้แต่ไอ้ตัวเล็กก็ยังขอแจมด้วย
“ฉันขอบใจในความหวังดีของทุกคนนะ” คนที่กำลังถูกจับจองเป็นเป้าหมายขอโอกาสออกตัวบ้าง “แต่ฉันไม่ต้องการใครนอกจากซุย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนทำตัวเหมือนเดิมเถอะ ฉันอยากให้พวกนายเห็นฉันเป็นเพื่อน มากกว่าเห็นเป็นลูกค้าซะอีก”
ยูคาริพยักหน้า ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของน้องชายก็ยิ่งเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะคอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆก็แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยต้องรีบบอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบใจ” ไทกิรับน้ำใจด้วยความซาบซึ้ง ครอบครัว… ดีที่สุดก็ตรงนี้แหละ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นน้ำใจที่บริสุทธิ์งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“เฮ้อ… แบบนี้ฉันก็อดโชว์ฝีมือน่ะสิ” ฮิริวแกล้งบ่นไปเรื่อย “งั้นเอาเป็นว่าระหว่างที่อยู่ที่นี่ ขอให้เราเป็นไกด์พาเที่ยวแทนการเป็นบอดี้การ์ดก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะพาไทกิเที่ยวเอง” ซุยรีบออกตัว เพราะไม่ค่อยเชื่อใจฮิริวสักเท่าไหร่ จนพี่รองทนหมั่นไส้ไม่ไหว โอบแขนรัดคอน้องชายเข้ามาใกล้ๆ
“นายน่ะเป็นบอดี้การ์ดก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปสิ หน้าที่ไกด์ปล่อยให้เป็นของพวกฉัน รับรองได้ไม่มีมุมไหนในเกียวโตที่ฉันไม่รู้จัก โดยเฉพาะโลกราตรี รับรองว่าไทกิจะต้องติดใจแน่”
“เกียวโตเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม นายอย่ามาทำให้เสื่อม” พี่ใหญ่รีบขัดคอ “พรุ่งนี้พี่จะพาไปไหว้พระที่ศาลเจ้า แล้วจะพาไปดูวิหารทองคินคาคุจิ คืนนี้ไทกิก็ไปพักเถอะนะ จะได้ตื่นแต่เช้า” ยูคาริบอกแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะครับทุกคน” ไทกิบอกราตรีสวัสดิ์ ทุกคนก็ตอบรับ จากนั้นก็ตามซุยกลับเข้าบ้าน
การได้มาเกียวโตคราวนี้… ทำให้ไทกิได้รับความอบอุ่นเป็นพิเศษ ถึงจะป่วนบ้างตอนที่ไปเที่ยวแล้วพี่ใหญ่กับพี่รองเอาแต่ทะเลาะกันตลอดทาง กับเจ้าตัวเล็กซึ่งคอยหาจังหวะแกล้งเค้าตลอดเวลา แต่ครอบครัวที่เคยฝันหามาตลอดชีวิต ก็ทำให้หัวใจสุขล้นจนลืมความทุกข์ที่ผ่านมาจนหมดสิ้น

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22: Chapter 23 Bloody Flower

“เหรอ… พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้วเหรอครับ”
มิสึกิตอบกลับไปยังปลายสาย ได้ยินเสียงร่าเริงของท่านผู้นำแสดงว่า Long Weekend ที่ผ่านมาคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
“เมื่อวานคาโอรุคุงก็เพิ่งโทรมาบอกว่าอาการของฮิโระคุงดีขึ้นแล้ว คิดว่าน่าจะกลับมาถึงไล่เลี่ยกับไทกิคุง ก็ดีนะครับ พอทุกคนไม่อยู่ สภาของเราเงียบเหงาไปเยอะเลย ตอนนี้ก็มีแค่ผมกับพี่โนะอิที่กำลังเป็นกรรมกรเร่งร่างงบประมาณประจำปีอยู่ ถ้ากลับมาแล้วจะได้ช่วยกันไงครับ โดยเฉพาะเจ้าซุย อู้งานไปตั้งอาทิตย์ งานกองพะเนินเป็นตั้ง ฝากบอกมันด้วยนะว่าผมไม่จัดการให้หรอก”
มิสึกิหยุดเว้นวรรคนิด รอให้ทางปลายสายหัวเราะจนพอใจแล้วถึงค่อยปิดท้ายเพื่อตัดบทสนทนา เพราะนัยน์ตาเย็นๆของรุ่นพี่จ้องมาหลายทีแล้ว คงกำลังคิดว่าเค้าหาทางอู้งานอีกคนล่ะสิ
“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วเจอกัน”
มิสึกิกดปิดเครื่องแล้วโยนโทรศัพท์มือถือไปกองรวมกับกระเป๋า วันนี้คงรับสายใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นมีหวังโดนหัวหน้าซีเนียร์เอาตายแน่
“พวกนั้นจะกลับมาแล้วเหรอ” โนะอิถามเสียงเรียบ ทันทีที่รุ่นน้องกลับมานั่งที่โต๊ะ
“กลับมาพรุ่งนี้ครับ แต่วันนี้ผมกับพี่คงต้องเหนื่อยอีกยาว รู้สึกพวกหัวหน้าชมรมต่างๆจะไม่ค่อยพอใจกับงบประมาณที่โดนตัดไปสักเท่าไหร่ ดีไม่ดีอาจมาถล่มสภาพิเศษเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“มาก็มาสิ… ฉันเองก็อยากเจอสักทีเหมือนกัน ดีแต่พูดกันลับหลัง พออยู่ต่อหน้าทีไรก็ไม่เห็นจะกล้าสักคน”
มิสึกิยิ้มแห้งๆ แล้วแอบตัดพ้อในใจ ‘ก็เฮียแกโหดขนาดนี้ ใครมันจะกล้าวีนต่อหน้าเล่า’
“อืม… ว่าแต่สองสามวันนี้ไม่เห็นพี่ยูกับพี่โฮตารุเลย หายไปไหนเหรอครับ” มิสึกิถามหาสมาชิกพิเศษที่เหลือ ช่วงนี้คนก็น้อยอยู่แล้ว พวกพี่ๆยังหายหน้าหายตาไปอีก สงสัยคงต้องเปลี่ยนเป็นสภาร้างแล้วล่ะมั้งเนี่ย
“ยูกับโฮตารุได้รับมอบหมายงานพิเศษจาก ผอ. ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่างานอะไร แต่อีกสองสามวันก็คงจะกลับแล้ว”
“งั้นเหรอ” มิสึกิลอบถอนใจเบาๆ “มาซาฮิโกะก็มัวแต่วุ่นประชุมกับกรรมการนักเรียนเรื่องงานวัฒนธรรม เหลือแต่งานหนักๆไว้ให้ผมกับพี่ทำทั้งนั้นเลย” ว่าแล้วก็เหลือบตาไปมองบัญชีงบประมาณประจำปีของฝ่ายต่างๆที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะ
สรุปรายงานงบประมาณประจำปี… งานเบ๊ที่เค้ากับรุ่นพี่ต้องทำให้เสร็จภายในสองวันเพื่อส่งทางผู้บริหาร จะได้ทันเบิกจ่ายใช้ในกิจกรรมปีนี้
แต่พอเหลือบตามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกจะเครียดกว่าเค้าอีกแฮะ… ปกติโนะอิเป็นคนเจ้าระเบียบ เนคไทไม่เคยกระดิกจากตำแหน่ง แต่วันนี้โดนคลายลงมาจนเกือบจะหลุดจากคออยู่รอมร่อ คอเสื้อก็โดนปลดกระดุมไล่เรียงลงมาเรื่อยๆตามภาวะเครียดที่พุ่งกระฉูด แถมยังรวบผมเป็นหางม้า เปิดให้เห็นต้นคอขาวๆที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
จะว่าไปก็ดูเซ็กซี่ดีแฮะ แต่… มันมีบางอย่างที่ผิดปกติ?
“มิสึกิ… นายมีอะไรกับฉันหรือเปล่า” โนะอิเงยหน้ามองรุ่นน้องที่บังอาจใช้สายตาพิจารณาเค้าอยู่นานสองนาน งานก็ไม่กระดิกสักแอะ ยังมาทำอะไรให้ชวนหงุดหงิดใจอีก
“ก็เปล่านี่ครับ” มิสึกิส่ายหน้า ก่อนจะรวบรวมเอกสารสำคัญบางส่วนมาใส่ไว้ในแฟ้ม “ผมจะเอารายงานไปส่งให้ ผอ. ที่หอดิน แล้วกะว่าจะแวะโรงอาหารด้วย พี่โนะอิจะเอาอะไรหรือเปล่า ผมจะได้ซื้อมาฝาก”
“ไม่ล่ะ… นายไปเถอะ”
โนะอิบอกแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาสู้กับตัวเลขในบัญชีต่อ มิสึกิถือแฟ้มเดินออกจากห้อง แต่ก็ยังไม่วายเหลียวกลับมามองด้วยความเป็นห่วง รู้สึกรุ่นพี่จะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย… ต่อให้เป็นโนะอิก็เถอะ ทำแบบนี้ร่างกายจะไหวแน่เหรอ
แล้วอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกตินั่น ถ้าเค้าคิดไม่ผิดล่ะก็…

หนึ่งชั่วโมงที่หายไปจากสภา มิสึกิซื้อเสบียงมาตุนไว้เพียบ เตรียมพร้อมลุยงานต่อทั้งคืนแล้ว แต่พอกลับมาถึงก็พบกับสภาพที่คาดไว้ไม่มีผิด
โนะอินอนฟุบหน้าอยู่คาโต๊ะ ในมือยังจับปากกาไว้แน่น ท่าทางจิตใต้สำนึกคงเรียกร้องให้ทำงานต่อ แต่ร่างกายคงไม่ไหว มิสึกิส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจในความหัวดื้อของรุ่นพี่ เค้าวางเสบียงทั้งหมดไว้ในห้องสวัสดิการ ก่อนจะอุ้มรุ่นพี่ไปพักที่โซฟา
…เบากว่าที่คิดแฮะ…
มิสึกิมองร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขน เพิ่งสังเกตว่าโนะอิตัวสูงไล่เลี่ยกับเค้าก็จริงแต่ผอมกว่ามาก กล้ามเนื้อแทบไม่มีเลย เอวก็เล็กนิดเดียว พี่น้องไฮบาระรูปร่างแบบนี้กันทั้งบ้าน สงสัยแม่บ้านจะทำอาหารไม่อร่อย ถึงมีแต่คนตัวผอมทั้งนั้นเลย
“อืม…”
ขนาดเอามานอนพักสบายๆบนโซฟาแล้ว พี่แกก็ยังขมวดคิ้วไม่เลิก แถมยังครางเหมือนกำลังสู้อยู่กับตัวเลขในบัญชีตลอดเวลา มิสึกิเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ยอมรับนับถือในความรับผิดชอบอันสูงส่งของพี่แกจริงๆ พับผ่าสิ…
“พี่โนะอิ” รุ่นน้องเขย่าตัวปลุกเบาๆ มือหนึ่งก็เลื่อนไปกระตุกที่รัดผมกับเนคไทออกจากคอ เพื่อให้นอนสบายขึ้น
ผมสีเงินนุ่มสลวยทิ้งตัวลงมาปรกโซฟา กับบางส่วนที่ยาวจนคลอเคลียกับพื้น มิสึกิต้องรีบโกยกลับขึ้นไปให้ เพราะปกติโนะอิเป็นคนที่หวงผมตัวเองมาก แต่พอได้สัมผัสแล้วนี่แหละมิสึกิถึงรู้ว่าทำไมพี่เค้าถึงได้หวงนักหนา ก็มันทั้งนุ่มทั้งสวยแบบนี้นี่เอง คาน่อนก็มีผมสีเดียวกันแต่เส้นเล็กกว่านิดหน่อย  แต่ของโนะอินิ่มกว่าเยอะ
มิสึกิก้มเข้าไปดูหน้าสวยๆในระยะใกล้อีกครั้ง เพื่อหาคำตอบของสิ่งที่ยังคาใจอยู่ ไล่จากคิ้ว เปลือกตา จมูก แก้ม ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอมาถึงริมฝีปาก…
รุ่นน้องจ้องเข้าไปดูใกล้ๆอีกครั้ง ใช้นิ้วไล้ไปตามเรียวปากได้รูปเบาๆ พลางฉีกยิ้ม
‘นี่แหละ… ใช่เลย สิ่งที่ผิดปกติ’

“มิสึกิ?”

เสียงเรียกจากคนที่เค้าคิดว่าหลับ ทำเอาคนที่กำลังวิจัยเรื่องริมฝีปากเด้งตัวหนีแทบไม่ทัน หมอนี่ตื่นตอนไหนเนี่ย แล้วจะเห็นมั้ยว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่
“ฉัน… เผลอหลับไปเหรอ” โนะอิถาม แต่ก็ยังดูท่าทางงัวเงียอยู่ มิสึกิถอนใจด้วยความโล่งอก อีหรอบนี้คงยังไม่รู้ตัวหรอก
“พี่ทำงานมาทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่กิน ร่างกายก็ไม่ไหวน่ะสิครับ ตื่นขึ้นมาทานข้าว แล้วพักสักหน่อยดีมั้ย”
โนะอิยกมือขึ้นมาเสยผม ก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เซล้มลงไปอีก โชคดีที่มิสึกิยังไวพอที่จะรับทัน เลยประคองให้กลับลงไปนั่งใหม่
“อย่าดื้อสิครับ พี่ควรจะพักได้แล้ว” คราวนี้รุ่นน้องเพิ่มดีกรีเสียงดุขึ้นมาอีกนิด
“ฉันยังไหว… งานยังเหลืออีกตั้งเยอะ ถ้าไม่รีบทำจะไม่เสร็จทันเสนองบประจำปีนะ”
“ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จสิ” มิสึกิกดตัวคนดื้อที่พยายามจะลุกขึ้นให้นั่งลงไปอีกครั้ง “ช้าไปสักวันสองวันก็ไม่ทำให้โรงเรียนเราล่มหรอกน่า แต่ถ้าพี่ล้มป่วย สภาเราจะแย่นะครับ”
โนะอิขมวดคิ้วมุ่น “ฉันเนี่ยนะจะป่วย ตลกแล้วล่ะมิสึกิ”
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” รุ่นน้องจ้องหน้าคาดคั้น ก่อนจะสาธยายต่อ “ริมฝีปากของพี่เป็นสีแดงเรื่อ ถ้าเทียบกับคนทั่วไปก็คงไม่แปลกอะไร แต่ถ้าเทียบกับคาโอรุคุงหรือคาน่อนที่ริมฝีปากแดงจัด ก็จะเห็นทันทีว่าผิดปกติ พี่คงมีปัญหาเรื่องเลือดจางใช่มั้ย และยิ่งช่วงที่ทำงานหนักก็จะซีดจนแทบไม่มีสีเลือดเลย ถ้าผมเดาไม่ผิด…”
มิสึกิหยุดเว้นวรรค พร้อมกับถอนใจเบาๆ
“พี่คงมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจด้วยใช่มั้ย”
ข้อสรุปจากรุ่นน้องเปลี่ยนสีหน้าที่ขาวอยู่แล้วให้ยิ่งซีดจัด ความลับที่แม้แต่คนที่บ้านยังไม่เคยสังเกตเห็น แต่หมอนี่กลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง เป็นไปได้ยังไง…
“นายมั่วแล้วมิสึกิ อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” โนะอิเบือนหน้าหนี ก่อนจะเฉไฉโดยการลุกกลับไปทำงานต่อ
แต่ทว่า… ก็โดนคนขี้ตื๊อดึงกลับไปอีก แถมคราวนี้ยังลงเหมาะเจาะบนโซฟาพิเศษ… บนตักของมันนั่นเอง
“งั้นผมคงต้องขอพิสูจน์หน่อยแล้ว”
“มิสึ…”
จะประท้วงก็ไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่เผยอปากเพื่อจะด่ากลับ ก็โดนมันตวัดคอขาวๆเข้ามาประชิด แล้วจูบอย่างหนักหน่วง ร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วก็ยิ่งร้อนระอุ หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำราวกับจะระเบิดออกมานอกอก มือข้างหนึ่งยังบังอาจจาบจ้วงล้วงเข้ามาสัมผัสที่หน้าอกข้างซ้าย กระตุ้นบางสิ่งให้แข็งขืนขึ้นมาตามมือที่ลูบไล้ไปโดยไม่รู้ตัว
“ว่าแล้วไง… คราวนี้ผมได้ยินชัดเลย”
เสียงเปรยจากคนที่ทำให้อารมณ์ค้างอย่างรุนแรง ปลุกสติที่หลุดลอยให้กลับคืนมาอีกครั้ง พอรู้ตัวก็เห็นมันแนบหูฟังอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจ หน้าขาวผ่องแดงซ่านจากเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรง แถมยังรู้สึกล้าผิดปกติ เป็นเพราะอะไรกัน
“เสียงหัวใจมีจังหวะที่ผิดปกติ อาจจะเป็นมาตั้งแต่เกิด ผมว่าพี่น่าจะลองให้หมอตรวจเช็คให้ละเอียดอีกทีนะครับ เพราะโรคหัวใจบางชนิดก็รักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด”
มันเล่นพ่นหลักวิชาการออกมาเป็นชุดๆ เหมือนไม่สนใจว่าตัวเองได้ทิ้งอะไรไว้กับร่างกายนี้บ้าง โนะอิกุมหัวใจที่กำลังจะแหลกเป็นชิ้นๆเอาไว้แน่น กัดฟันวีนมิสึกิเท่าที่พอจะมีแรงเหลืออยู่
“นาย… กล้าดียังไง ถึงทำกับฉันแบบนี้!!”
“ก็ผมไม่มีเครื่องมือนี่นา ก็เลยต้องใช้หูแนบฟังด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่กระตุ้นให้หัวใจพี่เต้นแรงขึ้นก็จะไม่ได้ยินน่ะสิครับ”
มิสึกิอธิบายเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่พอเห็นหน้าคู่กรณีที่กำลังทรมานอย่างที่สุด ก็ชักสังหรณ์ใจขึ้นมาตะหงิดๆ แต่พอปรายสายตาลงมาถึงบางส่วนที่อยู่เบื้องล่างก็แจ็กพ็อตอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
ซวยล่ะสิ…
โนะอิฝืนยืนขึ้น คราวนี้พอมือหยาบกระด้างจะยื่นเข้ามาฉุด เค้าก็รีบปัดออกทันที แถมยังทำสีหน้าโกรธเอามากๆ
“ฉันจะออกไปข้างนอก” โนะอิเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู แต่ก็ถูกขวางไว้
“พี่คิดจะออกไปไหนในสภาพนี้งั้นเหรอ” มิสึกิถามเสียงเครียด
“เรื่องของฉัน นายหลีกไป!!!”
มิสึกิส่ายหน้า ก่อนจะดึงตัวคนดื้อกลับมาที่โซฟา
“ปล่อยฉันนะมิสึกิ!!” คนขี้วีนยังโวยวายไม่เลิก มือข้างหนึ่งยังกุมอยู่ที่หัวใจ หายใจหอบจนเหงื่อออกท่วมตัว แต่ยังหรอก… ยังมีส่วนอื่นที่อาการแย่กว่านี้ ซึ่งเค้าต้องรับผิดชอบที่ไปปลุกให้มันตื่นขึ้นมา
“ถอดออกมาเถอะพี่โนะอิ ผมจะช่วยเอง”
“อะไรนะ!!!” โนะอิขึ้นเสียงดุอย่างเหลืออด “นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ฝันไปเถอะ”
“ผมก็แค่อยากช่วยให้พี่หายทรมานเร็วขึ้น ผมเป็นคนทำให้พี่เป็นแบบนี้ก็ต้องรับผิดชอบ เร็วๆเถอะ… ถ้าขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ล่ะก็ หัวใจพี่จะยิ่งทำงานหนักขึ้นนะ”
“ไม่…”
โนะอิยังคงดื้อดึง แต่มิสึกิไม่อยากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นโนะอิอาการแย่แน่ เค้าเลยถือวิสาสะคลายเข็มขัดของรุ่นพี่ออก ต่อสู้กันชุลมุนแต่ในที่สุดมิสึกิก็เป็นฝ่ายชนะ เค้ารูดซิปออกแล้วเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในลงมาจนส่วนที่อัดแน่นเต็มที่ก็พุ่งผ่านออกมาจนเห็นเด่นชัด
“อย่ามองนะ” โนะอิเบือนหน้าหนี รู้สึกละอายใจอย่างที่สุดที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้กับหมอนี่ ขนาดกับซุยยังไม่เคยคิดถึงขั้นนี้เลย แต่หมอนี่มันกลับ…
“ก็ได้… ถ้าพี่ไม่อยากให้มอง” มิสึกิดึงเนคไทของตัวเองมาผูกปิดตาเอาไว้ อันที่จริงก็ไม่อยากมองนักหรอก ไม่ใช่เพราะไม่น่ามอง… แต่กลัวจะทนเห็นใบหน้าที่เย้ายวนรุ่นพี่ของรุ่นพี่ไม่ไหว แล้วตบะแตกไปอีกคน มันจะยิ่งยุ่ง
มือหนึ่งจับส่วนกลางที่กำลังสั่นระริกไว้เป็นหลัก จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ ใช้ลิ้นชิมรสชาติที่หอมหวานเน้นตรงส่วนปลายที่อ่อนไหวที่สุด ยิ่งปิดตาทุกสัมผัสและรสชาติก็ยิ่งชัด แถมเสียงครางของร่างบางทำให้เค้าแทบสะกดกลั้นใจตัวเองไว้ไม่อยู่
“ฮ้า… ยะ… อย่าเลียเฉพาะตรงนั้น ฉันจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องให้มันออกมาให้เร็วที่สุด หัวใจจะได้ไม่ล้าไปมากกว่านี้ ผ่อนลมหายใจช้าๆสิครับ แล้วจะดีขึ้นเอง”
‘พูดก็พูดง่ายสิ แต่โดนทำขนาดนี้ใครมันจะไปใจเย็นอยู่ได้เล่า’ โนะอิเถียงในใจ แต่พูดไม่ออก เพราะต้องกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดและความสุขสม
มืออีกข้างของมิสึกิค่อยๆล้วงเข้าไปที่สะโพกมน สัมผัสส่วนคับแคบที่รัญจวนที่สุด จนร่างบางถึงกับผวาสุดตัว
“ไม่นะ!!!” โนะอิร้องลั่น หมอนี่คิดจะทำอะไร คิดจะฆ่ากันให้ตายหรือไง หัวใจที่ทำงานหนักอยู่แล้วเต้นรัวเร็วขึ้น ยิ่งนิ้วที่กรีดเขี่ยอยู่รอบๆทางเข้าเร็วเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งทรมานมากเท่านั้น ด้านหลังเฉอะแฉะไปหมดแล้ว แต่มันก็ไม่หยุด
“ผมสัญญาว่าจะไม่ทำมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นรีบปล่อยออกมาเถอะครับ”
มิสึกิปลอบเพื่อให้ร่างบางรู้สึกสงบลง ก่อนจะก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ทุกส่วนถูกดูดกลืนหายเข้าไปในปากจนหมด มือเล็กๆผวามาจิกแน่นที่ท้ายทอย ร่างกายที่ร้อนรุ่มบิดเร่าไปมาพร้อมที่จะปลดปล่อยแล้ว
“อ๊า… ฉะ… ฉันไม่ไหวแล้ว”
ร่างบางแอ่นตัวจนสุด ฉีดพุ่งทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในปากอุ่นๆที่รอรับอยู่ ขนาดเค้ายอมปล่อยแล้วก็ยังมีบางส่วนเลอะอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ร่างบางสงบลง เสียงหัวใจที่เต้นระรัวเมื่อครู่ก็ค่อยๆผ่อนคลายเป็นจังหวะที่ราบเรียบเหมือนเดิม แต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็ยังหายใจหอบนอนฟุบอยู่บนโซฟา
มิสึกิลุกขึ้นหลังจากเสร็จภารกิจ เอาผ้าผูกตาออกแล้วเช็ดริมฝีปากเบาๆ มือเล็กๆของคนที่นอนหอบก็เอื้อมมาฉุดข้อมือไว้ ดวงตาสีฟ้าที่ยังมีน้ำตาเอ่อคลอจ้องตาเค้าแล้วถามเสียงเครียด
“นาย… จะไม่ทำต่อเหรอ?”
มิสึกิตวัดมองร่างบางอีกครั้ง ถึงจะเสียดายแต่ก็ไม่ควรให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้
“ไม่หรอกครับ ถ้าขืนทำมากกว่านี้ล่ะก็ พี่เองนั่นแหละที่จะแย่ อีกอย่าง… ตอนนี้ท้องผมมันร้องจ๊อกๆเลย อยากกินข้าวมากกว่ากินอย่างอื่น”
แล้วมิสึกิก็ตัดบทโดยการเอากับข้าวกล่องที่ซื้อไปอุ่นในห้องสวัสดิการ ก่อนจะกลับเอามาวางบนโต๊ะ เตรียมกินข้าวมื้อค่ำพร้อมรุ่นพี่คนสำคัญที่ดูเหมือนจะลุกขึ้นมาได้แล้ว
โนะอิลุกขึ้นไปล้างหน้า แต่เห็นได้ชัดว่ายังซีดอยู่ พอกลับมานั่งกะว่าจะลุยงานต่อ ก็โดนรุ่นน้องแย่งกองแฟ้มบัญชีตัดหน้าแล้วเอากล่องข้าวมาวางไว้แทน
“กินก่อนเถอะครับ ไม่เสียเวลามากนักหรอก” มิสึกิยิ้มพร้อมกับรินน้ำชาให้ แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ
โนะอิเห็นอาหารแล้วยิ่งพะอืดพะอมเลยผลักออกห่าง มองดูรุ่นน้องอีกครั้งก็เห็นทำตัวทำหน้าปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่เค้าอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ที่มาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในที่แบบนี้
“มิสึกิ” โนะอิกัดฟันแน่น “นาย… ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ทำแบบนี้”
มิสึกิสำลัก จนต้องซดน้ำชาหลายอึกให้หายจุก แต่พอมองหน้าแดงๆของคนที่กำลังกังวลเค้าก็ฉีกยิ้มกว้าง
“มันเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่น ถ้าควบคุมไม่ได้ก็ควรปล่อยเลยตามเลย ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน”
“แต่นาย!!!” โนะอิจะแย้งต่อแต่พูดไม่ออก เลยนิ่งไว้ดีกว่า “ช่างมันเถอะ”
รุ่นพี่หัวดื้อหอบงานไปนั่งที่มุมโต๊ะอีกด้านซึ่งยังว่าง แล้วทำงานต่อโดยไม่สนใจเค้าอีก มิสึกิสังเกตเห็นเค้าความกังวลบางอย่างจากใบหน้าเย็นชาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก มันเป็นความสับสบที่วนเวียนอยู่ในจิตใจ คนอย่างโนะอิไม่เคยให้อะไรมาทำลายสมาธิโดยเฉพาะเวลาทำงาน แต่ตอนนี้รุ่นพี่กลับแสดงความอ่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด
มิสึกิจ้องเขม็ง แล้วถามทำถามที่ทำให้คนใจลอยต้องสะอึก
“ตกลงที่พี่กลุ้ม… เพราะกลัวซุยมันจะรู้ กลัวผมจะคิดอะไรเลยเถิด หรือกลัวใจตัวเองกันแน่”
โนะอิอึ้งสนิท ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งเซียวเข้าไปใหญ่ นานทีเดียวที่ความเงียบกั้นกลางระหว่างคนสองคน นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบปริบๆ แล้วค่อยๆสงบลง จากนั้นก็ตัดบทหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามโดยการเคลียร์บัญชีงบประมาณต่อ
“ท่าทางจะเหตุผลอย่างหลังแฮะ” มิสึกิเดาไปเรื่อย

โครม!!!

ได้ผล…
ไม่คิดว่าคำพูดลอยๆจะจี้ใจดำรุ่นพี่จนหันมาสนใจเค้าอีกครั้ง แต่อะไรๆมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าพี่แกไม่เล่นคว่ำโต๊ะจนเอกสารทุกอย่างลงมากองปะปนมั่วไปหมด
โนะอิเดินตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อคนอวดดีขึ้นมาจากเก้าอี้ สีหน้าท่าทางบอกอาการโมโหอย่างที่สุด
“อย่ามาพูดเหมือนรู้ดี คนอย่างฉันไม่มีวันรู้สึกอะไรกับนาย ไม่มีวัน!!!”
ลงทุนขู่ขนาดนี้แล้ว แทนที่มันจะกลัวกลับเอาแต่ทำหน้ากวนโอ๊ย บังอาจใช้สายตาสีน้ำเงินเข้มจ้องตาเค้าโดยไม่หลบ แต่ว่า… เค้าเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกดึงดูดด้วยสายตาคู่นั้น
มิสึกิยิ้มพราย ก่อนจะดึงแขนคนดื้อเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับสอดแขนอีกข้างกอดรอบเอวบางเอาไว้ แล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
“คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ… โนะอิ” มืออีกข้างค่อยๆล้วงลึกสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าอก “แต่ร่างกายคุณดูเหมือนจะไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลยนะ”
“นาย!!!”
ร่างสูงดึงตัวคนดื้อเข้ามาจูบอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกใจในตอนแรก ก่อนที่ภาพข้างหน้าจะเริ่มเบลอ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หัวใจเรียกร้อง ท่อนแขนเพรียวเล็กค่อยโอบกระหวัดโน้มคอคนอวดดีเข้ามาหา เอนศีรษะซบลงไปที่หน้าอกกว้าง
แล้ว… ก็หลับไป
มิสึกิตะลึงไปพักใหญ่ มองร่างที่หลับปุ๋ยในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วหัวเราะร่วน
“ท่าทางจะถึงลิมิตแล้วจริงๆแฮะ” เค้าใช้แขนอีกข้างช้อนใต้เข่าแล้วอุ้มร่างบางขึ้นมา “แต่มาทำให้คนอื่นอารมณ์ค้างแทนเนี่ย มันไม่ค่อยดีเลยนะพี่”
ถึงจะบ่นไปอย่างนั้น แต่คนหลับก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว มิสึกิเอารุ่นพี่ไปฝากไว้บนโซฟาชั่วคราว ก่อนจะเก็บเอกสารที่กองมั่วอยู่บนพื้นมาจัดเรียงในแฟ้มเพื่อทำต่อในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็แบกรุ่นพี่ขึ้นหลังแล้วพากลับไปส่งที่หอน้ำ

ดึกคืนนี้อากาศดี… ท้องฟ้าปราศจากเมฆ เปิดโล่งจนเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด มิสึกิเดินฮัมเพลงไปตามทางเดินริมทะเลสาบ สายลมพัดอ่อนโยนผสานกลิ่นหอมหวานจากใครบางคนที่ยังติดตรึงอยู่บนผิวกาย
ใครบอกหิมะเย็นชาจนกินไม่ได้… เค้าชิมแล้วก็หวานดี
เงาร่างดำทะมึนที่เคลื่อนไหวผ่านพุ่มไม้ ทำให้คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โรแมนติกหยุดความคิดชั่วขณะ มิสึกิเหลียวมองกลับหลัง ทั้งเสียงฝีเท้า รูปร่างของเงา ความสูง… ทุกอย่างคุ้นตาดี จากความหวาดระแวงเลยกลายเป็นความผ่อนคลาย และก้าวเท้าเดินต่อไปสบายๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“ยูอิเหรอ?”
มิสึกิเปรยถาม เงาร่างนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ภาพหญิงสาวสวยวัยยี่สิบในชุดสีดำสนิทประจำองค์กรก็ปรากฏเด่นชัด หล่อนเดินเข้ามาระยะใกล้ แต่ระมัดระวังพยายามไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นจากที่ไกลๆ
“มีข่าวสำคัญจะรายงานค่ะ… ท่านมิสึกิ”
มิสึกิหยุดเดินแล้วหยิบก้อนหินโยนลงไปในทะเลสาบ
“ยูอิที่เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์มาเอง คงจะเป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะสิ”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบ แต่สีหน้าที่แสดงออกไม่สู้ดีนัก “ข่าวสำคัญเกี่ยวกับ… ลิลลี่”
“ว่ามา…” มิสึกิยังตอบสนองด้วยท่าทีที่เรียบเฉย การเคลื่อนไหวของเซกิไม่ใช่เรื่องที่อ่านยากอยู่แล้ว เค้าพอจะเดาออกว่าหมอนี่คิดจะทำอะไร
“ลิลลี่ออกมาจากองค์กรแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน”
“แล้วพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวล่ะ?”
“มีคำสั่งให้เก็บตัวอยู่ในองค์กร แม้แต่พวกองครักษ์ยมทูตแดงซึ่งกำลังตามหาท่านไทกิก็ถูกเรียกตัวกลับมาทั้งหมดค่ะ”
ลุยเดี่ยวเหรอ… เซกิมันคิดจะเผชิญหน้ากับไทกิตรงๆหรือไงนะ
“ฉันจะหาทางเตือน Red Rose เอง ยูอิกลับไปบอกทุกคนอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวโดยพละการ จับตาพวกองครักษ์ฝ่ายยมทูตขาวด้วย ถ้าใครมีการเคลื่อนไหวผิดสังเกตก็ให้รีบมารายงานฉันทันที”
“ค่ะ… ท่านมิสึกิ”
พอรับคำสั่งจบ ยูอิก็ค่อยๆแทรกตัวหายไปในความมืด ซากุระแหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ยมทูตทั้งสามเคลื่อนไหวอยู่นอกองค์กร ต่างคนต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคงจะเลี่ยงการปะทะกันได้ยาก ถ้าหากไม่เจอเซกิในเร็ววันนี้ก็คงจะดี อย่างน้อยก็อยากเตือนคุณหนูคนเก่งของเค้าให้ระวังตัวเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับลิลลี่
เงาสีดำเคลื่อนตัวอย่างว่องไวในความมืด และเพียงเสี้ยววินาทีที่เค้าหันหลังมองทะเลสาบ แสงไฟ แสงดาว และแสงสว่างทุกอย่างก็ดับวูบลงในพริบตา
มิสึกิทรุดตัวลงบนพื้น ใช้สติที่เลือนรางครั้งสุดท้ายเอื้อมมือไปจับที่กลางหลัง ด้ามมีดสีเงินวาวระยับยังปักมิดอยู่คาอก แม่นยำตัดขั้วหัวใจเพราะเจ้าตัวไม่เคยพลาด เลือดแดงฉานไหลทะลักพวยพุ่งราวกับสายน้ำ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ยังเป็นเพียงเงาร่างลางเลือน
“ลาก่อน… คนทรยศ”
นั่นคือเสียงสั่งลา ก่อนที่มันจะเตะเค้าตกลงไปในทะเลสาบ ภาพทุกอย่างดับวูบ เหลือเพียงความมืดมิดที่รุมล้อมอยู่รอบกาย ดอกลิลลี่สีขาวอาบเลือดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ บ่งบอกถึงความแค้นฝังแน่นซึ่งกำลังรอการสะสาง
มันกลับมาแล้ว… ยมทูตผู้กระหายความตายที่แท้จริง

Unn

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:Chapter 24  Real Love, Real Heart

‘คาโอรุ คาวาชิมะ… มีผู้ปกครองมารอพบที่หอฮิโนะเอ็น ด่วน…’

“เอ๋?” คาโอรุที่หอบแฟ้มงานซึ่งจะเอาไปทำที่โรงอาหารพร้อมฮิโระขมวดคิ้วมุ่น
“พ่อนายมาเยี่ยมล่ะมั้ง” ฮิโระช่วยเดาให้
“แต่ฉันเพิ่งโทรคุยกับพ่อเมื่อเช้านี้เองนะ ถ้าจะมาเค้าต้องบอกฉันก่อนสิ”
“ก็ไม่แน่… พ่อนายยิ่งชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่เรื่อย ฉันว่าบางทีเค้าอาจอยากทำเซอร์ไพรส์นายก็ได้”
“เซอร์ไพรส์ที่โรงเรียนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย” คาโอรุส่ายหน้า “อีกอย่างนะ… พ่อฉันก็ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก บางทีน่าจะเป็นเรื่องงานมากกว่า งั้นเดี๋ยวฉันไปหาพ่อก่อนนะ นายไปรอที่โรงอาหารก็แล้วกัน”
คาโอรุวางแฟ้มทั้งหมดซ้อนบนแฟ้มของฮิโระที่เกือบจะรับไว้ไม่ทัน ก่อนจะวิ่งปร๋อกลับไปที่หอ ฮิโระเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีตัดผ่านทะเลสาบ อันที่จริงก็อยากจะไปทักทายว่าที่คุณพ่อตาซะหน่อย แต่ไม่เอาดีกว่า… ปล่อยให้สองพ่อลูกเค้าคุยตามลำพังดีกว่า
ฮิโระเดินเลียบไปตามทางเดินริมทะเลสาบ แล้วสายตาที่คมกริบก็บังเอิญปราดไปเห็นรถสปอร์ตสีแดงที่คุ้นตาจอดอยู่ใกล้ๆกับศาลาริมน้ำ
“รถคันนี้คุ้นๆแฮะ”
นักฆ่าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทั้งสี ทั้งรุ่น มันคุ้นตาไปหมด และที่ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าเคยเห็นมาก่อนก็คือป้ายทะเบียนรถนี่แหละ มันใช่เลยอย่างไม่ต้องสงสัย
“นะ… นี่มันรถของ…” นักฆ่าเสียงสั่นเครือ แฟ้มที่ถืออยู่หล่นพรวดลงไปกองที่พื้นทั้งหมด “อย่าบอกนะ… ว่ามาที่นี่!!!”
ฮิโระหน้าซีดเผือด เหลียวคอมองกลับไปที่หอด้วยความเป็นห่วง ถ้าเค้าคิดไม่ผิดคนที่เรียกคาโอรุต้องเป็นหมอนี่แน่ๆ ความกลัวแล่นปราดจับขั้วหัวใจ ฝีเท้ารีบพาวิ่งกลับหออย่างรวดเร็วที่สุด
หวังว่าเค้าคงกลับไปทัน… ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ร่างนั้นนั่งหันหลังอยู่บนโซฟาในห้องคอมม่อน เสื้อหนังกับหมวกคาวบอยทำให้รู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้ว ปกติพ่อไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ และไม่มีทางที่จะแต่งชุดประเภทนี้ด้วย แล้วคนที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครองแล้วเรียกตัวเค้ามาพบเนี่ย เป็นใครกันล่ะ
“เอ่อ… คุณคือ?”
คาโอรุเดินอ้อมไปด้านข้าง หวังจะเห็นหน้าให้ชัด แต่แค่เค้าเดินเฉียดเข้าไปใกล้เท่านั้น มือที่ใหญ่กว่าก็คว้าหมับรวบตัวเค้าลงไปนั่งบนตัก
นัยน์ตาสีทองที่คุ้นเคยจ้องคาโอรุจนนิ่งงันราวกับโดนมนตร์สะกด แล้วในช่วงที่กำลังอึ้งอยู่นั้น ร่างสูงก็อาศัยจังหวะเชยคางมนเข้ามาใกล้แล้วแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปลองลิ้มชิมความหอมหวานจากข้างในปาก

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”

พลั่ก!

ฮิโระทุ่มทั้งตัวกระแทกเจ้าคนไร้มารยาทที่บังอาจถือวิสาสะมาลวนลามคนรักของเค้าจนหัวคะมำทิ่มโต๊ะ จากนั้นก็รีบฉุดคาโอรุถอยไปตั้งหลักห่างๆ นัยน์ตาสีทองของนักฆ่าวาวโรจน์ หมัดที่กำแน่นสั่นระรัวเพราะกำลังโกรธจัด
“กล้าดียังไงถึงมาทำแบบนี้ ฮึ! พ่อ!!!!”

พ่อ?

คาโอรุต้องสะบัดหน้าไปฟังให้ชัดอีกรอบ แต่ดูเหมือนมันยังไม่มีแก่ใจจะมายืนยันให้เค้าฟังถึงสิ่งที่หลุดปากพูดออกไป เพราะมัวแต่จ้องหน้าคู่กรณีเขม็ง นัยน์ตาสีทองของอีกฝ่ายก็ท้าทายใช่ย่อย ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูกะล่อน อ่อนวัยกว่าอายุจริงมาก แถมยังดูเหมือนฮิโระอย่างกะพี่ชายฝาแฝด
‘ใช่แล้วล่ะ… คงเป็นพ่อลูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย’ คาโอรุหาข้อสรุปให้กับตัวเอง
“พูดอะไรแบบนั้นกันเล่าฮิโระจัง นานๆพ่อถึงจะกลับญี่ปุ่น อุตส่าห์มาเยี่ยมลูกถึงที่โรงเรียนเชียวนะ ทักทายกันดีๆหน่อยไม่ได้หรือไง” ผู้ชายคนนั้นโอดครวญ แต่สีหน้าไม่ได้แสดงความสำนึกผิดสักกะนิด
“โซมะ เรียวเฮ” ฮิโระยกแขนขึ้นมากอดอก แล้วกระทืบเท้าดังป้าบๆเป็นจังหวะ “พูดมาตรงๆเลยดีกว่า ว่านายมาเสนอหน้ามาที่นี่ทำไม”
“ฮิโระจัง นี่พ่อนะลูก” ว่าแล้วก็เริ่มมีการบีบน้ำตาซิกๆให้ดูสมจริงมากขึ้น “ไอ้เรารึก็อุตส่าห์คิดถึงลูกในไส้ ทำไมถึงไม่มีน้ำใจบ้างเลย ฮือๆๆๆ หรือว่าที่ผ่านมาเราสั่งสอนลูกไม่ดี”
“พ่อ!! เลิกทำตัวแบบนี้ซะทีเถอะ ผมอายเค้านะ”
ฮิโระตวาดอย่างเหลืออด แต่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกลับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ นัยน์ตาสีทองหันไปจ้องคาโอรุอย่างหงุดหงิด คนเค้ากำลังเครียดมันยังมีหน้ามายืนหัวเราะอยู่ได้
“นายหัวเราะอะไร พวกฉันตลกนักหรือไง” นักฆ่าทำหน้ามุ่ย
คาโอรุส่ายหน้าพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลพราก และพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ขำมากไปกว่านี้
“เปล่าหรอก… ฉันก็แค่คิดว่าบ้านนายเนี่ยน่ารักดี”
พอเจอคำชมตรงๆ คนที่บ้าจี้อยู่แล้วก็ยิ่งลำพองใจใหญ่ เรียวเฮรีบปราดเข้ามาใกล้ๆ จับมือคาโอรุไว้แน่น
“ใช่มะๆ เธอเองก็คิดแบบนี้ใช่มั้ย”
“พอเลย” ฮิโระปัดมือพ่อออก “ถ้ายังไม่เลิกบ้า ผมจะโทรไปฟ้องแม่ว่าพ่อแอบเหลวไหลมาป่วนผมถึงที่โรงเรียน”
เจ้าลูกบังเกิดเกล้าไม่ขู่เปล่า ยังรื้อโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มยิกๆ และก่อนที่มันจะกดสายโทรออก เรียวเฮก็คว้าข้อมือลูกรักไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“นี่นาย… คิดจะฆ่ากันหรือไง แม่เราน่ะเหมือนชาวบ้านเค้าที่ไหน ทุกวันนี้พ่อยังสงสัยอยู่เลยว่า ‘ริขุ’ เป็นนักฆ่าหรือเป็นนักสืบกันแน่ พ่อทำอะไรเค้าถึงได้รู้ไปหมด”
“ก็พ่อน่ะชอบทำตัวให้แม่ไม่ไว้ใจเองนี่นา เอาแต่ทำตัวชีกอนอกบ้านจีบสาวไปทั่ว แม่เค้าไม่ขอแยกทางก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“โอ๊ย! พ่อไม่ง้อหรอก คนหล่อๆดูดีมีชาติตระกูลอย่างพ่อเนี่ย จะหาแฟนอีกสิบคนก็ยังไหว” คนได้ใจรีบอวดอ้าง จนลูกรักต้องแอบไปแหวะอีกทาง แล้วพูดแทงใจดำจนเรียวเฮเถียงไม่ออก
“ปากก็บอกไม่ง้อเค้า แต่พอเค้าหอบผ้าหอบผ่อนไปรับจ๊อบที่เมืองนอกทีไร ใครกันที่เป็นคนตีตั๋วบินตามไปแทบไม่ทัน ทิ้งลูกให้อยู่บ้านคนเดียวทั้งปี เชอะ!”
ฮิโระลากคาโอรุไปนั่งบนโซฟาอีกฝั่งเพราะยังไม่ค่อยไว้ใจพ่อจอมกะล่อน แต่ก็เชื่อมั่นอยู่อย่างนึงว่า พ่อมาที่นี่ต้องมีเหตุผลสำคัญแน่ ไม่อย่างนั้นร้อยวันพันปีคงไม่คิดถึงลูกในไส้อย่างเค้าหรอก
“พ่อมีธุระอะไรก็บอกมาเถอะ ผมกับคาโอรุไม่ค่อยมีเวลานะ ต้องรีบไปทำงานต่อ”
เรียวเฮนั่งลงฝั่งตรงข้าม ใบหน้านั้นยังคงยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีตลอดเวลา สายตาของเค้าตวัดจ้องมาทางคาโอรุ แล้วทักทายด้วยความเป็นกันเองอย่างที่สุด (แหงล่ะ… กล้าขนาดไปขโมยจูบเค้าแล้วนี่)
“เมื่อครู่ขอโทษนะที่ทำให้เธอตกใจ แต่พอได้เห็นหน้าเธอมันทำให้ฉันนึกถึงชิโอริจนอดใจไม่ได้จริงๆ” คุณพ่อวัยหนุ่มยังมีหน้ามาคร่ำครวญถึงแฟนเก่าต่อหน้าลูกรัก ฮิโระได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วยิ้มแห้งๆ
“ท่านแม่ก็เคยพูดถึงคุณเรียวเฮบ่อยๆ บอกว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”
“ฉันก็กะแล้วว่าชิโอริต้องพูดแบบนี้ ในใจของเธอไม่มีที่ว่างให้ใครอีกแล้วนอกจากเคียว ฉันเองก็ทำใจมาตั้งแต่ตอนที่เค้าแต่งงานกันแล้ว และพอได้มาเจอริขุ ฉันถึงรู้ว่ารักแท้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่หนเดียว”
“นี่พ่อรักแม่จริงๆเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฮิโระส่ายหน้า
เรียวเฮสะบัดหางตามอง แล้วถอนใจให้กับความซื่อบื้อของลูกรัก
“ถ้าฉันไม่รักแม่นาย แล้วจะมีนายออกมานั่งประจานฉันปาวๆอย่างทุกวันนี้เหรอ” ว่าแล้วก็หันหน้าไปคุยกับอีกคนต่อ “ว่าแต่ตาแก่เคียวพ่อของเธอคงสบายดีนะ”
“ครับ... ก็เรื่อยๆ ช่วงนี้พ่อดูงานยุ่งมาก ผมเองก็ไม่ค่อยเจอพ่อบ่อยนักหรอกครับ อย่างมากก็โทรศัพท์คุยกัน แต่ก็ดูเค้ารีบๆเหมือนติดภารกิจสำคัญอยู่”
เรียวเฮลูบคางทำท่าครุ่นคิด “ไม่แน่… บางทีอาจจะเป็นงานเดียวกับที่ฉันรับอยู่ก็ได้”
“งานอะไร!” สองสหายอุทานพร้อมกัน
“เป็นงานลับที่คนวงในเท่านั้นที่รู้ พ่อมาที่นี่ก็เพราะสาเหตุนี้ อันที่จริงพ่อไม่ควรบอกลูก แต่เพราะกลัวว่าลูกจะตกอยู่ในอันตรายจึงรีบมาเตือนซะก่อน”
ฮิโระกับคาโอรุหันมาสบตากัน งานที่ทำให้พ่อของทั้งคู่หนักใจรับรองได้ว่าต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ งานนี้ไม่ใครก็ใครเตรียมพร้อมลาโลกได้เลย
“เป็นงานอะไรกันแน่ครับ” คาโอรุที่ตั้งสติได้ก่อนเป็นคนถาม
“พวกเธอคงได้ยินชื่อ Death flowers ใช่มั้ย” คำถามจากพ่อที่เปลี่ยนสีหน้าลูกๆให้ยิ่งเครียดจัด “เมื่อสองปีก่อน… ผู้นำองค์กรที่ชื่อ Red Rose ได้หลบหนีออกมา ก่อนหน้านี้เคยมีการส่งคนออกมาตามล่าหาตัว แต่ข่าวคราวก็เงียบหายไปจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ข่าวล่าสุดจากวงในเค้าลือกันว่า Red Rose ได้กลับมาที่โตเกียวแล้ว และยมทูตที่เหลืออีกสองคน White Lily กับ Black Sakura ก็เคลื่อนไหวออกจากองค์กรแล้วด้วย”
ฮิโระกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กิตติศัพท์ความโหดร้ายของพวกนี้แค่ได้ยินชื่อก็สยองแล้ว อย่าคิดถึงขั้นให้ไปพัวพันด้วยเลย เค้าไม่เอาด้วยแน่ๆ
“แล้วยังไงต่อล่ะพ่อ พวกยมทูตอะไรนั่นมันตามล่ากันเอง แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกผมด้วย”
นัยน์ตาสีทองของเรียวเฮเคร่งขรึมและจริงจังกว่าที่เคยเป็น เค้าปราดสายตาไล่มองเด็กทั้งสองทีละคน ก่อนจะตัดใจบอกข่าวสำคัญให้รู้
“ข่าวกรองจากวงในยืนยันว่าตอนนี้ Red Rose อยู่ที่โรงเรียนรินคัง”
“หา!!!”
สองเพื่อนซี้ผุดลุกจากโซฟาพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างเพราะแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามัจจุราชจะอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก
“คะ… ใคร?” ฮิโระกลั้นใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“พ่อเองก็ไม่รู้ เรื่องนี้ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ในเมื่อ Red Rose อยู่ที่นี่ ยมทูตอีกสองคนที่เหลือก็ต้องตามมาในไม่ช้า ถ้าพวกนี้ปะทะกันเมื่อไหร่ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ พ่อถึงอยากมาเตือนให้ลูกๆระวังตัวไว้ ถ้าพบใครที่น่าสงสัยก็ให้อยู่ห่างๆไว้ดีที่สุด”
“นายคิดว่าจะเป็นใคร?” ฮิโระหันไปถามความเห็นจากคาโอรุ ส่วนตัวเองก็ทำท่าคิดแล้วเดาไปเรื่อย “ฉันว่ามันต้องเป็นคนที่ชอบทำตัวแปลกสุดๆ ประมาณว่าเอาแต่เก็บตัวไม่คบใครเลย ว้า… ไอ้คนแบบนี้ในโรงเรียนเราก็มีเยอะซะด้วย แต่อย่างน้อย… ฉันก็ตัดเจ้าไทกิไปได้คนนึงล่ะ”
ฮิโระมั่นใจในตัวเองสุดๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมองข้ามตัวอันตรายไปจังเบ้อเร่อ
“ฉันยังไม่อยากสรุป เพราะคิดว่าใครก็มีสิทธิ์เป็น Red Rose ได้ทั้งนั้น คนที่ถูกฝึกมาอย่างแนบเนียนย่อมแฝงตัวและปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดี ทุกคนในโรงเรียนนี้ก็ล้วนน่าสงสัย แม้แต่ฉันกับนาย”
“เฮ้ย! ฉันเนี่ยนะ นายคิดได้ไงเนี่ย”
“คาโอรุเค้าพูดถูกแล้ว” เรียวเฮสั่งสอนบ้าง “ลูกไม่ควรเชื่อใจใครง่ายๆนะฮิโระ นักฆ่าที่ดีไม่ควรไว้ใจใครนอกจากตัวเอง”
พอเจอคำสอนจากพ่อที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักฮิโระก็จ๋อยสนิท เค้าทำหน้ามุ่ยแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง
“ฉันฝากเธอดูแลลูกชายหัวดื้อของฉันด้วยก็แล้วกันคาโอรุ เพราะดูๆแล้วเธอคงมีแววมากกว่าเจ้าฮิโระซะอีก” ว่าที่คุณพ่อฝากฝังลูกชายตัวเองเสร็จสรรพ “ฉันเองก็งานยุ่ง รบกวนพวกเธอนานแล้ว คงต้องกลับซะที”
เรียวเฮหยิบหมวกคาวบอยขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าหอโดยมีลูกๆตามไปส่ง
“แล้วพ่อจะมาอีกเมื่อไหร่”
ลูกชายหัวดื้อถามเสียงอ่อย อันที่จริงก็คิดถึงพ่อแต่ก็แกล้งฟอร์มจัดไปอย่างนั้นเอง เรียวเฮแอบอมยิ้มแล้วขยี้หัวลูกชายหนักๆ
“พ่อจะมาเมื่อถึงเวลา อีกไม่ช้าเราคงได้พบกันอีกแน่ รวมทั้งตาแก่เคียวด้วย”
เรียวเฮทิ้งท้ายก่อนจะจากไปอย่างรีบร้อน แถมข่าวที่บอกก็ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ในไม่ช้าความกังวลทั้งหลายก็ถูกแทนที่ด้วยงานที่กองพะเนินเทินทึก จากนั้นทั้งคาโอรุและฮิโระก็ไม่เคยพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับ Red Rose อีกเลย

บรรยากาศข้างนอกร้อนระอุ แต่ดูเหมือนในสภาพิเศษจะยิ่งระอุมากกว่า นอกจากงานที่กองท่วมหัวแล้ว สมาชิกก็ร่อยหรอลงไปจนน่าใจหาย
“นี่เป็นเอกสารสุดท้ายที่ต้องเซ็นครับ”
มาซาฮิโกะยื่นแฟ้มงานอันสุดท้ายให้โนะอิเซ็นรับรอง รุ่นพี่รับมาเซ็นอย่างเหม่อลอย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับข่มตาลงช้าๆ
“ยังไม่ได้ข่าวมิสึกิอีกเหรอ?” หัวหน้าซีเนียร์เปรยถาม
มาซาฮิโกะหันไปสบตากับซุยที่นั่งทำงานเงียบๆอยู่บนโต๊ะ ไทกิเองก็คอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพราะตั้งแต่กลับมาจากเกียวโตก็ไม่ได้พบมิสึกิอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าเค้าหายไปไหน ไม่มีร่องรอยให้ตามสืบ บางที… พี่มิสึกิอาจจะติดงานขององค์กร แต่อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงแบบนี้
“ยังครับ” มาซาฮิโกะตอบแผ่วเบา ปกติเค้าเป็นฝ่ายหาข่าวและมักจะไม่พลาด แต่คราวนี้มันเกินความสามารถจริงๆ อย่างกับว่าอยู่ดีๆมิสึกิก็อันตรธานหายไปโดยไม่มีสาเหตุ
“มิสึกิไม่เคยเหลวไหล ถ้าจะไปไหนก็ต้องบอก แล้วทำไมคราวนี้ถึงไม่บอกใครเลย” ซุยเองก็กังวลไม่แพ้กัน
“เอาน่า… เค้าอาจจะหนีไปพักร้อนก็ได้ ก็เราทิ้งงานให้เค้าทำตั้งเยอะ เค้าก็คงจะเบื่อ เลยหนีไปเที่ยวล่ะมั้ง” ไทกิช่วยกลบเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อย ถ้าเกี่ยวข้องกับงานขององค์กรจริงๆ มิสึกิก็คงไม่บอกใครไว้หรอก
“ฉันว่าเราน่าจะออกตามหา…”

กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โนะอิยังพูดไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ประจำสภาก็ดังขึ้น ทุกคนเหลียวมองไปที่จุดเดียวกัน สบตากันอยู่สักพักก็ต้องเป็นคนที่อาวุโสน้อยที่สุดในห้องเป็นคนลุกไปรับโทรศัพท์
ไทกิทำหน้าเซ็งๆ แล้วยกหูขึ้นมารับสาย
“สวัสดีครับ… ที่นี่ห้องสภาสมาชิกพิเศษ”
“ท่านไทกิใช่มั้ยคะ?”
เสียงที่ตอบกลับมาทางปลายสายเบามาก เบาจนเค้าต้องแนบหูเข้ามาชิด แล้วเบือนหน้าออกไปสนทนาอีกทางเพื่อไม่ให้พวกพี่ๆเห็น
“เธอเป็นใคร?” ไทกิถามเสียงเข้ม มีไม่กี่คนหรอกที่จะเรียกเค้าว่า ‘ท่าน’ อย่างน้อยก็จำกัดวงได้ว่าต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรแน่ๆ
“ดิฉันไม่มีเวลาอธิบาย ตอนนี้กำลังถูกจับตาดูอยู่ ท่านไทกิช่วยมาที่โรงแรมโกลเด้นเบย์ได้มั้ยคะ ดิฉันจะรอที่ลอบบี้ ใช้สัญลักษณ์ดอกเดซี่สีส้ม ช่วยมาให้เร็วที่สุดด้วยนะคะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!!”

ตรู๊ดดดดดด……….

ทางปลายสายวางไปเรียบร้อย โดยไม่เปิดโอกาสให้เค้าถามสักนิด
“ใครโทรมาเหรอ?” ซุยที่จับตาดูอยู่เปรยถาม
“อ๋อ… พวกชมรมกรีฑาที่โดนตัดงบประมาณโทรมาโวยน่ะ พอด่าจบปุ๊บก็วางหูเลย ไม่มีอะไรหรอก” ไทกิรีบหาข้ออ้าง “พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ ขอออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
“ให้ฉันไปด้วยมั้ย” ซุยจะลุกตาม แต่ก็โดนห้ามไว้
“ไม่ต้องหรอก นายอยู่เคลียร์งานต่อเถอะ ฉันไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว” ว่าแล้วก็รีบชิ่งก่อนที่จะโดนตื๊อไปมากกว่านี้ มิสึกิหายตัวไปคนนึงแล้ว เค้าไม่อยากให้ซุยต้องมาเกี่ยวข้องกับคนในองค์กรอีก

ไทกิใช้รถไฟเดินทาง เพราะการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากจะทำให้พวกมันลงมือได้ยากขึ้น เค้าชินกับการพรางตัวอยู่แล้วจึงสามารถเดินทางมาถึงโรงแรมโกลเด้นเบย์ได้โดยสวัสดิภาพ เค้าแหงนหน้ามองโรงแรมหรูอีกครั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นกับดัก แต่มันเป็นทางเดียวที่เค้าจะได้เบาะแสของพี่มิสึกิ จึงคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
อย่างน้อย… พวกนั้นคงไม่กล้าลงมืออุกอาจกับผู้นำอย่างเค้าหรอก
ไทกิเดินเข้าไปในลอบบี้ ในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักธุรกิจ เศรษฐี และชนชั้นสูง เค้ากวาดสายตาไปทั่ว จนไปสะดุดเข้ากับสาวสวยในชุดพนักงานต้อนรับกลัดดอกเดซี่ไว้ที่หน้าอก
เธอคนนั้นพยักหน้าให้ไทกิ ก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟท์ ทำเหมือนเป็นงานบริการแขกตามปกติเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไทกิเดินตามไปเงียบๆ พยายามไม่เหลียวมองรอบตัวทั้งที่รู้สึกว่ากำลังมีคนจับตามองอยู่ สองคนมาอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันแล้ว ยังมีลูกค้าของโรงแรมอีกสองคนอยู่ในนั้นด้วย ลิฟท์ตัวนี้เลื่อนขึ้นไปถึงชั้น 18 ที่ลูกค้าเลือกไว้ จากนั้นพอเหลือกันลำพังสองคน ลิฟท์ก็ถูกล็อก ผู้หญิงคนนั้นกดรหัสลับ แล้วลิฟท์ก็ลงรวดเดียวจนถึงชั้นใต้ดิน
“เธอเป็นใครเหรอ?”
ไทกิถาม เพราะชั้นนี้คงสร้างมาเป็นพิเศษเพื่อคนในองค์กรโดยเฉพาะ คนนอกไม่มีทางเข้ามาได้แน่
“ดิฉันชื่อ ยูอิ เป็นหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายยมทูตดำค่ะ”
“ยมทูตดำ… ก็คนของพี่มิสึกิน่ะสิ” ไทกิทำเสียงตื่นเต้น “ดีเลย ฉันกำลังอยากรู้ข่าวของเค้าพอดี”
ยูอิหน้าซีดสนิท ทำหน้าหนักใจอย่างที่สุด
“ค่ะ… ดิฉันยอมเสี่ยงตายเรียกท่านไทกิมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์ป้อนรหัสเปิดประตูลับชั้นสุดท้าย แล้วเดินนำหน้าไปที่เตียงใหญ่ซึ่งมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงรยางค์ เสียงจากมอนิเตอร์คลื่นหัวใจดังสลับกับเสียงเครื่องช่วยหายใจเป็นระยะ หัวใจของไทกิหล่นวูบ ถึงจะยังเห็นไม่ชัดว่าใครที่นอนอยู่ที่เตียง แต่ความกลัวก็บอกเค้าว่านั่นอาจเป็นคนที่เค้ากำลังตามหาอยู่
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ…
ร่างสูงที่เคยสดใส ตอนนี้กลับซูบผอมและซีดสนิท ขนาดมีเลือดห้อยเติมอยู่ทั้งสองแขนก็ยังไม่อาจช่วยให้สีหน้าที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวามีสีเลือดกลับคืนมาได้ ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ราวกับจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“พี่มิสึกิ!!!”
ไทกิโผเข้าไปที่เตียง มือคว้ากอดแขนที่เย็นเฉียบเอาไว้แน่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุด ความเสียใจทะลักทะลายท่วมท้นอย่างไม่อาจจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้
“ใคร!!! ใครกันที่มันทำกับพี่มิสึกิแบบนี้!!!”
ไทกิสะบัดหน้ากลับไปถามองครักษ์สาว มือที่สั่นเทาก็ชี้ไปยังดอกลิลลี่เปื้อนเลือดที่ปักไว้ในแจกัน
“เซกิ…”
ไทกิไม่อยากเชื่อ ถึงจะคิดตามเหตุผลว่าคนที่จัดการกับซากุระได้ นอกจากเค้าแล้วก็คงจะมีแต่ลิลลี่เท่านั้น เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ามันจะกล้าลงมือกับพวกเดียวกัน
“เซกิทำแบบนี้ทำไม”
“ดิฉันก็ไม่ทราบ… เมื่อหกวันก่อนดิฉันไปพบท่านมิสึกิที่โรงเรียนเพื่อรายงานการเคลื่อนไหวของลิลลี่ แต่พอคล้อยหลังไปนิดเดียว ดิฉันก็ได้ยินเสียงน้ำในทะเลสาบจึงย้อนกลับไปดู พบมีแต่เลือดกับดอกลิลลี่ดอกนี้ จึงรีบเรียกพรรคพวกที่เหลือให้ลงไปดูในทะเลสาบ แล้วก็พบ… ท่านมิสึกิจมอยู่ในนั้น ที่กลางหลังของท่านยังมีดาบเล่มนี้ปักอยู่เลยค่ะ”
ยูอิยื่นมีดสีเงินปลาบสลักลายดอกลิลลี่ที่ด้ามจับให้ไทกิรับไปดู ไม่ผิดหรอก… เป็นฝีมือมันแน่ๆ
“นายทำแบบนี้ทำไมเซกิ นายทำร้ายมิสึกิทำไม” ไทกิกำมีดเล่มนั้นไว้แน่น
“ท่านไทกิคะ” มืออุ่นๆขององครักษ์สาวเอื้อมมาแตะไหล่ “เป้าหมายต่อไปของลิลลี่ต้องเป็นท่านไทกิแน่ๆ ดังนั้นท่านเองก็ต้องระวังตัวให้มากนะคะ”
“ให้มันมาเลย!! ฉันโกรธจนสุดจะทนแล้ว เซกิทำร้ายฉัน ฉันยังไม่เสียใจมากขนาดนี้ เพราะฉันเคยทำร้ายจิตใจเค้ามาก่อน แต่นี่มิสึกิผิดอะไร ทำไมต้องลงมือโหดขนาดนี้ด้วย มันกะจะฆ่ากันชัดๆ”
ไทกิกำหมัดแน่น ยิ่งพอเบือนหน้ากลับไปมองมิสึกิที่นอนหลับไม่ได้สติก็ยิ่งเสียใจ
“แล้วตอนนี้อาการของเค้าเป็นไงบ้าง?”
“ก็สาหัสเอาการค่ะ… หมอบอกว่าต้องรอให้ท่านมิสึกิฟื้นซะก่อนถึงจะประเมินได้แน่ชัด แต่ตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน หนึ่งสัปดาห์มาแล้วที่ท่านยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งใดเลย” ยูอิรายงาน
ไทกิทิ้งตัวลงข้างเตียง เอามือพี่ชายร่วมองค์กรมากุมไว้แน่น “ฉันฝากเธอดูแลพี่มิสึกิด้วยนะ บอกให้หมอรักษาอาการเค้าให้ดีที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้พี่มิสึกิฟื้นให้ได้ ส่วนเรื่องลิลลี่…” ไทกิถอนใจอีกเฮือก ดูท่าการเผชิญหน้ากันคราวนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนรอบตัวก็ต้องเจ็บเพราะเค้าอีก
“ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ฉันจะจัดการมันด้วยตัวฉันเอง”
ท่านผู้นำทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะจากไปเพื่อให้มิสึกิได้พักผ่อน
ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มเพราะมีฝนพรำ ท้องฟ้าในวันนั้น… วันที่หนีออกมาจากองค์กร ก็เป็นท้องฟ้าที่ชวนหดหู่แบบนี้เช่นกัน

“ไทกิ… กลับมาแล้วเหรอ?”
ซุยเป็นคนแรกที่ทัก ทันทีที่ประตูห้องสภาสมาชิกพิเศษถูกเปิดออก แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพรุ่นน้องตัวแสบกลับมาตัวเปียกมะลอกละแลก แถมหน้าตายังเศร้าเหมือนจะเดินร้องไห้มาตลอดทาง
“นายเป็นอะไรไป!” ซุยรีบฉุดตัวเข้ามาถาม แล้วถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมให้
นัยน์ตาสีหวานของกุหลาบแดงเงยขึ้นมา น้ำตายังไหลคลอเบ้า ก่อนจะโถมร่างทั้งร่างกอดซุยจนแน่น
“ฉะ… ฉัน ฮือๆๆๆ ฉันเจอพี่… พี่มิสึกิแล้ว ฮือๆๆๆๆ”
“อะไรนะ!!” กลายเป็นพี่โนะอิที่รีบปราดเข้ามาถามต่อ แถมไม่สนใจคนกำลังเศร้า กระชากตัวมันออกมาจากอ้อมแขนซุยซะงั้น “นายเจอมิสึกิที่ไหน?”
“ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้ พี่มิสึกิกำลังรักษาตัวอยู่ ถ้าคนอื่นรู้ว่าอยู่ที่ไหนเค้าอาจจะเป็นอันตรายได้” ไทกิปฏิเสธ แต่ยิ่งทำให้คนที่ร้อนใจอยู่แล้วเลือดขึ้นหน้า
“พูดแบบนี้คิดจะกวนฉันใช่มั้ย บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าหมอนั่นอยู่ที่ไหน แล้วมันเป็นอะไร!!”
“บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้ นายจะมาคาดคั้นฉันทำไม!!”
คู่ปรับเก่ากำลังจะกัดกันกลางห้อง คนกลางเลยต้องรีบจับทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน ซุยส่งโนะอิให้มาซาฮิโกะ ส่วนตัวเองก็กำราบไอ้ตัวแสบให้เลิกคลั่งซะที
“ตอนนี้ทุกคนกำลังสับสนนะไทกิ นายเองก็ต้องใจเย็นๆ บอกแค่เรื่องที่พอบอกพวกเราได้ก็พอ”
ไทกิก้มหน้านิ่ง ไม่ใช่เค้าไม่อยากบอกเพราะรู้ว่าทุกคนก็คงเป็นห่วงมิสึกิไม่แพ้กัน แต่ไม่รู้จะบอกยังไงมากกว่า
“ฉันขอเวลานะซุย อย่าเพิ่งคาดคั้นอะไรจากฉันเลย” ไทกิปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะหลบไปทำใจอีกทาง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด